๙๔
รถเคลื่อนตัวไปยังสิงหนครอย่างช้า ๆ เดินทางข้ามสะพาณติณฯ
เมื่อรถขับบนสะพานทุกคนต่างกลั้นหายใจเพราะบางช่วงมีความชัน
ของสะพาน รถวิ่ง ผ่านเกาะยอ ชะลอรถจอดรับผู้โดยสารอยู่เป็นระยะ
ๆ ลมพัดโชยมายังภายในรถสองแถว ทั้งสามนั่งชมวิวทิวทัศน์ภายนอก
กันอย่างเบิกบานใจ มองไปที่ท้องทะเลเห็นคนหาปลากำลังขับเรือสวน
กันไปมา เพื่อรีบออกไปหาปลา บ้างเห็นคนที่ริมชายฝั่ งกำลังยืนตก
ปลา ดูทีท่าพูดคุยกันสนุกสนานระหว่างรอปลามาติดเหยื่อ เห็นฝูงนก
บินว่อนอยู่บนท้องฟ้าเพื่อสอดส่องหาแหล่งอาหาร สงขลาเมืองแห่ง
ความสมบูรณ์
และแล้วรถก็ค่อย ๆ ชะลอจอดรับ
ซึ่งมองไปเห็นเป็นผู้ชายและผู้หญิงรุ่นราว
คราวเดียวกับทั้งสามกำลังโบกรถอย่างใจ
จดใจจ่อสีหน้าเหมือนจะดีใจเมื่อรถสอง
แถวผ่านมา
เมื่อรถจอดรับผู้ชายและผู้หญิงก็ขึ้นมา
บนรถสีหน้าดูยิ้มแย้มพร้อมห้นมายิ้มให้กับ
ปรียา อารี และ กุ้งส้ม
ปรียาเห็นทั้งสองยิ้มเลยกล่าวยิ้มตอบและทักทายกัน ด้วยใบหน้ายิ้ม
แย้ม “สวัสดีค่ะชื่ออะไรคะ เราชื่อปรียานะ” ปรียาทักทายทั้งคู่ด้วยความ
เป็นมิตร และอัธยาศัยดี
“เราชื่อลูกตาล ส่วนนี่เพื่อนเราชื่อเปี๊ ยะเค็ม ยินดีที่ได้รู้จักนะปรียา”
ลูกตาลกล่าวตอบพร้อมแนะนำตัวเพื่อนอีกคนให้รู้จัก
“นี่พี่ชายเราชื่อ อารี ส่วนนี่เพื่อนใหม่เรา ชื่อ กุ้งส้ม” ปรียากล่าว
แนะนำให้ลูกตาลและเปี๊ ยะเค็มรู้จัก
“พวกเรากำลังเดินทางไปยังอำเภอสิงหนคร กุ้งส้มเป็นคนในอำเภอ
สิงหนครเลยยินดีที่จะพาพวกเราไปเรียนรู้เกี่ยวกับประเพณีที่น่าสนใจของ
ที่นั่น” ปรียาบอกเสริมให้เปี๊ ยะเค็มและลูกตาลได้ทราบ
๙๕
“เราเป็นคนอำเภอสทิงพระนะ ส่วนเปี๊ ยะเค็มเป็นคนอำเภอระโนด
ถ้าหากสนใจจะไปเรียนรู้เกี่ยวกับประเพณีในอำเภอของพวกเรา พวกเรา
ยินดีพาไปนะ” ลูกตาลกล่าวบอกเพื่อน ๆ ด้วยความยินดี แล้วทั้งหมดก็
ตกลงใจกันว่าจะไปศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับประเพณีในอำเภอสิงหนคร
อำเภอสะทิงพระ และอำเภอระโนด
บรรยากาศในรถก็สนุกสนานพูดคุยกันเสียงเจื้อยแจ้ว ทุกคนต่าง
ตื่นเต้นที่จะไปเรียนรู้เรื่องประเพณีตามอำเภอต่าง ๆ ซึ่งตอนนี้จากที่มีแค่
อารีและปรียา ทำให้สมาชิกค่อย ๆ เพิ่มมาเป็น ๕ คน เนื่องจากมีกุ้งส้ม
ลูกตาลและเปี๊ ยะเค็มได้ตกลงใจจะมาด้วยและยินดีจะพาไปเรียนรู้
เกี่ยวกับประเพณี
ยินดีต้อนรับเข้าสู่อำเภอสิงหนคร ป้ายสีขาวที่ปักอยู่ข้างทางได้บอก
ให้รู้ว่าขณะนี้ทุกคนได้เดินทางมาถึงอำเภอสิงหนครแล้ว โดยผู้นำทางใน
ครั้งนี้คือกุ้งส้มหญิงสาวที่หน้ามีแต่รอยยิ้มเป็นคนอำเภอสิงหนครและยินดี
ที่จะพาเพื่อน ๆ มาเที่ยวสิงหนครในครั้งนี้
ถึงสิงหนครแล้วนะเพื่อน ๆ “ กุ้งส้มรีบบอกเพื่อนๆสมาชิกที่ร่วมเดิน
ทางมาด้วยให้รีบลงจากรถสองแถวเนื่องจากตอนนี้ได้ถึงที่หมายกัน
เรียบร้อยแล้ว ทุกคนเมื่อได้ยินเสียงก็ค่อย ๆ รีบจัดของและหยิบสัมภาระ
ที่เตรียมมาลงจากรถกันอย่างว่องไว
๙๖
อำเภอสิงหนครเป็นอำเภอที่มีความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรม
มีความเป็นหุวัฒนธรรมเนื่องจากผู้คนที่นี่นับถือศาสาพุทธและอิสลาม แต่
สามารถอยู่อาศัยร่วมกันอย่างมีความสันติสุข ประกอบอาชีพทั้งค้าขาย
และทำประมง หาปลา ของขึ้นชื่อในอำเภอสิงหนครก็มีหลากหลายอย่าง
แต่ละอย่างล้วนเป็นการถนอนมอาหาร เช่น ไข่ครอบ และกุ้งส้ม ซึ่งเป็น
อาหารขึ้นชื่อของอำเภอสิงหนคร เกิดจากการถนอนอาหาร จนกลายเป็น
อาหารที่อร่อย และสามารถทานกับเข้าได้อย่างลงตัว กุ้งส้มได้ทำอาหาร
ให้เพื่อน ๆ ซึ่งเป็นแขกที่มาเยี่ยมเยียนบ้านในครั้งนี้ได้รับประทาน ทุกคน
นั่งล้อมวงกินข้าว เมื่อกินเสร็จก็พูดคุยกันสรวลเสเฮฮาตามประสาเพื่อน
ใหม่และกุ้งส้มก็ได้เริ่มเล่าเรื่องประเพณีแต่งงานกับนางไม้ซึ่งเป็นประเพณี
ที่มีมาตั้งแต่โบราณสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุ และเป็นประเพณีที่มีเพียง
แค่ในอำเภอสิงหนคร ซึ่งเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากบ้านไหนที่มีผู้ชาย มี
ลูกชายที่กำลังจะครบอายุบวชก่อนบวชนั้นต้องทำพิธีแต่งงานกับนางไม้
เสียก่อน เมื่อทำพิธีแต่งงานกับนางไม้เสร็จก็จะสามารถเข้าพิธีแต่งงานกับ
หญิงอื่นได้ตามปกติ ซึ่งการแต่งงานนั้นจะมีพิธีการแต่งงานตมปกติคือมี
ขันเงินขันทองตามแบบการแต่งงานทั่ว ๆ ไป และประเพณีนั้นถือว่าเป็น
ประเพณีที่เกี่ยวกับความเชื่อและความศรัทธาของคนที่นี่ ที่สืบทอดต่อกัน
มายาวนาน
๙๗
