แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่3 นาฏศิลป์ รหัสวิชา ศ22101 หน่วยการจัดการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์ เวลา 10 ชั่วโมง เรื่อง รำคู่ การแสดงพระลอตามไก่ เวลา 1 ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครูผู้สอน นายภาคิณ ภูดิน 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจและแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า นาฏศิลป์ ถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 2. ตัวชี้วัดชั้นปี อธิบายการบูรณาการศิลปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง (ศ 3.1 ม. 2/1) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายความรู้เกี่ยวกับการรำคู่ได้ (K) 2. อธิบายความประวัติความเป็นมาของการแสดงพอสังเขปได้ (K) 3. วิเคราะห์และสรุปความรู้เกี่ยวกับการรำคู่ได้ (P) 4. ปฏิบัติกิจกรรมด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน (A) 4. สาระสำคัญ นาฏศิลป์เป็นวิชาว่าด้วยการฟ้อนรำและการละครมีจุดประสงค์ตรงที่เน้นการเคลื่อนไหวของร่างกาย การ ใช้ภาษาท่ารำ การตีบท โดยใช้สรีระต่างๆ ของร่างกายเคลื่อนไหวเพื่อสื่อความหมายแทนคำพูดในรูปแบบของการ แสดงเป็นชุดระบำ รำ ฟ้อน หรือการแสดงโขน ละคร ซึ่งการแสดงนาฏศิลป์ในรูปแบบต่างๆนั้น มีหลักหลักวิชา นากศิลป์ที่ปรมาจารย์ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนโดยเน้นความเป็นเอกภาพในลีลาท่ารำ การแต่งกายลักษณะรูปแบบ การแสดง แม้แต่การบรรจุเพลงที่ได้คัดสรรด้วยด้วยความประณีต ซึ่งการแสดงระบำ รำ ฟ้อน ก็จะมีลักษณะเฉพาะ อย่างที่แตกต่างกันออกไป 5. สาระการเรียนรู้ ศิลปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง แสง สี เสียง ฉาก เครื่องแต่งกาย และ อุปกรณ์
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน 3. รักความเป็นไทย 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. วาดรูปการแสดงพระลอตามไก่ พร้อมอธิบายประวัติโดยย่อลงในกรดาษที่ครูแจกให้ 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทบทวนเนื้อหาเกี่ยวกับการรำคู่ 2. ครูทบทวนเนื้อหาของการแสดง เมขลา-รามสูร ขั้นที่ 2 ขั้นสอน 1. ครูเข้าสู่บทเรียนเรื่อง การแสดงพระลอตามไก่ พระลอตามไก่เป็นการแสดงตอนหนึ่งในเรื่องพระลอบท พระนิพนธ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ พระองค์ได้ทรงพระนิพนธ์ขึ้นจากกลอนลิลิตของ เก่าที่นักปราชญ์ได้แต่งขึ้นไว้ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เดิมเป็นนิทานพื้นบ้านทางภาคพายัพเขต ลานนาไทย ใช้ แสดงแบบละครพันทางซึ่งเป็นละครรำแบบผสม ปรับปรุงขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลักษณะการแสดงคล้ายละครพูด มีบทเจรจา ดำเนินเรื่องด้วยบทร้อง ลีลาท่ารำมีทั้งท่ารำของชาติต่าง ๆ ผสมกับ ท่ารำของไทย เพลงร้องและเพลงบรรเลงเป็นภาษาไทยและเป็นเพลงที่มีสำเนียงภาษาของชาติ นั้น ๆ การแต่งกาย จะแต่งกายตามเชื้อชาติของตัวละคร เนื้อเรื่องที่กล่าวถึงพระลอกษัตริย์ผู้ครองนครแมนสรวง มีพระมารดาชื่อ พระ นางบุญเหลือ ครั้งหนึ่งได้สดับขับซอยอโฉม พระเพื่อน พระแพง ซึ่งเป็นธิดาของท้าวพิชัยพิษณุกรแห่งเมืองสรอง เกิดความเสน่หาในความงามของพระธิดาทั้งสอง ส่วนพระเพื่อน พระแพง เมื่อได้สดับยอโฉมพระลอก็เกิดความรัก ลุ่มหลงเช่นกัน จึงใช้ให้นางโรยกับนางรื่นสองพระพี่เลี้ยง ไปหาปู่เจ้าสมิงพรายให้ช่วยทำเวทมนต์บังคับให้พระลอ
มาหาพวกตน ปู่เจ้าสมิงพรายได้ใช้ผีลงสิงไก่แก้วเพื่อให้ไปล่อพระลอให้เดินทางไปพบพระเพื่อน พระแพง พระธิดา ผู้เลอโฉมดังปรารถนา ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง รำคู่การแสดงพระลอตามไก่ ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ 1. นักเรียนนำความรู้เรื่อง รำคู่การแสดงพระลอตามไก่ ไปประยุกต์ในการเรียนนาฏศิลป์ในระดับสูงต่อไป 2. ครูมอบหมายงานให้นักเรียน วาดรูปการแสดงพระลอตามไก่ พร้อมอธิบายประวัติโดยย่อลงในกรดาษที่ ครูแจกให้พร้อมกับระบายสีให้สวยงาม 10. สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ม.2 บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด 2. รูปภาพการแสดงพระลอตามไก่ 3. www.youtube.com 11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และ ค่านิยม (A) 1. อธิบายความรู้เกี่ยวกับการ รำคู่ได้ (K) 2. อธิบายความประวัติความ เป็นมาของการแสดงพอ สังเขปได้ (K) 1. วิเคราะห์และสรุปความรู้ เกี่ยวกับการรำคู่ได้ (P) 1. ปฏิบัติกิจกรรมด้วยความ สนุกสนานเพลิดเพลิน (A)
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่3 นาฏศิลป์ รหัสวิชา ศ22101 หน่วยการจัดการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์ เวลา 10 ชั่วโมง เรื่อง รำคู่ การแสดงพระรามตามกวาง เวลา 1 ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครูผู้สอน นายภาคิณ ภูดิน 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจและแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า นาฏศิลป์ ถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 2. ตัวชี้วัดชั้นปี อธิบายการบูรณาการศิลปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง (ศ 3.1 ม. 2/1) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายความรู้เกี่ยวกับการรำคู่ได้ (K) 2. อธิบายความประวัติความเป็นมาของการแสดงพอสังเขปได้ (K) 3. วิเคราะห์และสรุปความรู้เกี่ยวกับการรำคู่ได้ (P) 4. ปฏิบัติกิจกรรมด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน (A) 4. สาระสำคัญ นาฏศิลป์เป็นวิชาว่าด้วยการฟ้อนรำและการละครมีจุดประสงค์ตรงที่เน้นการเคลื่อนไหวของร่างกาย การ ใช้ภาษาท่ารำ การตีบท โดยใช้สรีระต่างๆ ของร่างกายเคลื่อนไหวเพื่อสื่อความหมายแทนคำพูดในรูปแบบของการ แสดงเป็นชุดระบำ รำ ฟ้อน หรือการแสดงโขน ละคร ซึ่งการแสดงนาฏศิลป์ในรูปแบบต่างๆนั้น มีหลักหลักวิชา นากศิลป์ที่ปรมาจารย์ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนโดยเน้นความเป็นเอกภาพในลีลาท่ารำ การแต่งกายลักษณะรูปแบบ การแสดง แม้แต่การบรรจุเพลงที่ได้คัดสรรด้วยด้วยความประณีต ซึ่งการแสดงระบำ รำ ฟ้อน ก็จะมีลักษณะเฉพาะ อย่างที่แตกต่างกันออกไป 5. สาระการเรียนรู้ ศิลปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง แสง สี เสียง ฉาก เครื่องแต่งกาย และ อุปกรณ์
