The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประเพณี -12- เดือน ไทใหญ่

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ประเพณี -12- เดือน ไทใหญ่

ประเพณี -12- เดือน ไทใหญ่

1

ประเพณีไต 12 เดอื น
ประเพณีเหลินเจง๋ (ตรงกบั เดอื นธันวาคม)
ประวตั ิความเป็นมา (บ่อเกดิ ประเพณ)ี
ภาษาปงุ่ นา (ปโุ หรติ ) เรียกวาํ “ธะคยาหยาํ สี่” ภาษาพมําเรยี กวาํ “นะตํอละ” ชาวไท
ใหญํเรียก เดือนหน่ึงหรือเดือนเจ๐ง ธาตุประจําเดือนคือ เตโชธาตุ ดอกไม๎ประจําราศีคือ ดอก
ปานเซ (ภาษาถ่ิน) มีนิทานท่ีเป็นบํอเกิดของประเพณีเลําวํา สมัยเมื่อ อะสิ่งกอนติงญะ(โกญ
ฑญั ญะ) เป็นชาวนาอยู่ในกรุงพาราณสี ได้ถวายข้าวใหม่ 9 ครง้ั คือ 1. ตอนท่ีข้าวเร่ิมท้อง 2.
ตอนท่ีข้าวเป็นน้ําใส่ๆ เหมือนนํ้านม 3. ตอนเก็บเก่ียว 4. ตอนร่วมมาไว้ในงาน 5. ตอนเริ่มตี
ขา้ ว 6. ตอนตีขา้ วเสร็จแล้ว 7. ตอนที่ขนขา้ วจากนาไปยงุ้ ฉาง 8. ตอนนําขา้ วใสย่ ุ้งฉาง 9. ตอน
นําข้าวออกจากฉางมาตําเป็นข้าวสาร ด้วยอานิสงส์การถวายข้าว 9 คร้ังน้ี ชาติต่อมาชาวนาได้
เกิดเป็นฤๅษี 5 ตน ซ่ึงได้ออกบวชตามพระพุทธเจ้า และเป็นกลุ่มบุคคลกลุ่มแรกที่พระพุทธเจ้า
เทศนาโปรด(ปฐมเทศนา) ทาํ ใหส้ ามารถบรรลุพระอรหันต์สาวกชุดแรกด้วย จากนั้นตํอมาในเดือน
1 ของทกุ ปี จงึ เป็นเดอื นที่พระพุทธศาสนกิ ชนถือปฏบิ ตั ิทําบุญถวายข๎าวใหมํแดพํ ระสงฆแ๑ ละบาํ รุงผ๎ู
เฒําผู๎แกํทั้งหลาย จึงเป็นประเพณีทําบุญถวายข๎าวใหมํสืบตํอมาจนถึงป๓จจุบัน เรียกประเพณีน้ีวํา
“กาบซอมอู” หรือทําบุญข๎าวใหมํคอื นําขา๎ วท่ไี ด๎จากการเก็บเกีย่ วมาใหมํ ๆ จัดทาํ อาหารหรือขนม
แล๎วเชญิ คนเฒาํ คนแกํไปรวํ มทําบุญถวายพระท่วี ัด ถอื วําเป็นบุญกุศลท่ยี ิง่ ใหญํ

ประเพณีเดือนเจ๋ง หรือเดือนอา้ ย ของชาวไทใหญ่ ได้แก่ ทาบุญถวายข้าวใหม่

2

ประเพณีเหลนิ กา (ตรงกับเดอื นมกราคม)
ประวตั ิความเปน็ มา (บ่อเกดิ ประเพณ)ี

ภาษาปงุ่ นา (ปุโหริต) เรียกวํา “มะกะระหยา่ ส่ี” ภาษาพมําเรยี กวํา “ปฺผาโส่” ภาษาไต
เรียกวําเดือน 2 หรือเดือนกํ๋า ธาตุประจําราศีคือ ปฐวีธาตุ ดอกประจําราศีคือ ดอกขวําโหยํ
(ภาษาถิ่น) หรอื ดอกกว๐างขํอง (ภาษาถนิ่ ) เป็นเดอื นที่พระสงฆอ๑ ยปํู รวิ าสธรรมและมานัต มีนิทาน
ท่เี ป็นบํอเกดิ ประเพณีนเี้ ลาํ วาํ สมัยท่พี ระพทุ ธเจ้ายังทรงมีพระชนม์อยู่ มพี ระภิกษุจํานวน 20 รูป
ทาํ ผิดวินัยอาบตั ิสงั ฆาทิเสส พระพุทธองค์ทรงลงโทษให้ไปบาํ เพญ็ เพยี รเจรญิ สมถกัมมฎั ฐานทรมาน
อยูใ่ นทีโ่ ลง่ แจ้งท่ามกลางนํ้าค้างและสายหมอก ในขณะท่ีพระเจ้าปเสนทิโกศลได้เห็นความทุกยาก
ของพระภกิ ษุท้ัง 20 รูป กท็ ลู ถามพระพทุ ธเจา้ ว่าพระภิกษุที่ถูกทําโทษตากนํ้าค้างอยู่ท่ามกลางท่ี
โล่งแจง้ ไม่มีส่งิ กาํ บังใดๆ ไดร้ บั ทุกขเวทนา หากข้าพระพุทธเจ้ามีเจตนาศรัทธาจะทําท่อี ยทู่ ่ีพักถวาย
จะเหมาะสมประการใดหรือไม่ พระพุทธเจ้าทรงตอบว่าสามารถถวายได้พระเจ้าปเสนทิโกศล จึง
ตรัสให้เสนาอมาตย์นําป๋องจ้าง (สัปคับหลังช้าง)ไปถวายรูปละ 1 ที่ จนครบและจัดอาหาร
บิณฑบาตมาถวายตอนเวลาท่ีพระภิกษุอยู่ปริวาสธรรมและมานัต ด๎วยเหตุนี้เมื่อถึงเดือนก๋ํา
พระสงฆ๑จะมีการเข๎าปริวาสธรรมและอยํูมานัต สํวนประชาชนก็ถือโอกาสทําบุญถวายอาหาร
บิณฑบาตและเสนาสนะที่อยํูอาศัยแดํพระสงฆ๑ท่ีอยูํปริวาสธรรมและมานัตสืบตํอมาจนทุกวันนี้
(โกศล ศรมี ณี มปป. : 29-30)

ป๓จจบุ ันประเพณกี ารเขา๎ กา๋ํ จะมีท้งั พระสงฆ๑ และฆราวาส

ประเพณีเดอื นกา หรอื เดอื นย่ี ของชาวไทใหญ่ ได้แก่ การเข้าปริวาสกรรมของพระสงฆ์
และอุบาสกอุบาสิกา

3

ประเพณีเหลนิ สาม (เดือนสาม ตรงกบั เดอื นกมุ ภาพนั ธ)์
ประวัติความเปน็ มา (บ่อเกดิ ประเพณ)ี

ภาษาปุ่งนา (ปุโรหิต) เรียกวํา “กุมหย่าส่ี” ภาษาพมําเรียกวํา “ต๏ะโป่แตํละ” ธาตุประจํา
ราศี คอื วาโยธาตุ ธาตุลม ดอกไม๎ ประจาํ ราศีคอื ดอกซูปานและดอกอิงแง (ภาษาถ่ิน) เป็นฤดู
ถวายไมโ๎ หล (ฟนื ) ถวายขา๎ วหยาํ ก(๏ู ขา๎ วเหนยี วแดง) มนี ทิ านบํอเกดิ ประเพณเี ลาํ วาํ นานมาแลว้ ใน
เมือง สาวัตถี มีนายมานพเข็ญใจคนหนึ่ง พอถึงเดือน 3 ยามหนาวเหน็บ ได้เก็บฟืนมากองไว้ที่ต้น
ทางที่พระสงฆ์จะบิณฑบาตในเมือง พอถึงเวลาเช้าตรู่ก็ตื่นแต่เช้ามืด เดินทางไปยังกองฟืนและก่อ
กองไฟที่ต้นทางแห่งน้ัน พร้อมกับนิมนต์พระสงฆ์มาผิงไฟให้เกิดความอบอุ่นแล้วจึงออกบิณฑบาต
ทาํ อย่างนี้ทุกเชา้ จนสน้ิ ฤดหู นาว ดว้ ยอานสิ งส์แหง่ การกระทําดังกล่าวส่งผลให้มาณพนั้นตายไปเกิด
ในสวรรค์ เป็นเทพบุตรผู้มีรัศมียิ่งใหญ่ ดุจดวงไฟที่ลุกโชน เป็นท่ีเคารพนับถือของเหล่าเทพยดาท่ัง
หลาย (โกศล ศรีมณี มปป.:31)

สําหรับการถวายข๎าวหยําก๏ู (ข๎าวเหนียวแดง) มีตํานานบํอเกิดประเพณีกลําวไว๎วํา มีอยู่
ครั้งหน่ึงพระพุทธเจ้าทรงประชวรด้วยโรคพระอุทรปวด ๆ เสียด ๆ พระอานนท์ ได้ออกบิณฑบาต
และพบนางสุชาดาท่ีกําลังหุงข้าวยาคูใส่เนย น้ํานม นํ้ามัน จ่าตีโผ่(ยาสมุนไพร) เลงยาง(กานพลู)
พดิ ชาง พดิ ปอ้ ม (พรกิ ไทย) พอเหลือบเห็นพระอานนท์ นางสุชาดารีบตักข้าวยาคูไปใส่บาตรพระ
อานนท์ทนั ที พระอานนท์ไดน้ าํ ขา้ วยาคนู ้ันไปถวายแด่พระพทุ ธเจ้า เมื่อฉันขา้ วยาคูของนางสุชาดา
แล้ว พระพุทธเจ้าทรงหายจากอาการประชวรพระอทุ ร ดว้ ยอานสิ งส์การถวายข้าวยาคูนี้ นางสชุ าดา
เมื่อตายไปแล้วได้ไปจุติบนสวรรค์ เสวยผลบุญอย่างเป็นสุข ด๎วยเหตุน้ี เมื่อถึงเดือน 3 บรรดาพุทธ
บริษทั ชาวไทใหญตํ ํางนิยมทําบญุ ถวายข๎าวหยํากู๎ (ยาค)ู หรือข๎าวเหนียวแดง และข๎าวยาคูหุงด๎วยนม
เนย ผสมสมุนไพรเป็นประเพณีสืบตํอกันมาจนถึงป๓จจุบันดังนั้นจึงมีประเพณีหลูํข๎าวหยําก๎ูและ
ปอยกอ๐ งโหลข้ึนซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ (โกศล ศรมี ณี มปป. :31)

ขา๎ วหยํากู๎ หมายถงึ ขา๎ วเหนียวแดง สํวนข๎าวยาคู หมายถึง ข๎าวหยําก๎ูมําน (พมํา) ได๎มีการ
ฟ้ืนฟู สืบสาน ถาํ ยทอด โดยนายสมบรู ณ๑ ศลิ ปะนันท๑ ปอ๊ กตะวันออก เขตเทศบาลเมืองแมํฮํองสอน
ซึง่ ได๎รับการถาํ ยทอดภมู ิปญ๓ ญามาจากบดิ า

4

ประเพณีปอยหลูข่ า้ วหยา่ ก(ู๊ ทาบุญข้าวเหนยี วแดง)

ประวัติความเป็นมาและความเชอื่
เม่ือ ถึงเดือน 3 หรือ เดือนกุมภาพันธ๑ บรรดาพุทธบริษัทชาวไทใหญํท้ังหลายจะ
นิยมทําบุญหลูํข๎าวหยําก๏ู หรือถวายข๎าวเหนียวแดง เพราะเช่ือกันวําการหลํูข๎าวหยําก๏ูนี้จะ
ได๎บุญกุศลทําให๎ได๎ไปจุติบนสวรรค๑เสวยผลบุญอยํางเป็นสุข เชํนเดียวกับนางสุชาดา เป็น
ประเพณีท่ีปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแตํอดีตจนถึงป๓จจุบัน

การจัดงานประเพณี “ปอยหลํูข๎าวหยําก๏ู”(หลูํ หมายถึง ถวายหรือให๎ทาน)หรือการถวาย
ข๎าวเหนยี วแดง คอื กิจกรรมประเพณที ี่เกิดขึ้นหลงั จากที่ชาวบ๎านได๎เก็บเกี่ยวผลผลิตจาก การทําไรํ
ทํานา และไดผ๎ ลผลติ หรือเรยี กวาํ ได๎ข๎าวใหมํ กจ็ ะเอาข๎าวใหมํน้ีไปทําบุญในรูปข๎าวหยําก๏ุ ในการ
หลูํข๎าวหยําก๏ูน้ันชาวบ๎านจะแบํงสํวนหน่ึงไปถวายพระภิกษุ สามเณร และสํวนท่ีเหลือท้ังหมดจะ
นาํ ไปตาน (ให๎ทาน ) ในชมุ ชนนอกชุมชน หรือตามบ๎านญาติสนิทมิตรสหาย เพราะเชื่อ
กันวําการหลํูข๎าวหยํากู๏มีน้ีเป็นทานกุศล บางแหํงจะรวมตัวกันจัดงาน ในสมัยกํอนมีการ
แหํขบวนข๎าวหยํากู๏ โดยใช๎เกวียนบรรทุกข๎าวหยํากู๏แหํไปทั่วหมูํบ๎าน ซึ่งเกวียนจะประดับ
ตกแตํงขบวนอยํางสวยงาม มีการตีกลองก๎นยาว การละเลํนดนตรีพื้นบ๎านและการ
ฟ้อนรําเพื่อเพิ่มความสนุกสนานแตํป๓จจุบันนิยมใช๎รถยนต๑บรรทุกแทนเกวียนในการแจก
ทานข๎าวหยํากู๏

ขั้นตอนต่างๆ ของประเพณีการทาข้าวหย่ากู้ 5
ข้ันตอนการจัดงานวันที่ 1
ป้าน (ถาดใบใหญํ)
กาก (ไม๎พาย)
หม๎อขางโหลง
(กระทะใบใหญํ)

1) เตรียมอุปกรณ๑ท่ีใช๎ในการทําข๎าวหยํากู๏
1.1) หม๎อขางโหลง(กระทะใบใหญํ)
1.2) กาก (ไม๎พาย)
1.3) ป้าน (ถาดใบใหญํ)
1.4) มีด
1.5) ใบตองกล๎วย
1.6) ท่ีขุดมะพร๎าว
1.7) ใบตองตึง(อดีต)หรือถุง(ป๓จจุบันใช๎สาํ หรับบรรจุ

ขนม)
2) เตรียมสวํ นผสมในการทาํ ขา๎ วหยํากู๏

2.1) ขา๎ วเหนยี ว
2.2) นํา้ ออ๎ ย
2.3) งาคั่ว(งาดาํ หรอื งาขาวกไ็ ด)๎
2.4) เนอ้ื มะพรา๎ วออํ น
2.5) ถ่ัวลสิ ง
2.6) นํ้ามนั งาหรือนํ้ามันพืช
2.7) กะทิ (ในสมัยกอํ นจะไมํใสํกะท)ิ

6

3) วิธีการทําข๎าวหยําก๏ู นําข๎าวเหนียวมาน่ึงจนสุกแล๎วเทใสํหม๎อ

หลงั จากนน้ั เคีย่ ว น้าํ อ๎อยผสมกับน้ําเล็กน๎อยจนนํ้าอ๎อยละลายหมด นํานํ้าอ๎อยที่เค่ียวไว๎ เทลง

ไปในขา๎ วทเี่ ตรยี มไวน๎ าํ หวั กระทิมากวนให๎เขา๎ กนั เติมถัว่ ลิสงและงาคว่ั มากวนกบั ขา๎ วหยาํ ก๏ใู ห๎เขา๎

กัน แล๎วนําข๎า ท่ีคลุกเรียบร๎อยเทใสํในถาดที่เตรียมไว๎ใต๎ถาดควรใช๎น้ํามันพืชทากํอนเพ่ือไมํให๎

ข๎าวหยาํ ก๏ูนั้นตดิ ถาด เม่อื นาํ ขา๎ วหยํากูใ๏ สถํ าดเรียบรอ๎ ยแล๎วก็ จะนําใบตองคลุมให๎หน๎าขนมเรียบ

เพื่อให๎ข๎าวหยํากู๏เสมอกัน และโรยหน๎าด๎วยเน้ือมะพร๎าวและรอจนข๎าวหยํากู๏เย็นแล๎วจึงตัด

แบํงเป็นกอ๎ นๆ นาํ ข๎าวหยาํ กู๏ที่ตัดเป็นก๎อนน้นั หอํ ดว๎ ยใบตองหรอื นําไปบรรจุถุง แบํงเพ่ือเก็บไว๎

ไปทาํ บุญท่ีวัด และสํวนทเ่ี หลอื จะนาํ ไปตาน(ให๎ทาน )แกํประชาชนในชุมชนหรือนอกชุมชนตาม

จติ ศรัทธา แผนผงั การทาขา้ วหย่ากู๊

1.การน่งึ ข้าวเพ่อื ทาข้าวหย่ากู๊ 2.การกวนขา้ วหยา่ กู๊

3.การนาส่วนผสมมาผสมในขา้ วหยา่ กู๊ 4.การตักข้าวอยา่ กู๊ใสถ่ าดเพอื่ ทาการหอ่

5.การแห่ขบวนขา้ วหย่ากู๊

ขั้นตอนการจัดงานวันที่ 2 การทําบุญข๎าวหยํากู๏จะแบํงเป็น 2 สํวน
ดังตํอไปนี้

1) สํวนท่ี 1 จะนาํ ไปถวายพระท่ีวัดและรับพรจากพระสงฆ๑
2) สํวนที่ 2 จะนําไปแหํขบวนและแจกจํายให๎กับประชาชน
โดยทั่วไป

7

ประเพณีปอยกอ๋ งโหล
ประวตั ิความเป็นมา
หลังจากเสรจ็ สนิ้ ประเพณีการหลูํขา๎ วหยาํ กู๏แลว๎ จะมี “ ปอยก๐องโหล ” คืองานจุดฟืน ใน

วัน ขึ้น 15 คํ่า เดือนสาม เป็นฤดูถวายไม๎โหล(ฟืน) มีนิทานบํอเกิดเก่ียวกับประเพณีได๎กลําวไว๎วํา
กาลครั้งหนึ่ง ณ เมืองสาวัตถี ในชํวงเดือน 3 ซึ่งมีอากาศหนาวเหน็บมาก มีชายหนุํมผ๎ูยากจนคน
หนึ่งไดเ๎ กบ็ ฟนื มากองไวท๎ ีต่ น๎ ทางทพี่ ระสงฆจ๑ ะบิณฑบาตในเมือง พอถึงเวลาเชา๎ ตรํูก็จะต่ืนข้ึนมาแตํ
เช๎ามืด เดินทางไปยังกองฟืน และกํอกองไฟท่ีต๎นทางแหํงนั้น พร๎อมนิมนต๑พระสงฆ๑มาผิงไฟให๎เกิด
ความอบอุํน แล๎วพระสงฆ๑จึงคอํ ยออกบิณฑบาต ทําอยํางน้ีทุกเช๎าจนสิ้นฤดูหนาว อานิสงส๑แหํงการ
กระทาํ ดงั กลําวสํงผลให๎ชายหนมํุ ผ๎ูนนั้ เมื่อตายไปจงึ ได๎เกิดบนสวรรค๑ เปน็ เทพบตุ รผู๎มีรัศมีย่ิงใหญํดุจ
ดวงไฟท่ีลุกโชน เป็นท่ีเคารพนับถือของเหลําเทวดาท้ังหลาย ดังนั้นเมื่อถึงเดือนสามชาวบ๎านจึงมี
ประเพณีนําฟืนมารวมกันจุดให๎แสงสวํางท่ีวัดในเวลากลางคืน และมีการละเลํนพื้นบ๎านตํางๆ เพื่อ
เปน็ การรบั เสด็จพระพทุ ธเจ๎าจากสวรรค๑ลงมาสง่ั สอนประชาชนบนโลกมนุษย๑

อปุ กรณ์ท่ใี ช้ในการจดั งานปอยกอ๋ งโหล ประกอบดว๎ ย ฟืนตดั เป็นทํอนๆ และนา้ํ มนั เพอ่ื
ชํวยให๎ฟนื ติดไฟงาํ ยขน้ึ ( ประเสรฐิ ประดษิ ฐ๑ :11/10/2550 )

ขั้นตอนและวธิ กี ารจัดงาน
งานก๐องโหล จัดในเดือน กุมภาพันธ๑ เป็นชํวงท่ีมีอากาศหนาวเย็น ชาวบ๎านนิยมจัดงานก๐
องโหล (โหลแปลวําฟืน) เป็นพธิ ถี วายฟืนเปน็ พทุ ธบูชา มีนยั วาํ ให๎พระพุทธเจ๎าได๎ผิงไฟคลายหนาว
จัดข้ึนทั่วไปตามวัดไทใหญํ ชาวบ๎านจะจัดหาไม๎ฟืนบ๎านละทํอนสองทํอนมารวมกันที่วัด พิธีการ
ทําบุญถวายก๐องโหล คือเอาไม๎เน้ืออํอนนํามากํอฐานส่ีเหล่ียมคอกหมู ปลายแหลมขึ้นไปเป็นยอด
เจดีย๑ มีฉตั รเป็นยอดเปน็ ฉัตรห๎าช้ันประดับด๎วยดอกจ๎ากจํา ยอดเจดีย๑ทําด๎วยไมํแปกคือ ไม๎สนท่ีจุด
ติดไฟงาํ ย นาํ ไมไ๎ ผํมาขัดราชวัติ ท้งั สม่ี มุ ป๓กหนอํ กล๎วย หนอํ ออ๎ ย พอเวลากลางคืนหลงั จากทาํ พธิ ี
ถวายพระเสร็จแล๎วจะนํานํ้ามันมาราดจนท่ัว แล๎วจุดไฟถวายเป็นพุทธบูชา บางหมํูบ๎านจะเผากอง
โหลโดยใชบ๎ อ๎ งไฟมา๎ ลํอ เมอ่ื จดุ ม๎าไฟแลว๎ ม๎าไฟจะวงิ่ ไปตามเสน๎ ลวดไปชนสายชนวนทีก่ ๐องโหล ไฟ
นั้นจะพงุํ เข๎าหาก๐องโหลที่ราดดว๎ ยนา้ํ มัน ไฟก็จะลุกโชติชํวง มีการประโคมด๎วยเสียงกลองก๎นยาว
อยาํ งครึกครืน้ ( ประเสริฐ ประดษิ ฐ๑ :11/10/2550 )
ประเพณีเดือนส่ขี องชาวไทใหญ่ ไดแ้ ก่ ปอยข้าวหยา่ กู๊ และ ปอยกอ๋ งโหล

8

ประเพณีเหลนิ ส่ี ( เดอื นส่ีตรงกับเดือนมนี าคม )

