40 ประเด็นการ ประเมิน ระดับคะแนน / ค าอธิบายระดับคุณภาพ น้ าหนัก ความส าคัญ คะแนน รวม 4 (ดีมาก) 3 (ดี) 2 (พอใช้) 1 (ควรปรับปรุง) ความถูกต้อง ออกเสียง ค าศัพท์และ ประโยคได้ ถูกต้องตามหลัก การออกเสียง ออกเสียงเน้น หนักในค า/ ประโยคอย่าง สมบูรณ์ ออกเสียง ค าศัพท์และ ประโยคได้ถูกต้อง ตามหลักการออก เสียงมีเสียง เน้นหนักในค า/ ประโยคเป็นส่วน ใหญ่ ออกเสียง ค าศัพท์และ ประโยคได้ ถูกต้องเป็น ส่วนใหญ่ ขาดการออก เสียงเน้นหนัก ออกเสียงค า/ ประโยคผิด หลักการออกเสียง ท าให้ สื่อสารไม่ได้ 2 8 ความ คล่องแคล่ว พูดต่อเนื่อง ไม่ติดขัด พูดชัดเจน ท าให้สื่อสารได้ พูดตะกุก ตะกักบ้าง แต่ ยังพอสื่อสารได้ พูดเป็นค าๆ หยุดเป็นช่วงๆ เพื่อท าให้ สื่อสารได้ไม่ ชัดเจน พูดได้บางค า ท าให้สื่อ ความหมาย ไม่ได้ 2 8 การแสดง ท่าทาง/ น้ าเสียง ประกอบ การพูด แสดงท่าทาง และพูดด้วย น้ าเสียงเหมาะสม กับบทบรรยาย พูดด้วยน้ าเสียง เหมาะสมกับ บทบรรยาย แต่ไม่มีท่าทาง ประกอบ พูดเหมือนอ่าน ไม่เป็นธรรมชาติ ขาดความ น่าสนใจ พูดได้น้อยมาก 1 4 รวม 5 20 ภาพที่ 1 แบบประเมินการพูดภาษาอังกฤษ สรุปได้ว่า ความสามารถในการพูดมีหลายระดับและมีองค์ประกอบในการวัดหลายอย่าง เช่น ความคล่องแคล่ว การออกเสียง ท่าทาง ความเข้าใจ ความถูกต้องตามโครงสร้างไวยากรณ์และ ค าศัพท์ ความพยายามในการสื่อสาร และนอกจากนี้การวัดและประเมินผลความน่าสนใจในการพูด ภาษาอังกฤษก็สามารถท าได้หลายวิธี ซึ่งผู้ประเมินสามารถเลือกและปรับใช้ให้เหมาะสมกับการ ประเมินของตนเองได้จากการศึกษาองค์ประกอบของความสามารถในการพูด เกณฑ์การแบ่งระดับ ความสามารถในการพูดและวิธีการวัดและประเมินผลความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษ
41 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 3.1 งานวิจัยในประเทศที่เกี่ยวข้อง กมลวรรณ โดมศรีฟ้า (2551: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาพัฒนาการความสามารถด้านการ พูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใช้กิจกรรมการพูดเพื่อการสื่อสาร กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้น มัธยมศึกษา ปีที่ 1 ประจ าภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 โรงเรียนเลิศหล้าถนนกาญจนาภิเษก (หลักสูตรภาษาอังกฤษ) จ านวน 20 คน ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่าง ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถใน การพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใช้กิจกรรมการพูดเพื่อการสื่อสารของกลุ่มตัวอย่างสูงกว่าก่อน การทดลอง อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ .01 สอดคล้องกับผลการวิเคราะห์จากแบบสังเกตพฤติกรรม การพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารและแบบประเมินตนเองด้านการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ศศิลักษ์ เกตุจรุง (2543: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการใช้กิจกรรมเพื่อการสื่อสารในการ พัฒนาทักษะทางด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในโรงเรียนบ่อ ทองวงษ์จันทร์วิทยา จังหวัดชลบุรี จากผลการทดลองพบว่ากิจกรรมเพื่อการสื่อสารช่วยพัฒนา ความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัยทางสถิติระดับ .01 ชี้ให้เห็นว่าการ จัดกิจกรรมทางภาษาเพื่อการสื่อสารท าให้ทักษะการพูดของนักเรียนดีขึ้น 3.2 งานวิจัยต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เอสโคลา (Escola, 1980:1985-1986-A) ได้ศึกษาผลของการใช้กิจกรรมเพื่อการ สื่อสาร ที่มีผลต่อการพัฒนาการด้านทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้แบบทดสอบ Modern Language Association-Cooperative Language Test โดยเปรียบเทียบผลการเรียน ภาษาอังกฤษของนักเรียนชาวเยอรมัน ระดับ 2 และระดับ 4 ที่ก าลังศึกษาในระดับอุดมศึกษาในมล รัฐแมรีแลนด์ จ านวน 61 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน และกลุ่มควบคุม 31 คน โดยกลุ่ม ทดลองได้รับการฝึกทักษะการฟัง-พูด โดยใช้กิจกรรมเพื่อการสื่อสาร ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการสอน แบบปกติ ผลการศึกษาพบว่าความสามารถของนักเรียนทั้ง 2 กลุ่ม พัฒนาด้านทักษะการฟัง-พูด แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ แสดงให้เห็นว่าการใช้กิจกรรมภาษาเพื่อการสื่อสาร ท าให้ นักเรียนมีพัฒนาการด้านการฟังและการพูดมากขึ้น หวาง เซง จุน (Wang Cheng-Jun, 2006 :56-80) ได้ศึกษาผลการออกแบบกิจกรรม เพื่อการสื่อสารในวิชาภาษาอังกฤษ โดยท าการศึกษาปัญหา พบว่ามี 2 สาเหตุหลักคือ การใช้ภาษา ของนักศึกษาอยู่ในระดับต่ ากว่าเกณฑ์และเกิดความล้มเหลวในการสื่อสารขั้นพื้นฐานโดยเปรียบเทียบ ผลการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาชาวจีน ระดับชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยชองกิง นอร์มอล
42 จ านวน 2 กลุ่มๆ ละ 38 และ 36 คน โดยกลุ่มทดลองได้รับการสอนกิจกรรมเพื่อการสื่อสาร และกลุ่ม ควบคุมสอนแบบเดิม ผลการทดสอบพบว่านักศึกษาทั้งสองกลุ่มมีพัฒนาการแตกต่างกัน กลุ่มที่สอน โดยใช้กิจกรรมเพื่อการสื่อสารท าให้นักศึกษามีพัฒนาการด้านการสื่อสารสูงขึ้นอย่างมีนัยทางสถิติ โรบินสัน (Robinson, 1997: 199-197) ได้ศึกษาความแตกต่างระหว่างครูที่สอนโดย ใช้การสอนแบบ Communicative Approach และการสอนแบบ Non Communicative Approach ในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นที่เรียนโปรแกรมภาษาต่างประเทศ โดยท าการส ารวจจาก การสอบถามจากทางโทรศัพท์ จากครูผู้สอนจ านวน 300 คนที่สอนในระดับมัธยม ผลการสอบถามครู ที่ใช้การสอนแบบ Communicative Approach สนใจเรื่องการสื่อสารการเรียนรู้, กิจกรรมและการ จัดกลุ่มนักเรียน มากกว่าที่ครูที่สอนแบบ Non Communicative Approach สรุปได้ว่า การสอนโดยการใช้กิจกรรมทางภาษาเพื่อการสื่อสาร เพื่อพัฒนาทักษะการ พูดภาษาอังกฤษ ท าให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนสูงกว่าการสอนโดยไม่ใช้กิจกรรมการสื่อสาร และในการพูดเป็นพฤติกรรมของมนุษย์ในการสื่อสารด้วยการใช้ภาษาในรูปของน้ าเสียง ถ้อยค า อากัปกิริยาท่าทาง สีหน้าแววตาในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง เพื่อถ่ายทอดหรือบอกเล่า แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือทดสอบความรู้สึกของตน เป็นการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น อันจะ ก่อให้เกิดความเข้าใจและมีการตอบสนองความต้องการ
43 บทที่ 3 วิธีด าเนินงานวิจัย การศึกษาวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนา ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพในด้านทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ ซึ่งผู้วิจัยได้ด าเนิน และเก็บรวบรวมข้อมูลในการศึกษาค้นคว้า โดยมีขั้นตอนการด าเนินงานดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล 4. การวิเคราะห์ข้อมูล 5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียม อุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาธร กรุงเทพมหานคร ที่เรียนรายวิชา ภาษาอังกฤษเพิ่มเติม (อ31201 คิดแล้วพูดภาษาอังกฤษ) จ านวน 2 ห้อง รวมนักเรียน 74 คน กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ก าลังศึกษาในภาคเรียน ที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาธร กรุงเทพมหานคร ที่เรียนรายวิชาภาษาอังกฤษเพิ่มเติม (อ31201 คิดแล้วพูดภาษาอังกฤษ) ได้มากจาก การสุ่มแบบกลุ่มโดยใช้ห้องเรียนเป็นฐานการสุ่ม (Cluster Sampling) ในที่นี้ผู้วิจัยได้ใช้ห้อง ม.4/3 จ านวนนักเรียนทั้งหมด 45 คน