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน 3. รักความเป็นไทย 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. วาดรูปการแสดงพระรามตามกวาง พร้อมอธิบายประวัติการแสดงโดยย่อ ลงในกรดาษที่ครูแจกให้ 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทบทวนเนื้อหาของการแสดงรำคู่ 2. ครูทบทวนการแสดง พระลอตามไก่ ขั้นที่ 2 ขั้นสอน 1. ครูเข้าสู่บทเรียนเรื่อง การแสดงพระรามตามกวาง โดยเล่าถึงประวัติความเป็นมาดังนี้ พระรามตาม กวาง เป็นการแสดงประเภทรำคู่ที่เป็นชุดเป็นตอน ซึ่งอยู่ในเรื่องรามเกียรติ์ตอน ลักสีดา ทศกัณฐ์สั่งให้ม้ารีศแปลง เป็นกวางทองไปล่อลวงนางสีดา ม้ารีศทำตามบัญชาของทศกัณฐ์โดยแลงกายเป็นกวางทองไปยังบรรณศาลา ต่อมา ทศกัณฐ์แอบดูอยู่จึงแปลงกายเป็นฤาษีเข้าไปหานางสีดา พูดจา หว่านล้อม นางสีดากริ้วจึงตรัสบริภาษจนทศกัณฐ์ โกรธกลายร่างเป็นยักษ์ แล้วตรงเข้าฉุดนางสีดาไปกรุงลงกา 1.1 ท่าทางที่ใช้ในการประดิษฐ์ท่ารำ ลักษณะท่ารำในชุดพระรามตามกวาง ประกอบด้วยการรำ 2 ลักษณะ คือ การรำบท หมายถึงการใช้ท่ารำที่ตีความหมายตามบทร้อง และการรำหน้าพาทย์ หมายถึงการำให้เข้า กับจังหวะเพลงทำให้การแสดงมีลีลาท่ารำให้ความรู้สึกเกี่ยวกับอารมณ์ต่างๆ 1.2 เพลงที่ใช้ประกอบการแสดง เพลงที่ใช้ประกอบการแสดงรำพระรามตามกวาง ได้แก่ ดนตรีและเพลง ร้อง ดนตรีใช้วงปี่พาทย์เพลงที่ใช้ประกอบการแสดงได้แก่ เพลงหน้าพาทย์ รัว เป็นต้า เพลงที่ขับร้องตามบทร้อง ได้แก่ เพลงแขกไทร และเพลงทะเลบ้า
1.3 ความงามและคุณค่าการแสดงชุดพระรามตามกวางมีคุณค่าเเละความงามได้แก่ - ความงามและคุณค่าที่มีความสมบูรณ์ของกระบวนท่ารำ - ความงามในความต่อเนื่งของกระบวนท่ารำ คือ การทำท่ารำท่าหนึ่งแล้วเปลี่ยนไปอีกท่าหนึ่งด้วยวิธีการ เคลื่อนไหวร่างกายของทุกส่วนอย่างกลมกลืน - ความงามในความสัมพันธ์ของนาฏศิลป์กับองค์ประกอบอื่นๆ ดังนี้ ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง รำคู่การแสดงพระรามตามกวาง ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ 1. นักเรียนนำความรู้เรื่อง รำคู่การแสดงพระรามตามกวาง ไปประยุกต์ในการเรียนนาฏศิลป์ในระดับสูง 2. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนวาดรูปการแสดง พระรามตามกวาง พร้อมอธิบายประวัติการแสดงโดยย่อ ลงในกระดาษที่ครูแจกให้พร้อมระบายสีให้สวยงาม ตามจินตนาการของนักเรียน 10. สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ม.2 บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด 2. รูปภาพการแสดงพระรามตามกวาง 3. www.youtube.com 11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และ ค่านิยม (A) 1. อธิบายความรู้เกี่ยวกับการ รำคู่ได้ (K) 2. อธิบายความประวัติความ เป็นมาของการแสดงพอ สังเขปได้ (K) 1. วิเคราะห์และสรุปความรู้ เกี่ยวกับการรำคู่ได้ (P) 1. ปฏิบัติกิจกรรมด้วยความ สนุกสนานเพลิดเพลิน (A)
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่3 นาฏศิลป์ รหัสวิชา ศ22101 หน่วยการจัดการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์ เวลา 10 ชั่วโมง เรื่อง รำหมู่ การแสดงรำสีนวล เวลา 1 ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครูผู้สอน นายภาคิณ ภูดิน 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจและแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า นาฏศิลป์ ถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 2. ตัวชี้วัดชั้นปี อธิบายการบูรณาการศิลปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง (ศ 3.1 ม. 2/1) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายความรู้เกี่ยวกับการรำหมู่ได้ (K) 2. อธิบายความประวัติความเป็นมาของการแสดงพอสังเขปได้ (K) 3. วิเคราะห์และสรุปความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาของการแสดงรำหมู่ได้ (P) 4. ปฏิบัติกิจกรรมด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน (A) 4. สาระสำคัญ นาฏศิลป์เป็นวิชาว่าด้วยการฟ้อนรำและการละครมีจุดประสงค์ตรงที่เน้นการเคลื่อนไหวของร่างกาย การ ใช้ภาษาท่ารำ การตีบท โดยใช้สรีระต่างๆ ของร่างกายเคลื่อนไหวเพื่อสื่อความหมายแทนคำพูดในรูปแบบของการ แสดงเป็นชุดระบำ รำ ฟ้อน หรือการแสดงโขน ละคร ซึ่งการแสดงนาฏศิลป์ในรูปแบบต่างๆนั้น มีหลักหลักวิชา นากศิลป์ที่ปรมาจารย์ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนโดยเน้นความเป็นเอกภาพในลีลาท่ารำ การแต่งกายลักษณะรูปแบบ การแสดง แม้แต่การบรรจุเพลงที่ได้คัดสรรด้วยด้วยความประณีต ซึ่งการแสดงระบำ รำ ฟ้อน ก็จะมีลักษณะเฉพาะ อย่างที่แตกต่างกันออกไป 5. สาระการเรียนรู้ ศิลปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง แสง สี เสียง ฉาก เครื่องแต่งกาย และ อุปกรณ์
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน 3. รักความเป็นไทย 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. วาดรูปการแสดง รำสีนวล พร้อมอธิบายประวัติการแสดงโดยย่อ ลงในการดาษที่ครูแจกให้พร้อม ระบายสีให้สวยงาม 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทบทวนเนื้อหาของการแสดงรำคู่และสุ่มถามนักเรียนเกี่ยวกับการแสดงรำคู่ เพื่อทบทวนความรู้ 2. ครูอธิบายเนื้อหาของการแสดงรำหมู่มาพอสังเขป และให้นักเรียนลองคิดว่านักเรียนรู้จักการแสดงรำ หมู่ การแสดงใดบ้างที่นักเรียนรู้จัก ขั้นที่ 2 ขั้นสอน 1. ครูเข้าสู่เนื้อหาเรื่องการแสดง รำหมู่ การรำหมู่ คือ การแสดงที่ใช้ผู้แสดงมากกว่า ๒ คนขึ้นไป มุ่ง ความงามของท่ารำและความพร้อมเพรียงของผู้แสดง เช่น รำโคม รำพัด รำซัดชาตรี เป็นต้น ในกรณีที่นำการ แสดงที่ตัดตอนมาจากการแสดงละคร และการรำนั้นเป็นการรำของตัวละครตัวเดียวมาก่อน เมื่อนำมารำเป็นหมู่ ก็ยังคงเรียกว่ารำตามเดิม เช่น รำสีนวล รำแม่บท 1.1 ท่าทางที่ใช้ในการประดิษฐ์ท่ารำ ลักษณะท่ารำในชุดพระรามตามกวาง ประกอบด้วยการรำ 2 ลักษณะ คือ การรำบท หมายถึงการใช้ท่ารำที่ตีความหมายตามบทร้อง และการรำหน้าพาทย์ หมายถึงการำให้เข้า กับจังหวะเพลงทำให้การแสดงมีลีลาท่ารำให้ความรู้สึกเกี่ยวกับอารมณ์ต่างๆ