ประวตั ิความเป็นมา (บ่อเกดิ ประเพณ)ี

ภาษาปุ่งนา (ปุโรหิต) เรียกวํา “มะหย่ินหยําสี่” ภาษาพมําเรียกวํา “ต๏ะป่องละ”ธาตุ
ประจาํ เดือนคือ อาโปธาตุ ดอกไม๎ประจําราศีคอื ดอกเปา (ภาษาถิ่น) ตาํ นานบํอเกิดประเพณีกลาํ วไว๎
วํา ขณะทพ่ี ระพทุ ธเจา๎ ทรงประทบั อยํู ณ เชตวนั วหิ าร เมอื งสาวัตถนี ้นั ขําวคราวของพระองคไ๑ ดท๎ รง
ทราบถงึ พระเจ๎าสทุ โธทนะพทุ ธบิดา ทํานจึงทรงสั่งอํามาตย๑ 1,000 คน นิมนต๑พระพุทธเจ๎าเสด็จไป
เมืองกบิลพสั ด๑ ฝ่ายอาํ มาตย๑ทั้งหลายเมือ่ มาเฝ้าพระพุทธเจา๎ และเม่อื ได๎สดบั พระธรรมเทศนาตํางพา
กันตรัสรูเป็นพระอรหันต๑ ขอบรรพชาอุปสมบทไมํกลับไปกรุงกบิลพัสด๑ ตามภาระหน๎าที่ท่ีได๎รับมา
พระเจ๎าสุทโธทนะส่ังอํามาตย๑อีก 1,000 คนไปนิมนต๑พระพุทธเจ๎าอีก เหตุการณ๑ก็เป็นเชํนเดิม ทุก
คนบรรลอุ รหันต๑ แล๎วไมํกลับกรุงกบิลพัสด๑ ทําเชํนน้ีถึง 3 คร้ัง ครั้งสุดท๎ายจึงทรงรับสั่งให๎กาฬุทายี
อํามาตย๑มานิมนต๑พระพุทธเจ๎าอีก กาฬทายีอํามาตย๑จึงขอพระบรมราชานุญาตพรรพชาอุปสมบท
กอํ นจึงจะนมิ นตพ๑ ระพุทธเจ๎ากลับมาสูกํ รงุ กบิลพัสด๑พระเจ๎าสุทโธทนะทรงอนุญาต อํามาตย๑กาฬุทา
ยจี งึ พาคณะ 1,000 คน เข๎าเฝ้าพระพุทธเจ๎าเม่ือได๎ฟ๓งพระธรรมเทศนาและบรรลุมรรคผล จึงอยูํจํา
พรรษากับพระพุทธเจ๎าจนครบถ๎วน 3 เดือน แล๎วจึงอาราธนาพระพุทธเจ๎าเสด็จไปยังกรุงกบิลพัสด๑
พระพทุ ธองค๑ทรงใครํครวญแล๎วเห็นวําเป็นธรรมเนียมของพระพุทธเจ๎าองค๑กํอนๆ ในอดีตท่ีจะต๎อง
ไปโปรดพระประยูรญาติ จึงทรงรับพระนิมนต๑ เมื่อทราบแนํชัดแล๎ว กาฬุทายีภิกษุจึงขอ
พระราชทานพระบรมราชานุญาติเดินทางไปเตรียมการลํวงหน๎าและแจ๎งขําวแดํพระเจ๎าสุทโธทนะ
และข๎าราชบริพารวาํ พระพุทธเจา๎ จะเสด็จมากรงุ กบลิ พัสด๑ในเดอื น 4 นี้ ให๎ทกุ คนเตรยี มซม๎ุ รบั เสด็จ
และเครื่องไทยธรรม อาหารบิณฑบาตและอื่นๆ ไว๎รับเสด็จพระพุทธเจ๎า พระพุทธเจ๎าสุทโธทนะมี
รบั สงั่ ใหจ๎ ดั ทําถนนหนทางปราสาทและซุ๎มรบั เสด็จทวั่ กรงุ กบิลพสั ด๑พอถึงวนั ขึน้ 1 คํ่า เดือน 4 พระ
พุทธองค๑ทรงนาํ พระสงฆ๑ออกจากเชตวันวิหาร เดินทางไปวันละ 1 โยชน๑ เม่ือนําคณะสงฆ๑ เดินทาง
ถึงกรุงกบิลพัสด๑แล๎วบรรดาศรัทธาประชาชนชาวเมืองตํางชื่นชมยินดี พากันจัดไทยธรรมไว๎ถวาย
เปน็ จาํ นวนมาก ท้งั อาหารบณิ ฑบาต ลว๎ นแตํเป็นส่งิ ของสงิ่ แปลกๆ ที่ทกุ คนคิดวาํ ทาํ ๆได๎ดีท่ีสุด บาง
กลุํมจัดทําต๎นเวชยนั ตห๑ รอื ต๎นหอลม ต๎นรํม ตน๎ ธง ต๎นจีวร 1,000 ผืน พร๎อมทั้งบรรเลงเคร่ืองดนตรี
ดุริยางค๑ นานาประการรับเสด็จพระพุทธเจ๎าทุกแหํงหน จัดเป็นงานพิธียิ่งใหญํในการแสดงความ
ยินดีท่ีได๎รับเสด็จพระพุทธเจ๎าในสมัยพุทธกาลน้ัน ด๎วยเหตุนี้แม๎พระพุทธเจ๎าจะเสด็จปรินิพพานไป
นานแล๎วในวันเดือน 4 อยํูมิร๎ูลืม จึงพากันจัดงาน ประเพณีสืบตํอกันมาเป็นประจําปี ตัวแทนของ

9

พระพุทธเจา๎ เชํน พระธาตุเจดีย๑ก็ดี พระพุทธรูปก็ดี พระบรมฉายาลักษณ๑ก็ดี มีอยํู ณ ที่ใด ศรัทธา
พุทธบริษัททั้งหลายก็จะพากันไปทําบุญเป็นงานรับเสด็จเชํนใน สมัยพุทธกาล เป็นประเพณีสืบตํอ
กันมาจนปจ๓ จบุ ัน

ปอยไหว้พระธาตุ ไหวเ้ จ้าพาราและยกฉัตรเจดีย์

ปอยตน้ หอลม ปอยปอยล้อ/ปอยเหลิม (การชกั ลากปราสาท)

10

ประเพณีปอยส่างลอง
ชว่ งเวลาทมี่ กี ารจดั งาน
การจดั งานปอยสาํ งลองจะจัดในชวํ งเดอื นสถ่ี งึ ต๎นเดอื นห๎า (มีนาคม-เมษายนทุกปี)

11

ประวัติความเปน็ มาปอยสา่ งลอง
คาํ วาํ “ปอยสาํ งลอง” เป็นภาษาไทใหญํเกดิ จากคาํ 3 คาํ มาสมาสกนั คือ คาํ วาํ “ปอย”

แปลวํา “งาน” คําวํา “สําง” สันนิษฐานวําเพี้ยนมาจากคําวํา “สาง” หรือ “ขุนสาง” หมายถึง
พระพรหม ในหนังสือธรรมะของชาวไทใหญํกลําวถึงวํา “พระคณิตพรหมได๎ถวายจีวรแกํเจ๎าชาย
สิทธัตถะ ณ ริมฝ่๓งแมํนํ้าอโนมา เม่ือคราวท่ีหนีออกไปบวช” อีกความหมายหนึ่งน้ัน คําวํา
“สําง” มาจากคําวํา “เจ๎าสําง” หมายถึงสามเณร สํวนคําวํา “ลอง” มาจากคําวํา “อลอง”
แปลวํา พระโพธิสัตว๑ หรือหนํอพุทธางกูร ดังน้ันงาน “ปอยสํางลอง” ก็คืองานบวชลูกแก๎วของ
ชาวลา๎ นนาน่นั เอง ประวัตคิ วามเป็นมา สาํ งลอง มีความหมาย 2 นยั ดังนี้ (สํานักงานวัฒนธรรม
จงั หวดั แมฮํ ํองสอน2549:215-217)

นัยทห่ี น่ึงเปน็ คาํ ผสมระหวาํ งคาํ วาํ “สําง” หมายถงึ เจา๎ สาํ ง คอื สามเณรในภาษาไทย กับคํา
วํา “ลอง” หรือ “อลอง” หมายถึงหนํอกษัตริย๑หรือผ๎ูที่เตรียมจะเป็นสํางลองคือผู๎ท่ีเตรียมจะเป็น
สามเณร การเป็นสํางลองน้นั เป็นการเลยี นแบบประวัติของพระพุทธเจ๎าตอนท่ีเป็นเจ๎าชายสิทธัตถะ
ครองกรุงกบิลพัสด๑ุกํอนจะออกผนวก การกระทําทุกอยํางในชํวงเวลาการเป็นสํางลองจะปฏิบัติ
เสมือนการปฏิบัติตํอพระมหากษัตริย๑ เป็นความเชื่อตามวรรณกรรมไทใหญํเรื่องอะหนําก๎าดตะ
หวํางซ่ึงกลําวถึงพระเจ๎า อําจําตะซาดมังจี (อชาตศัตรู)หลังจากท่ีได๎สํานึกผิดในการทําปิตุฆาตโดย
หลงผิดไปรํวมมือกับพระเทวทัตทําบาปหนักตําง ๆ แล๎วได๎ทูลถามพระพุทธเจ๎าวําทําอยํางไรจะได๎
เป็นเหลํากอของพระพุทธเจ๎าคือเป็นอลองพญา (หนํอพุทธางกูร) พระพุทธองค๑ทรงตอบวําต๎องนํา
บตุ รชายเข๎าบวชในศาสนา จงึ ได๎นาํ เจ๎าชายอะจิ้กตะ๏ มงั ซา (อชิตกมุ าร)พระราชโอรสของพระองคเ๑ ข๎า
บรรพชาเป็นสามเณรและทรงมีพุทธทํานายวําอชิตสามเณรจะมาตรัสรู๎เป็นพระศรีอริยเมตไตย
พระพุทธเจ๎าแหํงภัทรกัปป์นี้วรรณกรรมฉบับนี้แตํงเมื่อประมาณ 100 ปีเศษ โดยพระอูํกําวิจิ่งตํา
วัดสบต๐ุง เมืองตุ๐งจังหวัดจ๎อกแมประเทศพมําและพิมพ๑เม่ือปี พ.ศ. 2508 (สํานักงานวัฒนธรรม
จงั หวดั แมํฮอํ งสอน2549:215-217)

นัยท่ีสอง ถือตามความในวรรณกรรมไตเรื่อง“อําหน่ันตําตองป่าน” หรือ เรื่องการทูลถาม
ของพระอานนท๑ แตํงข้ึนเมื่อประมาณ 200 ปีเศษโดยพระสุหน่ันตํา บ๎านก๐ุนอ๎อ จังหวัดจ๎อกเม
ประเทศพมาํ กลําวถงึ เรื่องตําง ๆ ทพี่ ระอานนท๑ทูลถามพระพุทธเจ๎าในเร่ืองเหลําน้ันมีอยํูเรื่องหน่ึง
ทท่ี ูลถามเกีย่ วกบั การเปน็ สํางลองวาํ มีอานิสงส๑มากน๎อยอยาํ งไรและพระพุทธเจ๎าทรงชี้แจงวํา ถ๎านํา
บุตรของตนบวชจะได๎สวรรค๑สมบัติเป็นเวลา 8 กํ่าผํา (กัลป์) ถ๎ารับเป็นพํอขํามแมํขําม (พํอแมํ
อุปถัมภ๑) จะได๎อานิสงส๑ 4 กํ่าผํา (กัลป์) และวรรณกรรมดังกลําวได๎บรรยายเร่ืองราวสํางลองไว๎วํา

12

ในอดีตบรรดากษัตริย๑และเศรษฐีคหบดีได๎รํวมกันเป็นเจ๎าภาพจัดงานปอยสํางลองข้ึน บังเอิญมี

บุตรชายของหญงิ หม๎ายคนหน่งึ มีรปู รํางอัปลักษณ๑และมีศรัทธาอยากบรรพชาแตํไมํมีทรัพย๑สมบัติที่

จะเป็นเจ๎าภาพบวชดว๎ ยบญุ บารมแี ละแรงศรทั ธาของบุตรชาย ได๎บันดาลใหพ๎ ระอินทร๑เกดิ เมตตาจงึ

เสด็จมา นําไปพยาบาลให๎อาบน้ําเงินน้ําทองขัดสีฉวีวรรณล๎างคราบไคลตําง ๆ กลายเป็นกุมารท่ีมี

รูปรํางสวยงาม และขุนสาง(พระพรหม)ได๎ลงมามอบชฎา (ปานกุม) และสร๎อยสังวาล (ลอแป)ให๎

พร๎อมทัง้ รับภาระเป็นพํอขําม (พอํ อุปถมั ภ)๑ ในการจัดงานปอยสํางลองครั้งนั้นบุตรชายหญิงหม๎าย

ไดเ๎ ป็นลกู ขําม (ลูกอปุ ถมั ภ๑)ของขนุ สาง (พระพรหม) จึงเรียกกลุ บตุ รที่ได๎รับการยกยํองในชํวงกํอน

บรรพชาวํา “สางลอง” หรือ “สํางลอง” คือลูกอุปถัมภ๑หรือลูกบุญธรรมของพระพรหม

สืบตํอมาจนป๓จจุบัน แสดงให๎เห็นวํากุลบุตรที่จะได๎เป็นสํางลองน้ันเป็นผ๎ูมีบุญบารมีมากกวําคน

ธรรมดาสามญั จงึ มโี อกาสไดร๎ ับการยกยํองให๎เป็นหนํอกษตั ริย๑ หรือบตุ รบุญธรรมของพระพรหมใน

ชวํ งเวลากํอนบรรพชา (สาํ นักงานวฒั นธรรมจังหวัดแมฮํ ํองสอน2549:215-217)

ประเพณปี อยสํางลองเกดิ จากศรัทธายึดมั่นในบวรพุทธศาสนาอยํางมน่ั คงของชาวไทใหญซํ ่งึ

ถอื วําการทีก่ ุลบตุ รสามารถอุทศิ ตนบรรพชาอุปสมบทในพุทธศาสนาเป็นผ๎ูมีบุญอันย่ิงใหญํ เจ๎าภาพ

จะยอมเสยี สละ ส่ิงของ เงนิ ทอง อันเปน็ โลกยี ทรพั ยภ๑ ายนอกเทาํ ไรกไ็ ดเ๎ พือ่ สนบั สนนุ ให๎กลุ บตุ รได๎

มีโอกาสพบกับอรยิ ทรพั ย๑ในทางพระพทุ ธศาสนาคือ การบรรพชา เสียสละ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข

มุํงดําเนินตามอริยมรรคเส๎นทางไปสูํพระนิพพาน เป็นการเลียนแบบเหตุการณ๑ตามพุทธประวัติ

ตอนทพ่ี ระพทุ ธเจา๎ เสดจ็ กรุงกบิลพัสดุ๑ เพ่ือโปรดพระประยูรญาติวันหนึ่งพระนางพิมพาถือโอกาสที่

ปลอดโปรํงแตํงองค๑ทรงเคร่ืองให๎พระราหุลกุมารและสํงไป ขอราชสมบัติจากพระพุทธองค๑ เมื่อได๎

รับคําขอจากราหุลกุมารแทนท่ีจะพระราชทานราชสมบัติให๎พระพุทธองค๑ ทรงดําริวําราชสมบัติอัน

เป็นโลกียทรัพย๑นี้ไมํจีรังควรที่เราจะพระราชทาน อริยทรัพย๑อันย่ังยืนดีกวําแล๎วทรงรับสั่งให๎

บรรพชาราหลุ กมุ ารเปน็ สามเณรแทน (สาํ นักงานวฒั นธรรมจังหวัดแมํฮํองสอน2549:215-217)

ในอดตี ทผี่ าํ นมาการจดั งานปอยสาํ งลองใชเ๎ วลานานประมาณ 7-15 วนั ในการจัดงานปอย

สํางลองต๎องใช๎เงินเป็นจํานวนมากทําให๎ผ๎ูที่มีฐานะยากจนไมํสามารถจะจัดงานปอยสํางลองได๎

สํวนผ๎ูมีฐานะดีท่ีไมํมีบุตรชายหรือมีแตํบุตรชายไมํต๎องการบวช ทําให๎เกิดการเชื่อมโยงชํองวําง

ระหวํางคนรวยกับคนจนข้ึน กลําวคือผู๎ท่ีมีฐานะยากจนท่ีต๎องการให๎บุตรชายสํางลองจะมอบบุตร

ของตนแกํผู๎ที่มีฐานะซ่ึงต๎องการจัดงานปอยสํางลองแตํไมํมีบุตรชาย การมอบในลักษณะน้ี ผู๎ท่ีรับ

เป็นเจ๎าภาพบวชจะต๎องยอมรับหน๎าที่เป็นบิดามารดาคนท่ีสองของผู๎ท่ีซ่ึงตนรับบวช จะให๎ความ

อุปถัมภ๑ค้ําจุนในขณะท่ีบวชและหลังจากสึกแล๎วด๎วย บางรายถึงกับมอบมรดกให๎เหมือนกับเป็น

บตุ รคนหนง่ึ ทเี ดยี ว ผทู๎ ีไ่ ด๎บวชลกั ษณะนี้จะเรียกผ๎ูที่รับเป็นเจ๎าภาพบวชให๎ตนวํา “พํอ – แมํ” หรือ

13

“พ่อขา่ ม แม่ข่าม” คําวํา “ขําม” แปลวํารับรอง หรือรับภาระอุปถัมภ๑ ในอดีต “พํอขําม แมํ

ขาํ ม” หรือ ผูท๎ ร่ี ับอปุ ถัมภบ๑ รรพชาสามเณรจะได๎รบั การยกยอํ งยอมรับนับถือในสังคมเป็นอยํางมาก

โดยจะได๎รับการยกยํองและเรียกคํานําหน๎าวํา “พ่อส่าง แม่ส่าง” สํวนผ๎ูท่ีรับอุปถัมภ๑อุปสมบท

พระภิกษุจะได๎รับการยกยํองและเรียกคํานําหน๎าวํา “พ่อจาง แม่จาง” ผู๎ท่ีผํานการ

บรรพชาเปน็ สามเณรมาแลว๎ เม่อื สึกออกมาจะเรยี กวาํ “สาํ ง” สําหรบั ผูท๎ ่ผี าํ นการอุปสมบทเปน็ ภกิ ษุ

เมื่อสึกออกมาจะเรียกวํา “ทาก” หรือ “หนาน” นําหน๎าช่ือ (สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด

แมํฮํองสอน2549:215-217)

ประเภทของการบวชสา่ งลอง ( ประเสรฐิ ประดษิ ฐ๑ :11/10/2550 )
วิธจี ดั งานบวชเณรของชาวไทใหญํนั้นมีวิธีการบวช 2 วิธีคือแบบท่ีเรียกวํา “ขํามดิบ” และ
แบบทเ่ี รียกวาํ “ขาํ มสํางลอง”

1) แบบ “ข่ามดิบ” เปน็ วธิ กี ารงาํ ยๆ และประหยดั ไมตํ ๎องใช๎เวลาในการเตรยี ม
งานและไมสํ ้ินเปลอื งคาํ ใชจ๎ าํ ยมาก วิธกี ารคือเมอื่ ตกลงวําจะนําเดก็ มาบรรพชาเปน็ สามเณรแลว๎ พํอ
แมํกจ็ ะโกนผมหรือนาํ เด็กไปโกนผมทว่ี ัด แลว๎ พระจะทาํ พิธบี รรพชาเปน็ เณรให๎เลย

2) แบบ “ข่ามสา่ งลอง” เป็นพิธีที่ตอ๎ งเตรยี มงานกนั นานมคี าํ ใช๎จํายสูงใช๎เวลาจัด
งาน 3-5 วันมีการเชิญผ๎ูมารํวมงานเป็นจํานวนมาก และมีข้ันตอนมากมายคือหลังจากเตรียมงาน
แล๎วกน็ ําเด็กมาโกนผมแล๎วแตํงตัวเป็น “สํางลอง” หรือลูกแก๎วแหํไปขอขมาตามที่ตํางๆ แหํเคร่ือง
ไทยทานจากบ๎านไปสูํวัด แหํสํางลองจากบ๎านไปทําพิธีขอบรรพชาที่วัดและมีการเฉลิมฉลองท่ีวัด
หรอื ที่บ๎านอีก 1 วัน จึงเสร็จพิธีแตแํ บบ “สํางลอง”นี้เปน็ ท่นี ยิ มจัดกันมากถือกันวําเปน็ บุญกุศลของ

ผ๎ูจัดและเปน็ สงาํ ราศแี กํหมบูํ ๎านและทอ๎ งถิ่นด๎วย

14

ขนั้ ตอนการบวชปอยสา่ งลอง การบวชปอยสาํ งลองมี 5 ข้นั ตอน ดังนี้
ข้ันตอนที่ 1 สาํ งลองกลําวคําขอขมาพระสงฆ๑ ขน้ั ตอนที่ 2 สํางลองกลาํ วคําขอบรรพชา
ขั้นตอนท่ี 3 เปลยี่ นชดุ สํางลองเปน็ สามเณร ขน้ั ตอนท่ี 4 สามเณรรับศลี 10 และขัน้ ตอนที่ 5
สามเณรรับพรจากพระสงฆ๑
ขบวนส่างลอง

อุปกรณ์และเครื่องใช้ในพิธีบวชส่างลอง เครื่องอปุ โภคของอลอง ประกอบด๎วยเครอ่ื งสงู
ตาํ ง ๆ ดงั น้ี

1) ทคี า คอื รมํ ขนาดใหญทํ าํ ดว๎ ยกระดาษหนาลงรกั ปดิ ทอง มีคนั ถือยาวขนาดถือ
แล๎วเลยศีรษะอยํูท่ีคอของอีกคนหนึ่ง ใช๎กั้นเป็นรํมบังแดดตํางฉัตร คําวํา “ที”
แปลวาํ รมํ “คาํ ” คอื ทองคํา ทีคาํ ก็คอื รมํ ทองคํานนั่ เอง
2) น้าเต้า หรือคนโท ใสนํ าํ้ ดมื่ สําหรบั อลอง
3) พานหมาก เครื่องเสรมิ ยศอลอง บรรจหุ มาก พลู บหุ ร่ี ไม๎ขดี เมีย่ ง
4) พรม ใช๎ปูให๎อลองนงั่
5) หมอน ใช๎สําหรบั อลองนัง่ องิ พกั ผอํ น ใชค๎ กํู บั พรม
บริวารอลอง เนื่องจากสํางลองมีฐานะเปรียบเสมือนเป็นอลอง(กษัตริย๑ ) จึงต๎องมี
บรวิ ารคอยปรนนิบัตริ ับใชต๎ ามสมควรเรียกวําบรวิ ารอลอง ซึ่งมีรายละเอยี ดดังน้ี
1) ผู๎ทที่ ําหน๎าท่แี ตํงตัวมี 2 คน ทําหน๎าท่แี ตํงหน๎า และแตงํ ตวั ให๎อลอง
2) ผ๎ูท่ีทําหน๎าท่ีให๎อลองขี่คอมี 2-3 คน มีหน๎าที่ให๎อลองข่ีคอพาไปในท่ีตําง ๆ
แตกํ รณีถา๎ เปน็ จางลอง(ผทู๎ ี่เตรยี มบวชเป็นภิกษุ ซ่ึงมีอายุ 21 ปี ข้ึนไป มีน้ําหนัก
ตัวมาก)จะใช๎มา๎ หรือช๎างประดบั ตกแตงํ เป็นพาหนะกไ็ ด๎ สํวนใหญํจะเป็นมา๎
3) ผถู๎ อื นํ้าเต๎า

