The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ ม.ต้น พว21001

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 1912nirundon2527, 2021-09-24 21:34:27

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ ม.ต้น พว21001

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ ม.ต้น พว21001

48

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหวา่ งเซลล์แต่ละชนิด

โพรคาริโอต ยูคาริโอต

พืช สตั ว์

ผนงั เซลล์ มี มี ไม่มี

เยื่อหุม้ เซลล์ มี มี มี

นิวเคลยี ส ไมม่ ี มี มี

โครโมโซม ไมม่ ี (เปน็ เพียงรูปวงแหวน) มี มี

นวิ คลีโอลัส ไม่มี มี มี

ไรโบโซม มี (ขนาด 70 s) มี (ขนาด 80 s) มี

ER ไมม่ ี มี มี

กอลจบิ อดี ไม่มี มี มี

ไมโทคอนเครยี ไมม่ ี มี มี

พลาสติด ไมม่ ี มี มี

แวคิวโอล ไม่มี มี มี (ในบางเซลล์)

ไลโซโซม ไมม่ ี มี (ในบางเซลล์) มี (เป็นส่วนใหญ)่

ขนาดเซลล์ เล็กมาก ( 1-10 ไมครอน) 30-50 ไมครอน 10-20 ไมครอน

การหายใจระดับเซลล์ ในไซโทพลาซึม ในไมโทคอนเดรีย

การแบง่ เซลล์ โดยการแบ่งจาก 1 เปน็ 2 หรอื

การแตกหน่อ ไมโอซิสหรือไมโทซิส

สรปุ ได้วา่ สง่ิ มีชวี ิตทุกชนดิ ประกอบไปดว้ ยเซลล์ โดยมีท้ังส่ิงมีชีวติ เซลลเ์ ดยี วและสงิ่ มชี ีวติ

หลายเซลล์ จนทำให้เกิดลักษณะรปู รา่ งของสง่ิ มีชวี ิตแต่ละชนิด เชน่ พชื สตั ว์ มนุษย์ และสงิ่ มีชวี ิต

เหลา่ น้กี ็สามารถดำรงชีวติ อยไู่ ด้ ปัจจยั ที่เกยี่ วข้องกบั การดำรงชีวิตของส่งิ มีชีวิต คอื อาหาร เซลล์ก็

เชน่ เดียวกัน เซลล์ก็มีชีวิต อาหารของสง่ิ มชี วี ติ แต่ละชนิดกต็ ้องเปน็ อาหารของเซลลด์ ้วย แต่เน่อื งจาก

เซลล์มขี นาดเลก็ นกั เรียนคิดว่า อาหารจะเขา้ สู่เซลล์นัน้ จะผา่ นเข้าโดยวธิ ีใด ให้นกั เรยี นศึกษาเรอื่ ง

กระบวนการนำสารเขา้ สู่เซลล์

49

ใบงาน
ให้ผู้เรยี นศกึ ษาเขยี นรูปภาพสว่ นประกอบของเซลล์

50

แบบทดสอบ

คำช้แี จง ใหน้ กั ศกึ ษาเลอื กคำตอบท่ีถูกท่สี ุดเพียงขอ้ เดียว

1. ขอ้ ใดมีสมบตั ิเป็นเย่ือเลือกผา่ น

ก. แวควิ โอล ข. คลอโรพลาสต์

ค. เยื่อหุม้ เซลล์ ง. ไซโทพลาสซึม

2. ใครคอื ผู้ตงั้ ทฤษฎีเซลล์

ก. เทโอดอร์ ชวนั น์ ข. โรเบิร์ต ฮกุ

ค. หลุยส์ ปาสเตอร์ ง. ชาลส์ ดาร์วิน

3. การดูภาพครั้งแรกของกลอ้ งจุลทรรศนค์ วรเริ่มใช้เลนส์วัตถุกำลังขยายเทา่ ใดก่อน

ก. 100x ข. 40x

ค. 20x ง. 10x

4. ถ้านำเลนส์ใกล้วตั ถกุ ำลังขยาย 40x และเลนส์ใกล้ตากำลังขยาย 5x ไปตรวจดูวตั ถจุ ะขยาย

วตั ถุได้กเี่ ท่า

ก. 200 เทา่ ข. 45 เทา่

ค. 100 เท่า ง. 40 เทา่

5. สว่ นประกอบของเซลลส์ ่วนใดท่ีทำหน้าท่ีเปน็ แหล่งสร้างพลงั งานให้แกเ่ ซลล์

ก. นวิ เคลียส ข. ไมโทคอนเดรยี

ค. คลอโรพลาสต์ ง. ออรแ์ กเนลล์

6. ออร์แกเนลล์ท่พี บได้เฉพาะในเซลลพ์ ืชไม่พบในเซลลอ์ ื่นคือข้อใด

ก. คลอโรพลาสตแ์ ละแวคิวโอ ข. คลอโรพลาสตแ์ ละนิวเคลยี ส

ค. ไมโทคอนเดรียและนิวเคลยี ส ง. กอลจบิ อดีและแวคิวโอล

7. ข้อใดคือรงควัตถุสเี ขยี วท่สี ามารถพบอยภู่ ายในเมด็ เลือดคลอโรพลาสต์

ก. โครโมโซม ข. คลอโรฟิลล์

ค. แคโรทนี อยด์ ง. เซลลูโลส

8. เพราะเหตุใดจึงกล่าวว่าเซลล์เปน็ หนว่ ยพ้นื ฐานของสงิ่ มชี ีวติ

ก. เพราะเปน็ หน่วยโครงสรา้ งทีใ่ หญ่ทส่ี ุดของสิ่งมีชวี ิตทกุ ชนดิ

ข. เน้ือเย่อื ของสิง่ มชี ีวิตทุกชนิดประกอบด้วยเซลล์

ค. สิ่งมีชวี ติ 1 ชนดิ มี 1 เซลล์

ง. เป็นส่งิ แรกทศ่ี ึกษาพบ

51

9. นวิ เคลยี สมีความสำคัญยกเวน้ ข้อใด

ก. ควบคุมการทำงานของเซลล์ ข. ควบคมุ การถา่ ยทอดลกั ษณะทาง

พันธุกรรม

ค. ควบคุมการผา่ นเข้าออกของสาร ง. เปน็ ท่ีสร้างสารพันธุกรรม

10. ออรแ์ กเนลล์ส่วนใดทสี่ ามารถพบไดท้ ั้งในเซลล์พืชและเซลล์สัตว์

ก. กอลจบิ อดี ข. คลอโรพลาสต์

ค. แวควิ โอล ง. เซนทรโิ อล

11. การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส จำนวนโครโมโซมในเซลล์ใหม่จะเป็นเท่าใด

ก. ครึ่งหนึง่ ของเซลล์เดมิ ข. เทา่ กับเซลล์เดิม

ค. สองเทา่ ของเซลล์เดิม ง. หน่ึงในสข่ี องเซลล์เดิม

12. การแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซิส เซลล์ใหม่ท่ไี ดม้ ีลักษณะเป็นอยา่ งไร

ก. เซลล์ เหมอื นเดิมทกุ ประการ

ข. เซลล์ เหมือนเดิมทุกประการ

ค. เซลล์ มีจำนวนโครโมโซมลดลงครึ่งหนงึ่ ของเซลลเ์ ดมิ

ง. เซลล์ มีจำนวนโครโมโซมลดลงครึ่งหน่ึงของเซลลเ์ ดิม

13. การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส เซลล์ใหม่ที่ได้มีลักษณะเปน็ อย่างไร

ก. เซลล์ เหมอื นเดิมทกุ ประการ

ข. เซลล์ เหมือนเดมิ ทุกประการ

ค. เซลล์ มีจำนวนโครโมโซมลดลงคร่งึ หนง่ึ ของเซลลเ์ ดมิ

ง. เซลล์ มีจำนวนโครโมโซมลดลงครึ่งหนงึ่ ของเซลลเ์ ดิม

14. เซลลต์ อ่ ไปน้ี คอื

ก. อสุจิ ข. ไข่ ค. เซลล์เมด็ เลอื ดขาว ง. เซลล์ผวิ หนัง

เซลลใ์ นข้อใดเกดิ จากการแบ่งเซลล์แบบไมโอซสิ

ก. ก , ข ข. ก , ค

ค. ข , ค ง. ค , ง

15. การแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซิส มีความสำคญั ตอ่ ส่ิงมชี ีวิตอย่างไร

ก. ทำใหส้ ่ิงมชี วี ติ มีการเจรญิ เติบโต

ข. ทำให้มีเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ทช่ี ำรดุ

ค. ทำให้ส่งิ มีชวี ติ มีจำนวนโครโมโซมคงทีใ่ นทกุ รุ่น

ง. ทำให้เกดิ การรวมกนั ของเซลลส์ บื พันธ์ุ 2 เพศ

52

16. ถา้ เซลล์ของส่ิงมชี ีวิตชนิดหน่งึ มจี ำนวนโครโมโซม 8 คู่ เมอ่ื มีการแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ สน้ิ สดุ ลง

เซลล์ใหม่ ท่ีได้จะมี จำนวนโครโมโซมเท่าใด

ก. 2 โครโมโซม ข. 4 โครโมโซม

ค. 8 โครโมโซม ง. 16 โครโมโซม

17. การแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซิส แตกต่างจากไมโอซิสอย่างไร

ก. ไมโทซสิ ใช้เวลานานกว่าไมโอซิส

ข. ไมโทซิสเปน็ การสร้างเซลลส์ ืบพนั ธ์ุ ไมโอซสิ สร้างเซลลร์ า่ งกาย

ค. ไมโทซิสไดเ้ ซลล์ใหม่ 4 เซลล์ ไมโอซสิ ไดเ้ ซลลใ์ หม่ 2 เซลล์

ง. ไมโทซสิ ไมม่ กี ารไซแนปซสิ ไคแอสมาและครอสซิงโอเวอร์ แตไ่ มโอซิสมี

18. ข้อใดกล่าวถงึ การแบ่งเซลล์แบบไมโอซสิ ถูกต้อง

ก. เกิดขนึ้ กับเซลลร์ ่างกายทัว่ ไป

ข. แบง่ คร้งั เดียว ได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์ เหมอื นเดิมทุกประการ

ค. แบ่ง 2 ครง้ั ไดเ้ ซลล์ใหม่ 4 เซลล์ มีจำนวนโครโมโซมลดลงครง่ึ หน่งึ ของเซลล์เดมิ (n)

ง. แบง่ 2 ครัง้ ไดเ้ ซลล์ใหม่ 4 เซลล์ เซลล์ใหม่มจี ำนวนโครโมโซมเท่ากบั เซลลเ์ ดิม (2n)

19. เซลลใ์ หมท่ ี่ไดจ้ ากการแบ่งแบบไมโอซสิ มสี ารพนั ธุกรรมเหมือนเดมิ หรือไม่ เพราะเหตุใด

ก. เหมอื นแน่นอน เพราะมกี ารจำลองโครโมโซมข้ึนมาอกี 1 ชดุ

ข. เหมอื นแนน่ อน เพราะมีการแบ่งเซลลค์ ร้งั เดยี ว เปน็ การแบง่ คร่ึงโครโมโซม

ค. อาจไมเ่ หมอื นเดิม เพราะขณะแบ่งเซลลอ์ าจเกดิ ความผิดพลาด

มบี างส่วนของโครโมโซม ขาดหายไป

ง. อาจไม่เหมือน เพราะขณะแบง่ เซลลม์ ีการแลกเปลีย่ นบางส่วนของโครโมโซมจากการ

ไซแนปซสิ ไคแอสมา และครอสซงิ โอเวอร์

20. เซลล์ไขท่ ี่ไดร้ ับการปฏิสนธิแล้ว หรอื ทเ่ี รยี กว่าไซโกต (zygote) เจรญิ เติบโตไปเปน็ ตวั ออ่ น หรอื

เอมบริโอ (embryo) ตอ้ งอาศยั การแบง่ เซลล์ในขอ้ ใด

ก. ไมโทซสิ หลาย ๆ ครัง้ ข. ไมโอซสิ หลาย ๆ ครัง้

ค. ไมโทซิสสลับกับไมโอซสิ ง. แบ่งแบบไมโอซิสเพียงอย่างเดยี ว

เฉลย
1.ค 2.ก 3.ง 4.ก 5.ข 6.ก 7.ข 8.ข 9.ค 10.ก
11. ข 12. ข 13. ง 14. ก 15. ค 16. ค 17. ง 18. ค 19.ง 20.ก

53

แผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ า พว21001 วทิ ยาศาสตร์

จำนวน 4 หนว่ ยกติ

แบบ พบกลมุ่ จำนวน 6 ชั่วโมง

เรื่อง เกณฑ์ในการจำแนกสาร

ตัวช้วี ัด 1.อธิบายความแตกต่างและจำแนกธาตุ สารประกอบ สารละลาย และสารผสม

2. สามารถจำแนกสารโดยใชเ้ นื้อสารและสถานะเปน็ เกณฑ์

เนอ้ื หา 1. เกณฑ์ ในการจำแนกสาร

2. การใช้สถานะใช้เน้อื สาร

3. สมบัตขิ องธาตุ สารประกอบสารละลาย สารผสม

ขน้ั ตอนการจัดกระบวนการเรยี นรู้

ขั้นที่ 1 การกำหนดสภาพปญั หา ความต้องการในการเรยี นรู้

1. ครูสรา้ งความคุ้นเคยกับผเู้ รียนทำความเข้าใจเนอ้ื หาวชิ าวทิ ยาศาสตรเ์ ร่ืองเกณฑใ์ นการ

จำแนกสาร ชี้แจงตวั ชว้ี ดั ของหน่วยการเรยี นรู้

2. ครทู ักทายกล่าวนำอธบิ ายการกำหนดเปา้ หมายและการวางแผนการเรียนรเู้ กณฑ์ในการ

จำแนกสารสมบตั ขิ องธาตสุ ารประกอบ สารละลาย สารผสม

ข้นั ที่ 2 การแสวงหาข้อมูล และการจัดการเรยี นรู้

1. ครูและผู้เรยี นวางแผนวธิ ีการเรียนรูเ้ นอื้ หาท่กี ำหนด

2. ผเู้ รียนแบง่ กลุม่ ตามหวั ขอ้ ที่กำหนดให้ โดยวธิ กี ารจบั ฉลาก

1. เกณฑ์ในการจำแนกสาร

2. สมบตั ขิ องธาตุ สารประกอบ สารละลาย สารผสม

3. ผู้เรยี นศึกษาใบความรู้จากทแ่ี ต่ละกลมุ่ จบั ฉลากได้ โดยใหเ้ วลาศึกษา 15 นาที

4. ผเู้ รยี นแต่ละกลมุ่ สง่ ตวั แทนนำเสนอเรื่องทีศ่ ึกษา กลุม่ ละไม่เกิน 5 นาที หนา้ ชน้ั เรยี น

5. ผู้เรียนทำแบบทดสอบเร่อื งสมบตั ิของสาร เพอ่ื ทดสอบความเข้าใจ

ขน้ั ท่ี 3 การปฏิบตั ิและการนำไปประยกุ ตใ์ ช้

1. ครแู ละผู้เรียนสรปุ เนือ้ หาทไ่ี ดเ้ รยี นรูร้ ว่ มกัน

ขน้ั ที่ 4 การประเมนิ ผล

1. ผูเ้ รียนมีส่วนร่วมในการประเมินแบบฝกึ หัดของแตล่ ะกลุ่มโดยการเขียนชือ่ ตนเองไว้ในใบ

งาน

2. ครสู งั เกตจากการมีส่วนร่วมของผูเ้ รียน

สื่อการเรียนรู้

1. ใบความรู้ เรื่อง เกณฑ์การจำแนกสาร

2. แบบฝึกหัด

การวดั ผลประเมินผล

54

1. แบบฝึกหัด
2. การนำเสนอ

55

บันทกึ ผลหลังการเรยี นรู้
ผลท่ีเกิดกับผูเ้ รียน
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ปัญหา/อุปสรรค
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
................................................................................................................................................

