The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ ม.ต้น พว21001

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 1912nirundon2527, 2021-09-24 21:34:27

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ ม.ต้น พว21001

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ ม.ต้น พว21001

98

1. ผเู้ รยี นมสี ่วนร่วมในการประเมินใบงานของแตล่ ะกลุม่ โดยการเขยี นชื่อตนเองไวใ้ นใบงาน
2. ครสู งั เกตจากการมีส่วนร่วมของผูเ้ รียน

สอื่ การเรียนรู้
1. ใบความรู้ เรอ่ื ง สาร
2. ใบงาน เรือ่ ง สาร
3. หนงั สือเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์ ม.ตน้
4. อนิ เตอร์เน็ต

การวัดและผลประเมนิ
1. ใบงาน

99

บันทกึ ผลหลังการเรียนรู้
ผลท่เี กิดกับผู้เรยี น
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ปญั หา/อุปสรรค
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
................................................................................................................................................

.................................................
(.......................................)

กจิ กรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………….......................................
...............................................................................................................................................
ขอ้ เสนอแนะของผูบ้ ริหาร
..................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................

......................................................
(.......................................)

100

ใบความรู้ เรอ่ื ง สาร
สาร หมายถึง สงิ่ ที่มีตวั ตน มีมวลหรอื น้ำหนกั ต้องการท่ีอย่แู ละสามารถสมั ผสั ได้ เช่น ดนิ
หิน อากาศ พืช และสัตว์ ทุกสงิ่ ทกุ อย่างมท่อี ยูร่ อบๆ ตัวเรา จัดเปน็ สารท้ังสิ้น สารแตล่ ะชนดิ มีสมบัติ
แตกตา่ งกัน แตส่ ามารถเปลย่ี นแปลงสถานะได้
1. สารอาหาร (nutrients) หมายถึง สว่ นประกอบที่เป็นสารเคมีท่ีมอี ยู่ในอาหาร เมือ่
บรโิ ภคเข้าไปแลว้ ร่างกายสามารถนาไปใช้ประโยชนไ์ ด้ โดยคาร์โบไฮเดรต ไขมนั โปรตนี เป็น
สารอาหารที่รา่ งกายต้องการปริมาณมากและเปน็ สารอาหารท่ีให้พลังงานแก่ร่างกาย เรยี ก
“macronutrients ” สว่ นวิตามิน และเกลือแรเ่ ป็นสารอาหารท่ีร่างกายต้องการนอ้ ย และไมใ่ ห้
พลังงาน เรียก “micronutrients” เสาวนีย์ (2544) อธบิ ายวา่ สารอาหาร หมายถึง สารเคมีท่ีมอี ยู่
ในอาหาร มี 6 ชนิด คือ คารโ์ บไฮเดรต โปรตีน ไขมนั วิตามิน
เกลือแร่ และน้ำ
2. สารปรุงแต่ง
สารปรงุ แต่งอาหาร หมายถงึ สารปรงุ รสและวัตถุเจือปนในอาหารทีน่ ำมาใช้เพื่อปรงุ แตง่ สี
กล่นิ รส และคุณสมบตั ิอื่น ๆ ของอาหาร มีอยู่ 3 ประเภท

2.1 ประเภททไ่ี ม่เป็นอันตรายแก่รา่ งกาย ได้แก่
2.1.1 สีต่าง ๆ ท่ีใช้ผสมอาหาร ซึ่งเปน็ สีธรรมชาติ ไดแ้ ก่
สีเขยี ว จากใบเตยหอม พรกิ เขยี ว
สเี หลอื ง จากขมน้ิ อ้อย ขมนิ้ ชัน ลูกตาลยี ไข่แดง ฟักทอง ดอก
คำฝอย เมลด็ คำแสด
สีแดง จากดอกกระเจี๊ยบ มะเขอื เทศ พรกิ แดง ถั่วแดง ครั่ง
สีน้ำเงิน จากดอกอัญชนั
สีดำ จากกากมะพรา้ วเผา ถั่วดำ ดอกดิน
สีน้ำตาล จากนำ้ ตาลเคี่ยวไหม้ หรอื คาราเมล
2.1.2 สารเคมีบางประเภท ไดแ้ ก่
สารเคมปี ระเภทใหร้ สหวาน เช่น นำ้ ตาลทราย กลูโคสแบะแซ
สารเคมีทเี่ ป็นสารแต่งกลนิ่ เชน่ นำ้ นมแมว หรือหวั นำ้ หอมจากผลไมต้ า่ ง ๆ

2.2 ประเภทท่ีอาจเกิดอนั ตรายหากใชเ้ กินขอบเขต
2.2.1 สีผสมอาหาร ไดจ้ ากการสังเคราะหส์ ารเคมี แมก้ ฎหมายกำหนดให้ใช้สี

สังเคราะหส์ ำหรบั ผสมอาหารได้ แตห่ ากใช้ในปรมิ าณมากและบ่อยกอ็ าจกอ่ ให้เกิดตอ่ สุขภาพผู้บริโภค
ได้ ปรมิ าณสีท่ีอนญุ าตใหใ้ ชผ้ สมในอาหารประเภทเครื่องดื่มไอศกรมี ลูกกวาด และขนมหวาน มดี งั น้ี

1) สีที่ใชไ้ ดป้ ริมาณไมเ่ กนิ 70 มลิ ลิกรัมต่ออาหารในลักษณะทใี่ ช้บริโภค 1 กโิ ลกรัม
สแี ดง ไดแ้ ก่ เอโซรบู นี เออริโทรซิน
สเี หลอื ง ได้แก่ ตาร์ตราซนี ซันเซต็ เย็ลโลว์ เอ็ฟ ซี เอ็ฟ

101

สเี ขยี ว ได้แก่ ฟาสต์ กรีน เอ็ฟ ซี เอฟ็
สนี ้ำเงิน ไดแ้ ก่ อนิ ดิโกคาร์มีนหรอื อนิ ดิโกติน
2) สีท่ใี ชไ้ ด้ปรมิ าณไม่เกนิ 50 มิลลกิ รัมตอ่ อาหารในลกั ษณะท่ีใช้บริโภค 1 กโิ ลกรมั
สแี ดง ไดแ้ ก่ ปองโซ 4 อาร์
สีนำ้ เงนิ ไดแ้ ก่ บรลิ เลียนบลู เอ็ฟ ซี เอฟ็
2.2.2 ผงชูรส เปน็ สารปรงุ แตง่ รสอาหาร มชี ื่อทางเคมีวา่ โมโนโซเดยี มกลูตาเมท ผลิต
จากแป้งมันสำปะหลัง หรอื จากกากน้ำตาล ลกั ษณะของผงชูรสแทจ้ ะเปน็ เกล็ดหรอื ผลึกสขี าวขนุ่
ปลายทั้ง 2 ข้างโตและมนั ตรงกลางคอดเล็กคลา้ ยกระดกู ไมม่ ีความวาวแบบสะท้อนแสง มรี สชาติ
คลา้ ยเนอื้ ตม้ ปริมาณทีใ่ ช้ควรเพยี งเล็กน้อย ถา้ บริโภคมากเกินไปอาจมอี าการแพผ้ งชรู สได้ ควรใช้ผงชู
รสประมาณ 1/500-1/800 สว่ นของอาหารหรอื ประมาณ 1 ช้อนชาตอ่ อาหาร 10 ถ้วยตวง และ
ไมค่ วรใชผ้ งชูรสในอาหารทารกและหญงิ มคี รรภ์
2.2.3 สารเคมีทใ่ี ช้กันเสียกันบดู เปน็ สารประกอบทางเคมหี รือของผสมของ
สารประกอบท่ีใช้เตมิ ลงในอาหาร เพอ่ื ชะลอการเน่าเสียหรือยืดอายุการเกบ็ อาหาร โดยจะไปยบั ยง้ั
การเจรญิ เติบโตของจลุ ินทรยี ์และส่วนประกอบของเอนไซม์ ซงึ่ ทำให้การเจรญิ เติบโตของจุลินทรีย์
หยดุ ชะงักหรือตายได้ นอกจากนย้ี งั มผี ลต่อการแบง่ เซลล์ยบั ย้ังการสังเคราะหข์ องโปรตนี ทำให้
ขบวนการแบ่งเซลล์หยดุ ชะงัก จำนวนจลุ ินทรีย์จะไม่เพม่ิ ขนึ้ การใชว้ ตั ถุกนั เสีย ไมจ่ ำเปน็ ก็ไม่ควรใช้
กรณีทจี่ ำเปน็ ตอ้ งใช้ควรเลอื กวัตถกุ นั เสียท่ปี ลอดภัยและใช้ในปริมาณทก่ี ฎหมายกำหนด รวมทงั้ ต้อง
เลือกใช้ใหเ้ หมาะสมกับชนิดของอาหาร
2.3 ประเภทเป็นพิษไม่ปลอดภยั เป็นอันตรายตอ่ ชวี ิตได้ปจั จุบนั ได้มกี ารใช้สารเคมีตา่ ง ๆ
ปรงุ แตง่ อาหารเพอ่ื ใหอ้ าหารนา่ รบั ประทานเก็บได้นานรวมท้งั ราคาถกู และจากการตรวจสอบของ
หนว่ ยงานของรฐั พบวา่ มีการใช้สารเคมีท่ีกฎหมายหา้ มใช้ในการปรุงแตง่ ในอาหารซึ่งทำใหเ้ กดิ อันตราย
แกผ่ ู้บริโภคถงึ ชีวิตได้

102

ตัวอยา่ งอันตรายจากสารเคมีที่หา้ มใช้ในการปรงุ แตง่ อาหาร

3. สารปนเปอ้ื น
สารทุกชนิดที่ปนเปื้อนในอาหารโดยไมไ่ ดต้ ง้ั ใจซ่ึงในทนี่ เ้ี ปน็ มูลทีเ่ กดิ จากการผลิตอาหาร
(รวมถงึ การเพาะปลกู พชื การเลี้ยงสัตว์ และ การใช้ยาสตั ว์) กรรมวธิ กี ารผลิต โรงงานหรือสถานทผ่ี ลิต
การดูแลรักษา การบรรจุบรรจภุ ัณฑ์ การขนสง่ หรือการเก็บรกั ษา หรือ เกิดจากการปนเปอื้ น จาก
สิง่ แวดลอ้ ม ซ่งึ ไมร่ วมถงึ ชิน้ สว่ นจากแมลง ขนสัตว์จำพวกสตั วก์ ดั แทะ (rodent) และส่ิงแปลกปลอม
อื่น ๆ

103

ตวั อย่างสารปนเป้ือนทพ่ี บในชีวติ ประจำวัน

4. สารเจอื ปน
สารเจือปน คอื สารทเ่ี ข้าไปผสมทำใหไ้ ม่บริสทุ ธิห์ รือใชป้ ระโยชนไ์ ด้ไม่เต็มทว่ี ตั ถุเจอื ปน
อาหารจำแนกออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามประโยชน์ที่ได้ ดงั น้ี
วัตถุเจอื ปนอาหารประเภททใี่ ห้เพอ่ื ยืดอายุการเก็บของอาหารสาเหตุการเสียของอาหารนัน้
มักจะเนอ่ื งมาจากสาเหตุใหญ่ๆ 2 ประการ คอื จากจุลนิ ทรยี ์ และ ปฏิกริ ิยาทางเคมี วัตถเุ จือปน
อาหารท่ใี ช้เพ่อื ป้องกนั การเสยี จากสาเหตุทกี่ ลา่ วมาจงึ ได้แก่วัตถุกนั เสียและวัตถุกนั หนื เป็นตน้
วตั ถกุ นั เสีย (Preservatives) สามารถชว่ ยยับย้ังหรือทำลายจุลนิ ทรีย์ท่ีจะทำให้อาหารเกิด
การเน่าเสยี ทำให้สามารถชว่ ยยืดอายุการเกบ็ รกั ษาของอาหารได้
วัตถุกนั เสียท่นี ยิ มใช้ในอาหาร
1. กรดเบนโซอกิ และเกลือเบนโซเอต นยิ มใช้กันมาก โดยทัว่ ไปนิยมใชใ้ นรปู ของเกลอื เพราะ
ละลายไดด้ กี วา่ ในรูปของกรด อาหารทเ่ี หมาะที่จะใชว้ ัตถุกนั เสียชนดิ นี้ควรเปน็ อาหารทีม่ ีความเป็น
กรดสงู หรอื มีการเติมกรดลงไป เชน่ นำ้ อัดลม แยม เยลล่ี นำ้ สลดั ผักดอง
2. เอสเทอรข์ องกรดพาราไฮดรอกซิเบนโซอิก มปี ระสิทธิภาพทด่ี ใี นช่วงความเป็นกรด – เบส
ท่คี อ่ นขา้ งกวา้ ง คือ pH 2-9 จะนิยมใชก้ ันมาก อาหารท่ใี ช้ คอื น้ำผลไมต่ ่าง ๆ แยม เยลล่ี เป็นตน้
สำหรับปริมาณทีอ่ นุญาตให้ใชไ้ ด้ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข คอื ไมเ่ กิน 1,000 มลิ ลิกรมั ต่อ
อาหาร 1 กิโลกรมั

3. กรดซอร์บิกและเกลือซอรเ์ บส นยิ มใช้กนั มาก เพราะ สามารถถูกเผาผลาญไดแ้ บบ
เดียวกับกรดไขมันในธรรมชาติ ประสิทธิภาพน้จี ะดีที่สดุ ในชว่ งความเปน็ กรด-เบส ต่ำกว่า 6.5 และ

104

นิยมใชใ้ นรปู ของเกลือ สำหรับอาหารทว่ั ไปทน่ี ยิ มใช้ ไดแ้ ก่ เนยแข็ง เนยเทียม ผลิตภัณฑข์ นมอบต่าง
ๆ นำ้ อัดลม นำ้ ผลไม้ต่าง ๆ แยม เยลล่ี นำ้ สลดั ผลไม้แหง้ ผกั แห้ง ผักดองต่าง ๆ ผลิตภัณฑ์เนือ้ และ
ผลิตภัณฑ์ปลาต่าง ๆ เป็นตน้

4. กรดโพรพิโอนกิ และเกลอื โพรพโิ อเนต มคี ณุ สมบตั ติ ่างจากวัตถกุ ันเสยี พวก เบนโซเอต คอื
สามารถชะงักการเจริญเติบโต ของแบคทีเรยี รา ได้ดีกว่ายสี ต์ จึงนยิ มใชว้ ตั ถุกันเสยี ชนดิ น้ใี น
ผลิตภัณฑป์ ระเภทขนมปัง หรือผลิตภณั ฑ์ ท่ีมีการทำให้ข้ึนฟูโดยยีสต์

5. ซลั เฟอรไ์ ดออกไซดแ์ ละเกลอื ซลั ไฟต์ เป็นวัตถกุ ันเสยี ทีร่ ู้จักใช้กันมาต้งั แต่สมยั โบราณ โดย
ใชใ้ นการฆา่ เชื้อจุลินทรยี ์ในการทำไวน์ ต่อมามกี ารนำมาใช้ในเครือ่ งดมื่ พวกนำ้ หวาน ผกั และผลไม้
แห้ง เปน็ ตน้ เมอ่ื ซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์และเกลอื ซัลไฟตล์ ะลายน้ำจะได้กรดซลั ฟิวรสั ซง่ึ จะชว่ ยในการ
ทำลายหรอื ชะงักการเจรญิ เติบโตของจุลินทรียไ์ ด้

6. สารประกอบไนเทรต ส่วนใหญ่มกั ใช้ให้เกดิ สีในผลิตภณั ฑ์เนอื้ ตอ่ มาพบว่าผลพลอยได้จาก
การใช้สารดังกล่าวจะช่วยชะลอการเจรญิ เตบิ โตของเชื้อClostridium botulinum และการสรา้ ง
สารพิษของเช้อื ดังกล่าวในผลติ ภัณฑเ์ น้อื และปลาลงได้ แตไ่ มส่ ามารถปอ้ งกันการงอกของสปอร์ได้