เมื่อกุ้งส้มเล่าเกี่ยวกับประเพณีแต่งงานกับนางไม้ของอำเภอสิงหนครจบ
ทุกคนพากันทึ่งกับประเพณีเพราะไม่เคยได้ยินหรือรู้จักมาก่อน เมื่อทั้งหมดพูดคุย
เล่าเรื่องกันเสร็จจึงเก็บจานไปล้างเพื่อเดินทางไปยังอำเภอสทิงพระโดยมีลูกตาล
เป็นคนนำทางและอาสาจะพาไปเที่ยวที่สทิงพระซึ่งเป็นบ้านเกิดของตนเอง
ในการเดินทางครั้งนี้คุณลุงของกุ้งส้ม
ก็อาสาขับรถซาเล้งคันเก่งคู่ใจของคุณลุงพา
เพื่อน ๆ ของกุ้งส้มเพื่อได้ชมบรรยากาศ
และสูดอากาศระหว่างทาง รถซาเล้งของคุณ
ลุงชัยกำลังเคลื่อนออกมาจากลานจอดหน้า
บ้านเพื่อรอให้ทุกคนขึ้นไปนั่งกันพร้อมเพรียงกัน แล้วค่อย ๆ ขับออกไปอย่างช้า ๆ
ระหว่างทางอารี ปรียา กุ้งส้ม เปี๊ ยะเค็ม และลูกตาลก็ได้พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ระหว่างทางคุณลุงชัยก็เล่าเรื่องและแนะนำสถานที่ต่าง ๆ ไปตลอดทาง เด็ก ๆ
ทุกคนสนุกและได้รับความรู้ไปพร้อมกัน ๆ
ป้ายสีขาวข้างทางบอกว่า ยินดีต้อนรับเข้าสู่อำเภอสทิงพระ เป็นสิ่งที่สื่อให้
รู้ว่าตอนนี้ ทุกคนถึงอำเภอสทิงพระซึ่งเป็นบ้านเกิดของลูกตาลเรียบร้อยแล้ว
ลูกตาลค่อย ๆ พาทุกคนเดินเข้าไปยังบ้านไม้สองชั้นซึ่งอยู่กันแค่ ๔ คน คือมีพ่อ
แม่ น้องชาย และลูกตาล บริเวณรอบ ๆ บ้านเต็มไปด้วยต้นตาลที่สูงสง่ากลาง
ทุ่งนา และนี่เหตุที่มีต้นตาลจำนวนมากที่บ้านจึงเป็นที่มาของชื่อลูกตาลอีกด้วย
ลูกตาลพาทุกคนไปเดินเล่นชมธรรมชาติที่แถวบ้าน ซึ่งระแวกใกล้ ๆ บ้านลูกตาล
มีการทำน้ำตาลโตนดซึ่งเป็นภูมิปัญญาของอำเภอสทิงพระทุกคนได้ลองชิมน้ำตาล
สดกันสดๆ จากต้นเลย ชื่นใจกันเลยทีเดียว แล้วทีนี้ระหว่างเดินทางไปทุกคน
ก็หยุดพักใต้ต้นตาลโตนดที่ต้นสูงสง่าแล้วนั่งล้อมวงพูดคุยกันและลูกตาลก็ได้เล่า
เรื่องประเพณีที่สำคัญของอำเภอสทิงพระให้ทุกคนฟังคือประเพณีตายายย่าน
ซึ่งประเพณีตายายย่านนี้เกิดจากความศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่อยู่หัว
ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทองคำปางมารวิชัย สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นสมัยสุโขทัยตอน
ปลายหรืออยุธยาตอนต้น โดยการจัดประเพณีนี้ขึ้นมาเพื่อสำนึกถึงพระคุณของ
เจ้าแม่อยู่หัว ถ้าหากครอบครัวใดไม่ปฏิบัติ ไม่ทำพิธีบูชาจะเชื่อว่าจะทำให้ปวด
ท้อง ปวดหัว ไม่สบายกายไม่สบายใจ ทำให้ชาวบ้านที่มีความศรัทธาและเชื่อใน
บุญคุณของเจ้าแม่อยู่หัวจะร่วมกันจัดประเพณีตายายย่านกันเป็นประจำทุกปี
๙๘
เมื่อลูกตาลเล่าเกี่ยวกับประเพณีตายายย่านซึ่งเป็นประเพณีสำคัญของคน
สทิงพระจบทุกคนต่างรู้สึกสนใจเนื่องจากไม่เคยได้ยินหรือรู้จักมาเช่นกัน เนื่องจาก
เป็นประเพณีประจำท้องถิ่นของที่นี่ เมื่อทุกคนพูดคุยกันเสร็จก็รีบเดินทางลัดเลาะ
ไปตามคันนาที่เรียงรายไปด้วยต้นตาลโตนดจำนวนหลายสิบต้น จนถึงบ้านของ
ลูกตาล ซึ่งมีคุณลุงชัยจอดซาเล้งรอรับทุกคนเพื่อเดินทางต่อไปยังอำเภอระโนดซึ่ง
เป็นบ้านเกิดของเปี๊ ยะเค็ม เมื่อรถซาเล้งค่อย ๆ เคลื่อนออกจากบ้านลูกตาล ก็เข้าสู่
ถนนใหญ่ เดินทางมุ่งหน้าไปยังอำเภอระโนด ระหว่างทางก็ติดไฟแดง มีแม่ค้า
คนหนึ่งกำลังเดินถือถาดใบใหญ่เร่ขายขนมไทย มะม่วงสามรส และพวกมาลัยอยู่
บนถนน ปรียาเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้จึงช่วยซื้อนมเปรี้ยวและมะม่วงสามรสเพื่อ
แบ่งปันแจกเพื่อนๆกินระหว่างเดินทาง
ทุกคนกำลังกินกันอย่างเอร็ดอร่อยและเวลาล่วงเลยมาชั่วโมงกว่า ๆ
ซาเล้งก็พาทุกคนมายังอำเภอระโนดบ้านเกิดของเปี๊ ยะเค็ม เปี๊ ยะเค็มจึงพาเพื่อน
ๆ ทุกคนไปเดินชมบรรยากาศซึ่งที่นี่ก็มีต้นตาลโตนดเป็นจำนวนมาก และนิยม
เลี้ยงเป็ดเพื่อนำไข่แดงมานำเป็นไส้ขนมเปี๊ ยะ จึงเป็นที่มาของชื่อเปี๊ ยะเค็มเช่นกัน
เปี๊ ยะเค็มพาทุกคนไปเดินชมทุ่งนา ดูฟาร์มเป็ดของคุณตาเปี๊ ยะเค็มที่เลี้ยงไว้กินไข่
และนำไข่มาแปรรูปทำเป็นไส้ขนมเปี๊ ยะสินค้าโอท็อของระโนด ทุกคนต่างตื่นตา
ตื่นใจเมื่อได้เห็นฝูงเป็ดจำนวนมากกำลังกรูกันลงสระน้ำกันเป็นจำนวนมาก และ
ทีนี้ ทุกคนพากันหยุดพักที่ศาลาริมสระน้ำบ้านคุณตาของเปี๊ ยะเค็มลมพัดโชยมา
เป็น ระยะ ๆ พร้อมพากลิ่นของดอกกระดังงาที่ปลูกอยู่ข้างศาลา ส่งกลิ่นหอมตลบ
อบอวลไปทั่วศาลาแล้วทีนี้ก็ถึงคิวของเปี๊ ยะเค็มที่จะนำเสนอและเล่าเรื่องราวเกี่ยว
กับประเพณีของอำเภอระโนดโดยเปี๊ ยะเค็มได้เล่าเกี่ยวกับประเพณีลอยแพ
สะเดาะเคราะห์หรือเรียกอีกชื่อว่าประเพณีส่งเภาซึ่งเป็นความเชื่อของคนตำบล
