The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้ ศิลปะพื้นฐาน(นาฏศิลป์) ศ22101

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Phakhin Phudin 63040105120, 2024-02-10 14:46:14

แผนการจัดการเรียนรู้ ศิลปะพื้นฐาน(นาฏศิลป์) ศ22101

แผนการจัดการเรียนรู้ ศิลปะพื้นฐาน(นาฏศิลป์) ศ22101

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 20 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่3 รหัสวิชา ศ22101 หน่วยการจัดการเรียนรู้ที่9 การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง เวลา 10 ชั่วโมง เรื่อง การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคกลาง รำกลองยาว เวลา 1 ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครูผู้สอน นายภาคิณ ภูดิน 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจและแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า นาฏศิลป์ ถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มาตรฐาน ศ 3.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของ นาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล 2. ตัวชี้วัดชั้นปี สร้างสรรค์การแสดงโดยใช้องค์ประกอบนาฏศิลป์และการละคร (ศ 3. ม.2/2) เสนอข้อคิดเห็นในการปรับปรุงการแสดง (ศ 3.1 ม.2/4) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. สามารถอธิบายความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองได้ (K) 2. สามารถปฏิบัติการแสดงนาฏศิลป์เบื้องต้นได้ (P) 4. เห็นความสำคัญของศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และอารยธรรมท้องถิ่น (A) 4. สาระสำคัญ การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองในแต่ละภาคจะสะท้อนให้เห็นถึงศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และเอดลักษณ์ประจำท้องถิ่นที่แตกต่างกันออกไป การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองเมืองของแต่ละท้องถิ่น จะประกอบ ไปด้วยเพลงพื้นเมืองและการฟ้อนรำพื้นเมืองดังนั้น การเรียนรู้และการฝึกหัดแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง จะช่วยทำให้ เราเข้าใจลักษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศิลป์ในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งจะช่วยให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการแสดง นาฏศิลป์ไทยมาจรฐาน นาฏศิลป์พื้นเมือง หรือมหรสพอื่นๆที่เคยนิยมกันในอดีตอีกด้วย 5. สาระการเรียนรู้ นาฏศิลป์พื้นเมือง ความหมาย ที่มา วัฒนธรรม ลักษณะเฉพาะ และรูปแบบการแสดงประเภทต่างๆ


6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน 3. รักความเป็นไทย 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนไปชมการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคกลางรำกลองยาว อินเทอร์เน็ตหรือ เว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น www.youtube.com 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทบทวนความรู้นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคกลาง รำกลองยาว จากชั่วโมงที่แล้วให้นักเรียนฟัง 2. ครูเปิดการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคกลาง รำกลองยาว ให้นักเรียนรับชม ขั้นที่ 2 ขั้นสอน 1. ครูเข้าสู่บทเรียนและอธิบายถึงการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคกลาง ชุดการแสดงรำกลองยาว ให้ นักเรียนฟัง โดยจะอธิบายดังนี้ ประวัติรำกลองยาวรำกลองยาว ประเพณีการกลองยาว หรือ เถิดเทิง มีผู้เล่าให้ฟัง เป็นเชิงสันนิษฐานว่าเป็นของพม่า นิยมเล่นกันมาก่อนเมื่อครั้งที่พม่ามาทำสงครามกับไทยในสมัยกรุงธนบุรี หรือ สมัยต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เวลาพักรบพวกทหารพม่าก็จะเล่นสนุกสนานกันด้วยการเล่นต่างๆ ซึ่งทหารพม่าบาง พวกก็เล่น “กลองยาว” พวกไทยเราได้เห็นก็จำมาเล่นกันบ้าง เมื่อชาวไทยเห็นว่ารำกลองยาวเป็นการเล่นที่ สนุกสนาน และเล่นได้ง่ายก็นิยมเล่นกันไปแทบ ทุกบ้านทุกเมืองมาจนทุกวันนี้ ประวัติความเป็นมา คณะกลองยาวที่มีชื่อเสียงมากของชาวอำเภอพยุหะคีรี ได้แก่ คณะ บ.รุ่งเรืองศิลป์ ของนายบุญ เอี่ยมเวช ซึ่งได้ดัดแปลงท่าร่ายรำมาจากท่าร่ายรำของลิเก พร้อมได้ดัดแปลงประดิษฐ์ชุดแต่งกายขึ้น โดยเลียนแบบจากเครื่องแต่งกายของลิเกเช่นกัน และใช้ชื่อว่า “กลองยาวประยุกต์” และได้นำออกแสดงเป็นครั้ง แรกราวปี พ.ศ. 2500 ผู้เล่นในตอนแรกผู้ร่ายรำใช้ทั้งชายและหญิง ต่อมาเปลี่ยนเป็นใช้ผู้หญิงเป็นผู้ร่ายรำเท่านั้น ส่วนผู้ชายทำหน้าที่ตีกลองยาว และเครื่องดนตรีประกอบ ในตอนแรกมีผู้เล่นทั้งหมด 16 คน โดยมีผู้ตีกลองยืน 3


คน และผู้ตีเครื่องดนตรีประกอบได้แก่ ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง ฆ้อง อีก 5 คน สำหรับผู้รำมี 4 คู่ 8 คน มีผู้รำคนหนึ่ง เป็นหัวหน้า คล้องนกหวีดไว้ที่คอสำหรับเป่าเป็นสัญญาณในการเปลี่ยนท่ารำ ในตอนหลังมีการเพิ่มเครื่องดนตรี เช่น กลองอเมริกันและปี่ชวาขึ้น และเพิ่มความครึกครื้น ก็เพิ่มผู้ร่ายรำเข้าไป 1.2 อุปกรณ์ในการเล่น กลองยาวที่ใช้ตีเป็นกลองยืน 3 ใบ กลองใหญ่ (กลองอเมริกัน) ฉาบเล็ก 1 คู่ ฉาบ ใหญ่ 1 คู่ ฉิ่ง 1 คู่ ปี่ชวา 1 เลา ฆ้อง 1 ใบ กรับ 1 คู่และกลองยาวที่ผู้รำใช้ประกอบการร่ายรำอีกคนละ 1 ใบ 1.3 โอกาสและวิธีการเล่น นิยมเล่นกันในงานตรุษ งานสงกรานต์ หรืองานแห่แหน ซึ่งต้อง เดินเคลื่อน ขบวน เช่น ในงานแห่นาค แห่พระ และแห่กฐิน เป็นต้น คนดูคนใดรู้สึกสนุกจะเข้าไป รำด้วยก็ได้ เพราะเป็นการ เล่นอย่างชาวบ้าน เคลื่อนไปกับขบวน พอถึงที่ตรงไหนมีลานกว้างหรือเหมาะก็หยุดตั้งวงเล่นกันก่อนพักหนึ่งแล้ว เคลื่อนไปต่อ การเล่นเถิดเทิงกรมศิลปากรปรับปรุงใหม่ กำหนดให้มีแบบแผนลีลาท่ารำ โดยกำหนดให้มีกลองรำ กลองยืนด้วย กลองรำ หมายถึง ผู้ที่แสดงลวดลายในการร่ายรำ กลองยืน หมายถึง ผู้ตีกลองยืนให้จังหวะในการ รำ การเล่นเถิดเทิงแบบนี้มีมาตรฐานตายตัว ผู้เล่นทั้งหมดต้องได้รับการฝึกฝนมาก่อน คนดูจะได้เห็นความงามและ ความสนุกสนานแม้จะไม่ได้ร่วมเล่นด้วยก็ตาม จำนวนผู้แสดงแบบนี้จะมีเป็นชุด คือ พวกตีเครื่องประกอบจังหวะ คนตีกลองยืน คนตีกลองรำ และผู้หญิงที่รำล่อ พวกตีประกอบจังหวะ จะร้องประกอบเร่งเร้าอารมณ์ให้สนุกสนาน ในขณะที่ตีด้วย เช่น “มาแล้วโหวย มาแล้ววา มาแต่ของเขา ของเราไม่มา ตะละล้า” “ต้อนเข้าไว้ ต้อนเขาไว้ เอา ไปบ้านเรา พ่อก็แก่แม่ก็เฒ่าเอาไปหุงข้าวให้พวกเรากินตะละล้า” “ใครมีมะกรูด มาแลกมะนาว ใครมีลูกสาว มา แลกลูกเขย เอาวะ เอาเหวย ลูกเขยกลองยาว ตะละล้า” ที่เรียกการเล่นประเภทนี้ว่า เถิดเทิง เทิงบ้องนั้น คงเรียก กันตามเสียงกลองยาว กล่าวคือมีเสียงเมื่อเริ่มตีเป็นจังหวะ หูคนไทยได้ยินเป็นว่า “เถิด – เทิง – บ้อง – เทิง – บ้อง” เลยเรียกตามเสียงที่ได้ยินว่าเถิดเทิง หรือเทิงบ้องกลองยาวตามกันไป เพื่อให้ต่างกับการเล่นอื่น ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง การแสดงรำกลองยาว ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ 1. นักเรียนนำความรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองไปบูรนาการกับรายวิชาอื่น เช่นสังคมศึกษา วิชา ประวัติศาสตร์ ภาษาไทย ดนตรี ศิลปะ และนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับวิถีชีวิตและอายธรรมท้องถิ่นของตัวเอง


10. สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ม.2 บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด 2. อินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ 3. www.youtube.com 11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม (A) 1. สามารถอธิบายความรู้ ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์ พื้นเมืองได้ (K) 2. สามารถปฏิบัติการแสดง นาฏศิลป์เบื้องต้นได้ (P) 4. เห็นความสำคัญของ ศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และอารยธรรมท้องถิ่น (A)


