148
บนั ทกึ ผลหลังการเรียนรู้
ผลทเี่ กิดกบั ผ้เู รียน
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ปญั หา/อปุ สรรค
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
................................................................................................................................................
.................................................
(.......................................)
กิจกรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………….......................................
...............................................................................................................................................
ขอ้ เสนอแนะของผูบ้ ริหาร
..................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................
......................................................
(.......................................)
149
ใบความรู้
เครื่องมอื วัสดุ อุปกรณ์ การบำรุงรักษา
เคร่ืองมอื ท่ีใช้ในงานไฟฟา้
เครอื่ งมือเป็นส่ิงจำเปน็ และสำคัญของช่างไฟฟ้า ช่างไฟฟ้าท่ีดีจะตอ้ งรูจ้ กั การใชเ้ ครื่องมอื ให้
ถกู ต้องตลอดจนการระวงั รกั ษาเคร่ืองมือ เครอื่ งมือชา่ งไฟฟา้ มีมาก ทจ่ี ำเปน็ สำหรับนักเรยี นใช้ในการ
ปฏิบตั ิงานไฟฟ้าเบอ้ื งตน้ มีดงั นี้ คือ
1. คมี เปน็ เครื่องมือทจ่ี ำเป็นมากสำหรับช่างไฟฟ้า คีมใชส้ ำหรบั ตดั ดัด งอ โค้ง และปอก
สายไฟฟา้ คมี ทีด่ ีนัน้ จะตอ้ งปลอดภยั ในการปฏบิ ตั ิงาน คือดา้ มเป็นชนวนหุม้ อยา่ งดี อาจจะใชย้ างหรือ
พลาสติกกไ็ ด้ คีมท่ีใชใ้ นการปฏิบัตงิ าน
ไฟฟา้ พอจะแยกออกได้ 4 อยา่ งคอื
ก. คมี ปอกสาย
ข. คมี จับ
ค. คีมปากจงิ้ จก
ง. คีมตดั
กข ค ง
ข้อควรระวังในการใชค้ ีม
150
1.ใช้แลว้ ต้องทำความสะอาดเสมอ
2. กอ่ นเก็บใช้น้ำมันชโลมเสียก่อน
3. อยา่ เก็บไว้ในท่ชี น้ื จะทำใหเ้ กิดสนมิ ไดง้ า่ ย
4. ถ้าด้ามทห่ี ้มุ ฉนวนชำรุดตอ้ งรบี ซ่อมทนั ที เพราะอาจจะไมป่ ลอดภัยในการปฏิบตั ิงาน
2. ไขควง ไขควงหรอื บางทีเรยี กวา่ “สกรูไร” เปน็ เครอ่ื งมอื ของช่างไฟฟา้ ที่ขาดไม่ได้