15

4) ผถ๎ู อื พานหมาก

5) ผถ๎ู ือทีคํามีหลายคนสับเปลย่ี นกัน

6) ผถ๎ู อื พรมและหมอน

7) คณะดนตรชี ุดกลองก๎นยาว (ประกอบด๎วยกลองหน๎าเดียวยาวประมาณวาเศษ

ฆ๎องขนาดใหญํ 1 ใบ ขนาดกลาง 1 ใบ ขนาดเล็ก 1 ใบ ฉาบขนาดกลาง 1

คูํ ตใี หจ๎ งั หวะการฟ้อนรําของคนทเ่ี ปน็ พาหนะอลอง หรือเป็นสัญญาณบอกให๎รู๎วํา

มีอลองมา หรือบรรเลงเข๎าขบวนแหํไทยธรรม คณะดนตรีชุดนี้มีประมาณ 5-6

คน สบั เปลี่ยนกันบรรเลงเคร่อื งดนตรีชิ้นตาํ ง ๆ

การจดั งาน “ปอยสํางลอง” ในอดีตน้นั เป็นงานที่ยิ่งใหญํมากไมํมีงานอ่ืนใดในรอบปีท่ีจะมา
เทยี บได๎ ใช๎เวลาเตรียมงานกันเปน็ แรมเดอื น มีการบอกกลาํ วไปตามหมูํบ๎านตําง ๆ ให๎ได๎ทราบกํอน
ลํวงหน๎า เพ่ือป้องกันไมํให๎แตํละหมํูบ๎านจัดตรงกัน และเพื่อท่ีจะให๎ญาติพ่ีน๎องที่อยํูหํางไกลได๎
รับทราบขําวลํวงหน๎า ชํวงระยะเวลาในการจัดงานปอยสํางลอง นิยมจัดในชํวงเดือนมีนาคม –
เมษายน ซึ่งเป็นชํวงปิดภาคเรียนและวํางเว๎นจากการทํานา มีอาหารอุดมสมบูรณ๑ ฝนฟ้าไมํตก
สะดวกในการเดินทางไปมาหาสูํกนั พํอแมํเด็กเมือ่ ตกลงทจ่ี ะให๎บุตรของตนไปบวชเป็นสามเณรก็จะ
นาํ บตุ รและคนทจ่ี ะบวชไปฝากฝ๓งใหเ๎ จา๎ อาวาสอบรมสั่งสอน หัดให๎ทํองจาํ คาํ ขอบรรพชา คําให๎ศีล
ให๎พร กํอนจะจัดงานประมาณ 7-10 วัน จากน้ันก็จะเชิญผ๎ูที่จะรํวมในการจัดงานปอยสํางลอง
มาประชุมปรึกษาหารือกันวําใครจะรับเป็นเจ๎าภาพใหญํ “ตะกําโหลง”ซึ่งมักจะเป็นผ๎ูที่มีฐานะดี
หรือผู๎ท่ีได๎รับการยกยํองในหมูํบ๎านน้ัน จะจัดงานก่ีวัน คําใช๎จํายอื่น ๆ เชํน คําอาหารท่ีจะเล้ียง
ผูร๎ วํ มงาน คําเครือ่ งไทยธรรม คาํ ต๎นตะเปส่ าํ (ตน๎ กัลปพฤกษ๑) จาํ นวนพระภกิ ษุสงฆ๑ท่ีจะนิมนต๑มา
รับเคร่ืองไทยธรรม จํานวนแขกท่ีจะเชิญมารํวมงาน การยืมส่ิงของเคร่ืองใช๎ คํารางวัล “ตะแป
สํางลอง” (พี่เล้ียงสํางลอง) คําเจ๎ามื้อ (ผ๎ูรับผิดชอบในการปรุงอาหารเล้ียงผู๎รํวมงาน) ฯลฯ
เมือ่ ตกลงกันได๎แล๎วก็จะเชิญตะแปสํางลองมามอบหมายหน๎าท่ีการงานให๎รับผิดชอบเป็นองค๑ ๆ ไป
ตะแปสํางลองนั้นมีหน๎าที่ดูแลสํางลองตั้งแตํการอาบนํ้า ผัดหน๎าทาแป้ง เขียนคิ้ว เกล๎ามวยผม
แตํงองค๑ทรงเคร่ือง ดูแลในเรื่องอาหารการกิน และให๎สํางลองข่ีคอไปในที่ตําง ๆ ตั้งแตํวันแรกจน
วนั สดุ ทา๎ ยของงาน โดยเฉพาะวันสุดท๎ายจะต๎องคอยดูแลไมํให๎คลาดจากสายตาเพราะมักจะมีการ
แอบนําเอาสํางลองไปหลบซํอนไวไ๎ มใํ หบ๎ รรพชา เดือดร๎อนเจ๎าภาพจะต๎องนํา “อะซู” คือรางวัลไป
มอบให๎จงึ จะได๎สาํ งลองกลบั มาบรรพชาเป็นสามเณรตอํ ไป (สํานกั งานวัฒนธรรมจังหวดั แมํฮอํ งสอน
2549:218-219)

ประเพณีการเชิญแขกมารํวมงานปอยสํางลองในสมัยกํอน จะมีญาติพี่น๎องที่เป็นหนุํม ๆ

สาว ๆ บ๎านใกลเ๎ รือนเคียงเจ๎าภาพมาชํวยกันเชิญแขก แตํเดิมจะใช๎วิธี “ต๏กหํอเนํง” (เมี่ยง) คือนํา

เมย่ี งท่นี ิยมกินกันนํามาหํอด๎วยใบตองอยํางสวยงาม ให๎หนุํมสาวนํา “หํอเนํง” ไปมอบให๎เจ๎าของ

16

บา๎ นทจ่ี ะเชิญมารํวมงานโดยบอกรายละเอยี ดการจดั งานใหท๎ ราบวําใครเปน็ เจา๎ ภาพจดั งานปอยสําง
ลอง จํานวนกี่องค๑จะรับสํางลองวันไหน แหํโคหลํูวันไหน และทําพิธีบรรพชาวันไหน ฯลฯ ตํอมา
ภายหลังได๎เปล่ียนไปใช๎เทียนไขแทนเรียกวํา “ต๏กเต็น” (บอกเทียน) การให๎หนุํมสาวไปบอกเทียน
หรือ ต๏กเต็นน้ันเป็นกุศโลบายอยํางหนึ่งคือ เป็นการเปิดโอกาสให๎หนํุมสาวได๎ใกล๎ชิดสนิทสนมกัน
อีกประการหนงึ่ การบอกบุญในตาํ งหมูํบา๎ นที่อยหูํ ํางไกลออกไปหนํุมสาวจงึ เหมาะสมที่จะทําหน๎าที่น้ี
สํวนการนิมนต๑พระภิกษุสงฆ๑เป็นหน๎าท่ีของผู๎สูงอายุโดยผู๎สูงอายุจะนํากระสวยดอกไม๎ธูปเทียนไป
นิมนต๑พระตามวัดทศี่ รทั ธา

ข้นั ตอนในการจัดงาน มีขนั้ ตอนโดยสรปุ ดงั น้ี
ขั้นเตรียมงาน กํอนถึงวันพิธีประมาณครึ่งเดือนถึง 3 เดือน ข้ึนอยํูกับปริมาณ

งานท่จี ะจัด ถ๎าเปน็ งานใหญํบวชหลายรูป ต๎องเตรียมงานนาน หากบวชรูปเดียวใช๎เวลาเตรียม
งานเพียง 7-15 วนั ก็พอ งานที่จะจดั เตรยี ม ประกอบด๎วย

1) เตรียมข๎าวแตก หรือข๎าวตอก คือนําข๎าวเปลือกเหนียวมาคั่วในหม๎อดินให๎แตก
เปน็ ชอํ คลา๎ ย ๆ ข๎าวโพดคั่ว เพื่อใช๎เป็นเครื่องสักการะในพิธีบรรพชาอุปสมบท และนําไปคลุกกับ
นาํ้ ออ๎ ยเชอ่ื มป๓้นเปน็ ก๎อนโต กวําลูกเทนนิสนิดหนํอย เรียกวํา “ข๎าวแตกป๓้น” และทํา “ข๎าวพอง
ตํอ” คือนําแป้งมาคลุกเคล๎ากันนวดทําเป็นแผํน ๆ ตัดให๎กว๎างยาวประมาณน้ิวคูณน้ิว นําไปตาก
แห๎งแลว๎ นํามาทอดและฉาบน้ําอ๎อยสําหรับเป็นของหวานและไทยธรรม วิธีจัดเตรียมข๎าวแตกป้๓น
เจ๎าภาพจะเตรียมอุปกรณ๑ตําง ๆ ไว๎ให๎ครบ แล๎วเชิญสาว ๆ หรือเพ่ือนบ๎านใกล๎เคียง มาชํวยกันคั่ว
ข๎าวแตกในเวลากลางคืนหลังจากเลิกประกอบอาชีพประจําวันแล๎ว สาว ๆ จะมาชํวยคั่วข๎าว
แตกเป็นกลุํม ๆ พวกหนํุม ๆ ก็จะมาจีบสาวและชํวยงานค่ัวข๎าวแตกไปด๎วย โดยเฉพาะงานหนัก
หรอื เส่ยี งภยั เชํน แบกขา๎ วสาร แบกฟืน ยกภาชนะร๎อน ๆ ลงจากเตา ฯลฯ จะจัดทําอยํางนี้ทุก
คืนหรือตามโอกาสไปเรอื่ ย ๆ จนกวาํ จะได๎ปริมาณข๎าวแตกเพียงพอท่ีจะใช๎ในงาน แตํละคืนจะค่ัว
ไปจนถงึ ประมาณ 22.00-23.00 น.

2) เตรียมบหุ ร่ี บุหร่มี ี 2 ชนิด คือ ยาฉุนกับขี้โย ยาฉุนมวนจากยาสูบพ้ืนเมือง
ด๎วยใบตองกล๎วยอบแห๎ง หรอื ใยกาบต๎นหมาก ขนาดเสน๎ ผาํ ศนู ยก๑ ลางประมาณ 1 เซนติเมตรยาว
6 เซนตเิ มตร สวํ นบุหรี่ขี้โยมวนจากยาฉนุ ผสมไม๎ไคร๎สบั หรอื เปลอื กฝก๓ มะขามคลกุ นํ้าอ๎อยและนํ้า
มะขามเปยี กตากแห๎ง เป็นบุหรี่รสจืดสําหรับผ๎ูหญิงสูบ เมื่อมวนเสร็จแล๎ว จะมีขนาดยาวประมาณ
15 ซม. ด๎านปลายทีจ่ ดุ ไฟจะสอบแหลมขนาดเส๎นผาํ ศูนยก๑ ลาง 1 เซนตเิ มตรด๎านโคนสําหรบั สบู มี
ขนาดเสน๎ ผําศูนยก๑ ลาง 1.5 เซนตเิ มตรด๎านโคนนี้จะกรองด๎วยเส๎นใยจากกาบมะพร๎าวหรือเปลือก

17

ขา๎ วโพดพันดว๎ ยกระดาษสีกว๎าง 1 ซม. จะต๎องเตรียมมวนบุหร่ีไว๎เป็นจํานวนพัน ๆ มวน เพ่ือใช๎ใน
การต๎อนรับแขกที่มารํวมงาน และเป็นเครื่องไทยธรรม วิธีเตรียมทําเชํนน้ี ทําเชํนเดียวกับการ
เตรยี มขา๎ วแตก ปจ๓ จบุ ันภาระการเตรียมบหุ ร่ีจะน๎อยลงเพราะมีบหุ ร่ีของโรงงานยาสูบจาํ หนําย แตํ
บางหมบํู า๎ นก็ยังจัดเตรียมกันอยูํ เพราะบหุ ร่ีของโรงงานยาสบู มีราคาแพง

3) เคร่ืองไทยธรรมและอัฐบริขาร เม่ือใกล๎ถึงกําหนดเวลาพิธีประมาณ 7 วัน มี
การเตรียมตกแตงํ เครื่องไทยธรรมและอัฐบริขาร เชํน ทําตน๎ โปก๊ ขา๎ วแตก โดยนาํ ข๎าวแตกมาหํอด๎วย
กระดาษสาผูกติดกับธงสามเหล่ียมเป็นชํอ ๆ แล๎วนําไปผูกไขว๎เป็นคํู ๆ ติดกับลําไม๎ไผํ หรือไม๎รวก
ยาวประมาณ 5-6 เมตร หํอข๎าวแตกน้ีจะนํามาแจกผ๎ูเข๎ารํวมพิธีในวันสุดท๎าย เพื่อใช๎เป็นเคร่ือง
สักการะตํางดอกไม๎ ธูปเทียนสําหรับอัฐบริขาร เชํน บาตร จีวร เส่ือ หมอน ผ๎าหํม จาน ช๎อน
เครอื่ งกรองน้าํ มีดโกน ฯลฯ นํามาตกแตํงด๎วยไหมพรมถกั ตารางส่ีเหล่ยี มเล็ก ๆเป็นผืนห๎ุมอุปกรณ๑
เหลาํ นั้น นําไปผกู ติดกับไม๎คานยาวประมาณ 3 เมตร เพ่ือสะดวกในการให๎คนหามนําเข๎าขบวนแหํ
ในวันพิธีแหํเครื่องไทยธรรม

4) เตรยี มสถานที่ ย่งิ เป็นงานใหญํก็ยง่ิ ต๎องมสี ถานทม่ี าก เชํน ท่ีพักอลอง บริเวณ
วัดที่ใช๎เป็นสถานทีร่ บั แขก สถานท่ีรับประทานอาหาร โรงครัว เปน็ ตน๎ บางครง้ั ต๎องสรา๎ งปะรําขน้ึ
อีกตํางหากจากอาคารท่ีมีอยูํ ปะรําเหลําน้ีเป็นปะรําชั่วคราวทําด๎วยโครงไม๎ไผํ มุงใบตองตึง
(พลวง)

5) อุปกรณ๑อื่นๆ เจ๎าภาพจะต๎องเตรียมเคร่ืองใช๎และวัสดุตําง ๆ เชํน ข๎าวสาร
อาหารแหง๎ เครือ่ งครัว หม๎อ เตา จาน ถาด ช๎อน ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีเคร่ืองทองของอลองที่
จะตอ๎ งจัดหายืมหรอื ตัดเย็บข้ึนใหมํ รวมไปถงึ เคร่อื งประดบั ตกแตํง เชนํ สร๎อย แหวน ชฎา ฯลฯ

6)การต๎อนรับแขก ชาวไทใหญํมีนา้ํ ใจโอบอ๎อมอารยี นิ ดตี อ๎ นรับผม๎ู าเยือนเมอ่ื มแี ขก
มาถึงบ๎านก็ต๎อนรบั ขับส๎ูอยาํ งเตม็ ที่ทั้งหมากเมย่ี ง บุหรี่ ข๎าวปลาอาหารคาวหวาน ทีห่ ลับท่นี อน บาง
ทีแขกที่มารํวมงานก็อาจนําส่ิงของท่ีใช๎ปรุงอาหารหรือเงินหรือส่ิงของอ่ืน ๆ มารํวมทําบุญกับ
เจา๎ ภาพ เจ๎าภาพก็จะนําของดงั กลาํ วมาตอ๎ นรบั ทุกคนไป ชวํ งกอํ นวันงาน 2-3วัน ผค๎ู นจะเริม่ ทยอย
มาชํวยกันทํางานที่บ๎านเจ๎าภาพ จัดเตรียมสถานท่ีหุงหาอาหารที่หลับท่ีนอนของสํางลอง ทําต๎น
ตะเป่สํา ปุ๊กข๎าวแตก ตกแตํงเครื่องไทยธรรมและอัฐบริขาร ตกตอนกลางคืนในสมัยกํอนไมํมี
ไฟฟา้ ใชบ๎ ๎านเจา๎ ภาพจะมีตะเกียงเจ๎าพายุจุดให๎ความสวาํ ง มีการตี “กลองมองเซิง” ซ่งึ มีกลองใหญํ
1 ใบ ฆ๎องมีหลายขนาดตั้งแตํขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญํ 5-6 ใบแขวนหรือผูกห๎อยกับเพดาน
มฉี าบใหญํ 1 คํู ในตอนดึกจะมีการ “เฮ็ดกวาม” (การร๎องเพลงไทใหญํ) สรรเสริญเจ๎าภาพที่ได๎
จดั งานบญุ กุศล และเก้ียวพาราสีกันบ๎างสลับกันตลอดทั้งคืน กํอนจะถึงกําหนดงานหน่ึงวัน พํอ

18

แมํเด็กหรือเจ๎าภาพก็จะนาํ เดก็ ที่จะเปน็ สาํ งลองไป โกนผมที่วดั พํอแมขํ องเดก็ หรอื พระผใ๎ู หญํตัดให๎
กํอนแลว๎ จงึ ให๎ชํางหรือพระเณรโกนให๎ เสร็จแล๎วนําไปอาบนาํ้ เงิน นา้ํ ทอง นํ้าขม้ิน ส๎มป่อย เพ่ือ
เป็นสิรมิ งคล แลว๎ ปะแป้งผดั หน๎า นงํุ ขาวหํมขาวรบั ศลี 5 จากพระสงฆ๑ แล๎วจงึ กลับมานอนที่บา๎ น
หรอื บางทีกน็ อนท่ีวัดนน้ั เลย

ข้ันเป็นลองหรือ อลอง เป็นชํวงสมมติวํามีฐานะเป็นกษัตริย๑เชํนเดียวกับตอนท่ี
เจ๎าชายสทิ ธัตถะดาํ รงฐานะกํอนออกผนวช มีขนั้ ตอนดงั นี้

1) วันรับสํางลอง ก็คือวันแรกเริ่มงานนั่นเองสํวนมากจะเริ่มต้ังแตํตอนเช๎ามืด
ประมาณ 1 นาฬิกา จะให๎ผ๎ูท่ีจะบวชสํางลองทําการอาบนํ้าเงิน นํ้าทอง ได๎แกํน้ําแชํเงิน ทอง
และเคร่ืองหอม หรอื มะกรูด ส๎มป่อย ฯลฯ เสร็จแล๎วพากันไปวัดเพ่ือสมาทานเบญจศีล หลังจาก
รบั ศีลแล๎ว บรวิ าร (ตะแปสาํ งลองท่เี ป็นคนแตํงตวั ) ของสาํ งลองจะแตํงหน๎าและแตํงเคร่ืองทรงให๎
ใหมํ การแตํงกายชุดสํางลองจะแตํงกายคล๎ายเจ๎าชายไทใหญํ โดยจะสวมกางเกงขาส้ันสีขาว

19

และเสื้อกล๎ามข๎างใน ภายนอกจะนํุงโจงกระเบนสีสด ปลํอยชายด๎านหลังยาวจับกลีบ คาดด๎วย
เข็มขัดเงินหรือนาค สวมเส้ือแขนกระบอกชายโค๎งงอน เส้ือป๓กฉลุลวดลายดอกไม๎สีตําง ๆ สีเส้ือ
และโจงกระเบนจะใกลเ๎ คยี งกนั หรืออยูใํ นโทนสีเดียวกัน ทไี่ หลทํ ้งั สองข๎างจะตดิ โบว๑กลม ๆ มีชาย
ห๎อยลงมา 3-5 เส๎น และสวม “แค็บคอ” (แผนํ ทองคํากลมมีลวดลายดุน) ผูกร๎อยด๎วยเชือกด๎ายสี
แดงเป็นแผง ๆ ละประมาณ 5-6 แผํน เรียงตามแผงอกคล๎ายกับเคร่ืองราชอิสริยาภรณ๑
สวํ นที่แปลกและสวยงามเปน็ พิเศษของสํางลองคือสํวนศีรษะซึ่งจะใช๎ผ๎าแพรโพก มีเกล๎ามวยเสียบ
แซมด๎วยดอกไม๎ เชํน ดอกเอ้ืองคํา (เอื้องผ้ึง) หรือดอกไม๎อ่ืน แตํป๓จจุบันหันมาใช๎ดอกไม๎ท่ีทําจาก
ผ๎าหรือกระดาษแทน เพราะดูแลงําย ทนทานไมํเหี่ยวเฉา และเก็บไว๎ใช๎ได๎นาน ๆ สํางลองบาง
หมํูบ๎านหรือบางอําเภอที่มีความเชื่อวําขุนสาง (พระพรหม)ลงมามอบ “ปานกุม” (ชฎา) และ “ลอ
แป” (สร๎อยสงั วาลย๑) ใหอ๎ ลอง ตามความเชื่อในวรรณกรรมไตเร่ือง “อําหนั่นตําตองป่าน” ก็จะใช๎
“ปานกุม” และ “ลอแป” ในวันท่ีรับสํางลองและในวันที่จะนําสํางลองไปบรรพชา แตํในป๓จจุบัน
เปลี่ยนไปแล๎ว เนื่องจากชาวไทใหญํในแมํฮํองสอนมีความเห็นวํามีแตํพมําเทําน้ันท่ีใช๎ ปานกุม
และลอแป สวํ นใหญกํ ็จะไมํใช๎กนั แลว๎ อาจจะเป็นเพราะหาชํางท่ีทําปานกุมและลอแปยากน่ันเอง
รวมท้ังเป็นเรื่องที่ยุํงยากในการจัดหาอุปกรณ๑เหลําน้ี แตํก็ไมํได๎ห๎ามหากพื้นที่ใดจะใช๎ปานกุม
และลอแป

การแตงํ หน๎าสาํ งลอง จะแตํงหน๎าเข๎มทาปากสีแดงและเขียนคิ้ว เมอื่ แตงํ ตัวเสร็จจะ
สวมถงุ เท๎าสขี าว ตะแปผ๎ูแตํงตัวสํางลอํ งจะตรวจดคู วามเรียบร๎อยจนพอใจ จงึ นําสาํ งลองไปรอรับ
ศีลจากพระสงฆ๑ เมื่อแตํงตัวเสร็จแล๎วถือวําเป็น อลองเต็มตัว การปฏิบัติตํออลองในชํวงตํอไปนี้จะ
สมมติเสมือนการปฏิบัติตํอกษัตริย๑ อลองจะไมํมีโอกาสเหยียบดินจนกวําจะถึงวันบรรพชาเป็น
สามเณร เม่ือสํางลองทุกองค๑แตํงตัวเสร็จพร๎อมกันหมดแล๎วตัวแทนสํางลองจะกลําวนําขอศีลจาก
พระสงฆ๑ พระสงฆ๑ก็จะใหศ๎ ลี ให๎พรและอบรมสัง่ สอนในการวางตัวให๎เหมาะสมกบั การเป็นสํางลอง
จากน้นั ก็จะมีการ “กั่นตอพระสงฆ๑” (ขอขมาพระสงฆ๑) เป็นอันเสร็จพิธี หลังจากเสร็จพิธีรับสําง
ลองแล๎ว “ตะแปสํางลอง” จะให๎สํางลองขี่คอลงมาจากวัดแล๎วฟ้อนรําบริเวณหน๎าวัดเป็นการเฉลิม
ฉลองต๎อนรับสํางลองจากน้ันจะแหํรอบวัดสามรอบ บรรดาพํอแมํของสํางลองและเหลําญาติจะ
โปรยข๎าวตอกดอกไม๎เป็น การอนุโมทนาสาธุเป็นภาพที่นําประทับใจมาก ในอดีตจะมีการยิงปืน
แก๏บทบี่ รรจุเฉพาะดนิ ปนื เสียงดังสน่ันหวั่นไหวเพ่ือเป็นการบอกวํา บัดน้ีพิธีการรับสํางลองได๎เสร็จ
แล๎ว และอีกอยาํ งเชอ่ื วาํ เปน็ การปอ้ งกันไมํให๎ภูติผีปีศาจและเหลํามารร๎ายตําง ๆ มารบกวนทําลาย