1.2 เพลงที่ใช้ประกอบการแสดง เพลงที่ใช้ประกอบการแสดงรำพระรามตามกวาง ได้แก่ ดนตรีและเพลง ร้อง ดนตรีใช้วงปี่พาทย์เพลงที่ใช้ประกอบการแสดงได้แก่ เพลงหน้าพาทย์ รัว เป็นต้า เพลงที่ขับร้องตามบทร้อง ได้แก่ เพลงแขกไทร และเพลงทะเลบ้า 1.3 ความงามและคุณค่าการแสดงชุดพระรามตามกวางมีคุณค่าเเละความงามได้แก่ - ความงามและคุณค่าที่มีความสมบูรณ์ของกระบวนท่ารำ - ความงามในความต่อเนื่งของกระบวนท่ารำ คือ การทำท่ารำท่าหนึ่งแล้วเปลี่ยนไปอีกท่าหนึ่งด้วยวิธีการ เคลื่อนไหวร่างกายของทุกส่วนอย่างกลมกลืน - ความงามในความสัมพันธ์ของนาฏศิลป์กับองค์ประกอบอื่นๆ ดังนี้ 2. ครูยกตัวอย่างการแสดง รำสีนวล พร้อมเข้าเนื้อหา รำสีนวล สีนวลเป็นชื่อของเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ บรรเลงประกอบการแสดงละคร โดยใช้ประกอบกิริยาไปมาของสตรีที่มารยาทชดช้อยสวยงาม ทำนองเพลงมีท่วงที ซ่อนความ พริ้งเพราไว้ในตัว ต่อมามีผู้ประดิษฐ์ทำนองร้องประกอบการรำ ซึ่งแต่เดิมรำสีนวลเป็นการแสดงชุดหนึ่ง ที่นำมาจากละครนอกเรื่อง “ไชยเชษฐ์” ภายหลังได้นำมาใช้แสดงเป็นระบำเบ็ดเตล็ด เนื่องจากการรำสีนวลเป็น ศิลปะที่สวยงามทั้งท่ารำและเพลงขับร้อง จึงพัฒนามาเป็นชุดสำหรับจัดแสดงในงานทั่ว ๆ ไป และนับเป็นการ แสดงนาฏศิลป์ไทยอีกชุดหนึ่งที่นิยมแพร่หลายเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ลักษณะท่ารำและคำร้องของรำสีนวล มีความหมายถึง การบันเทิงรื่นรมย์ของหญิงสาวแรกรุ่นที่มีจริตกิริยางดงาม อ่อนหวาน และ มีอิริยาบถที่ นุ่มนวล อ่อนช้อยตามลักษณะกุลสตรีไทย เพลงสีนวล สีนวลชวนชื่นเมื่อยามเช้า รักเจ้าสาวสีนวลหวนคิดถึง (รับ) แม้ไม่แลเห็นเจ้าเฝ้าคำนึง อยากให้ถึงวันที่รำสีนวล (รับ) ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง รำหมู่ การแสดงรำสีนวล ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ 1. นักเรียนนำความรู้เรื่อง รำคู่การแสดงรำสีนวล ไปประยุกต์ในการเรียนนาฏศิลป์ในระดับสูงต่อไป 2. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนท่องเนื้อร้อง เพลงรำสีนวล พร้อมกับดูการแสดงใน www.youtube.com
10. สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ม.2 บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด 2. รูปภาพการแสดงรำสีนวล 3. www.youtube.com 11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และ ค่านิยม (A) 1. อธิบายความรู้เกี่ยวกับการ รำคู่ได้ (K) 2. อธิบายความประวัติความ เป็นมาของการแสดงพอ สังเขปได้ (K) 1. วิเคราะห์และสรุปความรู้ เกี่ยวกับเนื้อหาของการแสดงรำ หมู่ได้ (P) 1. ปฏิบัติกิจกรรมด้วยความ สนุกสนานเพลิดเพลิน (A)
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่3 นาฏศิลป์ รหัสวิชา ศ22101 หน่วยการจัดการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์ เวลา 10 ชั่วโมง เรื่อง รำหมู่ การแสดงรำซัดชาตรี เวลา 1 ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครูผู้สอน นายภาคิณ ภูดิน 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจและแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า นาฏศิลป์ ถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 2. ตัวชี้วัดชั้นปี อธิบายการบูรณาการศิลปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง (ศ 3.1 ม. 2/1) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายความรู้เกี่ยวกับการรำหมู่ได้ (K) 2. อธิบายความประวัติความเป็นมาของการแสดงพอสังเขปได้ (K) 3. วิเคราะห์และสรุปความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาของการแสดงรำหมู่ได้ (P) 4. ปฏิบัติกิจกรรมด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน (A) 4. สาระสำคัญ นาฏศิลป์เป็นวิชาว่าด้วยการฟ้อนรำและการละครมีจุดประสงค์ตรงที่เน้นการเคลื่อนไหวของร่างกาย การ ใช้ภาษาท่ารำ การตีบท โดยใช้สรีระต่างๆ ของร่างกายเคลื่อนไหวเพื่อสื่อความหมายแทนคำพูดในรูปแบบของการ แสดงเป็นชุดระบำ รำ ฟ้อน หรือการแสดงโขน ละคร ซึ่งการแสดงนาฏศิลป์ในรูปแบบต่างๆนั้น มีหลักหลักวิชา นากศิลป์ที่ปรมาจารย์ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนโดยเน้นความเป็นเอกภาพในลีลาท่ารำ การแต่งกายลักษณะรูปแบบ การแสดง แม้แต่การบรรจุเพลงที่ได้คัดสรรด้วยด้วยความประณีต ซึ่งการแสดงระบำ รำ ฟ้อน ก็จะมีลักษณะเฉพาะ อย่างที่แตกต่างกันออกไป 5. สาระการเรียนรู้ ศิลปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง แสง สี เสียง ฉาก เครื่องแต่งกาย และ อุปกรณ์
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน 3. รักความเป็นไทย 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. วาดรูปการแสดง รำซัดชาตรี พร้อมอธิบายประวัติการแสดงโดยย่อ ลงในการดาษที่ครูแจกให้พร้อม ระบายสีให้สวยงาม 2. ให้นักเรียนไปรับชม การแสดงรำซัดชาตรี ในช่องทาง www.youtube.com 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทบทวนเนื้อหาของการแสดงรำหมู่ การแสดงรำสีนวล 2. ครูอธิบายเนื้อหาของการแสดงรำหมู่มาพอสังเขป เพื่อทบทวนความรู้ที่เรียนจากชั่วโมงที่แล้ว ขั้นที่ 2 ขั้นสอน 1. รำซัดชาตรีเป็นการแสดงที่นิยมจนมีแบบแผนเป็นขอตนเอง ในแบบศิลปะทางใต้ของไทย ปรับปรุงมา จากรำซัดไหว้ครูของละครชาตรี ซึ่งเคยเป็นละครรำแบบเก่าชนิดหนึ่งของไทย ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของละครรำ ประเภทต่างๆ ซึ่งได้รับการปรับปรุงในสมัยต่อมา ประเพณีการแสดงละครชาตรี ถือธรรมเนียมกันว่าผู้แสดงตัว พระ จะต้องรำไหว้ครูเป็นการเบิกโรงเรียกว่า " รำซัด " โดยมีโทน ปี่ กลอง กรับ ประกอบจังหวะ ต่อมากรม ศิลปากรได้ดัดแปลงรำซัด และปรับปรุงให้มีผู้รำทั้งฝ่ายชาย(ตัวพระ) และหญิง(ตัวนาง) เพื่อให้น่าดูมีชีวิตชีวา โดย รักษาจังหวะอันเร่งเร้าไว้อย่างเดิม สิ่งสำคัญของการรำนั้น จะมีการรวมจุดที่กำหนดเป็นอย่างดีระหว่างท่าทางที่ เคลื่อนไหว ในระหว่างที่รำอยู่ในจังหวะที่เร่งเร้าของผู้รำ กับจังหวะของการตีกลอง ผู้ตีกลองจะต้องตีกลองไป ตลอดเวลาไปพร้อมๆ กับผู้ที่ร่ายรำจนครบจังหวะของการแสดง ให้ประสานกลมกลืนกัน จนเป็นที่นิยมชมชอบจาก ผู้ชมที่ได้ชมการแสดงชุดนี้เสมอมา
2. ครูแจกกระดาษให้เรียน และให้นักเรียนหาการแสดงรำซัดซาตรี พร้อมประวัติการแสดงจาก อินเทอร์เน็ต และวาดรูปพร้อมกับเขียนประวัติการแสดงพอสังเขปและระบายสีให้สวยงาม ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง รำหมู่ การแสดงรำซัดชาตรี ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ 1. นักเรียนนำความรู้เรื่อง รำคู่การแสดงรำซัดชาตรีไปประยุกต์ในการเรียนนาฏศิลป์ในระดับสูงต่อไป 2. ครูแจกกระดาษให้เรียน และให้นักเรียนหาการแสดงรำซัดซาตรี พร้อมประวัติการแสดงจาก อินเทอร์เน็ต และวาดรูปพร้อมกับเขียนประวัติการแสดงพอสังเขปและระบายสีให้สวยงาม 10. สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ม.2 บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด 2. รูปภาพการแสดงรำซัดชาตรี 3. www.youtube.com 11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และ ค่านิยม (A) 1. อธิบายความรู้เกี่ยวกับการ รำคู่ได้ (K) 2. อธิบายความประวัติความ เป็นมาของการแสดงพอ สังเขปได้ (K) 1. วิเคราะห์และสรุปความรู้ เกี่ยวกับเนื้อหาของการแสดงรำ หมู่ได้ (P) 1. ปฏิบัติกิจกรรมด้วยความ สนุกสนานเพลิดเพลิน (A)