โดยเฉพาะอุปกรณ์เล็กๆ นอ้ ย ๆ ภายในบา้ น เช่น ตอ่ ฟิวส์ สวทิ ช์ ดวงโคม ฯลฯ ไขควงใช้สำหรับขัน
ตะปเู กลยี วหรอื สกรใู ห้แนน่ หรอื ใช้ถอนตะปู เกลียวใหห้ ลุดออกจากทย่ี ดึ ไขควงส่วนมากทำด้วยเหล็ก
เหนยี วปลายแบนด้ามใช้ไมห้ รือพลาสติก ไขควงมีหลายชนิดตามลกั ษณะทใ่ี ชง้ านคอื
ก. แบบท่ีใช้กันทว่ั ไป (standard type) คอื เป็นแบบธรรมดามหี ลายขนาดต้ังแตข่ นาดเล็กถงึ
ขนาดใหญส่ ั้นยาวแตกต่างกนั ใช้ตามลกั ษณะของงาน
ข. แบบออฟเซต (offset type) มลี กั ษณะงอเป็นมุมฉากมีทีจ่ บั ยดื ตรงกลางเหมาะในการใช้
งานทอ่ี ยใู่ นทจี่ ำกัดซ่ึงไขควงธรรมดาใชไ้ ม่ได้
ค. แบบฟิลปิ ส์ (phillips type) ปลายเปน็ แฉก ๆ 4 แฉกใช้สำหรบั ขันหรอื คลายสกรูที่มีหัว
เปน็ กากบาดหรอื มีหวั เปน็ รูปสแี่ ฉก นอกจากน้ียังมีไขควงทีส่ ามารถใชง้ านไดเ้ อนกประสงค์คือ ไขควง
เชค็ ไฟ โดยบางชนดิ สามารถเปลีย่ นปลายไดห้ ลายแบบ คอื ปลายแบน ปลายแฉก ปลายหกเหล่ยี ม
และใช้เช็คจุดที่มไี ฟฟ้าไดด้ ว้ ย
ข้อควรระวงั ในการใช้ไขควง
1. อย่าใช้ไขควงแทนส่ิวหรอื สกดั
2. อย่าใช้ไขควงงดั อาจจะทำใหง้ อไดง้ ่าย
3. อย่าใช้ดา้ มไขควงแทนค้อน
4. เม่อื ชำรดุ รีบซ่อมทนั ที
151
ใบความรู้
การตอ่ วงจรไฟฟ้า
วงจรไฟฟ้า (Electrical Circuit)
ในวงจรไฟฟา้ ทว่ั ๆ ไปจะมีสง่ิ ท่มี าเกี่ยวข้อง 3 อย่าง คือ กระแสไฟฟา้ แรงดนั ไฟฟา้ และความ
ต้านทานไฟฟา้ กระแสไฟฟา้ จะไหลไปได้หรือเคลอ่ื นทไ่ี ปไดจ้ ะตอ้ งมีตวั นำหรอื สายไฟฟ้า และจะต้องมี
กำลังดันหรือแรงเคล่อื นไฟฟา้ (V)ดันใหก้ ระแสไฟฟา้ ไหลไป จะมากหรอื น้อยข้ึนอยู่กับเครื่องกำเนิด
ไฟฟ้า ตัวนำ และความตา้ นทานประกอบกนั วงจรไฟฟา้ คอื ทางเดนิ ของไฟฟ้าเป็นวง ไฟฟา้ จะไหลไป
ตามตัวนำหรือสายไฟจนกระทั่งไหลกลับตามสายมายังเคร่อื งกำเนดิ ไฟฟา้ เปน็ วงครบรอบ คอื ออก
จากเคร่อื งกำเนิดแลว้ กลบั มายงั เครอ่ื งกำเนิดอกี ครั้งหนึง่ จนครบ 1 เท่ียวเรียกว่า 1 วงจร หรือ 1
Cycle
วงจรไฟฟา้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื
1. วงจรปิด (Closed Circuit) จากรูปจะเห็น กระแสไฟฟ้าไหลออกจากแหล่งกำเนิด ผา่ นไปตาม