7. เอทิลนี และโพรไพลนี ออกไซด์ เปน็ วัตถกุ นั เสยี ทเี่ ป็นก๊าช ใชก้ ับผลติ ภัณฑอ์ าหารทมี่ ี
ความชื้นตำ่ เชน่ พวกธัญชาตแิ ละเคร่อื งเทศต่างๆ เปน็ ตน้ จะชว่ ยทำลายจุลินทรีย์ประเภทยสี ต์ รา
และแบคทีเรยี ท่ีปนเปอ้ื นมาได้ดี

วัตถุกนั หนื (Antioxidants) สามารถช่วยชะลอให้ปฏกิ ริ ิยาทางเคมีดังกล่าวเกดิ ช้าลง ทำให้
อายกุ ารเกบ็ ของอาหารดขี ้นึ และ ประสทิ ธิภาพของวตั ถุกันหืนจะดีข้นึ ถ้าใชร้ ว่ มกับสารเสรมิ ฤทธ์ิวัตถุ
กนั หนื

วัตถกุ นั หนื ท่นี ยิ มใช้
1. Ascorbyl Palmitate เปน็ วัตถุกันหนื ทีน่ ยิ มใชเ้ พ่อื ป้องกันการเกดิ ออกซเิ ดชนั ท่ีมเี หลก็
เป็นตัวเรง่ ได้ ในทอ้ งตลาดมกั จำหน่ายในรปู ของสารผสม ระหวา่ งAscorbyl Palmitate และ
Tocopherol เนอ่ื งจากพบว่าจะทำใหป้ ระสิทธิภาพดีขน้ั นยิ มใชใ้ นผลิตภณั ฑ์ประเภทไขมันและนำ้ มัน
เนย และนมผง เปน็ ตน้
2. BHA (Butylate Hydroxy Anisole) ท่ีใช้กันส่วนใหญจ่ ะอยใู่ นรูปสารผสม 2 และ3 –
tert-butyl-4-hydroxyanisole หรอื อาจใชร้ ่วมกับ gallate เพอื่ ใหป้ ระสิทธิภาพดขี ั้น เป็นวตั ถุกนั
หืนทีน่ ิยมใช้กันมาก โดยเฉพาะอยา่ งย่ิง ในผลิตภัณฑอ์ าหารประเภทไขมนั และนำ้ มันเป็น
สว่ นประกอบ

3. BHT (Butylate Hydroxy Toluene ) เป็นวตั ถุกนั หืนทีน่ ิยมใช้เชน่ เดียวกนั BHA มี
คุณสมบัติและประสทิ ธิภาพใกลเ้ คยี งกนั เวลาใชม้ ักใชผ้ สมกบั วตั ถุกนั หนื ชนดิ อ่นื เพือ่ ใหป้ ระสทิ ธิภาพดี
ข้ึน

105

4. Isoascobic Acid และ Sodium Isoascobate เป็นวัตถุกนั หนื ท่ีใชป้ ้องกนั ปฏิกิรยิ า
ออกซเิ ดชัน ของอาหารท่มี ีไขมนั และนำ้ มนั เป็นส่วนประกอบ วธิ กี ารใช้ อาจใช้เพียงอยา่ งเดยี วหรือ ใช้
รว่ มกนั Ascorbic ก็ได้

5. Tocopherol หรอื วิตามนิ อี เป็นวัตถุกันหืนท่ีมีอยตู่ ามธรรมชาติในน้ำมนั พืช หรืออาจ
สงั เคราะห์ไดจ้ ากปฏิกิรยิ าทางเคมี เวลาใช้มกั ใช้ร่วมกับวัตถุกนั หืนชนิดอนื่ เพื่อใหไ้ ดป้ ระสทิ ธภิ าพทีด่ ี
ขึ้น

6. Gallate Propyl , Octyl และ Dodecyl Gallates เป็นเอสเทอร์ของกรดGallic เป็นวตั ถุ
กันหืนทมี่ คี ุณภาพดีมาก ช่วยปอ้ งกนั การเกิดเพอร์ออกไซดไ์ ด้ดปี ระสทิ ธภิ าพจะข้ันกบั น้ำหนักโมเลกุล
และความเข้มข้น ข้อเสยี คือหากใชใ้ นอาหารทม่ี ีการปนเป้อื นของเหล็ก จะเกิดสมี ว่ งข้ึน ซึ่งสามารถ
แกไ้ ขได้ โดยการใช้รว่ มกับซีเควสเตรนท์

5. สารพิษ
สารพษิ ในอาหาร แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
5.1 สารพิษที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ในส่วนประกอบของอาหารซ่ึงจะพบอยู่ในพืชและสัตว์

ส่ิงเหล่านี้จะมีโทษต่อมนุษย์ก็ด้วย ความไม่รู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไปเก็บเอาอาหารที่เป็นพิษมา
บริโภค เชน่ พิษจากเห็ดบางชนดิ ลูกเนียง แมงดาทะเลเปน็ พิษสารพิษในหัวมันสำปะหลังดิบ เปน็ ตน้

5.2 สารพิษที่เกิดจากการปนเปื้อนในอาหารตามธรรมชาติ ซ่ึงแบ่งเป็นสารพิษที่มาจาก
จุลินทรีย์ซึ่งมี 2 ประเภทใหญ่ คือ อันตรายที่เกิดจากตัวจุลินทรีย์และอันตรายที่เกิดจากสารพิษ
ทจี่ ลุ ินทรยี ์สรา้ งขน้ึ

จลุ ินทรีย์ท่ที ำให้เกิดพษิ เน่ืองจากตัวของมันเอง มอี ยู่ 5 พวก ไดแ้ ก่
1. แบคทีเรยี เช่น Salmonella Shigella Vibrio
2. รา เชน่ Aspergillus Penicillin fusarum Rhizopus
3. โปรโตซัว เชน่ Entamoeba histolytica
4. พาราสิต เช่น Trichinosis Tapeworms
5. ไวรัส เช่น Poliovirus Hepatitis Virus

จุลินทรยี ์ท่ีทำให้เกิดพิษภัยอันเนอื่ งมาจากสารพิษที่สร้างขึ้นในขณะท่ีจุลินทรีย์นั้นเจริญเติบโต
แล้วปลอ่ ยท้ิงไวใ้ นอาหาร มที ้ังสารพิษของแบคทีเรีย และของเช้ือรา สารพิษทสี่ ำคัญที่พบ ได้แก่ สารพิษ
ที่เกิดจาก Clostridium botulinum เป็นจุลินทรีย์ท่ีเป็นสาเหตุให้เกิดพิษในอาหารกระป๋องและ
สารพิษจากเช้ือรา ทเ่ี รยี กวา่ Alflatoxin มักจะพบในพืชตะกลู ถั่ว โดยเฉพาะถว่ั ลิสงและผลติ ภัณฑ์จาก
ถ่ัวลิสง ไดแ้ ก่ ถวั่ กระจก ขนมตุบ๊ ตบั๊ นำ้ มนั ถัว่ ลสิ ง เป็นต้น

106

5.3 พิษท่ีเกิดจากสารเคมี ซึง่ ปะปนมากบั อาหาร ได้แก่ สารหนู และโซเดยี มฟลอู อไรด์ ท่ี
มอี ยู่ในยาฆา่ แมลง หรือยาฆา่ วชั พชื ต่าง ๆ สำหรบั ยาฆา่ แมลงซ่งึ ใช้มากเกินไปหรือเกบ็ พืชผลเรว็ กว่า
กำหนดเมือ่ กินผักผลไมเ้ ข้าไปจะทำใหร้ า่ งกายสะสมพษิ และเป็นสาเหตุทำให้เกดิ มะเรง็ ได้

107

ใบงาน
เรื่อง สาร

คำชี้แจง ข้อสอบมที ้ังหมด 10 ขอ้ ให้เลอื กคาตอบทถ่ี ูกตอ้ งท่ีสดุ เพียงคำตอบเดยี ว

1. ใหผ้ ู้เรียนบอกชอ่ื อาหารทม่ี ีสารปรงุ แตง่ สารปนเป้ือน และสารเจือปนอยา่ งละ 5 ชนดิ
อาหารท่ีมสี ารปรงุ แตง่

.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................

อาหารที่มีสารปนเป้อื น
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................

อาหารท่มี สี ารเจือปน
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................

108

แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวชิ า พว21001 วทิ ยาศาสตร์

จำนวน 4 หนว่ ยกติ

แบบ พบกล่มุ จำนวน 6 ชั่วโมง

เร่ือง แรงและพลังงานเพ่อื ชีวิต

ตวั ชวี้ ดั 1. มคี วามรู้ ความเข้าใจอธิบายการกระทำของแรงและโมเมนตข์ องแรง

2. มคี วามรู้ ความเข้าใจสามารถอธบิ ายประโยชน์ของแรงในชีวิตประจำวนั

3. มีความรู้

เน้อื หา 1. โมเมนต์

2. ความหมายและชนดิ ของโมเมนต์

3. การหาค่าโมเมนต์

4. การใชโ้ มเมนต์ในชีวติ ประจำวัน

ขน้ั ตอนการจัดกระบวนการเรยี นรู้

ข้ันที่ 1 การกำหนดสภาพปัญหา ความต้องการในการเรยี นรู้

1. ครสู รา้ งความคุน้ เคยกบั ผู้เรียนทำความเข้าใจกับวชิ าวทิ ยาศาสตร์เรื่องโมเมนตพ์ ร้อม

มาตรฐานและช้แี จงตัวช้ีวัดของหน่วยการเรยี นรู้

2. ครูทกั ทายกลา่ วนำอธิบายการกำหนดเป้าหมายและการวางแผนการเรียนร้เู กยี่ วกับแรง

โมเมนตใ์ ช้โมเมนต์ในชวี ิตประจำวัน

3. ครแู ละผเู้ รียนรว่ มกนั อภปิ รายความหมายของแรงใหย้ กตัวอยา่ งอะไรทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับโมเมนต์

ทใี่ ช้ในชวี ติ ประจำวันครแู ละผู้เรยี นรวบรวมขอ้ มลู ของหลักการโมเมนต์

4. ครเู ปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถามข้อสงสยั กอ่ นนำเข้าสู่บทเรียน

ข้นั ท่ี 2 การแสวงหาข้อมลู และการจดั การเรียนรู้

1. ครูและผู้เรียนวางแผนวิธีการเรียนรเู้ นือ้ หาทีก่ ำหนด

2. ครแู บง่ กล่มุ ผูเ้ รยี นศึกษาใบความรเู้ รื่องความหมายของโมเมนต์ การหาคา่ โมเมนตแ์ ละการ

ใชโ้ มเมนตใ์ นชีวิตประจำวัน

3. แตล่ ะกลุ่มสง่ ตัวแทนนำเสนอเร่ืองท่ไี ด้รับหน้าช้ันเรยี น

4. ครูและผเู้ รียนรว่ มแสดงความคิดเหน็ อธิบายเพิ่มเติมในแตล่ ะหัวขอ้

5. ครูยกตัวอยา่ งการหาค่าโมเมนตแ์ สดงวธิ ีทำให้ผเู้ รยี นศกึ ษา

6. ครใู ห้ผู้เรยี นยกตัวอยา่ งการใชโ้ มเมนต์ในชีวิตประจำวันทผี่ ู้เรยี นรจู้ กั พรอ้ มนำเสนอในท่พี บ

กลุ่ม

7. ผเู้ รยี นทำใบงานเรอ่ื งแรง ฝกึ แสดงวิธที ำการหาค่าโมเมนต์จากแบบฝกึ หดั

ข้นั ที่ 3 การปฏบิ ัติและการนำไปประยุกต์ใช้
ครแู ละผู้เรียนสรุปเน้อื หาที่ไดเ้ รียนรูร้ ่วมกนั

109

ข้ันที่ 4 การประเมนิ ผล
1. ผ้เู รยี นมสี ่วนร่วมในการประเมินใบงานของแตล่ ะกลุม่ โดยการเขยี นชื่อตนเองไวใ้ นใบงาน
2. ครูสงั เกตจากการมีสว่ นรว่ มของผู้เรียน

สอื่ การเรียนรู้
1. ใบความรู้ เร่ือง แรง
2. ใบงาน
3. แบบฝึกหดั

การวัดผลประเมินผล
1. แบบฝกึ หัด
2. ใบงาน
3 .ผลงานผู้เรียน
4. การนำเสนอ

110

บันทึกผลหลงั การเรียนรู้
ผลท่ีเกิดกับผเู้ รียน
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ปัญหา/อปุ สรรค
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
................................................................................................................................................

.................................................
(.......................................)

กิจกรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………….......................................
...............................................................................................................................................
ขอ้ เสนอแนะของผูบ้ รหิ าร
..................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................

......................................................
(.......................................)

111
ใบความรู้ เรื่อง โมเมนต์

เร่อื งท่ี 2 โมเมนต์
โมเมนต์ (Moment) หมายถึง ผลของแรงท่ีกระทาตอ่ วตั ถุหมุนไปรอบจุดคงท่ี ซง่ึ เรยี กวา่ จดุ ฟัลคมั
(Fulcrum)

ค่าของโมเมนต์ หาได้จากผลคูณของแรงทีม่ ากระทากับระยะท่วี ัดจากจดุ ฟลั ครัมมาตงั้ ฉากกับแนวแรง
ดงั สูตร M = F x S หรือ

ทิศทางของโมเมนต์ มี 2 ทศิ ทาง คอื 1. โมเมนต์ตามเขม็ นาฬิกา คาน A B มจี ุดหมุนที่ F มแี รงมา
กระทาที่ปลายคาน A จะเกดิ โมเมนตต์ ามเข็มนาฬิกา

2. โมเมนตท์ วนเขม็ นาฬกิ า
คาน A B มีจุดหมนุ ที่ F มแี รงมากระทาที่ปลายคาน B จะเกิดโมเมนตท์ วนเขม็ นาฬกิ า

รปู แสดงทศิ ทางของโมเมนต์

จากภาพ F เป็นจดุ หมนุ เอาวัตถุ W วางไวท้ ี่ปลายคานขา้ งหน่งึ ออกแรงกดท่ปี ลายคานอกี ขา้ งหนึ่ง
เพอ่ื ใหไ้ มอ้ ยใู่ นแนวระดบั พอดี
โมเมนตต์ ามเข็มนาฬิกา = WxL2 (นิวตนั -เมตร) โมเมนต์ทวนเขม็ นาฬกิ า = ExL1 (นิวตัน-เมตร)

112

กฎของโมเมนต์ เมื่อวัตถหุ นึง่ ถกู กระทาดว้ ยแรงหลายแรง แล้วทาให้วตั ถนุ ัน้ อยใู่ นสภาวะสมดุล (ไม่
เคลือ่ นที่และไมห่ มุน) จะไดว้ า่ ผลรวมของโมเมนตท์ วนเข็มนาฬิกา = ผลรวมของโมเมนตต์ ามเข็ม
นาฬกิ า
คาน หลักการของโมเมนต์ เรานามาใช้กับอุปกรณ์ทเี่ รยี กว่า คาน (lever) หรอื คานดีดคานงดั คาน
เป็นเครอ่ื งกลชนดิ หนึ่งท่ใี ชด้ ีดงัดวตั ถใุ ห้เคลอ่ื นท่รี อบจดุ หมด (fulcrum) มีลกั ษณะเป็นแท่งยาว
หลกั การทางานของคานใชห้ ลกั ของโมเมนต์

