51
(สามเณรบัณทิต) ด๎วยเหตูนี้ในเดือน 9 นี้จึงมีประเพณีทําบุญสลากภัตรสืบตํอกันมาจนถึงป๓จจุบัน
(โกศล ศรีมณี มปป. : 20-22)
ประเพณีเดือนเก้า ของชาวไทใหญ่ ได้แก่ ปอยทาบุญถวายสลากภัตร (บางพื้นท่ี) ปอยจ่าก๊ะ
และต่างซอมต่อโหลง
ปอยจา่ ก๊ะ ต่างซอมตอ่ โหลง
52
ประเพณีเหลินสบิ (เดอื นสบิ ตรงกบั เดอื นกันยายน)
ประวตั คิ วามเป็นมา (บอ่ เกิดประเพณี)
ภาษาปุ่งนา (ปโุ รหติ ) เรียกวา่ “จ่นั หยา่ ส่ี” ภาษาพม่าเรียกว่า “จอซะหล่ิงละ” ธาตุประจํา
ราศคี ือ ปฐวธี าตุ ดอกไม้ประจาํ ราศีคอื ดอกหยง่ั หมา่ (ภาษาถ่ิน) นิทานทเี่ ป็นบอ่ เกดิ ประเพณมี ีไว้วา่
ในสมัยพระโคดมสมณเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ นางวิสาขามหาอุบาสิกา ต้องออกเรือนไปเป็นลูก
สะไภ้ของมหาเศรษฐี ก่อนออกเดินทางในวันเพ็ญเดือน 10 นางวิสาขาได้จัดพิธีทําบุญคร้ังยิ่งใหญ่
คือจัดให้มีการทําบุญข้าวสารล้นบาตร น้ําผึ้งล้นบาตร เนยล้นบาตร นํ้ามันล้นบาตร เสร็จแล้วด้วย
อานสิ งสก์ ารทําบุญลน้ บาตรมอี นภุ าพมากสง่ ผลในทันทีทนั ใด เมื่อถึงวนั เดนิ ทางไปยังตระกลู สามนี นั้
ช้าง ม้า วัว ควาย แม้ถูกมัด ถูกขังไว้ในคอก ก็ดึงเชือกขาดพังประตูคอกว่ิงตามนางวิสาขาไปเป็น
จํานวนนบั หมนื่ นับแสน ดว้ ยเหตนุ ้พี อถึงวันเพญ็ เดอื น 10 เหล่าพุทธบรษิ ทั จดั ใหม้ ีการทําบุญ “ซอม
ต่อโหลง” (พุทธมหาบิณฑบาต-เรียบเรียง) พร้อมทั้งถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร
ตลอดจนทาํ บญุ ตกั บาตรแบบข้าวสารล้นบาตร เปน็ งานยง่ิ ใหญใ่ นรอบปี มีความเชื่อว่าอานิสงส์แห่ง
การทําบุญเช่นน้ี จะส่งผลให้การกสิกรรมมีผลผลิตมากเล้ียงสัตว์ก็จักแพร่หลาย จะบริบูรณ์ด้วย
ทรัพย์เงินทองและข้าทาสบริวาร จึงถือปฏิบัติจัดทําบุญข้าวสารล้นบาท สืบต่อกันมาเป็นประเพณี
ตราบทกุ วนั นี้ (โกศล ศรีมณี)
ประเพณตี ํางซอมตํอโหลง ถือเป็นประเพณีสําคัญท่ีต๎องจัดทํากันทุกวัดในวันเพ็ญเดือน 10
สํวนประเพณีการตักบาตรแบบข๎าวสารล๎นบาตร สําหรับชาวไทใหญํในจังหวัดแมํฮํองสอนแล๎วไมํ
นิยมปฏบิ ัติ คงยึดถอื ปฏบิ ัติแตํชาวไทใหญใํ นรัฐฉานและรัฐคะยา (ประเสรฐิ ประดษิ ฐ)์
53
ประเพณีตา่ งซอมตอ่ โหลง (ถวายขา้ วมธปุ ายาส)
ช่วงเวลาท่ีมกี ารจัดงาน
การจัดงานมักจัดในวันเพ็ญเดือน 10 ตํอมาภายหลังประเพณีวัฒนธรรมเปล่ียนไป จึงจัด
ในวนั เพญ็ เดอื น 6 และชํวงเขา๎ พรรษาทง้ั เดอื น 8 และ 9 รํวมด๎วย
ประเพณีตาํ งซอมตํอโหลง หรอื ถวายข๎าวมธุปายาส หรอื ถวายขา๎ วพระพทุ ธเจ๎าหลวง นั้น
ถึงจะเรียกชื่อตํางกันแตํก็มีความหมายเดียวกันคือเป็นการถวายข๎าวแดํ พระพุทธเจ๎าเพ่ือเป็นพุทธ
บูชา แตเํ ดมิ จะทาํ กนั ในวนั วสิ าขบูชา วันเพ็ญเดอื น 6 ซ่งึ ถือกนั วําเป็นวันที่คล๎ายวนั ประสูติ ตรัส
ร๎ู และปรินพิ พานขององค๑สมเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจ๎า ในตอนหนึ่งของพุทธประวัติตอนปฐมโพธิ
กาลเขียนไวว๎ ํา กํอนวนั ตรัสร๎ู 1 วนั พระบรมโพธสิ์ ัตวท๑ รงรบั ขา๎ ว“มธปุ ายาส” ของนางสุชาดาซง่ึ
เป็นธิดาของนายบ๎าน ตําบลอุรุเวลาเสนานิคมได๎ทําข๎าวมธุปายาสด๎วยความละเอียดประณีตโดย
ฝีมอื ของ นางเอง (วิธีในการทําข๎าวมธุปายาส ของนางสุชาดานั้นมีข้ันตอนคือ บีบเอาน้ํานมจาก
วัว 500 ตัว แล๎วเอามาเลี้ยงวัวจํานวน 250 ตัว แล๎วรีดนมจาก 250 ตัว มาให๎วัวอีก 125
ตวั กนิ ทําเชนํ นจี้ นเหลอื วัว 5 ตวั สดุ ท๎าย และบบี น้ํานมววั ไปหงุ ขา๎ ว ซง่ึ ทําให๎ไดน๎ ํ้านมววั บริสทุ ธิ์
มาหุงเรียกวาํ “ข๎าวมธุปายาส” นาํ ไปใสํภาชนะถาดทองคาํ แล๎วนําไปถวายพระมหาบรุ ษุ ซ่ึงนาง
สชุ าดาเข๎าใจวาํ เป็นเทพเจ๎าที่นางเคยบนบานไว๎ไว๎วําขอให๎ได๎บุตรชาย เม่ือสมปรารถนาแล๎วนางจึง
ทําข๎าวมธุปายาสซ่ึงเป็นข๎าวที่เลอเลิศมาถวาย พระมหาบุราจึงป๓้นข๎าวในถาดนั้นเป็นก๎อน ๆ ได๎
จํานวน 49 กอ๎ น และทรงเสวยจนหมด แล๎วนําถาดไปลอยในแมํนํ้าเนรัญชรา ตั้งคําสัจอธิฐาน
วํา ถ๎าจะได๎ตรัสรู๎เป็นพระพุทธเจ๎าขอให๎ถาดทองใบน้ีลอยทวนกระแสนํ้าขึ้นไป แล๎วถาดใบน้ันก็
ลอยทวนกระแสนํ้าขึ้นไปซ๎อนกันกับถาดของพระพุทธเจ๎าทั้งหลายในอดีต เป็นสัญญาณให๎รู๎วํา
พระองค๑จะได๎ตรัสรู๎เป็นที่แนํนอน ตอนเย็นพระองค๑ได๎เสด็จข๎ามแมํน้ําเนรัญชรากลางทางพบกับ
พราหมณค๑ นหนง่ึ ช่ือวาํ “โสตถิยะพราหมณ๑” ซ่ึงกลบั จากการไปเกยี่ วหญา๎ คา จงึ เอาหญ๎าคา 8 กํา
มอื เข๎าไปถวายให๎กับพระมหาบุรุษ พระองค๑รับแล๎วนําไปท่ีโคนพระศรีมหาโพธิ์ ทรงปูหญ๎าคา 8
กํามือนั้นเพ่ือรองน่ังและตั้งสัจอธิฐานในพระทัยวํา ตราบใดท่ีไมํบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิ
ญาณ ถึงแม๎วําเน้ือหนังจะเห่ียวแห๎งไปก็ตามก็จะไมํเสด็จลุกข้ึนจากท่ีนี่ตราบนั้น แล๎วพระองค๑
ทรงนั่งผินพระพัตรไปทางทิศตะวันออก ทรงพิจารณาในอาณาปานสติทรงกําหนดร๎ูลมอัสสาสะ
ป๓สสาสะ หายใจเข๎าออกในปฐมยามตรัสร๎ูปุพเพนิจาสานุสติญาณญาณที่หยั่งรู๎ชาติหนหลังได๎
พระองค๑ทรงบรรลุญาณท่ีเรียกวํา จุตุปปาตญาณ หยั่งรู๎การจุติและการเกิดของสัตว๑ท้ังหลายใน
มัชฌิมยาม ( ยาม 2) ในป๓จฌิมยาม(ยามท่ี 3)ได๎บรรลุอาสอักขยญาณญาณที่ทําอาสวะให๎สิ้น
54
ตรัสร๎ูพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ๎าเป็นศาสดาเอกในโลก และธรรมที่พระองค๑
ตรัสร๎ูน้ัน เรียกวํา “อริยสัจส่ี” คือ 1. ทุกข๑ 2. สมุทัย 3. นิโรธ 4. มรรค ซึ่งเป็นธรรมท่ี
พระองค๑ไมํเคยศึกษามากํอนในสํานักบุคคลใดเลย จึงได๎ พระนามวํา “สัมมาสัมพุทธะ” ตรัสรู๎
ชอบเอง ไมํมีครูอาจารย๑ส่ังสอนและเมื่อพระองค๑ได๎ตรัสรู๎แล๎ว ทรงเปลํงพุทธอุทาน ดังพระบาลี
วํา อัพยาป๓ชฌัง สุขังโลเก แปลวํา ความไมํเบียดเบียนเป็นสุขในโลก แล๎วตํอจากน้ันพระองค๑
ทรงเสวยวิมุตติสุขเป็นเวลา 7 สัปดาห๑ ท่ีละ 7 วัน รวมเป็น 49 วัน โดยไมํได๎เสวยพระ
กระยาหารเลย โบราณบัญฑิต ทํานอธิบายวํา ข๎าวมธุปายาสของนางสุชาดา ที่พระองค๑ทรงป้๓น
เป็น 49 ก๎อนนั้นก็เปรียบเสวยวันละก๎อน แตํเป็นการเสวยคร้ังเดียวทีเดียว ด๎วยเหตุนี้จึงทําให๎
ชาวพุทธทั้งหลาย รวมทั้งคนในจังหวัดแมํฮํองสอน จึงนิยมตํางซอมตํอโหลง หรือถวายข๎าว
มธปุ ายาส จาํ นวน 49 ก๎อน สบื มาจนถึงป๓จจุบนั
เมอ่ื ถึงวันเขา๎ พรรษาหรือในเหลนิ แปด เหลินเก๎า เหลนิ สบิ จะมีการกําหนดวนั ท่ีจะถวาย
ขา๎ วมธุปายาส อาจมีเจ๎าภาพหรอื รวมกนั ท้งั ชมุ ชนโดยจัดทําที่วัด การตํางซอมตํอโหลงเป็นพิธีท่ีทํา
ข้ึนเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ซึ่งเป็นการสืบทอดมาจากการที่นางสุชาดาได๎นําข๎าวไปถวายให๎กับ
พระพทุ ธเจา๎ ในขณะที่พระพุทธเจ๎าจะตรัสร๎ู
55
ผงั ขน้ั ตอนการจดั งานตา่ งซอมตอ่ โหลง (ถวายขา้ วพระเจ้าหลวง) มรี ายละเอียดดังต่อไปนี้
เตรียมงานหรือออกหมายกาหนดการซึ่งจะจดั งาน
ในช่วงของวนั พระโดยงานมที ้งั หมด 2 วนั
วนั ท่ี 1 วนั แต่งดา วนั ที่ 2 วนั ถวาย
1. คณะศรัทธานาของมารวมกนั (ข้าวสาร อาหารแห้ง 1. คณะศรัทธาหุงข้าวหรือนึ่งข้าวในตอนดกึ
ดอกไม้ ผลไม้ ฯลฯ)
2. นาข้าวทไี่ ด้สาง เพ่ือไม่ให้ข้าวตดิ กนั เป็ นก้อน
2. คณะศรัทธาร่วมกนั แต่งดา ใส่นม เนย นา้ ผงึ้ กวนหรือคนให้เข้ากนั
2.1 จดั ทาอบุ๊ เจา้ พารา
2.2 ทากรวยดอกไม้ 3. นาข้าวทที่ งิ้ ไว้ให้เยน็ ป้ันเป็ นก้อน ๆ
2.3 ทากอ๊ กซอมต่อ จานวน 49 ก้อน จานวน 3 ถาด และนา
2.4 ทาผาหยาดสมาด ส่ิงของต่างๆ ทเ่ี ตรียมไว้ไปต่างยงั ทต่ี ่างๆคือ
2.5 แกะสลกั ผลไม้ ศาลาการเปรียญ ,โบสถ์และเจดยี ์
2.6 ทาตน้ ผ้ึง ตน้ ดอก ตน้ ออ้ ย
4. คณะศรัทธานาอาหารทไี่ ด้เตรียมไว้ มา