สายไฟ แล้วผ่านสวิทช์ไฟซีง่ แตะกันอยู่ (ภาษาพดู วา่ เปดิ ไฟ) แล้วกระแสไฟฟ้าไหลต่อไปผ่านดวงไฟ
แลว้ ไหลกลับมาที่แหลง่ กำเนิดอกี จะเห็นไดว้ ่ากระแสไฟฟา้ สามารถไหลผา่ นได้ครบวงจร หลอดไฟจงึ
ติด
2. วงจรเปิด (Open Circuit) ถ้าดูตามรปู วงจรเปดิ ไฟจะไมต่ ิดเพราะว่า ไฟออกจาก
แหล่งกำเนิดกจ็ ะไหลไปตาม สายพอไปถงึ สวิทชซ์ ึ่งเปดิ ห่างออกจากกนั (ภาษาพดู วา่ ปิดสวิทช์) ไฟฟา้ ก็
จะผา่ นไปไม่ได้ กระแสไฟฟา้ ไม่สามารถจะไหลผา่ นให้ครบวงจรได้
152
การท่ีกระแสไฟฟา้ จะไหลครบวงจรไดน้ ั้น ตอ้ งประกอบด้วย
1. แหล่งกำเนดิ ไฟฟ้า ได้แก่ แบตเตอร่ี หรอื เยนเนอเรเตอร์
2. ตัวนำไฟฟา้ ได้แก่ สายไฟฟ้า
3. ความตา้ นทาน ไดแ้ ก่ อุปกรณ์ทีใ่ ชก้ บั ไฟฟ้าทกุ ชนดิ
4. สะพานไฟ (Cut out) หรอื สวทิ ช์ (Switch) เปน็ ตวั ตดั และต่อกระแสไฟฟ้า
ดังนั้นวงจรไฟฟ้ากค็ อื " การไหล หรอื ทางเดินของไฟฟ้าน่ันเอง "
ไฟฟา้ เกิดขึ้นได้อย่างไร
นักเรียนเคยเหน็ ฟ้าแลบและฟา้ ผ่าหรือไม่ ปรากฏการณ์ฟา้ แลบและฟา้ ผา่ เกิดจากกระแสไฟฟา้
เคลื่อนท่ีผ่านก้อนเมฆและอากาศ ซึง่ เป็นปรากฏการณ์ทเ่ี กดิ ข้ึนเองตามธรรมชาติ แต่กระแสไฟฟา้
ไมไ่ ดเ้ กิดขึ้นเฉพาะในธรรมชาติเทา่ น้นั มนุษยส์ ามารถผลิตกระแสไฟฟา้ ข้ึนมาเพ่ือใช้ประโยชนไ์ ด้
เบนจามิน แฟรงคลิน คน้ พบไฟฟ้าขณะทดลองชกั วา่ วเวลาฟ้าผ่า
ไฟฟา้ เปน็ พลังงานรูปหนึ่งทสี่ ามารถทำงานได้ เราใช้ประโยชนจ์ ากกระแสไฟฟ้าที่ผลติ ขนึ้ ผา่ น
เคร่อื งใชไ้ ฟฟ้า โดยต่อสายไฟระหวา่ งเคร่ืองกำเนดิ ไฟฟ้าไปยังเครือ่ งใชไ้ ฟฟ้า เชน่ พัดลม โทรทัศน์
วทิ ยุ เตารดี เมอ่ื เปิดสวิทชแ์ ลว้ เครื่องใชไ้ ฟฟา้ จะทำงานโดยเปลีย่ นพลงั งานไฟฟา้ เป็นพลงั งานรูปอื่น
เช่น พลังงานแสง พลังงานเสยี ง พลงั งานกล
วงจรไฟฟ้า
หมายถงึ ทางเดินของกระแสไฟฟา้ ซงึ่ ไหลมาจากแหลง่ กำเนดิ ผ่านตัวนำ และเครอ่ื งใช้ไฟฟา้ หรือ
153
โหลด แลว้ ไหลกลบั ไปยงั แหล่งกำเนิดเดิม
จากปรากฏการณ์ทางไฟฟา้ ต่างๆ ทีเ่ กิดขึ้น จะพบว่ามีสาเหตุมาจากการไหลของไฟฟา้ สายไฟ
ท่วั ไปทำดว้ ยลวดตวั นำ คือ โลหะทองแดงและอะลมู ิเนียม อะตอมของโลหะมอี เิ ลก็ ตรอนอิสระ ไม่
ยดึ แนน่ กบั อะตอม จงึ เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ถา้ มปี ระจลุ บเพิ่มข้ึนในสายไฟ อเิ ล็กตรอนอสิ ระ 1 ตัว
