กลมุ่ ชาติพันธุ์ จังหวดั แม่ฮอ่ งสอน 93
ไทใหญ่
ชอ่ื เรยี กตัวเอง ไต
ชือ่ ทีผ่ ้อู น่ื เรียก ไทใหญ่
การตัง้ ถ่นิ ฐาน ชาวไทใหญ่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เดิมตั้งถ่ินฐานเป็นกลุ่มใหญ่อยู่ในเขตรัฐฉาน
ประเทศพมา่ ตอ่ มาดว้ ยเหตแุ หง่ การยา้ ยถนิ่ เพอื่ แสวงหาทท่ี ำ� กนิ การทำ� ไมใ้ นสมยั องั กฤษ
ปกครองพม่าที่ขยายมาสู่ ทางตะวันออกของน้�ำสาละวิน กอปรกับความไม่สงบ
ทางการเมืองระหว่างรัฐไตด้วยกัน และจากการถูกกดข่ี ข่มเหงจากชนช้ันปกครอง
ชาวไตส่วนหนึ่งจึงได้อพยพเข้าสู่ประเทศไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีการ
หลั่งไหลเข้ามาเป็นระยะๆ โดยมีความสามารถถึงระดับเป็นชนช้ันปกครองของพ้ืนที่
94 กล่มุ ชาติพันธ์ุ จังหวดั แม่ฮอ่ งสอน ๒. อำ� เภอขนุ ยวม
บ้างก็กลายเป็น คนไทยได้เช้ือชาติไทยและสัญชาติไทย ๑๐ หมบู่ า้ นหลัก ใน ๓ ตำ� บล ดงั นี้
บางส่วนได้เพียงสัญชาติไทยตามกฏหมายว่าด้วยสัญชาติ ๒.๑ ต�ำบลขนุ ยวม ๓ หม่บู า้ นหลกั ได้แก่ หมู่
และบางสว่ นไดเ้ ขา้ มารบั จา้ งเปน็ แรงงานอยตู่ ามเมอื งตา่ งๆ ที่ ๑ ขนุ ยวม หมู่ท่ี ๒ ขนุ ยวม หมูท่ ่ี ๓ แม่สรุ นิ
ท้ังที่มีใบอนุญาตท�ำงานและไม่มีใบอนุญาตท�ำงาน โดย ๒.๒ ต�ำบลแม่เงา ๓ หมู่บ้านหลัก ไดแ้ ก่ หมู่ท่ี
กระจายอยู่ในทุกอ�ำเภอ ส่วนใหญ่อยู่ในพ้ืนที่อ�ำเภอเมือง ๑ ตอ่ แพ หมู่ที่ ๓ ประตเู มือง และหมู่ท่ี ๘ บา้ นหลวง
แม่ฮ่องสอน ใน ๖ ชมุ ชน ๘๗ หมบู่ ้าน ดังนี้ ๒.๓ ต�ำบลเมอื งปอน ๔ หมบู่ า้ น ได้แก่ หมทู่ ่ี
๑ เมืองปอน หม่ทู ี่ ๒ เมอื งปอน หมู่ท่ี ๓ หางปอน หมทู่ ่ี ๔
๑. อ�ำเภอเมอื งแม่ฮ่องสอน ป่าฝาง
๖ ชมุ ชน ๓๓ หมู่บา้ นหลัก ๑๒ บ้านบริวาร ในพ้ืนท่ี ๖ ๓. อ�ำเภอปาย
ต�ำบล ดังนี้
๑.๑ ต�ำบลจองค�ำ ๖ ชุมชน ได้แก่ ชุมชน ๒๒ หมบู่ า้ นหลกั ๑ บ้านบรวิ าร ใน ๕ ตำ� บล ดงั นี้
ตะวนั ออก ชมุ ชนกลางเวยี ง ชมุ ชนหนองจองคำ� ชนุ ชนกาดเกา่ ๓.๑ ตำ� บลเวียงใต้ ๗ หม่บู า้ นหลกั ไดแ้ ก่ หมู่ท่ี ๑
ชุมชนดอนเจดยี ์ และชมุ ชนปางล้อ เมอื งพรา้ ว หมทู่ ่ี ๒ เจา้ หมอ้ หมทู่ ี่ ๓ ปา่ ขาม หมทู่ ี่ ๔ เมอื งแพร่
๑.๒ ต�ำบลห้วยโป่ง ๕ หมู่บ้านหลัก ได้แก่ หมูท่ ่ี ๕ น้�ำฮู หมทู่ ่ี ๖ ห้วยปู หมูท่ ี่ ๘ แสงทองเวียงใต้
หมูท่ ี่ ๑ หว้ ยโป่ง หมทู่ ี่ ๒ แก่นฟา้ หมู่ท่ี ๓ ป่าลาน หมูท่ ่ี ๕ ๓.๒ ต�ำบลเวียงเหนือ ๓ หมู่บ้านหลัก ได้แก่
ไม้ฮงุ หมู่ที่ ๗ บ้านกลาง หม่ทู ี่ ๑ บ้านโป่ง หมูท่ ่ี ๓ ตาลเจ็ดต้น หมทู่ ี่ ๘ ศรดี อนชยั
๑.๓ ตำ� บลผาบอ่ ง ๗ หมบู่ า้ นหลกั ๓ บา้ นบรวิ าร ๓.๓ ตำ� บลแมน่ าเตงิ ๖ หมบู่ า้ นหลกั ไดแ้ ก่ หมทู่ ่ี ๑
ได้แก่ หมู่ที่ ๑ ผาบ่อง หมู่ท่ี ๒ ป่าปุ๊ หมู่ท่ี ๓ ห้วยเดื่อ แม่นาเติงนอก หมู่ท่ี ๒ แม่นาเติงใน หมู่ที่ ๓ ม่วงสร้อย
หย่อมบ้านน�้ำเพียงดิน หย่อมบ้านห้วยปูแกง และหย่อม หมูท่ ่ี ๔ หมอแปง หมทู่ ่ี ๕ แมข่ อง หมทู่ ี่ ๘ แมน่ ะ
บ้านไม้เดื่อโง้ม หมู่ที่ ๔ แม่สะกึด หมู่ที่ ๕ ท่าโป่งแดง ๓.๔ ตำ� บลแมฮ่ ี้ ๒ หม่บู า้ นหลัก ๑ บ้านบรวิ าร
หมู่ท่ี ๑๑ มอ่ นตะแลง และหมทู่ ่ี ๑๒ ผาบ่องเหนอื ได้แก่ หมู่ท่ี ๑ แม่เย็น หย่อมบ้านกุงหมอกคาม หมู่ที่ ๒
๑.๔ ตำ� บลปางหมู ๑๐ หมบู่ า้ นหลกั ๖ บา้ นบรวิ าร ทรายขาว
ไดแ้ ก่ หมู่ที่ ๑ ปางหมู หยอ่ มบ้านปายโคง้ และหย่อมบา้ น ๓.๕ ต�ำบลทงุ่ ยาว ๔ หมบู่ า้ นหลกั ไดแ้ ก่ หม่ทู ี่ ๑
ห้วยป๊อกจ่าน หมู่ท่ี ๒ กุงไม้สัก หมู่ท่ี ๓ ทุ่งกองมู ทุ่งโป่ง หมู่ที่ ๕ แพมกลาง หมู่ท่ี ๖ แพมบก หมู่ท่ี ๑๑
หมทู่ ่ี ๔ ในสอย หม่ทู ี่ ๕ บ้านใหม่ หมทู่ ี่ ๖ สบปอ่ ง หมู่ที่ ๗ กุงแกง
สบสอย หมทู่ ่ี ๘ ไม้แงะ หย่อมบ้านหว้ ยโปง่ แข่ หย่อมบา้ น
ดอยขอ และหย่อมบ้านกิ่วขมิ้น หมู่ที่ ๑๑ ขุนกลาง ๔. อ�ำเภอแม่สะเรียง
หยอ่ มบา้ นกงุ ตึง และหมทู่ ี่ ๑๒ ชานเมอื ง
๑.๕ ต�ำบลหมอกจ�ำแป่ ๖ หมู่บ้านหลัก ๑ ๓ หมบู่ า้ นหลัก ในพ้ืนที่ ๑ ต�ำบล ดงั นี้
บ้านบริวาร ได้แก่ หม่ทู ี่ ๑ หมอกจ�ำแป่ หมูท่ ี่ ๒ แม่สะงา ต�ำบลเสาหิน หมู่ที่ ๑ เสาหิน หมู่ท่ี ๔ แม่เจ
หมทู่ ่ี ๓ หว้ ยขาน หมทู่ ่ี ๔ นาปา่ แปก หมทู่ ่ี ๕ หว้ ยมะเขอื สม้ หมู่ท่ี ๖ สลา่ เชียงตอง
และหย่อมบา้ นรวมไทย หมทู่ ี่ ๙ บ้านยอด
๑.๖ ตำ� บลหว้ ยผา ๕ หมบู่ า้ นหลกั ๑ บา้ นบรวิ าร
ได้แก่ หมทู่ ี่ ๑ หว้ ยผา หม่ทู ี่ ๒ แม่สุยะ หม่ทู ี่ ๔ นาปลาจาด
หมู่ท่ี ๕ ท่งุ มะส้าน หมู่ท่ี ๖ น้�ำกดั
๕. อ�ำเภอแมล่ านอ้ ย กลุม่ ชาตพิ ันธุ์ จงั หวดั แมฮ่ ่องสอน 95
๒ หม่บู า้ นหลัก ในพื้นที่ ๒ ตำ� บล ดงั น้ี บรบิ ททางสงั คมและวฒั นธรรม
๕.๑ ตำ� บลแมล่ านอ้ ย ได้แก่ หม่ทู ี่ ๑ แมล่ าน้อย
๕.๒ ตำ� บลแมล่ าหลวง ไดแ้ ก่ หมทู่ ่ี ๑ แมล่ าหลวง ลักษณะบ้านเรอื นทีพ่ ักอาศัย
เฮนิ ไต หรอื หรอื การสร้างบา้ นท่ีอยูอ่ าศยั ของ
๖. อ�ำเภอสบเมย ชาวไทใหญ่ในอดีตน้ันมีเอกลักษณ์ มีความสวยงามเหมาะ
กบั วถิ คี วามเปน็ อยขู่ องทอ้ งถน่ิ และมลี กั ษณะตามลกั ษณะ
๑ หม่บู ้าน ในพื้นท่ี ๑ ต�ำบล คอื หมู่ที่ ๑ แม่สามแลบ การใช้งาน โดยเรือนที่ใช้ส�ำหรับพักอาศัยก็มีขนาดและ
รูปแบบลักษณะตามปัจจัยและฐานะของเจ้าของเรือน
๗. อ�ำเภอปางมะผา้ โดยมีทั้ง เรือนจั่วเดี่ยว (เฮินโหลงตอยเหลียว) มีลักษณะ
เปน็ เรอื นไมข้ นาดเลก็ หลงั คาเดยี ว เปน็ เรอื นแคบๆ ใตถ้ นุ เตยี้
๑๖ หมูบ่ า้ นหลกั ๑๐ บา้ นบรวิ าร ในพืน้ ที่ ๔ ตำ� บล ดงั น้ี มักสรา้ งเป็น ๓ ห้อง (ช่วงเสา) เรือนจว่ั แฝด (เฮินสองสอ่ ง)
๗.๑ ต�ำบลสบป่อง ๒ หมู่บ้านหลัก ๓ มีลักษณะเป็นเรือนไม้ขนาดใหญ่ท่ีท�ำเป็นเรือนแฝดคู่กัน
หย่อมบ้านบริวาร ได้แก่ หมู่ที่ ๑ สบป่อง หย่อมบ้าน โดยทำ� หลงั คาจวั่ ตดิ กนั ๒ จว่ั คลมุ พนื้ ทใ่ี ชส้ อย ซง่ึ ประกอบ
แม่หมูไทยใหญ่ หมู่ที่ ๓ บ้านไร่ หย่อมบ้านท่าไคร้ ดว้ ยเรอื นครวั มอี ปุ กรณท์ ำ� ครวั หลงั หนง่ึ เรอื นนอนขา้ งนอก
หยอ่ มบ้านสามหลงั เป็นห้องโถงมีฝากั้นระหว่างห้องนอนกับข้างนอกหลังหน่ึง
๗.๒ ต�ำบลปางมะผ้า ๔ หมู่บ้านหลัก ๒ ถัดจากห้องโถงข้างนอกจะมีชาน และมีหิ้งหรือเข่งน�้ำ
บ้านบริวาร ได้แก่ หมู่ที่ ๑ แม่ละนา หมู่ที่ ๒ ปางคาม เป็นที่ตั้งหม้อน้�ำด่ืมน้�ำใช้ มีบันไดลงไปก่อนถึงพื้นดิน
หยอ่ มบา้ นนำ�้ จาง หมทู่ ่ี ๓ ไม้ฮุง หย่อมบา้ นปางคามน้อย จะทำ� ช้นั รองรบั ไว้ เรยี กว่า “โขง่ บนั ได” ตัวเรือนยกพนื้ สงู
หม่ทู ี่ ๗ ไมล้ ัน ใต้ถนุ เรอื นใชเ้ ป็นทีน่ ่ังพกั ผ่อน ทำ� งาน เกบ็ ของต่างๆ เช่น
๗.๓ ต�ำบลถ้�ำลอด ๑ หมู่บ้านหลัก ๑ เก็บข้าว เคร่ืองมือท�ำนา พาหนะ รวมท้ังเป็นท่ีพักของ
บ้านบริวาร ได้แก่ หมู่ท่ี ๑ ถ้�ำลอด หมู่ที่ ๖ หย่อมบ้าน สัตวเ์ ล้ียง ปจั จบุ ันมกั จะเหน็ เรอื นประยกุ ต์ ท่ีมรี ูปแบบที่
หวั ลาง เปลี่ยนไปจากเดิมที่เอกลักษณ์คล้ายๆกัน เป็นรูปแบบ
๗.๔ ต�ำบลนาปู่ป้อม ๙ หมู่บ้านหลัก ๔ เฉพาะตามแต่เจ้าของจะคิดสร้าง แต่ยังคงมีคติความเชื่อ
บ้านบริวาร ได้แก่ หมู่ท่ี ๑ นาปู่ป้อม หมู่ที่ ๒ ปางตอง จากเฮินไตดง้ั เดิมสบื ทอดต่อมาอย่ใู นเรอื น
หมทู่ ี่ ๔ น�ำ้ ฮูผาเส่ือ หย่อมบ้านหนองหอย หมู่ท่ี ๕ ปุงยาม
หมู่ที่ ๖ ดอยคู หย่อมบ้านโท้งนา หมู่ที่ ๙ โท้งสาแล ลักษณะครอบครวั
หมู่ท่ี ๙ โท้งหลวง หย่อมบา้ นนำ้� โคง้ หมู่ท่ี ๑๐ โท้งกองเต้า ครอบครัวไทใหญ่ในบ้านหนึ่งหลังอาจจะมี
หย่อมบา้ นแกง่ ปลาเลา หมูท่ ่ี ๑๒ ปางคอง หลายครอบครัว อยู่ร่วมกัน ลักษณะเป็นแบบครอบครัว
ขยายจะประกอบไปดว้ ย ป่ยู ่า หรอื ตายาย พ่อ แม่ลูก และ
หลาน ในลกั ษณะครอบครัวขยาย ทีม่ สี มาชกิ ตงั้ แต่ ๓ รนุ่
ขนึ้ ไป ซงึ่ ลกู หลาน สว่ นมากจะออกไปทำ� งานหรอื เรยี นหนงั สอื
ตอนเย็นถึงจะกลับมา อยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา โดย
ผสู้ งู อายจุ ะเลย้ี งหลาน เหลน ทลี่ กู นำ� มาฝากไวใ้ หช้ ว่ ยเลยี้ งดู
ในวันหยุดเรียน วันเสาร์และอาทิตย์ ตลอดจนการไปส่ง
โรงเรียนในหมู่บ้าน ผู้สูงอายุก็ยังสามารถไปรับหลานได้
อย่างปลอดภัย
96 กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ จงั หวัดแมฮ่ อ่ งสอน
ลักษณะสงั คม หญงิ ทมี่ วี ยั ขนาดหรือแก่กว่าแม่ เรียกว่า แม่ปา้
สังคมไทใหญ่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนส่วนใหญ่
ยงั คงเปน็ ระบบเครอื ญาตทิ ม่ี สี ายสมั พนั ธก์ นั ทางสายโลหติ ชายทมี่ วี ยั ขนาดหรอื แก่กว่าปู่ ตา เรยี กวา่ ปอ้ เฒา่
การปลกู บา้ นเรอื นอาศยั อยใู่ นบรเิ วณเดยี วกนั สามารถไปมา
หาสกู่ นั ไดต้ ามปกติ ลกู หลาน หากมคี รอบครวั กจ็ ะมาปลกู หญงิ ท่มี วี ยั ขนาดหรือแก่กวา่ ย่ายาย เรยี กวา่ แมเ่ ฒา่
บา้ นเรอื นอยใู่ กลก้ บั ครอบครวั พอ่ แม่ ชาวไทยใหญใ่ นจงั หวดั ภาษาไทใหญ่มีเสียงวรรณยุกต์ ๕ เสียง ค�ำศัพท์
แม่ฮ่องสอนยังอนุรักษ์รักษาวัฒนธรรม และภาษาไทใหญ่ สว่ นใหญแ่ ตกตา่ งไปจากภาษาไทย ในกลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทอนื่ ๆ
ของตนไว้ ทกุ คนในหมบู่ า้ นยงั คงใชภ้ าษาไทใหญ่ โดยเฉพาะ ในล้านนาค่อนข้างมาก นอกจากน้ันยังได้รับอิทธิพล
บ้านท่ีมีผู้สูงอายุอยู่ด้วย และการอยู่ร่วมกันในครอบครัว จากพมา่ มาดว้ ยเนอ่ื งจากรฐั ฉานอยใู่ นเขตแดนของประเทศ
ความสัมพันธ์ทางเครือญาติพี่น้องในหมู่บ้านสามารถปรับ สหภาพเมียนมา ค�ำศัพท์หลายค�ำจึงเป็นค�ำศัพท์ของพม่า
ตัวเข้ากับ การเปลย่ี นแปลงในสงั คมปัจจุบันได้ มีการเรยี น ปนมาดว้ ย นบั ว่า ชาวไทใหญม่ ีอารยธรรมและววิ ฒั นาการ
รใู้ นการเปน็ พลเมอื งของสงั คมไทย การบม่ เพาะอบรมสง่ั สอน ทางภาษา โดยชาวไทใหญ่มีตำ� ราปฏทิ นิ จนั ทรคติ มีบนั ทกึ
จากพ่อแม่ ท้ังในเรื่องมารยาททางสังคม การท�ำงาน พงศาวดารภาษาไตท่ีจารึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์
ความสัมพันธ์ทางเครือญาติพี่น้อง และการปฏิบัติตาม ของชาติพันธุ์ เพลง กลอน นิทาน และต�ำนานมากมาย
ประเพณีอันดีงามของชาวไทใหญ่ ตลอดจนการถ่ายทอด นอกจากน้ีชาวไตยังมีวรรณกรรมขนาดยาวท่ีจดบันทึกไว้
ภูมิปัญญา และประสบการณ์ชีวิตเรื่องการด�ำเนินชีวิตใน หลายเรอื่ งด้วย
ครอบครวั การประกอบอาชพี
ชาวไทใหญ่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนยังคง
ภาษา ประกอบอาชพี เกษตรกรรม ปลกู ขา้ ว โดยการวดิ นำ�้ เขา้ นา
ชาวไทใหญม่ ภี าษาเปน็ ของตนเองทง้ั ภาษาพดู แบบนาดำ� โดยมแี ปลงเพาะกลา้ สว่ นบริเวณท่มี ีนำ้� น้อยจะ
และภาษาเขียนอยใู่ นตระกูลภาษา กล่มุ ไท - กะได ซง่ึ ใช้ใน ใชว้ ิธปี ลูกข้าวบนท่ดี อน พชื ชนดิ อน่ื ๆที่ปลกู ได้แก่ ข้าวโพด
กลุ่มชาติพันธุ์ไทที่กระจายอยู่ในบริเวณเอเชียตะวันออก ถั่วเหลือง กระเทียม งา เป็นต้น สัตว์เล้ยี งไดแ้ ก่ วัว ควาย
เฉียงใต้รวมไปถึงตอนใต้ของประเทศจีนภาษาพูดของ หมู ไก่ เปน็ ตน้ นอกจากนี้ ยังมีการประกอบอาชพี ค้าขาย
ไทใหญ่เรียกว่า “กวามไต”ชาวไทใหญ่มีภาษาพูดที่สุภาพ ประกอบธรุ กิจสว่ นตัว รับราชการและรบั จา้ งท่วั ไปด้วย
เมอ่ื จะวสิ าสะกบั ผใู้ ด กจ็ ะดวู ยั ของผพู้ ดู ดว้ ย สมควรทจี่ ะให้ อาหาร
เกียรติเรียกเขาว่าอย่างไรก็จะยกย่องให้เกียรติ ค�ำแทนชื่อ ชาวไทใหญใ่ นจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอนจะนำ� วตั ถดุ บิ
ตนเองทส่ี ุภาพจะใช้ค�ำว่า “ข้า” คำ� ขานรับใช้ค�ำวา่ “ออ” ที่มใี นทอ้ งถ่ิน และปลกู เองในบรเิ วณรอบๆบ้านเรือน โดย
ค�ำทีใ่ ช้เรยี กขาน เช่น เครอ่ื งปรงุ ไดม้ าจากพชื ผักธรรมชาติ เชน่ พริก เกลอื หอม
กระเทียม เคร่ืองปรุงส�ำคัญท่ีเป็นเอกลักษณ์ของอาหาร
ชายท่ีมีวัยทอี่ ่อนกวา่ เรียกว่า จาย หรอื สา่ ง (ผ้ทู ผี่ า่ น ไทใหญค่ อื “ถวั่ เนา่ แคบ” คอื ถวั่ ทนี่ ำ� มาตม้ จนเปอ่ื ย แลว้ นำ�
การบวชพระแลว้ ) หมกั ๒ - ๓ วนั จากนนั้ นำ� มาตำ� ใหล้ ะเอยี ด แลว้ ทำ� เปน็ แผน่
หญิงที่มวี ัยท่อี อ่ นกว่า เรียกว่า นาง วงกลมบางๆ ตากแหง้ เกบ็ ไวท้ ำ� เปน็ เครอื่ งประกอบอาหาร
ชายทมี่ วี ัยสูงกว่าเล็กนอ้ ย เรยี กวา่ ปอี้ า้ ย หรือ ปส้ี า่ ง ท้ังน�้ำพริกและแกง เหมือนกะปิ หรือปลาร้าของภาคอื่น
หญงิ ทม่ี ีวยั สูงกวา่ เล็กน้อย เรยี กวา่ ป้นี าง การประกอบอาหารของคนไทใหญ่มีหลายวิธี ได้แก่ แกง,
ชายท่มี ีวยั ขนาดหรอื แกก่ ว่าพ่อ เรียกวา่ ป้อลงุ อุ๊บ, โค่ (ทอด,ผัด) โก้(ย�ำ), สะน้าบ(ย�ำท่ีใส่น้�ำมันถั่วงา),
แอ๊บ(ห่อหมกย่างไฟ) ,นึ่ง และจอ อาหารของคนไทใหญ่
ส่วนใหญม่ กั ใชน้ �้ำมนั ประกอบอาหาร
อัตลักษณท์ างวฒั นธรรม กลมุ่ ชาติพันธ์ุ จงั หวดั แมฮ่ ่องสอน 97
วัฒนธรรมการแต่งกาย ประเพณี
การแตง่ กายของชาวไทใหญท่ งั้ ชายหญงิ เสอื้ ผา้ จะปกปดิ สว่ นตา่ งๆ ชาวไทใหญม่ บี อ่ เกดิ ประเพณี
ของรา่ งกายแทบทุกสว่ น เห็นเพยี งสว่ นศรีษะ มอื และเท้าเทา่ นั้น ทั้งกางเกง ทอี่ า้ งองิ มาจากพทุ ธศาสนา โดยมปี ฏทิ นิ
ชายและผ้าซ่ินของหญิงจะยาวกรอมเท้า เส้ือคอกลม ปิดหน้าอกแขนยาวถึง ประเพณี ๑๒ เดอื น ดงั น้ี
ขอ้ มอื ชาวไทใหญผ่ ชู้ ายจะสวมเสอื้ ไตหรอื เสอ้ื แตก้ ปงุ่ เปน็ เสอื้ แขนยาว คอกลม
กระดุม ผา่ หน้า มกี ระเปา๋ เสื้อ น่งุ กางเกงสะดอเรยี กว่า “กน๋ ไต หรอื โกน๋ โหง่ เดอื น ๑ (เดอื นย่ี) ไตเรยี กวา่
โยง่ ” มดั เอวและเคยี นหวั (โพกหัว) ด้วยผา้ ส่วนผู้หญงิ จะสวมผา้ ซ่นิ หรอื ผา้ ถุง “เหลินเจ๋ง” หรือ “เหลินเก๋ง” ตรงกับ
ยาวคลุมตาตุ่ม เส้ือแขนยาวหรือแขนสั้นป้ายทับไปด้านเดียวกับผ้าถุงสตรี
เน้ือบางแขนยาวหรือสามส่วน เอวส้ัน ตกแต่งลวดลายสวยงามด้วยการปัก เดือนธันวาคมเป็นเดือนตามจันทรคติ
หรือฉลุผา้ ตามขอบ ใชก้ ระดมุ ผ้าหรือกระดุมโลหะสอดยึดหว่ ง มีนิทานบ่อเกิดประเพณีกล่าวไว้ว่า
สมัยเม่ืออะสิ่งกอนติ่งญะ (โกญฑัญญะ)
มารยาทในการต้อนรบั แขก เป็นชาวนาอยใู่ น กรุงพาราณสี ได้ถวาย
เมอื่ มแี ขกมาบา้ น จะเชญิ นง่ั ในทส่ี มควร แลว้ จะไปยกขนั หมากพลู ขา้ วใหม่ ๙ ครง้ั คอื ๑) ตอนทขี่ า้ วเรม่ิ ทอ้ ง
เม่ียง น้�ำต้น น้�ำชา ขนม มารับรอง ตามแต่อัธยาศัยของแขกจะชอบส่ิงไหน ๒) ตอนข้าวเป็นน้�ำใสๆ เหมือนน�้ำนม
เม่ือแขกอยู่คุยจนถึงเวลาท่ีอาหารสุก ก็จะเชื้อเชิญแขก ร่วมวงรับประทาน ๓) ตอนเก็บเกี่ยว ๔) ตอนรวมมาไว้
อาหารดว้ ย ในลาน ๕) ตอนเริ่มตีข้าว ๖) ตอนตีขา้ ว
เสร็จแล้ว ๗) ตอนขนข้าวจากนาไปยัง
ความเชือ่ ศาสนา พธิ ีกรรม ยงุ้ ฉาง ๘) ตอนนำ� ขา้ วใสย่ งุ้ ฉาง ๙) ตอนนำ�
ชาวไทใหญ่เป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัดในพุทธศาสนา ขา้ วออกจากฉางมาต�ำเปน็ ข้าวสาร ด้วย
เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งความเชื่อ ในพุทธศาสนาส่งผลต่อการด�ำเนินชีวิตและยึดถือ อานิสงสก์ ารถวายขา้ ว ๙ ครงั้ น้ี เมอื่ ชาติ
ในการท�ำบญุ แตล่ ะประเพณีเปน็ อยา่ งมาก ดังมีประโยค ทีก่ ลา่ วถึงความเป็น ท่ีเกิดมาเป็นฤาษี ๕ ตน ได้ออกบวช
ชาวไทใหญ่ไวว้ ่า “กินอยา่ งมา่ น ตานอยา่ งไต” ทห่ี มายถึงชาวไทใหญจ่ ะนิยม ตามพระพุทธเจ้าและเป็นกลุ่มบุคคล
การทำ� บุญท�ำทานมาก กลุ่มแรก ท่ีพระพุทธเจ้าเทศนาโปรด
(ปฐมเทศนา) และได้บรรลุพระอรหันต์
สาวกชุดแรกดว้ ย ในเดือน ๑ นี้ จึงเปน็
เดือนท่ีพุทธศาสนิกชนท�ำบุญถวาย
ขา้ วใหมแ่ ดพ่ ระภกิ ษสุ งฆ์ และผเู้ ฒา่ ผแู้ ก่
ท้ังหลายเรียกว่า “กาบซอมอู” เป็น
ประเพณีท�ำบุญถวายข้าวใหม่สืบมาจน
ปจั จบุ นั การท�ำบุญขา้ วใหมจ่ ะท�ำทีบ่ า้ น
หรอื ทวี่ ดั กไ็ ด้ โดยเชญิ แขกมารว่ มทำ� บญุ
เดือน ๒ (เดือนอา้ ย) ไตเรยี ก
ว่า “เหลินกำ�๋ ” เดือนนีช้ าวไตกำ�๋ คือ ถือ
ปฏิบัติว่าจะไม่น�ำข้าวออกจากยุ้งฉาง
ตรงกบั เดอื นมกราคม เปน็ เดอื นทพ่ี ระสงฆ์
อยู่ปริวาสกรรมและมานัต ชาวบ้าน
เรียกว่า พระภิกษุสงฆ์เข้าปริวาส หรือ
98 กลุ่มชาตพิ นั ธุ์ จังหวดั แมฮ่ ่องสอน
เขา้ กรรม มพี ธิ ีตักบาตร “ลองก๋�ำ” พระสงฆ์จะไปพักนอน เหนยี วจึงตกั ออกใส่ถาด เอาตอกทับผวิ หน้า ให้เรียบเสมอ
เข้าปริวาสในกระต๊อบฟางข้าว หรือในกลดตามป่าหรือ กนั รอใหเ้ ยน็ จงึ ตดั เปน็ กอ้ นสเ่ี หลยี่ มขนมเปยี กปนู ใสห่ อ่ ไป
ทุ่งนา ซ่ึงคณะศรัทธาเป็นผู้จัดสถานท่ีให้พักตลอดจน ท�ำทาน การท�ำบุญท�ำทานข้าวหย่ากุ๊นี้มักจัดรวมกันเป็น
ทที่ ำ� บญุ ตกั บาตร หอ้ งนำ้� หอ้ งสว้ ม พระทกุ รปู จะเขา้ รว่ มพธิ ี หมู่บ้าน รวมกันที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน หรือบ้านก�ำนันหรือวัด
สวดกรรมฐานในตอนกลางคืนทุกคืน มีศรัทธาญาติโยม แล้วจะมกี าร ใส่เกวยี น ใสร่ ถ หรือแบกหาม ถา้ ขบวนใหญ่
ผเู้ ฒา่ ผแู้ กเ่ ขา้ รว่ มและถอื ศลี แปด หลายแหง่ เขา้ ปรวิ าสกรรม ตีฆ้องกลองแห่ไปแจกภายในหมู่บา้ นโดยทง่ั ถึงกัน
ในป่าช้า และมีการทอดผ้าป่าหาจตุปัจจัยปรับปรุงป่าช้า
ในการท�ำบุญ มีการถวายอาหารเช้าอาหารเพล รับศีล อีกกิจกรรมประเพณหี น่ีงในเดอื น ๓ คือประเพณี
อนโุ มทนาทกุ วัน ตามท่ไี ดต้ กลงว่าจะท�ำ ๗ วันหรอื ๑๕ วัน ถวายกองโหลพารา คอื เอาไมเ้ นอ้ื ออ่ น มไี มง้ ว้ิ (นนุ่ ) ไมส้ าแล
มนี ทิ าน ทเ่ี กดิ ประเพณกี ลา่ วไวว้ า่ สมยั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ยงั ทรง ไม้กฤษณา บางแห่งใช้ไม้ไผ่ แล้วน�ำมาก่อฐานส่ีเหล่ียม
พระชนมอ์ ยู่ มีพระภกิ ษจุ �ำนวน ๒๐ รปู ทำ� ผิดวนิ ัยอาบัติ คางหมู ทลายแหลมข้ึนไปเป็นรูปเจดีย์ มีฉตั รเปน็ ยอด ไต
สังฆาทิเสส พระพุทธองค์ทรงลงโทษ ให้ไปบ�ำเพ็ญเพียร เรียกว่า “ทีหิ่ง” คือฉัตร ๕ ชั้นประดับด้วยดอกจ้ากจ่า
เจริญสมถกัมมัฏฐานทรมานอยู่ในท่ีโล่งแจ้ง ท่ามกลาง น�ำไม้ไผ่มาขัดราชวัตร ท้ังสี่มุมปักหน่อกล้วยหน่ออ้อย
น�้ำค้างและสายหมอก ในขณะน้ันพระเจ้าปเสนทิโกศล การเผากองโหล ใช้ไฟม้าล้อ “บ้องไฟสั้น” มีตาตรงกลาง
ได้เห็นความทุกข์ยากของพระภิกษุทั้ง ๒๐ รูป ก็ทูลถาม ตอกดนิ ปนื ทงั้ สองขา้ ง ใชด้ นิ เหนยี วปดิ เจาะรชู นวนทงั้ สองขา้ ง
พระพุทธเจ้าว่า พระภิกษุท่ีถูกท�ำโทษตากน้�ำค้างอยู่กลาง ผกู เสน้ ลวดจากทเี่ ผาไปหากองโหลหา่ งประมาณ๑๐-๑๕เมตร
ทโี่ ลง่ แจง้ ไมม่ สี งิ่ กำ� บงั ใดๆไดร้ บั ทกุ ขเวทนาหากขา้ พระพทุ ธเจา้ เมือ่ จดุ มา้ ไฟแลว้ ม้าไฟจะวิง่ ตามเส้นลวด ไปชนสายชนวน
มเี จตนาศรทั ธาจะทำ� ทอี่ ยทู่ พ่ี กั ถวายจะเหมาะสมประการใด ที่กองโหล คร้ังสุดท้ายจะไม่มีอะไรก้ันไว้ ม้าไฟจะว่ิงไปถึง
หรือไม่ พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่าสามารถถวายได้ กองโหล สายชนวนด้านกองโหลจะติดไฟ แล้วไฟนั้นจะพงุ่
พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงรับส่ังให้เสนาอมาตย์น�ำป๋องจ้าง เขา้ หากองโหล ทม่ี หี อ่ ดนิ ปนื หรอื ราดดว้ ยนำ้� มนั ไฟจดุ ลกุ ขน้ึ
(สัปคบั หลงั ช้าง) ไปถวายรูปละ ๑ ท่จี นครบ และจัดอาหาร ระหว่างแข่งม้าไฟจะมีการตีฆ้องกลอง อย่างสนุกสนาน
บิณฑบาตรมาถวาย ตลอดเวลาท่ีพระภิกษุสงฆ์อยู่ปริวาส กอ่ นจุดมา้ ไฟจะมีพธิ ถี วายกองโหล โดยต่อ ดา้ ยสายสญิ จน์
และมานตั ด้วยเหตุนี้ เม่ือถึงเดือน ๒ (เหลนิ กำ�๋ ) พระสงฆ์ จากกองโหลไปบนวดั ทมี่ พี ระสงฆ์ ใหศ้ ลี ใหพ้ รและอนโุ มทนา
ได้เข้าปริวาสกรรมและอยู่มานัต ส่วนศรัทธาประชาชน นิทานบ่อเกิดประเพณีกล่าวไว้ว่าสมัยหน่ึงนานมาแล้ว
ก็ถือโอกาสท�ำบุญท�ำทาน ถวายอาหารบิณฑบาตรและ ในเมอื งสาวตั ถี มมี าณพเขญ็ ใจคนหนง่ึ พอถงึ เดอื นสามยาม
เสนาสนะ แด่พระสงฆ์ที่อยู่ปริวาสและมานัติน้ันสืบต่อมา หนาวเหนบ็ ไดเ้ กบ็ ฟนื มากองไวท้ ตี่ น้ ทางทมี่ พี ระสงฆจ์ ะมา
จนตราบเทา่ ทกุ วนั น้ี บิณฑบาตรในเมือง พอถึงเวลาเช้าตรู่จะตื่นแต่เช้ามืด
เดนิ ไปยงั กองฟนื และกอ่ กองไฟทีต่ ้นทางแห่งนน้ั พร้อมกบั
เดอื น ๓ ไต เรยี กวา่ “เหลินสาม” เปน็ ฤดถู วาย นิมนต์พระสงฆเ์ ขา้ มาผงิ ไฟใหเ้ กิดความอบอ่นุ แลว้ จงึ ออก
บณิ ฑบาตร ทำ� อย่างนที้ กุ เช้าจนสน้ิ ฤดหู นาว ด้วยอานสิ งส์
ไมโ้ หล (ฟนื ) ถวายขา้ วหย่ากุ(ข้าวเหนียวแดง) นิยมท�ำข้าว แหง่ การกระทำ� ดงั กลา่ ว สง่ ผลใหม้ าณพนน้ั ตายแลว้ ไปเกดิ
หย่ากุ๊หรือข้าวเหนียวแดงถวายวัดและถวายกองโหล(กอง ในสวรรค์ เปน็ เทพบตุ รผมู้ ีรัศมยี งิ่ ใหญ่ ดจุ ดวงไฟท่ลี กุ โชติ
ฟนื ) ในวนั เพญ็ เดือน ๓ แต่ก่อนการทำ� ข้าวหย่ากุ๊ นึง่ ข้าว ช่วงชัชวาล เป็นที่เคารพนับถือของเหล่าเทวดาทั้งหลาย
สกุ แล้วนำ� ไปคลุกนำ้� ออ้ ย ถา้ ท�ำมากคลุกในกะทะใหญ่ช่วย สำ� หรบั การถวายขา้ วหยา่ กุ๊ มตี ำ� นานมาวา่ พระพทุ ธเจา้ ทรง
กันกวนหลายคนจนได้ท่ี นำ� ถั่วลิสงที่กระเทาะเปลือกออก ประชวรดว้ ยโรคพระอทุ รปวดๆ เสยี ดๆ พระอานนทไ์ ดอ้ อก
ผสมคลุกเคล้าตอนใส่น�้ำอ้อยหรือน้�ำตาลแล้วขูดมะพร้าว บิณฑบาตร และได้ไปพบนางสุชาดาท่ีก�ำลังหุงข้าวหย่ากุ๊
โรยหน้าอีก บางตำ� ราเค่ียวนำ�้ กะทิ พอแตกมนั เอาข้าวสกุ ใสเ่ นยนำ้� นมจา่ ตโิ ผ่ (ผลพล)ู เลงยาง (กานพล)ู พอดซางดปี รี
ที่นึ่งครุกน�้ำกะทิคนให้เข้ากัน ท้ิงไว้บนเตาถ่านไฟ พอสุก
กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ จงั หวดั แม่ฮอ่ งสอน 99
พิดป้อม พอเหลือบเห็นพระอานนท์ นางสุชาดาก็รีบ ถนนหนทางปราสาทและซุ้มรับเสด็จท่ัวกรุงกบิลพัสดุ์
ตกั ข้าวหยา่ กุ๊ใส่บาตรพระอานนท์ทันที พระอานนท์ ไดน้ �ำ พอถึงวันข้ึน ๑ ค�่ำเดือน ๔ พระพุทธเจ้าทรงน�ำพระสงฆ์