44 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ ของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ จ านวน 4 แผน แผนละ 4 คาบ คาบละ 1 ชั่วโมง 2. แบบทดสอบวัดทักษะการพูดภาษาอังกฤษ (Pre-test / Post-test) รายวิชาภาษาอังกฤษ เพิ่มเติม (อ31201 คิดแล้วพูดภาษาอังกฤษ) ขั้นตอนในการสร้างเครื่องมือ ในการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้มีขั้นตอนดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1.1 ศึกษาหลักสูตร เอกสาร ต ารา ขอบข่าย สาระกลุ่มวิชาภาษาต่างประเทศ ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 1.2 ก าหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ ให้สอดคล้องกับอธิบายรายวิชาและจุดประสงค์การ เรียนรู้ในหลักสูตรและเนื้อหา 1.3 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่เน้นทักษะการสื่อสาร จ านวน 4 แผน ใช้ เวลา 16 ชั่วโมง โดยเนื้อหาที่มีความหมายเหมาะสม กับผู้เรียนมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจ าวัน สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของผู้เรียน 1.4 น าแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 3 คน เพื่อตรวจสอบ ความเที่ยงตรงของเนื้อหา ความถูกต้องและความเหมาะสม ความสอดคล้องของจุดประสงค์การ เรียนรู้ เนื้อหา สาระการเรียนรู้ 1.5 ด าเนินการแก้ไขและปรับปรุงบทสนทาภาษาอังกฤษ ตามที่ปรึกษาแล้วน าไปให้ ผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตร เนื้อหา กระบวนการ ภาษาและการวัดผลประเมินผลตรวจสอบ เพื่อ ตรวจสอบคุณภาพและความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (IOC : Index of Item Objective Congruence) โดยก าหนดเกณฑ์การพิจารณา คือ เห็นว่าสอดคล้อง ให้คะแนน +1 ไม่แน่ใจ ให้คะแนน 0
45 เห็นว่าไม่สอดคล้อง ให้คะแนน -1 การวิเคราะห์ข้อมูลความเหมาะสมสอดคล้องของบทสนทนาภาษาอังกฤษ โดยใช้ดัชนีความ สอดคล้อง (IOC) ค านวณค่าตามสูตร IOC= ∑ ∑ = ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ = จ านวนผู้เชี่ยวชาญ น าข้อมูลที่รวบรวมจากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมาค านวณหาค่า IOC โดยใช้ดัชนีความ สอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence) ของผู้เชี่ยวชาญมาค านวณค่าดัชนีความ สอดคล้อง แล้วเลือกค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป 1.6 น าแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้รับการปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้กับกุล่มตัวอย่าง นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3 ที่ก าลังศึกษาอยู่ในปีการศึกษา 2563 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พัฒนาการยานนาเวศ จ านวน 20 คน ใช้เวลาเรียนทั้งหมด 16 ชั่วโมง 2. แบบทดสอบวัดทักษะการพูดภาษาอังกฤษ (Pre-test / Post-test) รายวิชา ภาษาอังกฤษเพิ่มเติม (อ31201 คิดแล้วพูดภาษาอังกฤษ) มีขั้นตอนการสร้างดังนี้ 2.1 วิเคราะห์ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง สาระการเรียนรู้ ตัวชี้วัดตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ 2.2 สร้างแบบทดสอบวัดทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยเลือกเรื่องที่น่าสนใจจากหนังสือ Spoken English Flourish Your Language (Edited and Compiled by: Robert Carmen) และ สอดคล้องกับเนื้อหาและจุดประสงค์ที่ก าหนดไว้ในแผนการสอน แบบทดสอบก่อนเรียน Pre-test ได้แก่ บทสนทนาภาษาอังกฤษที่สามารถ ประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจ าวัน ใช้ทดสอบกับผู้เรียนในสัปดาห์แรกที่มีการเรียนการสอน แบบทดสอบหลังเรียน Post-test มีลักษณะเดียวกัน ใช้ทดสอบกับผู้เรียนในสัปดาห์ สุดท้ายของการเรียนการสอน 2.3 น าแบบทดสอบให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 คน เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) ภาษาที่ใช้ และการประเมินที่ถูกต้อง และน ามาหาค่าดัชนีความสอดคล้องของ เครื่องมือ IOC (Index of Item Objectives Congruence) โดยก าหนดเกณฑ์การพิจารณา คือ
46 เห็นว่าสอดคล้อง ให้คะแนน +1 ไม่แน่ใจ ให้คะแนน 0 เห็นว่าไม่สอดคล้อง ให้คะแนน -1 การวิเคราะห์ข้อมูลความเหมาะสมสอดคล้องของแบบสอบถามความคิดเห็นโดยใช้ดัชนี ความสอดคล้อง (IOC) ค านวณค่าตามสูตร IOC= ∑ ∑ = ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ = จ านวนผู้เชี่ยวชาญ น าข้อมูลที่รวบรวมจากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมาค านวณหาค่า IOC โดยใช้ดัชนีความ สอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence) ของผู้เชี่ยวชาญมาค านวณค่าดัชนีความ สอดคล้อง แล้วเลือกค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป 2.4 น าแบบทดสอบวัดทักษะการพูดภาษาอังกฤษ (Pre-test / Post-test) รายวิชา ภาษาอังกฤษเพิ่มเติม (อ31201 คิดแล้วพูดภาษาอังกฤษ) ที่ปรับปรุงแล้ว ไปทดสอบนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จ านวน 45 คน การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้รายงานได้ด าเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างตามล าดับดังนี้ 1. ด าเนินการน าแบบทดสอบวัดทักษะการพูดภาษาอังกฤษ (Pre-test / Post-test) รายวิชา ภาษาอังกฤษเพิ่มเติม (อ31201 คิดแล้วพูดภาษาอังกฤษ) ทดสอบนักเรียนก่อนจัดการเรียนการสอน และเก็บคะแนนผลสัมฤทธิ์ของทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ โดยบทสนทนาภาษาอังกฤษ 2. ด าเนินการจัดการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้การพัฒนาทักษะการสื่อสาร ภาษาอังกฤษ โดยบทสนทนาภาษาอังกฤษ จ านวน 4 แผน 16 ชั่วโมง 3. ผู้วิจัยด าเนินการสอนกลุ่มตัวอย่างด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นจ านวน 4 แผน โดยให้นักเรียนเรียนและปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ตามขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้บทสนทนา ภาษาอังกฤษ
47 4. ด าเนินการน าแบบทดสอบวัดทักษะการพูดภาษาอังกฤษ (Pre-test / Post-test) รายวิชา ภาษาอังกฤษเพิ่มเติม (อ31201 คิดแล้วพูดภาษาอังกฤษ) ทดสอบนักเรียนหลังการจัดการเรียนการ สอนและเก็บคะแนนผลสัมฤทธิ์ของทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ โดยบทสนทนาภาษาอังกฤษ การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ด าเนินการวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ตามขั้นตอนดังนี้ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน จากการเรียนรู้ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ โดย บทสนทนาภาษาอังกฤษ โดยใช้ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) คะแนนผลต่างเฉลี่ย (D) ค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC 2. ค่าประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษโดยบทสนทนา ภาษาอังกฤษ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ โดยใช้ร้อยละ (Percentage) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. ค่าเฉลี่ย ̅= ∑ ̅ = ค่าเฉลี่ยของคะแนน ∑ = ผลรวมของคะแนน = จ านวน 2. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน S.D. = √ ∑ 2−(∑)2 (−1) S.D. = ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑( − ̅) = ผลรวมของคะแนนลบด้วยคะแนนเฉลี่ย = จ านวน 3. ค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC= ∑ IOC = ดัชนีความสอดคล้องของเครื่องมือ ∑ = ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
48 = จ านวนผู้เชี่ยวชาญ 4. การวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างผลการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้สูตร ttest (Dependent Samples) t = ∑ √ ∑ 2− (∑)2 (−1) = ความแตกต่างระหว่างคะแนนแต่ละคู่ = จ านวนคู่ df = ความเป็นอิสระมีค่าเท่ากับ ( − 1)
49 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาวิจัยการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ กลุ่มตัวอย่างเป็น นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3 จ านวน 45 คน โดยใช้การสุ่มแบบกลุ่มโดยใช้ห้องเรียนเป็นฐานการ สุ่ม (Cluster Sampling) ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพในด้านทักษะการ สื่อสารภาษาอังกฤษระยะเวลาในการด าเนินการทดลอง 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 คาบเรียน รวมทั้งสิ้น 12 คาบเรียน ทั้งนี้ไม่รวมระยะเวลาในการทดสอบก่อนและหลังเรียน 2 คาบ รวมระยะเวลาในการ ทดลองและทดสอบตลอดการวิจัยทั้งสิ้น 14 คาบเรียน ผู้วิจัยขอน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ ตามล าดับ ดังนี้ 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.2 ล าดับขั้นตอนในการน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล สัญลักษณ์ในการน าเสนอข้อมูลในการศึกษามีดังนี้ N แทน จ านวนนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง ̅ แทน คะแนนเฉลี่ย S.D. แทน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน t แทน ค่าสถิติที่ใช้เปรียบเทียบค่าวิกฤต เพื่อทราบความมีนัยส าคัญ ∑ แทน คะแนนรวม df แทน ชั้นแห่งความเป็นอิสระ (Degree of Freedom) การน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในขั้นตอนของการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ด าเนินการตามล าดับขั้นตอน ดังต่อไปนี้ ตอนที่ 1 ข้อมูลของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างจ าแนกตามเพศ ตอนที่ 2 ผลคะแนนทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) และทดสอบหลังเรียน (Post-test)