20

พิธีการ ป๓จจุบันทางราชการได๎ห๎ามปราม เน่ืองจากเคยเกิดอุบัติเหตุปืนแตกทําให๎ผู๎ยิงปืนได๎รับ
บาดเจ็บ

หลังจากฟ้อนรําฉลองการต๎อนรับสํางลองจนเป็นท่ีนําพอใจแล๎ว คณะสํางลองจะ
เคลื่อนขบวนไปยังศาลเจ๎าพํอหลักเมืองหรือศาลเจ๎าประจําหมํูบ๎านและแหํรอบศาลเจ๎าเมืองสาม
รอบ ในขณะท่ีแหํสํางลอง ตะแปสํางลองจะเต๎นตามไปด๎วย สํางลองก็จะโยกตัวตามจังหวะเป็น
ภาพทส่ี วยงามยง่ิ และท่ีสวยงามอีกอยํางหนึ่งในขบวนแหํสํางลองก็คือ “ทีคํา” (รํมทองคํา) ท่ีใช๎
กางบงั แดดใหส๎ าํ งลองจะมีเทํากับจาํ นวนของสํางลอง เม่ือไปถึงศาลเจ๎าจะมีการบอกกลําวให๎เจ๎า
พํอหลักเมืองเพื่อขอขมาลาโทษและขอความคุ๎มครองป้องกันอยําให๎มีภยันตรายใดใดมากลํ้าก ราย
ขอให๎ปลอดภยั รมํ เยน็ เป็นสขุ จากนน้ั จะฟ้อนราํ ถวายและเคลอื่ นขบวนไปกราบนมัสการเจ๎าอาวาส
วัดตําง ๆ ในหมํูบ๎าน หรือในหมํูบ๎านอ่ืนที่ใกล๎เคียงตํอไป จนใกล๎เวลาเท่ียงวันจึงนําสํางลองกลับ
เข๎าท่ีพักหรือบ๎านของสํางลองเพ่ือพักผํอนและรับประทานอาหารกลางวันจนถึงตอนบํายหลังจาก
พักผอํ นกนั อยํางเต็มอ่ิมแล๎ว คณะขบวนแหํสํางลองจะออกไปตามบ๎านญาติพ่ีน๎อง คนร๎ูจักหรือผู๎ท่ี
เคารพนบั ถือตํอไป

2) วนั เยยี่ มญาติ หลงั จากนมสั การเจ๎าอาวาสและสถานท่ีศักดสิ์ ทิ ธ์ิแลว๎ อลองก็จะไป
เยีย่ มตามบา๎ นญาติ เสมือนเป็นการประพาสตน๎ ของกษัตรยิ ๑ เจ๎าของบา๎ นทอี่ ลองไปเยยี่ มจะถอื วาํ เป็น
โชค เป็นเกียรติและเป็นบุญที่ได๎มีโอกาสต๎อนรับอลอง จะเตรียมอาหารวํางถวายอลองและเลี้ยง
บริวารด๎วยความเต็มใจ ญาติผู๎ใหญํจะผูกข๎อมืออวยพรให๎พรแกํสํางลอง การผูกข๎อมือสมัยกํอนใช๎
เหรียญรูปีผูกกับด๎ายสายสิญจน๑ซ่ึงป๓จจุบันหายากจึงใช๎ธนบัตรหรือเหรียญธรรมดาแทน (สํวนใหญํ
จะใชธ๎ นบัตรใบละ 20 บาท มว๎ นกลมผูกดา๎ ยสายสิญจน)๑ บ๎านใดที่สํางลองไปเยี่ยม เจา๎ ของบ๎าน
จะให๎การต๎อนรับเป็นอยํางดีถือวําเป็นเกียรติเป็นศรีและเป็นมงคลแกํบ๎านน้ัน เจ๎าของบ๎านจะ
เตรียมน้ําส๎มนํ้าหวานมาต๎อนรับและจะผูกข๎อมือสูํขวัญ พร๎อมกับมอบเงินให๎ตามแตํศรัทธาและ
ฐานะ เงนิ ท่ีได๎จากการผูกข๎อมอื สูํขวญั จะมตี ะแปทเี่ ปน็ หวั หนา๎ เกบ็ รักษาไวแ๎ ละจะนาํ ถวายเม่ือสําง
ลองได๎บรรพชาเป็นสามเณรแล๎ว การนําสํางลํองไปเย่ียมญาติจะดําเนินไปจนถึงเย็นจนได๎เวลา
พอสมควร จึงจะกลับไปพักผํอนและรับประทานอาหารเย็น ในวันแรกน้ี บ๎านเจ๎าภาพสํางลองทุก
บ๎านจะมีคนมาชํวยกันเตรียมอาหารไว๎บริการสํางลอง ตะแปสํางลอง และผู๎มารํวมงานทุกคน
ตลอดท้ังวัน แม๎กระท่ังกลางคืนก็จะมีผ๎ูคนมาเยี่ยมเจ๎าภาพ มารํวมทําบุญบ๎าง มารํวมงานจะมี
จาํ นวนมากมาย เจา๎ ภาพจะจดั เตรียมนํ้าด่ืม ขนมนมเนย หมากเมี่ยงบหุ ร่มี าเลย้ี งดูทุกคน และมี

กลองมองเซิงมาต้ังไว๎ให๎บรรเลงกันเป็นท่ีสนุกสนานเป็นชํวง ๆ ไป 21
กวาม” และบรรเลงกลองมองเซิงสลบั กนั จนถงึ รํงุ เช๎า
พอตกดึกก็จะมี “เฮ็ด

3) วนั แหํโคหลํู หรือวันขํามแขก คือ วันรับแขกน่ันเอง จะเป็นวันท่ีญาติพ่ีน๎อง
จากหมูบํ ๎านอ่นื มารํวมงานอยํางพร๎อมเพรียงกนั วนั นนี้ ับวําสําคัญยิ่งเพราะจะมีพิธีตําง ๆ 3 พิธี
คือ พิธีการแหํโคหลูํ(เครื่องไทยธรรม) การเลี้ยงอาหารสํางลองเต็มรูปแบบ( กับข๎าว 12 อยําง)
และทําพธิ ีเรียกขวัญสํางลอง วันนี้เจ๎าภาพจะต๎องเตรียมข๎าวปลาอาหารไว๎มากกวําปกติ ญาติที่มา
รํวมงานจะผกู ขอ๎ มืออวยพรให๎อลองชน่ื ชมบารมีของอลอง ชํวยงานและรํวมสนุกสนานตําง ๆ เป็น
การฉลองอลอง ตอนเช๎าจะมีผู๎คนจากทั่วทุกหมูํบ๎านแตํงกายกันอยํางสวยงามตํางมาชํวยกัน
จัดเตรียมเครื่องไทยธรรมและอัฐบริขารท่ีจะนําไปเข๎าขบวนแหํโคหลํู(ไทยธรรม) เคร่ืองไทยธรรม
ทุกชิ้นจะนํามาแหํพร๎อมกันในวันน้ีเสมือนหน่ึงเป็นการเลียบนครของอลองเป็นกิจกรรมแสดงถึง
ความหรหู ราและความพร๎อมเพรียงของงานปอยสํางลอง ในการแหํนั้นจะมีญาติและประชาชนเข๎า
รวํ มขบวนแหอํ ยาํ งเพรียงกนั โดยจะถือชวํ ยกนั แบก ชํวยกนั หาบหามอฐั บริขารเครือ่ งไทยธรรมทกุ ช้ิน
ทัง้ เล็กและใหญํ สําหรับขบวนแหปํ ระกอบดว๎ ย

ขบวนจะเริ่มด๎วยผ๎ูอาวุโสแตํงชุดขาว อุ๎มขันข๎าวตอกดอกไม๎ซ่ึงถือวําเป็นผ๎ูมีศีลธรรม
เปน็ ผู๎บริสทุ ธ์ิเดินนาํ หน๎าขบวน

(1) “จเี จ”ํ (กงั สดาลใหญํ) ตีเป็นระยะ ๆ เป็นการป่าวประกาศให๎ได๎ยินกันท่ัว ๆ ไป เม่ือ
ใครได๎ยินแล๎วให๎รํวมอนุโมทนาหรือเดินทางมารํวมทําบุญ รวมท้ังเป็นการบอกกลําวถึงเทวบุตร
เทวดา เทพาอารักษ๑ทั้งหลายใหไ๎ ดท๎ ราบถงึ การทําบญุ ใหญํของชมุ ชน

(2) “อุ๎บเจ๎าพารา” คือเคร่ืองสักการะพระพุทธ มีดอกไม๎ ธูปเทียน บรรจุอยูํใน
ภาชนะใชค๎ นแบกหาม จาํ นวน 2 คน เมือ่ ถึงวันทาํ บญุ จะนําไปถวายพระพทุ ธ

(3) ม๎าเจ๎าเมือง เป็นม๎าทรงของเจ๎าเมือง (เจ๎าพํอหลักเมือง) ที่จะต๎องอัญเชิญมารํวม
ในขบวนแหํโคหลํูในประเพณีปอยสํางลองทุกคร้ังเป็นการให๎เจ๎าเมืองท่ีเคารพของชุมชนรับทราบ
และชํวยปกป้องคุ๎มครองให๎งานดําเนินไปด๎วยความเรียบร๎อยปราศจากเหตุร๎ายท้ังปวง เป็นสํวน

22

สาํ คญั ของขบวน ม๎าเจา๎ เมอื งจะคดั ม๎าท่สี วยทส่ี ดุ สงํางามและเช่ือง นํามาตกแตํงด๎วยดอกไม๎ ปู
ด๎วยผา๎ หรอื ใสอํ าน แล๎วไปอญั เชิญเจา๎ พอํ หลกั เมอื งหรือศาลเจ๎าประจําหมูบํ า๎ นมาประทบั ถือวําจะ
นําความรํมเยน็ มาสํูการจัดงาน

(4 ) ต๎นตะเป่สํา (ต๎นกัลปพฤกษ๑) การถวายต๎นตะเป่สํา มุํงให๎เกิดในสวรรค๑ มีต๎น
กัลปพฤกษ๑บันดาลส่ิงท่ีปรารถนาได๎ทุกอยาํ ง มี 2 ประเภท คือ

- ต๎นตะเป่สําพระพุทธ คล๎ายจองพารา โครงสร๎างทําด๎วยไม๎ไผํกรุกระดาษสาตกแตํง
ลวดลายสวยงามมาก ต๎นเล็กหรือใหญํแล๎วแตํฐานะเจ๎าภาพจัดเป็นสํวนที่เดํนที่สุดในขบวน ใช๎
สาํ หรับถวายพระพทุ ธเจา๎

- ต๎นตะเป่สําถวายวัด คล๎ายต๎นตะเป่สําพระพุทธตํางกันตรงเครื่องห๎อยซ่ึงเป็นเคร่ืองใช๎
สําหรบั วัด เชํน ถ๎วยชาม จาน แกว๎ น้ํา หม๎อ ฯลฯ ตามแตํศรทั ธาเพือ่ นําไปถวายวดั

(5) ขบวนโคหลูํนาํ เคร่ืองอฐั บริขารทใ่ี ช๎ในการบรรพชาและเครอ่ื งไทยธรรมทุกชิน้ มาเข๎า
ขบวนแหํให๎ยง่ิ ใหญํและสวยงาม คอื

- โป๊กข๎าวแตก คอื หํอขา๎ วตอกดว๎ ยกระดาษสา ผูกตดิ กบั ธงสามเหลีย่ มที่เรียกวาํ “จ๏าก
จํา” ใช๎แทนดอกไม๎สําหรับแจกให๎ผ๎ูไปรํวมงานบรรพชาไหว๎พระ โป๊กข๎าวแตกจะขาดไมํได๎และ
จะต๎องมีจํานวนเทํากับสํางลอง (“จ๏ากจํา” หมายถึงลิ้นแมํกาเผือกจากหนังสือธรรมะกลําววํา กา
เผอื กเป็นแมํของพระพุทธเจา๎ 5 องค๑ เม่อื คร้ังเสวยชาติเป็นแมกํ า)

- เทียนเงิน เทียนทอง คือธูปเทียนแพ เป็นเครื่องบูชาสํางลองสําหรับถวายแดํพระ
อปุ ช๓ ญาย๑)

- พํมุ เงนิ พุํมทอง สาํ หรบั สํางลองถวายพระพทุ ธและประดับขบวน
- กนุ ตํอง ปานตํอง คอื กรวยหมากพลูและกรวยดอกไม๎
- หมอ๎ นํ้าตาํ คอื หม๎อดินหอํ ผ๎าขาวใสํใบไม๎ 9 ชนดิ จดั ไว๎เพอื่ ความรํมเยน็ และเปน็
สิริมงคล ไดแ๎ กํ ใบสะเป่ (หว๎า) เหนํจํา (หญ๎าแพรก) กา๏ ด (ตน๎ ไม๎ชนิดหนึ่งคล๎ายพริกไทย กินได๎)
ยอดหมากกํา (ยอดฝรั่ง) ใบ๐ก้ํากํอ (ใบบุญนาค) ยอดผักกุํม ยอดปานแข ยอดถั่วแห๎ะ (ยอดถ่ัว
แระ) และไม๎กาง (คล๎ายต๎นหางนกยูง)
(7) ขบวนกลองมองเซิงใช๎บรรเลงประกอบขบวนทําให๎เกิดความไพเราะร่ืนเริงในขบวน
แหํโคหลํู สํวนใหญํจะมีแตํคนแกํเทําน้ันที่ตีกลองมองเซิงได๎ อาจมีดนตรีพื้นบ๎าน เชํน ซึง ป่ิงโจํ
ตอยอฮอรน๑ คอยขับกลอํ มในขบวน
(8) เคร่อื งไทยธรรมท่ีเปน็ ปจ๓ จยั ถวายพระสงฆท๑ น่ี ิมนต๑มาในงานตกแตํงดว๎ ยดอกไมจ๎ ัดไว๎
อยาํ งสวยงามโดยมากหญิงสาวจะเป็นผู๎ถือ อัฐบริขารท่ีเป็นเครื่องใช๎สามเณร ประกอบด๎วยสําง
กาน (จีวร) เคร่อื งนอนและเครอ่ื งใชอ๎ ืน่ ๆ ของสามเณร
(9) ขบวนสาํ งลอง เป็นกลมุํ ซ่ึงจะอยํูเกือบท๎ายขบวน วันนี้ท้ังสํางลองตะแปสํางลอง
และผ๎ูถือทีคําจะแตํงกายสวยงามเป็นพิเศษ ขณะขบวนเคล่ือนท่ีไปก็จะฟ้อนรําไปด๎วยตามจังหวะ

23

กลองกน๎ ยาว หากปีใดมีการบวชสํางลองเป็นจํานวนมาก จํานวนชุดกลองก๎นยาวก็จะมีมากตาม
ไปด๎วยบางทีมีถึง 5-7 ชุด ทําให๎เกิดความสนุกสนานครึกครื้นมากยิ่งข้ึน ขบวนแหํสํางลองเป็น
เสมือน การแสดงแสนยานุภาพของกษัตริย๑ มีบริวารแหํแหนรายรอบเป็นขบวนยาวมีการฟ้อนรํา
เข๎ากับจังหวะดนตรี กลองก๎นยาว บริวารสํางลองประกอบด๎วย ผ๎ูท่ีท่ีให๎สํางลองข่ีคอมี 2-3 คน
สับเปล่ียนกัน ผู๎ท่ีทําหน๎าที่กางทีคํา (รํมใหญํปิดทอง) ผู๎ที่ทําหน๎าท่ีถือพานหมาก ผู๎ทําหน๎าที่ถือ
นาํ้ เตา๎ (ป๓จจบุ นั ไมํใช๎แล๎วเพราะสิ้นเปลอื งแรงงานมาก) และคณะดนตรชี ดุ กลองก๎นยาว

(10) ทา๎ ยขบวนแหโํ คหลํู เปน็ คณะโบกไพ (บ๎องไฟ) ซึ่งจะนําไปจุดในวันสุดท๎ายของ
งาน

ขบวนแหโํ คหลํูงานปอยสาํ งลองถอื วําเป็นขบวนแหทํ ี่ยง่ิ ใหญํและสวยงาม เป็นขบวนแหํท่ีมี
ผคู๎ นมารวํ มกันมากยงิ่ กวํางานประเพณีใด ๆ ในจงั หวัด ขบวนแหํจะออกจากจุดตั้งต๎นไปตามถนนท่ี
สําคัญ ระหวํางทางจะมีผ๎ูสูงอายุถือ “อ๎ุบ” ออกมาโปรยข๎าวตอกดอกไม๎เป็นการอนุโมทนาสาธุใน
การทําบญุ เมื่อแหขํ บวนรอบหมบํู ๎านแล๎วขบวนแหํจะไปส้ินสุดที่วัด จะมีผ๎ูคนออกมาต๎อนรับ
มีนาํ้ ดื่มมาคอยบริการ บ๎างก็มารอโปรยข๎าวตอกดอกไม๎ ขบวนแหํจะเวียนรอบวัด 3 รอบ แล๎ว
นําโคหลํูขึ้นไปจัดไว๎บนวัด เลี้ยงอาหารกลางวันและพักจนหายเหนื่อยแล๎วก็แยกย๎ายกันกลับบ๎าน
หากยังไมํทาํ พธิ ีบรรพชาอุปสมบทในวนั นี้ กจิ กรรมตํอเนอ่ื งท่วี ัดจะมีการถํอมลีก คือ การฟ๓งธรรม
จะมผี มู๎ ีความรูด๎ ๎านหนังสอื ไทใหญํเป็นผูอ๎ ํานซ่งึ จะนง่ั บนอาสนะที่จัดให๎บริเวณข๎างหน๎าพระประธาน
ในวหิ ารศาลาการเปรยี ญ ผ๎ฟู ง๓ จะนัง่ เป็นแถวถดั ออกมา หนงั สือทใี่ ชอ๎ าํ นเป็นสมุดขอํ ยขนาดใหญํซงึ่
เขียนเป็นภาษาไทใหญํ เนื้อหาเกี่ยวกับชาดกในทางพุทธศาสนา สํวนอลองนั้นบริวารจะนําไป
เยีย่ มตามบ๎านญาตทิ ีย่ ังเหลือหรือพกั ผอํ นตามอธั ยาศัย สาํ หรับกจิ กรรมในตอนเย็นทีบ่ ๎านเจ๎าภาพ
จะมผี ค๎ู นมาเยยี่ มเจ๎าภาพมากมาย เจ๎าภาพจะเตรียมตอ๎ นรบั ผท๎ู ีจ่ ะนําปจ๓ จัยมารํวมทําบญุ เตรยี ม
ต๎อนรับคณะโบกไพ (บ๎องไฟ)ท่ีจะนําโบกไพแหํมาที่บ๎านเจ๎าภาพ เพื่อบอกกลําวกับเจ๎าภาพและให๎
เจ๎าภาพได๎ชมโบกไพทีจ่ ะนําไปจุดในวนั รงํุ ข้ึน จะมีการตกลงกันวําหากโบกไพจุดแล๎วขึ้นสํูท๎องฟ้า
กจ็ ะมารับ “อะซู” (รางวลั ) หากไมขํ ึน้ หรอื เกิดระเบดิ กย็ นิ ดใี ห๎เจ๎าภาพทาหนา๎ ด๎วยดินหมอ๎ การนํา
โบกไพมารํวมงานถือวําเป็นการให๎เกียรติเจ๎าภาพ และทําให๎งานครึกครื้นและเป็นการจุดฉลองงาน
ไปดว๎ ย

สําหรบั สํางลองหลังจากไปรวํ มขบวนแหํโคหลูํก็จะกลับมารับประทานอาหารกลางวันและ
พักผํอนจากน้นั ตะแปสํางลองจะนําออกไปเย่ียมตามบ๎านที่ยังไมํได๎ไปเย่ียมจนกระทั่งเย็น จึงจะนํา
สํางลองกลับมายังบ๎าน อาบน้ําอาบทําแตํงชุดสํางลองเพื่อที่จะรอเวลาทําขวัญและรับประทาน
อาหารเต็มรปู แบบตอํ ไป สวํ นการเลยี้ งอาหารนนั้ ผ๎รู ูบ๎ างทาํ นกลําววาํ ในอดีตมกี ารจดั เลี้ยงอาหารไว๎

24

ถึง 32 อยํางดว๎ ยกนั สวํ นเหตุผลทตี่ อ๎ งเลย้ี งอาหารสํางลองถงึ 32 อยาํ งนน้ั ก็เพราะต๎องการให๎
สํางลองเสวยสุขในโลกปุถุชน(คนธรรมดา)กํอนจะไปเสวยสุขในโลกของบรรพชิต แตํในป๓จจุบันมี
การเลีย้ งอาหารสํางลองเพยี ง 12 อยํางเทํานัน้ สถานที่ทจ่ี ะเลย้ี งอาหารสํางลองเต็มรูปแบบจะจัด
ไว๎ท่ีบา๎ นเจ๎าภาพใหญํ หากสํางลองมจี าํ นวนมากจะจดั ที่วัด ในวันนี้พํอแมํของสํางลอง ญาติทั้งฝ่าย
พํอและแมํจะรวมตวั มารวํ มงานกนั อยํางพรอ๎ มหนา๎ พรอ๎ มตา เมอื่ ถงึ เวลาพอํ แมสํ ํางลองจะยกสาํ รับ
อาหาร 12 อยาํ งมาให๎สํางลองรับประทานพรอ๎ มทัง้ ปอ้ นอาหารใหส๎ ํางลองและคอยดูแลเอาอกเอา
ใจ สําหรับสาํ งลองทไ่ี มํมีพํอแมํปอ้ นอาหารใหก๎ ็จะมีพอํ ขํามแมํขํามเปน็ ผ๎ปู อ้ นอาหารแทน หลังจาก
ท่ีรับประทานอาหารทั้ง 12 อยาํ งจนอ่มิ หนาํ สําราญแล๎ว จะมีพิธีทําขวัญสํางลองซ่ึงก็คล๎ายการทํา
ขวัญนาคคือพิธีเรียกขวัญ และผูกข๎อมือให๎ศีลให๎พรแกํสํางลอง พิธีเรียกขวัญสํางลองที่บ๎าน
เจ๎าภาพใหญํจะเร่ิมตั้งแตํ 6 โมงเย็นเป็นต๎นไป สํางลองและพํอแมํหรือพํอขามแมํขามจะไปรวมตัว
กันที่บ๎านเจ๎าภาพใหญํเพ่ือเข๎าสูํพิธีเรียกขวัญ ในอดีตหมอสูํขวัญเป็นหมอพ้ืนบ๎านชาวไทใหญํเรียก
ขวญั แบบพิธีของชาวไต

