รายงานการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ เสาวลักษณ์ เสริมศรี รหัสประจ าตัว 59016739 รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู หลักสูตรศึกษาศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต ปีการศึกษา 2563 ลิขสิทธิ์เป็นของมหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต
รายงานการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ เสาวลักษณ์ เสริมศรี รหัสประจ าตัว 59016739 รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู หลักสูตรศึกษาศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต ปีการศึกษา 2563 ลิขสิทธิ์เป็นของมหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต
ใบรับรองรายงานการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน สถานที่ฝึกประสบการณ์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ ผู้ฝึกประสบการณวิชาชีพ นางสาวเสาวลักษณ์ เสริมศรี ได้รับการพิจารณาเห็นชอบโดย อาจารย์นิเทศ.................................................... วันที่ ........... เดือน ............................. พ.ศ. ............... (.................................................) ประธานสาขาวิชา............................................... วันที่ ........... เดือน ........................... พ.ศ. ............... (..................................................) คณบดี................................................................ วันที่ ............ เดือน ........................... พ.ศ. ............... (...................................................) รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ
ก หัวข้อ การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ ชื่อ-สกุล นางสาวเสาวลักษณ์ เสริมศรี สาขาวิชา ภาษาอังกฤษ อาจารย์นิเทศ อาจารย์ ดร.เอษณ ยามาลี ปีการศึกษา 2563 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพในด้านทักษะการสื่อสาร ภาษาอังกฤษ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3 ที่เรียนรายวิชาภาษาอังกฤษเพิ่มเติม ( อ31201 คิดแล้วพูดภาษาอังกฤษ1) ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พัฒนาการ ยานนาเวศ จ านวน 45 คน โดยสุ่มแบบกลุ่มโดยใช้ห้องเรียนเป็นฐานการสุ่ม (Cluster Sampling) โดยใช้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ จ านวน 4 แผน แผนละ 3 คาบ (1 ชั่วโมง) รวม 12 คาบ 2) แบบทดสอบวัดทักษะการพูดภาษาอังกฤษ (Pre-test/Post-test) เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล การตรวจสอบคุณภาพด้านความตรง โดยวิธีการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ (IOC) การวิเคราะห์ ข้อมูลและน าเสนอข้อมูล วิเคราะห์โดยค่าเฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ทดสอบค่าที (t-test) แบบ dependent samples โดยก าหนดระดับนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยพบว่า หลังจากการสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ นักเรียนมีการพัฒนาการด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษดียิ่งขึ้น และได้คะแนนเฉลี่ยหลังจากการเรียน มากกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีคะแนนก่อนเรียนในภาพรวมเฉลี่ยเท่ากับ 8.47 คะแนน และมีคะแนนหลังเรียนในภาพรวมเฉลี่ยเท่ากับ 17.62 คะแนน ค าส าคัญ : ทักษะการพูดภาษาอังกฤษ, บทสนทนาภาษาอังกฤษ
ข Topic Author Program Supervisor Academic Year ABSTRACT
ค กิตติกรรมประกาศ บัณฑิตนิพนธ์ฉบับนี้ส าเร็จอย่างสมบูรณ์ ส าเร็จลุล่วงได้ด้วยดี โดยได้ด้วยความช่วยเหลือ ดูแล เอาใจใส่อย่างดียิ่งจาก อาจารย์ ดร,เอษณ ยามาลี ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ที่ได้กรุณาให้ ค าแนะน าปรึกษา ให้ความรู้ ข้อเสนอแนะ และติดตามความก้าวหน้าในการด าเนินการศึกษา ตลอดจนตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ จนส าเร็จ ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาส นี้ ขอขอบพระคุณ อาจารย์ ดร.พิจิกา เก่งถนอมม้า อาจารย์ประจ าคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต ขอขอบพระคุณ คุณครู ศศิธร ชูชื่น ครูประจ าวิชาภาษาอังกฤษเพิ่มเติม (คิด แล้วพูดภาษาอังกฤษ1) โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ ที่ได้อนุเคราะห์ อ านวย ความสะดวกในการเก็บรวบรวมข้อมูล รวมถึงนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3 โรงเรียนเตรียม อุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ ที่ให้ความร่วมมือในการจัดเก็บข้อมูลในการศึกษาและจัดท าการ วิจัยครั้งนี้เป็นอย่างดี ขอขอบคุณ ดร.รื่น หมื่นโกตะ ผู้อ านวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือ สนับสนุนและอ านวยความสะดวก ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่งใน การทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีจากการศึกษาวิจัยนี้ ผู้วิจัยขอน้อมบูชาพระคุณบิดามารดาและ บูรพาจารย์ทุกท่านที่ได้อบรมสั่งสอนวิชาความรู้ และให้ความเมตตาแก่ผู้วิจัยมาโดยตลอด เป็น ก าลังใจส าคัญที่ท าให้การศึกษาวิจัยฉบับนี้ส าเร็จลุล่วงได้ด้วยดี เสาวลักษณ์ เสริมศรี
ง สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย………………………………………………………………………………………… ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ……………………………………………………………………………………. ข กิตติกรรมประกาศ…………………………………………………………………………………………. ค สารบัญ………………………………………………………………………………………………………… ง สารบัญตาราง……………………………………………………………………………………………….. จ สารบัญภาพ………………………………………………………………………………………………….. ฉ บทที่ 1 บทน า……………………………………………………………………………………………….. 1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา……………………………………………………… 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย…………………………………………………………………………... 3 ค าถามการวิจัย…………………………………………………………………………………………. 3 ขอบเขตของการวิจัย…………………………………………………………………………………. 3 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย…………………………………………………………………….. 3 นิยามศัพท์เฉพาะ……………………………………………………………………………………… 4 กรอบแนวคิดในการวิจัย……………………………………………………………………………. 4 บทที่2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง……………………………………………………………. 5 ความหมายของการพูดเพื่อการสื่อสาร………………………………………………………… 6 ความหมายของทักษะการพูดภาษาอังกฤษ………………………………………………….. 7 ความสามารถในการพูดเพื่อการสื่อสาร……………………………………………………….. 9 องค์ประกอบของการพูดเพื่อการสื่อสาร……………………………………………………… 12 ความหมายของกลวิธีการสื่อสาร………………………………………………………………… 17 ประเภทของกลวิธีการสื่อสาร…………………………………………………………………….. 18 ปัจจัยที่มีผลต่อการใช้กลวิธีการสื่อสาร……………………………………………………..... 23 หลักการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร………………………………………………….. 25
ง สารบัญ (ต่อ) หน้า หลักการจัดกิจกรรมการพูดเพื่อการสื่อสาร…………………………………………………. 29 แนวคิดในการจัดกิจกรรมการพูดเพื่อการสื่อสาร…………………………………………. 29 การสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษ……………………………………………………………. 31 การประเมินความสามารถการพูด………………………………………………………………. 35 งานวิจัยในประเทศที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………………… 41 งานวิจัยต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………………. 41 บทที่ 3 วิธีด าเนินงานวิจัย………………………………………………………………………………. 43 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง………………………………………………………………………… 43 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย……………………………………………………………………………. 44 ขั้นตอนในการสร้างเครื่องมือ……………………………………………………………………… 44 การเก็บรวบรวมข้อมูล………………………………………………………………………………. 46 การวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………………………………………… 47 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล………………………………………………………………………… 49 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล………………………………………………………………………………. 49 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………. 49 การน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………………….. 49 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล………………………………………………………………………………. 50 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย การอภิปรายผลและข้อเสนอแนะ………………………………….. 54 สรุปผลการวิจัย………………………………………………………………………………………… 55 อภิปรายผลการวิจัย………………………………………………………………………………….. 56 ข้อเสนอแนะ……………………………………………………………………………………………. 57
ง สารบัญ (ต่อ) หน้า บรรณานุกรม………………………………………………………………………………………………… 59 ภาคผนวก……………………………………………………………………………………………………. 61 ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือวิจัย………………………… 62 ภาคผนวก ข แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ…………….. 64 ภาคผนวก ค ตารางแสดงผลการหาค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญ…. 69 ภาคผนวก ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย…………………………………………………… 75 ภาคผนวก จ ภาพประกอบการวิจัย………………………………………………………. 133 ภาคผนวก ฉ รายชื่อนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3………………………………… 136 ประวัติผู้วิจัย………………………………………………………………………………………………… 139
จ สารบัญตาราง ตาราง หน้า 1. ตารางที่ 1 จ านวนนักเรียนกลุ่มตัวอย่างจ าแนกตามเพศและคิดเป็นร้อยละ ของนักเรียนทั้งหมด………………………………………………………………………. 50 2. ตารางที่ 2 คะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ ทางการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษส าหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4……………………………………………………………………… 50 3. ตารางที่ 3 เปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบทดสอบวัด การพูดภาษาอังกฤษ ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4………………… 53 4. ตารางที่ 4 แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับ แผนการจัดการเรียนรู้…………………………………………………………………… 65 5. ตารางที่ 5 แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับ แบบทดสอบวัดผลก่อนเรียน-หลังเรียน……………………………………….….. 67 6. ตารางที่ 6 ตารางแสดงผลการประเมินความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับ รูปแบบและเนื้อหาค่า (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1……………… 70 7. ตารางที่ 7 ตารางแสดงผลการประเมินความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับ รูปแบบและเนื้อหาค่า (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2……………… 71 8. ตารางที่ 8 ตารางแสดงผลการประเมินความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับ รูปแบบและเนื้อหาค่า (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3……………… 72 9. ตารางที่ 9 ตารางแสดงผลการประเมินความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับ รูปแบบและเนื้อหาค่า (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4……………… 73 10. ตารางที่ 10 ตารางแสดงผลการประเมินความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับรูปแบบ และเนื้อหาค่า (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลก่อนเรียน-หลังเรียน…… 74
ฉ สารบัญภาพ ภาพประกอบ หน้า ภาพที่ 1 แบบประเมินการพูดภาษาอังกฤษ………………………………………………………….. 40 ภาพที่ 2 ภาพการทดสอบก่อนเรียน…………………………………………………………………….. 134 ภาพที่ 3 ภาพกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง A Telephone call………………………………….. 134 ภาพที่ 4 ภาพกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง A Telephone call………………………………….. 134 ภาพที่ 5 ภาพกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง Sickness…………………………………………………. 134 ภาพที่ 6 ภาพกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง Sickness…………………………………………………. 134 ภาพที่ 7 ภาพกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง Telling direction……………………………………. 135 ภาพที่ 8 ภาพกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง Telling direction……………………………………. 135 ภาพที่ 9 ภาพกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง Free time activities……………………………….. 135 ภาพที่ 10 ภาพกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง Free time activities……………………………... 135 ภาพที่ 11 ภาพการทดสอบหลังเรียน…………………………………………………………………… 135
1 บทที่ 1 บทน า ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา ปัจจุบันภาษาอังกฤษมีบทบาทอย่างมากต่อสังคมโลก ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารโดยตรง หรือการสื่อสารผ่านอินเตอร์เน็ต เช่น การดูภาพยนตร์และสื่อให้ความเพลิดเพลิน หรือโปรแกรม ทางเทคโนโลยีต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่มีภาษาอังกฤษเป็นพื้นฐานในการใช้งานทั้งสิ้น อีกทั้งบัณฑิต ที่จบการศึกษาในปัจจุบัน หากมีความสามารถด้านภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่น ๆ มักจะมีโอกาสที่ดี เกี่ยวกับการประกอบอาชีพมากกว่าบุคคลอื่นทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งในหลาย ๆ องค์กรในปัจจุบันมีการขยายองค์กรไปยังต่างประเทศเพื่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ จึงเป็นเหตุที่ว่า องค์กรต่าง ๆ ในปัจจุบันมักจะเลือกบุคคลากรในองค์กรที่มีความสามารถด้านการสื่อสารภาษาอังกฤษ มาเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยเหตุนี้นักเรียนในปัจจุบันจึงต้องมีทักษะและความสามารถในการสื่อสาร ภาษาอังกฤษที่ดียิ่งขึ้น ทางด้าน กองวิจัยทางการศึกษา (2546) รายงานว่าปัจจุบันนักเรียนที่เรียนภาษาอังกฤษ ทุกระดับชั้น มีปัญหาในด้านการพูดภาษาอังกฤษ ไม่กล้าที่จะพูดเนื่องจากขาดความมั่นใจการพูด ภาษาอังกฤษ สาเหตุหนึ่งมาจากเทคนิคการสอนของผู้สอนเอง ซึ่งผู้สอนมักมุ่งเน้นไปที่โครงสร้าง ไวยากรณ์มากกว่าการให้นักเรียนได้แสดงออกและฝึกพูดภาษาอังกฤษ จึงส่งผลให้นักเรียน ไม่กระตือรือร้นที่จะพูดภาษาอังกฤษ ไม่กล้าแสดงออก และไม่สามารถน าสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้ได้จริง ในชีวิตประจ าวัน รวมไปถึงระบบการสอบเข้าศึกษาต่อในทุกระดับไม่ได้มุ่งเน้นไปในเชิงการปฏิบัติ แต่มุ่งเน้นไปในทางทฤษฎีมากกว่า จึงส่งผลให้นักเรียนไม่ประสบความส าเร็จในด้านทักษะการพูด ภาษาอังกฤษ ในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษนั้น ทักษะทางด้านการพูดภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่ส าคัญและ จ าเป็นที่สุด เนื่องจากเป็นทักษะเบื้องต้นในการสื่อสารภาษาอังกฤษ จากหลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ก าหนดให้โรงเรียนจัดท าหลักสูตรสถานศึกษาของตนเองให้สอดคล้องกับ สภาพโรงเรียน ความต้องการของท้องถิ่นและทันต่อยุคการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็ว ภาษาอังกฤษ เป็นสาระหนึ่งที่โรงเรียนต้องจัดให้กับผู้เรียนในทุกระดับชั้น เนื่องจากเป็นภาษาสากลที่ใช้ใน การสื่อสารและการเรียนรู้ ในกลุ่มสาระภาษาอังกฤษ ประกอบด้วยสาระการเรียนรู้ 4 สาระ คือ