50 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 ข้อมูลของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างจ าแนกตามเพศ ในการวิจัยครั้งนี้มีนักเรียนกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้นจ านวน 45 คน แบ่งเป็นเพศชายจ านวน 19 คน และเพศหญิงจ านวน 26 คน ตามล าดับ คิดเป็นร้อยละของจ านวนนักเรียนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด ปรากฏดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 จ านวนนักเรียนกลุ่มตัวอย่างจ าแนกตามเพศและคิดเป็นร้อยละของนักเรียน ทั้งหมด เพศ จ านวน ร้อยละ ชาย 19 42.22 หญิง 26 57.77 รวม 45 100 จากตารางที่ 1 สรุปได้ว่า นักเรียนกลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็นเพศชาย จ านวน 19 คน คิดเป็นร้อย ละ 42.22 และเพศหญิง จ านวน 26 คน คิดเป็นร้อยละ 57.77 ตามล าดับ ตอนที่ 2 ผลคะแนนทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) และทดสอบหลังเรียน (Post-test) ผู้วิจัยได้ท าการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการเปรียบเทียบผลคะแนนการทดสอบวัดความสามารถ ทางการพูดภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ส าหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 จากคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน โดยมีคะแนนเต็มที่ 20 คะแนน คะแนนปรากฏผลดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 คะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการพูด ภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เลขที่ คะแนนการจากการท าแบบทดสอบ D D 2 ทดสอบก่อนเรียน ทดสอบหลังเรียน 1 6 15 9 81 2 10 20 10 100 3 6 14 8 64 4 7 19 12 144 5 9 16 7 49 6 8 17 9 81
51 ตารางที่2 (ต่อ) เลขที่ คะแนนการจากการท าแบบทดสอบ D D 2 ทดสอบก่อนเรียน ทดสอบหลังเรียน 7 6 16 10 100 8 6 15 9 81 9 9 18 9 81 10 6 16 10 100 11 8 18 10 100 12 6 15 9 81 13 8 16 8 64 14 12 20 8 64 15 8 18 10 100 16 6 18 12 144 17 6 17 11 121 18 7 17 10 100 19 10 20 10 100 20 8 17 9 81 21 8 18 10 100 22 10 19 9 81 23 9 17 8 64 24 9 18 9 81 25 11 17 6 36 26 9 19 10 100 27 10 18 8 64 28 10 18 8 64 29 8 17 9 81 30 10 20 10 100 31 6 17 11 121 32 10 20 10 100 33 9 20 11 121
52 ตารางที่2 (ต่อ) เลขที่ คะแนนการจากการท าแบบทดสอบ D D 2 ทดสอบก่อนเรียน ทดสอบหลังเรียน 34 11 20 9 81 35 6 16 10 100 36 7 17 10 100 37 7 17 10 100 38 10 16 6 36 39 10 18 8 64 40 9 20 11 121 41 11 19 8 64 42 9 17 8 64 43 11 18 7 49 44 9 17 8 64 45 10 18 8 64 รวม 381 793 412 3856 ̅ 8.47 17.62 S.D. 1.75 1.57 ร้อยละ 42.33 88.11 จากตารางที่ 2 พบว่า นักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีคะแนนทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบทดสอบ วัดผลการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ โดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 8.47 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.75 และคะแนนทดสอบหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 17.62 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.57 น าคะแนนจากการทดสอบโดยแบบทดสอการพูดภาษาอังกฤษ ส าหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ โดยการทดสอบมีนัยส าคัญทางสถิติที่ .05 โดยใช้ สูตรการค านวณ t-test dependent ปรากฏดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3 เปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ แบบทดสอบวัดการพูด ภาษาอังกฤษ ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
53 การทดลอง N คะแนนเต็ม ̅ S.D. t Df ทดสอบก่อนเรียน 45 20 8.47 1.75 44.47 44 ทดสอบหลังเรียน 45 20 17.62 1.57 จากตารางที่ 3 การเปรียบเทียบผลคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบทดสอบการพูด ภาษาอังกฤษ ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่าคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน (̅= 17.62) สูงกว่า ก่อนเรียน (̅= 8.47) จึงสรุปได้ว่าผลคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนดรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ .05
54 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย การอภิปรายผลและข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ ผู้วิจัยได้ท าการสรุป และอภิปรายผล ดังนี้ 1. วัตถุประสงค์การวิจัย 2. เครื่องมือในการวิจัย 3. วิธีด าเนินการวิจัย 4. การวิเคราะห์ข้อมูล 5. สรุปผลการวิจัย 6. อภิปรายผล 7. ข้อเสนอแนะ วัตถุประสงค์ของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ก าหนดวัตถุประสงค์ ไว้ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพในด้านทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ ของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ จ านวน 4 แผน แผนละ 3 คาบ คาบละ 1 ชั่วโมง 2. แบบทดสอบวัดทักษะการพูดภาษาอังกฤษ (Pre-test / Post-test) รายวิชาภาษาอังกฤษ เพิ่มเติม (อ31201 คิดแล้วพูดภาษาอังกฤษ) วิธีด าเนินการวิจัย ผู้วิจัยได้ด าเนินการวิจัยดังนี้ 1. คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
55 2. ท าการทดสอบเก็บคะแนนก่อนเรียน (Pre-test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทักษะ การพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ 3. ด าเนินการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จ านวน 12 ชั่วโมง โดยแบ่งตาม แผนการจัดการเรียนรู้ 4 แผน แผนละ 3 ชั่วโมง 4. ท าการทดสอบเก็บคะแนนก่อนเรียน (Pre-test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทักษะ การพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นบทสนทนาเดียวกับการทดสอบก่อนเรียน 5. น าข้อมูลที่ได้มารวบรวมจัดหมวดหมู่และน าไปวิเคราะห์ข้อมูลตามวิธีการทางสถิติเพื่อ ทดสอบสมมุติฐาน 6. สรุปและอภิปรายผลการทดลอง การวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ และใช้บททดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทักษะการพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นการน าผลที่ได้มาคิดหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และค่า t-test สรุปผลการวิจัย จากการวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ จ านวน 45 คน พบว่า นักเรียนที่ได้เรียนรู้การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษตามแผนการ จัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยได้จัดท าขึ้น นักเรียนมีการพัฒนาการด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดย พิจารณาจากคะแนนทดสอบหลังเรียนและก่อนเรียนซึ่งพบว่า คะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียน โดยคะแนนก่อนเรียนอยู่ที่ร้อยละ 42.33 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 8.47 คะแนน และคะแนนแบบทดสอบ หลังเรียนอยู่ที่ร้อยละ 88.11 มีคะแนนเฉลี่ย 17.62 คะแนน ผู้วิจัยจึงขอสรุปว่าความสามารถทางการ พูดภาษาอังกฤษ โดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ สูงขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติระดับ .05 โดย หลังจากที่นักเรียนได้เรียนทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ นักเรียนมี พัฒนาการในด้านการพูดภาษาอังกฤษเพิ่มสูงขึ้น