ตะเครี๊ยะ อำเภอระโนด ที่เชื่อว่าพระแม่คงคาจะสามารถปัดเป่าทุกข์ และโรคภัย
ไข้เจ็บ ภัยพิบัติต่าง ๆ ให้พ้นไปได้ ซึ่งประเพณีนี้จะเป็นการทำบุญอุทิศส่วนบุญ
ส่วนกุศลให้แก่ผู้มีพระคุณอีกด้วย ซึ่งยึดถือกันมายาวนาหลายชั่วอายุคน
๙๙
เมื่อเป๊ยะเค็มเล่าจบทุกคนต่างสนใจเกี่ยวกับประเพณีเพราะเป็น
ประเพณีที่มีแค่ที่นี่ที่เดียว อารีก้มมองนาฬิกาข้อมือ ก็พบว่าตอนนี้ห้าโมง
เย็น ทุกคนต้องรีบเดินทางกลับ ทุกคนจึงรีบส่งสัญญาณหาลุงชัยที่กำลังนั่ง
ชิมขนมเป๊ยะเค็ม ว่าถึงเวลาเดินทางกลับกันแล้วทำให้ทุกคนกล่าวลาเปี๊ ยะ
เค็มและขึ้นซาเล้งเพื่อเดินทางกลับ ระหว่างทางอารีและลูกตาลก็สบตากัน
อยู่บ่อยครั้งทำให้ปรียาและกุ้งส้มสงสัยว่าทั้งสองคนมีใจให้กันหรือปล่าว
เมื่อแซวลูกตาลก็ส่งยิ้มหวาน ๆ เขินจนแก้มแดง ทำให้ทุกคนต่างพากันยิ้ม
แย้มกับความน่ารักของทั้งคู่ เมื่อผ่านอำเภอสทิงพระก็แวะส่งลูกตาล โดยมี
อารีกล่าวคำหวานอำลาลูกตาลเพื่อรอวันมาพบเจอกันอีกครั้ง ซาเล้งที่มีลุง
ชัยค่อย ๆ ขับทุกคนไปยังจุดหมายปลายทางต่าง ๆ ก็ค่อยๆเคลื่อนไปอย่าง
ช้า ๆ ระหว่างทางทุกคนก็พูดคุยกันสนุกสนาน จนกระทั่งถึงอำเภอสิงหนคร
ก็ต้องถึงเวลาจอดส่งกุ้งส้ม
อารีและปรียากล่าวลาและขอบคุณกุ้งส้ม สำหรับทริปการเดินทางใน
วันนี้และขอบคุณลุงชัยลุงของกุ้งส้มที่มีความเมตตาขับซาเล้งพาทุกคนเดิน
ทางในวันนี้อีกทั้งคุณลุงชัยยังพาอารีและปรียาไปส่งยังจุดที่ที่อารีและปรียา
มาถึง
๑๐๐
ทำให้ตอนนี้ บนซาเล้งมีอารี ปรียา และคุณลุงชัยขับซาเล้ง ระหว่างทางจู่ ๆ
ซาเล้งคู่ใจของลุงชัย ก็ติด ๆ ดับ ๆ อยู่หลายครั้ง จนในที่สุดรถซาเล้งที่เดินทางมา
ทั้งวันได้ดับอย่างสนิทเสมือนบอกว่าเหนื่อยล้าไม่สามารถไปต่อได้ จนทำให้อารี
ปรียา และลุงชัยพากันตกใจ เนื่องจากไม่ได้ส่งอารีและปรียาถึงจุดหมาย ดังนั้น
คุณลุงชัยเลยแก้ปัญหาโดยการฝากอารีและปรียาไปกับรถของป้าสมศรีที่ขับผ่าน
มาพอดี โดยป้าสมศรีกำลังจะเข้าไปรับอาหารทะเลมาขายในเมือง เลยเมตตาพา
อารีและปรียามาส่ง อารีและปรียากล่าวขอบคุณลุงชัยสำหรับทริปดี ๆ และสนุกใน
วันนี้ แล้วค่อย ๆ ขึ้นรถกระบะป้าสมศรีแล้วรถค่อย ๆ เคลื่อนออกจากตรงนั้น ป้า
สมศรีส่งสองพี่น้องลงยังจุดหมายแล้วอยู่ ๆ ก็มีแสงประกายสีส้มค่อย ๆ ลงมาเป็น
เกลียวคลื่นลงมาจากท้องฟ้า เมื่อประกายแสงสีส้มมาโดนตัวของอารีและปรียา
ทำให้ค่อย ๆ พาทั้งสองลงไปยังเกลียวคลื่นนั้น แล้วทั้งสองก็พบว่าตอนนี้มาอยู่ที่ม้า
หินอ่อนหลังบ้าน ข้าง ๆ แปลงผักกาดของคุณพ่อ
ทั้งสองยิ่งตกใจกันไปใหญ่ ทำให้รู้ว่าที่ผ่านมาทุกคนได้ทะลุมิติไปยังดินแดนของ
สงขลา ได้เรียนรู้เกี่ยวกับประเพณีในอำเภอสิงหนคร อำเภอสทิงพระ และอำเภอ
ระโนด อีกทั้งทุกคนได้เจอมิตรภาพที่ดีได้แก่ กุ้งส้ม เปี๊ ยะเค็ม และลูกตาล ซึ่งเป็น
หวานใจที่อารีถูกใจยิ่งนัก เมื่อนึกดังนั้นอารียิ้มมุมปากและแก้มแดง โดยมีปรียายิ้ม
ตามพี่ชายของตนเอง
แม้จะเป็นช่วงเวลาที่สั้น ๆ แต่ทุกคนรู้สึกสนุก และตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจไปกับ
หลาย ๆ เรื่องในวันนี้ นับเป็นอีกวันที่มีความสุขมาก
“อารี ปรียา มาทานข้าวได้แล้วลูก” เสียงคุณแม่ตะโกนเรียกมาจากในครัว
สองพี่น้องเลยรีบกันเดินไปตามเสียงของแม่เมื่อรับประทานอาหารเย็นพร้อมกัน
๑๐๑
เล่าเรื่อง รวมประเพณี
ประเพณีที่ ๑
ประเพณีแต่งงานกับนางไม้
ประเพณีที่ ๒
ประเพณีลอยแพสะเดาะเคราะห์
ประเพณีที่ ๓
ประเพณีรับเทียมดา
ประเพณีที่ ๔
ประเพณีตายายย่าน
ของอำเภอสทิงพระ
๑๐๒
ประเพณีแต่งงานกับนางไม้
พิธีกรรมแต่งงานกับนางไม้ เป็นความเชื่อโบราณของชาวไทยในหมู่บ้าน
ต้นมะม่วง หมู่ที่ ๔ ตำบลสทิงหม้อ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ที่มีการสืบทอดกัน
มาอย่างยาวนานรุ่นต่อรุ่น เพราะเชื่อว่ามีหญิงสาวรูปงามสถิตอยู่ในต้นไม้ใหญ่หน้า
วัดมะม่วงหมู่ โดยได้มีการสร้างรูปปั้ นหญิงสาวแต่งกายงดงามขนาดเท่าคนจริงไว้ใน
บริเวณนั้นด้วย ซึ่งสำหรับคนในหมู่บ้านนี้ หากใครที่มีเรื่องทุกข์ใจหรือเรื่องเดือดร้อน
ในชีวิต ก็จะพากันไปบนบานศาลกล่าวขอให้นางไม้ช่วยเหลือ โดยมีข้อแม้ว่าจะต้อง
แก้บนด้วยการให้เข้าพิธีแต่งงานกับนางไม้ หลังจากได้สิ่งที่ต้องการตามที่ขอไว้แล้ว
หากเป็นผู้หญิงก็จะต้องแต่งกายเป็นชายเข้าพิธีแต่งงานเช่นกันอีกทั้งยังมีความเชื่อ
อีกอย่างที่คนในหมู่บ้านนี้นิยม คือ การฝากตัวเป็นบุตรหลานของนางไม้ เพื่อให้ชีวิต
