ภาคผนวก
หลวงพ่อเชย�
อาจารย์สู พรหมเชยธีระ
ธรรมปาล�ี
หลวงพ่อเชย
เม่ืออาจารย์สูได้ พบหลวงพ่อเชย
ขณะนนั้ หลวงพ่อเชยอย่ทู ี่วดั ราษฎร์บ�ำรุงใน
ตวั เมืองจงั หวดั ชลบรุ ี ชาวบ้านมกั เรียกหลวง
พอ่ เชยวา่ “ขรัวตาเชย”
โดยปกติท่านไม่ค่อยพูดกับใคร
ทงั้ ยงั ชอบท�ำอะไรแผลง ๆ จนคนเรียกวา่
“ขรัวตาเชยบ้า” หรือ “พระบ้า” ทา่ นมกั นงุ่ จีวรเก่า ๆ ทา่ นชอบเก็บเศษ
กระดาษหรือหนงั สอื พิมพ์เก่า ๆ ตามถนน ท่ีจ�ำวดั ของทา่ นอยทู่ ่ีโกดงั
เก็บโลงศพ โดยมากทา่ นจะใช้เวลาบ�ำเพญ็ เพียรวิปัสสนาธรุ ะ บางคราว
ก็เงียบอยเู่ ป็นวนั ๆ
การท่ีท่านอาจารย์สูทราบว่าหลวงพ่อเชยเป็ นภิกษุที่ทรง
คณุ ธรรมเนื่องจากวา่ ก่อนที่จะได้พบกบั หลวงพอ่ เชย อาจารย์สรู ู้สกึ วา่ มี
พระมาควบคมุ การนงั่ กมั มฏั ฐานของตวั เองเป็นเวลานานถงึ 5 ปี และคดิ
วา่ พระรูปนนั้ คือ หลวงพอ่ เชย เม่ืออาจารย์สเู ข้าไปถวายตวั เป็นลกู ศษิ ย์
หลวงพอ่ เชยให้อาจารย์น�ำดอกไม้ 5 ชนิดมาถวาย ซงึ่ อาจารย์สเู ข้าใจวา่
เป็นขนั ธ์ 5 นน่ั เอง ตอนนนั้ หลวงพอ่ เชยได้สอนอาจารย์สเู ป็นค�ำแรกวา่
“เม่ือครัง้ พระพทุ ธเจ้าทา่ นอยู่ ไมม่ ีศีล” จากนนั้ หลวงพอ่ เชยก็สอนการ
เลน่ ลมให้ทา่ นอาจารย์สนู �ำไปปฏิบตั เิ อาเอง และได้เคยพดู เป็นนยั ให้
อาจารย์สฟู ัง เมื่อได้ฟังแล้วเข้าใจวา่ หลวงพอ่ เชยทา่ นปลงตกหมดแล้ว
ภาคผนวก 152
ไมม่ ีความยดึ มน่ั อะไรอีกตอ่ ไปแล้ว
ทา่ นอาจารย์สแู ละครอบครัวได้รับความเมตตาจากหลวงพอ่ เชย
มาโดยตลอด แม้เมื่อจะอยหู่ า่ งไกลกนั ก็ตาม แตต่ อ่ มาอาจารย์สเู กิด
น้อยใจหลวงพอ่ เชย เน่ืองจากหลวงพอ่ เชยทา่ นพดู น้อย จะกลา่ วเตือน
ก็ตอ่ เมื่อทา่ นอาจารย์สปู ฏิบตั แิ ล้วเกิดผิดทางไป ต้องย้อนมาพิจารณา
การปฏิบตั ดิ ้วยตนเอง เมื่อรู้สกึ อดึ อดั มากเข้า ทา่ นอาจารย์ก็ตดั พ้อกบั
หลวงพอ่ เชยถงึ ขนั้ ตดั ขาด หลวงพอ่ เชยก็เพียงแตพ่ ดู วา่ เสยี ดายที่ต้อง
มาตดั ขาดกนั แล้วทา่ นก็หายไปจากวดั ไมก่ ลบั มาอีกเลย อาจารย์สกู ็
พยายามตดิ ตามหา และได้ตงั้ จิตอธิษฐานขอให้พบกบั หลวงพอ่ เชยอีก
วนั รุ่งขึน้ ก็มีคนมาบอกว่ามีพระแก่องค์หน่ึงอยู่บนเขาปากแรต
ทา่ นอาจารย์ก็คดิ วา่ ต้องเป็นหลวงพอ่ แน่ ๆ ก็ไปตามหา การไปหาสอง
ครัง้ แรกไมพ่ บหลวงพอ่ เชย จนครัง้ ที่สามอาจารย์เดนิ ตามหาหลวงพอ่
จนเลบ็ เท้าหลดุ ออกมาหมด จงึ ได้พบหลวงพอ่ เชยนงั่ สมาธิอยมู่ ีเถาวลั ย์
พนั อยรู่ อบกาย อาจารย์สจู งึ เข้าไปขอขมาโทษและฝากตวั เป็นลกู ศษิ ย์
เช่นเดิม และได้ร่วมกบั ผ้มู ีจิตศรัทธาสร้างกฏุ ิให้หลวงพ่อเชยอย่บู น
เขาปากแรตนนั ้
ในตอนท่ีท่านอาจารย์สไู ด้ขึน้ ไปอย่บู นเขากบั หลวงพ่อเชย ก็ได้
เห็นคณุ ธรรมของหลวงพ่อเชย ท่ีแผ่ไปถึงบรรดาสตั ว์ทงั้ หลายบนเขา
นนั้ ด้วย เชน่ เมื่อหลวงพอ่ เชยฉนั ข้าวเสร็จ ก็จะน�ำข้าวท่ีเหลือเทไว้
กลางแจ้งแล้วร้องเรียกหนอู อกมากิน สกั ครู่ก็จะมีหนนู บั ร้อยตวั กรูกนั
ออกมากินข้าว แยง่ กนั กินข้าวจนเสยี งดงั ไปหมด หลวงพอ่ เชยก็จะบอก
วา่ ให้เข้าแถวเรียงหนง่ึ คอ่ ย ๆ กินทีละตวั พวกหนกู ็จะเข้าแถวกินข้าวที
ละตวั เป็นภาพท่ีนา่ ดมู าก
153 ภาคผนวก
อีกครัง้ หนง่ึ ขณะที่อาจารย์สไู ด้นงั่ ภาวนาอยกู่ บั หลวงพอ่ เชย
ในเวลากลางคืนก็เหน็ งเู หา่ ตวั หนงึ่ เลอื ้ ยเข้ามา อาจารย์สจู ะไปหาไม้มา
ตีงเู พราะเกรงวา่ งจู ะกดั หลวงพอ่ เชย แตห่ ลวงพอ่ เชยได้ห้ามไว้และบอก
วา่ งมู นั หิวน�ำ้ แล้วทา่ นก็รินน�ำ้ ใสอ่ ้งุ มือให้งเู หา่ เลือ้ ยเข้ามากินน�ำ้ ในมือ
ของทา่ น งกู ินน�ำ้ เสร็จก็ผงกหวั สามครัง้ เป็นเชิงขอบคณุ แล้วก็เลอื ้ ยออก
ไป นอกจากนีห้ ลวงพอ่ ยงั เมตตาชาวบ้านที่อยแู่ ถวนนั้ ทา่ นชว่ ยรักษา
ผ้ทู ี่เจบ็ ป่ วยตลอดจนการบาดเจบ็ จากอบุ ตั เิ หตตุ า่ ง ๆ ได้เป็นทนี่ า่ อศั จรรย์
ยง่ิ นกั
เม่ืออาจารย์สเู รียนวชิ าเลน่ ลมสำ� เร็จ เช้าวนั หนงึ่ หลวงพอ่ เชยก็
บอกกบั ทา่ นอาจารย์วา่ “ภารกิจของอาตมาเสร็จสนิ ้ แล้ว” แล้วก็ยกนิว้
ขนึ ้ 3 นิว้ เพ่ือบอกให้ทราบวา่ ทา่ นจะมีชีวิตอยเู่ พียงอีก 3 วนั อาจารย์สู
รีบยกมือสาธุแล้วลงจากเขาเพื่อมาบอกข่าวให้ทางบ้านทราบอาจารย์สู
ได้น�ำจีวรใหมไ่ ปถวายเปลี่ยนให้หลวงพอ่ เชย ซง่ึ หลวงพอ่ เชยก็บอกแต่
เพียงว่า “จีวรเก่าหรือใหม่ เข้าเตาแล้วก็เหมือนกนั เอาเก็บไว้ให้พระ
ที่ยงั มีชีวิตอย่จู ะดีกว่า” แต่ท่านอาจารย์ก็พยายามจนเปล่ียนจีวรให้
หลวงพอ่ จนได้
เม่ือครบ 3 วนั หลวงพอ่ ก็มรณภาพในขณะนงั่ สมาธิ ในวนั เผา
ศพหลวงพอ่ เชยก็มีเร่ืองนา่ แปลกคือ พระจากที่ตา่ ง ๆ ทว่ั จงั หวดั ชลบรุ ี
ตา่ งก็มาร่วมกนั เผาศพหลวงพอ่ เชย จากนนั้ ปรากฏวา่ กระดกู ของทา่ น
ที่เผาออกมาเป็นพระธาตหุ มด มีอยชู่ ิน้ หนง่ึ เป็นเนือ้ สามกษัตริย์ คือ
มีสามสว่ น เป็นเงิน ทอง และนาก ทา่ นอาจารย์สไู ด้สร้างพระเจดีย์ไว้
บนเขาปากแรตเพื่อบรรจพุ ระธาตขุ องหลวงพอ่ เชย และได้สง่ั ให้ชา่ ง
ท�ำรูปจ�ำลองของหลวงพอ่ เชยไว้บชู าที่บ้าน โดยท�ำด้วยโครงไม้ไผแ่ ละบุ
ด้วยผ้า
ภาคผนวก 154
ชีวิตที่ไม่มีการปฏิบัติธรรม
เหมือนกบั แผน่ ดนิ ท่วี ่างเปลา่
เหมือนกับภาชนะ
ที่ปราศจากอาหาร
ย่อมหาประโยชน์อันใดมิได้
ผู้ปฏิบัติธรรม
แม้เพียงวันเดียว
ยังดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติ
แม้มีชีวิตตั้ง100ปี
เจดยี ห์ ลวงพอ่ เชย
155 ภาคผนวก
อาจารย์สู พรหมเชยธรี ะ
อาจารย์ส ู พรหมเชยธีระ เป็น
ชาวจีน บ้านเกิดของทา่ นอยทู่ ี่จงั หวดั
แต้จิ๋ว มณฑลกวางต้งุ ทา่ นเกิดเม่ือวนั
พฤหสั บดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2450 มี
นามเดมิ วา่ สเู ชียง แซช่ ือ้
เม่ืออายไุ ด้ 21 ปี อาจารย์ส ู ได้เดนิ ทางเข้ามาในประเทศไทย