56 อภิปรายผลการวิจัย จากการวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ ผู้วิจัยพบว่า นักเรียนมี ผลการเรียนที่เพิ่มสูงขึ้นหลังจากได้มีการจัดการเรียนโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ โดยผู้วิจัยได้น า ประเด็นที่พบมาอภิปรายผลดังนี้ จากผลการวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ พบว่า นักเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการสอนโดยการใช้บทสนทนา มีความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษ หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานที่ผู้วิจัยได้ตั้งในตอนต้นโดยมี ผลคะแนนจากการท าแบบทดสอบก่อนเรียนเฉลี่ยอยู่ที่ 8.47 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 42.33 และผล คะแนนจากการท าแบบทดสอบหลังเรียนเฉลี่ยอยู่ที่ 17.62 คิดเป็นร้อยละ 88.11 จากผลที่ผู้วิจัยกล่าว มาข้างต้น จะเห็นว่า การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ส่งผลให้ นักเรียนมีการพัฒนาทางด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนตรงตาม วัตถุประสงค์ของการวิจัย ซึ่งไปสอดคล้องกับการศึกษาค้นคว้าของ ธุวพร ตันตระกูล (2555) การ พัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจ าวันโดยใช้บทฝึกการสนทนาภาษาอังกฤษ ซึ่งได้ท าการ วิจัยผลการใช้แบบฝึกบทสนทนาความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ พบว่า นักศึกษาที่มี ความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารอยู่ในระดับดีร้อยละ 13.3 หลังการทดลองพบว่า นักศึกษาสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีมากร้อยละ 93.3 ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการพูด ภาษาอังกฤษของนักศึกษาก่อนและหลังการทดลอง พบว่า หลังการทดลองนักศึกษาพูดภาษาอังกฤษ เพื่อการสื่อสารได้ดีขึ้น โดยมีความสามารถการพูดเพื่อการสื่อสารหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการ ทดลองอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนา ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นจากการศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และผู้วิจัย ได้มีการจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ขึ้นทั้งสิ้น 4 แผน ในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้จะใช้เวลาในการ สอนทั้งสิ้น 12 คาบ คาบละ 1 ชั่วโมง โดยจุดเน้นในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้คือทักษะการพูด ภาษาอังกฤษ จ านวน 4 เรื่อง โดยเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับบทเรียนที่นักเรียนจะได้เรียนในรายวิชา
57 ภาษาอังกฤษพื้นฐาน ซึ่งจะท าให้นักเรียนเกิดการเชื่อมโยงเนื้อหาต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ส่งผลให้นักเรียน พัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษได้ดียิ่งขึ้น แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนทักษะการพูดภาษาอังกฤษ ของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ ผู้วิจัยได้สร้างบทสนทนาขึ้น จ านวน 1 บทสนทนา เพื่อใช้ในการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) และหลังเรียน (Post-test) และได้ น าเอาคะแนนที่นักเรียนได้มาวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า คะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดย คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 8.47 คะแนน แต่คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนมีค่าเท่ากับ 17.62 โดย บทความในแบบทดสอบจะเกี่ยวกับเรื่องการสนทนาในร้านอาหาร ซึ่งนักเรียนสามารถน าความรู้ที่ได้ จากการจัดการเรียนรู้หรือการทดสอบนี้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ าวัน จึงส่งผลให้นักเรียนสามารถมี ทักษะการพูดภาษาอังกฤษได้ดียิ่งขึ้น และส่งผลให้นักเรียนท าคะแนนทดสอบหลังเรียนได้สูงกว่าก่อน เรียน จากการวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ พบว่า นักเรียนมี คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ .05 หลังจากที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ โดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ซึ่งท าให้นักเรียนได้ใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษบ่อยขึ้น และ หลากหลายเนื้อหาที่นักเรียนสามารถน าไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจ าวันอย่างแท้จริง นอกจากนี้การ ที่นักเรียนได้ฝึกพูดภาษาอังกฤษบ่อยขึ้นในชั้นเรียน ท าให้นักเรียนลดความเขินอายในการพูด ภาษาอังกฤษลงได้อย่างมาก รวมถึงการที่นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อภาษาอังกฤษ นักเรียนมีความกล้าที่ จะพูดมากยิ่งขึ้น การที่นักเรียนได้ใช้ภาษาอังกฤษในชั้นเรียนอย่างต่อเนื่องส่งผลให้นักเรียนมีทักษะ การพูดสื่อสารภาษาอังกฤษได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ข้อเสนอแนะ การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ ผู้วิจัยได้ค้นพบข้อดีข้อด้อยต่อการ จัดการเรียนรู้ จึงมีข้อเสนอดังนี้
58 1. ข้อเสนอแนะในการน าผลการวิจัยไปใช้ 1.1 ผู้สอน - ผู้สอนจะต้องศึกษาการออกเสียง (Pronunciation) ภาษาอังกฤษให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ศึกษาหาความรู้การออกเสียง(Pronunciation) ค าศัพท์ค าใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพื่อเป็นต้นแบบแก่ นักเรียน - ผู้สอนจะต้องมีการใช้การจูงใจนักเรียนในระหว่างการเรียนการสอน เนื่องจากนักเรียน ยังคงมีความเขินอายต่อการพูดภาษาอังกฤษ ผู้สอนจะต้องจูงใจนักเรียนให้กล้าแสดงออกมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการให้ค าชมเชยเพื่อให้นักเรียนมั่นใจในตนเองมากยิ่งขึ้น - ผู้สอนจะต้องมีการทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนอย่างสม่ าเสมอ เพื่อช่วยให้นักเรียน ต่อยอดความรู้เดิมและเชื่อมโยงความรู้ใหม่ และเป็นการเน้นย้ าให้นักเรียนเกิดความคล่องแคล่วในการ พูดภาษาอังกฤษ 1.2 ผู้เรียน - ผู้เรียนยังคงมีความเขินอายและไม่กล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษ เนื่องจากกลัวความ ผิดพลาดในเรื่องของ ไวยากรณ์ (Grammar) การออกเสียง (Pronunciation) รวมไปถึงส าเนียงใน การพูดภาษาอังกฤษ เนื่องจากนักเรียนใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจ าวันค่อนข้างน้อย 2. ข้อเสนอแนะในการศึกษาค้นคว้าครั้งต่อไป ควรท าวิจัยเพื่อเปรียบเทียบเทคนิคการสอนการพูดภาษาอังกฤษ เพื่อเปรียบเทียบ ประสิทธิผลของเทคนิคการสอนรูปแบบอื่นๆ เช่น บทบาทสมมติ การร้องเพลง เป็นต้น ว่านักเรียนใน ระดับชั้นนี้ใช้เทคนิคการสอนแบบใดจะส่งผลให้เกิดการพูดภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ที่สุด
59 บรรณานุกรม ขวัญฤทัย เชิดชู. (2545). การศึกษากลวิธีการสื่อสารภาษาอังกฤษของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 โปรแกรม ภาษาอังกฤษสถาบันเพชรบุรีจังหวัดเพชรบุรี. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร จรัสศรี คิวสุวรรณ. แนวคิดในการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (ออนไลน์) แหล่งที่มา : http://www.thaiteacher.org/publication/teaching/eng2.pdf. 1550. อุไร มากคณา. 2556. การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจ าวันของ นักศึกษาสาขาวิชาการจัดการอุตสาหกรรม คณะบริหารธุรกิจ พื้นที่วังไกลกังวล. : มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ กมลวรรณ โดมศรีฟ้า. (2551). การศึกษาการใช้กิจกรรมการพูดเพื่อการสื่อสารในการ พัฒนา ความสามารถ ด้านการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. สารนิพนธ์ศศ. ม. (การสอน ภาษาอังกฤษ ในฐานะภาษาต่างประเทศ). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรี นครินท รวิโรฒ. อาจารย์ ที่ปรึกษาสารนิพนธ์: รองศาสตราจารย์เฉลียวศรี พิบูลชล. กุสุมา ล่านุ้ย. (2533). การจัดการกิจกรรมการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร. วารสาร ศึกษาศาสตร์. 6 : 22. ธุวพร ตันตระกูล. (2555). การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจ าวันโดยใช้ บทฝึกการสนทนาภาษาอังกฤษ.รายงานวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน. : มหาวิทยาลัยศรีประทุม Littlewood, William, Communicative Language Teaching, (Great Britain: Cambridge, 1995), p 1-8. Stewart Stuart & Pearson Lynn, Development of Communication Strategies Among Foreign Language Learners, Mountain Interstate Foreign Language Review; 1994 v5 p. 1-33. Si-Qing, A study of communication strategies in interlingua production by Chinese EFL learners, Language learning 40 (June 1990): p. 170-171. Si-Qing, A study of communication strategies in interlingua production by Chinese EFL learners, Language learning 40 (June 1990): p. 170-171.
60 Yule G. and Tarone, E., Eliciting the performance of strategic competence, in R. Scarcella, E. Andersen and S. Krashen (eds.), Developing communicative competence in a second language, (New York: Newbury House, 1990), pp.179-194.