ข้าวหย่ากุ๊น้ัน ไปถวายแด่พระพุทธเจ้า เมื่อฉันข้าวหย่ากุ๊ ออกจากเชตวันวิหารเดินทางไปวันละ ๑ โยชน์ เมื่อน�ำ
ของนางสุชาดาแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงหายจากอาการ พระสงฆ์เดินทางถึงกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว บรรดาประชาชน
ประชวรพระอุทรด้วยอานิสงส์การถวายข้าวหย่ากุ๊น้ี ชาวเมือง ต่างช่ืนชมยินดีพากันจัดไทยธรรมไว้ถวายเป็น
นางสุชาดาได้ไปจุติบนสวรรค์ เสวยผลบุญอย่างเป็นสุข จำ� นวนมาก ทงั้ อาหารบณิ ฑบาตร ลว้ นแตเ่ ปน็ สงิ่ ของพเิ ศษ
ดังนั้น การถวายข้าวหย่ากุ๊ จึงเป็นประเพณีสืบต่อกันมา แปลกๆ ท่ีทุกคนคิดว่า ท�ำได้ดีท่ีสุด บางกลุ่มจัดท�ำ
ปจั จุบนั ตน้ เวชยนั ตห์ รอื ตน้ หอโลม ตน้ รม่ ตน้ ธง ตน้ จวี ร ๑,๐๐๐ ผนื
พรอ้ มทง้ั บรรเลงเครอ่ื งดนตรี ดรุ ยิ างคน์ านาประการรบั เสดจ็
เดือน ๔ ไตเรียกว่า “เหลินส่ี” เดือนนี้จะมี พระพทุ ธเจา้ ทุกแหง่ หน จดั เป็นงานพธิ ียง่ิ ใหญใ่ นการแสดง
ความยินดีที่ได้รับเสด็จพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาลนั้น
ประเพณีปอยส่างลองและปอยจางลอง มีต�ำนานกล่าวว่า ด้วยเหตนุ ้ี ชาวไตจงึ พากนั จัดงานประเพณเี ดือน ๔ สบื ตอ่
ขณะทพี่ ระพทุ ธเจา้ ประทบั อยู่ณ เชตะวนั วหิ าร เมอื งสาวตั ถนี น้ั กนั มาจนถงึ ปจั จบุ นั ตวั แทนพระพทุ ธเจา้ เชน่ พระธาตเุ จดยี ์
ข่าวคราวของพระองค์ได้ทราบถึง พระเจ้าสุทโธทนะ กด็ ี พระธาตพุ ุทธรปู ก็ดี บรมฉายาลกั ษณเ์ จดยี ก์ ็ดี ณ ทใี่ ด
พุทธบิดา จึงทรงส่ังอ�ำมาตย์ ๑,๐๐๐ คน ไปนิมนต์ ศรัทธาพุทธบริษัทก็จะพากันไปท�ำบุญ เป็นงานรับเสด็จ
พระพทุ ธเจ้าเสด็จไปเมืองกบิลพสั ด์ุ ฝา่ ยอำ� มาตยท์ ้ังหลาย พระพทุ ธเจา้ เชน่ ในสมยั พระพทุ ธกาล เมอ่ื ถงึ วนั เพญ็ เดอื น ๔
เมอ่ื มาเฝา้ พระพทุ ธเจา้ แลว้ ไดส้ ดบั พระธรรมเทศนา ตา่ งได้ ชาวไตจะไปหาผักส้มป่อย ถือว่าดีเป็นสิริมงคล และเก็บ
บรรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์ ขอบรรพชาอปุ สมบท ไมก่ ลบั ไปกรงุ ยอดขี้เหลก็ มาเป็นอาหาร เชอ่ื ว่าเป็นยา
กบิลพัสดุ์ตามภาระหน้าที่ที่ได้รับมา พระเจ้าสุทโธทนะได้
ส่ังอ�ำมาตย์ อีก ๑,๐๐๐ คน ไปนิมนต์พระพุทธเจ้าอีก เดอื น ๕ ไตเรียกว่า “เหลนิ ห้า” มีปอยเหลินห้า
เหตุการณ์ก็เป็นเช่นเดิม ทุกคนบรรลุเป็นพระอรหันต์
แล้วไมก่ ลบั กรงุ กบลิ พัสดุ์ ทำ� เช่นนถี้ ึง ๓ ครัง้ คร้ังสดุ ท้าย ปอยสา่ งกาน ปอยจา่ ตี่ ตรงกบั เดือนเมษายน เปน็ เดือนท่ี
จึงทรงรับสั่งให้กาฬุทายีอ�ำมาตย์ ไปนิมนต์พระพุทธเจ้า เปลย่ี นศกั ราชใหม่ ในชว่ งนจ้ี ะมงี านปอยจา่ ต่ี “เจดยี ท์ ราย”
กาฬุทายีอ�ำมาตย์จึงขอพระบรมราชานุญาตบรรพชา ทวี่ ดั จะมกี ารขนทรายเขา้ วดั มกี ารถวายขนมเทยี น ขนมจอก
อปุ สมบทกอ่ น จงึ จะนมิ นตพ์ ระพทุ ธเจา้ กลบั มากรงุ กบลิ พสั ด์ุ มีการซอนน้ำ� เจ้าพารา (สรงน้ำ� พระ) ตลอดจนถงึ พระสงฆ์
พระเจ้าสุทโธทนะทรงอนุญาต กาฬุทายีจึงพาคณะ ขอขมาและดำ� หัว ผเู้ ฒา่ ผู้แก่ ขอขมาพ่อแมแ่ ละญาติผใู้ หญ่
๑,๐๐๐ คน ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรมเทศนา ส่วนผ้สู งู อายุ ในวันขึน้ ๑๔ – ๑๕ คำ�่ จะพากนั ไปฟังธรรม
และบรรลมุ รรคผลอยจู่ ำ� พรรษากบั พระพทุ ธเจา้ จนครบถว้ น จำ� ศลี นอนวดั ถอื ศลี ๘ มกี ารทำ� บญุ ตกั บาตรพระ เรอื่ งทเ่ี ปน็
ไตรมาศ ๓ เดือน แล้วจึงอาราธนาพระพุทธเจา้ เสด็จไปยัง ประเพณีกล่าวไว้ว่า ขณะท่ีพระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ท่ี
กรุงกบิลพัสดุ์ พระพุทธเจ้าทรงใคร่ครวญ แล้วเห็นว่า เชตวุ นั วหิ าร ในกรงุ สาวตั ถี พระเจา้ ปเสนทโิ กศล ไดช้ กั ชวน
เปน็ ธรรมเนยี มของพระพทุ ธเจา้ องคก์ อ่ นๆ ในอดตี ทจ่ี ะตอ้ ง ขา้ ราชบรพิ าร ตระเตรยี มไทยธรรมนำ� ไปถวายพระพทุ ธเจา้
ไปโปรดประยรู ญาติ จึงทรงรบั นมิ นต์ เมือ่ ทราบแนช่ ดั แล้ว และพระสงฆ์พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาว่า ในช่วงเทศกาล
กาฬทุ ายภี กิ ษุ จึงขอพระราชทานพระบรมราชานญุ าตเดนิ เปล่ียนศักราชนี้ ขอให้เชิญชวนกันไปคารวะพระรัตนตรัย
ทางไปเตรียมการล่วงหน้า และเดินทางไปแจ้งข่าวแด่ และผทู้ มี่ พี ระคณุ และพากนั ไปสรงนำ้� พระพทุ ธรปู รดนำ�้ ดำ� หวั
พระเจ้าสุทโธทนะและข้าราชบริพารว่า พระพุทธเจ้า ผู้เฒ่าผู้แก่ เพื่อขอพรปีใหม่ให้มีโชคลาภอยู่เย็นเป็นสุข
จะเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ในเดือน ๔ นี้ ให้ทุกคนเตรียมชุด เจรญิ ดว้ ยจตรุ พิธพร ๔ ประการ มอี ายุวรรณะ สุขะ พละ
รับเสด็จและเคร่ืองไทยธรรม อาหารบิณฑบาตรและอื่นๆ ปฏภิ าณธนสารสมบตั ติ ลอดไป พระพทุ ธองคท์ รงนำ� พระสงฆ์
ไว้รับเสด็จพระพุทธเจ้า พระเจ้าสุทโธทนะรับสั่งให้ จัดท�ำ ไปสรงน้�ำในสระอนปทัตในกลุ่มดอกบัว ๕ ประเภท
100 กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ จงั หวัดแม่ฮ่องสอน
ทบ่ี านสะพรั่งเต็มสระ พอถงึ เดือน ๕ ชาวประชาจงึ พากนั ก็จะเปลี่ยนกันคร้ังหน่ึง ธิดาองค์ที่หมดภารกิจก็จะถือ
ท�ำโกมโบ๋ (โคมรูปดอกบัว)ไปบูชาตามวัดวาอารามต่างๆ โอกาสล้างมอื อาบน้�ำ ซกั ผา้ สระผม ให้สดชื่น หลงั จากที่
ยึดถือเป็นประเพณีสืบกันมา ตราบจนเท่าทุกวันน้ี จาก รับภารกิจมานาน เป็นเวลาแรมปี ด้วยเหตุนี้จึงถือเป็น
เอกสารโรเนียวเยบ็ เล่มภาษาไต ชอื่ “หย่าส่สี องเหลินคำ� ” ประเพณีว่า พอถึงเดือน ๕ เปล่ียนศักราชใหม่ จะพากัน
เขียนโดยเจเรแสงเฮิง บ้านแม่สาว อ�ำเภอแม่อาย จังหวัด อาบน�้ำช�ำระร่างกาย สระผม ปัดกวาดท�ำความสะอาด
เชียงใหม่ กล่าวว่าเดือน ๕ เป็นวาระการเปลี่ยนศักราช บ้านเรือน ในโอกาสข้ึนปีใหม่ให้เป็นกรณีพิเศษ ส�ำหรับ
เนื่องจากธิดาท้าวมหาพรหม เปลี่ยนวาระอุ้มเศียรบิดา ตัวท้าวมหาพรหมนั้น พระอินทร์ได้ทูลถามมารดาของ
ไว้ในแต่ละปี ตามต�ำนานเล่าว่า หลังจากเกิดโลกาวินาศ ทา้ วมหาพรหมวา่ จะสามารถหาศรี ษะของใครมาตอ่ แทนได้
ไฟประลยั กลั ป์ลา้ งโลก น�้ำท่วมโลก แลว้ มีดอกบัว ๕ ดอก มารดาตอบว่าศีรษะของใครอะไรก็ได้ที่นอนหันหัวไปทาง
ผุดข้ึนที่กลางสระใหญ่ เป็นจุดเริ่มต้นของภัทรกัลป์นี้ ทิศเหนือ พระพรหมและเทวดาท้ังหลายจึงพากันลงมายัง
ในกัลปน์ ม้ี ีพระพทุ ธเจา้ มาตรัสรู้ ๕ พระองค์และในดอกบวั โลกมนุษย์ และได้พบช้างตัวหน่ึงก�ำลังนอนหันหัวไปทาง
๕ ดอก มจี วี ร ๕ ชดุ พระพรหมไดล้ งมาอญั เชญิ จวี รทง้ั ๕ ชดุ ทศิ เหนอื จงึ ตดั หวั ชา้ งนน้ั นำ� ไปตอ่ กบั ตวั ของทา้ วมหาพรหม
ขึน้ ไปไวใ้ นพรหมโลก เม่ือถงึ เวลาท่พี ระพุทธเจา้ แตล่ ะองค์ ท�ำให้ท้าวมหาพรหมฟื้นคืนชีพ และได้รับขนานนามว่า
มาตรสั รู้ ทา้ วมหาพรหมและคณะจะน�ำ ผา้ จวี รลงมาถวาย “มหาปิงแน” (พระพิฆเนศร) ส่วนตัวช้างก็ได้น�ำฟืนมา
ตามลำ� ดบั และขณะนพ้ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั รไู้ ปแลว้ ๔ พระองค์ ก่อกองไฟสุมฌาปนกิจจนเสร็จกิจ เหล่าพระพรหมและ
คอื พระศรอี ารยิ เมตไตยซงึ่ มาตรสั รตู้ อ่ จากยคุ พระโคดมพทุ ธเจา้ เทวดาท้ังหลายได้ประชุมปรึกษากันว่า บาปที่ตัดเศียร
บรรดาพระพรหมทลี่ งมาในมนษุ ยโ์ ลกมาไดส้ ดู กลน่ิ ดนิ หอมแลว้ พระมหาพรหมนี้จะตกแก่ใคร พระอินทร์ตอบว่า ตกแก่
เกิดความพอใจพากันขุดมาชิมดู หลังจากชิมดินหอมแล้ว ชาวเมอื งทง้ั หลาย เพราะชาวเมอื งอยใู่ ตอ้ ทิ ธพิ ลของดวงดาว
ทำ� ใหว้ ชิ าญาณ(เหาะเหนิ เดนิ อากาศ)เสอื่ มไมส่ ามารถเหาะ ชะตาราศีฤดกู าลและถามตอ่ ไปวา่ หากต้องไถ่บาปจะตอ้ ง
กลบั ไปสพู่ รหมโลกได้ จงึ อาศยั อยใู่ นมนษุ ยโ์ ลกตอ่ มาจนถงึ ท�ำอย่างไรบา้ ง พระอินทร์ตอบวา่ ต้องพากันก่อเจดยี ท์ ราย
ปัจจุบัน เหล่าพรหมและเทวดาได้ประชุมปรึกษาเร่ืองวิธี ถวายน้�ำ ถวายดอกไม้ สรงน�้ำพระพุทธรูป และพระสงฆ์
การกำ� หนดราศฤี ดกู าล และพจิ ารณาหาผทู้ มี่ คี วามสามารถ ให้ท�ำขนมไปท�ำบุญ ผู้เฒ่าผู้แก่ และพระสงฆ์ผู้ทรงศีล
ก�ำหนดราศีฤดูกาลได้ ซ่ึงท้าวมหาพรหมได้รับอาสาเป็น อธิษฐานขอให้พ้นจากบาป และได้รับความสุขความเจริญ
ผจู้ ดั ทำ� พรอ้ มกบั สญั ญาวา่ หากไมส่ ามารถทำ� ใหส้ ำ� เรจ็ กจ็ ะ ยิง่ ๆ ข้ึนไป จงึ เกดิ มีประเพณีรดนำ�้ ด�ำหัว คารวะผูเ้ ฒา่ ผแู้ ก่
ให้ศีรษะเป็นประกัน ต่อมาเม่ือไม่สามารถก�ำหนดราศี ท�ำขนมประเพณีแจกจ่ายและถวายพระสงฆ์สืบกันมา
ฤดกู าลใหด้ ที ดั เทยี มกนั ได้ พระอนิ ทรจ์ งึ ขอใหศ้ าสดาพยากรณ์ จนทุกวันน้ี เสร็จจากงานสงกรานต์ จะมีการประกอบพิธี
(งะพอหมอกยาม) ก�ำหนดฤดูกาลเป็นฤดูร้อน ฝน หนาว ท�ำบุญหมู่บ้านเรียกว่า “งานวานปะลีก” โดยนิมนต์
ซึ่งเป็นฤดูกาลตราบจนถึงปัจจุบัน พระอินทร์จึงบอกธิดา พระสงฆ์ไปท�ำพิธีเจริญพระพุทธมนต์ส่ีมุมเมือง ชาวบ้าน
ท้ัง ๗ ของท้าวมหาพรหมว่า ใครสามารถตัดศีรษะของ จะน�ำน้�ำขม้ินส้มป่อยพร้อมท้ังไม้ตอกท�ำเป็นตาแหลว
ทา้ วมหาพรหมได้ จะอภเิ ษกยกขน้ึ เปน็ อคั รมเหสี ธดิ า ๖ องค์ ใบหนามเล็บแมว ใบผักกุ่ม ใบปานแข ใบถั่วแระ โดยน�ำ
ไม่สามารถท�ำได้ แตธ่ ิดาองคส์ ดุ ท้าย(วันเสาร์) ได้ใชเ้ ส้นผม ใบหญา้ คามาทำ� เปน็ เชอื ก สำ� หรบั นำ� ไปแขวนไวท้ ป่ี ระตบู า้ น
ขึงกับโครงไม้ท�ำเป็นเล่ือยใช้เล่ือยคอของท้าวมหาพรหม ในขณะท่ีท�ำพิธีจะมีคนน�ำตาแหลวไปปักไว้ท่ีหัวบ้าน
จนขาด พอขาดแลว้ นำ� ไปไวท้ ไี่ หนกไ็ มไ่ ด้ ไวใ้ นนำ�้ กน็ ำ้� จะแหง้ ท้ายบ้าน ห้ามคนในออก ห้ามคนนอกเข้า เม่ือพิธีเสร็จ
ไวบ้ นบกกเ็ กดิ ไฟไหม้ จำ� เปน็ ทธ่ี ดิ าทงั้ ๗ จะตอ้ งผลดั เปลย่ี น จะยิงปืนเป็นสัญญาณให้รู้ท่ัวกัน และจะมีเคร่ืองเซ่นใส่
กันทนู ศีรษะของบิดาไว้คนละ ๑ ปี หมนุ เวียนกันไวค้ นละ กระทงใหญ่ เรยี กวา่ “สะตวง“ นำ� สง่ ทง้ั สท่ี ศิ ประเพณเี ดอื น ๕
๑ ปี หมนุ เวยี นกนั ไปตลอดกาล พอถงึ เดอื น ๕ ของแตล่ ะปี นอกจากจะมกี ารวานปะลกี แลว้ จะมกี ารนำ� นำ้� ขมน้ิ สม้ ปอ่ ย
กลุม่ ชาติพันธ์ุ จังหวัดแมฮ่ ่องสอน 101
ไปรดน�้ำศาลเจ้าพ่อหลักเมืองและขอขมา มีการรวบเงิน พระมเหสีที่ทรงช้างเสด็จมาใกล้ท่ีอยู่ของแกเกิดอุปทาน
ภายในหมบู่ า้ น เพอื่ ทำ� กจิ กรรมขอขมาศาลเจา้ พอ่ หลกั เมอื ง ขน้ึ ในใจใครจ่ ะเกดิ เปน็ พระโอรสของพระราชา พรอ้ มกนั นนั้
เรียกว่า “เงนิ อ่านแตก็ ” จะท�ำปีละครัง้ ก็สิ้นใจไปในทันที และได้ไปจุติปฏิสนธิในครรภ์พระมเหสี
พอเติบใหญ่ก็ได้สืบราชสมบัติแทนพระบิดา อยู่มาวันหนึ่ง
เดอื น ๖ ไตเรยี กวา่ “เหลนิ หก” มีงานประเพณี ไดน้ มิ นตพ์ ระอรหนั ตม์ าเทศนาในพระบรมราชวงั ในขณะที่
ฟงั พระธรรมเทศนาอยนู่ นั้ เกดิ ศรทั ธาจะถวายผา้ สไบคา่ ควร
ปอยจ่าตี่หรือกองมูทราย ปอยบอกไฟ ปอยซอมต่อโหลง แสนทองคำ� ทพี่ ระองคท์ รงหม่ อยเู่ ปน็ เครอื่ งบชู ากณั ฑเ์ ทศน์
(มธุปายาส) งานท�ำบุญในวันเพ็ญเดือน ๖ วันวิสาขบูชา แตก่ ไ็ มไ่ ดต้ ดั สนิ ใจไดท้ นั ที ครง้ั ทห่ี นง่ึ กแ็ ลว้ ครง้ั ทส่ี องกแ็ ลว้
จะมกี ารถวายเจดยี ท์ ราย ไตเรยี กวา่ “ปอยจา่ ต”ี่ มกี ารแจก คร้ังท่ีสามก็แล้ว ยังไม่อาจตัดสินใจละทิ้งความเสียดายได้
ขา้ วหอ่ แลว้ มกี ารจดุ บอ้ งไฟตอนเชา้ จะมกี ารถวายขา้ วมธปุ ายาส เป็นเจตนาศรัทธาที่ยืดๆ หดๆ อยู่ไม่อาจให้ส�ำเร็จอย่าง
คนไตเรียกวา่ “ซอมต่อหลวง” คือ ถือถวายข้าว ๔๙ กอ้ น แทจ้ รงิ ได้ พอดมี กี าสองตวั ผวั เมยี บนิ มาจบั อยบู่ นกง่ิ มะขาม
ถือว่า ได้บญุ มาก ไดอ้ านสิ งค์ “อะกโยก�ำ้ ฮองแสนกำ�่ ผา่ ” ตรงหน้าต่าง กามองเห็นและทราบเจตนาของพระราชา
(อานิสงค์ ๑ แสนกัลป์) ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ธรรมะ หรือ กาตัวผู้จึงพูดกับกาตัวเมียว่า พระราชาน้ีด้วยเหตุท่ีเป็น
ลีกโหลงเรื่อง นางโทมถามโผ ในวนั เดือนเพ็ญนี้ ผูเ้ ฒา่ ผแู้ ก่ คนยากจนเข็ญใจ ได้เกิดเป็นพระราชา จึงไม่อาจตัดสินใจ
ไปจ�ำศีลแปด นอนวัดฟังธรรม เรียกว่า “ถ่อมลีก” ท่ีวัด ถวายส่ิงท่ีมีค่าสูง แม้มีเจตนาศรัทธาก็ตาม หากพระองค์
เรื่องราวประเพณีระบุไว้ว่า ในเมืองส่ีโห (เมืองสิงหลหรือ ถวายในคราวทมี่ เี จตนาครงั้ แรก กจ็ ะไดเ้ สวยผล ๘ ประการ
เมืองลังกา) มมี านพผยู้ ากเขญ็ คนหนงึ่ หาเลยี้ งชีพ โดยการ พระราชาได้ยินค�ำสนทนาของกาสองผัวเมียและรู้ภาษากา
หาฟนื หาใบตองขาย พอถงึ วนั เพญ็ เดอื น ๖ กห็ อ่ ขา้ วเขา้ ปา่ จงึ ไดช้ อื่ วา่ “กากะหวนุ่ ถยิ ะ” พระราชากท็ รงพระสรวลออกมา
หาฟืนหาใบตองตามปกติ เมื่อเดินไปถึงฝั่งล�ำธารแห่งหน่ึง พระอรหันต์จึงทูลถามเหตุที่พระราชาทรงพระสรวลนั้น
จึงน่ังพักและฉุกคิดขึ้นมาว่า ชาตินี้เกิดเป็นคนก็เป็นคน พระราชาก็นมัสการเรื่องราว ตามที่กาสองตัวผัวเมียพูด
เสียเปล่าๆ ไม่เคยท�ำบุญสุนทานสักอย่าง ที่จะเป็นปัจจัย พระอรหันต์ผู้เป็นประธานจึงถวายพระพรว่า จริงแล้ว
ส่งผลให้เสวยสุขในชาติหน้า วันน้ีก็เป็นวันเดือนเพ็ญ มหาบพิตร กาท้ังสองนี้ชาติก่อนก็เป็นกาเช่นเดียวกัน
ควรที่เราจะได้ท�ำบุญสักอย่างหนึ่งจะดีกว่า คิดได้ดังน้ี เปน็ บรวิ ารของมหาบพติ รไดร้ บั ทานของมหาบพติ ร (ตอนที่
จึงวางสมั ภาระ ลงไปตกั ทรายทฝ่ี ง่ั ล�ำธารมากองก่อเป็นรปู ถวายเจดีย์ทราย ได้น�ำข้าวส่วนน้ีเป็นสังฆบูชาไปวางไว้ให้
เจดีย์ เสาะหาดอกไม้ในป่ามาประดับตกแต่งให้สวยงาม กากนิ ) พระราชาจงึ ตดั สนิ ใจถวายผา้ สไบ คา่ ควรแสนทองคำ�
ตัดไม้ไผ่มาจักตอก สานเป็นราชวัตร ขัดเป็นสี่เหลี่ยม บูชาพระธรรมเทศนา เมื่อละจากภพนั้นก็จุติเสวยผลบุญ
ก้ันเป็นชั้นๆ เหมือนเจดีย์ เสร็จแล้วแก้ห่อข้าวออกมา ในสรวงสวรรคไ์ ปๆ มาๆ ระหวา่ งสวรรคแ์ ละมนษุ ยอ์ ยตู่ ลอด
แบง่ เปน็ สามส่วน ส่วนท่ี ๑ นำ� ถวายเป็นพุทธบูชา สว่ นที่ เวลา ไมไ่ ด้เกิดกลอบุ ายใดๆ เลย ด้วยเหตนุ ี้พอถึงเดอื น ๖
ถวายเปน็ สงั ฆบชู าน้ี เมอ่ื เสรจ็ สนิ้ การถวายแลว้ กน็ ำ� ไปวางไว้ ชาวไตในกลมุ่ พทุ ธศาสนกิ ชน จงึ พากนั ทำ� บญุ กอ่ เจดยี ท์ ราย
ให้กากิน เมื่อทำ� บญุ ถวายทานเสร็จแลว้ เกิดปติ ิซาบซึง้ ใน ถวายหอ่ ข้าว หอ่ แกงเป็นประเพณีมาจนตราบเท่าทกุ วนั น้ี
การกระท�ำของตนเอง จึงร้องร�ำท�ำเพลง ฟ้อนไปรอบๆ ส�ำหรับเนื้อเรื่องจากเอกสาร “หย่าส่ีสิบสิง เหลินค�ำ”
เจดยี ์ทรายอย่คู นเดยี วในป่า เม่อื หมดวนั ก็กลับบ้าน ตัง้ แต่ โดยเจเรแสงเฮิง กลา่ วไว้วา่ เดือน ๖ เป็นเดอื นทเ่ี กษตรกร
นน้ั มา ชายทคุ คตะคนนนี้ กึ ถงึ บญุ ทไี่ ดท้ ำ� ในวนั นนั้ กร็ สู้ กึ ปติ ิ เรม่ิ ปลกู พชื ผกั นานาชนดิ และเปน็ เดอื นทพี่ ระพทุ ธเจา้ ตรสั รู้
เป็นสุขทุกคร้ัง ต่อมาถึงคราวท่ีต้องถึงแก่ชีวิตก็ป่วยเป็น ในเดอื นนด้ี ว้ ย ตำ� นานกลา่ ววา่ พอถงึ วนั ขนึ้ ๑๔ คำ�่ เดอื น ๖
โรครนุ แรง เมอื่ ใกลจ้ ะตาย กพ็ อดเี ปน็ วนั ทขี่ นุ หอคำ� (กษตั รยิ )์ พระพทุ ธเจา้ ไดเ้ กดิ นมิ ติ ตา่ งๆนานาทเ่ี ปน็ สญั ญาณบง่ บอกวา่
ครองเมอื งสโ่ี หแ่ ละนางมพิ ญา (พระมเหส)ี ทรงชา้ งเสดจ็ มา จะได้ตรัสร้เู ปน็ พระสมั มาสัมพุทธเจา้ เช้าตรูว่ ันขึน้ ๑๕ ค�่ำ
เลียบนครได้เสด็จผ่านถึงกระต๊อบ ที่อยู่ของทุคคตะคนน้ี เดือน ๖ พระองค์ทรงออกบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์
พอดี และชายทุคคตะก็มองเห็นพระมหากษัตริย์และ
102 กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ จังหวดั แม่ฮอ่ งสอน
หลังจากน้ันก็ได้เสด็จไปประทับนั่งพักที่ใต้ต้นไทรใกล้ แผ่นดินไหวคร้ังใหญ่เป็นสัญญาณให้ชาวโลกรู้ว่า มี
ชานเมือง ในโอกาสเดียวกันนางสุชาดา ธิดาของเศรษฐี พระพทุ ธเจา้ เกดิ ขนึ้ ในโลกอกี องคห์ นง่ึ แลว้ เมอ่ื เสรจ็ ภารกจิ
มคี วามปรารถนาอยากมบี ตุ ร ในวนั ขน้ึ ๑๔ คำ�่ ไดต้ ระเตรยี ม เช้าแล้วพระพุทธเจ้าก็เสด็จพระราชด�ำเนินไปหาที่สงบ
อาหารพิเศษเป็นเคร่ืองบูชาเทพารักษ์ นั้นคือข้าวหุงด้วย เพื่อบ�ำเพ็ญสมณธรรมระหว่างทางได้มีคนเลี้ยงม้า ถวาย
นมเนยอยา่ งดี ตามตำ� นานพรรณนาวธิ กี ารไว้ว่าใช้นมท่บี บี หญา้ แพรก (ตามพทุ ธประวตั เิ ปน็ หญา้ คา) ๘ กำ� มอื พระองค์
จากแมว่ วั ๑,๐๐๐ ตวั ป้อนให้ววั ๕๐๐ ตวั ด่ืม และบบี จาก รับแล้ว เสด็จพระราชด�ำเนินต่อไปจนถึง ต้นโพธิ์ใหญ่
ววั ๕๐๐ ตวั ปอ้ นววั ตวั ตอ่ ๆไป บบี ปอ้ นไปเรอ่ื ยๆ จนเหลอื ใช้หญ้าแพรกปูลาดใต้ต้นโพธ์ิ ท�ำเป็นบัลลังก์นั่งบ�ำเพ็ญ
วัวตวั เดยี ว และบบี น�้ำนมจากววั ตวั สดุ ท้าย เพอื่ ใชเ้ ป็นนม สมณธรรมหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ท�ำจิตใจให้ม่ัน
หุงข้าวต้มเนยครัง้ น้ี ในขณะท่หี ุงขา้ วนมเนยน้นั ก็มีเทวดา ไม่ส่ันไหว พร้อมอธิษฐานว่าจะไม่ลุกไปไหนถ้าไม่บรรลุ
เจ้าที่เจ้าทางมาช่วยกันปรุงแต่งรสชาติให้วิเศษย่ิงขึ้น อตมธรรม ดว้ ยเหตนุ ศี้ าสนกิ ชนชาวไต จงึ ไดถ้ อื เปน็ ประเพณี
สมเป็นภัตราหารมื้อแรกท่ีจะท�ำให้มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ การท�ำบุญถวายซอมต่อโหลง ๔๙ ก้อน (ข้าวมธุปายาส)
ขนึ้ ในโลก พอหงุ ขา้ วไดท้ แี่ ลว้ จงึ ปน้ั เปน็ กอ้ นขนาดเทา่ ไขน่ กยงู ในวนั เพ็ญเดือน ๖ สืบต่อมาจนถึงปัจจบุ ัน
จ�ำนวน ๕๐ กอ้ น แลว้ จึงสงั่ สาวใช้ไปกวาดท�ำความสะอาด
ใต้ต้นไทรใหญ่ สาวใช้ได้เห็นพระพุทธเจ้า ท่ีโคนต้นไทร เดอื น ๗ ชาวไต เรียกวา่ “เหลินเจด็ ” เป็นเดือน
ในตอนเชา้ มดื เขา้ ใจวา่ เทพารกั ษป์ ระจำ� ตน้ ไทร แสดงอภนิ หิ าร
ใหป้ รากฏจงึ ไดร้ บี กลบั มาแจง้ ขา่ วแกน่ างสชุ าดาฝา่ ยนางสชุ าดา ทชี่ าวนาเตรยี มทำ� นา ตอกฝาย ลา้ งหอ้ งเหมอื ง ตรงกบั เดอื น
รสู้ กึ ปราบปลม้ื ดใี จเปน็ อยา่ งยง่ิ รบี หอบถาดทองคำ� ใสข่ า้ วนมเนย มิถุนายน ภาษาพม่าเรียกว่า “นหยุ่นละ” เป็นเดือนที่
ไปยังต้นไทรใหญ่ พอถึงรีบถวายแด่พระพุทธเจ้าพร้อม พระสงฆจ์ ดั ใหม้ จี า่ แมปอย (ปจุ ฉา – วสิ ชั นา) ศกึ ษาคน้ ควา้
อธิษฐานบนบานขอให้ได้บุตรท่ีดีงามและรู้สึกชื่นชมยินดี ซักถามในเรื่องพระธรรมค�ำสอน และวิชาการต่างๆ
กลับบ้านด้วยหัวใจท่ีเปี่ยมล้นด้วยความหวัง หลังจากที่ ตามเอกสารเจเรแสงเฮิง กล่าวว่า เดือน ๗ เป็นเดือนที่
นางสชุ าดาไดก้ ลบั ไปแลว้ พระพทุ ธเจา้ ไดน้ งั่ ตรองวา่ นางนี้ พระพุทธเจ้าทรงไตร่ตรองในหลักโมกขธรรมท่ีจริงตรัสรู้
ได้ถวายข้าวหุงด้วยนมเนย(มธุปายาส) โดยอุทิศต่อเทวดา โดยเฉพาะหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท ซง่ึ เปน็ วฏั จกั รของสงั สารวฏั
ผู้รักษาต้นไทร จึงน�ำเอาข้าวก้อนหนึ่งวางไว้ท่ีง่ามไม้ไทร จนถงึ หลกั ความจรงิ แหง่ ความหลดุ พน้ ๔ ประการ (อรยิ สจั จ์ ๔)
สว่ นทเี่ หลอื ๔๙ กอ้ นในถาดทอง พระพทุ ธองคท์ รงนำ� ไปยงั ตลอดเดอื น ๗ นี้ เปน็ เดอื นแหง่ การทบทวนหลกั โมกขธรรม
ฝั่งแม่น้�ำ เหน่หลิ่นจะหย่า (เนรัญชรา) ล้างหน้าล้างตา ของพระพุทธเจ้า เดือนนี้ชาวนาเตรียมตัวท�ำนากัน มีการ
แลว้ นง่ั ลงฉันด้วยความเอร็ดอร่อยจนหมดท้ัง ๔๙ ก้อน ตอกฝาย “ท�ำเหมืองฝาย” ล้างหอ้ งเหมือง(ขดุ ลอกร่องน�้ำ)
ฉนั เสรจ็ แลว้ รสู้ กึ สดชน่ื อยา่ งยง่ิ ไดต้ งั้ อธษิ ฐานไวว้ า่ หากจะได้ เพ่ือทดน�้ำเขา้ มา จึงว่างเวน้ จากงานประเพณี
ตรสั รู้เป็นพระพุทธเจา้ แนน่ อน ขอใหถ้ าดทองคำ� นี้ ลอยมุด
ลงไปซ้อนกับถาดทอง ของพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ เดอื น ๘ ชาวไตเรยี กว่า “เหลินแปด” เป็นเดือน
ทต่ี รสั รไู้ ปกอ่ นลว่ งหนา้ พรอ้ มกนั นน้ั กล็ อยถาดทองลงไปในนำ้�
ถาดทองก็ลอยทวนนำ�้ ขน้ึ ไปหมุนมุดลงไปซอ้ นกับถาดทอง ที่พระสงฆ์ อธิษฐานอยู่จ�ำพรรษา เดือนน้ีวันข้ึน ๑๕ ค่�ำ
ของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ตามค�ำอธิษฐาน เสียงกระทบ เดือน ๘ เป็นวันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันท่ีพระพุทธเจ้า
ของถาดทองน้ันดังก้องสะท้อนเข้าหูพญานาคที่นอนขดตัว แสดง พระธรรมจักร ดังน้ันตามประเพณีไต ผู้เฒ่าผู้แก่
ครอบโลกไว้ ท�ำให้ตกใจต่ืนฟื้นตัวขึ้นพร้อมกับบ่นว่า ตลอดถึงผู้ที่สนใจปฏิบัติธรรมจะพากันไปจ�ำศีลท่ีวัด
เพิ่งนอนไปไม่ทันอ่ิม มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อีกแล้ว ทเ่ี รยี กวา่ ก�ำศีลนอนจอง ซ่ึงจะไปปฏิบัติในวันพระตลอด
อาการตกใจต่ืนฟื้นตัวของพญานาคนี้รุนแรง จนท�ำให้เกิด ฤดูเข้าพรรษา ๓ เดือน ในขณะเดียวกันชาวไตจะมีการ
ทำ� บญุ ในวนั โกนวนั พระเรยี กวา่ “ปอยจา่ กะ” จะมเี จา้ ภาพ
จัดงานตีฆอ้ งกลองกน้ ยาวนำ� ดอกไม้ ยารักษาโรค ตลอดถึง
น้�ำส้มน้�ำหวานไปถวายพระและผู้ท่ีจ�ำศีลที่เรียกว่า
กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ จงั หวัดแม่ฮ่องสอน 103
“พอ่ ศลี แมศ่ ลี ” พรอ้ มกบั ขอนมิ นตพ์ ระภกิ ษสุ งฆ์ สามเณร เจ้าภาพถวายไทยธรรมและอาหารแด่พระพุทธเจ้า จาก
และเชญิ ผทู้ จ่ี ำ� ศลี ไปรบั ประทานอาหารเชา้ ในรงุ่ ขนึ้ อกี วนั หนงึ่ หน่อพทุ ธางกูร แต่หน่อพทุ ธางกูรไมย่ อมขาย และบรรดา
บางทีวันรุ่งข้ึนจะมีการแจกข้าวห่อแก่ผู้จ�ำศีล เรียกว่า ศรทั ธาทม่ี ฐี านะตา่ งปรวิ ติ กวา่ หนอ่ พทุ ธางกรู ซงึ่ ยากจนมาก
“หลู่ปอยจากะ”ท�ำทานงานปอยจากะ เรื่องราวบ่อเกิด จะไมม่ อี าหารดๆี ถวายพระพุทธเจา้ จงึ ได้ชวนกนั ตามไปดู
ประเพณกี ลา่ ววา่ ตอนทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ไดป้ ระทบั นง่ั บนบลั ลงั ก์ ท่เี รอื นของหน่อพุทธางกูร เพื่อหากอาหารและไทยธรรมที่
ท่ีตรัสรู้น้ันเป็นวันเพ็ญเดือน ๖ ระหว่างเดือน ๖ แรม หน่อพุทธางกูรเตรียมไว้ไม่ดีพอ ไม่เพียงพอจะได้นิมนต์