ถวายแด่พระภกิ ษุสามเณร และเลยี้ งอาหารแก่
อบุ าสกอบุ าสิกา ผ้ถู ืออุโบสถศีล
56
ขนั้ ตอนในการจดั งาน
กํอนมกี ารจดั งานจะมีการเตรียมการหรอื มีการออกกาํ หนดการจัดงานตํางซอมตํอโหลง คือ
มีการบอกบุญไปยังคณะศรัทธาญาติโยมที่มีจิตศรัทธาได๎รํวมทําบุญถวายข๎าวมธุปายาส ซึ่งจะ
จัดพิมพ๑การ๑ดและประกาศเสียงตามสายหรือตามสถานีวิทยุ (ป๓จจุบัน) เพ่ือให๎ผู๎มีจิตศรัทธาได๎เข๎า
รํวมงานโดยในการจดั งานจะจดั ให๎อยํชู วํ งของวนั พระคอื เร่ิมกอํ นวนั พระ(วนั แตํงดา) และวนั พระ(วนั
ถวาย)
ขัน้ ตอนในการประกอบพธิ ี ใชเ๎ วลาท้งั หมด 2 วนั คอื
วันท่ี 1 คือวันแตํงดา จะมีการดําเนินกิจกรรม
ตาํ ง ๆ ดังนี้ คอื
1) คณะศรัทธาท้ังหลายนําของเทําที่หาได๎ หรือ
ตามจติ ศรทั ธามารํวมกันทว่ี ดั ซ่ึงจะประกอบดว๎ ย
1.1 ขา๎ วสาร อาหารแห๎ง
1.2 ดอกไม๎
1.3 ผลไม๎
1.4 ต๎นกล๎วยหรือหนอํ กล๎วย
1.5 ต๎นออ๎ ยหรือหนอํ อ๎อย
1.6 ธูป เทยี น
1.7 ขนมหวานตาํ ง ๆ
เพื่อนําของนั้นมาทําการแตํงดา และถวายป๓จจัย(เงิน) เพื่อนําไปเป็นเงินถวายหัววัดและ
รายจาํ ยในการจดั งาน
2) คณะศรัทธารํวมกันแตํงดา เคร่ืองสักการะข๎าวมธุปายาส ซึ่งจะดําเนินการดังน้ี
คอื
2.1 จัดทํา อ๏ุบเจ๎าพารา (ขันต้ัง) ซ่ึงในการจัดทําอ๏ุบเจ๎าพารา จะ
ประกอบด๎วย มะพร๎าว 1 ลูก กล๎วย 2 หวี สวยยาสูบ 2 สวย สวยใบพลู 2 สวย ก๎าน
หมาก 3 ก๎าน กรวยดอกไม๎ 4 กรวย เทียน 4 เลํม สวยหางปลา 2 สวย กะละมัง 1 ใบ
ซง่ึ การทาํ อบ๏ุ เจา๎ พารานนั้ จัดทําขน้ึ เพอื่ บูชาพระพทุ ธเจ๎า
57
การทาอ๊บุ เจา้ พารา(ขนั ต้งั )
2.2 ทาํ กรวยดอกไม๎ ประกอบด๎วย ดอกไม๎ ใบตอง ไม๎กลัด ซึ่งทําข้ึนเพื่อ
นาํ ไปถวายในถาด 3 ถาด เปรียบดั่งการถวายให๎กับพระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ๑
การทากรวยดอกไม้
58
2.3 ทํากอ๏ กซอมตอํ ประกอบด๎วย ใบตอง กรรไกร ไม๎กลัด ซึ่งในการทําก๏อก
ซอมตํอจะมี 2 แบบคือ ก๏อกปลายแหลม(ตํางให๎กับพระพุทธรูป) กับก๏อกปากเรียบ (ตํางให๎กับผี
หรอื เจ๎าที่เจ๎าทาง)
การทาก๊อกซอมต่อ
2.4 ทําผาหยาดสะมาด(ราชวัตร) จะทําผาหยาดสะมาดท้ังท่ีหุงข๎าว และหน๎า
พระพุทธรูปที่จะนําส่ิงของไปถวาย ประกอบด๎วย ไม๎ไผํ หนํอกล๎วย หนํออ๎อย ผ๎าขาว ซึ่งจะ
นาํ หนํอกล๎วยหนอํ ออ๎ ย มัดในแตลํ ะมุมของของผาหยาดสะมาด
59
ผาหยาดสมาด
2.5 แกะสลกั ผลไมต๎ ําง ๆ ในการแกะสลักผลไม๎จะแกะให๎สวยงาม และจัด
ใสจํ านใหส๎ วยงาม
แกะสลกั ผลไม้
60
2.6 ทําต๎นผึ้ง ตน๎ ดอก และแกะสลักผลไม๎
ตน้ ผึ้ง ต้นผ้ึง ตน้ ดอก
ต้นดอก ต้นออ้ ย การจดั ผลไม้
วันที่ 2 คือวันถวายข๎าวมธุปายาส เป็นวันที่มีการประกอบพิธีตั้งแตํเช๎าตรํู
เป็นวันที่ตรงกับวันพระ และจะมีอุบาสก อุบาสิกา มาตั้งแตํเช๎าตรํูเพ่ือมาจําศีลอยํูที่วัดในวันน้ัน
จะมี การทาํ กิจกรรมดังนี้ คือ
1) คณะศรัทธาท้ังหลายหุงขา๎ วหรอื น่ึงข๎าวในตอนกลางดกึ หรือตอนเชา๎ ตรูํ
การตกั ข้าวใส่หมอ้
61
ยกไหขา้ วขึ้นบนเตา ปดิ ฝาหม้อนึ่งข้าว
2) นําข๎าวที่หุงสุกมาสางเพื่อไมํให๎ข๎าวติดกันเป็นก๎อน แล๎วนํานม เนย นํ้าผึ้ง ท่ี
เตรียมไว๎ ใสํลงไปในข๎าว และคลกุ เคลา๎ กนั จนได๎ท่ี รอใหข๎ า๎ วเยน็ ตักใสํกะละมังหรอื ถาด
ข้าวทีห่ ุงสกุ เนยกบั นา้ ผ้งึ
ใส่เนยกับนา้ ผึ้ง ใส่นม
62
คนให้เขา้ กนั ตักใส่ถาด
3) นําข๎าวท่ีท้ิงไว๎ให๎เย็น ป๓้นเป็นก๎อน ๆ จํานวน 49 ก๎อน จํานวน 3 ถาด
แล๎วนาํ ไปถวาย และแบํงข๎าวใสํก๏อกซอมตํอ ใสํผลไม๎ท่ีเตรียมไว๎ และนําไปตํางตาม ศาลาการ
เปรยี ญ โบสถ๑ และ เจดยี ๑หรอื กองมู
การปน้ั ข้าว นาขา้ วทป่ี นั้ ใสถ่ าด
ปนั้ ขา้ วใส่ถาด 3 ถาด แบง่ ข้าวใส่กอ๊ กซอมตอ่
63
การถวายจะนําของที่เตรียมไว๎ทั้งหมดท้ังต๎นดอก ต๎นผึ้ง ผลไม๎ ขนม ไปวางบน
โต๏ะที่เตรียมไว๎สําหรับการตํางซอมตํอโหลงหรือการถวายข๎าวมธุปายาส และมีพิธีกลําวคําถวาย
ข๎าวมธุปายาส สํวนมากจะนิยมนําไปตํางตามที่ตํางๆ เชํน โบสถ๑ ศาลาการเปรียญ เจดีย๑หรือ
กองมู และศาลาจาํ ศีล
หมายเหตุ : ในอดีตจะให๎สาวพรหมจารีหรือสาวบริสุทธิ์เป็นผ๎ูหุงข๎าว กวนข๎าวมธุปายาส แตํใน
ปจ๓ จุบันจะใหพ๎ ํอศลี แมศํ ลี ที่เครํงในศลี ธรรมประเพณเี ปน็ ผ๎ูหงุ ขา๎ วและกวนขา๎ วมธปุ ายาสนัน้ แทน
ถวายของทเี่ ตรยี มไว้
พระสงฆก์ ล่าวคาถวายขา้ วมธุปายาส อุบาสกกล่าวคาถวายข้าวมธุปายาส
64
4) คณะศรัทธานําอาหารที่ได๎เตรียมไว๎ มาถวายแดํพระภิกษุสามเณร และเล้ียงอาหาร
แกอํ บุ าสกอบุ าสกิ า ผ๎ูถอื อุโบสถศีล ถอื เปน็ อนั เสร็จพธิ ใี นการถวาย ป๓จจบุ ันการตํางซอมตํอโหลง
จะมีการเลยี้ งคณะศรัทธาหรือเรยี กวาํ จาํ กะ๏ ไปด๎วย
ถวายอาหารแด่พระภิกษสุ ามเณร เล้ียงอาหารอุบาสก อุบาสกิ า
ในชวํ งเข๎าพรรษา นยิ มมีประเพณกี ารจําก๏ะ ซ่ึงหมายถงึ การเล้ยี งภตั ตาหารแดํพระสงฆ๑
และอุบาสกอุบาสิกาที่ไปจําศีลนอนวัด สํวนใหญํมักมีเจ๎าภาพจัดในวันศีลใหญํ เชํน วันข้ึน
15 ค่ํา เดือนแปด เดอื นเกา๎ และเดอื นสบิ
ประเพณเี ดอื นสิบ ของชาวไทใหญ่ จงึ ไดแ้ ก่ ตา่ งซอมต่อโหลง และปอยจา่ ก๊ะ
65
ประเพณีเหลินสิบเอ็ด (เหลนิ สิบเอด็ ตรงกับเดือนตลุ าคม)
ประวัติความเป็นมา (บอ่ เกดิ ประเพณี)
เดือนสิบเอ็ดตรงกับเดือนตุลาคมของทุกปี ภาษาปุ่งนา(ปุโรหิต) เรียกวํา “ตูํหยําส่ี” พมํา
เรียกวาํ สะตางกยอด”ธาตปุ ระจําราศคี ือวาโยธาตุ ลมแรงในเดือนน้ี ดอกไม๎ประจาํ ราศคี ือดอกบวั 5
อยําง เป็นเดอื นท่ีพุทธบรษิ ัทชาวไทใหญํพากันถวาย จองเข่งต่างส่างปุ๊ด (จองพารา =ซ๎ุมรับเสด็จ)
จดุ ธปู เทยี น ถวายภัตตาหาร นม เนย ผลไม๎ในฤดูกาล มีเร่ืองราวเก่ียวกับประเพณีไว๎วํา พระโคดม
สมณเจ้าได้ตรัสร้อู นตุ ตรสัมมาสมั โพธญิ าณมาเปน็ เวลา 7 พรรษา ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ในเมือง
สาวตั ถที ีอ่ ทุ ยานสวนมะมว่ ง เสดจ็ ข้ึนไปยงั สรรค์ชั้นดาวดงึ ส์ ประทับนั่งเหนือบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์
ทรงเทศนาอภิธรรม 7 คัมภีร์ โปรดสันตุฏฐีพุทธมารดา พรอ้ มทั้งเหล่าเทพยดาและพระพรหมตลอด
ระยะเวลาในพรรษา 3 เดือน และเสด็จนิวัตมนุษยโลกในวันเพ็ญเดือน 11 ณ เมืองส่ังกะนะโก่
(สังกัสนคร) ในการเสด็จลงมานน้ั พระอนิ ทรไ์ ด้เนรมติ บนั ไดเงิน บนั ไดทอง และบนั ไดแกว้ พาดตรง
ประตูสรรคช์ นั้ ดาวดึงส์ด้านทิศใตล้ งสปู่ ระตูเมืองสงั กัสนครดา้ นทิศใต้เชน่ เดียวกนั ก่อนจะถึงวันเพ็ญ
เดอื น 11 พระพุทธองคท์ รงมกี ระแสรบั สัง่ ถงึ พระมหาโมคัลลานะ วา่ พระองค์จะเสด็จนวิ ตั มิ นษุ ย์โลก
ในวันเพญ็ เดอื น 11 พระมหาโมคคลั ลานะไดบ้ อกขา่ วการเสดจ็ นวิ ตั ิขององค์พระสัมมาสมั พุทธเจา้ ไป
จนท่วั ทุกหนทุกแห่ง บรรดามนุษย์และสัตว์ที่สามารถมาได้ก็จะมารับเสด็จท่ีสังกัสนคร ท่ีมาไม่ได้ก็
จัดทําจองเข่งต่างส่างปุ๊ด (ซุ้มปราสาทรับเสด็จ) ที่บ้านเรือนของตน พอถึงเช้าวันเพ็ญเดือน 11 จะ
จัดอาหารบิณฑบาตและขนมนมเนยไว้ถวายพระพุทธเจ้าที่เสด็จมาประทับยืนอยู่ที่หัวบันไดแก้ว
แลว้ เปลง่ รศั มี 6 ประการ (ฉพั พรรณรังส)ี นบั ตัง้ แต่พรหมโลกจนถึงนรกอเวจีได้มองเห็นกันหมดสิ้น
ก่งิ นะหร่ี (กินรี) กงิ่ นะหร่า (กนิ นร) นะกา (นาค) กะหรงุ่ (ครุฑ) ยกั คะ (ยกั ษ์) ก่ันตัปป้ะ (คนธรรพ์)
ผีลูผผี าย (สัตว์ประหลาดจากป่าหิมพานตล์ ักษณะคลา้ ยลงิ ใหญ่) ส่างซ่ี (สิงโต) และบรรดาสัตว์ 90
ประเภท มาแสดงความช่ืนชมบุญบารมีและเดชานุภาพแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่
สนุกสนานกันทั่วไปทุกถ่ินแคว้น ขณะที่พระพุทธองค์ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีนั้น รัศมีแสงแห่ง