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 21 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่3 รหัสวิชา ศ22101 หน่วยการจัดการเรียนรู้ที่9 การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง เวลา 10 ชั่วโมง เรื่อง การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใต้ ลิเกฮูลู เวลา 1 ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครูผู้สอน นายภาคิณ ภูดิน 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจและแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า นาฏศิลป์ ถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มาตรฐาน ศ 3.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของ นาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล 2. ตัวชี้วัดชั้นปี สร้างสรรค์การแสดงโดยใช้องค์ประกอบนาฏศิลป์และการละคร (ศ 3. ม.2/2) เสนอข้อคิดเห็นในการปรับปรุงการแสดง (ศ 3.1 ม.2/4) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. สามารถอธิบายความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองได้ (K) 2. สามารถปฏิบัติการแสดงนาฏศิลป์เบื้องต้นได้ (P) 4. เห็นความสำคัญของศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และอารยธรรมท้องถิ่น (A) 4. สาระสำคัญ การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองในแต่ละภาคจะสะท้อนให้เห็นถึงศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และเอดลักษณ์ประจำท้องถิ่นที่แตกต่างกันออกไป การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองเมืองของแต่ละท้องถิ่น จะประกอบ ไปด้วยเพลงพื้นเมืองและการฟ้อนรำพื้นเมืองดังนั้น การเรียนรู้และการฝึกหัดแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง จะช่วยทำให้ เราเข้าใจลักษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศิลป์ในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งจะช่วยให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการแสดง นาฏศิลป์ไทยมาจรฐาน นาฏศิลป์พื้นเมือง หรือมหรสพอื่นๆที่เคยนิยมกันในอดีตอีกด้วย 5. สาระการเรียนรู้ นาฏศิลป์พื้นเมือง ความหมาย ที่มา วัฒนธรรม ลักษณะเฉพาะ และรูปแบบการแสดงประเภทต่างๆ


6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน 3. รักความเป็นไทย 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนไปชมการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใต้ ลิเกฮูลู อินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์ ต่าง ๆ เช่น www.youtube.com 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทบทวนความรู้นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคกลาง รำกลองยาว จากชั่วโมงที่แล้วให้นักเรียนฟัง 2. ครูเปิดการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใต้ ลิเกฮูลู ให้นักเรียนรับชม ขั้นที่ 2 ขั้นสอน 1. ครูเข้าสู่บทเรียนและอธิบายถึงการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใต้ ชุดการแสดงลิเกฮูลูให้นักเรียนฟัง โดยจะอธิบายดังนี้ มีผู้ให้ที่มาของดิเกฮูลูเอาไว้หลายสำนวน ในที่นี้จะขอหยิบยกออกมา 2 สำนวน กล่าวคือ หนึ่ง ตามสำนวนที่รับรู้กันโดยทั่วไป มีผู้รู้บางท่านได้ศึกษาไว้ว่าดิเก (Dikir) มีรากศัพท์มาจากคำว่าซี เกร์ ซึ่งเป็นภาษา อาหรับ หมายถึงการอ่านทำนองเสนาะ ส่วนคำว่าฮูลู แปลว่าใต้หรือทิศใต้ รวมความแล้วหมายถึงการขับบทกลอน เป็นทำนองเสนาะจากทางใต้ ท่านผู้รู้ยังได้กล่าวไว้อีกว่า ลิเกฮูลูน่าจะเกิดขึ้นเริ่มแรกที่อำเภอรามัน ซึ่งไม่ทราบแน่ว่าผู้ริเริ่มนี้คือใคร ข้อสนับสนุนก็คือชาวปัตตานีเรียกคนในอำเภอรามันว่าคนฮูลู ในขณะที่คนมาเลเซียเรียกศิลปะนี้ว่า "ลิเกปารัต" ซึ่ง ปารัต แปลว่าเหนือ จึงเป็นที่ยืนยันได้ว่า ดิเกฮูลู หรือดิเกปารัตนี้มาจากทางเหนือของมาเลเซียและทางใต้ของ ปัตตานี ซึ่งก็คือบริเวณอำเภอรามัน จังหวัดยะลาและสำนวนที่สอง จากการศึกษาของประพนธ์ เรืองณรงค์ ใน หนังสือ "บุหงาปัตตานี คติชนไทยมุสลิมชายแดนภาคใต้" คำว่าลิเก หรือลิเก ในพจนานุกรม Kamus Dewan พิมพ์ โดยสมาคมภาษาและหนังสือประเทศมาเลเซียเรียกลิเกเป็นดิเกร์เป็นศัพท์เปอร์เซีย มีสองความหมายคือ เพลงสวด


สรรเสริญพระเจ้า ปกติเป็นการขับร้องเนื่องในเทศกาลวันกำเนิดพระนะบีมุฮัมมัด ชาวมุสลิมเรียกงานเมาลิด เรียก การสวดดังกล่าวนี้ว่า "ดิเกเมาลิด" นอกจากนี้ดิเกยังหมายถึงกลอนเพลงโต้ตอบ นิยมเล่ากันเป็นกลุ่มหรือเป็นคณะ โดยมีไม้ไผ่มาตัดท่อนสั้นแล้วหุ้มกาบไม้ข้างหนึ่งทำให้เกิดเสียงดัง แล้วร้องรำทำเพลงขับแก้กันตามประสาชาวป่า (ว่ากันว่าไม้ไผ่หุ้มกาบไม้นี้ได้กลายเป็นบานอ หรือรือปานา หรือรำมะนาที่ใช้กันมาจนทุกวันนี้) ประพนธ์ เรืองณรงค์ ได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า ดิเกน่าจะมาจากความหมายที่สอง คือกลอนเพลงโต้ตอบ นิยม เล่นกันเป็นหมู่คณะ ซึ่งเป็นการร้องเพลงลำตัดภาษาอาหรับ ที่เรียกว่า "ซีเกร์มีรฮาแบ" การร้องเป็นภาษาอาหรับ ถึงแม้จะไพเราะแต่คนไม่เข้าใจ จึงนำเอาเนื้อเพลงภาษาพื้นเมือง ซึ่งก็คือภาษายาวีตีเข้ากับรำมะนา จึงกลายเป็นดิ เกฮูลูมาตราบเท่าปัจจุบันและการแสดงประเภทนี้น่าจะมีขึ้นครั้งแรก ณ ท้องที่เหนือลำน้ำอันเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำ ปัตตานี ซึ่งชาวบ้านเรียกฮูลู หรือทิศฮูลู (ฝ่ายใต้ลำน้ำเรียกฮิเล) ตรงทิศฮูลูเป็นแหล่งกำเนิดฮูลูนั้น เข้าใจว่าคือ ท้องที่อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี และอำเภอบันนังสตา อำเภอเบตง จังหวัดยะลาดิเกฮูลูแต่ละคณะจะมีสมาชิก ประมาณ 10 กว่าคน เป็นชายล้วน เป็นผู้ขับร้องต้นเสียง 1-3 คน ที่เหลือจะเป็นลูกคู่ และอาจมีนักร้องภายนอกวง มาสมทบร่วมสนุกอีกก็ได้บทกลอนที่ใช้ขับร้องนั้น เรียกเป็นภาษามลายูท้องถิ่นว่าปันตน หรือปาตง เวลาแสดงใช้ ขับกลอนโต้ตอบ ไม่ได้แสดงเป็นเรื่องราวดังเช่นการละเล่นพื้นบ้านอย่างอื่น เช่น มะโย่ง หรือมโนห์รา 1.2 การแต่งกาย การแต่งกายของผู้เล่นดิเกฮูลู สมัยก่อนมักแต่งชุดอย่างชาวบ้านทั่วไปคือ โพกหัว สวม เสื้อคอกลม นุ่งโสร่ง บางครั้งเหน็บขวานไว้ข่มขวัญคู่ต่อสู้ ต่อมามีการแต่งกายแบบเล่นสิละ (ศิลปะการต่อสู้ป้องกัน ตัวของชาวใต้) คือนอกจากจะนุ่งกางเกงขายาวธรรมดาเหมือนแต่เดิม ก็นุ่งผ้าโสร่งซอเกตลายสวยสดทับข้างนอก สั้นเหนือเข่าเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง พร้อมกับมีผ้าลือปักคาดสะเอว นอกนั้นก็สวมเสื้อคอกลมมีผ้าโพกศีรษะเหมือนเดิม ปัจจุบันนิยมแต่งกายแบบสมัยนิยม หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการออกแบบของแต่ละคณะให้มีสีสันสดใสสะดุดตา 1.3 เวทีแสดงจะยกพื้นประมาณ 1 เมตร เปิดโล่งไม่มีม่าน ไม่มีฉาก ลูกคู่จะขึ้นไปนั่งล้อมวง ร้องรับและตบ มือโยกตัวให้เข้ากับจังหวะดนตรี ส่วนผู้ร้องหรือผู้โต้กลอนจะลุกขึ้นยืนข้าง ๆ วงลูกคู่ ถ้ากรณีมีการประชันกัน แต่ ละคณะจะขึ้นไปอยู่บนเวทีด้วยกัน แต่ล้อมวงแยกกันพอสมควร การแสดงก็ผลัดกันร้องทีละรอบทั้งรุกทั้งรับ เป็นที่ ครึกครื้นแก่ผู้ชมดนตรีดิเกฮูลูประกอบด้วยรำมะนาอย่างน้อย 2 ใบ ใช้ตีดำเนินจังหวะในการแสดง ฆ้อง 1 วง เป็น เครื่องกำกับจังหวะ ตีสม่ำเสมอประกอบการแสดง นอกจากนี้ยังมีเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบและเป็นที่นิยมกันว่ามี ส่วนทำให้สนุกสนานกันมากยิ่งขึ้น เช่น ขลุ่ย ลูกแซก แต่จังหวะที่ใช้เป็นประเพณีในการเล่นคือ การตบมือ 1.4 การแสดงการแสดงจะเริ่มต้นการแสดงด้วยดนตรีโหมโรงเป็นการเรียกผู้ชมและเร้าอารมณ์คนดู สมัยก่อนมีการไหว้ครูในกรณีที่มีการประชันกันระหว่างหมู่บ้าน (หรืออาจมีหมอผีของแต่ละฝ่ายปัดรังควานไล่ผีคู่ ต่อสู้ก็มี) ปัจจุบันสู้กันด้วยศิลปะหรือคารมอย่างเดียว เมื่อลูกคู่โหมโรงเสร็จ ต่อจากนั้นนักร้องต้นเสียงจะออกมา วาดลวดลายด้วยเพลงในจังหวะต่าง ๆ ทีละคน เริ่มต้นเนื้อร้องกล่าวถึงความประสงค์ในการเล่น แล้วจึงเข้าสู่


