The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้ ศิลปะพื้นฐาน(นาฏศิลป์) ศ22101

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Phakhin Phudin 63040105120, 2024-02-10 14:46:14

แผนการจัดการเรียนรู้ ศิลปะพื้นฐาน(นาฏศิลป์) ศ22101

แผนการจัดการเรียนรู้ ศิลปะพื้นฐาน(นาฏศิลป์) ศ22101

3. จากนั้นครูอธิบายท่ารำเพลงชาวไทย โดยอธิบายดังนี้ มือขวาจีบระดับคิ้ว มือซ้ายตั้งวงระดับปาก จากนั้นเดินมือ มาอีกฝั่ง มือซ้ายเปลี่ยนเป็นจีบมือขวาตกปลายมือแล้วตั้งวง ดึงมือซ้ายขึ้นมาระดับคิ้ว ทำสลับกันตามจังหวะเพลง 4. ครูให้นักเรียนปฏิบัติพร้อมกันทั้งชั้นเรียน โดยรำวงวงรีทวนเข็มนาฬิกา 5. ครูให้นักเรียนปฏิบัติทีละกลุ่ม จนครบทุกกลุ่มภายในชั่วโมง ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป (ชั่วโมงที่ 6) 1. ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง รำวงมาตรฐาน เพลงชาวไทยและท่า รำของการแสดงชุดนี้ ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ (ชั่วโมงที่ 6) 1. นักเรียนนำความรู้เรื่อง การแสดงนาฏศิลป์ไทยมาตรฐาน ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นการออก ออกกำลังกาย การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และสรีระร่างกาย รวมไปถึงการฟังจังหวะดนตรี 10. สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ม.2 บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด 2. www.youtube.com 3. สื่อการสอนรำวงมาตรฐาน 4. รูปภาพการแสดงรำวงมาตรฐาน 11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และ ค่านิยม (A) 1. อธิบายความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาที่ เรียนได้มาพอสังเขป (K) 2. อธิบายความประวัติความ เป็นมาของการแสดงพอสังเขปได้ (K) 1. วิเคราะห์และสรุปความรู้เกี่ยวกับ เนื้อหาของการแสดงได้ (P) 1. ปฏิบัติกิจกรรมด้วยความ สนุกสนานและเข้าใจในการแสดง (A)


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 13 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่3 รหัสวิชา ศ22101 หน่วยการจัดการเรียนรู้ที่9 การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง เวลา 10 ชั่วโมง เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง เวลา 1 ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครูผู้สอน นายภาคิณ ภูดิน 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจและแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า นาฏศิลป์ ถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มาตรฐาน ศ 3.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของ นาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล 2. ตัวชี้วัดชั้นปี สร้างสรรค์การแสดงโดยใช้องค์ประกอบนาฏศิลป์และการละคร (ศ 3. ม.2/2) เสนอข้อคิดเห็นในการปรับปรุงการแสดง (ศ 3.1 ม.2/4) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. สามารถอธิบายความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองได้ (K) 2. สามารถปฏิบัติการแสดงนาฏศิลป์เบื้องต้นได้ (P) 4. เห็นความสำคัญของศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และอารยธรรมท้องถิ่น (A) 4. สาระสำคัญ การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองในแต่ละภาคจะสะท้อนให้เห็นถึงศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และเอดลักษณ์ประจำท้องถิ่นที่แตกต่างกันออกไป การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองเมืองของแต่ละท้องถิ่น จะประกอบ ไปด้วยเพลงพื้นเมืองและการฟ้อนรำพื้นเมืองดังนั้น การเรียนรู้และการฝึกหัดแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง จะช่วยทำให้ เราเข้าใจลักษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศิลป์ในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งจะช่วยให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการแสดง นาฏศิลป์ไทยมาจรฐาน นาฏศิลป์พื้นเมือง หรือมหรสพอื่นๆที่เคยนิยมกันในอดีตอีกด้วย 5. สาระการเรียนรู้ นาฏศิลป์พื้นเมือง ความหมาย ที่มา วัฒนธรรม ลักษณะเฉพาะ และรูปแบบการแสดงประเภทต่างๆ


6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน 3. รักความเป็นไทย 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. . ครูมอบหมายงานให้นักเรียนไปชมการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองที่นักเรียนสนใจ มาหนึ่งการแสดงจาก อินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น www.youtube.com แล้วบันทึกข้อมูลลงนสมุดบันทึกแล้วให้นำความรู้ที่ ได้มาอภิปรายตามความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ของตนเอง 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูถามคำถามนักเรียนว่า นักเรียนรู้จักคำว่านาฏศิลป์พื้นเมืองหรือไม่ 2. ครูอธิบายความหมายของนาฏศิลป์พื้นเมืองให้เรียนฟัง โดยจะอธิบายดังนี้การแสดงพื้นเมือง หมายถึง การแสดงที่เกิดขึ้นตามท้องถิ่นและตามพื้นที่ต่างๆ ของแต่ละภูมิภาค โดยอาจมีการพัฒนา ดัดแปลงมาจาก การละเล่นพื้นเมืองของท้องถิ่นนั้นๆ การแสดงพื้นเมือง เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า ที่บรรพบุรุษไทยได้สั่งสม สร้างสรรค์ และสืบทอดไว้เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เพื่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้เรียนรู้และรักในคุณค่าในศิลปะไทย ในแขนงนี้ เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นไทย และพร้อมที่จะช่วยสืบทอด จรรโลง และธำรงไว้เป็นสมบัติของชาติ สืบไป โดยมีด้วยกันทั้งหมด 4 ภาค ขั้นที่ 2 ขั้นสอน 1. ครูอธิบายถึงการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองแต่ละภาคให้เรียนฟัง โดยเริ่มการภาคเหนือ จากสภาพภูมิ ประเทศที่อุดมไปด้วยป่า มีทรัพยากรมากมาย มีอากาศหนาวเย็น ประชากรมีอุปนิสัยเยือกเย็น นุ่มนวล งดงาม รวมทั้งกิริยา การพูดจา มีสำเนียงน่าฟัง จึงมีอิทธิพลทำให้เพลงดนตรีและการแสดง มีท่วงทำนองช้า เนิบนาบ นุ่มนวล ตามไปด้วย การแสดงของภาคเหนือเรียกว่า ฟ้อน เช่น ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนเงี้ยว ฟ้อนสาวไหม เป็น ต้น ภาคเหนือนี้มีการแสดงหรือการร่ายรำที่มีจังหวะช้า ท่ารำที่อ่อนช้อย นุ่มนวล เพราะมีอากาศเย็นสบาย ทำให้