.................................................
(.......................................)

กจิ กรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………….......................................
...............................................................................................................................................
ข้อเสนอแนะของผบู้ ริหาร
..................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................

......................................................
(.......................................)

56

ใบความท่ีรู้ 1 เรอื่ งเกณฑใ์ นการจำแนกสาร

เรือ่ งที่ 1 สมบัติของสาร และเกณฑ์ในการจำแนกสาร
สมบัตขิ องสาร หมายถงึ ลกั ษณะเฉพาะตวั ของสาร เชน่ เนื้อสาร สี กล่ิน รส การนาไฟฟ้า การ

ละลายนำ้ จุดเดือด จดุ หลอมเหลว ความเป็นกรด – เบส เปน็ ต้น สารแตล่ ะชนดิ มีสมบตั เิ ฉพาะตวั ท่ี
แตกต่างกนั แบ่งเปน็ 2 ประเภทคอื

1. สมบตั ิทางกายภาพของสาร เป็นสมบัติของสารท่สี ามารถสงั เกตได้งา่ ย เพอื่ บอกลกั ษณะของ
สารอย่างครา่ ว ๆ ไดแ้ ก่ สถานะ ความแขง็ ความออ่ น สี กลิ่น ลกั ษณะผลึก ความหนาแน่นหรอื เป็น
สมบัตทิ ี่อาจตรวจสอบได้โดยทาการทดลองอย่างงา่ ย ๆ ไดแ้ ก่ การละลายนำ้ การหาจดุ เดอื ด การหา
จดุ หลอมเหลว หรือจุดเยือกแขง็ การนาไฟฟา้ การหาความถ่วงจาเพาะ การหาความร้อนแฝง

2. สมบตั ิทางเคมี หมายถงึ สมบตั ิเฉพาะตัวของสารทเี่ ก่ยี วขอ้ งกบั การเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี เชน่ การ
เกดิ สารใหม่ การสลายตัวใหไ้ ด้สารใหม่ การเผาไหม้ การระเบิด และการเกิดสนิมของโลหะ เป็นตน้

เกณฑใ์ นการจำแนกสาร
ในการศกึ ษาเรือ่ งสาร จาเป็นตอ้ งแบง่ สารออกเป็นหมวดหมู่ เพ่ือใหง้ ่ายตอ่ การจดจาสาร

โดยทั่วไปนิยมใช้สมบัติทางกายภาพด้านใดด้านหนึง่ ของสารเป็นเกณฑใ์ นการจำแนกสาร ซงึ่ มหี ลาย
เกณฑ์ดว้ ยกนั เชน่

1. ใช้สถานะเปน็ เกณฑ์ จะแบง่ สารออกไดเ้ ป็น 3 กล่มุ คอื
1.1 ของแขง็ ( solid ) หมายถึงสารท่ีมีลักษณะรปู ร่างไมเ่ ปลย่ี นแปลง และมีรปู ร่างเฉพาะตวั

เนอ่ื งจากอนภุ าคในของแขง็ จดั เรียงชดิ ติดกันและอัดแน่นอย่างมรี ะเบยี บไมม่ ีการเคล่ือนท่ีหรอื
เคลอ่ื นทีไ่ ด้ นอ้ ยมาก ไมส่ ามารถทะลุผา่ นได้และไม่สามารถบีบหรอื ทาใหเ้ ลก็ ลงได้ เชน่ ไม้ หนิ เหล็ก
ทองคา ดิน ทราย พลาสตกิ กระดาษ เปน็ ต้น

1.2 ของเหลว ( liquid ) หมายถงึ สารท่มี ีลกั ษณะไหลได้ มีรูปรา่ งตามภาชนะทบ่ี รรจุ
เนือ่ งจากอนภุ าคในของเหลวอยู่ห่างกนั มากกว่าของแข็ง อนุภาคไม่ยึดติดกันจึงสามารถเคลอื่ นทไี่ ดใ้ น
ระยะใกล้ และมแี รงดึงดูดซึ่งกนั และกนั มปี รมิ าตรคงที่ สามารถทะลผุ ่านได้ เชน่ นำ้ แอลกอฮอล์
นำ้ มนั พชื นำ้ มนั เบนซิน เปน็ ต้น

1.3 แก๊ส ( gas ) หมายถงึ สารที่ลกั ษณะฟุ้งกระจายเต็มภาชนะทบ่ี รรจุ เนื่องจากอนุภาคของ
แก๊สอยู่หา่ งกันมาก มพี ลังงานในการเคลอื่ นทีอ่ ยา่ งรวดเร็วไปได้ในทุกทศิ ทางตลอดเวลา จึงมีแรง
ดึงดูดระหวา่ งอนุภาคน้อยมาก สามารถทะลุผา่ นไดง้ ่าย และบีบอดั ใหเ้ ลก็ ลงไดง้ ่าย เชน่ อากาศ แก๊ส
ออกซเิ จน แก๊สหงุ ต้ม เป็นต้น

2. ใชค้ วามเป็นโลหะเป็นเกณฑ์ แบ่งได้เปน็ 3 กลุ่ม คอื
2.1 โลหะ ( metal)

57

2.2 อโลหะ ( non-metal )
2.3 กึ่งโลหะ ( metaliod )
3. ใชก้ ารละลายนำ้ เป็นเกณฑ์ แบง่ ได้ 2 กล่มุ คอื
3.1 สารทล่ี ะลายนำ้
3.2 สารทีไ่ มล่ ะลายนำ้
4. ใชเ้ นื้อสารเปน็ เกณฑ์ แบง่ ออกเป็น 2 กล่มุ คือ
4.1 สารเนือ้ เดยี ว ( homogeneous substance )
4.2 สารเนอ้ื ผสม ( heterogeneous substance

58

ใบความรทู้ ี่ 2 สมบตั ขิ องธาตุ สารประกอบ สารละลาย สารผสม

ธาตุ (Element) หมายถงึ สารบริสุทธท์ิ ่ีมีองค์ประกอบอย่างเดียว ธาตไุ ม่สามารถจะนำมา
แยกสลายให้กลายเป็นสารอ่นื โดยวิธกี ารทางเคมี ธาตุมีทั้งสถานะที่เป็นของแขง็ เช่น ธาตสุ ังกะสี(Zn)
ตะกั่ว (Pb) เงิน (Ag) และดีบุก (Sn) , เป็นของเหลว เช่น ปรอท (Hg) เป็นก๊าซ เช่น ไนโตรเจน (N2)
ฮเี ลยี ม (He) ออกซิเจน (O2) ไฮโดรเจน (H2) เป็นตน้

สารประกอบ (compound) หมายถึง “สารบริสุทธิ์เนื้อเดียวที่เกิดจากธาตุตั้งแต่สองชนิด
ข้ึนไปเป็นองค์ประกอบ” สารประกอบเกิดจากการรวมตัวของธาตุโดยวิธีการทางเคมี สามารถ
แยกสลายให้เกิดเป็นสารใหม่หรือกลับคืนเป็นธาตุเดิมได้ สารประกอบจะมีสมบัติเฉพาะตัวที่แตกต่าง
จากธาตุเดิม เช่น น้ำ มีสูตรเคมีเป็น H2O น้ำเป็นสารประกอบที่เกิดจากธาตุไฮโดรเจน (H) และ
ออกซิเจน (O) แต่มีสมบัติแตกต่างจากไฮโดรเจนและออกซิเจน น้ำตาลทรายประกอบด้วยธาตุ
คารบ์ อน ( C ),ไฮโดรเจน (H) ,และออกซเิ จน (O) เปน็ ตน้

สารละลาย (solution) หมายถงึ สารเน้ือเดยี วทไ่ี ม่บรสิ ุทธ์ิ เกดิ จากสารต้ังแต่ 2 ชนิดขน้ึ ไป
มารวมกนั

สารผสม หมายถึง สารท่ีมีองค์ประกอบภายในแตกตา่ งกนั หรือสารท่ีเนื้อไม่เหมือนกันทุก
สว่ น เชน่ พริกเกลอื คอนกรตี ดนิ หรืออาจเป็นสารต้ังแต่สองชนิดข้นึ ไปผสมกนั อยู่ โดยทส่ี ารเหล่านย้ี ัง
มสี มบตั เิ หมือนเดมิ และสามารถแยกออกจากกันได้โดยวธิ ีง่ายๆ

59

แบบฝกึ หดั
คำช้ีแจง จงเลอื กคาตอบท่ีคดิ ว่าถูกตอ้ งทสี่ ุดเพียงคำตอบเดยี วในแต่ละขอ้
1) ข้อใดไม่ใชส่ สาร
ก. เกลอื แกงใส่ลงในอาหาร
ข. เสยี งของสุนขั หอน
ค. น้ำแกงกาลังเดือด
ง. สายไฟท่ีทาจากพลาสตกิ
2) ทองเหลอื งจัดเปน็ สารประเภทใด
ก. ธาตุ
ข. สารประกอบ
ค. สารละลาย
ง. สารเนือ้ ผสม
3) ข้อใดต่อไปนี้เปน็ ความหมายของสารประกอบ
ก. โมเลกุลของสารประกอบดว้ ยธาตุ 2 อะตอมขึ้นไป
ข. สารท่ีธาตเุ ปน็ ชนิดเดยี วกนั
ค. สารทีเ่ กิดจากธาตุ 2 ชนิดข้นึ ไปมารวมกนั
ง. ผลิตภณั ฑ์ทีไ่ ด้จากการทาปฏิกริ ยิ ากนั ของสาร 2 ชนดิ
4) ข้อความตอ่ ไปนี้ขอ้ ใดถูกต้อง
ก. สารละลายทุกชนดิ เป็นสารบรสิ ุทธ์ิ
ข. สารบริสุทธิ์บางชนดิ เป็นสารเนอื้ เดยี ว
ค. สารประกอบทกุ ชนิดเป็นสารเนอื้ เดียว
ง. ธาตบุ างชนดิ เปน็ สารเน้ือเดียว
5) ถ้าจัด เหล็ก น้ำเชื่อม และสารละลายกรดซลั ฟิวริก ให้อยู่ในกลุ่มเดียวกนั จะตอ้ ง ใชอ้ ะไรเป็นเกณฑใ์ นการ
จัด
ก. การนำไฟฟ้า
ข. การละลาย
ค. การเปน็ สารเนอ้ื เดยี วกัน
ง. สมบตั ิเปน็ กรด-เบส
6) วิธีการกลั่นน้ำให้บรสิ ทุ ธแ์ิ บบธรรมดาจะไมเ่ หมาะสม เมื่อนามาใชก้ ับอะไร
ก. น้ำทะเล
ข. น้ำคลอง
ค. น้ำผสมแอลกอฮอล์
ง. สารละลายโพแทสเซยี มคลอไรด์

60

7) การแยกน้ำมันดบิ ส่วนใหญอ่ าศัยวธิ ีการแบบใด
ก. การสนั ดาป
ข. การกลัน่ ลาดับส่วน
ค. การตกตะกอนลาดบั สว่ น
ง. การสลายตวั ด้วยความร้อน
8) กรดในข้อใดเป็นกรดอนิ ทรียท์ ัง้ หมด
ก. นำ้ มะขาม กรดไฮโดรคลอรกิ
ข. นำ้ มะนาว กรดไนตรกิ
ค. กรดแอซติ ิก น้ำมะนาว
ง. นำ้ มะขาม กรดซลั ฟวิ รกิ
9) สารใดตอ่ ไปน้ีมสี ภาพเปน็ เบส ทง้ั หมด
ก. นำ้ มะนาว น้ำอัดลม
ข. นำ้ มะขาม น้ำเกลอื
ค. สารละลายผงซักฟอก นำ้ ขีเ้ ถ้า
ง. สารละลายยาสฟี ัน น้ำยาลา้ งจาน
10) สบูเ่ กิดจากปฏิกริ ยิ าเคมีระหว่างสงิ่ ใด
ก. แชมพูกบั นำ้ มนั พชื
ข. กรดกับไขมันสัตว์
ค. ไขมันสัตวก์ บั นำ้ ขีเ้ ถ้า
ง. ไม่มีข้อใดถกู

เฉลยแบบทดสอบบทท่ี 7 เรื่องสารและการจำแนกสาร
1. ข 6. ง
2. ก 7. ข
3. ค 8. ก
4. ค 9. ค
5. ก 10. ง