รูปแสดงลักษณะของคาน
ถา้ โจทย์ไม่กำหนดน้าหนกั คานมาใหแ้ สดงวา่ คานไม่มนี า้ หนกั จากรปู กำหนดให้ W = แรงความ
ตา้ นทาน หรือน้าหนกั ของวัตถุ E = แรงความพยายาม หรอื แรงทก่ี ระทาตอ่ คาน a = ระยะต้งั ฉาก
จากจดุ หมุนถงึ แรงต้านทาน b = ระยะทางต้ังฉากจากจดุ หมุนถงึ แรงพยายาม
โดยมี F (Fulcrum) เป็นจุดหมุนหรอื จุดฟัลกรมั เมื่อคานอยูใ่ นภาวะสมดุล โมเมนต์ตามเขม็ นาฬิกา =
โมเมนต์ทวนเขม็ นาฬกิ า W x a = E x b
การจำแนกคาน คานจำแนกได้ 3 ประเภทหรือ 3 อนั ดบั ดังนี้ 1. คานอนั ดบั ที่ 1 เป็นคานทมี่ จี ดุ (F)
อยูร่ ะหวา่ งแรงความพยายาม (E) และแรงความต้านทาน (W) เชน่ กรรไกรตัดผ้า กรรไกรตัดเลบ็ คีม
ตัดลวด เรือแจว ไม้กระดก เปน็ ต้น

รปู แสดงคานอนั ดับ 1
2. คานอนั ดับ 2 เปน็ คานทมี่ แี รงความตา้ นทาน (W) อยู่ระหว่างแรงความพยายาม (E) และจดุ หมนุ
(F) เช่น ที่เปิดขวดน้าอดั ลม รถเข็นทราย ทีต่ ดั กระดาษ เปน็ ตน้

รปู แสดงคานอันดบั 2

113

3. คานอันดบั ที่ 3 เปน็ คานทมี่ แี รงความพยายาม (E) อยรู่ ะหวา่ งแรงความต้านทาน (W)
และจดุ หมุน (F) เช่น ตะเกยี บ คมี คีบถ่าน แหนบ เปน็ ต้น

รูปแสดงคานอนั ดับ 3
การผ่อนแรงของคาน จะมีคา่ มากหรือน้อยโดยดูจากระยะ E ถึง F และ W ว่าถ้าระยะ EF ยาวหรอื
ส้นั กว่าระยะ WF ถ้าในกรณที ี่ยาวกว่าก็จะช่วยผ่อนแรง ถ้าสั้นกวา่ กจ็ ะไมผ่ ่อนแรง

หลักการและขนั้ ตอนการคำนวณเรอื่ งคานและโมเมนต์
1. วาดรปู คาน พรอ้ มกับแสดงตำแหนง่ ของแรงทีก่ ระทาบนคานทง้ั หมด
2. หาตำแหนง่ ของจุดหมนุ หรือจุดฟลั ครัม ถา้ ไม่มีใหส้ มมติขึ้น
3. ถ้าโจทยไ์ มบ่ อกนา้ หนักของคานมาให้ เราไม่ต้องคดิ นา้ หนกั ของคานและ ถอื วา่ คานมขี นาด
สม่ำเสมอกนั ตลอด

114

4. ถา้ โจทย์บอกน้าหนักคานมาให้ตอ้ งคิดน้าหนกั คานด้วย โดยถือวา่ น้าหนกั ของคานจะอยูจ่ ดุ กง่ึ กลาง
คานเสมอ
5. เมื่อคานอยู่ในสภาวะสมดุล โมเมนต์ทวนเขม็ นาฬิกาเท่ากับโมเมนต์ตามเข็มนาฬกิ า
6. โมเมนตท์ วนเข็มนาฬิกา หรือโมเมนต์ตามเข็มนาฬิกามีค่าเท่ากับ ผลบวกของโมเมนตย์ ่อยแต่ละชนิด

การใช้โมเมนตใ์ นชีวิตประจาวนั ความรูเ้ กี่ยวกับเรอ่ื งของโมเมนต์ สามารถนาไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั
ในดา้ นต่างๆ มากมาย เชน่ การเล่นกระดานหก การหาบของ ตราชงั่ จีน การแขวนโมบาย ทเี่ ปดิ ขวด
รถเขน็ คีม ที่ตดั กระดาษ เป็นต้น หรือในการใช้เชือกหรือสลิงยึดคานเพอ่ื วางคานยื่นออกมาจาก
กำแพง

115

ใบงาน
เร่อื งแรง

1. จงตอบคำถามต่อไปนี้
1.1 แรง หมายถงึ อะไร
1.2 ผลท่ีเกิดจากการกระทาของแรงมอี ะไรบ้าง
1.3 แรงมีหน่วยเป็นอะไร
1.4 แรงเสยี ดทานคอื อะไร
1.5 ยานพาหนะท่ีใช้ในปัจจุบันทกุ ชนิดต้องมีล้อเพอ่ื อะไร
1.6 ลอ้ รถมีตลับลูกปืน ลอ้ และใส่น้ามนั หลอ่ ล่ืน เพือ่ อะไร
1.7 แรงเสยี ดทานมีค่ามากหรือน้อยขนึ้ อยู่กบั อะไร
1.8 นักเทนนิสตีลูกเทนนสิ อยา่ งแรง ขณะทีล่ กู เทนนิสกาลงั เคลอ่ื นท่ีอยู่ในอากาศ มีแรง
ใดบ้างมากระทาตอ่ ลูกเทนนิส
1.9 ถา้ เรายนื ชัง่ นา้ หนกั ใกล้ๆ กับโตะ๊ แลว้ ใชม้ อื กดบนโตะ๊ ไว้ ค่าทีอ่ ่านไดจ้ ากเครื่องชงั่ นา้
หนกั จะเพ่ิมขนึ้ หรอื ลดลง เพราะเหตใุ ด
1.10 โมเมนต์ คอื อะไร มกี ช่ี นิด

2. คานยาว 3 เมตร ใชง้ ดั วตั ถุหนกั 400 นิวตนั โดยวางให้จุดหมุนอย่หู า่ งวตั ถุ 0.5 เมตร จงหาว่า
จะตอ้ งออกแรงท่ปี ลายคานอีกข้างหน่ึงเทา่ ไร คานจงึ จะสมดุล (แสดงวธิ ที ำ)

116

แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชา พว21001 วิทยาศาสตร์

จำนวน 4 หนว่ ยกิต

แบบ พบกลุม่ จำนวน 6 ช่ัวโมง

ตัวชว้ี ัด

1. อธบิ ายความหมายของงานและพลังงานในรปู แบบตา่ งๆ

2. การต่อวงจรไฟฟา้ อย่างง่าย

3. ในกฎของโอห์มในการคำนวณ

4. บอกวธิ ีการอนุรกั ษแ์ ละประหยดั พลังงานงาน

5. อธบิ ายสมบัติของแสง พลังงานความรอ้ นและนำประโยชนไ์ ปใชใ้ นชีวิตประจำวนั

6. อธิบายพลงั งานทดแทนและเลอื ก

เนอ้ื หา

1. รูปแบบของพลงั งาน

2. ไฟฟ้า

2.1พลงั งานไฟฟ้า

2.2กฎของโอห์ม

2.3การต่อความต้านทานแบบตา่ งๆ

2.4การหาคา่ ความต้านทาน

ข้ันตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้

ขั้นที่1 การกำหนดสภาพปัญหาถามความต้องการในการเรียนรู้

1.ครูสอบถามผู้เรยี นวา่ ประกอบอาชพี อะไรบา้ ง ลักษณะงานเป็นอย่างไร

2.เลอื กตัวแทนผู้เรยี นทีม่ รี ปู ร่างอ้วนและผอมมายกสง่ิ ของทมี่ นี ำ้ หนักเท่ากนั ใหผ้ ้เู รียนสงั เกต

และเปรยี บเทยี บสิง่ ที่เกดิ ขึ้น

ข้ันที่ 2 การแสวงหาขอ้ มูลและการจัดการเรยี นรู้

1.แบ่งกลุม่ ผเู้ รยี นระดมความคิดเกี่ยวกบั พลังงานที่ตนเองร้จู ัก บอกแหล่งท่ีมา พรอ้ มทง้ั บอก

ประโยชนแ์ ละโทษของพลังงาน

2. ให้แต่ละกลุม่ นำเสนอ พร้อมท้งั สรุปแต่ละประเด็นรว่ มกนั

3. เชิญช่างไฟฟา้ ท่ีมีประสบการณ์และเปน็ ที่ยอมรบั ในสงั คมมาพดู คยุ กับผเู้ รยี นเก่ียวกับการ

ประกอบอาชพี ชา่ งไฟฟ้า สาธิตการตอ่ วงจรไฟฟ้าและการต่อความต้านทานแบบ อนกุ รม แบบขนาน

พร้อมท้ังให้ผูเ้ รยี นฝึกปฏบิ ัติ

ขัน้ ท่ี 3 การปฏิบัตแิ ละการนำไปประยุกตใ์ ช้

1. ครูสอนวิธีการคำนวณคา่ ไฟฟา้

2. ฝึกปฏบิ ตั ิการคำนวณคา่ ไฟฟา้ จากใบบิลไฟฟ้าท่ีเตรยี มไว้ เพ่ือวางแผนการใช้ไฟฟ้า และ

ตรวจสอบค่าไฟฟา้ ได้

117

ข้นั ท่ี 4 การประเมนิ ผล
1. ครูและผเู้ รียนสรปุ สาระสำคัญเรื่องพลังงาน และพลังงานไฟฟ้ารว่ มกันเป็นองค์ความรู้
2. ประเมินผ้เู รยี นจากการปฏิบตั จิ ริงในการตอ่ วงจรไฟฟา้ และการคำนวณค่าไฟฟา้
สื่อการเรียนรู้
1. หนงั สือเรียน
2. อนิ เตอร์เนต็
3. ใบความรู้
4. ใบงาน
การวัดและผลประเมิน
1. ใบงาน
2. การปฏบิ ตั จิ รงิ จากการต่อวงจรไฟฟ้าและการคำนวณค่าไฟฟ้า

118

บนั ทกึ ผลหลังการเรียนรู้
ผลท่ีเกิดกบั ผู้เรียน
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ปญั หา/อุปสรรค
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
................................................................................................................................................

.................................................
(.......................................)

กิจกรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………….......................................
...............................................................................................................................................
ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร
..................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................

......................................................
(.......................................)

119

ใบความรู้
เรือ่ ง รูปของพลังงานประเภทต่าง ๆ และ ไฟฟา้
รปู ของพลังงานประเภทต่าง ๆ
พลงั งานท่ีเราใช้กันอยนู่ ัน้ อยู่ในหลายรปู แบบด้วยกนั เช่น เราใช้พลงั งานเคมี ทีไ่ ดจ้ าก
สารอาหารในรา่ งกายทำงานยกวตั ถุต่างๆ การทาใหว้ ัตถุเคลือ่ นที่ไปเรียกว่า ทาให้วัตถเุ กิดพลังงานกล
เราใช้พลังงานความร้อน ในการหุงหาอาหารให้ความอบอ่นุ และทาให้เครือ่ งจกั รไอน้ำเกิดพลงั งานกล
พลงั งานแสง ชว่ ยให้ตาเรามองเห็นสง่ิ ตา่ งๆรอบตัวได้ การทเ่ี ราไดย้ นิ เสียง และเราใชพ้ ลังงานไฟฟา้ กับ
เครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ ตา่ งๆ
รปู แบบของพลังงานจัดเปน็ 2 กลุม่ คือ พลงั งานที่ทำงานได้ และพลังงานทเ่ี ก็บสะสมไว้
- พลังงานทเ่ี กบ็ สะสมไว้ เชน่ พลงั งานเคมี พลังงานศักย์ พลงั งานนวิ เคลยี ร์
- พลงั งานทท่ี ำงานได้ คอื พลังงานที่ได้จากกจิ กรรมต่างๆ เชน่ พลงั งานความร้อน พลงั งาน
แสง พลงั งานความร้อน พลังงานแสงสวา่ ง พลังงานเสียง พลังงานจลน์
- พลงั งานงานในรปู อื่น ๆ เช่น พลังงานชีวมวล
พลงั งานทเ่ี กบ็ สะสมไว้ พลงั งานทเ่ี ก็บสะสมไว้ในสสารสามารถแบง่ ได้ เช่น
- พลังงานเคมี
- พลงั งานนิวเคลียร์
- พลังงานศักย์
พลงั งานทที่ ำงานได้
คือ พลงั งานท่ไี ด้จากการทำกิจกรรมต่าง ๆ ใหไ้ ด้พลังงานออกมาหลายรูปแบบเช่น
- พลงั งานความร้อน
- พลังงานแสง
- พลังงานเสียง
- พลังงานอิเล็กทรอนิกส์
- พลงั งานจลน์
พลังงานความรอ้ น
พลงั งานความร้อนทไ่ี ดจ้ ากการเผาไหม้ จากเตาพลงั งานความรอ้ นเราสามารถรสู้ กึ ได้
พลงั งานความรอ้ นที่ใหญ่ทสี่ ุดคือดวงอาทิตยจ์ ดั เป็นเหลง่ พลังงานความร้อนท่ีใหญ่ทีส่ ดุ

พลงั งานเสียง
พลังงานเสยี งเป็นพลังงานรปู หน่งึ ท่ีเกิดจากการส่ันสะเทือน เราสามารถไดย้ นิ ได้ คอื เปน็

พลังงานรูปหนง่ึ ท่ีสำคญั โดยมนษุ ย์ เพราะเราใช้เสียงในการสอื่ สาร หรือแมแ้ ต่สัตว์ หรอื พืชบางชนิดจะ
ใชเ้ สียงในการส่งสัญญาณเช่น พลังงานเสยี งที่ไดจ้ ากพดู คยุ กนั พลงั งานเสียงทไี่ ดจ้ ากเครื่องดนตรีเป็น

120

พลังงานแสง
หลอดไฟฟ้าใหพ้ ลังงานแสงแกเ่ รา ดวงอาทติ ย์เปน็ อกี แหลง่ หน่งึ ทเ่ี ป็นพลังงานงานแสงสวา่ ง

ทำให้เราสามารถมองเหน็ สิ่งตา่ ง ๆ ได้ ถา้ ปราศจากพลังงานแสงเราจะอยใู่ นความมดื
พลงั งานอิเลก็ ทรอนกิ ส์

พลงั งานประเภทหน่งึ ทที่ าให้คอมพวิ เตอรท์ างาน เป็นประเภทของพลงั งานท่ีใช้ได้อย่างมาก
และเปน็ พลังงานท่ีใชไ้ ดอ้ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง
พลังงานจลน์

วตั ถทุ กุ ชนดิ ที่เคล่ือนที่ได้ล้วนแตม่ ีพลังงานจลน์ วตั ถุท่ีเคลื่อนท่ีไดอ้ ย่างรวดเรว็ แสดงว่ามี
พลังงานจลนม์ าก ตวั อยา่ งเช่น การขบั รถยนต์ไดเ้ รว็ จะมีพลงั งานจลน์มากน้ันเอง
พลงั งานไฟฟ้า

เกิดจากการเคลื่อนท่ีของอิเล็กตรอนจากจุดหนึ่งไปยงั อกี จดุ หนึ่งภายในตัวนาไฟฟ้าการ
เคลือ่ นที่ของอเิ ลก็ ตรอน เรียกว่า กระแสไฟฟา้ Electrical Current ซงึ่ เกิดจากการนำวตั ถทุ มี่ ปี ระจุ
ไฟฟ้าตา่ งกันนำมาวางไว้ใกล้กันโดยจะใชต้ วั นำทางไฟฟ้า คอื ทองแดง การเคลอื่ นทข่ี องอิเลก็ ตรอนจะ
เคลื่อนท่จี ากวัตถุทีม่ ีประจไุ ฟฟา้ บวกไปยงั วตั ถุ ท่ีมีประจุไฟฟ้าลบมหี น่วยเปน็ Ampere อักษรย่อ
คือ “ A