จะถกู ดงึ เขา้ หาประจุไฟฟ้าบวก แล้วรวมตวั กับประจุไฟฟ้าบวกเพ่อื เปน็ กลาง ดังน้ัน อเิ ลก็ ตรอนจะ
เคล่ือนที่ เมอ่ื เกิดสภาพขาดอิเลก็ ตรอนจึงจ่ายประจไุ ฟฟ้าลบออกไปแทนท่ี ทำใหเ้ กดิ การไหลของ
อิเลก็ ตรอนในสายไฟจนกว่าประจุไฟฟา้ บวกจะถกู ทำใหเ้ ปน็ กลางหมด การเคลอื่ นที่ของอเิ ล็กตรอน
หรอื การไหลของอเิ ล็กตรอนในสายไฟนี้เรียกวา่ กระแสไฟฟา้ (Electric Current)
สำหรบั ในตวั นำท่เี ปน็ ของแข็ง กระแสไฟฟา้ เกดิ จากการไหลของอิเล็กตรอน โดยอเิ ล็กตรอน
จะไหลจากขัว้ ลบไปหาขั้วบวกเสมอ ในตวั นำทเ่ี ป็นของเหลวและก๊าซ กระแสไฟฟ้าเกดิ จากการ
เคลอ่ื นทข่ี องอเิ ล็กตรอนกับโปรตอน โดยจะเคลอ่ื นทเ่ี ข้าหาข้วั ไฟฟ้าท่มี ีประจุตรงข้าม ถ้าจะเรียกว่า
กระแสไฟฟ้าคอื การไหลของอิเล็กตรอนก็ได้ แต่ทิศทางของกระแสไฟฟ้าจะตรงขา้ มกับการไหลของ
อเิ ล็กตรอน
154
วงจรไฟฟา้ ประกอบด้วยสว่ นทีส่ ำคญั 3 ส่วน คือ
1. แหล่งกำเนดิ ไฟฟา้ หมายถึง แหล่งจ่ายแรงดันไฟฟา้ ไปยงั วงจรไฟฟ้า เชน่ แบตเตอรี่
2. ตวั นำไฟฟ้า หมายถงึ สายไฟฟา้ หรอื สอ่ื ท่ีจะเปน็ ตัวนำให้กระแสไฟฟา้ ไหลผา่ นไปยงั
เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ซึง่ ตอ่ ระหวา่ งแหล่งกำเนิดกบั เคร่อื งใชไ้ ฟฟา้
3. เครือ่ งใช้ไฟฟ้า หมายถึง เครือ่ งใช้ท่สี ามารถเปล่ยี นพลงั งานไฟฟา้ ใหเ้ ปน็ พลงั งานรูปอน่ื ซึง่ จะ
เรยี กอีกอย่างหน่ึงว่า โหลด
สำหรบั สวติ ซ์ไฟฟ้านั้นเป็นส่วนหนงึ่ ของวงจรไฟฟ้า มหี นา้ ทใ่ี นการควบคมุ การทำงานใหม้ ีความ
สะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขน้ึ ถา้ ไมม่ สี วิตซ์ไฟฟา้ ก็จะไม่มีผลต่อการทำงานวงจรไฟฟา้ ใดๆ เลย
155
ใบความรู้
กฎของโอหม์
เม่อื อณุ หภมู คิ งที่ อัตราสว่ นระหวา่ งความต่างศักย์กับกระแสไฟฟา้ ของตวั นำอันหนงึ่ ยอ่ มคงท่ีเสมอ"
ซงึ่ เขียนเป็นความสัมพันธไ์ ดว้ ่า
ข้อควรรู้
วธิ กี ารจำสูตรง่ายๆ ให้ใชร้ ูปตอ่ ไปนี้
เมื่อ V คอื ความต่างศกั ยไ์ ฟฟ้า (โวลต์)
I คอื กระแสไฟฟ้า (แอมแปร)์
R คือ ความตา้ นทานไฟฟา้ (โอหม์ )