เรื่องราวแสดง ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องราวจากเหตุการณ์บ้านเมือง ปัญหาท้องถิ่น ความรักของหนุ่มสาว หรือเรื่องตลก โปกฮา ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง การแสดงลิเกฮูลู ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ 1. นักเรียนนำความรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองไปบูรนาการกับรายวิชาอื่น เช่นสังคมศึกษา วิชา ประวัติศาสตร์ ภาษาไทย ดนตรี ศิลปะ และนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับวิถีชีวิตและอายธรรมท้องถิ่นของตัวเอง 10. สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ม.2 บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด 2. อินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ 3. www.youtube.com 11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม (A) 1. สามารถอธิบายความรู้ ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์ พื้นเมืองได้ (K) 2. สามารถปฏิบัติการแสดง นาฏศิลป์เบื้องต้นได้ (P) 4. เห็นความสำคัญของ ศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และอารยธรรมท้องถิ่น (A)


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 22 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่3 รหัสวิชา ศ22101 หน่วยการจัดการเรียนรู้ที่9 การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง เวลา 10 ชั่วโมง เรื่อง การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใต้ หนังตะลุง เวลา 1 ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครูผู้สอน นายภาคิณ ภูดิน 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจและแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า นาฏศิลป์ ถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มาตรฐาน ศ 3.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของ นาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล 2. ตัวชี้วัดชั้นปี สร้างสรรค์การแสดงโดยใช้องค์ประกอบนาฏศิลป์และการละคร (ศ 3. ม.2/2) เสนอข้อคิดเห็นในการปรับปรุงการแสดง (ศ 3.1 ม.2/4) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. สามารถอธิบายความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองได้ (K) 2. สามารถปฏิบัติการแสดงนาฏศิลป์เบื้องต้นได้ (P) 4. เห็นความสำคัญของศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และอารยธรรมท้องถิ่น (A) 4. สาระสำคัญ การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองในแต่ละภาคจะสะท้อนให้เห็นถึงศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และเอดลักษณ์ประจำท้องถิ่นที่แตกต่างกันออกไป การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองเมืองของแต่ละท้องถิ่น จะประกอบ ไปด้วยเพลงพื้นเมืองและการฟ้อนรำพื้นเมืองดังนั้น การเรียนรู้และการฝึกหัดแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง จะช่วยทำให้ เราเข้าใจลักษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศิลป์ในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งจะช่วยให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการแสดง นาฏศิลป์ไทยมาจรฐาน นาฏศิลป์พื้นเมือง หรือมหรสพอื่นๆที่เคยนิยมกันในอดีตอีกด้วย 5. สาระการเรียนรู้ นาฏศิลป์พื้นเมือง ความหมาย ที่มา วัฒนธรรม ลักษณะเฉพาะ และรูปแบบการแสดงประเภทต่างๆ


6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน 3. รักความเป็นไทย 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนไปชมการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใต้ หนังตะลุง อินเทอร์เน็ตหรือ เว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น www.youtube.com 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทบทวนความรู้นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใต้ ลิเกฮูลู จากชั่วโมงที่แล้วให้นักเรียนฟัง 2. ครูเปิดการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใต้ หนังตะลุง ให้นักเรียนรับชม ขั้นที่ 2 ขั้นสอน 1. ครูเข้าสู่บทเรียนและอธิบายถึงการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใต้ ชุดการแสดงหนังตะลุง ให้นักเรียน ฟัง โดยจะอธิบายดังนี้ หนังตะลุง คือ ศิลปะการแสดงประจำท้องถิ่นอย่างหนึ่งของภาคใต้ เป็นการเล่าเรื่องราวที่ ผูกร้อยเป็นนิยาย ดำเนินเรื่องด้วยบทร้อยกรองที่ขับร้องเป็นสำเนียงท้องถิ่น หรือที่เรียกกันว่าการ "ว่าบท" มีบท สนทนาแทรกเป็นระยะ และใช้การแสดงเงาบนจอผ้าเป็นสิ่งดึงดูดสายตาของผู้ชม ซึ่งการว่าบท การสนทนา และ การแสดงเงานี้ นายหนังตะลุงเป็นคนแสดงเองทั้งหมดนั่นเอง หนังตะลุงเป็นมหรสพที่นิยมแพร่หลายอย่างยิ่งมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในยุคสมัยก่อนที่จะมีไฟฟ้าใช้ กันทั่วถึงทุกหมู่บ้านอย่างในปัจจุบัน หนังตะลุงแสดงได้ทั้งในงานบุญและงานศพ ดังนั้นงานวัด งานศพ หรืองาน เฉลิมฉลองที่สำคัญจึงมักมีหนังตะลุงมาแสดงให้ชมด้วยเสมอแต่เมื่อเวลาผ่านไป หนังตะลุงกลับกลายเป็นความ บันเทิงที่ต้องจัดหามาในราคาที่ "แพงและยุ่งยากกว่า" เมื่อเทียบกับภาพยนตร์ เพราะการจ้างหนังตะลุงมาแสดง เจ้าภาพต้องจัดทำโรงหนังเตรียมไว้ให้ และเพราะหนังตะลุงต้องใช้แรงงานคน (และฝีมือ) มากกว่าการฉาย ภาพยนตร์ ค่าจ้างต่อคืนจึงแพงกว่า ยุคที่การฉายภาพยนตร์เฟื่องฟู หนังตะลุงและการแสดงท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น


มโนราห์ รองแง็ง ฯลฯ ก็ซบเซาลง ยิ่งเมื่อเข้าสู่ยุคที่ทุกบ้านมีโทรทัศน์ดู ละครโทรทัศน์จึงเป็นความบันเทิงราคาถูก และสะดวกสบาย ที่มาแย่งความสนใจไปจากศิลปะพื้นบ้านเสียเกือบหมดปัจจุบัน โครงการสำนักงาน คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้ส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์และสืบทอดศิลปะการแสดงหนังตะลุงให้แก่อนุชนรุ่น หลัง เพื่อรักษามรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่านี้ให้คงอยู่สืบไป 1.2 ประวัตินักวิชาการหลายท่านเชื่อว่า มหรสพการแสดงเงาจำพวกหนังตะลุงนี้ เป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ ของมนุษยชาติ เคยปรากฏแพร่หลายมาทั้งในแถบประเทศยุโรป และเอเชีย โดยอ้างว่า มีหลักฐานปรากฏอยู่ว่า เมื่อครั้งพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชมีชัยชนะเหนืออียิปต์ ได้จัดให้มีการแสดงหนัง (หรือการละเล่นที่คล้ายกัน) เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะและประกาศเกียรติคุณของพระองค์ และเชื่อว่า มหรสพการแสดงเงานี้มีแพร่หลายใน ประเทศอียิปต์มาแต่ก่อนพุทธกาล ในประเทศอินเดีย พวกพราหมณ์แสดงหนังที่เรียกกันว่า ฉายานาฏกะ เรื่องมหา กาพย์รามายณะ เพื่อบูชาเทพเจ้าและสดุดีวีรบุรุษ ส่วนในประเทศจีน มีการแสดงหนังสดุดีคุณธรรมความดีของ สนมเอกแห่งจักรพรรดิยวนตี่ (เมื่อพระนางวายชนม์)ในสมัยต่อมา การแสดงหนังได้แพร่หลายเข้าสู่ในเอเชีย อาคเนย์ เขมร พม่า ชวา มาเลเซีย และประเทศไทย คาดกันว่า หนังใหญ่คงเกิดขึ้นก่อนหนังตะลุง และประเทศ แถบนี้คงจะได้แบบมาจากอินเดีย เพราะยังมีอิทธิพลของพราหมณ์หลงเหลืออยู่มาก เรายังเคารพนับถือฤาษี พระ อิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ยิ่งเรื่องรามเกียรติ์ ยิ่งถือว่าเป็นเรื่องขลังและศักดิ์สิทธิ์ หนังใหญ่จึงแสดง เฉพาะเรื่องรามเกียรติ์ เริ่มแรกคงไม่มีจอ คนเชิดหนังใหญ่จึงแสดงท่าทางประกอบการเชิดไปด้วยเชื่อกันว่าหนัง ใหญ่มีอยู่ก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพราะมีหลักฐานอ้างอิงว่า มีนักปราชญ์ผู้หนึ่งเป็นชาวเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นผู้เชี่ยวชาญทางโหราศาสตร์และทางกวี สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงเรียกตัวเข้ากรุงศรี อยุธยา ต่อมาได้เป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมหาราชครูหรือพระ โหราธิบดี และมีรับสั่งให้พระมหาราชครูฟื้นฟูการเล่นหนัง (หนังใหญ่) อันเป็นของเก่าแก่ขึ้นใหม่ ดังปรากฏใน สมุทรโฆษคำฉันท์ว่า ไหว้เทพยดาอา- รักษ์ทั่วทิศาดร ขอสวัสดิขอพร ลุแก่ใจดั่งใจหวัง ทนายผู้คอยความ เร่งตามไต้ส่องเบื้องหลัง จงเรืองจำรัสทั้ง ทิศาภาคทุกพาย จงแจ้งจำหลักภาพ อันยงยิ่งด้วยลวดลาย ให้เห็นแก่ทั้งหลาย ทวยจะดูจงดูดี


ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง การแสดงหนังตะลุง ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ 1. นักเรียนนำความรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองไปบูรนาการกับรายวิชาอื่น เช่นสังคมศึกษา วิชา ประวัติศาสตร์ ภาษาไทย ดนตรี ศิลปะ และนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับวิถีชีวิตและอายธรรมท้องถิ่นของตัวเอง 10. สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ม.2 บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด 2. อินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ 3. www.youtube.com 11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม (A) 1. สามารถอธิบายความรู้ ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์ พื้นเมืองได้ (K) 2. สามารถปฏิบัติการแสดง นาฏศิลป์เบื้องต้นได้ (P) 4. เห็นความสำคัญของ ศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และอารยธรรมท้องถิ่น (A)


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 23 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่3 รหัสวิชา ศ22101 หน่วยการจัดการเรียนรู้ที่10 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการละคร เวลา 3 ชั่วโมง เรื่อง หลักการสร้างสรรค์การละคร เวลา 1 ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครูผู้สอน นายภาคิณ ภูดิน 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจและแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า นาฏศิลป์ ถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มาตรฐาน ศ 3.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของ นาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล 2. ตัวชี้วัดชั้นปี สร้างสรรค์การแสดงโดยใช้องค์ประกอบนาฏศิลป์และการละคร (ศ 3. ม.2/2) เชื่อมโยงการเรียนรู้ระหว่างนาฏศิลป์และการละครกับสาระการเรียนรู้อื่น (ศ 3.1 ม.2/4) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. มีความเข้าใจในความหมายของบทละคร และเข้าใจความหมายของตัวละคร (K) 2. มีความสามารถในการคิดบทละคร และปฏิบัติการแสดงในบทบาทสมมุติได้(P) 3. มองเห็นสุนทรียภาพในศิลปะแห่งการแสดง และบทบาทของตัวละครนั้น (A) 4. สาระสำคัญ ละครเป็นศิลปะการแสดงที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น จากการนำภาพประสบการณ์และจินตนาการของมนุษย์ มาผูกเป็นเรื่องและนำเสนอในรูปแบบของการแสดง โดยมีผู้แสดงเป็นผู้สื่อความหมายที่เป็นเรื่องราวต่อผู้ชม นอกจากนี้ละครยังทำหน้าที่สืบสานขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมของชาติ แสดงให้เห็นถึงแนวคิดของ ประชาชน โดยเฉพาะละครพื้นเมืองของแต่ละประเทศย่อมมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างไม่ซ้ำกัน แม้จะได้รับอิทธิพลจาก ต่างชาติผู้คนก็จะนำมาดัดแปลงให้เข้ากับรสนิยมในสังคมของตน 5. สาระการเรียนรู้ หลักและวิธีการสร้างสรรค์การแสดงโดยใช้องค์ประกอบนาฏศิลป์และการละคร ความสัมพันธ์ของ นาฏศิลป์ หรือการละครกับสาระการเรียนรู้อื่น 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์


1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน 3. รักความเป็นไทย 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. . ครูมอบหมายงานให้นักเรียนไปหาละครที่ชอบมากที่สุดมาหนึ่งเรื่อง และบทย่อของละครเรื่องนั้น 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (ชั่วโมงที่ 1) 1. ครูเช็คชื่อนักเรียน แล้วสนทนากับนักเรียน 2. ครูถามนักเรียนว่า นักเรียนชอบละครเรื่องใดมากที่สุด ให้นักเรียนบอกมาคนละ 1 เรื่องห้ามซ้ำกัน ขั้นที่ 2 ขั้นสอน (ชั่วโมงที่ 1) 1. ครูอธิบายถึง หลักการสร้างสรรค์การละคร โดยอธิบายเนื้อหาดังนี้ ละครไทย ในอดีตเป็นละครที่แสดง เพื่อความบันเทิงและแสดงความเป็นเลิศทางด้านศิลปะ เนื้อเรื่องมักจะ แสดงแนวคิดในอุดมคติ ผู้ชมจะชื่นชมกับ ตัวละครที่มีอิทธิปาฏิหาริย์ ถ้าเป็นละครรำจะเน้นลีลาท่ารำที่งดงาม เครื่องแต่งกาย และฉากที่วิจิตรตระการตา ผู้ชมจะเพลิดเพลินไปกับฉาก ระบำ รำ ฟ้อน และบทตลก ขบขัน ละครสากลจากตะวันตก เป็นการจำลองภาพ ชีวิตจริงและสังคม เพื่อให้ผู้ชมเกิดความคิดมีความรู้สึกร่วม และรับรู้ปัญหาของตัวละคร จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์จะพบว่าชาติที่มีอารยธรรมเก่าแก่ จะมีตำนานแสดงถึงผลงานการ สร้างสรรค์ละคร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และเพื่อรับใช้สังคม ให้ความรู้ ให้บทเรียน ช่วยกระตุ้นจิตสำนึกของผู้ชมละครให้ตระหนักในภารกิจหน้าที่ของตน ปัจจุบันมีการนำละครมาเป็นสื่อรับใช้สังคม มากขึ้น เห็นได้จากการที่งานละครเข้าไปมีบทบาทในโครงการพัฒนาสังคม ละครจึงมีอิทธิพลที่จะเปลี่ยนแปลง แนวคิดและพฤติกรรมมนุษย์ในสังคมได้เป็นอย่างดี ด้วยการรับหน้าที่เป็นครูทางอ้อม โดยสอดแทรกบทเรียนต่างๆ ผ่านบทบาทของตัวละครแต่ละตัว ในประเทศไทย หลักสูตรการศึกษาได้บรรจุวิชาการละครไว้ในทุกระดับชั้น ให้ ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกฝนทักษะเบื้องต้นในการแสดงละคร เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง ได้มีโอกาส สำรวจทัศนคติ ค่านิยม ประสบการณ์ค้นพบความถนัด ความสามารถในทางสร้างสรรค์ เน้นที่กระบวนการและ ผลผลิต โดยต้องเรียนรู้เกี่ยวกับหลักการกว้างๆ ในการสร้างสรรค์


12. ครูอธิบายถึง วัตถุประสงค์และเป้าหมาย เช่น จัดการแสดงขึ้นเพื่อสิ่งใด จัดให้ใครชม เป็นต้น ผู้ สร้างสรรค์ละครควรคำนึงถึงอายุ เพศ พื้นฐานความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับละครของผู้ชม เพื่อจะได้สื่อสารทางด้าน ความคิด อารมณ์ และโสตสัมผัสได้ตรงกับความต้องการ 1.3 ครูอธิบายถึง ขั้นตอนการปฏิบัติงานของทุกฝ่าย เพราะละครเป็นที่รวมของศิลปะแขนงต่างๆ ที่ต้อง อาศัยผู้เชี่ยวชาญในด้านศิลปะเกือบทุกสาขา เพื่อให้ทีมงานทุกฝ่ายประสานสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกัน ผู้สร้าง งานจึงจำเป็นต้องรู้ขั้นตอนและวิธีปฏิบัติงานของทุกฝ่าย เช่น ผู้ออกแบบฝ่ายเครื่องแต่งกาย ฉาก แสง สี เครื่อง ประกอบฉาก เป็นต้น จะต้องมีความสามารถในการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ ที่เหมาะสมกลมกลืนกัน เพื่อช่วยทำให้ ละครเรื่องนั้นมีบรรยากาศที่สมจริง 1.4 ครูอธิบายถึง สุนทรียภาพด้านบทประพันธ์ ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง ต้องมีความงามทางด้านภาษา มีความไพเราะ สามารถสื่อความหมายได้ชัดเจนตรงกับจุดมุ่งหมายของการแสดง สุนทรียภาพด้านดนตรีและการ ขับร้อง ดนตรีเป็นปัจจัยหลักของการแสดงละคร ที่จะช่วยสร้างอารมณ์ตามบทบาทของตัวละคร เช่น อารมณ์เศร้า โศก เสียใจ อารมณ์ตื่นเต้น เร้าใจ เป็นต้น ทั้งการบรรเลงและการขับร้อง ถ้าผสมกลมกลืนกับบทบาทของตัวละคร จะทำให้เกิดสุนทรียภาพในการแสดง ผู้ชมก็จะเกิดความเข้าใจ ซาบซึ้งไปกับการแสดง สุนทรียภาพจากตัวผู้แสดง ผู้แสดงต้องมีบุคลิกลักษณะผสมกลมกลืนไปกับบทบาทที่แสดง มีความสามารถในการสื่อความหมาย ทำให้ผู้ชม เกิดความเชื่อ และรู้สึกคล้อยตามบทบาท ทั้งนี้ ผู้แสดงที่ได้รับการยกย่องว่ามีความสามารถจะต้องเป็นผู้ที่สร้าง ความสะเทือนอารมณ์ให้แก่ผู้ชมได้ สุนทรียภาพจากเครื่องแต่งกาย เครื่องแต่งกายของผู้แสดงจะต้องเน้นบุคลิกของตัวละครให้เห็นฐานะทาง สังคม รสนิยม มีความสง่างาม และต้องผสมกลมกลืนไปกับฉากละคร สุนทรียภาพจากองค์ประกอบอื่นๆ เช่น ฉาก แสง สี เสียง เป็นต้น ต้องมีความประณีตในการตกแต่ง เพราะต้องกลมกลืนกับตัวละครและเครื่องแต่งกาย ต้องให้ ถูกต้องตามขนบธรรมเนียม ประเพณี และยุคสมัย รวมทั้งต้องเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของผู้ประพันธ์ด้วย สุนทรียภาพของการแสดงละครจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีผู้ชม โดยผู้ชมจะพิจารณาบทละคร ดนตรีบุคลิกลักษณะของ ตัวละคร บทบาท และองค์ประกอบอื่นๆ ต้องประสานกันอย่างกลมกลืน ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป (ชั่วโมงที่ 1) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง หลักการสร้างสรรค์การละคร ขั้นที่ 4 การนำไปใช้(ชั่วโมงที่ 1) 1. นักเรียนนำความรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองไปบูรนาการกับรายวิชาอื่น เช่นสังคมศึกษา วิชา ประวัติศาสตร์ ภาษาไทย ดนตรี ศิลปะ และนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับวิถีชีวิตและอายธรรมท้องถิ่นของตัวเอง