กระแสไฟฟา้ สามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 ชนิด
1.ไฟฟา้ กระแสตรง (Direct Current) เปน็ กระแสไฟฟา้ ทเ่ี กดิ จากการเคล่อื นท่ีของ

อิเล็กตรอนจากแหล่งจ่ายไฟฟา้ ไปยงั อปุ กรณไ์ ฟฟา้ ใดๆไดเ้ พียงทศิ ทางเดียว สำหรบั แหล่งจ่ายไฟฟา้ นนั้
มาจากเซลลป์ ฐมภูมิคือถา่ นไฟฉาย หรือเซลล์ทุติยภมู คิ อื แบตเตอรร์ ี่ หรอื เครอ่ื งกำเนดิ ไฟฟ้า
กระแสตรง

2.ไฟฟา้ กระแสสลับ (Alternating Current) เป็นกระแสไฟฟ้าทีเ่ กิดจากการเคล่อื นท่ีของ
อเิ ล็กตรอนจากแหลง่ จ่ายไฟไปยังอปุ กรณไ์ ฟฟ้าใดๆโดยมีการเคลือ่ นทก่ี ลบั ไปกลับมาตลอดเวลา
สำหรับแหล่งจ่ายไฟนน้ั มาจากเครอื่ งกำเนดิ ไฟฟ้ากระแสสลับชนดิ หนง่ึ เฟสหรือเครอื่ งกำเนดิ ไฟฟา้
กระแสสลบั ชนิดสามเฟส
การวดั ตวั ต้านทาน

ตัวต้านทานก็คือตวั นำท่เี ลวได้ หรอื ในทางกลบั กันตวั นำที่ดีหรือตวั นำสมบรู ณ์ เช่น ซเู ปอร์
คอนดกั เตอร์ จะไม่มีคา่ ความตา้ นทานเลย ดงั น้นั ถ้าตอ้ งการทดสอบเคร่ืองมอื วดั ของเราว่า มคี ่า
เที่ยงตรง ในการวัดมากนอ้ ยเท่าใด เราสามารถทดสอบ ได้โดยการนำเคร่อื งมือวดั ของเราไปวัดตวั นำท่ี
มคี ่าความต้านทาน ศูนย์โอห์ม เคร่ืองมือท่นี ำไปวดั จะต้องวัดคา่ ได้เทา่ กับ ศนู ยโ์ อห์มตวั นำที่ดที ี่สดุ
หรือตวั นำท่ี คอ่ นข้างดี จำเปน็ มากสำหรับวงจรอเิ ลก็ ทรอนิกสท์ ่ัวไป ในงานอิเลก็ ทรอนิกสจ์ ะใช้
อปุ กรณท์ ีร่ ้จู กั กนั ในชอื่ ว่า โอห์มมเิ ตอร์ เปน็ เคร่ืองมอื ทใ่ี ชต้ รวจสอบค่าความต้านทานของตวั ตา้ นทาน

121

รปู ที่ 1 ถ้าเราวัดความตา้ นทานของตวั นำที่ดีจะไมม่ คี วามตา้ นทานคอื วัดได้ศูนยโ์ อหม์

การคำนวณค่าไฟฟ้า
เคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ แต่ละชนิดจะใช้พลังงานไฟฟ้าต่างกนั ข้ึนอยกู่ บั ชนิดและขนาดของ

เครื่องใช้ไฟฟ้า ซ่ึงทราบไดจ้ ากตัวเลขท่ีกำกบั ไวบ้ นเคร่อื งใช้ไฟฟา้ ทร่ี ะบุไวท้ งั้ ความต่างศกั ย์ (V) และ
กำลงั ไฟฟา้ (W)

ตัวอย่างเชน่ หลอดไฟฟา้ หม้อหุงขา้ วไฟฟา้ เตารีดไฟฟ้า มตี วั เลขกำกับไวบ้ น
เคร่อื งใช้ไฟฟ้า เชน่ หลอดไฟฟา้ มีตัวเลขกำกับว่า 220 V 80 W

- ตวั เลข 220 V หมายถึงหลอดไฟฟา้ น้ใี ชก้ ับความตา่ งศักย์ 220 โวลต์ ซึ่งเราต้องใช้
ไฟให้ตรงกบั คา่ ความตา่ งศกั ย์ทก่ี ำหนด

- ตวั เลข 80 W ท่กี ำกับมาเป็นค่าของพลงั งานไฟฟ้าที่หลอดไฟฟา้ ใชไ้ ปในเวลา 1
วนิ าที ซึง่ เรยี กว่า กำลงั ไฟฟ้า

หมายเหตุ - ในการวัดพลงั งานไฟฟา้ เราจะใช้หนว่ ยเป็นจลู ตัวเลข 80 W จงึ หมายความ
วา่ หลอดไฟฟ้านี้จะใช้พลังงานไฟฟ้า 80 จลู ในเวลา 1 วนิ าที

ค่าไฟ เปน็ ส่ิงทีเ่ ราต้องจา่ ยทกุ เดอื น เพราะไม่มใี ครปฏิเสธวา่ ไมไ่ ด้ใชไ้ ฟ (ถงึ แมพ้ ่อแม่เราจะ
เปน็ คนจ่ายกต็ าม) จะดีแคไ่ หนหากเรารวู้ ิธีการคำนวณคา่ ไฟฟา้ สำหรบั อุปกรณ์ไฟฟา้ ต่างๆ เราจะ
สามารถประมาณค่าไฟ (โดยประมาณ) ของแต่ละเดือนได้ ประโยชน์กจ็ ะตกอยกู่ บั เราเองในการวาง
แผนการใช้จ่ายได้งา่ ยขน้ึ โดยการคำนวณค่าไฟฟา้ นั้น เราสามารถทำได้ดว้ ยตนเองง่ายๆ จากสตู รท่ีจะ
กล่าวถงึ ต่อไปน้*ี
สำหรบั การใช้ไฟฟา้ ของเครอ่ื งใช้ไฟฟ้าใน 1 วนั เราสามารถใช้สตู รการคำนวณ
ดงั นี้

ใบงาน
เรื่อง รูปของพลังงานประเภทต่าง ๆ และ ไฟฟา้
บา้ นครปู อนด์มเี ครอ่ื งใช้ไฟฟ้า 3 ชนิด คอื ทีวขี นาด 150 วัตต์ จำนวน 1 เครอื่ ง, พัดลมขนาด 100
วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง และหลอดไฟขนาด 40 วัตต์ จำนวน 5 ดวง โดยครปู อนด์จะเปดิ ทีวีและพดั

122

ลมพร้อมกนั ตัง้ แต่เวลา 18.00 - 22.00 น. ทุกวัน สว่ นหลอดไฟจะเปดิ พร้อมกนั ท้ัง 4 ดวงตง้ั แต่
เวลา 18.00 - 06.00 น. ทกุ วนั อยากทราบวา่ ครปู อนด์ใช้ไฟฟ้าไปกีย่ ูนติ ในเดอื นธันวาคม

วิธีคดิ จากโจทย์เราไดข้ อ้ มูลว่า
1. ทวี ีขนาด 150 วตั ต์ ใช้งานวันละ 3 ชวั่ โมง
2. พัดลมขนาด 100 วัตต์ ใช้งานวันละ 3 ชวั่ โมง
3. หลอดไฟขนาด 40 วัตต์ ใชง้ านวนั ละ 12 ชั่วโมง

จากสมการ

ดังนนั้ ใน 1 วนั เคร่ืองใช้ไฟฟา้ แต่ละชนดิ จะใชไ้ ฟฟา้ ดงั นี้
จำนวนยูนิตของทวี ี = [(150 x 1) x 3] / 1000 = 0.45
จำนวนยูนิตของพัดลม = [(100 x 1) x 3] / 1000 = 0.30
จำนวนยนู ิตของหลอดไฟ = [(40 x 4) x 3] / 1000 = 0.48

รวมใน 1 วัน ครูปอนดใ์ ชไ้ ฟฟ้าท้งั สน้ิ = 0.45 + 0.30 + 0.48 = 1.23
ดังนั้น ในเดือนธันวาคม (มี 31 วนั ) ครปู อนด์ใชไ้ ฟฟ้าทง้ั ส้นิ = 1.23 x 31 = 38.13 ยู
นิต (ตอบ)

123

แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชา พว21001 วิทยาศาสตร์

จำนวน 4 หน่วยกิต

แบบ พบกล่มุ จำนวน 3 ชว่ั โมง

เรื่อง งานและพลังงาน

ตวั ชี้วัด

1. อธิบายความหมายของงานและพลังงานในรูปแบบตา่ งๆ

2. การตอ่ วงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ย

3. ในกฎของโอห์มในการคำนวณ

4. บอกวิธีการอนรุ ักษแ์ ละประหยดั พลงั งานงาน

5. อธิบายสมบัติของแสง พลงั งานความร้อนและนำประโยชนไ์ ปใช้ในชวี ติ ประจำวนั

6. อธิบายพลังงานทดแทนและเลอื ก

เน้ือหา

1. แสง

1.1 แสงและสมบตั ิของแสง

1.2เลนส์

2. พลังงานความรอ้ นและแหลง่ กำเนิด

2.1พลงั งานทดแทนและการใชป้ ระโยชน์ เชน่ เอททานอล ไบโอดีเซล พลงั งาน

นวิ เคลียร์ ฯลฯ

ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้

ขั้นที่1 การกำหนดสภาพปัญหาถามความตอ้ งการในการเรยี นรู้

1. ครทู ักทายผู้เรียน แลว้ ให้ผูเ้ รียนหลบั ตา แล้วสอบถามความรู้สกึ

2. ให้ผู้เรยี นหลับตาอีกครัง้ แล้วให้เดนิ ไปข้างหนา้ 5 ก้าว แล้วถามความรสู้ ึกและถามวา่

คนเราสามารถดำเนินชวี ติ ในความมืดได้หรือไม่อยา่ งไร

ขนั้ ที่ 2 การแสวงหาข้อมลู และการจัดการเรยี นรู้

1. แบ่งกลมุ่ ผู้เรียนให้ระดมความคิด โดยการกำหนดสถานการณว์ า่ ถ้านักศกึ ษาอยู่ในความ

มดื จะแสงสว่างไดจ้ ากไหนบ้าง

2. นำเสนอขอ้ มลู แต่ละกลุ่ม

3. ครูเช่อื มโยงประเดน็ เรื่องการหาวสั ดุท่ีให้แสงสว่างตา่ งๆว่าสามารถใชท้ ดแทนกันได้

อย่างไรพลงั งานท่เี ราใช้ในปจั จบุ นั ทีก่ ำลงั ประสบปัญหาเราจะหาและใชพ้ ลังงานอะไรมา

ทดแทนไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง

ท่ี 3 การปฏบิ ตั ิและการนำไปประยุกตใ์ ช้

124

ให้นักศึกษาหาความรูเ้ กย่ี วกบั พลังงานทดแทนแล้วบันทกึ ว่าตนเองมวี ิธปี ระหยดั พลังงาน
อย่างไร แล้วมีประสบการณ์ในการผลิตและใช้พลังงานทดแทนอย่างไรบา้ ง

ท่ี 4 การประเมนิ ผล
ประเมินจากงานที่มอบหมาย

สอ่ื การเรียนรู้
7. หนงั สือเรยี น
8. อินเตอรเ์ น็ต
9. ใบความรู้
10.ใบงาน

การวดั และผลประเมิน
1. ใบงาน
2. รายงานท่มี อบหมาย

125

บนั ทึกผลหลังการเรยี นรู้
ผลท่เี กดิ กับผเู้ รียน
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ปัญหา/อปุ สรรค
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
................................................................................................................................................

.................................................
(.......................................)

กจิ กรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………….......................................
...............................................................................................................................................
ข้อเสนอแนะของผ้บู ริหาร
..................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................

......................................................
(.......................................)

126

ใบความรู้

แสง และคณุ สมบัตขิ องแสง
แสงส่วนใหญ่ที่เราไดร้ ับมาจากดวงอาทติ ย์ เป็นแหล่งกำเนดิ แสงที่เกิดขน้ึ เองตามธรรมชาติ

ส่วนแสงจาก ดวงจันทร์ท่เี ราเห็นในเวลาค่ำคืน เป็นแสงจากดวง อาทติ ยต์ กกระทบผิวดวงจันทร์ แล้ว
สะท้อนมายังโลก นอกจากแหลง่ กำเนิดแสงในธรรมชาตแิ ล้ว ยังมีแหล่งกำเนิดแสงทม่ี นุษย์สร้างขน้ึ
เชน่ หลอดไฟ ตะเกียง เทยี นไข เป็นตน้ แสงมีประโยชน์และเปน็ ส่งิ จำเปน็ ตอ่ สิ่งมชี วี ติ เมอื่ จุดเทียน
ไขในห้องมืด เราจะเหน็ เปลวเทียนไขสว่าง เนื่องจากแสงจากเปลว เทยี นไขมาเขา้ ตา สว่ นสงิ่ ของอื่นๆ
ในหอ้ งที่เราเหน็ ได้ เป็นเพราะแสงจากเปลว เทียนไขไปตกกระทบส่งิ ของนนั้ ๆ แลว้ สะทอ้ นมาเขา้ ตา
แสงที่เคลอ่ื นทมี่ าเข้าตาหรอื เคลอื่ นทีไ่ ปบริเวณใดๆ กต็ ามจะเคลอ่ื นทใ่ี นแนวเสน้ ตรง เช่น ถ้าให้แสง
ผ่านรู บนกระดาษแข็ง ๓ แผ่น ถ้าชอ่ งของรูบนกระดาษแข็งไม่อยู่บนแนวเดยี วกัน จะมองไมเ่ ห็นเปลว
เทยี นและ หลงั จากปรบั แนวช่องทง้ั สามให้อยู่ในแนวเดียวกนั แลว้ สังเกตไดว้ า่ ถา้ รอ้ ยเชือก และดึง
เชอื กเป็นเสน้ ตรงเดยี วกันได้ จะมองเห็นเปลวเทยี นไข แสดงว่า "แสงเคลอ่ื นท่ี เป็นเสน้ ตรง"เรา
สามารถเขียนเสน้ ตรงแทนลำแสงน้ไี ด้ และเรยี กเส้นตรงน้ีวา่ รังสีของแสง การเขียนเสน้ ตรงแทนรังสี
ของแสงนี้ ใชเ้ ส้นตรงทีม่ ีหวั ลกู ศรกำกับเสน้ ตรงนัน้ โดยเสน้ ตรงแสดงลำแสงเล็กๆ และหัวลูกศรแสดง
ทศิ การเคลือ่ นที่ กล่าวคอื หวั ลกู ศรช้ีไปทางใด แสดงวา่ แสงเคล่ือนทไี่ ปทางนนั้
การมองเหน็ วตั ถใุ ดๆ ตอ้ งมแี สงจากวัตถุมาเขา้ ตา ซึ่งแบง่ ได้เป็น 2 กรณคี อื

1. เมื่อวัตถนุ ้ันมีแสงสวา่ งในตวั เอง จะมแี สงสวา่ งจากวตั ถุเข้าตาโดยตรง
2. วตั ถนุ ัน้ ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง ตอ้ งมีแสงจากแหล่งกำเนิดแสงอ่นื กระทบวัตถนุ นั้ แลว้
สะท้อนเขา้ ตาเม่ือแสงเคลอ่ื นทไี่ ปกระทบวัตถตุ ่างๆ วัตถบุ างชนิดแสงผ่านไปได้ แตว่ ตั ถุบางชนิดแสง
ผ่านไปไมไ่ ด้ เราอาจแบง่ วตั ถุตามปรมิ าณแสงและลกั ษณะทแี่ สงผ่านวัตถุได้ 3 ประเภทดงั น้ี
1. วัตถโุ ปรง่ ใส หมายถงึ วตั ถทุ ่ีแสงผ่านได้หมดหรือเกือบหมดอย่างเปน็ ระเบยี บ เราจงึ
สามารถมองผา่ นวตั ถุโปร่งใส และมองเหน็ วตั ถทุ ีอ่ ยู่อกี ขา้ งหน่งึ ได้อย่างชัดเจน วตั ถโุ ปร่งใสมหี ลาย
ชนดิ เชน่ อากาศ กระจกใส แก้วใส่นา้ และแผ่นพลาสติกใส เป็นตน้