2 สาระการเรียนรู้ที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร สาระการเรียนรู้ที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม สาระการเรียนรู้ ที่ 3 ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น และสาระการเรียนรู้ที่ 4 ภาษากับ ความสัมพันธ์ชุมชนโลก (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) โดยเฉพาะสาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.3 ได้ก าหนดให้ผู้เรียนเข้าใจกระบวนการพูด การเขียน และการสื่อสาร ความคิดเห็น และความคิดรวบยอดในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างสร้างสรรค์ มีประสิทธิภาพและมีสุนทรียภาพ ทางผู้วิจัยเล็งเห็นว่าในปัจจุบันแม้มีการปรับปรุงหลักสูตรให้เหมาะสมและสอดคล้องกับ สภาพโรงเรียนแล้ว นักเรียนยังไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดังเดิม สาเหตุที่นักเรียนไม่สามารถ สื่อสารภาษาอังกฤษได้ คือ นักเรียนไม่กล้าที่จะพูดและไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษจริงในชีวิตประจ าวัน ผู้วิจัยจึงมีความคิดที่จะให้นักเรียนได้ใช้ภาษาอังกฤษในชั้นเรียนให้มากที่สุด เออร์ (Ur, 1998) กล่าวว่าสาเหตุที่ท าให้ผู้เรียนภาษาที่สองไม่ประสบความส าเร็จในการพูดภาษาที่สองนั้นมีหลาย ประการเช่น มีการกังวลว่าจะพูดผิดหลักไวยากรณ์ และมักจะใช้ภาษาแม่ (Mother Language) แทนที่จะใช้ภาษาเป้าหมาย (Target Language) จากการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษ พบว่านักเรียนมีปัญหาในการเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ไข่มุก ภาคภูมิ (2554: 31-33) ได้ศึกษาการพัฒนาทักษะการพูดหน้าชั้นเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะทางการ พูดส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนประชาบ ารุงมีความสามารถในการพูดดีขึ้น ร้อยละ 87.91 สุนันทา แก้วพันธ์ช่วง (2550: 4) ได้ท าวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้กิจกรรมภาษาเพื่อการสื่อสาร พบว่าหลังจากนักเรียนได้รับการ สอน โดยใช้กิจกรรมทางภาษาเพื่อการสื่อสาร นักเรียนมีความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 เอลลิส และจอห์นสัน (Ellis, 1994; Johnson, 1994) กล่าวว่าการจัดกิจกรรรมในชั้นเรียนเป็นสิ่งส าคัญในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นการเปิด โอกาสให้ผู้เรียนเกิดปฏิสัมพันธ์ ฝึกให้ผู้เรียนสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นการเตรียม ความพร้อมในการพูดในสถานการณ์จริง เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษ จากการที่ผู้วิจัยได้ท าการฝึกประสบการณ์วิชาชีพในช่วงปีการศึกษา 2563 โรงเรียนเตรียม อุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาธร กรุงเทพมหานคร ผู้วิจัยได้สังเกต ศักยภาพด้านทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในรายวิชา ภาษาอังกฤษเพิ่มเติม (อ31201 คิดแล้วพูดภาษาอังกฤษ) พบว่านักเรียนยังคงมีความประหม่า และไม่ กล้าที่จะสื่อสาร เนื่องจากกลัวความผิดพลาดในการพูดภาษาอังกฤษ
3 วัตถุประสงค์การวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ก าหนดวัตถุประสงค์ ไว้ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพในด้านทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ ค าถามการวิจัย 1. การใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษสามารถพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารภาษาอังกฤษของ ผู้เรียนได้หรือไม่ ขอบเขตของการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียม อุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาธร กรุงเทพมหานคร ที่เรียนรายวิชา ภาษาอังกฤษเพิ่มเติม (อ31201 คิดแล้วพูดภาษาอังกฤษ) จ านวน 2 ห้อง รวมนักเรียน 74 คน กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ก าลังศึกษาในภาคเรียน ที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาธร กรุงเทพมหานคร ที่เรียนรายวิชาภาษาอังกฤษเพิ่มเติม (อ31201 คิดแล้วพูดภาษาอังกฤษ) ได้มากจาก การสุ่มแบบกลุ่มโดยใช้ห้องเรียนเป็นฐานการสุ่ม (Cluster Sampling) ในที่นี้ผู้วิจัยได้ใช้ห้อง ม.4/3 จ านวนนักเรียนทั้งหมด 45 คน ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรที่ศึกษามีดังนี้ ตัวแปรต้น ได้แก่ วิธีการสอนทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษด้วยบทสนทนาภาษาอังกฤษ ตัวแปรตาม ได้แก่ 1. ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 1. ใช้แบบฝึกทักษะการสนทนาภาษาอังกฤษ ที่สร้างขึ้นในชิ้นงานวิจัยนี้ 2. ผู้เรียนมีทักษะด้านการสื่อสารในชีวิตประจ าวัน
4 นิยามศัพท์เฉพาะ สื่อให้ความเพลิดเพลิน หมายถึง สื่อมัลติมีเดียต่าง ๆ เช่น การดูภาพยนตร์ การฟังเพลง การสื่อสารออนไลน์เป็นต้น ไวยากรณ์ หมายถึง วิชาภาษาว่าด้วยรูปค าและระเบียบในการประกอบรูปค าให้เป็นประโยค หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน หมายถึง หลักสูตรที่ก าหนดให้ใช้ในการจัดการศึกษา ตั้งแต่ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ส าหรับผู้เรียนทุกคน ทุกกลุ่มเป้าหมาย และทุก รูปแบบการศึกษา ภาษาแม่ (Mother Language) หมายถึง คือภาษาที่บุคคลใช้เป็นภาษาหลักในการสื่อสาร ของตัวเองกับบุคคลในพื้นที่หรือประเทศเดียวกัน และเป็นภาษาที่พูดได้แต่ก าเนิด ภาษาเป้าหมาย (Target Language) หมายถึง ภาษาปลายทาง (ภาษาอังกฤษ) บทสนทนาภาษาอังกฤษ หมายถึง ค าพูดหรือวลีที่โต้ตอบกันในการพูดคุยกันเป็น ภาษาอังกฤษ กรอบแนวคิดในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยต้องการเปรียบเทียบทักษะการพูดภาษาอังกฤษก่อนและหลังเรียนโดยใช้ วิธีการสอนแบบใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ และความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการเรียนรายวิชาภาษาอังกฤษเพิ่มเติม (อ31201 คิดแล้วพูดภาษาอังกฤษ) โดยใช้บทสนทนา ภาษาอังกฤษ ซึ่งมีกรอบแนวคิดในการวิจัยดังนี้ ตัวแปรต้น วิธีการสอนทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ ด้วยบทสนทนาภาษาอังกฤษ ตัวแปรตาม 1. ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ
5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาเรื่อง การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ มี วัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพในด้านทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ ผู้วิจัยได้ศึกษา เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นแนวทางในการวิจัย ดังนี้ 1. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารภาษาอังกฤษ 1.1 ความหมายของการพูดเพื่อการสื่อสาร 1.2 ความหมายของทักษะการพูดภาษาอังกฤษ 1.3 ความสามารถในการพูดเพื่อการสื่อสาร 1.4 องค์ประกอบของการพูดเพื่อการสื่อสาร 1.5 ความหมายของกลวิธีการสื่อสาร 1.6 ประเภทของกลวิธีการสื่อสาร 1.7 ปัจจัยที่ผลต่อการใช้กลวิธีการสื่อสาร 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้กิจกรรมการพูดเพื่อการสื่อสาร 2.1 หลักการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร 2.2 หลักการจัดกิจกรรมการพูดเพื่อการสื่อสาร 2.3 แนวคิดในการจัดกิจกรรมการพูดเพื่อการสื่อสาร 2.4 การสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษ 2.5 การประเมินความสามารถในการพูด 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 3.1 งานวิจัยในประเทศที่เกี่ยวข้อง 3.2 งานวิจัยต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
6 1. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารภาษาอังกฤษ 1.1 ความหมายของการพูดเพื่อการสื่อสาร การพูดเป็นทักษะจ าเป็นอย่างยิ่งในการเรียนภาษาเพื่อการสื่อสาร ผู้พูดควรจะต้องมี ความสามารถทางด้านทักษะภาษาอย่างหลากหลายประกอบกัน โดยผู้พูดจะต้องถ่ายทอดความรู้สึก นึกคิดให้ผู้ฟังเข้าใจ ควรจะมีความคล่องแคล่วและเลือกใช้ค าได้เหมาะสม โดยค านึงถึงความถูกต้อง เหมาะสมกับโอกาสและสถานการณ์ อวยชัย ผกามาศ (2542: 1-2) กล่าวว่า การพูด หมายถึง การสื่อสารทางความคิด ประสบการณ์ และความต้องการของผู้พูดไปสู่ผู้ฟัง เพื่อสื่อความหมายให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจ โดยใช้ น้ าเสียง ภาษา และกริยาท่าทาง ได้อย่างถูกต้องตามมารยาทและประเพณีนิยมของสังคมให้ผู้ฟังรับรู้ และได้รับการตอบสนอง สุมิตรา อังวัฒนกุล (2540: 167) กล่าวว่า การพูดเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ความเข้าใจให้ผู้ฟังได้รับรู้ และเข้าใจจุดมุ่งหมายของผู้พูด โดยใช้กลวิธีในการพูดที่ท าให้การสื่อสารมี ประสิทธิภาพ บราวน์(Brown, 1994: 88) และ เวอร์เดอร์เบอร์ (Verderber, 2007: 6-24) มี แนวความคิดที่ตรงกันว่า การสื่อสารเป็นกระบวนการรับและสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับบุคคลอย่างน้อย 2 คน โดย เวอร์เดอร์เบอร์ ชี้ให้เห็นว่าการสื่อสารจะต้องกระกอบด้วย บริบท (Context) ผู้รับและส่ง สาร (Participants) สาระ (Message) เครื่องมือในการสื่อความหมาย (Channels) เสียง (Noise) และปฏิกิริยาตอบสนอง (Feedback) ส่วนแนวความคิดของบราวน์ คือ การสื่อสารจะเกี่ยวข้องทั้ง ด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน การพูดจะมีความหมายและก่อให้เกิดการสื่อสารก็ต่อเมื่อ ผู้รับมีความเข้าใจและมีการตอบสนองต่อการสื่อสารนั้นๆ แสดงให้เห็นว่าการสื่อสารมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การสื่อสารจะต้องมีความหมายทั้งผู้รับสารและผู้ส่งสาร ไฮม์ (Hymes, 1981: 269-293) ได้ให้ความหมายของการสื่อสารว่า การสื่อสาร คือ ความสามารในการใช้ภาษาหรือตีความหมายได้ถูกต้องเหมาะสม และเมื่อเกิดการปฏิสัมพันธ์กับ บุคคลอื่นในสังคมสามารถรู้ได้ว่าควรพูดอย่างไร กับใคร เวลาใด สถานการณ์ใด สถานที่ใด และพูด ลักษณะใด ไฮเบล (Hybel, 1995: 6) ได้กล่าวไว้ว่า การสื่อสาร คือ กระบวนการที่มนุษย์ใช้ แลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิด และความรู้สึกซึ่งกันและกันโดยการพูด การเขียน หรือด้วยภาษาท่าทาง สรุปได้ว่า การพูด หมายถึง การใช้ทักษะความสามารถทางด้านภาษา ความรู้สึกนึก คิดที่ผู้พูดจะถ่ายทอดไปสู่ผู้ฟังให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ข้อมูล ระหว่างบุคคลของผู้พูดและผู้ฟังตั้งแต่สองคนขึ้นไป การพูดที่มีประสิทธิภาพ คือ การพูดที่เลือกใช้
7 ถ้อยค า น้ าเสียง รวมไปถึงกริยาท่าทางในการพูด ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ปละ วัฒนธรรมอันดีงามของสังคม 1.2 ความหมายของทักษะการพูดภาษาอังกฤษ การพูดภาษาอังกฤษไม่เพียงแต่เป็นการออกเสียงให้ถูกต้องตามหลักโครงสร้างทาง ไวยากรณ์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการเลือกใช้ถ้อยค าให้การสื่อสารให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกนึกคิด การใช้ น้ าเสียงและกริยาท่าทางประกอบการสื่อสาร ในการพูดเพื่อสื่อสารภาษาอังกฤษนั้นผู้พูดต้องมีทักษะ ความรู้ทางด้านการออกเสียง ค าศัพท์ โครงสร้างไวยากรณ์ รวมไปถึงการเข้าใจวัฒนาธรรมทางภาษา เพื่อให้เกิดการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ Littlewood, William, Communicative Language Teaching, (Great Britain: Cambridge, 1995: 1-8) ได้อธิบายว่า การพูดหมายถึง การแลกเปลี่ยนข่าวสารต่างๆ ระหว่างบุคคล ตั้งแต่สองคนขึ้นไป โดยมีผู้พูดและผู้ฟัง ผู้พูดจ าเป็นต้องพูดให้ผู้ฟังเข้าใจความหมายที่ผู้พูดต้องการจะ สื่อให้ผู้ฟังได้ทราบ ดังนั้นผู้พูดจึงจ าเป็นต้องพูดให้ถูกต้องตามหลักภาษาและใช้ค าพูดให้เหมาะสม รวมถึงพูดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ นอกจากนี้ยังได้ให้ความหมายของการพูดเพื่อการสื่อสารว่า การสื่อสารไม่ใช่เพียงการออกเสียงค าและการออกเสียงสูงต่ าในประโยคเท่านั้น แต่เป็นการพูดตาม หน้าที่ของภาษา แต่การสื่อสารยังรวมไปถึงการท าให้ผู้ฟังเข้าใจจุดประสงค์ที่ผู้พูดต้องการจะสื่อไปยัง ผู้ฟังด้วยเช่นกัน เตือนใจ เฉลิมกิจ (2545: 57) ได้ให้ความหมายว่า การพูดเป็นทักษะที่สอนยากเพราะ ผู้เรียนจะต้องมีความรู้ในเรื่ององค์ประกอบต่าง ๆ ของภาษาเป็นอย่างดี เพื่อที่จะพูดในสิ่งที่ต้องการ สื่อได้ เช่น ค าศัพท์ การออกเสียง โครงสร้างทางไวยากรณ์ หัวข้อทางภาษา เป็นต้น อัจฉรา วงศ์โสธร (2539: 316) ได้ให้ความหมายว่า ทักษะการพูดเป็นทักษะทาง สังคม (Social Skill) การพูดอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับความรู้องค์ประกอบทางภาษา และความ ตระหนักถึงลีลาภาษา ตลอดจนการสื่อความหมายโดยสื่อที่ไม่ได้เป็นตัวภาษา ( Non-verbal Medium) ภาษาพูดมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ซึ่งประกอบด้วยการใช้ลักษณะภาษาต่อไปนี้บ่อยครั้ง กว่าภาษาเขียน คือ การรวมค าให้สั้น (Contractions) บุรุษสรรพนาม (Personal pronoun) ค าถาม (Questions) ค าที่เป็นรูปธรรม (Concrete words) ค าที่มีพยางค์สั้น ๆ (Fewer syllables) การทวน ค า ทวนความ (Restatement การซ้ าค า ซ้ าความ (Repetition) การออกอุทาน (Interjection)