และพ�ำนกั ท่ีวดั จีนแหง่ หนงึ่ ในจงั หวดั ฉะเชิงเทรา ตอ่ มาได้บวชเณรมี
ฉายาวา่ “เสย่ี งลก” ไมน่ านนกั ได้ย้ายมาอยทู่ ่ีวดั เซียนฮดุ ยี่ จงั หวดั ชลบรุ ี
ทา่ นอยเู่ มืองไทยได้ 3 ปี จากนนั้ เดนิ ทางไปประเทศสงิ คโปร์และสกึ ที่นนั่
ทา่ นเดนิ ทางกลบั ประเทศจีน อยไู่ ด้ไมน่ าน ในที่สดุ ก็ได้เดนิ ทางกลบั มา
และตงั้ รกรากอยทู่ ี่ประเทศไทย อาศยั อยใู่ นจงั หวดั ชลบรุ ี จวบจนบนั้
ปลายของชีวิต
อาจารย์สเู ม่ือแตง่ งาน ก็ได้ภรรยามาช่วยในการแบง่ เบาภาระ
ในบ้าน ท�ำให้มีเวลาในการปฏิบตั ิกมั มฏั ฐาน และสงเคราะห์ผ้อู ื่น
เพิ่มขนึ ้ ตอ่ มาเม่ือท่านอาจารย์สอู ายไุ ด้ 41 ปี ก็ได้พบกบั หลวงพ่อเชย
และได้ถวายตวั เป็ นลกู ศิษย์เรียนกมั มฏั ฐาน เมื่อท่านอาจารย์สอู ายไุ ด้
ประมาณ 44 ปี ก็เร่ิมปฏิบตั ิกมั มฏั ฐานอย่างจริงจงั ท่านได้ประพฤติ
พรหมจรรย์และแตง่ ชดุ ขาวนบั แตน่ นั้ มา
ภาคผนวก 156
เมื่ออายไุ ด้ประมาณ 50 ปี หลงั จากหลวงพ่อเชยมรณภาพ
ไมน่ านนกั ทา่ นอาจารย์สไู ด้เริ่มให้การรักษาโรคแก่คนทวั่ ไป ตามแบบ
ต�ำรายาจีน ซง่ึ ถ่ายทอดมาจากต้นตระกลู ของทา่ น นอกจากนีท้ า่ นยงั
ได้สอนธรรมะ และวิธีการปฏิบตั กิ มั มฏั ฐานให้แก่ผ้ทู ่ีสนใจ ทงั้ ยงั ให้
ค�ำแนะน�ำชว่ ยเหลอื แก่ผ้ทู ่ีมีเร่ืองเดือดร้อนมาขอค�ำปรึกษา ด้วยวิธีการ
ที่แยบยลไม่ซ�ำ้ แบบใคร นบั เป็ นที่พึ่งอนั เอกอขุ องลกู ๆ และบรรดา
ลกู ศิษย์ทงั้ หลาย
ในปี พ.ศ. 2514 ทา่ นอาจารย์สไู ด้อปุ สมบทตามปณิธานท่ีตงั้ ไว้
และได้ขนึ ้ ไปบ�ำเพญ็ ธรรมบนเขาปากแรต จงั หวดั ชลบรุ ี ซงึ่ เป็นสถานที่
ที่หลวงพอ่ เชยได้บ�ำเพญ็ ธรรมอยจู่ นทา่ นมรณภาพ อาจารย์สบู วชได้
ประมาณ 1 พรรษา ก็จ�ำต้องลาสกิ ขาเนื่องจากลกู ๆ และลกู ศษิ ย์ชว่ ย
กนั อ้อนวอนขอร้อง เพราะความเป็นหว่ งและเหน็ วา่ ทา่ นอายมุ ากแล้ว
ไมอ่ ยากให้ทา่ นลำ� บาก ต้องอยคู่ นเดียว อีกทงั้ ตอนอยบู่ นเขาเคยป่ วย
เป็นมาลาเรียขนึ ้ สมอง ทกุ คนจงึ เกรงวา่ ทา่ นจะป่ วยอีก
ในบนั้ ปลายชีวิต ทา่ นอาจารย์สู
ได้ทมุ่ เทเวลา ให้แก่การอบรมสง่ั สอน
ลกู หลาน บรรดาลกู ศษิ ย์ทงั้ ทางโลกและ
ทางธรรม ทา่ นอาจารย์สงเคราะห์ทกุ คน
โดยไม่ต้องการชื่อเสียงและอามิสใด ๆ
ท่านอาจารย์สปู ฏิบตั ิเช่นนีส้ ม�่ำเสมอจวบ
จนวนั สดุ ท้ายของชีวิต
157 ภาคผนวก
ในวนั ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2522 ท่านอาจารย์สูจากไปด้วย
อาการอนั สงบอยา่ งนกั ปฏิบตั ิ เม่ือเวลาประมาณ 20:45 น. ในขณะที่
ทา่ นก�ำลงั นงั่ สมาธิอยหู่ น้ารูปจ�ำลองของหลวงพอ่ เชย ในบ้านของทา่ น
ทา่ นอาจารย์ได้เคยสง่ั ลกู ๆ ของทา่ นไว้วา่ เมื่อทา่ นจากไปขอให้เผาศพ
ของทา่ นเสียใน 3 วนั ทงั้ นีเ้พื่อไมใ่ ห้เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่
ผ้ใู ด และทา่ นอาจารย์ยงั ให้ลกู ๆ จดกลอนบทหนง่ึ ของทา่ นไว้ส�ำหรับ
ตดิ ที่รูปในงานศพของทา่ นด้วย คือ
”ละครปิดฉาก ลงเรือข้ามฟาก ท่นี เี่ รียบเรยี บ ฝากให้รูข้ ่าว“
ภาคผนวก 158
การปฏบิ ตั ธิ รรมของท่านอาจารย์สู
ทา่ นอาจารย์สมู ีความสนใจในพระพทุ ธศาสนา มาตงั้ แตส่ มยั
หนมุ่ ๆ โดยได้ทอ่ งเที่ยวศกึ ษาจากส�ำนกั เตา๋ ขงจ๊ือ และศาสนาพทุ ธ
ท่านมีความสนใจศึกษาในพระพุทธศาสนาฝ่ ายมหายานนิกายลุกจง
(นิกายพระวินยั ) และนิกายเซ่ียงจง (นิกายฌานหรือนิกายเซน) ทา่ น
อาจารย์สมู ีความเล่อื มใสในค�ำสอนของทา่ นเวย่ หลา่ ง ซงึ่ เป็นพระสงั ฆ-
ปรินายกองค์ท่ี 6 แหง่ นิกายเซนเป็นอยา่ งมาก และได้ใช้ค�ำสอนของ
ทา่ นเวย่ หลา่ งเป็นแนวทางในการปฏิบตั ธิ รรม และอบรมสง่ั สอนธรรม
แก่ผ้อู ื่นเสมอมา
เมื่อมาอยเู่ มืองไทย ทา่ นอาจารย์ก็เสาะแสวงหาครูบาอาจารย์
เพื่อเรียนกมั มฏั ฐาน แตก่ ็ไมพ่ บอาจารย์ท่ีรู้แจ้งเหน็ จริงตามค�ำสอนของ
ศาสนาพทุ ธ ทา่ นอาจารย์จงึ กลบั มาศกึ ษาและปฏิบตั ดิ ้วยตนเอง โดย
คอ่ ย ๆ ทดลองหาหนทางปฏิบตั ไิ ปทีละขนั้ ตอน เมื่อรู้สกึ วา่ ผิดทางก็มา
พิจารณาและเริ่มต้นปฏิบตั ใิ หมท่ �ำให้เสยี เวลาเป็นอนั มาก
จนกระทง่ั ทา่ นอาจารย์ได้พบกบั หลวงพอ่ เชย และได้ศกึ ษาการ
ปฏิบตั แิ บบอาณาปานสตจิ ากหลวงพอ่ เชย แตท่ า่ นก็ยงั ต้องคอ่ ย ๆ
คล�ำหาหนทางเอาเอง เพราะหลวงพอ่ เชยเพียงแตบ่ อกวิธีขนึ ้ ต้นให้และ
ให้ไปฝึกเอง โดยหลวงพอ่ เชยจะเตือนเม่ือรู้สกึ วา่ ทา่ นอาจารย์ปฏิบตั ิ
ผิดทางแล้ว ซงึ่ ทา่ นอาจารย์ก็ต้องย้อนกลบั ไปตงั้ ต้นใหมเ่ พื่อหาหนทาง
ท่ีถกู ต้อง หลวงพอ่ เชยจะไมบ่ อกให้ก่อน ด้วยเหตนุ ีท้ า่ นอาจารย์จงึ มี
ความเข้าใจในการปฏิบตั กิ มั มฏั ฐานวิธีตา่ ง ๆ อยา่ งละเอียดลกึ ซงึ ้
159 ภาคผนวก
ทา่ นอาจารย์สไู ด้เลอื กการภาวนาโดยใช้คาถา หรือค�ำบริกรรม
วา่ “งานมานีปะมีฮง” เป็นภาวนาคาถา ซง่ึ หมายถงึ อายตนะหก เป็น
การภาวนาท�ำให้ใจไมฟ่ ้ งุ ซา่ น มีสตริ ู้ตวั ตลอดเวลา ท่านอาจารย์เล่า
ว่าการภาวนาให้มีสตอิ ยู่ตลอดเวลานัน้ ต้องต่อสู้กับใจของเรา
ไม่ให้หว่ันไหวไปตามเร่ืองราวต่าง ๆ ท่เี ข้ามากระทบ รวมทงั้
อารมณ์และความนึกคดิ ปรุงแต่งต่าง ๆ ท่คี อยจะชักจงู ให้ลืมตวั
เม่ือฝึ กให้รู้เท่าทนั อารมณ์ต่าง ๆ เชน่ อารมณ์โกรธ ตอนแรกโกรธ
แล้วถงึ รู้ตวั วา่ โกรธ แตก่ ็พยายามตอ่ ต้านมนั ไว้ไมใ่ ห้โกรธ ตอ่ ไป จนวนั
หนงึ่ รู้ขนึ ้ มาวา่ ความโกรธเกิดขนึ ้ มาอยา่ งไร เวลาที่เราดีใจ ความโกรธ
มนั ไปซอ่ นอยทู่ ี่ไหน และเมื่อเราโกรธ ที่เราดีใจนนั้ หายไปอยไู่ หน ทีนี ้
พอมีอะไรมากระทบใจ ชว่ งที่มนั จะเกิดหรือไมเ่ กิด พอเรารู้ทนั กบั มนั
โดยไมต่ ้องตอ่ ต้าน มนั ก็ไมม่ ีอะไรจะให้เราโกรธอีก
ตอ่ มาทา่ นเกิดความสงสยั เรื่องการภาวนาขณะหลบั วา่ จะท�ำ