ฉัพพรรณรังสีกระจายสาดส่องไปถึงจองเข่งต่างส่างปุ๊ด (ซุ้มปราสาทรับเสด็จ) ของทุกบ้านเรือน
บรรดาพทุ ธบรษิ ัทท่ีอยู่ในบ้านเรือนรู้สึกชื่นชมโสมนัสเป็นอย่างย่ิง จึงพร้อมกันถวายภัตตาหารและ
จดุ ธปู เทยี นบูชาเปน็ เวลา 7 วนั
ด๎วยเหตุท่ีมีบํอเกิดประเพณีตามแนวพุทธประวัติ ต้ังแตํสมัยพระพุทธองค๑ยังทรงพระชนม๑
ชีพอยูํดังกลําวแล๎ว พอถึงวันเพ็ญเดือน 11 ครั้งใด ชาวไตจึงพากันทําจองเขํงตํางสํางปุ้ด (ซุ๎ม
66
ปราสาท) หรอื จองพารา รับเสด็จพระพุทธองคท๑ กุ บ๎านเรอื น สืบเปน็ ประเพณตี ิดตอํ กันมาตราบเทาํ
ทกุ วันนี้
เทศกาลปอยเหลนิ สบิ เอ็ด
งานประเพณีปอยเหลินสิบเอ็ด จะเร่ิมตั้งแตํ ข้ึน 1 ค่ํา เดือน 11 ถึงแรม 14 คํ่า
เดือน 11 (ตรงกบั เดือนตลุ าคม) โดยมรี ายละเอียดของแตลํ ะกจิ กรรมดงั น้ี
พิธเี ปิดงานปอยเหลนิ สิบเอ็ด
67
การแฮนซอมโกจ่ า
ประวัติความเปน็ มา
“แฮนซอมโกจํ า”คือการทําบญุ อุทศิ สวํ นกศุ ลใหแ๎ กผํ วู๎ ายชนม๑ ในชวํ งกํอนเดอื นสบิ เอด็ ท่ีผําน
มา จะจัดทําในระหวํางวันขึ้น 1 คํ่า เดือน 11 จนถึงประมาณวันข้ึน 13 ค่ําเดือน 11 หากตาย
ระหวํางเดือนสิบเอ็ดจะต๎องเล่ือนการแฮนซอมโกํจาออกไปอีก 1 ปี คือเล่ือนไปทําบุญในปีตํอไป
เมื่อมีการแฮนซอมโกํจาแลว๎ ถือไดว๎ ําได๎อุทิศสวํ นกศุ ลให๎กับผ๎ูที่ตายครบถ๎วนตามประเพณีเรียบร๎อย
แล๎ว ตํอจากน้ีไปก็จะไมํมีการทําบุญแฮนซอมโกํจาอีก ซึ่งแตกตํางจากที่อ่ืนที่จะอุทิศสํวนกุศล
ให๎กับผู๎ตายในวาระครบรอบ 100 วันคร้ังเดียวเทํานั้น ในประเพณีการแฮนซอมโกํจาสิ่งท่ีขาดเสีย
มิได๎คือ การถวายหนังสือที่เรียกวํา “ลีกซุตต๏ะ” (ลีกซุตต๏ะคือหนังสือธรรมของชาวไทใหญํเนื้อหา
ของหนังสือจะเปน็ เหมอื นนทิ านเรอื่ งเลาํ ) ในลกี ซุตตะ๏ จะมีเรอื่ ง นางววั แกง การแผํกรรม มอน
ธรรม ซึ่งจะใช๎อํานในงานศพหรืองานแฮนซอมโกจํ าแล๎วนาํ ไปถวายวดั นอกจากนน้ั การถวายธง(ตุง)
ให๎แกํผู๎ตายหรือเรียกวํา “ตุงตําขํอน” มาจากความเชื่อวํา ตุงน้ีจะมีอานิสงค๑ชํวยให๎ผู๎ตายรอดพ๎น
จากการไปเกดิ เป็นเปรต หรือการตายตกนรก หากแตํจะไดไ๎ ปสูํสวรรค๑
ความเชื่อเก่ยี วกับประเพณีแฮนซอมโกจ่ า
การทําบุญอทุ ศิ สํวนกุศลใหผ๎ ท๎ู ีล่ วํ งลับไปแลว๎ เปน็ ความเชอ่ื ของชาวไทใหญํ(คนไต)ท่ีจะจดั ขน้ึ
ในเดอื น11 ซ่ึงเปน็ ความเชอื่ ทีส่ บื ทอดกนั มาช๎านาน เมื่อญาตพิ น่ี อ๎ งเสยี ชวี ติ ไปแล๎ว หลังจากผํานไป
ประมาณ 1 ปี ก็จะเร่ิมมีการทําบุญอุทิศสํวนกุศลไปให๎เพราะเชื่อกันวําผ๎ูที่ลํวงลับไปแล๎วจะได๎รับ
สํวนบญุ สํวนกุศลที่ญาติพ่ีน๎องทําบุญให๎และถ๎าไปตกอยูํ ณ จุดใดในยมโลกก็จะกลับมารับเอาบุญ
กุศลนี้ไปใช๎ในอีกภพหน่ึง สํวนหนึ่งก็จะเป็นความสบายใจของญาติพี่น๎องเอง (จม อินแก๎ว :
29/08/2550)
68
การแฮนซอมโก่จา
รูปผตู้ ายและตุงตาข่อน
การจดั เตรยี มอาหาร
69
งานกาดพดิ (ตลาดนดั เดือนสบิ เอ็ด)
ประวัติความเปน็ มา
ในอดีต เม่อื ยาํ งเขา๎ เดือน 11 ชํวงวันข้นึ 12 ค่าํ เดอื น 11 ถึงวันขึน้ 14 คํ่า เดือน 11
จะมีการจัดงานตลาดนัดขายของทั้งวันทั้งคืนหรือท่ีเรียกวํา “กาดพิดเหลิน 11”ขึ้นท่ี ตลาดสด
ถนนสงิ หนาทบํารุง ตําบลจองคาํ อาํ เภอเมอื ง จังหวดั แมฮํ อํ งสอน ซ่งึ จะเป็นชํวงที่ประชาชน
ท้ังในเขตเทศบาลและนอกเขตเทศบาลตํางมาจับจํายซื้ออาหารและสิ่งของตํางๆกันอยํางครึกครื้น
เพื่อนําไปขอขมาผ๎ูเฒําผ๎ูแกํ และไปทาํ บญุ ท่วี ดั
กาดพิดตลอดกลางคืนถึงเชา้
การแหจ่ องพารา
ประวัติความเป็นมา
การแหจํ องพารา(จองเขงํ ตํางสาํ งปุ๊ด) มีขึ้นในวันข้นึ 13 หรอื 14 คาํ่ เดอื น 11 โดยจะ
นําจองพาราของแตํละชุมชนในเขตเมืองแมํฮํองสอน หมูํบ๎านนอกเขตเทศบาลเมืองแมํฮํองสอน
และหนํวยงานราชการ เขา๎ รํวมในขบวนแหํ ซ่ึงในสมัยกอํ นไมมํ กี ารแหํแหนจองพารา มาจดั ในสมยั ท่ี
นายอนันต๑ วงศ๑วานิช และนายสุเทพ นุชทรวง ดํารงตําแหนํงนายกเทศมนตรีเมืองแมํฮํองสอน
หลังจากนั้นก็ปฏิบัติสืบตํอกันเร่ือยมา เน่ืองจากเห็นวําเป็นการสํงเสริมการทํองเที่ยว ซ่ึงจะเร่ิม
ขบวนท่ีโรงแรมรคุ ฮอลิเดย๑ หรอื ถนนขนุ ลุมประพาสไปส้นิ สดุ ท่ี ถนนสงิ หนาทบาํ รงุ โดยในขบวนจะ
มกี ารแสดงตํางๆ ดังนี้
1) การรํานกก่งิ กะหลําตามจงั หวะกลองกน๎ ยาว
2) ขบวนฟ้อนรํากลองมองเชิงจะเป็นกลุํมเด็กสาวอายุ 18-20 ปี แตํงชุดไทใหญํอยําง
สวยงาม
70
3) ก๎าลาย เป็นการฟ้อนรําที่ประยุกต๑จากลีลา การตํอสู๎ด๎วยมือเปลํา มาเป็นการรํายรําท่ี
อํอนชอ๎ ย สวยงามจะมผี ๎ูชายราํ ยราํ กันเป็นกลํุมเปน็ หมูํ เข๎ากับจังหวะกลองมองก๎นยาว
4) ก๎าแลว เปน็ ขบวนการฟอ้ นดาบ ซึ่งประยกุ ต๑มาจากการฟน๓ ดาบ (ลายแลว) จากที่เคยใช๎
เปน็ แมไํ มก๎ ารตํอสํูปอ้ งกันตัว ท่ีมีลีลากระฉับกระเฉง วํองไว ดดุ นั มาเปน็ ลลี าการรําท่อี อํ นช๎อย เพ่ือ
แสดงลักษณะวฒั นธรรมประจาํ ชนชาติ
5) ฟอ้ นมําน ศลิ ปะการรํายรําแบบท๎องถ่นิ คกูํ ับดนตรพี ้นื บ๎านจังหวัดแมฮํ อํ งสอน
6) กา๎ โต สัตวส๑ มมุตใิ นปา่ หมิ พานต๑ มีการรํายราํ ประกอบดนตรกี ลองก๎นยาว
7) ก๎าป๓่นกอ๐ ง ซง่ึ เปน็ ศลิ ปะการรํายรําตามจังหวะกลองก๎นยาวท่ตี ีตามแบบฉบบั ในรัฐฉาน
8) กา๎ กลองมองเซงิ เปน็ ศิลปะการรํายราํ ตามจงั หวะกลองมองเซงิ
ขบวนหามจองพาราจะเป็นชายเป็นผู๎หาม 4 คน หรือ 8 คน ตาม 4 มุมของจองพาราจะมี
ไม๎หามยืนออกมาเปลี่ยนกันหามเมื่อเหน่ือย จะเดินกันเป็นขบวนแบบตั้งแถวท้ังชายและหญิง
ป๓จจุบันใช๎รถบรรทุกจองพาราเพราะมีขนาดใหญํและหนัก หากแตํขบวนก็ยังเหมือนเดิม ด๎านหลัง
ของจองพาราทุกขบวน จะเป็นคณะศรัทธาของแตํละวัดมารํวมกันเข๎าขบวนแหํ มีการแสดงทาง
ศิลปวัฒนธรรมตํางๆตามความถนัดของผู๎คนในขบวนเป็นท่ีครึกครื้น เมื่อกํอนมีการประกวดจอง
พารา และขบวนแหํ ป๓จจุบันได๎ถูกยกเลิกไปเพราะเกรงวําจะเกิดความขัดแย๎งกันขึ้นระหวํางชุมชน
(ประเสริฐ ประดิษฐ๑ : 18/09/2550)
71
ขบวนการแห่จองพารา
72
การตกั บาตรเทโวโรหณะ
ประวัติความเปน็ มา
การตกั บาตรเทโว หรอื เรยี กชอ่ื เตม็ ตามคาํ พระวาํ "เทโวโรหณะ" แปลวําการหยงั่ ลงจาก เท
วโลก หรือการตักบาตรน้ีเรียกอีกอยํางหนึ่งวํา "ตักบาตรดาวดึงส๑" และการตักบาตรเทโวนี้ จะ
กระทาํ ในวันขนึ้ 15 ค่ํา เดือน 11 การตักบาตรเทโว จะเป็นงานท่ีจัดขึ้นหน่ึงครั้งในปีนั้น ตาม
ตํานานเลาํ วาํ เมื่อก่อนพุทธศักดิ์ราช 80 ปี พระพุทธเจา้ เสด็จขึ้นไปจาํ พรรษา ณ บัณฑกุ ัมพลศิลา
อาสน์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพ่ือทรงเทศนา "พระสัตตปรณาภิธรรม" คือพระอภิธรรม 7 คัมภีร์
โปรดพระพุทธมารดา ซึ่งทรงบังเกิดอยใู่ นสวรรค์ช้ันดุสิต คร้ันครบกําหนดการทรงจําพรรษาครบ 3
เดอื น พระพุทธเจ้าทรงปวารณาพระวัสสาแล้วเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลกมาสู่มนุษย์โลกในวันขึ้น
15ค่าํ เดือน 11 โดย เสดจ็ ลงทางบันไดแกว้ ทิพย์ ซึ่งต้งั ระหวา่ งกลางของบันไดทองทิพย์อยู่เบื้องขวา
บันไดเงินทิพยอ์ ยูเ่ บอื้ งซา้ ย และหวั บันไดทพิ ย์ที่เทวดาเนรมติ ขึ้นทงั้ 3 พาดบนยอดเขาพระสเิ นรรุ าช
อนั เป็นทตี่ ัง้ แห่งสวรรค์ชน้ั ดาวดึงส์ ส่วนเชิงบันไดต้ังอยู่บนแผ่นศิลาใหญ่ใกล้ประตูเมืองสังกัสสนคร
และสถานท่ีนั้นประชาชนถือว่าเป็นศุภนิมิตรสร้างพระเจดีย์ข้ึนเป็น "พุทธบูชานุสาวรีย์" เรียกว่า
"อจลเจดยี "์ ในวันที่พระพุทธเจา้ เสด็จลงมาสู่มนุษย์โลกนั้น ประชาชนพร้อมกันไปทําบุญตักบาตร
เปน็ จาํ นวนมาก พิธที ี่กระทํากนั ในการตกั บาตรเทโว คอื การทําบญุ ตักบาตร รบั เสด็จพระพทุ ธเจา้ ใน
คราวเสด็จลงมาจากเทวโลกนั่นเอง บางวัดจึงเตรยี มการในคฤหัสถแ์ ตง่ ตวั เป็นเทวดาบ้าง เป็นพรหม