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 10 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่3 นาฏศิลป์ รหัสวิชา ศ22101 หน่วยการจัดการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์ เวลา 10 ชั่วโมง เรื่อง รำหมู่ การแสดงรำโคม เวลา 1 ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครูผู้สอน นายภาคิณ ภูดิน 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจและแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า นาฏศิลป์ ถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 2. ตัวชี้วัดชั้นปี อธิบายการบูรณาการศิลปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง (ศ 3.1 ม. 2/1) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายความรู้เกี่ยวกับการรำหมู่ได้ (K) 2. อธิบายความประวัติความเป็นมาของการแสดงพอสังเขปได้ (K) 3. วิเคราะห์และสรุปความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาของการแสดงได้ (P) 4. ปฏิบัติกิจกรรมด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน (A) 4. สาระสำคัญ นาฏศิลป์เป็นวิชาว่าด้วยการฟ้อนรำและการละครมีจุดประสงค์ตรงที่เน้นการเคลื่อนไหวของร่างกาย การ ใช้ภาษาท่ารำ การตีบท โดยใช้สรีระต่างๆ ของร่างกายเคลื่อนไหวเพื่อสื่อความหมายแทนคำพูดในรูปแบบของการ แสดงเป็นชุดระบำ รำ ฟ้อน หรือการแสดงโขน ละคร ซึ่งการแสดงนาฏศิลป์ในรูปแบบต่างๆนั้น มีหลักหลักวิชา นากศิลป์ที่ปรมาจารย์ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนโดยเน้นความเป็นเอกภาพในลีลาท่ารำ การแต่งกายลักษณะรูปแบบ การแสดง แม้แต่การบรรจุเพลงที่ได้คัดสรรด้วยด้วยความประณีต ซึ่งการแสดงระบำ รำ ฟ้อน ก็จะมีลักษณะเฉพาะ อย่างที่แตกต่างกันออกไป 5. สาระการเรียนรู้ ศิลปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง แสง สี เสียง ฉาก เครื่องแต่งกาย และ อุปกรณ์
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน 3. รักความเป็นไทย 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. วาดรูปการแสดง รำโคม พร้อมอธิบายประวัติการแสดงโดยย่อ ลงในการดาษที่ครูแจกให้พร้อมระบายสี ให้สวยงาม 2. ให้นักเรียนไปรับชม การแสดงรำโคม ในช่องทาง www.youtube.com 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทบทวนเนื้อหาของการแสดงรำหมู่ การแสดงรำซัดชาตรี 2. ครูอธิบายเนื้อหาของการแสดงรำหมู่มาพอสังเขป เพื่อทบทวนความรู้ที่เรียนจากชั่วโมงที่แล้ว ขั้นที่ 2 ขั้นสอน 1. ครูอธิบายถึงการแสดงรำโคม ดังนี้ ในสมัยก่อนเมื่อจะมีการจุดเทียนชัยเพื่อถวายพระพรนั้น ก็จะถือ เทียนกันธรรมดา คือ ถือแต่เทียนแล้วก็ร้องเพลงถวายพระพรไป แต่ต่อมาผู้ทำเทียนก็เล็งเห็นว่า ในการจุดเทียน เมื่อจุดไฟที่ไส้เทียนแล้ว ก็จะเห็นว่า ไฟก็จะเริ่มไหม้ไส้เทียนแล้วพร้อมๆกันนั้นความร้อนจากเทียนก็จะเริ่ม หลอมเหลวเนื้อเทียนให้ละลายลงมาเรื่อยๆซึ่งก็คือที่เราเรียกกันจนติดปากว่า น้ำตาเทียน ขอบอกเลยว่า ใครที่โดน น้ำตาเทียนหยดใส่ ถ้าไม่ร้องก็แสดงว่า ผิวหนาผิดปกติแล้ว มันร้อนมาก ทีนี้ลองนึกถึงถ้าเราถือเทียนที่กำลังมีไฟ สว่างโชกโชนอยู่ในมือตลอดเวลา 5 นาที น้ำตาเทียนก็จะค่อยๆไหลลงมานองที่มือ ลักษณะคล้ายหินงอกหินย้อย ซึ่งเมื่อความร้อนจากน้ำตาเทียนสะสมอยู่ เราก็จะร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ดีแน่ซึ่งต่อมาทางผู้จัดก็จะ ทำวัสดุที่ เหมือนฐานรองน้ำตาเทียนไว้ อาจเป็นกระดาษที่ตัดแบบสวยงาม บ้างก็เป็นใบตองถักเป็นลวดลสายเหมือนกลีบบัว
หรือเป็นกระทงอันเล็กให้มีรอเล็กๆอยู่ตรงกลางเพื่อให้สามารถเจาะเทียนลงไปได้ ซึ่งก็ใช้ได้ผลน้ำตาเทียนก็ไม่หยด โดนมือ เปลี่ยนเป็นลงไปกองที่กระทงเล็กๆนั้นแทน มันดีเยี่ยมจริงๆ จากนั้นก็ใช้กันมาแบบนี้สักระยะ จากนั้นไม่ นาน หากเราเคยเห็น จะมีการร่ายรำเพื่อถวายพระพร เรียกว่า รำโคม ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 การรำโคมนี้จะ ใช้เฉพาะในงานพระราชพิธีใหญ่ๆเท่านั้น เช่น งานเฉลิมพระชนม์พรรษา งานพระเมรุท้องสนามหลวง การสมโภช ช้างเป็นต้น ซึ่งการรำโคมนี้มักจะแสดงกันในเวลากลางคืน ผู้รำก็จะใส่ชุดไทย รำได้ทั้งชายและหญิง โดยผู้รำก็จะถือ โคมคล้ายดอกบัวในมือ ภายในโคมนั้นก็จะมีเทียนจุดไฟปักอยู่ตรงกลางโคม ซึ่งในการแสดงรำโคมนั้น ผู้ดูมักจะนั่ง อยู่ในมุมสูงเพราะจะได้เห็นแสงเทียนที่อยู่ในมือผู้รำ จะดูสวยงามยิ่งนัก โคมเทียนของผู้ร่ายรำ ก็มีการพัฒนามา อย่างต่อเนื่อง จากที่เมื่อก่อนเป็นลักษณะของการให้เทียนแล้วจุดไฟเอา ก็อาจจะเกิดความยุ่งยากนิดหน่อยที่เวลา ร่ายรำ ในบางครั้งต้องมีการยกแขนขึ้นลง ก็อาจทำให้น้ำตาเทียนตกพื้นบาง โดนผู้ที่รำด้วยกันบ้าง ซึ่งถือว่าเป็น อันตรายในส่วนหนึ่ง ดังนั้น ในการรำโคมบางครั้งก็จะเห็นว่าแทนที่ด้านในโคมจะเป็นเทียนจุดไฟ ก็จะปรับเป็น หลอดไปรูปดอกบัวตูมเล็กๆแทน ซึ่งก็ให้ความสวยงามไม่แพ้กัน จะต่างกันตรงที่หากเป็นแล้วเทียนก็จะมีลักษณะ ของเปลวไฟ ซึ่งถ้าจะเทียบกับความสวยงามตามธรรมชาติแล้ว เทียนจุดไฟย่อมสวยกว่า 2. ครูแจกกระดาษให้เรียน และให้นักเรียนหาการแสดงรำโคม พร้อมประวัติการแสดงจากอินเทอร์เน็ต และวาดรูปพร้อมกับเขียนประวัติการแสดงพอสังเขปและระบายสีให้สวยงาม ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง รำหมู่ การแสดงรำโคม ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ 1. นักเรียนนำความรู้เรื่อง รำหมู่การแสดงรำโคม ไปประยุกต์ในการเรียนนาฏศิลป์ในระดับสูงต่อไป 2. ครูแจกกระดาษให้เรียน และให้นักเรียนหาการแสดงรำโคม พร้อมประวัติการแสดงจากอินเทอร์เน็ต และวาดรูปพร้อมกับเขียนประวัติการแสดงพอสังเขปและระบายสีให้สวยงาม 10. สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ม.2 บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด 2. รูปภาพการแสดงรำโคม 3. www.youtube.com
11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และ ค่านิยม (A) 1. อธิบายความรู้เกี่ยวกับการ รำคู่ได้ (K) 2. อธิบายความประวัติความ เป็นมาของการแสดงพอ สังเขปได้ (K) 1. วิเคราะห์และสรุปความรู้ เกี่ยวกับเนื้อหาของการแสดงได้ (P) 1. ปฏิบัติกิจกรรมด้วยความ สนุกสนานเพลิดเพลิน (A)