แคล้วคลาดปลอดภัย นางไม้คุ้มครองดูแลนั่นเอง นอกจากนี้หากลูกหลานผู้ชายคนใด
ในครอบครัวที่ได้ทำพิธีฝากตัว มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ หรือช่วงอายุครบกำหนด
บวช ก่อนบวชชายผู้นั้นจะต้องทำพิธีแต่งงานกับนางไม้เสียก่อนแล้วจึงจะสามารถ
บวชหรือเข้าพิธีแต่งงานกับหญิงอื่นได้ตามปกติ
สำหรับการจัดพิธีการนั้นจะปฏิบัติเช่นเดียวกับการแต่งงานทั่วไป คือ มีขันหมาก
เงิน ทอง และเครื่องบูชาอย่าง หัวหมู สุรา เป็ด ไก่ และผลไม้ พิธีแต่งงานสามารถ
ทำได้เฉพาะวันอังคารและวันเสาร์เท่านั้น เจ้าบ่าวต้องแต่งกายเรียบร้อยสวยงามและ
เหน็บกริชติดตัวไปด้วย พร้อมทั้งมีการจัดขบวนขันหมากกันแบบครึกครื้น โดยมีเจ้า
พิธีเป็นผู้ทำให้
ประเพณีลอยแพสะเดาะเคราะห์ ๑๐๓
ประวัติความเป็นมา
ประเพณีลอยแพสะเดาะเคราะห์ เป็นพิธีกรรมความเชื่อของชาวตำบลตะเครียะ
อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา โดยมีความเชื่อว่า พระแม่คงคาเทพีแห่งน้ำ สามารถช่วยเหลือ
ให้พ้นทุกข์จากโรคภัย และความพิบัติต่างๆ เป็นการส่งเคราะห์ร้าย หรือรักษาอาการเจ็บไข้
ได้ป่วย จากตำนานเล่าต่อกันมาว่าเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้พระคุณ คือเทพเจ้า
แห่งปฐพีและเทพเจ้าแห่งวารี ซึ่งพวกเราได้อยู่อาศัยทำมาหากิน ทั้งบนดินและในน้ำ
ซึ่งบางคนเรียกว่า “ส่งเภา” หรือ “ส่งแพ”เป็นการส่งโรคร้ายไข้เจ็บเหล่านั้นให้พ้นไปจาก
หมู่บ้าน และยังเป็นการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด้วยการส่งเสบียงอาหารให้ จะได้คุ้มครอง ดูแล
ชาวบ้านพ้นจากอันตราย ประกอบกับวิถีชีวิตของชาวตำบลตะเครียะ มีความเกี่ยวข้อง
ผูกพันกับสายน้ำในคำคลองตะเครียะและทะสาบสงขลาเป็นอย่างมาก เช่น ในสมัยโบราณ
นั้น จะนำน้ำจากในทะเลสาบ ลำคลองตะเครียะ หรือสระน้ำของวัดมาใช้ในการอุปโภค
บริโภค นอกจากนั้น การประกอบอาชีพทำนา การประมงเป็นอาชีพหลัก ก็ยังต้องใช้น้ำใน
ทะเลสาบ ในลำคลองเป็นหลัก
การดำรงชีวิตในสมัยก่อนนั้น มีการทำลายทรัพยากรแหล่งน้ำ เช่น การทิ้งสิ่งปฏิกูล
ขยะลงในทะสาบ และลำคลอง จากการกระทำดังกล่าว จึงได้มีแนวคิดที่จะทดแทนคุณ และ
ขอขมาแม่น้ำลำคลอง และทะเลสาบ โดยจัดให้มีพิธีลอยแพสะเดาะเคราะห์ขึ้นมาก โดยทำ
กันในช่วงวันว่างจากการทำนา ซึ่งตรงกับวันที่ ๑ มกราคม ของทุกปี โดยจัดกันที่วัดวารี
ปาโมกข์ หรือวัดปากบางตะเครียะ ติดต่อกันมาจนเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุ
คน
๑๐๔
การจัดประเพณีลอยแพสะเดาะเคราะห์นั้น ไม่มีใครสามารถระบุได้ว่าเกิดขึ้นเมื่อใด
แต่พอประมาณจากคำบอกเล่าของผู้ที่มีส่วนร่วมในกิจกรรม ประมาณ ๑๐๐ กว่าปีแล้ว ซึ่งใน
ยุคแรกนั้นกระทำโดยต่างคนต่างทำคล้ายๆ กับการลอยกระทง ต่อมามีการรวมตัวกันทำเป็น
แพ แล้วทุกคนก็นำสิ่งของมาใส่ในแพรวมกันแล้วทำพิธีลอยแพ ส่วนในการทำแพในปัจจุบัน
มีการทำแพจากวัสดุต่างๆ ประดับตกแต่งให้มีความสวยงามมากขึ้น
“เมื่อคนเรามีความเชื่ออย่างหนึ่ง ย่อมเป็นเหตุจูงใจให้เกิดการกระทำที่ตอบสนองความ
เชื่อนั้น คติความเชื่อของคนในสังคมจึงมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคนในสังคมนั้นด้วย เช่น
เดียวกับชาวตะเครียะที่จัดพิธีลอยแพสะเดาะเคราะห์ เพื่อตอบแทนบุญคุณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่ชาวตะเครียะใช้เป็นที่พึ่งทางใจ และเสริมสร้างกำลังใจให้มุมานะในการฟันฝ่าอุปสรรคต่อ
ไป”
(วารสารวิทยบริการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ของ จุรีรัตน์ บัวแก้ว)
ความมุ่งหมายของประเพณี
๑. เพื่อนำทุกข์โศกโรคภัยในช่วงปีเก่าลอยไปกับแพ และรับแต่สิ่งที่ดีๆในปีใหม่ทุกปี
๒. เพื่ออนุรักษ์ และการสืบสานประเพณีอันเก่าแก่ที่จัดสืบทอดต่อเนื่องกันมาช้านาน
๓. เพื่อความรัก ความสามัคคี ช่วยเหลือซึ่งกันและกันภายในชุมชน
๔. ส่งเสริมกระตุ้นให้ประชาชน เยาวชนให้มีความสนใจและช่วยกันอนุรักษ์เผยแพร่
ประเพณีให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
๑๐๕
ประเพณีรับเทียมดา
ประเพณีรับเทวดาหรือรับเทียมตา เป็นประเพณีท้องถิ่นของชาวไทยพุทธในเขตชนบท
ภาคใต้ ซึ่งสัมพันธ์กับความเชื่อเรื่องเทวดาที่เสด็จลงมาคุ้มครองโลกและบันดาลให้เกิด
ความอุดมสมบูรณ์ในแต่ละ รอบปี พิธีนี้มักจะทำกันในเดือนหกหลังวันสงกรานต์ ถ้าเป็น
ข้างขึ้นจะต้องเป็นวันคี่ เช่น ขึ้น ๕ ค่ำ ขึ้น ๙ ค่ำและถ้าเป็นข้างแรมจะต้องเป็นวันคู่ เช่น