บ้างแล้วอัญเชิญพระพุทธรูปข้ึนประดิษฐานบนบุษบกท่ีมีล้อเคล่ือน และมีบาตรต้ังอยู่ข้างหน้า
พระพุทธรูปใช้คนลากนําหน้าพระสงฆ์ พวกทายกทายิกาต้ังแถวเรียงรายคอยใส่บาตร เป็นการ
กระทาํ ใหใ้ กล้กับความจรงิ เพ่อื เป็นการระลึกถึงพระพุทธเจ้า ส่วนอาหารที่นํามาทําบุญตักบาตรใน
วันนั้น มีข้าว กับข้าวต้มมัดใต้ ข้าวต้มลูกโยนที่ห่อด้วยใบมะพร้าวหรือใบลําเจียกไว้หางยาวและ
ข้าวต้มลูกโยนนี้มีประวัติมาต้ังแต่คร้ังพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ เพราะตั้ งใจ
อธิษฐานแล้วโยนไปให้ลงบาตรของพระพุทธเจ้า เนื่องจากมีคนมากเข้าไปใส่บาตรไม่ได้ ( สืบค๎น
จาก http://www.onab.go.th/buddhism_day7.htm )
การตักบาตร สํวนมากในการตักบาตรจะใช๎ข๎าวสาร อาหารแห๎ง เพราะเชื่อวําการตัก
บาตรเทโวเปน็ การระลึกถึงวันทพี่ ระพทุ ธเจา๎ เสด็จกลับจากการโปรดพระพุทธมารดาแล๎วเสด็จลงมา
จากเทวโลกนนั้ เอง บางวดั จึงเตรยี มการในคฤหัสถ๑แตํงตวั เป็นเทวดาบ๎าง เปน็ พรหมบา๎ งแลว๎ อญั เชญิ
พระพุทธรปู ข้ึนประดษิ ฐานบนบษุ บกทมี่ ีล๎อเคล่ือน และมบี าตรต้ังอยขูํ ๎างหนา๎ พระพทุ ธรูปใช๎คนลาก
นาํ หน๎าพระสงฆ๑ พวกทายกทายกิ าต้ังแถวเรยี งรายคอยใสํบาตร เป็นการกระทําให๎ใกล๎กับความจริง
73
เพื่อเป็นการระลึกถึงพระพุทธเจ๎า (คณะอนุกรรมการวัฒนธรรมจังหวัดแมํฮํองสอนฯ มปป. : 57;
สํานักงานเทศบาลเมอื งแมํฮํองสอน 2550:23)
การตกั บาตรเทโว “ตักบาตรเทโวโรหณะ” ของชาวแมํฮํองสอนจะทําในวันขึ้น 15 ค่ํา
เดือน 11 ต้ังแตํเช๎าตรํู โดยเริ่มตักบาตรตั้งแตํวัดพระธาตุดอยกองมูลงมาจนถึงวัดมํวยตํอ
(พระสงฆ๑ออกบิณฑบาตจากบันไดวัดขั้นแรกจนถึงบนั ไดข้นั สดุ ท๎ายของวดั ) เปรยี บได๎กับการลงมา
จากดาวดึงส๑ เพราะวัดพระธาตุดอยกองมู ต้ังอยํูบนดอย วัดที่เข๎ารํวมในการบิณฑบาตมีท้ังหมด
12 วัด คือ วัดพระธาตุดอยกองมู วัดกํ้ากํอ วัดหัวเวียง วัดมํวยตํอ วัดพระนอน วัดดอนเจดีย๑
วัดจองกลาง วัดจองคํา วัดปางล๎อ วัดกลางทํุง วัดไม๎แงะ และวัดผาอําง การจัดงานจะเริ่ม
ต้ังแตํเวลาประมาณ 05.00 - 08.30 น. และมรี ะยะทางในการตกั บาตร ประมาณ 2 กโิ ลเมตร
(สาํ นกั งานเทศบาลเมอื งแมฮํ อํ งสอน 2550:23;ประเสรฐิ ประดษิ ฐ:๑ 24/08/2550;)
74
การตกั บาตรเทโว
75
การหลู่เตนเหง
ประวตั ิความเป็นมา
ความหมาย หลเํู ตนเหง เปน็ ภาษาไทใหญํ มาจากรากศพั ท๑ดงั น้ี หลู่ แปลวํา ถวาย เตน
แปลวํา เทียน เหง แปลวํา 1,000 เลํม และหลู่เตนเหง จึงแปลความหมายได๎วํา “ถวาย
เทียน 1,000 เลํม” มีเร่ืองเลําวํา ในสมัยพุทธกาล มีพระสงฆ์องค์หนึ่งมีชื่อว่า พระอนุรุท ได้
ถวายเทียน 1,000 เล่ม (เตนเหง) ให้แก่ พระปทุมมุตตร ซ่ึงเป็นพระนามของพระพุ ทธเจ้า
สมัยกอ่ นตรัสร้เู ปน็ พระสัมมาโพธิญาณ ด้วยอานสิ งส์การถวายเทียน 1,000 เล่ม ดังกล่าว ทําให้
พระอนุรทุ มที พิ ยจกั ษุ (มตี าทพิ ย์) คนไตเรียกว่า “ทิพยจักกุหย่าน” แปลว่าผู้มีตาทิพย์ สามารถ
มองเห็นนรก สวรรค์ ทั้งใกล้และไกล ฉะน้ันพระอนุรุทจึงเป็นองค์แรกที่มองเห็นพระพุทธเจ้า
ขณะทเี่ สด็จลงมาจากสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ทางบันไดแก้วในวันออกพรรษา ด๎วยเหตุนี้ประชาชนชาว
ไทใหญํจึงยึดถือปฏิบตั ปิ ระเพณหี ลํเู ตนเหง(ถวายเทียน 1,000 เลํม)เพือ่ ถวายเป็นพทุ ธบูชาซงึ่ จะได๎
อานิสงส๑ดังกลําวแล๎ว ประเพณีหลูํเตนเหง มักจัดทําข้ึนหลังวันออกพรรษา ซ่ึงมาจากความเช่ือ
ท่ีวําพระพุทธเจ๎าได๎เสด็จกลับมายังโลกมนุษย๑หลังจากโปรดพุทธมารดาและเหลําเทพยดาแล๎ว
น่ันเอง เม่ือทําพิธีถวายเทียนแล๎วก็จะจัดทําพิธีจุดเทียนทั้ง 1,000 เลํม เพื่อเป็นพุทธบูชา สํวน
ใหญจํ ะจดุ เทียนรอบๆบริเวณวัด เชนํ ตามร้ัว เจดีย๑ หรือประตูทางเข๎าวัด เป็นต๎น ซ่ึงได๎ยึดถือ
กันมาเป็นประเพณีของคนไตตราบจนทุกวันน้ี การ “หลู่เตนเหง” หรือการแหํเทียนพันเลํม
เดมิ มกี ารจัดงานเพียงแหํงเดยี วคือทว่ี ัดพระนอนและวดั ในเขตชนบทไมํมกี ารแหํขบวน จัดในชํวงวัน
แรม 1 ค่ํา เดือน 11 ถึงแรม 8 คํา่ เดือน 11 เป็นประเพณีที่ชาวจังหวัดแมํฮอํ งสอนถือปฏิบัติ
กันมาเปน็ ประจําทกุ ปี
การหลูต่ น้ เตน (ตน้ แปก)
พอถึงวันแรม 8 คํา่ (สําหรับเทศบาลเมืองแมํฮํองสอน) และแรม 14 คํ่า (สําหรับชุมชนไท
ใหญโํ ดยท่ัวไป) คณะศรทั ธาชาวบ๎านจะไปหาตน๎ สนมาสบั เป็นชิน้ เล็กๆ และมดั รวมกันเป็นต๎นขนาด
ใหญสํ งู ประมาณ 3-5 เมตรมาตั้งไวใ๎ นบรเิ วณวดั และจัดงานเฉลมิ ฉลองพรอ๎ มทั้งจดุ ไฟทตี่ น๎ สนให๎ลุก
โชติชํวงอยํูตลอดเวลาเพ่ือเป็นพุทธบูชาจนกวําไฟจะไหม๎ต๎นสนหมด งานประเพณีน้ีมีที่จังหวัด
แมฮํ ํองสอนแหงํ เดยี ว (สํานกั งานเทศบาลเมอื งแมฮํ ํองสอน 2550:23)
76
ขบวนหลเู่ ตนเหง
ปอยกอ๋ ยจ้อด หรอื ปอยอ่องจ้อด
ประวตั ิความเปน็ มา
ปอยก๐อยจ๎อด (ปอยอํองจ๎อด) เป็นประเพณีสุดท๎ายของเดือน 11 แสดงถึงการเสร็จส้ิน
ของเทศกาลปอยเหลินสิบเอ็ด โดยมีประวัติความเป็นมาดังนี้ พระโคดมสมณะเจ๎าได๎ตรัสร๎ู
อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณมาเป็นเวลา 7 พรรษา ทรงแสดงยมกปฏิหารย๑ในเมืองสาวถีท่ีอุทยาน
สวนมะมํวง เสด็จข้ึนไปดาวดึงส๑สวรรค๑ ประทับน่ังเหนือบัณฑุกัมพลศิลาอาสน๑ ทรงเทศนา
อภิธรรมเจ็ดคัมภีร๑ โปรดสันตุฏฐีพุทธมารดาพร๎อมเหลําเทพยดา และพระพรหมตลอดระยะใน
พรรษา 3 เดือน และเสดจ็ นิวตั มิ นษุ ยโ๑ ลกในวันเพ็ญเดือน 11 ในเมืองส่งั กะนะโกํ(สงั กสั นคร) ใน
การเสด็จลงมาน้ันพระอินทร๑เนรมิตบันไดเงิน บันไดทอง และบันไดแก๎ว พาดตรงประตูดาวดึงส๑
77
สวรรคด๑ า๎ นทศิ ใต๎ ลงสูปํ ระตูสังกสั นครทางทิศใตเ๎ ชํนเดยี วกัน กํอนถึงวันเพ็ญเดือน 11 พระพุทธ
องค๑ทรงมกี ระแสรบั สง่ั ถึงพระโมคคัลลานะ วาํ พระองคจ๑ ะเสดจ็ นิวัติมนุษย๑โลกในวันเพ็ญเดือน 11
พระโมคคลั ลานะไดบ๎ อกขําวการเสด็จนิวัติขององค๑สัมมาสัมพุทธเจ๎าท่ัวทุกแหํง บรรดามนุษย๑และ
สัตว๑ท่ีสามารถมารับได๎ก็มารับเสด็จท่ีสังกัสนคร ท่ีมาไมํได๎ก็ทําจองเขํงตํางสํางปุ้ดท่ีบ๎านเรือนของ
ตน พอถึงวันเพ็ญเดือน 11 จะจัดอาหารบิณฑบาตและขนมนมเนยไว๎ถวายพระพุทธเจ๎าที่เสด็จ
ประทับยืนอยํูท่ีหัวบันไดแก๎วแล๎วเปลํงรัสมี 6 ประการ(ฉัพพรรณรังสี) นับตั้งแตํพรหมโลกจนถึง
นรกอเวจีได๎มองเห็นกันหมดสิน้ กิ่งนะหรี่ (กินรี) กิ่งนะหรํา(กินรา) นะกา(นาค) กะหรุํงหรือกํา
หรํน (ครุฑ) ยักคะ (ยักษ๑) กันตัปป้ะ (คนธรรพ๑) ผีลู ผีพาย (ยักษ๑) สํางซ่ี หรือโต (สิงโต)
และบรรดาสตั ว๑ 90 ประเภท มารบั เสดจ็ พระพทุ ธเจา๎ ด๎วย การท่พี ระพทุ ธเจ๎าทรงเปลํงรัศมีท้ัง 6
กด็ ี การที่เหลําเทพบตุ ร เทพยดา ซ่ึงมรี ศั มี มารับเสด็จทําให๎เกิดแสงสวํางไสว อันเป็น
ท่ีมาของประเพณีแหํต๎นเตน (ต๎นเทียน) การประดับประทีปโคมไฟในงานประเพณีเดือน 11
ประเพณีแหํต๎นเตน นิยมทํากันในวันปิดท๎ายเทศกาลปอยเดือน 11 คือวันแรม 14 คํ่า พร๎อม
กับถวายนางนก โต และสัตว๑อ่ืนๆ อันเป็นที่มาของประเพณีก๎านกก่ิงกะหลํา และ ก๎าโต ใน
เทศกาลปอยก๐อยจ๎อด นัน่ เอง
การจัดงานปอยอํองจ๎อดในจังหวัดแมํฮํองสอนจะจัดในชํวงวันแรม 14 คํ่า เดือน 11
ในเขตเทศบาลแตํละชุมชนป๊อกจะจัดทําต๎นเก๊ียะ (ต๎นแปก) และตกแตํงให๎สวยงาม เพื่อเข๎ารํวม
การประกวดกับทางเทศบาลเมืองแมํฮํองสอน ขบวนแหํจะเริ่มตั้งต้ังแตํตลาดนัดวันอาทิตย๑หรือ
ถนนรุํงเรอื งการคา๎ ถึงวัดจองคํา และนาํ ถวาย เวลาเร่ิมแหํประมาณ 15.00 น. ขบวนจะมีการ
จดั ตกแตงํ ต๎นแปกของแตํละปอ๊ กใหด๎ ูสวยงามจะมกี ารแสดง การก๎าลาย ก๎าแลว ก๎านกก่ิงกะหลํา