ความสัมพนั ธ์ตามสมการน้เี รยี กวา่ กฎของโอห์ม นั่นคอื เราจะสามารถให้คำจำกัดความของ
ความต้านทาน 1 โอหม์ คือ ความต้านทานทีท่ ำให้เกิดกระแสไฟฟ้า 1 แอมแปร์ ในระหวา่ งขั้วไฟฟา้ ที่
มีความตา่ งศักย์ 1 โวลต์
ข้อควรรู้
จอรจ์ ไซมอน โอหม์ (George Simon Ohm) นกั ฟสิ ิกสช์ าวเยอรมัน เปน็ ผคู้ น้ พบกฎของ
โอหม์ ใน ปี พ.ศ. 2369 ชือ่ ของเขาได้รบั เกยี รติต้ังเป็นคำเรียกหน่วยของความต้านทานทางไฟฟ้า คอื
โอห์ม หรือเขยี นย่อด้วยสัญลกั ษณ์ V
156
การต่อวงจรไฟฟ้า
วงจรไฟฟา้ (electric circuit) หมายถึง เส้นทางทกี่ ระแสไฟฟ้าไหลผา่ นไดค้ รบรอบ เมอ่ื
กระแสไฟฟ้าไหลผ่านอุปกรณต์ ่างๆ ก็จะมคี วามตา้ นทานเฉพาะตัวทยี่ อมให้กระแสไฟฟา้ ไหลผ่านมาก
หรือน้อยแตกตา่ งกัน
- วงจรปิด (close circuit) คือ วงจรไฟฟา้ ทมี่ ีกระแสไฟฟ้าไหลครบรอบ
- วงจรเปดิ (open circuit) คือ วงจรไฟฟ้าทไ่ี มม่ ีกระแสไฟฟา้ ไหลผา่ น เน่ืองจากส่วนใด
สว่ นหนงึ่ ของวงจรขาดหรอื ไมเ่ ชื่อมตอ่ กันมีผลทำให้เครื่องใชไ้ ฟฟ้าไมท่ ำงานเพระาไมม่ ีกระแสไฟฟา้
ไหลผ่านเขา้ ไป
องค์ประกอบที่สำคญั ของวงจรไฟฟ้าทจ่ี ะทำใหเ้ ครือ่ งใช้ไฟฟา้ ทำงานได้ คือ แหล่งกำเนิด
ไฟฟ้า สายไฟ อุปกรณไ์ ฟฟ้า และเครื่องใชไ้ ฟฟ้า
ตารางแสดงสญั ลักษณท์ ใี่ ชใ้ นการตอ่ วงจรไฟฟา้
157
การตอ่ วงจรไฟฟ้าโดยท่ัวไปมี 3 แบบ ดังน้ี
1. การต่อวงจรไฟฟ้าแบบอนุกรม (series circuit) เป็นการต่อเรียงกนั เป็นสายเดียว เช่น
การต่อหลอดไฟฟา้ โดยการต่อปลายหลอดไฟฟา้ หลอดที่ 1 กับปลายหลอดไฟฟา้ หลอดที่ 2 และตอ่
ปลายหลอดไฟฟ้าหลอดที่ 2 อกี อนั หน่ึงกับหลอดไฟฟา้ หลอดอน่ื ไปเรอื่ ยๆ จนครบวงจร กระแสไฟฟ้า
จะไหลในทิศทางเดยี วกันตลอด โดยไม่แยกเป็นหลายสาย ดังรปู
รูปแสดงการต่อวงจรไฟฟ้าแบบอนกุ รม
2. การต่อวงจรไฟฟ้าแบบขนาน (parallel circuit) เป็นการตอ่ โดยท่ีกระแสไฟฟา้ มกี าร
แยกไหลออกได้หลายทางและชว่ งสดุ ท้ายจะไหลมารวมกัน เชน่ ต่อหลอดไฟฟา้ แตล่ ะหลอดเข้า
ด้วยกัน และรวมปลายอีกดา้ นหนึง่ ของหลอดไฟฟ้าทกุ หลอดเข้าด้วยกัน
158
รปู แสดงการต่อวงจรไฟฟ้าแบบขนาน
3. การต่อวงจรไฟฟา้ แบบผสม (hybrid circuit) เป็นการต่อวงจรที่มที ้ังแบบอนุกรมและ
แบบขนานในวงจรเดยี วกัน
รูปแสดงการตอ่ วงจรไฟฟ้าแบบผสม