8 นอกจากนี้ โครงสร้างทางภาษามักไม่เป็นระเบียบแบบแผนเหมือนภาษาพูด เพราะมีการกล่าวด้วย ความลังเล การพูดกลับไปกลับมา การเปลี่ยนตัวประธานในข้อความ พรสวรรค์ สีป้อ (2550: 163) ได้ให้ความหมายว่า การพูด คือ การปฏิสัมพันธ์ ระหว่างบุคคลในสังคม เป็นการสื่อสารทางวาจาของคนตั้งแต่สองคนขึ้นไป ต่างฝ่ายต่างมีจุดประสงค์ที่ จะสื่อความหมายของตัวอง และต่างฝ่ายก็ต้องตีความสิ่งที่ตนเองได้ฟัง ดังนั้น จุดประสงค์ของทักษะ การพูด คือ สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องสามารถพูดให้ผู้อื่นเข้าใจ หลีกเลี่ยงการท าให้ ผู้ฟังสับสนเนื่องจากการออกเสียงผิด ไวยากรณ์ผิด ใช้ค าผิดหรือไม่เหมาะสม นอกจากนั้นยังต้องพูด ให้เหมาะสมกับสังคมและวัฒนธรรมด้วย พิณทิพย์ ทวยเจริญ (2544: 2) กล่าวถึง ธรรมชาติของการพูดไว้ว่า มนุษย์เรามี ลักษณะในการเปล่งเสียงพิเศษกว่าสัตว์อื่นๆ เนื่องจากมนุษย์สามารถพูดได้ สิ่งที่ก าหนดให้มนุษย์มี ความสามารถในการพูดสื่อความได้นั้นอยู่ในสมอง กล่าวคือ มนุษย์มีบริเวณภาษาอยู่ในสมองซึ่ง โดยทั่วไปแล้วเชื่อกันว่าอยู่ในบริเวณสมองซีกซ้าย บริเวณภาษานี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ บริเวณที่ ควบคุมการเคลื่อนไหวของอวัยวะที่ใช้ออกเสียง นั่นคือ ปาก ลิ้น ฯลฯ เป็นต้น ส่วนอีกบริเวณหนึ่งอยู่ เบื้องล่างของส่วนแรก ท าหน้าที่ในการรับรู้และตีความเมื่อได้ยินถ้อยความซึ่งผู้ร่วมสนทนาได้กล่าว ออกมา ถ้อยความที่ผู้ร่วมสนทนาพูดขึ้นนั้นผ่านเข้าไปในหูของผู้ฟัง โดยเส้นประสารที่จะเป็นตัวส่ง สาระต่างๆ เข้าไปยังบริเวณภาษาในสมองดังกล่าว ในการสื่อความครั้งหนึ่งๆ เริ่มด้วยบริเวณภาษาใน สมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของอวัยวะในการพูดสั่งงาน ในอวัยวะที่ใช้ในการพูดจัดตัวเพื่อออกเสียง นานาประเภท เสียงพูดจะเกิดขึ้นเมื่อกระแสลมจากปอด เคลื่อนออกประสมประสานกับการท างาน ของอวัยวะในการพูดผ่านช่องปากออกมาเพื่อเข้าหูผู้ฟัง เสียงเหล่านี้จะผ่านออกมาในลักษณะคลื่น เสียง คลื่นเสียงเหล่านี้จะผ่านหู เริ่มจากหูชั้นนอก ไปยังส่วนกลางหู และหูชั้นใน ซึ่งจะมีการส่งสารไป ยังบริเวณภาษาในสมองที่ท าหน้าที่ในการรับรู้ตีความ เมื่อรับสารแล้วผู้ฟังมีความเข้าใจในสารนั้นและ พร้อมที่จะตอบโต้ กลับไปบริเวณภาษาในสมองที่ท าหน้าที่ควบคุมอวัยวะในการพูดจะท างานและเกิด เป็นเสียงพูดออกไป ลักษณะการสื่อความด้วยการพูดจะมีวงจรเช่นนี้ เรื่อยไปไม่ว่าจะพูดภาษาใดๆ ธรรมชาติของการพูดภาษาอังกฤษก็มีวงจนในลักษณะเดียวกัน อาจารย์พฤกษะศรี (2544: 3-4) กล่าวถึงธรรมชาติของการพูดว่า ตามธรรมชาติแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชาติใดภาษาใด คนในชาตินั้นจะพูดภาษาของตนได้ก่อนที่จะเรียนอ่าน เรียนเขียน เมื่อเรา จะสอนภาษาอังกฤษ เราจะต้องสอนให้ผู้เรียนพูดได้เสียก่อนแล้วจึงจะให้เรียนอ่านและเรียนเขียน
9 ธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเด็กอายุย่างเข้า 2 ขวบ ไม่ว่าจะเป็นชาติใด ภาษาใด เด็กจะพูดภาษาของ ตนเองได้ เมื่อส ารวจความรู้ของเด็กเกี่ยวกับศัพท์นั้นแล้วปรากฏว่าจะรู้ศัพท์ไม่ถึง 100 ค า แต่เด็กรู้ ศัพท์กี่ค าก็สามารถน าศัพท์เหล่านั้นมาพูดได้หมดทุกค า คนอังกฤษเองที่เป็นผู้ใหญ่และมีการศึกษาดี จะรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษหลายพันค า แต่ศัพท์ที่เขาใช้พูดกันจริงๆนั้นมีเพียงประมาณ 500 ค า ซึ่งผู้จบ มัธยมของประเทศไทยจะรู้ศัพท์เหล่านี้ทั้งหมด สรุปว่า การที่คนไทยเรียนจบมัธยมต้น มัธยมปลาย หรือปริญญาตรี พูดภาษาอังกฤษไม่ได้นั้นไม่ใช่เป็นเพราะไม่รู้ศัพท์ แต่เป็นเพราะไม่สามารถน าค าศัพท์ ที่รู้นั้นไปแต่งประโยคพูดได้ ถ้าเราน าคนไทยคนหนึ่งที่มีความรู้ระดับปริญญาตรี ซึ่งอาจรู้ค าศัพท์ ประมาณ 2,000 ค า แต่ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ มาท่องศัพท์เพิ่มเติม จนได้ค าศัพท์ถึง 10,000 ค า พร้อมกับสอนให้มีความรู้ไวยากรณ์อังกฤษเพิ่มเติมขึ้นอีก ก็จะไม่ท าให้คนๆนั้นพูดภาษาอังกฤษได้ นอกเสียจากว่าจะฝึกให้มีทักษะในการพูดเสียก่อน ธรรมชาติของการพูด คนเราจะพูดได้ก่อนที่จะ เรียนอ่านและเขียน และไม่ว่าจะพูดภาษาใดๆก็ตาม การพูดจะมีวงจรที่เหมือนกันคือ มีบริเวณการ ควบคุมการเคลื่อนไหวของอวัยวะที่ใช้ในการออกเสียง และบริเวณที่ท าหน้าที่ในการรับรู้ตีความ เมื่อ ได้ยินถ้อยความที่ผู้ร่วมสนทนาได้กล่าวออกมา เมื่อถ้อยความได้ผ่านเข้าไปในหูของผู้ฟัง เส้นประสาท จะเป็นตัวส่งสารเข้าไปยังบริเวณภาษาในสมอง เมื่อรับสารแล้วผู้ฟังมีความเข้าใจในสารนั้น จะโต้ตอบ ไปยังบริเวณภาษาที่ท าหน้าที่ในการควบคุมอวัยวะในการพูด และเกิดเป็นเสียงพูดออกมา สรุปได้ว่า ทักษะการพูดภาษาอังกฤษ หมายถึง การสนทนาระหว่างบุคคลสองบุคคล ขึ้นไป โดยถ่ายทอดความคิดและแลกเปลี่ยนข่าวสารโดยใช้ถ้อยค าและกริยาท่าทางให้เหมาะสมกับ สถานการณ์ ซึ่งผู้พูดต้องเรียนรู้ค าศัพท์ที่เหมาะสม ใช้หลักไวยากรณ์และรูปแบบประโยคอย่างถูกต้อง ออกเสียงและเน้นเสียงได้ถูก และเข้าใจวัฒนธรรมของการพูดหรือวัฒนธรรมทางภาษา 1.3 ความสามารถในการพูดเพื่อการสื่อสาร ความสามารถในการพูดเป็นความสามารถส าคัญอย่างหนึ่งในการเรียนภาษาเพื่อการ สื่อสารเพราะการพูดเป็นการถ่ายโอนความรู้ที่ได้จากการฟังแล้วน ามาวิเคราะห์ สังเคราะห์ ก่อนที่จะ สื่อสารไปสู่ผู้ฟังอีกครั้งหนึ่ง จุดมุ่งหมายของการสอนภาษาในการพูดเพื่อการสื่อสารนั้น คือ ให้ผู้เรียน มีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสมกับ สถานการณ์ Bartz (1989: 18-82) กล่าวถึงองค์ประกอบของความสามารถในการพูดเพื่อการ สื่อสาร คือ 1. ความคล่องแคล่ว (Fluency) และมีความเข้าใจธรรมชาติในการพูด
10 2. ความเข้าใจ (Comprehensibility) คือ ความสามารถที่จะพูดให้ผู้อื่นเข้าใจในสิ่งที่ ผู้พูดสื่อสารออกมา Vallet and Disick (1972 อ้างอิงใน ชนิตสิรี ศุภพิมล 2545) ได้แบ่งระดับความสามารถใน การพูดออกเป็น 5 ระดับ 1. ขั้นกลไก ผู้เรียนสามารถพูดเลียนแบบเสียง ระดับเสียงที่เน้นหนัก จังหวะมีการ หยุดและการออกเสียงเชื่อมระหว่างค าตอบแบบเจ้าของภาษาได้ สามารถท่องจ า ค า ประโยคหรือ ข้อความบทสนทนา ออกเสียงข้อความต่างๆที่ได้เรียนมาแล้วโดยไม่จ าเป็นต้องเข้าใจค าหรือข้อความ เหล่านั้น 2. ขั้นความรู้ ผู้เรียนสามารถพูดเกี่ยวกับสิ่งที่เคยเรียนมาโดยใช้ค าศัพท์ และ ไวยากรณ์ที่เรียนมาแล้วอย่างเข้าใจความหมาย 3. ขั้นถ่ายโอน ผู้เรียนสามารถน าเอากฎไวยากรณ์ที่เรียนมาแล้วสร้างรูปแบบประโยค ใหม่ตามต้องการได้ 4. ขั้นสื่อสาร ผู้เรียนสามารถแสดงความคิด ความต้องการให้ผู้อื่นรู้ได้โดยเน้นความ คล่องแคล่ว ความเข้าใจ และความสามารถในการสื่อความมากกว่าความถูกต้องทางไวยากรณ์ 5. ขั้นวิพากษ์วิจารณ์ ผู้เรียนสามารถพูดได้โดยใช้ลีลาการพูด น้ าเสียง ค า และ ส านวนได้เหมาะสมกับสถานการณ์ Canale and Swain (1980: 147) กล่าวว่า ความสามารถในการออกเสียง (Pronunciation) ค าศัพท์ (vocabulary) และหลักภาษาและไวยากรณ์ (Grammar) เป็นสิ่งส าคัญ ที่ จะท าให้ผู้ฟังสามารถเข้าใจข้อความที่ใช้ในการสื่อส ารอย่างมีคุณภ าพ (Quality of communication) องค์ประกอบเหล่านี้จะท าให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างประโยคที่เชื่อมโยงกัน ซึ่ง จะท าให้การสนทนาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จะต้องมีความสามารถดังต่อไปนี้ 1. ความสามารถด้านไวยากรณ์ (Grammar Competence) ความสามารถในด้านนี้ ไม่ได้มีเพียงแต่ความสามารถในการเข้าใจและใช้ไวยากรณ์เท่านั้น จะต้องมีความสามารถใน องค์ประกอบทั้งหมดทางด้านภาษา คือ เสียง ค าศัพท์ และไวยากรณ์ เนื่องจากผู้พูดจะสามารถ เลือกใช้ถ้อยค าในการพูดเพื่อการสื่อสารได้อย่างถูกต้องและตรงกับความต้องการ 2. ความสามารถด้านภาษาศาสตร์สังคม (Sociolinguistic Competence) ผู้พูด สามารถเลือกแบบของภาษาให้สัมพันธ์กับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งสามารถพูดสนทนาเพื่อ สร้างความสัมพันธ์ทางสังคมตลอดจนจุดประสงค์ในการส่งสาร ผู้ที่มีความสามารถทางด้านนี้จะ สามารถใช้ภาษาที่แตกต่างไปตามประเภทของการพูด เช่น การอภิปราย การเสนอความคิด หรือ การ โต้วาที เป็นต้น
11 3. ความสามารถในการใช้ความสัมพันธ์ของข้อความหรือการเชื่อมประโยค (Discourse Competence) ตามหลักภาษา หากผู้พูดมีความสามารถทางด้านนี้ จะท าให้ผู้พูด สามารถใข้ภาษาในการสนทนา ล าดับก่อน-หลัง และส านวนที่ผู้พูดใช้เพื่อแสดงความคิดเห็นมีความ เชื่อมโยงสัมพันธ์กัน จึงท าให้การสนทนาด าเนินไปได้อย่างราบรื่น 4. ความสามารถด้านกลวิธีในการสื่อสาร (Strategic Competence) ในการพูดได้ อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ผู้พูดจะต้องมีกลวิธีในการสื่อสาร จึงจะท าให้ผู้พูดเพิ่มศักยภาพทางการพูด เพื่อการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่าผู้พูดมีความรู้ด้านไวยากรณ์ไม่ดีพอ หากใช้กลวิธีใน การแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ก็จะท าให้ผู้พูดสามารถด าเนินการสนทนาสื่อสารกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี Carrall (1982: 135) ได้จัดล าดับความสามารถของทักษะการพูดไว้ 9 ระดับ ดังนี้ คือ ระดับที่ 1 หมายถึง ระดับที่ผู้พูดไม่สามารถเข้าใจหรือพูดไม่ได้เลย (Non-User) ระดับที่ 2 หมายถึง ระดับผู้ใช้ภาษาได้เล็กน้อย (Intermittent User) ระดับที่ 3 หมายถึง ระดับที่ผู้ใช้ภาษาได้ในวงจ ากัด ผู้พูดเกิดความผิดพลาดบ่อยๆ เข้าใจบทสนทนาและรู้รายละเอียดบางส่วน ไม่สามารถจับรายละเอียดได้ จับได้แต่ใจความส าคัญ เท่านั้น (Extremely Limited User) ระดับที่ 4 หมายถึง ระดับที่ผู้พูดใช้ภาษาเกือบดี สามารถสนทนาโต้ตอบได้ แต่ไม่ คล่องแคล่ว ไม่สามารถน าการสนทนา หรืออภิปรายได้อย่างรวดเร็ว จึงท าให้การสนทนาขาดความ ต่อเนื่อง (Marginal User) ระดับที่ 5 หมายถึง ระดับที่ผู้พูดใช้ภาษาได้ปานกลาง สามารถสื่อความหมายใจความ หลัก แต่ยังมีข้อผิดพลาดในการใช้ไวยากรณ์ จึงท าให้การสื่อสารไม่ชัดเจน ขาดความคล่องแคล่วใน การใช้ภาษาและท่าทางประกอบการพูด (Modest User) ระดับที่ 6 หมายถึง ระดับที่ผู้พูดใช้ภาษาได้ สามารถคุยในหัวข้อที่ต้องการ และ ปะติดปะต่อเรื่องราวที่พูดได้ หรือเปลี่ยนหัวข้อที่พูดได้ มีการหยุดพูดหรือพูดไม่ต่อเนื่องในการสนทนา เป็นบางครั้ง แต่ก็สามารถเริ่มการสนทนาใหม่ได้ (Competence User) ระดับที่ 7 หมายถึง ระดับที่ผู้พูดใช้ภาษาได้ดี สามารถเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้อย่าง ชัดเจน มีการเก็บรายละเอียด มีเหตุผล สามารถสนทนาได้เป็นเรื่องราว แต่ยังขาดความคล่องแคล่ว มี ความสามารถในการติดตามการสนทนาเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ ส่วนน้ าเสียงยังขาดความ มั่นใจ มีการพูดซ้ าข้อความ แต่สามารถโต้ตอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Good user) ระดับที่ 8 หมายถึง ผู้พูดใช้ภาษาได้ดีมาก สามารถพูดหรืออภิปรายอย่างมี ประสิทธิภาพ สามารถน าการสนทนาและด าเนินการสนทนาได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีอารมณ์ร่วม ในการโต้ตอบและใช้กริยาท่าทางได้อย่างเหมาะสม (Excellent User)
12 ระดับที่ 9 หมายถึง ผู้พูดใช้ภาษาได้อย่างเชี่ยวชาญ สามารถพูดได้อย่างมี ประสิทธิภาพ สามารถด าเนินการสนทนาได้อย่างต่อเนื่อง ขยายความได้ ตลอดจนสามารถพูดได้ ใจความส าคัญ (Expert User) กาญจนา ปราบพาล (2530 อ้างอิงใน ชนิตสิริ ศุภวิมล 2545) ได้สรุประดับ ความสามารถในการพูดตามแบบการทดสอบความสามารถในการพูดของสถานบัน FSI (The Foreign Service Institute) ออกเป็น 5 ระดับดังนี้ 1. ความสามารถในการพูดระดับต้น (Elementary proficiency) ผู้พูดสามารถเข้าใจ ค าถามและประโยคบอกเล่าอย่างง่ายๆ โดยถามและตอบโต้ได้ด้วยความรู้ทางภาษาที่อยู่ในวงจ ากัด 2. ความสามารถในระดับใช้งานได้ในวงจ ากัด (Limited working proficiency) ผู้ พูดสามารถพูดใน สถานการณ์พื้นฐานทางสังคมได้ เช่น การแนะน าตัว การสนทนาอย่างง่ายที่มิได้ เตรียมตัวมาก่อน เช่น เรื่องเกี่ยวกับตนเองและครอบครัว 3. ความสามารถในการพูดระดับเริ่มของมืออาชีพ (Minimum professional proficiency) ผู้พูดสามารถสนทนาเรื่องราวต่างๆ ด้านอาชีพ และสังคมได้ รวมถึงเรื่องที่ต้องใช้ความรู้ เฉพาะสาขา 4. ความสามารถในการพูดระดับมืออาชีพเต็มรูปแบบ (Full professional proficiency) ผู้พูดสามารถพูดได้คล่องแคล่วและถูกต้องในการสนทนาทุกระดับ โดยมีความบกพร่องด้านการออก เสียงและไวยากรณ์น้อยมาก และสามารถโต้ตอบได้อย่างเหมาะสมทุกเรื่องแม้ในสถานการณ์ที่ไม่ คุ้นเคย 5. ความสามารถในการพูดระดับเจ้าของภาษา (Native or Bilingual proficiency) ผู้พูดสามารถพูดได้เท่าเทียมกับเจ้าของภาษาผู้ได้รับการศึกษาดี รวมทั้งสามารถใช้ศัพท์ส านวนภาษา พูดและการอ้างอิงทางวัฒนธรรมได้ สรุปว่า ความสามารถในการพูดประกอบด้วย การเลือกใช้ค า ประโยค ให้เหมาะสม กับสถานะทางสังคมของผู้พูดและผู้ฟัง มีความคล่องแคล่ว มีความตั้งใจในการสื่อสาร ตลอดจนมีกลวิธี การเลือกกลวิธีในการสื่อสารเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องทางการสื่อสาร ซึ่งนับว่าเป็นส่วนส าคัญในการพูด เพื่อการสื่อสารที่ผู้พูดสามารถใช้ภาษาในการสื่อสารให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจตรงกับสิ่งที่ผู้พูดต้องการสื่อ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 1.4 องค์ประกอบของการพูดเพื่อการสื่อสาร องค์ประกอบของการสื่อสารนั้น คือส่วนที่น ามาประกอบกับเพื่อให้เกิดการสื่อสาร หากขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งไปจะท าให้การสื่อสารนั้นไม่สมบูรณ์กระบวนการสื่อสาร