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่3 นาฏศิลป์ รหัสวิชา ศ22101 หน่วยการจัดการเรียนรู้ที่ 8 การแสดงนาฏศิลป์ไทยมาตรฐาน เวลา 10 ชั่วโมง เรื่อง นาฏศิลป์ไทยมาตรฐาน ระบำกฤดาภินิหาร เวลา 4 ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครูผู้สอน นายภาคิณ ภูดิน 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจและแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า นาฏศิลป์ ถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 2. ตัวชี้วัดชั้นปี สร้างสรรค์การแสดงโดยใช้องค์ประกอบนาฏศิลป์และการละคร (ศ 3.1 ม.2/2) เสนอข้อคิดเห็นในการปรับปรุงการแสดง (ศ 3.1 ม.2/4 ) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียนได้มาพอสังเขป (K) 2. อธิบายความประวัติความเป็นมาของการแสดงพอสังเขปได้ (K) 3. วิเคราะห์และสรุปความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาของการแสดงได้ (P) 4. ปฏิบัติกิจกรรมด้วยความสนุกสนานและเข้าใจในการแสดง (A) 4. สาระสำคัญ นาฏศิลป์ไทยมาตรฐาน เป็นการแสดงนาฏศิลป์ไทยตามแบบแผนดั้งเดิมที่ปรมาจารย์ทางนาฏศิลป์ไทยได้ กำหนดไว้เพื่อให้ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาอย่างเคร่งครัดซึ่งกระบวนท่ารำลักษณะการแต่งกาย รูปแบบการแสดงจะ เปลี่ยนแปลงมิได้ ดังนั้นผู้ที่จะฝึกหัดนาฏศิลป์ทุกคนจึงจะเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นฐ่นการแสดง และเอกลักษณ์ของการแสดงในแต่ละชุด เพื่อจะได้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ผู้เรียนควรมีความรู้เกี่ยวกับ หลักการวิเคราะห์ วิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์ด้วย เพราะหลักการดังกล่าวจะช่วยสร้างความเข้าใจตรงกันระหว่างผู้ แสดงและผู้ชมการแสดง
5. สาระการเรียนรู้ หลักและวิธีการสร้างสรรค์การแสดงโดยใช้องค์ประกอบนาฏศิลป์และการละคร วิเคราะห์ละคร วิจารณ์ การแสดงนาฏศิลป์และการละคร รำวงมาตรฐาน 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน 3. รักความเป็นไทย 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. บันทึกประวัติการแสดง และเนื้อหาที่เรียนลงในสมุด 2. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม 4-6 คน เพื่อทดสอบการร้องเพลงในชั่วโมงถัดไป 3. ครูให้การบ้านนักเรียนไปซ้อมร้องเพลง เพื่อทำการทดสอบแบบกลุ่มในชั่วโมงต่อไป 4. ให้นักเรียนไปรับชม การแสดงระบำกฤดาภินิหาร ในช่องทาง www.youtube.com 5. ครูสั่งงานให้นักเรียนบันทึกเนื้อร้อง ที่ทำการทดสอบไปลงในสมุด 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (ชั่วโมงที่ 1) 1. ครูอธิบายการแสดงนาฏศิลป์ไทยมาตรฐานให้นักเรียนฟังพอสังเขป ขั้นที่ 2 ขั้นสอน (ชั่วโมงที่1) 1. ครูอธิบายถึงการแสดงนาฏศิลป์ไทยมาตรฐาน ดังนี้ นาฏศิลป์ไทยเป็นการเล่นเครื่องดนตรีหลาย ๆ ชนิดการละครฟ้อนรำและดนตรีอันมีคุณสมบัติตามคัมภีร์นาฏะหรือนาฏยะกำหนดว่า ต้องประกอบไปด้วย 3 ประการ คือ การฟ้อนรำ การดนตรี และการขับร้อง รวมเข้าด้วยกัน ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้ เป็นอุปนิสัยของคนมาแต่ดึกดำ บรรพ์ นาฏศิลป์ไทยมีที่มาและเกิดจากสาเหตุแนวคิดต่าง ๆ เช่น เกิดจากความรู้สึกกระทบกระเทือนทางอารมณ์ไม่ ว่าจะอารมณ์แห่งสุข หรือความทุกข์และสะท้อนออกมาเป็นท่าทางแบบธรรมชาติและประดิษฐ์ขึ้นมาเป็นท่าทาง
ลีลาการฟ้อนรำ หรือเกิดจากลัทธิความเชื่อในการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธ์ เทพเจ้า โดยแสดงความเคารพบูชาด้วยการ เต้นรำ ขับร้องฟ้อนรำให้เกิดความพึงพอใจ เป็นต้น นาฏศิลป์ไทยยังได้รับอิทธิพลแบบแผนตามแนวคิดจากต่างชาติ เข้ามาผสมผสานด้วย เช่น วัฒนธรรมอินเดียเกี่ยวกับวรรณกรรมที่เป็นเรื่องของเทพเจ้าและตำนานการฟ้อนรำโดย ผ่านเข้าสู่ประเทศไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมคือผ่านชนชาติชวาและเขมร ก่อนที่จะนำมาปรับปรุงให้เป็นรูปแบบ ตามเอกลักษณ์ของไทย เช่น ตัวอย่างของเทวรูปศิวะปางนาฏราชที่สร้างเป็นท่าการร่ายรำของพระอิศวร ซึ่งมี ทั้งหมด 108 ท่า หรือ 108 กรณะ โดยทรงฟ้อนรำครั้งแรกในโลก ณ ตำบลจิทรัมพรัม เมืองมัทราส อินเดียใต้ ปัจจุบันอยู่ในรัฐทมิฬนาดูนับเป็นคัมภีร์สำหรับการฟ้อนรำ แต่งโดยพระภรตมุนี เรียกว่า"คัมภีร์ภรตนาฏยศาสตร์" ถือเป็นอิทธิพลสำคัญต่อแบบแผนการสืบสานและถ่ายทอดนาฏศิลป์ของไทยจนเกิดขึ้นเป็นเอกลักษณ์ของตนเองที่ มีรูปแบบ แบบแผนการเรียน การฝึกหัด จารีต ขนบธรรมเนียมมาจนถึงปัจจุบัน บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาทางด้าน นาฏศิลป์ไทยได้สันนิษฐานว่า อารยธรรมทางศิลปะด้านนาฏศิลป์ของอินเดียนี้ได้เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามประวัติการสร้างเทวาลัยศิวะนาฏราชที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1800 ซึ่งเป็นระยะที่ไทยเริ่ม ก่อตั้งกรุงสุโขทัย ดังนั้นท่ารำไทยที่ดัดแปลงมาจากอินเดียในครั้งแรกจึงเป็นความคิดของนักปราชญ์ในสมัยกรุงศรี อยุธยา และมีการแก้ไขปรับปรุงหรือประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในกรุงรัตนโกสินทร์ จนนำมาสู่การประดิษฐ์ท่าร่ายรำและ ละครไทยมาจนถึงปัจจุบัน 2. ครูอธิบายถึงการแสดงนาฏศิลป์ไทยมาตรฐานให้นักเรียนฟังว่ามีการแสดงใดบ้าง 3. ครูสั่งงานให้นักเรียนบันทึกประวัติการแสดง และเนื้อหาที่เรียนลงในสมุด ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป (ชั่วโมงที่1) 1. นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง การแสดงนาฏศิลป์ไทยมาตรฐาน ขั้นที่ 4 การนำไปใช้(ชั่วโมงที่1) 1. นักเรียนนำความรู้เรื่อง การแสดงนาฏศิลป์ไทยมาตรฐาน ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นการออก ออกกำลังกาย การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และสรีระร่างกาย รวมไปถึงการฟังจังหวะดนตรี ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (ชั่วโมงที่ 2) 1. ครูทบทวนเนื้อหาความรู้เรื่องการแสดงนาฏศิลป์ไทยมาตรฐานจากชั่วโมงที่แล้วให้นักเรียนฟัง ขั้นที่ 2 ขั้นสอน (ชั่วโมงที่2) 1. ครูเข้าสู่เนื้อหาของการแสดง ระบำกฤดาภินิหาร โดยจะเริ่มอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของการแสดง ดังนี้ ระบำกฤดาภินิหาร เป็นระบำที่กรมศิลปากรสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ ในราว พ.ศ.๒๔๘๖ ใช้วงดุริยางค์สากลบรรเลง