61 ภาคผนวก
62 ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือวิจัย
63 รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือวิจัย รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบแผนการจัดการเรียนรู้และแบบทดสอบของงานวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ของนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ มีดังนี้ 1) นายจักรพันธ์ พานสะอาด ต าแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูช านาญการ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ 2) นายปฏิญญา มุขสาร ต าแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูช านาญการ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ 3) นางสาวศิริวิมล สมพร ต าแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูช านาญการ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ
64 ภาคผนวก ข แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ
65 แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ เกี่ยวกับแผนการจัดการเรียนรู้ ค าชี้แจง : แบบประเมินความเที่ยงตรง (IOC) ของเครื่องมือการวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะ การพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียม อุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ เพื่อประเมินความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อแผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมในการน าไปใช้ เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยโดยได้ก าหนดเกณฑ์ในการพิจารณาความเที่ยงตรง +1 = แน่ใจว่ามีความสอดคล้องเหมาะสม 0 = ไม่แน่ใจว่ามีความสอดคล้องเหมาะสมหรือไม่ -1 = แน่ใจว่าไม่มีความสอดคล้องเหมาะสม โปรดเขียนเครื่องหมาย () ลงในช่องระดับความคิดเห็นของท่านว่าแผนการจัดการเรียนรู้มีความ สอดคล้องหรือถูกต้องเพียงใด รายการข้อความคิดเห็น ความคิดเห็น เหมาะสม 1 ไม่แน่ใจ 0 ไม่เหมาะสม -1 1. กิจกรรมสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ครอบคลุมด้านความรู้ทักษะ กระบวนการคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยม 3. จุดประสงค์การเรียนรู้สอดคล้องกับมาตรฐานการ เรียนรู้ 4. กิจกรรมสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 5. ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมเหมาะสม 6. กิจกรรมกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบและสร้างองค์ ความรู้ด้วยตนเอง 7. สื่อการเรียนรู้เหมาะสมตรงตามจุดประสงค์ 8. เนื้อหาในสื่อการเรียนรู้สามารถน าไปใช้กับ ชีวิตประจ าวันได้ 9. การประเมินครอบคลุมจุดประสงค์การเรียนรู้
66 10. การจัดล าดับของเนื้อหาและขั้นตอนเหมาะสม ข้อเสนอแนะ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ………………………………………………ผู้เชี่ยวชาญ (……………………………………………………………) ครูโรงเรียน……………………………………………………..
67 แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ เกี่ยวกับแบบทดสอบวัดผลก่อนเรียน-หลังเรียน ค าชี้แจง : แบบประเมินความเที่ยงตรง (IOC) ของเครื่องมือการวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะ การพูดภาษาอังกฤษโดยใช้บทสนทนาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียม อุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ เพื่อประเมินความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อแบบทดสอบมีความเหมาะสมในการน าไปใช้เป็น เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยโดยได้ก าหนดเกณฑ์ในการพิจารณาความเที่ยงตรง +1 = แน่ใจว่ามีความสอดคล้องเหมาะสม 0 = ไม่แน่ใจว่ามีความสอดคล้องเหมาะสมหรือไม่ -1 = แน่ใจว่าไม่มีความสอดคล้องเหมาะสม โปรดเขียนเครื่องหมาย () ลงในช่องระดับความคิดเห็นของท่านว่าแบบทดสอบมีความสอดคล้อง หรือถูกต้องเพียงใด รายการข้อความคิดเห็น ความคิดเห็น เหมาะสม 1 ไม่แน่ใจ 0 ไม่เหมาะสม -1 1. สอดคล้องกับค าอธิบายรายวิชาและหน่วยการ เรียนรู้ 2. สอดคล้องกับการจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ 3. สอดคล้องกับผลการเรียนรู้และจุดประสงค์การ เรียนรู้ 4. มีความต่อเนื่องสัมพันธ์กันตามเนื้อหารายวิชา 5. มีความสอดคล้องกับแบบฝึกหัดตามแผนการจัดการ เรียนรู้ 6. สามารถวัดได้ตามผลการเรียนรู้และวัดได้ตาม จุดประสงค์การเรียนรู้ 7. มีค่าความยากง่าย ค่าอ านาจจ าแนกที่เหมาะสม 8. รูปแบบในการวัดผลมีความเหมาะสมกับวัยของ ผู้เรียน
68 9. ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน 10. สอดคล้องกับใบความรู้ ใบกิจกรรม ข้อเสนอแนะ……………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ………………………………………………ผู้เชี่ยวชาญ (……………………………………………………………) ครูโรงเรียน……………………………………………………..
69 ภาคผนวก ค ตารางแสดงผลการหาค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญ
70 ตารางแสดงผลการประเมินความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับรูปแบบและ เนื้อหาค่า (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง A telephone call กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 คน รายการข้อความคิดเห็น คะแนนความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญ ค่า IOC สรุปผล คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 1. กิจกรรมสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ครอบคลุมด้านความรู้ทักษะ กระบวนการคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยม +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้สอดคล้องกับมาตรฐานการ เรียนรู้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 4. กิจกรรมสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 5. ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมเหมาะสม +1 +1 0 0.66 ใช้ได้ 6. กิจกรรมกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบและสร้างองค์ ความรู้ด้วยตนเอง +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 7. สื่อการเรียนรู้เหมาะสมตรงตามจุดประสงค์ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 8. เนื้อหาในสื่อการเรียนรู้สามารถน าไปใช้กับ ชีวิตประจ าวันได้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 9. การประเมินครอบคลุมจุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 10. การจัดล าดับของเนื้อหาและขั้นตอนเหมาะสม 0 +1 0 0.33 ใช้ไม่ได้ ค่า IOC = 1.0+1.0+1.0+1.0+0.66+1.0+1.0+1.0+1.0+0.33 10 = 8.99 10 = 0.89 สรุปว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ใช้ได้
71 ตารางแสดงผลการประเมินความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับรูปแบบและ เนื้อหาค่า (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง Sickness กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 คน รายการข้อความคิดเห็น คะแนนความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญ ค่า IOC สรุปผล คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 1. กิจกรรมสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ครอบคลุมด้านความรู้ทักษะ กระบวนการคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยม +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้สอดคล้องกับมาตรฐานการ เรียนรู้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 4. กิจกรรมสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 5. ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมเหมาะสม 0 +1 0 0.33 ใช้ไม่ได้ 6. กิจกรรมกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบและสร้างองค์ ความรู้ด้วยตนเอง +1 0 +1 0.66 ใช้ได้ 7. สื่อการเรียนรู้เหมาะสมตรงตามจุดประสงค์ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 8. เนื้อหาในสื่อการเรียนรู้สามารถน าไปใช้กับ ชีวิตประจ าวันได้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 9. การประเมินครอบคลุมจุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 10. การจัดล าดับของเนื้อหาและขั้นตอนเหมาะสม +1 +1 0 0.66 ใช้ได้ ค่า IOC = 1.0+1.0+1.0+1.0+0.33+0.66+1.0+1.0+1.0+0.66 10 = 8.65 10 = 0.86 สรุปว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 ใช้ได้
72 ตารางแสดงผลการประเมินความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับรูปแบบและ เนื้อหาค่า (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง Telling direction กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 คน รายการข้อความคิดเห็น คะแนนความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญ ค่า IOC สรุปผล คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 1. กิจกรรมสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ครอบคลุมด้านความรู้ทักษะ กระบวนการคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยม +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้สอดคล้องกับมาตรฐานการ เรียนรู้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 4. กิจกรรมสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 5. ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมเหมาะสม +1 0 0 0.33 ใช้ไม่ได้ 6. กิจกรรมกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบและสร้างองค์ ความรู้ด้วยตนเอง +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 7. สื่อการเรียนรู้เหมาะสมตรงตามจุดประสงค์ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 8. เนื้อหาในสื่อการเรียนรู้สามารถน าไปใช้กับ ชีวิตประจ าวันได้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 9. การประเมินครอบคลุมจุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 10. การจัดล าดับของเนื้อหาและขั้นตอนเหมาะสม 0 +1 0 0.33 ใช้ไม่ได้ ค่า IOC = 1.0+1.0+1.0+1.0+0.33+1.0+1.0+1.0+1.0+0.33 10 = 8.66 10 = 0.86 สรุปว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 ใช้ได้
73 ตารางแสดงผลการประเมินความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับรูปแบบและ เนื้อหาค่า (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง Telling direction กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 คน รายการข้อความคิดเห็น คะแนนความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญ ค่า IOC สรุปผล คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 1. กิจกรรมสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ครอบคลุมด้านความรู้ทักษะ กระบวนการคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยม +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้สอดคล้องกับมาตรฐานการ เรียนรู้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 4. กิจกรรมสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 5. ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมเหมาะสม +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 6. กิจกรรมกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบและสร้างองค์ ความรู้ด้วยตนเอง +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 7. สื่อการเรียนรู้เหมาะสมตรงตามจุดประสงค์ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 8. เนื้อหาในสื่อการเรียนรู้สามารถน าไปใช้กับ ชีวิตประจ าวันได้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 9. การประเมินครอบคลุมจุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 10. การจัดล าดับของเนื้อหาและขั้นตอนเหมาะสม +1 0 +1 0.33 ใช้ไม่ได้ ค่า IOC = 1.0+1.0+1.0+1.0+1.0+1.0+1.0+1.0+1.0+0.33 10 = 9.33 10 = 0.93 สรุปว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 ใช้ได้
74 ตารางแสดงผลการประเมินความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับรูปแบบและ เนื้อหาค่า (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลก่อนเรียน-หลังเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 คน รายการข้อความคิดเห็น คะแนนความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญ ค่า IOC สรุปผล คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 1. สอดคล้องกับค าอธิบายรายวิชาและหน่วยการ เรียนรู้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 2. สอดคล้องกับการจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ 0 +1 +1 0.66 ใช้ได้ 3. สอดคล้องกับผลการเรียนรู้และจุดประสงค์การ เรียนรู้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 4. มีความต่อเนื่องสัมพันธ์กันตามเนื้อหารายวิชา +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 5. มีความสอดคล้องกับแบบฝึกหัดตามแผนการจัดการ เรียนรู้ +1 +1 0 0.66 ใช้ได้ 6. สามารถวัดได้ตามผลการเรียนรู้และวัดได้ตาม จุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 7. มีค่าความยากง่าย ค่าอ านาจจ าแนกที่เหมาะสม 0 +1 +1 0.66 ใช้ได้ 8. รูปแบบในการวัดผลมีความเหมาะสมกับวัยของ ผู้เรียน +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 9. ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน +1 +1 +1 1 ใช้ได้ 10. สอดคล้องกับใบความรู้ ใบกิจกรรม +1 0 0 0.33 ใช้ไม่ได้ ค่า IOC = 1.0+0.66+1.0+1.0+0.66+1.0+0.66+1.0+1.0+0.33 10 = 8.31 10 = 0.83 สรุปว่า แบบทดสอบวัดผลก่อนเรียน-หลังเรียนชุดนี้ ใช้ได้
75 ภาคผนวก ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
76 แผนการจัดการเรียนรู้โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ยานนาเวศ รหัสวิชา อ31201 รายวิชา คิดแล้วพูดภาษาอังกฤษ 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่4 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 (ชื่อหน่วย) A telephone call ภาคเรียนที่ 1/2563 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง A telephone call เวลา 3 ชั่วโมง / 3 คาบ ครูผู้สอน นางสาวเสาวลักษณ์ เสริมศรี 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ผลการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ 1. ใช้ภาษาตามมารยาทสังคม เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 2. ใช้ภาษาเพื่อแสดงความคิดเห็นแสดงความต้องการของตัวเอง การแสดงความช่วยเหลือ 3. น าเสนอข้อมูลเรื่องราวสั้นๆ หรือกิจวัตรประจ าวัน 4. ใช้ภาษาท่าทางในการสื่อสารได้เหมาะสมกับระดับบุคคล และวัฒนธรรมหลักของภาษา 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. รู้และเข้าใจหลักการใช้ประโยคในการสนทนาทางโทรศัพท์ให้เหมาะสม (K) 2. สามารถพูดประโยคในการสนทนาทางโทรศัพท์ได้ถูกต้องและเหมาะสม (P) 3. กระตือรือร้นต่อการเรียนภาษาอังกฤษ (A) 3. สาระส าคัญ การเรียนรู้หลักการใช้ประโยคการสนทนาทางโทรศัพท์ เช่น ประโยคทักทายเมื่อรับโทรศัพท์, ประโยคถามชื่อผู้โทรมา, ประโยคแนะน าตัว, ประโยคขอพูดสายกับอีกบุคคล, ประโยคบอกให้รอสาย, ประโยคส าหรับบอกว่าผู้ที่ต้องการพูดด้วยไม่สามารถมารับสายได้, ประโยคถามและบอกฝากข้อความ และประโยคแสดงความต้องการหรือการขอร้องอื่นๆ เป็นความรู้พื้นฐานในการสนทนาภาษาอังกฤษ สามารถน าไปประยุกต์ใช้ได้ในอนาคตเป็นอย่างดี
77 4. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 1.1 มีความสามารถในการรับ-ส่งสาร 1.2 ใช้วิธีการสื่อสารที่เหมาะสม 2. ความสามารถในการคิด 2.1 มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ 2.2 มีความสามารถในการคิดนอกกรอบอย่างสร้างสรรค์ 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 4.1 สามารถท างานกลุ่มร่วมกับผู้อื่นได้ 4.2 น าความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ าวัน 5. ความสามารถในการเทคโนโลยี 5.1 สามารถน าเทคโนโลยีไปใช้พัฒนาตนเอง 5. สาระการเรียนรู้ 5.1 ความรู้ Language Features and Functions A telephone call ประโยคทักทายเมื่อรับโทรศัพท์ Hello! - สวัสดี This is ….. speaking. – .......(ชื่อ).....รับสาย/พูดอยู่ค่ะ TPPY Media. Nipha speaking. - ทีพีพีวาย มีเดีย นิภารับสายค่ะ How can/could/may I help you? – มีอะไรให้ช่วยไหมคะ? ประโยคถามชื่อผู้โทรมา Who’s calling, please? – ไม่ทราบว่าก าลังเรียนสายอยู่กับใคร? Could I take your name, please? – ขอทราบชื่อคุณได้ไหม? Could / May I know who’s speaking, please? – ขอทราบชื่อคุณได้ไหม? ประโยคแนะน าตัว Hello! This is …… calling. - สวัสดี ฉัน....(ชื่อ).... Hello, This is…….. from ……………. - สวัสดี ฉัน…...(ชื่อ)…… จาก .........(ชื่อหน่วยงาน)...... My name is ……… from ………. – ผมชื่อ........... จาก.........(ชื่อหน่วยงาน)......
78 ประโยคขอพูดสายกับ... Could/May/Can I speak to ……, please? – ขอเรียนสายกับ......? I’d like to speak to ….., please. – ฉันต้องการพูดสายกับ.....? Could you put me through to….., please? – รบกวนต่อสายถึง........ได้ไหม? ประโยคบอกให้รอสาย Just a moment, please. – กรุณารอสักครู่ค่ะ Please hold on. I will get you through him. – กรุณาถือสายรอสักครู่ ฉันจะโอนสายคุณไป ให้เขาค่ะ Could you hold the line, please? – กรุณาถือสายรอสักครู่ได้ไหมคะ? Please, hold the line. กรุณาถือสายรอสักครู่ Please wait, I will transfer you.- กรุณารอสักครู่ ก าลังจะโอนสายให้คุณค่ะ I’ll put you through. - ฉันจะโอนสายคุณให้ค่ะ I’ll connect you. - ดิฉันจะต่อสายคุณให้ค่ะ I’m connecting you now. - ฉันจะต่อสายคุณให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ ประโยคส าหรับบอกว่าผู้ที่ต้องการพูดด้วยไม่สามารถมารับสายได้ I’m afraid …… isn’t in at the moment. – ฉันเกรงว่า....(ชื่อ)....ไม่สามารถรับสายได้ในขณะนี้ I’m sorry, he’s in a meeting at the moment. – ขอโทษค่ะ ตอนนี้เขาก าลังประชุมค่ะ I’m afraid he’s on another line at the moment. – ฉันเกรงว่าตอนนี้เขาก าลังติดสายอื่นอยู่ ค่ะ ประโยคถามและบอกฝากข้อความ Can I take a message? - ฉันสามารถฝากข้อความไว้ได้ไหม? Can I give him/her a message? – ฉันสามารถฝากข้อความไว้ให้เขาได้ไหม? Would you like to leave a message? - คุณต้องการฝากข้อความไว้ไหม? Is there anyone else you would like to speak to? - มีคนอื่นที่คุณอยากคุยด้วยไหม? I’ll tell Mr. Steven that you called. - ฉันจะบอก....(ชื่อ)...ให้ว่าคุณโทรมา I’ll ask him / her to call you as soon as possible.– ฉันจะบอกเขาให้โทรกลับหาคุณเร็ว ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ค่ะ ปัญหาหรือขอร้องเพิ่มเติม I’m sorry, I don’t understand. Could you repeat that, please? – ขอโทษค่ะ ฉันยังไม่ เข้าใจ รบกวนอธิบายอีกครั้งได้ไหมคะ? I’m sorry, I can’t hear you very well. – ขอโทษค่ะ ฉันได้ยินคุณไม่ค่อยชัดเท่าไหร่?