ได้หรือไม ่ ทา่ นก็ใช้วธิ ีนอนภาวนาเพ่ือจะเอาชนะการหลบั แรกๆทา่ นก็
ขาดสตไิ มส่ ามารถเอาชนะความงว่ งได้ หลบั ไปโดยไมร่ ู้ตวั ภายหลงั ทา่ น
สามารถนอนภาวนาโดยกายกบั ใจได้แยกออกจากกนั กายก็หลบั แตใ่ จ
ยงั ภาวนา เมื่อตื่นขนึ ้ ก็รู้สกึ สดช่ืนมากกวา่ เดมิ ซงึ่ ทา่ นอาจารย์บอกวา่
นกั ภาวนาจะต้องผา่ นตรงนีใ้ ห้ได้
หลงั จากนนั้ ทา่ นอาจารย์ก็ฝึกตอ่ ไป โดยทา่ นใช้วธิ ีตามแบบของ
นิกายเซน ท่ีให้พิจารณาวา่ “ใครคดิ ใครเหน็ ใครได้ยิน” ทา่ นอาจารย์
เลา่ วา่ ทีแรกพิจารณาก็ชีไ้ ปตามสว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกาย ก็ไมม่ ีตรงไหน
เลยที่เรียกวา่ “กเู อง” พอพิจารณาถงึ ตรงนีก้ ็ตกใจ แตก่ ็ยงั หา “กเู อง”
ภาคผนวก 160
ตอ่ ไปอีก แตเ่ ม่ือพิจารณาตอ่ ไปก็พบวา่ ทงั้ ใจก็ยงั ไมใ่ ช่ วญิ ญาณก็ไมใ่ ช่
ปัญญาก็ยงั ไมใ่ ช่ ไมว่ า่ อะไรก็ไมใ่ ช่ ไมร่ ู้วา่ ใครเหน็ กบั ใคร ใครรู้กบั ใคร
เกิดสตคิ ดิ ขนึ ้ มา ก็เลยหนั มาพิจารณาอยตู่ ลอดเวลาวา่ ใครท�ำปาทอ่ งโก๋
ใครท�ำขนมปัง ใครนงั่ สมาธิ ใครเข้าที่ พิจารณาอยู่ 17 ปี วนั หนง่ึ ขณะที่
ก�ำลงั จะนอนก็เกิดรู้ขนึ ้ มา รู้สกึ เหมือนตวั ได้แยกออกจากร่างไปและ
ลอยอยใู่ นสญู ญากาศ มีความเบาและสงบอยา่ งบอกไมถ่ กู จงึ ท�ำให้
มองเหน็ วา่
โลกเราถูกถ่วงอยู่ด้วยแรงดงึ ดดู ฉันใด มนุษย์เรากถ็ ูกถ่วง
อยู่ด้วยกเิ ลสฉันนั้น หากปลดเปลื้องตัวเองออกจากความนึกคดิ
ปรุงแต่ง ระหว่างน้ันกจ็ ะได้พบกับหน้าตาดั้งเดมิ ของเรา
ตอนนนั้ ทา่ นอาจารย์ดีใจจนร้องไห้ ทา่ นอาจารย์บอกวา่ ดีใจที่
ได้เหน็ ทาง พบต้นทาง พบเคร่ืองมือท่ีจะมาล้างผลาญกิเลสให้หมด
สนิ ้ ไป เมื่อกิเลสหมดเม่ือใด จงึ จะเรียกวา่ ส�ำเร็จ
เมื่อท่านอาจารย์ได้ฝากตัวเป็ นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเชยก็ได้
เรียนวิชาเลน่ ลม ซงึ่ ทา่ นอาจารย์กลา่ ววา่ เป็นวิชาที่ละเอียดลกึ ซงึ ้ ผ้ทู ่ี
ปฏิบตั ติ ้องใช้ความพยายามและอดทนเป็นอนั มาก ซง่ึ ก็มีจดุ หมาย
ปลายทางเดียวกนั คือ ใช้มาล้างผลาญกิเลส
ตอ่ มาทา่ นอาจารย์บวช ก็ได้ขนึ ้ ไปบ�ำเพญ็ ธรรมบนเขาปากแรต
เพราะไมค่ ้นุ ที่จะอยวู่ ดั และต้องการหาที่สงบ ๆ ในการปฏิบตั ธิ รรม
ทา่ นอาจารย์ยงั ได้ปรารภวา่ บทสวดมนต์ของพระนนั้ นา่ จะใช้บทแปล
ภาษาไทยด้วย เพ่ือให้คนฟังสวดแล้วเข้าใจ จะได้สามารถน�ำไปปฏิบตั ิ
161 ภาคผนวก
นอกจากนีท้ า่ นอาจารย์ยงั กลา่ ววา่ การท่ีพระพทุ ธเจ้าบญั ญตั ใิ ห้
พระโกนผมโกนควิ ้ ทิง้ ก็เพ่ือให้โกนกิเลสทิง้ ไป ทกุ ครัง้ ท่ีโกนผม โกนควิ ้
ก็ควรจะถามตนเองวา่ ได้โกนกิเลสให้เบาบางลงบ้างหรือยงั และการท่ี
ชาวบ้านต้องล�ำบากน�ำอาหารมาถวายพระนนั้ ถ้าพระปฏิบตั ิไมด่ ีก็เทา่
กบั วา่ ก�ำลงั กินถ่านท่ีก�ำลงั ลกุ ไหม้ และถ้าเป็นอยา่ งนนั้ การออกไป
บณิ ฑบาตก็เหมือนกบั ไปขอทาน ซงึ่ พระเหลา่ นีจ้ ะต้องชดใช้ให้แก่ชาว
บ้านในภายหลงั
ก่อนท่ีท่านอาจารย์จะจากไปไม่นานได้พดู ให้ลกู ๆ ฟังว่า เมื่อ
ปฏิบตั มิ าถงึ ขนั้ หนงึ่ จะเกิดภาวะท่ียากจะอธิบาย เม่ือนกั ปฏิบตั มิ าถงึ ขนั้
นีแ้ ล้วจะหยดุ อีก ไมร่ ู้จะปฏิบตั ติ อ่ ไปอยา่ งไร พระพุทธเจ้าถงึ กล่าว
คำ� หน่ึงว่า “ญาณขั้นสุดท้าย นักปฏบิ ัตใิ ห้รู้เอง” ทา่ นอาจารย์มาถงึ
ตรงนีแ้ ล้วหยดุ ไปอีกเป็นเวลาสบิ กวา่ ปี เพราะไมม่ ีใครบอกได้วา่ จะท�ำ
อยา่ งไร สดุ ท้ายทา่ นอาจารย์บอกวา่ ต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้วา่
ใครเลา่ ที่ยงั มีอารมณ์อนั นีอ้ ยู่ เหมือนอยา่ งที่เวย่ หลา่ งพดู ค�ำหนง่ึ วา่
“เม่ือไม่มียดึ เหนี่ยว เกาะเก่ียว จงึ บังเกดิ ใจ เมื่อไม่มีตัวกู
อวชิ ชากจ็ ะหมด อันนี้แหละจงึ จะเปิ ดประตเู ข้าไปได้”
เราไม่เลง็ เหน็ ธรรมอย่างอื่นแม้สักข้อหน่ึง ซ่ึงเปน็ เหตุให้สมั มาทฏิ ฐิ
ทย่ี ังไมเ่ กิดขึน้ ได้เกดิ ข้ึนหรอื ใหส้ ัมมาทิฏฐิทเ่ี กดิ ขึน้ แล้วเจริญขนึ้
เหมือนโยนิโสมนสกิ ารเลย (การพจิ ารณาโดยแยบคาย)สมั มาทฏิ ฐิ
ที่ยงั ไม่เกิดข้นึ ย่อมเกิดขนึ้ และสัมมาทฏิ ฐทิ ี่เกิดข้ึนแลว้ ย่อมเจริญขน้ึ
(พทุ ธโอวาท)
ภาคผนวก 162
ธรรมะของท่านอาจารย์สู
ธรรมะของท่านอาจารย์สปู ็ นการรวบรวมค�ำสงั่ สอนและค�ำพดู
ของทา่ นอาจารย์อนั เก่ียวเน่ืองกบั หลกั ธรรมและการปฏิบตั ิ โดยเหตทุ ่ี
ทา่ นอาจารย์เป็นนกั ปฏิบตั อิ ยา่ งแท้จริง ธรรมะของทา่ นอาจารย์ทงั้ หมด
จงึ เป็นสงิ่ ท่ีได้รู้และเข้าใจมาจากการปฏิบตั ิ และทา่ นอาจารย์ก็ใช้ภาษา
งา่ ย ๆ ในการอธิบาย เพ่ือให้เป็นที่เข้าใจกนั งา่ ย ๆ อยา่ งไรก็ตาม ทา่ น
อาจารย์พดู เสมอ ๆ วา่ “ธรรมะของท่านจะเป็ นประโยชน์สำ� หรับผู้
ท่ปี ฏบิ ตั อิ ย่างแท้จริงเท่านัน้ ” ส�ำหรับผ้ทู ่ีไมไ่ ด้ปฏิบตั ิ อยา่ งดีก็จะ
สามารถจดจ�ำค�ำพดู ไว้ได้ ไมน่ านก็จะลืม และธรรมะก็ไมม่ ีทางเข้าใจ
ได้อยา่ งลกึ ซงึ ้ แท้จริงด้วยการขบคดิ นอกจากนีย้ งั อาจหลงผิดวา่ ตวั เอง
เข้าใจธรรมะดีแล้ว เกิดหลงงมงาย กลบั ท�ำให้เกิดโทษ ส้อู ยา่ รู้เลยจะดี
กวา่ เหมือนอยา่ งท่ีทา่ นอาจารย์บอกเสมอวา่ “รู้กถ็ กู ตวั รู้ปิ ดบงั ”
“เป็นๆ อยู่ไม่รู้สึก หลับไปยิ่งไม่รู้สึก ตายไปก็ย่ิงไม่รู้สึก
ถ้าอย่างนี้เป็นผีแน่ ๆ ไม่อยากจะเป็นผี ทุก ๆ ลมหายใจ อย่าขาดสติ”
“พระพุทธเจ้าท�ำไมต้องสอนสมถะ ท�ำไมต้องสอนวิปัสสนา
ท�ำไมไม่สอนทีเดียวให้พ้นทุกข์ เพราะคนมีปัญญาดีกับปัญญาไม่ดี มีเวร
มากหรือเวรน้อย เพราะอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านสอนด้วยความจ�ำเป็น
ไม่ใช่สอนด้วยใจจริง ๆ ใจจริง ๆ ของพระพุทธเจ้าท่านอยากจะสอน
ทีเดียวให้พ้นทุกข์เลย”
163 ภาคผนวก
“ท�ำอย่างไรจึงจะได้เห็นพระจริง ๆ มีแต่พระโลหะ