โดยมีพระเจนดุริยางค์เป็นผู้เรียบเรียงเสียงประสาน ด้วยต้องการให้มีรูปแบบการแสดงที่แตกต่างไปจากระบำ มาตรฐานที่ได้เคยแสดงมาและต้องการให้ทัน สมัยเหมาสมกับสถานการณ์ในยุคนั้น การปรับปรุงการแสดงตอนนี้ มุ่งหมายให้เป็นละครรำ แต่ให้กระทัดรัดเหมาะสมแก่กาลสมัย จึงต้อง ปรับปรุงขึ้นทั้งท่ารำ ทำนองร้อง และเพลงดนตรี ดังจะเห็นได้จากท่ารำที่เป็นแบบแผนของนาฏศิลป์ไทยแท้ ๆ ระคนกับการใช้บทอย่างแนบเนียนกระฉับกระเฉง เข้ากับทำนองดนตรี และขับร้องสนิทสนม ส่วนเพลงร้อง และ ทำนองดนตรีก็เป็นเพลงไทยโบราณแท้ หากแต่นำมาปะติดปะต่อเข้ากันเป็นชุด เพื่อให้เหมาะสมกลมกลืนกับคำ ร้องและท่ารำ บทร้อง และทำนองเพลง ท่ารำและเพลงดนตรีในระบำชุดนี้จึงนับเป็นระบำไทยที่พยายามปรับปรุง ตัวเองให้ทันสมัยชุดหนึ่ง การแสดงชุดนี้อยู่ในตอนท้ายเรื่องเกียรติศักดิ์ไทย (กรมศิลปากรได้ประพันธ์เป็นบทละครสร้างจากเหตุการณ์ ทางประวัติศาสตร์ สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ครองกรุงศรีอยุธยา) อันเป็นการร่ายรำของเหล่าเทวดานางฟ้า ที่ ได้ทราบถึงความเจริญรุ่งเรืองบิ่งใหญ่ของชาติไทย จึงเกิดความปิติยินดีชื่นชมโสมนัส ต่างพากันมาอวยชัยให้พร ผู้ แต่งบทร้องคือ นางสุดา บุษปฤกษ์ ผู้ประดิษฐ์ท่ารำคือ นางลมุล ยมะคุปต์ และนางศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก (หม่อม ครูด่วน) ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย กรมศิลปากร ด้วยความหมายอันเป็นมงคลของระบำชุดนี้ ต่อมาจึงนำ ออกแสดงในระบำชุดเอกเทศ มักใช้วงปี่พาทย์ไม้นวมในการบรรเลง แต่บางโอกาสก็คงใช้วงดุริยางค์สากลบรรเลง อยู่ การแสดงระบำชุดนี้ยังเป็นที่นิยมแสดงกันอย่างแพร่หลาย 2. ครูอธิบายถึง รูปแบบ และลักษณะการแสดง ดังนี้ ระบำกฤดาภินิหาร มีลักษณะท่ารำเป็นระบำหมู่คู่ พระ-นาง เสมือนหนึงว่าเหล่าเทวดา นางฟ้า มาร่วมอวยพรยินดีในเกียรติยศ ชื่อเสียงของประเทศไทย ท่ารำเป็น การตีบทตามคำร้องในเพลงครวญหา (ซึ่งทั้งลักษณะของท่าที่มีความหมายตรงกับคำร้องและท่าที่ความหมาย สอดคล้องกับคำร้อง) และท่ารำในเพลงจีนรัว ผู้แสดงถือพานสำหรับโปรยดอกไม้ สามารถแสดงได้สองรูปแบบ คือ รำตามบทร้องสี่คำกลอน แล้วตัดไปโปรยดอก ไม้ในเพลงจีนรัว ซึ่งใช้เวลาในการแสดง ๕ นาที และอีกบทหนึ่ง รำ เต็มบทร้องหกคำกลอน โปรยดอกไม้ตามบทร้อง และในเพลงจีนรัวซึ่งใช้เวลาในการแสดง ๖ นาที 3. ครูสั่งงานให้นักเรียนไปรับชมการแสดง ระบำกฤดาภินิหาร เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสุนทรียภาพของ การแสดงอย่างถ่องแท้ ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป (ชั่วโมงที่2) 1. นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง การแสดงระบำกฤดาภินิหาร ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ (ชั่วโมงที่2)
1. นักเรียนนำความรู้เรื่อง การแสดงนาฏศิลป์ไทยมาตรฐาน ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นการออก ออกกำลังกาย การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และสรีระร่างกาย รวมไปถึงการฟังจังหวะดนตรี ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (ชั่วโมงที่ 3) 1. ครูทบทวนเนื้อหาความรู้เรื่องการแสดงระบำกฤดาภินิหารจากชั่วโมงที่แล้วให้นักเรียนฟัง ขั้นที่ 2 ขั้นสอน (ชั่วโมงที่ 3) 1. ครูเข้าสู่บทเรียนของการแสดง ระบำกฤดาภินิหาร โดยชั่วโมงนี้ จะสอนนักเรียนเรื่องเนื้อของของการ แสดงชุดนี้ โดยมีเนื้อร้องดังนี้ บทร้องระบำกฤดาภินิหาร - ปี่พาทย์ทำเพลงรัวดึกดำบรรพ์ - - ร้องเพลงครวญหา - ปราโมทย์แสน องค์อัปสรอมรแมนแดนสวรรค์ ยินกฤดาภินิหารมหัศจรรย์ เกียรติไทยลั่นลือเลื่องเรืองรุจี ต่างเต็มตื้นชื่นชมโสมนัส แจ้วจำเรียงเสียงเพลงสดุดี แล้วลีลาศเริงรำระบำร่าย พรมน้ำทิพย์ปรุงปนสุคนธาร องค์อัปสรอมรแมนแดนสวรรค์เกียรติไทยลั่นลือเลื่องเรืองรูจี โอษฐ์เอื้อนอรรถอวยพรสุทรศรีดนตรีเรื่อยประโคมประโลมลาน กรกรีดกรายโปรยมาลีสีประสาน จักรวาลฉ่ำชื่นรื่นรมย์ครัน - ปี่พาทย์ทำเพลงจีนรัว - 2. ครูท่องเนื้อร้องให้นักเรียนฟัง แล้วให้นักเรียนท่องเนื้อร้องตาม จากนั้นครูเปิดเพลงระบำกฤดาภินิหาร ให้เรียนร้องตาม 3. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม 4-6 คน เพื่อทดสอบการร้องเพลงในชั่วโมงถัดไป 4. ครูให้การบ้านนักเรียนไปซ้อมร้องเพลง เพื่อทำการทดสอบแบบกลุ่มในชั่วโมงต่อไป ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป (ชั่วโมงที่ 3) 1. ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง การแสดงระบำกฤดาภินิหาร และเนื้อ ร้องของการแสดงชุดนี้ ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ (ชั่วโมงที่ 3)
1. นักเรียนนำความรู้เรื่อง การแสดงนาฏศิลป์ไทยมาตรฐาน ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นการออก ออกกำลังกาย การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และสรีระร่างกาย รวมไปถึงการฟังจังหวะดนตรี ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (ชั่วโมงที่ 4) 1. ครูทบทวนเนื้อหาความรู้เรื่องการแสดงระบำกฤดาภินิหารจากชั่วโมงที่แล้วให้นักเรียนฟัง 2. ครูเปิดเพลงระบำกฤดาภินิหารให้นักเรียนฟัง 3. ครูพานักเรียนร้องเพลง และให้นักเรียนร้องให้ฟังทีละกลุ่ม ขั้นที่ 2 ขั้นสอน (ชั่วโมงที่ 4) 1. ครูทำการทดสอบนักเรียนทีละกลุ่ม โดยเริ่มจากกลุ่มแรกจนถึงกลุ่มสุดท้ายให้เสร็จภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง และให้คะแนนตามความเหมาะสม 2. ครูสั่งงานให้นักเรียนบันทึกเนื้อร้อง ที่ทำการทดสอบไปลงในสมุด ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป (ชั่วโมงที่ 4) 1. ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง การแสดงระบำกฤดาภินิหาร และเนื้อ ร้องของการแสดงชุดนี้ ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ (ชั่วโมงที่ 4) 1. นักเรียนนำความรู้เรื่อง การแสดงนาฏศิลป์ไทยมาตรฐาน ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นการออก ออกกำลังกาย การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และสรีระร่างกาย รวมไปถึงการฟังจังหวะดนตรี 10. สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ม.2 บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด 2. www.youtube.com 11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และ ค่านิยม (A) 1. อธิบายความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาที่ เรียนได้มาพอสังเขป (K) 2. อธิบายความประวัติความ เป็นมาของการแสดงพอสังเขปได้ (K) 1. วิเคราะห์และสรุปความรู้เกี่ยวกับ เนื้อหาของการแสดงได้ (P) 1. ปฏิบัติกิจกรรมด้วยความ สนุกสนานและเข้าใจในการแสดง (A)