๗ ค่�ำ จนถึงวันเดือน ๗ นั้น เป็นระยะท่ีพระพุทธองค์ พระพทุ ธเจา้ รบั ทานทเี่ รอื นของตน แตป่ รากฏวา่ อาหารและ
ทรงเสวยวมิ ตุ ตสิ ขุ พอถึงวันข้ึน ๔ ค�่ำ เดือน ๘ พระองค์ ไทยธรรมท่ีเรือนหน่อพุทธางกูรกลับเป็นอาหารทิพย์ที่ดี
เสดจ็ ไปยงั มกิ กะดหุ วนุ่ (มฤคทายวนั ) ใชเ้ วลาเดนิ ทาง ๑๐ วนั กล่ินหอมกระจายไปท่ัวทั้งเมือง ด้วยเหล่าเทวดาได้ลงมา
ถึงวันขึน้ ๑๓ ค่�ำ เดอื น ๘ วันขน้ึ ๑๔ ค�่ำ เดอื น ๘ ก็เทศนา ชว่ ยหงุ ชว่ ยปรงุ เพอื่ ถวายพระพทุ ธเจา้ คณะศรทั ธาทง้ั หลาย
ธรรมจักกะหย่า (ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร) วัน ๑๕ ค่�ำ จึงช่วยกันน�ำอาหารและไทยธรรมนั้นถวายพระพุทธเจ้า
เทศนาโปรดก่อนติงยะ(โกญทัญญะ) วันแรม ๑ ค่�ำ เดอื น ๘ เมอื่ พระพทุ ธเจา้ ฉนั เสรจ็ ไดอ้ นโุ มทนา เสรจ็ แลว้ หนอ่ พทุ ธางกรู
เทศนาโปรด วปั ปะ ภทั ทยิ ะ มหานามะ และอลั สชิ ตามลำ� ดบั กอ็ มุ้ บาตรตามสง่ เสดจ็ พระพทุ ธเจา้ จนถงึ วดั เมอ่ื หนอ่ พทุ ธางกรู
ในป๊ะทะมะหว่า(ปฐมพรรษา) พระพุทธองค์อยู่จ�ำพรรษา กลบั คนื ถงึ เรอื นตน พระอนิ ทรก์ เ็ นรมติ ฝนเงนิ ฝนทอง และ
ในมฤคทายวัน พอถึงพรรษาท่ี ๒ พระพทุ ธองค์ทรงบญั ญัติ ฝนแกว้ ๗ ประการ ตกลงมารอบๆ เรอื นของหนอ่ พทุ ธางกรู
การเข้าพรรษา ไว้ให้พระสงฆ์อยู่จ�ำพรรษา ไม่ไปค้างคืน เป็นกองพะเนินเทินทึก เม่ือสิ้นอายุขัยได้ไปจุติเป็นเทวดา
ที่อ่ืนตลอดจนครบถ้วน ๓ เดือน ส่วนศรัทธาอุบาสก บนสวรรค์ จากสวรรคจ์ ุติเปน็ มนษุ ย์ กลบั ไปกลบั มาจนถงึ
อุบาสกิ าก็ได้ถอื ศลี ภาวนาในพรรษา ตามพระสงฆไ์ ปด้วย สมยั พระโคดมสมณเจา้ จงึ สามารถบรรลมุ รรคผล ดว้ ยเหตนุ ี้
ในเดือน ๙ ชาวไต จึงมีประเพณีปอยมหาตุ๊ก ที่มีการ
เดอื น ๙ ชาวไตเรยี กวา่ “เหลนิ เกา้ ” ตรงกบั เดอื น จับสลากถวายไทยธรรม แดพ่ ระสงฆส์ ามเณรในกาลตอ่ มา
สิงหาคม มเี รอื่ งราวทเี่ ปน็ บอ่ เกดิ ประเพณกี ลา่ ววา่ ในสมยั เดือน ๑๑ ชาวไต เรียก เดือนสิบเอ็ด มีงาน
พระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าวิปัสสี มีหน่อพุทธางกูรที่
ตกทกุ ขไ์ ดย้ าก ถอื กำ� เนดิ ในตระกลู ยากจน ในเมอื งพาราณสี ประเพณี แฮนซอมโก่จา คืองานท�ำบุญอุทิศส่วนกุศล
ในสมัยนัน้ คนเมืองทงั้ หลายนิยมทำ� บุญสลากภัตร คนหนง่ึ ไปใหแ้ กผ่ ทู้ ลี่ ว่ งลบั ไปแลว้ ในรอบปที ผี่ า่ นมา โดยสามภี รรยา
รับถวายไทยธรรม ๑ องค์บ้าง ๒ องค์บ้าง ๓ องค์บ้าง บุตรหลานตลอดจนญาติอื่นๆ ของผู้ตาย เป็นการแสดง
๑๐ องค์บ้าง จับสลากกัน เพราะความท่ีหน่อพุทธางกูร ความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ตาย จะมีการฮอลีกสุตตะ(ธรรมะ
เป็นคนจน มีอาชพี หาพืชผักขายเพื่อเล้ียงชีพไปวนั ๆ แต่มี สำ� หรบั อทุ ศิ สว่ นกศุ ลใหผ้ วู้ ายชนม)์ โดยจเร และมตี งุ ตำ� ขอ่ น
เจตนาศรัทธาที่จะร่วมท�ำบุญสลากภัตร จึงไปขอรับเป็น บางที่ท�ำจากกระดาษ ผา้ ไม้ ด้าย กระจก หรอื สังกะสฉี ลุ
เจา้ ภาพ ๑ องค์ แล้วกลับไปเตรียมไทยธรรมอาหารท่ีจะ เปน็ ลวดลาย ตดั เปน็ แผน่ ยาวๆ ผกู ตดิ ไม้ ขา้ งบนมถี งุ กระดาษ
ถวายพระท่ีบ้าน พอถึงวันท�ำบุญ ปรากฏว่าผู้ด�ำเนินงาน ท�ำเป็นยา่ ม ขา้ งในมหี มากพลู บุหรี่ อาหารใหผ้ ้ตู าย บางท่ี
ลืมจดรายชื่อไว้ จึงไม่ได้ท�ำบุญ และมีผู้แนะน�ำว่าเหลือ ทำ� เปน็ กระดาษมว้ นกลมยาว หรอื ทำ� จากผา้ มว้ นยาวคลา้ ย
พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวยังไม่ได้รับนิมนต์ผู้ใด ขอให้ ตวั พญานาค ขา้ งบนมีไมแ้ กะสลักเปน็ รูปนก ปลายใช้ด้าย
ลองไปนิมนตพ์ ระพุทธเจ้าดู พระพุทธเจ้าไดต้ อบรับนมิ นต์ ถกั เปน็ รปู ตะกรอ้ เกลด็ เตา่ ไมโ้ คง้ และพหู่ อ้ ยระยา้ เรยี กวา่
จากหน่อพุทธางกูรพร้อมย่ืนบาตรให้ เมื่อรับบาตรแล้ว “ตำ� ขอ่ นนากกา” (ตงุ พญานาค) อกี ประเภทหนงึ่ ทำ� จากไม้
หน่อพุทธางกูรได้ทูนบาตรพระพุทธองค์ไว้เหนือศรีษะ แกะสลกั แต่งลวดลาย ด้วยกระจก ขา้ งบนมรี ปู นก ทีฐ่ าน
และเดินผ่านเหล่าพุทธบริษัทไปด้วยความอ่ิมเอมใจ มกั มเี รอื ซงึ่ มคี วามหมาย ใหผ้ ตู้ ายไดอ้ าศยั เรอื นเ้ี ปน็ พาหนะ
เหล่าพุทธบริษัทเห็นเช่นน้ันต่างพยายามขอซื้อการเป็น ขา้ มพน้ วฏั ฏะสงสาร ใหถ้ งึ พระนพิ พานอนั เปน็ อมตะเบอ้ื งหนา้
104 กลุ่มชาตพิ ันธุ์ จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน
ท้ังนี้ ตุง หรือต�ำข่อน จะระบุช่ือผู้อุทิศส่วนบุญกุศลและ เดอื น ๑๒ ชาวไตเรียกว่า “เหลินสิบสอง” จะมี
ผตู้ าย และเชอ่ื วา่ การแฮนซอมอทุ ศิ สว่ นกศุ ลใหผ้ ตู้ ายจะได้
อานสิ งส์ทัง้ ผทู้ ำ� และผตู้ าย งานประเพณี “ปอยหลสู่ า่ งกาน” หรอื ประเพณี ถวายผา้ จวี ร
ซงึ่ ศรัทธาญาติโยมจะน�ำจีวรไปถวายแด่พระสงฆ์ โดยจะมี
นอกจากนใี้ นเดอื น ๑๑ ชาวไตยงั มี ประเพณอี อกหวา่ ขบวนแห่ต้นสา่ งกาน พร้อมเครอื่ งไทยทานอน่ื ๆ สมัยก่อน
คืองานประเพณีออกพรรษา ที่มีการถวายจองพรา หรือ จะท�ำต้นหอโลมมียอดสูงหรือต้นกัลปพฤกษ์ ขบวนแห่
ปราสาททที่ ำ� ไวร้ อรบั เสดจ็ พระพทุ ธเจา้ ทเี่ สดจ็ กลบั มาโปรด จะมีกลอง มอง เซิง กลองมองลาว และกลองก้นยาว
มนุษย์ในช่วงออกพรรษา จองพรานี้จะมีท้ังรูปแบบท่ี ชาวบ้านที่ร่วมขบวนแห่จะร่ายร�ำตามท�ำนองดนตรี
ชาวบา้ นตงั้ บูชาไวห้ นา้ บ้าน และแหไ่ ปถวายวัด ซงึ่ รูปแบบ อย่างสนุกสนานและ เปี่ยมด้วยศรัทธา ในประเพณีที่มี
จะแตกต่างกัน ในเทศกาลน้ีมีการละเล่นและฟ้อนร�ำ บอ่ เกดิ มาจากพระพทุ ธศาสนา นอกจากนปี้ ระเพณเี ดอื น ๑๒
ซึ่งส่วนใหญ่จะฟ้อนร�ำเป็นรูปสัตว์ต่างๆ เช่น ร�ำนก ยังมีการท�ำบุญตักบาตร “ปอยลองซอมเหล ๑๒”
ร�ำก่ิงกะหล่า (นกในนิทานเก่าแก่คนไต คล้ายกับกินรี ในลกั ษณะตา่ งๆ เช่น ตกั บาตรเขาวงกต (หม่งั กะป่า หรอื
ของไทย) ก้าโต (ร�ำสิงโตหรือเชิดสิงโต) หว่ังกะป่า) ท่ีชาวบ้านจะมีการสร้างจองพราหรือประสาท
ท่ีประดิษฐานพระพุทธรูปต่างๆไว้ในเขาวงกตให้ผู้คนบูชา
ท้งั น้เี มอื่ ส้นิ สดุ เทศกาลเดือน ๕ หรือเดือน ๑๑ ไต ด้วยดอกไม้ธูปเทียน และในตอนเข้าตรู่ช่วงเทศกาลจะมี
นอกจากจะมีการขอขมาพระสงฆ์ พ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ การตกั บาตรทเี่ ขาวงกตนน้ั ตกั บาตรกยอง ๘ หลงั โดยชาวบา้ น
ตลอดถึงผทู้ ่ีเป็นที่เคารพนบั ถือ ชาวบ้านจะนมิ นต์พระสงฆ์ จะต้ังจองพาราพร้อมราชวัตรไว้หน้าบ้านและพระจะมา
ใหอ้ ยโู่ ปรดชาวบา้ นตอ่ ไป โดยมคี วามเชอ่ื วา่ หากไมน่ มิ นตไ์ ว้ บนิ ฑบาตตามถนนในหม่บู า้ น และในเดอื นสุดทา้ ยแหง่ ปีน้ี
พญามารจะมานมิ นตเ์ สียกอ่ น ดังเช่นพญามารได้นิมนตใ์ ห้ ชาวไตมปี ระเพณปี อยออ่ งจอ๊ ด ทม่ี นี ยั แหง่ การการเฉลมิ ฉลอง
พระพทุ ธเจ้าปรินพิ พาน เม่อื ครั้งพทุ ธกาล อกี ประการหนึง่ เนื่องในความส�ำเร็จลุล่วงในการสืบสานงานประเพณีและ
พระสงฆ์อาจจาริกไปท่ีอ่ืน เกรงว่าจะไม่มีพระภิกษุสงฆ์ กจิ การตา่ งๆของชมุ ชนมาตลอดทงั้ ปดี ว้ ยความรว่ มแรงรว่ มใจ
อยู่วัดโปรดชาวบ้าน
เคร่อื งดนตรี การละเลน่ ส�ำหรับดนตรีประกอบการร�ำไต เป็นวงตอยอฮอร์น
ศลิ ปะการแสดงทมี่ เี อกลกั ษณข์ องชาวไทใหญ่ วงดนตรพี น้ื บา้ นของจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอนโดยบรรเลงเพลงพมา่
คอื การกา้ นก ก้าโต กา้ แลว ก้าลาย และการฟ้อนร�ำอน่ื ๆ ชอื่ “มวยโลว่ โลว่ จจู่ มู่ วย” และเพลง “ขะยาตา่ นโจง่ ” หรอื
เชน่ รำ� ไต รำ� หมอ่ งสว่ ยยี กา้ ปน่ั กอ๋ ง รำ� มองเซงิ เปน็ ตน้ ทง้ั น้ี บรรเลงเพลงไตทำ� นองปานแซง ชอ่ื เพลง “ขน้ึ ใหญใ่ หมส่ งู ”
รูปแบบของการร่ายร�ำได้ต้นฉบับ มาจากชาวไตในรัฐฉาน และ “ปานจ๋ามค�ำ”
ศิลปะการแสดงของชาวไทใหญ่ มีเคร่ืองดนตรีให้จังหวะ ทง้ั น้ี ศลิ ปะการแสดงของชาวไทใหญ่ ในจงั หวดั
และสรา้ งความครกึ ครน้ื ดว้ ยกลองกน้ ยาว ชดุ ฆอ้ ง และฉาบ แมฮ่ อ่ งสอน ทเ่ี ป็นท่รี ูจ้ ักและนยิ มจัดแสดง ในการตอ้ นรบั
บรรเลงตามจังหวะต่างๆ ตามแบบฉบับชาวไทใหญ่ แขกบ้านแขกเมือง และทุกงานกิจกรรมประเพณีของ
นอกจากน้ี มกี ลองมองเซงิ ซ่งึ เปน็ วงดนตรีของผูห้ ญงิ ที่มี ชาวไทใหญ่ อีกหนึ่งประเภท คือ ร�ำไต ซึ่งมีการแสดงมา
จังหวะนมุ่ นวลกวา่ ประกอบดว้ ยฆอ้ งใหญ่ ๑ ลูก ฉาบใหญ่ ตั้งแต่สมัยการก่อตั้งเมืองแม่ฮ่องสอน ครั้งแรกเป็นการ
๑ คู่ และกลองมองเซิง ๑ ใบ ทั้งน้ี ชาวไทใหญใ่ นจังหวัด ร่ายร�ำถวายต่อเจ้าฟ้าเจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนตั้งแต่อดีตกาล
แมฮ่ อ่ งสอนกลา่ วมกี ลมุ่ นาฏศลิ ปท์ ง้ั รนุ่ เดก็ เยาวชน กลมุ่ แมบ่ า้ น เป็นต้นมา โดยจัดให้มีการร�ำไตถวายต่อหน้าพระพักตร์
กลุ่มพ่อบ้าน และกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งส่วนใหญ่จะจัดแสดง สัปดาห์ละ ๑ คร้ัง ถอื เปน็ ประเพณีสืบตอ่ กนั มา จนกระทั่ง
ในงานประเพณสี �ำคัญทางศาสนาในหม่บู ้านและงานแสดง เกิดสงครามโลกครั้งท่ี ๒ หลังสงครามยตุ กิ ารปกครองของ
ในงานวัฒนธรรมต่างๆ ทั้งในระดับอ�ำเภอและจังหวัด เมอื งแม่ฮอ่ งสอน ได้เปลยี่ นแปลงไป ท�ำให้ศิลปะการร�ำไต
กล่มุ ชาติพนั ธ์ุ จงั หวัดแม่ฮ่องสอน 105
ไดห้ า่ งหายไประยะหนง่ึ ตอ่ มาไดม้ กี ารฟน้ื ฟกู ารรำ� ไตขนึ้ มา ต่อมานางสุดาณี เขื่อนรัตน์ ได้จดลิขสิทธิ์ต่อ
อีกคร้ัง โดยมีพ่อครูแก้ว และแม่ครูละหย่ิน ทองเขียว ผู้อ�ำนวยการส�ำนักสิทธิบัตร ตามหนังสือรับรองการแจ้ง
ได้รวบรวมฝึกสอนเยาวชน เด็กนักเรียนหญิง ในการ ข้อมูล ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ไทย เลขที่ ภปร ๒๐๗๓ เม่อื วนั ท่ี
ถ่ายทอดศิลปะการแสดงร�ำไตข้ึนมาเพื่อเป็นเอกลักษณ์ ๙ มีนาคม ๒๕๔๗ และได้มีการถา่ ยทอดและสืบสานศลิ ปะ
ของชาวไต และเพื่อการร�ำถวายรับเสด็จพระมหากษัตริย์ การแสดงร�ำไตรุ่นสู่รุ่น โดยเฉพาะในสถานศึกษา และมี
เจา้ ฟา้ เจา้ เมอื ง งานบญุ กศุ ล และงานฉลองตามเทศกาลตา่ งๆ การน�ำศิลปะการแสดงร�ำไต มาจัดแสดงในทุกกิจกรรม
ตลอดจนต้อนรับอาคันตุกะแขกบ้านแขกเมือง ที่มาเยือน อยา่ งแพรห่ ลายในจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอนอยา่ งตอ่ เนอ่ื งกระทงั่
จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอนในสมยั นนั้ ทง้ั ทางเครอ่ื งบนิ และทางรถยนต์ ปัจจบุ นั
โดยจะท�ำการแสดงต้อนรบั ณ ท่าอากาศยานแม่ฮอ่ งสอน นอกจากน้ี ศิลปะการแสดงที่ชาวไทใหญ่ใน
คณะนักท่องเท่ียวชุดแรกท่ีคณะร�ำไตของ พ่อครูแก้ว จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอนรบั มาและถอื ปฏบิ ตั สิ บื ทอดมาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง
แมค่ รลู ะหยนิ่ ทองเขยี ว ไดท้ ำ� การแสดงตอ้ นรบั คอื คณะของ โดยเฉพาะในงานประเพณี คือศิลปะการแสดงโตและ
นาวาเอกแสวง ทรรพสตู ร ต่อมาศิลปะการแสดงการร�ำไต นกก่งิ กะหลา่ ทม่ี าจากความเช่ือในวรรณคดีและความเช่อื
ได้มีการเผยแพร่ แสดงในงานต่างๆ เช่น งานประเพณี คตศิ าสนาพทุ ธและฮนิ ดู ชาวไทใหญไ่ ดจ้ ำ� ลองสตั วใ์ นวรรณคดี
งานบุญกุศลพิธี ต้อนรับเจ้านาย บุคคลส�ำคัญทางรัฐบาล ไดแ้ ก่ กนิ รี เรยี กวา่ นกกงิ่ กะหลา่ และนรสงิ ห์ (สงิ โต หรอื โต)
ตงั้ แตส่ มยั จอมพล ป.พบิ ลู ยส์ งคราม จอมพลสฤษดิ์ ธนรตั น์ มาจัดแสดงการกา้ นก - กา้ โต ในชว่ งเทศกาลออกพรรษา
จอมพลถนอม กติ ตขิ จร และในเดอื นกมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๐๑ (งานปอยเหลนิ สบิ เอด็ ) เปน็ สญั ลกั ษณว์ า่ เหลา่ สงิ สาราสตั ว์
ไดม้ กี ารรำ� ไตถวายการตอ้ นรบั การเสดจ็ ของพระบาทสมเดจ็ ต่างมีใจยินดีปรีดาต่อการท่ีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เสด็จกลับจากสวรรค์ช้ันดาวดึงส์เพื่อมาโปรดมนุษย์โลก
สมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิพระบรมราชนิ นี าถพระบรมราชชนน-ี ชาวไทใหญ่จงึ จดั ฟ้อนถวายเปน็ พทุ ธบชู า ศลิ ปะการแสดง
พันปีหลวง และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี นก โต เปน็ ศลิ ปะการแสดงทเี่ ปน็ มรดกทางวฒั นธรรมของ
ท่ีท่าอากาศยานจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีนางร�ำทั้งสิ้น ชาวไทใหญม่ าตงั้ แตบ่ รรพบรุ ษุ เชน่ เดยี วกบั การผลติ ปกี นก
๖๐ คน ทา่ รำ� ทไ่ี ดร้ บั การฟน้ื ฟโู ดย พอ่ ครแู กว้ แมค่ รลู ะหยน่ิ และตวั โต ถอื วา่ เปน็ มรดกทางวฒั นธรรมทตี่ กทอดมารนุ่ ตอ่ รนุ่
ทองเขียว มที ัง้ หมด ๑๒ ทา่ รำ� ไดแ้ ก่ อย่างไรก็ตาม รูปแบบปีกนก และตัวโตของแต่ละพ้ืนที่ใน
๑. ทา่ เฮด็ หา้ งเฮด็ ผาง (ทา่ แตง่ ตวั ) จังหวัดแม่ฮ่องสอนจะมีเอกลักษณ์ สีสัน โครงสร้าง วัสดุ
๒. ท่าโจมโต๋ (ช่ืนชมความงามตวั เอง) และการออกแบบที่แตกต่างกัน โดยบางแห่ง โตท�ำจาก
๓. ทา่ สางขนโห (หวีผม, เสยผม) โครงสร้างที่ท�ำมาจากหวาย บางแห่งใช้เหล็กเส้นดัดโค้ง
๔. ท่าฮูดจ้อง (ทา่ รูดมวยผม) และหุ้มท้ังตัวด้วยเชือกฟาง น�ำมาเย็บกับผ้า ส่วนหัวโต
๕. ทา่ แผด๊ มือ (ทา่ สลัดมือ) ซง่ึ ในอดตี จะนำ� เอาเขาเลยี งผา หรือเขากวาง มาประกอบ
๖. ทา่ แมฮ่ า่ งแมผาง (ทา่ สำ� รวจการแตง่ กายตวั เอง) เข้ากับไม้เน้ือแข็งท่ีแกะสลักเป็นรูปหน้าของโต ลักษณะ
๗. ทา่ ยกั จ�ำ้ (สอ่ งกระจก) พเิ ศษของหวั โตทกุ ตวั คอื จะสามารถอา้ ปากเพอ่ื คาบสงิ่ ของได้
๘. ทา่ แผด็ โค (สลดั ผา้ ) นักเชิดโตจะต้องสอดมือข้างที่ถนัดเข้าไปในหัวโตซ่ึงกลวง
๙. ทา่ ย่างไป๋จมโต๋ (เดนิ ชน่ื ชมตวั เอง) แลว้ ใชม้ อื บงั คบั การเปดิ และ ปดิ ปากของโต ปจั จบุ นั เนอ่ื งจาก
๑๐. ทา่ ป๋าแผ็ดหาง (จัดผ้าถุงให้เข้าทา่ ) เขาสตั วแ์ ละไม้หายากขนึ้ ผผู้ ลิตโตส่วนใหญจ่ งึ หนั ไปใชเ้ ขา
๑๑. ทา่ เซอใจ๋ (สบายใจ, ดใี จ) ท่ีหล่อด้วย ปูนพลาสเตอร์ พลาสติก หรือซิลิโคนมากข้ึน
๑๒. ท่าค๊อกโค (ผบั ผา) สว่ นนกกงิ่ กะหลา่ นยิ มใชไ้ มไ้ ผท่ แ่ี กจ่ ดั เนอื่ งจากมนี ำ้� หนกั เบา
และแขง็ กนั มอดไมไ้ ด้ มาทำ� เปน็ โครงปกี นก และใชผ้ า้ ลกู ไม้
106 กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ จงั หวัดแม่ฮอ่ งสอน
หลากสีมาเย็บ เม่ือประกอบกันแล้วจะได้ปีกนก ที่มีสีสัน ชาวไตครั้งหนึ่งในชีวิตต้องบรรพชาเป็นสามเณร เพื่อ
สวยงาม และมขี นาดแตกต่างกันตามขนาดของผใู้ ช้งาน เปน็ การสืบทอดพระพทุ ธศาสนา เพื่อเป็น มหากศุ ลใหก้ บั
ตนเอง และบพุ การี ซงึ่ ปกตจิ ะมกี ารจดั งานอย่ปู ระมาณ ๓
ความร้แู ละภมู ปิ ัญญา วัน โดยสามารถจัดงานได้ต้ังแต่ เดือนมีนาคมถึงเมษายน
ชาวไทใหญ่มีความรู้และภูมิปัญญาท่ีใช้ในการ เอกลักษณ์ของงานบวชคือ การน�ำบุตรหลานมาแต่งองค์
ด�ำรงชีวิต เช่น การใช้ประโยชน์จากพืช ในป่าธรรมชาติ ทรงเครอ่ื งเหมอื นเทวดา หรือสมมุตเิ ทพองค์น้อย ต้องสวม
ไม่ว่าจะเป็นการน�ำไม้มาสร้างบ้าน น�ำใบไม้ (ใบตองตึง) ถงุ เทา้ สขี าวตลอดทงั้ ๓ วนั และหา้ มไมใ่ หส้ า่ งลองเหยยี บพนื้
มามุงหลังคา มาจักสานเป็น “กบุ๊ ” (หมวกสานจากไมไ้ ผ่) เวลาเดินทาง ต้องน�ำข้ึนขี่คอไปยังท่ีต่างๆ และกางร่มที่มี
ทำ� ฟนื การเกบ็ พชื มาใชเ้ ปน็ อาหาร หรอื แมแ้ ตเ่ ปน็ ยาสมนุ ไพร ยอดสูงประดับด้วยกระดาษทอง อย่างไรก็ตาม รูปแบบ
โดยมีวิธีการรักษาโรค ท่ีหลากหลายวิธีควบคู่กับการใช้ ของปอยส่างลองในจังหวัดแม่ฮ่องสอนแต่ละพ้ืนที่จะมี
ยาสมนุ ไพร วธิ ที นี่ ยิ มไดแ้ ก่ การกนิ สด การตม้ อาบ การประคบ รายละเอียดที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะชุดแต่งกายและ
หรือการตำ� พอก เชน่ ถา้ เปน็ งูสวดั จะใหห้ มอมนตพ์ ้ืนบา้ น ชฎา ท่ีชาวไทใหญเ่ รียกว่า “ปานกุม” จะมีลักษณะเฉพาะ
เสกคาถาและใช้ใบพลูเช็ดตรงต�ำแหน่งที่เป็นแผลท่ีเป็น ของแตล่ ะท้องท่ี
กจ็ ะหาย ถา้ ประสบอบุ ตั เิ หตกุ ระดกู หกั ใหห้ มอมนตเ์ สกคาถา
ใสน่ ำ้� มนั งาทากระดกู กจ็ ะตดิ กนั หายสนทิ โดย การอยไู่ ฟของ มีกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของประเพณี
สตรหี ลงั คลอดใหท้ านยามนิ้ จาราง คอื ยาสมนุ ไพรปรงุ จาก ปอยส่างลองไวห้ ลากหลายตำ� นานแตกตา่ งกนั ไปตามพนื้ ท่ี
ไพล เกลอื พรกิ ไทย ใหผ้ สมนำ้� มะนาวทาน เปน็ ตน้ นอกจากนี้ ซงึ่ ปรากฏตำ� นานต่างๆกันดังน้ี
มกี ารนำ� สมนุ ไพรมาผสมกนั ในรปู ของยาแทง่ แกไ้ ข้ แกล้ มชกั
หรอื แกท้ อ้ งผกู และชาวไทใหญย่ งั มกี ารใชพ้ ชื ตามความเชอื่ ต�ำนานแรก เมือ่ ครง้ั พทุ ธกาล พระพุทธเจา้ ไดข้ ึ้น
ทางประเพณที ถี่ กู ถา่ ยทอดกนั มาชา้ นานอกี ดว้ ย เชน่ การทำ� ไปโปรดพระมารดาท่ีสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ เมื่อจะเสด็จกลับ
ตะแหลว การใช้ส้มป่อยในพิธีรดน้�ำด�ำหัวผู้อาวุโส หรือ ลงมาเมอื งมนุษย์ก็มีเทพส่ีตน เปน็ เทวดา ๒ ตน นางฟา้ ๒
สรงนำ�้ พระ การใชย้ อดหวา้ ในการบชู าพระหรอื พธิ ที างสงฆ์ ตนลงตามมาด้วย เพราะอยากเห็น บ้านเมืองมนุษย์
ในวันมงคลต่างๆ เปน็ ต้น กลา่ วไดว้ า่ กลุม่ ชาติพนั ธไ์ุ ทใหญ่ เนื่องจากว่าคิดว่าบ้านเมืองมนุษย์นั้น ต้องสนุกสนานมาก
เป็นอีกกลุ่มชาติพันธุ์ท่ีมีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เพราะจะมีงานต้อนรับพระพุทธเจ้า ดังน้ันเทพท้ังสี่จึงได้
ครอบคลุมในทั้ง ๖ สาขาของหมวดหมู่มรดกภูมิปัญญา แตง่ กายสวยงามสวมชฎามงกุฎ ฟ้อนร�ำรว่ มกับมนุษย์ จึง
ทางวฒั นธรรม ทกี่ รมสง่ เสรมิ วฒั นธรรม กระทรวงวฒั นธรรม เป็นที่มาของการแต่งกายส่างลองให้งดงาม และมีการน�ำ
ได้จ�ำแนกไว้ทั้งนี้ ขอยกตัวอย่างมรดกภูมิปัญญาทาง ชฎามาสวมใส่ใหแ้ ก่ผู้บวช
วฒั นธรรม ของกล่มุ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทใหญ่ทโ่ี ดดเด่น ดังนี้
๑. ประเพณีปอยส่างลอง เป็นรายการมรดก ตำ� นานทส่ี อง กลา่ ววา่ การเปน็ สา่ งลองนน้ั เปน็ การ
ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ที่ได้รับการข้ึนทะเบียนเป็น เลยี นแบบประวตั ขิ องพระพทุ ธเจา้ ครง้ั ยงั เปน็ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ
มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ในปี ๒๕๖๑ แห่งกรุงกบลิ พสั ดุ์ การปฏิบัตติ อ่ ส่างลองเสมือนการปฏบิ ัติ
สาขาแนวปฏบิ ตั ทิ างสงั คม พธิ กี รรม ประเพณี และเทศกาล ตอ่ เจ้าชายน่ันเอง
ปอยส่างลอง คือ ประเพณีบรรพชาเป็นสามเณร ตำ� นานทส่ี าม ประวตั คิ วามเปน็ มาของหนงั สอื ไทย
ในพระพุทธศาสนาของชาวไทใหญ่ ที่ได้ร่วมกัน สืบทอด ใหญ่ที่เขียนโดยเจ้าหน่อค�ำ และนายบุญศรี นุชจิโน
ประเพณนี มี้ าเปน็ เวลานาน ตั้งแตค่ รั้งมีการสร้างแปงเมือง ได้แปลไว้ว่า เมื่อครั้งพุทธกาลในกรุงราชคฤห์ มีกษัตริย์
แม่ฮ่องสอน ปอยส่างลองถือเป็นงานส�ำคัญ ที่บุตรหลาน พระนามว่า พระเจ้าพิมพิศาล ได้สร้างพระวิหารถวาย
พระพุทธเจ้าและปวารณาตัวเป็นทายกของพระพุทธเจ้า
ตลอดชีวิต พระเจ้าพิมพิศาลมีโอรสพระองค์หน่ึง นามว่า
อาชาตศัตรู วันหนึ่งเจ้าชายอาชาตศัตรูได้เสด็จมายัง
กลุ่มชาติพนั ธุ์ จังหวัดแม่ฮอ่ งสอน 107
ลานพระวหิ ารทพี่ ระพทุ ธเจา้ ประทบั อยู่ ไดพ้ บกบั พระเทวทตั ใหน้ ำ� พระโอรสมาถวายเปน็ ทานในพระพทุ ธศาสนา โดยให้
พระเทวทตั จงึ ไดอ้ ญั เชญิ เสดจ็ ขนึ้ ไปบนกฏุ พิ รอ้ มทงั้ ยกยอ่ ง เขาสมัครใจ เม่ือทราบดังน้ัน เจ้าชายอาชาตศัตรูจึงได้น�ำ
วา่ เปน็ ผมู้ บี คุ ลกิ เฉลยี วฉลาดปราดเปรอ่ื ง สมควรเปน็ กษตั รยิ ์ พระโอรสพรอ้ มดว้ ยพระสหายอกี ๕๐๐ คน ทม่ี คี วามสมคั รใจ
ปกครองบา้ นเมอื งโดยเรว็ พรอ้ มกบั ยแุ หยว่ า่ พระเจา้ พมิ พศิ าล และบดิ ามารดาอนญุ าตแลว้ ไปถวาย โดยเรม่ิ แรกใหอ้ าบนำ้�
นนั้ แกช่ ราแลว้ ไมค่ วรเปน็ กษตั รยิ อ์ กี ตอ่ ไป เพราะไมส่ ามารถ ขมิ้นส้มป่อย น้�ำอบน้�ำหอมท่ีแช่ด้วยเพชร พลอย ทองค�ำ
น�ำทัพไปสู้รบกับใครได้ อาจสูญเสียแผ่นดินให้กับเมืองอ่ืน และเงินไปรับศีล ๕ จากพระพุทธเจ้า และแต่งกายด้วย
จึงแนะน�ำให้ ฆ่าเสีย เจ้าชายอาชาตศัตรูเม่ือได้ฟังดังนั้น เคร่ืองนุ่งห่มของส่างลอง น�ำไปแห่ตามถนน สายต่างๆใน
กเ็ กดิ ความขนุ่ เคอื งไมพ่ อพระทยั จงึ ตำ� หนวิ า่ ใครจะฆา่ บดิ า กรงุ ราชคฤห์ เมือ่ ครบ ๗ วัน จงึ นำ� ส่างลองไปบรรพชาเปน็
ของตวั เองไดล้ งคอแลว้ รบี กลบั ไป ฝา่ ยพระเจา้ เทวทตั ไมล่ ดละ สามเณรต่อหน้าพระพุทธเจ้าและ เหล่าพระสงฆ์สาวก
ความพยายาม ได้หาโอกาสมาพบกับเจ้าชายอาชาตศัตรู ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าจึงให้นามพระโอรสองค์น้ีว่า
อกี ครงั้ พรอ้ มทง้ั ทูลกระซบิ ว่าใหพ้ ระองคจ์ ับพระบดิ าขังไว้ “จิตตะมเถรี” จึงเป็นท่ีมาของ ปอยส่างลองท่ีคนไทใหญ่
ไมใ่ ห้เสวยอาหาร ๗ วัน ก็จะสนิ้ พระชนม์ไปเอง ซงึ่ เราก็จะ ไดย้ ึดถอื สืบทอดกนั มา
ฆ่าพระพุทธเจ้าโดยงัดก้อนหินขนาดใหญ่ให้กลิ้งลงมาทับ ปอยส่างลองหรืองานบรรพชาสามเณรนั้น
แล้วเราก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ส่วนพระองค์ก็จะได้เป็น เป็นพิธีการเฉลิมฉลองของการบรรพชาสามเณรใน
กษัตริย์และเป็นทายกเรา จากนั้นเราทั้งสองจะได้ช่วยกัน ศาสนาพุทธ ซึ่งปกติจะมีการจัดงานอยู่ประมาณ ๓ วัน
พัฒนาบ้านเมืองใหเ้ จริญรงุ่ เรืองเป็นปกึ แผน่ ตอ่ ไป เจ้าชาย แต่หากผู้ที่ท�ำการบวช นั้นมีฐานะดี ก็จะมีการฉลอง
อาชาตศตั รเู มอ่ื ไดฟ้ งั ดงั นนั้ กห็ ลงเชอ่ื และสง่ั ใหท้ หารนำ� บดิ า ยาวนานเป็น ๕ หรือ ๗ วันได้ ซ่ึงงานดังกล่าวนี้จะนิยม