2. นักเรียนนำความรู้ ไปใช้ในชีวิตประจำวัน เรื่องศีลธรรม ข้อคิด คติเตือนใจในละครที่สะท้อนให้เห็นถึง การใช้ชีวิตของมนุษย์ในสังคม ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (ชั่วโมงที่ 2) 1. ครูเช็คชื่อนักเรียน แล้วสนทนากับนักเรียนเรื่องละคร 2. ครูถามคำถามนักเรียนว่า เราได้ไปหาละครที่ครูมอบหมายไว้ให้หรือไม่ และละครเรื่องนั้นคือเรื่องใด ขั้นที่ 2 ขั้นสอน (ชั่วโมงที่ 2) 1.ครูสอนถึงวิธีการสร้างสรรค์การละครว่ามีขั้นตอนใดบ้าง ดังนี้ การเตรียมบทละคร ผู้สอนและผู้เขียน ควรมีการอภิปรายกันถึงวัตถุประสงค์ของการที่จะใช้ละครเป็นวิธีการเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ กำหนดผู้เรียนควรมีบทบาทใน การเลือกเรื่องราวที่จะแสดง ผู้สอนอาจเตรียมบทละครให้ผู้เรียนแสดง โดย ต้องเตรียมเนื้อหา การแสดงตั้งแต่ต้นจนจบ และต้องเตรียมบทละคร หรือบทพูดของตัวละครต่าง ๆ หรืออาจ ให้ผู้เรียนช่วยกันเขียน ซึ่งในทั้งสองกรณี ทั้งผู้สอนและผู้เรียนจำเป็นต้องศึกษาเนื้อหาหรือเรื่องราวจาก แหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ได้เนื้อหา / เรื่องราว ที่ตรงกับความเป็นจริงให้มากที่สุด และอาจจำเป็นต้องแสวงหา บุคคลผู้มีประสบการณ์ หรือความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นมาให้คำปรึกษา เช่น การแสดงละครทางประวัติศาสตร์ การแสดงละครทางวรรณคดี เป็นต้น การแสดงละครที่ใช้เป็นวิธีสอนนี้ จะแตกต่างจากการแสดงละครที่เป็น ศิลปะการแสดง การใช้ละครในการเรียนรู้ ไม่จำเป็นต้องจัดทำทุกสิ่งทุกอย่างให้สมบูรณ์เหมือนความเป็นจริง แต่ ต้องพิถีพิถันในจุดที่ผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ จุดนั้นจะต้องเด่นชัด การแสดงในจุดนั้นต้องให้เห็น สาระที่ต้องการชัดเจน องค์ประกอบอื่น ๆ ที่เป็นส่วนเสริม ไม่จำเป็นต้องจัดทำให้สมบูรณ์ แต่ควรจะตรงตาม ความเป็นจริง ผิดกับละครที่เป็นศิลปะการแสดงซึ่งจะต้องจัดทำทุกสิ่งให้สมบูรณ์ตามความเป็นจริง 2. การศึกษาบทละคร และเลือกบทบาทที่จะแสดง ผู้สอนและผู้เรียนควรช่วยกันเลือกว่าใครควรจะ แสดงบทอะไร โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมและความสามารถของผู้เรียนกับบทที่จะแสดง ควรจะเลือกผู้ที่มี บุคลิกลักษณะตรงกับเรื่อง และมีความสามารถที่จะตีบทแตก คือ เล่นได้ดี เล่นได้ตรงกับเนื้อหาของเรื่องมาก ที่สุด เนื่องจากการแสดงละครเน้นที่การให้ผู้เรียนเห็นภาพหรือเรื่องราวที่ตรงกับเรื่องราวและความเป็นจริงมาก ที่สุด ดังนั้น ผู้แสดงควรมีความเต็มใจที่จะแสดง เพื่อให้การแสดงออกมาดีที่สุด 3. การศึกษาบท ซ้อมการแสดงเตรียมผู้ชม และเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เมื่อได้ตัวแสดงแล้ว ผู้แสดงแต่ละ คนต้องศึกษาเรื่องราว และบทของตนเป็นพิเศษ ต้องพยายามจำบทของตนให้คล่อง เพื่อการแสดงจะได้ไม่ติดขัด และจะต้องมีการฝึกซ้อมการแสดงร่วมกัน ในบางกรณี หลังการฝึกซ้อมอาจจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนตัวแสดงหาก


พบว่า ผู้ที่เลือกไว้ไม่สามารถแสดงได้ดี โดยปกติ การสอนด้วยวิธีนี้ ผู้เรียนจะไม่ได้แสดงทั้งหมด ผู้ที่ไม่แสดงจะ เป็นผู้ชมการแสดง และผู้ช่วยจัดการแสดง เช่น ทำหน้าที่กำกับการแสดง บอกบท ช่วยจัดฉาก แต่งตัวผู้แสดง ช่วยจัดหาวัสดุอุปกรณ์ในการแสดง เป็นต้น ดังนั้น ผู้สอนจึงควรจัดแบ่งงานตามความสนใจและความสามารถ ของผู้เรียน และให้คำแนะนำในการชมละครว่า ควรสังเกตและให้ความสนใจเป็นพิเศษในเรื่องอะไรบ้าง 4. การแสดงละครและชมละคร เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว จึงเริ่มการแสดงในขณะแสดงผู้สอนและผู้ชมไม่ ควรขัดการแสดงกลางคัน และควรให้กำลังใจผู้แสดงโดยการตั้งใจชมการแสดง ปรบมือให้กำลังใจ ผู้ชมควรตั้งใจ สังเกตการแสดงในจุดสำคัญที่ครูให้คำแนะนำเป็นพิเศษ และอาจจดบันทึกสิ่งที่สังเกตไว้เพื่อกันลืม ผู้แสดงก็ควร แสดงให้สมบทบาทมากที่สุด 5. การอภิปรายเพื่อสรุปการเรียนรู้ เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการแสดงละคร มุ่งที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวที่แสดง ผู้สอนใช้การแสดงเป็นวิธีการที่จะช่วยให้ผู้เรียนรู้เรื่องราวนั้น ๆ โดยได้เห็นเป็น ภาพและการกระทำจริง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจ และจดจำเรื่องนั้นได้อย่างดีและจดจำได้นาน ดังนั้น ละครที่แสดงออกมาจึงควรสะท้อนเรื่องราวความเป็นจริงนั้นให้เห็นชัด การอภิปรายเพื่อการเรียนรู้ จึงต้องมุ่งไปที่ เรื่องราวที่แสดงออกมาและการแสดงของผู้แสดงว่า สามารถแสดงได้สมจริงเพียงใด 6. ครูให้นักเรียนจับกลุ่ม 4-6 คน และให้แต่ละกลุ่มหาละครมา 1 เรื่องพร้อมวางแผนการการแสดง และซ้อมการแสดงละครเรื่องนั้น เพื่อทำการทดสอบรายกลุ่มในชั่วโมงถัดไป ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป (ชั่วโมงที่ 2) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง หลักการสร้างสรรค์การละคร ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ (ชั่วโมงที่ 2) 1. นักเรียนนำความรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองไปบูรนาการกับรายวิชาอื่น เช่นสังคมศึกษา วิชา ประวัติศาสตร์ ภาษาไทย ดนตรี ศิลปะ และนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับวิถีชีวิตและอายธรรมท้องถิ่นของตัวเอง 2. นักเรียนนำความรู้ ไปใช้ในชีวิตประจำวัน เรื่องศีลธรรม ข้อคิด คติเตือนใจในละครที่สะท้อนให้เห็นถึง การใช้ชีวิตของมนุษย์ในสังคม ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (ชั่วโมงที่ 3)