127

2. วัตถุโปร่งแสง หมายถงึ วัตถทุ แี่ สงผา่ นไดอ้ ยา่ งไมเ่ ป็นระเบียบ เมอื่ เรามองผา่ นวัตถโุ ปรง่
แสง จึงเหน็ วตั ถอุ กี ดา้ นหนงึ่ ไม่ชัดเจน เช่น กระดาษชุบน้ำมัน กระจกฝา้ กระดาษไขหรือกระดาษลอก
ลาย และหมอก เป็นต้น

3. วตั ถุทบึ แสง หมายถงึ วตั ถทุ แ่ี สงผ่านไปไม่ได้ เชน่ ผา้ แผ่นไม้ แผน่ อะลูมิเนยี ม แผ่น
สังกะสี กระดาษหนา เหล็ก และทองแดง เปน็ ตน้

ดงั ท่ีไดเ้ รียนมาแล้วแสง เป็นคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ สามารถเคลือ่ นทไ่ี ดโ้ ดยไมต่ อ้ งอาศัยตัวกลาง
และมกี ารเคลอื่ นที่แนวเส้นตรงในตัวกลางชนิดอนื่ ๆ จะเคลื่อนทีผ่ า่ นตัวกลางแต่ละชนิดดว้ ยความเรว็
ไม่เทา่ กนั ตัวกลางใดมีความหนาแนน่ มากแสงจะเคลอื่ นทผ่ี ่านตัวกลางนนั้ ดว้ ยความเรว็ นอ้ ย ถา้ แสง
เคลื่อนท่ีผา่ นไม่ได้กเ็ ปน็ เพราะวัตถมุ ีการดดู กลืน สะทอ้ นแสง หรอื การแทรกสอดของแสง นนั้ คอื
คณุ สมบัติของแสง คุณสมบัติของแสง

คุณสมบตั ิต่างๆ ของแสงแต่ละคุณสมบตั ินนั้ เราสามารถนาหลักการมาใช้ประโยชน์ไดห้ ลาย
อยา่ ง เชน่ คุณสมบตั ิของการสะท้อนแสงของวตั ถุ เรานำมาใช้ในการออกแบบแผน่ สะท้อนแสงของ
โคมไฟ การหกั เหของแสงนำ มาออกแบบแผน่ ปดิ หนา้ โคมไฟ ซ่งึ เป็นกระจก หรือพลาสตกิ เพ่อื บังคับ
ทศิ ทางของแสงไฟ ทีอ่ อกจากโคมไปในทิศทตี่ ้องการ การกระจายตวั ของลำแสงเม่ือกระทบตวั กลาง
เรานำมาใชป้ ระโยชน์ เชน่ ใช้แผน่ พลาสตกิ ใสปิดดวงโคมเพือ่ ลดความจ้าจากหลอดไฟ ต่าง ๆ การ
ดูดกลืนแสง เรานำมาทำ เตาอบพลงั งานแสงอาทิตย์เครื่องตม้ พลงั งานแสง และการแทรกสอดของ
แสง นามาใช้ประโยชน์ในกล้องถา่ ยรูป เครือ่ งฉายภาพต่าง ๆ จะเหน็ วา่ คุณสมบตั ิแสงดงั กลา่ วกไ็ ดน้ า
มาใช้ในชวี ติ ประจำวนั ของมนษุ ยเ์ ราทงั้ นนั้
การสะท้อนแสง(Reflection)

การสะทอ้ นแสง หมายถึง การทีแ่ สงไปกระทบกบั ตวั กลางแลว้ สะทอ้ นไปในทศิ ทางอืน่ หรอื
สะท้อนกลับมาทิศทางเดมิ การสะท้อนของแสงนั้นข้ึนอยู่กบั พ้นื ผิวของวัตถดุ ้วยว่าเรยี บหรอื หยาบ
โดยท่วั ไปพ้ืนผวิ ท่เี รยี บและมันจะทำให้มุมของแสงทีต่ กกระทบมคี ่าเท่ากบั มุมสะทอ้ นตำแหน่งท่ีแสง
ตกกระทบกับแสงสะท้อนบนพ้ืนผิวจะเป็นตำแหน่งเดยี วกัน
การหกั เหของแสง (Refraction)

หกั เห หมายถงึ การทแ่ี สงเคลอื่ นทผ่ี ่านตัวกลางหนึง่ ไปยงั อีกตัวกลางหนึง่ ทำให้แนวลำแสง
เกิดการเบี่ยงเบนไปจากแนวเดมิ เช่น แสงผา่ นจากอากาศไปยังน้ำ

128

การกระจายแสง
หมายถึง แสงขาวซง่ึ ประกอบด้วยแสงหลายความถต่ี กกระทบปรซิ ึมแลว้ ทำใหเ้ กิดการหักเห

ของแสง 2 ครั้ง (ที่ผวิ รอยต่อของปรซิ มึ ทั้งขาเข้า และขาออก) ทาให้แสงสีต่าง ๆ แยกออกจากกนั
อยา่ งเป็นระเบยี บเรยี งตามความยาวคลื่นและความถี่ ทีเ่ ราเรียกว่า สเปกตรัม (Spectrum)

การทะลผุ า่ น (Transmission)
การทะลุผา่ น หมายถงึ การท่ีแสงพงุ่ ชนตัวกลางแล้วทะลุผา่ นมนั ออกไปอกี ดา้ นหนึง่ โดยที่

ความถ่ีไมเ่ ปลี่ยนแปลงวัตถทุ ่ีมคี ุณสมบตั กิ ารทะลุผา่ นได้ เช่น กระจก ผลกึ ครสิ ตัล พลาสติกใส น้ำและ
ของเหลวตา่ ง ๆ
การดดู กลนื (Absorption)

การดดู กลนื หมายถึง การทแี่ สงถกู ดูดกลืนหายเข้าไปในตัวกลางท่ัวไปเมือ่ มีพลงั งานแสงถกู
ดดู กลนื หายเข้าไปในวตั ถใุ ด ๆเช่น เตาอบพลังงานแสงอาทิตย์ เครอื่ งต้มน้ำพลงั งานแสง และยังนำ
คุณสมบตั ิของการดดู กลืนแสงมาใช้ในชวี ติ ประจำวัน เชน่ การเลอื กสวมใส่เส้ือผา้ สขี าวจะดูดแสงน้อย
กวา่ สดี า จะเห็นไดว้ ่าเวลาใสเ่ สอ้ื ผ้าสดี ำ อยู่กลางแดดจะทำให้รอ้ นมากกวา่ สขี าว
การแทรกสอด (Interference)

การแทรกสอด หมายถึง การท่ีแนวแสงจานวน 2 เส้นรวมตวั กนั ในทศิ ทางเดยี วกัน หรอื
หักล้างกนั หากเปน็ การรวมกนั ของแสงทมี่ ีทิศทางเดยี วกนั กจ็ ะทำใหแ้ สงมคี วามสว่างมากขนึ้ แต่
ในทางตรงกันข้ามถ้าหกั ล้างกนั แสงกจ็ ะสวา่ งนอ้ ยลด การใช้ประโยชนจ์ ากการสอดแทรกของแสง
เชน่ กลอ้ งถา่ ยรูปเครอ่ื งฉายภาพตา่ ง ๆ และการลดแสงจากการสะทอ้ น สว่ นในงานการส่องสว่าง จะ
ใชใ้ นการสะท้อนจากแผ่นสะทอ้ นแสง

129

เลนส์
การเกิดภาพจากกระจกเงาและเลนส์ กระจกเงาราบ คอื กระจกแบนราบ ซ่ึงมดี า้ นหน่งึ สะท้อนแสง
ดังน้นั ภาพท่เี กิดขึ้นจึงเป็นภาพเสมือน อยูห่ ลงั กระจก มีระยะภาพเทา่ กับระยะวัตถุ และขนาดภาพ
เทา่ กับขนาดวัตถุ ภาพที่ได้จะกลบั ด้านกนั จากขวาเป็นซ้ายของวตั ถุจรงิ
กระจกเงาผิวโค้งทรงกลม กระจกเงาผวิ โคง้ ทรงกลม มีอยู่ 2 ชนดิ คอื กระจกเวา้ และกระจกนนู

1. กระจกเว้า คอื กระจกที่ใช้ผิวโคง้ เว้าเป็นผวิ สะทอ้ นแสง หรอื กระจกเงาที่รังสตี กกระทบ
และ รังสีสะทอ้ นอยู่ด้านเดียวกับจดุ ศูนย์กลางความโคง้

2. กระจกนูน คอื กระจกท่ีใช้ผวิ โคง้ นูนเปน็ ผวิ สะท้อนแสง และรงั สสี ะทอ้ นอยูค่ นละด้านกับ
จดุ ศูนยก์ ลางความโค้ง

ตารางแสดงตวั อยา่ งกระจกนนู และกระจกเวา้

กระจกนนู กระจกเว้า

1. ทันตแพทย์ใช้ส่องดูฟนั ผูป้ ่วย เพอื่ ให้เหน็ ภาพ 1. ใชต้ ดิ รถยนต์หรอื รถจกั รยานยนตเ์ พอ่ื ดรู ถท่ี

ของฟนั มีขนาดใหญก่ วา่ ปกติ ตามมาขา้ งหลงั และจะมองเห็นมุมท่กี ว้างกว่า

กระจกเงาราบ

2. ใชใ้ นกลอ้ งจุลทรรศน์เพือ่ ช่วยรวมแสงใหต้ กท่ี 2. ใชต้ ดิ ตง้ั บรเิ วณทางเล้ยี วเพื่อช่วยให้เห็นรถที่วงิ่

แผน่ สไลด์ เพ่ือทาให้เราเหน็ ภาพชดั ขึ้น สวนทางหรอื อ้อมมากไ็ ด้

พลงั งานทดแทน
พลังงานทดแทน หมายถงึ พลังงานท่ีนำมาใชแ้ ทนน้ำมันเชอ้ื เพลงิ สามารถแบง่ ตามแหล่งที่
ได้มากเปน็ 2 ประเภท คอื พลังงานทดแทนจากแหล่งที่ใช้แลว้ หมดไป อาจเรียกวา่ พลงั งาน
สิ้นเปลอื ง ไดแ้ ก่ ถา่ นหนิ ก๊าซธรรมชาติ นวิ เคลยี ร์ หนิ น้ำมนั และทรายน้ำมนั เป็นต้น และพลังงาน
ทดแทนอีกประเภทหน่งึ เปน็ แหล่งพลังงานทใ่ี ชแ้ ล้วสามารถหมนุ เวียนมาใชไ้ ด้อีก เรยี กว่า พลงั งาน
หมนุ เวยี น ได้แก่ แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล น้ำ และไฮโดรเจน เปน็ ต้น สถานภาพการใช้ประโยชนข์ อง
พลงั งานทดแทน การศกึ ษาและพฒั นาพลงั งานทดแทนเป็นการศึกษา คน้ ควา้ ทดสอบ พฒั นา และ
สาธิต ตลอดจนส่งเสริมและเผยแพร่พลงั งานทดแทน ซึง่ เปน็ พลังงานที่สะอาด ไมม่ ผี ลกระทบต่อ
ส่ิงแวดล้อม และเปน็ แหลง่ พลงั งานทีม่ อี ยู่ในทอ้ งถ่ิน เช่น พลงั งานลม แสงอาทิตย์ ชวี มวล และอน่ื ๆ
เพอื่ ให้มีการผลิต และการใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลาย มีประสิทธิภาพ และมคี วามเหมาะสมทั้ง
ทางดา้ นเทคนคิ เศรษฐกจิ และสงั คม สำหรับผู้ใช้ในเมือง และชนบท ซ่งึ ในการศกึ ษา คน้ ควา้ และ
พฒั นาพลงั งานทดแทนดังกลา่ ว ยงั รวมถึงการพัฒนาเครอ่ื งมือ เครอื่ งใช้ และอปุ กรณ์เพ่ือการใชง้ านมี
ประสิทธภิ าพสูงสุดดว้ ย งานศึกษา และพฒั นาพลังงานทดแทน เป็นส่วนหนึง่ ของแผนงานพัฒนา
พลงั งานทดแทน ซึง่ มโี ครงการท่เี ก่ียวขอ้ งโดยตรงภายใต้แผนงานนค้ี ือ โครงการศึกษาวจิ ยั ด้าน
พลงั งาน และมีความเชอื่ มโยงกบั แผนงานพัฒนาชนบทในโครงการจัดตง้ั ระบบผลิตไฟฟา้ ประจุ

130

แบตเตอรี่ด้วยเซลล์แสงอาทติ ยส์ ำหรับหมูบ่ ้านชนบททไ่ี มม่ ไี ฟฟ้า โดยงานศึกษา และพฒั นาพลังงาน
ทดแทนจะเปน็ งานประจำทม่ี ีลักษณะการดำเนนิ งานของกิจกรรมตา่ งๆ ในเชงิ กวา้ งเพื่อสนับสนุนการ
พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ทงั้ ในด้านวิชาการเชิงทฤษฎี และอปุ กรณ์เครื่องมือทดลอง และการ
ทดสอบ รวมถึงการส่งเสรมิ และเผยแพร่ ซ่ึงจะเป็นการสนับสนุน และรองรบั ความพรอ้ มในการจัดตง้ั
โครงการใหม่ๆ ในโครงการศึกษาวจิ ัยดา้ นพลังงานและโครงการอ่นื ๆ ทเ่ี กยี่ วข้อง เชน่ การศึกษา
ค้นควา้ เบ้ืองตน้ การติดตามความก้าวหน้าและรว่ มมือประสานงานกับหน่วยงานทีเ่ ก่ยี วข้องในการ
พฒั นาต้นแบบ ทดสอบ วิเคราะห์ และประเมินความเหมาะสมเบ้ืองตน้ และเป็นงานส่งเสรมิ การ
พัฒนาโครงการทกี่ าลงั ดาเนินการให้มคี วามสมบรู ณ์ยงิ่ ขนึ้ ตลอดจนสนับสนุนให้โครงการทเี่ สร็จส้นิ
แล้วได้นำผลไปดำเนนิ การส่งเสริม และเผยแพร่และการใช้ประโยชนอ์ ย่างเหมาะสมต่อไป

131

ใบงาน
1. ผู้เรียนวธิ ปี ระหยัดพลงั งานอย่างไร แล้วมีประสบการณ์ในการใชพ้ ลงั งานทดแทนอย่างไรบ้าง
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................