ไปขังไว้และไม่ให้ผู้ใดน�ำอาหารไปให้เสวย ฝ่ายพระมเหสี จัดขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม หรือเดือนเมษายน
ด้วยความรักและความสงสารในพระสวามี จึงได้ท�ำขนม ซงึ่ เปน็ ชว่ งหนา้ แลง้ ทชี่ าวบา้ นสว่ นใหญว่ า่ งเวน้ จากการทำ� นา
ใสเ่ กลา้ ผม บางครง้ั ใสร่ องเทา้ และทาเนยตามตวั เขา้ ไปเยย่ี ม ทำ� ไร่ และเปน็ ช่วงปดิ เทอมภาคฤดรู ้อนของเด็กๆดว้ ย
และให้เสวย จนครบ ๗ วัน พระเจ้าพิมพิศาล ยังไม่ ในการบรรพชาเป็นสามเณรนั้นก็เพ่ือศึกษา
สิ้นพระชนม์ แต่สามารถน่ังนอนและเดินออกก�ำลังกายได้ พุทธธรรมและเพ่ือเป็นการทดแทนคุณบิดามารดา เหมือน
ในท่ีสุดเจ้าชายอาชาตศัตรูได้ส่ังให้ทหารเฉือนเนื้อฝ่าเท้า อย่างท่ีพระราหุลซ่ึงเป็นพระโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ
ของพระบดิ าแลว้ เอานำ�้ เกลอื ทา ไมใ่ หเ้ ดนิ ไปมาได้ ในขณะ (พระพุทธเจ้า) กับพระนางยโสธรา(พิมพา) บวชเป็น
เดียวกันเจ้าชายอาชาตศัตรู ได้พาพระโอรสไปเยี่ยม สามเณรองคแ์ รกในพทุ ธศาสนา กเ็ พอื่ ดำ� เนนิ รอยตามคำ� สงั่
พระมารดา และทรงตรสั วา่ ลกู ชายคนนข้ี า้ รกั มาก แตต่ วั ขา้ สอนของพระบิดา พระราหุลท่านเป็นผู้ใคร่ ในการศึกษา
เมื่อยังเล็ก พระบิดาจะรักเหมือนข้าหรือเปล่าไม่ทราบ ธรรมวนิ ยั จงึ ไดร้ บั ยกยอ่ งจากพระบรมศาสดาวา่ เปน็ ผเู้ ลศิ
พระมารดาจงึ ตรสั วา่ เจา้ รกั ลกู เจา้ มากนนั้ ไมจ่ รงิ เพราะของ กว่าภกิ ษุท้ังหลาย
เล่นต่างๆ ที่มีค่ามหาศาลที่ลูกเจ้าเล่นอยู่ขณะนี้ ล้วนเป็น ในการจดั งานปอยสา่ งลองนนั้ ตอ้ งมกี ารเตรยี มงาน
ของท่พี ่อเจา้ ซอ้ื ใหท้ ้งั ส้ิน เจ้าไมไ่ ด้ซอ้ื หามาให้ลกู เจา้ แมแ้ ต่ ก่อนถึงวันงาน ทั้งสถานท่ี ของใช้ส�ำหรับพิธีกรรม ขนม
ชิ้นเดียว เจ้าชายอาชาตศัตรู เมื่อได้ฟังดังนั้นจึงส�ำนึกผิด อาหาร สำ� หรบั พธิ กี รรมและการรบั ของแขก ซง่ึ ชว่ งกอ่ นวนั งาน
และรีบเสด็จไปยังท่ีคุมขัง เพื่อน�ำพระบิดาออกมารักษา ๒ – ๓ วนั ผคู้ นจะเรม่ิ ทยอยมาชว่ ยจดั เตรยี มงานทบ่ี า้ นเจา้ ภาพ
พยาบาล แต่พบว่าพระบิดาได้สิ้นพระชนม์ไปเสียแล้ว จึง จัดเตรียมสถานท่ีหุงหาอาหารท่ีหลับที่นอนของส่างลอง
รสู้ กึ เสยี ใจมากและรบี เสดจ็ ไปเขา้ เฝา้ พระพทุ ธเจา้ พรอ้ มกบั ท�ำต้นตะเป่ส่า ป๊กข้าวแตก ตกแต่งเครื่องไทยธรรมและ
เล่าเรื่องให้ ฟังโดยตลอด พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าเพราะ อฐั บรขิ าร และมกี ารตี “กลองมองเซงิ ” ซง่ึ มกี ลองใหญ่ ๑ ใบ
คบคนผดิ จงึ ไดท้ ำ� บาปมหนั ตเ์ ชน่ นี้ แตเ่ พอื่ ผอ่ นหนกั ใหเ้ ปน็ เบา ฆ้องมีหลายขนาดตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่
108 กลุ่มชาตพิ นั ธุ์ จงั หวดั แมฮ่ ่องสอน
๕ - ๖ ใบแขวนหรือผูกห้อยกับเพดาน มีฉาบใหญ่ ๑ คู่ ส่างลองประหนึง่ เทวดา ตัวน้อยๆ โดยจะไม่ให้เท้าส่างลอง
ให้มีบรรยากาศของงานปอยส่างลองท่ีทุกคนเต็มใจและมี เหยยี บพน้ื เวลาสา่ งลองจะไปไหนจะมสี ว่ นขบวน ประกอบ
ความสขุ ทไี่ ด้รว่ มกันจดั งาน ด้วย ๑)“ทีค�ำ” (ภาษาไทใหญ่ “ที” แปลว่า “ร่ม”,
วันแรกเรมิ่ ของงานประเพณีปอยสา่ งลอง พอ่ “ค�ำ”แปลว่า “ทองค�ำ”) ทาด้วยกระดาษลงรักปิดทอง
แม่เด็กหรือเจ้าภาพก็จะน�ำเด็กท่ีจะเป็นส่างลองไปโกนผม ประดับด้วยลูกปัดร้อยโยงเป็นชั้นๆ สวยงาม ส่างลอง ๑
ทวี่ ดั พอ่ แมข่ องเดก็ หรอื พระผใู้ หญต่ ดั ใหก้ อ่ นแลว้ จงึ ใหช้ า่ ง องค์ต้องมีทีค�ำ ๑ คันประจ�ำตัว ๒)“น�้ำเต้า” หรือคนโท
หรือพระเณรโกนให้ เสร็จแล้วน�ำไปอาบน้�ำเงิน น�้ำทอง ใส่น้�ำดื่มส�ำหรับลูกแก้ว ๓)“พานหมาก”บรรจุหมาก พลู
น�้ำขม้ิน ส้มป่อย เพ่ือเป็นสิริมงคล แล้วประแป้งผัดหน้า บหุ ร่ี เมยี่ ง ๔)“พรมและหมอน” สำ� หรบั รองนงั่ และพกั แขน
นงุ่ ขาวห่มขาวรบั ศลี ๕ จากพระสงฆ์ แล้วจงึ กลับมานอน นอกจากน้ีในขบวนแห่ยังประกอบด้วยบุคคลท่ีท�ำหน้าท่ี
ท่บี ้านหรอื บางทกี น็ อนท่ีวัดนัน้ เลย ดูแลส่างลอง ได้แก่ ๑)“ต่าแป” คืองคนดแู ลเครือ่ งแตง่ กาย
วนั ตอ่ มาจะเรมิ่ แตเ่ ช้ามดื ชาวบา้ นจะเรยี กกัน แต่งหน้าถือเป็นคนใกล้ชิดที่ค่อยดูแล ประมาณ ๒ คน
วา่ “วนั ฮับสา่ ง” จะมกี ารแตง่ กายสา่ งลอง อยา่ งสวยงาม ๒)“คนขีค่ อ” จำ� นวน ๒ - ๓ คนเปน็ อยา่ งน้อย ท�ำหนา้ ที่
ด้วยชุดเสื้อผ้าเครื่องประดับต่างๆอย่างอลังการ แต่ส่วน ให้ส่างลองข่ีคอไปสถานที่ต่างๆ เพราะถือว่าลูกแก้วเป็น
ใหญ่จะไม่ใส่เคร่ืองประดับที่เป็นของจริงโดยมากจะเป็น ชนชนั้ สงู จงึ ไมค่ วรใหเ้ ทา้ เยยี บดนิ บางครงั้ อาจใชพ้ าหนะอนื่ ๆ
เพชร พลอย และทองที่ท�ำขึ้นมาเสมือนจริงแทน ท้ังนี้ เชน่ มา้ ๔)“คนถอื ทคี ำ� ๕)“คนถอื พรมและหมอน ๖) นกั ดนตรี
กเ็ พราะกลัวของมีคา่ สูญหายระหว่าง การแหส่ า่ งลอง แต่ก็ กลองก้นยาว ประกอบด้วยกลองก้นยาวของไทใหญ่
มีบางคนท่ีมีฐานะให้ลูกหลานใส่ของจริงก็มี นอกจากนั้น ฆ้องขนาดต่างๆ ประมาณ ๕-๖ ใบ ฉาบ ๑ ใบ บรรเลง
ก็ยังมีการแต่งหน้าแต่งตาด้วยสีสันท่ีจัดจ้านให้ส่างลอง จงั หวะคกึ คกั สนกุ สนาน
ดสู วยงามมสี งา่ ราศเี หนอื คนทวั่ ไป จากนน้ั จะเรมิ่ ปฏบิ ตั ติ อ่ ในชว่ งสายจะมกี ารแหข่ บวนสา่ งลองไปขอขมา
/ ขอพรเจ้าอาวาสวัด เจ้าเมือง(ศาลเจ้าเมือง ในหมู่บ้าน)
ก�ำนัน/ผใู้ หญบ่ า้ น ผู้อาวุโสหรอื ผู้หลักผใู้ หญใ่ นชุมชน เพือ่
แสดงความคารวะและแสดงความเคารพ นับถือ โดยผู้ท่ี
สา่ งลองไปแสดงความเคารพจะใชฝ้ า้ ยมดั มอื สขี าวผกู ขอ้ มอื
พร้อมให้ของกำ� นัล เช่น เงิน แกส่ า่ งลอง โดยจะมขี บวนแห่
ส่างลองท่ีประกอบด้วยเคร่ืองดนตรีของไทใหญ่ ได้แก่
กลองก้นยาว มองเซิง (ฆ้องชุด) ฉาบ และกลองมองเซิง
(กลองสองหน้า) อย่างสนุกสนานร่ืนเริง ในช่วงนี้จะมีแขก
ญาติ และผู้ที่ได้รับการบอกบุญมาร่วมท�ำบญและผู้ข้อมือ
สา่ งลองทบี่ า้ น เมอื่ มแี ขกมาถงึ บา้ นเจา้ ภาพกจ็ ะตอ้ นรบั ขบั สู้
อย่างเตม็ ที่ทงั้ หมากเมีย่ ง บุหรี่ ขา้ วปลา อาหารคาวหวาน
ท่ีหลับที่นอน บางทีแขกท่ีมาร่วมงานก็อาจน�ำสิ่งของท่ีใช้
ปรงุ อาหารหรอื เงนิ หรอื สงิ่ ของอน่ื ๆ มารว่ มทำ� บญุ กบั เจา้ ภาพ
เจา้ ภาพกจ็ ะนำ� ของดงั กลา่ วมาตอ้ นรบั ทกุ คนไปและในชว่ งเยน็
ของวันนี้จะมีพิธี “ฮ้องขวัญส่างลอง” ซึ่งเป็นพิธีท�ำขวัญ
ส่างลองและจางลองโดยผู้น�ำในการประกอบพิธีกรรมและ
พิธีป้อนข้าวส่างลองโดยพ่อแม่ส่างลองด้วยอาหารที่ดีท่ีมี
ชอื่ มงคลและหลากหลายเมนู ๑๒ เมนู
กล่มุ ชาตพิ นั ธ์ุ จงั หวดั แม่ฮอ่ งสอน 109
การแต่งกายให้สา่ งลอง
พธิ ฮี ้องขวญั สา่ งลอง และ ปอ้ นขา้ วส่างลอง
110 กลุ่มชาตพิ ันธ์ุ จงั หวัดแม่ฮ่องสอน ตอนเช้าจะมีผู้คนจากท่ัวทุกหมู่บ้านมาช่วยกันจัดเตรียม
เครอื่ งไทยธรรมและอฐั บรขิ าร ทจี่ ะนำ� ไปเขา้ ขบวนแหโ่ คหลู่
วันข่ามแขก ก็จะมีญาติผู้ใหญ่ คนในชุมชน (ไทยธรรม) เคร่ืองไทยธรรมทุกชิ้นจะน�ำมาแห่พร้อมกัน
จะทยอยมามัดมือส่างลองท่ีบ้านพร้อมของก�ำนัลโดย ในวนั นเ้ี สมอื นหนง่ึ เปน็ การเลยี บนครของอลองเปน็ กจิ กรรม
เจา้ ภาพทจ่ี ดั งานสา่ งลองแตล่ ะบา้ นจะเตรยี มขา้ วปลาอาหาร แสดงถึงความหรูหราและความพร้อมเพรียงของงาน
ขนมของขบเคี้ยว ไวร้ องรบั แขกทงั้ ตลอดระยะเวลาจัดงาน ปอยส่างลอง ในการแห่นั้นจะมีญาติและชาวบ้านเข้าร่วม
สา่ งลอง ขบวนแห่อย่างเพรียงกันโดยจะถือช่วยกันแบก ช่วยกัน
หามอัฐบริขารเคร่ืองไทยธรรมทุกชิ้นทั้งเล็กและใหญ่
หลังจากนั้นก็จะเป็นการแห่ส่างลองไปยังบ้านญาติ หรือ
บา้ นผทู้ ตี่ ดิ ตอ่ ใหส้ า่ งลองไปเยย่ี มเยอื นบา้ นเพอ่ื เปน็ ศริ มิ งคล
วันแห่โควหลู่ ในวันนี้จะจัดขบวนแห่ส่างลอง
พร้อมเครื่องประกอบพิธีกรรมทุกอย่าง ทั้งเคร่ืองสักการะ
ธูปเทียนต่างๆ เพ่ือถวายพระพุทธ เคร่ืองจตุปัจจัยถวาย
พระสงฆ์ รวมถึงเคร่ืองอัฐบริขารของสามเณรหรือพระ
กลมุ่ ชาติพนั ธุ์ จังหวดั แม่ฮ่องสอน 111
ไปใหเ้ ปลยี่ นเครอื่ งสา่ งลอง และพระภกิ ษจุ ะชว่ ยนงุ่ ผา้ จวี รให้
พร้อมกลับมาเปล่งวาจาขอรับศีล ๑๐ และขอนิสัย
พระอุปัชฌาย์ให้ศีลบอกกัมมัฏฐานและให้โอวาทส่างลอง
ซึ่งได้กลายเป็นสามเณรหรือพระอย่างสมบูรณ์ จากนั้น
จะมีเทศนา ๑ กัณฑ์ เจ้าภาพใหญ่เจ้าภาพร่วมและ ผู้มา
รว่ มงานในพธิ ีถวายจตุปัจจัยไทยธรรม พระสงฆ์อนุโมทนา
เป็นเสร็จพิธี จึงถวายภัตตาหารพระภิกษุสงฆ์ แล้วจึงจัด
อาหารเลีย้ งผู้มาร่วมงาน เปน็ อันเสร็จส้นิ พธิ ี
โดยระยะเวลาการบวชศึกษาอบรมหลักธรรม
คำ� สอนอาจจะเปน็ ระยะ ๒-๓ สปั ดาห์ หรอื นานกวา่ นน้ั กไ็ ด้
ปัจจุบันการบวชในประเพณีปอยส่างลองน้อยลง เพราะ
จ�ำนวนเด็กท่ีลดลง อีกทั้ง ความสนใจในการศึกษาอบรม
หลกั ธรรมค�ำสอนเชน่ ในอดตี กล็ ดน้อยลงดว้ ย
วันสุดท้ายของการจัดประเพณีปอยส่างลอง
คอื วนั หลู่ ซงึ่ เปน็ “วนั บวช”นนั่ เอง พธิ ขี องวนั นจี้ ะเรมิ่ ดว้ ย
การนำ� สา่ งลอง/จางลอง เพอื่ ทำ� การบรรพชาหรอื อปุ สมบท
โดยขบวนสา่ งลองเขา้ ไปใน ศาลาการเปรยี ญหรอื วหิ ารทใ่ี ช้
เป็นท่ีบรรพชาอุปสมบท ส่างลองเดินเข้าไปนั่งเรียงแถว
เบ่ืองหน้าพระอุปัชฌาย์ กราบพระอุปัชฌาย์ ๓ คร้ัง
เม่ือพร้อมกันแล้วหันหน้ามากราบ ๓ คร้ัง แล้วรับผ้าจีวร
จากบดิ า มารดา หรอื พ่อข่าม แมข่ า่ ม (พอ่ แม่อุปถมั ภ์)
ซึ่งแสดงถึงความผูกพันและสนับสนุนกันระหว่าง พ่อ แม่
กับลูก เสร็จแล้วหันกลับไปหาพระอุปัชฌาย์ เปล่งวาจา
ขอบรรพชา พระอปุ ชั ฌายร์ บั ผา้ จวี รไปแกห้ อ่ และนำ� ผา้ องั สะ
หรือผา้ ช้นิ ใดชิน้ หนึง่ ในหอ่ ผ้าจีวรคล้องคอส่างลอง เพอ่ื นำ�
112 กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ จงั หวดั แม่ฮ่องสอน
๒. จองพรา เป็นรายการมรดกภูมิปัญญาทาง รศั มี ๖ ประการ (ฉพั พรรณรงั สี) ทสี่ วา่ งไปทง้ั ๓ โลก คอื
วฒั นธรรม ทไี่ ดร้ บั การขนึ้ ทะเบยี นเปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทาง สวรรค์ โลกมนุษย์ และนรก ใหเ้ หล่าสรรพชีวติ ไดม้ องเห็น
วัฒนธรรมของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ในปี ๒๕๖๒ สาขา กันท้งั สิ้น รวมถึง กง่ิ นะหรี่ (กินร)ี กง่ิ นะหร่า (กินนร) นะกา
แนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม ประเพณี และเทศกาล (นาค) กะหรงุ่ (ครฑุ ) ยกั คะ (ยกั ษ)์ ก่นั ดปั ปะ้ (คนธรรพ)์
ประเภท ขนบธรรมเนยี มประเพณีเก่ยี วกับศาสนา ผีลูผีพาย (ผีพราย) ส่างซ่ี (สิงโต) และบรรดาสัตว์ ๙๐
ประวตั ิความเป็นมา ประเภท มาแสดงความชนื่ ชมบญุ บารมแี ละเดชานภุ าพแหง่
ชาวไทใหญ่มีวัฒนธรรมท่ีดีงาม มีความ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นท่ีสนุกสนานกันทั่วไป
ศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนาอยา่ งแรงกลา้ และไดน้ าํ แนวทาง ทกุ ถนิ่ แควน้ ขณะทพี่ ระพทุ ธองคท์ รงเปลง่ ฉพั พรรณรงั สนี น้ั
ปฏิบัติทางพระพุทธศาสนามาเป็นแนวทางในการดําเนิน รัศมีแห่งฉัพพรรณรังสีกระจายสาดส่องไปถึงจองพราหรือ
ชีวิต และเป็นบอ่ เกดิ ประเพณไี ต ๑๒ เดือน ซ่ึงกล่าวไวใ้ น จองเข่งต่าง ส่างปุ้ด (ซุ้มปราสาทรับเสด็จพระพุทธเจ้า)
เดือน ๑๑ ว่า “พระโคดมสมณเจ้าได้ตรัสรู้อนุตรสัมมา ของทกุ บา้ นเรอื น บรรดาพทุ ธบริษทั ท่อี ยูใ่ นบา้ นเรอื นรสู้ กึ
สมั โพธญิ าณมาเปน็ เวลา ๗ พรรษา ทรงแสดงยมกปาฏหิ ารยิ ์ ชนื่ ชมโสมนสั เปน็ อยา่ งยง่ิ จงึ พรอ้ มกนั ถวายภตั ตาหารและ
ในเมอื งสาวตั ถที อ่ี ทุ ยานสวนมะมว่ ง เสดจ็ ขน้ึ ไปยงั ดาวดงึ ส์ จุดธูปเทียนบูชาเป็นเวลา ๗ วัน ด้วยเหตุที่มี บ่อเกิด
สวรรค์ ประทบั นงั่ เหนอื ปณั ทกุ มั พลศลิ าอาสน์ ทรงเทศนา ประเพณีตามแนวพุทธประวัติต้ังแต่สมัยพระพุทธองค์
อภธิ รรม ๗ คัมภรี ์ โปรดสนั ตุฏฐีพุทธมารดาพร้อมทัง้ เหลา่ ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ดังกล่าวน้ี พอถึงวันเพ็ญเดือน ๑๑
เทพยดาและ พระพรหมตลอดระยะเวลาในพรรษา ๓ เดอื น ครั้งใดชาวไตจึงพากันทําจองเข่งต่างส่างปุ้ด (ซุ้มปราสาท)
ซ่ึงในระหว่างน้ันเหลา่ สาวก สาวกิ า และสรรพสตั วใ์ นโลก หรือจองพารารับเสด็จพระพุทธองค์ ทุกบ้านเรือนสืบเป็น
มนุษย์ได้รอคอยการเสด็จกลับมาของพระพุทธเจ้าและได้ ประเพณีติดตอ่ กนั มาตราบเทา่ ทุกวนั น้ี
นําความไปสอบถามกับพระโมคคัลลานะ พระอัครสาวก จองพารา คือ ปราสาทรับเสด็จพระพุทธเจ้า
พระโมคคัลลานะถึงได้นําความไปกราบบังคมทูลถาม ของชาวไทยใหญ่ เปน็ เครอื่ งบชู าพระพทุ ธเจา้ เปน็ องคป์ ระกอบ
พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถึงกําหนดวันและแจ้งแก่ ในประเพณีเกี่ยวกับศาสนา ท่ีได้ประพฤติปฏิบัติสืบเนื่อง
พระโมคคลั ลานะ วา่ จะเสดจ็ นวิ ตั โิ ลกมนษุ ยใ์ นวนั ขนึ้ ๑๕ คำ�่ ตอ่ กนั มา บนหนทางแหง่ มงคลวถิ นี าํ ไปสสู่ งั คมแหง่ สนั ตสิ ขุ
เดอื น ๑๑ เมอื งสงั่ กะนะโก่ (สังกสั นคร) พระโมคลั ลานะจงึ และแสดงให้เหน็ ถงึ อัตลกั ษณ์ของชาวไทใหญ่ โดยจองพรา
นาํ ความมาแจง้ แกเ่ จา้ เมอื งสงั กสั นคร นาํ มาซง่ึ ความปติ ยิ นิ ดี มาจากแนวปฏบิ ตั ิในการสรา้ งปราสาทเพอ่ื รบั เสดจ็ พระพทุ ธเจา้
แก่เจ้าเมือง จึงได้ส่ังการให้ ข้าราชบริพารนําความไปแจ้ง ทเ่ี สดจ็ กลบั มายงั โลกมนษุ ยใ์ นเทศกาลออกพรรษา จองพรา
แกร่ าษฏรและมกี ารกระจายข่าวท่ัวทุกหนแห่ง เพือ่ เตรยี ม จะมกี ารประดบั ดว้ ยลายไตหรอื ไทใหญ่ ทผ่ี า่ นการตอ้ งลาย
การรบั เสดจ็ พระพทุ ธเจา้ ทง้ั ทาํ ความสะอาดบา้ นเมอื ง และ หรือการฉลุลวดลายแบบไตหรือไทใหญ่ ลงในแผ่นโลหะ
สร้างจองพราเพื่อรับเสด็จพระพุทธเจ้า ในการเสด็จลงมา เช่น แผ่นสังกะสี แผ่นอะลูมิเนียม หรือกระดาษ เป็นต้น
นน้ั พระอนิ ทรไ์ ดเ้ นรมติ บนั ไดเงนิ บนั ไดทอง และบนั ไดแกว้ ซง่ึ สาํ หรบั ชาวไตหรอื ชาวไทใหญ่ ลายไตจะนาํ มา ใช้เฉพาะ
พาดตรงประตสู วรรคช์ นั้ ดาวดงึ สด์ า้ นทศิ ใตล้ งสปู่ ระตเู มอื ง เพ่ือบูชาส่ิงท่ีเคารพบูชาสูงสุด คือพระพุทธเจ้า เท่าน้ัน
สังกัสนครด้านทิศใต้เช่นเดียวกัน บรรดามนุษย์และสัตว์ จึงจะเห็นลายไตประดับตามที่ท่ีประดิษฐานพระพุทธรูป
ที่สามารถมาได้ก็มารบั เสด็จท่ีสังกัสนคร ทมี่ าไม่ได้ก็จดั ทาํ หรอื วดั แตจ่ ะไมม่ กี ารนาํ ลายไตมาใชท้ ว่ั ไปหรอื ประดบั ตาม
จองพรา หรืออีกช่ือหน่ึงท่ีเรียก คือ จองเข่งต่างส่างปุ้ด บ้านเรือนโดยก่อนถึงวันออกพรรษาชาวไทใหญ่จะเตรียม
(ซมุ้ ปราสาทรบั เสดจ็ พระพทุ ธเจา้ )ทบ่ี า้ นเรอื นของตน พอถงึ การทาํ จองพารา เปน็ รปู ทรงปราสาท ทาํ จากไมไ้ ผห่ รอื เหลก็
เช้าวนั เพ็ญเดอื น ๑๑ จะจดั อาหารคาวหวาน ผลไม้ไว้ถวาย บุดว้ ยกระดาษสา ตกแตง่ ด้วยกระดาษสี หรือแผน่ สังกะสี
พระพทุ ธเจา้ ทเ่ี สดจ็ มาประทบั ยนื ทหี่ วั บนั ไดแกว้ แลว้ เปลง่ หรอื แผน่ อะลมู เิ นยี ม ฉลลุ วดลายไตอยา่ งสวยงาม ประดบั ไฟ
กล่มุ ชาติพันธุ์ จงั หวดั แมฮ่ ่องสอน 113
และจดั ทาํ เขง่ หรอื หง้ิ เพอ่ื ประดษิ ฐานไวใ้ นทเ่ี หมาะสมรอรบั ชาวบา้ นจะนาํ ผลไม้ พชื ผลทางการเกษตรทอ่ี อกเปน็ ลกู แรก
การเสด็จของพระพทุ ธเจา้ บรเิ วณหนา้ บ้านและบริเวณวดั ตน้ แรกในฤดกู าลนน้ั ทเี่ กบ็ ไวม้ าถวายเปน็ พทุ ธบชู า โดยการ
กอ่ นวนั ขนึ้ ๑๕ คำ่� เดอื น ๑๑ พรอ้ มทง้ั จดั หาผลไมท้ ลี่ กู แรก นาํ มาแขวน ใตจ้ องพรา ตลอดชว่ งเวลาการตงั้ จองพราและ
ทอ่ี อกผลในช่วงฤดูกาลนห้ี รอื ทไ่ี ด้จัดหาได้ เชน่ กล้วย อ้อย นําอาหารคาวหวาน ใส่กระทงใบตอง ท่ีเรียกว่า ซอมต่อ
ส้ม มาห้อยไว้ท่ีใต้หิ้งหรือเข่ง และนําอาหารคาวหวานใส่ มาถวายเป็นพุทธบูชาในทุกเช้า เพื่อรอรับการเสด็จของ
ซอมตอ่ มาถวายในทกุ วนั และรงุ่ เชา้ วนั ขนึ้ ๑๕ คำ่� เดอื น ๑๑ พระพุทธเจ้า โดยในเช้ามืดของวันข้ึน ๑๕ ค�่ำ เดือน ๑๑
ตรงกับวันออกพรรษา จะจัดทําซอมต่อหรอื กระทงใบตอง แต่ละหมู่บ้าน/ชุมชน จะทําพิธีอัญเชิญพระพุทธเจ้า
บรรจอุ าหารคาวหวาน รวมถงึ ขนมในเทศกาล คอื ขนมเทยี น มาประทับท่ีจองพรา คํากล่าวอัญเชิญพระพุทธเจ้าเสด็จ
ขนมจอ๊ ก และผลไม้ พร้อมจดุ ธูปเทียนถวายเปน็ พุทธบชู า มายังจองพรา ดงั นี้
และอัญเชิญพระพุทธเจ้าให้เสด็จมาประทับที่จองพรา
หลงั จากพน้ กาํ หนดวนั ทต่ี งั้ จองพราเจา้ ของบา้ นจะเกบ็ หรอื กวามปางพราลงเมิงเหลนิ ซบิ เอ๊ด
ยังคงตั้งจองพราไว้ก็ได้โดยเจ้าของบ้านจะลาของถวายคือ
อาหารคาวหวานและผลไม้ท่ีนํามาถวายท่ีจองพราไป “ออกา่ ซะกา่ ระวะจงั ไน่ แมน่ กอ้ แมน่ เมอ่ อะขา่ ตหู่ ยา่
รบั ประทาน หรือแบ่งปันใหแ้ ก่กนั เพือ่ ความเป็นสิรมิ งคล สวี่ ดั สนั่ ตะ้ อตู้ เู๊ หลนิ ออกหวา่ ซบิ เอด๊ ยามไนเ่ ฮาขา้ ตงั หลาย
ระเบียบพิธีกรรม การประพฤติปฏิบัติของ ไล่มาปากน๋ั เฮดต่าหนาํ ตาง ตานหลายเปงิ หลายเมว ไลม่ า
การแสดงออกน้ันๆ โจจามีเจมจอพราต่างจ๋อมจิ๊กไว้ถ้า ยามเหลวเฮาข้า ไล่มา
๑. การเตรียมการ แต่ละชุมชนจะมี ยอนพิดยอนปางหมุนเสงคําแหลงพราแคนต้อยอคิงลง
การประชุมตกลงกัน กําหนดวันเริ่มดําเนินการจัดทํา มาในจองพราตเ้ี ฮาขา้ เฮดซา่ งแฮนปองไวห้ ลู่ อยา่ งซา่ งเซา
จองพรา ของชมุ ชน จดั หาคนรบั ผดิ ชอบ จดั หาวสั ดอุ ปุ กรณ์ อยูถ่ ่าหนตู่ ่าวะต่ิงส่าแคน ตอ๊ จว้าผาดพากแหน่ หย่าลงมา
และกาํ หนดแบบจองพรา สว่ นใหญจ่ ะเรม่ิ ดาํ เนนิ การตงั้ แต่ ต้ีข้าตะ๊ อ่นั เปน๋ ต้นก้วย ต้นออ้ ย หมากส้มหลีหวาน นมถาน
วันขน้ึ ๑ ค่�ำ เดอื น ๑๐ โดยชาวบา้ นจะมารว่ มกันทําทีว่ ดั หลายเปงิ หลายเมว ไลม่ าโจจามใี นจองแสงคาํ พราไวห้ ลงี าม
สล่าหรือช่างทําจองพราจะหาลกู ทีม แบ่งงานกนั ทําเพอ่ื ให้ เสฉ่ ่า แคนต้อฮบั ตงุ ซุงสอ่ ง ออ่ จ่าอะหาระกูเ้ ยง่ิ หลายสา่ มี
งานเสร็จทันกําหนด โดยจะมีชาวบ้านมาร่วมเรียนรู้และ เจ แคนต้อกิงอองเตเชาในจองพรา ตเ้ี ฮาขา้ ไล่มาโจจาแตง่
ร่วมกันทําจนจองพราของชมุ ชนที่จะตงั้ ที่วัดสาํ เรจ็ และใช้ ปอ๋ งเมเย่าโต้ นาหมุนตางหลใี หเ้ ฮาข้าไล่หยานเสเพผีเพกน
วัสดุอุปกรณ์ท่ีเหลือจากการร่วมกันหามาทําเป็นจองพรา ใหป้ อเซอลนม่นเหลออาซุขา่ เฮาขา้ ยอน ฮอดนิกปานพะต้ี
ที่วัด มาทําจองพราสําหรับตั้งหน้าบ้านของตนเองซ่ึงจะมี เตง้ เข่หมา่ เวงแสงเวงคาํ ลวยตะ๊ , สาตุ๊
ขนาดเล็กกว่า ส่วนมากจองพราหน้าบ้านจะเป็นจองพรา
แบบจองป๊กิ ต่าน ซึ่งไมม่ ยี อด พระใบฎกี าศาสน์ สาสโน
๒. การตง้ั จองพรา จะตง้ั กอ่ นวนั ขน้ึ ๑๕ คำ่� ทั้งน้ี ชาวไทใหญ่เชื่อว่าถ้าได้จัดทําจองพราหรือ
เดือน ๑๑ โดยหลังจากทําจองพราสําเร็จแล้วชาวบ้าน ปราสาทรับเสด็จพระพุทธเจ้าจะส่งผลให้ตนเองและ
จะร่วมกันทําเข่งหรือหิ้ง เพื่อต้ังหรือประดิษฐานจองพรา ครอบครวั อยเู่ ย็นเป็นสุข ได้บญุ กุศล มีความสาํ เรจ็ ในชวี ิต
ทํา ผะ – หลาด – สะ – มาด /ผะ – หยาด – สะ- มาด และหนา้ ทกี่ ารงาน นอกจากนี้ ยงั เปน็ การเสี่ยงทายในการ
หรือ ราชวัตร ล้อมเพ่ือแสดงสัญลักษณ์แห่งการเป็นพ้ืนท่ี ทําการเกษตรอีกทางหน่ึง คือหากช่วงที่ต้ังจองพราแล้วมี
ศักดิ์สิทธิ์ ควรแก่การสักการะบูชา เม่ือตั้ง จองพราแล้ว ฝนตกในระหว่างน้ัน เป็นทเี่ ชอื่ กันของชาวไทใหญว่ า่ ปีนัน้
จะมปี ริมาณน�ำ้ ฝนมาก
114 กลมุ่ ชาติพันธ์ุ จังหวัดแมฮ่ ่องสอน
ภาพจองพรา และขบวนแห่จองพรา
กลุ่มชาติพนั ธุ์ จงั หวัดแมฮ่ อ่ งสอน 115
คนเมอื งหรอื โยน
ชื่อเรยี กตัวเอง คนเมือง, โยน
ชอ่ื ทผ่ี อู้ ่ืนเรยี ก คนเมอื ง, โยน
การต้ังถน่ิ ฐาน คนเมืองในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นกลุ่มประชากรที่มีไม่มากนัก ส่วนมาก
มักมีชุมชนท่ีอยู่ในเขตเมืองหรือท่ีราบ และอาศัยอยู่กระจัดกระจายร่วมกับ
กลุ่มชาตพิ ันธุ์หรอื กลมุ่ ประชากรอื่นในพื้นท่ี ใน ๘๐ หมบู่ ้าน ๑๓ หยอ่ มบ้าน ดงั นี้
116 กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ จังหวัดแม่ฮอ่ งสอน ๓.๖ ตำ� บลเมอื งแปง ๓ หมบู่ า้ น ๑ หยอ่ มบ้าน
ได้แก่ หมู่ท่ี ๑ เมืองแปง หมู่ท่ี ๒ ใหม่ดอนตัน หมู่ท่ี ๔
๑. อำ� เภอเมอื งแม่ฮ่องสอน สบสา หย่อมบา้ นเหมืองแร่
๔ หมบู่ ้าน ในพ้ืนท่ี ๒ ต�ำบล ดังนี้ ๔. อำ� เภอแม่สะเรยี ง
๑.๑ ต�ำบลผาบ่อง ๓ หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ ๒
ปา่ ปุ๊ หมทู่ ี่ ๑๐ หวั น้ำ� แม่สะกึด หมทู่ ี่ ๑๑ ม่อนตะแลง ๒๕ หมู่บ้าน ๕ หย่อมบ้าน ใน ๕ ต�ำบล ดงั น้ี
๑.๒ ต�ำบลปางหมู ๑ หมู่บา้ น ได้แก่ หมทู่ ี่ ๑๒ ๔.๑ ต�ำบลบา้ นกาศ ๖ หมู่บา้ น ไดแ้ ก่ หม่ทู ี่ ๑
ชานเมือง ท่าข้าม หมู่ที่ ๒ สบหาร หมู่ท่ี ๕ แม่ต๊อบใต้ หมู่ที่ ๖
ห้วยหลวง หมทู่ ี่ ๘ ทา่ ข้ามเหนอื หมทู่ ี่ ๑๒ บา้ นโปง่
๒. อ�ำเภอขนุ ยวม ๔.๒ ต�ำบลแม่สะเรียง ๘ หมู่บ้าน ๒ หย่อมบ้าน ได้แก่
หมู่ท่ี ๑ จอมแจ้ง หมู่ท่ี ๒ ในเวียง หมู่ท่ี ๓ บ้านแพะ
๓ หมูบ่ า้ น ในพืน้ ที่ ๒ ตำ� บล ดังนี้ หมทู่ ี่ ๔ ทุ่งพร้าว หมทู่ ี่ ๕ บ้านไร่ หมูท่ ่ี ๖ ดงสงดั หม่ทู ่ี ๘
๒.๑ ต�ำบลขุนยวม ๑ หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ ๓ ป่ากลว้ ย หย่อมบา้ นหน้าถ้�ำ หย่อมบ้านใหมว่ ังยาว หม่ทู ่ี ๙
แม่สุริน นาคาว
๒.๒ ตำ� บลเมอื งปอน ๒ หมู่บา้ น ได้แก่ หมู่ท่ี ๔ ๔.๓ ต�ำบลแม่คง ๒ หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ท่ี ๑
ปา่ ฝาง หมทู่ ่ี ๗ ทา่ หินส้ม ทงุ่ แลง้ หมู่ที่ ๑๐ หน่องป่าแขม
๔.๔ ต�ำบลแม่เหาะ ๑ หมู่บ้าน ๑ หย่อมบ้าน
๓. อำ� เภอปาย ได้แก่ หมทู่ ี่ ๔ แมเ่ หาะ และหยอ่ มบา้ นปา่ จ้ีบวั ตอง