แรม 6 ค่ำ แรม 12 ค่ำ เป็นต้น เนื่องจากชาวบ้านเชื่อว่าในวันแรมคู่หรือขึ้นคี่จะมีแต่เทวดา
เท่านั้นที่มารับของบวงสรวง ส่วนผีขั้นต่ำอื่น ๆ จะไม่สามารถรับของบวงสรวงได้ นอกจากนี้
ชาวบ้านบางท้องที่ยังเชื่อว่า หากครอบครัวใดไม่มาร่วมในพิธีรับเทวดาจะไม่ประสบผล
สำเร็จในการทำสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำนาหรือทำสวนพืชผลจะไม่อุดมสมบูรณ์
ประเพณีรับเทวดาในภาคใต้พบในหลายจังหวัด เช่น ปัตตานี สงขลา นครศรีธรรมราช
พัทลุง เป็นต้นอย่างไรก็ดีในหลายพื้นที่ของภาคใต้ เช่น จังหวัดสงขลา พิธีนี้ได้เลือนหายไป
เป็นระยะเวลาราว ๓๐ ปีเนื่องจากขาดผู้นำในการประกอบพิธี แต่ต่อมาทางสำนักวัฒนธรรม
จังหวัดสงขลาได้มีนโยบายสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการรื้อฟื้ นประเพณีนี้ขึ้นมาใหม่ตั้งแต่
ปี ๒๕๔๕ ทำให้หลายพื้นที่ในจังหวัดสงขลาเริ่มจัดประเพณีรับเทวดาหรือรับเทียมดาขึ้นอีก
ครั้ง โดยเฉพาะอำเภอสทิงพระ
การทำพิธีตั้งร้านรับเทวดามักจะทำในตอนเย็น โดยชาวบ้านนำเครื่องบูชามาวางบน
ร้าน เสร็จแล้ว ผู้ประกอบพิธีจะเริ่มสวดชุมนุมเทวดา เพื่อเชิญเทวดามารับเครื่องบูชาและ
กล่าวขอพรเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาคุ้มครองคนในหมู่บ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข ผู้ประกอบ
พิธีแต่ละหมู่บ้านอาจจะแตกต่างกันไป บางหมู่บ้านเป็นหมอ (คือ ผู้มีความรู้ในการทำพิธี
พื้นบ้าน) บางแห่งก็เป็นพระสงฆ์หรือเป็นมโนห์รา
๑๐๖
“เมื่อเปรียบเทียบประเพณีรับเทวดาของชาวสยามที่ปลายระไมกับพิธีรับเทวดาหรือ
รับเทียมดาของ ชาวใต้โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา พบว่า พิธีรับเทวดาของชาวสยามมี
การปฏิบัติมาสืบเนื่องยาวนานไม่ขาดตอนรวมทั้งมีพิธีอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น การทำ
บังสุกุลเขื่อนในเปรว ซึ่งหลายพื้นที่ในภาคใต้ก็มีการทำพิธีบังสุกุลบัวหรือเจดีย์บรรจุอัฐิของ
บรรพบุรุษในวันสงกรานต์ ส่วนการทำพิธีลอยแพเพื่อลอยเคราะห์นั้นพบว่ามีการบันทึกไว้ใน
สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคใต้ แต่ที่สงขลาไม่มีพิธีนี้แล้วคงเหลือ แต่พิธีตั้งโรงรับเทวดา
เท่านั้น จึงอาจทำให้สันนิษฐานได้ว่าประเพณีรับเทวดาของชาวสยามได้แสดงร่องรอยของ
ประเพณีปีใหม่ของชาวใต้ก่อนที่รับประเพณีสงกรานต์มาจากส่วนกลาง และทางภาคใต้
น่าจะเคยมีพิธีต่าง ๆ เช่นเดียวกับที่ปรากฏอยู่ที่บ้านปลายระไม แต่เมื่อเวลาผ่านไปบางพิธี
ก็ปรับเปลี่ยนไปเลือนหายไปตามกาลเวลา”
(วารสารปาริชาต มหาวิทยาลัยทักษิณ ของปรียารัตน์ เชาวลิตประพันธ์)
๑๐๗
ประเพณีตายายย่าน
ของอำเภอสทิงพระ
ประเพณีตายายย่าน หรือที่ชาวบ้านเรียกกันโดยทั่วไปว่า ประเพณีทำบุญเดือนหก หรือ
ประเพณีสมโภชเจ้าแม่อยู่หัววัดท่าคุระ เป็นประเพณีส่วนชุมชนที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปี
สถานที่จัดประเพณีตายายย่านจัดขึ้น ณ วัดท่าคุระ หมู่ที่ ๙ บ้านท่าคุระ ตำบลคลองรี อำเภอ
สทิงพระ จังหวัดสงขลา ในวันพุธ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ (วันแรม ๑ ค่ำ ตรงกับวันพุธ หากปีใด
วันแรม ๑ ค่ำ ไม่ตรงกับวันพุธให้เลื่อนออกไป เป็นวันพุธแรกที่เป็นข้างแรมของเดือน ๖)
ลูกหลานของชาวบ้านท่าคุระที่อาศัยอยู่ในบ้านท่าคุระ ตลอดจนผู้ที่ไปอาศัยอยู่ที่อื่น
จะกลับมาร่วมประเพณีตายายย่านกันอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งมีจำนวนผู้มาร่วมพิธีเพิ่มขึ้น
ทุกปี เพื่อมาร่วมพิธีสรงน้ำเจ้าแม่ อยู่หัว แสดงความเคารพนบนอบ หรือการแสดง
ความกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธรูปเจ้าแม่อยู่หัว ที่ประดิษฐานอยู่ ณ วัดท่าคุระ อำเภอ
สทิงพระ จังหวัดสงขลา
ประเพณีตายายย่าน เกิดจากความศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่อยู่หัว ซึ่งเป็น
พระพุทธรูปทองคำปางมารวิชัยสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นสมัยกรุงสุโขทัยตอนปลายหรืออยุธยา
ตอนต้น ประมาณ พ.ศ. ๑๙๐๐ โดยสร้างขึ้นจากความเคารพศรัทธาในตัวบุคคล จึงสร้าง
พระพุทธรูปขึ้นแทนผู้ที่เคารพศรัทธาซึ่งมีความสอดคล้องกับประวัติของเจ้าแม่อยู่หัว
ประเพณีตายายย่าน จัดขึ้นตรงกับวันทำพิธีสมโภชตามประเพณีที่ปฏิบัติต่อเจ้าฟ้าเจ้า
แผ่นดินในอดีตประชาชนในพื้นที่ที่มีพิธีกรรมนั้นก็ได้ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาจะเห็นได้จาก
ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติเจ้าแม่อยู่หัวตามตำนาน
๑๐๘
อ่านเสริมเพิ่มความรู้
การพูดรายงาน ๑๐๙
การศึกษาค้นคว้า
ความหมายการพูดรายงานการศึกษาค้นคว้า
หมายถึง การบอกเล่า ชี้แจง ด้วยคำพูดเพื่ออธิบาย
เรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างละเอียดเพื่อเสนอผลของการศึกษา
ค้นคว้า จากการศึกษาเอกสาร การสำรวจ การทดลอง
การลงมือปฏิบัติ หรือการสัมภาษณ์ เพื่อให้ผู้ฟังเกิด
ความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ อย่างถูกต้องชัดเจน
หลักการพูดรายงานการศึกษาค้นคว้า
๑. เริ่มพูดรายงานด้วยการกล่าวนำ เช่น ทักทายผู้ร่วมงาน บอกจุดประสงค์ของ
การพูดรายงาน บอกแหล่งข้อมูลที่จะมานำเสนอ แนะนำชื่อ นามสกุล ของผู้นำ
เสนอรายงานการศึกษาค้นคว้า บอกชื่อสมาชิกในกลุ่ม เป็นต้น
๒. รายงานเรื่องตามลำดับเนื้อหา ลำดับขั้นตอน หรือลำดับเหตุการณ์ให้ถูกต้อง
และต่อเนื่องสัมพันธ์กันควรมีแหล่งอ้างอิงเพื่อความน่าเชื่อถือและควรทำความ
เข้าใจเนื้อหาให้ถ่องแท้ เพื่อประโยชน์ในการอธิบายและตอบข้อซักถาม
๓. ผู้พูดใช้น้ำเสียงในการนำเสนอด้วยเสียงที่ดัง ฟังชัด ควรมีการเน้นเสียงใน
จังหวะที่เหมาะสม เพื่อให้การพูดนำเสนอมีความน่าสนใจ
๔. ผู้พูดควรใช้ภาษาที่ถูกต้อง ชัดเจน มีการใช้สีหน้าท่าทางประกอบการพูด
อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับเรื่องที่จะพูด
๕. ผู้พูดควรกวาดสายตามองผู้ฟังอย่างทั่วถึงเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ฟัง
๖. ผู้พูดอาจเตรียมสื่อประกอบการพูดนำเสนอ เช่น รูปภาพ แผนภูมิ สื่อ
จำลอง ตารางแสดงสถิติ เพื่อช่วยอธิบายให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจในเรื่องที่นำเสนอ
ได้อย่างถูกต้อง ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
๗. ผู้พูดควรรักษาเวลาในการพูด ไม่ควรพูดเกินเวลาหรือออกนอกประเด็น
๘. กล่าวขอบคุณผู้ฟัง และผู้มีส่วนช่วยเหลือในการทำรายงานการศึกษา
ค้นคว้าจนประสบความสำเร็จ
๙. ผู้พูดเปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ซักถามในประเด็นที่สงสัยและควรตอบทุก
คำถามอย่างสุภาพ และสร้างสรรค์หลังจบการพูดนำเสนองาน การสำรวจ
การทดลอง การลงมือปฏิบัติ หรือการสัมภาษณ์ เพื่อให้ผู้ฟังเกิด
ความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ อย่างถูกต้องชัดเจน
๑๑๐
ข้อควรปฏิบัติในการพูดรายงาน
๑. พูดเสนอเนื้อหาสาระทีเป็นประโยชน์ โดยการกล่าวเป็น
ข้อ ๆ อย่างชัดเจนและตรงประเด็น
๒. อาจมีอุปกรณ์ในการประกอบการพูดรายงาน
เช่น เอกสาร รูปภาพ แผนผัง แผนภูมิ เป็นต้น
๓. ผู้พูดควรมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องทั้งหมดที่จะพูดเป็น
อย่างดี
๔. มีท่าทางประกอบการพูดที่เป็นธรรมชาติ เพื่อให้ผู้ฟัง
รู้สึกผ่อนคลาย
๕. ใช้เวลาให้พอเหมาะ ถ้าหากมีการกำหนดเวลา
ผู้พูดจะต้องรู้จักรักษาเวลาให้อยู่ภายในเวลาที่กำหนด
๖. ควรหลีกเลี่ยงการใช้ภาษาที่ไม่สุภาพหรือคำหยาบคาย
เพื่อให้เกียรติผู้ฟัง
๑๑๑
การพูดแสดงความคิดเห็น
ความหมายของการพูดแสดงความคิดเห็น
การพูดแสดงความคิดเห็น คือการพูดในเชิงอธิบายเหตุผล
ข้อเท็จจริงหลักการหรือแนวความคิดเห็นของผู้พูด เพื่อให้ผู้ฟัง
คล้อยตามเชื่อถือ ยอมรับหรือเห็นด้วยกับผู้พูดและสามารถแนวคิด
เหล่านั้นไปวิเคราะห์เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไปได้
การพูดแสดงความคิดเห็นอาจเป็นการพูดระหว่างบุคคลหรือ
ต่อบุคคลหรือต่อที่ประชุมก็ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับโอกาสในการพูด เช่น
การให้สัมภาษณ์ การประชุม การสัมมนา การอภิปราย การบรรยาย
ความสำคัญของการพูดแสดงความคิดเห็น
๑. ในปัจจุบันเราจะเห็นว่าหลายๆหน่วยงานมีการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วน
ได้เข้ามาร่วมกันแสดงความคิดเห็นเพื่อหาทางออกให้กับปัญหาที่เกิดขึ้นใน
สังคม ฉะนั้นการพูดแสดงความคิดเห็นจึงถือเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยหาทางออก
ให้กับปัญหาได้
๒. การพูดแสดงความคิดเห็นเป็นการเปิดโอกาสหรือเปิดพื้นที่ทางความคิด
ของบุคคลที่มีแนวคิดหลากหลายได้มาพบปะพูดคุยกัน เพื่อทำความเข้าใจซึ่ง
กันและกัน
๓. การพูดแสดงความคิดเห็นทำให้สังคมได้รับรู้ร่วมกันว่าในขณะนี้ได้เกิด