61

แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชา พว21001 วทิ ยาศาสตร์

จำนวน 4 หนว่ ยกิต

แบบ พบกลุม่ จำนวน 6 ชั่วโมง

เรอ่ื ง การจำแนกธาตุ

ตัวชว้ี ัด 1. อธบิ ายและจำแนกธาตุ สารประกอบ โลหะ อโลหะ และโลหะกึง่ อโลหะได้

2. บอกผลกระทบที่เกดิ จากธาตกุ มั มันตรงั สีได้

3. อธบิ ายการเกิดสารประกอบได้

4. บอกธาตุและสารประกอบที่ใชใ้ นชีวติ ประจำวันได้

เนื้อหา 1. สมบตั ิของโลหะ อโลหะ และโลหะกงึ่ อโลหะ

2. ธาตกุ มั มนั ตรงั สี

3. สารประกอบ

3.1 ความหมาย

3.2 การเกิดสารประกอบ

3.3 ธาตแุ ละสารในชีวิตประจำวนั

ขน้ั ตอนการจดั กระบวนการเรยี นรู้
ขน้ั ที่ 1 การกำหนดสภาพปญั หา ความตอ้ งการในการเรยี นรู้

1. ครูสรา้ งความคุ้นเคยทำความเข้าใจกับวิชาพร้อมมาตรฐานและชีแ้ จงตัวช้วี ัด
ของหนว่ ยการเรยี นรู้

2. ครทู ักทายกล่าวนำอธิบายการกำหนดเปา้ หมายและการวางแผนการเรยี นรู้
เกยี่ วกบั การจำแนกธาตุ

3. ครูและผู้เรียนร่วมกันอภิปรายความหมายและสมบตั ิของธาตแุ ตล่ ะประเภท
4. ครเู ปิดโอกาสให้ผู้เรยี นซักถามขอ้ สงสัยกอ่ นนำเขา้ สบู่ ทเรยี น
ขน้ั ท่ี 2 การแสวงหาข้อมลู และการจัดการเรยี นรู้
1. ครแู ละผู้เรยี นวางแผนวธิ กี ารเรยี นรเู้ นอื้ หาทก่ี ำหนด
2. ครอู ธิบายความหมายและสมบตั ิของธาตุแต่ละประเภท
3. ครูให้ผู้เรยี นศกึ ษาใบความรู้เรื่อง การจำแนก
4. ครูและผู้เรยี นรว่ มกันสรุปสมบัติของธาตแุ ต่ละประเภทธาตุ และใหผ้ ู้เรียน

บันทกึ ลงสมดุ เรยี นรู้
5. ผ้เู รยี นทำใบงานเรื่อง การจำแนกธาตุ

ขน้ั ที่ 3 การปฎิบัติและการนำไปประยุกต์ใช้
1. ครูและผู้เรยี นสรปุ เน้อื หาที่ไดเ้ รยี นรรู้ ่วมกนั

62

ขั้นท่ี 4 การประเมนิ ผล
1. ผู้เรยี นมีสว่ นรว่ มในการประเมินใบงานของแตล่ ะกลุ่มโดยการเขียนชื่อตนเองไว้ในใบงาน
2. ครสู งั เกตจากการมีสว่ นรว่ มของผู้เรียน

สอื่ การเรยี นรู้
1. ใบความรู้ เรอ่ื งและสารประกอบ
2. ใบงาน เรอื่ งและสารประกอบ
3. หนงั สอื เรยี นวิชาวทิ ยาศาสตร์ ม.ต้น
4. อินเตอร์เนต็

การวัดและผลประเมนิ
1. ใบงาน
2. สมุดบันทึกการเรียนรู้

63

บันทกึ ผลหลงั การเรยี นรู้
ผลท่เี กดิ กบั ผเู้ รียน
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ปัญหา/อุปสรรค
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
................................................................................................................................................

.................................................
(.......................................)

กิจกรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………….......................................
...............................................................................................................................................
ขอ้ เสนอแนะของผบู้ ริหาร
..................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................

......................................................
(.......................................)

64

ใบความรู้
เรื่อง การจำแนกธาตุ

1. สมบัติของโลหะ อโลหะ และโลหะก่งึ อโลหะ
โลหะ (Metal) เป็นกลุ่มธาตทุ ี่มสี มบัตเิ ปน็ ตัวนำไฟฟ้าได้ นำความร้อนท่ีดเี หนยี ว มีจุดเดอื ด

สงู ปกตเิ ปน็ ของแข็งที่อณุ หภมู ิหอ้ ง (ยกเวน้ ปรอท) เชน่ แคลเซียมอะลูมิเนยี ม เหล็ก เปน็ ตน้
สมบตั ขิ องโลหะ
1. มสี ถานะเป็นของแขง็ ที่อุณหภูมิปกติ (ยกเว้นปรอท เปน็ ของเหลว)
2. มจี ุดเดอื ดและจุดหลอมเหลวสูง
3. แขง็ และเหนยี วสามารถตีเปน็ แผน่ บางๆ หรอื ดึงใหเ้ ป็นเสน้ ได้
4. นำไฟฟา้ และนำความร้อนไดด้ ี การนำไฟฟ้าลดลงเมื่ออุณหภูมสิ ูงข้ึน
5. มคี วามแตกต่างของอุณหภูมิระหวา่ งจดุ เดอื ดและจดุ หลอมเหลวกวา้ ง
6. เคาะมีเสียงดังกังวาน
7. ขัดเป็นมนั วาว
8. มีความหนาแนน่ สงู แตบ่ างชนิดมีความหนาแนน่ ตำ่ ไดแ้ ก่ โลหะเบา เช่น ธาตุหมู่ I A และ

II A
9. มคี า่ EN ต่ำ จึงเสียอิเล็กตรอนได้งา่ ยเกิดเป็นไอออนบวก เชน่ Li+ Na+
10. ทำปฏิกริ ยิ ากับกรดเกิดก๊าช ไฮโดรเจน ยกเว้นโลหะมตี ระกูล
อโลหะ (Non-metal) เปน็ กลุ่มธาตทุ ีม่ ีสมบัติไม่นำไฟฟ้า มีจดุ หลอมเหลวและจุดเดอื ดต่ำ

เปราะบาง และมีการแปรผันทางด้านคุณสมบัตทิ างกายภาพมากกว่าโลหะ เช่น ออกซเิ จน กำมะถัน
ฟอสฟอรัส เป็นต้น

สมบตั ขิ องอโลหะ
1. มที ง้ั 3 สถานะ คอื ของแข็ง เชน่ คาร์บอน (C) กำมะถนั (S) ของเหลว เชน่ โบรมีน
(Br2) และก๊าช เช่น ไฮโดรเจน (H2) ออกซิเจน (O2)
2. มีจุดเดอื ดและจดุ หลอมเหลวตำ่ ยกเว้นแกรไฟต์
3. เปราะ แตกง่าย ตเี ปน็ แผ่นหรอื ดงึ เป็นเสน้ ไม่ได้
4. ไม่นำไฟฟา้ และความรอ้ น ยกเว้นแกรไฟต์
5. มคี วามแตกต่างของอณุ หภมู ริ ะหวา่ งจดุ เดอื ด และจุดหลอมเหลวแคบ
6. เคาะไมม่ ีเสียงกังวาน
7. ผิวไม่มนั วาว
8. มคี วามหนาแน่นต่ำ
9. มคี า่ EN สูง จึงรบั อิเลก็ ตรอนไดง้ ่ายเกดิ เป็นไอออนลบ เช่น Cl- Br-

65

กงึ่ โลหะ (Metalloid) เป็นกลุม่ ธาตุท่มี สี มบัติก้ำกึ่งระหว่างโลหะและ อโลหะ เชน่ ธาตุ
ซลิ ิคอน และเจอเมเนียม มสี มบัตบิ างประการคล้ายโลหะ เช่น นำไฟฟ้าไดบ้ า้ งที่อุณหภมู ปิ กติ และนำ
ไฟฟา้ ได้มากขึ้นเมอื่ อณุ หภมู เิ พิ่มขนึ้ เปน็ ของแข็ง เปน็ มนั วาวสีเงิน จุดเดือดสูง แต่เปราะแตกงา่ ย
คล้ายอโลหะ
2. ธาตกุ ัมมนั ตรังสี

กมั มันตภาพรังสีมี 3 ชนดิ คือ
1. รงั สีแอลฟา (alpha, a) คือ นิวเคลียสของอะตอมธาตุฮเี ลียม 42He มปี ระจุ ไฟฟ้า +2 มี
มวลมาก ความเร็วต่ำ อำนาจทะลุทะลวงนอ้ ย มีพลังงานสงู มากทำให้เกิดการ แตกตวั เป็นอิออนได้ดี
ทส่ี ุด
2. รังสีเบตา้ (Beta, b) มี 2 ชนดิ คือ อิเลคตรอน 0e-1 (ประจุลบ) และ โฟซติ รอน 0e+1
(ประจุบวก) มคี วามเร็วสงู มากใกลเ้ คยี งกบั ความเร็วแสง
3. รังสีแกมมา (gamma, g) คือ รังสีทีไ่ ม่มีประจุไฟฟ้า หมายถงึ โฟตอนหรอื ควอนตัมของ
แสง มอี ำนาจในการทะลุทะลวงไดส้ งู มาก ไม่เบีย่ งเบนในสนามแมเ่ หลก็ และสนามไฟฟา้ เปน็ คลน่ื
แม่เหลก็ ไฟฟ้าทมี่ คี วามถ่ีสงู กว่ารงั สเี อกซ์
คณุ สมบัติของกมั มันตภาพรงั สี
1. เดนิ ทางเป็นเส้นตรง
2. บางชนดิ เกดิ การเลย้ี วเบนเม่ือผ่านสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟา้ เชน่ a , b
3. มอี ำนาจในการทะลุสารต่างๆ ไดด้ ี
4. เม่อื ผา่ นสารตา่ ง ๆ จะสญู เสยี พลังงานไป โดยการทำให้สารน้ันแตกตัวเปน็ อิออน
ซึ่งออิ อนเหล่านนั้ จะกอ่ ให้เกดิ ปรากฏการณ์อน่ื ๆ เชน่ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี เกดิ รอยดำบนฟิลม์ ถ่ายรปู
ประโยชนข์ องธาตกุ ัมมนั ตรังสี
1. ทำเตาปฏกิ รณป์ รมาณู ทำโรงงานไฟฟา้ พลงั งานปรมาณู และเรือดำนำ้ ปรมาณู
2. ใชส้ ร้างธาตุใหม่หลังยเู รเนียม สรา้ งข้ึนโดยยง่ิ นวิ เคลียสของธาตุหนกั ด้วยอนภุ าคแอลฟา
หรอื ดว้ ยนวิ เคลยี สอ่นื ๆ ที่ค่อนขา้ งหนกั และมพี ลังงานสูง
3. ใชศ้ ึกษากลไกของปฏิกิริยาเคมี เช่น การเกดิ ปฏิกิรยิ าของเอสเทอร์
4. ใชใ้ นการหาปริมาณวเิ คราะห์
5. ใชใ้ นการหาอายุของซากสิ่งมชี วี ติ (C - 14)
6. การรักษาโรค เชน่ มะเรง็ (Ra - 226)
7. ใชใ้ นการถนอมอาหารให้อยู่ได้นานๆ (Co-60)
8. ใช้ ศึกษาความตอ้ งการปุ๋ยของพชื และ ปรับปรุงเมลด็ พนั ธ์ทุ ่ีตอ้ งการ(P - 32)
อนั ตรายจากกมั มนั ตภาพรงั สี
1. รงั สแี กมมา มอี ำนาจการทะลุทะลวงมากและสามารถทำลายเนื้อเยื่อของรา่ งกายได้

66

2. รงั สีแอลฟาและรงั สเี บต้า เปน็ รังสที ม่ี อี นุภาคสามารถทำลายเนอื้ เย่ือได้ดี ถงึ แมจ้ ะมี
อำนาจการทะลุทะลวงเท่ากบั รังสีแกมมา แต่ถ้าหากรงั สชี นดิ นีไ้ ปฝังบริเวณเนอื้ เยือ่ ของร่างกายแล้ว ก็
มีอำนาจการทำลายไมแ่ พ้รงั สีแกมมา

3. รงั สีเอ็กซ์ สามารถปล่อยประจุไฟฟ้าแรงสูงในที่สุญญากาศ อันตรายอาจจะเกิดข้นึ ถา้ หาก
รังสีเอก็ ซ์รั่วไหลออกจากเครอื่ งมอื และออกสบู่ รรยากาศ สัมผัสกับรงั สเี อ็กซม์ ากเกนิ ไป เช่น จาก
หลอดเอ็กซ์เรย์ก็จะเกิดโรคผิวหนงั ทม่ี อื มลี ักษณะหยาบผวิ หนงั แห้งมลี กั ษณะคล้ายหูด แห้งและเลบ็
หักงา่ ย ถา้ สัมผัสไปนาน ๆ เข้า กระดกู กจ็ ะถกู ทำลาย4. รงั สีที่สามารถมองเห็นและรังสี
อลั ตราไวโอเลตหรอื รงั สเี หนือม่วง รังสี
ชนดิ น้ีจะไมท่ ะลุ ทะลวงผ่านชั้นใต้ผวิ หนัง รังสอี ลั ตราไวโอเลตจะมีอนั ตรายรนุ แรงกวา่ รงั สีอินฟราเรด
และจะทำให้ผิวหนงั ไหมเ้ กรียม และทำอนั ตรายต่อเลนซต์ า คนทวั่ ๆ ไปจะได้รบั รงั สีอัลตราไวโอเลต
จากแสงอาทิตย์ ฉะน้นั คนทท่ี ำงานกลางแสงอาทิตย์แผดกล้าตดิ ตอ่ กนั เปน็ ระยะเวลานาน โอกาสที่จะ
เปน็ เนื้องอกตามบรเิ วณผิวหนังทถ่ี ูกแสงแดดในที่สดุ ก็จะกลายเป็นเนือ้ รา้ ยหรอื มะเรง็ ได้ รงั สี
อลั ตราไวโอเลตจะมอี ันตรายต่อผิวหนังมากขึน้ ถ้าหากผิวหนงั ของเราไปสมั ผัสกบั สารเคมีบางอย่าง
เชน่ ครโี ซล ซึ่งเป็นสารเคมีทมี่ ีความไวต่อแสงอาทิตย์มาก
3. สารประกอบ