พระไม้ พระรูปถ่าย พระสงฆ์ ลองหยุด อย่าคิดอะไรท้ังส้ิน
ระหว่างนั้นจะได้เห็นพระจริง ๆ”
“อะไรเรียก -กูเอง- สังขารเลือดเน้ือไม่ใช่ มีแต่ขันธ์ห้า
บ้างก็เรียกอายตนะภายนอก อายตนะภายใน บ้างก็เรียกวิ¬ญ
ญาณ บ้างก็เรียกความรู้ บ้างก็เรียกปัญญ¬า รู้ที่ใจไม่ถูก รู้สึกว่าง
เปล่าไม่ถูก รู้สึกบริสุทธิ์ไม่ถูก ที่เหลืออยู่นั่นแหละ -หน้าตาจริง
ๆ- อย่างน้ันเอง”
“สมถะข้างต้น ทิ้งสมถะ เอาอะไรเข้าไปเรียนวิปัสสนา
เอาความอดทนเข้าไปต่อสู้กับกิเลส น่ันแหละวิปัสสนา”
“มีสมาธิไม่มีปัญญ¬า ตกอยู่ในเงียบเฉย มีปั¬ญญาไม่มีสมาธิกลาย
เป็นเผอเรอ พูดเก่งไปด้วยสมาธิก็ยากไปด้วย ปัญญ¬าก็ยาก
ปฏิบัติอย่างดีท่ีสุดต้องสมาธิควบปั¬ญญาถึงจะดี ความจริงไม่มีอะไร
ปฏิบัติอาศัยสมถะกับวิปัสสนามาล้างผลา¬กิเลสให้หมดส้ิน
ไม่ใช่อาศัยท่ีเห็นนี่เห็นโน่น เข้าใจว่าวิปัสสนา ท่ีเขียนอย่างน้ี
นอกจากคนท่ีรู้ข่าว ไม่ก็เท่ากับพูดส่งเดช ไม่ได้เก่ียวกับอะไรเลย”
“ก่อนที่เรายังไม่มาเกิด สังขารก็น�ำมาก่อน นักปฏิบัติให้เปล่ียน
อันน้ีเป็นความรู้ ลองไปยืนอยู่หน้ากระจก ออกมาแล้ว รูปจะติดอยู่
ในกระจกไหม ถ้าไม่ติด น่ีแหละ ธรรม”
ภาคผนวก 164
“ไม่ปฏิบัติก็ไม่รู้ ยังปฏิบัติอยู่ก็ไม่ดี ถ้าหมดกิเลสแล้ว
ยังจะปฏิบัติอะไรเล่า ข้ามฝั่งแล้วท้ิงเรือ แบกเรือจะดีหรือ”
“ปฏิบัติทางไหนถึงจะดี ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้
กัมมัฏฐานสี่สิบอย่าง ทุก ๆ อย่างสุดต่อนิสัยของใคร ชอบอย่างไหน
อย่างไหนฟันกิเลสคล่อง ชนะกิเลสง่าย ใช้อย่างไหนก็ดี
ดีท่ีชนะกิเลสง่าย อย่างนี้แล้ว อย่างไหนถึงจะดีเล่า
ทุก ๆ อย่างสุดต่ออุปนิสัยของใคร”
“หินก้อนหนึ่งตรงกลางมีเพชร ต้องอาศัยการเจียรนัย ขุด ขัด เพชร
จึงจะชัดเจนขึ้นมา จิตเราก็เหมือนกัน ความจริงแล้ว
จิตดั้งเดิมก็ส่วนด้ังเดิม กิเลสก็ส่วนกิเลส ก่อนที่ยังไม่รู้ก็เอากิเลสมา
พอกกับจิตดั้งเดิม เหมือนอย่างเปลือกหินมาพอกกับเพชร
น่ีแหละเรียก อวิชชา เมื่อจิตด้ังเดิมโผล่ขึ้นแล้ว ก็ได้รู้สึกกิเลสกับ
จิตดั้งเดิมเป็นคนละอย่าง ถ้าไม่มีกิเลสก็ไม่มีธรรมะ จะเรียนรู้กิเลส
คือวิปัสสนา ผู้ที่บรรลุธรรมคือบรรลุกิเลส จิตดั้งเดิมรู้ชัดเจนแล้ว
ระหว่างน้ันความจริงก็ไม่มีอะไร แต่มาถึงตรงนี้อันตรายสุดขีด
ต้องให้รู้สึกพยายามอย่าขาดสติ อย่าให้กิเลสกลับเข้ามาอีก
พระพุทธเจ้าสอนไว้ เรียกเป็นว่า อาชีพชอบ อย่าเข้าใจว่าไม่ต้อง
ปฏิบัติแล้ว ไม่มีอะไรจะต้องปฏิบัติต่อไปอีก ส้ินสุดแล้ว ให้ปฏิบัติ
ต่อไปอีก ต้องให้ช�ำนาญคล่องแคล่ววางใจได้
สมกับ พุทโธ อรหันต์”
165 ภาคผนวก
“รูป แปลว่า ร่างกายของเราเอง
เวทนา แปลว่า เรารับว่าชอบหรือไม่ชอบ
สัญญ¬า แปลว่า ทุกวันที่เรานึกคิด
สังขาร แปลว่า คิดไม่ยอมหยุด เกิดใหม่ก็ไม่ยอมทิ้ง
วิญญ¬าณ แปลว่า ท่ีเรารู้ผิดหรือถูก
5 อย่างน้ี เรียกว่าขันธ์ห้า ปลงตกรูป นั่งลงไปแล้วหลับตาก็สว่าง
ลืมตาก็สว่าง ปลงตกเวทนา ทิ้งร่างกายได้จะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก
ไปได้โดยสะดวก ปลงตกสัญญ¬า นึกคิดหยุด ปลงตกสังขาร
ได้เห็นนิพพานจริง ๆ ปลงตกวิ¬ญญาณ อายตนะภายนอกภายใน
เชื่อมติดกันเป็นแผ่น ไม่มีอะไรขัดขวาง มาถึงอย่างน้ีแล้ว นักปฏิบัติ
ทุกคนเข้าใจว่า ว่าง ถึงจะพูดกันบ่อย ๆ นิพพานแปลว่า ว่าง ความ
จริงแล้วไม่ใช่ว่าง คือ สภาพด้ังเดิมของเราเอง ถ้าได้จริง ๆ แล้ว
ก็ได้อภิ¬ญญาหก ถ้ายังไม่ได้จริงอย่าเข้าใจผิดว่าได้ธรรมแล้ว หลอกตัว
เองด้วย หลอกคนอ่ืนด้วย ข้ามฝั่งแล้วท้ิงเรือ ถ้าได้จริง ๆ อย่างที่
กล่าวไว้ เรือท้ิงได้ ถ้ายังไม่ได้ให้แจวต่อไปอีกเถิด”
“นักปฏิบัติถ้ารู้ว่าอวิชชาแล้ว วิปัสสนากัมมัฏฐาน
เปรียบแล้วเป็นมีดวิเศษอันหนึ่ง เพื่อฟันกิเลสให้หมดไป
ตามที่เขาว่า ว่าง ๆ อนัตตาความจริงก็ว่าง กิเลสที่มีอะไรเกิดขึ้น
เป็นวิปัสสนากิเลสท้ังน้ัน ถ้าอยากจะรู้จริง ๆ ก็เลิกคิดดี
เลิกคิดชั่ว ที่เหลืออยู่เรียกว่า หน้าตาดั้งเดิม ว่างก็ว่างแต่กิเลส
มีก็มีจิตดั้งเดิม มาถึงตรงน้ีส�ำคัญ¬ท่ีสุด”
ภาคผนวก 166
สังขารเริ่มต้นที่จะรู้ เป็นอวิชชา ลักษณะอวิชชาคือ กาย วาจา
ปรุงแต่ง เรารู้ไม่ทันกับเขา ผิดเข้าใจว่าถูก ไม่ดีเข้าใจว่าดี เมื่อท�ำผิด
แล้วไม่รู้ ที่ท�ำไว้คิดไว้เก่า ก็พยายามรวบรวม ใหม่ก็พยายามสะสม
ขาดสติตลอดชีวิตเลย เมื่อตายแล้ว วิ¬ญญาณตามท่ีท�ำไว้น�ำไปเกิด
เพราะเราเองตกอยู่ในสังขารเช่นนี้ พ่อแม่เราก็เช่นน้ี เข้าพวกกันได้
เม่ือจุติในท้องแม่ของเรา เกิดมีอายตนะหก คลอดออกมาแล้ว ตอนน้ี
มีช่ือ ช่ืออันน้ีตามต�ำราเรียกว่ารูป เมื่อมีรูปก็เกิดอายตนะหกเข้าสู่
อายตนะภายใน กายวาจาปรุงแต่งเกิดขึ้นเหมือนในชาติก่อน ทีนี้ก็ตาย
อีก ตายแล้วก็เกิด เกิด ๆ ตาย ๆ ไม่มีสิ้นสุด เกิดรู้แล้ว นักปฏิบัติที่
มีปั¬ญญาชั้นหน่ึงพบจิตท่ีแท้ เห็นทางปฏิบัติของเขาเอง ท่ีมีปั¬ญญาชั้น
สอง ก็ต้องตามกัมมัฏฐานสี่สิบ เม่ือรู้แจ้งว่าสังขารเล่นกลกับเรา วางก็
ไม่ลง ทิ้งก็ไม่ได้ ก็ต้องใช้สมถะกัมมัฏฐานกับวิปัสสนา
ซ่ึงเปรียบแล้วเหมือนอาวุธคมมาช่วยฟันกิเลส นักปฏิบัติเริ่มเรียน
กัมมัฏฐานให้เรียนรู้ว่า ขันธ์ห้าเล่นกลกับเราอย่างไร เราจะป้องกันได้
อย่างไร รู้แจ้งอย่างนี้แล้วเรียกว่า เรียนกัมมัฏฐาน ต่อไปก็เข้า
กัมมัฏฐานเหมือนกับคนเรียนหนังสือ เรียนรู้หลักแล้วก็
ลงมือท�ำจริง ๆ จึงจะไม่พลาด จะเข้ากัมมัฏฐานต้องหยุดนึกคิด
ปรุงแต่ง มีนึกคิดปรุงแต่งตกอยู่ภายในสังขาร หยุดนึกคิดปรุงแต่งได้
ไม่ใช่ว่างๆ ไม่ใช่บริสุทธิ์ ไม่ใช่รู้ท่ีใจที่เหลืออยู่เป็นอารมณ์ธรรมชาติ
เอาอารมณ์ธรรมชาติควบกับกัมมัฏฐานส่ีสิบอย่างที่ถูกกับนิสัยของเรา
เม่ือเข้ากัมมัฏฐานก็ให้มีความอดทนปฏิบัติไป ฉะนั้น เร่ิมต้นเข้า
กัมมัฏฐานก้าวแรกถูก ปลายทางก็ถูกด้วย ก้าวแรกผิด