อะไรขึ้นและจะต้องปรับตัวเพื่อรับสถานการณ์นั้นๆ กันอย่างไร เช่น เมื่อเกิด
เหตุการณ์น้ำท่วมแผ่นดินไหวหรือภัยพิบัติในด้านอื่นๆ ผู้คนจะได้เตรียมความ
พร้อมรับสถานการณ์
๔. การพูดแสดงความคิดเห็นช่วยให้หาข้อยุติของเรื่องหรือกรณีต่างๆ ที่ยัง
ไม่สามารถพูดคุยตกลงกันได้ในเบื้องต้นจึงต้องนำมาหารือเพื่อให้ทุกฝ่ายได้ร่วม
กันแสดงความคิดที่มีความเป็นไปได้ที่ทุกฝ่ายจะเกิดการยอมรับ
๑๑๒
ประเภทของการพูดแสดงความคิดเห็น
ประเภทของการพูดแสดงความคิดเห็น
ประเภทของการพูดแสดงความคิดเห็น การพูดเพื่อแสดง
ความคิดเห็นอาจแบ่งได้หลายประเภทตามโอกาสที่พูด หรือตาม
ลักษณะเนื้อหาของ การแสดงความคิดเห็น แต่ในที่นี้ได้แบ่งประเภท
ของการพูดแสดงความคิดเห็นตามลักษณะเนื้อหาออกเป็น ๔
ประเภท ดังนี้
๑. การพูดแสดงความคิดเห็นในเชิงสนับสนุน การพูดแสดง
ความคิดเห็นในลักษณะดังกล่าว เป็นการพูดเพื่อสนับสนุนความคิด
เห็นของผู้อื่น ซึ่งผู้พูดอาจจะพิจารณาแล้วว่า ความคิดเห็นที่ตน
สนับสนุนมีสาระและ ประโยชน์ต่อหน่วยงานและส่วนรวม หรือถ้า
เป็นการแสดงความคิดเห็นเชิงวิชาการ จะต้องเป็นความคิดเห็นที่
เป็นองค์ความรู้สัมพันธ์กับเนื้อเรื่องที่กำลังพูดกันอยู่ ทั้งในระหว่าง
บุคคลหรือในที่ประชุม เช่น การพูดในที่ ประชุม การอภิปราย
การแสดงปาฐกถา เป็นต้น
๒. การพูดแสดงความคิดเห็นในเชิงขัดแย้ง การพูดลักษณะดัง
กล่าวเป็นการพูดแสดงความคิดเห็นใน กรณีที่มีความคิดไม่ตรงกัน
และเสนอความคิดอื่นๆ ที่ไม่ตรงกับผู้อื่น การพูดแสดงความคิดเห็น
ในเชิงขัดแย้ง ดังกล่าว ผู้พูดควรระมัดระวังเรื่องการใช้ภาษาและ
การนำเสนอ ความขัดแย้งควรเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ อันจะก่อ
ประโยชน์ต่อหน่วยงานหรือสาธารณชน เช่น การสัมมนาเชิงวิชาการ
การอภิปราย การประชุม เป็นต้น
๑๑๓
ประเภทของการพูดแสดงความคิดเห็น
๓. การพูดแสดงความคิดเห็นในเชิงวิจารณ์ เป็นการพูดเพื่อวิจารณ์
เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งผู้วิจารณ์อาจจะแสดงความคิดเห็นด้วยหรือ
ไม่เห็นด้วย และวิจารณ์ในเชิงสร้างสรรค์ ผู้วิจารณ์จะต้องวางตัวเป็น กลาง
ไม่อคติต่อผู้พูดหรือสิ่งที่เห็น เช่น การแสดงความคิดเห็นต่อหนังสือ ละคร
รายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เป็นต้น
๔. การพูดแสดงความคิดเห็นเพื่อนำเสนอความคิดใหม่ เป็นการพูด
ในกรณีที่ไม่เห็นด้วยกับการแสดง ความคิดเห็นของผู้อื่น และนำเสนอ
ความคิดเห็นใหม่ของตนที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เช่น
การแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม เป็นต้น
๑๑๔
หลักการพูดแสดงความคิดเห็น
หลักการพูดแสดงความคิดเห็น ควรปฏิบัติดังนี้
๑. เลือกใช้ถ้อยคำให้เหมาะสมแก่กาลเทศะ
๒. มีข้อมูลหลักฐานประกอบที่สมเหตุสมผล
๓. ใช้คำสรรพนามแทนตัวให้เหมาะสมกับโอกาส
๔. พูดด้วยถ้อยคำที่สุภาพและมีมารยาทในการพูด
๕. แสดงความคิดเห็นโดยยึดหลักประโยชน์ส่วนรวม
๖. พูดโดยปราศจากอคติหรือความลำเอียง
โอกาสที่มีการพูดแสดงความคิดเห็น
การแสดงความคิดเห็นสามารถเกิดขึ้นได้ในโอกาส
ต่าง ๆ ทั้งในสถานที่ที่เป็นที่ประชุมหรือในหน่วยงาน
หรือองค์กรต่าง ๆ ดังโอกาสต่อไปนี้
๑. โอกาสที่มีการเสนอแนวคิดในการประชุม
๒. โอกาสที่มีการสัมภาษณ์บุคคล
๓. โอกาสที่มีการสัมภาษณ์งาน
๔. โอกาสที่มีการเสวนาต่อที่ประชุมชน
๕. โอกาสที่มีการอภิปรายแสดงความคิดเห็น
๑๑๕
ลักษณะของผู้พูดแสดงความคิดเห็นที่ดี
๑. ผู้พูดจะต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะแสดงความคิดเห็น
เป็นอย่างดี
๒. การแสดงความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ควรมีหลัก
การแสดงความคิดเห็นในเชิงขัดแย้งและเชิง วิจารณ์
๓. ใช้ภาษาสุภาพเหมาะสมกับโอกาส โดยเฉพาะการ
แสดงความคิดเห็นในเชิงขัดแย้งและเชิงวิจารณ์
เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้พูดและผู้ฟัง
๔. การแสดงความคิดเห็นใด ๆ ก็ตาม ควรแสดงความคิด
เห็นในเชิงสร้างสรรค์ และเป็นประโยชน์ต่อ ส่วนรวมเป็น
สำคัญ
๑๑๖
กิจกรรม “ชวนคิด ลองทำดู”
ตอนที่ ๑ แลกเปลี่ยนประเพณี วิถีชุมชน
คำชี้แจง : นักเรียนค้นคว้าหรือสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับประเพณี
ในชุมชน หรือหมู่บ้านของตนเองที่น่าสนใจ แล้วเขียนโครงเรื่อง
จากนั้นออกมาพูดหน้าชั้นเรียน
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
.