3.1 ความหมาย
สารประกอบ ( Compound ) หมายถึง สารบรสิ ทุ ธ์ิท่เี กิดจากธาตุตง้ั แต่ 2ชนิดขน้ึ ไป

รวมตวั กนั ทางเคมใี นอัตราส่วนโดยมวลคงท่ี มีจุดเดอื ด จุดหลอมเหลวคงทแ่ี ละมีสมบตั ิต่างจากธาตุ
องคป์ ระกอบเดิมและไมส่ ามารถแยกกลบั เปน็ สารเดิมได้โดยง่าย เชน่ CO2 , H2O , KMnO4 , Cu
(NH 3)4 SO4 , NaCl เป็นต้น

3.2 การเกดิ สารประกอบ
สารประกอบเกดิ จากการสร้างพนั ธะเคมีระหว่างอะตอมของธาตุต่างชนดิ กนั โดยการ

แลกเปลยี่ นอนภุ าคมูลฐานภายในอะตอม การรวมตัวของธาตเุ ปน็ สารประกอบนั้น เป็นที่น่าสงสัยวา่
สารประกอบทีเ่ กิดขึ้นน้นั มสี มบัติที่แตกตา่ งกันไป และแตกต่างไปโดยส้ินเชงิ จากสมบัติของธาตุเดิมท่ี
เปน็ องคป์ ระกอบ ตัวอย่าง เช่น น้ำตาลทราย เป็นสารประกอบท่เี กิดจากธาตุคารบ์ อน (C)
ไฮโดรเจน (H) และ ออกซิเจน (O)

นำ้ เปน็ สารประกอบท่ีเกิดจากธาตุไฮโดรเจน (H) และออกซิเจน (O) ดงั ภาพ

67

4. ธาตุและสารในชวี ิตปะจำวนั
ในการดำรงชีวิตในปจั จบุ ันมกั จะมเี รอื่ งของธาตุและสารตา่ ง ๆ เข้ามาเก่ยี วขอ้ งอยูเ่ สมอ ซึ่ง

บางอย่างจะเปน็ สว่ นผสมของใช้ในชวี ิตประจำวันของเรา ซ่งึ ขอยกตวั อย่าง ดงั ตารางต่อไปนี้

68

สารท่ใี ช้ในชีวิตประจำวัน
ในแตล่ ะวันคนเรามีกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องทำมากมาย กจิ กรรมที่ต้องทำเหมอื น ๆ กนั เช่น
ล้างหน้ำ แปรงฟัน อาบนำ้ สระผม แต่งตัว และ การรบั ประทานอาหาร ส่วนกิจกรรมทแี่ ตกตา่ งกนั
เช่น การทำ งาน ซง่ึ มีอย่มู ากมายหลายอาชีพ กิจกรรมแต่ละอยา่ งจำเป็นต้องใช้วสั ดุ หรือวตั ถตุ า่ ง ๆ
ซึ่งมสี ารเป็นองคป์ ระกอบ
ทั้งสิ้น ดังนน้ั ในวนั หนงึ่ ๆ ไมม่ ีใครท่ีสามารถหลีกเล่ยี งไม่ใช้สารใด ๆ เลยได้
ตวั อยา่ งสารท่พี บในชีวิตประจำวนั
1. สารปรงุ แตง่ อาหาร สารปรงุ แตง่ อาหาร หมายถึง สารปรงุ รสอาหารใช้ใส่ในอาหารเพ่ือ
ทำให้อาหารมรี สดีข้ึน เชน่ นำ้ ตาล น้ำปลา นำ้ ส้มสายชู น้ำมะนาว ซอสมะเขอื เทศ และใหร้ สชาติ
ต่างๆ
2. เครือ่ งดมื่ เคร่อื งด่มื หมายถงึ ส่งิ ที่มนษุ ยจ์ ัดเตรยี มสำหรับดมื่ และมักจะมี นำ้ เปน็
สว่ นประกอบหลักบางประเภทได้คณุ ค่าทางโภชนาการ บางประเภทดมื่ แล้วไปกระตุ้นระบบประสาท
และบางประเภทดื่มเพอ่ื ดบั กระหาย แบ่งออกเป็น 7 ประเภท ได้แก่ น้ำด่มื สะอาด นำ้ ผลไม้ นม
น้ำอดั ลม เครือ่ งด่ืมบำรุงกำลัง ชาและกาแฟ และเครอื่ งด่มื แอลกอฮอล์
3. สารทำความสะอาด สารทำความสะอาด หมายถึง คุณสมบตั ิในการกำจัดความสกปรก
ตา่ ง ๆ
ตลอดจนฆ่าเชอ้ื โรคประเภทของสารทำความสะอาด เช่น น้ำยาลา้ งจาน สบกู่ ้อน สบ่เู หลว แชมพู
สระผม
ผงซักฟอก สารทำความสะอาดพ้ืนเปน็ ตน้
4. สารกำจดั แมลง และสารกำจัดศัตรูพืช สารกำจัดแมลงและสารกำจัดศตั รพู ืช หมายถงึ
สารเคมีท่ีผลิตขึ้นเพ่ือใช้ป้องกนั การกำจัด และควบคมุ แมลงต่าง ๆ ไมใ่ ห้มารบกวน มที งั้ ชนดิ ผง ชนิด
เมด็ และชนดิ นำ้
ประเภทของ สารกำจัดแมลงและสารกำจัดศัตรพู ืช แบ่งเปน็ 2 ประเภท คอื

1. ได้จากการสังเคราะห์ เช่น สารฆ่ายุง สารกำจดั แมลง เปน็ ตน้
2. ไดจ้ ากธรรมชาติ เชน่ เปลอื กมะนาว เปลอื กมะกรดู เปลือกสม้ เปน็ ตน้
5. เครอ่ื งสำอาง
เครอ่ื งสำอาง หมายถงึ ผลิตภัณฑ์ท่ีใชท้ า ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบร่างกาย เพื่อใช้ทำ
ความสะอาดเพ่ือใหเ้ กดิ ความสดชื่น ความสวยงาม และเพ่มิ ความม่ันใจ

69

ใบงาน เรื่อง การจำแนกธาตุ

ตอนท่ี 1 ตอบคำถามต่อไปนี้
1. ความแตกตา่ งของธาตุ และธาตุกมั มันตรงั สี คืออะไร
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
2. บอกรงั สที ่ไี ด้จากธาตุกัมมนั ตรังสี 3 ชนิด พรอ้ มทั้งสญั ลกั ษณ์ และการทะลุทะลวง
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
3. ยกตวั อย่างโลหะ อโลหะ และโลหะก่ึงอโลหะ มา 1 อย่าง พร้อมเหตุผล
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
4. บอกประโยชนข์ องธาตุกมั มนั ตรงั สมี า พร้อมยกตัวอย่างมา 2 ขอ้
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
5. ยกตวั อยา่ งสารประกอบท่ีใช้ในชวี ติ ประจำวนั 3 ชนดิ พรอ้ มทง้ั บอกองคป์ ระกอบ
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................

70

ตอนที่ 2 ใหผ้ เู้ รียนศึกษาค้นคว้า และเสนอความคดิ เห็นแล้วบนั ทึกรายงานในหวั ข้อ ดงั น้ี

2.1 ธาตุกัมมันตรงั สี กับโรงไฟฟา้ ในประเทศไทย
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................

2.2 อาหารอาบกัมมันตรังสี
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................

71

เฉลยใบงาน
เรื่อง การจำแนกธาตุ

ตอนที่ 1
1. ตอบ ธาตุไมใ่ ห้กัมมันตภาพรงั สี ส่วนธาตุกัมมนั ตรังสีให้กัมมันตภาพรงั สี
2. ตอบ ธาตุกัมมนั ตรงั สสี ลายให้กมั มนั ตภาพรังสี 3 ชนดิ คือ

แอลฟา (,∝2He4) มีอำนาจทะลทุ ะลวงนอ้ ย
เบตา (,β0e-1) มีอำนาจทะลุทะลวงสูงใกลเ้ คยี งแสง
แกมมา (γ) มอี ำนาจทะลุทะลวงสงู มาก เนอื่ งจากไม่มปี ระจไุ ฟฟา้
3. ตอบ โลหะ เช่น เหลก็ ดีบุก เพราะมผี ิวมัน จุดเดือดสงู

อโลหะ เชน่ กรดกำมะถัน คารบ์ อน เพราะเปราะ จดุ เดือดต่ำ
โลหะกงึ่ อโลหะ เช่น ซิลิกอน อาร์เซนิก เพราะนำไฟฟ้าได้นอ้ ย นำไฟฟา้ ได้ดีเมื่อ
อณุ หภมู สิ งู
4. ตอบ ใช้ในการฉายแสงรกั ษามะเร็ง เช่น โคบอลต์ – 60 ใช้รักษาโรคคอหอยพอก เชน่ ไอโอดนี
– 131
5. ตอบ เมธิลแอลกอฮอล์ (CH OH) ประกอบดว้ ย คาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน

3

นำ้ เดือด (H2O2) ประกอบดว้ ย ไฮโดรเจน และออกซิเจน
กรดกำมะถันหรือกรดซลั ฟรกิ (H SO ) ประกอบดว้ ย ไฮโดรเจน กำมะถนั และออกซเิ จน

24

ดินประสิว (KNO3 ) ประกอบด้วย โปตสั เซยี ม ไนโตรเจน และออกซิเจน

72

แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวิชา พว21001 วิทยาศาสตร์ จำนวน 5
จำนวน 4 หน่วยกิต

แบบ พบกลุม่
ช่วั โมง
เรอ่ื ง สารละลาย
ตวั ชว้ี ัด 1. อธบิ ายสมบัติและองคป์ ระกอบของสารละลาย

2. อธิบายปัจจยั ทีม่ ีผลตอ่ การละลายของสาร
3. หาความเขม้ ข้นของสารละลาย
4. อธบิ ายและเตรียมสารละลายบางชนดิ
เนือ้ หา 1. สารละลาย

1.1 สมบัติของสารละลาย และองคป์ ระกอบของสารละลาย
1.2 ความสามารถในการละลายของสาร
1.3 ปจั จยั ทมี่ ผี ลต่อการละลายของสาร
1.4 ความเข้มขน้ ของสารละลาย
1.5 การเตรียมสารละลาย

ข้ันตอนการจัดกระบวนการเรยี นรู้
ขน้ั ที่ 1 การกำหนดสภาพปัญหา ความตอ้ งการในการเรียนรู้

1. ครสู รา้ งความคุ้นเคยทำความเข้าใจกบั วิชาพร้อมมาตรฐานและชี้แจงตวั ชีว้ ดั ของหน่วยการ
เรียนรู้

2. ครูทักทายกลา่ วนำอธิบายการกำหนดเป้าหมายและการวางแผนการเรยี นรเู้ กย่ี วกับ
สารละลาย

3. ครูและผู้เรียนร่วมกันอภิปรายความหมายและยกตวั อย่างสารละลายที่เก่ยี วข้องใน
ชวี ิตประจำวัน

4. ครูเปดิ โอกาสให้ผ้เู รียนซักถามข้อสงสยั กอ่ นนำเขา้ สบู่ ทเรียน
ขั้นที่ 2 การแสวงหาขอ้ มลู และการจดั การเรยี นรู้

1. ครแู ละผู้เรยี นวางแผนวิธกี ารเรยี นร้เู นอ้ื หาที่กำหนด
2. ครอู ธบิ ายความหมายและยกตวั อยา่ งสารละลายที่เกย่ี วขอ้ งในชีวิตประจำวนั
3. ครูแบง่ นักเรยี นเปน็ กลมุ่ กล่มุ ล่ะ 3-4 คน ศึกษาใบความรเู้ รือ่ ง สารละลาย
4. ผ้เู รยี นแต่ละกลุ่มอภิปรายจากการศกึ ษา ใบความรู้เรอ่ื ง สารละลาย หลังจากนนั้ เปิด
โอกาสให้ผู้เรยี นซักถามขอ้ สงสัย
5. ผ้เู รยี นทำใบงานและแบบทดสอบ เรื่อง สารละลาย
ขน้ั ที่ 3 การปฎิบัติและการนำไปประยกุ ตใ์ ช้

73

ครแู ละผเู้ รยี นสรุปเน้อื หาทไ่ี ด้เรยี นรู้รว่ มกัน
ขนั้ ที่ 4 การประเมนิ ผล

1. ผูเ้ รียนมีส่วนรว่ มในการประเมินใบงานของแตล่ ะกลมุ่ โดยการเขียนช่อื ตนเองไวใ้ นใบงาน
2. ครูสังเกตจากการมีส่วนร่วมของผูเ้ รยี น

ส่อื การเรยี นรู้
1. ใบความรู้ เร่อื ง สารละลาย
2. ใบงาน เรื่อง สารละลาย
3. แบบทดสอบ เรือ่ ง สารละลาย
4. หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.ต้น
5. อนิ เตอร์เนต็

การวัดและผลประเมนิ
1. ใบงาน
2. แบบทดสอบ

74

บนั ทึกผลหลังการเรยี นรู้
ผลท่เี กิดกบั ผู้เรียน
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ปญั หา/อปุ สรรค
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
................................................................................................................................................

.................................................
(.......................................)

กิจกรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………….......................................
...............................................................................................................................................
ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร
..................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................

......................................................
(.......................................)