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 12 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่3 นาฏศิลป์ รหัสวิชา ศ22101 หน่วยการจัดการเรียนรู้ที่ 8 การแสดงนาฏศิลป์ไทยมาตรฐาน เวลา 10 ชั่วโมง เรื่อง รำวงมาตรฐาน เวลา 6 ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครูผู้สอน นายภาคิณ ภูดิน 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจและแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า นาฏศิลป์ ถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 2. ตัวชี้วัดชั้นปี สร้างสรรค์การแสดงโดยใช้องค์ประกอบนาฏศิลป์และการละคร (ศ 3.1 ม.2/2) เสนอข้อคิดเห็นในการปรับปรุงการแสดง (ศ 3.1 ม.2/4 ) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายความรู้เกี่ยวกับรำวงมาตรฐานได้(K) 2. สามารถท่องเนื้อเพลงของรำวงมาตรฐานได้ (K) 3. วิเคราะห์และสรุปความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาของการแสดงรำวงมาตรฐานได้ (P) 4. ปฏิบัติกิจกรรมด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลินและเข้าใจในการแสดง (A) 4. สาระสำคัญ นาฏศิลป์ไทยมาตรฐาน เป็นการแสดงนาฏศิลป์ไทยตามแบบแผนดั้งเดิมที่ปรมาจารย์ทางนาฏศิลป์ไทยได้ กำหนดไว้เพื่อให้ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาอย่างเคร่งครัดซึ่งกระบวนท่ารำลักษณะการแต่งกาย รูปแบบการแสดงจะ เปลี่ยนแปลงมิได้ ดังนั้นผู้ที่จะฝึกหัดนาฏศิลป์ทุกคนจึงจะเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นฐ่นการแสดง และเอกลักษณ์ของการแสดงในแต่ละชุด เพื่อจะได้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ผู้เรียนควรมีความรู้เกี่ยวกับ หลักการวิเคราะห์ วิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์ด้วย เพราะหลักการดังกล่าวจะช่วยสร้างความเข้าใจตรงกันระหว่างผู้ แสดงและผู้ชมการแสดง 5. สาระการเรียนรู้ หลักและวิธีการสร้างสรรค์การแสดงโดยใช้องค์ประกอบนาฏศิลป์และการละคร วิเคราะห์ละคร วิจารณ์ การแสดงนาฏศิลป์และการละคร รำวงมาตรฐาน
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน 3. รักความเป็นไทย 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. ครูสั่งงานให้นักเรียนบันทึกประวัติการแสดง และเนื้อหาที่เรียนลงในสมุด 2. ครูสั่งงานให้นักเรียนไปจดจำท่ารำที่ครูสอนในชั่วโมงนี้ เพื่อทำการทดสอบในชั่วโมงถัดไป 3. ครูให้นักเรียนจับสลากตามเลขที่ แล้วสาธิตท่ารำและทำการทดสอบให้เสร็จภายในชั่วโมง 4. ครูสั่งงานให้นักเรียนไปฝึกร้องเพลงงามแสงเดือน และเพลงชาวไทย 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (ชั่วโมงที่ 1) 1. ครูเปิดเพลงงามแสงเดือนให้นักเรียนฟังแล้วถามว่า รู้จักเพลงนี้หรือไม่ 2. ครูอธิบายการแสดงรำวงมาตรฐานให้นักเรียนฟังพอสังเขป ขั้นที่ 2 ขั้นสอน (ชั่วโมงที่1) 1.ครูอธิบายประวัติความเป็นมา ดังนี้ รำวงมาตรฐาน เป็นการแสดงที่มีวิวัฒนาการมาจาก “ รำโทน “ เป็นการรำและร้องของชาวบ้าน ซึ่งจะมีผู้รำทั้งชาย และหญิง รำกันเป็นคู่ ๆ รอบ ครกตำข้าวที่วางคว่ำไว้ หรือไม่ก็ รำกันเป็นวงกลม โดยมีโทนเป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ ลักษณะการรำ และร้องเป็นไปตามความถนัด ไม่มี แบบแผนกำหนดไว้ คงเป็นการรำ และร้องง่าย ๆ มุ่งเน้นที่ความสนุกสนานรื่นเริงเป็นสำคัญ เช่น เพลงช่อมาลี เพลงยวนยาเหล เพลงหล่อจิงนะดารา เพลงตามองตา เพลงใกล้เข้าไปอีกนิด ฯลฯ ด้วยเหตุที่การรำชนิดนี้มีโทน เป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ จึงเรียกการแสดงชุดนี้ว่า “ รำโทน “ ต่อมาเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๘๗ ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี รับบาลตระหนักถึงความสำคัญของการละเล่นรื่นเริงประจำชาติ และเห็นว่าคน ไทยนิยมเล่นรำโทนกันอย่างแพร่หลาย ถ้าปรับปรุงการเล่นรำโทนให้เป็นระเบียบทั้งเพลงร้องลีลาท่ารำ และการ แต่งกาย จำทำให้การเล่นรำโทนเป็นที่น่านิยมมากยิ่งขึ้น จึงได้มอบหมายให้กรมศิลปากรปรับปรุงรำโทนเสียใหม่ให้
เป็นมาตรฐาน มีการแต่งเนื้อร้อง ทำนองเพลงและนำท่ารำจากแม่บทมากำหนดเป็นท่ารำเฉพาะแต่ละเพลงอย่าง เป็นแบบแผน รำวงมาตรฐาน ประกอบด้วยเพลงทั้งหมด ๑๐ เพลง กรมศิลปากรแต่งเนื้อร้องจำนวน ๔ เพลง คือ เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลงรำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม แต่งเนื้อ ร้องเพิ่มอีก ๖ เพลง คือ เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงบูชานักรบ เพลงยอดชายใจหาญ ส่วนทำนองเพลงทั้ง ๑๐ เพลง กรมศิลปากร และกรมประชาสัมพันธ์เป็นผู้ แต่ง จากการสัมภาษณ์นางสุวรรณี ชลานุเคราะห์ ศิลปินแห่งชาติ สาชาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์ไทย) ปี พุทธศักราช ๒๕๓๓ อธิบายว่า “ท่ารำเพลงรำวงมาตรฐานประดิษฐ์ท่ารำโดย นางลมุล ยมะคุปต์ นางมัลลี คง ประภัศร์ และนางศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฏศิลป ส่วนผู้คิด ประดิษฐ์จังหวะเท้าของเพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ คือนางจิตรา ทองแถม ณ อยุธยา อาจารย์ใหญ่โรงเรียนสังคีตศิลป ปัจจุบันคือ วิทยาลัยนาฏศิลป ปีพ.ศ.๒๔๘๕ – ๒๔๘๖ เมื่อปรับปรุงแบบแผนการเล่นรำโทนให้มีมาตรฐาน และมีความเหมาะสม จึงมีการเปลี่ยนแปลงชื่อจากรำ โทนเป็น “รำวงมาตรฐาน” อันมีลักษณะการแสดงที่เป็นการรำร่วมกันระหว่างชาย – หญิง เป็นคู่ ๆ เคลื่อนย้าย เวียนไปเป็นวงกลม มีเพลงร้องที่แต่งทำนองขึ้นใหม่ มีการใช้ทั้งวงปี่พาทย์บรรเลงเพลงประกอบ และบางเพลงก็ใช้ วงดนตรีสากลบรรเลงเพลงประกอบ ซึ่งเพลงร้องที่แต่งขึ้นใหม่ทั้ง ๑๐ เพลง มีท่ารำที่กำหนดไว้เป็นแบบแผนคือ - เพลงงามแสงเดือน ท่าสอดสร้อยมาลา- เพลงชาวไทย ท่าชักแป้งผัดหน้า- เพลงรำมาซิมารำ ท่ารำส่าย- เพลงคืน เดือนหงาย ท่าสอดสร้อยมาลาแปลง- เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ ท่าแขกเต้าเข้ารัง และท่าผาลาเพียงไหล่- เพลง ดอกไม้ของชาติ ท่ารำยั่ว- เพลงหญิงไทยใจงาม ท่าพรหมสี่หน้า และท่ายูงฟ้อนหาง- เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า ท่า ช้างประสานงา และท่าจันทร์ทรงกลดแปลง- เพลงยอดชายใจหาญ หญิงท่าชะนีร่ายไม้ ชายท่าจ่อเพลิงกัลป์- เพลง บูชานักรบ หญิงท่าขัดจางนาง และท่าล่อแก้ว ชายท่าจันทร์ทรงกลดต่ำ และท่าขอแก้ว รำวงมาตรฐานนิยมเล่นในงานรื่นเริงบันเทิงต่าง ๆ และยังนิยมนำมาใช้เล่นแทนการเต้นรำ สำหรับเครื่องแต่ง กายก็มีการกำหนดการแต่งกายของผู้แสดงให้มีระเบียบด้วยการใช้ชุดไทย และชุดสากลนิยม โดยแต่งเป็นคู่ รับกัน ทั้งชายและหญิง อาทิ ผู้ชายนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อคอกลม มีผ้าคาดเอว ผู้หญิงนุ่งโจงกระเบน ห่มสไบอัดจีบ ผู้ชายนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อราชประแตน ผู้หญิงแต่งชุดไทยแบบรัชกาลที่ ๕ ผู้ชายแต่งสูท ผู้หญิงแต่งชุดไทยเรือน ต้น หรือไทยจักรี รำวงมาตรฐาน เป็นการรำที่ได้รับความนิยมสืบมาจนถึงปัจจุบัน มักนิยมนำมาใช้หลังจากจบการแสดง หรือ จบงานบันเทิงต่าง ๆ เพื่อเชิญชวนผู้ร่วมงานออกมารำวงร่วมกัน เป็นการแสดงความสามัคคีกลมเกลียว อีกทั้งยัง เป็นที่นิยมของชาวต่างชาติในการออกมารำวงเพื่อความสนุกสนาน