167 ภาคผนวก
ปลายทางก็ผิดหมด ส�ำเร็จหรือไม่อีกเร่ืองหน่ึง
ขอก้าวแรกให้ถูก สาธุด้วย
เวลาหาบของรู้สึกหนัก ไม่ว่าง เมื่อวางของลงแล้ว ว่าง
ก่อนหน้าท่ีจะหาบของน้ัน ไม่มีทั้งไม่ว่างและว่าง
เท่ากับไม่มีอะไรเลย คือ จิตด้ังเดิม
พระพุทธเจ้าถามพระอานนท์ว่า ใจไม่ใช่อยู่ข้างนอก ไม่ใช่อยู่ข้างใน
?และไม่ใช่อยู่กลาง อย่างน้ันใจอยู่ที่ไหน? จะใช้ใจดวงไหนดีเล่า
ตอบได้ว่า เม่ือยังมีตัวกูอยู่ ใจก็ยังมีอยู่ จะเป็นข้างนอกหรือข้างใน
หรือตรงกลางก็แล้วแต่ เมื่อหมดตัวกูแล้ว ใจจะอยู่ท่ีไหนเล่า
พูดว่าง ติดว่าง พูดบริสุทธ์ิ ติดบริสุทธิ์“
”เดิมไม่มีย้อมติด ไม่พูดนั่นแหละรู้
เจดยี ์อาจารย์สู ความรัก คือ การประหาร“
ลาภยศ เป็นรากเหง้าของเภทภัย
ภาคผนวก 168
ไมใ้ กล้ฝัง่ ค่อยส�ำนึก
”ได้รตู้ น้ ทางแทจ้ ริง
ที่มาภาคผนวก : จากหนังสือแจกในงาน
พระราชทานเพลิงศพอาจารย์ สู พรหมเชยธีระ
ความเป็นมาของกลุ่มธรรมปาลี
ประมาณปลายเดือนกนั ยายน พ.ศ. 2553 ได้มีการจดั เตรียม
รายละเอียดการประชมุ เรื่องงานทอดกฐินขนึ ้ ในวนั นนั้ ได้มีสมาชิก
ของวดั หลายคนเสนอให้มีการรวมกลมุ่ ของ “คนวัดป่ าวชริ บรรพต”
ขนึ ้ เพ่ือสนบั สนนุ การจดั กิจกรรมตา่ ง ๆ ของวดั และพระพทุ ธศาสนา
หลวงพอ่ มหาตอง ธมมฺ วฑุ ฺโฒ ทา่ นเหน็ ด้วยกบั การจดั ตงั้ กลมุ่ ในครัง้ นี ้
ทา่ นเลง็ เหน็ ถงึ ประโยชน์ในอนาคต ท่ีจะเกิดขนึ ้ ในการจดั ตงั้ กลมุ่ ใน
โอกาสนีห้ ลวงพอ่ ทา่ นได้เมตตา ตงั้ ช่ือกลมุ่ วา่ “ธรรมปาลี” ซงึ่ แปลวา่
“ผู้รักษาธรรม” โดยมีศีล สมาธิ ปัญญา เป็นที่ตงั้
หลวงพอ่ มหาตอง ทา่ นกลา่ ววา่ “ผู้ท่รี ักษาธรรม จะสามารถ
มีธรรมเป็ นเคร่ืองอยู่ และถ้าผู้นัน้ มีธรรมเป็ นเคร่ืองอย่แู ล้ว ก็
จะสามารถเผยแผ่ธรรมของสมเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ด้วย”
ในวนั ท่ี 17 ตลุ าคม 2553 วดั ป่ าวชิรบรรพต ได้มีการประชมุ
เตรียมความพร้อมงานทอดกฐินสามคั คี และได้ถือโอกาสเปิ ดตวั “กลุ่ม
ธรรมปาลี” ขนึ ้ ด้วย บรรยากาศการประชมุ ในวนั นนั้ ท�ำให้เหน็ ถงึ
ความสมคั รสมานสามคั คีของคนวดั เหมือนท่ีผา่ นมา แม้หลายคนจะ
ไมส่ ามารถมาร่วมประชมุ ได้ แตก่ ็เช่ือวา่ ในวนั งานกฐินเราจะได้พบคน
วดั ท่ีมาร่วมงานมากมายแนน่ อน
169 ภาคผนวก
วัตถปุ ระสงค์ในการตง้ั กลมุ่ ธรรมปาลี
1. ใช้เป็นช่ือเรียกแทน “คนวัด” ที่พวกเราทกุ คนค้นุ เคย
2. เพ่ือความเป็ นน�ำ้ หน่ึงใจเดียวกันในการช่วยท�ำกิจกรรม
ตา่ งๆ ของวดั ป่ าวชิรบรรพต และพระพทุ ธศาสนา
3. เพ่ือ “ธรรมปาลี” ทกุ คน จะเป็นผ้รู ักษาธรรม โดยมี
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลกั ธรรม ท่ีหลวงพอ่ ทา่ น
เมตตาสง่ั สอนเสมอ
4. เพ่ือเป็ นแบบอย่างให้ผู้คนรุ่นหลังที่เข้ามาท�ำบุญที่วัด
ได้เรียนรู้และสืบทอดสง่ิ ดีงาม ของวดั ป่ าวชิรบรรพต
5. ข้อส�ำคญั คือ ทกุ คนเป็ น “ธรรมปาลี” ได้หมด เพียง
แค ่ เป็นผ้ทู รี่ กั ษาธรรม เป็นผ้ทู มี่ าทำ� บญุ วดั เป็นคนวดั ฯลฯ
6. เพ่ือเป็ นศนู ย์กลาง ในการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาให้
เจริญรุ่งเรืองสบื ไป
ภาคผนวก 170
คุณสมบตั ขิ องธรรมปาลี
1. เป็นผมู้ คี วามโอบออ้ มอารี
2. เป็นผู้มีวจีไพเราะ
3. เปน็ ผสู้ งเคาระห์มวลชน
4. เป็นผู้ทตี่ ้งั ตนไว้ชอบ
จาก “สงั คหวัตถุ ๔”
สังคหวัตถุ ๔ หมายถงึ หลกั ธรรมที่เป็นเครื่องยดึ เหนี่ยวน�ำ้ ใจของผู้
อ่ืน ผกู ไมตรี เอือ้ เฟื อ้ เกือ้ กลู หรือเป็นหลกั การสงเคราะห์ซงึ่ กนั และกนั มีอยู่
๔ ประการ ได้แก่
๑. ทาน คือ การให้ การเสยี สละ หรือการเอือ้ เฟื อ้ แบง่ ปันของๆตน
เพ่ือประโยชน์แก่บคุ คลอื่น ไมต่ ระหน่ีถ่ีเหนียว ไมเ่ ป็นคนเหน็ แก่ได้ฝ่ าย
เดียว คณุ ธรรมข้อนีจ้ ะชว่ ยให้ไมเ่ ป็นคนละโมบ ไมเ่ หน็ แก่ตวั เราควรค�ำนงึ
อยเู่ สมอวา่ ทรัพย์สง่ิ ของท่ีเราหามาได้ มิใชส่ ง่ิ จีรังยง่ั ยืน เม่ือเราสนิ ้ ชีวิตไป
แล้วก็ไมส่ ามารถจะน�ำตดิ ตวั เอาไปได้
171 ภาคผนวก
๒. ปิ ยวาจา คือ การพดู จาด้วยถ้อยค�ำท่ีไพเราะออ่ นหวาน พดู ด้วย
ความจริงใจ ไมพ่ ดู หยาบคายก้าวร้าว พดู ในสงิ่ ท่ีเป็นประโยชน์เหมาะ
ส�ำหรับกาลเทศะ พระพทุ ธเจ้าทรงให้ความส�ำคญั กบั การพดู เป็นอยา่ งยิ่ง
เพราะการพดู เป็นบนั ไดขนั้ แรกท่ีจะสร้างมนษุ ย์สมั พนั ธ์อนั ดีให้เกิดขนึ ้ วธิ ี
การที่จะพูดให้เป็ นปิ ยวาจานัน้ จะต้องพูดโดยยึดถือเป็ นหลักเกณฑ์
ดังตอ่ ไปนี ้
๑.เว้นจากการพดู เทจ็
๒.เว้นจากการพดู สอ่ เสยี ด
๓.เว้นจากการพดู ค�ำหยาบ
๔.เว้นจากการพดู เพ้อเจ้อ
๓. อัตถจริยา คือ การสงเคราะห์ทกุ ชนิดหรือการประพฤติในสง่ิ ท่ี
เป็นประโยชน์แก่ผ้อู ่ืน
๔. สมานัตตา คือ การเป็นผ้มู ีความสม�่ำเสมอ หรือมีความประพฤติ
เสมอต้นเสมอปลาย คณุ ธรรมข้อนีจ้ ะชว่ ยให้เราเป็นคนมีจิตใจหนกั แนน่ ไม่
โลเล รวมทงั้ ยงั เป็นการสร้างความนิยม และไว้วางใจให้แก่ผ้อู ่ืนอีกด้วย
ส่งิ ทดี่ คี ดิ ด้วยความดีมแี ต่ได้
ส่งิ ที่รา้ ยคิดด้วยความดไี ม่มเี สยี
คตปิ ระจ�ำตวั “ธรรมปาล”ี
ภาคผนวก 172
งานแรกของกล่มุ ธรรมปาลี
ในวนั ท่ี ๒๓ ตลุ าคม ๒๕๕๓ ท่ีผา่ นมา วดั ป่ าวชิรบรรพต ได้จดั
ให้มีการตกั บาตรเทโวเน่ืองในวนั ออกพรรษา และการทอดกฐินสามคั คี
ขนึ ้ มีการจดั เตรียมงานหลายวนั ก่อนหน้านนั้ แม้วา่ ในวนั ที่ ๒๒ เทวดา
จะช่วยพรหมน�ำ้ มนต์ในปริมาณที่มากมาย แต่ก็ไม่ท�ำให้ชาวคณะ
“ธรรมปาล”ี หวน่ั ไหวได้ ทกุ คนยงั ร่วมมือร่วมใจกนั จดั งานตามหน้าที่ ที่
ได้ประชมุ แบง่ งานกนั ไว้ เพื่อเตรียมความพร้อมสำ� หรับญาตธิ รรมที่จะ
มาร่วมงานทอดกฐินในวนั รุ่งขนึ ้
แล้วในปี นีก้ ็มีสง่ิ ดีๆ เกิดขนึ ้ เหมือนในทกุ ๆปี ท่ีผา่ นมา ตงั้ แตเ่ ช้า