ที่บา๎ นเจ๎าภาพและที่วัดในคืนน้ี เจ๎ามื้อ (พํอครัวผู๎ประกอบอาหาร) จะต๎องทํางานหนักมาก
เน่ืองจากวันตํอไปจะเป็นวันบรรพชาสามเณรจะต๎องเล้ียงอาหารทั้งพระสงฆ๑สามเณรทั้งในวัดท่ีจะ
บรรพชาและท่นี มิ นต๑มารํวมพิธีบรรพชา ตลอดจนผู๎คนท่ีมารํวมงานท้ังหมดซึ่งจะมีเป็นจํานวนมาก
การเตรียมอาหารจะแยกกันทํา อาหารสําหรับพระสงฆ๑สามเณรจะจัดทําเป็นพิเศษซ่ึงจะมีหลาย
อยาํ งทง้ั อาหารคาวหวาน การเตรียมอาหารต๎องใช๎คนจํานวนมาก เพื่อเป็นการผํอนคลายความ
เหนด็ เหนือ่ ยและให๎กําลังใจแกํเจ๎ามื้อเจ๎าภาพจะเตรียมกลองมองเซิงไว๎ให๎เจ๎าม้ือด๎วย หากใครวําง
จากงานก็จะมารํวมกันบรรเลงเป็นท่ีครื้นเครงจนสวํางกิจกรรมการบันเทิงจะมีการบรรเลงเครื่อง
ดนตรี คือกลองมองเซิง เป็นเครื่องดนตรีมีอุปกรณ๑มากกวํากลองก๎นยาว และนิยมจัดไว๎ให๎
บรรเลงกันท่ีบ๎านเจ๎าภาพและรํวมขบวนแหํเครื่องไทยธรรม ประกอบด๎วย กลอง 2 หน๎า ขนาด
ใหญํกวํากลองก๎นยาว ฆ๎องใหญํขนาดเสน๎ ผาํ ศนู ย๑กลาง ประมาณ 60 เซนติเมตร ฆ๎องขนาดกลาง
ฆ๎องขนาดเล็กประมาณ 3-5 ใบ และ ฉาบใหญํ 1 คํู

ตอนกลางคืนจะมีการโต๎กลอนสด หรือรํายกลอนสดกัน ภาษาถ่ินเรียกวํา “เฮ็ดกวาม” คํา
วาํ “เฮด็ ” แปลวํา ร๎อง“กวาม” แปลวํา เพลง รวมแล๎ว แปลวํา การร๎องเพลงไตด๎วยทํานองตํางๆ
ตอนหัวคาํ่ จะเปน็ การขบั กลอนราํ ยชมเครื่องไทยธรรม สรรเสริญเจ๎าภาพ ยกยอํ งเชิดชู อลอง มักจะ
ดาํ เนินการโดยศลิ ปินอาวโุ สหรอื ผูม๎ ีประสบการณม๑ าก ตกดึกจะเปน็ การโตค๎ ารมกนั ด๎วยเชิงกลอน
หรือรํายสด ระหวํางหญิง – ชาย การโต๎คารมน้ีจะมีระหวํางงานทุกคืนไมํเฉพาะแตํวันรับแขก
เทําน้ัน จะโต๎กันจนสวํางหรือจนกวําจะเหน็ดเหนื่อยเลิกรากันไปเองทํานองกลอนหรือรํายเป็น

25

ทํานองเพลงไทใหญํ มีหลายทํานอง เชํน “ลํองคง” เป็นทํานองช๎า จังหวะหวาน ใช๎สรรเสริญยก
ยํองหรือเกยี้ วพาราสกี นั

4)วันขํามสําง วันน้ีเรียกกันวําวันขํามสําง เป็นวันที่จะนําสํางลองไปบรรพชาเป็นสามเณร
หากในการจัดงานมี “จางลอง” คือผู๎ที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุอยูํด๎วย ก็จะทําการอุปสมบท
ตั้งแตํเช๎าตรูํ เรียกกันวํา “ญาบจาง” การญาบจางหรืออุปสมบทจะเร่ิมราว ๆ 04.00 – 05.00
นาฬิกา ตะแปจางลองจะแตํงตัวจางลองและนําจางลองข่ีม๎าแหํไปวัด โดยตี “จีเจํ” (กังสดาล)
นําขบวน และอาจมีดนตรีพ้ืนบ๎านหรือกลองก๎นยาวรํวมขบวนไปด๎วย เมื่อถึงวัดก็จะเวียนรอบ
โบสถ๑ 3 รอบ แล๎วทาํ พิธอี ุปสมบทในโบสถ๑ หากวัดใดไมํมโี บสถ๑เจ๎าภาพก็จะรํวมกบั ทางวัดจัดทํา
“สิ่มน้าํ ” คือจะทําศาลาท่ีประกอบพิธีอุปสมบทอยํูกลางแมํน้ําหรือในบึงแล๎วนิมนต๑พระสงฆ๑มาทํา
พธิ อี ปุ สมบทในส่มิ นํ้าน้ี วันสุดท๎ายของปอยสํางลองนี้ ผู๎คนจะมาชุมนุมกันท่ีวัดตั้งแตํเช๎า
โดยเฉพาะคนเฒาํ คนแกจํ ะไปถึงวัดกํอนพร๎อม “อ๏ุบ” หรือขันดอกไม๎ จนได๎เวลาพอสมควรก็จะมี
การ “ถํอมลีก” คอื อํานหนงั สอื ธรรมะใหท๎ กุ คนฟง๓ อันเปน็ การกลอํ มเกลาจติ ใจให๎ต้ังม่นั อยใูํ นความดี
ซึ่งถือเป็นประเพณีสืบทอดกันมานานผ๎ูฟ๓งก็จะน่ังฟ๓งอยํางสงบและสํารวมกิริยาอาการ ผ๎ูอําน
หนงั สือธรรมะในการถอํ มลกี นคี้ ือ “จเร” ซึ่งหมายถงึ ผู๎รอบรห๎ู รอื ผู๎เช่ียวชาญในดา๎ น “ลีกไต” สํวน
ใหญํจะเป็นผู๎สูงอายุ มีคุณธรรม จริยธรรม และเป็นที่เคารพนับถือของชุมชน เวลา “ฮอลีก”
(อํานหนังสือ) จะนํุงขาวหํมขาวหรือไมํก็แตํงชุดไตโดยน่ังอํานตรงหน๎าพระประธานบนศาลาการ
เปรยี ญวดั ขา๎ ง ๆ จเรจะมี “เผิน” หรอื “ขนั ” คือเครื่องยกครูบาอาจารย๑ซ่ึงจะมีข๎าวสาร กล๎วย
นา้ํ ว๎าดิบ 2 หวี หมากพลู ดอกไม๎ธูปเทียน บรรจุในกาละมัง และมีป๓จจัย (เงิน) ใสํซองตามแตํ
ศรัทธา เมื่อฮอลีกจบจะยกเผินบูชาไปไว๎ที่บ๎านหรือบางทีก็ถวายวัดไป สํวนป๓จจัยจะนําไปไว๎ใช๎
จํายตํอไป เมื่อถึงเวลาฉันเพลจะมีการถวายภัตตาหารแดํพระสงฆ๑ที่นิมนต๑มารํวมพิธีบรรพชา
สามเณรกํอนแลว๎ จงึ เลี้ยงอาหารผูม๎ ารวํ มงานในพิธี อาหารทเ่ี ลยี้ งในงานปอยสาํ งลองทีจ่ ะขาดไมํได๎
คอื แกงฮังเล นํา้ ซด(ตม๎ จดื ) นาํ้ พรกิ อํอง ผดั ผัก หรอื ยําใหญํ เป็นตน๎ ของหวานจะมขี นมไต เชํน
อะละหวํา สํวยทะมิน ข๎าวแตกป้๓น และ ข๎าวพองตํอ หลังจากท่ีพระฉันเสร็จแล๎วก็จะเลี้ยงอาหาร

26

สํางลองและผูท๎ ่มี ารวํ มงานทุกคน ชํวงน้ี เจ๎าภาพจะต๎องคอยจับตามองสํางลองให๎ดี เพราะบางทีจะ
มีการนําสํางลองไปแอบซํอนไว๎เพ่ือชะลอการบรรพชาสามเณร ซ่ึงเจ๎าภาพจะต๎องนํา “อะซู”
(รางวัล) ไปมอบให๎จึงจะได๎สํางลองคืนกลับมา พิธีบรรพชาสามเณร จะเริ่มข้ึนหลังจากเล้ียง
อาหารผ๎ูมารํวมงานทุกคนจนอ่ิมแล๎ว ก็จะชํวยกันเก็บกวาดภาชนะตําง ๆ จนแล๎วเสร็จ ตะแป
สํางลองก็จะนําสํางลองไปน่ังตํอหน๎าพระผ๎ูใหญํเพื่อทําพิธีบรรพชาสามเณรเป็นเหลํากอแหํงสมณะ
ตํอไป ป๓จจุบันการบรรพชาสามเณรได๎เปลี่ยนมาบรรพชาในภาคเช๎าแทน เพ่ือความสะดวกของ
พระสงฆ๑ แตํยังมีบางพนื้ ทท่ี ่นี ยิ มบรรพชาในภาคบําย

พิธีบรรพชา เป็นพิธีทางสงฆ๑ปฏิบัติเหมือนกับท๎องถิ่นอื่นทุกประการ การบรรพชานิยมทํา
กันในตอนบําย สําหรับการอุปสมบทนั้นนิยมทํากันในตอนเช๎ามืดเลียนแบบการออกผนวชของ
เจ๎าชายสิทธัตถะ โดยสํางลองจะข้ึนไปบนศาลาการเปรียญหรือวิหารที่ใช๎เป็นที่บรรพชา โดยเดิน
เข๎าไปน่ังเรียงแถวหน๎าพระอุป๓ชฌาย๑ กราบพระอุป๓ชฌาย๑ 3 คร้ัง แล๎วหันหลังกลับรับผ๎าจีวร
จากบิดา มารดา หรือพํอขําม แมํขําม (พํอ แมํอุปถัมภ๑) ซึ่งแสดงถึงความผูกพันและสนับสนุนกัน
ระหวําง พํอ แมํ กับลูก เสร็จแล๎วหันกลับไปหาพระอุป๓ชฌาย๑ เปลํงวาจาขอบรรพชา พระ
อุป๓ชฌาย๑รับผ๎าจีวรไปแก๎หํอและนําผ๎าอังสะ หรือผ๎าช้ินใดชิ้นหน่ึงในหํอผ๎าจีวรคล๎องคอสํางลอง
เพื่อนําไปให๎เปล่ียนเคร่ืองสํางลอง และพระภิกษุจะชํวยนํุงผ๎าจีวรให๎ พร๎อมกลับมาเปลํงวาจา
ขอรับศีล 10 และขอนิสัย พระอุป๓ชฌาย๑ให๎ศีลบอกกัมมัฏฐานและให๎โอวาทสํางลอง ซึ่งได๎
กลายเป็นเหลํากอของสมณะ คือสามเณรเป็นเพศพรหมจรรย๑สัญลักษณ๑แหํงความบริสุทธิ์ เป็นผ๎ู
เข๎าสูํเส๎นทางดําเนินไปสูํส่ิงสูงสุดทางพุทธศาสนา คือพระนิพพานตามปณิธานของเจ๎าภาพและผ๎ู
บรรพชาทไี่ ดต๎ ั้งใจไวแ๎ ตํแรก ได๎ยอมเสยี สละทรัพยท๑ ่ีไมํจีรงั เพ่ือเขา๎ สูเํ ส๎นทางทจี่ ะบรรลถุ งึ อริยทรัพย๑
อันจรี ังยงั่ ยืนตลอดไป หลังจากเสร็จพธิ จี ะมีเทศนา 1 กัณฑ๑ เจ๎าภาพใหญํเจ๎าภาพรํวมและผู๎มารํวม
งานในพธิ ถี วายจตปุ จ๓ จัยไทยธรรม พระสงฆ๑อนุโมทนาเป็นเสร็จพิธี หลังจากน้ัน หากมีคณะโบกไพ
(บ๎องไฟ) มารํวมงานก็จะนําโบกไพไปจุด เม่ือจุดเสร็จเจ๎าของจะนําโบกไพไปรับ “อะซู”(รางวัล)

27

จากเจา๎ ภาพ บางทีอาจมีสาํ งลองพาง (สาํ งลองปลอม) คอื คนธรรมดาแตงํ กายเลียนแบบสํางลองแหํ
ไปด๎วย จะมกี าร “เฮ็ดกวาม” ขอ “อะซู” จากเจ๎าภาพซงึ่ เจ๎าภาพจะมอบรางวัลให๎เป็นเงินแถมยัง
เล้ยี งข๎าวปลาอาหาร สําหรับเงนิ ที่ได๎นั้นคณะโบกไพจะนําไปซื้อเครื่องใช๎ไม๎สอยถวายวัด หรือบาง
ทกี ็ทําเปน็ ตน๎ ผ๎าปา่ ถวายวดั ตอํ ไป

คาสาคญั ท่ีควรรู้
พอ่ ข่าม หมายถึง ผู้ชายที่เป็นเจ้าภาพบรรพชาเดก็ ชาย
แมข่ า่ ม หมายถงึ ผูห้ ญงิ ท่เี ป็นเจา้ ภาพบรรพชาเด็กชาย
ลูกข่าม หมายถงึ เด็กชายทมี่ ผี อู้ ปุ การะเป็นเจา้ ภาพจัดงานบรรพชาให้
เข่งส่างลอง หมายถึง ที่พกั ชว่ั คราวของสา่ งลอง มักต่อเติมย่ืนออกมานอกชายคาบ้าน
โป๊กข้าวแตก หมายถงึ มัดข้าวแตกหอ่ ด้วยกระดาษสา หรอื ผา้ เชด็ หนา้ ผกู ติดกับลาํ ไผ่ยาว
อม่ิ บุญ หมายถึง สภาวะในความรสู้ กึ ปลืม้ ปติ ิลงิ โลดอยา่ งสุดขดี
ม่านจา้ ด หมายถงึ ดนตรพี มา่
โหล่งกี่ หมายถงึ โสร่งลายของชาวพมา่
แคบคอ หมายถึง เครอ่ื งประดับทําด้วยทองคํามรี ปู ร่างเปน็ แผ่นกลม
ทีคา หมายถงึ รม่ ทอง
อุ๊พ หมายถึง ขันดอก
จีเจ่ หมายถึง กงั สดาล
กนุ ตอ่ ง ปานตอ่ ง หมายถึง พานหมากพลู และพานดอก
ต้นตะเปส่ ่า หมายถงึ ต้นกัลปพฤกษ์
ข่ามแขกก้อเหลว หมายถึง รบั แขกเอง
ลองซอม หมายถึง ตักบาตร ในทน่ี ห้ี มายถงึ การตักบาตรบนวดั
ฮอลกี หมายถึง การอ่านหนังสือธรรมไทใหญ่
เฮดกวาม หมายถงึ การขบั ลาํ นําไทใหญ่

ประเพณเี ดือนส่ีของชาวไทใหญ่ ไดแ้ ก่ ปอยไหว้พระธาตุ ไหว้เจ้าพารา ปอยต่างทีกองมู ปอยต้น
หอลม ปอยส่างลอง ปอยล้อ/ปอยเหลมิ

28

เหลินหา้ (เดือนหา้ ตรงกบั เดือนเมษายน)
ประวตั ิความเปน็ มา (บ่อเกดิ ประเพณ)ี

เนื้อความตามป๓๊บสาชื่อ ต๏ะซะนิดหยําสี่สิบสองเหลินซากเสํอูตําน กลําวไว๎วํา เดือน 5
ภาษาปุ่งนา (ปุโรหิต)เรียกวํา “มิกซะหยําส่ี” ภาษาพมําเรียกวํา “ต๏ะกํูละ” ธาตุประจําเดือนคือ
เตโชธาตุอากาศจึงคอํ นขา๎ งรอ๎ น ดอกไม๎ประจาํ ราศคี อื ดอกก้าํ กอํ (ดอกบุนนาค) เป็นเดอื นทีเ่ ปล่ียน
ศักราชใหมํ มีเรื่องเลําเกีย่ วประเพณนี ี้วาํ ครงั้ หนึ่งขณะทพี่ ระพุทธเจ๎าประทับอยูํ ท่ีเชตะวันวิหารใน
กรุงสาวตั ถี พระเจา๎ ปเสนทิโกศลไดช๎ กั ชวนข๎าราชกาลบริพารตระเตรียมไทยธรรมอาหารคาวหวาน
นําไปถวายพระพุทธเจ๎าและพระสงฆ๑ พระพุทธเจ๎าตรัสเทศนาวํา ในชํวงเทศกาลเปลี่ยนศักราชน้ี
ขอใหท๎ ําพิธีคาราวะพระรตั นตรัย ผ๎ูมพี ระคุณและสรงน้ําพระพทุ ธรปู รดนา้ํ ดําหัวผเ๎ู ฒําผูแ๎ กํ เพื่อขอ
พรปใี หมใํ ห๎มโี ชคลาภอยํเู ย็นเป็นสุข เจริญด๎วยจตุรพิธพร 4 ประการ มีอายุ วรรณะ สขะ พละ ปฏิ
ภารธนสารสมบัติ ตลอดไป และพระพทุ ธองคท๑ รงนําพระสงฆ๑ทําการสรงนํ้าพระในสระอนปทัต ท่ี
มกี ลํมุ ดอกบัว 5 ประเภท ที่บานสะพรง่ั เต็มสระ พอถึงเดือน 5 ชาวประชาจึงพากันทําโกมโบ๐ (โคม
รูปดอกบวั ) เพือ่ บูชาพระตามวัดวาอารามตํางๆ จึงยึดถือเป็นประเพณีสืบตํอกันมาจนตราบเทําทุก
วนั น้ี (โกศล ศรีมณีมปป. :7)

จากเอกสารโรเนียวเย็บเลํมภาษาไต ชื่อ “หยําสิบสองเหลินคํา” เขียนโดย เจเลแสงเฮิง
บ๎านแมํสาว อ.แมํอาย จ.เชียงใหมํ กลําววําเดือน 5 เป็นวาระการเปล่ียนศักราชเนื่องจากธิดาท๎าว
มหาเทพพรหมเปล่ียนวาระอ๎ุม เศียรบิดาไว๎ในแตํละปี ตามตํานานเลําวําหลังเกิดโลกาวินาศไฟ
ประลัยกัลป์ล๎างโลกและนํ้าทํวมโลกแล๎วมีดอกบัว 5 ดอกผุดขึ้นท่ีกลางสระใหญํเป็นจุดเริ่มต๎นของ
ภัทรกัลปน์ ้ี ในกัลป์นี้มีพระพุทธเจ๎าตรัสรู๎ 5 พระองค๑ และมีดอกบัว 5ดอก มีจีวร 5 ชุด พระพรหม
ได๎ลงมาอัญเชิญจีวรทั้ง 5 ชุด ข้ึนไปไว๎ในพรหมโลก เมื่อถึงเวลาที่พระพุทธเจ๎าแต๎ละองค๑มาตรัสรู๎
ท๎าวมหาพรหมและคณะจะนําผ๎าจีวรลงมาถวายตามลําดับขณะน้ีพระพุทธเจ๎ามาตรัสรู๎ไปแล๎ว 4
พระองค๑ ยังเหลืออีก 1 พระองค๑ คือ พระศรีอริยเมตไตย ซึ่งจะมาตรัสร๎ูตํอจากยุคของพระโคดม
พุทธเจ๎า บรรดาพระพรหมท่ีลงมาในโลกมนุษย๑ได๎สูดกลิ่นดินหอมแล๎วเกิดความพอใจพากันขุดมา
ชิมดู หลังจากชิมดินหอมแล๎วทําให๎วิชาฌาณ(เหาะเหินเดินอากาศ) เส่ือมไมํสามารถเหาะกลับไปสํู
พรหมโลกได๎ จงึ อาศัยอยใํู นมนุษย๑โลกตํอมาจนถงึ ป๓จจุบัน(โกศล ศรมี ณี มปป. :8)

เหลําพรหมและเทวดาไดป๎ ระชุมปรกึ ษาเรื่องวธิ กี ารกําหนดราศีฤดูกาลและพิจารณาหาผ๎ทู ีม่ ี
ความสามารถกําหนดราศีฤดูกาลได๎ ซึ่งท๎าวมหาพรหมได๎รับอาสาเป็นผ๎ูจัดทํา พร๎อมกับสัญญาวํา
หากไมํสามารถทําได๎สําเร็จก็จะให๎ศีรษะเป็นประกัน ตํอมาเมื่อไมํสามารถกําหนดราศีฤดูกาลให๎ดี

29

ทัดเทียมกนั ได๎ พระอินทรจ๑ ึงขอให๎ศาสดาพยากรณ๑ (งะพอหมอกยาฺ ม)กําหนดฤดกู าลเป็นฤดรู อ๎ น ฤดู
ฝน ฤดูหนาว ซึ่งเป็นฤดูกาลมาตราบจนถึงป๓จจุบันนี้ พระอินทร๑จึงบอกกับพระธิดาท้ัง 7 ของท๎าว
มหาพรหมวํา ใครสามารถตัดศีรษะของท๎าวมหาพรหมได๎ จะอภิเษกยกข้ึนเป็นอัครมเหสี ธิดา 6
องค๑ ไมสํ ามารถทําได๎ แตํธดิ าองค๑สุดท๎อง (วันเสาร๑) ได๎ใช๎เส๎นผมขึงกับโครงไม๎ ทําเป็นเลื่อยใช๎เลื่อย
คอของท๎าวมหาพรหมจนขาด พอขาดแล๎วนําไปไว๎ท่ีไหนก็ไมํได๎ไว๎ในน้ําก็นํ้าแห๎ง ไว๎บนบกก็ไฟไหม๎
จําเป็นที่ธิดาทั้ง 7 จะต๎องผลัดเปลี่ยนกันทูนศีรษะของบิดาไว๎คนละ 1 ปี หมุนเวียนกันตลอดกาล
พอถึงเดือน 5 ของแตํละปีก็จะเปล่ียนกันคร้ังหน่ึง ธิดาองค๑ท่ีหมดภารกิจก็จะถือโอกาส ล๎างมือ
อาบนํ้า ซักผ๎า สระผมให๎สดช่ืน หลังจากท่ีรับภารกิจมานานเป็นเวลาแรมปี ด๎วยเหตุน้ีจึงถือเป็ น
ประเพณี พอถึงเดอื น 5 เปลยี่ นศกั ราชใหมํจะพากันอาบน้ําชาํ ระราํ งกาย สระผม ป๓ดกวาดทําความ
สะอาดบา๎ นเรือนในโอกาสวันขึน้ ปใี หมเํ ปน็ กรณีพเิ ศษ สาํ หรับตัวท๎าวมหาพรหมน้ันพระอินทร๑ได๎ทูล
ถามมารดาของท๎าวมหาพรหมวาํ จะสามารถหาศีรษะของใครมาตอํ แทนได๎ มารดาตอบวาํ ศรี ษะของ
ใครก็ได๎ท่ีนอนหันศีรษะไปทางทิศเหนือพระพรหมและเทวดาท้ังหลายจึงพากันลงมายังโลกมนุษย๑
และได๎พบกับช๎างตัวหนึ่ง กําลังนอนหันหัวไปทางทิศเหนือ จึงตัดหัวช๎างน้ันนําไปตํอติดกับตัวของ
ท๎าวมหาพรหม ทาํ ใหท๎ า๎ วมหาพรหมฟื้นคนื ชพี และได๎รบั ขนานนามวํา “มหาปิงเน”(พระพิฆเนศ –ผู๎
เรียบเรียง) สวํ นตัวช๎าง ก็นาํ ไม๎ฟืนมากํอกองไฟสมุ ฌาปนกจิ จนเสรจ็ กจิ (โกศล ศรมี ณีมปป. :8-9)