ตารางแสดงการเปรียบเทียบผลการตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบอนกุ รมและแบบขนาน
แบบอนกุ รม แบบขนาน
1. กระแสไฟฟา้ ท่ีไหลผ่านหลอดไฟฟา้ แต่ละ
1. กระแสไฟฟ้าที่ไหลผา่ นหลอดไฟฟ้าแต่ละ หลอดจะไมเ่ ทา่ กนั แต่ถ้าหลอดมีความ
หลอดมีค่าเท่ากัน และเทา่ กับกระแสไฟฟา้ ต้านทานไม่เท่ากนั แต่กระแสไฟฟ้ารวมจะ
ทง้ั หมดที่ไหลในวงจร ดงั เทา่ กับผลบวกของกระแสไฟฟ้าท่ผี า่ นแตล่ ะ
สมการ หลอด ดงั สมการ
2. ความต้านทานรวม จะเพิ่มขน้ึ ตาม 2. ความตา้ นทานรวมจะนอ้ ยลง และนอ้ ย
จำนวนหลอดไฟฟ้าท่นี ำมาตอ่ กนั จึงทำให้ กวา่ ความต้านทานที่นอ้ ยท่ีสดุ ในวงจร ความ
ความต้านทานมคี ่ามาก ดงั ตา้ นทานรวมจะมีคา่ ดังสมการ
สมการ
3. ความตา่ งศกั ย์รวม มคี ่าเท่ากบั ผลบวก 3. ความตา่ งศกั ย์รวม จะมคี ่าเทา่ กับความ
159
ของความตา่ งศักย์ของ หลอดไฟแต่ละหลอด ต่างศักย์ของหลอดไฟฟา้ แตล่ ะหลอด ดัง
ดังสมการ สมการ
4. หลอดไฟทุกหลอดจะทำงานและหยดุ 4. หลอดไฟแตล่ ะหลอดจะทำงานและหยุด
ทำงานพรอ้ มกัน ไมส่ ามารถเลอื กเปดิ -ปิด ทำงานแยกกนั ดังนัน้ จึงสามารถเลือกเปดิ -
หลอดใดหลอดหนึง่ ตามตอ้ งการได้ ปิด หลอดใดหลอดหนึ่งไดต้ ามต้องการ
ขอ้ ควรรู้
1. การตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบอนุกรม หลอดไฟฟ้าจะสวา่ งนอ้ ยกว่าการต่อแบบขนาน เพราะ
การต่อแบบอนุกรมจะทำให้ความตา้ นทานรวมในวงจรมีค่ามากกระแสไฟฟา้ ผา่ นได้นอ้ ย
2. เครื่องใชไ้ ฟฟ้าแต่ละชนิดในบ้านจะต่อกันแบบขนานท้งั น้เี พื่อ
2.1 ให้ความตา้ นทานรวมมีค่านอ้ ยลง ทำให้กระแสไฟฟา้ ผ่านได้มากพอทจี่ ะให้
เครื่องใช้ไฟฟา้ สามารถทำได้ดี
2.2 ให้เคร่อื งใช้ไฟฟ้าแตล่ ะอยา่ งได้รับความตา่ งศักย์เท่ากนั ทัง้ หมดตรงตามทกี่ ำหนดไว้
ทเี่ ครื่องใชไ้ ฟฟา้ น้ัน
2.2 สามารถเลอื กเปิด-ปดิ เคร่ืองใช้ไฟฟา้ แตล่ ะอย่างไดต้ ามต้องการ
160
ใบความรู้
คำศัพท์ทางไฟฟ้า
ช่างไฟฟ้าทุกคนจะต้องเข้าใจคำจำกัดความท่ัวไปของคำศัพท์ท่ีใช้ในทางช่างไฟฟ้า เพื่อให้
การส่ังวัสดุอปุ กรณ์ และการอ่านรายละเอียดของวัสดุอุปกรณข์ องบรษิ ทั ผูผ้ ลิตอย่างมีประสิทธภิ าพ ผู้