เราจะเหน็ ผ้คู นมากมายเดนิ ทางมาถงึ วดั แตเ่ ช้าตรู่ ด้วยจดุ มงุ่ หมาย
เดียวกนั คือ มีสว่ นร่วมในงานทอดกฐินสามคั คีของวดั ป่ าวชิรบรรพต
หลายคนมาเตรียมงานตงั้ แตก่ ลางคืน และอยปู่ ฏิบตั ิธรรมที่วดั บางคน
ก็มาในตอนเช้าตรู่เพื่อมาเตรียมงาน และเพื่อร่วมพิธีตกั บาตรเทโว
งานกฐินในปี นี ้ มีความพิเศษเกิดขนึ ้ หลายอยา่ ง เกี่ยวเน่ืองจาก
กฐินปี ’๕๒ ทางวดั ได้มีการพิมพ์หนงั สือประวตั วิ ดั ป่ าวชิรบรรพต เพ่ือ
แจกเป็นธรรมทานในงานกฐิน และจดั ท�ำเวปไซค์ของวดั ป่ าวชิรบรรพต
ขนึ ้ ท�ำให้มีผ้คู นมากมายท่ีได้รับข้อมลู ของวดั เดนิ ทางมาท�ำบญุ และ
ร่วมปฏิบตั ธิ รรมที่วดั เป็นจ�ำนวนมาก มี ทงั้ ทมี่ าโดยสว่ นตวั สว่ นราชการ
173 ภาคผนวก
และรัฐวิสาหกิจ ขอเข้ามาปฏิบตั ธิ รรมเป็นหมคู่ ณะ ซง่ึ ตรงตามวตั ถุ
ประสงค์ของหลวงพอ่ มหาตอง ธมมฺ วฑุ ฺโฒ เจ้าบ้านของเรา ซง่ึ ได้จดั
เตรียมสถานที่ในการลองรับคนท่ีสนใจในการศกึ ษาและปฏิบตั ิธรรม
การจดั งานทอดกฐินในครัง้ นี ้ ส�ำเร็จอยา่ งเรียบร้อยและจบลง
ด้วยความสวยงามอิ่มบญุ กนั ทวั่ หน้า ขออนโุ มทนากบั ทกุ ทา่ น ที่มีสว่ น
ร่วมในการจดั งานในครัง้ นี ้ โดยเฉพาะกลมุ่ “ธรรมปาลี” ที่เริ่มต้นจาก
คนกลมุ่ เลก็ ๆ ท่ีชื่อวา่ “คนวัด” ถือได้วา่ เป็นการเริ่มต้นท่ีดีของกลมุ่
ธรรมปาล ี เพราะทกุ คนทม่ี าร่วมในงานทอดกฐินของ วดั ป่ าวชริ บรรพต
ในวนั นนั้ เราถือวา่ ทกุ คนเป็นธรรมปาลีคะ งานกฐินในปี นีจ้ ะสำ� เร็จไม่
ได้ถ้าขาดใครคนใดคนหนงึ่
หลวงพอ่ ทา่ นกลา่ ววา่ “คนวัดท่นี ่ีเหมือน ห่งิ ห้อยตวั น้อยๆ
แต่ถ้าห่งิ ห้อยเหล่านัน้ รวมกันอยู่เป็ นกลุ่ม กจ็ ะเหน็ เป็ นแสงสว่าง
ถ้าย่งิ รวมกันได้มากเท่าไหร่ แสงกจ็ ะสว่างมากขนึ้ เร่ือยๆ แสง
สว่างเปรียบเหมือนแสงธรรมในพระพุทธศาสนา เม่ือส่องไปใน
ท่ใี ด ย่อมน�ำความสุขความเจริญไปในท่นี ัน้ ในอนาคตเม่ือกลุ่ม
ธรรมปาลีมีแสงสว่างมากเท่าดวงจนั ทร์หรือดวงอาทติ ย์ ย่อม
เกดิ ประโยชน์แก่สรรพสัตว์ไม่มีจำ� กัดไม่มีประมาณ”
ธรรมปาลี
๒๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๓
ภาคผนวก 174
อาจาระท่คี วรศกึ ษา
โดย
สมเดจ็ พระมหาธีราจารย์เจ้าคณะใหญ่หนกลาง วัดชนะสงคราม
๑. การนงุ่ การหม่ ต้องให้เป็นปริมณฑล คือ มีความเรียบร้อยตามพระวินยั
การนงุ่ อนั ตรวาสก (สบง) ต้องให้ปิ ดนาภี (สะดือ) ต่�ำลงไปคร่ึงแข้งหรือต�่ำกวา่ เขา่ ๘ นิว้
การหม่ อตุ ตราสงค์ (จีวร) ต้องให้ต�่ำกวา่ เขา่ ประมาณ ๔ นิว้ สงู กวา่ สบงประมาณ ๔ นิว้
ถ้าหม่ ม้วนลกู บวบ ต้องจดั ชายผ้าให้เสมอกนั ก่อน จงึ ม้วนผ้า ไมค่ วรรวบ ๆ ผ้า แล้วม้วน
ชายผ้าจะแตก หม่ แล้วดปู ้ มุ ป้ ามไมเ่ รียบร้อยไมน่ า่ ดู
๒. การฉนั สมควรถวายข้าวพระพทุ ธเสียก่อน เพื่อเป็นพทุ ธบชู า เป็นธรรมเนียม
มีมาตงั้ แตส่ มยั ลงั กาวงศ์ มีเรื่องปรากฏในคมั ภีร์สารัตถสงั คหะ แล้วพิจารณาตงั
ขณิกปัจจเวกขณะ (ปฏิสงฺขาโยนิโส ปิ ณฺฑปาตํ ปฏิเสวามิ) ต้องศกึ ษา ธรรมเนียมการ
ฉนั ในเสขิยวตั รให้ถี่ถ้วน ในยคุ ปัจจบุ นั นี ้ นิยมใช้ช้อนกลางต้องใช้ช้อนกลางด้วย
๓. การรับประเคน โดยทวั่ ไป ควรรับสองมือ เป็นการเพิ่มศรัทธาปสาทะแก่ผู้
ถวาย เว้นแตข่ องที่ถวายเป็นของเลก็ ไมเ่ หมาะท่ีจะรับสองมือ จงึ ควรรับมือเดียว ถ้า
เป็นสภุ าพสตรีควรใช้ผ้ากราบรับ ต้องเตรียมผ้ากราบตดิ ตวั ไว้เสมอ
๔. การนง่ั จะนงั่ ในวดั กต็ ามในบ้านกต็ าม ควรพยายามนงั่ ให้ตวั ตรงไว้ งดงามดี
๕. การนง่ั พบั เพียบทกุ กรณี ควรนง่ั เก็บปลายเท้าไว้ข้างในให้หวั แมเ่ ท้าม้วนเข้า
มาใกล้กนั ต้องคอยระวงั อยา่ ให้ปลายเท้ากางออกไป ไมง่ ดงาม
๖. การนง่ั รับพระราชทานผ้าพระกฐินต้องนง่ั เขา่ ซ้ายทบั ปลายนิว้ เท้าขวา เรียก
สนั้ ๆ วา่ ซ้ายทบั ขวา เพราะจะชว่ ยเก็บปลายเท้าไมใ่ ห้ย่ืนออกไปข้างนอก เมื่อท�ำพิธี
สงั ฆกรรมสวดให้ผ้ากฐิน จะไมเ่ หน็ ปลายเท้าในภายนอกงดงามดี
๗. หนวดเครา ต้องโกนทกุ ๆ ๓ วนั ถ้าปลอ่ ยไว้เกิน ๓ วนั ดไู มส่ มควร ท�ำให้
หน้าตาเศร้าหมอง ในวนั รับผ้าพระกฐิน ต้องโกนหนวด ตดั เลบ็ ให้สะอาดหมดจดด้วย
๘. สีจีวร ต้องเหมือนกนั ทกุ รูป โดยเฉพาะเพ่ือรักษาพระราชศรัทธา สมควร
177 ประวัตวิ ดั ป่าวชิรบรรพต
เป็นสพี ระราชนิยม (เหลืองหมน่ ) และระวงั อยา่ ให้มีกลน่ิ เหมน็ สาบ เพราะเป็นการ
รบกวนผ้อู ่ืน
๙. การนงั่ ประนมมอื ควรประนมมอื ให้นวิ ้ เสมอกนั และกระพมุ่ มอื เลก็ น้อย
ให้มลี กั ษณะคล้ายดอกบวั วางมอื ไว้ในระหวา่ งอกพอด ี และระวงั ไว้ไมใ่ ห้ลดตำ่� ลงไป
๑๐. การเจริญพระพทุ ธมนต์ หรือสวดพระพทุ ธมนต์ ควรนง่ั ตวั ตรง ทอด
สายตาลงต�่ำไมเ่ หลียวซ้ายแลขวา สา่ ยหน้าไปมาตามความพอใจ หรือหงายหน้าทอด
สายตาดไู กล
๑๑. ในการออกเสยี งสวดมนต์ ต้องฟังเสยี งหวั หน้า ต้นเสยี งใช้เสียงต่�ำหรือ
เสยี งสงู เร็วหรือช้า ถ้าต้นเสยี งใช้เสยี งสงู ต้องสงู ตามถ้าต�่ำต้องต่�ำตาม ถ้าเร็วต้องเร็ว
ตาม ถ้าช้าต้องช้าตาม ต้องคอยระวงั เสียงและจงั หวะให้เสมอกนั ให้กลมกลืนกนั มิใช่
ตา่ งรูปตา่ งวา่ ไมพ่ ร้อมกนั ไมก่ ลมกลนื กนั ผ้ฟู ังไมส่ บายหไู มส่ บายใจเกิดความร�ำคาญ
ไมป่ ระสงค์จะฟังเส่ือมศรัทธาความเช่ือถือ ความเลือ่ มใส
๑๒. การเจริญ การสวดพระพทุ ธมนต์คณะมหานิกาย ก�ำหนดแบบสงั โยคเป็น
หลกั คือหยดุ ท่ีตวั สะกดหรือที่ตวั ซ้อน คือ อก อกั อิก อกุ อด อดั อิด อดุ อบ อบั อิบ อบุ
แม้ในอกั ษรอื่นก็เหมือนกนั รัสสะสระ คือ อะ อิ อุ เสียงสนั้ ต้องออกเสยี งสนั้ ทีฆสระ
คือ อาอี อู เอ โอ เสียงยาว ต้องออกเสยี งยาว อฑั ฒะสระออกเสยี งกงึ่ มาตรา เชน่ ยสฺมา
ยสมฺ ึ ตสมฺ า ตสมฺ ึ ออกเสียงสระอะ เพียงนิดหนอ่ ย อยา่ ออกเสยี งเตม็ ตวั เชน่ ยดั สะมา