13 นั้นขึ้นอยู่กับระบบของสังคมและวัฒนธรรมที่สถานการณ์นั้นเกิดขึ้นและด าเนินไป องค์ประกอบต่าง ๆ ของการสื่อสารนั้นมีกลไกที่ต้องท างานร่วมกัน ธอร์นเบอรี่ (Thornbury 2011: 2) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของการพูดไว้ดังนี้ 1. กระบวนการพูด ประกอบไปด้วย 1.1 การผลิตค าพูด (speech production) การพูดเป็นการผลิตค าต่อค า ในการ โต้ตอบกันของบุคคลโดยการผลิตเสียงต่อเสียง ค าต่อค านั้น เรียกว่า การพูดคุยกัน การพูดเกิดขึ้น ในทันที แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการพูดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน แต่หมายถึงเวลาใน การเตรียมตัวเพื่อที่จะพูดนั้นมีอยู่อย่างจ ากัด 1.2 แนวความคิดและการก าหนดเกี่ยวกับสิ่งที่จะพูด (conceptualization and formulation) ในการพูดนั้นจะต้องมีการคิดว่าจะพูดเรื่องอะไร จากนั้นจึงก าหนดหรือสร้างแผนผัง ความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่จะพูดได้แก่ ระดับของบทสนทนา ไวยากรณ์ ค าศัพท์ จากนั้นจึงสร้างโครงร่าง ว่าจะพูดอะไรก่อนหรือหลังเป็นล าดับในการพูดภาษาอังกฤษนั้นจะแบ่งการพูดออกเป็นสองส่วน ได้แก่ หัวข้อ คือสิ่งที่ก าลังพูดถึงและค าอธิบายคือสิ่งที่ต้องการพูดเกี่ยวกับหัวข้อนั้น 1.3 การออกเสียง (articulation) การออกเสียงเกิดจากการใช้อวัยวะต่างๆ เพื่อ ผลิตเสียง กระแสลมที่ผลิตจากปอดเคลื่อนผ่านเส้นเสียง และถูกท าให้เกิดเป็นเสียงโดยต าแหน่งและ การเคลื่อนที่ของอวัยวะในช่องปาก เช่น ลิ้น ฟัน และริมฝีปาก เสียงสระผลิตจากลิ้นและริมฝีปาก เสียงพยัญชนะเกิดจากการกักลมที่บริเวณริมฝีปากหรือฟัน ซึ่งผู้ที่พูดภาษาอังกฤษสามารถผลิตหน่วย เสียงที่มีความหมายได้มากกว่า 40 หน่วยเสียง โดยแบ่งเป็นเสียงสระและพยัญชนะเท่าๆกัน 1.4 การตรวจสอบตนเองและแก้ไขขณะที่พูด (self – monitoring and repair) การตรวจสอบตนเองในขณะพูดเป็นกระบวนการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่จะพูด การก าหนดสิ่งที่จะพูด และ การออกเสียง การคิดทบทวนเกี่ยวกับสิ่งที่จะพูดในช่วงเตรียมการพูดอาจจะเป็นการละทิ้งค าพูด ทั้งหมด 1.5 การพูดได้อย่างอัตโนมัติ (automaticity) การพูดได้อย่างอัตโนมัติเป็น สิ่งจ าเป็นที่จะช่วยให้ผู้พูดประสบความส าเร็จในการพูดได้อย่างคล่องแคล่ว การพูดก็เหมือนกับทักษะ อื่นๆ เช่น การขับรถหรือ การเล่นดนตรีการฝึกฝนบ่อยๆจะช่วยให้ให้มีทักษะพูดที่ดีขึ้น 1.6 การพูดคล่องแคล่ว (fluency) การพูดคล่องแคล่วไม่ได้หมายถึงการพูดเร็ว เพียงอย่างเดียวความเร็วในการพูดเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น ในการพูดคล่องแคล่วนั้น การหยุดถือ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีความส าคัญเท่ากันกับความเร็ว การหยุดที่ถูกที่ถูกจังหวะและความถี่ของการ หยุดถือเป็นสิ่งส าคัญ เพื่อให้เกิดการพูดคล่องแคล่วผู้พูดจะใช้กลวิธีการพูด 1.7 การจัดการพูด (managing talk) ในการพูดนั้นจะต้องมีการจัดการสองสิ่ง ด้วยกันคือการปฏิสัมพันธ์และการล าดับการพูด ในการพูดทุกครั้งจะต้องมีการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้
14 พูดและผู้ฟัง แม้ว่าการพูดนั้นจะเป็นการสื่อสารทางเดียว เช่น การบรรยาย การปราศรัยของ นักการเมือง และทอล์คโชว์ ผู้พูดก็ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ฟังเช่นกัน 2. ความรู้ของผู้พูด แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 2.1 ความรู้นอกเหนือจากภาษาศาสตร์ (extralinguistic knowledge) คือความรู้ เกี่ยวกับวัฒนธรรม บริบท และความคล้ายคลึงกันของวัฒนธรรมของผู้พูดคนอื่นๆ ความรู้ด้านสังคม เป็นความรู้เกี่ยวกับคุณค่าทางสังคมและพฤติกรรมที่เป็นบรรทัดฐานของคนในสังคมนั้นๆ เรารับรู้ ความรู้ด้านสังคมเหล่านี้ได้ผ่านภาษา ความรู้ทางด้านสังคมจึงเป็นได้ทั้งความรู้นอกเหนือจาก ภาษาศาสตร์และความรู้ด้านภาษาศาสตร์ เช่น ในการทักทายนั้นบางสังคมใช้การจับมือ บางสังคม ต้องโอบกอด หรือบางสังคมต้องโค้งค านับ และเรารู้ว่าคนในสังคมนั้นๆ พูดว่าอะไรเมื่อกล่าวทักทาย กัน 2.2 ความรู้เกี่ยวกับภาษาศาสตร์ (linguistic knowledge) ประกอบไปด้วย 2.2.1 ความรู้เกี่ยวกับชนิดของภาษา (genre knowledge) แบ่งตาม เป้าหมายในการใช้ภาษาออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้ 1. ภาษาเพื่อด าเนินการ (transactional) คือ ภาษาที่ใช้เพื่อการถ่าย โอนข้อมูลและส่งเสริมการซื้อขายสินค้าและบริการต่างๆ การพูดโดยใช้ภาษาเพื่อด าเนินการอาจจะใช้ เมื่อต้องการโทรจองโต๊ะที่ร้านอาหาร เป็นต้น 2. ภาษาเพื่อปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (interpersonal) คือ ภาษาที่ ใช้เพื่อสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น การพูดโดยใช้ภาษาเพื่อปฏิสัมพันธ์อาจจะใช้ในการสนทนากับ เพื่อน ที่ร้านอาหาร เป็นต้น 2.2.2 ความรู้เกี่ยวกับสัมพันธสาร (discourse knowledge) คือ ความรู้ใน การจัดการและเชื่อมโยงค า และการล าดับการพูดและฟังของคู่สนทนาในการสนทนาโต้ตอบกัน ซึ่ง เรียกว่า ความสามารถในการใช้ภาษาระดับสัมพันธสาร 2.2.3 ความรู้เกี่ยวกับวัจนปฏิบัติ (pragmatic knowledge) คือ ความรู้ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างภาษาและบริบทในการใช้ภาษา รวมถึงเป้าหมายของการใช้ภาษา ผู้พูด ต้องรู้ว่าควรจะปรับข้อความให้สอดคล้องกับบริบท และผู้ฟังใช้ข้อมูลในบริบทนั้นมาช่วยในการท า ความเข้าใจกับสิ่งที่ได้ยินอย่างไร 1. วัจนกรรม (speech acts) คือ การที่ผู้พูดพูดถึงสิ่งหนึ่งในขณะที่ พูดก็ท าสิ่งนั้นด้วย และผู้พูดต้องใช้ภาษาได้ตรงตามหน้าที่ของภาษา เช่น บอกเล่า แนะน า ขอร้อง ปฏิเสธ สั่ง เป็นต้น
15 2. หลักการร่วมมือกัน (the co-operative principle) คือ ในการ สนทนานั้นเมื่อมีผู้ถามก็ต้องมีผู้ตอบ แต่ในโต้ตอบการสนทนานั้นจะต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็น ที่พอใจทั้งสองฝ่าย 3. ความสุภาพ (politeness) ในการพูดนั้นผู้พูดควรจะพูดอย่างสุภาพ และไม่พูดให้ผู้อื่นเสียหน้า หรือรู้สึกเสียใจ ผู้พูดสามารถใช้ค าที่มีความเชิงบวกตามหลักการทางภาษา นั้นๆ มาใช้ในการการพูดเพื่อให้เกิดความสุภาพ 4. ท าเนียบภาษา (register) คือ ความรู้เกี่ยวกับการเลือกใช้ภาษาที่ เหมาะสมกับขอบเขต (field) บุคคล (tenor) และรูปแบบ (mode) 5. โครงสร้าง (structure) โครงสร้างทางไวยากรณ์ที่ใช้ในการพูดนั้น แตกต่างจากการเขียน เนื่องจากการพูดเกิดขึ้นในทันทีซึ่งต่างจากการเขียนที่มีเวลาตรวจทานการใช้ ภาษา ในการพูดมักจะใช้ question tags เพื่อถามผู้ฟังว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” นอกจากนั้น tense ที่ ถูกน ามาใช้ในการพูดมากที่สุดคือ present simple tense และ present progressive tense 6. ค าศัพท์ (vocabulary) ในภาษาพูดนั้นมีความสัมพันธ์ระหว่าง ค าศัพท์และการแสดงความหมายที่แสดงให้เห็นความคิดของผู้พูดอยู่ ค าศัพท์ที่ผู้พูดใช้จะเป็นค าศัพท์ ที่มีความหมายสอดคล้องกับบริบทนั้นๆ เช่น I, me, then, now, here, there เป็นต้น 7. วลีหรือกลุ่มค า (chunk) คือ ค าหลายค าที่น ามารวมกัน 8. การออกเสียง (phonology) สิ่งส าคัญในการออกเสียงของผู้พูดคือ การออกเสียงสูงต่ า (intonation) การออกเสียงสูงต่ าท าให้เห็นข้อมูลที่ส าคัญของการพูดนั้นชัดเจน มากยิ่งขึ้น ในการพูดภาษาอังกฤษนั้นจะเห็นได้ว่าระดับเสียง (pitch) ที่สูงขึ้นกับข้อมูลใหม่นั้นมี ความสัมพันธ์กัน และเมื่อระดับเสียงลดลงนั่นแสดงว่าการพูดได้สิ้นสุดลงแล้ว 2.3 ความรู้เกี่ยวกับเงื่อนไขการพูด (speech condition) เงื่อนไขการพูดมีส่วน ช่วยในการที่จะพูดได้อย่างถูกต้องและคล่องแคล่วและประสบความส าเร็จในการสื่อสาร ซึ่งปัจจัยที่ ส่งผลต่อเงื่อนไขการพูด ได้แก่ปัจจัยดังต่อไปนี้ 2.3.1 ปัจจัยด้านองค์ความรู้ (cognitive factors) เมื่อผู้พูดได้พูดเกี่ยวกับสิ่งที่ ผู้พูดคุ้นเคย หรือเป็นสิ่งที่ผู้ผู้ต้องการสื่อสารและมีความสนใจ โดยผู้พูดได้พูดกับคู่สนทนาที่คุ้นเคยก็จะ ช่วยให้ผู้พูดพูดได้ง่ายขึ้น 2.3.2 ปัจจัยด้านความรู้สึก (affective factors) เมื่อผู้พูดได้พูดเกี่ยวกับเรื่อง ที่ตนชอบก็จะพูดได้ดี แต่ถ้าหากผู้พูดต้องมีความรู้สึกว่าถูกจับผิดอยู่ เช่น รู้ว่าก าลังถูกประเมินการพูด อาจท าให้ผู้พูดรู้สึกกังวลในขณะที่พูด 2.3.3 ปัจจัยด้านการพูด (performance factors) การพูดกับคู่สนทนาแบบ พบหน้ากัน หรือการพูดรายงานหน้าชั้นที่โรงเรียนจะช่วยให้การพูดพัฒนามากกว่าการฝึกพูดกับตัวเอง
16 คนเดียว เนื่องจากมีเพื่อนคอยให้ค าแนะน า นอกจากนั้นแล้วผู้พูดควรได้ฝึกพูดในสภาพแวดล้อมที่ เหมาะสม และมีการเตรียมตัวก่อนพูดจะช่วยให้พูดได้ดีขึ้น จินดา งามสุทธิ(2549) กล่าวว่าลักษณะการพูด มีส่วนขายขึ้นกับลักษณะของการ สื่อสาร (Communication) มาก โดยเน้นที่กระบวนการพูดนั้นจะประกอบด้วยองค์ประกอบที่ส าคัญ 5 ประการ ได้แก่ ผู้พูด (Speaker) เนื้อเรื่อง (Speech) ผู้ฟัง (Audience) เครื่องมือสื่อความหมาย (Communication Act) และสถานการณ์ในการพูด (Speaking situation) ดังนี้ 1. ผู้พูด (Speaker) คือ ผู้ส่งสาร (Sender) ในกระบวนการสื่อสาร โดยใช้ภาษาพูด หรือภาษาเสียงเป็นเครื่องมือสื่อความหมาย ถ่ายทอดสารไปให้ผู้รับสารคือผู้ฟังรับรู้ผ่านโสตประสาท ผู้ส่งสารหรือผู้พูดเป็นผู้ถ่ายทอดข้อมูลข่าวสาร ความรู้สึกนึกคิด หรือ ความต้องการไปยังอีกผู้หนึ่ง เพื่อให้ทราบให้เข้าใจตรงกันกับผู้ส่งสาร 2. เนื้อเรื่อง (Speech) คือ สาร (Message) ที่ผู้ส่งสารหรือผู้พูดถ่ายทอดเตรียมผู้รับ สารในกระบวนการสื่อสาร โดยใช้ภาษาพูดหรือภาษาเสียงเป็นสื่อสัญลักษณ์แทนสาร เนื้อหาสาระสาร อาจจะเป็นข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ความรู้สึกนึกคิด ความต้องการ หรือเรื่องราวต่างๆ ที่ผู้พูดต้องการ ถ่ายทอดให้ผู้ฟังได้รับรู้ 3. ผู้ฟัง (Audience) คือ ผู้ที่รับสาร (Receiver) ในกระบวนการสื่อสาร ที่รับรู้สาร จากผู้สื่อสารผ่านการฟัง เป็นผู้รับข้อมูลข่าวสาร ความรู้สึกนึกคิด ความต้องการ หรือเรื่องราวต่างๆ จากผู้ส่งสาร ผู้รับสารหรือผู้ฟังอาจจะเป็นคนเดียวหรือกลุ่มคนก็ได้ เช่น นักศึกษาที่ฟังค าบรรยาย ประชาชนที่ฟังโฆษณาทางวิทยุโทรทัศน์ กลุ่มแฟนคลับที่ฟังรายการวิทยุของเอไทม์มีเดีย ของบริษัท GMM Grammy จ ากัด (มหาชน) 4. เครื่องมือสื่อความหมาย (Communication Act) คือ สื่อภาษาและช่องทาง (Channel) ที่ผู้ส่งสารใช้ในการสื่อสาร ซึ่งการพูดในการสื่อสารนั้นผู้ส่งสารหรือผู้พูดจะใช้ภาษาพูด หรือภาษาเสียงสื่อความหมาย ให้ผู้รับสารหรือผู้ฟังรับรู้ผ่านทางโสตประสาท รวมถึงภาษาท่าทางที่ผู้ พูดสื่อสารออกไปในขณะพูดด้วย 5. สถานการณ์ในการพูด (Speaking situation) คือสถานการณ์สภาพแวดล้อม ในขณะสื่อสารซึ่งคู่สื่อสาร คือผู้พูดและผู้ฟังรับรู้ได้ในขณะท าการสื่อสาร เช่น สถานที่ อุณหภูมิ บรรยากาศ เวลา ซึ่งจะมีผลต่อประสิทธิภาพในการส่งสารของผู้พูดและการรับรู้สารของผุ้ฟังครั้งนั้นๆ ด้วย สรุปได้ว่า การสื่อสารนั้นประกอบไปด้วยการสื่อสารที่หลากหลาย มีทั้งการฟัง การ พูด การอ่านและการเขียน แต่ที่เห็นได้เด่นชัดนั้นคือ การพูดเพื่อการสื่อสาร ที่เป็นการสื่อสารที่มนุษย์ เราใช้กันมากที่สุด การพูดเพื่อการสื่อสารจึงมีความส าคัญในชีวิตประจ าวันของมนุษย์เราในสังคมทุก วันนี้
17 1.5 ความหมายของกลวิธีการสื่อสาร ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ส าคัญในการสื่อสาร เนื่องจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ ใช้ในการสื่อสารระหว่างกันในชีวิตประจ าวันและการประกอบอาชีพ แต่ด้วยข้อจ ากัดทางภาษาของผู้ ที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง ส่งผลให้เกิดแนวทางการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communication approach) โดยแนวทางการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารมีการมุ่งเน้นความส าคัญที่ ตัวผู้เรียน ซึ่งจากแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารพบว่า หนึ่งในองค์ประกอบของความสามารถใน การสื่อสาร คือ ความสามารถในการใช้กลวิธีในการสื่อความหมาย (Strategic competence) กล่าวคือ การใช้เทคนิคเพื่อให้การติดต่อสื่อสารประสบความส าเร็จ โดยเฉพาะการสื่อสารด้านการพูด เซลิงเคอร์ (Selinker, 1972) ได้น าเสนอแนวคิดเกี่ยวกับลักษณะข้อผิดพลาดของการ ใช้ภาษาของผู้เรียนภาษาที่สอง ที่เรียกว่า ภาษาระหว่างการเรียนรู้ (Interlanguage) ซึ่งหมายถึง ระบบของภาษาที่ไม่เหมือนทั้งภาษาแม่และภาษาที่สอง แต่มีลักษณะบางประการที่คาบเกี่ยวกัน ระหว่างสองภาษา กล่าวคือ เมื่อผู้เรียนภาษาที่สองประสบปัญหาด้านภาษา ผู้เรียนจะแสวงหากลวิธี (Strategy) เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับคู่สนทนาหรือเพื่อโต้ตอบในการสนทนา โดยใช้วิธีการต่างๆ ซึ่ง กลวิธีการสื่อสารก็เป็นหนึ่งกลวิธีที่เซลิงเคอร์ค้นพบในงานวิจัย ซึ่งประกอบด้วย 5 กลวิธี ได้แก่ การ ถ่ายโอนภาษาแม่ (Language transfer) การสรุปรวม (Overgeneralization) การถ่ายโอนจากการ เรียน (Transfer of training) กลวิธีการเรียนภาษาที่สอง (Strategies of second language learning) และกลวิธีการสื่อสาร (Strategies of second language communication) จาก บทความของเซลิงเคอร์นี้ ได้จุดประกายความสนใจให้นักวิชาการทางการศึกษาเรื่องกลวิธีในการ สื่อสาร และผู้ที่ศึกษาเรื่องกลวิธีการสื่อสารอย่างจริงจังเป็นท่านแรก คือ วาราดี (Varadi, 1980) แต่ เนื่องด้วยมีการตีพิมพ์ที่ไม่มากนักจึงยังไม่เป็นที่แพร่หลาย เฟรช และคาสเปอร์ (Faerch & Kasper, 1983: 15) กล่าวว่า ด้วยปัจจุบันการเรียน การสอนภาษามีการเปลี่ยนแปลงโดยเน้นแนวการสอนเกี่ยวกับหน้าที่ของภาษา (Functional system) หรือด้วยวิธีการเรียนและการฝึกฝน เพื่อจุดมุ่งหมายในการน าไปใช้ในการสื่อสาร ซึ่งแตกต่าง จากการเรียนการสอนในอดีต ที่มุ่งเน้นแนวการสอนในเรื่องของรูปแบบ (Forms) ของภาษา อาทิ ไวยากรณ์ (Grammatical) หน่วยของเสียง (Phonological) ค าศัพท์ (Lexical) ด้วยความสนใจใน ประเด็นดังกล่าว จึงมีนักวิจัยหลายท่านได้ศึกษาเรื่องกลวิธีการสื่อสาร อาทิ ทาโรน (Tarone), เฟรช และคาสเปอร์ (Faerch & Kasper) , เบียสต๊อค (Bialystok), พลูลิศ (Poulisse) และสิ-ชิง (Si-Qing) เป็นต้น และได้ให้ค านิยามความหมายของค าว่ากลวิธีการสื่อสารที่แตกต่างกัน เพ็ญนภา เลิศกิตติไพบูลย์ (2559) กล่าวว่า กลวิธีการสื่อสาร (Communication strategies) ได้น ามาใช้เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1972 โดยเซลิงเคอร์ (Selinker, 1971: 209-230) ในขณะที่ศึกษาข้อผิดพลาดการใช้ภาษาของผู้เรียนภาษาที่สอง เซลิงเคอร์ (Selinker, 1972 cited in