เหลําพระพรหมและเทวดาทงั้ หลายไดป๎ ระชมุ ปรึกษากนั วาํ บาปที่ตดั เศียรท๎าวมหาพรหมนี้
จะตกแกํใคร พระอินทรต๑ อบวาํ ตกแกํชาวเมืองทั้งหลาย เพราะชาวเมืองอยูํใต๎อิทธิพลของดวงดาว
ชะราศี ฤดูกาล และถามตํอวํา หากต๎องการไถํบาปจะต๎องทําอยํางไรบา๎ ง พระอนิ ทรต๑ อบวาํ ตอ๎ งพา
กนั กอํ เจดีย๑ทราย ถวายนํ้า ถวายดอกไม๎ สรงน้าํ พระพทุ ธรูปและพระสงฆ๑ให๎ทําขนมไปทําบุญ ผู๎เฒํา
ผ๎แู กแํ ลพระสงฆ๑ผ๎ทู รงศลี อธษิ ฐาน ขอพรใหพ๎ น๎ จากบาปและได๎รับความสขุ ความเจริญย่ิง ๆข้ึนไป จึง
เกดิ มปี ระเพณีรดนํ้าดําหัว คารวะผู๎เฒําผู๎แกํ ทําขนมประเพณีแจกจํายและถวายพระสงฆ๑สืบกันมา
จนถงึ ทกุ วนั น้ี(โกศล ศรมี ณีมปป. :8-9)

30

การกน่ั ตอ (ขอขมา)บดิ ามารดา ญาติผ้ใู หญแ่ ละพระสงฆ์

ขันดอกไม้ ขันควั หลู่

ถวายควั หลู่ ผู้เฒ่าผู้แกใ่ หพ้ ร

ชว่ งเวลาท่มี ีการจัดงาน
เดือน 5 และเดือน 11 (เดือนเมษายนและเดือนตุลาคม) หรือกํอนวันข้ึนวัด 1 วัน คือ
ชํวงเวลาต้ังแตํวันท่ี 14-15 เมษายนของทุกปี และข้ึน 14 คํ่า เดือน 11 ของทุกปี ประเพณีกั่น
ตอหรือขอขมาน้ีจะมีปลี ะ 2 ครั้ง
ประวัติความเปน็ มาและความเชือ่ เกยี่ วกบั พธิ ี
เหลินห๎าเป็นเทศกาลสําคัญของชาวไทใหญํ เรียกวําปอยเหลินห๎าหรือปอยซอนน้ํา ใน
เทศกาลนี้จะมีการสรงนํ้าพระ กั่นตอบิดามารดาญาติผ๎ูใหญํขอขมาพระสงฆ๑และทําบุญตักบาตรฟ๓ง
เทศน๑ ฟ๓งธรรมตามประเพณี เชํน เดียวกบั งานสงกรานต๑ของล๎านนา และชาวบ๎านมีความเชื่อกันวํา
บิดามารดาก็คือพระพุทธเจ๎าคนแรก ถ๎าไมํเล้ียงดูบิดามารดาแล๎วจะลําบากในสมัยกํอนถ๎าไมํได๎ก่ัน
ตอบิดามารดากํอนก็ไมํกั่นตอพระสงฆ๑ มีเรื่องเลําวําสมัยกํอนมีเศรษฐีคนหน่ึงจะไปกั่นตอ

31

พระพุทธเจ๎าท่ีวัด จึงนําผลไม๎ อาหารคาวและอาหารหวาน เพื่อนํามากั่นตอพระพุทธเจ๎าท่ีวัด
พระพุทธเจา๎ ถามทาํ นเศรษฐวี ํา ทํานเศรษฐกี น่ั ตอบดิ ามารดาหรอื ยัง ทํานเศรษฐีบอกวําเราไมํมีบิดา
มารดา พระพุทธเจ๎าถามตอํ ไปวาํ ถ๎าทํานเศรษฐไี มํมบี ดิ ามารดาแลว๎ ทาํ นเกดิ มาได๎อยํางไร เศรษฐีคน
นั้นรู๎สึกอับอายมาก พระพุทธเจ๎าให๎ทํานเศรษฐีไปกั่นตอบิดามารดากํอน ถึงจะรับของท่ีมาก่ันตอ
หากทํานเศรษฐีไมํก่ันตอบิดามารดา พระพุทธเจ๎าก็ไมํอาจรับส่ิงของท่ีมากั่นตอนี้ได๎ ทํานเศรษฐีจึง
ต๎องไปก่นั ตอบดิ ามารดากอํ นถึงจะกนั่ ตอพระสงฆ๑ได๎ เศรษฐรี ๎ูสึกอับอายมาก จงึ นาํ อาหารท่มี ากน่ั ตอ
พระพุทธเจ๎า ไปเทท้ิงลงในกระบอกไม๎ ทําให๎นกมาจิกอาหารท่ีทํานเศรษฐีทิ้งไว๎ นกท่ีมาจิกกินมี
อาการเมาเหมอื นเมาสรุ าเพราะผลไม๎ทีห่ มักดองในกระบอกไม๎ ทาํ ใหเ๎ กดิ เป็นสุรา เหตุนี้การเกิดสุรา
ก็เลยเกดิ ข้ึนในสมยั นั้นเป็นตน๎ มา (ข่นิ ธุวะตระกลู วงศ๑ : 23/08/2550)

การกัน่ ตอต๎องมกี ารเตรยี มสงิ่ ของท่ีจะใช๎กัน่ ตอหรือขอขมากอํ น การก่ันตอหรือขอขมาจะ
เริม่ กน่ั ตอบิดา มารดา ปู่ยาํ ตายาย ของตนเองกอํ นเสมอ และกอํ นวนั ขึ้นวดั 1 วนั คอื ชํวงเวลาวนั ที่
14-15 เมษายน ของทุกปี คือ ถ๎าข้ึนวัดวันท่ี 15 เมษายน จะเร่ิมก่ันตอหรือขอขมาในวันท่ี 14
เมษายน และถ๎าวันขึ้นวัดตรงกับวันท่ี 16 เมษายน ก็จะเร่ิมกั่นตอในวันที่ 15 เมษายน ในเวลา
ตอนคํ่าๆ ต้ังแตํเวลา 17.00-21.00 น. และวันรํุงข้ึนวันท่ี 16 เมษายนก็จะทําบุญท่ีวัด เตรียมข๎าว
ปลาอาหารใสํปิ่นโต และของใช๎ตํางๆ ท่ีเห็นวําเหมาะสมจัดใสํถาดถวายพระสงฆ๑ที่วัด พอทําบุญ
เสรจ็ แล๎ว อีก 2-3 วันกจ็ ะกนั่ ตอพระสงฆ๑ หลังจากกัน่ ตอพระสงฆ๑เสร็จแลว๎ กจ็ ะพากันก่ันตอศาลเจ๎า
เมือง หลงั จากนน้ั ก็จะก่ันตอญาตผิ ใู๎ หญทํ เ่ี คารพนับถอื ทีอ่ ยํูตํางหมบํู ๎าน เรยี กวํา ก่ันตอโหลง โดยจะ
พากันไปเป็นหมํูคณะแสดงถงึ ความพรอ๎ มเพียงกัน

กิจกรรมจะกั่นตอหรือขอขมาพระสงฆ๑ท่ีวัดก็จะมีการสรงนํ้าพระพุทธรูปที่วัด ให๎คนใน
ชุมชนได๎สรงน้ําพระ ชาวบ๎านในชมุ ชนกจ็ ะจัดเตรยี มนาํ้ ส๎มป่อย นํ้าอบน้ําหอม ใสํนํ้าส๎มป่อยผสมน้ํา
อบนา้ํ หอมในขันเงนิ ที่เตรียมไป เพื่อจะกั่นตอหรือขอขมาพระสงฆ๑และสรงนํ้าพระพุทธรูปที่วัด แล๎ว
พระสงฆใ๑ ห๎คาํ อวยพรเป็นเสร็จพิธี และจะมีการก่นั ตออีกครงั้ ในเดอื น 11 คือเดือนตลุ าคม กํอนออก
พรรษา จะเริม่ ท่กี ารกัน่ ตอบิดา มารดา ญาติผใู๎ หญํ ในวันขน้ึ 14 ค่ํา เดือน 11 เช๎าวันรุงํ ขน้ึ มกี ารตกั
บาตรเทโวโรหณะ ตอนสายฟง๓ เทศน๑ ฟง๓ ธรรมทว่ี ัด ประมาณวนั แรม 2-3 คํ่า เดือน 5 จะมกี าร
กั่นตอตาํ งหมบํู า๎ น (กัน่ ตอโหลง) โดยอาศัยวดั ประจาํ หมบูํ า๎ นเปน็ ศูนย๑กลาง โดยหมุนเวยี นกันไปปีละ
วัดภายในตาํ บลเดยี วกนั

32

รปู แบบการกนั่ ตอ(ขอขมา)แบ่งเป็น 2 ประเภทคอื
การก่ันตอบิดามารดา ผู้เฒ่าผู้แก่ การก่ันตอต๎องก่ันตอบิดามารดากํอนทุกครั้ง

และกํอนข้นึ วัด 1 วนั พอก่ันตอบดิ ามารดาเสร็จแลว๎ กก็ น่ั ตอผน๎ู าํ ผเ๎ู ฒํา ผ๎แู กํและญาตผิ ใู๎ หญํท่เี คารพ
นับถือ แลว๎ กน็ าํ ส่งิ ของท่จี ะไปก่นั ตอ เชนํ ขนม ข๎าวตอก ดอกไม๎ ธปู และเทยี น ไปกัน่ ตอ(ขอขมา)ลา
โทษในสิ่งท่กี ระทาํ ผิดทางกาย วาจาและทางใจใหบ๎ ิดามารดาญาตผิ ใู๎ หญํใหพ๎ ร

การกั่นตอพระสงฆ์ คือ หลังจากการกั่นตอบิดา-มารดาเสร็จแล๎ววันรํุงขึ้นก็ไป
ทําบุญทว่ี ัด หลงั จากน้ันก็มีการนัดหมายไปก่ันตอพระสงฆ๑ที่วัดโดยนําดอกไม๎ ธูป เทียน เคร่ืองไทย
ธรรม น้ําส๎มป่อยผสมนํ้าอบนํ้าหอม ข๎าวตอก แล๎วพระสงฆ๑ให๎พร การสรงนํ้าพระพุทธรูปจะมีใน
เดอื น 5 หรอื เดอื นเมษายนของทุกปี

คาขอก่นั ตอหรือขอขมา กงุ่ พารา กงุ่ ตารา กงุ่ สง่ั ขา กงุ่ สลา่ ซามา (หรือ พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ)์

สาหรับชุมชนอาเภอเมอื ง
ออก่าซา้ ออกา่ ซ้า ออก่าซา้ กายะกํ่า วะจีกาํ่ มะนอกา่ํ
หน่งั กา้ โตเ๋ ฮ็ด ซบหวา้ ใจก๋ ยา่ ม เปน็ ตา่ ม ตุจาเริก เคอ้ื งเมิก
หลาํ หลา่ ง เหมา่ จ่าง เหมา่ เจด๊ อาปยา้ ตแสนเมยี ว เจอนน่ั อาโกย (อาโจ)
ปนุ้ ตวาก เป่ป้ากเอ๋าหาย ยามใหน ตาํ้ ต้ี พรายาตตาหนา่ ตรายาตตาหนา่
ส่งั ขา่ ยาตตาหนา่ กาตย้ี าตตาหน่า เจา้ เมี้ยดสามเปอ๋ื ง เจือน้นั ข้ามา หยาํ โก๋โปด๊ โห
กม้ ต่อ ปจู่ อ่ คบุ้ กานวานไหว้ ไห้ไหล้ถว้ นถงึ ปะทะมะ ตุตยิ ะ ตะติยะ ปอ้ กนงึ้
สองป้อก สามเผา่ คบุ้ เข่า ยกมอื คือตา่ ง ตานขวา่ งสี่เส่ หวนุ่ เตน่ ะมอ

ข้ายอนก่นั ตอไหวต้ ้ีขา้ อ้อ
สาหรบั ชุมชนอาเภอปาย
หนง่ั อน๋ั อาโจ เฮาขา้ ไดม้ าก้มหน้า ยกมอื คอื ตา่ งตานขวา่ งสี่เส่หวนุ่ เต่ นะมอ ยอนกน่ั ตอ
ไหวต้ ข้ี า้ ไน้ จา๊ ตไหลป๋านไหลเสกอ้ หือ้ ได้ลอดซางกางเส อาเปส่ ีเ่ ปง๋ิ กา้ บสามเปงิ๋ อาราบอาเปี๊ยด
แปดเปง๋ิ หยา่ นสหู่ ้าเปิ๋ง วปิ ตั ตต้ิ ราหา้ เป๋ิง ปยา้ ซา้ นา้ นายาห้าเปิ๋งเจือนน้ั เสแลตงั ไนจ้าดซดุ้ จ้าดเส้ง
วนั ลนื เมอหนา้ นนั้ ใหเ้ ฮาขา้ โฮบไหลม้ าตายา โผต่ ายา นิ้บป่านตายา เม๊ยี ดนนั้ เสกาํ ตขี้ ้านอ สาธุ

สาธุ สาธุ

33

ตัวอยา่ ง คาให้พรของบดิ า มารดา
อยหู่ ลี ก๋นิ หวาน กดั้ เหยน กยามสา่ อาหนา่ ยอกา่
เก้าสิบป๋ายหก ตกเหหา่ ง จา่ งเสคิง เอาไน้ กว่าวนั ตา๋ เมอหนา้

ใหอ้ ยูห่ ลี กนิ๋ หวาน ลกู เอ้อ หลานเอ้อ

การกั่นตอพระสงฆ์

34

อปุ กรณ์ ขั้นตอนและวิธีการกนั ตอ
การเตรยี มวสั ดุอุปกรณ์ ประกอบด๎วยดงั น้ี ขนั เงนิ หรอื ถาดใสํส่ิงของไปก่ันตอ

ดอกไม๎ ธปู เทยี น ขา๎ วตอก ขนม โคหลํู (เสือ้ ผา๎ ของใช๎ เงิน)
ข้นั ตอนวธิ ีการ
1) เตรียมอุปกรณ๑ท่ีนํามา คือ ข๎าวตอก ดอกไม๎ ธูป เทียน ขนม โคหลํู
เส้ือผ๎าใหมํ ของใช๎ และเงิน อาจจะมีหรือไมํมีก็ได๎ให๎ผ๎ูที่จะไปก่ันตอหรือ
ขอขมา
2) นาํ โคหลูํใสํขนั เงนิ
3) นําขา๎ วตอกดอกไม๎ใสใํ นขันดอก
4) ยกขันดอกไม๎ให๎บิดา มารดา หรือญาติผู๎ใหญํที่อาวุโสสูงสุดรับไว๎ แล๎ว
พนมมอื รับคําใหพ๎ รจากบิดา มารดาหรือญาติผู๎ใหญํท่เี คารพนับถือ

การซอนน้าเจ้าพารา (สรงน้าพระพทุ ธรูป)
วันปใี หมํชาวไทใหญํเรยี กอีกอยาํ งหนึ่งวํา ปอยซอนนํ้า จึงเป็นชํวงเทศกาลท่ีชาวไท

ใหญํจะได๎สรงน้ําพระพทุ ธเจ๎ารปู ตามวดั วาอารามหรือบา๎ นเรือนของตน บางวัดอาจสร๎างสถานทีส่ รง
น้าํ พระขึน้ มาเฉพาะ เชํนวดั เมืองปอนอาํ เภอขุนยวม เรียกชอื่ วาํ จองซอน มกี ารอัญเชญิ พระพทุ ธรูป
บนวดั มาประดษิ ฐานไว๎ ณ จองซอน เพือ่ ใหช๎ าวบา๎ นที่เลอื่ มใสศรทั ธาได๎สรงน้ําพระตามประเพณี ซึ่ง
ยึดถอื ปฏิบตั ิกนั มาช๎านาน สาํ หรบั วัดท่ีไมํมีจองซอนสําหรับเป็นท่ีสรงนํ้าพระพุทธรูป ก็อาจอัญเชิญ
พระพุทธรปู ท่สี าํ คัญบนวัด วางไวส๎ ถานทด่ี ีเหมาะสม เพือ่ ให๎ชาวบ๎านได๎รํวมกันสรงนาํ้ สํวนใหญํจะมี
การสรงนาํ้ พระพทุ ธรปู ในวันพญาวนั (ประเสรฐิ ประดิษฐ๑ : 12/10/2550)

ประเพณีเดือนห้า ของชาวไทใหญ่ ได้แก่ ปอยซอนน้า (ปอยซางกย่าน) ปอยก่ันตอพ่อ
แม่ ผูน้ า ญาติผู้ใหญ่ พระสงฆ์ ศาลเจ้าเมือง และ ปอยก่ันตอโหลง

35

ประเพณีเหลนิ หก (เดือนหก ตรงกับเดอื นพฤษภาคม)
ประวัติความเป็นมา (บ่อเกดิ ประเพณ)ี

ภาษาปุ่งนา (ปุโรหิต) เรียกวํา “ป๊ิกซะหยําสี่ ” ภาษาพมําเรียกวํา “ก๏ะสุํงละ” ธาตุ
ประจําเดือนท่ีมีลักษณะแข็งดอกไม๎ประจําราศรีคือ ดอกจํ๋ากาโหลง หรือดอกจําแป่ (ดอกลั่นทม)
ดอกก๎านงอ๎ ก (ดอกซํอนกลิ่น) เรอ่ื งราวอนั เป็นบอํ เกิดประเพณีระบุไว๎วํา ในเม่ืองสี่โหํ (เมืองลังกา-ผู๎
เรียบเรียง) มีมานพผู๎ยากเข็ญคนหนึ่ง หาเลี้ยงชีพโดยการหาฟืนและใบตองขาย ตํอมาเม่ือถึงวัน
เพ็ญเดอื น 6 มานพผ๎ูน้ีกย็ ังเขา๎ ปา่ หาฟืนหาใบตองตามปกติ เมือ่ เดนิ ทางถงึ ฝง่๓ ลาํ ธารแหํงหนงึ่ จึงน่ัง
พักและฉุกคิดข้ึนวําชาตินี้เกิดเป็นท้ังทีแตํไมํเคยทําบุญเลยที่จะเป็นป๓จจัยสํงผลให๎เสวยสุขในชาติ
หน๎า วนั นี้เป็นวันเพ็ญควรที่จะได๎ทําบุญอะไรสักอยํางหน่ึง เมื่อคิดได๎น้ันจึงวางสัมภาระลงแล๎วไป
ตักทรายทฝี่ ง๓่ ลาํ ธารมากองกอํ เปน็ รปู เจดยี ๑ พร๎อมหาหาดอกไม๎ในปา่ มาประดับตกแตงํ ใหส๎ วยงาม ตดั
ไม๎ไผํมาจักตอกสานเป็นราชวัตรขัดเป็นส่ีเหลี่ยมกั้นเป็นชั้นๆเหมือนเจดีย๑ เสร็จแล๎วแก๎หํอข๎าว
ออกมาเป็นสามสํวน สํวนท่ี 1 นําถวายเป็นพุทธบูชา สํวนที่ 2 นําถวายเป็นธรรมบูชา สํวนที่ 3 นํา
ถวายเป็นสังฆบูชา สํวนที่ถวายเป็นสังฆบูชานี้เมื่อเสร็จส้ินการถวายแล๎วนําไปให๎นกกากิน (โกศล
ศรมี ณี มปป. : 12)

เม่ือทําบุญถวายทานเสร็จแล๎วเกิดปีติซาบซ้ึงในการกระทําของตน มานพผู๎น้ีจึงร๎องรําทํา
เพลงไปรอบๆเจดยี ๑ทรายอยูํคนเดียวในปา่ พอพลบคา่ํ ก็กลบั บา๎ น ตัง้ แตวํ ันนนั้ มามานพผู๎น้ีเม่ือนึกถึง
บุญทีไ่ ดท๎ าํ ในวนั นัน้ ก็รูส๎ ึกปีติเปน็ สขุ ข้นึ มาทุกคร้ัง ตอํ มาถงึ คราวที่จะเม่ือใกล๎จะตาย เป็นชํวงเวลาท่ี
กับขุนหอคํา (กษัตริย๑) ผ๎ูครองเมืองสี่โหํ และนางมิพญา(พระมเหสี) ทรงช๎างเสด็จออกเรียบนคร
เสด็จผํานมาถึงกระต๏อบท่ีอยูํของมานพผู๎นี้พอดี และแกก็มองเห็นพระมหากษัตริย๑และพระมเหสีท่ี
ทรงช๎างเสด็จมาใกล๎ท่ีอยูํของตน จึงเกิดอุปทานข้ึนในใจใครํท่ีจะเกิดเป็นพระโอรถของพระราชา
จากนั้นนั้นก็ส้ินใจไปในทันที ชาติตํอมาจึงได๎ไปจุติปฏิสนธิในครรภ๑พระมเหสี พอเติบใหญํก็ได๎
สืบราชสมบัติแทนพระบิดา อยํูมาวันหน่ึงได๎นิมนต๑พระอรหันต๑มาเทศนาในพระบรมมหาราชวัง
ขณะทฟี่ ง๓ พระธรรมเทศนาอยูํน้ันเกิดศรัทธาจะถวายผ๎าสไบคําควรแสนทองคําที่พระองค๑ทรงหํมอยูํ
เป็นเครอื่ งบูชาธรรม แตํก็ไมอํ าจตัดใจได๎ในทันที ครั้งที่หน่ึงก็แล๎ว ครั้งที่สองก็แล๎ว ครั้งท่ีสามก็แล๎ว
ยังมิอาจตัดสินใจละทิ้งความเสียดายได๎ เป็นเจตนาศรัทธาท่ียืดๆหดๆอยูํ ไมํอาจให๎สําเร็จอยําง
แท๎จริงได๎ พอดีมีกาสองตัวผัวเมียบินมาจับอยํูบนก่ิงมะขามตรงหน๎าตําง กามองเห็นและทราบใน
เจตนาพยายามของพระราชา กาตัวผ๎ูจงึ พดู กับกาตัวเมยี วําพระราชานดี้ ว๎ ยเหตทุ ี่เคยเป็นคนยากจน
ไดเ๎ กิดเปน็ พระราชาจึงไมํอาจตดั สนิ ใจถวายส่งิ ทีม่ คี าํ สงู แม๎มีเจตนาศรัทธากต็ าม หากพระองค๑ถวาย