2. ครูอธิบายท่ารำและเพลงของรำวงมาตรฐานให้นักเรียนฟัง 3. ครูสั่งงานให้นักเรียนบันทึกประวัติการแสดง และเนื้อหาที่เรียนลงในสมุด ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป (ชั่วโมงที่1) 1. นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง รำวงมาตรฐาน ขั้นที่ 4 การนำไปใช้(ชั่วโมงที่1) 1. นักเรียนนำความรู้เรื่อง การแสดงนาฏศิลป์ไทยมาตรฐาน ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นการออก ออกกำลังกาย การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และสรีระร่างกาย รวมไปถึงการฟังจังหวะดนตรี ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (ชั่วโมงที่ 2) 1. ครูทบทวนเนื้อหาความรู้เรื่องรำวงมาตรฐานจากชั่วโมงที่แล้วให้นักเรียนฟัง ขั้นที่ 2 ขั้นสอน (ชั่วโมงที่2) 1. ครูเข้าสู่เนื้อหาการปฏิบัติท่ารำเบื้องต้นของรำวงมาตรฐาน 2. ครูอธิบายถึง รูปแบบ และลักษณะการแสดง ดังนี้ รำวงมาตรฐานจะมีท่ารำเฉพาะในแต่ละเพลง โดยครูจะเริ่มสาธิตท่ารำเบื้องต้นจากเพลงที่ 1 คือเพลงงามแสงเดือน จนถึงเพลงที่ 10 เพลงบูชานักรบ 3. ครูให้นักเรียนปฏิบัติท่ารำพร้อมกันทุกคนในชั้นเรียนโดยมีครูสาธิตท่ารำแล้วนักเรียนทำตาม ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป (ชั่วโมงที่2) 1. นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง ท่ารำเบื้องต้นของรำวงมาตรฐาน 2. ครูสั่งงานให้เรียนไปจดจำท่ารำที่ครูสอนในชั่วโมงนี้ เพื่อทำการทดสอบในชั่วโมงถัดไป ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ (ชั่วโมงที่2) 1. นักเรียนนำความรู้เรื่อง การแสดงนาฏศิลป์ไทยมาตรฐาน ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นการออก ออกกำลังกาย การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และสรีระร่างกาย รวมไปถึงการฟังจังหวะดนตรี ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (ชั่วโมงที่ 3) 1. ครูทบทวนเนื้อหาความรู้เรื่อง ท่ารำ การแสดงรำวงมาตรฐาน 2. ครูให้นักเรียนซ้อมปฏิบัติท่ารำ เพื่อทำการทดสอบรายบุคคล ขั้นที่ 2 ขั้นสอน (ชั่วโมงที่ 3) 1. ครูเข้าสู่บทเรียนเรื่องท่ารำเบื้องต้นของการแสดง รำวงมาตรฐาน
2. ครูทำสลากเพลงรำวงมาตรฐาน ดังนี้ เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลงรำซิมารำ เพลงคืนเดือน หงาย เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงบูชานักรบ เพลงยอดชายใจหาญ 3. ครูให้นักเรียนจับสลากตามเลขที่ แล้วสาธิตท่ารำ แล้วทำการทดสอบให้เสร็จภายในชั่วโมง ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป (ชั่วโมงที่ 3) 1. ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง ท่ารำของรำวงมาตรฐาน ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ (ชั่วโมงที่ 3) 1. นักเรียนนำความรู้เรื่อง การแสดงนาฏศิลป์ไทยมาตรฐาน ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นการออก ออกกำลังกาย การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และสรีระร่างกาย รวมไปถึงการฟังจังหวะดนตรี ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (ชั่วโมงที่ 4) 1. ครูทบทวนความรู้เรื่องการแสดงรำวงมาตรฐาน 2. ครูเปิดเพลงงามแสงเดือนให้นักเรียนฟัง ขั้นที่ 2 ขั้นสอน (ชั่วโมงที่ 4) 1. ครูเปิดเพลงงามแสดงเดือนและพานักเรียนร้องเพลง โดยมีเนื้อร้องดังนี้ งามแสงเดือนมาเยือนส่องหล้า งามใบหน้าเมื่ออยู่วงรำ งามแสงเดือนมาเยือนส่องหล้า งามใบหน้าเมื่ออยู่วงรำ เราเล่นกันเพื่อสนุก เปลื้องทุกข์วายระกำ ขอให้เล่นฟ้อนรำ เพื่อสามัคคีเอย 2. โดยครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม 4-6 คน และทำการร้องเพลงทีละกลุ่ม ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป (ชั่วโมงที่ 4) 1. ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง รำวงมาตรฐาน เพลงงามแสงเดือน และเนื้อร้องของการแสดงชุดนี้ 2. ครูสั่งงานให้นักเรียนไปฝึกร้องเพลงงามแสงเดือน และชั่วโมงถัดไปครูจะพานักเรียนปฏิบัติ ท่ารำเพลงงามแสง เดือน ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ (ชั่วโมงที่ 4) 1. นักเรียนนำความรู้เรื่อง การแสดงนาฏศิลป์ไทยมาตรฐาน ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นการออก ออกกำลังกาย การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และสรีระร่างกาย รวมไปถึงการฟังจังหวะดนตรี
ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (ชั่วโมงที่ 5) 1. ครูเปิดเพลงงามแสงเดือน และให้นักเรียนร้องพร้อมกันทั้งชั้นเรียน 2. ครูให้เรียนร้องเพลงงามแสงเดือนทีละกลุ่ม เพื่อจดจำเนื้อร้อง ขั้นที่ 2 ขั้นสอน (ชั่วโมงที่ 5) 1. ครูให้นักเรียนปฏิบัติท่ารำโดยจับคู่ในกลุ่มตัวเอง คนที่มีรูปร่างสูงจะสวมบทบาทเป็นผู้ชายและคนที่มี รูปร่างเล็กจะสวมบทบาทเป็นผู้หญิง 2. ครูอธิบายท่ารำ ดังนี้ มือซ้ายจีบที่ชายพก มือขวาตั้งวงบนระดับคิ้วทั้งตัวพระและตัวนาง และย่ำเท้า ตามจังหวะเพลง โดยปฏิบัติพร้อมกันทั้งชั้นเรียนเป็นวงรี 3. จากนั้นให้นักเรียนปฏิบัติทีละกลุ่ม จนหมดชั่วโมง ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป (ชั่วโมงที่ 5) 1. ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง รำวงมาตรฐาน เพลงงามแสงเดือน และท่ารำของการแสดงชุดนี้ ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ (ชั่วโมงที่ 5) 1. นักเรียนนำความรู้เรื่อง การแสดงนาฏศิลป์ไทยมาตรฐาน ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นการออก ออกกำลังกาย การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และสรีระร่างกาย รวมไปถึงการฟังจังหวะดนตรี ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (ชั่วโมงที่ 6) 1. ครูทบทวนเพลงงามแสงเดือน และให้นักเรียนร้องพร้อมกันทั้งชั้นเรียน 2. ครูเปิดเพลงชาวไทยให้นักเรียนฟัง และอธิบายความหมายของเพลง ขั้นที่ 2 ขั้นสอน (ชั่วโมงที่ 6) 1. ครูเข้าสู่บทเรียนโดยพานักเรียนร้องเพลง ชาวไทยโดยมีเนื้อร้องดังนี้ “ ชาวไทยเจ้าเอ๋ยขออย่าละเลยในการทำหน้าที่ การที่เราได้เล่นสนุกเปลื้องทุกข์สบายอย่างนี้ เพราะชาติเราได้เสรีมีเอกราชสมบูรณ์ เราจึงควรช่วยชูชาติให้เก่งกาจเจิดจำรูญ เพื่อความสุขเพิ่มพูนของชาวไทยเราเอย ” 2. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม 4-6 คน แล้วร้องเพลงทีละกลุ่ม