18 Cook, 1993: 113) ได้บัญญัติค าว่ากลวิธีการสื่อสาร คือ การแก้ปัญหาในชั่วขณะที่พบอุปสรรคใน ระหว่างการท าการสื่อสาร ส่วนในด้านของเฟรช และคาสเปอร์ (Faerch & Kasper, 1983: 36) ได้ให้ ความหมายของค าว่ากลวิธีการสื่อสาร คือ การวางแผนอย่างมีสติของแต่ละบุคคลเพื่อให้การสื่อสาร สามารถบรรลุไปสู่เป้าหมาย แต่ในขณะที่เบียสต๊อค (Bialystok, 1979 cited in Faerch & Kasper, 1983: 102-103) ได้ให้ความหมายของกลวิธีการสื่อสาร คือ ความพยายามของผู้เรียนภาษาที่สองที่ จัดการกับข้อจ ากัดทางภาษาเพื่อให้การสื่อสารบรรลุเป้าหมาย เนื่องจากผู้สื่อสารมีความสามารถใน ภาษาที่สองจ ากัดและหากการเรียนเป็นผลมาจากการฝึก กลวิธีการสื่อสารก็น่าจะเป็นกลวิธีการเรียน ด้วย ซึ่งสอดคล้องกับ สเทอร์น (Stern, 1983: 411) ที่ได้กล่าวว่า กลวิธีการสื่อสารเป็นวิธีหรือเทคนิค ที่ผู้เรียนใช้เมื่อเผชิญกับปัญหาในระหว่างการสื่อสาร อันเนื่องมาจากความบกพร่องในภาษาที่สองของ ผู้เรียน ในขณะที่พลูลิศ (Poulisse, 1990: 88) ได้เรียกกลวิธีการสื่อสารว่า เป็นกลวิธีการชดเชย (Compensatory strategies) โดยผู้ใช้ภาษาจะใช้กลวิธีการชดเชยเมื่อประสบปัญหาในระหว่างที่ผู้ใช้ ภาษามีข้อมูลทางภาษาที่ไม่เพียงพอ เพื่อจะน าไปสู่เป้าหมายในการสื่อความหมายตามที่ตนเอง ต้องการ ส่วนในด้านของอ๊อกซ์ฟอร์ด (Oxford, 1990: 8) เรียกกลวิธีการสื่อสารว่าเป็นกลวิธีการ ทดแทน (Compensation strategies) ซึ่งจัดให้อยู่ในประเภทกลวิธีการเรียนภาษาโดยอ้อม คือ กลวิธีที่ใช้เพื่อช่วยให้ผู้เรียนท าการสื่อสารได้และลดข้อจ ากัดในการสื่อสาร แนวคิดของบราวน์ (Brown, 1987: 18) กล่าวว่า กลวิธีการสื่อสารเป็นกลวิธีที่ผู้ใช้มี เจตนาในการใช้วัจนภาษาและอวัจนภาษาเพื่อการถ่ายทอดความคิด เมื่อไม่สามารถใช้ค าที่ถูกต้องใน ระหว่างการสื่อสารได้ ในทางตรงกันข้ามทาโรน (Tarone, 1981: 288) ได้ให้ค านิยามของกลวิธีการ สื่อสาร คือ กลวิธีที่ผู้เรียนใช้เพื่อเชื่อมโยงศักยภาพทางภาษาของตนกับภาษาเป้าหมายและศักยภาพ ทางภาษาของคู่สนทนา สรุปได้ว่า กลวิธีการสื่อสารมีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน คือ กลวิธีการชดเชย กลวิธีการ ทดแทนซึ่งหมายถึงกระบวนการหรือวิธีการที่เกิดขึ้นแบบตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจของผู้พูดด้วยการสื่อสาร แบบวัจนภาษาและอวัจนภาษาเพื่อแก้ปัญหาในระหว่างการสื่อสาร เนื่องจากผู้พูดมีข้อจ ากัดทางภาษา และยังเป็นกลวิธีที่ใช้เพื่อช่วยให้ผู้เรียนภาษาที่สองสามารถสื่อสารได้และลดข้อจ ากัดในการสื่อสาร เพื่อให้การสื่อสารประสบความส าเร็จ โดยกลวิธีการสื่อสารนั้นผู้เรียนสามารถท าการฝึกฝนได้เพื่อท า ให้การสื่อสารประสบความส าเร็จและมีประสิทธิภาพ 1.6 ประเภทของกลวิธีการสื่อสาร กลวิธีการสื่อสารคือวิธีการที่ผู้เรียนภาษาที่สองน ามาใช้ในระหว่างการสนทนาเพื่อท า ให้การสนทนาบรรลุตามวัตถุประสงค์ของผู้พูด ดังนั้น การศึกษาว่าผู้เรียนภาษาที่สองใช้กลวิธีการ สื่อสารแบบใด จึงมีความส าคัญและท าให้ทราบถึงข้อบกพร่องด้านความสามารถในการใช้ภาษาเพื่อ การสื่อสารของผู้เรียน
19 ทาโรน (Tarone, 1981 cited in Faerch & Kasper, 1983: 62-64) ได้จัดแบ่ง ประเภทของกลวิธีการสื่อสารออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. การถอดความ (Paraphrase) ซึ่งประกอบด้วย 3 กลวิธีย่อย ได้แก่ 1.1 การใช้ค าใกล้เคียง (Approximation) คือ การใช้ค าหรือโครงสร้างซึ่งผู้พูด ทราบว่าไม่ถูกต้องแทนค าหรือโครงสร้างที่ผู้พูดต้องการกล่าวถึง ซึ่งค าหรือโครงสร้างนั้นมีความ ใกล้เคียงและตรงตามความต้องการของผู้พูด เช่น ใช้ค าว่า “animal” แทนค าว่า “horse” จาก ตัวอย่าง ผู้พูดไม่ทราบค าศัพท์ภาษาอังกฤษของค า ว่า ม้า จึงใช้วิธีการอธิบายว่าเป็นสัตว์ เป็นต้น 1.2 การสร้างค าใหม่ (Word coinage) คือ ผู้เรียนสร้างค าใหม่ขึ้นมาเพื่อใช้สื่อ ความหมายที่ต้องการ เช่น ใช้ค าว่า “airball” แทนค าว่า balloon จากตัวอย่าง ผู้พูดได้ใช้ความรู้ จากภาษาที่สองเพื่อที่จะสื่อความหมายของค าที่ต้องการ โดยใช้ “air” ซึ่งมีความหมายใน ภาษาอังกฤษว่าอากาศ และ “ball” ซึ่งมีความหมายในภาษาอังกฤษว่า ลูกบอล เพื่อท าการอธิบายว่า เป็นลูกบอลที่ลอยอยู่ในอากาศ แต่ในภาษาอังกฤษมีค าศัพท์เฉพาะที่อธิบายค าว่าลูกบอลที่ลอยอยู่ใน อากาศด้วยค าว่า “balloon” เป็นต้น 1.3 การพูดอ้อมค้อม (Circumlocution) คือ ผู้เรียนบรรยายลักษณะหรือ องค์ประกอบของวัตถุหรือการกระท าแทนการใช้ค าหรือโครงสร้างที่เหมาะสมในภาษาเป้าหมาย เช่น (She is, uh, smoking something. I don’t know what’s its name. That’s, uh, Persian, and we use in Turkey, a lot of.) จากตัวอย่าง ผู้พูดไม่ทราบค าศัพท์จึงพยายามอธิบายว่าของสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่ใช้สูบ ซึ่งผู้พูดไม่ทราบค าศัพท์และได้ท าการอธิบายต่อว่าของสิ่งนี้ที่ชาวเปอร์เซียและพวกเรา ใช้ในตุรกีกันเป็นจ านวนมาก 2. การขอยืมค า (Borrowing) ซึ่งประกอบด้วย 4 กลวิธีย่อย ได้แก่ 2.1 การพูดแปลค าต่อค า (Literal translation) คือ ผู้เรียนแปลค าศัพท์ค าต่อค า มาจากภาษาแม่หรือภาษาแรก เช่น He invites him to drink แทนประโยค They toast one another. จากตัวอย่าง ผู้พูดใช้วิธีการแปลแบบค าต่อค า คือ “เขาเชิญเขามาดื่ม” แต่ในภาษาอังกฤษ นั้นใช้รูปประโยคที่ต่างกันและมีความหมายว่า “พวกเราดื่มอวยพรให้กันและกัน” 2.2 การพูดภาษาแม่ปนภาษาที่สอง (Language switch) คือ ผู้เรียนใช้ค าในภาษา แม่โดยปราศจากการแปล เช่น “balon” แทนค าว่า “balloon” จากตัวอย่าง ผู้พูดพูดค าว่า “บาลูน” ซึ่งเป็นการออกเสียงจากภาษาแม่ แทนค า ว่า “บอลลูน” ในภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาที่สอง เป็นต้น 2.3 การขอความช่วยเหลือ (Appeal for assistance) คือ ผู้เรียนถามค าศัพท์ที่ตน ไม่ทราบจากผู้ฟังหรือคู่สนทนา เช่น what is this? What called? จากตัวอย่าง ผู้เรียนขอความ ช่วยเหลือจากคู่สนทนาโดยการถามคู่สนทนาว่า สิ่งนี้เรียกว่าอะไร เป็นต้น
20 2.4 การท าท่าใบ้ (Mime) คือ ผู้เรียนใช้ท่าทางแทนค าพูด เช่น ผู้เรียนไม่ทราบ ค าศัพท์ในภาษาอังกฤษ ค าว่า applause จึงใช้วิธีการแสดงท่าทางด้วยการปรบมือ เป็นต้น 3. การหลีกเลี่ยง (Avoidance) ซึ่งประกอบด้วย 2 กลวิธีย่อย ได้แก่ 3.1 การหลีกเลี่ยงหัวข้อสนทนา (Topic avoidance) คือ ผู้เรียนพยายามไม่พูด เกี่ยวกับหัวข้อสนทนาที่ตัวเองไม่มีความรู้ด้านค าศัพท์หรือโครงสร้างประโยค 3.2 การละทิ้งข้อมูลสนทนา (Message abandonment) คือ ผู้เรียนเริ่มต้นการ สนทนาเกี่ยวกับหัวข้อหนึ่ง ๆ แต่ก็ไม่สามารถสนทนาต่อไปได้ จึงได้หยุดการสนทนาลงกลางคัน เบียลีสต็อค (Bialystok, 1979 cited in Faerch &Kasper, 1983: 105-107) ได้ ศึกษากับกลุ่มผู้เรียนที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ โดยให้ผู้เรียนบรรยายภาพโดยใช้ภาษาฝรั่งเศสซึ่ง เป็นภาษาที่เรียน และสามารถจัดแบ่งประเภทของกลวิธีการสื่อสารออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. กลวิธีที่ใช้พื้นความรู้ภาษาแม่ (L1-based strategies) ซึ่งประกอบด้วย 2 กลวิธี ย่อย ได้แก่ 1.1 การเปลี่ยนหรือสลับภาษา (Language switch) คือ การใช้ค าที่เป็นภาษาแม่ แทรกเข้าไปในภาษาเป้าหมาย 1.2 การท าให้เป็นภาษาต่างประเทศหรือการใช้ส าเนียงภาษาต่างประเทศ (Foreignizing) คือ การสร้างค าที่ไม่ปรากฏอยู่หรือไม่เหมาะสมตามบริบทในภาษาที่สอง โดยใช้ วิธีการปรับลักษณะค าหรือหน่วยเสียงในภาษาที่สองเพื่อใช้กับภาษาแม่ 1.3 การพูดแบบแปลค าต่อคา (Transliteration) คือ การแปลจากภาษาแม่มาเป็น ภาษาที่สอง 2. กลวิธีการใช้พื้นความรู้ภาษาที่สอง (L2-based strategies) ซึ่งประกอบด้วย 2 กลวิธีย่อยได้แก่ 2.1 การใช้ความหมายใกล้เคียง (Semantic Contiguity) คือ การใช้ค าที่มีลักษณะ ทางความหมายบางอย่างที่ใกล้เคียงกัน 2.2 การบรรยาย (Description) ซึ่งประกอบด้วย 3 กลวิธีย่อย ได้แก่ 2.2.1 การบรรยายลักษณะทั่วไป (General physical proportion) คือ บรรยายลักษณะของสิ่งของนั้น เช่น สี ขนาด วัสดุ รูปทรง รูปร่าง 2.2.2 การบรรยายลักษณะเฉพาะ (Specific distinguishing features) คือ การอธิบายโครงสร้าง หรือพื้นผิว 2.2.3 การบรรยายหน้าที่หรือการใช้ประโยชน์ของสิ่งต่างๆหรือการกระท าต่าง ๆ(Interactional functional characteristics)
21 2.3 การสร้างค าใหม่ (Word coinage) คือ การสร้างค าภาษาที่สองขึ้นมาใหม่ โดย การใช้ความรู้เชิงความคิดรวบยอดและความรู้เกี่ยวกับหน่วยค าในภาษาที่สอง แฟร์ชและคาสเปอร์ (Faerch & Kasper, 1983: 38-53) ได้มุ่งศึกษากระบวนการทาง จิตวิทยาที่เกิดขึ้นในขณะที่ผู้เรียนใช้กลวิธีในการสื่อสาร และได้แบ่งประเภทกลวิธีการสื่อสารออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. กลวิธีการท าให้ส าเร็จ (Achievement Strategies) คือ กลวิธีการสื่อสารที่ผู้เรียน ใช้ในการแก้ปัญหาเมื่อมีความรู้ในภาษาเป้าหมายไม่เพียงพอโดยใช้การขยายข้อมูลในการสื่อสาร (Expanding communication resources) ด้วยวิธีการใช้กลวิธีการชดเชย (Compensatory strategies) ซึ่งประกอบด้วย 4 กลวิธีย่อยๆ ดังนี้ 1.1 กลวิธีการสลับรหัส (Code switching) คือ กลวิธีที่ผู้พูดสับเปลี่ยนจากภาษาที่ สองไปสู่ภาษาแรกหรือภาษาต่างประเทศ ซึ่งการสลับรหัสนี้ สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งค าเดียว (Single words) ตลอดจนการผลัดกันพูด (Complete turns) ของคู่สนทนาแต่ละฝ่าย เช่น การสลับเปลี่ยน จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาเยอรมัน 1.2 กลวิธีการใช้ภาษาแม่และภาษาที่สองปนกัน (Interlingua transfer) คือ กลวิธี ที่ผู้พูดเติมหรือแทรกถ้อยค าจากภาษาแม่หรือภาษาอื่นมาปนกับภาษาที่สอง 1.3 กลวิธีที่มีพื้นฐานจากภาษาระหว่างระบบ (Inter-intralingual transfer) คือ กลวิธีการสรุปความคิดของกฎเกณฑ์ด้านภาษา 1.4 กลวิธีการใช้ภาษาที่สองภาษาเดียว (Inter- intralingual based strategies) คือ กลวิธีการสื่อสารที่ผู้เรียนใช้ในการแก้ปัญหาในการสื่อสารโดยใช้หลักการของภาษาระหว่างระบบ ที่มีอยู่ซึ่งประกอบด้วย 4 กลวิธีย่อย ได้แก่ 1.4.1 กลวิธีการสรุปความ (Generalization) คือ กลวิธีที่ผู้พูดใช้ค าในภาษาที่ สองที่มีความหมายใกล้เคียงกับค าศัพท์ที่ต้องการสื่อความหมาย โดยที่ผู้พูดทราบรายละเอียดทั้งหมด แต่ต้องการสื่อสารด้วยการพูดโดยวิธีการย่อรูปแบบ (Formal Reduction) ส่งผลให้ค าที่เลือกมาใช้ใน การสื่อสารมีความเหมาะสมน้อยลงไป ซึ่งการสรุปความประกอบด้วยกลวิธีย่อย ดังนี้ การใช้ค าแทน (Lexical substitute) การใช้ค าที่มีความหมายใกล้เคียงหรือเกือบตรงกัน (Approximation) และ การใช้ค าจากกลุ่ม (Superordinate term) 1.4.2 การถอดความ (Paraphrase) คือ กลวิธีการสื่อสารที่ผู้พูดใช้ค าหรือวลีที่ มีความหมายเหมือนกัน ซึ่งรูปแบบในการใช้ประโยคความหมายเหมือนมีทั้งการบรรยายให้ รายละเอียด (descriptions) หรือ การพูดอ้อม (circumlocutions) โดยผู้พูดเน้นการให้รายละเอียด ในลักษณะกายภาพและหน้าที่หรือลักษณะการใช้งาน
22 1.4.3 การสร้างค าใหม่ (Word coinage) คือ กลวิธีการสื่อสารที่ผู้พูดสร้างค าใน ภาษาที่สองขึ้นมาใหม่ 1.4.4 การจัดโครงสร้างใหม่ (Restructuring) คือ กลวิธีที่ผู้พูดรู้ว่าตนเองไม่ สามารถอธิบายข้อมูลที่ตั้งใจไว้ได้อย่างสมบูรณ์ หรือไม่สามารถพูดได้จบประโยคตามที่ตั้งใจไว้ จึงท า ให้ผู้พูดจัดเรียงโครงสร้างของข้อมูลที่สร้างขึ้นใหม่เพื่อให้ประโยคในการสื่อสารนั้นสมบูรณ์ดังที่ตั้งใจ 2. กลวิธีขอความร่วมมือ (Cooperative strategies) คือ กลวิธีการสื่อสารที่ผู้พูดใช้ เมื่อเกิดปัญหาในระหว่างการสื่อสาร โดยการส่งสัญญาณให้คู่สนทนาทราบว่าผู้พูดต้องการขอความ ช่วยเหลือโดยการแสดงออกให้รู้ (Appealing) ซึ่งลักษณะของการแสดงให้รู้นี้เรียกว่า การเริ่มด้วย ตัวเองแล้วให้ผู้อื่นแก้ไข (Self-initiated other-repairs) หรือการถามค าถาม 3. กลวิธีการไม่ใช้ค าพูด (Non-linguistic Strategies) คือ กลวิธีที่ผู้พูดใช้การสื่อสาร โดยการท าท่าใบ้ (mime) การเคลื่อนไหวร่างกาย (gesture) การเลียนเสียง (sound-imitation) ปาริบาคห์ (Paribakht,1985: 132-146) ได้แบ่งประเภทกลวิธีการสื่อสารออกเป็น 4 ประเภท ดังต่อไปนี้ 1. กลวิธีการสื่อสารที่ใช้แนวคิดด้านภาษาศาสตร์ (Linguistic approach) คือ กลวิธี การสื่อสารที่ผู้พูดใช้ความรู้ทางภาษาศาสตร์ในการแก้ปัญหาระหว่างการสื่อสาร ซึ่งประกอบด้วย 2 กลวิธีย่อย ได้แก่ 1.1 การใช้ความหมายที่ใกล้เคียง (Semantic contiguity) คือ กลวิธีการสื่อสารที่ ผู้พูดใช้ค าศัพท์ที่มีความสัมพันธ์กับค าศัพท์เป้าหมายที่ต้องการสื่อ สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้ 1.1.1 การใช้บอกหมวดหมู่ (Superordinate) คือ กลวิธีการสื่อสารที่ผู้พูดบอก ชนิดกลุ่ม หมวดหมู่ของสิ่งของที่ต้องการสื่อสาร 1.1.2 การเปรียบเทียบ (Comparison) คือ กลวิธีการสื่อสารที่ผู้พูดใช้การ เปรียบเทียบสิ่งของเพื่อการสื่อความหมายในภาษาเป้าหมาย โดยแบ่งออกเป็น 1.2 การพูดด้วยนัยทางอ้อม (Circumlocution) คือ กลวิธีการสื่อสารที่ผู้พูด พยายามที่จะบรรยายลักษณะของสิ่งที่ผู้พูดต้องการสื่อสารในภาษาเป้าหมาย 2. กลวิธีการสื่อสารที่ใช้แนวคิดด้านบริบท (Context approach) คือ กลวิธีที่ผู้พูดใช้ ความรู้ด้านบริบทที่อยู่ข้างเคียงเพื่อสื่อความหมาย ได้แก่ การใช้บริบททางด้านภาษาศาสตร์ (Linguistic context) ซึ่งเป็นกลวิธีการสื่อสารที่ผู้พูดบอกบริบทส าหรับค าศัพท์ที่ต้องการ โดยเว้น ค าศัพท์ที่ต้องการไว้ 3. กลวิธีการสื่อสารที่ใช้แนวคิดด้านความคิดรวบยอด (Conceptual approach) คือ กลวิธีการสื่อสารที่ผู้พูดใช้ความรู้รอบตัวและสถานการณ์เฉพาะของผู้พูด ซึ่งอาจจะได้อิทธิพลมาจาก สังคมหรือพื้นฐานทางวัฒนธรรมของผู้พูดก็ได้ โดยแบ่งออกเป็น
23 3.1 การให้ตัวอย่าง (Exemplification) คือ กลวิธีการสื่อสารที่ผู้พูดอ้างอิงถึง ตัวอย่างต่าง ๆ เช่น บุคคลใดบุคคลหนึ่ง โอกาสต่าง ๆ หรือ เหตุการณ์จริงต่างๆ ที่ท าให้ทราบถึง ค าศัพท์เป้าหมายที่ต้องการสื่อสาร 3.2 การเรียกชื่อสิ่งหนึ่งโดยใช้อีกสิ่งหนึ่งแทน (Metonymy) คือ กลวิธีการสื่อสารที่ ผู้พูดบอกลักษณะที่เป็นต้นแบบของสิ่ง ๆ หนึ่ง ที่คู่สนทนาเข้าใจตรงกัน เพื่อที่จะสื่อความหมายในสิ่ง ที่ต้องการ 4. กลวิธีการสื่อสารด้วยการท าท่าใบ้ (Mime) คือ กลวิธีการสื่อสารที่ผู้พูดใช้ท่าทางที่มี ความหมายในการสื่อสาร โดยแบ่งออกเป็น 4.1 การแสดงท่าทางแทนค าพูด (Replacing verbal output) คือ กลวิธีการ สื่อสารที่ใช้ท่าทางโดยไม่ใช้ค าพูด 4.2 การแสดงท่าทางประกอบการพูด (Accompanying verbal output) คือ กลวิธีการสื่อสารที่ผู้พูดใช้ท่าทางและค าพูดประกอบกันเพื่อสื่อความหมายในภาษาเป้าหมาย สรุปได้ว่าประเภทของกลวิธีในการสื่อสาร คือ กลวิธีการท าให้ส าเร็จ หมายถึง กลวิธีที่ ผู้พูดใช้วิธีการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นขณะสื่อสารในภาษาเป้าหมายและเพื่อชดเชยความ บกพร่องในความรู้ภาษาที่สองเพื่อให้การสื่อสารสามารถด าเนินต่อไปได้ กลวิธีการหลีกเลี่ยง หมายถึง กลวิธีที่ผู้พูดใช้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกิดขึ้นขณะสื่อสารในภาษาเป้าหมาย ด้วยวิธีการหลีกเลี่ยงหัวข้อ สนทนา การละทิ้งข้อมูล เป็นต้น 1.7 ปัจจัยที่ผลต่อการใช้กลวิธีการสื่อสาร ปัจจัยที่มีอิทธิต่อการใช้กลวิธีการสื่อสารของผู้เรียนภาษาที่สอง คือ แรงจูงใจในการ เรียน วิธีการสอน ภาระงาน กิจกรรมส าหรับการเรียนการสอน ความสามารถของผู้เรียน การสอน กลวิธีการสื่อสารส าหรับงานวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยสนใจศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผู้เรียน ดังนี้ เพ็ญนภา เลิศกิตติไพบูลย์ (2559) ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการ ใช้กลวิธีการสื่อสารไว้ดังนี้ 1. ระดับความสามารถทางภาษาของผู้เรียน (Proficiency level) ความสามารถของ ผู้เรียนจากการศึกษางานวิจัยของเหมย (Mei, 2010) ได้ศึกษากลุ่มนักศึกษาที่มีความสามารถทาง ภาษาในระดับที่สูงและระดับต่ า พบว่า การเลือกใช้กลวิธีนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถทางภาษาอังกฤษ ของผู้เรียน โดยงานวิจัยของไฮล์ (Hyde, 1982) พบว่า นักศึกษาที่มีความสามารถทางภาษาในระดับ ต่ า มีการใช้กลวิธีการสื่อสารบ่อยครั้งกว่าผู้ที่มีความสามารถทางภาษาในระดับสูง เนื่องด้วยสาเหตุการ เผชิญกับปัญหามากมายระหว่างท าการสื่อสาร ตลอดจนผู้เรียนมีความสามารถในภาษาเป้าหมายที่ จ ากัด ในทางตรงกันข้าม เบียลีสต็อคและฟรอลิซ (Bialystok & Frohlich, 1980) และ เบียลีสต็อค (Bialystok, 1983) พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถของผู้เรียนกับประเภทการสื่อสารที่