132

แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชา พว21001 วิทยาศาสตร์

จำนวน 4 หน่วยกิต

แบบ พบกลุ่ม จำนวน 20 ช่วั โมง

เรือ่ ง โลก บรรยากาศ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ส่งิ แวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ

ตวั ช้ีวัด

1. บอกสว่ นประกอบและวิธกี ารแบง่ ชัน้ ของโลก

2. อธิบายการเปลยี่ นแปลงของเปลอื กโลกโดยกระบวนการต่างๆ

เนือ้ หา

1.โลก

1.1โลก ส่วนประกอบและการแบ่งช้ันของโลก

1.2 ทรพั ยากรธรณใี นทอ้ งถนิ่ และประเทศ

1.3 การเปล่ยี นแปลงของเปลอื กโลก

ข้ันตอนการจดั กระบวนการเรยี นรู้
ขัน้ ที่ 1 การกำหนดสภาพ ปญั หา ความต้องการในการเรียนรู้ (O : Orientation)

1. ครูพูดคุยกับผู้เรยี นถงึ เรือ่ งบุคคลตา่ ง ๆท่เี ก่ยี วกบั นักวทิ ยาศาสตร์ ว่าผู้เรียนนึกถงึ ใครบา้ ง
และครูรูปภาพของนกั วทิ ยาศาสตรท์ ่ีช่อื กาลเิ ลโอ มาใหน้ กั ศกึ ษาวา่ รจู้ กั ไหมและ
นักวิทยาศาสตร์คนตา่ ง ๆ

ขน้ั ท่ี 2 การแสวงหาข้อมลู และจดั การเรียนร้(ู N : New ways of learning)
1. ครูใหผ้ ู้เรยี นดรู ปู ภาพและอธบิ ายพรอ้ มๆกัน
2. ครูนำใบความรเู้ ร่อื งการกำเนดิ โลกและความหมายของบรรยากาศและการแบ่งชัน้ ของ
โลกมาให้ผ้เู รียนได้ศึกษา

ข้นั ที่ 3 การปฏิบัตแิ ละนำไปประยกุ ต์ใช้ (I : Implementation)
1. ครูแบง่ กล่มุ ผู้เรียน กลุ่มละ 5 คน โดยให้ผูเ้ รียนระดมความคิด และอภิปรายกลมุ่ เรอื่ ง
ปรากฏการฝนตก
2. ครนู ำใบความรเู้ รอ่ื งการกำเนดิ โลกและความหมายของบรรยากาศและการแบง่ ชน้ั ของ
โลกมาให้ผู้เรยี นไดศ้ ึกษา
3. ครแู บ่งกลุ่มผู้เรียนชว่ ยกนั คิดและสรปุ ตามใบงานเรอื่ งสาเหตใุ ดจึงเกดิ ปรากฏการฝนตก
4. ครแู ละผ้เู รยี นชว่ ยกนั สรุปความหมายของการกำเนิดโลกและความหมายของบรรยากาศ
และการแบ่งชั้นของโลก ลงสมดุ บันทึก

133

ข้นั ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation)
1. ครแู บ่งกลุม่ ผ้เู รียนช่วยกนั คดิ และสรุปตามใบงานเรอ่ื งสาเหตใุ ดจึงเกิดปรากฏ
การฝนตก
2. ครูและผู้เรยี นชว่ ยกันสรปุ ความหมายของการกำเนดิ โลกและความหมายของบรรยากาศ
และการแบง่ ช้ันของโลก ลงสมดุ บันทกึ

ขนั้ สรุปและประเมนิ ผล
1. ครูสรปุ เนอื้ หาร่วมกบั ผเู้ รียน
2. ใหผ้ ู้เรียนประยกุ ต์ใหค้ วามรูโ้ ดยการทำโครงงานเก่ยี วกบั การกำเนิดของโลก
3. ผูเ้ รียนทำแบบทดสอบยอ่ ยและประเมนิ ผล

สื่อการเรียนรู้
1. รปู ภาพ
2. ใบงาน
3. หนังสอื หมวดวิชาวทิ ยาศาสตร์ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้
4. แบบทดสอบย่อย

การวดั ผลและประเมินผล
1. แบบทดสอบ
2. แบบประเมนิ กล่มุ

134

บันทึกผลหลงั การเรียนรู้
ผลท่เี กดิ กบั ผเู้ รียน
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ปญั หา/อุปสรรค
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
................................................................................................................................................

.................................................
(.......................................)

กิจกรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………….......................................
...............................................................................................................................................
ขอ้ เสนอแนะของผ้บู ริหาร
..................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................

......................................................
(.......................................)

135

ใบความรู้
โลก

โลก เป็นดาวเคราะห์ท่อี ยูห่ า่ งจากดวงอาทติ ยเ์ ปน็ ลำดบั ทสี่ าม โดยโลกเป็นดาวเคราะหห์ นิ
ขนาดใหญท่ ีส่ ุดในระบบสุรยิ ะ และเปน็ ดาวเคราะห์เพยี งดวงเดียวท่ีวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยืนยนั ได้วา่ มี
สงิ่ มชี ีวิตอาศัยอยู่ ดาวเคราะห์โลกถือกำเนดิ ขนึ้ เม่ือประมาณ 4,570 ล้าน (4.57×109) ปีก่อน และ
หลงั จากน้ันไม่นานนัก ดวงจนั ทร์ซ่งึ เป็นดาวบริวารเพยี งดวงเดยี วของโลกก็ถอื กำเนดิ ตามมา สงิ่ มชี ีวิต
ทรงภมู ิปญั ญาท่คี รองโลกในปัจจบุ นั น้คี ือมนษุ ย์

โลก มลี กั ษณะเปน็ ทรงวงรี โดย ในแนวด่ิงเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 12,711 กม. ในแนวนอน
ยาว 12,755 กม. ตา่ งกนั 44 กม. มีพื้นนำ้ 3 ส่วน หรอื 71% และมพี ื้นดนิ 1 ส่วน หรอื 29 %
แกนโลกจะเอียง 23.5 องศาสัญลักษณข์ องโลกประกอบด้วยกากบาทท่ีลอ้ มด้วยวงกลม โดยเส้นตั้ง
และเส้นนอนของกากบาทจะแทนเสน้ เมอริเดียนและเส้นศนู ย์สตู รตามลำดบั สัญลกั ษณอ์ ีกแบบของ
โลกจะวางกากบาทไว้เหนือวงกลมแทน (ยนู ิโคด: ⊕ หรือ ♁)
ประวัติ

โลกเกิดจากการรวมตวั ของอานุภาคและสิ่งแรทีเ่ กิดครงั้ แรกคอื ภูเขาไฟเมื่อภูเขาไฟเย็นตัวลง
จะกอ่ เกดิ ส่งิ มชี วี ิตอน่ื ๆกำเนิดตาม
โครงสรา้ งและองคป์ ระกอบ
รปู ร่าง

โลกมีรปู ทรงกระบอกแบนขัว้ หมายความวา่ มรี ปู ทรงกระบอกแตบ่ รเิ วณขัว้ โลกท้ังสองแบน
เล็กน้อย และโป่งออกทางเส้นศูนย์สตู ร ความยาวรอบโลกประมาณ 40,000 กโิ ลเมตร มีเสน้ ผ่าน
ศูนย์กลางประมาณ 12,700 กิโลเมตร จุดท่ีสงู ท่ีสุดบนพ้ืนโลกคือ ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ ซ่งึ มีความสูง
8,848 เมตรจากระดบั น้ำทะเล สว่ นจดุ ท่ีลึกท่ีสดุ ในโลกคอื ร่องลกึ ก้นสมทุ รมาเรียนา ซึ่งมคี วามลึก
10,911 เมตรจากระดับน้ำทะเล เนอื่ งจากโลกมีลกั ษณะโป่งออกทางตอนกลางคอื เสน้ ศูนยส์ ูตร ทำ
ให้จดุ ทห่ี า่ งไกลจากจุดศูนยก์ ลางโลกคือยอดเขาชิมโบราโซ ในประเทศเอกวาดอร์[1]

โครงสรา้ งเปลือกโลก
เปลอื กโลก (crust) เป็นชัน้ นอกสุดของโลกทีม่ ีความหนาประมาณ 60-70 กิโลเมตร ซ่งึ ถอื

วา่ เปน็ ช้ันที่บางท่ีสุดเมอื่ เปรียบกับช้นั อ่ืนๆ เสมือนเปลอื กไข่ไก่หรอื เปลือกหัวหอม เปลอื กโลก
ประกอบไปดว้ ยแผ่นดินและแผน่ น้ำ ซ่งึ เปลอื กโลกส่วนที่บางที่สดุ คือส่วนทอ่ี ยใู่ ตม้ หาสมุทร สว่ น
เปลือกโลกท่ีหนาที่สุดคอื เปลอื กโลกสว่ นทีร่ องรับทวปี ทมี่ เี ทอื กเขาที่สงู ทีส่ ุดอยดู่ ว้ ย นอกจากน้เี ปลอื ก
โลกยงั สามารถแบง่ ออกเป็น 2 ช้นั คอื

136

ชน้ั ที่หนึ่ง: ชน้ั หนิ ไซอัล (sial) เปน็ เปลือกโลกชน้ั บนสดุ ประกอบดว้ ยแร่ซิลกิ าและอะลมู ินาซึ่งเป็น
หนิ แกรนิตชนดิ หนึ่ง สำหรบั บริเวณผวิ ของชัน้ น้ีจะเปน็ หินตะกอน ช้ันหินไซอัลนม้ี เี ฉพาะเปลอื กโลก
สว่ นท่ีเป็นทวีปเท่าน้ัน สว่ นเปลือกโลกที่อยใู่ ต้ทะเลและมหาสมทุ รจะไมม่ หี ินช้ันน้ี
ช้นั ทส่ี อง: ช้นั หินไซมา (sima) เป็นช้ันทอี่ ยู่ใต้หินชั้นไซอลั ลงไป ส่วนใหญเ่ ปน็ หินบะซอลต์
ประกอบด้วยแร่ซลิ กิ า เหลก็ ออกไซด์และแมกนเี ซยี ม ชัน้ หนิ ไซมานี้หอ่ หุ้มทัว่ ทงั้ พนื้ โลกอยู่ในทะเล
และมหาสมุทร ซ่งึ ตา่ งจากหินช้นั ไซอัลทป่ี กคลุมเฉพาะสว่ นทเ่ี ป็นทวีป และยังมคี วามหนาแน่น
มากกว่าชัน้ หินไซอลั

รปู ตัดฉาบของโลกจากบรรยากาศช้ันเอ็กโซสเฟยี ร์ลงลงมา
แมนเทิล

แมนเทลิ (mantle หรือ Earth's mantle) คือชัน้ ที่อยู่ถดั จากเปลือกโลกลงไป มีความหนา
ประมาณ 3,000 กิโลเมตร บางสว่ นของหนิ อยู่ในสถานะหลอมเหลวเรยี กวา่ หนิ หนืด (Magma) ทำ
ให้ชนั้ แมนเทลิ นี้มคี วามร้อนสงู มาก เน่อื งจากหินหนืดมีอุณหภมู ิประมาณ 800 - 4300°C ซ่งึ
ประกอบด้วยหินอคั นีเป็นสว่ นใหญ่ เช่นหินอลั ตราเบสกิ หินเพรโิ ดไลต์ แก่นโลก
ความหนาแน่นของดาวโลกโดยเฉลยี่ คือ 5,515 กก./ลบ.ม. ทำใหม้ ันเป็นดาวเคราะห์ท่ีหนาแน่นที่สุด
ในระบบสุรยิ ะ แต่ถา้ วดั เฉพาะความหนาแน่นเฉล่ียของพ้นื ผวิ โลกแลว้ วัดได้เพยี งแค่ 3,000 กก./ลบ.
ม. เทา่ น้ัน ซึ่งทำให้เกิดขอ้ สรุปวา่ ต้องมีวัตถอุ ืน่ ๆ ท่หี นาแนน่ กวา่ อยู่ในแก่นโลกแนน่ อน ระหว่างการ
เกิดขึ้นของโลก ประมาณ 4.5 พนั ล้านปมี าแลว้ การหลอมละลายอาจทำใหเ้ กิดสสารท่ีมีความ
หนาแนน่ มากกวา่ ไหลเขา้ ไปในแกนกลางของโลก ในขณะทีส่ สารที่มคี วามหนาแนน่ นอ้ ยกว่าคลุม
เปลอื กโลกอยู่ ซ่งึ ทำใหแ้ กน่ โลก (core) มอี งค์ประกอบเปน็ ธาตุเหล็กถึง 80%, รวมถึงนิกเกลิ และธาตุ
ทม่ี นี ำ้ หนักท่ีเบากวา่ อ่นื ๆ แต่ในขณะทสี่ สารทม่ี ีความหนาแนน่ สูงอ่ืนๆ เช่นตะกัว่ และยูเรเนียม มอี ยู่
นอ้ ยเกินกว่าท่จี ะผสานรวมเขา้ กบั ธาตุทีเ่ บากวา่ ได้ และทำให้สสารเหลา่ นั้นคงที่อยบู่ นเปลอื กโลก
แกน่ โลกแบ่งไดอ้ อกเปน็ 2 ช้ันไดแ้ ก่
แกน่ โลกชน้ั นอก (outer core) มคี วามหนาจากผิวโลกประมาณ 2,900 - 5,000 กิโลเมตร
ประกอบด้วยธาตุเหลก็ และนิกเกลิ ในสภาพท่ีหลอมละลาย และมีความรอ้ นสูง มอี ุณหภูมิประมาณ
6200 - 6400 มีความหนาแน่นสัมพทั ธ์ 12.0 และสว่ นนม้ี สี ถานะเปน็ ของเหลว

137

แกน่ โลกช้นั ใน (inner core) เปน็ ส่วนท่ีอยู่ใจกลางโลกพอดี มีรศั มปี ระมาณ 1,000 กิโลเมตร มี
อณุ หภูมปิ ระมาณ 4,300 - 6,200 และมีความกดดันมหาศาล ทำให้สว่ นนี้จงึ มีสถานะเป็นของแข็ง
ประกอบด้วยธาตุเหลก็ และนิกเกิลทอ่ี ยูใ่ นสภาพที่เป็นของแขง็ มีความหนาแน่นสัมพัทธ์ 17.0
สภาพบรรยากาศ

สภาพอากาศของโลก คือ การถกู หอ่ หุ้มด้วยช้ันบรรยากาศ ซึง่ มที ง้ั หมด 5 ชนั้ ได้แก่
โทรโพสเฟยี ร์ เริ่มตั้งแต่ 0-10 กโิ ลเมตรจากผิวโลก บรรยากาศมไี อน้ำ เมฆ หมอกซ่งึ มคี วามหนาแนน่
มาก และมีการแปรปรวนของอากาศอยตู่ ลอดเวลา
สตราโตสเฟยี ร์ เริ่มตั้งแต่ 10-35 กิโลเมตรจากผิวโลก บรรยากาศชัน้ นี้แถบจะไมเ่ ปล่ยี นแปลงจาก
โทรโพสเฟยี รย์ กเวน้ มีผงฟุ่นเพิม่ มาเลก็ น้อย
เมโสสเฟยี ร์ เร่ิมต้ังแต่35-80 กิโลเมตร จากผวิ โลก บรรยากาศมีกา๊ ซโอโซนอยู่มากซึ่งจะช่วยสกดั
แสงอัลตรา้ ไวโอเรต (UV) จาก ดวงอาทติ ยไ์ ม่ให้มาถงึ พนื้ โลกมากเกินไป
ไอโอโนสเฟยี ร์ เริ่มต้งั แต่ 80-600 กโิ ลเมตร จากผิวโลก บรรยากาศมอี อกซเิ จน จางมากไมเ่ หมาะกับ
มนษุ ย์
เอกโซสเฟียร์ เร่มิ ตั้งแต่ 600กิโลเมตรขึ้นไปจากผิวโลก บรรยากาศมีออกซเิ จนจางมากๆ และมกี า๊ ซ
ฮีเลียมและไฮโดรเจนอยู่เปน็ สว่ นมาก โดยมชี ัน้ ติดต่อกบั อวกาศ
โลกมอี ณุ หภมู ิ 15 องศาเซลเซียส โดยเฉล่ยี
วงโคจรและการหมนุ รอบตวั เอง