79 Could you speak up a little, please? – รบกวนคุณพูดดังขึ้นอีกนิดได้ไหม? I’m afraid you’ve got the wrong number. – ฉันเกรงว่าคุณจะโทรมาผิดเบอร์ค่ะ Could you spell that, please? – รบกวนสะกดให้ได้ไหมคะ? Could I ask you to spell your name for me, please? – รบกวนสะกดชื่อของคุณได้ไหมคะ? Sorry, my English is not good. Could you speak a little slower? – ขอโทษค่ะ ภาษาอังกฤษของฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ รบกวนพูดช้าๆ ได้ไหมคะ? Could I ask you to repeat your name, please? – รบกวนทวนชื่อซ้ าอีกครั้งได้ไหมคะ? Language Skills Listening : การฟังตัวอย่างการสนทนาทางโทรศัพท์ Speaking : การพูดสนทนาจ าลองสถานการณ์การคุยโทรศัพท์ Reading : การอ่านบทสนทนาจ าลองสถานการณ์การคุยโทรศัพท์ก่อนน าเสนอหน้าชั้น เรียน Writing : การเขียนบทสนทนาจ าลองสถานการณ์การคุยโทรศัพท์ก่อนน าเสนอหน้าชั้น เรียน 5.2 ทักษะที่ส าคัญ 1. ทักษะการวิเคราะห์ 2. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 3. ทักษะการรวบรวมข้อมูล 4. ทักษะการน าความรู้ไปใช้ 5.3 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2. ซื่อสัตย์สุจริต 3. มีวินัย 4. ใฝ่เรียนรู้ 5. อยู่อย่างพอเพียง 6. มุ่งมั่นในการท างาน 7. รักความเป็นไทย 8. มีจิตสาธารณะ
80 6. จุดเน้นสู่การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน 6.1 ความสามารถและทักษะศตวรรษที่ 21 มีความสามารถในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ มีทักษะการคิดชั้นสูง ทักษะชีวิตและอาชีพ ทักษะทางสังคม มีความสามารถในการแสวงหาความรู้เพื่อการแก้ปัญหา มีความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) 6.2 หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไปโดยไม่ เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ 2. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้อง เป็นไปอย่างมีเหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนค านึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จากการกระท านั้นๆ อย่างรอบคอบ 3. การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการ เปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยค านึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะ เกิดขึ้น ในอนาคตทั้งใกล้และไกล 6.3 ค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ ตามนโยบายของ คสช. 1. มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2. ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน มีอุดมการณ์ในสิ่งที่ดีงามเพื่อส่วนรวม 3. กตัญญูต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ 4. ใฝ่หาความรู้ หมั่นศึกษาเล่าเรียนทั้งทางตรง และทางอ้อม 5. รักษาวัฒนธรรมประเพณีไทยอันงดงาม 6. มีศีลธรรม รักษาความสัตย์ หวังดีต่อผู้อื่น เผื่อแผ่และแบ่งปัน 7. เข้าใจเรียนรู้การเป็นประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ถูกต้อง 8. มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย ผู้น้อยรู้จักการเคารพผู้ใหญ่
81 9. มีสติรู้ตัว รู้คิด รู้ท า รู้ปฏิบัติตามพระราชด ารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่9 10. รู้จักด ารงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชด ารัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 รู้จักอดออมไว้ใช้เมื่อยามจ าเป็น มีไว้พอกินพอใช้ ถ้าเหลือ แจกจ่ายจ าหน่าย และพร้อมที่จะขยายกิจการเมื่อมีความพร้อมเมื่อมีภูมิคุ้มกันที่ดี 11. มีความเข้มแข็งทั้งร่างกาย และจิตใจ ไม่ยอมแพ้ต่ออ านาจฝ่ายต่างๆหรือกิเลส มี ความละอายเกรงกลัวต่อบาปตามหลักของศาสนา 12. ค านึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม และของชาติมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง 7. ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. ใบงาน A telephone call 2. กิจกรรม Call with me 3. แบบทดสอบ A telephone call (pre-test/post-test) 8. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นก่อนการน าเสนอ 1. ครูทักทายนักเรียน Good morning/Good afternoon 2. นักเรียนท าแบบทดสอบก่อนเรียน (pre-test) 10 ข้อ ขั้นเสนอเนื้อหา 1. ครูเปิด presentation เนื้อหาเกี่ยวกับประโยคในรูปแบบต่างๆในการคุยโทรศัพท์ เช่น ประโยคแนะน าตัวเมื่อรับโทรศัพท์, ประโยคขอพูดสายกับบุคคลที่3, ประโยคให้รอสาย เป็นต้น และแจก ใบความรู้เพื่อดูประกอบ 2. ครูอ่านออกเสียงและให้นักเรียนอ่านออกเสียงตามและถามความหมาย เช่น T: Can I take a message? Ss: Can I take a message? T: What does it mean? Ss: ฉันสามารถฝากข้อความได้ไหม?
82 3. นักเรียนจับคู่ท าบทสนทนา (Conversation) โดยจ าลองสถานการณ์เป็นการคุยโทรศัพท์ ซึ่งสามารถน าความรู้จากใบความรู้มาประกอบเป็นบทสนทนาของคู่ตนเองได้ตามความเหมาะสม จากนั้นน าเสนอหน้าชั้นเรียน ขั้นสรุปและน าไปใช้ 1. นักเรียนท าแบบทดสอบหลังเรียน (post-test) 10 ข้อ 2. ครูและนักเรียนสรุปเนื้อหาร่วมกันโดยอ่านออกเสียงและบอกความหมาย และครูเลือก อ่านประโยคภาษาอังกฤษให้นักเรียนบอกความหมาย หรือครูบอกความหมายและให้นักเรียนบอก เป็นภาษาอังกฤษ 3. นักเรียนท าใบงาน A telephone call ครูมีบทสนทนามาให้โดยมีช่องว่างอยู่ทั้งหมด 10 ช่อง ซึ่งครูมีตัวเลือกให้ข้อละ 4 ตัวเลือก ทั้งหมด 10 ข้อ ให้นักเรียนเลือกประโยคให้ถูกต้องเหมาะสม ตามช่องว่างข้อนั้นๆ 9. สื่อการสอน 1. Presentation เกี่ยวกับประโยคในรูปแบบต่างๆที่เป็นแนวทางในการคุยโทรศัพท์ 2. ใบงาน A telephone call 3. ใบความรู้A telephone call 4. แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน (pre-test/post-test) 10. การวัดและประเมินผล 10.1 วิธีการวัดและประเมินผล 1. ด้านความรู้ (K) - รู้และเข้าใจหลักการใช้ประโยคในการสนทนาทางโทรศัพท์ให้เหมาะสม 2. ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) - สามารถพูดประโยคในการสนทนาทางโทรศัพท์ได้ถูกต้องและเหมาะสม 3. ด้านคุณลักษณะ (A) - กระตือรือร้นต่อการเรียนภาษาอังกฤษ 10.2 เครื่องมือ - แบบประเมินการให้คะแนนตามชิ้นงาน