1. ครูเช็คชื่อนักเรียน แล้วสนทนากับนักเรียนเรื่องละคร 2. ครูสุ่มรายชื่อกลุ่มที่จะได้อออกมาทำการแสดงละคร และบอกลำดับกลุ่ม ขั้นที่ 2 ขั้นสอน (ชั่วโมงที่ 3) 1. ครูทำการทอสอบละครสร้างสรรค์โดยนำบทละครจากโทรทัศน์ มาแสดงในชั้นเรียน ทีละกลุ่ม ตามลำดับจนครบทุกกลุ่ม ภายในชั่วโมง ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป (ชั่วโมงที่3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง หลักการสร้างสรรค์การละคร และสรุป กิจกรรมที่ทำในวันนี้ บอกให้เล่าถึงคุณธรรม จริยะรรม ของมนุษย์ในสังคม ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ (ชั่วโมงที่ 3) 1. นักเรียนนำความรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองไปบูรนาการกับรายวิชาอื่น เช่นสังคมศึกษา วิชา ประวัติศาสตร์ ภาษาไทย ดนตรี ศิลปะ และนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับวิถีชีวิตและอายธรรมท้องถิ่นของตัวเอง 2. นักเรียนนำความรู้ ไปใช้ในชีวิตประจำวัน เรื่องศีลธรรม ข้อคิด คติเตือนใจในละครที่สะท้อนให้เห็นถึง การใช้ชีวิตของมนุษย์ในสังคม 10. สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ม.2 บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด 2. อินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ 3. www.youtube.com 4. รูปภาพละครโทรทัศน์


11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และ ค่านิยม (A) 1. มีความเข้าใจในความหมายของ บทละคร และเข้าใจความหมาย ของตัวละคร (K) 1. มีความสามารถในการคิดบทละคร และปฏิบัติการแสดงในบทบาทสมมุติ ได้ (P) 1. มองเห็นสุนทรียภาพในศิลปะ แห่งการแสดง และบทบาทของตัว ละครนั้น(A)


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 24 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่3 รหัสวิชา ศ22101 หน่วยการจัดการเรียนรู้ที่11 การแสดงละคร เวลา 3 ชั่วโมง เรื่อง ละครนอก ละครใน โขน เวลา 1 ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครูผู้สอน นายภาคิณ ภูดิน 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจและแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า นาฏศิลป์ ถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มาตรฐาน ศ 3.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของ นาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล 2. ตัวชี้วัดชั้นปี อธิบายการบูรณาการศิลปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง (ศ 3.1 ม.2/1) วิเคราะห์การแสดงของตนเองและผู้อื่น โดยใช้นาฏยศัพท์ทางการละครที่เหมาะสม (ศ 3.1 ม.2/3) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. สามารถเข้าใจในเนื้อหาของบทละคร และเข้าใจความหมายของตัวละคร (K) 2. สามารถบอกชื่อตัวละครนั้นได้ ว่าอยู่ในการแสดงเรื่องใด (P) 3. มองเห็นสุนทรียภาพในศิลปะแห่งการแสดง และบทบาทของตัวละครนั้น (A) 4. สาระสำคัญ การแสดงละคร เป็นการรวบรวมศิลปะหลายแขนงที่เกิดขึ้นจากการนำภาพประสบการณ์ หรือจินตนาการ ของมนุษย์มาผูกเรื่อง และนำเสนอต่อผู้ชมในรูปแบบของการแสดง โดยมีนักแสดงเป็นผู้สื่อความหมายละครเรื่อง นั้น จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยผู้มีความรู้ ความสามารถในด้านศิลปะหลายแขนงทำงานร่วมกันทั้งผู้ประพันธ์บทละคร ผู้กำกับการแสดงนักแสดง ผู้ออกแบฝ่ายผลิต นักดนตรี นอกจากนี้ การเรียนรู้เกี่ยวกับละครในสมัยต่างๆหลักและ วิธีการวิเคราะห์การแสดงจะช่วยให้เราเข้าใจถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมที่มีต่อเนื้อหาของละครสามารถวิเคราะห์การ แสดงของตนเองและผู้อื่นได้ 5. สาระการเรียนรู้ หลักและวิธีการสร้างสรรค์การแสดงโดยใช้องค์ประกอบนาฏศิลป์และการละคร ความสัมพันธ์ของ นาฏศิลป์ หรือการละครกับสาระการเรียนรู้อื่น


6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน 3. รักความเป็นไทย 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนไปรับชมการแสดงละครนอกมา 1 เรื่อง และจดบันทึกลงในสมุด 2. ครูให้นักเรียนจับกลุ่ม 4-6 คนวาดภาพการแสดงละครในมา 1 เรื่อง ระบายสีให้สวยงาม 3. ครูให้เรียนจดบันทึกประเภทของโขนลงในสมุด 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (ชั่วโมงที่ 1) 1. ครูเช็คชื่อนักเรียน แล้วสนทนากับนักเรียน 2. ครูถามนักเรียนว่า นักเรียนชอบละครเรื่องใดมากที่สุด ให้นักเรียนบอกมาคนละ 1 เรื่องห้ามซ้ำกัน ขั้นที่ 2 ขั้นสอน (ชั่วโมงที่ 1) 1. ครูอธิบายถึง ละครนอก โดยอธิบายเนื้อหาดังนี้ ละครนอก มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นละครที่ แสดงกันนอกราชธานี แต่เดิมคงมาจากการละเล่นพื้นเมือง และร้องแก้กัน เป็นละครที่พัฒนามาจากละครชาตรี แต่เดิมคงมีตัวละครเพียง 3-4 ตัว อย่างละครชาตรี ต่อมามีการแสดงละครกันอย่างแพร่หลายทั่วไปในหมู่ราษฎร มี การเล่นเรื่องต่างๆ มากขึ้น ต้องเพิ่มตัวละครขึ้นตามเนื้อเรื่อง ผู้แสดงยังคงเป็นชายล้วน แต่การแต่งกายได้ประดิษฐ์ เพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงให้ประณีตงามขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา นิยมเล่นกันหลายเรื่อง ล้วนแต่เป็นประเภทจักรๆ วงศ์ๆ นิทานชาวบ้าน นิทานชาดก มีคติสอนใจ เช่น การเกด คาวี ไชยทัต พิกุลทอง พิมพ์สวรรค์ พิณสุริยวงศ์ มโนราห์ โม่งป่า มณีพิชัย สังข์ทอง 2. ครูอธิบายถึงผู้แสดง ในสมัยโบราณจะใช้ผู้ชายแสดงล้วน และเริ่มมีผู้หญิงแสดงละครนอก ในสมัย รัชกาลที่ 2 แต่เป็นละครหลวง ผู้แสดงต้องเป็นคนแคล่วคล่องว่องไว มีไหวพริบปฏิภาณชำนาญทั้งรำและร้อง มีลูก คู่รับ หากเป็นบทเล่าหรือบรรยาย ลูกคู่จะร้อง และผู้แสดงต้องพูดเอง เล่นตลกเอง


3. ครูอธิบายถึงการแต่งกาย ในขั้นแรกตัวละครแต่งตัวอย่างคนธรรมดาสามัญ เป็นเพียงแต่งให้รัดกุมเพื่อ แสดงบทบาทได้สะดวก ตัวแสดงบทเป็นตัวนางก็นำเอาผ้าขาวม้ามาห่มสไบ ถ้าแสดงบทเป็นตัวยักษ์ก็เขียนหน้า หรือใส่หน้ากาก ต่อมามีการแต่งกายให้ดูงดงามมากขึ้น วิจิตรพิสดารขึ้น เพราะเลียนแบบมาจากละครใน บางครั้ง เรียกการแต่งกายลักษณะนี้ว่า "ยืนเครื่อง" 4. ครูอธิบายถึงการแสดง มีความมุ่งหมายในการแสดงเรื่องมากกว่าการร่ายรำฉะนั้นในการดำเนินเรื่อง จะรวดเร็ว ตลกขบขัน ไม่พิถีพิถันในเรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณี การใช้ถ้อยคำของผู้แสดง มักใช้ถ้อยคำ "ตลาด" เป็นละครที่ชาวบ้านเรียกกันเป็นภาษาธรรมดาว่า "ละครตลาด" 5. ครูอธิบายถึงดนตรีและเพลงร้อง มักนิยมใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้า ก่อนการแสดงละครนอก ปี่พาทย์จะ บรรเลงเพลงโหมโรงเย็น เป็นการเรียกคนดู เพลงโหมโรงเย็นประกอบด้วย เพลงสาธุการ ตระ รัวสามลา เข้าม่าน ปฐม และเพลงลา เพลงร้อง มักเป็นเพลงชั้นเดียว หรือเพลง 2 ชั้น ที่มีจังหวะรวดเร็ว มักจะมีคำว่า "นอก" ติดกับ ชื่อเพลง เช่น เพลงช้าปี่นอก โอ้โลมนอก ปีนตลิ่งนอก ขึ้นพลับพลานอก เป็นต้น มีต้นเสียง และลูกคู่ บางทีตัว ละครจะ ร้องเอง โดยมีลูกคู่รับทวน มีคนบอกบทอีก 1 คน ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป (ชั่วโมงที่ 1) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง ละครนอก และให้นักเรียนมองเห็นถึง มรดกของชาติที่เป็นศิลปะการแสดงชั้นสูง และให้นักเรียนเกิดความรักชาติ และหวงแหนแผ่นดินดินเกิดและ วัฒนธรรมของตัวเอง ขั้นที่ 4 การนำไปใช้(ชั่วโมงที่ 1) 1. นักเรียนนำความรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองไปบูรนาการกับรายวิชาอื่น เช่นสังคมศึกษา วิชา ประวัติศาสตร์ ภาษาไทย ดนตรี ศิลปะ และนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับวิถีชีวิตและอายธรรมท้องถิ่นของตัวเอง 2. นักเรียนนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ในด้านของการมองโลกในแง่ดี การมองทุกสิ่งให้เห็นถึง สุนทรียภาพของสิ่งนั้นๆ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (ชั่วโมงที่ 2) 1. ครูเช็คชื่อนักเรียน แล้วสนทนากับนักเรียน 2. ครูทบทวนเนื้อหา ละครนอก จากชั่วโมงที่แล้วให้เรียนฟัง ขั้นที่ 2 ขั้นสอน (ชั่วโมงที่ 2)