ตัวอย่างการพูดรายงานการศึกษาค้นคว้า
๑๑๗
ตอนที่ ๒ แสดงความคิดเห็น ฝึกเป็นนักพูด
คำชี้แจง : นักเรียนเขียนโครงเรื่องสำหรับการพูดแสดงความคิดเห็น
.............................................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
ตัวอย่างการพูดแสดงความคิดเห็น
๑๑๘
เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน
ครูผู้สอนสามารถแสกน QR CODE เพื่อใช้เกณฑ์การประเมินผลงาน
นักเรียนได้ดังต่อไปนี้
เรื่อง ตัวชี้วัด QR CODE
บทที่ ๑ เรียงร้อย ท ๒.๑ ม.๒/๗ เขียนจดหมาย
ตัวอักษร สัญจรผ่าน ส่วนตัวและจดหมายกิจธุระ
จดหมาย กิจกรรม "เรียนรู้ สู่ลงมือทำ"
กิจกรรม "เรียงร้อยสาร
สู่มิตร สำราญใจ"
บทที่ ๒ พินิจความ ท ๑.๑ ม.๑/๓ ระบุเหตุและผล
ตามถิ่นเมืองเกาะยอ และข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็น
จากเรื่องที่อ่าน
ท ๓.๑ ม.๑/๓ พูดแสดง
ความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์
บทที่ ๓ เปิดประตู เกี่ ยวกับเรื่ องที่ ฟังและดู
สู่โลกประเพณี ท ๓.๑ ม.๑/๕ พูดรายงาน
เรื่ องหรือประเด็นที่ ศึกษา
ค้นคว้าจากการฟัง การดู
และการสนทนา
๑๑๙
บรรณานุกรม
ขนมการอจี้. (๒๕๖๓). สืบค้นเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๕ จาก,
https://today.line.me/th/v2/article/VxZ3E61
จุรีรัตน์ บัวแก้ว. (๒๕๖๑). “ความเชื่อในประเพณีส่งเภา ตำบลตะเครียะ อำเภอ
ระโนด จังหวัดสงขลา”. วารสารวิทยบริการ มหาวิทยาลัยสงขลา
นครินทร์. ปีที่ ๒๙ ฉบับที่ ๑, ๑๑๕. สืบค้นจาก
https://journal.oas.psu.ac.th/index.php/asj/article/download
ตลาดสินค้าพื้นเมือง.(๒๕๖๑). สืบค้นเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๕ จาก,
http://www.kohyor.go.th/otop/detail/1160/data.
เตชธร ตันรัตนพงศ์. (๒๕๖๓). คติความเชื่อที่สะท้อนผ่านศาลเจ้าพ่อหลักเมือง
สงขลา. ปริญญาศิลปศาสตร์ มหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยคดีศึกษา.
สงขลา : มหาวิทยาลัยทักษิณ
เต้าคั่ว. (๒๕๖๑). สืบค้นเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๕ จาก,
https://www.mculture.go.th/songkhla/more_news.phpcid
ถนนนางงาม. (๒๕๖๒). สืบค้นเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๕ จาก,
https://www.museumthailand.com/th/museum/Ban-Na-Korn-Nai
บ้านนครใน. (๒๕๖๒). สืบค้นเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๕ จาก,
https://db.sac.or.th/museum/museum-detail/1591
บุญเลิศ จันทระ. (๒๕๔๔). การศึกษาทางมานุษยวิทยาวัฒนธรรม : กรณีศึกษา
ประเพณีการแต่งงานกับนางไม้ในเขตอำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา.
ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาพัฒนา ชนบทศึกษา. กรุงเทพ :
มหาวิทยาลัยมหิดล.
ประติมากรรมของดีเกาะยอ สวนสาธารณะเกายอ. (๒๕๖๑). สืบค้นเมื่อวันที่
๓ สิงหาคม ๒๕๖๕ จาก,
http://www.kohyor.go.th/otop/detail/1160/data
๑๒๐
ประเพณีตายายย่าน ของอำเภอสทิงพระ. (๒๕๖๑). สืบค้นเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม
๒๕๖๕ จาก,
http://province.m-culture.go.th/songkhla/new/article.
ปรียารัตน์ เชาวลิตประพันธ์. “รับเทวดา” : ประเพณีขึ้นปีใหม่ของชาวสยามใน
ประเทศมาเลเซีย. วารสารปาริชาต มหาวิยาลัยทักษิณ. ปีที่ ๒๙, ๑๔.
สืบค้นจาก
https://so05.tcithaijo.org/index.php/parichartjournal/article
ผ้าทอเกาะยอ. (๒๕๖๑). สืบค้นเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๕ จาก,
https://www.m-culture.go.th/songkhla/ewt_news.
พาฝัน นิลสวัสดิ์ ดูฮาเมลน์. (๒๕๖๓). “การพัฒนาศักยภาพมรดกทาง
ประวัติศาสตร์ของเมืองเก่าสงขลา เพื่อเพิ่มมูลค่าในรูปแบบของ
การเที่ยวเมืองเก่า”. วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง. ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๒, ๕๒.
ยำสาหร่าย. (๒๕๖๑). สืบค้นเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๕ จาก,
http://www.kohyor.go.th/otop/detail/1160/data.
โรงสีแดงหับโห้หิ้น. (๒๕๖๑). สืบค้นเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๕ จาก,
https://clib.psu.ac.th/southerninfo/contact
ศิริอร บุญโร. (๒๕๕๑). แนวทางการพัฒนาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
ในตำบลเกาะยอ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา. ปริญญาวิทยาศาสตร
มหาบัณฑิต สาขาวิชาการวางแผนและการจัดการการท่องเที่ยว
เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม. กรุงเทพ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
สืบค้นจาก http://thesis.swu.ac.th/swuthesis/Siri-on_B.pdf
สตู. (2561). สืบค้นเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๕ จาก,
https://www.mculture.go.th/songkhla/ewt_news.php
สถาบันทักษิณคดีศึกษา. (๒๕๖๑). สืบค้นเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๕ จาก,
http://www.kohyor.go.th/otop/detail/1160/data.
สะพานติณสูลานนท์. (๒๕๖๑). สืบค้นเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๕ จาก,
http://www.kohyor.go.th/otop/detail/1160/data.
ไอติมยิว. (๒๕๖๐). สืบค้นเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๕ จาก,
https://www.mu-ku-ra.com/2014/06/IceCream-eggs-songkhla.html
๑๒๑
บุคลานุกรม
ทิพวรรณ ดิลกเวช (ผู้ให้สัมภาษณ์), อรปรียา อารมณ์ไวย และ อารียามีน
สุภเพียร (ผู้สัมภาษณ์), ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา
เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๕
สมบูรณ์ พงศ์พิสิธุสันต์ (ผู้ให้สัมภาษณ์), อรปรียา อารมณ์ไวย และ อารียามีน
สุภเพียร (ผู้สัมภาษณ์), ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา
เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๕
อรชุน ลิ่มเสรีตระกูล (ผู้ให้สัมภาษณ์), อรปรียา อารมณ์ไวย และ อารียามีน
สุภเพียร (ผู้สัมภาษณ์), ตำบลเกาะยอ อำเภอเกาะยอ จังหวัดสงขลา
เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๕
๑๒๑
ภาคผนวก
ภาพบรรยากาศการลงพื้นที่
“นกน้ำเพลินตา สมิหลาเพลินใจ
เมืองใหญ่สองทะเล เสน่ ห์สะพานป๋า
ศูนย์การค้าแดนใต้”
คำขวัญจังหวัดสงขลา
ราคา ๑๘๙ บาท