ยดั สะมิงตดั สะมา ตดั สะมิง แม้ในที่อื่นก็เชน่ กนั ข้อส�ำค¬ั ต้องฟังกนั มีความรู้สกึ วา่ จะ
สวดให้พร้อมกนั และพยายามให้พร้อมกนั โดยไมส่ วดเร็วนกั ไมช่ ้านกั อยใู่ นประเภทสา
ยกลางๆ เป็นพอดี กลวั ผิด กลวั พลาด กลวั จะไมเ่ พราะเป็นส�ำคญั
๑๓. ขณะเจริญหรือสวดพระพทุ ธมนต์ไมด่ ่ืมน�ำ้ ไมห่ ยิบโนน่ ฉวยน่ี ตงั้ สมาธิจิต
ในการสวดการเจริญ เว้นไว้แตจ่ �ำเป็น เชน่ ไอ จาม เป็นต้น แม้จะมีเหงื่อก็หากระดาษ
หรือผ้าซบั ให้แห้งโดยเร็วไมอ่ ้อยอิ่งยืดยาด
๑๔. กล้องถ่ายรูป กล้องสอ่ งทางไกลมีประกาศคณะสงฆ์ห้ามไว้แล้วเคร่ืองถ่าย
วีดีโอบนั ทกึ ภาพ โทรศพั ท์มือถือ ไมค่ วรใช้ไมเ่ หมาะแก่สมณสารูป เพราะเป็นของ
คฤหสั ถ์หรือนกั ธรุ กิจเขาใช้กนั พระภิกษุสามเณรท่ีดีไมค่ วรมี ไมค่ วรใช้
ประวัติวดั ปา่ วชิรบรรพต 178
๑๕. โทรศพั ท์มือถือ ไมเ่ หมาะแก่พระภิกษุ สามเณร บางรูปมีใช้ประจ�ำตวั น�ำไป
ใช้ในบ้านในวงฉนั อาหาร หรือตามถนนหนทาง ทงั้ ในวดั และในบ้าน ไมน่ า่ ดไู มง่ ดงาม
เสยี สมณสารูป
๑๖. แวน่ ด�ำ ถ้าไมจ่ �ำเป็น ไมค่ วรสวมเว้นแตต่ าเจ็บ หรือนายแพทย์สงั่ เพราะ
ดไู มเ่ หมาะสมแก่พระภิกษุสามเณร เวลาปลงผมใหม่ ๆ ยิ่งไมน่ า่ ดมู าก
๑๗. ฟันปลอม ส�ำหรับผ้ใู สฟ่ ันปลอมสว่ นใดสว่ นหนงึ่ ก็ดี หรือ ทงั้ ลา่ งบนก็ดี
เมื่อฉนั เสร็จแล้วคงต้องช�ำระให้สะอาด เพราะร�ำคาญแตไ่ มส่ มควรช�ำระในวงฉนั หรือ
ในท่ีฉนั หลายรูปเพราะอาจเป็นที่ร�ำคา-ตาของผ้อู ื่น
๑๘. การนงั่ รถยนต์ร่วมกบั สตรี (สตรีหลายคน พระภิกษุรูปเดียว) การนง่ั
รถยนต์โดยสตรีเป็นผ้ขู บั (หนงึ่ ตอ่ หนงึ่ ) จะด้วยเหตใุ ดก็ตาม เป็นการไมส่ มควร เป็น
โลกวชั ชะมีพระบญั ญตั ไิ ว้แล้ว ในการที่พระภิกษุเดนิ ทางร่วมกบั นางภิกษุณี
๑๙. การขบั รถยนต์ด้วยตนเอง มิวา่ กรณีใด ๆ ไมส่ มควร เป็นโลกวชั ชะ เป็น
กิริยาอาการของคฤหสั ถ์ ผิดพระวินยั ผิดกฎหมายบ้านเมือง(พระสงั ฆาธิการกระท�ำ
ยอ่ มมีโทษทางจริยาพระสงั ฆาธิการอีกทางหนง่ึ )
๒๐. การนงั่ นอน ในที่ลบั ตา (ไมม่ ีคนเหน็ ) ในที่ลบั หู (คนอื่นไมไ่ ด้ยินเสยี ง) กบั
สตรี ไมส่ มควร เป็นโลกวชั ชะ มีพระบญั ญตั ไิ ว้แล้ววา่ เป็นอนิยต พระสงั ฆาธิการ
ประพฤตยิ อ่ มมีโทษทางจริยาพระสงั ฆาธิการอีกทางหนงึ่
๒๑. อยา่ เช่ือคนงา่ ย อยา่ เหน็ แก่ได้ปัจจบุ นั นีม้ ีพวกมิจฉาชีพเป็นจ�ำนวนมาก
มาในรูปแบบตา่ ง ๆ กนั ในรูปนกั บ¬ุ ก็มี ในรูปนกั บาปก็มี เข้าอาวาสหลายวดั หลายแหง่
เสียเงิน (จ�ำนวนแสน) เสียช่ือเสยี งเสยี ความประพฤต(ิ ต้องสกึ ) เสียชีวติ (ถกู ฆา่ ) ก็มี จงึ
สมควรระวงั ไว้อยา่ เชื่อคนงา่ ยอยา่ เหน็ แก่ได้ เพ่ือไมใ่ ห้เกิดความเสยี หายแก่วดั และ
พระศาสนา
๒๒. ความมีเมตตากรุณา เป็นคณุ ธรรมอนั ประเสริฐควรสง่ั สมการสงเคราะห์
อนเุ คราะห์โดยทวั่ ไปควรกระท�ำ แตอ่ ยา่ ให้เกินขอบเขต เดก็ ห¬ิง สตรี ต้องพิจารณาดู
ให้ดีก่อน จงึ ให้ความชว่ ยเหลือ อยา่ ให้เกินพอดี สตั ว์เพศเมียจะเป็นสนุ ขั หรือสกุ ร ฯลฯ
เป็นต้น ไมค่ วรเลยี ้ งเป็นพิเศษ
179 ภาคผนวก
๒๓. การเดนิ เวียนศพ ต้องงดสวมรองเท้า (แม้ที่พืน้ จะร้อนหรือขรุขระ) อยา่ น�ำ
ยา่ มตดิ ตวั ไป หาที่เก็บท่ีวางเสียให้เรียบร้อยยิ่งเป็นศพพระเถระผ้ใู ห¬่ ต้องระมดั ระวงั
ให้มาก เพราะเป็นการถวายความเคารพและอาลยั ในทา่ นผ้ลู ว่ งลบั ถ้าไมม่ ีด้ายโยงจบั
ถือสมควรประสานมือเดนิ
๒๔. การจะขนึ ้ เมรุ มิวา่ กรณีใดๆ จะเป็นการบงั สกุ ลุ การพระราชทานเพลงิ
การปลงศพทว่ั ไปก็ตาม ต้องงดสวมรองเท้า และจดั เครื่องนงุ่ หม่ ให้เรียบร้อยก่อน จงึ
คอ่ ยเดนิ ไปโดยประสานมือ ไมแ่ กวง่ ไกวเป็นจดุ รวมสายตาของคนทว่ั ไป
๒๕. การถือพดั พิจารณาผ้า สมควรจบั พดั กลางด้ามด้วยมือซ้าย เอียงใบพดั
มาทางตน มิใช่ บงั หน้าเหมือนอยา่ งอนโุ มทนา ยะถาสพั พี เพ่ือที่สายตาจกั ได้ทอดลง
ตรงผ้าที่ทอดไว้พร้อมทงั้ (หงายมือขวา ๔ นิว้ สอดเข้าไปใต้ผ้าแล้วพิจารณาผ้า)
๒๖. ผ้าบงั สกุ ลุ ท่ีพิจารณาแล้วต้องวางไว้บนข้อศอกพบั มือซ้ายซง่ึ ถือพดั
อยดู่ ้วยสว่ นมือขวาปลอ่ ยธรรมดา ไมต่ ้องถืออะไร
๒๗. เพ่ือรักษาพระวินยั และรักษาพระพทุ ธศาสนา สงั ฆกรรมท่ีพระสงฆ์จะพงึ
กระท�ำเก่ียวกบั
(๑) การให้อปุ สมบท (บวชนาค)
(๒) การลงอโุ บสถสวดพระปาฏิโมกข์
(๓) การปวารณาในวนั มหาปวารณา
(๔) การรับผ้ากฐิน
(๕) การสวดอพั ภาณออกจากอาบตั ิ
(๖) การถอนพืน้ ท่ีผกู พทั ธสมี า
(๗) การสมมตพิ ืน้ ที่ผกู พทั ธสีมา
สมควรที่พระภิกษุผ้รู ่วมสงั ฆกรรมจะปลงอาบตั เิ พื่อความบริสทุ ธิ์ของแตล่ ะรูป ๆ ก่อน
(เพราะทา่ นก�ำหนดพระภิกษุผ้จู ะเข้าร่วมสงั ฆกรรมต้องเป็นพระปกตตั ตะจงึ ควร)
ดีชวั่ อยทู่ ี่ตวั ท�ำ
สงู ต่�ำ อยทู่ ี่ท�ำตวั
ภาคผนวก 180
ตารางเวลาสำ� หรับผู้ปฏบิ ตั ธิ รรม
03.30 น. ต่ืนนอน ท�ำกิจสว่ นตวั
04.00 น. ท�ำวตั รเช้า บริเวณศาลา
05.30 น. บ�ำเพญ็ ประโยชน์
(ท�ำความสะอาดบริเวณ ศาลา, บริเวณโรงอาหาร)
07.00 น. รับประทานอาหารวา่ ง
07.30 น. บ�ำเพญ็ ประโยชน์
(จดั อาหาร, จดั ดอกไม้, จดั ที่สำ� หรับนงั่ รับประทานอาหา)
08.30 น. เตรียมนงั่ รับพระธรรมเทศนา บริเวณศาลา
09.30 น. รับประทานอาหาร
11.00 น. บ�ำเพญ็ ประโยชน์
(ทำ� ความสะอาดห้องพกั และบริเวณหอนอน เชน่ พนื ้ และห้องนำ� ้ )
12.00 น. ท�ำกิจสว่ นตวั / พกั ผอ่ นตามอธั ยาศยั
13.00 น. ปฏิบตั ธิ รรม (เดินจงกรม 1 ชวั่ โมง นง่ั สมาธิ 1 ชวั่ โมง)
15.00 น. บ�ำเพญ็ ประโยชน์
(ท�ำความสะอาดบริเวณโดยรอบทวั่ ไป เชน่ กวาดใบไม้)
16.00 น. ท�ำกิจสว่ นตวั (อาบน�ำ้ ) / รับน�ำ้ ปานะ
17.00 น. สนทนาธรรมกบั พระอาจารย์
(ถ้ามีปัญหาซกั ถามหรือรายงานใด ๆ)
18.00 น. ท�ำวตั รเยน็ บริเวณศาลา