๔.๕ ตำ� บลแมย่ วม ๘ หมบู่ า้ น ๒ หยอ่ มบา้ น ไดแ้ ก่
๓๐ หมู่บ้าน ๖ หยอ่ มบ้าน ในพืน้ ที่ ๖ ต�ำบล ดงั นี้ หมูท่ ่ี ๑ น้�ำดบิ หมู่ท่ี ๒ หว้ ยวอก หมทู่ ี่ ๓ ทุง่ แพม หมทู่ ี่ ๔
๓.๑ ต�ำบลเวียงใต้ ๖ หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ท่ี ๑ ห้วยสิงห์ หมทู่ ่ี ๕ ห้วยทราย หมูท่ ี่ ๖ หย่อมบ้านหว้ ยเคยี๊ ะ
เมืองพร้าว หมู่ที่ ๒ เจ้าหม้อ หมู่ท่ี ๓ ป่าขาม หมู่ท่ี ๔ หมทู่ ี่ ๘ คะปวง หยอ่ มบา้ นดงคะปวง หมู่ ๑๒ แพะคะปวง
เมืองแพร่ หมู่ท่ี ๖ ห้วยปู หม่ทู ่ี ๘ แสงทอเวียงใต้ หมู่ ๑๓ จอมกิตติ
๓.๒ ต�ำบลเวยี งเหนือ ๕ หมูบ่ า้ น ได้แก่ หมทู่ ี่ ๑
บ้านโปง่ หมทู่ ่ี ๒ บา้ นใหม่ หมู่ที่ ๓ ตาลเจด็ ต้น หม่ทู ี่ ๕ ๕. อ�ำเภอแมล่ าน้อย
บ้านโฮง่ หมทู่ ่ี ๘ ศรีดอนชยั
๓.๓ ตำ� บลแมน่ าเติง ๕ หม่บู า้ น ได้แก่ หมทู่ ่ี ๒ ๑๐ หมบู่ า้ น ใน ๓ ต�ำบล ดังนี้
แมน่ าเตงิ ใน หมู่ท่ี ๓ มว่ งสรอ้ ย หมู่ท่ี ๔ หมอแปง หมทู่ ี่ ๖ ๕.๑ ต�ำบลแมล่ าน้อย ๔ หมู่บา้ น ไดแ้ ก่ หมู่ท่ี ๕
นาจลอง หมู่ ๑๑ นาจลองใหม่ วังคัน หมู่ท่ี ๘ ท่าสองแคว หมู่ท่ี ๙ ทุ่งสารภี หมู่ท่ี ๑๐
๓.๔ ต�ำบลแม่ฮ้ี ๔ หมบู่ ้าน ๑ หย่อมบ้าน ไดแ้ ก่ ทงุ่ รวงทอง
หมู่ที่ ๑ แม่เย็น หมทู่ ี่ ๒ ทรายขาว หย่อมบา้ นโปง่ น�้ำร้อน ๕.๒ ต�ำบลแม่ลาหลวง ๔ หม่บู า้ น ไดแ้ ก่ หมู่ท่ี ๑
หม่ทู ี่ ๓ ท่าปาย หมู่ที่ ๕ แม่ฮี้ แมล่ าหลวง หมทู่ ี่ ๒ แมส่ ุ หมทู่ ่ี ๗ สนั ตพิ ฒั นา หมทู่ ่ี ๙ สขุ ใจ
๓.๕ ต�ำบลทุ่งยาว ๗ หมู่บ้าน ๔ หย่อมบ้าน ๕.๓ ตำ� บลทา่ ผาปุ้ม ๒ หมู่บา้ น ได้แก่ หม่ทู ี่ ๔
ไดแ้ ก่ หมู่ที่ ๑ ทงุ่ โปง่ หมู่ท่ี ๒ ทงุ่ ยาวเหนอื หย่อมบา้ น ท่าผาปมุ้ หม่ทู ่ี ๘ ใหมพ่ ฒั นา
หว้ ยทราย หยอ่ มบา้ นใหม่ หมู่ท่ี ๓ ทงุ่ ยาวใต้ หย่อมบา้ น
ห้วยม่วง หมู่ท่ี ๔ สบแพม หมู่ที่ ๕ แพมกลาง หมู่ที่ ๙
ตีนธาตุ หมู่ที่ ๑๐ ร้องแหย่ง หยอ่ มบา้ นร้องแหยง่ ใต้
๖. อ�ำเภอสบเมย กลุม่ ชาติพนั ธ์ุ จังหวัดแม่ฮ่องสอน 117
๘ หมูบ่ า้ น ๑ หย่อมบ้าน ใน ๔ ต�ำบล ดังน้ี ๖.๓ ต�ำบลกองก๋อย ๑ หมบู่ ้าน ไดแ้ ก่ หมทู่ ี่ ๑
๖.๑ ต�ำบลสบเมย ๑ หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ท่ี ๒ กองกอ๋ ย
แมค่ ะตวน ๖.๔ ต�ำบลแม่สวด ๑ หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ ๘
๖.๒ ต�ำบลแมค่ ะตวน ๕ หมบู่ า้ น ๑ หยอ่ มบ้าน แมส่ วด
ไดแ้ ก่ หมู่ที่ ๑ ผาผ่า หม่ทู ่ี ๒ บา้ นไหม้ หม่ทู ่ี ๓ แม่เกาะ
หยอ่ มบ้านแม่มตู ร หมู่ที่ ๕ คอนผึง้ หมทู่ ่ี ๗ แพะหลวง ๗. อำ� เภอปางมะผ้า
๑ หย่อมบา้ น ใน ๑ ตำ� บล คอื หมทู่ ่ี ๓ บา้ นสามหลัง
บรบิ ททางสงั คมและวฒั นธรรม ไปชัดเจน เช่น เล้าหมู คอกวัว เชิงบันไดบ้านมีการปลูก
ดอกไม้หรือต้นไม้ประดับต่างๆ ท่ีมักปล่อยให้ขึ้นเองหรือ
ลกั ษณะบ้านเรือนทีพ่ ักอาศัย ไม่ค่อยตัดแต่ง บางบ้านอาจปลูกต้นไม้ใบที่มีสีสันส�ำหรับ
คนเมืองหรือโยนนิยมในอดีตสร้างด้วยวัสดุ ไหว้พระอย่างเช่น ต้นโกสน ชบาด่าง หมากผู้หมากเมีย
ธรรมชาติที่มีอยู่ในท้องถ่ินสอดคล้องกับวิถีชีวิต หลังคา หรือสมุนไพรบางชนิดที่ต้องมีไว้ส�ำหรับใช้สอย ซึ่งแต่เดิม
ทรงจวั่ จว่ั หลงั คาแสดงถงึ ขนาดสดั สว่ นของหอ้ งทใี่ ช้ หอ้ งใหญ่ ก่อนข้ึนเรือนต้องล้างเท้าท่ีเชิงบันไดท�ำให้ไม้บริเวณนี้
เปน็ หอ้ งนอนของครอบครวั ทม่ี สี มาชกิ ทง้ั หมดนอนรว่ มหอ้ ง ได้ประโยชน์จากน�้ำล้างเท้าไปโดยปริยาย รอบๆบ้านเป็น
เดียวกัน แต่แยกมุ้ง ส่วนเรือนเล็กเป็นท่ีเก็บของหรือเป็น ที่โล่ง ด้านหน้าบ้านมีบ่อน้�ำใช้ดื่มกิน หลังบ้านเป็นที่ปลูก
หอ้ งของลกู สาวคนแรก เมอื่ แตง่ งาน ดา้ นหนา้ หอ้ งใหญเ่ ปน็ พืชสวนครวั และสมุนไพร มหี ลองขา้ ว(ยุง้ ฉางขา้ ว) ส�ำหรบั
เตน๋ิ ทยี่ กพนื้ สงู จากระดบั ชาน ใชเ้ ปน็ ทร่ี บั แขกหรอื ทพี่ กั ผอ่ น เก็บข้าวเปลือกของครอบครวั
ของครอบครัว หรือเป็นพ้ืนที่ของสมาชิกครอบครัวท่ีเป็น
ผชู้ าย ของตา (ป้ออุ้ย) กับหลานชาย นอกชายคาบ้าน เปน็ ลกั ษณะครอบครวั
ชานโลง่ รับแดดและฝน บางทฮี า้ นหม้อนำ้� ด่มื อยูข่ อบชาน ในอดีตบทบาทในครอบครัวคนเมืองผู้ชาย
ทมี่ หี มอ้ ดนิ เผาสำ� หรบั ใสน่ ำ้� ดม่ื ซง่ึ มกี ารเตมิ ทกุ เชา้ เยน็ บา้ น จะถือตัวเองว่าเป็นช้างเท้าหน้า ให้ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง
คนเมืองในอดีตแทบจะไม่เครื่องเรือน เว้นแต่ของจ�ำเป็น การแบง่ หนา้ ทกี่ ารงานในครอบครวั ระหวา่ งผหู้ ญงิ กบั ผชู้ าย
บางอย่างเช่น สาด(เสื่อ) หมอน ท่ีนอน ขันหมาก น�้ำต้น งานในหนา้ ท่ขี องผ้ชู ายส่วนใหญ่ จะเป็นงานนอกบา้ นและ
และหบี ผา้ เลก็ ๆ ทม่ี กั จะมไี วใ้ นหอ้ งนอนไมน่ ยิ มสรา้ งหงิ้ พระ ถอื วา่ เปน็ งานหนกั เช่น งานท�ำไร่ ท�ำนา ท�ำสวน หรอื งาน
จะอยู่นอกหอ้ งนอน เพราะหอ้ งนอน เปน็ ทีส่ ่วนตวั ท่ีอาจมี ท่หี าเงินมาจนุ เจอื ครอบครัว งานในบ้านกม็ ี เช่น งานเลยี้ ง
ภาพไมง่ าม เช่น ไม่สว่าง รก จึงมักสรา้ งไว้ทางดา้ นตะวนั วัวควาย งานดูแลซ่อมแซมบ้านเรือน งานล้อมร้ัวบ้าน
ออกของเต๋ิน แต่ส�ำหรับ หิ้งผีบรรพบุรุษจัดไว้ในห้องนอน จดั หาฟนื งานของผหู้ ญงิ สว่ นใหญจ่ ะเปน็ งานในบา้ น แมจ้ ะ
ของครอบครวั บรเิ วณฝาดา้ นตะวันออก หอ้ งครัวแยกออก ไม่ใช่งานหนักแต่ก็เป็นงานที่จุกจิกต้องรับผิดชอบงาน
เปน็ เรอื นเลก็ ๆตา่ งหาก อยูต่ ดิ ชานหลังบ้าน มกี ระบะเปน็ ในบ้านทุกอย่าง เป็นผู้เก็บทรัพย์สินท่ีผู้ชายหามาได้ไว้
เตาไฟพร้อมอุปกรณ์ประกอบอาหาร ส่วนใหญ่เป็น เป็นคนเล้ียงดูบุตร จัดหาอาหารทุกม้ือ จัดหาและดูแล
เคร่ืองปั้นดินเผาขนาดเล็ก เครื่องไม้และเครื่องจักสาน เครอ่ื งนงุ่ หม่ เครอ่ื งนอน จดั เรอื่ งนำ้� กนิ นำ้� ใช้ ปจั จบุ นั สมาชกิ
ใตถ้ นุ บา้ นมกั จะทำ� ใหโ้ ลง่ หรอื ใชเ้ ปน็ ทที่ ำ� กจิ กรรม เชน่ เปน็ ในครอบครวั ตา่ งชว่ ยกนั ทำ� งานทง้ั งานในบา้ นและนอกบา้ น
ทเ่ี กบ็ ของประกอบอาชพี หรอื พกั ผอ่ นตอนกลางวนั โดยไม่ โดยไม่แบง่ แยก
นิยมเลี้ยงสัตว์หรือผูกมัดสัตว์เลี้ยงไว้ใต้ถุนเพราะจะท�ำให้
แฉะ มีกลน่ิ เหม็น ในบรเิ วณบา้ นจึงแยกส่วนของสัตว์ออก
118 กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ จังหวัดแมฮ่ อ่ งสอน
ลกั ษณะสังคม อาทิ นึง่ แกง สา้ ลาบ อ่อม น้�ำพริกต่างๆ เช่นนำ้� พริกออ่ ง
คนเมอื งในจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอนดำ� เนนิ ชวี ติ อยา่ ง น้ำ� พรกิ หนุม่ แตล่ ะประเภทต่างกใ็ ชว้ ตั ถดุ ิบและเคร่อื งปรุง
เรียบง่าย มีลักษณะเป็นสังคมเกษตรกรรม ท่ีพึ่งพาอาศัย ทหี่ าไดใ้ นทอ้ งถน่ิ ซงึ่ ภายในบรเิ วณบา้ นกจ็ ะปลกู พชื ผกั สวนครวั
กันระหว่างคนในชุมชน กลุ่มละแวกบ้านเรือนเดียวกัน เลีย้ งสตั ว์ประเภทหมู เป็ด ไก่ และหาอาหารตามธรรมชาติ
จะแสดงออกซ่ึงมิตรไมตรีจิตท่ีดี ด้วยการช่วยเหลือ เช่น ปลาตามหนองบึง หนอ่ ไม้ เห็ด สตั วใ์ นปา่ ไขม่ ดแดง
เพ่ือนบ้านในยามยาก การแบ่งปันอาหารให้กันและกัน เปน็ ต้น
รวมถงึ การรว่ มมอื ลงแรง ทำ� งานตา่ งๆ ดว้ ยกนั ซงึ่ จะเหน็ วา่
คนเมืองมักใช้คำ� วา่ “ฮอม” กับการช่วยเหลือคนในชมุ ชน อตั ลกั ษณท์ างวฒั นธรรม
มีท้ังการฮอมแรง ฮอมเงิน ฮอมของ ดังเช่นในงานบุญพิธี
เพอ่ื นบา้ นตา่ งกน็ ำ� วตั ถดุ บิ ในการทำ� อาหารมาฮอมเจา้ ภาพ วัฒนธรรมประเพณ ี
คนท่ีมาร่วมงานได้ ก็จะช่วยกันจัดข้าวของเคร่ืองใช้ในพิธี สมัยดั้งเดิมผู้ชายคนเมืองนิยมสักตาม
เตรียมสถานที่ เตรียมอาหารเล้ียงคนภายในงาน บางครั้ง
หากใครที่ไม่สามารถมาได้ก็จะฮอมด้วยเงินแทน เป็นต้น ร่างกาย แต่งกายแล้วมีผ้าโพกหัว ส่วนผู้หญิงนุ่งผ้าซ่ิน
กนิ เม้ยี ง สูบบหุ ร่ใี บตองมวนยาเส้นมวนโตเรียกบุหรช่ี นิดน้ี
ภาษา ว่า “ข้ีโย” หรือ “บุหรี่ข้ีโย” ใส่เส้ือคล้ายเส้ือก๊ักหรือ
คนเมืองหรือโยนในจังหวัดแม่ฮ่องสอนมี เสือ้ ยกทรง ซ่ินของหญงิ ชาวยวนนัน้ มีหลากสี ทอด้วยฝ้าย
ภาษาพดู และภาษาเขยี นเปน็ เอกลกั ษณข์ องตน โดยสอ่ื สาร และไหม ผมยาวเกล้าเป็นมวยอยู่เหนือท้ายทอย ปัจจุบัน
ด้วยภาษาพื้นเมือง หรือ “ค�ำเมือง” และสามารถเรียนรู้ คนเมอื งหรอื โยนในจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน แตง่ กายตามสมยั นยิ ม
ภาษาท้องถ่ินของกลุ่มชาติพันธุ์หรือประชากรในพื้นที่ ด้วยเสือ้ กางเกง กระโปรง ท่ีมขี ายตามทอ้ งตลอดทั่วไป
ท่ีพักอาศัยอยู่ร่วมกันได้ ส่วนภาษาเขียนนั้น ตัวอักษร
ที่ใช้เขียน เป็น “อักษรธรรมล้านนา” ซ่ึงมักจะเป็น การแต่งกายของสตรีคนเมอื งหรอื โยน
ต�ำราหมอดู ต�ำราสมุนไพร เวทมนตร์คาถาต่างๆ และ
พระธรรมเทศนาเป็นสว่ นใหญ่มีการใชต้ ัวอักษรภาษาเมอื ง
ในพิธีกรรมทางศาสนาโดยพระหรือผู้น�ำในการประกอบ
พิธีกรรม แต่ไม่เป็นการแพร่หลายและไม่มีการถ่ายทอด
สืบทอดในวงกว้าง
การประกอบอาชพี
คนเมอื งหรอื โยนทำ� ไรช่ าวเหนอื ประกอบอาชพี
ท�ำนา ทำ� ไร่ การท�ำนาสว่ นใหญ่จะเป็นนาด�ำ และทำ� สวน
อนื่ ๆ เชน่ หอม กระเทยี ม ถว่ั เหลอื ง ขา้ วโพด ยาสบู เปน็ ตน้
ส่วนคนท่ีไม่มีที่ดินท�ำกิน คนรุ่นใหม่ประกอบอาชีพ
หลากหลายมากขึน้ เช่น รบั ราชการ รบั จ้างท่วั ไป เป็นตน้
อาหาร
คนเมืองหรือโยนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน
มีการกนิ อยเู่ รยี บง่าย รับประทานขา้ วจ้าวเป็นหลกั กนิ กับ
อาหารพื้นถิ่นที่มีกรรมวิธีการปรุงหลากหลายประเภท
จงั หวัดแมฮ่ อ่ งสอน ในอดีต กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ จังหวัดแม่ฮ่องสอน 119
ความเชอื่ ศาสนา พธิ ีกรรม และกรอบที่ดีงามของสังคม อีกทั้งมีความเช่ือเร่ือง “ขึด”
คนเมืองหรือโยนในจังหวัดแม่ฮ่องสอนมี คือข้อห้าม หรือข้อปฏิบัติท่ีถูกต้อง ที่ควรปฏิบัติไม่ให้เกิด
ความเชอื่ ทางพระพุทธศาสนา ความเช่ือเรื่อง ไสยศาสตร์ สิ่งไมด่ ีขน้ึ กับตวั เองและครอบครัว คนเมืองจะมกี ารลงเจ้า
ความเช่ือทางโหราศาสตร์ และมีความผูกพันเกี่ยวเนื่อง เขา้ ทรงตามหมบู่ ้านต่างๆ ปีละ ๑ คร้งั ซงึ่ มักจัดในช่วงหลัง
อยกู่ บั การนับถือผี โดยสามารถพบเห็นได้จากการด�ำเนิน ปใี หมเ่ มอื ง การลงเจา้ เปน็ การพบปะพดู คยุ กบั ผบี รรพบรุ ษุ
ชวี ติ ประจำ� วัน เชน่ เม่ือเวลาทีต่ อ้ งเข้าปา่ ไปหาอาหาร หรอื ซง่ึ ในปหี นง่ึ จะมกี ารลงเจา้ หนงึ่ ครงั้ และในการลงเจา้ จะถอื
ต้องคา้ งพักแรมอยู่ในปา่ มกั จะตอ้ งบอกกล่าวเจา้ ทเ่ี จ้าทาง โอกาสท�ำพิธีรดน้�ำด�ำหัวผีบรรพบุรุษไปด้วย นอกจากน้ี
เสมอ หรอื เวลาทก่ี นิ ขา้ วในปา่ กม็ กั จะแบง่ อาหารใหเ้ จา้ ท่ี คนเมืองยังมีพิธีส่งเคราะห์ เม่ือมีผู้หนึ่งผู้ใดเจ็บป่วย
ดว้ ยเช่นกนั นอกจากน้ัน เมอ่ื เวลาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ไมว่ ่า ที่รักษาไม่หาย หรือมีเคราะห์ร้ายประการใดประการหนึ่ง
จะอยู่ในเมืองหรือในป่า เม่ือเวลาท่ีต้องถ่ายหรือปัสสาวะ โดยมีความเชื่อว่าเมื่อได้ท�ำพิธีส่งเคราะห์ แล้วจะท�ำให้
ก็จะขออนุญาตจากเจ้าที่ก่อนอยู่เสมอ และมีผีปู่ย่า หลดุ พน้ จากความเจบ็ ปว่ ย ทกุ ขร์ อ้ น อนั ตรายหรอื เคราะหร์ า้ ย
(ผีบรรพบุรุษ) ซ่ึงมีบทบาทในการควบคุมพฤติกรรมของ ท่เี กดิ ข้นึ ได้ โดยผู้เปน็ พ่อแม่ สามภี รรยา จะไปใหห้ มอเม่อื
ลกู หลานคนเมอื ง ใหป้ ระพฤตติ นถกู ตอ้ งตามจารตี ประเพณี หรือหมอดู ดูดวงชะตาราศี ลงเลขผานาทีตามหลัก
โหราศาสตร์ และทำ� พธิ ีส่งเคราะหใ์ ห้
หงิ้ บชู าของคนเมอื งหรอื โยน
ในวิถีของคนเมือง มีความเช่ือในโหราศาสตร์ ขนึ้ อยกู่ บั ชวี ติ ของตน หมอเมอ่ื หรอื หมอดจู งึ เปน็ ผมู้ บี ทบาท
เชื่อการท�ำนายทายทักว่าอนาคตของตนจะเป็นอย่างไร ในการท�ำนายโชคชะตา
มีความเช่ือในเรื่องฤกษ์ยามตั้งแต่โบราณกาลมาจนกระท่ัง กลา่ วไดว้ า่ ความเชอ่ื ในการนบั ถอื ผขี องคนเมอื ง
จนทุกวันน้ี เป็นความเช่ือท่ีอาศัยการค�ำนวณทิศทางของ คงจะเป็นความเช่ือดั้งเดิมท่ีมีอยู่มาก่อนที่พระพุทธศาสนา
ดวงดาววา่ จะมผี ลตอ่ ชวี ติ มนษุ ย์ ในเวลาทกี่ ระทำ� มงคล หรอื จะเผยแพร่เข้ามา โดยเช่ือว่าผีน้ันมีจ�ำนวนมากมายใน
จะออกเดินทาง มักนยิ มดฤู กษ์ยามเสยี ก่อน เพื่อความเปน็ ทกุ หนทกุ แหง่ ท้ังในเมือง หมู่บา้ น ทุง่ นา แม่น�้ำ เหมอื งฝาย
สิรมิ งคลและมีโชค ปราศจากภยนั ตรายทั่งปวง นอกจากน้ี ป่า ภูเขา และในบ้านเรือน จะมีผปี กปักรกั ษาอยู่ และผีนนั้
ยงั ความเชอ่ื ในเรอ่ื งโชคชะตา ทเ่ี ชอ่ื กนั วา่ คนจะโชคดหี รอื รา้ ย มีทงั้ ทใ่ี ห้คุณและใหโ้ ทษแกม่ นษุ ย์เป็นทงั้ มติ รกับมนุษย์
120 กลุม่ ชาติพนั ธุ์ จังหวดั แมฮ่ อ่ งสอน
คนเมอื งหรอื โยนในจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอนรนุ่ ดง้ั เดมิ ค�้ำต้นโพธ์ิ โดยถือคติว่าเป็นการถวายเพ่ือเป็นสัญลักษณ์
ยังคงสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีท่เี คยมีมา โดยมปี ระเพณี แหง่ การคำ�้ ชพู ระพทุ ธศาสนาใหย้ ง่ั ยนื นานสบื ไปชว่ั อนนั ตกาล
ทเ่ี ปน็ เอกลักษณ์ เชน่ อกี ทงั้ เชอ่ื วา่ จะมผี ลดา้ นการคำ�้ หนนุ ใหช้ วี ติ ประสบแตค่ วาม
ประเพณีปีใหม่เมือง ที่คนเมืองเรียกว่า ร่งุ โรจน์ตลอดอายขุ ยั
“ปา๋ เวณปี ใ๋ี หม่ หรอื เทศกาลสงกรานตต์ ามปฏทิ นิ โหราศาสตร์ นอกจากน้ี ในหว้ งปใี หม่เมือง คนเมืองหรือ
ของชาวลา้ นนาเดมิ นนั้ จะถอื เอาวนั ทพ่ี ระอาทติ ยเ์ คลอ่ื นจาก โยน จะจัดประเพณีด�ำหัวเจ้าเมือง หรือเจ้านาย ที่เชื่อว่า
ราศมี นี เขา้ สรู่ าศเี มษเปน็ วนั มหาสงกรานต์ หรอื วนั สงั ขารลอ่ ง เปน็ ผที ดี่ แู ล ทกุ ขส์ ขุ ของชาวบา้ น โดยจะมกี ารทรงเจา้ โดย
ซงึ่ ปจั จบุ นั ยดึ ตามประกาศของทางราชการซง่ึ มกั จะตรงกบั ร่างทรงหรือม้าทรง ท่ีเช่ือว่าเจ้าเมือง หรือเจ้านายเป็น
เดือน ๗ เหนือ หรือเดือนเมษายน ประเพณีสงกรานต์ ผู้เลือกร่างทรง หรือม้าทรงเอง เมื่อร่างทรงหรือม้าทรงที่
จะจัดข้ึนอย่างนอ้ ย ๓ - ๕ วัน คือ ถกู เลอื กและรบั เปน็ รา่ งทรงหรอื มา้ ทรง จะมแี นวทางปฏบิ ตั ิ
วนั แรก วนั สงั ขารลอ่ ง เปน็ วนั ทพ่ี ระอาทติ ย์ หรอื ขอ้ หา้ มปฏบิ ตั บิ างประการ เชน่ หา้ มรบั ประทานอาหาร
โคจรไปสดุ ราศมี นี และยา่ งเขา้ สรู่ าศเี มษ คนเมอื งมคี วามเชอื่ ในงานศพ เปน็ ต้น ในการดำ� หัวเจ้าเมอื ง หรือเจา้ นาย จะมี
ว่า ในตอนเช้ามืดชาวบ้านจะยิงปืนข้ึนฟ้าหรือจุดประทัด การนำ� อาหาร เครอ่ื งดมื่ และของบชู ามาดำ� หวั หรอื สกั การะ
เพ่ือเป็นการปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีออกไป อีกท้ังชาวบ้านจะ ร่างทรง ในงาน ผีทีล่ งประทบั รา่ งทรงหรือม้าทรงจะดม่ื กนิ
ปัดกวาดเช็ดถูบ้านเรือนให้สะอาด ซักเสื้อผ้าและแต่งกาย เตน้ ร�ำ โดยจะมีวงสะล้อ ซอ ซงึ บรรเลงตลอดงาน และมี
ด้วยเส้อื ผ้าตวั ใหม่ การท�ำนาย ทายทัก เหตุการณ์บ้านเมือง และผู้ท่ีมา
วันที่สอง วันเนาหรือวันเน่า ส�ำหรับวันน้ี รว่ มงานด้วย
ชาวบ้านมีความเช่ือกันว่า ห้ามผู้ใดทะเลาะเบาะแว้งกัน
ถ้ามีการด่ากัน ปากของผู้ด่านั้นจะเน่า ส�ำหรับพิธีกรรม ประเพณดี �ำหัวเจ้าเมือง หรอื เจ้านาย
ของวนั เนานช้ี าวบา้ นจะเตรยี มซอื้ สงิ่ ของและอาหารสำ� หรบั
ไปท�ำบุญในวันพญาวัน ส่วนตอนบ่ายจะมีการขนทราย
เขา้ วดั วนั เนานอี้ าจเรยี กอกี ช่ือหนงึ่ วา่ “วันดา” คือวนั ท่มี ี
การเตรียมสิ่งของเพอื่ ไปทำ� บญุ ”
วันที่สาม วันพญาวัน เป็นวันเร่ิมศักราชใหม่
โดยในตอนเช้าชาวบ้านจะบ้านท�ำบุญตักบาตร อีกท้ังยังมี
การท�ำทานขันข้าว (อ่านว่า ตาน-ขัน-เข้า) เป็นการอุทิศ
ส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว และมีการตาน
ขันข้าว คือการน�ำอาหารและขนมในประเพณีปี๋ใหม่
คอื ขนมจอ๊ ก ขนมเทยี น ไปทำ� บญุ กบั ญาตผิ ใู้ หญ่ทีเ่ คารพ
หรอื ผูเ้ ฒา่ ผ้แู ก่ในหมู่บ้าน
ปา๋ เวณปี ใ๋ี หมเ่ มอื ง เปน็ การเรม่ิ ตน้ ปใี หมห่ รอื
สงกรานต์ งานประเพณีจึงเก่ียวกับการท�ำบุญ เพื่อความ
เป็นสริ ิมงคล ต้อนรับชวี ติ ใหม่ และอทุ ิศส่วนบุญกศุ ลไปให้
แกบ่ รรพบรุ ษุ มกี ารสรงนำ้� พระพทุ ธรปู มปี ระเพณขี นทราย
เข้าวัด ประเพณีรดน�้ำด�ำหัว ขอพรจากผู้หลักผู้ใหญ่
และบางแห่งมีการถวาย “ไม้ค้�ำสะหรี” คือไม้ง่ามส�ำหรับ
กลุ่มชาติพันธ์ุ จงั หวัดแม่ฮ่องสอน 121
ประเพณสี บื ชะตา ๒. สืบชะตาบ้าน ซ่ึงคนในหมบู่ า้ นจะพรอ้ มใจกนั
เป็นพิธีกรรมท่ีเก่ียวข้องกับการด�ำเนินชีวิตของ จัดในวันปากปี ปากเดอื น หรือปากวนั คือวันท่หี น่ึง สอง
คนเมือง ที่เชื่อกันว่าเป็นการต่ออายุหรือต่อชีวิตของ หรือสามวันหลังวันเถลิงศก เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล
บ้านเมืองหรือของคนให้ยืนยาว มีความสุขความเจริญ หรือจัดเมื่อคนในหมู่บ้านประสบความเดือดร้อน หรือ
ตลอดจนเป็นการขจัดภัยอันตรายต่างๆ ที่จะบังเกิดขึ้นให้ เจ็บไข้ได้ป่วยกันท่ัวไปในหมู่บ้าน หรือตายติดต่อกันเกิน
แคล้วคลาดปลอดภัย โดยแบง่ เปน็ ๓ ประเภทคอื ๓ คนข้ึนไป
๑. สบื ชะตาคน นยิ มทำ� เมอื่ ขน้ึ บา้ นใหม่ ยา้ ยทอี่ ยใู่ หม่
ไดร้ บั ยศหรอื ต�ำแหนง่ สูงขึ้น วนั เกดิ ทค่ี รบรอบ เช่น ๒๔ ปี ๓. สืบชะตาเมือง จัดข้ึนเม่ือบ้านเมืองเกิดความ
๓๖ ปี ๔๘ ปี ๖๐ ปี ๗๒ ปี เป็นตน้ หรือฟ้นื จากป่วยหนกั เดือดร้อน ปั่นป่วนวุ่นวาย หรือเกิดโรคภัยกับประชาชน
หรอื มผี ทู้ กั ทายวา่ ชะตาไมด่ ี จำ� เปน็ ตอ้ งสะเดาะเคราะหแ์ ละ ในเมอื ง
สืบชะตา เปน็ ต้น
พิธีสืบชะตา
122 กลุ่มชาตพิ นั ธุ์ จังหวัดแมฮ่ ่องสอน
ประเพณปี อยลกู แก้ว ท�ำนุบ�ำรุงวัดและพระสงฆ์ในหมู่บ้านของตนเอง ซ่ึงผู้ที่
นิยมจัดภายในเดือนมีนาคมหรือเมษายน ซ่ึง ท�ำบุญและเข้าร่วมพิธีสงฆ์ ในวัดใดวัดหน่ึงตลอดเวลา
เก็บเก่ียวพืชผลเสร็จแล้ว ในพิธีบวชจะมีการจัดงาน จะเรียกตนเองว่าเป็น “ศรัทธาวดั ”
เฉลมิ ฉลองอยา่ งยง่ิ ใหญ่ มกี ารแหล่ กู แกว้ หรอื ผบู้ วชทจ่ี ะแตง่ ตวั
อย่างสวยงามแบบ กษัตรยิ ์หรอื เจ้าชาย เพราะถอื คตนิ ยิ ม นอกจากนค้ี นเมอื งหรอื โยนยงั มคี วามเชอื่
วา่ เจ้าชายสิทธตั ถะไดเ้ สด็จออกบวชจนตรัสรู้ การแหน่ ิยม ท่ีน�ำมาเป็นแนวทางปฏิบัติในการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน
ใหล้ กู แกว้ ขมี่ า้ หรอื ขคี่ อคน มกี ารรอ้ งรำ� กนั อยา่ งสนกุ สนาน ตา่ งๆ เช่น นยิ มปลกู ขนนุ ไว้ในบรเิ วณบา้ นโดยปลกู ไว้ด้าน
ในงานนจ้ี ะทำ� ใหเ้ ดก็ ชายธรรมดากลายเปน็ “ลกู แกว้ ” ซง่ึ เปน็ ทิศตะวันตกจะเป็นมงคลด้วยเชื่อว่าจะมีคนคอยช่วยเหลือ
การใหค้ วามสำ� คญั กบั เดก็ ทจ่ี ะบวชนนั่ เอง การบวชลกู แกว้ เกอ้ื หนนุ จนุ เจอื สว่ นของไมข้ นนุ ถา้ นำ� มาแกะเปน็ พระพทุ ธรปู
เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่ใช่พ่อแม่หรือเครือญาติร่วมกัน บูชาเช่ือว่าจะเกิดความมั่งมีศรีสุข และมีการแกงขนุนใน
เป็นเจ้าภาพด้วย เพ่ือเป็นการแบ่งบุญและช่วยสนับสนุน โอกาสส�ำคัญ เช่น งานแต่งงานเป็นเคล็ดให้คู่บ่าวสาว
คา่ ใชจ้ า่ ยในการจดั งาน เจา้ ภาพ จะเรยี กวา่ “พอ่ ออก แมอ่ อก” มีความเกื้อหนนุ จุนเจือ ซึง่ กันและกนั ขนนุ นน้ั มยี างเหนยี ว
โดยผ้ไู ด้รับการสนบั สนนุ การบวช จะปฏิบตั ติ นตอ่ พอ่ ออก ท่ีมีความหมายไปถึงการครองชีวิตอยู่อย่างเหนียวแน่น
แม่ออกเสมือนเป็นพ่อแม่จริงๆ และจะตอบแทนคุณ ตลอดไป และโดยเฉพาะอย่างย่ิงในช่วงสงกรานต์คือ
ด้วยการดูแลเหมือนพ่อแม่ไปตลอดชีวิต พ่อออกแม่ออก «วนั ปากป»๋ี คนเมอื งทกุ ครวั เรอื นจะนยิ มแกงขนนุ เนอื่ งจาก
และลูกแก้วจึงเกิดความผูกพันกัน เป็นการสร้างความ เช่ือว่าจะท�ำให้เกิดความรุ่งโรจน์ในชีวิตเพราะมีส่ิงคอย
สมั พนั ธท์ ่ีดีตอ่ กนั ระหว่างคนในสงั คม ค�้ำหนุนจุนเจือ โดยถือเคล็ดตามช่ือ «หนุน» ชีวิตจะได้
ทง้ั นใี้ นชมุ ชนทมี่ คี นเมอื งอยรู่ ว่ มกนั เปน็ ชมุ ชน ไมต่ กต�่ำไปตลอดปี เป็นต้น
ชุมชนน้ันจะมีสถานท่ีศักด์ิสิทธิ์ที่เป็น ที่ประกอบพิธีกรรม
หรือเป็นศนู ยร์ วมกิจกรรมของชุมชน ได้แก่ เคร่ืองดนตรี การละเลน่
๑. หอเจา้ บา้ น มกั อยใู่ ตต้ น้ ไมใ้ หญห่ รอื พนื้ ที่ คนเมืองหรือโยนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน
พเิ ศษแตกตา่ งไปจากพน้ื ทโี่ ดยทวั่ ไป เชน่ บรเิ วณจอมปลวก มีเครื่องดนตรีและการละเล่นเหมือนคนเมืองพื้นท่ีอ่ืน
บรเิ วณทด่ี อน เปน็ ตน้ โดยจะสรา้ งเปน็ เรอื นจำ� ลองขนาดเลก็ แต่อยู่ในวงจ�ำกัด คือ วงสะล้อ ซอ ซงึ ซง่ึ พืน้ ท่หี รือกลมุ่ คน
ในอดีตสร้างด้วยไม้ ตัวหอ ยกพ้ืนขึ้นสูงเล็กน้อย แต่ใน ที่มีการสืบทอด เช่น วงสะล้อ ซอ ซึง โรงเรียนชุมชน
ปจั จุบนั หมบู่ ้านบางแหง่ หอเจ้าบา้ นช�ำรดุ จึงสรา้ งใหมเ่ ปน็ บา้ นแมฮ่ ้ี ตำ� บลแมฮ่ ี้ อำ� เภอปาย วงสะลอ้ ซอ ซงึ บา้ นปา่ ปุ๊
อาคารก่อปนู ช้นั เดยี วขนาดใหญ่กวา่ แบบเดมิ ภายในหอผี ต�ำบลผาบ่อง อ�ำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน วงสะล้อ ซอ ซึง
มชี นั้ สำ� หรบั วางเครอ่ื งสกั การะและของใชข้ องผี คอื ขนั หมาก บา้ นวงั คนั ตำ� บลแมล่ านอ้ ย อำ� เภอแมล่ านอ้ ย และวงสะลอ้
นำ้� ต้น ดาบ รปู ป้นั มา้ หรอื ช้าง ฯลฯ ทุกปกี ็จะมีพิธีเซน่ ไหว้ ซอ ซึง ผ้สู งู อายอุ �ำเภอแม่สะเรยี ง เป็นตน้
ถวายเครอื่ งสงั เวยใหเ้ จา้ บา้ น เพอ่ื เปน็ การแสดงความเคารพ
และร้องขอใหช้ ว่ ยดูแลรกั ษาหมู่บา้ นให้ปลอดภยั ความรู้และภมู ปิ ญั ญา