จิตใจของผู้คนมีความนุ่มนวล อ่อนโยน ภาษาพูดก็นุ่มนวลไปด้วย เพลงมีความไพเราะ อ่อนหวาน ผู้คนไม่ต้องรีบ ร้อนในการทำมาหากิน สิ่งต่างๆ เหล่านั้นมีอิทธิพลต่อการแสดงนาฏศิลป์ของภาคเหนือ 1.2 ภาคอีสาน การแสดงพื้นเมืองภาคอีสาน จะมีลักษณะคล้ายภาคเหนือ ในการรวมกลุ่มของชนชาติ ต่างๆ เช่นพวกไทยลาว ภูไทย ไทยพวน แสก โซ่ แต่ละกลุ่มมีลักษณะแตกต่างตามเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ แต่ยังมี ลักษณะคล้ายคลึงกันเป็นการแสดงที่เกิดขึ้นเพื่อพิธีกรรมทางศาสนา และความสนุกสนานรื่นเริงในเทศกาลต่างๆ การร่ายรำจะมีลักษณะเฉพาะของการเคลื่อนไหวอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ก้าวเท้า การวาดแขน การยก เท้า การส่ายมือ การส่ายสะโพก ที่เกิดขึ้นจากท่าทางอันเป็นธรรมชาติที่ปรากฏอยู่ในชีวิตประจำวัน แล้วนำมา ประดิษฐ์หรือปรุงแต่งให้สวยงามตามแบบท้องถิ่นอีสานเช่นทำท่าทางลักษณะเเอ่นตัวแล้วโยกตัวไปมา เวลาก้าว ตามจังหวะก็มีการกระแทกกระทั้นตัว ดีดขา ขยับเอว ขยับไหล่ เน้นความสนุกสนาน ส่วนใหญ่ ว่า “เซิ้ง ฟ้อน และหมอลำ” เช่น เซิ้งกระติบข้าว เซิ้งโปงลาง เซิ้งแหย่ไข่มดแดง ฟ้อนภูไท เซิ้งสวิง เซิ้งบ้องไฟ เซิ้งกะหยัง เซิ้งตังหวาย ฯลฯ ใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้านประกอบด้วย แคน พิณ ซอ กลองยาวอีสาน โปงลาง โหวด ฉิ่ง ฉาบ ฆ้อง และ กรับ ส่วนกลุ่มอีสานใต้ ได้รับอิทธิพลจากศิลปะของเขมร มีการละเล่นที่เรียกว่า “เรือม หรือ เร็อม” เช่น เรือมลูดอันเร (รำกระทบสาก) รำกระโน็บติงต็อง (ระบำตั๊กแตนตำข้าว) รำอาไย (รำตัด) วงดนตรีที่ใช้บรรเลงคือวงมโหรีอีสานใต้ มีเครื่องดนตรี เช่น ซอด้วง ซอตรัวเอก กลองกันตรึม พิณ ระนาดเอกไม้ ปี่สไล กลองรำมะนา และเครื่องประกอบจังหวะ การแต่งกายประกอบการแสดงแต่งแบบวัฒนธรรมของพื้นบ้าน อีสาน มีลักษณะลีลาท่ารำและท่วงทำนองดนตรีในการแสดงค่อนข้างกระชับ กระฉับกระเฉง รวดเร็ว และ สนุกสนาน 1.3 ภาคกลาง ภาคกลางภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำหลายสายเพมาะแก่การกสิกรรม ทำนา ทำ สวน ประชาชนอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ จึงมีการเล่นรื่นเริงในโอกาสต่างๆมากมาย ทั้งตามฤดูกาล และตาม เทศกาล ตลอดจนตามโอกาสที่มีงานรื่นเริง ภาคกลางเป็นที่รวมของศิลปวัฒนธรรม การแสดงจึงมีการถ่ายทอดสืบต่อกัน และพัฒนาดัดแปลงขึ้น เรื่อยๆ จนบางอย่างกลายเป็นการแสดงนาฏศิลป์แบบฉบับไปก็มี เช่น รำวง เป็นต้น และเนื่องจากเป็นที่รวม ของศิลปะนี้เอง ทำให้คนภาคกลางรับการแสดงของท้องถิ่นใกล้เคียงเข้าไว้หมด แล้วปรุงแต่งตามเอกลักษณ์ของ ภาคกลางคือ การร่ายรำที่ใช้มือ แขน และลำตัว เช่นการจีบมือ ม้วนมือ ตั้งวง การอ่อนเอียงและยักตัว สังเกตได้จาก รำลาวกระทบไม้ ที่ดัดแปลงมาจาก เต้นสาก การเต้นเข้าไม้ของอีสานในการเต้นสากก็เป็นการเต้น กระโดดตามลีลาอีสาน แต่การรำลาวกระทบไม้ที่กรมศิลปากรปรับปรุงขึ้นใหม่นั้น นุ่มนวลอ่อนหวาน กรีดกราย ร่ายรำ แม้การเข้าไม้ก็นุ่มนวลมาก การแสดงพื้นเมืองภาคกลางมีหลายอย่าง เช่น รำวง รำเหย่อย เต้นกำรำเคียว เพลงเรือลำตัด เพลงพวงมาลัย ฯลฯ


1.4 ภาคใต้ โดยทั่วไปภาคใต้มีอาณาเขตติดกับทะเลฝั่งตะวันตกและตะวันออก ทางด้านใต้ติดกับมลายู ทำ ให้รับวัฒนธรรมของมลายูมาบ้าง ประชากรจึงมีชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณีและบุคลิกบางอย่างที่ คล้ายคลึงกันคือ พูดเร็ว อุปนิสัยว่องไว ตัดสินใจ รวดเร็ว เด็ดขาด มีอุปนิสัยรักพวกพ้อง รักถิ่นที่อยู่อาศัย และ ศิลปวัฒนธรรมของตนเอง จึงมีความพยายามที่จะช่วยกันอนุรักษ์ไว้จนสืบมาจนถึงทุกวันนี้ การแสดงของภาคใต้มีลีลาท่ารำคล้ายกับการเคลื่อนไหวของร่างกายมากกว่าการฟ้อนรำ ซึ่งจะออกมาใน ลักษณะกระตุ้นอารมณ์ให้มีชีวิตชีวาและสนุกสนาน เช่น โนรา หนังตะลุง รองเง็ง ตารีกีปัส เป็นต้น ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง นาฏศิลป์พื้นเมือง ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ 1. นักเรียนนำความรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองไปบูรนาการกับรายวิชาอื่น เช่นสังคมศึกษา วิชา ประวัติศาสตร์ ภาษาไทย ดนตรี ศิลปะ และนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับวิถีชีวิตและอายธรรมท้องถิ่นของตัวเอง 2. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนไปชมการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองที่นักเรียนสนใจ มาหนึ่งการแสดงจาก อินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น www.youtube.com แล้วบันทึกข้อมูลลงนสมุดบันทึกแล้วให้นำความรู้ที่ ได้มาอภิปรายตามความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ของตนเอง 10. สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ม.2 บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด 2. อินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ 3. www.youtube.com 11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม (A) 1. สามารถอธิบายความรู้ ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์ พื้นเมืองได้ (K) 2. สามารถปฏิบัติการแสดง นาฏศิลป์เบื้องต้นได้ (P) 4. เห็นความสำคัญของ ศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และอารยธรรมท้องถิ่น (A)


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 14 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่3 รหัสวิชา ศ22101 หน่วยการจัดการเรียนรู้ที่9 การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง เวลา 10 ชั่วโมง เรื่อง การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ ฟ้อนขันดอก เวลา 1 ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครูผู้สอน นายภาคิณ ภูดิน 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจและแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า นาฏศิลป์ ถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มาตรฐาน ศ 3.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของ นาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล 2. ตัวชี้วัดชั้นปี สร้างสรรค์การแสดงโดยใช้องค์ประกอบนาฏศิลป์และการละคร (ศ 3. ม.2/2) เสนอข้อคิดเห็นในการปรับปรุงการแสดง (ศ 3.1 ม.2/4) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. สามารถอธิบายความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองได้ (K) 2. สามารถปฏิบัติการแสดงนาฏศิลป์เบื้องต้นได้ (P) 4. เห็นความสำคัญของศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และอารยธรรมท้องถิ่น (A) 4. สาระสำคัญ การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองในแต่ละภาคจะสะท้อนให้เห็นถึงศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และเอดลักษณ์ประจำท้องถิ่นที่แตกต่างกันออกไป การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองเมืองของแต่ละท้องถิ่น จะประกอบ ไปด้วยเพลงพื้นเมืองและการฟ้อนรำพื้นเมืองดังนั้น การเรียนรู้และการฝึกหัดแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง จะช่วยทำให้ เราเข้าใจลักษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศิลป์ในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งจะช่วยให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการแสดง นาฏศิลป์ไทยมาจรฐาน นาฏศิลป์พื้นเมือง หรือมหรสพอื่นๆที่เคยนิยมกันในอดีตอีกด้วย 5. สาระการเรียนรู้ นาฏศิลป์พื้นเมือง ความหมาย ที่มา วัฒนธรรม ลักษณะเฉพาะ และรูปแบบการแสดงประเภทต่างๆ