83 10.3 เกณฑ์การประเมิน - ด้านความรู้ และด้านทักษะ/กระบวนการ เกณฑ์การประเมิน ประเด็นการ ประเมิน ระดับคะแนน / ค าอธิบายระดับคุณภาพ น้ าหนัก ความส าคัญ คะแนน รวม 4 (ดีมาก) 3 (ดี) 2 (พอใช้) 1 (ควรปรับปรุง) ความถูกต้อง ออกเสียง ค าศัพท์และ ประโยคได้ ถูกต้องตามหลัก การออกเสียง ออกเสียงเน้น หนักในค า/ ประโยคอย่าง สมบูรณ์ ออกเสียง ค าศัพท์และ ประโยคได้ ถูกต้องตาม หลักการออก เสียงมีเสียง เน้นหนักในค า/ ประโยคเป็นส่วน ใหญ่ ออกเสียง ค าศัพท์และ ประโยคได้ ถูกต้องเป็น ส่วนใหญ่ ขาดการออก เสียงเน้นหนัก ออกเสียงค า/ ประโยคผิด หลักการออก เสียงท าให้ สื่อสารไม่ได้ 2 8 ความ คล่องแคล่ว พูดต่อเนื่อง ไม่ติดขัด พูดชัดเจน ท าให้สื่อสารได้ พูดตะกุก ตะกักบ้าง แต่ ยังพอสื่อสารได้ พูดเป็นค าๆ หยุดเป็นช่วงๆ เพื่อท าให้ สื่อสารได้ไม่ ชัดเจน พูดได้บางค า ท าให้สื่อ ความหมาย ไม่ได้ 2 8 การแสดง ท่าทาง/ น้ าเสียง ประกอบ การพูด แสดงท่าทาง และพูดด้วย น้ าเสียงเหมาะสม กับบทบรรยาย พูดด้วยน้ าเสียง เหมาะสมกับ บทบรรยาย แต่ไม่มีท่าทาง ประกอบ พูดเหมือนอ่าน ไม่เป็นธรรมชาติ ขาดความ น่าสนใจ พูดได้น้อยมาก 1 4 รวม 5 20
84 แบบประเมินด้านความรู้ และด้านทักษะ/กระบวนการ ค าชี้แจง บันทึกผลการประเมินด้านความรู้ และด้านทักษะ/กระบวนการของนักเรียนเป็นรายบุคคล ที่ ชื่อ-สกุล ความถูกต้อง ความคล่องแคล่ว การแสดงท่าทาง/ น้ าเสียงประกอบ การพูด รวม ผลการ ประเมิน 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 1 ด.ช. กรวิวัฒน์ จันยา 2 ด.ช. ธนวัฒน์ ออมสิน 3 ด.ช. ธเนศ แน่นดี 4 ด.ช. ธิเบศ ฮู้สกุล 5 ด.ช. ธีรพงศ์ วงศ์ภัทรชัย 6 ด.ช. นันทการ กรแก้ว 7 ด.ช. พลพล สอนน้อย 8 ด.ช. ไพรธนา กิ่งแก้ว 9 ด.ช. ฟ้าใหม่ จันทรรอด 10 ด.ช. ยุงยุทธ งามงอน 11 ด.ช. วรเชษฐ์ นัยบุรุษ 12 ด.ช. วิทยา ศิลาวรรณ 13 ด.ช. ศุภกิตติ์ ทับทอง 14 นาย อรรณพ ยุตทยานันท์ 15 ด.ช. อรรถพร ทัศธนะสิริกุล 16 ด.ช. อะพิทัก แพงทุย 17 นาย อานัส จอกลอย 18 นาย วัชรินทร์ มูลสุวรรณ 19 นาย มงคล เข็มทอง 20 ด.ญ. กมลชนก ทองย้อย 21 ด.ญ. จีรนันท์ แซ่แต้ 22 ด.ญ. จุฑารัตน์ โสภาพ 23 ด.ญ. ชญานี รอดตัว 24 ด.ญ. ณัฐชา ต่ายคง
85 25 ด.ญ. ณัฐธิดา สีหะนาท 26 ด.ญ. ณัฐปภัสร์ พงศ์เลิศวุฒิ 27 ด.ญ. ธารารัตน์ เจริญตา 28 ด.ญ. นิลฑริกา ขุนพลอย 29 ด.ญ. นุสรา เทียบแก้ว 30 ด.ญ. บุญยานุช อ่อนศรี 31 ด.ญ. ปาริชาติ ไชยาค า 32 ด.ญ. ภัทราภรณ์ สุขแก้ว 33 ด.ญ. รัตนาภรณ์ แก้วแสง 34 ด.ญ. วราภรณ์ พวกดี 35 ด.ญ. วิภาพร ละม่อม 36 น.ส. วิรัลยา ภูผา 37 ด.ญ. ศศิพร โพธิสาร 38 ด.ญ. สุพรรณ กัลยา 39 ด.ญ. อติยา กระแสโสม 40 ด.ญ. อภิญญา ฮวง 41 ด.ญ. กณิศา แก้วมณีโชติ 42 น.ส. ชลดา ดวงชิน 43 น.ส. กฤษฏิ์ติมา ชื่นชม 44 น.ส. วรรณษา ขุนทา 45 น.ส. จี้เพชร ภู่ผึ้ง เกณฑ์การประเมิน 16 - 20 คะแนน ดีมาก 13 - 15 คะแนน ดี 10 - 12 คะแนน พอใช้ น้อยกว่า 10 คะแนน ควรปรับปรุง
86 - ด้านคุณลักษณะ เกณฑ์การประเมิน ประเด็นการ ประเมิน ระดับคะแนน / ค าอธิบายระดับคุณภาพ น้ าหนัก ความส าคัญ คะแนน รวม 4 (ดีมาก) 3 (ดี) 2 (พอใช้) 1 (ควรปรับปรุง) มีวินัย นักเรียนท างานที่ รับมอบหมายให้ สมบูรณ์ตาม ก าหนดและตรง ต่อเวลา นักเรียนท างานที่ รับมอบหมายให้ สมบูรณ์เล็กน้อย ตามก าหนดและ ตรงต่อเวลา นักเรียนท างานที่ รับมอบหมายไม่ สมบูรณ์แต่ตรง ต่อเวลา นักเรียนท างานที่ รับมอบหมายไม่ สมบูรณ์และไม่ ตรงต่อเวลา 1 4 ใฝ่เรียนรู้ นักเรียนมีความใส่ ใจกระตือรือร้น ชอบซักถามทุก ครั้ง นักเรียนมีความ ใส่ใจ กระตือรือร้น ชอบซักถามบ่อบ ครั้ง นักเรียนมีความ ใส่ใจ กระตือรือร้น ชอบซักถาม บางครั้ง นักเรียนไม่มี ความใส่ใจ กระตือรือร้น และซักถาม 1 4 มุ่งมั่นในการ ท างาน ตั้งใจทางานที่ ได้รับมอบหมาย พยายามหา ค าตอบ สืบค้น ข้อมูลจากแหล่ง เรียนรู้เพื่อให้ ได้มาของค าตอบ เสนอความจริง ถึงแม้ว่าผลที่ ออกมาตรงกับ คนอื่นแต่แอบ อ้างข้อมูลคนอื่น เสนอเป็นความ จริงและแอบอ้าง ข้อมูลคนอื่น บ่อยครั้ง เสนอไม่เป็น ความจริงและ แอบอ้างข้อมูล คนอื่น 1 4 รวม 3 12
87 แบบประเมินด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ค าชี้แจง บันทึกผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนเป็นรายบุคคล ที่ ชื่อ-สกุล มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นในการ ท างาน รวม ผลการประเมิน 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 1 ด.ช. กรวิวัฒน์ จันยา 2 ด.ช. ธนวัฒน์ ออมสิน 3 ด.ช. ธเนศ แน่นดี 4 ด.ช. ธิเบศ ฮู้สกุล 5 ด.ช. ธีรพงศ์ วงศ์ภัทรชัย 6 ด.ช. นันทการ กรแก้ว 7 ด.ช. พลพล สอนน้อย 8 ด.ช. ไพรธนา กิ่งแก้ว 9 ด.ช. ฟ้าใหม่ จันทรรอด 10 ด.ช. ยุงยุทธ งามงอน 11 ด.ช. วรเชษฐ์ นัยบุรุษ 12 ด.ช. วิทยา ศิลาวรรณ 13 ด.ช. ศุภกิตติ์ ทับทอง 14 นาย อรรณพ ยุตทยานันท์ 15 ด.ช. อรรถพร ทัศธนะสิริกุล 16 ด.ช. อะพิทัก แพงทุย 17 นาย อานัส จอกลอย 18 นาย วัชรินทร์ มูลสุวรรณ 19 นาย มงคล เข็มทอง 20 ด.ญ. กมลชนก ทองย้อย 21 ด.ญ. จีรนันท์ แซ่แต้ 22 ด.ญ. จุฑารัตน์ โสภาพ 23 ด.ญ. ชญานี รอดตัว 24 ด.ญ. ณัฐชา ต่ายคง 25 ด.ญ. ณัฐธิดา สีหะนาท
88 26 ด.ญ. ณัฐปภัสร์ พงศ์เลิศวุฒิ 27 ด.ญ. ธารารัตน์ เจริญตา 28 ด.ญ. นิลฑริกา ขุนพลอย 29 ด.ญ. นุสรา เทียบแก้ว 30 ด.ญ. บุญยานุช อ่อนศรี 31 ด.ญ. ปาริชาติ ไชยาค า 32 ด.ญ. ภัทราภรณ์ สุขแก้ว 33 ด.ญ. รัตนาภรณ์ แก้วแสง 34 ด.ญ. วราภรณ์ พวกดี 35 ด.ญ. วิภาพร ละม่อม 36 น.ส. วิรัลยา ภูผา 37 ด.ญ. ศศิพร โพธิสาร 38 ด.ญ. สุพรรณ กัลยา 39 ด.ญ. อติยา กระแสโสม 40 ด.ญ. อภิญญา ฮวง 41 ด.ญ. กณิศา แก้วมณีโชติ 42 น.ส. ชลดา ดวงชิน 43 น.ส. กฤษฏิ์ติมา ชื่นชม 44 น.ส. วรรณษา ขุนทา 45 น.ส. จี้เพชร ภู่ผึ้ง เกณฑ์การประเมิน 10 - 12 คะแนน ดีมาก 7 - 9 คะแนน ดี 4 - 6 คะแนน พอใช้ น้อยกว่า 4 คะแนน ควรปรับปรุง
89 บันทึกหลังการสอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่4 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง A telephone call 1. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ .................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 2. ปัญหาและอุปสรรค .................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางการแก้ไข .................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ลงชื่อ ………………………………………….…………… (นางสาวเสาวลักษณ์ เสริมศรี) ผู้สอน วันที่.………..…เดือน…………………..พ.ศ…….…… ความเห็นของครูพี่เลี้ยง .................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ลงชื่อ ………………………………………………….…………. (……………………………..…………………..) ครูพี่เลี้ยงกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