36

ในคราวทมี่ เี จตนาครง้ั แรกก็จะได๎เสวยผล 8 ประการ พระราชาได๎ยินคําสนทนาของกาสองผัวเมีย
และร๎ูภาษากาจึงได๎ชื่อวํา “ก๐าก๏ะหวุํนลิยะ” (กากวจนวิญ๒ู : ผ๎ูร๎ูคําพูดกา – ผู๎เรียบเรียง)
พระราชาก็ทรงพระสรวลออกมา พระอรหันต๑จึงทรงถามเหตุที่พระราชาทรงพระสรวลนั้น
พระราชาก็นมัสการเรื่องราวตามท่ีกาสองผัวเมียพูด พระอรหันต๑ผ๎ูเป็นประธานจึงถวายพระพรวํา
จริงแล๎วมหาบพิตรกาท้ังสองน้ี ชาติกํอนก็เป็นกาเชํนเดียวกัน เป็นบริวารของมหาบพิตรได๎
รับประทานของพระมหาบพติ ร (ตอนที่ถวายเจดีย๑ทรายได๎นําข๎าวสํวนที่เป็นสังฆบูชาไปวางไว๎ให๎กา
กนิ ) พระราชาจึงตัดสินใจถวายผา๎ สไบคาํ ควรแสนทองคาํ บูชาพระธรรมเทศนา เม่ือละจากภพนนั้ ก็
ไปจตุ เิ สวยผลบญุ ในสรวงสวรรคไ๑ ปๆมาๆระหวํางสวรรค๑และมนุษย๑ตลอดมา ไมํได๎เกิดในนรกอบาย
ใดๆเลย จากเร่ืองเลําดังกลําว พอถึงเดือน 6 ชาวไทใหญํในกลํุมพุทธศาสนิกชนจึงพากันทําบุญกํอ
เจดยี ๑ทรายถวายหอํ ข๎าวหํอแกง เปน็ ประเพณสี บื ตํอมาจนตราบเทําทุกวันนี้ (โกศล ศรีมณี มปป. :
12-13)
ปอยจา่ ตี่ (งานถวายเจดยี ท์ ราย)

ชว่ งเวลาทม่ี ีการจดั งาน
การจดั งานจะเร่ิมกอํ นวันเพญ็ ขน้ึ 15 ค่ํา เดือน 6 ประมาณ 5 – 7 วนั

ประวัตคิ วามเป็นมาของประเพณีและความเชือ่
ประวัติความเป็นมาของปอยจําตี่ จาก “ลีกโหลง” หนังสือธรรมะของชาวไทใหญํท่ีเขียน
ขึ้นเพ่ือถวายเป็นกุศลในพระพุทธศาสนา และจะถูกนํามาอํานในโอกาสสําคัญตํางๆ เรียกกันวํา
“ถอํ มลีก” ซึ่งได๎กลําวไว๎วํา ในสมัยพุทธกาลมีชายคนหนึ่งทํางานสุจริตและประพฤติปฏิบัติอยํูใน
ศีลในธรรมขยันหมั่นเพียร ทําแตํความดีจนชายผ๎ูนี้ถึงแกํกรรมด๎วยบุญกุศลที่ได๎ทําดีมา จึงได๎ไป
เกิดในสรวงสวรรคเ๑ ป็นเทวดาใช๎ชีวิตอยํูอยํางสุขสบาย เสวยสุขอยูํอยํางน้ีเป็นเวลาเกือบ 1 แสนปีก็
จะสิ้นสุดบุญและต๎องตาย เม่ือใกล๎จะตายรํางของเทวดาองค๑น้ันก็เปลี่ยนไปจากที่เคยเตํงตึง
สวยงามกก็ ลายเป็นเห่ียวแห๎ง ส่ิงเหลํานี้เป็นลางบอกเหตุวําอายุของการเป็นเทวดาใกล๎จะสิ้นสุดลง
และจะตอ๎ งไปรับกรรมท่ีเคยทาํ ไว๎ในโลกมนษุ ย๑ เทวดาจึงได๎เดินทางไปหาเทวดาท่ีชื่อ พระเจ๎าวิปาลี
เทวดาผ๎ูหย่ังรู๎เหตุการณ๑ตํางๆท่ีเกิดขึ้นกับมนุษย๑ เทวดา และสรรพสัตว๑ท้ังหลาย พร๎อมท้ังขอ
คําแนะนํา พระเจ๎าวิปาลีจึงแนะนําวํา หากไมํอยากไปรับกรรมในนรกก็จงไปกํอเจดีย๑ทรายถวาย
พระพุทธเจ๎าเพ่ือเป็นการสะเดาะเคราะห๑ โดยให๎ไปกํอเจดีย๑ทรายที่ริมฝ๓่งมหาสมุทรให๎ได๎ถึง 500
กองจึงจะรอดพน๎ จากเหตกุ ารณ๑ดังกลาํ ว เวลาผํานไปจนเหลอื อีก 7 วันเทวดาองค๑นั้นกจ็ ะส้ินบญุ จึง
ได๎เดินทางไปหาดทรายริมฝ๓่งมหาสมุทร และเริ่มลงมือกํอสร๎างเม่ือกํอเจดีย๑ทรายได๎บางสํวนก็มีลม

37

พายุและคล่ืนจากมหาสมุทรพดั เอาเจดีย๑ทรายเหลาํ นั้นพังทลายหายไป เทวดาก็พยายามกํอใหมํพอ
ครบ 500 กองกม็ ีลมพายแุ ละคลืน่ มากวาดพดั ไปอีก เปน็ เชนํ น้ีทกุ ครงั้ เทวดาก็พยายามตอํ ไปเร่อื ยๆ
จวบจนครบ 7 วนั ยมทตู ก็ขึน้ มาจากนรกจะมารับตวั เทวดา ฝา่ ยเทวดากย็ ินดีจะไปรบั กรรมดงั กลําว
แตํได๎ขอร๎องยมทูตวํา ขอให๎รอจนกวําตนจะกํอสร๎างเจดีย๑ทราย 500 กองจนครบเสียกํอนยมทูตก็
ตกลง เทวดาก็ลงมือกํอเจดีย๑ทรายตํอไป แตํก็ยังเกิดเหตุการณ๑เชํนเดิมคือมีลมพายุและคล่ืนมาพัด
เจดยี ท๑ รายหายไปครง้ั แลว๎ ครัง้ เลาํ จนยมทูตรอไมไํ หวจึงกลบั ไปเมอื งนรก ฝา่ ยเทวดาก็กํอเจดีย๑ทราย
ตํอจนครบ 500 กองไดใ๎ นวนั เพ็ญข้นึ 15 คํา่ เดือน 6 ซ่งึ เป็นวันวิสาขบูชาดว๎ ยผลบุญดงั กลําวจงึ ทาํ ให๎
เทวดาองคน๑ ั้นพ๎นจากผลกรรม และได๎เสวยสุขในสรวงสวรรคต๑ อํ ไป จากเรื่องราวดังกลาํ วน้ที าํ ให๎ชาว
ไทใหญํนิยมจัดงาน “ปอยจําตี่” กํอเจดีย๑ทรายเพื่อบูชาพระพุทธองค๑กันทุกหมูํบ๎านในชํวงเดือน 6
กนั ทกุ ปี

นอกจากนี้ยังมีเรื่องเลําตํอๆกันมาอีกเร่ืองหน่ึงวํา มีชายคนหนึ่งตายไปชั่วคราว แล๎วมี
ยมบาลจะมาเอาวิญญาณของชายคนน้ันไป เม่ือเปิดบันทึกการทําความดีและการทําความชั่วของ
มนุษย๑มาดูวาํ ชายคนน้นั ทําชั่วหรอื ทาํ ดอี ะไรไว๎บา๎ ง ปรากฏวาํ ชายคนนเ้ี คยถวายเจดีย๑ทราย ยมบาล
จงึ ปลอํ ยตัวทาํ ใหเ๎ ขามีชวี ติ ฟืน้ คนื มา เขากไ็ ปทาํ บญุ กอํ เจดีย๑ทราย ยมบาลมาคอยกํอเจดีย๑ทราย แตํ
เกิดพายุพัด ไมํสามารถจะนับได๎ ชายคนน้ันก็ไมํต๎องถูกนําไปนรกอีกตํอไป (สํานักงานวัฒนธรรม
จังหวัดแมฮํ อํ งสอน2549: 251)

ความเช่อื เก่ยี วกบั ปอยจา่ ต่ี
วันขึ้น 15 ค่ํา เดือน 6 ของทุกปีเป็นวันวิสาขบูชาซ่ึงเป็นวันท่ีสําคัญยิ่งทาง
พระพุทธศาสนา และเป็นวันทาํ บญุ บชู าเจดีย๑ทรายของชาวไทใหญํ วาํ กันวําหากได๎รํวมประเพณีน้ี
จะไดบ๎ ุญกุศลยิง่ ใหญํ เคราะห๑กรรมไมํดีตํางๆที่อาจจะเกิดข้ึนกับตัวเราก็จะจางหายไป ส่ิงท่ีร๎ายจะ
ก ล า ย เ ป็ น ดี ย่ิ ง ๆ ข้ึ น ไ ป อี ก แ ล ะ ถื อ เ ป็ น ป ร ะ เ พ ณี ข อ ฝ น ใ ห๎ ต ก ต๎ อ ง ต า ม ฤ ดู ก า ล อี ก ด๎ ว ย
(คณะอนุกรรมการวฒั นธรรมจังหวดั แมํฮอํ งสอน มปป.: 51-57)

38

วตั ถุประสงคข์ องปอยจ่าต่ี (การทาบญุ กอ่ เจดยี ์ทราย) คือ
เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เป็นการสะเดาะเคราะห๑และเป็นการขอฝนให๎ตกต๎องตามฤดูกาล
ปอยจาํ ต่ีหรอื งานบชู าเจดีย๑ทราย เปน็ งานทําบุญทีน่ บั วาํ สาํ คญั และยึดถือปฏิบตั ิกันมาช๎านานต้ังแตํ
สมยั พทุ ธกาล สําหรบั ที่วัดพระนอนไดจ๎ ัดงานนีเ้ ปน็ ประจําทุกปนี บั เป็นเวลาร๎อยกวาํ ปมี าแล๎ว ตัง้ แตํ
ครัง้ กอํ ตัง้ แมํฮอํ งสอนจนมาถงึ ปจ๓ จุบนั เรียกวํา “ปอยจําต่ีมิ่งเมือง” งานประเพณบี ูชาเจดยี ท๑ ่วี ัดพระ
นอนเปน็ งานบญุ ที่ท้งั เดก็ ผ๎ูใหญํ หนํมุ สาว และผเ๎ู ฒําผู๎แกชํ ืน่ ชอบ ในการขนทรายเขา๎ วดั จะเรมิ่ กํอน
วันวิสาขบูชา 7 วัน ตอนเย็นๆของทกุ วนั ในชวํ งน้จี ะมีผ๎คู นเป็นจํานวนมากท้ังหญงิ ชายพากันเดินไป
ที่บํอทรายขาว ใกล๎บริเวณโรงฆําสตั วใ๑ นปจ๓ จุบนั ซ่งึ บรเิ วณดังกลําวนี้จะเต็มไปด๎วยทรายขาว พุํมไม๎
เตี้ย มีต๎นไม๎จําพวกต๎นพวง ต๎นหว๎า ทุกคนจะขุดทรายขาวใสํยําม ขัน ถังนํ้า หรือบางทีก็บรรทุกใสํ
เกวียน และเด็ดยอดตน๎ หวา๎ (ไม๎สะเป)่ เสยี บไปในดินขาวน้นั ด๎วย เพอื่ จะได๎นาํ ทรายและไม๎สะเปม่ า
บชู าที่วัดพระนอนดว๎ ย ท่ีวัดจะมกี ารจัดเตรียมสถานท่ีเพื่อจะจัดเป็นที่กํอเจดีย๑ทรายไว๎บริเวณหน๎า
รปู ปน๓้ สาํ งซ่ี หรอื ราชสหี ค๑ ใํู หญํ เม่ือผ๎คู นขนทรายมาถงึ วดั จะนําเทกองไว๎ ณ บริเวณที่ทางวดั จัดไว๎
ให๎พร๎อมทั้งนํายอดไม๎สะเป่(นิยมเรียกวําหมอกสะเป่) ป๓กไว๎บนกองทรายด๎วย คําวําสะเป่ แปลวํา
เตม็ อกเต็มใจหรือพอใจ (ชาวไทใหญํเชอ่ื วํางานบุญใดๆหากไดบ๎ ูชาดว๎ ยดอกสะเป่ถอื วาํ ได๎ทําบุญน้ัน
ด๎วยความเต็มอกเต็มใจ) เม่อื เททรายไว๎ทวี่ ัดแล๎วกพ็ ากนั กลับบ๎าน บางคนก็ชํวยพระตีกลองปุ่งตํอง
ซ่ึงเป็นกลองสองหน๎าขึงด๎วยหนังสัตว๑มีขนาดเทํากับคนโอบ 1 ใบ และฆ๎องขนาดใหญํมีขนาด
เส๎นผาํ ศูนยก๑ ลาง 2 ฟุต เวลาตีจะสลบั กันระหวาํ งฆ๎องกับกลอง กลองจะตีด๎วยไม๎ พอถึงเวลาคํ่ามืด
ไมํมีผ๎คู นขนทรายมาเพ่ิมแลว๎ ก็หยุดตี วันรุํงขึ้นก็ตีกลองอีกตลอดเวลา 7 วันกํอนวันงานคนที่อาศัย
อยูใํ นเมืองแมฮํ ํองสอนจะได๎ยนิ เสียงกลองปุ่งตํองทุกเย็น เป็นสญั ญานบอกวาํ ได๎เวลาขนทรายเข๎าวัด
แล๎ว แตํป๓จจุบันไมํมีเสียงกลองแล๎วอีกท้ังบํอทรายขาวก็ถูกนําไปป็นท่ีปลูกสร๎างบ๎านเรือนจนหมด
จะใช๎รถบรรทกุ ขนทรายมาจากแมํนาํ้ ปาย สําหรับวดั อื่นๆมกั จดั ปอยจาํ ตก่ี ํอนวันเพญ็ เดือนหก

39

การขนทรายตามวนั เกดิ จากตาราโหราศาสตร์ไต
เรียกวาํ “กยฺ ามลอก่ีปองขยฺ ุก” การทาํ บุญตามวันเกิดเพอื่ สะเดาะเคราะห๑ด๎วย การตกั ทราย
และ การนั่งบูชา (ไหว๎) เจดีย๑ทรายตามวันเกิด การเริ่มตักทรายใสํในเจดีย๑เร่ิมตรงหน๎าวันเกิดกํอน
แลว๎ เวียนขวาไปตามลาํ ดับแปดทิศและตกั ทรายใสลํ งไปแตลํ ะดา๎ นทศิ ตํางๆดังนี้
คนเกดิ วันอาทติ ยอ๑ ยํทู างทศิ อสี าน (ตะวนั ออกเฉียงเหนือ) ของเจดยี ๑ทราย ตักบชู า 6 ครง้ั
คนเกิดวนั จนั ทร๑ทางทิศบรู พา (ตะวนั ออก) ของเจดีย๑ทราย ตกั บูชา 15 ครง้ั
คนเกดิ วันองั คารอยํทู างทิศอาคเนย๑ (ตะวันออกเฉยี งใต)๎ ของเจดยี ท๑ ราย ตกั บชู า 8 ครัง้
คนเกดิ วันพธุ อยํูทางทศิ ทักษิณ (ใต๎) ของเจดียท๑ ราย ตกั บูชา 17ครั้ง
คนเกิดวนั พฤหสั บดีอยํทู างทิศปจ๓ ฉิม (ตะวนั ตก) ของเจดยี ๑ทราย ตกั บูชา 19 คร้งั
คนเกิดวันศุกรอ๑ ยํูทางทศิ อุดร (เหนือ) ของเจดีย๑ทราย ตักบูชา 21 ครงั้
คนเกิดวนั เสาร๑อยูทํ างทิศหรดี (ตะวันตกเฉยี งใต)๎ ของเจดีย๑ทราย ตักบชู า 10 ครง้ั
คนเกิดวันพุธกลางคืนหรือราหูอยํูทางทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ) ของเจดีย๑ทราย ตัก
บูชา 12 ครั้ง

อุปกรณ์ที่ใช้ในปอยจ่าต่ี ประกอบด๎วย ทราย ดอกไม๎ตํางๆ (ดอกสเป่) ตุง (ธง)
(ตงุ รูปคน,ตุงยาว) จ๎ากจํา (ฉลุลวดลาย) กระสวยดอกไม๎ ธูปเทยี น กระบอกนํ้า กระบอกทราย
พัด เทียน ก๏อกซอมตํอ ไม๎งํามค้ําโพธิ์คํ้าไทร และสะพานสืบชะตา (สามารถ หิมะนันท๑:
15/09/2550)

40

7.1 กระบอกน้ากระบอกทราย หมายถึง การบูชาธาตุทั้ง 4 ซึ่งมีสํวนประกอบ
ดังน้ี คอื ทราย(ธาตุดิน) น้ําหรือกระบอกนํ้า(ธาตุน้ํา) พัดเงิน พัดทอง (ธาตุลม) ธูปเทียน
(ธาตุไฟ) จา๎ กจาํ ดอกไม๎ ทเี งนิ ทีคํา ไม๎ค้าํ โพธคิ์ า้ํ ไทร และสะพานสบื ชะตา

กระบอกนา้ กระบอกทราย
7.2 เ ค ร่ื อ ง บู ช า เ จ ดี ย์ ป ร ะ ก อ บ ด๎ ว ย ดั ง นี้
(คณะอนกุ รรมการวฒั นธรรมจังหวดั แมฮํ อํ งสอน มปป. :51-57)
1) ทราย ซง่ึ หมายถึงธาตดุ นิ 20 สํวน บูชาโดยเอาทรายใสํกระบอกไม๎ไผํ
จํานวน 20 กระบอก
2) นํ้า หมายถึง ธาตุน้ํา 12 สํวน บูชาโดยนํานํ้าใสํกระบอกหรือภาชนะ
อน่ื ๆจาํ นวน 12 กระบอก
3) พัด หมายถึงธาตุลม บูชาโดยนาํ กระดาษมาตัดเป็นพัดจํานวน 6 ดา๎ ม
4) อื่นๆ คือ ดอกไม๎ ธปู เทยี น ตงุ ไส๎หมู ตงุ นางผาน ฉตั ร ธงทวิ ใช๎ประดับ
เจดยี ท๑ รายใหส๎ วยงาม และมีการจุดประทีปโคมไฟให๎สวยงามอีกดว๎ ย

41

เครือ่ งบชู า
8. ข้นั ตอนปอยจา่ ต่ี

8.1 ขั้นตอนการเตรียมงาน การทําบุญบูชาเจดีย๑ของชาวไทใหญํ ได๎ปฏิบัติ
สืบเน่ืองกันมาเป็นเวลาช๎านานแล๎ว โดยเฉพาะงานประเพณีบูชาเจดีย๑ทรายม่ิงเมืองท่ีวัด
พระนอนประเพณีน้ีทําสืบทอดกันมาเป็นเวลานานกวํา 100 ปี ซ่ึงมีข้ันตอนดังนี้
(คณะอนุกรรมการวัฒนธรรมจังหวัดแมฮํ อํ งสอน มปป.: 51-57)

8.1.1 ขน้ั ตอนแรก
1) มีการประชมุ ปรกึ ษาหารอื กนั เก่ยี วกบั จาํ นวนวนั สถานที่จัดงาน จะมี
บ๎องไฟหรือไมํ จะให๎มีมหรสพอะไรบ๎าง จะเปิดงานวันไหนเวลาใด จะเอา
ทรายจากไหน (สมัยกํอนการขนทรายเข๎าวัดนํามาจากแมํน้ํา ป๓จจุบัน
คณะกรรมการจดั งานวัดจะนาํ ทรายมากองไว๎ในบรเิ วณวัดกอํ น) เมือ่ ตกลง
กนั ไดแ๎ ลว๎ การจัดงานจึงเริ่มกํอนวันเพ็ญข้ึน 15 ค่ํา เดือน 6 ประมาณ 5-7
วนั
2) ทาํ การประกาศบอกบญุ ไปยงั ชาวบา๎ นตํางๆให๎ทราบถึงกําหนดการจัด
งาน เพื่อให๎ชาวบ๎านตระเตรียมเครื่องบูชาตํางๆและป๓จจัยที่จะถวายวัด
รวมทง้ั ชวํ ยกันขนทรายเขา๎ วัด

8.1.2 ข้ันตอนทีส่ อง การเตรยี มการวนั ดา ดังนี้
1) จัดเตรยี มสถานที่ตั้งเจดยี ๑ทราย
2) เตรียมดอกไม๎
3) ตงุ (ธง) รปู ตาํ งๆตามประเพณีเจดยี ๑ทราย มีตงุ รูปคนค(ํู กัญหา ชาล)ี ตุง
ยาว จ๎ากจําฉลุ เป็นลวดลายมีลักษณะปลายแหลม (แทนล้ินแมํกาขาว
หรอื กาเผือก) ใชก๎ ระดาษสีทําท้ังสิน้
4) เตรียมการทํากระสวยดอกไม๎ ธูปเทียน
5) ทํากระบอกนํ้า กระบอกทราย พัด เทียน ชุดละ 4 เลํม สําหรับบูชา

ธาตทุ ั้ง 4
6) ก๏อกซอมตอํ (กระทง)
7) ไมง๎ าํ มค้ําโพธคิ์ ํา้ ไทร
8) สะพานเพอ่ื สบื ชะตา

42

ปอยจา่ ตี่ในอดตี ปอยจ่าตป่ี ัจจุบัน

8.2 ข้นั ตอนการจัดงานปอยจา่ ตี่ การจัดงานน้ีในเขตเทศบาลจะจัดท่ีวดั พระ
นอนตรงกบั วนั เพญ็ เดอื น 6 สํวนนอกเขตเทศบาลจะจัดกอํ นวันเพญ็ เดอื นหก ในแตลํ ะวันมกี ิจกรรม
ดังนี้

วนั ท่ี 1
1) ชาวบ๎านและคณะศรัทธาวัด จะชํวยกันขนทรายมาที่วัดทุกวัน เริ่ม

ตง้ั แตวํ ันข้ึน 8 คํา่
ถึง 14 คํ่า เดือน 6 สํวนใหญํจะขนมาเวลาเย็น ซ่ึงเป็นเวลาเลิกงาน
แล๎ว โดยขนทรายมาไวท๎ ี่ๆทางวัดจัดเตรียมไว๎ ป๓จจุบันขนกํอนวันงาน
หน่ึงวัน
2) ชํวงระยะเวลาน้ีชาวบ๎านจะชํวยกันทําพัด ทําตุง ทําธง ทําที(รํมเล็กๆ)
ทํากระบอก
นํ้ากระบอกทราย และทําการสานผาหยาดสะมาด (ราชวัตร) ท่ี
สําหรับวางขา๎ วซอมตอํ เพอ่ื เตรยี มทีจ่ ะกํอเจดีย๑ทราย