6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน 3. รักความเป็นไทย 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. ครูมอบหมายงานให้นักเรียน วาดภาพการแสดงฟ้อนขันดอก พร้อมกับประวัติการแสดง และระบายสี ให้สวยงามในกระดาษที่ครูแจกให้ 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทบทวนความรู้นาฏศิลป์พื้นเมืองจากชั่วโมงที่แล้วให้นักเรียนฟัง 2. ครูเปิดการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ ฟ้อนขันดอก ให้นักเรียนชม ขั้นที่ 2 ขั้นสอน 1. ครูเข้าสู่บทเรียนและอธิบายถึงการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ ชุดการแสดงฟ้อนขันดอก ให้ นักเรียนฟัง โดยจะอธิบายดังนี้ การแสดงชุด "ฟ้อนขันดอก" เป็นการแสดงที่พ่อครูมานพ ยาระนะ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดงพื้นบ้าน ปี พ.ศ. 2548 เป็นผู้ประดิษฐ์ท่าขึ้น โดยมีจุดประสงค์ในการแสดงเพื่อเป็นการฟ้อน รำบูชาพระรัตนตรัย เพื่อให้บังเกิดความสงบร่มเย็นให้แก่บ้านเมือง โดยมีอุปกรณ์ประกอบการแสดงเป็นขันดอก หรือพานไม้ใส่ดอกไม้แบบล้านนา ซึ่งใช้ตบแต่งเพื่อบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในงานบุญทางศาสนาโอกาส ต่าง ๆ 2. ครูมอบหมายงานให้นักเรียน วาดภาพการแสดงฟ้อนขันดอก พร้อมกับประวัติการแสดง และระบายสี ให้สวยงามในกระดาษที่ครูแจกให้ ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง นาฏศิลป์พื้นเมือง ฟ้อนขันดอก


ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ 1. นักเรียนนำความรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองไปบูรนาการกับรายวิชาอื่น เช่นสังคมศึกษา วิชา ประวัติศาสตร์ ภาษาไทย ดนตรี ศิลปะ และนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับวิถีชีวิตและอายธรรมท้องถิ่นของตัวเอง 2. ครูมอบหมายงานให้นักเรียน วาดภาพการแสดงฟ้อนขันดอก พร้อมกับประวัติการแสดง และระบายสี ให้สวยงามในกระดาษที่ครูแจกให้ 10. สื่อการเรียนรู้ 1. อินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ 2. www.youtube.com 11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม (A) 1. สามารถอธิบายความรู้ ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์ พื้นเมืองได้ (K) 2. สามารถปฏิบัติการแสดง นาฏศิลป์เบื้องต้นได้ (P) 4. เห็นความสำคัญของ ศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และอารยธรรมท้องถิ่น (A)


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 15 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่3 รหัสวิชา ศ22101 หน่วยการจัดการเรียนรู้ที่9 การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง เวลา 10 ชั่วโมง เรื่อง การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ ฟ้อนเล็บ เวลา 1 ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครูผู้สอน นายภาคิณ ภูดิน 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจและแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า นาฏศิลป์ ถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มาตรฐาน ศ 3.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของ นาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล 2. ตัวชี้วัดชั้นปี สร้างสรรค์การแสดงโดยใช้องค์ประกอบนาฏศิลป์และการละคร (ศ 3. ม.2/2) เสนอข้อคิดเห็นในการปรับปรุงการแสดง (ศ 3.1 ม.2/4) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. สามารถอธิบายความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองได้ (K) 2. สามารถปฏิบัติการแสดงนาฏศิลป์เบื้องต้นได้ (P) 4. เห็นความสำคัญของศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และอารยธรรมท้องถิ่น (A) 4. สาระสำคัญ การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองในแต่ละภาคจะสะท้อนให้เห็นถึงศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และเอดลักษณ์ประจำท้องถิ่นที่แตกต่างกันออกไป การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองเมืองของแต่ละท้องถิ่น จะประกอบ ไปด้วยเพลงพื้นเมืองและการฟ้อนรำพื้นเมืองดังนั้น การเรียนรู้และการฝึกหัดแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง จะช่วยทำให้ เราเข้าใจลักษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศิลป์ในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งจะช่วยให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการแสดง นาฏศิลป์ไทยมาจรฐาน นาฏศิลป์พื้นเมือง หรือมหรสพอื่นๆที่เคยนิยมกันในอดีตอีกด้วย 5. สาระการเรียนรู้ นาฏศิลป์พื้นเมือง ความหมาย ที่มา วัฒนธรรม ลักษณะเฉพาะ และรูปแบบการแสดงประเภทต่างๆ


6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน 3. รักความเป็นไทย 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. . ครูมอบหมายงานให้นักเรียน วาดภาพการแสดงฟ้อนเล็บ พร้อมกับประวัติการแสดง และระบายสีให้ สวยงามในกระดาษที่ครูแจกให้ 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทบทวนความรู้นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ ฟ้อนขันดอกจากชั่วโมงที่แล้วให้นักเรียนฟัง 2. ครูเปิดการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ ฟ้อนเล็บ ให้นักเรียนรับชม ขั้นที่ 2 ขั้นสอน 1. ครูเข้าสู่บทเรียนและอธิบายถึงการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ ชุดการแสดงฟ้อนเล็บ ให้นักเรียน ฟัง โดยจะอธิบายดังนี้ การแสดง ฟ้อนเล็บเป็นศิลปะการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ทางภาคเหนือโดยเฉพาะรูปแบบ การฟ้อนมีอยู่ 2 แบบ คือแบบพื้นเมืองหรือฟ้อนเมือง และแบบคุ้มเจ้าหลวง กระบวนท่ารำเป็นลีลาท่าฟ้อนที่มี ความงดงามเช่นเดียวกับฟ้อนเทียน เพลงแต่ไม่ถือเทียน นิยมฟ้อนในเวลากลางวัน สำหรับชื่อชุดการแสดงจะมี ความหมายตามลักษณะของผู้แสดงที่จะสวมเล็บยาวสีทองทุกนิ้ว ยกเว้นนิ้วหัวแม่มือ ฟ้อนเล็บของกรมศิลปากร ได้รับรูปแบบการฟ้อนจากคุ้มเจ้าหลวงเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระราชชายาเจ้าดารารัศมี เป็นผู้ปรับปรุง ซึ่งได้ นำมาเผยแพร่ที่กรุงเทพมหานครในคราวสมโภชพระเศวตคชเดชน์ดิลก ช้างเผือกในรัชกาลที่ 7 เมื่อ พ.ศ. 2470 แล้วนางลมุล ยมะคุปต์ ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากรได้นำมาฝึกให้ละครคณะ หลวงในรัชกาลที่ 7 และถ่ายทอดให้ เป็นชุดการแสดงของกรมศิลปากรโดยมีเนื้อร้องประกอบการแสดง เพื่อเป็น การบวงสรวงหรือฟ้อนต้อนรับตามประเพณีทางภาคเหนือ


2. ครูมอบหมายงานให้นักเรียน วาดภาพการแสดงฟ้อนเล็บ พร้อมกับประวัติการแสดง และระบายสีให้ สวยงามในกระดาษที่ครูแจกให้ ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง นาฏศิลป์พื้นเมือง ฟ้อนเล็บ ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ 1. นักเรียนนำความรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองไปบูรนาการกับรายวิชาอื่น เช่นสังคมศึกษา วิชา ประวัติศาสตร์ ภาษาไทย ดนตรี ศิลปะ และนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับวิถีชีวิตและอายธรรมท้องถิ่นของตัวเอง 2. ครูมอบหมายงานให้นักเรียน วาดภาพการแสดงฟ้อนเล็บ พร้อมกับประวัติการแสดง และระบายสีให้ สวยงามในกระดาษที่ครูแจกให้ 10. สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ม.2 บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด 2. อินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ 3. www.youtube.com 11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม (A) 1. สามารถอธิบายความรู้ ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์ พื้นเมืองได้ (K) 2. สามารถปฏิบัติการแสดง นาฏศิลป์เบื้องต้นได้ (P) 4. เห็นความสำคัญของ ศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และอารยธรรมท้องถิ่น (A)