๒. วดั ในแตล่ ะหมบู่ า้ นตอ้ งมีวดั ประจำ� ของ คนเมอื งมภี มู ปิ ญั ญาทสี่ บื ทอดมาแตอ่ ดตี ทงั้ ใน
ตวั เอง เพอ่ื ให้คนในชมุ ชนไดม้ ีพนื้ ที่ส�ำหรับ การทำ� บญุ และ ด้านโหราศาสตร์ มีส่วนสัมพันธ์เกี่ยวข้อง อยู่ในวิถีชีวิต
ฟังเทศน์ธรรม อกี ทั้งยังเป็นสถานท่ีจดั กิจกรรมร่วมกันของ ตลอดเวลา ต้ังแต่เกิดจนตาย ความเช่ือ จารีตประเพณี
ชุมชนในพิธีกรรมประเพณีต่างๆ ส่วนใหญ่หมู่บ้านแต่ละ หลายอย่าง เช่น การรกั ษาผูป้ ว่ ย ท่แี ม้ในยคุ สมัยปจั จบุ นั ที่
แห่งจะมีเพยี งหนงึ่ วดั แตห่ ากเป็นหมบู่ ้านขนาดใหญ่ หรอื วิทยาการการแพทย์เจริญแล้ว แต่ยังมีคนเมืองบางส่วน
เป็นหมู่บ้านทแ่ี ยกออกมาจากหมูบ่ ้านเดมิ จะสร้างวดั ใหม่ ยงั อาศยั หลกั การจาก วชิ าโหราศาสตร์ ในการรกั ษาอาการ
เพม่ิ ขน้ึ เพอ่ื ใหค้ นในชมุ ชนไดป้ ระกอบพธิ กี รรมทางศาสนา เจบ็ ปว่ ย การจัดการทรพั ยากรธรรมชาติ เช่น เหมอื งฝาย
ได้อย่างทั่วถึง ซึ่งคน ในหมู่บ้านจะมีบทบาทในการ ในการบรหิ ารจดั การนำ้� เปน็ การรว่ มมอื กนั ของชมุ ชนในการ
บริหารจัดการน้�ำเพ่ือใช้ในการเกษตร และการใช้สมุนไพร
ในการรักษาโรค
ละว้ากลุ่มชาติพันธุ์จังหวัดแม่ฮ่องสอน 123
ชื่อเรยี กตวั เอง ละว้า, ลเวอื ะ
ชอ่ื ทีผ่ ู้อื่นเรยี ก ลั๊วะ
การต้งั ถ่นิ ฐาน
กลมุ่ ชาตพิ นั ธล์ุ ะวา้ มปี ระวตั คิ วามเปน็ มาทยี่ าวนานและเปน็ กลมุ่ ชาตพิ นั ธห์ุ นง่ึ
ท่ีอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทยมาต้ังแต่ดึกด�ำบรรพ์ มีความเข้มแข็งในการสู้รบ เคยมี
การปกครองเป็นของตนเอง มีวรรณกรรม และมขุ ปาฐะ ทบ่ี อกเล่าเรื่องราวความเป็น
มาของชาวละวา้ เชน่
124 กลุ่มชาติพนั ธุ์ จังหวดั แมฮ่ ่องสอน
เรื่องที่ ๑ กล่าวว่าชาวละว้าเป็นกลุ่มหน่ึงในประเทศจีน ก่อนท่ีอารยธรรมอินเดียจะขยายเข้ามาสู่บริเวณนี้ และ
ตอนล่าง ท่ีอพยพมาอยู่ในประเทศไทยอาจเน่ืองมาจาก จากการท่ีชาวละว้าเคยอาศัยอยู่บริเวณอาณาจักรล้านนา
ภัยสงครามหรือการประกอบอาชีพ เรียกละว้ากลุ่มน้ีว่า โบราณ ก่อนทพ่ี ญามงั รายจะสร้างเมืองเชียงใหม่ เราก็พบ
“ว้าเมืองเหนือ” คนท่ีอพยพ ล่องมาทางใต้ในที่สุดมาพบ ค�ำว่า “เวียงชงมาง” จากค�ำสวดของชาวละว้าในปัจจุบัน
ท่ีราบกว้างขวางมีแม่น้�ำไหลผ่าน อุดมสมบูรณ์ในเขต ซง่ึ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความสำ� คญั ของชาวละวา้ กบั ชาวเชยี งใหม่
ภาคเหนอื ของไทย เชน่ จงั หวดั เชยี งใหม่ ลำ� ปาง และลำ� พนู ต้ังแต่อดีตกาล นอกจากนี้หลักฐานทางประวัติศาสตร์
ปจั จบุ นั คนละวา้ จึงตัง้ รกรากอยูน่ ่ัน ซงึ่ ในขณะน้ันพวกเขา ท้ังจากต�ำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ต�ำนานสุวรรณค�ำแดง
ต้องดิ้นรนต่อสู้เพ่ือสร้างหัวเมืองเป็นของตนเอง และ ต�ำนานเชียงใหม่ปางเดิม ฯลฯ ได้กล่าวว่า ชาวละว้าเป็น
สามารถสร้างความเจรญิ รุ่งเรอื งใหก้ บั กล่มุ ชาตพิ นั ธุ์ตนเอง ชนพื้นเมืองเดิมท่ีอาศัยอยู่บริเวณเมืองเจ็ดริน หรือบริเวณ
ได้ ปัจจุบันน้ียังคงมีหลักฐานแห่งความเจริญรุ่งเรือง เช่น ดอยสเุ ทพ ตอ่ มากลมุ่ คนไทยยวนไดอ้ พยพเขา้ มาตงั้ ถน่ิ ฐาน
อนสุ าวรยี ค์ เู่ มอื งเพอื่ เสดงถงึ ความเจรญิ รงุ่ เรอื ง ซง่ึ ชาวละวา้ อยู่ร่วมกับชาวละว้า ความสัมพันธ์ระหว่างละว้ากับไทยนี้
ในสมัยน้ันได้สร้างอนุสาวรีย์ข้ึนโดยการใช้อิฐเผาซึ่งยังคง จะเหน็ ไดใ้ นสมยั ของพระยาสระเกตุ ซงึ่ เปน็ ผนู้ ำ� ของฝา่ ยไทย
ปรากฏรอ่ งรอยหลงเหลอื จนทุกวันน้ี และพระยาววี อ ซงึ่ เปน็ ขนุ ตระกลู ละวา้ ตา่ งกไ็ ดพ้ งึ่ พาอาศยั กนั
นอกจากน้ีพระยาวีวอ ยังให้ความช่วยเหลือต่อชาวไทยท่ี
นอกจากน้ียังมีเร่ืองเล่าว่า ชาวละว้าเป็นผู้สร้าง เดอื ดร้อน โดยประกาศวา่ จะมกี ารเปล่ียนเคร่ืองแต่งกาย
และต้ังชื่อเมืองเชียงใหม่ข้ึนมา คนละว้าเช่ือว่าช่ือเดิมของ ระหว่างชาวไทยกับละว้า และสมัยพระยาวีวอมีต�ำนาน
เมอื งเชยี งใหม่คือ “เวยี งชวงเมา” ตอ่ มาชาวไทยลาว หรอื พื้นเมืองเดิมเล่าว่า ภูติผีปีศาจมารบกวนละว้าจนร้อนถึง
ไตโยน ทป่ี ัจจุบันเรียกว่าไทยเหนือ ซงึ่ เปน็ ผทู้ ี่รุกรานบกุ ยึด พระอนิ ทรต์ อ้ งทรงประทานความชว่ ยเหลอื ทรงขอใหล้ ะวา้
ครองพ้ืนที่เมืองของชาวละว้าเดิม ได้ออกเสียงเป็นเมือง ถอื ศลี ละวา้ ๙ ตระกลู รบั อาสาถอื ศลี จนบา้ นเมอื งเงยี บสงบ
“เชียงใหม่” ดังที่เป็นอยู่ ทุกวันนี้ อีกที่หนึ่งคือที่ ฮอด พระอนิ ทรจ์ ึงประทานบอ่ เงิน บอ่ ทองและบอ่ แกว้ ให้ ละวา้
ชาวละว้าเคยตั้งชื่อเมืองนี้ว่า “ฮรวต” คนไทยเมืองเหนือ ๙ ตระกูล กแ็ บง่ หนา้ ทก่ี นั ปกครองอาณาจกั รละวา้ โบราณ
ออกเสยี งคำ� วา่ ฮรวต ไมไ่ ดจ้ งึ เพยี้ นเปน็ ฮอด ดงั เชน่ ปจั จบุ นั กอ่ นไดร้ บั การสถาปนาเปน็ นครพงิ คเ์ ชยี งใหม่ สมยั พระยามงั ราย
หลงั จากพระยามงั รายสรา้ งเมอื งเชยี งใหมบ่ รเิ วณดอยสเุ ทพแลว้
เร่ืองท่ี ๒ กล่าวว่าชาวละว้าเป็นกลุ่มชนที่อาศัย ทรงรบั อทิ ธพิ ล บชู าเสาอนิ ทขลิ ซง่ึ ถอื เปน็ เสาหลกั เมอื งจาก
อยทู่ บี่ รเิ วณเทอื กเขาถนนธงชยั กลาง อาศยั อยตู่ ามซอกหว้ ย ละวา้ มกี ารแตง่ เครอ่ื งบรรณาการใหเ้ สนาทพ่ี ดู ภาษาละวา้ ได้
หุบเขาในป่าตามแนวเขตแดนไทยพม่า อาศัยปะปนไปกับ ไปหาพญาละว้าบนดอยอุชุบรรพต พญาละว้าแนะน�ำให้
กระเหร่ียง ปัจจบุ นั เรียกบรเิ วณนว้ี า่ จงั หวดั เชยี งใหม่ และ บูชากุมภัณฑ์และเสาอินทขิลเพ่ือให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข
แมฮ่ อ่ งสอน ซงึ่ แนวคดิ นเ้ี ชอ่ื กนั วา่ ชาวละวา้ มาจากประเทศ ประวัติศาสตร์ของชาวละว้าสน้ิ สดุ ลงในราวปี พ.ศ. ๑๒๐๐
อนิ เดยี ตามตำ� นานเลา่ วา่ ชาวไตโยนเรยี นรกู้ ารดำ� เนนิ ชวี ติ ในสมัยขุนหลวงวิลังคะ ผู้น�ำของชาวละว้าซ่ึงหลงรัก
มาจากชาวละวา้ คอื ชาวละวา้ อาศัยอยู่ท่ีสงู มีอาชีพท�ำนา พระนางจามเทวีกษัตริย์แห่งแคว้นหริภุญไชย แต่
ท�ำไร่ ละว้ามีการติดต่อกันอย่างใกล้ชิดกับโยน ละว้าเป็น พระนางจามเทวีไม่ทรงสนพระทัย และเกิดการท้าทาย
ผู้สร้างเมืองเชียงใหม่ร่วมกับไตโยน และร่วมกันสร้าง อ�ำนาจจนถึงข้ันท�ำสงครามระหว่างผู้น�ำแห่งละว้าและ
เวียงเจด็ ริน ทด่ี อยสเุ ทพ ด้วยเหตุนีช้ าวละวา้ กบั ชาวไตโยน กษัตริย์แห่งหริภุญไชย ขุนหลวงวิลังคะได้พุ่งเสน่าไปยัง
จึงมีความกลมกลืนและมีวัฒนธรรมท่ีผสมผสานกันมา เมอื งลำ� พนู เพอื่ แสดงแสนยานภุ าพ แตท่ า้ ยทสี่ ดุ ขนุ หลวงวลิ งั คะ
ต้ังแต่โบราณ ท้ังน้ีวัฒนธรรมเหล่าน้ียังคงมีการสืบทอดใน กพ็ า่ ยกลศกึ ของพระนางจามเทวีชาวละวา้ บางสว่ นจงึ หลบหนี
ชาวละว้าในพนื้ ที่จังหวัดแม่ฮอ่ งสอนและ จงั หวัดเชยี งใหม่ ข้ึนไปอยู่บนภูเขาและบางส่วนก็ยังอยู่ในแถบลุ่มน้�ำปิง
เรอ่ื งที่ ๓ กลา่ ววา่ ชาวละวา้ เปน็ กลมุ่ ชนพนื้ เมอื งเดมิ ชาวละว้ากลุ่มนี้ได้ถูกผสานกลมกลืนไปในวัฒนธรรมของ
ทตี่ ง้ั ถน่ิ ฐานเปน็ รฐั กอ่ นอาณาจกั รลา้ นนาและอาณาจกั รไทย ชาวไทยล้านนา ส่วนชาวละว้าท่ีอยู่บนดอยบนเขายังคง
เอกลกั ษณว์ ฒั นธรรมมาจนถงึ ทกุ วนั น้ี แมว้ า่ อาณาจกั รละวา้
กลมุ่ ชาติพนั ธุ์ จงั หวัดแม่ฮ่องสอน 125
จะล่มสลายไปในสมัยของขุนวิลังคะ แต่ความสัมพันธ์ รกุ ราน มคี วามใกลช้ ดิ กบั กลมุ่ ชาตพิ นั ธป์ุ กาเกอญอในพน้ื ท่ี
ระหว่างชาวละวา้ กับคนไทยล้านนายงั คงปรากฏให้เห็นอยู่ และเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีและรักษาวิถีอัตลักษณ์ทาง
เสมอในประวัติศาสตร์ ดังปรากฏเรื่องเล่าจากต�ำนาน วัฒนธรรมอย่างเหนียวแน่นท้ังภาษาพูด การแต่งกาย
พน้ื เมอื งเชยี งใหมว่ า่ สมยั พระเจา้ กาวลิ ะฟน้ื ฟเู มอื งเชยี งใหม่ ประเพณีความเช่ือต่างๆ และยังคงยึดถือ ปฏิบัติตามแนว
ได้จัดให้คนละว้าเดินจูงหมาเข้าเมืองก่อนหน้าพระองค์ ปฏบิ ตั ติ ามความเชอ่ื ความศรทั ธาดง้ั เดมิ ในการดำ� เนนิ ชวี ติ
ความวา่ «...แลว้ เถงิ เวลายามแตรจกั ใกลเ้ ทยี่ ง ทา้ วกย็ กเอา ประจำ� วนั ตง้ั แตเ่ กดิ กระทง่ั เสยี ชวี ติ ซงึ่ แมป้ จั จบุ นั จะมกี าร
หมู่ยศบริวารเข้าเวียงหลวง ด้านประตูช้างเผือกหนเหนือ นบั ถอื ศาสนาครสิ ตแ์ ละศาสนาพทุ ธ แตก่ ไ็ มล่ ะทงิ้ ความเชอ่ื
หอ้ื ละวา้ จงู หมาพาแขก เขา้ กอ่ นไปสถติ ยส์ ำ� ราญนอนเชยี ง และแนวปฏิบัติดั้งเดิม อีกทั้งได้มีการน�ำจารีตประเพณี
ขวางหนา้ วดั เชยี งหมนั้ ไดค้ นื หนง่ึ ...» สว่ นหลกั ฐานอกี ชนิ้ หนงึ่ ทส่ี บื ทอดตอ่ กนั มา เปน็ แนวปฏบิ ตั ใิ นการรกั ษาความสงบสขุ
ของเมืองเชียงตุง เกี่ยวกับต�ำนานพญามังรายพบว่า เดิม ความรักใคร่สามัคคี ตลอดจนเป็นแนวทางในการบริหาร
เมอื งเชยี งตงุ เปน็ ถน่ิ ทอ่ี ยขู่ องละวา้ พระยามงั รายเสดจ็ ประพาส จดั การและดแู ลรกั ษาทรพั ยากรของชมุ ชน ดงั จะเหน็ ไดจ้ าก
ลา่ สตั ว์ พบเมอื งอนั อดุ มสมบรู ณแ์ หง่ นี้ จงึ ปรารถนาจะสรา้ ง การมีหญู่หรือศาลหลักเมือง เป็นพ้ืนที่ศักด์ิสิทธิ์ส�ำหรับ
เมือง และได้สลักรปู พรานจงู หมา พาไถ้ไวบ้ นดอย จากน้ัน ประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ เป็นที่พ่ึงและท่ียึดเหน่ียว
เสด็จกลับเชียงรายและส่งกองทัพไปปราบละว้าจนได้รับ จติ ใจของคนในชมุ ชน ตงั้ อยกู่ ลางหมบู่ า้ น โดยแตล่ ะหลงั จะ
ชยั ชนะ หลงั สรา้ งหอคำ� ทเี่ วยี งแกว้ แลว้ เสรจ็ กท็ ำ� พธิ นี งั่ เมอื ง มีฮญู่ หรือเสาอินทขิล ตงั้ อย่ดู ้านหนา้ หลังละ ๑ ตน้ หรือ
(ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). ๒๕๓๙. การประกอบพธิ ีกรรมในกิจกรรมตา่ งๆในทกุ ชว่ งชีวิต ของ
ออนไลน.์ ) ทั้งปัจเจกบุคคล ครอบครัว รวมถึงในสังคมท่ีอยู่ร่วมกัน
กล่าวได้ว่า กลุ่มชาติพันธุ์ละว้า หรือลเวือะ คือ ท่ามกลางความเปล่ียนแปลงในเวลาที่เปล่ียนไป แม้จะมี
ชนเผ่าพ้ืนเมืองก่อนชาติพันธุ์ไท เป็นเจ้าของพ้ืนท่ีด้ังเดิม ความวนุ่ วาย และแมป้ จั จบุ นั ชมุ ชนของกลมุ่ ชาตพิ นั ธล์ุ ะวา้
กอ่ นการสรา้ งชาตริ ฐั ลา้ นนา ปจั จบุ นั ตง้ั ถน่ิ ฐานอาศยั อยใู่ น ในจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอนจะพฒั นาไปไกลแคไ่ หน แตค่ วามสงบ
รฐั ฉาน สหภาพพมา่ ตอนเหนอื ของลาว และทางภาคเหนอื สนั ตสิ ขุ สามคั คแี ละความสงบเรยี บรอ้ ยในชมุ ชน ยงั คงมอี ยู่
ของประเทศไทย โดยกระจดั กระจายอยใู่ นจงั หวดั เชยี งใหม่ อย่างม่ันคง ด้วยจารีตประเพณีด้ังเดิมที่รักษาสืบทอด
แม่ฮ่องสอน เชียงราย และน่าน โดยชาวละว้าในจังหวัด ต่อกันมา โดยชาวละว้าในจังหวัดแม่ฮ่องสอนอยู่ใน
แม่ฮ่องสอน อพยพมาอยู่บนภูเขาสูงซ่ึงปลอดภัยจากการ ๑๓ หมบู่ ้าน ๕ หยอ่ มบ้าน ใน ๓ อ�ำเภอ ดังนี้
๑. อ�ำเภอแม่สะเรียง ๔ หมบู่ า้ น ๓ หย่อมบ้าน ในพืน้ ที่ ๒ ตำ� บล ดังนี้
๑.๑ ตำ� บลแมส่ ะเรียง ๑ หมู่บา้ น คอื หมทู่ ี่ ๓ บา้ นแพะ
๑.๒ ต�ำบลป่าแป๋ ๓ หมู่บ้าน ๓ หย่อมบ้าน ได้แก่ หมู่ท่ี ๓ ป่าแป๋ หมู่ท่ี ๔ ช่างหม้อ หย่อมบ้านสันติธรรม
หมทู่ ี่ ๑๑ อมพาย หยอ่ มบ้านอมพายเหนอื หย่อมบา้ นธรรมชัย
๒. อ�ำเภอแมล่ านอ้ ย ๙ หมบู่ ้าน ๑ หย่อมบา้ น ดังน้ี
๒.๑ ตำ� บลแม่ลาน้อย ๑ หมู่บา้ น ไดแ้ ก่ หม่ทู ี่ ๘ ทา่ สองแคว
๒.๒ ตำ� บลแม่ลาหลวง ๒ หมู่บา้ น ได้แก่ หมู่ท่ี ๕ สนั ติสขุ หมทู่ ่ี ๙ สุขใจ
๒.๓ ตำ� บลทา่ ผาปุ้ม ๖ หมบู่ ้าน ๑ หยอ่ มบา้ น ได้แก่ หม่ทู ี่ ๓ บา้ นสาม หยอ่ มบ้านละอางใต้ หม่ทู ี่ ๔ บ้านตูน
หมู่ท่ี ๕ บ้านดง หมทู่ ่ี ๖ ละอูบ หมทู่ ี่ ๗ ละอางเหนือ หมู่ท่ี ๘ ดงใหม่
๓. อ�ำเภอปางมะผ้า ๑ หยอ่ มบ้าน คอื หมทู่ ่ี ๔ หยอ่ มบา้ นห้วยน�ำ้ โปง่ ต�ำบลนาป่ปู ้อม
126 กลุม่ ชาติพนั ธุ์ จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน ลกั ษณะที่ตง้ั ชมุ ชนละวา้ ในจงั หวัดแมฮ่ ่องสอน
ยงุ้ ฉาง
บรบิ ททางสงั คมและวฒั นธรรม เรอื นลเวอื ะ
กลมุ่ ชาตพิ นั ธล์ุ ะวา้ ในจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน มวี ถิ ชี วี ติ
แบบพ่งึ พาอาศยั กนั ความสัมพันธร์ ะหว่างคนในครอบครวั
เครือญาติ เพื่อนบ้าน มีความแน่นแฟ้นของสายตระกูล
เคารพผู้อาวุโส ด�ำรงชีพเรียบง่าย บนหลักความพอเพียง
และอาศัยทุนทางธรรมชาติ มีกฎกติกาของหมู่บ้านเพื่อใช้
ในการปกครอง โดยมสี งิ่ ที่เชอ่ื มความสัมพนั ธ์ในครอบครวั
และชมุ ชน คือ การประกอบพธิ กี รรมทางความเชื่อดงั้ เดิม
ซง่ึ สมาชกิ ทกุ คนในครอบครวั และคนในหมบู่ า้ นตอ้ งทำ� รว่ มกนั
ถึงแม้สมาชิกบางคนจะไปท�ำงานนอกหมู่บ้านก็จะปรับ
เปล่ียนช่วงเวลา รูปแบบการประกอบพิธีกรรมเพื่อให้
สามารถท�ำกิจกรรมร่วมกันเพ่ือความเป็นสิริมงคลของ
ทุกคนได้
ลักษณะบ้านเรอื นที่พกั อาศยั
ลักษณะบ้านเรือนชาวละว้านิยมสร้างเรือน
แบบยกพน้ื สงู หลงั คาทรงจว่ั ตวั เรอื นจะมเี ตาไฟอยกู่ ลางบา้ น
ในเตาไฟแต่ละครัวเรือนจะมีหินขนาดย่อม ๑ ก้อน
โดยหนิ กอ้ นนสี้ บื ทอดมาแตบ่ รรพบรุ ษุ และแตล่ ะครอบครวั
จะไมย่ อมใหก้ อ้ นหนิ ประจำ� เตาไฟในครอบครวั หายออกไป
จากเตาไฟของครอบครวั หนิ กอ้ นน้ี เปน็ เหมอื นสงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์
ท่ีคุ้มครอง ดูแล ให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข มีกินมีใช้
และหินก้อนนี้พ่อแม่จะตกทอดแก่ลูกคนสุดท้องซึ่งเป็นผู้ท่ี
ดูแลพ่อแม่ตามประเพณีลเวือะ ครอบครัวท่ีนับถือผีจะมี
เครื่องบูชาผตี งั้ อยทู่ ี่มุมห้อง มียงุ้ ข้าว และมชี านบ้านเช่อื ม
ตอ่ ถงึ กัน ใต้ถุนบ้านใช้เป็นคอกสัตวแ์ ละท่เี กบ็ ฟนื ด้านข้าง
เป็นท่ีตั้งของครกกระเดื่อง และเน่ืองจากมีอาชีพหลักคือ
เกษตรกรรม รอบๆ หมู่บา้ นจะเปน็ พืน้ ท่ีส�ำหรบั เพาะปลูก
และเล้ียงสัตว์ หมู่บ้านชาวละว้าในจังหวัดแม่ฮ่องสอน
มักตง้ั อยบู่ นทส่ี งู เปน็ ภเู ขาและมปี า่ ลอ้ มรอบ
เตาไฟในเรือนลเวอื ะ
กล่มุ ชาติพันธ์ุ จังหวัดแมฮ่ อ่ งสอน 127
ลกั ษณะครอบครัว ประกอบพิธีกรรมตามประเพณี ผู้น�ำอย่างทางการต้อง
กลุ่มชาติพันธุ์ละว้ามีค่านิยมในการแต่งงาน เคารพเชื่อฟังซะมังหรือผู้น�ำด้ังเดิมของละว้า แต่หากเป็น
แบบผวั เดยี วเมยี เดยี ว และหา้ มแตง่ งานกนั ในกลมุ่ ญาตสิ นทิ กิจกรรมเก่ียวกับการปกครอง การบริหารส่วนท้องถ่ิน
หรือคนท่ีนับถือผีในตระกูลเดียวกัน โดยทั่วไปเป็น ซะมังเองก็ต้องเชื่อฟังผู้น�ำทางการ หากหมู่บ้านใดแยกตัว
ครอบครัวเด่ียว ประกอบด้วยสามี ภรรยา บุตร ในอดีต ออกไปตง้ั ครวั เรอื นใหม่ และไม่มซี ะมัง ละวา้ ท่ีหมบู่ ้านนน้ั
ในการแตง่ งานฝา่ ยหญงิ ตอ้ งแตง่ เขา้ ไปอยกู่ บั ครอบครวั ฝา่ ยชาย มักไปเชิญตระกูลซะมัง จากหมู่บ้านอ่ืนมาเป็นผู้น�ำใน
แตถ่ า้ ครอบครวั ใดมแี ตบ่ ตุ รสาว กจ็ ะใหฝ้ า่ ยชายมาอยบู่ า้ น หมู่บ้านตน แต่หากหมู่บ้านใดมีตระกูลซะมังอยู่มาก
ฝ่ายหญิงก็ได้ และต่อมาคู่สามีภรรยาจะแยกครอบครัว ก็จะตอ้ งมผี ู้นำ� สงู สุดของซะมัง เรยี กว่า «ไกยพ»ี หมายถึง
ออกไปสร้างครอบครัวของตนเอง โดยบตุ รชายคนสุดทอ้ ง ผู้น�ำสูงสุด ในการปกครองชาวละว้าให้ความเคารพใน
จะต้องเป็นผู้ท่ีได้รับมรดกและเลี้ยงดูพ่อแม่ตลอดชีวิต เสียงข้างมากของชุมชน โดยมีการน�ำจารีตประเพณีมา
นอกจากนี้แต่ละครอบครัว บิดามารดาจะเตรียม ปอม ปรบั ใชใ้ นการตดั ระเบยี บสงั คม มสี ถานทป่ี ระกอบพธิ กี รรม
คล้ายชะลอม สานจากไมไ้ ผ่ถี่ๆ ใบย่อม มีฝาปิด ทเี่ ตรยี มไว้ ตามความเชอื่ ตงั้ แตเ่ กดิ กระทง่ั ตาย โดยมี ตะโนก ของแตล่ ะ
ให้ลูกทุกคน ส�ำหรับให้ลูกคราวออกเรือน ถ้าเป็นลูกชาย สายตระกูลคอยดูแลความสงบเรียบร้อยของสมาชิก
ของที่บรรจขุ า้ งใน ประกอบดว้ ย เสือ้ กางเกง ย่าม มดี พก รว่ มกบั จาวโงว และผนู้ �ำชมุ ชน
งาชา้ ง สว่ นลกู สาว จะมี เสอื้ ผา้ ถงุ ผา้ หม่ ยา่ ม ตา่ งหู ปลอก ภาษา
แขน ปลอกขา เคร่ืองเงนิ และเคร่ืองประดับ หนา้ ท่ใี นครวั ชาวละวา้ มภี าษาเปน็ ของตนเอง ซงึ่ เปน็ ภาษา
เรือนของชาวละว้าในอดีตจะแบ่งออกตามอายุและเพศ ในตระกูลออสโตรเอเชียติก กลุ่มมอญ-เขมร ปัจจุบัน
กล่าวคือผู้หญิงมีหน้าที่รับผิดชอบ หาฟืน ตักน้�ำ ต�ำข้าว ชาวละว้าในจังหวัดแม่ฮ่องสอนยังคงใช้ภาษาละว้าในการ
ท�ำอาหาร และทอผ้า ผู้ชายมีหน้าที่ซ่อมแซมบ้าน ท�ำรั้ว สือ่ สารระหวา่ งกันในชีวิตประจำ� วนั
ไถนา และล่าสตั ว์ ส่วนงานในไร่เป็นหน้าทขี่ องทงั้ สองฝา่ ย การประกอบอาชพี
ต้องช่วยกันท�ำรวมท้ังสมาชิกวัยแรงงานทุกคนใน กลุ่มชาติพันธุ์ละว้าในจังหวัดแม่ฮ่องสอน
ครอบครัวด้วย งานด้านพิธีกรรมถือเป็นหน้าท่ีรับผิดชอบ ยังคงมีวิถีการประกอบอาชีพแบบเกษตรกรรม เพ่ือยังชีพ
ของผู้ชายเกือบท้ังหมด ปัจจุบันหน้าที่รับผิดชอบงานใน ผสมผสานกับปลูกพืชเชิงพาณิชย์ เกษตรกรรมแบบยังชีพ
ครอบครัวสมาชิกในครอบครัวตา่ งช่วยกนั โดยไมแ่ บง่ แยก คอื การทำ� นาแบบขน้ั บนั ได และการทำ� ไรข่ า้ วแบบหมนุ เวยี น
ว่าเป็นงานของใคร โดยจะปลูกข้าวเจ้าเป็นพืชหลัก พืชอื่นๆ ที่ปลูกแซมใน
ไรข่ า้ วสำ� หรบั ไวเ้ ปน็ อาหารและใชส้ อยไดแ้ กข่ า้ วโพดสำ� หรบั
ลกั ษณะสงั คม รบั ประทาน ฟกั แตง พรกิ ผกั ตา่ งๆ ทใี่ ชบ้ รโิ ภคในครวั เรอื น
สงั คมกลมุ่ ชาตพิ นั ธล์ุ ะวา้ ในจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน และแบ่งปนั ให้ผูอ้ ่ืน สว่ นสตั วเ์ ลย้ี ง ไดแ้ ก่ ววั ควาย หมู ไก่
เป็นสังคมเกษตรกรรมในชนบท ท่ีคนในชุมชนใกล้ชิดกัน สุนัข เป็นต้น ซึ่งสัตว์เลี้ยงเหล่านี้บางชนิดก็ฆ่าส�ำหรับใช้
และเป็นเครือญาติกัน มีการพ่ึงพาอาศัยและช่วยเหลือ ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ และยังท�ำไร่เพื่อผลิต
กันและกัน มีกิจกรรมทางสังคมและขนบธรรมเนียม พชื เชงิ พาณชิ ย์ เช่น อโวคาโด กาแฟ เสาวรส กะหล่�ำปลี
จารีตประเพณีที่คนในชุมชนยอมรับร่วมกัน ท่ีเป็น ลูกเนียง ฯลฯ ซง่ึ เวยี นให้ผลผลิตตลอดท้ังปี และมีปริมาณ
กระบวนการในการขดั เกลา และสรา้ งความสงบสขุ ในชมุ ชน เพยี งพอสำ� หรบั บรโิ ภคและจำ� หนา่ ย โดยบางหมบู่ า้ นเขา้ รว่ ม
การปกครองของชาวละวา้ มี ๒ ลกั ษณะ คอื เป็นสมาชิกโครงการหลวง เมื่อได้ผลผลิตในไร่ ก็น�ำไป
มีผู้น�ำตามธรรมเนียมปฏิบัติเดิม คือ มีซะมัง ที่ถือว่าเป็น จำ� หนา่ ยใหก้ บั โครงการปจั จบุ นั ชาวละวา้ ในจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน
ผปู้ กครองของละวา้ ทส่ี บื ทอดเชอ้ื สายตอ่ กนั มา และมผี นู้ ำ� ยงั มคี วามสามารถ ในการขายผลติ พนั ธท์ุ างการเกษตรและ
ที่ได้รับการแต่งตั้งจากส่วนราชการอย่างเป็นทางการ คือ ผลติ ภณั ฑท์ างวฒั นธรรมในระบบออนไลน์ และเขา้ ถงึ ระบบ
ก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มีหน้าที่รับผิดชอบการบริหารและ โลจสิ ติกส์ ท�ำใหม้ ีฐานะทางเศรษฐกจิ ดขี ึ้นกวา่ เดิม
การปกครองในชุมชน ในท้องถิ่น โดยเม่ือชุมชนละว้า
128 กลมุ่ ชาตพิ ันธุ์ จังหวดั แม่ฮ่องสอน
อาหาร จนสกุ จากนนั้ นำ� มาหน่ั เปน็ ชนิ้ เลก็ ๆ นำ� มายำ� กบั พรกิ สดคว่ั
กลุ่มชาติพันธุ์ละว้ามีการกินอยู่ที่เรียบง่าย กบั เกลอื ท่ีโขลกแล้ว หอมแดงซอย ผักชีฝร่งั ซอย ตน้ หอม
โดยใช้วัตถุดิบในไร่นาที่เพาะปลูกไว้ และจะเลี้ยงสัตว์เป็น ผกั ชซี อย และบบี มะนาว รบั ประทานพรอ้ มนำ้� ซปุ ทปี่ รงุ จาก
อาหาร เช่น หมู ไก่ ส�ำหรับเป็นอาหารในพิธีกรรมหรือ นำ้� ทต่ี ม้ หมหู รอื ไกไ่ ว้ สะเบอ๊ื ก เปน็ อาหารรบั แขก เปน็ อาหาร
เทศกาลพเิ ศษ โดยอาหารทเี่ ปน็ เอกลกั ษณแ์ ละเปน็ เมนสู ำ� คญั หลักในทุกพิธีกรรม เช่น ในพิธีแต่งงาน ก่อนท่ีเจ้าบ่าวจะ
ในวาระพิเศษของชาวละว้า คือ สะเบ๊ือก หมายถึง ย�ำ พาเจา้ สาวออกเรือน ต้องท�ำสะเบ๊อื กให้พอ่ แม่เจ้าสาวทาน
สะเบื๊อก ของชาวละวา้ นยิ มใช้หมู หรือไกเ่ ป็นวัตถุดิบหลัก เพื่อเปน็ หลกั ประกนั ใหพ้ อ่ แมเ่ จ้าสาววางใจว่า จะสามารถ
กรรมวิธใี นการประกอบอาหาร คอื นำ� หมู หรอื ไก่ ไปต้ม เล้ียงดู ดูแลลูกสาวอันเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ได้
อตั ลกั ษณ์ทางวัฒนธรรม ในพิธีกรรม ผู้หญงิ : หญิงละวา้ จะสวมเสอื้ ทอสดี �ำ เรยี กว่า
“เลอปลิ อง” สวมปลอกแขน (ปอเตะ) และปลอกขา (ปอชวง)
วฒั นธรรมการแต่งกาย ทเ่ี ยบ็ จากผา้ โทเรสีนำ้� เงนิ แต่จะสวมใส่เครือ่ งประดบั โดย
ในชีวิตประจ�ำวัน ผู้หญิงละว้าจะสวมเส้ือทอ เฉพาะเคร่ืองเงินแท้ ทั้งสร้อยเงิน ต่างหูเงิน ก�ำไลข้อมือ
พื้นสขี าว ทีเ่ รยี กวา่ “เลอปปิ ิง” ผา้ น่งุ เป็นผา้ ทอพื้นสดี �ำ มี ก�ำไลข้อเท้าเท้าเงิน ปนิ่ ปกั ผม ที่เปน็ เคร่ืองบ่งบอกฐานะ
ลายคน่ั เปน็ แถบในแนวนอนขนาดตา่ งๆ โดยเชงิ ผา้ จะมแี ถบ การแต่งกายของชายละว้า จะแต่งกายด้วยเสื้อ
ลายขนาดกวา้ งกวา่ ลายนไ้ี ดจ้ ากการมดั ลาย นยิ มสวมสรอ้ ย และกางเกงผ้าทอ สีขาวลว้ นทัง้ ชดุ โดยเสื้อมลี กั ษณะเปน็
เงนิ เมด็ และลกู ปดั สแี ดง สสี ม้ สเี หลอื งหลายเสน้ เปน็ เครอื่ ง เสื้อทอแขนยาวสขี าว ไมม่ ลี วดลาย คอกลม ผา่ แหวกกลาง
ประดบั มตี า่ งหู (นาดิ โบละ) ซง่ึ ทำ� จากเงนิ แถบเปน็ รปู กรวย สวมกางเกงผ้าทอสีขาว ด้วยความเชื่อว่าสีขาวเป็นสีแห่ง
และร้อยลูกปัดที่นิยมคือ สีแดงหรือสีส้ม นอกจากน้ียังมี
ก�ำไลแขนและกำ� ไลขอ้ มอื ทำ� ด้วยเงนิ อีกดว้ ย
ความบริสุทธ์ิและเป็นสีแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ในพิธีกรรม กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน 129