โลกหมนุ รอบตัวเอง 24 ชัว่ โมงในหน่ึงวนั แต่นกั วทิ ยาศาสตร์คำนวณได้ 23.56 ช่ัวโมง แต่
จะใช้ 24 ช่ังโมงเปน็ หลัก และ 365 วนั ในหนง่ึ ปี โลกอยูห่ า่ งจากดวงอาทิตยป์ ระมาณ 150 ลา้ นไมล์
และเคลอ่ื นท่ีดว้ ยความเรว็ 30 กโิ ลเมตรตอ่ วนิ าที หรือ 108,000 ไมลต์ ่อช่ัวโมง
วงโคจรของดวงจันทร์ อยู่หา่ งจากโลก 250,000 ไมล์ ดวงจันทร์จะหันพ้ืนผิวดา้ นเดียวเข้าหาโลกอยู่
เสมอ และโคจรรอบโลกใช้เวลาประมาณหน่ึงเดอื น
โลกเป็นส่วนหน่ึงของระบบสรุ ยิ ะ และมวี งโคจรรอบดวงอาทติ ย์ร่วมกบั วัตถขุ นาดเล็กกว่าพันชิ้น และ
ดาวเคราะห์อีก 8 ดวง ดวงอาทิตยแ์ ละระบบสรุ ิยะเคลื่อนท่ีผ่านสว่ นแขนออรอิ อน ดาราจกั รทาง
ชา้ งเผือก และจะเคลือ่ นที่ครบรอบในอกี 10,000 ปีข้างหนา้
ดาวบรวิ าร
ดวงจนั ทร์
การอยูอ่ าศัย

เป็นถ่นิ ท่ีอยูเ่ ดียวในเอกภพท่คี ้นพบสง่ิ มชี วี ิต กลมุ่ ประชากรทีม่ ีมากทสี่ ุด คอื แบคทเี รยี กลมุ่
ประชากรท่มี ผี ลมากท่สี ุดถา้ หายไปจากโลก คอื พืช และกลุม่ ประชากรทม่ี ผี ลตอ่ ส่ิงแวดล้อมคอื ไพร
เมต โดยกลมุ่ น้มี ีเพียงสายพันธ์ุเดียวผลตอ่ โลกทัง้ การปรบั ปรงุ สภาพแวดล้อม และการทำลาย
สภาพแวดล้อม คอื มนษุ ย์
บรรยากาศ

138

บรรยากาศ คอื อะไร
อากาศทีอ่ ยูร่ อบ ๆ ตัวเรา และท่หี มุ้ หอ่ โลกจากตง้ั แต่พน้ื ดินขน้ึ ไป จนถงึ ระดับท่สี งู สุดในทอ้ งฟา้ เร
เรยี กวา่ บรรยากาศ อากาศ หรอื บรรยากาศ เปน็ สว่ นผสมของกา๊ ซตา่ ง ๆ รวมท้งั ไอนำ้ ซง่ึ ระเหยมา
จากพ้นื น้ำในแหลง่ ต่างๆและได้จากการคายน้ำของพืชดว้ ย อากาศท่ไี มม่ ไี อน้ำอยู่ดว้ ยเราเรยี กว่า
อากาศแหง้ สว่ นอากาศทมี่ ีไอนำ้ ปนอยดู่ ว้ ยเราเรยี กวา่ อากาศชื้น ไอน้ำในบรรยากาศมอี ยรู่ ะหวา่ งร้อย
ละ 0–4 ของอากาศทัง้ หมด แต่ไอนำ้ เป็นสว่ นผสมสำคัญย่งิ ของอากาศ เพราะไอนำ้ เปน็ สาเหตขุ อง
การเกดิ ฝน ลม พายุ ฟ้าแลบและฟ้ารอ้ ง อากาศแหง้ มีส่วนผสมของอากาศโดยประมาณ ดังน้ี
สว่ นประกอบของบรรยากาศ
อากาศแหง้ ประกอบดว้ ยแก๊สต่างๆ ดังนี้
** ไนโตรเจน 78
** ออกซเิ จน 21 %
** อารก์ อน 0.93 %
** กา๊ ซ อน่ื ๆ 0.07 %
ตามปกติในธรรมชาติจะไมม่ อี ากาศแหง้ แท้ ๆ อากาศทว่ั ไปสว่ นใหญจ่ ะเป็นอากาศชนื้ คอื มไี อน้ำอยู่
ดว้ ยตง้ั แตร่ ้อยละ 0–4 ซึ่งหมายความว่า ถา้ อากาศชื้นมีน้ำหนัก 1 กิโลกรมั จะมไี อนำ้ อยอู่ ย่างมากได้
เพียง 40 กรัม เมอ่ื อากาศมีไอนำ้ ปนอยู่ดว้ ยจำนวนสว่ นผสมของกา๊ ซอ่นื ก็จะเปลย่ี นแปลงไปบาง
เล็กน้อย
ไอน้ำ เกดิ ขนึ้ ไดจ้ ากการระเหยของนำ้ จากทะเล มหาสมุทร แหล่งนำ้ ต่างๆ ท่ีไดร้ ับ
พลงั งานความรอ้ นจากดวงอาทติ ย์ และการคายน้ำของพชื ไอนำ้ ในอากาศจะมากหรอื น้อย
ขึ้นกับอณุ หภูมิ ถา้ อุณหภูมสิ ูงปริมานไอนำ้ ในอากาศก็จะมากกว่าทอี่ ณุ หภมู ติ ำ่
ฝนุ่ ละออง เป็นของแข็งท่ีมขี นาดเล็กมากลอยปะปนในอากาศ แบง่ ออกเป็น 2 กลุ่มคอื
1. ฝนุ่ ละอองจากธรรมชาติ เชน่ ภูเขาไฟระเบดิ ไฟป่า
2. ฝ่นุ ละอองจากกิจกรรมมนุษย์ เชน่ การเผาไหม้เช้ือเพลงิ โรงงานอตุ สาหกรรม
ฝุ่นละอองทำหนา้ ท่ีเปน็ ตัวยดึ เกาะของหยดน้ำในอากาศ ทำให้หยดน้ำสามารถลอยอยู่และรวมตัวกนั
เป็นเมฆได้ แต่ถา้ มฝี ุน่ มากจะทำให้ทศั น์วิสัยในการมองเห็นลดลง เป็นอันตรายตอ่ สขุ ภาพ
สามารถแบง่ ออกได้ 3 แบบ ดังตอ่ ไปนี้
แบ่งโดยใชอ้ ุณหภูมิเป็นเกณฑ์ แบ่งได้ 4 ช้ัน
แบ่งโดยใช้กา๊ ซเปน็ เกณฑ์ แบ่งได้ 4 ช้นั
แบ่งทางอตุ ุนิยมวทิ ยา แบง่ ได้ 5 ชั้น
กา๊ ซทเ่ี กี่ยวกับช้ันบรรยากาศที่สำคัญมอี ยู่ 2 ก๊าซ คือ
โอโซน(ozone)เป็นกา๊ ซที่สำคญั มากต่อมนษุ ย์ เพราะช่วยดดู กลืนรงั สีอลุ ตราไวโอเลตที่มาจากดวง
อาทติ ย์ ไม่ให้ตกสูพ่ ื้นโลกมากเกนิ ไป
ถา้ ไม่มโี อโซนก็จะทำใหร้ ังสีอลุ ตราไวโอเลตเข้ามาสู่พ้ืนโลกมากเกินไป ทำให้ผวิ หนงั ไหม้เกรยี ม แตถ่ ้า

139

โอโซนมมี ากเกินไปก็จะทำให้รังสอี ุลตราไวโอเลต
มาสพู่ ืน้ โลกน้อยเกนิ ไปทำใหม้ นุษย์ขาดวติ ามิน D ได้ โดยโอโซนนี้เป็นก๊าซท่ปี ระกอบดว้ ย ออกซิเจน
3 อะตอมรวมกนั
ซีเอฟซี (CFC=Chlorofluorocarbon)เปน็ ก๊าซทีป่ ระกอบดว้ ย คาร์บอน ฟลอู อรนี คลอรนี ซง่ึ ได้
นำมาใช้ในอตุ สาหกรรมบางชนิด เช่น ผลติ พลาสติก โฟม ฯ โดยก๊าซCFCนม้ี นี ำหนกั เบามาก ดงั นั้น
เม่อื ปล่อยสู่บรรยากาศมากขึ้นจนกระทั่งถึงชน้ั สตราโตสเฟียร์ CFCจะกระทบกบั รังสอี ุลตราไวโอเลต
แล้วแตกตวั ออกทนั ทีเกิดอะตอมของคลอรีนอิสระท่จี ะเขา้ ทำปฏกิ ริยากับโอโซน ไดส้ ารประกอบมอน
อกไซดข์ องคลอรนี และกา๊ ซออกซิเจน จากนนั้ สารประกอบมอนอกไซด์จะรวมตัวกับอะตอน
ออกซิเจนอิสระ เพ่ือที่จะสรา้ งออกซิเจนและอะตอมของคลอรนี ปฏกิ รยิ าน้จี ะเป็นลกู โซ่ต่อเนือ่ งไม่
สิ้นสุด โดยคลอรียอสิ ระ 1 อะตอมจะทำลายโอโซนไปจากช้นั บรรยากาศได้ถงึ 100,000โมเลกุล

การจำแนกบรรยากาศโดยใชอ้ ณุ หภูมิเป็นเกณฑ์ แบง่ ได้ 4 ชนั้ ดงั น้ี
1. โทรโพรสเฟยี ร์ อยูร่ ะหวา่ ง 0-10 กม. โดยอุณหภมู ิจะคอ่ ยๆลดลงตามความสงู โดยเฉลยี่ กม.ละ
6.5 องศา c เปน็ ชัน้ ที่สำคัญมากเพราะเป็นบรเิ วณทม่ี ีไอนำ เมฆ หมอก และพายุ
2. สตราโตสเฟียร์ อยรู่ ะหวา่ งความสงู 10-50 กม. เป็นชั้นท่ไี ม่มเี มฆ มกั ใชใ้ นการเดินทางทางอากาศ
โดยอุณหภมู จิ ะคงท่ี จนถึงความสูง 50 กม. และจะเพมิ่ ข้นึ อยา่ งรวดเร็วในอตั รา 0.5 องศาc ต่อ 1
กม.
3. มีโซสเฟียร์ เปน็ ชั้นบรรยากาศระหว่าง 50-80 กม. โดยอณุ หภูมิจะลดลงตามความสงู
4. เทอรโ์ มสเฟยี ร์ ตั้งแต่ 80-500กม. อณุ หภมู จิ ะสงู ขึ้นอยา่ งรวดเรว็ ในช่วงแรกแล้วอัตราการสูงขึน้
จะลดลงอณุ หภูมิจะอยู่ระหวา่ ง 227-1727 องศา c โดยชนั้ นจี้ ะมีความหนาแน่นของอนุภาคต่างๆ
จางมาก แตก่ า๊ ซต่างๆ ในช้ันนี้จะอยใู่ นลักษณะทเ่ี ปน็ อนภุ าคที่เป็นประจุไฟฟ้าเรยี กว่า อิออน สามารถ
สะท้อนคลน่ื วทิ ยุได้ บรรยากาศในชั้นนถ้ี อื เป็นบริเวณทเี่ ปลี่ยนจากบรรยากาศของโลกมาเปน็ กา๊ ซ
ระหว่างดาวท่เี บาบาง และเป็นชัน้ นอกสุดของบรรยากาศทห่ี ่อหุม้ โลก เรยี กวา่ เอกโซสเฟียร์ โฮโมส
เฟยี ร์ คือ ชือ่ เรียกบรรยากาศช้ัน โทรโพรสเฟียร์ สตราโตสเฟยี ร์และมีโซสเฟียร์รวมกัน
แบ่งชนั้ บรรยากาศโดยใช้ก๊าซเป็นเกณฑ์ แบง่ ได้ 4 แบบ คือ
1. โทรโพสเฟียร์ เปน็ บรรยากาศทอี่ ยู่ตดิ กับพื้นโลก สูง 0-10 กม. มีก๊าซท่ีสำคญั คือ ไอนำ้
2. โอโซโนสเฟยี ร์ เปน็ ชั้นบรรยากาศสงู 10-50 กม. มีก๊าซท่ีสำคัญคอื โอโซน
3. ไอโอโนสเฟยี ร์ เป็นชน้ั บรรยากาศสงู 80-600 กม. มสี ง่ิ ทสี่ ำคัญคือ อิออน
4. เอกโซเฟียร์ เป็นชน้ั บรรยากาศซงึ่ สูงตัง้ แต่ 600 กม. ข้นึ ไป โดยความหนาแน่นของอะตอมตา่ งๆมี
ค่านอ้ ยลง
การแบง่ ชน้ั บรรยากาศทางอุตุนิยมวิทยา แบง่ ได้ 5 ชั้น ดงั น้ี
1. บริเวณที่มอี ทิ ธพิ ลความฝืด ระหวา่ ง 0-2 กม.
2. โทรโพสเฟียร์ช้นั กลางและบน อณุ หภูมิจะลดลงสม่ำเสมอ ตามความสงู

140

3. โทรโพพอส เป็นเขตแบง่ วา่ มไี อนำ้ กบั ไม่มไี อนำ้
4. สตราโตสเฟยี ร์ มโี อโซนมาก
5. บรรยากาศชนั้ สงู คลา้ ยกับเอกโซสเฟียร์

รปู ถา่ ยโลก ถ่ายไว้เมอื่ ปี พ.ศ. 2515 โดยยานอะพอลโล่ 17
ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เป็นปรากฏการณ์ที่มนุษย์ไมไ่ ดส้ ร้างข้นึ เอง และมผี ลกระทบกบั
มนษุ ย์ ตวั อยา่ งเชน่ เหตกุ ารณท์ ี่พบเห็นทั่วไป ฝนตก ฟ้ารอ้ ง ฟา้ ผ่า พายุ และเหตกุ ารณ์ทไี่ มพ่ บบอ่ ย
นัก เช่น โลกร้อน สรุ ิยปุ ราคา ฝนดาวตก
ปรากฏการณ์ คอื อะไร
ปรากฏการณ์ คือ สงิ่ ทีเ่ กิดขนึ้ และสังเกตได้
ธรรมชาติ คอื อะไร
คำว่า ธรรมชาติ ใช้สำหรบั บรรยายทุกสงิ่ บน โลก ท่ีไมไ่ ด้ถกู สรา้ งโดยมนษุ ย์ อาทิเช่น มนษุ ย์
สตั ว์ ภเู ขา แมน่ ้ำ ต้นไม้ หรือฝน เปน็ ส่วนหน่ึงของธรรมชาติ
ธรรมชาติในอีกความหมายหนงึ่ คือ ส่งิ ที่มนุษยก์ ระทำขน้ึ โดยไม่รตู้ ัวแลว้ มนษุ ย์อกี คนหนง่ึ แอบ
มองโดยไมไ่ ดต้ ่ังใจหรือต่งั ใจ เช่น ธรรมชาตขิ องคนทโี่ กรธจัดจะเป็นอีกแบบกับคนทอ่ี ารมณด์ ีซ่งึ คนที่
อารมณ์ดจี ะหนา้ ดกู วา่ คนท่ีอารมโกรธหรืออารมณ์ไม่ดี
การเกิดปรากฏการณธ์ รรมชาติ

141

ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ถ่ายไว้เมือ่ ปี พ.ศ. 2525

ในหลายๆ ด้านแลว้ กล่าวไดว้ ่าธรรมชาติและมนุษยม์ ีหลายอยา่ งท่ขี ดั แยง้ กนั บางคนมอง
ธรรมชาติวา่ เป็นเพียงทรพั ยากรธรรมชาติท่เี อามาเปน็ ประโยชนต์ อ่ มนษุ ยเ์ ทา่ น้ัน มนุษยต์ ัดต้นไม้เพอื่
นำไมไ้ ปเปน็ เชอ้ื เพลงิ หรอื นำไปสร้างบา้ น หรอื เพื่อนำท่ีดนิ ไปทำสวน ปลกู ผัก หรอื สรา้ งรถ และ
โรงงานอุตสาหกรรม ซงึ่ ปล่อยควันเสีย โดยเฉพาะในเมือง หรอื การทม่ี นุษย์จับปลาอย่างมากมายโดย
ฆ่าทัง้ ปลาและทำอันตรายต่อสัตว์อืน่ ๆ ใต้น้ำ