75

ใบความรู้

เรอ่ื ง สารละลาย

สารละลาย (Solution) คอื สารเนื้อเดียวท่ีเกดิ จากสารบริสทุ ธิ์ ตง้ั แตส่ องชนดิ ขึ้นไปผสมกัน

โดยไม่เกิดปฏิกิริยาเคมี จดุ เดือดและจุดหลอมเหลว ไม่คงท่ี ตวั อย่าง เชน่ สารละลายน้ำเกลอื ,

ทิงเจอร์ไอโอดีน, นำ้ เช่ือม, นาก

สารละลายประกอบด้วยตัวทำละลาย (Solvent) และตวั ถกู ละลาย (Solute) การละลาย

ขนึ้ อย่กู ับชนิดของสาร อุณหภมู ิถ้าอุณหภูมิสงู จะละลาย ไดด้ ีและความดนั

1. สมบัตขิ องสารละลายและองคป์ ระกอบของสารละลาย

สมบัติของสารละลาย

จากการศกึ ษาสมบตั ขิ องสารละลายพบว่าสารละลายมสี มบตั ิแตกต่างจากสารบรสิ ุทธิ์ เช่น

จดุ เดือดของสารบริสุทธิจ์ ะคงทแ่ี ต่สารละลายจะมีอุณหภมู ิไม่คงที่ เชน่ น้ำมจี ุดเดอื ด 100 องศา

เซลเซยี ส แต่สารละลายที่มีน้ำเปน็ ตวั ทำละลายมีจดุ เดือดสงู กวา่ 100 องศาเซลเซียส เพราะ

ภายในสารละลายจะประกอบด้วยตัวทำละลายซึ่งเปน็ สารระเหยง่าย และตวั ถูกละลายซง่ึ เปน็ สาร

ระเหยยากและจุดเยือกแขง็ ของสารละลาย ต่ำกว่าสารละลายบริสุทธ์ิ เชน่ นำ้ มจี ดุ เยอื กแข็ง 0

องศาเซลเซยี ส แต่สารละลายทใ่ี ชน้ ้ำเป็นตวั ทำละลายมจี ดุ เยือกแข็งตำ่ กว่า 0 องศาเซลเซยี ส

องค์ประกอบของสารละลาย

สารละลายจะประกอบดว้ ย ตวั ทำละลายและตวั ถูกละลาย ซ่ึงในการพิจารณาว่าสารใดเป็น

ตัวทำละลาย และ สารใดเปน็ ตัวถูกละลาย มีหลักเกณฑ์ ดงั น้ี

1. ในกรณที ี่ตัวทำละลายและตวั ถกู ละลายมีสถานะเหมือนกนั สารใดมปี รมิ าณมากกวา่ เป็น

ตวั ทำละลาย สารใดมีปรมิ าณนอ้ ยกวา่ เป็นตัวถูกละลาย เชน่

ท่ี สารละลาย ปริมาณองคป์ ระกอบ ตัวทำละลาย ตัวถกู ละลาย

1 น้ำสม้ สายชูกลัน่ 5% กรดอะซิติก 5 % น้ำ 95% น้ำ กรดอะซติ กิ

2 แอลกอฮอล์ลา้ งแผล เอทานอล 70% น้ำ 30% เอทานอล นำ้

3 ฟิวสไ์ ฟฟ้า บสิ มัส 50% ตะกว่ั 25 % บสิ มสั ตะกว่ั และดีบกุ

ดบี ุก25 %

4 เหรียญบาท ทองแดง 75 % นกิ เกลิ 25 ทองแดง นิกเกิล

%

76

2. ในกรณีที่ตวั ทำละลายและตัวถกู ละลายมีสถานะตา่ งกัน สารใดมสี ถานะเหมอื นกับ
สารละลาย สารนัน้ เปน็ ตัวทำละลาย สว่ นท่มี ีสถานะตา่ ง จากสารละลายเปน็ ตัวถกู ละลาย เชน่

ท่ี สารละลาย สถานะสารละลาย ตัวทำละลาย ตวั ถกู ละลาย
1 นำ้ เกลือ ของเหลว นำ้ (ของเหลว) เกลอื แกง
2 นำ้ อัดลม ของเหลว นำ้ (ของเหลว)
3 เงนิ อะมัลกัม ของแขง็ เงิน (ของแขง็ ) ก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์
แอลกอฮอล์(ของเหลว ปรอท
4 ทงิ เจอร์ไอโอดีน ของเหลว
) ไอโอดนี

2. ความสามารถในการละลายของสาร
ความสามารถในการละลายของสาร ความสามารถในการละลายของสารชนิดหนึ่งในสารอีก

ชนดิ หนึ่งนน้ั สามารถหาไดจ้ ากอตั ราส่วนระหว่างตัวถูกละลาย กับตัวทาละลาย หรือ อัตราสว่ น
ระหว่างตัวถูกละลาย กบั สารละลาย ในสภาวะที่สารละลายนนั้ เป็นสารละลายอม่ิ ตัว ซ่ึงสามารถบอก
เป็นความหนาแน่นสูงสุดของสารละลายนน้ั ไดอ้ กี ดว้ ยซง่ึ ข้ึนอยูก่ ับปจั จยั หลายประการ เช่น แรง
ระหว่างโมเลกุลของตัวทาละลายกับตัวถูกละลาย อุณหภูมิ ความดัน และปจั จัยอื่นๆ
3. ปัจจัยทม่ี ีผลตอ่ การละลายของสาร

การละลายของสารแต่ละชนิดจะแตกต่างกนั ไป ซงึ่ สารจะละลายไดด้ ีหรอื ไมข่ ึ้นอยู่กับปัจจยั
ดงั นี้

1. ชนิดของสาร สารแตล่ ะชนดิ มีความสามารถในการละลายที่แตกตา่ งกันสารต่างชนดิ กนั จะ
ละลายในตัวทำละลายชนดิ เดียวกนั ได้ไมเ่ ท่ากนั

2. ปริมาณสาร จะเกย่ี วข้องกับอัตราส่วนระหวา่ งปริมาณของตวั ละลายกับตวั ทำละลาย ถ้า
ใช้ปริมาณตวั ทำละลายนอ้ ยกจ็ ะละลายตวั ละลายไดน้ ้อย ถา้ ใช้ตวั ทำละลายมากก็จะละลายตัวถูก
ละลายได้มาก

3. อณุ หภมู ิ การละลายของสารจะเพม่ิ ข้ึนเมอ่ื อณุ หภูมสิ ูงขน้ึ (ยกเว้นแก๊สจะละลายได้
น้อยลง) เราจึงพบวา่ เม่ืออุณหภมู ิสารละลายอ่มิ ตัวให้สงู ขน้ึ ตวั ละลายจะยังคงละลายได้อีก

4. ความดนั อากาศ ในกรณีท่ตี วั ละลายเปน็ แก๊สคาร์บอนไดออกไซดใ์ นนำ้ อัดลม ซงึ่ ใน
อตุ สาหกรรมการผลิตนำ้ อดั ลมจึงตอ้ งใช้ความดนั อากาศสงู ถงึ 3 บรรยากาศในการอัดแกส๊
คารบ์ อนไดออกไซด์ลงไปในน้ำ

77

4. ความเข้มข้นของสารละลาย
สารละลายมีส่วนประกอบของตัวละลายและตวั ทำละลายในปริมาณที่แตกตา่ งกัน จงึ
จำเปน็ ต้องมหี น่วยเพือ่ บ่งบอกใหร้ ู้ปริมาณของตัวละลายและตัวทำละลายในรูปของหนว่ ยแสดงความ
เข้มข้นซงึ่ มหี ลายหนว่ ย ดงั นี้
1. รอ้ ยละโดยปริมาตร เป็นหนว่ ยความเขม้ ขน้ ท่บี อกปริมาณของตัวละลายเปน็ ลกู บาศก์
เซนตเิ มตรท่มี อี ยใู่ นสารละลาย 100 ลกู บาศก์เซนติเมตร เช่น สารละลายเอทิลแอลกอฮอล์ 30%
โดยปริมาตร หมายความวา่ มเี อทิลแอลกอฮอลซ์ ง่ึ เป็นตวั ละลายอยู่ 30 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร ละลาย
ในสารละลายเอทลิ แอลกอฮอล์ 100 ลกู บาศก์เซนตเิ มตร
2. รอ้ ยละโดยมวลตอ่ ปรมิ าตร (% W/V) เปน็ หน่วยความเข้มข้นท่บี อกมวลของตัวละลายใน
สารละลาย 100 หนว่ ยปรมิ าตร เช่น สารละลายเกลอื แกง 5% โดยมวลตอ่ ปริมาตรหมายความว่า
มีเกลอื แกงซึ่งเป็นตวั ถกู ละลายอยู่ 5 กรมั ละลายอยูใ่ นสารละลายเกลอื แกง 100 ลกู บาศก์
เซนตเิ มตร

3. ร้อยละโดยมวล เปน็ หน่วยความเขม้ ขน้ ท่บี อกมวลของตวั ละลายในสารละลาย 100
หน่วย ซงึ่ เปน็ สารละลายในสถานะของแข็ง เช่น ทองเหลอื งเกดิ จากสังกะสลี ะลายอย่ใู นทองแดง
ทองเหลือง 45% หมายความวา่ มีสังกะสี 45 ส่วน ในทองเหลอื ง 100 ส่วน

4. ส่วนในล้านสว่ น (Part per million : ppm) เป็นหนว่ ยความเข้มขน้ ทบี่ อกปริมาณของตวั
ละลายท่มี ีอยู่ในตัวทำละลลาย 1 ลา้ นส่วน เช่น สารละลายคลอรีน 1 ppm หมายความวา่ มี
คลอรนี ซ่ึงเปน็ ตัวละลาย 1 ส่วน ละลายอยใู่ นตัวทำละลาย 1 ล้านส่วน โดยปกตเิ ราจะใช้หนว่ ย
ppm ในกรณที ่ีตัวละลายมีปรมิ าณน้อยมาก

การคำ นวณหาความเข้มขน้ ของสารละลาย เราสามารถคำนวณหาความเข้มขน้ ของ
สารละลายได้ 2 วธิ ี คือ

วธิ ที ี่ 1 คำนวณโดยการเทียบบัญญัตไิ ตรยางศ์
วิธที ่ี 2 คำนวณโดยการใช้สตู ร

78

ตัวอย่าง จงหาความเข้มข้นของสารละลายเกลือแกง ซ่งึ ประกอบดว้ ยเกลือแกง 8.0 กรัม ละลาย

ในน้ำ 200 ลกู บาศก์เซนตเิ มตร

วิธที ี่ 1 คำนวณโดยการเทยี บบัญญตั ิไตรยางศ์

สารละลาย 200 cm3 มีเกลือแกง 8g

สารละลาย 100 cm3 มีเกลอื แกง = 8x100

200

= 4g

ดงั นนั้ สารละลายมีความเขม้ ขน้ 4 กรมั ต่อ 100 ลกู บาศก์เซนติเมตร
วิธีท่ี 2 คำนวณโดยการใช้สูตร

ดังน้ัน สารละลายมีความเข้มขน้ = 4 กรัม ต่อ 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร

5. การเตรยี มสารละลาย
เมื่อใส่สารที่เปน็ ของแขง็ (ตัวละลาย) ลงไปในตัวทำละลาย (เชน่ น้ำ และอ่นื ๆ) จะมกี าร

เปล่ียนแปลงเกิดขน้ึ 2 ขั้นตอน คอื
1. ของแขง็ จะแตกตัวเปน็ อนุภาคเลก็ ๆ ซึ่งต้องใชพ้ ลงั งานในการแยกโมเลกลุ ของแขง็

ออกเป็นอนุภาคเล็ก ๆ
2. อนภุ าคเลก็ ๆ ทีแ่ ยกตวั ออกมาจะแพร่กระจายไประหวา่ งโมเลกุลของน้ำและยึดเหนี่ยวกับ

โมเลกลุ ของน้ำ การยดึ เหนย่ี วระหว่างโมเลกลุ ของน้ำกบั อนุภาคของสารจะมีการคายพลงั งานออกมา
ในการเตรยี มสารละลายตา่ ง ๆ ทม่ี ีความเข้มข้นตามท่ีตอ้ งการสามารถทำได้หลายวิธี เช่น
1. การเตรียมสารละลายจากสารบริสุทธิ์
2. การเตรียมสารละลายจากสารละลายเขม้ ขน้
1. การเตรยี มสารละลายจากสารบรสิ ทุ ธิ์ ทำได้โดยละลายสารบรสิ ุทธิต์ ามปริมาณที่

ตอ้ งการในตวั ทำละลายปริมาณเล็กน้อย แลว้ ปรับปรมิ าตรของสารละลายให้ไดต้ ามท่ตี ้องการเตรยี ม
ถ้าตอ้ งการเตรยี มเปน็ หน่วยโมลตอ่ ลูกบาศก์เดซิเมตร มลี ำดับข้นั ในการเตรยี มดงั นี้

ข้ันที่ 1 คำนวณหาปรมิ าณตวั ละลายเปน็ กรมั ตามท่ีต้องการ

79

ขน้ั ท่ี 2 ชง่ั สารตามจำนวนทีต่ อ้ งการซ่งึ คำนวณไดต้ ามข้ันท่ี 1 (ถา้ เป็นของแขง็ ) แตถ่ า้ เปน็

ของเหลวอาจคำนวณหาปริมาตรแลว้ ใชว้ ิธตี วงปริมาตรกไ็ ด้ ในการช่ังสารต้องใชเ้ คร่ืองชั่งอยา่ ง

ละเอียด คอื อาจจะต้องใชเ้ คร่ืองชัง่ ทช่ี ั่งสารไดถ้ ึงทศนยิ มตำแหน่งที่ 4 ของกรัม หรอื ใชเ้ คร่ืองช่งั ไฟฟ้า

ขน้ั ที่ 3 นำสารที่ชงั่ ได้ เทใส่ขวดวัดปริมาตรซึง่ มีขนาดเทา่ กับปรมิ าตรของสารละลายที่

ต้องการเตรยี ม เตมิ นำ้ กล่นั ในจำนวนพอทีล่ ะลายสารหมด หรือกอ่ นเทสารเตมิ น้ำกล่ันจำนวนหนึ่งซงึ่

พอทจ่ี ะละลายสารหมดแตน่ อ้ ยกว่าปรมิ าตรของสารละลายลงไปก่อน เขยา่ ใหส้ ารละลายหมด

แล้วเตมิ น้ำกลนั่ ลงในขวดวดั ปริมาตรจนถึงขดี บอกปริมาตร ปดิ จุกเขยา่ ให้ผสมเป็นเนื้อเดียวกจ็ ะได้

สารละลายทมี่ คี วามเข้มข้นและปรมิ าตรตามที่ต้องการ

ข้นั ที่ 4 เกบ็ สารละลายทีไ่ ดใ้ ส่ขวดที่เหมาะสม ปิดฝาขวดและปดิ ฉลากบอกชื่อสาร สูตร