24 เจาะจงของผู้ใช้ ซึ่งเรียกว่า กลวิธี L1 based (กลวิธีที่ใช้พื้นฐานความรู้ภาษาแม่) และ L2 based (กล วิธีการใช้พื้นความรู้ภาษาที่สอง) ด้วยการถูกครอบง าเรื่องความบกพร่องทางภาษาศาสตร์ของผู้ที่เรียน ภาษาที่สอง ซึ่งนักเรียนที่มีความสามารถทางภาษาในระดับต่ า ใช้กลวิธีการยืมค าศัพท์จากภาษาแรก หรือภาษาแม่มากกว่านักเรียนที่มีความสามารถทางภาษาในระดับสูง ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของพา ริบาค (Paribakht, 1985) และสิ-ชิง (Si-Qing, 1990) ซึ่งได้ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์กันระหว่าง ความสามารถในการเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองกับความสามารถในการใช้กลวิธีการสื่อสาร ภาษาอังกฤษ พบว่า ความรู้พื้นฐานของภาษาเป้าหมายมีความส าคัญเพราะเป็นกลวิธีที่ใช้เวลาไม่มาก ในการอธิบายความหมาย โดยจากการทดสอบพบว่า ผู้ที่มีความสามารถทางภาษาในระดับสูงมีความรู้ พื้นฐานของภาษาประกอบด้วย แต่ในขณะที่ผู้ที่มีความสามารถทางภาษาในระดับต่ า ต้องใช้กลวิธีการ ชดเชย โดยอาศัยความรู้ทั่วไปมาช่วยในการสื่อความหมายแทนการบรรยายโดยตรงของค าศัพท์และ ยังใช้กลวิธีการเปรียบเทียบแทน สอดคล้องกับงานวิจัยของศุทธินี ชวนไชยสิทธ์ และกาญจนา ปราบ พาล (2552) พบว่า นักศึกษาที่มีความสามารถทางภาษาอังกฤษในระดับต่ ามีการใช้กลวิธีการ หลีกเลี่ยง เช่น การดึงเวลา การเน้นค าเพื่อความถูกต้อง การพูดซ้ า การพูดอ้อม ซึ่งเป็นกลวิธีที่ผู้เรียน ที่ไม่มีความรู้ทางภาษาน ามาใช้ เพื่อพยายามพูดซ้ าหรือย้ า ด้วยหวังว่าผู้ฟังที่เป็นเจ้าของภาษาจะ เข้าใจในสิ่งที่ตนต้องการสื่อความหมาย 2. ความถี่ในการใช้ภาษาอังกฤษในห้องเรียน (Frequency of speaking English outside the classroom) จากงานวิจัยของ Huang and Van Naerssen (1987) พบว่า นักเรียน ชาวจีนที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองที่ประสบความส าเร็จในการสื่อสารนั้นเกิดจากการฝึกฝน อย่างสม่ าเสมอและเหมาะสม เช่น การพูดคุยกับเจ้าของภาษา เพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ โดยใช้ ภาษาเป้าหมายในการพูดคุยสนทนากัน สอดคล้องกับงานวิจัยของ MacIntyre and Charos (1996) ที่ได้ชี้แจงว่า หากผู้ที่เรียนภาษาต่างประเทศเป็นภาษาที่สองขาดโอกาสในการสื่อสารและขาดการ ปฏิสัมพันธ์ในภาษาที่สอง พวกเขาจะมีการรับรู้ความสามารถทางภาษาหรือความเต็มใจในการเรียน ภาษาที่สองได้น้อย แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีการใช้ภาษาที่สองอย่างสม่ าเสมอก็สามารถท าให้เกิด การพัฒนาความรู้ทางภาษาศาสตร์ได้ นอกจากนี้ Piranian (1979) ได้กล่าวว่า ผู้เรียนที่พยายามหา โอกาสในการพูดคุยภาษาที่สองทั้งในและนอกห้องเรียน จะกลายเป็นผู้ที่มีความสามารถในการสื่อสาร ภาษาที่สองมากกว่าผู้ที่ไม่มีโอกาสหรือมีโอกาสในการสนทนาน้อย ส่วนในด้านของMacIntyre and Doucette (2010: 162) ได้กล่าวว่า การท าให้ภาษาอังกฤษเป็นส่วนหนึ่ง และการปฏิสัมพันธ์โดยการ พูดกับเจ้าของภาษาให้เป็นนิสัยจะน าไปสู่ความส าเร็จในการสื่อสาร 3. ภาระงานในการทดสอบ จากการศึกษางานวิจัยของ Yupadee Malasit and Nopporn Sarobol (2013) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ การท าภาระงานในรูปแบบการสนทนาทาง เดียวด้วยการสัมภาษณ์เรื่องส่วนตัว และภาระงานในรูปแบบการสนทนาแบบสองทางด้วยวิธีการเล่า
25 เรื่องจากภาพ ซึ่งผลการวิจัย พบว่า การใช้กลวิธีในการสื่อสารนั้นขึ้นอยู่กับภาระงานที่ท าโดยการ สนทนาแบบสองทางมีการใช้กลวิธีการสื่อสารมากกว่าการสนทนาแบบทางเดี่ยว นอกจากนี้ Paribakht (1982) ได้ศึกษากลวิธีการสื่อสารโดยให้ผู้เรียนท าการอธิบายภาพ ซึ่งพบว่า ผู้เรียนมีการ ใช้กลวิธีการละทิ้งข้อมูล การยกเลิกการสื่อสาร ในสถานการณ์ที่ผู้เรียนพยายามท าการอธิบาย ความหมายแต่ไม่ประสบความส าเร็จ จึงขอท าการอธิบายในหัวข้อต่อไป หรือผู้เรียนได้ท าการประเมิน แล้วว่าภาระงานที่ทดสอบประกอบด้วยเรื่องหรือหัวข้อที่ผู้เรียนไม่มีข้อมูลหรือไม่มีประสบการณ์ จึงไม่ สามารถท าภาระงานได้ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ Mei (2010) ที่ได้ศึกษาวิจัยการใช้กลวิธีในการ สื่อสารของนักศึกษาจีนที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง โดยท าการแบ่งกลุ่มนักศึกษาที่มี ความสามารถทางภาษาในระดับสูงและระดับต่ า โดยพบว่า การเลือกใช้กลวิธีการสื่อสารขึ้นอยู่กับ ประเภทภาระงาน สรุปได้ว่า ภาระงานหรือแบบทดสอบมีผลต่อการเลือกใช้กลวิธีการสื่อสารของผู้เรียน หรือผู้พูด ดังเช่น ภาระงานที่ยากท าให้ผู้เรียนมีการเลือกใช้กลวิธีการหลีกเลี่ยง ตลอดจนมีการใช้กลวิธี การสื่อสารเพิ่มมากขึ้น เพื่อต้องการให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการสื่อสาร และอีกหนึ่งปัจจัยที่มีอิทธิพล ต่อการสื่อสาร คือ ความสามารถของผู้เรียนมีผลต่อการเลือกใช้กลวิธีการสื่อสารที่แตกต่างกัน โดยผู้ที่ มีความสามารถทางภาษาในระดับสูงจะมีการเลือกใช้กลวิธีการสื่อสารน้อยกว่าผู้ที่ทีความสามารถทาง ภาษาในระดับต่ า เนื่องด้วยผู้พูดที่มีความสามารถทางภาษาในระดับสูงมีการใช้พื้นฐานความรู้ทาง ภาษาในการอธิบายความหมายและผู้พูดยังสามารถเลือกความหมายได้เหมาะสมกับบริบท ซึ่งเป็น กลวิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังพบว่าความถี่ในการใช้ภาษาอังกฤษของผู้เรียนก็เป็น อีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกใช้กลวิธีการสื่อสาร ซึ่งความสามารถทางภาษานั้นสามารถพัฒนาได้ โดยการฝึกหรือสนทนาด้วยภาษาเป้าหมายอย่างสม่ าเสมอ 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้กิจกรรมการพูดเพื่อการสื่อสาร 2.1 หลักการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร หลักการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร เป็นสิ่งส าคัญที่จะเป็นแนวทางในการ จัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนแก่นักเรียน ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลไว้ดังนี้ ขนิษฐกัญญา วินิจฉัยกุล (2545 : 69 ) อ้างจาก สุมิตรา อังวัฒนกุล (2535: 109-111) กล่าวว่าการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารมุ่งให้นักเรียนสามารถใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมายได้ โดยเฉพาะ ย่างยิ่งการใช้ภาษาได้อย่างเหมาะสมกับสภาพสังคม การจัดการเรียนการสอนจึงเน้น หลักส าคัญ ดังต่อไปนี้ 1. ต้องให้นักเรียนรู้ว่าก าลังท าอะไร เพื่ออะไร ครูต้องบอกให้นักเรียนทราบถึงความมุ่ง หมายของการเรียนการสอนและการฝึกใช้ภาษา เพื่อให้การเรียนภาษาเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อ
26 นักเรียนให้นักเรียนรู้สึกว่า เมื่อเรียนแล้วสามารถท าบางสิ่งบางย่างเพิ่มขึ้นได้ นั่นคือ สามารถสื่อสารได้ ตามที่ตนต้องการ เช่น ในทักษะการอ่าน เมื่อเรียนหรือฝึก นักเรียนสามารถอ่าน ค าแนะน าวิธีอุปกรณ์ ต่างๆ ได้ หรือในทักษะการพูด นักเรียนสามารถถามทางไปสถานที่ที่ต้องการจะไปได้ 2. การสอนภาษาโดยแยกเป็นส่วนต่างๆ ไม่ช่วยให้นักเรียนเรียนรู้การใช้ภาษาเพื่อการ สื่อสารได้ดีเท่ากับการสอนในลักษณะบูรณาการ ในชีวิตประจ าวันการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารมักต้อง ใช้หลายทักษะรวมๆกันไป และในบางครั้งต้องอาศัยกริยาท่าทางประกอบ ดังนั้น นักเรียนก็ควรจะได้ ท าพฤติกรรมเช่นเดียวกับในชีวิตจริง ตลอดจนควรจะฝึกและใช้ภาษาในลักษณะของทักษะรวมตั้งแต่ เริ่มต้น 3. ต้องให้นักเรียนได้ทากิจกรรมการใช้ภาษา กิจกรรมดังกล่าวควรมีลักษณะเหมือนใน ชีวิตประจ าวันให้มากที่สุด เพื่อให้นักเรียนน าไปใช้ได้จริง นอกจากนี้ ในการท ากิจกรรมการใช้ภาษา ควรให้นักเรียนได้มีโอกาสเลือกใช้ข้อความที่เหมาะสมกับบทบาทและสถานการณ์ด้วย นั่นคือ นักเรียนต้องได้เรียนรู้ความหมายของสานวนในรูปแบบต่างๆด้วยเช่นกัน 4. นักเรียนต้องไม่กลัวว่าจะใช้ภาษามากๆ การที่นักเรียนจะสามารถใช้ภาษาเพื่อการ สื่อสารนั้น นอกจากนักเรียนจะต้องท ากิจกรรมการใช้ภาษาดังกล่าวแล้วยังต้องมีโอกาสได้ท ากิจกรรม ในรูปแบบต่างให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่น กิจกรรมการหาข้อมูลที่ขาดหายไป (Information gap) เกม (Games) การแก้ปัญหา (Problem solving) การแสดงบทบาทสมมติ (Role play) 5. นักเรียนไม่ต้องกลัวว่าจะใช้ภาษาผิด แนวการเรียนการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารให้ ความส าคัญกับการใช้ภาษา (Use) มากกว่าวิธีการใช้ภาษา (Usage) ด้วยเหตุนี้ครูจึงไม่ควรแก้ไข ข้อผิดพลาดนักเรียนทุกครั้ง ควรแก้ไขเฉพาะที่จ าเป็น เช่น ข้อผิดพลาดที่ท าให้เกิดการเข้าใจผิดหรือ ข้อผิดพลาดซ้าๆบ่อยๆ มิฉะนั้น อาจท าให้นักเรียนขาดความมั่นใจและไม่กล้าใช้ภาษาในการท า กิจกรรมต่างๆ นอกจากนี้การสอนภาษาเพื่อการสื่อสารควรให้ความส าคัญในเรื่องความคล่อง (Fluency) เป็นอันดับแรก ซึ่งภาษาที่ใช้อาจไม่ถูกต้องนักแต่สื่อความหมายได้ ส่วนความถูกต้องของ การใช้ภาษา (Accuracy) ก็ควรค านึงถึงด้วยเช่นกัน ละเอียด จุฑานนท์ (2541: 98-99) กล่าวถึงหลักการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารไว้ดังนี้ 1. ครูต้องบอกให้นักเรียนทราบถึงจุดมุ่งหมายของการเรียนการฝึกใช้ภาษาเพื่อให้การ เรียนเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อนักเรียน 2. ควรจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการเพราะในชีวิตประจ าวันการใช้ภาษาเพื่อ การสื่อสารมักจะต้องใช้หลายทักษะรวมกัน และในบางครั้งต้องอาศัยกริยาท่าทางประกอบ ดังนั้น นักเรียนก็ควรจะได้ท าพฤติกรรมเช่นเดียวกับชีวิตจริง 3. ต้องให้นักเรียนได้ฝึกสมรรถภาพด้านการสื่อสารได้ท ากิจกรรมการใช้ภาษาซึ่งมี ลักษณะเหมือนในชีวิตประจ าวันมากที่สุด กิจกรรมการหาข้อมูลที่หายไปเป็นกิจกรรมที่เหมาะสม
27 อย่างยิ่ง เพราะนักเรียนจะไม่ทราบข้อมูลของอีกฝ่ายหนึ่งจึงจ าเป็นต้องสื่อสารกันเพื่อให้ได้ข้อมูล ตามที่ต้องการกิจกรรมในลักษณะนี้จึงมีความหมายและใกล้เคียงกับการสื่อสารในชีวิตจริง 4. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้นักเรียนได้ใช้ความรู้รวมทั้งได้รับประสบการณ์ ตรงกับความต้องการของนักเรียนอย่างแท้จริง ให้นักเรียนได้ฝึกใช้ภาษา 5. ฝึกนักเรียนให้ใช้ภาษาในกรอบของความรู้ด้านหลักภาษาและความรู้เกี่ยวกับ กฎเกณฑ์ของภาษาที่ใช้อยู่ในแต่ละกลุ่มสังคม ต้องฝึกให้นักเรียนเคยชินกับการใช้ภาษา โดยไม่กลัวผิด และสื่อสารได้คล่อง ครูไม่ควรแก้ไขข้อผิดพลาดของนักเรียนทุกครั้ง ควรแก้ไขเฉพาะที่จาเป็น เช่น ข้อผิดพลาดที่จะท าให้เกิดการเข้าใจผิด หรือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นซ้ าๆ การแก้ไขบ่อยๆ ในขณะการฝึก การใช้ภาษาจะท าให้นักเรียนขยาด ขาดความมั่นใจและไม่กล้าใช้ภาษาในการท ากิจกรรมต่างๆ Morrow (1981: 59-66) กล่าวไว้ว่า การสอนภาษาเพื่อการสื่อสารนั้นครูควรค านึงถึง หลักการต่างๆดังนี้ 1. ควรก าหนดวัตถุประสงค์ในแต่ละคาบว่าต้องการให้นักเรียนสามารถท ากิจกรรมใน การสื่อสารอะไรได้ การเลือกเนื้อหาควรค านึงถึงวัยของนักเรียนด้วย ประเด็นส าคัญของการสอนตาม แนวคิดนี้คือ เมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอน นักเรียนสามารถท าสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่แต่เดิมท าไม่ได้และมี ประโยชน์ต่อการสื่อสร ดังนั้นการสอนโครงสร้างไวยากรณ์จะมีประโยชน์ได้ก็ต่อเมื่อ นักเรียนสามารถ น าไปใช้กับกิจกรรมในห้องเรียนได้ด้วย มิใช่เป็นเพียงการท่องจ าเท่านั้น 2. ครูควรตระหนักว่า การสื่อสารเป็นกระบวนการที่ไม่หยุดนิ่งและไม่สามารถแยกเป็น ส่วนๆได้ แนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารเกี่ยวของกับภาษาในระดับที่สูงกว่าระดับประโยค เป็นการ ใช้ภาษาในสถานการณ์จริง ขั้นตอนการสอนภาษาแนวนี้จึงเป็นการวิเคราะห์และสังเคราะห์ ได้แก่ การที่นักเรียนรู้รูปแบบภาษาไปทีละแบบ หลังจากนั้นเป็นขั้นของการสังเคราะห์รูปแบบเหล่านั้นมาใช้ รวมกันในภายหลัง 3. กระบวนการในการสื่อสารมีความทัดเทียมกับรูปแบบภาษา วิธีการสอนเพื่อพัฒนา ความสามารถในการสื่อสารของนักเรียนจึงเป็นความพยายามที่จะจาลองกระบวนการของการสื่อสาร ให้มากที่สุด เพื่อการเรียนการสอนรูปแบบภาษาจะได้อยู่ในบริบทของการสื่อสารด้วย 4. นักเรียนควรเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติ กล่าวคือ ครูควรมีบทบาทเป็นผู้คอย ช่วยเหลือแนะน า และจัดสภาพแวดล้อมตลอดจนกิจกรรมที่เหมาะสมให้แก่นักเรียน การเรียนรู้จะ เกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนักเรียนได้มีการกระท า และกิจกรรมที่จะจัดขึ้นควรมีลักษณะการสื่อสารที่แท้จริง 5. แม้ว่าการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ ว่าละเลยต่อ ข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์ของนักเรียน แต่กระนั้นข้อผิดพลาดดังกล่าวก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดพลาด เสมอไป ทั้งนี้เพราะข้อผิดพลาดดังกล่าวอาจเกิดจากการที่นักเรียนมิได้เตรียมตัวมาม ากเท่าที่ควร ในขณะที่การสอนแบบเดิมพยายามหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้ด้วยการควบคุมสิ่งที่นักเรียนจะพูด