กา๎ โต ซ่ึงเป็นศลิ ปะของไทใหญํท่ีอยํูคํูกับชาวแมํฮํองสอนมานาน ขบวนแหํจะมีการแหํไปตามท๎อง
ถนน เมื่อขบวนไปถึงหนา๎ วัดจองคาํ จะมีการนาํ ตน๎ แปกของแตลํ ะป๊อก มาเรียงกันอยูํท่ีหน๎าวัดจอง
คํา จากน้ันก็ได๎มีการนําเอาสายสิญน๑มามัดรอบต๎นแปกต้ังแตํต๎นแรกจนถึงต๎นสุดท๎าย แล๎วจะมี
การพํวงสายสิญน๑อีกเส๎นข้ึนไปบนวัด จากน้ันประธานในพิธีก็จะนําไหว๎พระและรับธรรมทานศีล
เม่ือเสร็จจากการรับธรรมทานศีลแล๎วจะมีการกลําวคําถวายต๎นแปก และพระสงฆ๑ก็จะกลําวคํา
อนโุ มทนาเปน็ ภาษาบาลี เม่อื พระสงฆ๑กลาํ วเสรจ็ ตวั แทนของแตลํ ะปอ๊ กกจ็ ะไปจดุ ตน๎ แปกทหี่ นา๎ วดั
สดุ ท๎ายก็จะมีการขอขมาพระสงฆ๑ (พระจติ ต๏ะ ฐานธมโฺ ม : 15/09/2550)
ปอยก๐อยจ๎อด (หรือปอยอํองจ๎อด)ที่หมูํบ๎านทํุงกองมู มีความเชื่อวํา เม่ือถึงเทศกาลก็จะมี
การนําเอาไม๎แปก ของแตํละบ๎านมารวมกันไปถวายวัด เพ่ือเป็นการบูชาหรือฉลองให๎กับ
78
พระพทุ ธเจ๎า และเป็นการบอกให๎รู๎ถึงฤดูกาลที่เปลี่ยน จากฤดูฝนเป็นฤดูหนาว และจะมีการจุด
ภายในบริเวณวัด ภายในงานปอยก๐อยจ๎อด(อํองจ๎อด) จะมีการละเลํนตํางๆ เชํนการแสดงจ๎าดไต
(ในสมัยกํอน) ก๎าลาย ปงิ โก สอยดาว ดนตรี เปน็ ตน๎ และยงั มีความเชอ่ื อกี ที่วาํ การนาํ เอาไมส๎ น
(ไม๎แปก) นาํ มาจกั เปน็ เส๎น ๆมัดรวมกัน ตกแตํงให๎สวยงาม แลว๎ หามแหํไปตามถนน นําไปถวายท่ี
วัด และจุดแสงสวํางให๎เป็นพุทธบูชา เป็นการให๎แสงสวํางตํออายุให๎ศาสนารุํงเรืองตํอไปในภาย
ภาคหนา๎ และเปน็ การเสร็จสิ้นฤดกู าลนนั้ ของปี (สมคั ร สขุ ศรี: 22 /08/2550)
หมายเหตุ : การจัดงานปอยก๋อยจ้อด (อ่องจ้อด) ของเขตเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน จะจัดในวัน
แรม 8 ค่าํ เดอื น 11 เนอื่ งจากตอ้ งการให้ประชาชนได้เข้าร่วม
79
ขบวนแหต่ น้ เตน (ตน้ แปก)
80
ขบวนแหต่ น้ เตน (ตน้ แปก)
81
ปอยก๋อยจ้อด หรอื ออ่ งจอ้ ด
ปอยกอ๋ ยจ้อด
ประเพณเี ดอื นสบิ เอ็ด ของชาวไทใหญ่ ได้แก่ ปอยแฮนซอมโกจ่ า ปอยกาดพิด ปอยแห่จองพารา
ปอยตักบาตรเทโวโรหณะ ปอยหล่เู ตนเหง ปอยก๋อยจอ้ ด หรอื ออ่ งจอ้ ด (หลูต่ น้ เตน)
82
งานประเพณเี หลินสบิ สอง (เดอื นสิบสองตรงกับเดอื นพฤศจิกายน)
ประวตั คิ วามเปน็ มา (บ่อเกิดประเพณ)ี
ภาษาปุ่งนา (ปุโรหิต) เรียกว่า “ปิกส่าหย่าส่ี” ภาษาพม่าเรียกว่า “ต๊ะสย่องมุงละ” ธาตุ
ประจําเดือนได้แก่ อาโปธาตุ ดอกประจําราศีคือ ดอกคะจอย (ภาษาถ่ิน) หรือดอกบวบ เป็นฤดู
ถวายผ้าจวี ร นิทานบ่อเกิดประเพณีมีว่า สมัยพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กรุงกบิลพัสด์นิโครธาราม
แม่น้าโคตรมปี ชาบดีจินตนาการวา่ บุตรของเราเปน็ พระพทุ ธเจ้าแลว้ ไทยธรรมท่ดี งี ามเป็นพิเศษนนั้
ยังไมไ่ ด้ถวายสักอยา่ ง ควรขวนขวายหาวธิ กี ารทําบญุ ท่ยี ิ่งใหญ่สกั ครงั้ หนง่ึ ดังนั้น พอถึงฤดกู ฐนิ เดอื น
12 จึงพิจารณาจัดทําจีวรทองคํา โดยนําทองคําไปป่นให้เป็นผงผสมกับดินและปุ๋ย บรรจุลงใน
อ่างทองคําสําหรับเพาะฝ้าย หยอดเมล็ดฝ้ายลงในอ่างทองคําที่เตรียมไว้ พร้อมท้ังอธิษฐานให้ฝ้าย
ออกดอกออกผลในวันเดียว แล้วนําปุยฝ้ายมาป่ันมาทอเป็นจีวรทองคําให้เสร็จในวันขึ้น 14 คํ่า
เดือน 12 ได้จีวรสองชุดพอถึงวันเพ็ญเดือน 12 ก็นําจีวรทั้งสองชุด ไปน้อมถวายพระพุทธเจ้า
พระพทุ ธเจา้ ทรงรับไวช้ ุดหนง่ึ อกี ชุดหน่งึ มอบถวายท่ามกลางสงฆ์ คณะสงฆ์ได้ทําพิธีกรานกฐินและ
มีมติถวายแดอ่ จนิ ตสามเณร ซึง่ จะไดม้ าตรัสร้เู ป็นพระศรีอรยิ เมตไตย์พุทธเจา้ ในโอกาสต่อไป อจินต
สามเณรก็นําจีวรดังกล่าวไปทําเป็นผ้าเพดานมุงไว้ที่พระคันธกุฎิของพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุน้ี จึงมี
ประเพณีทําบุญทอดกฐินสืบตอ่ กนั มาจนตราบเทา่ ทุกวนั น้ี (โกศล ศรีมณี)
83
ปอยหวัง่ กะป่า ประเพณเี ขาวงกต
ช่วงเวลาท่มี กี ารจดั งาน
จะจดั ขึน้ ในเดอื นพฤศจกิ ายน หรือทางชาวไทใหญํเรยี กวํา เดอื น 12 สํวนใหญมํ กั จะ
จัดขน้ึ ในวนั ขึ้น13 คา่ํ ถงึ 15 ค่าํ เดือน 12 โดยถือเอาวนั ขน้ึ 15 ค่าํ เป็นวนั สดุ ทา๎ ยของงาน
ประเพณตี าํ งๆ ของชาวไทใหญํ
ประวตั คิ วามเป็นมาและความเชอ่ื เกีย่ วกบั ปอย หวั่งกะปา่
คําวํา หวั่งกะป่า เป็นคําพมํามาจากคําวํา เหวํง แปลวํา เข๎า กับคําวํา กะป่า แปลวํา เขา
วงกต รวมคาํ แปลวาํ เขา๎ เขาวงกต เป็นเรื่องราวตอนหน่ึงในมหาเวสสันดรชาดก เขาวงกตเป็นคําท่ี
พระพุทธเจา๎ มไี ว๎ในตาํ นานในพระเวสสนั ดรชาดก เลําวํา กาลสมัยท่ีพระพุทธเจ๎าอยํูในทศชาติที่ 10
(พระเวสสันดร) ซึ่งพระองคท๑ รงบริจาคชา๎ งเผือกแกว๎ ซ่งึ เป็นชา๎ งคบูํ า๎ นคูํเมืองใหแ๎ กํพราหมณ๑ของเมือ
งกลิงคราช เปน็ เหตใุ ห๎กรงุ สพิ เี กิดอลหมํานแหง๎ แลง๎ มหาชนจึงมารอ๎ งทุกข๑ตํอพระเจา๎ กรุงสัญชัยให๎
เนรเทศพระเวสสันดรออกจากบ๎านเมืองพร๎อมด๎วยพระนางมัทรีพระโอรสและพระธิดาเสร็จเข๎าไป
บําเพ็ญเพียรในป่าและเดินทางมาถึง เขาวงกต มีความเชื่อกันวําเป็นเรื่องราวตอนหน่ึงในมหา
เวสสันดรชาดก ตอนท่ีพระเวสสันดร ได๎ออกจากเมืองไปบําเพ็ญบารมีในป่าเขาวงกต ซึ่งเส๎นทางท่ี
จะเข๎าไปหาพระเวสสันดรในปา่ เขาวงกตน้ันสลับซับซ๎อนมีทางเข๎ามากมาย ถ๎าผู๎ใดจะเข๎าไปหาหรือ
ไปทาํ บญุ ก็ตามหากไมํมบี ญุ แล๎ว จะไมํสามารถเข๎าไปถงึ อาศรมพระเวสสันดรได๎จะหลงทางไปมาอยํู
ในป่าเขาวงกตน่ันเอง จึงมีการสร๎างจําลองตามประวัติและความเช่ือต้ังแตํสมัยพุทธกาล เป็นการ
จําลองปราสาทมหาวิหาร 8 หลัง ท่ีเศรษฐีในสมัยนั้นสร๎างถวายแดํพระพุทธเจ๎า โดยจําลอง
เหตุการณม๑ าสร๎างเปน็ พทุ ธบูชาซ่ึงตามพทุ ธประวัตไิ ด๎กลาํ วไว๎วํา
หลงั ท่ี 1 ช่ือ เชตวรรณม๑ หาวิหาร ตงั้ อยํใู นกรงุ สาวตั ถี ในครง้ั ที่พระพุทธเจา๎
ยงั ไมปํ รนิ พิ านซงึ่ เปน็ วดั ท่ีมหาเศรษฐีอนาถมีนฑกิ ะเปน็ ผู๎ถวาย
84
หลงั ท่ี 2 ช่อื บพุ ผารามหาวหิ าร ต้ังอยูใํ นชนบทแหงํ กรงุ พาราณสี โดยนาง
วิสาขามหาอุบาสกิ าเปน็ ผู๎สรา๎ งถวาย
หลงั ที่ 3 ชื่อ เวฬุวรรณม๑ หาวหิ าร ตง้ั อยูํในชนบทแหงํ กรุงราชคฤ พระ
เจ๎าพิมพิศาลเปน็ ผ๎สู รา๎ งถวาย
หลังท่ี 4 ชื่อ มหาวรรณม๑ หาวหิ าร ต้ังอยใูํ นกรงุ ปาตะลบี ตุ ร จิตตะมหา
เศรษฐี เปน็ ผถ๎ู วาย
หลังที่ 5 ชื่อ เมกกะทายะวรรณ๑มหาวหิ าร ตงั้ อยํูในป่าตดิ กบั ดนิ แดนแหงํ กรงุ มนั
ลานคร นนั ฑยิ ะมหาเศรษฐีเป็นผูถ๎ วาย
หลงั ท่ี 6 ช่อื กัณฑารมมหาวหิ าร ต้ังอยํใู นกรุงเวสาลี โชติกะมหาเศรษฐเี ปน็
ผ๎สู ร๎างถวาย
หลังท่ี 7 ชอื่ กสุ นิ ารามมหาวหิ าร ตั้งอยํูในกรุงโกสมั ภี กากะวรรณะมหา
เศรษฐี เปน็ ผู๎สร๎างถวาย
หลงั ท่ี 8 ชอ่ื นโิ ครธารามมหาวิหาร ตั้งอยูํในกรงุ กะบลิ ละพัสดุ๑ พระเจ๎าสุ
ทโธทนะ
สําหรับชาวบ๎านป๊อกดอนเจดีย๑ อําเภอเมืองแมํฮํองสอน ซึ่งถือวําเป็นชุมชนชาวไทใหญํท่ี
เกาํ แกํและยืดมั่นในขนบธรรมเนยี มประเพณแี ละวัฒนธรรมของชาวไทใหญํอยํางเหนียวแนํนชุมชน
หนึ่ง นิยมสร๎าง จําลองปราสาท 5 หลัง แทนสระบัวและอาศรมพระเวสสันดรตามความเช่ือในทศ
ชาติชาดก
กระบอกนา้ กระบอกทราย ภายในเขาวงกต
85
อปุ กรณ์ในการสรา้ งปราสาทในเขาวงกต ประกอบดว๎ ยดังน้ี (พระครูอนุรกั ษธ๑ รรมมา
เจดยี ๑ : 22/08/2550)
1)กาว 7) ธปู
2) กรรไกร 8) เทียน
3) ถาด 9) ทรายและนา้ํ
4)ไมไ๎ ผํ 10)ไมอ๎ อ๎
5) มดี 11) ตน๎ หนอํ กลว๎ ย, หนอํ ออ๎ ย
6)ดอกไม๎ 12) กระดาษสหี รอื กระดาษเงนิ กระดาษทอง
ขัน้ ตอนวิธกี ารในการสร้างปราสาทเขาวงกต ประกอบดว๎ ย 9 ขน้ั ตอน ดงั น้ี
ขัน้ ตอนท่ี 1 นําไม๎หลักตดิ กบั พืน้ ดนิ ตามแบบแผนทกี่ าํ หนด และนาํ มีดเหลาไมไ๎ ผํ
เป็นเสน๎ เล็กๆ และสานไม๎ไผลํ ายขัดในรูปแนวเฉียงเพอ่ื ทาํ เปน็ ชอํ งทางทั้ง 2 ด๎านในการเดนิ เขา๎ เขา