จะมกี ารเครอ่ื งประดบั เพม่ิ ประกอบดว้ ยการโพกศรษี ะดว้ ย
ผ้าสีแดง มาจากสเี ลอื ด ซ่ึงเปน็ การระลึกถงึ คณุ บรรพบรุ ุษ
ที่สละเลือดเนื้อ ในการปกป้องแผ่นดินล้านนาในอดีต
มผี า้ คาดเอว(คดั ซ)ี สำ� หรบั ชายทเ่ี ปน็ หวั หนา้ ครอบครวั ใหม่
ซ่ึงจะมีช่องเก็บเหรียญรูปีหรือเงินแถบที่จะได้รับในงาน
แต่งงาน และมีความหมายว่าชายที่คาดเอวด้วยคัดซี
เป็นผู้มีเจ้าของแล้ว ซึ่งคัดซีที่ชายคาดเอวน้ันหญิงคู่ครอง
หรือญาติฝ่ายหญิงจะเป็นผู้ท�ำให้ พาดไหล่ด้วยผาลบหรือ
เพลีย ซึ่งเป็นผ้าท่ีใช้ในพิธีมงคล และยังเป็นการแสดงถึง
การมีเครือญาติท่ีกว้างขวาง การพาดไว้ท่ีไหล่ มีนัยถึง
การแสดงความรับผิดชอบต่อเครือญาติ ต่อสังคม และ
ตอ่ ตนเอง เหนบ็ มดี ดา้ มงาชา้ งและฝกั เงนิ ขา้ งลำ� ตวั โดยมดี
ส่ือถึงความอุดมสมบูรณ์ งาช้างส่ือถึงความทรงพลัง และ
เงินคือโชคลาภ และยังเป็นการแสดงสถานะทางสังคม
ทั้งน้ีเคร่ืองเงินท่ีใช้มาจากภูมิปัญญาด้ังเดิมของชาวละว้า
ทถี่ กู ถา่ ยทอดมาจากรุ่นสู่รนุ่
ภาพจาก https://www.facebook.com/Banlaoop
130 กลุ่มชาติพันธ์ุ จงั หวัดแมฮ่ ่องสอน
ความเช่ือ ศาสนา พธิ กี รรม บา้ นละอบู อำ� เภอแมล่ านอ้ ย จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน ใหข้ อ้ มลู วา่
กลุ่มชาติพันธุ์ละว้าในจังหวัดแม่ฮ่องสอน กลุ่มชาติพันธุ์ละว้าในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ประกอบด้วย
ยังคงมีวิถีชีวิตท่ียึดโยงกับความเช่ือดั้งเดิม โดยเป็นการ ๓ ตระกลู หลกั คอื ตระกลู ซะมงั ตระกลู ยวงมฌั และตระกลู
เคารพนับถือ และระลึกถึงบรรพบรุ ุษผู้ทรงคณุ ท่ลี ว่ งลบั ไป ยวงเฮ
แลว้ เปน็ หลกั จะมพี ธิ กี รรมบอกกลา่ ว ขอพรจากบรรพบรุ ษุ วัฒนธรรมประเพณี
ตั้งแต่การเกิด การแต่งงาน การปลูกบ้าน การเจ็บป่วย ชาวละว้าในจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีประเพณี
และการตาย อยา่ งไรก็ตามดว้ ยบรบิ ท ท่เี ปลย่ี นไป ทงั้ ด้าน ท่ียึดถอื และปฏิบัติสบื ตอ่ กนั มา โดยมพี ิธกี รรมที่ชาวละว้า
เศรษฐกิจ สังคม รวมถึงปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการ ในแต่ละหมบู่ ้านจัดรว่ มกนั ทัง้ หมูบ่ ้านปลี ะ ๑ คร้งั ในห้วง
เปลยี่ นแปลง พธิ กี รรม ความเชอ่ื บางอยา่ งมแี นวโนม้ ถกู ปรบั เดือนพฤศจิกายน ซ่ึงเป็นห้วงท่ีทุกครอบครัวในหมู่บ้าน
เพอื่ ให้สนองตอบต่อการประกอบอาชพี สว่ นของพธิ กี รรม เก็บเกย่ี วข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว คือ ประเพณเี ซ่นไหว้และ
ในทางปฏิบัติอาจมี การปรับเปลี่ยนช่วงเวลาเพื่อให้ ขอบคุณบรรพบุรุษและสิ่งศักด์ิสิทธ์ิท่ีดูแลปกปักรักษา
สอดคล้องกับวันหยุดงานของสมาชิกในครอบครัวท่ี หมู่บ้าน โดยเริ่มจากแต่ละครอบครัวจะน�ำข้าวและพืชผล
เดนิ ทางไปทำ� งานทอ่ี นื่ ปรบั ลดองคป์ ระกอบเครอ่ื งเซน่ ไหว้ จากไร่ ขนม ผลไม้ ข้าวตอก ดอกไม้ ใส่กระด้งหรือถาด
บูชาในพิธีกรรมลงตามฐานะทางเศรษฐกิจ รวมถึง ที่ปูด้วยใบตอง และน�ำไปประกอบพิธีจ๊ะ หรือ เซ่นไหว้
ปรบั รปู แบบของพธิ กี รรมตา่ งๆ ได้ตามความเหมาะสม บรรพบุรุษท่ีลานพิธีของหมู่บ้านพร้อมกันในตอนเช้ามืด
ชาวละว้ามีความเช่ือและนับถือบรรพบุรุษมาแต่ โดยมีผู้น�ำในการประกอบพิธีกรรมของแต่ละสายตระกูล
โบราณ ปัจจุบันชาวละว้าส่วนใหญ่เปล่ียนมานบั ถอื ศาสนา เป็นผู้บอกกล่าวบรรพบุรุษของแต่ละตระกูลให้มารับของ
มีทั้งศาสนาคริสต์ และศาสนาพุทธ หรือถือท้ังพุทธทั้ง เซ่นไหว้ จากน้ันจะประกอบพิธีเซ่นไหว้ขอบคุณส่ิงศักดิ์
บรรพบุรุษ มีบางกลุ่มท่ียังคงนับถือบรรพบุรุษและมีการ ที่พิทักษ์รักษาหมู่บ้านด้วย หมู และเมื่อครบรอบ ๓ ปี
บชู า เซน่ ไหว้บรรพรุษตามอย่างประเพณีดัง้ เดมิ ส่วนละวา้ จะบูชาด้วยวัวหรือควาย โดยสมาชิกในชุมชนจะร่วมกัน
ท่ีนับถือศาสนาคริสต์นั้น ไม่นิยมประกอบพิธีกรรมตาม จดั หามาประกอบพธิ กี รรม ซงึ่ แตล่ ะครอบครวั จะจดั เตรยี ม
ความเชอื่ ดงั้ เดมิ แตห่ ากเปน็ งานประเพณี เชน่ การแตง่ งาน เคร่ืองประกอบพิธกี รรม คือ ไก่ ไข่ ข้าวเหนียว ขา้ วตอก
กม็ ารว่ มและชว่ ยเหลืองานเปน็ อยา่ งดี ดอกไม้ ของครอบครวั ตวั เอง นอกจากนใี้ นหว้ งจดั พธิ กี รรม
ในหมู่บ้านชาวละว้าจะมีศาลาหรือศาล ท่ีเรียก ชาวละวา้ จะปดิ หมบู่ า้ นไมใ่ หค้ นในออก และไมใ่ หค้ นนอกเขา้
วา่ “หญหู่ รอื เญยี ะย”ู เปน็ เรอื นหลงั เลก็ ตงั้ ไว้ กลางหมบู่ า้ น โดยจัดท�ำสัญลักษณ์คือตะเลีย หรือตาแหลว ที่สานจาก
และมเี สาอินทขลิ ตง้ั อยู่ดา้ นหนา้ หลงั ละ ๑ ตน้ ทช่ี าวละวา้ ไม้ไผ่ ทาด้วยเลือดวัวหรอื ควายทน่ี ำ� มาเซ่นไหว้ ปักไว้รอบ
เชอื่ วา่ เปน็ สงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธทิ์ คี่ อยปกปกั รกั ษาคนในชมุ ชนตง้ั อยู่ หมู่บ้าน เป็นสัญลักษณ์แห่งการบ่งบอกให้สิ่งศักด์ิสิทธิ์
ดา้ นหนา้ พืน้ ท่ดี งั กล่าว เปน็ พน้ื ท่ศี ักด์ิสิทธิ์ส�ำหรับประกอบ ได้รับรู้ และเป็นเหมือนยันต์กันส่ิงไม่ดีเข้ามาในหมู่บ้าน
พิธีกรรมทางความเช่ือต้ังแต่เกิดกระท่ังเสียชีวิต เป็นที่พ่ึง โดยจะท�ำการปิดหมู่บ้านเป็นระยะเวลา ๑ วัน ต้ังแต่
และทย่ี ดึ เหนย่ี วจติ ใจของคนในชมุ ชน โดยจำ� นวน “หญหู่ รอื ๑๘.๐๐ น. ของวันทมี่ ีพิธีกรรม และจะเปิดหม่บู า้ นอกี คร้ัง
เญียะยู” และเสาอินทขิลข้ึนอยู่กับจ�ำนวนสายตระกูล ในเวลา ๑๖.๐๐ น. ของวนั ถัดไป โดยกล่มุ ของชายฉกรรจ์
ในหมู่บ้าน แต่ละสายตระกูลจะมี“หญู่หรือเญียะยู” ในหมบู่ า้ นจะผลดั กนั มาเฝา้ ดทู ห่ี นา้ หมบู่ า้ นตลอด ๒๔ ชวั่ โมง
ประจ�ำตระกูลของตนและมี “จาวโงว” เป็นผู้น�ำในการ นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมท่ีสืบทอดมาแต่คร้ัง
ประกอบพธิ ขี องสายตระกูล เปน็ สือ่ กลาง เป็นผูบ้ อกกล่าว บรรพบรุ ษุ เชน่ พธิ ีศพ โดยงานศพของชาวละว้า จะจัดตาม
ทกุ กิจกรรมของสมาชกิ ในสายตระกลู ไมว่ ่าจะเป็นการเกิด ความสะดวกหรือฐานะทางเศรษฐกิจของเจ้าภาพ มีการ
การเจ็บ การเพาะปลูกในแต่ละฤดูกาล การเก็บเก่ียว ละเล่น เรียกว่า «ชวงละมาง» คล้ายลาวกระทบไม้ และ
การเซน่ ไหว้ บวงสรวงต่างๆ ฯลฯ ท้ังน้ี จากคำ� บอกเล่าของ มฮลอก (เขียนใบไม้และร้องค�ำซอ) ในกรณีที่ใช้หมูในพิธี
นายปณชัย จันตา ผู้แทนเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ละว้า จะไม่มีการเล่นชวงละมางและมฮลอกอย่างเด็ดขาด
กลุ่มชาตพิ ันธุ์ จังหวดั แมฮ่ อ่ งสอน 131
จะคลมุ ศพดว้ ยผา้ ทห่ี ญงิ สงู อายเุ ปน็ ผทู้ อ ในงานศพเมอ่ื แขก โดยจะอยู่คนละฟากของไม้ไผ่ กระโดดเต้นขา้ มไมไ้ ผ่ ๕ ค่นู ี้
เปดิ ผา้ คลมุ ศพออก จะมพี ธิ รี อ้ งไหโ้ ดยผหู้ ญงิ ละวา้ ซง่ึ เปน็ ๓ รอบเป็นอย่างต่�ำ เพ่ือท�ำให้งานศพไม่เงียบเหงา ท�ำให้
การรอ้ งไหท้ ม่ี กี ารพรำ่� พรรณาถงึ คณุ งามความดขี องผตู้ าย บรรยากาศไม่น่ากลัว และเป็นการตอนรับแขกผู้ท่ีมาร่วม
กลางคืนมีการขับซองานศพ เม่ือผู้มาร่วมงานกลับบ้าน งานศพดว้ ย โดยคนในหมู่บ้านจะเชิญแขกที่มารว่ มงานศพ
เจา้ ภาพจะหอ่ เนอ้ื หม/ู ควายตามกรณี มอบใหแ้ ขกเปน็ ทรี่ ะลกึ ไปเตน้ ด้วยกันเปน็ คๆู่
ซง่ึ นอกจากจะเปน็ การใหเ้ กยี รตซิ งึ่ กนั และกนั แลว้ ยงั เปน็ ความร้แู ละภูมปิ ัญญา
การแสดงฐานะของเจ้าภาพด้วย มีปูลามท�ำหน้าท่ีส่งเสา กลุ่มชาติพันธุ์ละว้าในจังหวัดแม่ฮ่องสอน
และโลงท่ีป่าช้า พร้อมนำ� อาวุธรูปแบบต่างๆ ท่ีท�ำด้วยไม้ มีการสืบทอด สืบสานภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมและเป็น
ฝงั รวมกับศพด้วย ชาวละวา้ ทน่ี บั ถือผี ปูลามและลูกหาบ กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีการน�ำทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างความ
จะใช้น้�ำส้มป่อยประพรมร่างกายเมื่อกลับจากป่าช้า และ เขม้ แขง็ ใหก้ ับตนเองและชุมชนได้ อย่างเป็นรูปธรรม และ
เจ้าภาพงานศพจะท�ำพิธีส่งเคราะห์ปัดเป่า ส่ิงไม่ดีออกไป เปน็ ทรี่ จู้ กั อยา่ งกวา้ งขวาง โดยภมู ปิ ญั ญาของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ
และสร้างขวัญให้ครอบครัว ส่วนศพผู้ตายท่ีเป็นคริสต์จะ ละว้าในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้แก่ การเกษตรแบบผสม
ไม่มีพิธีกรรมเก่ียวกับผี แต่จะน�ำไปฝังในพื้นที่ชาวคริสต์ ผสานในไร่หมุนเวียนท่ีมีผลผลิตที่หลากหลาย เพียงพอ
ปกั ไมก้ างเขนเหนอื หลมุ ศพ และมกี ารร้องเพลงสรรเสรญิ ต่อการบริโภคในครัวเรือน เพียงพอต่อการดูแลช่วยเหลือ
พระเจา้ ให้คนตาย เป็นต้น ซ่ึงกันและกันในชุมชน และสร้างรายได้ท่ีมั่นคงให้กับ
เครื่องดนตรี การละเล่น ครัวเรือนได้ ความรู้ในการใช้สมุนไพร การทอผ้า การท�ำ
การแสดง ศลิ ปะการแสดงของชาวละวา้ หรอื เคร่ืองเงิน การตีโลหะเป็นเคร่ืองมือเคร่ืองใช้ในครัวเรือน
ละเวอื ะทส่ี �ำคญั ไดแ้ ก่ การร้องบทซอ เรอ ซฮม แล คอื เคร่ืองมือการเกษตร เครื่องจักสานรูปแบบต่างๆ ไว้ใช้
การขับร้องบทหรือเนื้อร้องเป็นท�ำนองเสนาะ และอ่าน เป็นตน้
ขบั ขานธรรมดาทเ่ี ปลง่ ออกมา แลว้ ทำ� ใหผ้ ทู้ ร่ี อ้ งและผทู้ ไี่ ด้ นอกจากนี้ กลุ่มชาติพันธุ์ละว้า ยังมีบทเพลง
ฟังได้ต่ืนข้ึนมาและมีความคล้อยตามบทร้องในเร่ืองน้ันได้ วรรณกรรม บทกวี ทเ่ี ปน็ ทง้ั สง่ิ บนั เทงิ ใจ ดว้ ยการเลา่ นทิ าน
บทซอของชาวละว้าใช้ในพิธีกรรมส�ำคัญ เช่น งานศพที่ ให้เด็กๆฟัง การร้องค�ำซอในพิธีต่างๆ ของคนหนุ่มสาวใน
ถือว่าหากไม่มีการขับบทซอ จะถือว่าการจัดงานศพนั้น การเกี้ยวสาว ไปจนถึงงานศพส�ำหรับคนสูงอายุ การร้อง
ไมส่ มบรู ณ์ นอกจากน้ี ชาวละวา้ มีศิลปการแสดง ร�ำดาบ เพลงกล่อมเด็กและการร้องเพลงเล่นส�ำหรับเด็กเล็ก
สว่ น การแสดง ชวง ละมาง หรอื ราวกระทบไม้ จะแสดง นอกจากน้ีชาวละว้ายังมีวรรณกรรมมุขปาฐะในรูปของ
ในงานศพเท่าน้ัน โดยเป็นการแสดงเพ่ือส่งผู้ท่ีล่วงลับ บทกวที ที่ อ่ งสบื ทอดกนั มาปากตอ่ ปากจากบรรพบรุ ษุ ละวา้
การแสดงราวกระทบไม้ ของชาวละเวือะจะใช้ไม้ไผ่ ๕ คู่ จนถึงลูกหลาน ในปัจจุบัน วรรณกรรมมุขปาฐะน้ีเรียก
เคาะเปน็ จงั หวะตกึ ตกึ ตกึ แตก ตกึ ตกึ ตกึ แตก ไปเรอ่ื ยๆ «ละซอมแล» แบ่งเปน็ ๗ ประเภท ประกอบขึ้นจากบทกวี
จงั หวะ ตกึ ตกึ ตกึ คอื คอื การเอาไมเ้ คาะทร่ี าว สว่ น แตก นนั้ มีข้อความเปรียบเทียบลึกซ้ึง มีการเล่นสัมผัสสระสัมผัส
เป็นจังหวะที่เอาไม้ที่จับไว้มากระทบกัน ซึ่งจะ ตีฆ้อง อักษรและความเปรียบทีไ่ พเราะ
และฉาบเปน็ จังหวะไปด้วย มผี ู้กระโดดขา้ มไม้ไผ่นี้ ๒ คน
เครอ่ื งเงนิ การตีโลหะ การทอผ้า
ลาหู่132 กลุม่ ชาติพันธ์ุ จงั หวัดแมฮ่ ่องสอน
ชอื่ เรียกตวั เอง มูเซอ, ลาหู่, ลาหนู่ ะ, ลาห่ยู ี
ช่ือทผ่ี ู้อ่นื เรียก มเู ซอ, ลาหู่
การตง้ั ถิ่นฐาน
เดิม กลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ หรือ มูเซอ อาศัยอยู่ในประเทศจีน เม่ือถูกรุกราน
จงึ อพยพมาทางตอนใต้ เขา้ สปู่ ระเทศพมา่ และทางเหนอื ของประเทศไทย โดยเขา้ มาทาง
อำ� เภอแมจ่ ัน เชียงแสน เชยี งของ เวียงป่าเป้า แม่สรวย จังหวัดเชยี งรายและอำ� เภอฝาง
อมกอ๋ ย จงั หวดั เชียงใหม่ อำ� เภอปางมะผา้ จงั หวัดแมฮ่ อ่ งสอน มีเพยี งส่วนนอ้ ยที่มาจาก
อ�ำเภอแม่สอด จังหวัดตาก มูเซอท่ีรู้จักกันมากได้แก่ มูเซอด�ำ มูเซอแดง มีวัฒนธรรม
ประเพณคี ล้ายคลึงกัน มเู ซอ เป็นภาษาพม่า แปลวา่ นายพราน เนอ่ื งจากมีความช�ำนาญ
ในการล่าสัตว์โดยใช้หน้าไม้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า ลาฮู ในกลุ่มมูเซอด�ำเรียกว่าลาฮูนะ
มูเซอแดง เรียกว่า ลาฮูยี โดยมีความแตกต่างในเรื่องความเชื่อทางศาสนา พิธีกรรม
และการแตง่ กาย โดยมีภาษาร่วมกนั
ในจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน มกี ลมุ่ ชาตพิ นั ธล์ุ าหใู่ นพน้ื ท่ี กลมุ่ ชาติพนั ธุ์ จงั หวัดแมฮ่ ่องสอน 133
๑๘ หมู่บ้าน ๑๕ หย่อมบา้ น ใน ๓ อำ� เภอ ดังนี้
บรบิ ททางสงั คมและวฒั นธรรม
๑. อ�ำเภอเมืองแมฮ่ ่องสอน
ลกั ษณะบ้านเรอื นทพ่ี กั อาศัย
๒ หมู่บ้าน ในพ้ืนที่ ต�ำบลห้วยผา ได้แก่ หมู่ท่ี ๗ ลกั ษณะบา้ นลาหู่ สรา้ งดว้ ยไมไ้ ผ่ เสาไม้ หลงั คา
หว้ ยส้านใหม่ และหมู่ที่ ๘ ห้วยส้านใน แฝกหรือคา หนา้ บา้ นมีนอกชาน มีเตาไฟ ก่อไวก้ ลางบ้าน
หรอื มมุ บา้ นสำ� หรบั ใหค้ วามอบอนุ่ ในฤดหู นาว หงุ ตม้ อาหาร
๒. อ�ำเภอปาย และใช้เป็นท่ีต้อนรับแขก บ้านเรือนของเผ่าลาหู่ส่วนมาก
ปลูกยกพ้ืนใต้ถุนสูง ซ่ึงจะใช้เป็นที่เก็บฟืน เสาบ้านเป็น
๘ หย่อมบ้าน ในพน้ื ท่ี ๓ ต�ำบล ดงั น้ี ไม้เน้ือแข็ง พื้นฟาก ฝาฟาก มุงด้วยใบก้อหรือหญ้าคา
๒.๑ ต�ำบลเวียงเหนือ ๔ หย่อมบ้าน ได้แก่ ที่มัดเป็นฟ่อนทับกันหนาแน่น ซึ่งการมุงแบบนี้ท�ำให้
หมู่ที่ ๔ หย่อมบ้านปายสองแง่ หย่อมบ้านหัวปาย ใช้ได้ทน และอบอุ่น ในฤดูหนาว ตัวบ้านแบ่งออกเป็น
หย่อมบา้ นดอยผักกดู และหมทู่ ่ี ๖ หย่อมบ้านปา่ ซาง ๒ ตอน ตอนหนา้ เปน็ ชานนอกชายคา ปดู ว้ ยไมฟ้ าก มบี นั ได
๒.๒ ต�ำบลแม่นาเติง ๓ หย่อมบ้าน ได้แก่ เป็นไม้ท่อนยาวพาดจากพ้ืนดินขึ้นไปสู่บ้าน ตอนหลังเป็น
หมู่ท่ี ๓ หย่อมบ้านป่ายาง หมู่ที่ ๔ หย่อมบ้านยะโป๋ ห้องสี่เหลี่ยมกว้าง ๓-๔ เมตร มีฝาสานรอบทุกด้าน
หม่ทู ี่ ๙ หยอ่ มบา้ นในของ สงู ประมาณ ๑ เมตรครึง่ ท�ำด้วยไมไ้ ผ่ล้วนไมม่ เี พดาน
๒.๓ ต�ำบลแม่ฮี้ ๑ หย่อมบ้าน ได้แก่ หมู่ที่ ๔ ลกั ษณะครอบครัว
หย่อมบา้ นหว้ ยหวาย โดยปกติแล้วจะอยู่ร่วมกันทั้งครอบครัวลาหู่
มลี กั ษณะเปน็ ครอบครัวเดียว ภายในครอบครวั หนงึ่ จะมี
๓. อำ� เภอปางมะผา้ สมาชิกอยหู่ ลายคนคอื พอ่ แม่ ลกู ชาย ลูกสาว หลานและ
มีผู้เฒ่าผู้แก่ด้วย ถ้ามีเหตุการณ์ร้ายๆเกิดขึ้นในครัวเรือน
๑๖ หม่บู า้ น ๗ หยอ่ มบา้ น ในพื้นท่ี ๔ ตำ� บล หรอื กบั สมาชกิ คนใดคนหนง่ึ สมาชกิ ทกุ คนในครวั เรอื นนน้ั ๆ
๓.๑ ตำ� บลสบปอ่ ง ๒ หย่อมบา้ น ไดแ้ ก่ หมทู่ ่ี ๕ ก็จะช่วยการแก้ไขปัญหาร่วมกัน แล้วถ้าหากในครัวเรือน
หย่อมบา้ นหนองขาว และหมู่ที่ ๘ หย่อมบา้ นดงมะไฟ มีงานแต่งงานเกิดขึ้นไม่ว่าของบุตรชาย หรือบุตรสาว
๓.๒ ต�ำบลปางมะผ้า ๗ หมบู่ ้าน ๑ หย่อมบา้ น หัวหน้าครัวเรือนคือพ่อต้องจัดงานแต่งงานตามระบบ
ไดแ้ ก่ หมทู่ ่ี ๔ จา่ โบ่ หมทู่ ี่ ๕ ยาป่าแหน และหยอ่ มบา้ น จารีตประเพณีของลาห่ทู ม่ี ีอยูใ่ หก้ ับบุตรของตน
ผาเจริญ หมู่ที่ ๖ ผาแดง หมู่ท่ี ๘ ห้วยเฮ๊ียะ หมู่ท่ี ๙ ลกั ษณะสังคม
ลกุ ขา้ วหลาม หมูท่ ี่ ๑๐ ผาเผอื ก หมทู่ ่ี ๑๑ บ่อไคร้ กลมุ่ ชาตพิ นั ธล์ุ าหมู่ ลี กั ษณะสงั คมเกษตรกรรม
๓.๓ ตำ� บลถำ�้ ลอด ๕ หมบู่ า้ น ๑ หยอ่ มบา้ น ไดแ้ ก่ เพอื่ การยงั ชพี ความอยรู่ อดของชาวลาหู่ ขน้ึ อยกู่ บั ธรรมชาติ
หมทู่ ี่ ๒ แสนคำ� ลอื และหยอ่ มบา้ นแอโก๋ หมทู่ ่ี ๓ วนาหลวง อย่างกลมกลนื ไม่ว่าเปน็ ดิน ความพอดขี องน�ำ้ จากทอ้ งฟ้า
หมทู่ ี่ ๔ ผามอน หมทู่ ี่ ๖ ห้วยแห้ง หมู่ที่ ๗ แอลา วัฒนธรรมของชาวลาหู่ ผูกพันเป็นน�้ำหนึ่งอันเดียวกับ
๓.๔ ต�ำบลนาปู่ป้อม ๔ หมู่บ้าน ๓ หย่อมบ้าน ธรรมชาตไิ ดส้ ะทอ้ นออกมาในรปู แบบวรรณกรรมปากเปลา่
ได้แก่ หมู่ที่ ๓ ปางบอน และหย่อมบ้านอาโจ้ หมู่ท่ี ๗ ซ่ึงผู้น�ำศาสนามักจะสอนศาสนิกชนของตน ดังความว่า
หยอ่ มบ้านไมซ้ างหนาม หม่ทู ี่ ๘ ซอแบะ หมทู่ ่ี ๑๑ ป่าโหล “กระดูกของเราเป็นก้อนหิน เนื้อหนังของเราเป็นดิน
และหยอ่ มบา้ นปางโยน หม่ทู ี่ ๑๒ ปางคอง สายเลอื ดเปน็ สายนำ�้ ลมหายใจเปน็ อากาศ และความอบอนุ่
ภายในกายเป็นแสงแดด” ดินเป็นตัวแทนธรรมชาติที่มี
ความผกู พนั ท่ีใกลช้ ิดมนุษย์
134 กล่มุ ชาตพิ ันธุ์ จังหวัดแม่ฮอ่ งสอน อตั ลกั ษณท์ างวฒั นธรรม
ภาษา วฒั นธรรมการแตง่ กาย
กลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่พูดภาษาธิเบต - พม่า ชาวลาหู่ในแต่ละกลุ่มมีเครื่องแต่งกายที่เป็น
ซ่ึงคล้ายคลึงกับอาข่าและลีซู ภาษาลาหู่นะและลาหู่ยี ลักษณะเฉพาะตัวในด้านสีสัน และผ้าของลาหู่ ใช้ผ้าสีด�ำ
ไม่ต่างกันไมม่ ากนกั จงึ ฟังกนั ร้เู รอื่ ง โดยภาษาพูดเปน็ การ หรือผ้าสีฟ้าและสีแดง ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าลาหู่กลุ่มใด และ
สืบทอดต่อๆ กันมาต้ังแต่สมัยบรรพบุรุษมาถึงปัจจุบัน ตกแต่งด้วยผ้าหลายสีเป็นลวดลายสวยงาม รูปแบบของ
โดยแสดงถึงวัฒนธรรมด้านภาษาของตนเอง ภาษาลาหู่ เสื้อลาหู่จึงแตกต่างกันไปตามกลุ่ม ปัจจุบันชาวลาหู่ใน
มแี ตภ่ าษาพดู เทา่ นนั้ การสบื ทอด และการสอ่ื สารตา่ งๆ นน้ั จังหวัดแม่ฮ่องสอนยังแต่งกายด้วย ชุดชาติพันธุ์ท้ังใน
สบื ทอด โดยใช้ระบบความจำ� พูด ฟัง เท่านั้น จะไมม่ ภี าษา ชีวิตประจ�ำวันและเทศกาลพิเศษ เนื่องจากวัฒนธรรม
เขียนเป็นของตนเอง แต่ต่อมาภายหลังมีมิชชันนารี การแต่งกายของชาวลาหู่ ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้รับ
จากโลกตะวันตกได้ใช้อักษรโรมันสร้างระบบการเขียน การส่งเสรมิ จากภาคสว่ นตา่ งๆ ให้เป็นทนุ ทางวฒั นธรรมท่ี
ภาษาลาหู่ข้ึน สามารถสร้างรายได้ ใหแ้ ก่ชาวลาหู่ได้
การประกอบอาชีพ ลักษณะการแต่งกายของลาหู่ด�ำ เน้นสีด�ำ
ชาวลาหปู่ ระกอบอาชพี เกษตรกรรม เชน่ ทำ� ไร่ เปน็ หลกั ทงั้ ผูห้ ญิงและผ้ชู าย โดย ผู้หญิง เปน็ เสอ้ื แขนยาว
ทำ� สวน ปลกู ขา้ ว ขา้ วโพด และพชื หมนุ เวยี นเพอื่ การบรโิ ภค ตวั ยาวถึงคร่ึงนอ่ ง ผ่าหนา้ ขลบิ ชายเส้ือและตกแต่งตัวเสอ้ื
ในครอบครวั และเพอื่ ขาย นอกจากทำ� การเกษตร ชาวลาหู่ ดว้ ยผา้ สขี าว สฟี า้ หรอื สเี ขยี ว สแี ดง และสเี หลอื ง โดยสตี า่ งๆ
ยังนยิ มการเลี้ยงสัตวค์ วบคไู่ ปด้วย เชน่ หมแู ละไก่ ซง่ึ จะมี บนตัวเสื้อมีความหมายถึงส่ิงที่บ่งบอกวิถีวัฒนธรรมของ
การเลย้ี งไว้แทบทุกบ้านเพอ่ื ขาย และใชป้ ระกอบพธิ กี รรม ชาวลาหดู่ ำ� คอื สดี ำ� หมายถงึ ตวั ตนของชาวลาหู่ หรอื หมดู ำ�
นอกจากนห้ี มบู่ า้ นชาวลาหบู่ างหมบู่ า้ นยงั มศี กั ยภาพในการ สขี าว หมายถงึ ขา้ วปุก๊ คอื ขา้ วเหนียวทีเ่ อามาตำ� โรยเกลือ
นำ� ทนุ ทางวฒั นธรรมทต่ี นมที งั้ วถิ วี ฒั นธรรม ผลติ ภณั ฑท์ อ้ งถนิ่ และงา ซ่ึงเป็นเคร่ืองประกอบพิธีกรรมในประเพณีปีใหม่
เป็นสินค้าทางวัฒนธรรม และเป็นแหล่งท่องเท่ียวเชิงวิถี ชองลาหู่ คล้ายกับของกลุ่มชาติพันธุ์อ่ืน สีฟ้าหรือสีเขียว
วัฒนธรรมที่ได้รับการสนใจและเป็นที่รู้จัก เช่นบ้านจ่าโบ่ หมายถึง พืชผกั สีแดง หมายถงึ เลอื ดหมู ซ่ึงเปน็ อีกส่ิงหนึ่ง
หมทู่ ี่ ๔ ตำ� บลปางมะผา้ อำ� เภอปางมะผา้ จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน ที่ชาวลาหู่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมตามประเพณีเช่นกัน
อาหาร และ สีเหลือง หมายถึง น้�ำชา ซึ่งชาวลาหู่ใช้ในประเพณี
กลมุ่ ชาติพันธลุ์ าหใู่ นจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน มีวถิ ี แต่งงาน นุ่งกางเกงขาก๊วยสีด�ำ โพกศีรษะด้วยผ้าด�ำยาว
ชวี ิตท่เี รียบง่าย แหลง่ อาหารมาจากการปลกู พืช เลย้ี งสัตว์ และปล่อยชายผ้าห้อยไปข้างหลังยาวประมาณ ๑ ฟุต
และการหาของป่าตามธรรมชาติเป็นอาหารตามฤดูกาล ปจั จบุ นั ใชผ้ า้ เชด็ ตวั โพกศรี ษะแทน ใชผ้ า้ สดี ำ� ขลบิ ขาวพนั แขง้
ทงั้ นช้ี าวลาหใู่ นจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอนจะมเี มนปู ระจำ� ครอบครวั ส่วนผูช้ าย เป็นเส้ือสดี ำ� แขนยาว ผา่ หนา้ ยาวเพียงบนั้ เอว
และเปน็ ที่นิยมของบคุ คลภายนอก คอื น้ำ� พรกิ มเู ซอ(ลาห่)ู สวมกางเกงขากว๊ ยสดี �ำ
ที่มสี ว่ นผสมน้อยและวิธที �ำทง่ี า่ ย เพยี งนำ� พริกสดมาตำ� กับ
เกลือ ถัว่ เน่า และผกั ชี กน็ ำ� มาทานกบั ผักสด ผักตม้ และ
อาหารส�ำรบั อืน่ ได้
เคร่อื งแตง่ กายชาวลาห่ดู �ำ
กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ จังหวัดแมฮ่ อ่ งสอน 135
ลกั ษณะการแตง่ กายของลาหแู่ ดง เปน็ หลกั เชน่ กนั เดยี วกบั เสอ้ื มลี ายสตี า่ งๆ สลบั กนั อยทู่ เ่ี ชงิ ผา้ โดยเนน้ สแี ดง
แตผ่ หู้ ญงิ จะสวมเสอื้ พนื้ สดี ำ� หรอื สฟี า้ แขนยาว ตวั สนั้ เพยี ง เป็นหลกั ส่วนผู้ชาย สวมเส้อื สดี ำ� ผ่าหน้า กระดุมโลหะเงิน
สะโพก ผา่ หนา้ ตดิ แถบผา้ สแี ดงทสี่ าบเสอื้ รอบชายเสอื้ และ หรอื กระดมุ เปลอื กหอย กางเกงขากว๊ ย สดี ำ� หลวมๆ ยาวลง
แขน และอาจตกแต่งเส้ือด้วยโลหะสีเงิน ส่วนผ้าซิ่นพื้นสี ไปแค่เขา่ หรอื ใตเ้ ข่าเลก็ น้อย
เครอ่ื งแตง่ กายชาวลาหู่แดง
ความเชอื่ ศาสนา พธิ ีกรรม แต่มที ้ังผีดี และรา้ ย ต้ังแต่ในเรอื นไปจนท่วั บริเวณหมูบ่ า้ น
กลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่นับถือผี มีบรรพบุรุษและ เช่น ผีหมู่บ้าน ผีเรือน เป็นผีท่ีคอยให้ความคุ้มครอง
ส่งิ ศกั ดิส์ ทิ ธเ์ิ ป็นหลัก แต่ปัจจุบนั ก็มีการนับถือศาสนาพทุ ธ สว่ นผนี ำ�้ ผปี า่ ผดี อยและผอี นื่ ๆ ทอ่ี ยนู่ อกบา้ น ถอื เปน็ ผรี า้ ย
หรือศาสนาคริสต์มากขึ้น มีความเช่ือที่มีพิธีกรรมเข้ามา ทใี่ หโ้ ทษตอ่ คน จงึ มพี ธิ กี รรม ทเี่ ปน็ แนวปฏบิ ตั สิ บื ตอ่ กนั มา
เก่ียวข้องในการด�ำรงชีวิต การเกิด เจ็บ ตาย บุคคลท่ีมี และเปน็ สิง่ ยดึ เหนยี่ วจิตใจของชาวลาหู่
อทิ ธพิ ลในหมบู่ า้ นมากทสี่ ดุ ไดแ้ ก่ ผนู้ ำ� ทางพธิ กี รรม ซง่ึ เปน็ ประเพณี
ผู้ตัดสิน ชี้แนะ ท�ำนายทายทัก รักษาอาการเจ็บป่วยด้วย ประเพณีส�ำคัญที่กลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ในจังหวัด