ในขณะท่ีบางคนเลอื กท่ีจะไม่ทำรา้ ยธรรมชาติ เพราะพวกเขารสู้ กึ ว่าธรรมชาติมคี วามจำเป็น
ตอ่ พวกเขา พวกเขาจึงพยายามทำสง่ิ ท่ีไมม่ ผี ลกระทบต่อธรรมชาติ โดยเฉพาะในเมอื งใหญท่ ีม่ ผี ู้คน
มากมาย ปญั หาธรรมชาติจงึ เปน็ ปญั หาที่ร้ายแรง และกลายเปน็ เรือ่ งการเมืองไปเสียแลว้
มีบางคนคิดวา่ อนาคตน้มี นุษยจ์ ะไมต่ อ้ งการธรรมชาติ และฉลาดพอท่ีจะสร้างส่งิ ตา่ งๆ ทดแทน
ธรรมชาตไิ ด้ แต่อันท่ีจริงแล้ว มนษุ ยเ์ องกเ็ กิดจากธรรมชาตแิ ละธรรมชาตกิ ็สร้างมนุษย์ มนุษยเ์ ปน็ สัตว์
ชนิดเดียวทม่ี สี มองอันชาญฉลาด มีความสามารถทีจ่ ะปกป้องธรรมชาติจากอันตราย และชว่ ยเหลือ
ส่งิ มีชีวติ ชนิดอืน่ ได้ หากธรรมชาตเิ สอ่ื มโทรมลงไป มนษุ ยอ์ าจจะต้องอยู่อย่างลำบากมากขน้ึ นี่จงึ เป็น
เหตผุ ลทเ่ี ราควรจะดแู ลรกั ษาธรรมชาติ ธรรมชาติสามารถแสดงใหม้ นุษย์เหน็ ว่าจะทำสง่ิ ต่างๆ ได้
อยา่ งไร และมนุษยศ์ กึ ษาธรรมชาติ เพ่ือทจ่ี ะเขา้ ใจและแกป้ ัญหาตา่ งๆ ได้อยา่ งถูกต้อง

142

พระอาทิตย์ทรงกลด
ผลกระทบจากปรากฏการณธ์ รรมชาติ

ปรากฏการณ์ธรรมชาติ คอื การเปล่ียนแปลงของธรรมชาติ ท้งั ในระยะยาวและระยะสั้น
สภาพแวดลอ้ มของโลกเปล่ยี นแปลงไปตามเวลา ท้ังเปน็ ระบบและไม่เปน็ ระบบ เปน็ ส่งิ ที่อยูร่ อบตวั เรา
มันสง่ ผลกระทบตอ่ เรา ในธรรมชาติ การเปลีย่ นแปลงบางอยา่ ง มีผลกระทบตอ่ เรารุนแรงมาก
ยกตวั อยา่ งเรื่องสนึ ามิ การเกิดแผน่ ดนิ ไหวน้นั พยากรณ์ยากมาก เราจัดการสนึ ามิ โดยเอาระเบิด
ปรมาณูไปถล่มมันกไ็ ม่ได้ แตข่ องพวกน้ถี ้ารู้กอ่ นสบิ นาที มปี ระโยชน์เยอะเลย รู้ก่อนสองช่วั โมง รักษา
ชีวติ คนได้เป็นหมน่ื ดนิ ฟ้าอากาศก็เชน่ เดียวกนั
การป้องกนั ผลจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ

ถ้าหากเราเฝ้าสังเกตความเปล่ียนแปลง จนทราบได้ว่าจะมกี ารเปลย่ี นแปลงทร่ี นุ แรงเกดิ ข้นึ ก็
จะสามารถป้องกันและแก้ไขได้อยา่ งทันทว่ งที อย่างเชน่ การวัดรังสีอัลตราไวโอเลต็ ทข่ี ว้ั โลกใต้ วัดอยู่
ไมก่ ปี่ กี ็พบวา่ มีรรู ัว่ ของช้ันโอโซน ทขี่ ว้ั โลกใต้ สร้างให้เกดิ ความตื่นตวั ในการลดการใช้สาร CFC มา
จนถึงทกุ วนั น้ี แต่ถา้ ไมม่ ใี ครสังเกตเหน็ กจ็ ะเกิดผลรา้ ยท่รี นุ แรงมากข้ึน

143

แบบทดสอบ

คำชีแ้ จง : ให้นกั ศึกษาใชเ้ ครอ่ื งหมาย X ทับข้อทถี่ ูกทีส่ ุดเพยี งข้อเดยี ว

1. ข้อใดคือ ความหมายของ บรรยากาศ

ก. บรเิ วณท่ไี ม่มีอากาศ ข. อากาศที่ปกคลมุ บริเวณกวา้ งใหญแ่ ละสงู

ค. บรเิ วณท่มี คี วามกดอากาศสงู อณุ หภูมิสูง ง. อากาศที่บรสิ ุทธิอ์ ยใู่ นเนอื้ ที่จำกัด

2. ข้อใดจะมคี วามดันของบรรยากาศมากท่ีสดุ

ก. ก้นเหว ข. ยอดภูเขา ค. กลางทงุ่ นา ง. ระดบั น้ำทะเล

3. ขอ้ ใดคือเครอ่ื งมอื วัดความดันอากาศ

ก. บารอมิเตอร์ ข. เทอร์โมมิเตอร์ ค. โวลต์มิเตอร์ ง. แอมมิเตอร์

4. ช้นั บรรยากาศที่อยู่ต่ำสุด คือชั้นขอ้ ใด

ก. สตราโตสเฟยี ร์ ข. ไอโอโพสเฟยี ร์ ค. โทรโพสเฟียร์ ง. เอกโซสเฟยี ร์

5. อากาศ มีคุณสมบัติ ตามขอ้ ใด

ก .แข็ง ข. เหลว ค. มนี ้ำหนัก ง. ออ่ น

6. สาเหตุที่ทำให้เกิดลมบกลมทะเล คอื อะไร

ก. ความจุความร้อนและการคลายความร้อนระหวา่ ง พืน้ ดนิ และพน้ื นำ้

ข. ความกดอากาศบนพ้ืนดนิ และพนื้ นำ้ เท่ากนั

ค. ความช้นื ระหวา่ งพืน้ ดินและพน้ื น้ำ

ง. ความสูงต่ำระหว่างพืน้ ดนิ และพนื้ น้ำ

7. พายุ มักจะเกิดบรเิ วณขอ้ ใด

ก. ความกดอากาศสูง ข. ความกดอากาศต่ำ

ค. ความชน้ื ของอากาศสูง ง. ความช่ืนของอากาศต่ำ

8. พายอุ ะไรทีด่ ูดเอานำ้ จากทะเลขน้ึ สงู เปน็ ลักษณะงวงช้างได้

ก. ไตฝ้ นุ่ ข. สลาตนั ค. ทอร์นาโด ง. ดีเปรสช่ัน

9. เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้วัดความเร็วของลม ชอื่ วา่ อะไร

ก. บารอมเิ ตอร์ ข. เทอรโ์ มมิเตอร์ ค. ไซโครมิเตอร์ ง. แอนนโิ มมเิ ตอร์

10. กจิ การขอ้ ใดทเ่ี กย่ี วกบั การตรวจสอบบรรยากาศมากที่สุด

ก. ชลประทาน ข. อทุ กศาสตร์ ค. อตุ ุนิยมวทิ ยา ง. พัฒนาการ

11. เวลาฝนตก อากาศชืน้ มาก เพราะเหตุข้อใด

ก. ความเย็นของพนื้ ดิน ข. ความร้อนของพื้นดิน

ค. ความกดอากาศสงู ง. ความกดอากาศตำ่

144

12. อะไรที่ไมไ่ ดเ้ กิดจากไอนำ้

ก. เมฆ ข. หมอก ค. ลูกเห็บ ง. สูญญากาศ
ง. จดุ ควบแนน่
13. อุณหภูมิ ทไ่ี อนำ้ ในอากาศเร่ิมกลนั่ ตัวเป็นหยดนำ้ เรียกว่าอะไร ง. มีน้ำนอ้ ย
ง. เหงื่อระเหยชา้
ก. จดุ คงท่ี ข. จุดน้ำค้าง ค. จุดหลอมเหลว ง. หินดนิ ดาน
ง. ของเหลว
14. อากาศแหง้ หมายถงึ อากาศท่มี ีลกั ษณะอยา่ งไร ง. หินแกรนติ
ง. หนิ ดินดาน
ก. ร้อนจัด ข. หนาวเยน็ ค. มฝี ุ่นมาก ง. หนิ ดนิ ดาน

15. คา่ ความช้นื สัมพัทธ์สูง เราจะร้สู กึ อย่างไร

ก. อดึ อัด ข. คอแห้ง ค. เยน็ สบาย

16. หินทีเกิดจากแมกมาภเู ขาไฟ คือหนิ อะไร

ก. หนิ ชนั้ ข. หินอัคนี ค. หินแปร

17. ส่ิงที่หลอมเหลวจากภูเขาไฟเรยี กวา่ อะไร

ก. ลาวา ข. แมกมา ค. แกรนติ

18. หนิ อะไรทเี่ กดิ จากการสกึ กร่อนของหินอัคนี ไปทับถมกนั เป็นช้ัน

ก. หนิ ช้ัน ข. หนิ แปร ค. หนิ ตะกอน

19. หินชนดิ ข้อใดทีม่ ีความแขง็ มากทสี่ ดุ

ก. หนิ ชั้น ข. หินอคั นี ค. หินแปร

20. หนิ ชนดิ ข้อใดได้ชื่อว่าเป็นหินด้ังเดมิ ของโลก

ก. หนิ ชน้ั ข. หินอัคนี ค. หนิ แปร

เฉลย
1.ข 2.ก 3.ก 4.ค 5.ค
6.ก 7.ก 8.ค 9.ง 10.ค
11.ง 12.ง 13.ง 14.ง 15.ก
16.ข 17.ก 18.ค 19.ข 20.ข

145

ใบงาน
ใหน้ กั ศกึ ษาอธบิ ายถงึ สาเหตุการเกดิ ปรากฏการฝนดาวตก

146

แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชา พว21001 วทิ ยาศาสตร์

จำนวน 4 หนว่ ยกิต

แบบ พบกลมุ่ จำนวน 6 ช่ัวโมง

เรอื่ ง อาชพี ชา่ งไฟฟา้

ตัวชว้ี ัด อธบิ าย การออกแบบ วางแผน ทดลอง ทดสอบ ปฏิบัติการเรื่องไฟฟ้าได้อย่างถกู ต้องและ

ปลอดภัยคิด วเิ คราะห์ เปรยี บเทียบขอ้ ดี ข้อเสยี ของการต่อวงจรไฟฟา้ แบบอนุกรม แบบขนาน แบบ

ผสม ประยกุ ต์ และเลือกใช้ความรู้ และอาชพี ช่างไฟฟา้ ให้เหมาะสม กบั ดา้ นบริหารจดั การ

เน้ือหา 1.วัสดอุ ปุ กรณ์เครอื่ งมอื ช่างไฟฟา้

2. วสั ดอุ ปุ กรณ์ที่ใช้ในวงจรไฟฟ้า

3.การตอ่ วงจรไฟฟา้ อย่างง่าย

4.กฎของโอห์ม

5. การเดินสายไฟฟ้าอย่างงา่ ย

6. ความปลอดภัยและอบุ ัติเหตจุ ากอาชีพช่างไฟฟา้

7. การบริหารจดั การและการบริการ

8. โครงงานวิทยาศาสตร์สอู่ าชีพ

9. คำศพั ท์ไฟฟ้า

ขน้ั ตอนการจัดกระบวนการเรียนรู้

ขั้นท่ี 1 การกำหนดสภาพ ปญั หา ความตอ้ งการในการเรยี นรู้ (O : Orientation)

ครสู นทนากบั ผูเ้ รียนเก่ยี วการการดำเนินชีวติ ท่ีอยู่ปัจจบุ ันและประเทศเพอื่ นบ้าน ถ้าไมม่ ี

ไฟฟา้ จะเป็นอย่างไร ครสู นทนาเพิ่มเติมวา่ ผู้เรียนมีความรเู้ กีย่ วกบั ความปลอดภยั ขอ้ ดี ข้อเสีย ของ

การใช้วัสดเุ ครื่องมอื ไฟฟา้ และการเลอื กใชว้ สั ดุให้เหมาะสมกับตนเองหรือครอบครัวอย่างไรของแตล่ ะ

ประเทศในประเทศสมาคมอาเซียน

ข้นั ที่ 2 การแสวงหาข้อมูล และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning)

1. ครใู หค้ วามรูเ้ ก่ยี ววัสดุเครอ่ื งมอื ชา่ งไฟฟ้าและขอ้ ควรระวงั ในวิธีการเลือกใชว้ สั ดุอุปกรณ์

เครือ่ งมือช่างไฟฟ้าได้อยา่ งถกู ตอ้ ง และปลอดภยั

2. ให้ผ้เู รยี นแบ่งกลุ่มออกเปน็ 4 กลมุ่ เพอื่ สืบคน้ ข้อมูลจากใบความร้แู ละแหลง่ เรียนรู้

อภิปรายและอธบิ ายเกย่ี วกับเครือ่ งมอื ชา่ งไฟฟ้า และหลักการตอ่ วงจรไฟฟ้าบา้ น และ

สร้างแบบจำลองติดตั้งวงจรไฟฟ้าในบ้านอย่างถูกตอ้ งปลอดภัยและประหยัด จากใบงาน

และแหลง่ เรยี นรู้

3. ให้ผ้เู รียนแบง่ กลุม่ จากการเรยี นรู้จากเน้ือหาท่เี กยี่ วกบั โครงงาน ใหผ้ เู้ รียนจดั ทำโครงงาน

เกยี่ วไฟฟ้าท่ีใชใ้ นชวี ติ ประจำวัน และให้นำเสนอในการพบกลุม่ ครงั้ ตอ่ ไป

4. ครูให้ความร้เู พิ่มเตมิ ในเร่ืองกฎของโอหม์ และใหผ้ ู้เรยี นศึกษาจากใบความรู้เรือ่ งกฎของ

โอหม์

147

5. ครสู ุม่ ตัวแทนแต่ละกล่มุ ออกมาอภิปรายผลการจัดกจิ กรรม
6. ครูอธบิ ายอธิบายเพิม่ เตมิ เกี่ยวกับการใชเ้ ครอ่ื งใช้ไฟฟ้าอย่างงา่ ย
ข้ันท่ี 3 การปฏบิ ตั แิ ละนำไปประยุกตใ์ ช้ (I : Implementation)
1. นกั ศกึ ษาได้นำความร้จู ากการเรยี นร้ไู ปปรบั ใชใ้ นการดำเนนิ ชวี ติ ประจำวนั และความ

ปลอดภัยในการใช้ไฟฟ้า
2. นักศกึ ษาเลอื กใชว้ ัสดุเคร่อื งมอื ช่างไฟฟ้าไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
สื่ออปุ กรณ์และแหลง่ เรยี นรู้
1.ใบความรเู้ รื่อง เครอื่ งมือวสั ดุอุปกรณ์ การบำรุงรักษาเคร่ืองมอื ชา่ งไฟฟา้
ความรกู้ ารตอ่ วงจรไฟฟา้ กฎของโอหม์ คำศพั ท์ทางไฟฟ้า
2. cd , vcd วดี ทิ ัศน์เกี่ยวกับช่างไฟฟ้า
3.หนังสือเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น
ข้นั ที่ 4 การประเมนิ ผล (E : Evaluation)
1.ใบงาน
2. การมีสว่ นร่วม
3. โครงงาน
4.การเข้ารว่ มกิจกรรม


Click to View FlipBook Version