วงกต
ข้ันตอนท่ี 2 พอสานเสรจ็ แลว๎ กใ็ สํตามแบบแผนวาํ เป็นโครงสรา๎ งตามแนวทางเขา
วงกตทางโคง๎ ซ๎ายและขวาทาํ ชอํ งทางเดนิ ไปเรอื่ ยๆ ดูจนเหมอื นวาํ เปน็ ทางเขา๎ เขาวงกต
ขั้นตอนที่ 3 ติดสายรง๎ุ หรอื ติดของประดับในงานนํากรรไกรมาตัดใหเ๎ ปน็ รูปที่
สวยงามแล๎วนํากาวมาตดิ ใหส๎ วยงาม
ข้ันตอนท่ี 4 สร๎างประสาทหรือจองพาราสมมุติวําเป็นอาศรมของพระเวสสันดรที่
จะไปต้ังในเขาวงกต สํวนประสาทหรือจองพารานํากระบอกไม๎ไผํใช๎มีดหลาเป็นเส๎นเล็กๆ แล๎ว
ออกแบบโครงสรา๎ งประสาทหรือจองพาราไว๎วํามียอดของประสาทหรอื จองพาราก่ียอด และนาํ หนอํ
กลว๎ ย หนอํ อ๎อย มาติดขา๎ งๆ ประสาททุกหลัง
ข้ันตอนที่ 5 พอทําโครงเสร็จก็นํากรรไกรตัดกระดาษทําเป็นหลังคาหรือยอดของ
ประสาท และนํากระดาษเงินและกระดาษทองทําเป็นยอดประสาทให๎สวยงาม ในการทํายอด
ประสาทเป็นแบบศิลปะลายไตท้ังหมด ทําสํวนยอดประสาทมี 7 ช้ัน แล๎วประดับประสาทให๎
สวยงาม ทําประสาทประมาณ 5 หลงั
ข้ันตอนท่ี 6 แลว๎ นําพระพทุ ธรูปมาวางไวใ๎ นตรงกลางของประสาทหรอื จองพาราท้ัง
5 หลงั นําประสาทหรือจองพารามาตั้งไวใ๎ นเขาวงกตที่สมมตุ ิวาํ เปน็ อาศรมพระเวสสันดร
86
ขนั้ ตอนที่ 7 นําประสาทหรอื จองพารามาตั้งไว๎ 4 มมุ และตรงกลางในเขาวงกตอีก
1 หลัง ท้ังหมดรวมเป็น 5 หลัง แล๎วประดับประดาให๎สวยงามและติดหนํอกล๎วย หนํออ๎อยท่ี
ประสาททกุ หลัง
ข้ันตอนท่ี 8 แล๎วนํามีดมาตัดไม๎อ๎อเป็นกระบอกส้ันๆ ประมาณ 9 กระบอก นํา
ทรายและนา้ํ ผสมกันใสลํ งในไมอ๎ ๎อทต่ี ดั ให๎สวยงาม
ข้ันตอนท่ี 9 นําดอกไม๎ ธูป เทียน มัดรวมกันแล๎วมัดรวมกับไม๎อ๎อที่ตัดไว๎ 9
กระบอกมัดใหส๎ วยงาม แล๎วใสํทรายในถาดเล็กๆ แล๎วนําไม๎อ๎อที่มัดกับดอกไม๎ ธูป เทียน หรือเรียก
กันวํา กระบอกนํ้า กระบอกทราย นํามาตั้งไว๎ตรงกลางถาดท่ีมีทรายป๓กให๎ตรง เพื่อจะนําไปบูชา
พระพุทธเจา๎ ในเขาวงกตทจี่ ําลองไว๎
(พระครอู นรุ ักษธ๑ รรมมาเจดีย๑ : 22/08/2550)
การประกอบพธิ ีปอยหว่งั กะปา่
ตอนเชา้ เปดิ งานปอยหว่ังกะป่า
- พธิ เี ปดิ งานเวลา 09.00 น. พระสงฆท๑ าํ พธิ ีเปิดงานประมาณ 9 รูป
ตอนเย็น
- เริ่มงานเวลา 17.00 น. เป็นต๎นไป ชาวบ๎านก็จะไปซ้ือกระบอกน้ํา
กระบอกทราย ดอกไม๎ ธูป เทยี นกัน ซ้อื เพอ่ื ทาํ บญุ กับวัดหรอื ภายในวัดท่ีทาํ ขายแล๎วแตํจิตศรัทธาที่
ซ้ือเพ่อื นําไปถวายพระทีอ่ ยูํในเขาวงกตทจ่ี ะเข๎าไปถวาย
- เมื่อซื้อกระบอกนํ้ากระบอกทราย ดอกไม๎ ธูป เทียนแล๎ว ก็เร่ิมทางเข๎า
เขาวงกตทส่ี มมุตวิ าํ เป็นอาศรมของพระเวสสันดรเพ่ือเดนิ ทางไปถวายของใหก๎ ับพระแลว๎ แตวํ าํ จะเขา๎
ทางเขาวงกตซา๎ ยหรือขวา
- เมื่อเข๎าไปในเขาวงกตที่สมมุติวําเป็นอาศรมของพระเวสสันดร เมื่อถึง
พระ แล๎วก็ถวายกระบอกนํ้ากระบอกทรายและดอกไม๎ ธูป เทียน เม่ือถวายเสร็จก็รับพรจากพระ
แล๎วก็เดินออกจากเขาวงกต
- ถา๎ เข๎าด๎านซ๎ายกเ็ ดนิ ออกทางขวา และถ๎าเขา๎ ทางขวาก็เดินออกทางซา๎ ย
- ถ๎าคนไหนหาทางออกเขาวงกตไมํเจอก็แสดงวําไมํมีบุญ แตํถ๎าคนไหน
หาทางออกเขาวงกตเจอก็แสดงวําเป็นคนมบี ุญ
87
ประเพณปี อยป๋ายหลอย (งานประจาปีบูชาพระธาตุดอยกองม)ู
ปอยปา๋ ยหลอยท่ีพระธาตุ วัดพระธาตดุ อยกองมู
ชว่ งเวลาทม่ี ีการจดั งาน
งานประจําปบี ูชาพระธาตดุ อยกองมูของชาวจังหวัดแมฮํ อํ งสอนตรงกับเดือน 12 ของทุกปี
ประวตั คิ วามเปน็ มาและความเชอื่
“ปอยป๋ายหลอย” มีมาหลังจากมีการสร๎างองค๑พระธาตุเจดีย๑ ที่มีประวัติความเป็นมา
และมอี ายุเกาํ แกํรํวม 100 กวําปมี าแล๎ว พระธาตอุ งค๑ใหญํสร๎างขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2403 โดยจองตํองสํู
สํวนองค๑เล็กสร๎างเมื่อปีพ.ศ. 2417 โดยพญาสิงหนาทราชา หากแตํ “ปอยป๋ายหลอย” ในสมัยน้ัน
เทําทผี่ ู๎เฒําผแู๎ กยํ งั จาํ ความได๎ ไดเ๎ ลาํ ให๎ฟ๓งวํา งานประจําปนี นั้ ไมใํ ชํงานใหญํโตอะไรมากมายนัก เพิ่ง
จะยึดถือเป็นงานประจําปีที่ย่ิงใหญํของวัดพระธาตุดอยกองมู เมื่อประมาณ 70 – 80 ปีมาน้ีเอง
“ปอยป๋ายหลอย” ยํอมาจากคําวํา ปอย แปลวํา งาน กับคําวํา ป๋ายหลอย แปลวํา ปลายดอย
ฉะนั้นรวมความแล๎วจึงแปลได๎วํา งานปลายดอย หรือ งานพระธาตุปลายดอย ชาวแมํฮํองสอน
เรยี กวัดพระธาตุดอยกองมูวํา “วัดป๋ายหลอย” คือ วัดปลายดอย ฉะน้ัน ปอยป๋ายหลอยจึงแปลวํา
งานพระธาตุดอยกองมู หรือ งานนมัสการพระธาตุดอยกองมู ที่ใช๎เรียกกันอยํูในป๓จจุบันน้ี
(ประเสริฐ ประดิษฐ๑ มปป. : 1-3)
ทํานพระครูอนุสิฐธรรมสารเจ๎าอาวาสวัดพระธาตุดอยกองมู และคุณดารณี ทอง
เขียว ภูมิป๓ญญาประจําท๎องถ่ินได๎เลําให๎ฟ๓งวํา ปอยป๋ายหลอยน้ันมีมานานแล๎ว คาดวํา
นําจะมีมาตั้งแตํได๎ซํอมแซมพระธาตุองค๑ใหญํ ในพ.ศ. 2441 เมื่อคร้ังท่ีถลํมลงมาจนเกิดความ
เสียหาย คุณดารณีเลําอีกวําในปี พ.ศ. 2479 สมัยท่ีคุณดารณีอายุ 6 – 7 ขวบ ได๎ขึ้นไปเที่ยวงาน
โดยการเดินขึ้นทางด๎านหน๎าของวัดพระธาตุ ซ่ึงยังไมํมีทางรถยนต๑เชํนป๓จจุบัน ในงานมีการปลํอย
โคมลอยขนาดใหญํท่เี รยี กวํา “โกมไฟบิ๋น” (ทําจากกระดาษสา ใช๎ความร๎อนและควันจากก๎านแปก
88
หรือไม๎เก๊ียะ รนจนทําให๎ลอยได๎) ไมํมีโคมลอยขนาดเล็ก โคมลอยขนาดเล็กนั้นเพ่ิงมีมาในปี พ.ศ.
2508นี้เอง โดยความคิดของลุงแก๎ว ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองล๎านนามาต้ังรกรากและมีครอบครัวอยํูที่
ป๊อกกาดเกํา ยํานหน่ึงในใจกลางเมืองแมํฮํองสอนป๓จจุบันอายุ 73 ปี สมัยน้ันมีการจุดบ๎องไฟ ไมํมี
การจุดดอกไม๎ไฟเชํนป๓จจุบัน มีการตักบาตรพระมาลัยเพื่อบูชาพระธาตุ (ศรัทธาจะชํวยกันสร๎าง
พระมาลัย เป็นรูปพระพุทธเจ๎ายืนอยูํบนฐานดอกบัว อ๎ุมบาตร ต้ังอยํูบนเชือก 2 เส๎นท่ีขึงโยงไปสูํ
องค๑พระธาตุ มีการชักรอกขึ้นไปสูํองค๑พระธาตุเป็นระยะๆ) งานนี้ถือเป็นงานประจําปีในการบูชา
พระธาตุ หากแตํตรงกับเดือน 12 ชํวงประเพณีลอยกระทงพอดี ในอดีตนิยมปลํอยโคมลอยขนาด
ใหญํ แตํป๓จจุบันนิยมปลํอยโคมลอยขนาดเล็ก ซ่ึงศรัทธาวัดพระธาตุดอยกองมูชํวยกันประดิษฐ๑
เพอื่ ให๎ชาวบ๎านได๎บูชาปลํอยโคมลอยเป็นการทําบุญ มีการตักบาตรพระมาลัย ซ่ึงป๓จจุบันได๎มีการ
ประชุมคณะกรรมการเปล่ียนคําเรียกวํา ตักบาตรดอกไม้บูชาพระธาตุ เม่ือวิเคราะห๑จากบํอเกิด
ประเพณีจะเห็นได๎วํา ปอยป๋ายหลอย น้ันเป็นการเชื่อมโยงความเช่ือของชาวล๎านนากับความเชื่อ
ของชาวไทใหญํท่ีเก่ียวข๎องกับพระพุทธศาสนา พระธาตุ และความเช่ือในการปลํอยโคมลอยเพื่อ
บูชาพระเกศแก๎วจุฬามณีบนสรวงสวรรคช๑ ้ันดาวดงึ ส๑ หรือเพ่อื เป็นการสะเดาะเคราะห๑ลอยเคราะห๑
เปน็ การหลอมรวมความเช่อื เหลํานเ้ี ขา๎ ด๎วยกนั อยํางลงตวั ทเ่ี ดยี ว สวํ นงานประเพณลี อยกระทงจรงิ ๆ
นนั้ จัดข้นึ ที่บรเิ วณหนองจองคํามาตั้งแตอํ ดีต คุณดารณีเลาํ วาํ เคยเหน็ ลุงจองโพหยํา (ผอ๎ู ัญเชิญเจ๎า
พาราละแขํงมาจากพมาํ ) พร๎อมด๎วยศรัทธาญาตมิ ิตรนาํ กระทงใหญํไปลอยท่ีหนองจองคํา เป็นการ
ลอยกระทงใหญํท่ีเรียกวํา “หลู่ส่าง อุ้กปุ้ก”แปลวํา ถวายพระอุปคุต ซ่ึงเป็นความเช่ือของชาวไท
ใหญํ “ลอํ งผอํ งไต” น่ันเอง (ประเสริฐ ประดษิ ฐ๑ มปป. :1-3)
ขนั้ ตอนในการประกอบพธิ ี (ประเสริฐ ประดษิ ฐ๑ มปป.:1-3)
ประเพณลี อยกระทงสวรรคจ๑ ะนิยมจัดกอํ นลอยกระทงธรรมดา 2 – 3 วันซึ่งจะเริ่ม
ตั้งแตํ วนั ขึน้ 12 คาํ่ เดอื น 12 จนถงึ วันขนึ้ 15 คํา่ เดอื น 12
4.1 ในวนั ข้นึ 12,13, คา่ เดอื น 12 จะมกี จิ กรรมคือ การสมโภชเฉลิมฉลอง
บชู าพระธาตุ การเตรยี มดอกไม๎ ธูปเทยี น เพอ่ื นาํ ไปบูชา มกี ารบูชาพระประจาํ วนั บชู าพระธาตุ
และมกี ารตกั บาตรดอกไมบ๎ ูชาพระธาตุ/ตกั บาตรเทาํ อายุ