28 ซึ่งเป็นวิธีไม่ให้โอกาสนักเรียนได้ทดลองใช้ภาษาที่เรียน ฉะนั้นจึงเป็นธรรมดาที่นักเรียนที่ได้รับอิสระ ในการใช้ความรู้ทางภาษาซึ่งเป็นไปตามแนวทางการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ได้บ้าง จึงถือว่าการสนภาษาเพื่อการสื่อสารมองข้ามข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในลักษณะที่มีความยืดหยุ่น มากกว่า และให้ผลดีต่อนักเรียนมากกว่า สุมิตรา อังวัฒนกุล (2535: 108) ได้สรุปไว้ว่า จะต้องให้ผู้เรียนได้พัฒนาความรู้ ความสามารถต่าง ๆ ดังนี้ 1. ความรู้ความสามารถทางด้านไวยากรณ์หรือด้านภาษาศาสตร์ อันเป็นการใช้ทักษะ ทั้ง 4 คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน โดยมีองค์ประกอบทางภาษาคือ เสียง ศัพท์ โครงสร้าง เป็นแกนในการ สื่อความหมาย ในด้านทักษะการฟังจะต้องเริ่มจากสามารถจ าแนกเสียงได้ไปจนถึงฟังข้อความใน ระดับความเร็วปกติขงเจ้าของภาษาได้เข้าใจ ในด้านทักษะการพูดจะต้องออกเสียงได้ถูกต้องและ สนทนาโต้ตอบด้วยส าเนียงและจังหวะที่เจ้าของภาษาพอที่จะเข้าใจได้ ในทักษะการอ่านจะต้องรู้จัก กลไกการอ่านและสามารถ่านเพื่อเข้าใจได้ และในทักษะเขียนจะต้องรู้จักกลไกในการเขียน คือ กระ สะกดค า การใช้เครื่องหมายวรรคตอน การเรียบเรียงประโยคและใช้เครื่องสัมพันธ์ข้อความ ตลอดจน การเขียนข้อความในลักษณะต่างๆได้ 2. ความรู้ความสามารถทางด้านภาษาศาสตร์เชิงสังคม อันได้แก่ ความสามารถที่จะใช้ ภาษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามระเบียบปฏิบัติของสังคม โดยสามารถเลือกใช้ภาษาให้เหมาะสม กับบุคคลและสถานการณ์ต่างๆได้ เช่น รู้ว่าจะต้องใช้ภาษาที่เป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ เป็นต้น 3. ความรู้ความสามารถในการใช้ความสัมพันธ์ของข้อความ คือ มีความรู้เกี่ยวกับการ ใช้ระเบียบวิธีความสัมพันธ์ระหว่างประโยค โดยใช้ความรู้ทางไวยากรณ์และความสามารถในการ เชื่อมโยงความหมายทางภาษาให้เข้าใจได้อย่างถูกต้อง มีความเข้าใจและท านายความข้างหน้า เกี่ยวกับรูปลักษณะของภาษาที่เกิดขึ้นในบริบทได้อย่างถูกต้อง 4. ความรู้ความสามารถในการใช้กลวิธีในการสื่อความหมาย คือ มีความสามารถใน การปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ตลอดเวลาการใช้กริยาท่าทาง สีหนา และน้าเสียงประกอบในการสื่อ ความหมาย การใช้กลวิธีนี้เป็นการแสดงทั้งในทางพูดและไม่ใช้คาพูด เช่น การขยายความด้วยค าศัพท์ อื่นแทนค าศัพท์ที่ไม่รู้ หรือนึกออกในขณะนั้น หรือการพยายามอธิบายโดยใช้กริยาท่าทางประกอบ เป็นต้น สรุปได้ว่า แนวคิดพื้นฐานของวิธีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารนั้น ต้องการเน้นให้เห็น ว่าเป้าหมายของการสอนภาษา คือ ต้องพัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถในการใช้ภาษาได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสมเมื่อต้องปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ ในสังคม โดยเป็นความสามารถที่จะรู้ได้ว่าเมื่อใดควร พูด และควรพูดอะไร กับใคร ที่ไหน และในลักษณะใด
29 2.2 หลักการจัดกิจกรรมการพูดเพื่อการสื่อสาร หลักการและวิธีการในการด าเนินการสอนทักษะการพูดเพื่อการสื่อสารมีหลาย แนวทาง ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลไว้ดังนี้คือ Littlewood (1998: 85-89) มีแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนทักษะการพูด เพื่อการสื่อสาร โดยเน้นกิจกรรมการพูดเพื่อการสื่อสาร คือ เริ่มจากกิจกรรมก่อนการสื่อสาร (PreCommunicative) ซึ่งประกอบด้วย กิจกรรมฝึกโครงสร้างไวยากรณ์ (Structural Activities) ผู้เรียน จะได้รับการฝึกฝนให้เกิดความรู้ความช านาญในทักษะนั้นๆ โดยผู้สอนใช้หลักภาษาและทักษะที่ จ าเป็นในการใช้ในการพูดเพื่อการสื่อสาร และกิจกรรมกึ่งการสื่อสาร (Quasi Communicative Activities) ผู้สอนใช้กิจกรรที่จัดให้ผู้เรียนได้สื่อสาร โดยใช้โครงสร้างภาษาตามที่ได้เรียนมา โดยเน้น วัตถุประสงค์เพื่อสื่อความหมายโดยใช้โครงสร้างทางไวยากรณ์ผู้สอนอาจใช้วิธีให้ผู้เรียนฝึกการออก เสียงตาม ฝึกพูดบทสนทนาในสถานการณ์ต่างๆ หลังจากนั้นให้ผู้เรียนได้ฝึกพูดโดยใช้กิจกรรมเพื่อการ สื่อสาร (Communicative Activities) เพื่อให้ผู้เรียนสามารถน าความรู้ที่ได้จากการฝึกกิจกรรมต่างๆ เพื่อสื่อความหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถโต้ตอบในสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเฉพาะ หน้าได้เป็นอย่างดี Scott (1981: 70-71) ได้กล่าวว่า การสอนทักษะการพูดเพื่อการสื่อสารเป็นกิจกรรม เพื่อฝึกการพูด การสื่อสารจะบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้นั้น ผู้เรียนจะต้องสามารถใช้ภาษาตามหลัก ภาษาและโครงสร้างไวยากรณ์ได้อย่างถูกต้อง จึงจะทาให้การสื่อสารบรรลุตามวัตถุประสงค์ สรุปได้ว่า กิจกรรมที่ผู้สอนเลือกใช้ จะต้องเป็นกิจกรรมที่ท าให้เกิดการปฏิสัมพันธ์กัน เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสใช้ภาษาในการสื่อสาร ก าหนดวัตถุประสงค์ในการพูด เพื่อให้ผู้เรียนสามารถ ใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมายได้อย่างมีเป้าหมาย ดังนั้นกิจกรรมการฝึกทักษะการพูดเพื่อการสื่อสาร มี ประโยชน์ต่อผู้เรียนเป็นอย่างยิ่ง ผู้เรียนสามารถน าเอากิจกรรมจากการฝึกพูด ทักษะการพูดเพื่อการ สื่อสาร น าไปปรับใช้กับเหตุการณ์จริงได้ 2.3 แนวคิดในการจัดกิจกรรมการพูดเพื่อการสื่อสาร แนวคิดในการจัดกิจกรรมการพูดเพื่อการสื่อสารนั้น มีนักวิชาการได้ให้แนวความคิด และน าเสนอหลักการและวิธีการในการด าเนินการสอนพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ดังนี้ Harmer (1986: 44-45) ได้กล่าวถึงหลักการจัดกิจกรรมไว้ 6 ประการดังนี้ 1. ต้องท าให้ผู้เรียนเกิดความต้องการที่จะสื่อสาร โดยเรื่องที่น ามาสื่อสารนั้นควรจะ เกี่ยวข้องกับผู้เรียน 2. มีวัตถุในการสื่อสาร 3. เน้นเนื้อหามากกว่ารูปแบบ ดังนั้นในขณะที่ผู้เรียนก าลังปฏิบัติกิจกรรมความสนใจ จึงควรอยู่ที่ข้อมูลที่จะสื่อ มิใช่ผู้ส่งสารว่าจะพูดอย่างไร
30 4. กิจกรรมที่ดี จะต้องมีหลากหลายภาษา โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษา หลากหลายรูปแบบ 5. ผู้สอนไม่ควรแก้ไขภาษาทันที ในขณะที่ผู้เรียนก าลังปฏิบัติกิจกรรม ถึงแม้ว่าผู้เรียน จะใช้ภาษาผิด หรือ ออกเสียงผิดก็ตาม 6. ผู้สอนไม่ควรบังคับหรือควบคุมให้ผู้เรียนใช้ภาษาแบบใดแบบหนึ่งโดยเฉพาะ Johnson (1982: 163-172) ได้เสนอหลักการจัดกิจกรรมการพูดไว้ 5 ประการดังนี้ 1. การถ่ายโอนข้อมูล (The information transfer principle) กิจกรรมนี้เป็นการ ถ่ายทอดข้อมูลจากทักษะหนึ่งไปสู่อีกทักษะหนึ่ง เช่น น าข้อมูลของบุคคลหนึ่งไปกรอกลงใน แบบฟอร์มให้สมบูรณ์ เป็นต้น 2. การเกิดช่องว่างระหว่างข้อมูล (The information gap principle) หลักการนี้จะ ท าให้เกิดสถานการณ์การสื่อสารที่เป็นจริง และท าให้เกิดปฏิสัมพันธ์กันระหว่างการท ากิจกรรม เพราะจะต้องสื่อสารกันเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการ เนื่องจากหลักการนี้จะถือว่าการสื่อสารจะเกิดขึ้น เมื่อเกิดช่องว่างของข้อมูล ท าให้ต้องสื่อสารเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการ 3. การเชื่อมต่อข้อมูลให้สมบูรณ์ (The Jigsaw principle) หลักการนี้ผู้เรียนแต่ละคน จะมีข้อมูลไม่ครบ จะต้องน าข้อมูลที่ทุกคนมีอยู่มารวมกัน โดยการสนทนาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและ สามารถรับข้อมูลที่ได้รับมาปฏิบัติได้ตามที่ได้รับมอบหมาย 4. การพึ่งพาอาศัยข้อมูลซึ่งกันและกัน (The Task dependency principle) หลักการนี้ ผู้เรียนแต่ละคนต้องรับผิดชอบงานของตนเอง (Sub Task) ให้เสร็จเรียบร้อย แล้วจึงน า ข้อมูลเหล่านั้นมารวมกัน โดยผ่านการซักถามและสนทนา หลังจากนั้นแต่ละคนช่วยกันปฏิบัติภารกิจ หลัก (Major task) 5. การแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องตามเนื้อหา (The correction for content principle) กล่าวคือ หลังจากท ากิจกรรมทุกครั้ง จะต้องมีการตรวจสอบว่าผู้เรียนสามารถสื่อสารแลกเปลี่ยน ข้อมูลได้ครบถ้วนหรือไม่ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้โดยตัวของผู้เรียนเองหรือจากผู้สอน Marrow (1981: 59-66) ได้เสนอหลักการสอนเพื่อการสื่อสาร เพื่อให้ผู้สอนน าไปปรับ ใช้ ดังต่อไปนี้ 1. ผู้เรียนจะต้องทราบว่าท าไมต้องเรียนสิ่งนั้นๆ เช่น การฟังข่าว การพยากรณ์อากาศ จากวิทยุหรือการอ่านค าแนะน า การถามทาง ตลอดจนการเขียนจดหมาย เป็นต้น จะท าให้ผู้เรียน ตั้งใจท ากิจกรรเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมาย 2. ผู้เรียนต้องมีความเข้าใจในการใช้ภาษาทั้งหมด ไม่ใช่เข้าใจแต่ละส่วนที่จะน ามา สื่อสาร เพื่อที่จะน าภาษาไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
31 3. กระบวนการสื่อสารมีความส าคัญเท่ากับรูปแบบของภาษา ดังนั้น การพัฒนาการ สื่อสารควรจัดให้ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงมากที่สุด 4. ผู้สอนควรจัดกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้โดยผ่านการปฏิบัติ 5. ผู้สอนควรให้ก าลังใจแก่ผู้เรียน เมื่อเกิดความผิดพลาดทางไวยากรณ์และการออก เสียง ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ปรับปรุงข้อผิดพลาดเหล่านั้น เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจใน การใช้ภาษา สรุปได้ว่าในการจัดกิจกรรมการพูดเพื่อการสื่อสาร เพื่อพัฒนาทักษะการพูด เป็นการ เปิดโอกาสตลอดจนให้ก าลังใจผู้เรียนในการฝึกฝนทักษะการใช้ภาษาจากงานต่างๆที่ก าหนดให้ โดย การเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติ ดังนั้น บทบาทของผู้สอนไม่ใช่เป็นผู้ออกแบบค าสั่งหรือบอกทุกอย่างกับ ผู้เรียน แต่เป็นผู้ดูแลให้ค าปรึกษาและก าหนดงานให้ผู้เรียนปฏิบัติอย่างมีเป้าหมายและต้องอธิบาย ค าสั่งในการท ากิจกรรมอย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลในการท ากิจกรรมเป็นไป อย่างดีตามล าดับขั้นตอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.4 การสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษ การสอนภาษาอังกฤษมีหลากหลายรูปแบบที่เหมาะสมกับทักษะต่างๆ แตกต่างกัน ออกไป ผู้วิจัยได้รวมรวมข้อมูลที่ส าคัญเกี่ยวกับการสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษ ไว้ดังนี้ วราพร ไชยเขียว (2548) อ้างถึง สุภัทรา อักษรานุเคราะห์ (2532: 55-56) ได้เสนอว่า ในการสอนทักษะการพูดนี้เน้นการพูดภาษาอังกฤษเพื่อให้ผู้เรียนสามารถน าภาษาอังกฤษที่เรียน มาแล้วมาใช้ในการสื่อสารได้ และฝึกความเข้าใจในการฟังภาษาอังกฤษของชาวต่างประเทศ โดยที่ ผู้เรียนไม่จ าเป็นต้องออกเสียงชัดเหมือนชาวต่างประเทศ ทั้งนี้ ในการสนทนา ครูมีหน้าที่ช่วยเหลือ แนะน า และควรค านึงว่าผู้พูดสามารถพูดให้ผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่ตนเองต้องการจะสื่อความหมายหรือไม่ ถ้า ผู้ฟังเข้าใจดีก็ถือว่าผู้เรียนสามารถใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้ ถึงแม้ว่าจะพูดผิดไวยากรณ์หรือใช้ศัพท์ ผิดก็ตาม ตัวอย่างจุดประสงค์ของทักษะพูดมีดังนี้คือ ฟังการสนทนาแล้วพูดออกความคิดเห็น พูดต่อ หรือถามเกี่ยวกับสิ่งที่สนทนา พูดออกค าสั่งได้ตามที่ต้องการ ตั้งค าถามหรืออภิปรายเกี่ยวกับสิ่งที่อ่าน พูดหรืออ่านรายงานให้ผู้อื่นเข้าใจ พูดและสนทนาได้ตามความต้องการในชีวิตประจ าวัน เช่น ให้เชิญ เพื่อนไปงานเลี้ยงวันเกิด ให้สนทนาเกี่ยวกับการท างานในระหว่างปิดเทอม ให้สัมภาษณ์เพื่อรับสมัคร เข้าท างาน ให้แสดงความคิดเห็นและขอความคิดเห็น สุมิตรา อังวัฒนกุล (2540: 169 ) ได้เสนอกิจกรรมต่าง ๆ ในการสอนทักษะการพูดซึ่ง ผู้สอนอาจเลือกใช้ให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละระดับได้ดังนี้ 1. ให้ตอบค าถาม ซึ่งครูหรือเพื่อนในชั้นเป็นผู้ถาม 2. บอกให้เพื่อนท าตามค าสั่ง
32 3. ให้นักเรียนถามหรือตอบค าถามของเพื่อนในชั้น เกี่ยวกับชั้นเรียนหรือประสบการณ์ ต่างๆ นอกชั้นเรียน 4. ให้บอกลักษณะวัตถุ สิ่งของต่างๆ จากภาพ 5. ให้เล่าประสบการณ์ต่างๆ ของนักเรียน โดยครูอาจให้ค าส าคัญต่างๆ 6. ให้รายงานเรื่องราวต่างๆ ตามที่ก าหนดหัวข้อ 7. จัดสถานการณ์ต่างๆ ในชั้นเรียน ให้นักเรียนใช้บทสนทนาต่างๆ กันไป เช่น ร้าน ขายของ ร้านอาหาร ธนาคาร เป็นต้น 8. ให้เล่นเกมต่างๆ ทางภาษา 9. ให้โต้วาที อภิปราย แสดงความคิดเห็นในหัวข้อต่างๆ 10. ให้ฝึกการสนทนาทางโทรศัพท์ 11. ให้อ่านหนังสือพิมพ์ไทย แล้วรายงานเป็นภาษาอังกฤษ 12. ให้แสดงบทบาทสมมติ กุศยา แสงเดช (2548: 136) ได้กล่าวว่า ในการสอนทักษะการพูดเบื้องต้น มุ่งเน้นให้ ใช้ทักษะการพูดเพื่อการสื่อสารได้ในสถานการณ์จริง สิ่งส าคัญ คือ ตัวครูผู้สอนจะต้องให้ความถูกต้อง รูปแบบ เสียง ดังนั้น กิจกรรมต่างๆ จึงเป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนจะต้องปฏิบัติตามแบบหรือตัวอย่างที่ ก าหนดเพื่อน าไปสู่ขั้นการสอนพูดให้มีประสิทธิภาพและได้ผลสัมฤทธิ์สูงสุด การเตรียมกิจกรรมที่จะ น าไปสู่กิจกรรมการสอนพูด ครูผู้สอนต้องค านึงถึงความถูกต้อง เหมาะสมกับสถานการณ์ และระดับ ภาษาที่เหมาะสมกับผู้เรียน ซึ่งมีแนวทางการจัดกิจกรรมการสอนทักษะการพูด ดังนี้ 1. จัดบรรยากาศของห้องให้เอื้อต่อการเรียนภาษา และครูผู้สอนใช้ Classroom English Expression ให้มากที่สุดเท่าที่จะท าได้ เพื่อให้ผู้เรียนมีความคุ้นเคยและเป็นตัวอย่างส าหรับ การฝึก 2. ใช้สื่อการสอนที่หลากหลาย ปัจจุบันนี้นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษาจะ ช่วยให้ผู้เรียนฝึกทักษะการพูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. ในการฝึกการพูด ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดของผู้เรียนทุกจุด ควรแก้ เฉพาะในขั้น Presentation ที่ต้องการความถูกต้องของการใช้ภาษา (Accuracy) แต่ถ้าเป็นขั้น Practice ที่ต้องการฝึกความคล่องของการใช้ภาษา (Fluency) และข้อผิดพลาดนั้นไม่ได้มีผลต่อความ เข้าใจภาษาก็คงไม่ต้องแก้ทันที ควรรอโอกาสที่เหมาะสมเพื่อมิให้ผู้เรียนเกิดความท้อถอยและขาด ความเชื่อมั่น 4. ครูสอนภาษาอังกฤษมีความจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกทักษะและความสามารถใน การใช้ภาษาให้พัฒนาก้าวหน้าอยู่เสมอ
33 5. การจัดกิจกรรมการฝึก ควรมีรูปแบบหลากหลาย มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความ สนุกสนานเกิดเจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษา 6. การสอนภาษาควรสอนทักษะสัมพันธ์ หรืออย่างน้อยต้องสอนคู่กัน เช่น สอนทักษะ การพูดคู่กับทักษะการฟัง เป็นต้น 7. การสอนทักษะการพูด ควรจัดกิจกรรมคู่ (Pair Work) ให้มาก เพราะการท า กิจกรรมคู่จะช่วยฝึกให้ผู้เรียนใช้ภาษาในการสื่อสารและแสวงหาข้อมูลได้ดี เปิดโอกาสให้ผู้เรียนที่ขาด ความเชื่อมั่นมีโอกาสแสดงออก 8. ควรชมเชยผู้เรียนให้ก าลังใจบ่อยๆ เพราะเป็นแรงกระตุ้นที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับ ผู้เรียน 9. การฝึกพูดเริ่มจากง่ายไปหายาก สุมิตรา อังวัฒนกุล (2540:167 อ้างอิงจาก Scott 1981:70) เสนอขั้นตอนในการสอน กิจกรรมการพูดไว้ดังนี้ 1. ขั้นบอกวัตถุประสงค์ของการเรียน ผู้สอนควรจะบอกให้ผู้เรียนรู้ถึงสิ่งที่จะเรียน 2. ขั้นเสนอเนื้อหา การสอนเนื้อหาควรจะอยู่ในรูปบริบท ผู้สอนจะต้องให้ผู้เรียน สังเกตลักษณะของภาษา ความหมายของข้อความที่จะพูด ซึ่งจะต้องขึ้นกับบริษัท เช่น ผู้พูดเป็นใคร มี ความรับผิดชอบกับผู้สนทนาอย่างไร ผู้สนทนาพยายามจะบอกอะไร สิ่งที่พูด สถานที่พูดและเนื้อหาที่ พูดมีอะไรบ้าง 3. ขั้นการฝึกและการถ่ายโอน การฝึกจะกระท าทันทีหลังจากเสนอเนื้อหา อาจจะฝึก พูดพร้อมๆกัน หรือเป็นคู่ ผู้สอนควรให้ผู้ฟังได้ยินได้ฟังสานวนภาษาหลายๆแบบและเป็นส านวนภาษา ที่เจ้าของภาษาได้ใช้จริง และควรส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาอย่างอิสระใกล้เคียงกับสถานการณ์ที่ เป็นจริง ขั้นตอนในการสอนทักษะการพูด สุภัทรา อักษรานุเคราะห์ (2540 : 57-64) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการสอนทักษะการพูดไว้ ดังต่อไปนี้ 1. ตั้งจุดประสงค์ผู้สอนจะต้องตั้งจุดประสงค์ว่าจะให้ผู้เรียนท าอะไรโดยมีจุดประสงค์ ปลายทาง (Terminal objective) และจุดประสงค์น าทาง (Enabling Objective) ดังมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ 1.1 จุดประสงค์ปลายทาง เป็นข้อก าหนดที่ผู้เรียนจะต้องบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ คือ สื่อสารได้ เช่น สามารถสนทนาเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าได้ถูกต้องเหมาะสม