20.30 น. ปฏิบตั ธิ รรมตามอธั ยาศยั
21.30 น. พกั ผอ่ น
181 ภาคผนวก
ดูกร ภกิ ษทุ ัง้ หลาย
บัดนีเ้ ปน็ วาระสุดท้ายแหง่ เราแล้ว
เราขอเตือนเธอท้งั หลายให้จ�ำ มัน่ ไว้วา่
สิ่งท้งั หลายทั้งปวงไม่เทยี่ งมี
ความเสอ่ื มและสิน้ ไปเป็นธรรมดา
เธอทั้งหลายจงอยดู่ ว้ ยความไม่ประมาทเถิด
พระปจั ฉิมโอวาท
ภาคผนวก 182
รายนามผจู้ ัดพมิ พ์
คุณมาลนิ ี พรหมเชยธีระ บริษัทร่วมยนต์ คณุ กฤษ ชลสถิตจ�ำเรญิ
คุณนพพร เทพสทิ ธา คณุ เซยี มกี ่ แซ่ลี้ คุณสภุ ัคด-์ิ คุณตาด ชลธญั ญา
คณุ สรุ ชัย-คณุ ศริ ิพร ขุนสวัสดิ์ คณุ ทองกร ธนสคุ นธแ์ ละครอบครวั และครอบครวั
คณุ อนนั ต-์ คณุ ลดั ดาวลั ย ์ จงเจรญิ ศริ ิ คุณยุพิน เท็งดี คุณธรี ะ-ธรี นยั น์ ณ หนองคาย
คณุ ศรณั ย์พัชร์ จงเจรญิ ศริ ิ คุณอมั พร ศริ ิเทียนทอง คุณอัจฉรา โยเกนท์สมายเยอร์
คณุ ณรงค์ คณุ ธวัช สุทธิธรรมและครอบครวั คณุ บ�ำเพญ็ -สภุ างค์ โกสลานนั ท์
และครอบครวั พรรตั น์ธนพงศ์ คุณถาวร บญุ ธรรมและครอบครัว คณุ เล็ก เพ่มิ พนู
คณุ สมชัย-คุณมาลยั ศิรเิ ทยี นทอง คณุ พงศา อธริ กลุ และครอบครวั คุณนพกั ตร์-สทุ ธิชยั เจนจิรา
และครอบครวั คณุ อัมพร ตรีธารทพิ ย์เลิศ ครอบครวั ผันทางาม
คณุ รตั นาภรณ-์ คณุ นนั ทชยั -คณุ สวิ ยา คุณบญุ นภา ตระกูลวณชิ ชากร คุณณภัค กิจหตั ถพรและครอบครัว
เชดิ เกยี รติกุลและครอบครวั คุณวลยั ทพิ ย ์ ธนหู ริ ัญเลศิ โรงเรยี นบญุ ประทปี วิทยาคาร
คุณวราภรณ์ ศานตวิ งศ์ คณุ ละออง-คณุ สพุ ัตรา ธีรธัญ คณุ สมุ ลพนั ธ์-สรุ ชยั ต่างวิวัฒน์
คณุ สมศกั ด-ิ์ คณุ บญุ นยิ ม วริ ยิ าทรพนั ธ์ุ คณุ สรุ พล-คุณสิรินมัย สนั ตยานนท์ คณุ บญุ ช่วย-คุณมยรุ -ี คณุ ประเสรฐิ
คณุ วรวิทย-์ ธิดา ลอื กติ นิ นั ท์ คณุ พลอยรว ี อนิ ต๊ะวงค์ คณุ ประเสรฐิ เนอื่ งจำ� นงค์
และครอบครัว คณุ จรนิ ทร-์ คณุ จ�ำลอง-คุณพนู ศกั ดิ์ คณุ มาโนช บุญโชตแิ ละครอบครัว
คุณลดั ดา-คุณวิเชียร โรจน์สัตตรัตน์ สขุ บทและครอบครวั คณุ โกศล เบญจภทั รานนท์
คณุ พยงค ์ ตรีเสถียรกจิ คุณดจุ ดาว-คณุ จ�ำลอง ช่ืนศิริ และครอบครวั
คณุ ประชนั -คณุ เบญจะ บรรพต คณุ สุริลักษณ ์ ภูศลิ ารุง่ เรือง คุณกหุ ลาบขาว บทสงู เนิน
คณุ กานต์ ภคเมฆานนท์ คุณสนิท-คณุ วนิดา เธยี รศริ ิพพิ ัฒน์ และครอบครวั อ่ิมสุดใจ
และครอบครัว คุณชนาธิป เหลืองออ่ น คณุ สงคราม งามวงค์น้อย
ตระกลู เสาวภาภรณ์ คุณนีรวรรษ เหลืองออ่ น คณุ แม่ลดั ดาวลั ย์ ทพิ ยก์ รแกว้
คณุ สุรสิทธ์-ิ คุณวันทนีย์ มั่นคงทอง ว่าทร่ี .ท.สุภชยั -คุณภาณี เลก็ ชะอุม่ และครอบครวั
เจริญ และครอบครวั คณุ มานิตย์-คณุ ประภาพรรณ
คุณกิตชิ ัย-คุณอรวิภา ศุภเศรฐศักด์ิ คณุ ธมลพัชร ์ คงประสานวณชิ ย์ ทิพยก์ รแกว้ และครอบครัว
คุณกติ ตศิ กั ดิ ์ ทกั ษกุลและครอบครวั คุณสมชาย-คณุ จติ ติมา คณุ อมั พร อาศยั พานชิ ย์
รต.ไพโรจน์-คณุ อำ� พร แตงศรี งามวงษ์วาน คุณประทปี -คุณวันเพญ็
คุณมยุ่ ง้อ แซก่ ๊วยและครอบครวั คุณวีระพล-คุณภัทร-ี คุณโสภิตา กุลธนาเรอื งกิตติ์
คุณแสงจันทร ์ พลอยสมบรู ณ์ งามวงษ์วาน คณุ นิธิพนธ์ คชพงษแ์ ละครอบครัว
คณุ เพญ็ ประภา ตรรี งุ่ เรืองกุล คณุ บารมี-คุณอาภา คณุ ละออ ยอดย่งิ
ครอบครัวรุ่งเรอื งสนิ งาม พิศทุ ธิ์พงศ์พันธ์ุ และครอบครวั คณุ สมปอง มกกงไผ่
คณุ อาวุธ-คณุ จินตนา คุณเซ่ยี มเอ็ง บุษราคมั ตระกลู คณุ อัญชลี -คณุ ชลิตา ประเสริฐวงศ์
กฤษณานุวัตร ์ และครอบครัว และครอบครัว คุณสุพตั รา สวยสม
คณุ จำ� รัส มุกดาเสถียร คณุ อัชฌาณฏั ฐ์ นัยวัฒน์ คุณพวงแกว้ สุวรรณโชติ
คณุ แสงจันทร ์ คงธนษิ ฐน์ ันท์ บริษัท ภูเกต็ น�ำแสง จำ� กัด ผ้ไู ม่ประสงค์ออกนาม
คณุ โชติกา-คุณพลั ลภ วิศาลชัย ครอบครวั ร้านทองจนิ ดา
และครอบครัว รา้ นวนาพรดิจิตอล
คุณปราง ธญั ญวศินและครอบครัว คุณบรรจบพร-สมเกยี รต์ิ ศรที องค�ำ
รา้ นบัสไอศกรีม ชลบุรี คุณมาณ ี แซต่ งั๊
คณุ อำ� นวย ใบใหญ่ คณุ หทัยนุช เจริญพรวรนาม
คณุ จไุ ร ใบใหญ่และครอบครวั คณุ สมใจ-ขจรเดช ศุภคุณ
คณุ เมีย่ วอมิ แชค่ ู คณุ จีรภรณ ์ ฟ้าศรี
แม่ชีส�ำรวย รามณู คุณนภัสวรรณ ฟา้ ศรี
หจก. ชลววิ ฒั น์เอน็ จเิ นียรงิ่ คุณธานินทร์ธร ฟา้ ศรี
คณุ ฉัฐพร ลิขิตมาศกุล บริษัท ตันตวิ าณชิ กจิ การยางจำ� กดั
คณุ ศภุ กจิ โทรพงษพ์ ันธุ์ ครอบครวั ศิริทองเกษตร
คณุ จริ าภรณ์ เฉยศริ ิ ครอบครวั มงคลสภุ า
คณุ จนั ทร์ ผาตินาวิน คุณดอกรกั สวุ รรณมงคล
คณุ ปณิศา-คณุ ชัยรัตน์ สขุ ดานนท์ คุณวราพร สกลุ ปัญญาโชติ
คณุ บังอร โชคชยั ไพศาล คุณยพุ า สุพร
และครอบครวั คุณสพุ รรณ ี หวงั ให้สุข
คณุ แม่ง่วนอมิ แซเ่ ตีย คณุ พชั รา เทีย่ งตรง
คุณมานิต ศทุ ธสกุล คณุ รัตนา-สามารถ และครอบครวั
คุณจำ� เลียง-โศภิน ด้วงบิล คณุ อาภา พชั รชดุ า
คุณเพ็ญศิร ิ ตันเรืองวงษ์ คณุ อนันต์-ภทั รมน จาวลา
คณุ ชวลติ ตนั เรอื งวงษแ์ ละครอบครวั คณุ สายสมั พนั ธ ์ คงศริ ิ
คณุ วรรณวนสั ตนั เรอื งวงษ์ คณุ สุมาลี น้อยรกั ษา
คุณประดษิ ฐ-์ ศุภวรรณ บูรณะพมิ พ์ คณุ สจุ รรยา รัตนเวชานนท์
และครอบครัว และครอบครวั
คุณสัญญา-ผ่องศรี และครอบครวั รา้ นทองกิมฮวั้ เฮง
คณุ ณัฐพล นพรัตน์ คุณแม่ฮ้อ-ผอ่ งพรรณ ถนอมแนบ
คุณสุรรี ตั น์ ศาลา คุณวนั นิชา ชมพกิ ุล
คุณละออง จันนอก คุณแมน่ าร ี และครอบครวั
จึงเซ่งฮวด ไทคนู เพลส
ครอบครัวถกลสุเวช รา้ นทองรงุ่ เจรญิ
รา้ นมานะภัณฑ์ดิจติ อลแลบ็ คณุ สภุ าพรรณ-พบิ ลู ยช์ ยั อรยิ วณชิ ย์
ร้าน พ.ี บี.โฟโต้ คณุ อนุกจิ อริยวณิชย์
ร้านทองบญุ เพญ็ คณุ วัฒนพล อริยวณิชย์
ร้านทองฉัตรสวุ รรณ คณุ พงศกร อริยวณชิ ย์
บนั ทกึ ธรรม
สัพพทานงั ธมั มทานัง ชนิ าติ
การใหธ้ รรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทงั้ ปวง