4.2 วัน 14 ค่า เดือน 12 จะมีกิจกรรมคือ การสมโภชเฉลิมฉลองบูชาพระ
ธาตุ การเตรียมดอกไม๎ ธูปเทยี น เพอ่ื นําไปบชู า มกี ารบูชาพระประจาํ วัน บูชาพระธาตุ
การตักบาตรรดอกไม๎บูชาพระธาตุ/ตักบาตรเทําอายุ และในตอนกลางคืนมกี ารประกวดดอกไม๎ไฟ
89
4.3 วนั 15 ค่าเดอื น 12 วันสุดท้ายของงานเรียกวําวันหลูํ มีกิจกรรมคือ ถวาย
กระทงสวรรค๑ พระสงฆ๑สวดถวายกระทงสวรรค๑ พระสงฆ๑ถวายพระพร การถวายเคร่ืองไทยธรรม
ฟง๓ เทศน๑ ถวายเพล และเล้ียงอาหารผม๎ู ารวํ มงานเป็นเสร็จพธิ ี
ลอยกระทงสวรรค์
ป๓จจุบัน งานปอยป๋ายหลอย ยังถือเป็นงานประเพณีประจําปีของจังหวัด
แมฮํ อํ งสอน ไมํเรยี กวาํ งานลอยกระทง เพราะเปา้ หมายทแ่ี ทจ๎ ริงกค็ อื การบูชาพระธาตุ ซ่ึงเป็นอุดม
คตแิ ละวิถีชีวิตความเช่ือของชาวไทใหญํ สํวนการปลํอยโคมลอยที่เรียกวํา กระทงสวรรค๑ การตัก
บาตรดอกไม๎บูชาพระธาตุ เปน็ การเปิดโอกาสให๎ชาวบ๎านได๎ทําบุญสุนทาน ลอยเคราะห๑หรือทําการ
สะเดาะเคราะห๑ตามความเช่ือแหํงตํานานในพระพุทธศาสนา สํวนการประกวดดอกไม๎ไฟ และ
การละเลํนตํางๆ นั้น เป็นการจัดกิจกรรมให๎มีความครึกครื้นเทําน้ัน ให๎สมกับท่ีเป็นงานประจําปี
ระดับจังหวัดของชาวจังหวัดแมํฮํองสอน เนื่องจากวัดพระธาตุดอยกองมูถือเป็นท่ีเคารพสักการะ
และเป็นแหลํงรวมจิตใจความศรัทธาของชาวแมํฮํองสอนและผู๎มาเยือนมีตํอพระพุทธศาสนาอยําง
ม่นั คงนั่นเอง(ประเสรฐิ ประดิษฐ๑ มปป.:1-3)
ความเช่ือเกี่ยวกับประเพณีปอยปา๋ ยหลอย
ในงานปอยป๋ายหลอยจะมีการจดั ทํากระบอกน้าํ กระบอกทรายไว๎ให๎บูชา เพื่อนําไป
บชู าธาตทุ งั้ 4 เพื่อเปน็ การสะเดาะเคราะห๑
กระบอกนา้ กระบอกทราย หมายถึง การบชู าธาตุทงั้ 4 ซ่งึ มีสํวนประกอบดังนี้คือ
ทราย(ธาตุดนิ ) น้าํ หรือกระบอกน้ํา(ธาตุนา้ํ ) พัดเงิน พัดทอง (ธาตลุ ม) ธปู เทยี น(ธาตไุ ฟ) จา๎ ก
จํา ดอกไม๎ ทีเงิน ทีคํา ไม๎คํ้าโพธิ์คํ้าไทร และสะพานสืบชะตา (ประเวช คําสวัสดิ์:
17/09/2550)
90
กระบอกน้ากระบอกทราย บชู าธาตทุ ั้ง 4
นาไปถวายพระภกิ ษุกรวดน้ารับพรก็ได้ นาไปถวายองคพ์ ระเจดีย์หรือพระประจาวนั เกดิ ก็ได้
เดินรอบองค์พระเจดยี ์ 3 รอบ บชู าพระประจาวนั เกิด จุดธปู เทยี น แลว้ ตงั้ จติ อธิฐาน
91
อุปกรณ์ท่ีใช้ในการทาลอยกระทงสวรรค์ ประกอบด๎วยดังน้ี (จันทร๑พล ฟองแก๎ว :
21/08/2550)
1) โฟม
2) กระดาษสา
3) ลวด
4) เทยี นไข
5) ลูกโป่ง
6) แกส๏
7) เสน๎ ดา๎ ย
ขัน้ ตอนในการทากระทงสวรรค์ ประกอบด๎วยดงั นี้ (จันทรพ๑ ล ฟองแกว๎ : 21/08/2550)
1) สูบลกู โปง่ ดว๎ ยการอัดแก๏ส
2) นําลูกโป่งทไ่ี ดม๎ าผูกเชอื กตดิ กับกระทง
3) กระทงท่ีทําจากกระดาษสาทใ่ี ชล๎ วดพนั เปน็ ขอบกระทงและใช๎โฟมรองเป็นฐาน
กระทง
4) ป๓กเทยี นเลมํ เลก็ ๆอยํูตรงกลาง
ประโยชนท์ ่ีได้รบั จากประเพณลี อยกระทงสวรรค์ (จันทร๑พล ฟองแก๎ว : 21/08/2550)
1. ไดส๎ บื ทอดประเพณีทเี่ กําแกํไว๎
2. ได๎พบปะสงั สรรคก๑ นั
3. แสดงใหเ๎ หน็ ถงึ ประเพณีวัฒนธรรมทงี่ ดงาม
4. ทําใหแ๎ มํฮํองสอนเปน็ ทร่ี ู๎จกั และโดงํ ดังในด๎านประเพณวี ฒั นธรรมที่งดงาม
92
ทาลอยกระทงสวรรค์
ลอยกระทงสวรรค์ ตกั บาตรเท่าอายุ
ตักบาตรพระมาลยั การชักลอกพระมาลัย
93
บรรยากาศภายในงาน บูชาธาตทุ ั้ง 4
การแสดงของเดก็ ๆบนเวที
ไข่นกกระทาพาโชค ทาบญุ เปน็ ครอบครัว
มีการประกวดดอกไมไ้ ฟ มีการประกวดโคมลอย
94
ประเพณีล่องผ่องไต (ประเพณลี อยกระทงไทใหญ)่
ขบวนแห่ผอ่ งไต
ชว่ งเวลาท่ีมีการจดั งาน
ระยะเวลาการจัดกิจกรรม นิยมจัดกิจกรรมในชํวงเวลาวันข้ึน 13 – 15 คํ่า เดือน
12 ลอยกระทงบูชาพระอุปคตุ ในวนั เพญ็ เดือน 12 ในชํวงเช๎ามืด แตํป๓จจุบันมีการลอยกระทงตอน
กลางคืน หลงั เทย่ี งวัน ในวนั เวลาเดยี วกันกบั การลอยกระทงท่วั ไป
ประวตั ิความเป็นมา (บ่อเกดิ ประเพณี)
ประเพณีลํองผํองไต หรือประเพณีลอยกระทงบูชาพระอุปคุตของชาวไทใหญํนั้น มีประวัติ
ความเป็นมา 2 ประการ คอื (ประเสรฐิ ประดษิ ฐ๑ :09/10/2550)
1) จากประวัติพระอุปคุต ปรากฏในคัมภีร๑ธรรมอักษรไทใหญํ ฉบับเจ๎าป่๓นติ๊กต๏ะ
เมืองหนองรฐั ฉาน โดยมีเจา๎ ซอพะนะ เมอื งหนองรัฐฉานเป็นผ๎ูรวบรวมและจัดพิมพ๑เป็นรูปเลํม เม่ือ
พ.ศ.2512 รวมอยํูในเลํมเดียวกันกับคัมภีร๑ธรรมไทใหญํ (ป๊๓บธรรมเจ๎า) อํองแปดจ๎อง (มงคลแปด
ประการ) และเส้กิ ปนื เจา๎ สวี ลี (ประวตั พิ ระสิวลี) ในตอนทา๎ ยประวัตพิ ระอุปคุตกลําวไว๎วาํ
พระอปุ คตุ ยงั มชี วี ิตอยจํู นกระทง่ั ปจ๓ จุบนั ผูใ๎ ดเคารพ หากมีศีลบริสุทธ์ิจักได๎พบ เมื่อพระอุป
คุตออกจากนิโรธสมาบัติ ผูใ๎ ดบชู าแล๎วอธิฐานมอี านิสงสม๑ าก จกั ประสบความสําเร็จตามท่ีปรารถนา
อยํางทันตาเห็น ในเรื่องการทําบุญด๎วยอาหาร บิณฑบาตบูชาพระอุปคุตนั้น ตามประเพณีนิยม
สมัยกํอนให๎เตรียมเครื่องไทยทาน บรรจุลงในแพแล๎วลอยไปในแมํน้ํา มีการตีฆ๎อง กลองเป็นการ
แสดงถงึ ความปตี ใิ นการทาํ บญุ เมื่อทําบุญแล๎วจะตอ๎ งแผํกศุ ล เอาวิชาญาณกําจัดโมหะ ทําจติ ใจใน
เจตนาให๎บรรลมุ รรคผลนพิ พาน จงึ จะมีอานสิ งสม๑ าก ถา๎ จิตเล่ือมใสจกั รแ๎ู จ๎งเห็นจริงในวิชาญาณ
95
พระอุปคุตมตี าทิพย๑ หทู พิ ย๑ เป็นพระอรหนั ตอ๑ ยใูํ นมหาสมทุ รทั้ง 4 ด๎าน มรณภาพไปแล๎ว 4
รูป รํางไมํเนําเป่ือย อีก 4 รูป ชราภาพแล๎วยังมีชีวิตอยํู ในตําราบอกไว๎ท่ีควรจดจํา ผู๎ใดนิมนต๑พระ
อุปคุตทํานจะทราบทุกคร้ัง หากทาน ศีลของเราบริสุทธิ์ ไมํต๎องไปทําน้ําทําเป็นแพลอยก็ได๎ เรา
นิมนต๑ทํานมารับเครื่องไทยธรรมทํานจะมารับอาหารบิณฑบาตของเรา ทานก็ต๎องเป็นทานที่
บรสิ ทุ ธ์ิ มีเจตนาเลื่อมใสจรงิ ๆ เม่อื พระอุปคุตออกจากนิโรธสมาบัติ เล็งเห็นด๎วยญาณวํา สมควรจะ
มาโปรดใครหรอื ไมํ สมควรพบเห็นจึงจะไดเ๎ หน็ พระอุปคุตนั้นไมํฉนั อาหารบณิ ฑบาตของเทวดาและ
มนุษย๑เสมอไป ทํานจะดูจิตศรัทธาเสียกํอน ดังเชํนอาหารบิณฑบาตของ พระอรหันต๑ท่ีได๎รับ
อานสิ งส๑จากการอาเจียนให๎สนุ ขั กนิ ถ๎าจะทาํ บุญเพยี งให๎ส้ินๆไป จะไมํมีโอกาสได๎พบเห็นพระอุปคุต
ประวัตพิ ระอปุ คุต 8 รูป ของคัมภีรธ๑ รรมไทใหญํฉบับเจ๎ากางเสอ ได๎กลําวถึงอานิสงส๑การทําบุญ ตัก
บาตรพระอปุ คตุ ทาํ นองเดียวกันกบั ฉบบั เจา๎ ป่๓นตติ๊ ะ๏
2) ประวัติความเป็นมาของปอยมหาตุ๎ก (จับฉลากถวายภัตตาหารพระพุทธและ
พระสงฆ๑) ในคัมภีร๑ธรรมไทใหญํเรื่อง มหาตุ๎กลองซอม ฉบับจเรหลาว กลําวถึงการจับฉลากถวาย
พระพุทธและพระสงฆ๑ สรุปความวํา ในสมัยหนึ่งพระกัสสปะพุทธเจ๎า พร๎อมด๎วยพระสงฆ๑สาวก
จาํ นวนมากไปแสดงธรรมโปรดชาวเมืองพาราณสี ชาวเมืองประชมุ ตกลงกันจับสลากถวายภตั ตาหาร
พระพุทธเจา๎ และพระสงฆ๑ตามจาํ นวนท่ตี นจะถวายได๎ ไดม๎ ีชายยากจนเข็ญใจมากคนหน่ึงชื่อ “มหา
ทุคตะ” ได๎ไปแจ๎งชื่อรับถวายภัตตาหารแดํพระภิกษุสงฆ๑ 1 รูป แล๎วไปบอกภรรยาทราบ ตํางมี
ความปตี ิไปรับจ๎างทํางานให๎เศรษฐี นําคําจ๎างมาเตรียมทําบุญ จนพระอินทร๑ปลอมตัวมาเป็นชาย
ชรามาชํวยปรุงอาหารทิพย๑ ชายมหาทุคตะได๎มีโอกาสถวายภัตตาหารพระกัสสปะพุทธเจ๎า หลัง
ได๎รับการอนุโมทนาแล๎ว เกิดฝนเงินฝนทองตกลงมา ชายมหาทุคตะนําความไปทูลพระราชาเมือง
พาราณสใี หท๎ รงทราบและขอให๎นําพาหนะไปขนเงินทองมาไว๎ในท๎องพระคลัง พระองค๑ได๎แตํงต้ังให๎
มหาทุคตะและภรรยาเป็นมหาเศรษฐีและมหาเศรษฐีนี ในการจับสลากถวายพระพุทธและ
พระสงฆน๑ ัน้ จึงไดม๎ กี ารจบั ถวายพระอปุ คุตและสามเณรด๎วย เจ๎าภาพใดจับสลากได๎พระภิกษุสงฆ๑
รูปใดหรือสามเณรองค๑ใด เจ๎าภาพนั้นจักนิมนต๑ให๎พระภิกษุสงฆ๑หรือสามเณรท่ีตนจับได๎รับอาหาร
บิณฑบาตท่ีบ๎านเจ๎าภาพ แตํถ๎าหากเจ๎าภาพใดที่จับสลากได๎พระพุทธ เจ๎าภาพนั้นจักต๎องจัดถวาย