ชว่ ยกนั ขนทราย เด็กๆช่วยกนั ขนทราย

43

เดินขบวนขนทรายไปวดั ขบวนขนทราย

วันท่ี 2
1) สําหรับวัดพระนอน วนั ขึ้น 14 คํ่า เป็นวันสุดท๎ายของการขนทรายเข๎า
วัด วันน้ีคณะศรัทธาวัดมารํวมกันตกแตํงองค๑เจดีย๑ทราย บริเวณรอบๆ
เจดีย๑ทรายจะมี ผาหยาดสะมาด (ราชวัตร) ที่สานจากไม๎ไผํ ก้ันไว๎ท้ัง 4
ด๎านเจาะด๎านใดด๎านหน่ึงไว๎เป็นประตูทางเข๎า ท้ัง 4 มุม ป๓กต๎นกล๎วย ต๎น
ออ๎ ย แล๎วมกี ารจดุ ประทปี โคมไฟใหส๎ วาํ งไสว
2) หลังจากนั้นเร่ิมกํอเจดีย๑ทราย ทําเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสทําเป็นช้ันๆ 7
หรือ 9 ช้ันประดับด๎วยธงทิว ตุง ฉัตร สายร๎ุงหลากสี (สํางการเคอ)
ดอกไมน๎ านาชนดิ

ตกแต่งองค์เจดียท์ ราย ตกแตง่ เจดีย์ทราย

44

แต่งเจดยี ์ทราย ชว่ ยกนั ตกแต่ง

วนั ที่ 3

1) สําหรับวัดพระนอน รํุงเช๎าวันข้ึน 15 ค่ําเดือน 6 เป็นวันถวายเจดีย๑

ทราย เวลาประมาณ 5 นาฬิกา จะมีพิธีบูชาเจดีย๑ทราย ชาวไทใหญํ

เรยี กวํา “ตํางอเนกจาํ ” พระสงฆ๑จะนําถวายข๎าวซอมตํอหรือข๎าวพระพุทธ

(ถวายขา๎ วมธุปายาส)

2) เวลา 10.00 น. พิธีทางศาสนา รับศีล มีเทศน๑ 1 กัณฑ๑ ถวายป๓จจัย

ไทยธรรมพระสงฆ๑อนุโมทนาให๎พร ถวายเพลพระภิกษุสงฆ๑สามเณรเล้ียง

อาหารผ๎มู ารวํ มงานดว๎ ยการแจกขา๎ วหํอ

3) สํวนพิเศษของงานประเพณีปอยจําต่ี อีกประการ คือ การทําบ๎องไฟ

มาจดุ เปน็ พุทธบูชา และเพื่อให๎ฝนตกต๎องตามฤดูกาล อาจมีการประกวด

บ๎องไฟด๎วยในบางชมุ ชน

4) เวลา 13.00 น. นาํ บอ๎ งไฟแหํไปตามสถานทีจ่ ดุ เพอ่ื ถวายเปน็ พทุ ธบชู า

ธรรมบชู า สังฆบูชา พร๎อมทง้ั ขอฝนใหต๎ กต๎องลงมาตามฤดูกาล

5) เวลา 18.00 น. เจ๎าของบ๎องไฟมาขอรับรางวัลจากคณะกรรมการจัด

งานหรือเจา๎ ภาพจัดงาน

มกี ารร้องราทาเพลง ทาบุญ

45

เมอื่ งาน”ปอยจําตี่” เสรจ็ แล๎วระยะหนึ่งมักจะมฝี นเร่ิมตกโปรยปรายลงมา จึงเป็นชํวงเวลา
ที่ชาวไทใหญํจะเร่ิมลงมือประกอบอาชีพทําไรํทํานากันตํอไป การเข๎ารํวมพิธี “ปอยจําตี่” จึงเป็น
การสรา๎ งความม่นั ใจวํา จะทําให๎ตนเอง ครอบครวั ชมุ ชนมคี วามสุขทั้งกายและใจอยํางถ๎วนหน๎าทุก
คน อีกท้ังการประกอบอาชีพตํางๆก็จะประสบผลสําเรจ็ แนํนอน

การจดุ บง้ั ไฟ เจดยี ์ทรายสมยั ก่อน

ประเพณเี ดอื นหก ของชาวไทใหญ่ จึงไดแ้ ก่ ปอยจา่ ต่ี (ถวายเจดียท์ ราย) และต่างซอมตอ่ โหลง

46

ประเพณีเหลินเจด็ (เดอื นเจด็ ตรงกับเดอื นมถิ นุ ายน)
ประวัติความเป็นมา (บอ่ เกดิ ประเพณ)ี

เดอื น 7 ภาษาปุ่งนา (ปดุ รหิต)เรยี กวํา “เหมํถํุงหยําสี่ ” ภาษาพมาํ เรยี กวาํ “นหยงํุ ละ” ธาตุ
ประจําเดือนคือ วาโยธาตุ เป็นเดือนท่ีมีลมแรงดอกไม๎ประจําราศี คือดอกเข๎าแตกโหลง (ดอกมะลิ)
เป็นเดอื นทพ่ี ระสงฆ๑จัดใหม๎ จี ําแมปอย (ปจุ ฉา-วิสชั นา) ศกึ ษาค๎นคว๎า ซกั ถามในเร่ือง พระธรรมคําสง่ั
สอนและวิชาการตํางๆ ซ่งึ เจเลแสงเฮงิ กลาํ ววํา เดอื น 7 เป็นเดอื นที่พระพทุ ธเจ๎าทรงไตรํตรองใน
หลกั โมกขธรรมทีท่ รงตรสั ร๎ูโดยเฉพาะหลักปฏจิ จสมปุ บาท ซงึ่ เป็นวฎั ฎจกั รของสังสารวัฎ จนถึงหลัก
ความจรงิ แหํงความหลดุ พ๎น 4 ประการ หรืออริยสัจจ๑ 4 (โกศล ศรมี ณี มปป. : 19)
ประเพณวี านปะลกี และประเพณเี ลย้ี งเมอื ง

ประวัติความเป็นมา พิธเี ลยี้ งเมอื ง และวานปะลีก
วานปะลีก เป็นประเพณีในเดือน 7 ของชาวไทใหญํกํอนเข๎าพรรษา วานปะลีกเป็นการ
ทําบุญหมํูบ๎าน หรือสวดมนต๑บ๎าน เจ๎าของบ๎านจะนําถังนํ้าใสํน้ําใสํทราย ธูป เทียน ส๎มป่อย ด๎าย
สายสญิ น๑ ทาํ ตาแหลว 7 ชั้น นําใบไม๎มงคล (ใบไม๎ที่มชี อื่ กนั้ กดี ขวางและหนาม) โดยเอาหญา๎ คาทํา
เป็นเชือกผูกร๎อยตาแหลวและไม๎มงคลเข๎าด๎วยกัน มาเข๎าพธิ เี พือ่ นําไปปอ้ งกนั สิง่ ที่ชั่วร๎ายท่ีบ๎านเรือน
ของตน ชาวบ๎านมีความเช่ือวําการจัดทําประเพณีวานปะลีกจะชํวยป้องกันอันตรายทั้งปวงภายใน
หมบูํ ๎าน ชุมชน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อวําเป็นการขับไลํเสนียดจังไรตํางๆออกจากหมูํบ๎านอีกด๎วย
กํอนพิธวี านปะลกี ในภาคเช๎าจะมีพิธีเล้ียงเมืองกํอน คือการเลี้ยงศาลเจ๎าเมือง เช่ือวําการเล้ียงเมือง
จะทําให๎หมํูบ๎านได๎รับการคุ๎มครอง จากเจ๎าพํอ เจ๎าแมํ ท่ีสิงสถิตอยํูตามศาล คอยค๎ุมครองป้องกัน
อนั ตรายจากส่ิงชัว่ ร๎ายตาํ ง ๆทจ่ี ะมากลาํ้ กรายทํารา๎ ยผู๎คนในชุมชน

47

ใน 1 ปี จะมีพิธีเลี้ยงเมืองตามความเช่ือ 1 คร้ัง จะถือเอาวันข้ึน 13 ค่ํา เดือน 7 เป็นวัน
เลี้ยงเมือง ยึดถือตามตําราโหราศาสตร๑ที่กําหนดไว๎วํา วันข้ึนหรือแรม 13 ค่ําเป็นวันผีกินไกํ
เน่ืองจากการเลี้ยงเมืองจะต๎องมีเคร่ืองเซํนท่ีเรียกวํา เหล๎าไหไกํคํูเป็นหลัก จึงต๎องเลือกวันผีกินไกํ
สวํ นใหญจํ ะประกอบพิธีพร๎อม ๆ กันทุกหมํูบ๎าน ภาคเช๎าจะประกอบพิธี “เล้ียงเมือง” ภาคบํายจะ
ประกอบพธิ ี “วานปะลกี ” จึงมพี ธิ กี รรมและความเช่อื เกย่ี วกับการเล้ยี งผีของแตํละชุมชนทคี่ ลา๎ ยกัน
เชํนจะมีพิธเี ล้ียงผีเจา๎ เมืองในเดอื น 7 ของทุกปที ี่เรียกวาํ “การเลี้ยงเมือง” เพราะประชาชนมีความ
เชื่อวํา ผีเจ๎าเมืองจะคอยปกป๓กรักษา ดูแล ผู๎คนในชุมชนให๎อยูํเย็นเป็นสุข (ประเสริฐ ประดิษฐ๑
มปป.:)

ส่ิงของท่ีใช้ในการประกอบพิธีวานปะลีก
1) ตาแหลว ๗ ช้ัน สอดด๎วยเชือกหญ๎าคา พร๎อมด๎วยไม๎มงคลท่ีเชื่อวําทําหน๎าที่
ป้องกันภยั เชนํ ไมก๎ าง ถ่ัวแระ หนามเจ็ดเช้ือ
2) ทราย สําหรบั ไว๎ซดั หลังคาและภายในบริเวณบ๎าน
3) ด๎ายสายสญิ น๑ สาํ หรบั ขึงลอ๎ มบ๎าน
4) สม๎ ปอ่ ย สาํ หรบั แชอํ าบ และขจัดสงิ่ ชว่ั รา๎ ย
5) เทยี น ธูป สําหรบั จุดบชู า
6) ถังนํ้า หรือตะกรา๎

ขัน้ ตอนการทาตาแหลว
นําไม๎ไผํมาผําเป็น ซีก ๆ ขนาดกว๎าง 1.5 เซนติเมตร ยาว 20 เซนติเมตร และนํามาสาน
เข๎าด๎วยกันเป็นรปู ตาแหลว (คลา๎ ยรูปดาว )ให๎ได๎ 7 ชนั้ แล๎วนาํ ตน๎ หญา๎ คามาพนั กนั หลาย ๆ ต๎นทาํ
เปน็ เชอื ก ใช๎ผูกกับไม๎ไผํทส่ี านเข๎าดว๎ ยกนั และนํายอดไม๎มงคล ตําง ๆ ท่ีเตรียมไว๎มาผูกติดกับไม๎ไผํที่
ได๎สานเป็นรูปตาแหลว เสรจ็ แลว๎ นาํ สิง่ ของทุกอยาํ งใสลํ งในถงั นํ้า นําไปวางไว๎ทศ่ี าลาวานปะลกี เพ่ือ
รอทาํ พิธใี นชวํ งเย็น

48

ตาแหลว หรอื เฉลว เปน็ เครื่องใช๎ในพิธีกรรมทางศาสนา และการอาชีพ มีลักษณะเป็นไม๎
ไผํสานด๎วยตอก ไขว๎กันไปมาเป็นแฉก ๆ คล๎ายรูปดาว ใช๎เป็นสัญลักษณ๑เพ่ือแสดงขอบเขต หรือ
ป้องกันสิ่งช่วั รา๎ ยทจ่ี ะเขา๎ มาในบริเวณนน้ั ชาวไทยเรียกวํา เฉลว เชนํ เฉลวป๓กในนาข๎าวเพ่ือให๎เป็น
สิริมงคลแกํไรํนาให๎ต๎นข๎าวเจริญงอกงาม ถ๎าเฉลวมัดด๎วยเชือกแล๎วขึงไว๎หน๎าประตูบ๎านเช่ือวําชํวย
ปอ้ งกนั สง่ิ ช่ัวร๎ายเข๎าบา๎ น (ประเสริฐ ประดิษฐ๑ มปป.:10)

ขัน้ ตอนการจัดงานประเพณีวานปาลกี
4.1 ข้ันเตรียมการ มีการประชุมปรึกษากันวํา จะทําวันไหน จะทําท่ีไหนของ

หมูํบ๎าน เม่ือได๎ข๎อตกลงในท่ีประชุมแล๎ว ชาวบ๎านทุกหลังคาเรือนจะชํวยกันสร๎าง หรือซํอมแซม
ศาลาวานปลีกกลางหมูบํ า๎ น และนําไม๎ไผํมาทาํ เป็นรัว้ แตํงบริเวณรอบ ๆ ศาลา

4.2 ขั้นจัดพิธีกรรม ในเวลาประมาณ 5 โมงเย็นชาวบ๎านจะนิมนต๑พระมาที่ศาลา
ที่ได๎จัดเตรียมไว๎ จํานวน 5 รูปหรือ 7รูป เพ่ือทําพิธีสวดมนต๑ เป็นการขับไลํสิ่งท่ีไมํดี สิ่งร๎าย ภูตผี
ปีศาจออกจากบา๎ นเรอื นและหมบูํ ๎าน ขอให๎มแี ตเํ รอื่ งท่ีดีงามท่เี ป็นสิรมิ งคล

เมื่อเสร็จพธิ ีสวดมนตบ๑ ๎าน ชาวบ๎านจะนาํ สิง่ ของดงั กลาํ วไปไวท๎ บ่ี ๎าน ใช๎ทรายโปรยไปให๎ท่ัว
บา๎ น ใบไม๎และตาแหลวผกู ไวท๎ างเขา๎ ประตหู นา๎ บา๎ น ดา๎ ยสายสิญน๑กน็ าํ ไปขงึ โยงล๎อมบ๎านและอาคาร
ตาํ งๆ เพื่อป้องกันสิง่ ไมดํ เี ข๎ามารบกวน เปน็ ความเชอื่ ท่ยี ึดถอื ปฏบิ ัตกิ นั มาช๎านาน

ประเพณเี ดอื นเจด็ ของชาวไทใหญ่ จงึ ไดแ้ ก่ การเลย้ี งเมอื ง และ วานปะลีก

49

ประเพณีเหลนิ แปด (เดอื นแปดตรงกับเดือนกรกฏาคม)
ประวัตคิ วามเปน็ มา (บอ่ เกดิ ประเพณ)ี

ภาษาป่งนา (ปุโรหิต ) เรียกวํา “กระระกั๊ดหยําส่ี ” ภาษาพมําเรียกกวํา “หวําเสื่อละ”
ธาตุประจําเดือนคือ อาโปธาตุเป็นเดือนท่ีมีน้ํามาก ดอกไม๎ประจําราศีคือ ดอกสะระพีเล็ก (ดอก
สารภ)ี เปน็ ฤดทู ่มี ีการบรรพชาอปุ สมบทกนั มากเปน็ เดือนทีพ่ ระสงฆ๑อธษิ ฐานอยูจํ าํ นาํ พรรษา มีเร่อื ง
รวบอํ เกิดประเพณีกลาํ วไว๎วาํ ตอนท่ีพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประทับ
น่ังบนบลั ลังก์ทต่ี รัสร้นู น้ั เปน็ เพ็ญเดอื น 6 ระหว่างเดือน 6 แรม 7 คํ่า จนถึงวันสิ้นเดือน 7 นั้น เป็น
ระยะที่พระพุทธองค์ทรงเสวยวิมุตติสุข พอวันข้ึน 4 ค่ําเดือน 8 พระองค์ก็ไปยังมิกก๊ะต่าหวุ่น
(มฤคทายวนั ) ใช้เวลาเดนิ ทาง 10วัน ถึงวันข้ึน 13 ค่ํา เดือน 8 วันขึ้น 14 คํ่า ได้เทศนาธรรมจักกะ
หยา่ (ธรรมจักรกปั ปวัตนสูตร) วันข้ึน 15 ค่ํา เทศนาโปรดก่อนต่ิงยะ (โกญฑัญญะ) วันแรม 1 ค่ํา
เดือน 8 เทศโปรด วปั ปะ ภทั ทิยะ มหานานะ และอสั สชิ ตามลาํ ดับ

ในป๊ะทะมะหว่า (ปฐมพรรษา)พระองค์อยู่จําพรรษาในมฤคทายวัน พอพรรษาที่ 2 พระ
พุทธองคท์ รงบญั ญัตกิ ารเข้าพรรษาไวใ้ หพ้ ระสงฆอ์ ยจู่ ําพรรษาไมไ่ ปค้างคนื ทอี่ ืน่ ตลอดจนครบถ้วน 3
เดือน สํวนศรทั ธา อบุ าสก อุบาสิกากไ็ ดถ๎ อื ศลี ภาวนาในพรรษาตามพระสงฆไ๑ ปด๎วย

ฉะน้ันในเดือน 8 น้ี จึงเป็นเดือนที่พระสงฆ๑อธิษฐานเข๎าพรรษา ผู๎เฒําผ๎ูแกํก็มักจะจําศีลที่
วัดตง้ั แตํวันเขา๎ พรรษาจนถึงวันออกพรรษา(โกศล ศรีมณี มปป. : 19-20)

กจิ กรรมแหเ่ ทยี นพรรษา
ในระยะหลงั ชาวพทุ ธสวํ นใหญํในจังหวัดแมฮํ อํ งสอน ไดน๎ ําเอาจารตี การแหํเทยี น และถวาย
เทียนเข๎าพรรษาตามประเพณีของล๎านนาและไทย เข๎ามา จึงมีการรวมตัวกันเป็นป๊อก หรือ ชุมชน
จัดกิจกรรมหลํอเทียนเข๎าพรรษา และนัดหมายจัดพิธีแหํเทียนอยํางพร๎อมเพรียงกัน เป็นหมํูบ๎าน
ตาํ บล อําเภออยาํ งแพรหํ ลาย
ประเพณีเดือนแปด ของชาวไทใหญํ จึงไดแ๎ กํ ปอยเข๎าหวํา หลํอเทียนแหํเทียนพรรษา และ
ตาํ งซอมตํอโหลง

50

ประเพณีเหลินเกา้ (เดือนเก้าตรงกับเดือนสงิ หาคม)
ประวตั คิ วามเปน็ มา (บอ่ เกิดประเพณ)ี

ภาษาปุ่งนา (ปุโรหิต)เรียกวํา “ส่ินนะหยําส่ี ” ภาษาพมําเรียกวํา “คยองละ” ธาตุ
ประจําเดือนคือ เตโชธาตุ เป็นเดือนท่ีมีอากาศร๎อนเล็กน๎อย ดอกประจําราศีคือ ดอกคะตํอโหลง
(ภาษาถิ่น) เป็นเดือนท่ีทําสลากภัตร มีเรื่องราวที่เก่ียวกับงานประเพณีกลําวไว๎วํา ในสมัย
พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสีมีหน่อพุทธางกูรที่ตกทุกข์ได้ยากถือกําเนิดในตระกูลของมหา
ทุคคตะ ในเมืองป่าหร่านะสี่ (พาราณสี) ในสมัยน้ัน ชาวเมืองท้ังหลายนิยมทําบุญถวายสลากภัตร
คนหน่งึ ก็รับถวายไทยธรรม 1 องค์บา้ ง 2องค์บา้ ง 3 องคบ์ า้ ง 10 องค์บา้ ง จับสลากกนั เพราะความ
ท่หี นอ่ พุทธางกูรเปน็ มฐี านะยากจน ทงั้ สามีและภรรยามีอาชีพหาฟืนหาใบตอง มาขายเพื่อเล้ียงชีพ
ไปวันหนึ่งๆ แต่มีเจตนาศรัทธาประสงค์จะร่วมทําบุญสลากภัตกับคนอื่นๆไปบอกเจ้าหน้าท่ี ขอรับ
เป็นเจ้าภาพ 1 องค์ แลว้ กลับไปเตรยี มไทยธรรมอาหารเพือ่ ถวายบิณฑบาตท่บี า้ น พอถึงวันทําบุญก็
บอกเจ้าหน้าทที่ จ่ี ดั ทาํ รายชอื่ ศรทั ธาเจา้ ภาพเพอื่ ขอรบั สลากกลับไดร้ บั คาํ ตอบวา่ ลืมจดชอื่ ไว้ และได้
จับสลากกันไปหมดแล้ว พระสงฆ์ก็ได้รับนิมนต์ไปจนหมดสิ้นไม่เหลือเลย พอได้ยินดังน้ันมหา
ทุคคตะรู้สึกน้อยอกน้อยใจถึงกับร้องไห้โฮข้ึนมาท่ามกลางฝูงชน ผู้คนเกิดความสสารจึงแนะนําว่า
ขณะน้ีเหลอื เพียงพระพุทธเจา้ พระองค์เดียวเท่านั้นท่ียังไม่ได้รับนิมนต์ผู้ใด ขอให้ไปนิมนต์พระพุทธ
องค์ดู มหาทุคคตะรู้สึกชื่นชมยินดีจึงรีบเข้าไปนิมนต์พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็รับนิมนต์ทันที
พร้อมทั้งย่ืนบาตรให้มหาทุคคตะ เม่ือรับบาตรแล้วมหาทุคคตะก็ทูนบาตรไว้บนศีรษะและเดินผ่าน
ท่ามกลางพุทธบริษัทไปอย่างอ่ิมเอมใจ เหล่าพุทธบริษัทท่ีรอนิมนต์พระองค์เห็นเหตุการณ์เช่นน้ัน
ตา่ งพยายามขอซอ้ื การเป็นเจา้ ภาพจากมหาทคุ คตะด้วยเงนิ 100-1000 กษาปณ์ แม้มหาทุคคตะจะ
ไม่มีอาหารดีๆ ถวายพระพุทธเจ้า จึงได้ชวนกันตามไปดูท่ีเรือนด้วยหวังว่าหากอาหารบิณฑบาต
และไทยธรรมไม่ดี หรือไม่เพียงพอ จะได้นิมนต์พระพุทธเจ้าไปยังบ้านเรือนของตน แต่ปรากฏว่า
เทพยาดาได้ลงมาช่วยหุงช่วยปรุงอาหารรสชาติอันเป็นทิพย์พอเปิดฝาภาชนะเท่าน้ัน กลิ่นอันหอม
หวานขจรขจายไปทั่วบ้านทั่วเมือง คณะศรัทธาทั้งหลายจึงช่วยกันจัดอาหารบิณฑบาตไปถวาย
พระพุทธเจ้า เมือ่ กลับคืนมาถึงบ้านเรือนพระอินทร์ก็เนรมิตฝนเงินฝนทองและฝนแก้ว 7 ประการ
ตกลงมารอบๆ เรือนของมหาทุคคตะเปน็ กองพะเนินเทนิ ทึก พระมหากษัตริย์ทราบเร่ืองดังกล่าวจึง
พระราชทานตําแหน่งมหาเศรษฐีใหญ่ให้แก่มหาทุคคตะ มหาเศรษฐีใหม่ก็ได้โอกาสทําบุญ ทําทาน
อย่างย่ิงขึ้น เม่ือส้ินอายุขัย จึงจุติเป็นเทวดาในสวรรค์ จากสวรรค์ก็จุติเป็นมนุษย์ กลับไปกลับมา
จนถึงสมยั พระโคดมสมณเจ้า จึงสามารถบรรลมุ รรคผล เม่อื อายุ ได้ 7ขวบ มีช่อื ว่า ปัน่ ต๊กิ ตา่ มะเหน่


Click to View FlipBook Version