ของสาร ความเข้มข้น และวนั ท่ีเตรียมสาร

หมายเหตุ ถ้าตวั ถกู ละลายเปน็ ของเหลวให้ชัง่ หรือตวงปริมาตรตามทต่ี ้องการ เทใสข่ วดวัด

ปริมาตรใช้น้ำกลั่นล้างภาชนะท่ีใส่ตัวละลาย หลาย ๆ ครง้ั เทใส่ขวดวัดปริมาตร แล้วเตมิ น้ำกลน่ั จนถึง

ขีดบอกปรมิ าตรก็จะไดส้ ารละลายตามที่ตอ้ งการ

ตัวอย่าง การเตรยี มสารละลายโดยการละลายในนำ้ เช่น เม่อื ต้องการเตรยี มสารละลาย

NaCl 0.1 mol/dm3 จำนวน 500 cm3 มีวิธีการดงั นี้

วิธที ำ ขน้ั ท่ี 1 คำนวณหามวลของ NaCl ในสารละลาย 500 cm3

สารละลาย NaCl 1000 cm3 มเี นอ้ื NaCl = 0.1 mol

สารละลาย NaCl 500 cm3 มเี น้ือ NaCl =

= 0.05 mol

หามวลของ NaCl 0.05 mol

วธิ ีทำ สูตร จำนวนโมล =

จากโจทย์ NaCl มมี วลสตู ร (มวลโมเลกลุ ) = 23 + 35.5 = 58.5
ดังนั้น มวลสาร = 0.05 X 58.5

= 2.925 g
ดังน้ัน จะตอ้ งใช้ NaCl = 2.925 g
ขนั้ ที่ 2 ช่งั NaCl ใหไ้ ด้ 2.925 g โดยใชเ้ ครอื่ งชง่ั ที่ช่ังไดท้ ศนิยม 3 ตำแหน่ง
ขน้ั ที่ 3 เติมน้ำกลั่นลงในขวดวดั ปริมาตรขนาด 500 cm3 จำนวนหนงึ่ ซง่ึ นอ้ ยกว่า
500 cm3 แตส่ ามารถละลาย NaCl 2.925 g ได้หมดแลว้ เท NaCl 2.925 g ลงในขวดวดั
ปริมาตรหรือเท NaCl ลงในขวดวัดปรมิ าตรก่อนแลว้ เติมนำ้ กลัน่ ในจำนวนท่ลี ะลาย NaCl 2.925 g

80

ได้หมด เขย่าให้ NaCl ละลายจนหมดแล้วเติมน้ำกลน่ั ลงในขวดวัดปริมาตรจนถึงขดี บอกปรมิ าตร

ปิดจุกเขย่าก็จะไดส้ ารละลายตามท่ีตอ้ งการ

ข้ันที่ 4 ถ่ายสารละลาย NaCl ที่เตรยี มเสรจ็ แล้วใสข่ วดทีเ่ หมาะสม ปิดฝาขวด และปดิ ฉลาก

บอกชอื่ สาร สูตรของสาร ความเข้มขน้ ของสารละลาย และวันท่เี ตรียม

2. การเตรียมสารละลายจากสารละลายเขม้ ข้น เป็นการเตรยี มสารละลายโดยใชส้ าร

ละลายเดมิ ซึ่งมีความเขม้ ข้นมากกวา่ สารละลายท่ีจะเตรยี ม มาเตมิ นำ้ ให้เจือจางลงจนมีความเขม้ ข้น

ตามที่ตอ้ งการในการทำใหส้ ารละลายเขม้ ข้นเจือจางลงน้ัน ความเข้มข้นของสารละลายจะถูกตอ้ ง

เพียงใด ข้นึ อย่กู บั การวดั ปริมาตร อุปกรณ์ท่นี ยิ มใชว้ ัดปริมาตรของสารละลายเดิม คอื ปิเปตต์ หรอื

กระบอกตวง สว่ นอปุ กรณท์ ใ่ี ช้วัดปรมิ าตรของสารละลายใหม่ คือ ขวดวัดปริมาตร อปุ กรณว์ ัด

ปรมิ าตรจะใชข้ นาดใดนน้ั ขน้ึ อยกู่ บั ปริมาตรของสารละลาย คือ จะตอ้ งเลอื กใช้ปิเปตตห์ รือกระบอก

ตวง และขวดวดั ปรมิ าตรทมี่ ีปรมิ าตรเท่ากับปรมิ าตรของสารละลาย การเตรยี มสารละลายโดยวธิ นี ี้มี

ลำดับขนั้ การเตรียมดังน้ี

ขน้ั ท่ี 1 คำนวณหาปริมาตรของสารละลายเดมิ ท่จี ะใช้

โดยใชส้ ูตร M1V1 = M2V2

กำหนดให้ M1 = เปน็ ความเข้มข้นสารละลายก่อนเจือจาง

V1 = เปน็ ปริมาตรสารละลายกอ่ นเจอื จาง

M2 = เป็นความเข้มขน้ สารละลายหลงั เจือจาง

V2 = เปน็ ปริมาตรสารละลายหลังเจอื จาง

ตัวอย่าง ถ้ามีสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) เข้มข้น 1.0 mol/dm3 แตต่ ้องการใช้

สารละลายโซเดยี มไฮดรอกไซด์เขม้ ข้น 0.1 mol/dm3 จำนวน 500 cm3 ทำได้ดังนี้

ขั้นที่ 1 คำนวณหาปรมิ าตรของสารละลายเดิมที่จะตอ้ งใช้

วธิ ีทำ จากสตู ร M1V1 = M2V2

จากโจทย์ M1 = 1.0 mol/dm3

V1 = ?
M2 = 0.1 mol/dm3

V2 = 500 cm3

แทนคา่ V1 =

ดังน้ัน จะต้องใช้สารละลายเดิม V1 = 50 cm3
= 0 cm3

81

ขน้ั ท่ี 2 ใช้ปเิ ปตต์หรอื กระบอกตวง ตวงสารละลาย NaOH 1.0mol/dm3 มาจำนวน 50 cm3
แล้วถา่ ยใสข่ วดวดั ปรมิ าตรขนาด 500 cm3
ขน้ั ที่ 3 เติมน้ำกลัน่ จนถงึ ขดี บอกปรมิ าตร 500 cm3 เขยา่ ก็จะไดส้ ารละลาย NaOH 0.1
mol/dm3 จำนวน 500 cm3 ตามทตี่ ้องการ
ขน้ั ที่ 4 เก็บสารละลายไว้ในขวดทเี่ ตรยี มไว้ ปิดฝาขวด และปดิ ฉลากบอกชอื่ สาร สตู รของสาร
ความเข้มขน้ ของสารละลายและวันท่ีเตรียม

82

ใบงานเรอ่ื ง สารละลาย

คำชแ้ี จง จงตอบคำถามต่อไปนี้
1. สารละลายมีกี่สถานะ อะไรบา้ ง พรอ้ มยกตัวอย่าง

……………………………………………………………………………………………...………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………................

2. องค์ประกอบของสารละลาย คืออะไร
……………………………………………………………………………………………...………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………….................

3. จงบอกตัวทำละลาย และตวั ถูกละลายของสารละลายตอ่ ไปนี้

สารละลาย ตวั ถูกละลาย ตัวทำละลาย

น้ำเชอ่ื ม
น้ำปลา
นาก
นำ้ อัดลม
อากาศ (บริสุทธิ์)

83

แบบทดสอบ เร่อื ง สารละลาย

คำชแี้ จง ข้อสอบมีท้งั หมด 10 ขอ้ ให้เลือกคาตอบที่ถกู ต้องท่ีสดุ เพียงคำตอบเดยี ว
1. ข้อใดกล่าวถงึ สารละลายได้ถูกตอ้ ง

ก. สารที่มเี นือ้ สารเหมอื นกนั ตลอดทุกส่วน
ข. สารทม่ี ีเน้ือสารมองดูใสไมม่ สี ีกล่ินและรส
ค. สารที่ไมบ่ รสิ ทุ ธ์ิเกดิ จากสารบริสุทธติ์ งั้ แต่ 2 ชนดิ ผสมกนั
ง. สารท่มี จี ุดหลอดเหลวต่ากว่า 100 องศาเซลเซียส
2. ข้อใดผิดเก่ียวกับตัวทำละลาย
ก. สารท่ีมีปริมาณมากกว่า
ข. สารท่ีมีสถานะเดยี วกบั สาระละลาย
ค. สารทมี่ ีสถานะเป็นของเหลวเทา่ นั้น
ง. สารทม่ี สี ถานะเป็นของแข็ง ของเหลว และกา๊ ซ
3. ตัวถูกละลายคืออะไร
ก. สารที่มปี รมิ าณนอ้ ยกวา่
ข. สารทมี่ ีสถานะเดียวกบั สารละลาย
ค. สารท่มี สี ถานะเปน็ ของเหลวเทา่ น้นั
ง. สารท่มี คี วามหนาแนน่ น้อยกวา่ สารละลาย
4. สาร A สามารถละลายในน้ำได้ 15 กรมั แต่เมอ่ื นาไปตม้ สาร A ละลายไดเ้ พิ่มขนึ้ เป็น 25 กรัม
และก็ไมส่ ามารถละลายได้อกี เราเรียกสารอะไร
ก. สารละลายอิม่ ตวั
ข. สารละลายเข้มข้น
ค .สารละลายเจอื จาง
ง. สารละลายไม่อิ่มตัว
5. ความแตกต่างของสารกับสารบริสุทธ์ิคือข้อใด
ก. สารละลายมีปรมิ าตรมากกวา่ สารบริสทุ ธ์ิ
ข. สารละลายมีจุดเดือดไม่คงท่ี สารบรสิ ทุ ธมิ์ ีจุดเดือดคงที่
ค. สารละลายมีจุดเดือดคงที่ สารบริสุทธมิ์ ีจุดเดอื ดไม่คงที่
ง. สารละลายมีจุดเยือกแข็งคงท่ี สารบรสิ ุทธิม์ ีจดุ เยอื กแข็งไม่คงที่

84

6. ขอ้ ใดต้องใช้ตวั ทำละลายตา่ งจากพวก
ก. นำ้ ตาล
ข. เชลแล็ก
ค. เกลือแกง
ง. สีผสมอาหาร

7. ข้อใดไม่ส่งผลตอ่ ความสามารถในการละลายของสาร
ก. ความดัน
ข. อุณหภูมิ
ค. ความหนาแนน่
ง. ชนดิ ของตัวทาละลายและตวั ถกู ละลาย

8. แอลกอฮอล์ 80% โดยปรมิ าตร มีความหมายตรงกบั ขอ้ ใด
ก. สารละลายนน้ั 100 cm3 มเี อทลิ แอลกอฮอลอ์ ยู่ 80 cm3
ข. สารละลายนั้น 100 กรัม มีเอทิลแอลกอฮอล์อยู่ 80 กรัม
ค. สารละลายนน้ั 100 cm3 มีเอทิลแอลกอฮอลอ์ ยู่ 80 กรัม
ง. สารละลายนน้ั 100 กรมั มีเอทลิ แอลกอฮอลอ์ ยู่ 80 cm3

9. เกลือแกง 10 g ผสมกับน้ำแลว้ ได้สารละลายปริมาตร 50 cm3 จะมคี วามเข้มข้นของ
สารละลายเท่าใด

ก. 10 g /cm3
ข. 10 % โดยปริมาตร
ค. 20 g /10 cm3
ง. 50 % โดยปรมิ าตร
10. ขอ้ ใดจดั เป็นการพสิ ูจน์วา่ สาร x กับสาร y มีความสามารถในการละลายในของเหลว z ได้
ดกี วา่ กนั
ก. ใชข้ องเหลว Z ปรมิ าณเทา่ กันทอี่ ณุ หภูมเิ ดยี วกนั
ข. ใช้ของเหลว Z ปริมาณเท่ากนั ทอี่ ณุ หภูมติ ่างกนั
ค. ใช้สาร x และ y ปริมาณเทา่ กันทอ่ี ณุ หภมู ิตา่ งกัน
ง. ใช้สาร x และ y ปริมาณเท่ากันท่อี ุณหภูมิเดยี วกนั

85

เฉลย

1. ตอบ สารละลายมี 3 สถานะ คอื ของแข็ง ของเหลว และกา๊ ซ
ของแขง็ เช่น นาก ทองขาว
ของเหลว เช่น นำ้ เกลอื นำ้ เชือ่ ม
กา๊ ซ เช่น อากาศ ก๊าซหุงตม้

2. ตอบ สารละลาย ประกอบดว้ ย ตัวทำละลาย และตัวถูกละลาย
3. ตอบ

สารละลาย ตัวถกู ละลาย ตัวทำละลาย

นำ้ เชื่อม น้ำตาล น้ำ
น้ำปลา เกลอื แกง โปรตนี นำ้
นาก ทองแดง
นำ้ อดั ลม ทองคำ นำ้
อากาศ (บริสุทธิ์) นำ้ ตาล คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน

1. ก ออกซเิ จน กา๊ ซตา่ งๆ
2. ค
3. ก เฉลยแบบทดสอบเรือ่ ง สารละลาย
4. ก
5. ข
6. ข
7. ก
8. ก
9. ค
10. ง

86

แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวชิ า พว21001 วทิ ยาศาสตร์

จำนวน 4 หนว่ ยกิต

แบบ พบกล่มุ จำนวน 5 ช่วั โมง

เรอื่ ง กรด-เบส

ตวั ชี้วัด 1. อธบิ ายและจำแนกกรด เบส และเกลอื

2. อธบิ ายและตรวจสอบความเป็นกรด-เบส ของสาร

3. อธิบายการใช้กรด-เบส บางชนิดในชวี ิต

เนื้อหา 1. กรด-เบส

1.1 ความหมายและสมบตั ิของกรด-เบส และเกลอื

1.2 ความเปน็ กรด-เบสของสาร

1.3 กรด – เบส ของสารในชีวิตประจำวนั

1.4 กรณีศกึ ษากรด-เบสทม่ี ีผลต่อคุณสมบัติของดิน

ขน้ั ตอนการจดั กระบวนการเรยี นรู้
ขน้ั ที่ 1 การกำหนดสภาพปญั หา ความตอ้ งการในการเรียนรู้

1. ครสู ร้างความคุ้นเคยทำความเข้าใจกับวิชาพร้อมมาตรฐานและชแี้ จงตัวช้วี ัดของหนว่ ย
การเรยี นรู้