ข๎าวมธุปายาส โดยเจ๎าภาพอ่ืนไปชํวย เชํนเดียวกัน หากเจ๎าภาพใดจับสลากได๎พระอุปคุต เจ๎าภาพ
น้ันตอ๎ งจดั กระทงบชู าพระอุปคตุ โดยมเี จา๎ ภาพอน่ื ๆไปชวํ ยเชนํ เดียวกัน
“ล่องผ่องไต” เปน็ คําเรยี กขานชอื่ พธิ หี นึง่ ท่ีผ๎ูเฒําผู๎แกํของชาวไตในอดีต ได๎นําพาลูกหลาน
ปฏิบัติในวันเพ็ญเดือน 12 มีรากศัพท๑จากคําไตผสมคําพมํา น่ันคือ “ลํอง” เป็นภาษาไทใหญํ
96
แปลวํา ไหลหรือลอย สํวนคําวํา “ผํอง” มาจากภาษาพมํา แปลวํา สิ่งที่ใช๎ลอยน้ํา หรือลอยแพ
ดังนนั้ ลอํ งผํองไตจงึ เปน็ พิธีหนึ่งท่ีมีความหมายวาํ การลอยส่ิงทลี่ อยนา้ํ ได๎ หรือลอยแพ น่นั เอง
ลอํ งผอํ ง คล๎ายพธิ ีลอยกระทงของชาวไทย หากแตํลํองผํองไตกับพิธีลอยกระทงน้ัน มาจาก
ความเช่ือท่ีแตกตํางกัน ชาวไทใหญํลํองผํองเพ่ือบูชาพระอุปคุต (สํางอ๎ุกปุ้ก) ตามความเชื่อในพุทธ
ประวตั ิ ซึง่ ปรากฏในคัมภีร๑ไทใหญํ (ลีกโหลง)ของครูหมอไตท่ีช่ือเจ๎าป่๓นต๊ิต๏ะเมืองหนองรัฐฉาน และ
ปรมาจารย๑เจ๎ากางเสอ แตตํ ํานานลอยกระทงของชาวไทยนนั้ เกิดขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัย มีความเชื่อ
เก่ียวกับการสะเดาะเคราะห๑และคารวะโทษแดํเจ๎าแมํคงคา หากเป็นโคมลอยและโคมแขวน เป็น
การอุทิศสักการะบูชาพระมหาบรมเดศาธาตุจุฬามณีในสวรรค๑ช้ันดาวดึงส๑ และหากเป็นโคม
กระบอกของชาวเหนือ เป็นการบูชาพระพุทธเจ๎าในคราวเสด็จลงมาจากสวรรค๑ช้ันดาวดึงส๑ ในวัน
เพ็ญเดือน 11 หรอื เดือนย่ีเป็งของชาวเหนอื น่นั เอง (ประเสรฐิ ประดษิ ฐ๑)
สําหรับประวัตพิ ระอปุ คตุ 8 รูป ของปรมาจารยเ๑ จ๎ากางเสอ ครูหมอไต ได๎กลําวไว๎วํา มีพระ
อุปคุต 8 รูป ดับขันท๑ไปแล๎ว 4 รูป พระศพอยํูบนเขาพระสุเมรุ ยังมีชีวิตอยํูในมหาสมุทรอีก 4 รูป
ล๎วนดับกิเลสเป็นพระอรหันต๑ท้ังสิ้น ท่ีดับขันท๑แล๎วเรียกวํา “อุปาทิเสสนิพพาน” ที่ยังมีชีวิตอยํู
เรียกวาํ “อนปุ าทเิ สสนิพพาน”
พระอุปคุตท่ียังมีชีวิตอยํู ได๎แกํ รูปที่ 1 มีชื่อวําพระอุปคุต อาศัยอยูํในวัดในมหาสมุทรด๎าน
ทิศใต๎ รูปที่ 2 มีช่ือวําพระอนุระธา อาศัยอยํูในมหาสมุทรด๎านทิศตะวันออก เม่ือทํานออกมา
บิณฑบาต ผู๎ที่มศี ีลธรรมจะไดพ๎ บเห็น สํวนผู๎ประพฤตชิ วั่ จะไมํมโี อกาสไดพ๎ บเหน็ รปู ท่ี 3 มีชอ่ื วาํ พระ
นารัททะภะ อาศัยอยูํในมหาสมุทรด๎านทิศเหนือ จะออกมารับบิณฑบาตในชมพูทวีปในวันเพ็ญ
เดือน 4 และวนั เพ็ญเดอื น 12 ท่ตี รงกบั วันพธุ ชาวเหนือเรียกวํา เป็งปุ้ด ผู๎มีศีลธรรมปฏิบัติดีปฏิบัติ
ชอบเทาํ นั้นจึงจะได๎พบเห็น รูปที่ 4 มชี ่อื วาํ พระธรรมะสาระภะ อาศัยอยูํในวัดในมหาสมุทรด๎านทิศ
ตะวนั ตก รอคอยพระพุทธเจ๎าชือ่ พระศรีอริยเมตตรัย
ด๎วยเหตุดังกลําวน้ี ชาวไทใหญํจึงจัดให๎มีพิธีลํองผํองไต เพ่ือบูชาพระอุปคุตในมหาสมุทร
โดยจัดทําเป็นแพใหญํ ในอดีตใช๎ไมน๎ ํุนเปน็ แพ ปจ๓ จุบนั นยิ มใช๎ไม๎ไผํทม่ี ีนํ้าหนกั เบา จดั ทาํ ซ๎มุ ปราสาท
หรืออุโบสถดว๎ ยวสั ดเุ บา มมี ํานประดับ ตกแตงํ ดว๎ ยสกี ระดาษฉลุเป็นลายเครือเถา (หมอกนอนเคอ)
สมมตุ เิ ปน็ วัดของพระอปุ คตุ มี 4 มขุ ตรงกลางปราสาทใสํเครอื่ งอฐั บรขิ ารสาํ หรบั พระภกิ ษสุ ามเณร
มีจีวร บาตร ถ๎าย จาน ชาม เข็ม ไหม พร๎อมด๎วยเครื่องไทยธรรม 1 ชุด คร้ันถึงเวลาเช๎ามืดของวัน
ขึน้ 15 คาํ่ เดอื น 12 นมิ นตพ๑ ระภิกษุสงฆ๑ 1 รูปไปยังริมฝ๓่งแมํนํ้าอันเป็นสถานที่ทําบุญ รับไตรสรณ
คม สมาทานศีล เสรจ็ แลว๎ กรวดน้าํ รับพร จากนั้นเจ๎าภาพก็นาํ แพหรอื ผอํ งลงน้าํ เจา๎ ภาพอาจตัดเล็บ
97
มือเล็บเท๎าใสํลงในแพ พร๎อมกับเงินเหรียญ เสร็จแล๎วตั้งจิตอธิษฐานบูชาพระอุปคุต ขอให๎มีโชคมี
ลาภ อยูดํ มี ีสขุ แลว๎ ปลอํ ยแพลอยไปตามกระแสนาํ้ เป็นเสร็จพธิ ี
นางนพมาศนัง่ ในกระทง ขบวนแห่ลอยกระทง
การแห่กระทง จดั ประกวดนางนพมาศ
ข้ันตอนในการจัดงาน ประกอบด๎วย 2 ข้ันตอน ดังน้ี (ประเสริฐ ประดิษฐ๑
:09/10/2550)
เป็นการอนุรักษ๑ฟ้ืนฟูของชุมชนตําบลปางหมู ซ่ึงเป็นชุมชนเกําแกํของเมือง
แมฮํ ํองสอน ดําเนนิ การโดยองค๑การบรหิ ารสวํ นตําบลปางหมู
98
ข้ันตอนที่ 1 จะมีการประชุมปรึกษาหารือกันกํอน เน่ืองจากอนุรักษ๑ฟื้นฟูเกิดขึ้น
โดยองคก๑ ารบริหารสํวนตําบลปางหมู จึงจดั ประชุมที่ อบต.ปางหมู เพื่อวางแผนการจัดงาน สถานที่
จัดงานคือวัดปางหมู และบริเวณสะพานปางหมู ชุมชนท่ีเข๎ารํวมจัดงาน การจัดทําผํองไต การ
ประกวดแขํงขันผํองไตและขบวนแหํ ตลอดจนการละเลํนตํางๆรวมถึงการ แตํงต้ังคณะกรรมการ
รับผดิ ชอบ วธิ ีการและพิธกี รรมในแตลํ ะข้ันตอน
ขน้ั ตอนท่ี 2 การแตงํ ดาเครื่องไทยธรรม ตาํ งคนตํางเตรียม ในสํวนสถานท่ีถวาย
ขา๎ วมธุปายาส และกระทงบูชาพระอุปคุต จะชํวยกันทําเป็นหมบูํ า๎ น จั ด ส ถ า น ท่ี แ ล ะ
เคร่ืองมือถวายข๎าวมธุปายาส โดยเตรียมที่วัด จะนําไม๎ไผํมาจักสานทําเป็นราชวัตร ป๓กหนํอกล๎วย
หนํออ๎อย ไว๎ตรงมุม 4 มมุ สถานทีว่ างขา๎ วมธปุ ายาส เตรยี มสถานทีต่ ง้ั พระอปุ คุต ป๓กหนํอกล๎วยหนํอ
อ๎อยเชํนเดียวกนั และเตรยี มสถานทท่ี จ่ี ะลํองผํองไต
อุปกรณ์ที่ใช้แห่พระอุปคุต ประกอบด๎วยรูปป้๓น/รูปภาพพระอุปคุต และกระทงพระอุป
คุต
วธิ ที ากระทงพระอุปคุต มดี งั น้ี
1. กระทงอปุ คุตนาํ ไมไ๎ ผมํ าผกู เป็นแพ
2. ตรงกลางยกพนื้ ทําเป็นปราสาท สถาป๓ตยกรรมแบบสองคอสามชาย
3. นาํ กระดาษสมี าฉลุเป็นลวดลายเครือเถา (หมอกนอนเคอ)
4. ขดั ราชวตั รท้งั สี่ด๎านตรงมุมป๓กหนอํ กลว๎ ยหนํอออ๎ ย
5. ตรงกลางมเี ครื่องไทยธรรมพร๎อมอัฐบรขิ าร
ในกรณีท่ีไมํมีรูปป๓้นพระอุปคุต มีความประสงค๑จะไปงมหินในแมํนํ้ามาแทนพระอุปคุต ให๎
เตรยี มคนรํวมงานและอปุ กรณแ๑ หแํ หน คือ ฆ๎อง กลองไปรบั พระอุปคุตจากแมํนาํ้ ด๎วย ถงึ เวลาจะพา
กันแหํแหนไปยังแมํนํ้า แล๎วไปงมเอาก๎อนหินในแมํนํ้า สมมติวําเป็นพระอุปคุต แล๎วแหํมาต้ังไว๎ยัง
สถานท่ี เตรียมเอาไว๎กํอน เม่ือเจ๎าภาพจับสลากได๎จะแหํไปยังบ๎านเจ๎าภาพอีกครั้งหนึ่ง (ประเสริฐ
ประดษิ ฐ๑ :09/10/2550)
99
ปอยลอยกระทง (ประเพณลี อยกระทง)
ประวตั ิความเป็นมา
บํอเกดิ ประเพณลี อยกระทงของไทย ตํานานกลําวไว๎วําประเพณีลอยกระทงเร่ิมข้ึนเป็นคร้ัง
แรกในสมัยสุโขทัย ผ๎ูให๎กําเนิดคือนางนพมาศ หรือท๎าวศรีจุฬารัตน๑ ซ่ึงมีตําแหนํงเป็นพระสนมเอก
แหํงพระรํวงเจ๎ากรุงสุโขทัย พระราชพิธีลอยกระทงแหํงสํานักพระรํวงเจ๎าในคร้ังน้ันเรียกวํา “พระ
ราชพิธีจองเปรียง” คําวํา จองเปรียง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานอธิบายวํา “ช่ือพิธีอยําง
หนึ่งของพราหมณ๑เป็นพิธีจุดโคมรับพระเจ๎า ทําในวันเพ็ญเดือน 12” ในสมัยน้ันบรรดาข๎าราชการ
ประชาชน ตํางกป็ ระดษิ ฐ๑ตบแตงํ รปู โคมลอยอยํางวจิ ติ รสวยงาม ประกวดประขนั กัน ครง้ั นน้ั นางนพ
มาศก็ได๎ประดิษฐ๑โคมเป็นรูปดอกกระมุท (ดอกบัว) สวยเดํนเป็นสงํา เป็นที่พอพระทัยของพระรํวง
มาก ทรงรับสั่งให๎วันเพ็ญเดือน 12 เป็นวันนักขัตฤกษ๑ ให๎ทําโคมดอกกระมุทเพื่อบูชาพระพุทธ
มหานมั มทานที ตลอดไป
ประเพณีลอยกระทงในจังหวัดแมํฮํองสอน สมัยกํอนมักจัดที่บริเวณหนองจองคํา หากแตํ
เป็นกระทงใหญํ ซึ่งเป็นการลอยถวายพระอุปคุต ตรงข๎ามกับความเชื่อของชาวไตล๎านนาและชาว
ไทย ท่เี ป็นการขอขมาตํอเจา๎ แมํคงคา หรือลอยเคราะหส๑ ํงเคราะห๑ ป๓จจุบัน สํานักงานเทศบาลเมือง
แมํฮํองสอน ได๎จัดงานลอยกระทงขึ้นเป็นประจําทุกปี เพื่อให๎ประชาชนในเขตเทศบาล ได๎มีโอกาส
ทําบุญลอยกระทง และสนุกสนานรืน่ เรงิ ตามความเช่อื ทีผ่ สมผสานแล๎ว (ประเสริฐ ประดิษฐ๑)
ขบวนแหม่ กี ารตีกลอง ในขบวนแห่มีการรานก
100
ในขบวนมกี ารราโต
ประเพณลี อยกระทง ขบวนแห่
นางนพมาศ