1.ครูเข้าสู่บทเรียนเรื่อง ละครใน โดยอธิบายตามเนื้อหาดังนี้ ละครใน หมายถึง การแสดงที่ดำเนินเป็น เรื่องราว โดยใช้ศิลปะการร่ายรำประกอบการขับร้อง และมีวงปี่พาทย์บรรเลงประกอบการแสดง ละครในเป็น ละครผู้หญิงที่มีกำเนิดในราชสำนัก มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เรื่องที่ใช้แสดงมีเพียง 3 เรื่องเท่านั้น คือ รามเกียรติ์ อุณรุท ดาหลังและอิเหนา ขั้นตอนและจารีตการแสดงละครใน เริ่มต้นด้วยวงปี่ พาทย์โหมโรงจนจบกระบวนเพลง เว้นเพลงวา เมื่อจะเริ่มแสดงละครจึงบรรเลงเพลงวา แล้วแสดงชุดเบิกโรงก่อน การแสดง ชุดเบิกโรงมีอยู่ ๒ แบบ คือ "เบิกโรงด้วยระบำ" ปัจจุบันที่ยังคงอยู่ คือ ชุดเบิกโรงประเลง เบิกโรงรำ ดอกไม้เงินทอง (ตัวแสดงเป็นตัวพระ) เบิกโรงรำฉุยฉายดอกไม้เงินทอง (ตัวแสดงเป็นตัวนาง) เบิกโรงอีกประเภท หนึ่ง คือ "เบิกโรง ด้วยการแสดงสั้นๆ" ปัจจุบันมีการสืบทอดเพียงเรื่องเดียว คือ เบิกโรงวสันตนิยาย (รามสูรเมขลา) จากนั้นจึงจับเรื่องใหญ่ แต่โบราณใช้เวลาแสดงทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า ๔ ชั่วโมง ปัจจุบันนิยมแสดงไม่เกินกว่า ๒ ชั่วโมง ดังนั้น การแสดงชุดเบิกโรงจึงหายไปโดยปริยาย การแสดงละครใน เน้นกระบวนท่าร่ายรำที่งดงามสอดประสานกับการขับร้องและเพลงดนตรีที่มีจังหวะ ช้า ไม่มุ่งเน้นการดำเนินเรื่อง ยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น การเดินทางของตัวละครเริ่มต้นด้วย การอาบนํ้า แต่งตัว (บทลงสรง) การจัดทัพตรวจพล (บทชมทัพ) การชมความงามของพาหนะ (บทชมม้า ชมรถ) การชมความ งามของธรรมชาติ (บทชมดง) ดังนั้น การแสดงละครในในสายตาของผู้ชมปัจจุบันจึงค่อนข้างช้า ยืดยาด ทำให้ ละครลดความนิยมลง วงดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงละครใน โดยปกติใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้า นิยมตีด้วยไม้นวม เพื่อให้มีกระแสเสียงที่นุ่มนวล เพลงร้องและหน้าพาทย์ที่ใช้ประกอบการร่ายรำจากบทละครที่ปรากฏเป็นหลักฐาน ใช้เพลงร้องไม่มากนักโดยจะดำเนินเรื่องด้วย "เพลงร่ายใน" เป็นหลักใหญ่ การใช้เพลงร้องทำนองต่างๆ ปรากฏมาก ขึ้นในระยะที่มีละครดึกดำบรรพ์เกิดขึ้นแล้ว และเป็นแบบแผนสืบมาถึงปัจจุบัน การแต่งกาย ละครในทุกตัวแต่ง กายยืนเครื่อง (แต่งเลียนแบบเครื่องต้นเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์) และบุคคลชั้นสูง สวมศิราภรณ์ตามยศศักดิ์ ของตัวละคร เรื่องราวและขั้นตอนการแสดงละครใน ล้วนแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของสังคมราชสำนักในอดีต เป็น บันทึกจารีตประเพณี อาทิ ระเบียบประเพณีของพระราชพิธีต่างๆ มหรสพสมโภช การแต่งกายของผู้คน อาหาร การกิน การจัดทัพ การจัดขบวนแห่แหน การเจรจาในการทูต ถือเป็นบันทึกข้อมูล ทางประวัติศาสตร์ที่ผู้ศึกษาใน ศาสตร์ต่างๆ สามารถใช้เป็นฐานข้อมูลได้อย่างดี ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป (ชั่วโมงที่ 2) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง ละครใน และให้นักเรียนมองเห็นถึง มรดกของชาติที่เป็นศิลปะการแสดงชั้นสูง และให้นักเรียนเกิดความรักชาติ และหวงแหนแผ่นดินดินเกิดและ วัฒนธรรมของตัวเอง


ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ (ชั่วโมงที่ 2) 1. นักเรียนนำความรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองไปบูรนาการกับรายวิชาอื่น เช่นสังคมศึกษา วิชา ประวัติศาสตร์ ภาษาไทย ดนตรี ศิลปะ และนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับวิถีชีวิตและอายธรรมท้องถิ่นของตัวเอง 2. นักเรียนนำความรู้ ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ในด้านของการมองโลกในแง่ดี การมองทุกสิ่งให้เห็นถึง สุนทรียภาพของสิ่งนั้นๆ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (ชั่วโมงที่ 3) 1. ครูเช็คชื่อนักเรียน แล้วสนทนากับนักเรียน 2. ครูทบทวนเนื้อหา ละครใน จากชั่วโมงที่แล้วให้เรียนฟัง ขั้นที่ 2 ขั้นสอน (ชั่วโมงที่ 3) 1.ครูเข้าสู่บทเรียนเรื่อง โขน โดยอธิบายตามเนื้อหาดังนี้ โขนเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงที่เก่าแก่ของไทย มีมา นานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามหลักฐานจากจดหมายเหตุของลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสสมัยสมเด็จพระนารายณ์ มหาราช ได้กล่าวถึงการเล่นโขนว่า เป็นการเต้นออกท่าทางเข้ากับเสียงซอและเครื่องดนตรีอื่นๆ ผู้เต้นสวมหน้ากาก และถืออาวุธ โขนเป็นที่รวมของศิลปะหลายแขนงคือ โขนนำวิธีเล่นและวิธีแต่งตัวบางอย่างมาจากการเล่นชักนาค ดึกดำบรรพ์ โขนนำท่าต่อสู้โลดโผน ท่ารำท่าเต้นมาจากกระบี่กระบอง และโขนนำศิลปะการพากย์การเจรจา หน้า พาทย์เพลงดนตรี การแสดงโขน ผู้แสดงสวมศีรษะคือหัวโขน ปิดหน้าหมด ยกเว้นเทวดา มนุษย์ และมเหสี ธิดา พระยายักษ์ มีต้นเสียงและลูกคู่ร้องบทให้และมีคนพากย์และเจรจาให้ด้วย เรื่องที่แสดงนิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์ และอุณรุฑ ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงโขนใช้วงปี่พาทย์ 2. ครูอธิบายประเภทของโขน แบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ 1. โขนกลางแปลง 2. โขนโรงนอก หรือโขนนั่งราว 3. โขนหน้าจอ 4. โขนโรงใน 5. โขนฉาก