34 1.2 จุดประสงค์น าทาง เป็นทักษะย่อยที่ผู้เรียนต้องฝึกก่อนจะบรรลุจุดประสงค์ใน ข้อ 1.1 คือให้รู้ความหมายศัพท์โครงสร้างหรือส านวนใหม่และความรู้ทางสังคม ภาษาศาสตร์ที่มีใน บทสนทนานั้น คือเป็นการท าความกระจ่างในปริบท (Contextualization) 2. การด าเนินการสอน เรื่องที่จะนามาสอนเป็นสิ่งซึ่งจะปรากฏอยู่ในจุดประสงค์น า ทางทั้งสิ้น ผู้สอนจะต้องนามาสอนโดยใช้สื่อการสอนประเภทต่างๆ เข้าช่วย มีการถามตอบซักซ้อม ความเข้าใจในเรื่องที่สอนเป็นล าดับ ถือเป็นการให้ความรู้ทางภาษาศาสตร์ ( linguistic competency) ในขั้นนี้ 3. การฝึกพูด เป็นขั้นตอนที่เป็นหัวใจของการฝึกทักษะการพูดเพื่อการสื่อสารทั้งนี้ จะต้องตรงกับจุดประสงค์ปลายทางที่ก าหนดไว้แล้ว ผู้สอนจะใช้กิจกรรมตลอดจนกลวิธีต่างๆ เช่น ให้ ถามตอบเป็นกลุ่มใหญ่ กลุ่มเล็ก หรือเป็นคู่ๆ ตามความเหมาะสมกับเรื่องที่สอนและลักษณะของ ผู้เรียน ตลอดจนใช้สื่อการสอนประเภทต่างๆ มาช่วยให้น่าสนใจด้วย เป็นการใช้ความสามารถทางการ สื่อสาร (Communicative Competency) 4. การถ่ายโอน เป็นการจัดกิจกรรมหลังการฝึกสนทนาตามบทเรียนแล้ว คือผู้เรียนมี โอกาสน าบทเรียนนั้นมาพลิกแพลงหรือเปลี่ยนแปลงบทสนทนานั้นเป็นบทสนทนาใหม่ก็ได้ในการฝึก ทักษะการพูด นอกจากผู้สอนจะเตรียมผู้เรียนในลักษณะที่เป็นการยึดกลุ่มเป็นศูนย์กลางของการเรียน การสอน (Group-Centered Approach) โดยการจัดกิจกรรมเป็นกลุ่มทั้งกลุ่มใหญ่ กลุ่มย่อย และ เป็นคู่ๆ แล้ว เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการฝึกทักษะการพูด ผู้สอนควรจัดกิจกรรม ออกเป็น 4 ระยะ คือ 4.1 กิจกรรมก่อนการสนทนา (Pre-Conversation Activities) เป็นการเตรียม ผู้เรียนโดยสร้างความสนใจทบทวนโดยการใช้สื่อการสอนต่างๆ เข้าช่วย ดังตัวอย่างกิจกรรมต่อไปนี้ 4.1.1 ให้ความรู้ทางศัพท์และโครงสร้างใหม่ที่น ามาใช้ในบริบทที่มีความหมาย ในบทสนทนาเพื่อให้ผู้เรียนพร้อมจะฝึกทักษะการพูดอย่างราบรื่นในภายหลัง 4.1.2 การให้ความรู้ทางด้านการออกเสียงศัพท์และโครงสร้างที่จ าเป็นในการ ฝึกทักษะการพูด ซึ่งอาจท าได้โดยการน าเข้าปริบทและฝึกก่อนการฝึกสนทนาจริง 4.1.3 การให้ความรู้ทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับบทสนทนาที่น ามาใช้สอนเช่น สถานภาพ ระดับความเป็นทางการและการแสดงอารมณ์ของคู่สนทนา เป็นต้น 4.1.4 ฝึกออกเสียงค าและระดับเสียงสูงต่ าในประโยค 4.1.5 การจับคู่สนทนาโดยเลือกข้อความที่เหมาะสม 4.1.6 การเลือกค าถามค าตอบในบทสนทนาให้เหมาะสม 4.1.7 การให้ข้อมูลในส่วนที่ผู้ร่วมสนทนาไม่มี
35 4.2 การสนนาโดยการก าหนดขอบข่ายให้ทั้งหมด (Controlled Conversation) โดยผู้เรียนฝึกสนทนาโต้ตอบเป็นกลุ่มหรือเป็นคู่ๆ 4.3 การสนทนาโดยก าหนดขอบข่ายให้ครึ่งหนึ่ง (Semi-Controlled Conversation) โดยให้ผู้เรียนเลือกค ามา ถาม-ตอบ ในบทสนทนาที่ไม่สมบูรณ์ 4.3.1 ให้ผู้เรียนถามค าถามและเลือกตอบค าถามจากที่ก าหนดให้ 4.3.2 ให้ผู้เรียนแสดงบทบาทสมมติโดยผู้สอนให้สถานการณ์เกี่ยวกับการ โทรศัพท์ ถ้าผู้เรียนคนใดพร้อมให้เป็นนักเรียนคนที่1และ2ถ้าไม่พร้อมให้ใช้ค าถามที่เตรียมไว้ 4.3.3 ให้ผู้เรียนอภิปรายเกี่ยวกับจังหวัด 2 จังหวัด ที่ผู้เรียนรู้จักโดยให้ศัพท์ โครงสร้างที่จ าเป็นต้องใช้ หรือให้ค าถามเพื่อน าอภิปราย 4.4 การสนทนาโดยเสรี (Free Conversation) คือ การสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียน มีโอกาสสนทนาโต้ตอบกันเองอย่างอิสระโดยผู้เรียนเลือกใช้ศัพท์และโครงสร้างเองตามความ เหมาะสม แล้วแสดงบทบาทสมมติแก้ปัญหา หรืออภิปราย เป็นต้น ตัวอย่าง เช่น 4.4.1 ให้สนทนากับเพื่อนเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือในการถามทิศทาง 4.4.2 ให้ฟังการสนทนาระหว่างบุคคล 2 คน เกี่ยวกับการนัดหมาย จดลงใน ตารางเวลาแล้วให้จับคู่กันพูดกับเพื่อนว่าบุคคลทั้งสองว่างและไม่ว่างวันใด เวลาใด 4.4.3 ให้ผู้เรียนใช้การแก้ปัญหาโดยให้หัวข้อตามจุดมุ่งหมายที่จะสื่อสาร เช่น การให้เหตุผลในการโฆษณาสินค้า 4.4.4 ให้ผู้เรียนอภิปรายอย่างเสรี โดยให้ประเด็นอภิปราย ทั้งนี้การอภิปราย อย่างเสรีเป็นกิจกรรมส าหรับผู้เรียนที่อยู่ในระดับที่สูงขึ้น สรุปได้ว่า การสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษ คือ การสอนแบบที่เน้นให้ผู้เรียนได้ ปฏิบัติจริง ได้พูดสื่อสารภาษาอังกฤษจริง โดยที่ไม่ต้องเลียนเสียงให้เหมือนเจ้าของภาษาหรือต้องถูก หลักไวยากรณ์ทั้งหมด เน้นให้นักเรียนได้สัมผัสกับการสื่อสารจริงๆ โดยมีครูคอยเป็นผู้แนะน า 2.5 การประเมินความสามารถในการพูด ความสามารถในการพูด คือ ความสามารถที่ใช้ในการผลิตภาษา และเป็นกระบวนการ สื่อความหมาย ผู้พูดจะต้องถ่ายทอดความคิดความรู้สึกอออกมาเป็นรหัสของภาษาหรือเป็นค าพูดให้ ผู้อื่นเข้าใจ และนอกจากจะใช้การเน้นหนักในค าและระดับเสียงสูงต่ าในประโยค เพื่อสื่อความหมาย แล้ว ผู้พูดยังได้แสดงถึงวัฒนธรรมและสภาพของผู้พูด คือ แสดงจุดมุ่งหมายในการพูดว่า ต้องการพูด อะไร พูดกับใคร ที่ไหน และพูดอย่างไร ฯลฯ ให้ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ นอกจากนี้ผู้พูดยัง ต้องมีความคล่อง (Fluency) และความถูกต้องชัดเจน (Accuracy)
36 (สุภัทรา อักษรานุเคราะห์ 2532: 53-54) แฮริส (Harris 1988: 81-82) กล่าวว่า ความสามารถในการพูด หมายถึง ความสามารถในการน าองค์ประกอบ 5 ประการมาใช้ใน กระบวนการพูด องค์ประกอบเหล่านี้ คือ 1. การออกเสียง ซึ่งหมายถึง การออกเสียงสระ พยัญชนะ การเน้นเสียงระดับสียงสูง ต่ าในประโยค ตลอดจนถึงจังหวะในการพูด 2. โครงสร้างไวยากรณ์ 3. การใช้ค าศัพท์ 4. ความคล่องแคล่ว 5. ความเข้าใจ ซึ่งหมายถึง ปริมาณและคุณภาพของความเข้าใจของผู้ฟังต่อค าพูดที่ พูดออกไป บาร์ทซ์ (Bartz 1979: 18-22) เสนอความคิดเห็นว่า การก าหนดความสามารถในการ พูดจะต้องประกอบด้วยสิ่งต่างๆต่อไปนี้ 1. ความคล่องแคล่ว หมายถึง ความราบรื่นและความต่อเนื่องและความเป็นธรรมชาติ ในการพูด 2. ความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถที่จะพูดให้ผู้ฟังเข้าใจ 3. คุณภาพของข้อความที่น ามาสื่อสาร หมายถึง ความถูกต้องของภาษาที่พูดออกไป 4. ปริมาณของข้อมูลที่สามารถสื่อสารได้ หมายถึง ปริมาณของข้อความหรือข้อมูลที่ สามารถพูดให้ผู้ฟังเข้าใจ 5. ความพยายามในการสื่อสาร หมายถึง ความพยายามที่จะให้ผู้ฟังเข้าใจในสิ่งที่ตน พูดโดยใช้ค าพูดและไม่ใช้ค าพูดเพื่อการสื่อสาร เทเลอร์ (Taylor 1996: 132) แบ่งความสามารถในการพูดออกเป็น 4 ด้าน ก าหนดให้ แต่ละด้าน มีคะแนนสูงสุดเป็น 8 คะแนน จากนั้นรวมคะแนนเพื่อให้คะแนนแก่ผู้สอบในหัวข้อต่อไปนี้ 1. ความคล่องแคล่วในการใช้ภาษา จังหวะ และความเร็วเป็นธรรมชาติมีความสัมพันธ์ ของข้อความ แปละการหยุดระหว่างพูด 2. ความถูกต้อง ความถูกต้องตามโครงสร้างทางไวยากรณ์และค าศัพท์ 3. ขอบเขต มีวงค าศัพท์และไวยากรณ์พอเพียงส าหรับกี่ด าเนินการสื่อสารจนจบ 4. การออกเสียง มีการควบคุมการลงเสียงหนักเบา จังหวะในการพูด การใช้เสียงสูงต่ า และระดับเสียงในภาษาแม่ของผู้พูดนั้นอาจเกิดขึ้นได้ แต่ต้องไม่มีผลต่อการสื่อสาร อัจฉรา วงษ์โสธร (2543: 79-80) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับ เกณฑ์การแบ่งระดับ ความสามารถในการพูด ดังต่อไปนี้ 1. การออกเสียงชัดเจนหรือไม่ เพียงใด มีการลงเสียงหนักเบา การใช้เสียงขึ้นลง
37 2. ท่วงที สีหน้า การสบตากับผู้ฟังสอดคล้องและเหมาะสมกับการแสดงออกทางการ พูดหรือไม่ 3. ศัพท์ ส านวนที่ใช้เหมาะสมและได้ความหมายหรือไม่ 4. โครงสร้างประโยคที่ใช้ถูกต้องหรือไม่ 5. สามารถพูดได้ใจความส าคัญของการพูดหรือไม่ 6. รายละเอียดสนับสนุน หรือ โต้แย้ง พร้อมทั้งการให้เหตุผลหรือไม่ 7. สรุปประเด็น หรือ การขมวดท้ายค าพูดหรือไม่ 8. การรักษาสัมพันธภาพกับผู้ที่พูดด้วยโดยใช้ปฏิสัมพันธ์ทางภาษาที่เหมาะสมหรือไม่ องค์ประกอบเหล่านี้ เป็นแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับความสามารถทางการพูดที่จะใช้เป็นหลักเกณฑ์วัด ความสามารถในการพูดว่าอยู่ในระดับใด สุภัทรา อักษรานุเคราะห์ (2538: 64-68) กล่าวว่า การวัดและประเมินผลการพูด สามารถท าได้ 6 วิธีดังนี้ 1. ให้นักเรียนดูรูปภาพ หรือวีดีทัศน์ แล้วอธิบายโดยใช้ศัพท์และโครงสร้างที่เรียนแล้ว และให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับภาพเรื่อง เพศ วัย วุฒิ สถานภาพทางสังคม อาชีพ สภาพแวดล้อม สีหน้า น้ าเสียง อากัปกิริยา และความรู้สึก ตลอดจนให้ข้อสังเกตผู้ที่เกี่ยวข้อง คู่สนทนาในภาพหรือวีดีทัศน์ 2. ให้สนทนาเป็นคู่ๆ โดยก าหนดสร้างสถานการณ์ให้ 3. ให้บันทึกตารางเวลาท างาน แล้วนัดประชุมครั้งต่อไป 4. ให้รายงานเพื่อนๆในชั้น หลังจากส ารวจว่ากิจกรรมที่เพื่อนๆท ามากที่สุดในบ่ายวัน อาทิตย์ 5. ให้สัมภาษณ์เป็นคู่หรือเป็นกลุ่ม 6. ให้เล่าเรื่องโดยใช้จินตนาการของตนเอง หรือจากประสบการณ์จริง อัจฉรา วงษ์โสธร (2543: 146-148) ได้แบ่งรูปแบบการทดสอบความสามารถในการ พูดเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. การพูดเดี่ยว เช่น การกล่าวรายงาน การอธิบาย การเล่าเรื่อง การให้ค าแนะนาใน การท าอย่างใดอย่างหนึ่ง การกล่าวแสดงความคิดเห็น หรือกล่าววิพากษ์ วิจารณ์ เทคนิควิธีการวัด ความสามารถทางการพูดประเภทนี้ มักเป็นวิธีทดสอบแบบตรง เพราะผู้พูดได้แสดงทักษะการพูดจริง ตามเนื้อหาที่ได้เตรียมมา 2. การสัมภาษณ์หรือการสนทนา ซึ่งมักเป็นการพูดระหว่างบุคคลสองคนโดยฝ่ายหนึ่ง เป็นผู้ด าเนินการสอบ เป็นผู้ป้อนค าถามให้ผู้เรียน ได้แสดงทักษะการพูดของตน การสนทนามักเริ่มต้น ด้วยการทักทายเพื่อให้ผู้เรียนคลายความเครียด หรือความวิตกที่เกิดขึ้นและช่วยให้คุ้นกับสถานการณ์ ของการสอบได้ดีขึ้น ต่อจากนั้นจะเป็นการเข้าสู่เรื่องที่มุ่งทดสอบซึ่งอาจเป็นเรื่องทั่วไปตามบทบาท
38 สมมติที่ก าหนดให้ผู้เรียน เช่น การถามทิศทาง การจองบัตรชม การแสดงดนตรี การสั่งอาหารใน ภัตตาคาร ฯลฯ หรือเป็นการพูดแสดงความเห็นเรื่องการเมือง การศึกษา เหตุการณ์ปัจจุบัน การพูด เกี่ยวกับแผนการในอนาคตของตนเอง เช่น การศึกษาต่อและอื่นๆ 3. การอภิปรายหรือโต้วาทีซึ่งมีการแสดงความคิดเห็นเป็นกลุ่มโดยมีกรรมการให้ คะแนนเป็นผู้ให้คะแนนผู้เรียนเป็นรายบุคคล อย่างไรก็ตามการพูดเป็นกลุ่มแบบนี้มีการพูดของผู้อื่น เป็นตัว แปรส าคัญที่มีอิทธิพลต่อความสามารถในการพูดของแต่ละคน อันเดอร์ฮิลล์ (Underhill 1988: 44-87) ได้เสนอกิจกรรมการวัดประเมินผลการพูดไว้ 19 แบบดังต่อไปนี้ 1. การอภิปราย หรือ การสนทนาระหว่างผู้เข้าสอบ 2. การรายงาน 3. การอภิปราย เพื่อเลือกวิธีการแก้ปัญหาเป็นกลุ่ม 4. การแสดงบทบาทสมมติ 5. การสัมภาษณ์ 6. การบรรยายวิธีการปฏิบัติให้เพื่อนสร้างรูปแบบใดๆ 7. การกรอกแบบฟอร์ม แล้วสนทนากับผู้สัมภาษณ์ 8. การสนทนาโต้ตอบตามสถานการณ์สั้นๆที่ก าหนดให้ 9. การถาม – ตอบ ชุดค าถามที่เรียนตามล าดับความยาก 10. การบรรยายภาพหรือภาพประกอบเรื่อง 11. การอธิบายเกี่ยวกับวัตถุ หรือกระบวนการใดๆในชีวิตประจ าวัน 12. การเล่าเรื่องหรือข้อความจากสิ่งที่ได้อ่าน 13. การเล่าเรื่องหรือข้อความจากสิ่งที่ได้ฟัง 14. การอ่านออกเสียงจากบทอ่านที่ได้อ่านแล้ว 15. การแปลความหรือตีความบทอ่านเป็นภาษาอังกฤษ 16. การพูดเติมข้อความให้สมบูรณ์จากสื่อที่ได้อ่านหรือได้ฟังมา 17. การให้แก้ข้อผิดพลาดจากสื่อที่ได้อ่านหรือฟังโดยการพูด 18. การพูดเปลี่ยนประโยคที่ก าหนด ให้อยู่ในรูปที่ใช้ไวยากรณ์ต่างจากเดิม 19. การพูดซ้ าประโยคต่างๆที่เพิ่มความซับซ้อนตามล าดับ แคร์รอล (Carroll 1982: 53-55,134-139) ได้ให้แนวทางการให้คะแนนการพูดไส้ดังนี้ 5 คะแนน ส าหรับผู้ที่ฟังค าถามแล้วตอบได้ถูกต้องให้รายละเอียดได้ไม่ติดขัด 4 คะแนน ส าหรับผู้ที่ฟังค าถามแล้วตอบได้ถูกต้องให้รายละเอียดได้เมื่อถามต่อ 3 คะแนน ส าหรับผู้ที่ฟังค าถามแล้วตอบมีความลังเล ไม่ตอบทันที
39 2 คะแนน ส าหรับผู้ที่ฟังค าถามแล้วตอบผิดในครั้งแรก แต่แก้ไขให้ถูกต้องได้ 1 คะแนน ส าหรับผู้ที่ฟังค าถามแล้วตอบผิดและตะกุกตะกักแต่แก้ไขได้บ้าง 0 คะแนน ส าหรับผู้ที่ฟังค าถามแล้วไม่เข้าใจค าถาม และไม่พูดเลย สมดี ศรีแก้ว (ม.ป.ป. : 33) ได้ก าหนดเกณฑ์การให้คะแนนระดับความสามารถในการ พูดภาษาอังกฤษ ไว้ดังนี้ 1. การออกเสียง 1.1 การออกเสียงถูกต้องตามหลักการออกเสียง มีเน้นหนักในค า / ประโยคอย่าง สมบูรณ์ 3 คะแนน 1.2 การออกเสียงค าและประโยคได้ถูกต้อง มีเน้นหนักในค า / ประโยค เป็นส่วน ใหญ่ 2 คะแนน 1.3 การออกเสียงค าและประโยคผิดหลักการ ไม่เน้นเสียง ท าให้สื่อสาร ไม่ได้ 1 คะแนน 2. พูดตามห้องเรื่องและบทบาทที่ได้รับมอบหมาย 2.1 พูดตรงตามท้องเรื่องและบทบาทที่ได้รับมอบหมาย 3 คะแนน 2.2 พูดเบี่ยงเบนเล็กน้อยจากท้องเรื่องและบทบาทที่ได้รับมอบหมาย 2 คะแนน 2.3 พูดไม่ตรงตามท้องเรื่องและบทบาทที่ได้รับมอบหมาย 1 คะแนน 3. ความคล่องแคล่ว 3.1 พูดต่อเนื่อง ไม่ติดขัด พูดชัดเจน ท าให้สื่อสารได้ 3 คะแนน 3.2 พูดตะกุกตะกักบ้างแต่ยังพอสื่อสารได้ 2 คะแนน 3.3 พูดเป็นค าๆ หยุดเป็นช่วงๆ ท าให้สื่อสารไม่ชัดเจน 1 คะแนน 4. การแสดงท่าทางและน้ าเสียงประกอบการพูด 4.1 แสดงท่าทาง พูดด้วยน้ าเสียงได้ตามบทบาทและสถานการณ์ 3 คะแนน 4.2 พูดโดยไม่ค่อยแสดงท่าทางประกอบ 2 คะแนน 4.3 พูดเหมือนอ่านไม่เป็นธรรมชาติ ยืนนิ่งๆ ไม่มีท่าทางท าให้การสื่อสาร ขาด ความน่าสนใจ 1 คะแนน จากเอกสารข้างต้นผู้วิจัยได้ปรับวิธีประเมินความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษ โดย ก าหนดให้นักเรียนพูดหรือสนทนาตามสถานการณ์และบทบาทที่ก าหนดและได้ปรับระดับเกณฑ์การ ประเมินความสามารถในการพูดให้เหมาะสมกับนักเรียนดังแสดงในตาราง