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 16 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่3 รหัสวิชา ศ22101 หน่วยการจัดการเรียนรู้ที่9 การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง เวลา 10 ชั่วโมง เรื่อง การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน รำบายศรีสู่ขวัญ เวลา 1 ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครูผู้สอน นายภาคิณ ภูดิน 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจและแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า นาฏศิลป์ ถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มาตรฐาน ศ 3.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของ นาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล 2. ตัวชี้วัดชั้นปี สร้างสรรค์การแสดงโดยใช้องค์ประกอบนาฏศิลป์และการละคร (ศ 3. ม.2/2) เสนอข้อคิดเห็นในการปรับปรุงการแสดง (ศ 3.1 ม.2/4) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. สามารถอธิบายความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองได้ (K) 2. สามารถปฏิบัติการแสดงนาฏศิลป์เบื้องต้นได้ (P) 4. เห็นความสำคัญของศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และอารยธรรมท้องถิ่น (A) 4. สาระสำคัญ การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองในแต่ละภาคจะสะท้อนให้เห็นถึงศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และเอดลักษณ์ประจำท้องถิ่นที่แตกต่างกันออกไป การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองเมืองของแต่ละท้องถิ่น จะประกอบ ไปด้วยเพลงพื้นเมืองและการฟ้อนรำพื้นเมืองดังนั้น การเรียนรู้และการฝึกหัดแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง จะช่วยทำให้ เราเข้าใจลักษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศิลป์ในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งจะช่วยให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการแสดง นาฏศิลป์ไทยมาจรฐาน นาฏศิลป์พื้นเมือง หรือมหรสพอื่นๆที่เคยนิยมกันในอดีตอีกด้วย 5. สาระการเรียนรู้ นาฏศิลป์พื้นเมือง ความหมาย ที่มา วัฒนธรรม ลักษณะเฉพาะ และรูปแบบการแสดงประเภทต่างๆ


6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน 3. รักความเป็นไทย 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนไปชมการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน รำบายศรีสู่ขวัญจาก อินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น www.youtube.com 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทบทวนความรู้นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ ฟ้อนเล็บจากชั่วโมงที่แล้วให้นักเรียนฟัง 2. ครูเปิดการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน รำบายศรีสู่ขวัญ ให้นักเรียนรับชม ขั้นที่ 2 ขั้นสอน 1. ครูเข้าสู่บทเรียนและอธิบายถึงการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน ชุดการแสดงฟ้อนบายศรีสู่ขวัญ ให้นักเรียนฟัง โดยจะอธิบายดังนี้ ประเพณีการสู่ขวัญ เป็นประเพณีตามศาสนาพราหมณ์ที่นิยมกระทำสืบต่อกันมา อย่างช้านาน ถือว่าเมื่อได้มีการทำพิธีนี้แล้วจะก่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต การทำพิธีสู่ขวัญนี้จะกระทำเมื่อ เกิดเหตุการณ์ที่ดีเป็นมงคล เช่นพิธีแต่งงาน การหายจากป่วยไข้ การมาหรือกลับจากสถานที่ใดๆ การไปค้าขายได้ เงินทองมามาก การมีแขกมาเยี่ยมยามจากต่างถิ่น ฯลฯ แม้แต่เหตุการณ์ที่ไม่ดี เช่น การได้รับความเจ็บป่วย คนในครอบครัวประสบอุบัติเหตุหรือต้องเสียชีวิต (เหตุการณ์นี้จะทำพิธีให้แก่ผู้ที่รอดจากเหตุดังกล่าว) การสู่ขวัญ คือการเรียกขวัญ หรือเอิ้นขวัญชาวอีสานมีความ เชื่อว่า “ขวัญ” เป็นสิ่งที่แฝงอยู่กับตัวของมนุษย์มาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งจะจับต้องหรือไม่สามารถมองเห็นได้ หากว่ามี เหตุให้ขวัญหนีออกจากตัว เช่น เกิดอุบัติเหตุ เสียใจ ป่วยไข้ ตกใจรุนแรง อาจทำให้ตัวบุคคลนั้นถึงแก่ความตายได้ ฉะนั้นต้องเรียกขวัญกลับมาสู่ตัวจะทำให้สุขสบายขึ้นบาศรี เป็นคำเรียกพราหมณ์ด้วยความเคารพ พราหมณ์เป็น ผู้ทำพิธีสู่ขวัญ จึงเรียกว่า บาศรีสู่ขวัญ ซึ่งหมายถึงพราหมณ์ทำพิธีสู่ขวัญบายศรี มาจากคำว่าบาย+ศรี บาย แปลว่า สัมผัส จับ ต้อง ศรี แปลว่า สิริ มงคล สิ่งที่ดี บายศรี หมายความถึง การรวบรวมเรียกเอาสิริมงคลต่างๆ ด้วยกิริยา


วิธีทางกาย ทางวาจา และทางใจ แม้ว่าศรี หรือ สิริ จะไม่สามารถบายหรือสัมผัสจริงๆได้ด้วยมือ แต่ที่ใช้คำว่าบาย เนื่องจากต้องการสื่อในความหมายเชิงรูปนัยเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย มิใช่นามนัย พราหมณ์จึงใช้วิธีเชิญสิริเข้ามาอยู่ใน ข้าว ไข่ต้ม หรือฝ้ายผูกข้อมือ เป็นต้น แล้วบายเอาข้าวหรือไข่ต้มส่งให้ผู้เข้ารับบายศรีกิน นำฝ้ายไปผูกข้อมือ ซึ่ง วิธีการนี้เป็นวิธีเชิงรูปธรรม ในส่วนที่เป็นนามธรรมนั้น จะรับสิริทางใจหรือความรู้สึกโดยตรงบายศรีสู่ขวัญ จึง หมายถึงการรวบรวมเรียกเอาหรือเชิญสิริมงคลต่างๆ ด้วยกิริยาวิธีทางกาย ทางวาจา และทางใจ ให้มาสถิตที่ขวัญ เพื่อความเจริญรุ่งเรือง เพื่อความสุข สวัสดีเครื่องกิริยาในการทำพิธีบายศรีสู่ขวัญที่สำคัญ คือ พานบายศรี หรือ “พาขวัญ” ทำจากใบตองและดอกไม้สด รวมไปถึงเครื่องสังเวยต่างๆ เช่น ข้าวปลาอาหาร แป้ง กระจก หวี ผ้าแพร ไหม น้ำอบ-น้ำหอม ที่ขาดไม่ได้คือ เส้นฝ้ายสีขาว เพื่อใช้ในการผูกข้อต่อแขนแก่ผู้เข้าร่วมทำพิธีการฟ้อนบายศรีสู่ ขวัญ เกิดจากการคิดค้นร่วมกัน โดย อ. ดำเกิง ไกรสรกุล และ อ.พนอกำเนิดกาญจน์ แห่งวิทยาลัยครูอุดรธานี (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี) ซึ่ง อ.พนอกำเนิดกาญจน์ เป็นผู้ประดิษฐ์ท่าฟ้อน อ. ดำเกิง ไกรสรกุล เป็นผู้แต่งเนื้อร้องและทำนองเพลง 2. ครูพานักเรียนร้องเพลง รำบายศรีสู่ขวัญ โดยมีเนื้อร้องดังนี้ มาเถิดเย้อ มาเยอขวัญเอย มาเย้อขวัญเอย...... หมู่ชาวเมืองมา เบื้องขวานั่งส่ายล่าย เบื้องซ้ายนั่งเป็นแถว ยอพาขวัญไม้จันทน์เพริดแพร้ว ขวัญมาแล้ว มาสู่คีงกลม เกศแก้วหอมลอยลม ทัดเอื้องชวนชม เก็บเอาไว้บูชา ยามฝนพรำเจ้าอย่าแข่ง แดดร้อนแรงเจ้าอย่าคลา อยู่ที่ไหนจงมา รัดด้ายไชยยา มาคล้องผ้าแพรกระเจา อย่าเพลินเผลอ มาเยอขวัญเอย มาเย้อขวัญเอย...... อยู่แดนดินใด หรือฟ้าฟากไกล ขอให้มาเฮือนเฮา เทื่อยังคิดอาลัยซู้เก่า ขออย่าเว้า ขวัญเจ้าจะตรม หมอกน้ำค้างพร่างพรม ขวัญอย่าเพลินชม ป่าเขาลำเนาไพร เชิญไล้ทาประทินกลิ่นหอม ดมพะยอมให้ชื่นใจ เหล่าข้าน้อยแต่งไว้ ร้อยพวงมาลัยมาคล้องให้สวยรวย ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง ฟ้อนบายศรีสู่ขวัญ


ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ 1. นักเรียนนำความรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองไปบูรนาการกับรายวิชาอื่น เช่นสังคมศึกษา วิชา ประวัติศาสตร์ ภาษาไทย ดนตรี ศิลปะ และนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับวิถีชีวิตและอายธรรมท้องถิ่นของตัวเอง 10. สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ม.2 บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด 2. อินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ 3. www.youtube.com 11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม (A) 1. สามารถอธิบายความรู้ ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์ พื้นเมืองได้ (K) 2. สามารถปฏิบัติการแสดง นาฏศิลป์เบื้องต้นได้ (P) 4. เห็นความสำคัญของ ศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และอารยธรรมท้องถิ่น (A)


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 17 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่3 รหัสวิชา ศ22101 หน่วยการจัดการเรียนรู้ที่9 การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง เวลา 10 ชั่วโมง เรื่อง การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน เซิ๊งกระติ๊บข้าว เวลา 1 ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครูผู้สอน นายภาคิณ ภูดิน 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจและแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า นาฏศิลป์ ถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มาตรฐาน ศ 3.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของ นาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล 2. ตัวชี้วัดชั้นปี สร้างสรรค์การแสดงโดยใช้องค์ประกอบนาฏศิลป์และการละคร (ศ 3. ม.2/2) เสนอข้อคิดเห็นในการปรับปรุงการแสดง (ศ 3.1 ม.2/4) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. สามารถอธิบายความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองได้ (K) 2. สามารถปฏิบัติการแสดงนาฏศิลป์เบื้องต้นได้ (P) 4. เห็นความสำคัญของศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และอารยธรรมท้องถิ่น (A) 4. สาระสำคัญ การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองในแต่ละภาคจะสะท้อนให้เห็นถึงศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และเอดลักษณ์ประจำท้องถิ่นที่แตกต่างกันออกไป การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองเมืองของแต่ละท้องถิ่น จะประกอบ ไปด้วยเพลงพื้นเมืองและการฟ้อนรำพื้นเมืองดังนั้น การเรียนรู้และการฝึกหัดแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง จะช่วยทำให้ เราเข้าใจลักษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศิลป์ในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งจะช่วยให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการแสดง นาฏศิลป์ไทยมาจรฐาน นาฏศิลป์พื้นเมือง หรือมหรสพอื่นๆที่เคยนิยมกันในอดีตอีกด้วย


5. สาระการเรียนรู้ นาฏศิลป์พื้นเมือง ความหมาย ที่มา วัฒนธรรม ลักษณะเฉพาะ และรูปแบบการแสดงประเภทต่างๆ 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน 3. รักความเป็นไทย 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนไปชมการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน เซิ้งกระติ๊บข้าว อินเทอร์เน็ต หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น www.youtube.com 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทบทวนความรู้นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน รำบายศรีสู่ขวัญ จากชั่วโมงที่แล้วให้นักเรียนฟัง 2. ครูเปิดการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน เซิ้งกระติ๊บข้าว ให้นักเรียนรับชม ขั้นที่ 2 ขั้นสอน 1. ครูเข้าสู่บทเรียนและอธิบายถึงการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน ชุดการแสดงเซิ้งกระติ๊บข้าว ให้ นักเรียนฟัง โดยจะอธิบายดังนี้ กระติบข้าว หรือภาษาอีสานบางแห่งเรียกว่าก่องข้าว เป็นภาชนะใช้สำหรับใส่ข้าว เหนียว ที่ทรงคุณค่ามากด้วยภูมิปัญญา เก็บความร้อนได้ดี ในขณะที่ยอมให้ไอน้ำระเหยออกไปได้ ทำให้ข้าวเหนียว ที่บรรจุอยู่ภายในกระติบหรือก่องข้าวไม่แฉะด้วยไอน้ำ (ต่างจากกระติกน้ำแข็งที่เก็บความร้อนได้แต่ไม่ยอมให้ไอน้ำ ระเหยออก ข้าวเหนียวจึงเปียกแฉะ) ภูมิปัญญานี้มีเคล็ดลับอยู่ที่การสานกระติบเป็นสองชั้น ชั้นในสุดจะสานด้วยตอกให้มีตาห่างเล็กน้อย เพื่อให้ไอน้ำระเหยออกจากข้าวผ่านช่องว่างภายในกระติบข้าวชั้นในได้ ในขณะที่ชั้นนอกสุดจะสานด้วยตอกที่มี ความชิดแน่นหนากว่าเพื่อเก็บกักความร้อนไว้ ไอน้ำที่มีความร้อนอยู่ภายในช่องว่างนี้ จะช่วยทำให้ข้าวเหนียวที่อยู่ ภายในกระติบข้าว ยังคงความร้อนได้อีกนาน โดยเมล็ดข้าวจะไม่มีไอน้ำเกาะ จึงไม่แฉะเหมือนกับการบรรจุใน


ภาชนะพลาสติกยุคใหม่ ฝาปิดและตัวกระติบ จะมีลักษณะที่เหมือนกัน เพียงแต่มีขนาดที่ต่างกันเล็กน้อยให้ สามารถสวมใส่กันได้พอดี ในส่วนตัวกระติบจะมีฐานรอง ขดเป็นวงกลม มีขนาดเล็กกว่าตัวกระติบเล็กน้อย ยึดด้วย หวายหรือไนล่อนให้ติดกับตัวกระติบเซิ้งกระติบข้าว เป็นการแสดงของภาคอีสานที่เป็นที่รู้จักกันดี และแพร่หลาย ที่สุดชุดหนึ่ง จนทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า การแสดงของภาคอีสานมีลักษณะเป็นการรำเซิ้งเพียงอย่างเดียว เซิ้งกระติบข้าวได้แบบอย่างมาจากการเซิ้งบั้งไฟ ซึ่งแต่เดิมนั้น เซิ้งบั้งไฟในขบวนแห่ หรือเซิ้งในขบวนแห่ต่างๆ ไม่มี ท่าฟ้อนรำที่อ่อนช้อย เป็นเพียงยกมือร่ายรำ(ยกมือสวกไปสวกมา)ให้เข้ากับจังหวะกลองและรำมะนาเท่านั้นในราว พ.ศ. 2507 เมื่อครั้งที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงมีพระประสงค์การแสดงของภาคอีสาน เพื่อต้อนรับสมเด็จพระ นางเจ้าอะเลียนา และเจ้าหญิงบีทริกซ์ แห่งประเทศเนเธอแลนด์ จึงมีการนำเอาเพลงเซิ้งอีสานคือ จังหวะลำเซิ้งมา ใช้ โดยมีท่าถวายบังคม ท่านกบิน ท่าเดิน ท่าดูดาว ท่าม้วนตัว ท่าสนุกสนาน ท่าปั้นข้าวเหนียว ท่าโปรยดอกไม้ ท่า บังแสงอาทิตย์ ท่าเตี้ย (รำเตี้ย) และในการแต่งกายครั้งแรกนั้นจะนุ่งผ้าซิ่นห่มผ้าสไบ เกล้าผมสูง แต่ยังไม่ได้ห้อย กระติบข้าวเพราะเห็นว่ารุงรัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จทอดพระเนตร พระองค์จึงรับสั่งให้ใครสักคนหนึ่ง ลองรำดูว่า ถ้าไม่ห้อยกระติบข้าว หรือห้อยกระติบข้าวแล้วจะเป็นอย่างไร? คุณหญิงเบญจวรรณ อรวรรณ เป็นผู้ ทดลองรำดู ครั้งแรกไม่ห้อยกระติบข้าวก็น่ารักดี ครั้งที่สองรำโดยห้อยกระติบข้าวทุกคนก็คิดว่ากำลังน่ารัก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งคำเดียวว่า "น่าเอ็นดูดีนี่" ผู้รำทุกคนก็พากันรีบห้อยกระติบข้าวกันใหญ่ทาง ไหล่ขวาทุกคน การเซิ้งครั้งนั้น ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค เรียกชื่อว่า "เซิ้งอีสาน" ต่อมามีผู้นำเซิ้งอีสานไปแสดง กันทั่วไปแต่เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "เซิ้งกระติบข้าว" ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง เซิ้งกระติ๊บข้าว ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ 1. นักเรียนนำความรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองไปบูรนาการกับรายวิชาอื่น เช่นสังคมศึกษา วิชา ประวัติศาสตร์ ภาษาไทย ดนตรี ศิลปะ และนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับวิถีชีวิตและอายธรรมท้องถิ่นของตัวเอง 10. สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ม.2 บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด


2. อินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ 3. www.youtube.com 11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม (A) 1. สามารถอธิบายความรู้ ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์ พื้นเมืองได้ (K) 2. สามารถปฏิบัติการแสดง นาฏศิลป์เบื้องต้นได้ (P) 4. เห็นความสำคัญของ ศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และอารยธรรมท้องถิ่น (A)


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 18 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่3 รหัสวิชา ศ22101 หน่วยการจัดการเรียนรู้ที่9 การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง เวลา 10 ชั่วโมง เรื่อง การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน เซิ๊งบั้งไฟ เวลา 1 ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครูผู้สอน นายภาคิณ ภูดิน 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจและแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า นาฏศิลป์ ถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มาตรฐาน ศ 3.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของ นาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล 2. ตัวชี้วัดชั้นปี สร้างสรรค์การแสดงโดยใช้องค์ประกอบนาฏศิลป์และการละคร (ศ 3. ม.2/2) เสนอข้อคิดเห็นในการปรับปรุงการแสดง (ศ 3.1 ม.2/4) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. สามารถอธิบายความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองได้ (K) 2. สามารถปฏิบัติการแสดงนาฏศิลป์เบื้องต้นได้ (P) 4. เห็นความสำคัญของศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และอารยธรรมท้องถิ่น (A) 4. สาระสำคัญ การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองในแต่ละภาคจะสะท้อนให้เห็นถึงศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และเอดลักษณ์ประจำท้องถิ่นที่แตกต่างกันออกไป การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองเมืองของแต่ละท้องถิ่น จะประกอบ ไปด้วยเพลงพื้นเมืองและการฟ้อนรำพื้นเมืองดังนั้น การเรียนรู้และการฝึกหัดแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง จะช่วยทำให้ เราเข้าใจลักษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศิลป์ในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งจะช่วยให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการแสดง นาฏศิลป์ไทยมาจรฐาน นาฏศิลป์พื้นเมือง หรือมหรสพอื่นๆที่เคยนิยมกันในอดีตอีกด้วย 5. สาระการเรียนรู้ นาฏศิลป์พื้นเมือง ความหมาย ที่มา วัฒนธรรม ลักษณะเฉพาะ และรูปแบบการแสดงประเภทต่างๆ


6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน 3. รักความเป็นไทย 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนไปชมการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน เซิ้งบั้งไฟ อินเทอร์เน็ตหรือ เว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น www.youtube.com 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทบทวนความรู้นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน เซิ้งกระติ๊บข้าว จากชั่วโมงที่แล้วให้นักเรียนฟัง 2. ครูเปิดการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน เซิ้งบั้งไฟ ให้นักเรียนรับชม ขั้นที่ 2 ขั้นสอน 1. ครูเข้าสู่บทเรียนและอธิบายถึงการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน ชุดการแสดงเซิ้งบั้งไฟ ให้นักเรียน ฟัง โดยจะอธิบายดังนี้ เซิ้งบั้งไฟ เป็นประเพณีและพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล จากคตินิยมและ ความเชื่อเรื่องตำนานพญาคันคาก (คางคก) ซึ่งเป็นทั้งวรรณกรรมมุขปาฐะและวรรณกรรมจารึก อีกเรื่องหนึ่งคือ ตำนาน “ท้าวผาแดง – นางไอ่คำ” ซึ่งปราชญ์ชาวอีสาน ได้แต่งวรรณกรรมจากสังคมและความเป็นอยู่ของชุมชน ชาวขอมการเซิ้งบั้งไฟ ถือว่าเป็นประเพณีที่ชุมชน ชาวอีสานสืบทอดกันมาพร้อมกับประเพณีการจุดบั้งไฟ คือ ก่อนที่จะทำบั้งไฟเพื่อจุดถวายพญาแถนบนสวรรค์ ชาวบ้านจะรวมตัวกันออกเซิ้ง(คือ การร้องหรือจ่ายกาพย์ ประกอบการฟ้อน) ไปรอบๆหมู่บ้านหรือชุมชนใกล้เคียง เพื่อบอกบุญขอรับไทยทาน เพื่อซื้อ ขี้เกีย (ดินประสิว) มา ทำเป็น หมื่อ (ดินปืน) เพื่อบรรจุทำเป็นบั้งไฟ และจุดในพิธีขอฝนต่อไปการเซิ้งบั้งไฟนั้นอาจจะเป็นผู้หญิงล้วน ชาย ล้วน หรือมีการสลับชายหญิงก็ได้ 1.2 ท่าฟ้อนในการแห่บั้งไฟนั้นมีหลายท่า ยกตัวอย่างเช่นท่าฟ้อนของคุ้มบ้านใต้สามัคคี อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร มีอยู่ด้วยกัน 6 ท่า คือ ท่าไหว้ครู ท่านาคพ่นน้ำ ท่าม้วนเชือก ท่าแงงคีง(ท่าชมโฉมตนเอง) ท่าส่อนฮ


วก(ช้อนลูกอ๊อด) และท่ายูงรำแพนท่าฟ้อนของคุ้มบ้านท่าศรีธรรม อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร มี 13 ท่า คือ ท่าไหว้ ครู ท่าเกี่ยวข้าว ท่าทวยเทพ ท่าแหวกม่านเข้าหอ ท่าเอิ้นบ่าว-อีแหลวเสิ่น ท่าประแป้ง ท่าเสือขึ้นภู ท่าปอบผีฟ้ากาตบปีก ท่าบัวหุบ-บัวบาน ท่าสามก้าว ท่างามเดือน และท่าแผลงศรการแสดงเซิ้งบั้งไฟนั้นมีหลายแห่งที่คิด ประดิษฐ์ในรูปแบบต่างๆกัน แต่ผู้เขียนขอยกตัวอย่างเพียง 1 สถาบันดังนี้ ในปี พ.ศ.2525 นายจีรพล เพชรสม ผู้ช่วยผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ดในขณะนั้น รวมทั้งเหล่าคณาจารย์ คือ อ.ฉวีวรรณ พันธุ (ดำเนิน), อ. ทองคำ ไทยกล้า และ อ.ทรงศักดิ์ ประทุมศิลป์ อาจารย์สอนศิลปะพื้นเมือง แห่งวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด ได้ออก พื้นที่ไปศึกษาค้นคว้า เรื่องราวในงานประเพณีแห่บั้งไฟ จากบ้านสังข์สงยางและบ้านสีแก้ว อำเภอเมือง จังหวัด ร้อยเอ็ด และการเซิ้งบั้งไฟของชาวอำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ มาสร้างสรรค์ผลงานทางนาฏศิลป์ เป็นชุดการ แสดงที่มีชื่อว่า “เซิ้งบั้งไฟ” โดยการจำลองเหตุการณ์การแข่งขันบั้งไฟที่เมืองเอกธชีตา ในสมัยพระยาขอมเรือง อำนาจ โดยมีวัตถุประสงค์จะใช้กิจกรรมทางด้านนาฏศิลป์ สื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมรับรู้ถึงอดีตและความเป็นมา ของ วัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ และตลอดจนการมีส่วนร่วมในการสืบสานและเผยแพร่สู่อนุชนรุ่นหลังต่อไป 1.3 ครูอธิบายกาพย์เซิ้งบั้งไฟให้นักเรียนฟัง ดังนี้ ตัวอย่างกาพย์เซิ้งบั้งไฟ โอ เฮาโอศรัทธา เฮาโอ ขอเหล้าเด็ดนำเจ้าจักโอ ขอเหล้าโทนำเจ้าจักถ้วย หวานจ้วยๆต้วยปากหลานชาย เอามายายหลานชายให้คู่ ขั่นบ่คู่ตูข่อยบ่หนี ตายเป็นผีกะสินำมาหลอก ออกจากบ้านกะสิหว่านดินนำ หว่านดินนำกะให้แม่สาวย้าน 1.4 การแต่งกายการแต่งแบบชุดศรัทธา คือสวมเสื้อแขนกระบอกย้อมคราม มีการตกแต่งตัวเสื้อด้วยด้าย สีและกระดุมสีต่างๆ นุ่งโสร่งหรือผ้าซิ่นมัดหมี่คั่นต่อตีนซิ่น ที่เอวจะแขวนกระดิ่งหรือกระพรวนคอวัว สวมหมวก กาบเซิ้ง พาดสไบขิดสีแดงเฉียงไหล่ สวมส่วยมือ หรือถือร่มพื้นเมือง ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง เซิ้งบั้งไฟ


ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ 1. นักเรียนนำความรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองไปบูรนาการกับรายวิชาอื่น เช่นสังคมศึกษา วิชา ประวัติศาสตร์ ภาษาไทย ดนตรี ศิลปะ และนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับวิถีชีวิตและอายธรรมท้องถิ่นของตัวเอง 10. สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ม.2 บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด 2. อินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ 3. www.youtube.com 11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม (A) 1. สามารถอธิบายความรู้ ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์ พื้นเมืองได้ (K) 2. สามารถปฏิบัติการแสดง นาฏศิลป์เบื้องต้นได้ (P) 4. เห็นความสำคัญของ ศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และอารยธรรมท้องถิ่น (A)


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 19 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระที่3 รหัสวิชา ศ22101 หน่วยการจัดการเรียนรู้ที่9 การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง เวลา 10 ชั่วโมง เรื่อง การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคกลาง เต้นกำรำเคียว เวลา 1 ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ครูผู้สอน นายภาคิณ ภูดิน 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจและแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า นาฏศิลป์ ถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มาตรฐาน ศ 3.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของ นาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล 2. ตัวชี้วัดชั้นปี สร้างสรรค์การแสดงโดยใช้องค์ประกอบนาฏศิลป์และการละคร (ศ 3. ม.2/2) เสนอข้อคิดเห็นในการปรับปรุงการแสดง (ศ 3.1 ม.2/4) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. สามารถอธิบายความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองได้ (K) 2. สามารถปฏิบัติการแสดงนาฏศิลป์เบื้องต้นได้ (P) 4. เห็นความสำคัญของศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และอารยธรรมท้องถิ่น (A) 4. สาระสำคัญ การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองในแต่ละภาคจะสะท้อนให้เห็นถึงศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และเอดลักษณ์ประจำท้องถิ่นที่แตกต่างกันออกไป การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองเมืองของแต่ละท้องถิ่น จะประกอบ ไปด้วยเพลงพื้นเมืองและการฟ้อนรำพื้นเมืองดังนั้น การเรียนรู้และการฝึกหัดแสดงนาฏศิลป์พื้นเมือง จะช่วยทำให้ เราเข้าใจลักษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศิลป์ในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งจะช่วยให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการแสดง นาฏศิลป์ไทยมาจรฐาน นาฏศิลป์พื้นเมือง หรือมหรสพอื่นๆที่เคยนิยมกันในอดีตอีกด้วย 5. สาระการเรียนรู้ นาฏศิลป์พื้นเมือง ความหมาย ที่มา วัฒนธรรม ลักษณะเฉพาะ และรูปแบบการแสดงประเภทต่างๆ


6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน 3. รักความเป็นไทย 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8. ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนไปชมการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคกลาง เต้นกำรำเคียว อินเทอร์เน็ต หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น www.youtube.com 9. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูทบทวนความรู้นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน เซิ้งบั้งไฟ จากชั่วโมงที่แล้วให้นักเรียนฟัง 2. ครูเปิดการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคกลาง เต้นกำรำเคียว ให้นักเรียนรับชม ขั้นที่ 2 ขั้นสอน 1. ครูเข้าสู่บทเรียนและอธิบายถึงการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคกลาง ชุดการแสดงเต้นกำรำเคียว ให้ นักเรียนฟัง โดยจะอธิบายดังนี้ เต้นกำรำเคียวประวัติความเป็นมาแถบจังหวัดนครสวรรค์ โดยเฉพาะอำเภอพยุหะ คีรี ประชาชนส่วนมากยึดอาชีพการทำนาเป็นหลัก หลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ชาวนารู้สึกเหน็ดเหนื่อย และ ด้วยนิสัยรักความสนุก ประกอบกับการเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนของคนไทยด้วย ก็ชักชวนกันผ่อนคลายความ เมื่อยล้า ด้วยการตั้งวงเต้นกำรำเคียว การเล่นเต้นกำรำเคียวมักเริ่มเล่นเพลงเกี่ยวข้าวก่อนเสมอ เต้นกำรำเคียวเป็น การละเล่นพื้นบ้านที่เก่าแก่แบบหนึ่งของชาวชนบท สันนิษฐานว่า เกิดขึ้นสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นครั้งแรกที่บ้านสระ ทะเล ตำบลสระทะเล อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เล่นกันแพร่หลายในบ้านสระทะเล และตำบลใกล้เคียง เช่น ตำบลม่วงหัก เป็นต้น อนึ่ง มีผู้รู้เกี่ยวกับเพลง พื้นบ้านคนหนึ่ง กล่าวว่า แต่เดิมชาวบ้านเรียกการละเล่นชนิดนี้ว่า “เต้นกำ” แต่กรมศิลปากรได้ไปถ่ายทอด และ นำไปเผยแพร่ ก็ได้เพิ่มคำว่า “รำเคียว” ต่อท้าย จึงทำให้ประชาชนทั้งหลายรู้จักการละเล่นแบบนี้ในชื่อของ “เต้น กำรำเคียว” การนำเพลงเต้นกำรำเคียวไปเผยแพร่นั้น กรมศิลปากรได้ดัดแปลงท่ารำและเนื้อร้องใหม่ เพื่อให้สุภาพ