2. ครทู ักทายกล่าวนำอธบิ ายการกำหนดเป้าหมายและการวางแผนการเรยี นรเู้ กยี่ วกบั กรด-
เบส

3. ครูและผู้เรยี นร่วมกันอภิปรายความหมายของกรด-เบส แล้วให้ผเู้ รียนยกตวั อยา่ ง กรด-
เบส ท่ีใช้ในชวี ติ ประจำวันครูและผู้เรยี นรวบรวมขอ้ มูลของ กรด-เบส

4. ครูเปดิ โอกาสให้ผูเ้ รยี นซักถามข้อสงสัยก่อนนำเข้าสบู่ ทเรียน
ขน้ั ท่ี 2 การแสวงหาข้อมลู และการจดั การเรยี นรู้

1. ครูและผู้เรยี นร่วมกันสนทนาถงึ สารละลายกรด – เบส ในชวี ติ ประจำวันและรว่ มกันและ
บอกสารละลายกรด – เบส ท่ีใชใ้ นชวี ิตประจำวนั

2. ครยู กตวั อยา่ งและอธบิ ายเกีย่ วกบั กรด-เบส ในชีวิตประจำวัน
3. ครูให้ผู้เรยี นศกึ ษาใบความร้เู รอื่ ง กรด-เบส
4. ผ้เู รียนร่วมสรปุ ถงึ สารละลายกรด – เบส ในชีวติ ประจำวนั และขอ้ ระวงั ในการใช้
สารละลายกรด – เบส ในชีวิตประจำวัน
5. ผู้เรียนทำใบงาน เรือ่ ง กรด-เบส

ขน้ั ที่ 3 การปฏิบตั ิและการนำไปประยุกต์ใช้
1. ครแู ละผู้เรยี นสรปุ เน้อื หาทไ่ี ดเ้ รยี นรูร้ ่วมกนั

87

ขน้ั ท่ี 4 การประเมินผล
1. ผูเ้ รยี นมีส่วนร่วมในการประเมินใบงานของแตล่ ะกล่มุ โดยการเขยี นชื่อตนเองไวใ้ นใบงาน
2. ครูสังเกตจากการมีส่วนร่วมของผเู้ รียน

สื่อการเรียนรู้
1. ใบความรู้ เร่ือง กรด-เบส
2. ใบงาน เร่ือง กรด-เบส
3. หนังสือเรยี นวทิ ยาศาสตร์ ม.ตน้
4. อินเตอร์เนต็

การวดั และผลประเมิน
1. ใบงาน

88

บนั ทึกผลหลังการเรยี นรู้
ผลท่เี กิดกบั ผ้เู รยี น
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ปญั หา/อุปสรรค
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
................................................................................................................................................

.................................................
(.......................................)

กิจกรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………….......................................
...............................................................................................................................................
ข้อเสนอแนะของผบู้ รหิ าร
..................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................

......................................................
(.......................................)

89

ใบความรู้
เรื่อง กรด-เบส
1. ความหมายและสมบตั ขิ องกรด-เบส และเกลือ
กรด คือ สารประกอบทม่ี ี H และเมอื่ ละลายนำ้ จะแตกตัวให้ H + หรอื H 3O +
เบส คือ สารประกอบทีม่ ี OH และเมือ่ ละลายนำ้ จะแตกตวั ให้ OH –
เกลอื คอื สารเคมที เ่ี กิดจากกรดทำปฏิกิริยากับโลหะ เชน่ ดเี กลือ (MaSO4)
จนุ สี (CuSO4) หรอื เกิดจากกรดทำปฏิกริ ิยากับเบส เช่น เกลอื แกง (NaCl)
สมบตั ขิ องกรด
1. มีรสเปรีย้ วและมีฤทธิ์กัด เชน่ มะนาว นำ้ ส้มสายชู และกรดที่ใชใ้ นแบตเตอรรี่ ถยนต์ คอื
กรดกำมะถัน ฯลฯ
2. เปลี่ยนสกี ระดาษลิตมสั จาก น้ำเงินเปน็ สแี ดง ในบา้ นเราสามารถใชด้ อกอญั ชนั ทดสอบ
แทนได้
3. ทำปฏกิ ิริยากบั เบสไดเ้ กลอื กับน้ำ
4. ทำปฏกิ ริ ยิ ากบั โลหะ ได้ แก๊สไฮโดรเจนและเกลอื ของโลหะ
5. ทำปฏกิ ิริยากบั สารประกอบ คารบ์ อเนต ได้แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์
6. ทำปฏกิ ริ ยิ ากับสารประกอบ ซัลเฟตได้แก๊สไข่เน่า (H2Sไฮโดรเจนซลั ไฟต์)
กรดทนี่ ำมาบรโิ ภคได้ เป็นกรดทีไ่ ด้จากพชื หรอื ท่ีเรยี กว่ากรดอนิ ทรีย์ เป็นกรดออ่ น ใช้
ประกอบอาหารหรอื ปรุงแต่งรสอาหารได้ เชน่ นำ้ มะนาว น้ำมะขามนำ้ มะกรูด น้ำส้มสายชู (แท้)
กรดที่นำมาบริโภคไมไ่ ด้ เป็นกรดจากแรธ่ าตุ หรือเรยี กวา่ กรดอนนิ ทรีย์ เปน็ กรดท่รี นุ แรง
หรือ กรดแก่ ไมค่ วรนำมาปรุงแตง่ อาหาร เชน่ กรดซัลฟรุ ิก กรดเกลอื กรดประเภทนี้จะกัดโลหะและ
ละลายสารบางอยา่ งในพลาสตกิ ได้ จึงไมค่ วรเก็บในขวดพลาสติกหรือโลหะ กรดจากแร่นี้ หากทดสอบ
กบั เจนเชยี น
ไวโอเลตจะเปลย่ี นจากสีม่วงเป็นสนี ำ้ เงิน
สมบตั ิของเบส
1. มรี สฝาดและขม เช่น นำ้ ปนู ใส ผงฟู น้ำแอมโมเนีย
2. เปลยี่ นสกี ระดาษลิตมสั จาก สีแดง เป็น สีน้ำเงนิ
3. ถกู บั มอื จะร้สู กึ ลน่ื คล้ายสบู่
4. ทำปฏิกริ ยิ ากับ ไขมนั ได้ สบู่ (เบสตม้ กบั ไขมนั ไดส้ บ)ู่
5. ทำปฏิกิรยิ ากับ แอมโมเนียมไนเตรท ได้ แกส๊ แอมโมเนยี
6. ทำปฏิกิริยากับ โลหะอะลูมเิ นียม ได้ แกส๊ ไฮโดรเจน
เบสท่ีนำมาบรโิ ภคได้ ได้แก่ ผงฟู (โซเดียมไฮโดรเจนคารบ์ อเนต)นำ้ ปนู ใส น้ำข้เี ถ้า ควรใช้ใน
ปริมาณนอ้ ย หากใช้มากจะให้โทษแกร่ ่างกายได้ เชน่ ใชท้ ำขนมให้ฟหู รอื ใชโ้ ซเดียมไฮโดรเจน
คาร์บอเนต (โซเดียมไบคาร์บอเนต) ลดความรนุ แรงของกรดในกระเพาะอาหารใหเ้ จอื จางลง เบสที่ไม่

90

ควรนำมาใช้บริโภค เป็นเบสท่รี ุนแรง ทำให้เกิดอนั ตรายได้ เช่น โซดาไฟ (โซดาแผดเผา = โซเดยี มไฮ

ดรอกไซด์)

สมบตั ทิ ว่ั ไปของเกลือ

1. ส่วนมากมลี กั ษณะเป็นผลกึ สีขาว เช่น NaCl แตม่ หี ลายชนิดทม่ี ีสี เชน่

สมี ว่ ง ได้แก่ ด่างทับทิม(โปแตสเซียมเปอร์แมงกาเนต) KMnO4

สีน้ำเงิน ได้แก่ จนุ สี (คอปเปอรซ์ ัลเฟต) CuSO4.5H2O

สสี ม้ ได้แก่ โปแตสเซยี มโครเมต KCr2O7

สีเขียว ได้แก่ ไอออน(II) ซัลเฟต FeSO4.7H2O

2. มหี ลายรส เช่น

รสเคม็ ไดแ้ ก่ เกลือแกง (โซเดยี มคลอไรด์) NaCl

รสฝาด ไดแ้ ก่ สารสม้ K2SO4.Al2(SO4)3.24H2O

รสขม ได้แก่ โปแตสเซียมคลอไรด์, แมกนเี ซยี มซลั เฟต KCl, Mg SO4.7H2O

3. นำไฟฟ้าได้ (อเิ ล็กโตรไลท์ : electrolyte)

4. เม่ือละลายน้ำ อาจแสดงสมบตั ิเปน็ กรด เบส หรือ กลางกไ็ ด้

5. ไม่กดั กรอ่ นแก้วและเซรามิก

2. ความเปน็ กรด-เบสของสาร

สามารถตรวจสอบความเป็นกรด-เบสของสารละลายได้ดว้ ยอินดิเคเตอร์ซึ่งเปน็ สารที่ใชบ้ อก

สมบตั ิบางอย่างในปฏิกริ ิยาเคมี โดยการเปล่ยี นสีหรือการเปลย่ี นแปลงสมบัติบางอยา่ งทม่ี องเหน็ ได้

สารทีน่ ำมาใชใ้ นการตรวจสอบความเป็นกรด-เบสของสารละลายต่าง ๆ เรยี กวา่ “อนิ ดิเคเตอร์

สำหรับกรด-เบส”

อนิ ดิเคเตอร์ (indicator) คอื สารทใ่ี ช้ตรวจสอบไฮโดรเนียมไอออน(H3O-) และไฮดรอกไซด์

ไอออน (OH- ) ได้ เนอ่ื งจากสารละลายท่ีเป็นกรดจะมคี วามเข้มขน้ ของไฮโดรเนยี มไอออนมากกว่า

สารละลายท่เี ป็นเบส

กรดเป็นสารประกอบไฮโดรเจน เมื่อละลายอยู่ในน้ำจะแตกตวั ให้ไฮโดรเนียมไอออน เชน่

HNO3 + H2O H3O+ + NO3

เบสเปน็ ไฮดรอกไซดข์ องโลหะหรืออนมุ ลู ที่มีคา่ เทียบเทา่ โลหะ ซง่ึ เมื่อละลายอยูใ่ นน้ำจะแตก

ตัวใหไ้ ฮดรอกไซดไ์ อออน เชน่ NH3 + H2O NH4+ + OH-

อินดิเคเตอร์แต่ละชนดิ จะมกี ารตรวจสอบความเป็นกรด-เบส ของสารละลายแตกตา่ งกนั

อินดเิ คเตอร์ทนี่ ยิ มใช้กันมากมี 2 ประเภท คือ กระดาษลิตมัสและยนู ิเวอรซ์ ลั อินดิเคเตอร์

1. กระดาษลิตมัส เป็นอนิ ดิเคเตอรท์ ี่เรารจู้ กั กันดี กระดาษลิตมัสมี 2 สี ไดแ้ ก่ กระดาษ

ลิตมัสสีแดงและกระดาษลิตมัสสีน้ำเงนิ

เมอื่ ใช้กระดาษลิตมัสตรวจสอบสารละลายจะสามารถจำแนกสารได้เปน็ 3 ประเภท ดงั นี้

1.1 สารละลายทีม่ ีสมบัติเปน็ กรด จะเปลี่ยนสีกระดาษลิตมสั จากสีน้ำเงนิ ไปเปน็ สแี ดง

91

1.2 สารละลายท่มี สี มบตั เิ ปน็ เบส จะเปลี่ยนสีกระดาษลิตมสั จากสแี ดงไปเปน็ สนี ำ้ เงนิ
1.3 สารละลายท่มี ีสมบตั ิเป็นกลาง จะไม่ทำปฏิกิริยากบั กระดาษลิตมัสทง้ั สีนำ้ เงนิ และสี
แดง กระดาษลติ มสั จึงไมเ่ ปลย่ี นสี
2. ยนู เิ วอรซ์ ลั อนิ ดิเคเตอร์ เปน็ อินดเิ คเตอรท์ มี่ ีการเปลีย่ นสเี กอื บทกุ ค่า pH จึงใชท้ ดสอบหา
ค่า pH ไดด้ ี อินดิเคเตอร์ชนิดน้มี ีทงั้ แบบท่ีเป็นกระดาษและแบบสารละลาย

รูปแสดงการเปลี่ยนสีของกระดาษยนู ิเวอรซ์ ัลอินดเิ คเตอร์
ยูนิเวอรซ์ ัลอินดเิ คเตอรแ์ บบสารละลายจะเปล่ียนสเี ม่อื ใช้ทดสอบสารละลายท่ีมคี ่า pH อยู่
ในช่วงที่แตกตา่ งกนั ดงั ตัวอย่างตอ่ ไปนี้
1) ฟีนอลฟ์ ทาลีน เป็นสารละลายใสไมม่ ีสซี ่งึ จะเปล่ียนเปน็ สีชมพู เม่อื ใช้ทดสอบความเปน็

กรด-
เบสของสารละลายท่ีมีค่า pH อยรู่ ะหว่าง 8.3-10.0

2) เมทลิ เรด เปน็ สารละลายสแี ดงซึ่งจะเปลี่ยนเปน็ สีเหลือง เม่อื ใช้ทดสอบความเปน็ กรด-
เบสของสารละลายทมี่ ีค่า pH อยรู่ ะหวา่ ง 4.2-6.2

3) บรอมไทมอลบลู เป็นสารละลายสเี หลืองซง่ึ จะเปล่ียนเปน็ สนี ำ้ เงนิ เมอ่ื ใชท้ ดสอบความ
เป็นกรด-เบสของสารละลายที่มีคา่ pH อยรู่ ะหวา่ ง 6.0-7.6

4) ฟีนอลเรด เป็นสารละลายสีเหลืองซงึ่ จะเปลยี่ นเป็นสแี ดง เม่ือใช้ทดสอบ ความเป็นกรด-
เบส