3. ครูอธิบายการแสดงโขนแต่ละประเภทดังนี้ โขนกลางแปลง คือ การเล่นโขนบนพื้นดิน ณ กลาง สนาม ไม่ต้องสร้างโรงให้เล่น นิยมแสดงตอนยกทัพรบกัน โขนกลางแปลงได้วิวัฒนาการมาจากการเล่นชักนาคดึก ดำบรรพ์ เรื่องกวนน้ำอมฤต เรื่องมีอยู่ว่า เทวดาและอสูรใคร่จะเป็นอมตะ จึงไปทูลพระนารายณ์ พระนารายณ์จึง แนะนำให้กวนน้ำอมฤต โดยใช้เขามนทคิรีเป็นไม้กวน เอาพระยาวาสุกรีเป็นเชือกพันรอบเขา เทวดาชักทางหาง หมุนเขาไปมา พระยาวาสุกรีพ่นพิษออกมา พระนารายณ์เชิญให้พระอิศวรดื่มพิษนั้นเสีย พระอิศวรจึงมีศอสีนิล เพราะพิษไหม้ ครั้นกวนต่อไป เขามนทคิรีทะลุลงไปใต้โลก พระนารายณ์จึงอวตารเป็นเต่าไปรองรับเขามนทคิรีไว้ ครั้นได้น้ำอมฤตแล้ว เทวดาและอสูรแย่งชิงน้ำอมฤตกันจนเกิดสงคราม พระนารายณ์จึงนำน้ำอมฤตไปเสีย พวก อสูรไม่ได้ดื่มน้ำอมฤตก็ตายในที่รบเป็นอันมาก เทวดาจึงเป็นใหญ่ในสวรรค์ พระนารายณ์เมื่อได้น้ำอมฤตไปแล้ว ก็แบ่งน้ำอมฤตให้เทวดาและอสูรดื่ม พระนารายณ์แปลงเป็นนางงาม รินน้ำอมฤตให้เทวดา แต่รินน้ำธรรมดาให้อสูร ฝ่ายราหูเป็นพี่น้องกับพระอาทิตย์และพระจันทร์แต่ราหูเป็อสูร ราหูเห็นเทวดาสดชื่นแข็งแรงเมื่อได้ดื่มน้ำอมฤต แต่อสูรยังคงอ่อนเพลียอยู่ เห็นผิดสังเกต จึงแปลงเป็นเทวดาไป ปะปนอยู่ในหมู่เทวดา จึงพลอยได้ดื่มน้ำอมฤตด้วย พระอาทิตย์และพระจันทร์จึงแอบบอกพระนารายณ์ พระ นารายณ์โกรธมากที่ราหูตบตาพระองค์ จึงขว้างจักรไปตัดกลางตัวราหู ร่างกายท่อนบนได้รับน้ำอมฤตก็เป็นอมตะ แต่ร่างกายท่อนล่างตายไป ราหูจึงเป็นยักษ์มีกายครึ่งท่อน ราหูโกรธและอาฆาตพระอาทิตย์และพระจันทร์มาก พบที่ไหนก็อมทันที เกิดเป็นราหูอมจันทร์หรือจันทรคราสและสุริยคราส ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้ามาเทศนาให้ราหู เลิกพยาบาทจองเวร ราหูจึงได้คลายพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ออกการเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ เล่นในพิธี อินทราภิเษก มีปรากฏในกฎมณเฑียรบาลสมัยกรุงศรีอยุธยา โขนกลางแปลงนำวิธีการแสดงคือการจัดกระบวน ทัพ การเต้นประกอบหน้าพาทย์ มาจากการเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ แต่เปลี่ยนมาเล่นเรื่องรามเกียรติ์ และเล่นตอน ฝ่ายยักษ์และฝ่ายพระรามยกทัพรบกัน จึงมีการเต้นประกอบหน้าพาทย์ และอาจมีบทพาทย์และเจรจาบ้างแต่ไม่มี บทร้อง 3.1 โขนโรงนอก หรือโขนนั่งราว เป็นการแสดงบนโรงมีหลังคา ไม่มีเตียงสำหรับตัวโขนนั่ง แต่มีราวพาด ตามส่วนยาวของโรงตรงหน้าฉาก (ม่าน) มีช่องทางให้ผู้แสดงเดินได้รอบราวแทนเตียง มีการพากย์และเจรจา แต่ ไม่มีการร้อง ปี่พาทย์บรรเลงเพลงหน้าพาทย์ มีปี่พาทย์ 2 วง เพราะต้องบรรเลงมาก ตั้งหัวโรงท้ายโรง จึงเรียกว่า วงหัวและวงท้าย หรือวงซ้ายและวงขวา วันก่อนแสดงโขนนั่งราวจะมีการโหมโรง และให้พวกโขนออกมากระทุ้ง เส้าตามจังหวะเพลง พอจบโหมโรงก็แสดงตอนพิราพออกเที่ยวป่า จับสัตว์กินเป็นอาหาร พระรามหลงเข้าสวนพ วาทองของพราพ แล้วก็หยุดแสดง พักนอนค้างคืนที่โรงโขน รุ่งขึ้นจึงแสดงตามเรื่องที่เตรียมไว้ จึงเรียกว่า "โขน นอนโรง"


3.2 โขนหน้าจอ คือ โขนที่เล่นตรงหน้าจอ ซึ่งเดิมเขาขึงไว้สำหรับเล่นหนังใหญ่ ในการเล่นหนังใหญ่นั้น มีการเชิดหนังใหญ่อยู่หน้าจอผ้าขาว การแสดงหนังใหญ่มีศิลปะสำคัญ คือการพากย์และเจรจา มีดนตรีปี่พาทย์ ประกอบการแสดง ผู้เชิดตัวหนังต้องเต้นตามลีลาและจังหวะดนตรี นิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์ ต่อมามีการปล่อย ตัวแสดงออกมาแสดงหนังจอ แทนการเชิดหนังในบางตอน เรียกว่า "หนังติดตัวโขน" มีผู้นิยมมากขึ้น เลยปล่อยตัว โขนออกมาแสดงหน้าจอตลอด ไม่มีการเชิดหนังเลย จึงกลายเป็นโขนหน้าจอ และต้องแขวะจอเป็นประตูออก 2 ข้าง เรียกว่า "จอแขวะ" 3.3 โขนโรงใน คือ โขนที่นำศิลปะของละครในเข้ามาผสม โขนโรงในมีปี่พาทย์บรรเลง 2 วงผลัดกัน การแสดงก็มีทั้งออกท่ารำเต้น ทีพากย์และเจรจาตามแบบโขน กับนำเพลงขับร้องและเพลงประกอบกิริยาอาการ ของดนตรีแบบละครใน และมีการนำระบำรำฟ้อนผสมเข้าด้วย เป็นการปรับปรุงให้วิวัฒนาการขึ้นอีก การ ผสมผสานระหว่างโขนกับละครในสมัยรัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 2 ทั้งมีราชกวีภายในราชสำนักช่วยปรับปรุงขัดเกลา และประพันธ์บทพากย์บทเจรจาให้ไพเราะสละสลวยขึ้นอีกโขนที่กรมศิลปากรนำออกแสดงในปัจจุบันนี้ ก็ใช้ ศิลปะการแสดงแบบโขนโรงใน ไม่ว่าจะแสดงกลางแจ้งหรือแสดงหน้าจอก็ตาม 3.4 โขนฉาก เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อมีผู้คิดสร้างฉากประกอบเรื่องเมื่อแสดงโขนบนเวที คล้าย กับละครดึกดำบรรพ์ ส่วนวิธีแสดงดำเนินเช่นเดียวกับโขนโรงใน แต่มีการแบ่งเป็นชุดเป็นตอน เป็นฉาก และจัดฉาก ประกอบตามท้องเรื่อง จึงมีการตัดต่อเรื่องใหม่ไม่ให้ย้อนไปย้อนมา เพื่อสะดวกในการจัดฉาก กรมศิลปากรได้ทำ บทเป็นชุดๆ ไว้หลายชุด เช่น ชุดปราบกากนาสูร ชุดมัยราพณ์สะกดทัพ ชุดชุดนางลอย ชุดนาคบาศ ชุด พรหมาสตร์ ชุดศึกวิรุญจำบัง ชุดทำลายพิธีหุงน้ำทิพย์ ชุดสีดาลุยไฟและปราบบรรลัยกัลป์ ชุดหนุมานอาสา ชุด พระรามเดินดง ชุดพระรามครองเมือง การแสดงโขน โดยทั่วไปนิยมแสดงเรื่อง "รามเกียรติ์" กรมศิลปากรเคยจัด แสดงเรื่องอุณรุฑ แต่ไม่เป็นที่นิยมเท่าเรื่องรามเกียรติ์ เรื่องรามเกียรติ์ที่นำมาแสดงโขนนั้นมีหลายสำนวน ทั้งที่ ประพันธ์ขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะบทในสมัยรัตนโกสินทร์ นิยมแสดง ตามสำนวนของรัชกาลที่ 2 ที่กรมศิลปากรปรับปรุงเป็นชุดเป็นตอน เพื่อแสดงโขนฉาก ก็เดินเรื่องตามสำนวนของ รัชกาลที่ 2 รัชกาลที่ 6 ก็เคยทรงพระราชนิพนธ์บทร้องและบทพากย์ไว้ถึง 6 ชุด คือ ชุดสีดาหาย ชุดเผาลงกา ชุด พิเภกถูกขับ ชุดจองถนน ชุดประเดิมศึกลงกา และชุดนาคบาศ


ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป (ชั่วโมงที่ 3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง ละครโขน และให้นักเรียนมองเห็นถึง มรดกของชาติที่เป็นศิลปะการแสดงชั้นสูง และให้นักเรียนเกิดความรักชาติ และหวงแหนแผ่นดินดินเกิดและ วัฒนธรรมของตัวเอง ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ (ชั่วโมงที่ 3) 1. นักเรียนนำความรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองไปบูรนาการกับรายวิชาอื่น เช่นสังคมศึกษา วิชา ประวัติศาสตร์ ภาษาไทย ดนตรี ศิลปะ และนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับวิถีชีวิตและอายธรรมท้องถิ่นของตัวเอง 2. นักเรียนนำความรู้ ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ในด้านของการมองโลกในแง่ดี การมองทุกสิ่งให้เห็นถึง สุนทรียภาพของสิ่งนั้นๆ 10. สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ม.2 บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด 2. อินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ 3. www.youtube.com 4. รูปภาพการแสดงละครนอก ละครใน โขน 11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และ ค่านิยม (A) 1. มีความเข้าใจในความหมายของ บทละคร และเข้าใจความหมาย ของตัวละคร (K) 1. มีความสามารถในการคิดบทละคร และปฏิบัติการแสดงในบทบาทสมมุติ ได้ (P) 1. มองเห็นสุนทรียภาพในศิลปะ แห่งการแสดง และบทบาทของตัว ละครนั้น(A)


Click to View FlipBook Version