ขึ้น และใช้ระนาดเป็นเครื่องดนตรีประกอบในตอนต้นและตอนท้าย เพลงเต้นกำรำเคียวนั้น ถือเป็นเพลงพื้นบ้าน ประจำจังหวัดนครสวรรค์ และในบางครั้งก็ใช้แทนเพลงพื้นบ้านในนามภาคกลางด้วย 12. ผู้เล่นการเล่นเพลงเต้นกำรำเคียวนั้นผู้เล่นเป็นชาวบ้านที่มาเกี่ยวข้าว ไม่จำกัดจำนวน ชาย หญิง จะ จับคู่เล่นกันเป็นคู่ๆ ประมาณ 5 คู่ ถึง 10 คู่ 1.3 การแต่งกายทั้งของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง คือ ชุดที่ใส่ในการทำนา ฝ่ายชายจะนุ่งกางเกงขาก๊วย และสวมเสื้อม่อฮ่อมสีดำหรือสีน้ำเงินเข้มมีผ้าขาวม้าคาดเอว สวมหมวกสานใบลาน ฝ่ายหญิงจะนุ่งโจงกระเบนสีดำ หรือโจงกระเบนผ้าลายก็ได้ และสวมเสื้อแขนกระบอกสีดำหรือสีน้ำเงินเข้ม สวมงอบ 1.4 อุปกรณ์ในการเล่นเคียวเกี่ยวข้าวคนละ 1 เล่ม พร้อมกับกำรวงข้าวคนละ 1 กำ 1.5 สถานที่เล่น เล่นกันในท้องนาที่เกี่ยวข้าว หรือลานดินกว้างๆ ในท้องนา วิธีเล่นในการเล่นจะแบ่งผู้เล่น ออกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายชายและฝ่ายหญิง แต่ละฝ่ายจะยืนอยู่คนละครึ่งวงกลม แต่ละคนถือเคียวเกี่ยวข้าวไว้ด้วย มือขวา ส่วนมือซ้ายกำรวงข้าวไว้ เมื่อการเล่นเริ่มต้นขึ้น ฝ่ายชายที่เป็นพ่อเพลง จะเป็นผู้เต้นออกไปกลางวง ตาม จังหวะปรบมือของลูกคู่ พ่อเพลงจะร้องชักชวนแม่เพลงก่อน เพื่อให้ออกมาเพลงแรกคือ เพลงมา สำหรับลูกคู่ที่เป็น ชาย จะนำเคียวและรวงข้าวมาเหน็บไว้ข้างหลัง เพื่อตบมือให้จังหวะ ส่วนลูกคู่ฝ่ายหญิงยังคงถือเคียวและรวงข้าว เหมือนเดิม แล้วเดินตามกันไปเป็นวงกลม สำหรับพ่อเพลงและแม่เพลงนั้น จะเปลี่ยนกันหลายคนก็ได้ นอกนั้นก็ เป็นลูกคู่คอยร้องรับ นอกจากนี้ยังมีการรำร่อหรือเรียกว่า “ร่อกำ” กล่าวคือ เมื่อพ่อเพลงเดินเข้าไปใกล้แม่เพลง ก็ หาทางเข้าใกล้ฝ่ายหญิงให้มากที่สุด เมื่อสบโอกาสก็ใช้ด้ามเคียวหรือข้อศอก กระทุ้งให้ถูกตัวฝ่ายหญิง ฝ่ายหญิงจะ ใช้เคียวและรวงข้าวปัดป้อง ถ้าหากพ่อเพลงเข้าไปผิดท่า ก็อาจถูกรวงข้าวฟาด การร่อกำนี้ พ่อเพลงที่เต้นเก่งๆ จะ ทำได้น่าดูมาก เพราะท่าทางสวยงามเป็นที่สนุกสนานครื้นเครง ในขณะที่ร้องพ่อเพลงจะแสดงท่าทางให้สอดคล้อง กับเนื้อเพลงด้วย ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 11 บท 1.6 ตัวอย่างเนื้อเพลงเต้นกำรำเคียว เพลงมา ชาย มากันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่มามารึมา แม่มา (ซ้ำ) มาเถิดแม่นุชน้อง พี่จะเป็นฆ้องให้น้องเป็นปี่ ต้อยตะริดติ๊ ดตอด น้ำแห้งน้ำหยอดที่ตรงลิ้นปี่ มาเถินะแม่มา มารึมาแม่มา มาเต้นกำย่ำหญ้ากันในนานี้เอย หญิง มากันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อมามารึมา พ่อมา ฝนกระจายปลายนา แล้วน้องจะมาอย่างไรเอย เพลงไป


ชาย ไปกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่ไปไปรึไป แม่ไป ไปชมนกกันที่ในป่า ไปชมพฤกษากันในไพร ไปชม ชะนีผีไพร กันเล่นที่ในดงเอย หญิง ไปกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อไปไปรึไป พ่อไป น้องเดินขยิกจิกไหล่ ตามก้นพี่ชายไปเอย เพลงเดิน ชาย เดินกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่เดินเดินรึเดิน แม่เดิน ย่างเท้าขึ้นโคก เสียงโพระดกมันเกริ่น (ซ้ำ) จะชวนหมู่ น้องไปท้องพะเนิน ชมเล่นให้เพลินใจเอย หญิง เดินกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อเดินเดินรึเดิน พ่อเดิน หนทางก็รกระหกระเหินแล้วน้องจะเดินอย่างไรเอย เพลงรำ ชาย รำกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่รำรำรึรำ แม่รำ ใส่เสื้อดี แม่ห่มแต่สีดอกขำ น้อยหรือแน่แม่ช่างรำ แม่เชื้อระบำ เก่าเอย หญิง รำกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อรำรำรึรำ พ่อรำ มหาหงส์ลงต่ำ ต่างคนต่างรำไปเอย เพลงร่อน ชาย ร่อนกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่ร่อนร่อนรึร่อน แม่ร่อน (ซ้ำ) รูปร่างเหมือนนางระบำ แม่เอ๋ยช่างรำ แม่คุณ ช่างร่อน (ซ้ำ) อ้อนแอ้นแขนอ่อน รูปร่างเหมือนมอญรำเอย หญิง ร่อนกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อร่อนร่อนรึร่อน พ่อร่อน สีนวลอ่อนๆ ร่อนแต่ลมบนลมเอย เพลงบิน ชาย บินกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่บินบินรึบิน สองตีนกระทืบดิน ใครเลยจะบินไปได้อย่างเจ้า (ซ้ำ) ใส่งอบขาวๆ รำกำข้าวงามเอย หญิง บินกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อบิน บินรึบิน พ่อบิน มหาหงส์ทรงศีล บินไปตามลมเอย เพลงยัก ชาย ยักกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่ยักยักรึยัก แม่ยัก ยักตื้น กระไรติดกึก ยักลึก กระไรติดกัก (ซ้ำ) แม่หงส์ทอง น้องรัก ยักให้หมดวงเอย หญิง ยักกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อยักยักรึยัก พ่อยัก (ซ้ำ) อย่าเข้ามาใกล้น้องนัก จะโดนเคียวควักตาเอย เพลงย่อง ชาย ย่องกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่ย่องย่องรึย่อง แม่ย่อง บุกพงอะไรแกรกๆ สองมือก็แวกนัยน์ตาก็มอง (ซ้ำ) พบ ฝูงละมั่ง กวางทอง พวกเราก็จ้องยิงเอย หญิง ย่องกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อย่องย่องรึย่อง พ่อย่อง ฝูงละมั่งกวางทอง ย่องมากินถั่วเอย เพลงย่าง


ชาย ย่างกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่ย่างย่างรึย่าง แม่ย่าง ย่างเถิดย่างเถิดแม่ย่าง ย่างรึย่างแม่ย่าง เจอะเสือพี่ก็จะ ยิง เจอะกระทิงพี่ก็จะย่าง (ซ้ำ) ไม่ว่าเนื้อเสือเนื้อช้าง จะย่างไปฝากเมียเอย หญิง ย่างกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อย่าง ย่างรึย่างพ่อย่าง เนื้อเสือเนื้อช้าง ย่างไปฝากเมียเอย เพลงแถ ชาย แถกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่แถแถรึแถ แม่แถ (ซ้ำ) จะลงหนองไหน พี่จะไปหนองนั้นแน่ (ซ้ำ) นกกระสา ปลากระแห แถให้ติดดินเอย หญิง แถกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อแถแถรึแถ พ่อแถ (ซ้ำ) นกกระสาปลากระแห แถมาลงหนองเอย เพลงถอง ชาย ถองกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่ถองถองรึถอง แม่ถอง (ซ้ำ) ถองรึถองแม่ถอง ถองซิถองแม่ถอง คอยขยับจับ จ้อง ถองให้ถูกนางเอย หญิง ถองกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อถองถองรึถอง (ซ้ำ) กล้าดีก็เข้ามาลอง จะโดนกระบองตีเอย ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายสรุปเรื่อง การแสดงเต้นกำรำเคียว ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ 1. นักเรียนนำความรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์พื้นเมืองไปบูรนาการกับรายวิชาอื่น เช่นสังคมศึกษา วิชา ประวัติศาสตร์ ภาษาไทย ดนตรี ศิลปะ และนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับวิถีชีวิตและอายธรรมท้องถิ่นของตัวเอง 10. สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ม.2 บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด 2. อินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ 3. www.youtube.com


11. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม (A) 1. สามารถอธิบายความรู้ ทั่วไปเกี่ยวกับนาฏศิลป์ พื้นเมืองได้ (K) 2. สามารถปฏิบัติการแสดง นาฏศิลป์เบื้องต้นได้ (P) 4. เห็นความสำคัญของ ศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และอารยธรรมท้องถิ่น (A)


Click to View FlipBook Version