ของสารละลายที่มีค่า pH อยู่ระหวา่ ง 6.8-8.4

92

ตารางแสดงช่วงการเปลย่ี นสีของอินดิเตอรเ์ ตอร์บางชนดิ

อินดิเคเตอร์ ชว่ ง pH ท่เี ปล่ียนสี สีที่เปล่ียน

เมทลิ ออเรนจ์ 3.1-4.4 แดง-เหลอื ง

เมทลิ เรด 4.2-6.3 แดง-เหลือง

ลิตมสั 5.0-8.0 แดง-นำ้ เงิน

บรอมไทมอลบลู 6.0-7.6 เหลือง-นำ้ เงนิ

ฟนี อลเรด 6.8-8.4 เหลอื ง-แดง

ฟนี อล์ฟทาลีน 8.3-10.0 ไม่มีสี-ชมพเู ขม้

การแปลความหมาย เชน่
1. เมทิลเรดชว่ ง pH ที่เปลี่ยนสี คอื 4.2-6.3 สีที่เปลี่ยน คือ แดง-เหลือง หมายถงึ ถา้
สารละลายมี pH ตำ่ กวา่ 4.2 จะมีสีแดง ถ้าสารละลายมี pH ช่วง 4.2-6.3 จะมสี สี ม้ (สีผสมของสี
แดงกับสีเหลอื ง) ถ้าสารละลายมี pH มากกว่า 6.3 จะมีสเี หลือง

2. ฟีนอล์ฟทาลีน ช่วง pH ทีเ่ ปลยี่ นสี คือ 8.3- 10.0 สีทเี่ ปล่ียน คอื ไม่มสี ีชมพู หมายถึง
ถ้าสารละลายมี pH ต่ำกวา่ 8.3 จะไม่มีสี ถา้ สารละลายมี pH อยู่ในชว่ ง 8.3-10.0 จะมีสชี มพอู อ่ น
(ไมม่ ีสผี สมกบั สีชมพู) ถา้ สารละลายมี pH มากกว่า 10.0 จะมีสีชมพูเข้ม

3. กรด-เบส ของสารในชวี ติ ประจำวนั
ชวี ิตประจำวนั ในปจั จุบัน เราได้ใชส้ ารตา่ งๆ ที่มีสมบตั เิ ป็นกรด-เบสทง้ั ทางตรงและทางอ้อม

ซ่ึงใชใ้ นการเปน็ ยารกั ษาโรค (ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร) กำจัดสิง่ สกปรก (สบู่ ผงซักฟอก) ปรุง
อาหาร (นำ้ สม้ สายชู) นอกจากนี้ ในรา่ งกายกป็ ระกอบดว้ ยสารทีม่ ีสมบัติเปน็ กรด-เบส เชน่ กรดเกลือ
ในกระเพาะอาหาร น้ำดจี ากตับ มีสมบตั เิ ปน็ เบส เป็นตน้ สารที่มสี มบตั ิเปน็ กรด-เบสในชวี ิตประจำวัน
เช่น

1. สารทำความสะอาดเครอ่ื งสุขภัณฑ์ ซงึ่ มักมีสว่ นประกอบของกรดเกลอื หรือกรดไฮโดร
คลอริก (HCl) กรดไนตริก (HNO3) ซง่ึ มีสมบัติเปน็ กรด กรดมสี มบตั ใิ นการทำปฏิกิรยิ ากับแผ่น
กระเบ้อื งพ้นื หอ้ งนำ้ ทำให้เกิดการสกึ กรอ่ น ทำให้ส่งิ สกปรกหลดุ ออกจากพนื้ และสขุ ภณั ฑ์ต่างๆ ได้
ปฏกิ ิริยาท่เี กดิ ขน้ึ ดงั สมการ

93

การใช้น้ำยาล้างห้องนำ้ ท่ีมสี ว่ นประกอบของกรดเกลอื (HCl) นต้ี ้องใช้อยา่ งระมัดระวัง เพราะ
เกิดแกส๊ ที่เปน็ พษิ เข้าสู่หลอดลม เปน็ อันตรายตอ่ ระบบทางเดินหายใจ

2. สารปรุงแต่งอาหาร มีทง้ั ทม่ี ีสมบัตเิ ปน็ กรดและเบส เชน่
2.1 สารปรุงแตง่ อาหารทีม่ ีสมบตั ิเปน็ กรด เชน่ กรดแอซีติกในน้ำส้มสายชู กรดซติ ริก

ในน้ำมะนาว น้ำมะขาม กรดแอสคอร์บกิ ในวติ ามินซี เปน็ ต้น
2.2 สารปรุงแต่งอาหารที่มสี มบัตเิ ปน็ เบส เช่น นำ้ ปนู ใส (Ca(OH)2), นำ้ ข้ีเถา้ (NaOH),

ผงฟู (NaHCO3) เป็นตน้
3. สารในภาคเกษตรกรรม ได้แก่ ปุ๋ย ซึ่งมที ้งั ท่ีมสี มบตั เิ ป็นกรดและเบส เช่น
3.1 ป๋ยุ ท่มี ีสมบัตเิ ปน็ กรด เช่น ปยุ๋ แอมโมเนียมซลั เฟต ((NH4)2SO4) ปยุ๋ แอมโมเนียมคลอ

ไรด์ (NH4Cl) เป็นต้น
3.2 ปยุ๋ ทม่ี ีสมบัติเปน็ เบส เชน่ ปยุ๋ ยูเรยี (NH2CONH2) ป๋ยุ แอมโมเนีย (NH3)เป็นต้น

4. ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร จะมสี ่วนประกอบทม่ี สี มบัตเิ ป็นเบสออ่ น เช่น โซเดยี ม
ไฮโดรเจนคาร์บอเนต (NaHCO3), แคลเซยี มคาร์บอเนต (CaCO3), แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ (Mg
(OH)2 , อะลมู เิ นยี มไฮดรอกไซด์ (Al2O3) โดยสารละลายน้ีจะไปทำปฏกิ ริ ยิ ากับกรด ซึ่งจะปรับสภาพ
ความเปน็ กรดในกระเพาะอาหารให้ลดลงได้
4. กรณศี ึกษากรด-เบส ที่มผี ลต่อคณุ สมบัติของดิน

ความเป็นกรด-เบสของดิน หมายถึง ปริมาณของไฮโดรเจนท่ีมอี ย่ใู นดนิ ความเปน็ กรด-เบส
กำหนดค่าเปน็ ตัวเลขต้ังแต่ 1-14 เรียกค่าตัวเลขนว้ี า่ ค่า pH โดยจดั วา่

สารละลายใดทีม่ ีค่า pH น้อยกวา่ 7 สารละลายนั้นมสี มบัตเิ ปน็ กรด
สารละลายใดท่ีมีคา่ pH มากกว่า 7 สารละลายนั้นมสี มบัติเปน็ เบส
สารละลายใดที่มีค่า pH เท่ากับ 7 สารละลายน้นั มีสมบตั ิเปน็ กลาง
วิธที ดสอบความเปน็ กรด-เบส วิธีทดสอบได้ ดงั น้ี
1. ใช้กระดาษลติ มัสสีนำ้ เงินหรอื สีแดง โดยนำกระดาษลิตมสั ทดสอบกับสารทีส่ งสยั ถา้ เป็น
กรดจะเปลย่ี นกระดาษลิตมัสสีน้ำเงนิ เปน็ สแี ดง และถา้ เป็นเบสจะเปล่ียนกระดาษลิตมสั สีแดงเป็นสีน้ำ
เงิน
2. ใชก้ ระดาษยูนเิ วอรแ์ ซลอินดิเคเตอร์ โดยนำกระดาษยูนิเวแซลอนิ ดเิ คเตอร์ทดสอบกับสาร
แล้วนำไปเทียบกับแผน่ สีท่ีข้างกลอ่ ง
3. ใชน้ ้ำยาตรวจสอบความเปน็ กรด-เบส เชน่ สารละลายบรอมไทมอลบลจู ะให้สฟี ้าอ่อนใน
สารละลายทมี่ ี pH มากกวา่ 7 และให้สีเหลืองในสารละลายที่มี pH น้อยกว่า 7 ปัจจยั หรอื สาเหตุที่
ทำให้ดนิ เป็นกรด ได้แก่ การเน่าเป่อื ยของสารอินทรียใ์ นดนิ การใส่ปยุ๋ เคมบี างชนดิ สารท่ีปล่อยจาก

94

โรงงานอุตสาหกรรมบางประเภทปัจจยั ที่ทำใหด้ ินเปน็ เบส ไดแ้ ก่ การใสป่ นู ขาว (แคลเซียมไฮดรอก
ไซด์) ความเป็นกรด-เบาของดนิ นน้ั มผี ลตอ่ การเจริญเตบิ โตของพืช พชื แต่ละชนดิ เจริญเติบโตได้ดีใน
ดินท่มี คี า่ pH ท่ีเหมาะแก่พชื น้นั ๆ ถา้ สภาพ pH ไมเ่ หมาะสมทำใหพ้ ืชบางชนดิ ไมส่ ามารถดูดซึมแร่
ธาตุท่ตี อ้ งการทม่ี ใี น ดนิ ไปใช้ประโยชนไ์ ด้

การแก้ไขปรับปรงุ ดนิ
ดนิ เปน็ กรด แก้ไขได้โดยการเตมิ ปนู ขาว หรอื ดินมาร์ล แต่ถา้ ดนิ เป็นเบสแก้ไขไดโ้ ดยการเตมิ
แอมโมเนยี มซลั เฟต หรือผงกำมะถนั สำหรับดินมาร์ล คือ ดินท่ไี ด้จากการสลายตวั ของหินปนู ซ่ึงมี
แคลเซียมคารบ์ อนเนต เป็นองค์ประกอบ ดนิ มาร์ลมมี ากในจังหวดั สระบุรี ลพบุรี และนครสวรรค์

95

ใบงาน
เรอ่ื ง กรด-เบส

คำชีแ้ จง จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ี

1. ยกตัวอยา่ ง กรดแกแ่ ละเบสแก่มาอย่างละ 2 ชนดิ
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………….............…………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………….............
2. บอกกรด และเบสท่ีใช้ในชีวิตประจำวันมาอย่างละ 2 ชนดิ พร้อมทั้งประโยชน์
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………….............…………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………….............
3. จงบอกค่าความเปน็ กรด – เบส ของสารตอ่ ไปน้ี แลว้ บนั ทกึ ผลลงในตารางทกี่ ำหนด

สาร กรด เบส กลาง
ข้ีเถ้าละลาย
เกลือแกงละลายนำ้
แอลกอฮอล์

น้ำโซดา
นำ้ สบั ปะรด

96

เฉลยใบงาน
เรือ่ ง กรด-เบส

1. ตอบ กรดแก่ เช่น กรดเกลือ (HCl) กรดกำมะถัน (H SO )
24
เบสแก่ เช่น โซดาไฟ (NaOH) ด่างคลี (KOH)

2. ตอบ กรด เช่น กรดอะซิติก ใช้ประกอบอาหาร
3. ตอบ กรดกำมะถนั ใช้บรรจใุ นแบตเตอรี่
กรดคาร์บอนิก ใชใ้ นน้ำอัดลม

เบส เช่น โซดาไฟ ใช้ทำสบู่
นำ้ ปนู ใส ใชท้ ำขนม เชน่ ลอดชอ่ ง ดองมะมว่ ง
ด่างคลี ใช้ซกั ล้าง ทำสบู่เหลว

สาร กรด เบส กลาง

ขี้เถ้าละลาย /

เกลือแกงละลายน้ำ /

แอลกอฮอล์ /

นำ้ โซดา /

นำ้ สบั ปะรด /

97

แผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ า พว21001 วทิ ยาศาสตร์

จำนวน 4 หนว่ ยกิต

แบบ พบกล่มุ จำนวน 5 ชั่วโมง

เร่ือง สาร

ตวั ช้ีวัด 1. อธบิ ายสารและสารสังเคราะห์ได้

2. อธิบายการใช้สารและผลิตภณั ฑข์ องสารบางชนิดในชีวิตประจำวันและเลือกใช้

ได้

เนอื้ หา 1. สาร

1.1 สารอาหาร

1.2 สารปรุงแต่ง

1.3 สารปนเปอ้ื น

1.4 สารเจอื ปน

1.5 สารพิษ

ขน้ั ตอนการจดั กระบวนการเรียนรู้

ขน้ั ท่ี 1 การกำหนดสภาพปญั หา ความตอ้ งการในการเรียนรู้

1. ครสู ร้างความคนุ้ เคยทำความเขา้ ใจกับวิชาพร้อมมาตรฐานและช้แี จงตวั ชวี้ ดั ของหนว่ ย

การเรียนรู้

2. ครทู ักทายกล่าวนำอธิบายการกำหนดเปา้ หมายและการวางแผนการเรยี นรเู้ กีย่ วกับสารท่ี

ใช้ในชวี ติ ประจำวนั

3. ครูและผู้เรียนรว่ มกันอภปิ รายความหมายของสารและให้ยกตวั อย่างสารทเ่ี ก่ียวข้องกับใน

ชีวิตประจำวัน

4. ครูเปดิ โอกาสให้ผู้เรยี นซักถามขอ้ สงสัยก่อนนำเข้าสบู่ ทเรียน

ข้นั ที่ 2 การแสวงหาข้อมลู และการจดั การเรียนรู้

1. ครูและผู้เรยี นวางแผนวิธกี ารเรียนร้เู นอ้ื หาทก่ี ำหนด

2. ครอู ธิบายและยกตัวอยา่ งของสารแต่ละประเภทในชวี ติ ประจำวัน

3. ครแู บง่ กลุ่มผู้เรียน 3-5 คน ใหแ้ ต่ละกลมุ่ ศกึ ษาสารในแต่ละประเภทจากใบความรู้ เรอ่ื ง

สาร

4. ผู้เรียนแต่ละกลมุ่ ออกมาอภิปรายสารในแต่ละประเภทตามทกี่ ลมุ่ ตนเองได้รบั มอบหมาย

5. ผู้เรียนทำใบงานเรื่อง สาร

ข้ันที่ 3 การปฎิบตั แิ ละการนำไปประยุกต์ใช้
1. ครแู ละผู้เรียนสรปุ เนือ้ หาทไ่ี ดเ้ รียนรรู้ ว่ มกนั

ขน้ั ท่ี 4 การประเมนิ ผล


Click to View FlipBook Version