สมุนไพร หรือภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น แม่ฮ่องสอน มีการสืบสานทุกปี คือประเพณี เขาะเจ๊าเว
ความเช่ือของชาวลาหู่จะมีทั้ง ความเชื่อเร่ือง แปลวา่ «ปใี หมก่ ารกินวอ» หรือประเพณีวนั ขน้ึ ปีใหม่ เปน็
พระเจ้า หรือ อ่ือซา ท่ีเช่ือว่า พระเจ้าเป็นผู้ย่ิงใหญ่ ผู้ให้ เทศกาลใหญป่ ระจ�ำปี ซ่ึงจัดข้ึนปีละครัง้ เทา่ นั้นในเทศกาล
กำ� เนดิ โลกและความดที งั้ ปวง การบชู าสวดออ้ นวอน ออื่ ซา นี้ชาวลาหู่ที่ยืดถือประเพณีความเชื่อด้ังเดิมจะหยุดงาน
ถอื เป็น สงิ่ สำ� คญั เพราะจะบนั ดาลให้ทกุ คนสมบรู ณ์พูนสขุ มารว่ มฉลองเทศกาล และจดั งาน รนื่ เรงิ กนั ทง้ั ชมุ ชน ชาวลาหู่
ขา้ วปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ อย่างเช่นเทศกาลปีใหม่ หรอื จะไมอ่ อกจากชมุ ชนของตน (นอกจากเดนิ ทางไปรว่ มฉลอง
กินวอ (เขาะจาเว) ช่วงปลายเดือนมกราคม หรือเดือน เทศกาลนก้ี บั ชมุ ชนอนื่ ๆ) หนมุ่ สาวทไี่ ปทำ� งาน หรอื แตง่ งาน
กุมภาพันธ์ของทุกปี ทุกหลังคาเรือน ทุกกลุ่มบ้าน หรือ อยตู่ า่ งบา้ น จะกลบั มาบา้ นมารว่ มทำ� พธิ กี รรมในชว่ งกลางวนั
หม่บู า้ นก็ต้องทำ� การบูชา และอธิษฐานขอพรใหไ้ ดผ้ ลผลิต และรว่ มเตน้ จะคึ ซงึ่ เปน็ การเตน้ รำ� แบบลาหู่ อยา่ งสนกุ สนาน
ทดี่ ีในรอบปีน้นั ๆ และขอโชคลาภในปตี ่อไป นอกจากน้ใี น กนั ทงั้ คำ�่ คนื เพอื่ อวยพรแกเ่ ทพเจา้ ทน่ี บั ถอื โดยในระหวา่ งน้ี
ความเชอื่ เรอ่ื งผี หรอื วญิ ญาณ นนั้ ชาวลาหเู่ ชอื่ วา่ มอี ยทู่ ว่ั ไป
136 กลุม่ ชาตพิ นั ธ์ุ จงั หวัดแม่ฮอ่ งสอน
ชาวลาหจู่ ะมขี อ้ หา้ มมใิ หเ้ กบ็ ไมไ้ ผแ่ ละใบตองเขา้ มาในบา้ น เครอ่ื งดนตรี การละเลน่
เพราะเปน็ สงิ่ ทต่ี อ้ งใชใ้ นการประกอบพธิ รี ว่ มกนั ทลี่ านจะคึ ชาวลาหู่มีเคร่ืองดนตรีประจ�ำกลุ่มชาติพันธุ์
ประเพณี เขาะเจา๊ เว ของลาหไู่ มไ่ ดก้ �ำหนดวัน คือ จิ๊แหล่ หรือ แคนน้�ำเต้า โดยจ๊ิแหล่มี ๓ ขนาด และ
ไวอ้ ยา่ งเฉพาะเจาะจงวา่ จะจดั ขนึ้ วนั ไหน แตจ่ ะมกี ารตกลง มีชื่อเรียกตามขนาดที่ต่างกัน ดังน้ี ขนาดใหญ่ เรียกว่า
ร่วมกันให้จัดในช่วงเวลาที่สมาชิกของชุมชนเสร็จส้ินจาก หลุกุหม่ะ ขนาดกลาง เรียกว่า โต๊วเลหมื่อ ขนาดเล็ก
ภาระกิจการงานต่างๆ ตามอาชีพที่ท�ำอยู่ และเม่ือเห็นว่า เรียกว่า หน่อจ๊ิแหล่ จ๊ิแหล่เป็นเครื่องดนตรี ที่ชาวลาหู่
สมาชิกส่วนใหญ่อยู่พร้อมเพรียงกัน เพราะการท�ำงาน บรรเลง ทงั้ ในงานประเพณสี ำ� คญั เชน่ ในประเพณเี ขาะเจา๊ เว
ไมว่ า่ จะเปน็ ทำ� ไร่ ทำ� สวน กต็ ามสว่ นมากกจ็ ะทำ� เหมอื นกนั หรือกินวอ เพื่อเป็นจังหวะในกิจกรรมเต้นจะคึ หน่ึงใน
และเรม่ิ พรอ้ มกนั เมอ่ื เกบ็ เกย่ี วพชื ผลของตนเสรจ็ แลว้ กจ็ ะ กิจกรรมท่ีส�ำคัญในประเพณีน้ี นอกจากน้ัน ชายชาวลาหู่
จดั งานกนิ วอกนั ขน้ึ ดงั นน้ั การจดั งานดงั กลา่ วของชาวลาหู่ ยังเป่าจ๊ิแหล่ ยามว่างเว้นจากการงาน หรือ เป็นสิ่งที่ใช้
เมอ่ื อยตู่ า่ งหมบู่ า้ นกนั กอ็ าจจะไมไ่ ดจ้ ดั พรอ้ มกนั กไ็ ด้ เพราะ ในการเกย้ี วพาราสสี าวๆ ได้อกี ด้วย
ในแตล่ ะหมบู่ า้ นอาจจะมคี วามพรอ้ มในการจดั งานดงั กลา่ ว
ไม่พร้อมกัน โดยห้วงเวลาท่ีจัดประเพณีน้ีอยู่ในห้วง
เดือนกุมภาพันธ์ - เดอื นเมษายน
ในประเพณี เขาะเจ๊าเว ของชาวลาหู่ จะใช้
หมดู ำ� เป็นหลักในการสังเวยและเล้ียงกัน กล่าวคือ จะมี
การฆ่าหมูด�ำ แล้วเอาส่วนท่ีเป็นเนื้อหมูและข้าวปุ๊ก คือ
ข้าวเหนียวน่ึงท่ีน่ึงแล้วมาต�ำคลุกกับเกลือและงา ปั้นเป็น
กอ้ นกลมๆ นำ� ไปเซน่ สงั เวยตอ่ เทพเจา้ ออื่ ซา ซง่ึ เปน็ เทพเจา้
ทช่ี าวลาหู่ใหค้ วามเคารพนบั ถือ แลว้ จงึ นำ้� เน้อื หมูดงั กลา่ ว
มาปรงุ หรอื ท�ำเป็นอาหารเล้ยี งกนั อย่างเตม็ ที่
ความรแู้ ละภูมิปญั ญา
กลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หน่ึง
ที่ มี ม ร ด ก ท า ง วั ฒ น ธ ร ร ม ท่ี ดี ง า ม ม า ก ม า ย ไ ม ่ แ พ ้
กลุม่ ชาติพันธุ์อ่ืนๆ เชน่ ภาษา การแต่งกาย หตั ถกรรม
ศิลปะการแสดงและดนตรี ฯลฯ ส่ิงที่โดดเด่น และ
เป็นที่รู้จักของบุคคลท่ัวไปได้แก่ การเป่าแคน และ
การเต้นจะคึ องค์ความรู้ภูมิปัญญาเหล่านี้ชาวลาหู่ได้มี
การสบื ทอดถา่ ยทอดจากรนุ่ สรู่ นุ่ ผา่ นกระบวนการเรยี น
รู้ตามวิถีชีวิตเป็นอีกหนึ่งกลุ่มชาติพันธุ์ท่ีมีภูมิปัญญา
และได้สืบทอดต่อมา ปัจจุบันเป็นทุนทางวัฒนธรรม
ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชนชาวลาหู่ในพื้นท่ีได้
ได้แก่ ด้านหัตถกรรมพ้ืนบ้าน ได้แก่ การเย็บเส้ือผ้า
ชุดชาติพันธุ์ลาหู่ กระเป๋าลาหู่ งานจักสาน การผลิต
เครอื่ งมอื เคร่ืองใชใ้ นชวี ติ ประจำ� วัน
ลซี ู กลุ่มชาติพนั ธ์ุ จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน 137
ช่ือเรยี กตวั เอง ลซี ู
ชือ่ ที่ผ้อู ืน่ เรยี ก ลีซ,ู ลีซอ
การตัง้ ถ่ินฐาน ในจงั หวัดแม่ฮ่องสอน มีกล่มุ ชาติพันธุ์ลีซูในพืน้ ท่ี ๑๑ หมู่บ้าน ๙ หยอ่ มบา้ น
ใน ๓ อำ� เภอ ดังน้ี
138 กลุม่ ชาติพันธ์ุ จงั หวัดแม่ฮอ่ งสอน บรบิ ททางสงั คมและวฒั นธรรม
๑. อำ� เภอเมอื งแมฮ่ ่องสอน ชาวลซี อเรยี กตนเองวา่ “ลซี ู” โดยค�ำวา่ “ล”ี
มาจาก “อหิ๊ ล”่ี แปลวา่ จารตี ประเพณหี รอื วฒั นธรรม “ซ”ู
๑ หย่อมบ้าน ในพ้ืนท่ี ต�ำบลปางหมู คือ หย่อมบ้าน แปลวา่ “คน” มีความหมายว่ากลุ่มชนทีม่ ขี นบธรรมเนียม
กงุ ปา่ ตงึ จารีตประเพณี และมีความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของ
ตนเอง ในอกี หนงึ่ ความหมายทมี่ ผี กู้ ลา่ วไว้ คอื ลซี ู หมายถงึ
๒. อำ� เภอปาย ชนผู้ใฝ่รู้แห่งชีวิต มาจาก “ลี” ซึ่งมาจากค�ำว่าอ๊ิหลี่
ซ่ึงหมายถึง จารีตประเพณี วัฒนธรรม และวิถีปฏิบัติ
มกี ลุ่มชาติพนั ธุ์กระจายอย่ใู นพืน้ ทที่ ง้ั ๗ ต�ำบล ดงั นี้ แห่งชีวิต และ “ซู” มีความหมายว่า ศึกษา การเรียนรู้
๒.๑ ต�ำบลเวียงใต้ ๑ หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ ๗ ท้ังการเรียนร้ใู นเชงิ ทฤษฏแี ละเชิงปฏบิ ัติ
ใหมส่ หสัมพันธ์ ลักษณะบ้านเรือนทีพ่ กั อาศยั
๒.๒ ตำ� บลเวยี งเหนือ ๑ หมู่บา้ น ๑ หยอ่ มบา้ น ชาวลีซูในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ส่วนใหญ่ตั้ง
ไดแ้ ก่ หมูท่ ี่ ๔ หยอ่ มบ้านห้วยช้างเฒา่ หมทู่ ี่ ๗ หวั แมเ่ มอื ง บ้านเรือนในที่ราบ นิยมสร้างบ้านชั้นเดียว แบบเรียบง่าย
๒.๓ ตำ� บลแมน่ าเตงิ ๓ หม่บู า้ น ๑ หยอ่ มบ้าน แบง่ เปน็ พนื้ ทสี่ ว่ นโถงกลางบา้ นทมี่ จี ะมหี งิ้ บชู าผบี รรพบรุ ษุ
ได้แก่ หมู่ที่ ๗ ปางแปก หมู่ที่ ๙ ดอยผีลู หย่อมบ้าน ผบี า้ นผเี รอื น สว่ นของหอ้ งนอน และหอ้ งครวั โดยมหี อ้ งนำ้�
น้�ำปลามุง หมู่ท่ี ๑๐ ไทรงาม จากตวั เรอื น
๒.๔ ต�ำบลแม่ฮ้ี ๒ หย่อมบ้าน ได้แก่ หมู่ที่ ๑ ลักษณะครอบครวั
หย่อมบ้านหวั แมเ่ ยน็ หมทู่ ี่ ๔ หยอ่ มบา้ นแมย่ ะน้อย ครอบครัวของชาวลีซูมีท้ังท่ีเป็นลักษณะ
๒.๕ ตำ� บลทงุ่ ยาว ๑ หมบู่ า้ น คอื หมทู่ ี่ ๗ แมอ่ แี ลบ ครอบครวั เดี่ยว ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลกู และครอบครวั
๒.๖ ตำ� บลเมอื งแปง ๑ หยอ่ มบา้ น คอื หยอ่ มบา้ น ขยาย เชน่ ครอบครวั ทม่ี บี ตุ รชายแตง่ งานกบั หญงิ สาว แลว้
ดอยหมากพริก หญิงสาวเข้ามาอยู่ในหลังคาเรือนเดียวกัน หรือชายเข้าไป
๒.๗ ต�ำบลโป่งสา ๑ หย่อมบ้าน คือ หมู่ท่ี ๔ อยู่ในครอบครัวของพ่อแม่ฝ่ายหญิงหลังแต่งงาน แต่เมื่อมี
แมเ่ หมืองหลวงลซี อ ความพรอ้ ม ชายหญงิ ทแ่ี ตง่ งานกนั แลว้ นน้ั กจ็ ะแยกไปปลกู
สร้างบ้านของตนเป็นครอบครัวใหม่ ชาวลีซูมีการสืบ
๓. อ�ำเภอปางมะผ้า เชอื้ สายทางบดิ า ภรรยาและบตุ รจะใชแ้ ซส่ กลุ ของฝา่ ยชาย
ผชู้ ายเปน็ ผนู้ ำ� ครอบครวั มบี ทบาทหนา้ ทรี่ บั ผดิ ชอบเลยี้ งดู
มกี ลมุ่ ชาตพิ นั ธล์ุ ซี ู ในพน้ื ทตี่ ำ� บลสบปอ่ ง ตำ� บลเดยี ว สมาชิกครอบครัว มีบทบาทด้านพิธีกรรมความเชื่อต่างๆ
โดยมีชมุ ชนชน ชาวลซี ู ใน ๕ หม่บู า้ น ๒ หยอ่ มบ้าน ได้แก่ รวมถงึ บทบาทในกจิ กรรมตา่ งๆทเ่ี ปน็ สว่ นรวม สว่ นฝา่ ยหญงิ
หมู่ที่ ๒ น�้ำริน หมู่ท่ี ๓ หย่อมบ้านน้�ำบ่อสะเป่ หมู่ท่ี ๔ มบี ทบาทในการตดั สนิ ใจเลอื กเมลด็ พนั ธส์ุ ำ� หรบั การเพาะปลกู
หนองผาจำ�้ หมทู่ ี่ ๖ ก๊ึดสามสบิ หย่อมบา้ นนาอ่อน หมทู่ ี่ ๗ และการดแู ลความเป็นอยขู่ องคนในครอบครวั
หนองตอง หมู่ ๘ แม่หมลู ซี อ
ลกั ษณะสงั คม กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ จังหวดั แมฮ่ ่องสอน 139
สงั คมชาวลซี ใู นจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน แมป้ จั จบุ นั
จะมผี นู้ ำ� ทไี่ ดร้ บั การแตง่ ตง้ั จากทางราชการ หรอื หนว่ ยงาน อัตลักษณ์ทางวฒั นธรรม
ภายนอก แตค่ นในชมุ ชนยงั คงใหค้ วามสำ� คญั กบั มอื หมอื ผะ
หรือหมอเมือง(ผู้น�ำในการประกอบพิธีกรรม) ต�ำแหน่งน้ี วฒั นธรรมการแตง่ กาย
จะถูกก�ำหนดหรือแต่งต้ังโดย อาปาโหม่ โดยพิธีเส่ียงทาย กลุ่มชาติพันธุ์ลีซูในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ยังคง
ซงึ่ แตล่ ะชมุ ชนมี มอื หมอื ผะ ไดเ้ พยี งคนเดยี ว ทำ� หนา้ ทเี่ ปน็ วถิ วี ฒั นธรรมการแตง่ กายตามเอกลกั ษณข์ องกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ
ผนู้ ำ� ในการประกอบพธิ กี รรมของหมบู่ า้ น และเปน็ ตวั กลาง โดยในการใช้ชีวิตประจ�ำวันตามปกติก็จะแต่งกายแบบ
ระหว่างเทพพิทักษ์ในหมู่บ้าน และท�ำหน้าท่ีก�ำหนดวัน เรยี บงา่ ย ผชู้ ายยงั คงนยิ มสวมกางเกงลซี ู เปน็ กางเกงขากวา้ ง
ในการจดั กจิ กรรมสำ� คญั ตามประเพณี และ ผอู้ าวโุ สในหมบู่ า้ น ยาวเลยเข่าเล็กน้อยส่วนใหญ่ เป็น สีฟ้า สีเขียว สีน�้ำเงิน
คนในชมุ ชนจะใหค้ วามเคารพนบั ถอื และเชอื่ ฟงั รบั ฟงั ความเหน็ ทั้งเป็นผ้าพิมพ์ลายและผ้าสีพื้น แต่สีท่ีผู้ชายชาวลีซูจะไม่
ขอ้ เสนอแนะในการดำ� เนนิ กจิ กรรมต่างๆ ของชมุ ชน น�ำมาสวมใส่ คือสีด�ำ โดยในสมัยปัจจุบันจะสวมเส้ือยืด
ชาวลีซูในจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะ ธรรมดา ส่วนผู้หญิงก็จะสวม ชุดชาติพันธุ์ลีซู ท่ีจะมี
ที่อยู่ในอ�ำเภอปายมักจะติดต่อค้าขายและใกล้ชิดกลับ เสอ้ื คอจีน มกี ระดุม ตวั ยาวถงึ แข้ง ผา่ ข้างท้ัง ๒ ขา้ ง ตั้งแต่
กลุ่มชาติพันธุ์อื่นเสมอ โดยเฉพาะชาวจีนยูนนาน ซ่ึงจะมี ช่วงเอวลงไป แขนยาว ใส่กับกางเกงลีซูสีด�ำ คาดเข็มขัด
ความสัมพันธ์ใกล้ชิดเน่ืองจากมีชุมชนอยู่ใกล้กัน และมี หรอื รดั เอว แตใ่ นเทศกาลสำ� คญั โดยเฉพาะประเพณโี ขวเ่ ซยย่ี
ประเพณีวัฒนธรรมคล้ายกัน เช่น งานฉลองปีใหม่ หรือ หรอื ปใี หม่ ชาวลซี จู ะแตง่ ตวั ดว้ ยชดุ ชาตพิ นั ธค์ุ รบองคป์ ระกอบ
การเซน่ ไหวบ้ รรพบรุ ษุ เปน็ ตน้ โดยผู้ชายจะสวมเส้ือคลุมสีด�ำปักเงินทับข้างนอก และ
ภาษา สวมหมวก ส่วนผู้หญิงจะมีหมวกท่ีมี พู่ระย้าห้อย เข็มขัด
ภาษาลีซออยู่ในกลุ่มเดียวกันกับภาษามูเซอ ท่ีใช้อาจจะใช้เข็มขัดเงิน และห้อยเชือกลีซูไว้ด้านหลัง
และอกี อ้ ซงึ่ เปน็ ตระกลู จนี -ธเิ บต (Sino-Tibetan) ชาวลซี ู ลักษณะการแต่งกายของหญิงลีซอ มีความโดดเด่นมาก
ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ยังคงใช้ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ ต้ังแต่ผ้าโพกหัว ท่ีเป็นทรงป้านกลม ตกแต่งด้วยลูกปัด
สื่อสารระหว่างกัน และสามารถใช้ภาษาท้องถ่ินของ และพ่ปู ระดับหลากสี
กลุม่ ชาติพนั ธ์ุอืน่ ในพน้ื ทเี่ พอื่ ส่ือสารได้
การประกอบอาชีพ
ชาวลซี ดู งั้ เดมิ มคี วามเปน็ อยเู่ รยี บงา่ ย ประกอบ
อาชีพท�ำไร่ ปลูกข้าวและพืชพันธุ์ต่างๆ ไว้เล้ียงครอบครัว
อาชีพที่ส�ำคัญของชาวลซี คู ือ การท�ำไร่ข้าว ซึ่งในไร่ข้าวจะ
มี พรกิ ถว่ั แตง และผกั ตา่ ง ๆ การทำ� ไรข่ า้ วเพยี งเพอื่ บรโิ ภค
ภายในครอบครวั ตลอดปีมากกว่าขายเป็นสนิ ค้า นอกจาก
นัน้ มีการปลูกพชื เศรษฐกจิ เช่น ข้าวโพด ถว่ั แดง กระเทียม
ปัจจุบันชาวลีซูรุ่นใหม่มีการประกอบอาชีพที่หลากหลาย
ตามโอกาส เชน่ คา้ ขาย ประกอบธรุ กจิ สว่ นตวั รบั จา้ ง ฯลฯ
อาหาร
ชาวลีซูมีวัฒนธรรมการกินที่เรียบง่าย มี
กรรมวิธกี ารประกอบอาหารแบบง่ายๆและมีส่วนผสมของ
วัตถดุ บิ ไมก่ ่อี ยา่ ง เชน่ การต้ม การผัด การต�ำนำ�้ พริก
140 กลุ่มชาติพนั ธุ์ จังหวดั แมฮ่ อ่ งสอน
ความเช่ือ ศาสนา พิธีกรรม ทำ� พธิ กี รรม และจดั งานรน่ื เรงิ เชน่ การทำ� บญุ ศาลเจา้ และ
ชาวลีซูมีระบบความเชื่อและนับถือผี แม้ เทพเจ้าต่างๆ ของชาวลีซู การขอศีลพรจากเทพเจ้าและ
ปจั จบุ นั บางสว่ นจะหนั มานบั ถอื ศาสนาพทุ ธ และศาสนาครสิ ต์ ผอู้ าวโุ ส การรอ้ งเพลง การเลน่ ดนตรี และการเตน้ รำ� เปน็ ตน้
แต่แนวปฏิบัติและความเช่ือการนับถือผียังปรากฏให้เหน็ ในประเพณีชาวลีซูจะกลับมาพร้อมหน้าช่วยกันจัดเตรียม
โดยทั่วไปของชาวลีซูในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ผีของชาวลีซู ของเซ่นไหว้บชู า อันประกอบดว้ ย เหล้าข้าวโพดหมกั กลัน่
มที ั้งผีประจำ� หมู่บา้ น ผบี ้าน ผเี รือน ผีบรรพบรุ ุษ ผีปา่ ผีน�้ำ ดว้ ยภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ น ขา้ วปกุ และหมู ๓ ชน้ั การจดั เตรยี ม
ผีล�ำห้วย ชาวลีซูจึงต้องสร้างศาลผีหรือท่ีบูชาเซ่นไหว้ สถานท่ีประกอบพิธีกรรม ท�ำความสะอาดศาลเจ้า และ
ตามทตี่ า่ งๆ ทชี่ าวลซี ดู ำ� เนนิ ชวี ติ ประจำ� วนั ผที ช่ี าวลซี นู บั ถอื สุสานบรรพบุรุษ โดยกิจกรรมจะเริ่มจากการเตรียมงาน
ทัง้ ที่ใหค้ ณุ และให้โทษ เชน่ ผที ีป่ ระจำ� ศาลเจา้ ของหมบู่ ้าน โดยในเย็นก่อนวันปีใหม่ ๒ วัน “มือหมือ”(ผู้น�ำในการ
ท่ีชาวลีซูเรียกว่า อาปาโหม่ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ิท่ีคอยปกปัก ประกอบพิธีกรรม) จะเป็นคนแช่ข้าวเหนียวที่จะใช้ในการ
รกั ษาคนในหมบู่ า้ นใหอ้ ยรู่ ม่ เยน็ เปน็ สขุ ซงึ่ ชาวลซี ใู นชมุ ชน ท�ำข้าวปกุ๊ เคร่ืองประกอบพิธีกรรมเป็นคนแรก จากน้นั จะ
ต้องจดั พิธกี รรมบวงสรวงเซ่นไหว้ เพื่อขอบคณุ ในการดแู ล จุดประทัดเป็นสัญญาณให้ชาวบ้านรับรู้ว่า“มือหมือ”ได้
รักษาทุกปี แต่ผจี รจัด ผไี มม่ ศี าลทั่วไป หากใครพลงั้ เผลอ ดำ� เนนิ การ แชข่ า้ วเหนยี วเรยี บรอ้ ยแลว้ ชาวบา้ นครอบครวั
กระท�ำการลบหลู่ จะบันดาลโทษให้แก่ผู้กระท�ำ จึงต้อง อ่ืนๆจึงจะแช่ข้าวเหนียวได้ วันรุ่งข้ึนซึ่งเป็นวันสุดท้าย
ทำ� การขอขมาและเซน่ ไหวด้ ว้ ยเครอ่ื งประกอบพธิ กี รรมตาม ของปี ตามปฏิทินลีซู หรือวันสุดท้ายของเดือน “หลายี”
เหตุการณ์ที่เกิดข้ึน ในแต่ละหมู่บ้านจึงมีหมอเมือง ผู้น�ำ (เดือน ๑๒) ชาวลีซูจะตื่นมาท�ำ“ป่าปาเตี๊ยะ” หรือขา้ วปุก๊
ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา มีหมอผีเป็นส่ือกลาง เรม่ิ จากการนง่ึ ขา้ วเหนยี ว เมอื่ ขา้ วสกุ แลว้ กจ็ ะนำ� ขา้ วเหนยี ว
ส่ือสารระหว่างคนกับผี โดยการเชิญวิญญาญผีมาส่ิงร่าง ไปตำ� ใน “ลทู วู ” หรอื ครกกระเดอ่ื งจนนมุ่ โรยดว้ ยเกลอื และ
เพอ่ื สอบถามเมอ่ื เกดิ การเจบ็ ปว่ ย แตป่ จั จบุ นั ชาวลซี รู นุ่ ใหม่ งาควั่ ปน่ ปน้ั เปน็ กอ้ นพอประมาณ ใสล่ งไปในใบตองทเี่ ตรยี มไว้
กใ็ ชบ้ รกิ ารแพทยส์ มยั ใหมแ่ ทนการทรงเจา้ เขา้ ผี และเลยี้ งผี โดยทบใบตองไปมาหนา้ ละ ๒ กอ้ น จนกระทงั่ ใบตองหมดแผน่
กลุ่มชาตพิ นั ธล์ุ ีซจู ะมปี ฏทิ นิ ของตวั เอง และมี จงึ ทำ� แผน่ ใหมเ่ รอ่ื ยๆจนหมด ชว่ งเยน็ ตอ้ งเตรยี มตน้ “โขเ่ ซยย่ี ”
การเรยี กวนั เดอื น ปขี องตน โดยจะเรยี ก วนั ตา่ งๆ เปน็ ชอ่ื สตั ว์ สว่ นมากชาวลซี ใู นจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอนใชต้ น้ สนซง่ึ จะเลอื กเอา
เชน่ วนั ศกุ ร์ ชาวลซี ู เรยี ก “วนั กระตา่ ย” และมวี นั พระหรอื จากตน้ ทม่ี ลี กั ษณะงาม ลำ� ตน้ เรยี วยาว สงู ประมาณ ๑.๕ เมตร
วันศลี เดอื นละ ๒ หน คอื วันท่เี ดือนเตม็ ดวง (เพ็ญ ๑๕ คำ่� ) โดยนำ� ตน้ “โขเ่ ซยยี่ ” มาปกั กลางลานบรเิ วณบา้ น จากนน้ั นำ�
และ วนั เดอื ดมืด(แรม ๑๕ คำ่� ) ซงึ่ มขี อ้ ห้ามในวันศลี ได้แก่ “ปา่ ปาเตี๊ยะ” หรอื ข้าวปุ๊ก และ“ซาซือ” หรอื หมสู ามชัน้
ห้ามใช้ของมคี ม เชน่ มีด ขวาน จอบ เสียม ห้ามทำ� งานใน ต้มหน่ั ยาวประมาณ ๖ - ๗ น้ิว มาแขวนทตี่ น้ โข่เซี่ยย พร้อม
ไร่ สวน ห้ามฆ่าสัตว์ และจะหยุดงานอยู่บ้านอยู่กับ จดุ ธปู ๒ ดอก และจะเตรยี มไขต่ ม้ และฝา้ ยมดั มอื ขนาดยาว
ครอบครวั สว่ นผหู้ ญงิ กเ็ ยบ็ ผา้ ปกั ผา้ สว่ นผชู้ าย ทำ� งานบา้ น ส�ำหรบั ผูกมอื ได้ เทา่ กบั จ�ำนวนสมาชกิ ในบ้าน โดยผู้อาวุโส
เลก็ ๆน้อยๆท่บี ้าน ในบา้ นทเี่ ปน็ ผชู้ ายในบา้ นจะเปน็ ผทู้ ำ� พธิ ี “โชวฮาควู ” หรอื
ประเพณแี ละวัฒนธรรม เรียกขวัญ โดยการเอาไข่ต้มทั้งหมด และเส้นด้ายท่ีจะใช้
ชาวลีซูในจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีประเพณีท่ียัง มัดวางขนถ้วยที่ใส่ข้าวสุกท่ีวางบนผ้าอีกชั้นหนึ่ง ไปยืน
คงสบื ทอดและจดั เปน็ ประจำ� ทกุ ปี คอื ประเพณโี ขเ่ ซย่ี ย คอื เรยี กขวญั ทหี่ นา้ ประตบู า้ นเมอ่ื ทำ� พธิ เี สรจ็ จงึ ทำ� การผกู ขอ้ มอื
ประเพณเี ฉลมิ ฉลองเนอื่ งในวนั เรม่ิ ตน้ ศกั ราชใหมข่ องชาวลซี ู สมาชิกในบ้านด้ายสายสิญจน์ และให้ไข่ต้มแก่สมาชิก
ชาวลีซูให้ความสําคัญกับประเพณีน้ีมาก เพราะเช่ือว่า คนละใบเป็นการอวยพรเป็นวันสําคัญที่จะได้เริ่มต้นสิ่งดีๆ
เป็นวันท่ีเร่ิมต้นส�ำหรับชีวิตและสิ่งใหม่ ให้ส่ิงเก่าๆ ท่ีไม่ดี ในชวี ิต
หมดไปพร้อมกับปีเก่า จึงต้องมีการเฉลิมฉลองด้วยการ
กลุ่มชาติพนั ธ์ุ จงั หวัดแม่ฮอ่ งสอน 141
ชาวลีซูมีเรื่องเล่าตามต�ำนานท่ีเล่าสืบทอดต่อ
กันมาว่า สมัยก่อนโจรป่าชุกชมุ และออกปล้นฆ่าชาวบ้าน
วันหนง่ึ ไดไ้ ปพบกบั หญิงหมา้ ยลกู ตดิ ท่ีแบกเด็กคนที่โตกวา่
ไว้บนหลัง แต่กลบั จงู เดก็ ซ่ึงเลก็ กวา่ ให้เดนิ ไปดว้ ยกนั เม่อื
โจรป่าได้ซักถามเหตุผล หญิงหม้ายให้การว่า เด็กโตเป็น
ลูกคนอื่นจึงต้องดูแลให้ดี ไม่ให้ล�ำบาก แต่เด็กเล็กเป็น
ลกู ตน แมล้ ำ� บากยงั มตี นเปน็ แมค่ อยประคบั ประคอง โจรปา่
ซาบซงึ้ ในคณุ ธรรมหญงิ หมา้ ย จงึ บอกใหห้ ญงิ หมา้ ย ตง้ั ตน้ สน
เปน็ สญั ลกั ษณห์ นา้ บา้ น เพอื่ จะไดร้ วู้ า่ บา้ นหลงั นหี้ ญงิ หมา้ ย
พกั อาศยั อยจู่ ะไดล้ ะเวน้ หากไดผ้ า่ นไปปลน้ ฆา่ ในละแวกนน้ั
แต่เม่ือหญิงหม้ายกลับไปถึงหมู่บ้าน กลับบอกทุกคน
ในหมบู่ า้ น ใหต้ ง้ั ตน้ สนไวห้ นา้ บา้ นเพอื่ ใหช้ าวบา้ นไดห้ ลดุ รอด
จากภยั อนั ตราย แตม่ เี พยี งบา้ นหญงิ หมา้ ย ทไี่ มม่ สี ญั ลกั ษณน์ นั้
เมอื่ โจรป่ามาพบ หญงิ หมา้ ยไดใ้ ห้เหตผุ ลวา่ หากเหลอื ตน
รอดคนเดยี วในหมบู่ า้ น ตนอยไู่ มไ่ ด้ แตห่ ากหมบู่ า้ นขาดตน
ไปคนเดยี ว หมบู่ า้ นตง้ั อยไู่ ด้ โจรปา่ ทราบซาบซง้ึ ในคณุ ธรรม
ของหญงิ หมา้ ย จงึ ยกเวน้ การปลน้ ฆา่ หมบู่ า้ นนน้ั ทงั้ หมบู่ า้ น
ต้ังแต่น้ันมา เมื่อถึงเทศกาลโขว่เซยี่ย ชาวลีซูจึงต้ังต้นสน
ไว้หน้าบ้าน เพ่ือระลึกถึงบุญคุณของหญิงหม้ายลูกติด
ที่ช่วยให้คนในหมู่บ้านซึ่งเป็นต้นตระกูลและบรรพบุรุษ
ของชาวลีซูอยู่รอดปลอดภัย สืบเชื้อสายต่อมาได้กระท่ัง
ทุกวันนี้ ในวันข้ึนปีใหม่ชาวลีซูทุกคนจะอยู่พร้อมหน้ากัน
ทกุ คนในครอบครวั ทงั้ หญงิ ชายทกุ วยั จะแตง่ กายชดุ ชาตพิ นั ธ์ุ
ชดุ ใหมท่ มี่ สี สี นั สวยสดงดงาม มกี ารบรรเลงดนตรี “ซอื บอื ”
และ “ฝวู่ หล”ู่ รอ้ งเพลง เตน้ “โขเ่ ซยี่ ย”รว่ มกนั อยา่ งสนกุ สนาน
เป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่
ภาพการต้ังตน้ สนพรอ้ มของบชู าในเทศกาลโขวะ่ เฉ่ีย
ภาพกจิ กรรมการตำ� ขา้ วปุกในเทศกาลโขว่เซ่ียย
ณ บ้านใหมส่ หสมั พนั ธ์ อ�ำเภอปาย จังหวดั แม่ฮอ่ งสอน
142 กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ในวนั เรมิ่ ตน้ ปใี หม่ วนั ท่ี ๑ เดอื น ๑ ตามปฏทิ นิ ลซี ู อยา่ งเรียบงา่ ย ดว้ ยศรทั ธา ดว้ ยความจริงใจ ท้งั นี้ศาลเจ้า
ชาวลีซูจะจุดประทัดเป็นสัญญาณแห่ง การเฉลิมฉลองแต่ เป็นสถานท่ีหวงห้ามมิให้ผู้หญิงเข้าไปในสถานท่ีแห่งน้ี
เชา้ ตรู่ ครอบครวั ชาวลซี จู ะจดั ของเซน่ ไหว้ บชู า ประกอบดว้ ย จากศาลเจ้าทุกคนไปต่อบ้านหมอเมือง บ้านผู้น�ำชุมชน
ตงุ สขี าว ขา้ วปกุ๊ หมสู ามชนั้ ตม้ ไขต่ ม้ เหลา้ ขา้ วโพด ประทดั และผู้หลักผู้ใหญ่ที่คนในชุมชนเคารพนับถือตามล�ำดับ
และอนื่ ๆตามทส่ี ะดวกนำ� ไปเซน่ ไหว้ ใหผ้ ชู้ ายนำ� ไปเซน่ ไหว้ อย่างพร้อมเพรียง โดยเมื่อไปถึงจะพากันเต้น โข่เซี่ยย
บูชาเทพเจ้าท่ีศาลเจ้าของหมู่บ้าน เพ่ือบอกกล่าวขอขมา ตามจงั หวะซอื บอื (เครอื่ งดนตรลี ซี ู เปน็ เครอ่ื งสายสำ� หรบั ดดี )
ในสิ่งท่ีผิดพล้ัง และขอบคุณท่ีดูแลคุ้มครองให้อยู่ดีมีสุข และฝู่วหลู่ เจ้าของบ้านซ่ึงเป็นผู้น�ำท่ีคนในชุมชนเคารพ
ตลอดปีที่ผ่านมา พร้อมท้ังอธิษฐานขอพรต่อสิ่งศักด์ิสิทธิ์ จะผกู ขอ้ มลู และใหพ้ ร พรอ้ มทง้ั จดั เตรยี มของตอ้ นรบั เปน็
เทพเจ้าที่เคารพนับถือ ให้การใช้ชีวิตในปีนี้มีความสุข เหลา้ ข้าวโพด เครอ่ื งด่ืม และอาหารหวานคาวบนโตะ๊ เคยี ง
เจริญรุ่งเรือง โดยมีหมอเมืองเป็นผู้น�ำในการประกอบพิธี ตน้ สน ทกุ คนจะรว่ มกนั สนกุ สนานและ เฉลมิ ฉลองเทศกาล
นอ้ี ย่างเต็มที่