ส่งั และผู้อา่ นจะตอ้ งมีความคุ้นเคยกับภาษาทีใ่ ช้ในทางช่างไฟฟา้ ด้วย ดงั นนั้ จึงควรอ่านคำจำกดั ความ
แต่ละคำอย่างระเอียดให้เข้าใจ และควรพลิกดูคำเหล่าน้ีทุกคร่ังเม่ือมีความจำเป็น นอกจากนี้ยังมี
รายละเอียดเกย่ี วกบั คำนิยามของคำศัพทเ์ หล่านเี้ พมิ่ เตมิ ในทา้ ยเลม่ ของหนังสอื เลม่ นี้ดว้ ย
พลงั งาน (energy) : ความสามารถในการทำงาน
กำลังม้า (horsepower) : หน่วยวัดการทำงานของเคร่ืองจักรกลพวกมอเตอร์และ
เคร่ืองยนต์ เราจะใช้อักษรย่อ HP หรือ hp แทน โดยท่ัวไปกำลังม้านี้จะใช้บ่งบอกเอาท์พุทของ
มอเตอร์ไฟฟ้า
ไฟฟ้า (electricity) : การเคล่ือนทข่ี องอเิ ล็กตรอนผ่านตัวนำไฟฟ้า
ตวั นำไฟฟา้ (conductor) : สสารทีย่ อมใหก้ ระแสไฟฟ้าไหลผา่ นตัวมันเองไดง้ า่ ย
ความนำไฟฟ้าหรอื ความเป็นสือ่ ไฟฟา้ (conductance) : ความสะดวกสบายตอ่ การไหลผา่ น
ของกระแสไฟฟ้าในวงจร
ฉนวนไฟฟา้ (insulator) : วัตถุที่มคี ุณสมบตั ิด้านต้านทานการไหลของกระแสไฟฟ้า อาจจะ
กล่าวไดว้ ่าสสารน้ัน ขัดขวางการเคลื่อนทขี่ องอิเล็กตรอน
อำนาจแมเ่ หล็ก (magnetism) : คุณสมบัติอย่างหนง่ึ ของสสารท่แี สดงอำนาจดงึ ดูดเหล็กได้
ข้วั ไฟฟ้า (polarity) : คณุ สมบัติของประจุไฟฟ้าทีแ่ สดงออกมา ซ่ึงจะมีคา่ เป็นบวกหรือเป็น
ลบ
แม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnet) : ขดลวดตัวนำไฟฟ้าท่ีแสดงอำนาจหรือคุณสมบัติทาง
แมเ่ หล็กเมอื่ มกี ระแสไฟฟา้ ไหลผ่านขดลวดน้นั
ขดปฐมภูมิ (primary) : ขดลวดของหม้อแปลงไฟฟ้า ซึ่งต่ออยู่กับแหล่งจ่ายไฟฟ้าและรับ
พลงั งาน น้นั กค็ ือดา้ นรับไฟฟา้ เข้าของหมอ้ แปลงไฟฟ้า
ขดทุติยภูมิ (secondary) : ขดลวดของหมอ้ แปลงไฟฟ้าท่ีติดอยู่กับโหลด (ภาระทางไฟฟ้า)
โดยจะรบั พลังงานด้วยหลักการเหนีย่ วนำทางอำนาจแม่เหล็กไฟฟ้าจากขดลวดปฐมภมู ิไปสูโ่ หลดน้นั ก็
คือดา้ นจ่ายไฟออกของหมอ้ แปลงไฟฟา้
กำลังไฟฟา้ (electric power) : อัตราการผลิตหรือใชพ้ ลงั งานทางทาวงไฟฟ้าในหน่ึงหน่วย
เวลา
วตั ต์ (watt) : หน่วยวัดกำลังไฟฟ้า เราเรียนอกั ษรย่อตัวพิมพ์ใหญ่ W แทน กำลังไฟฟ้ามีจะ
เป็นอักษรบอกพลังงานไฟฟ้าที่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละตัวในการทำงาน อย่างเช่น หลอดไฟ 1,000
วัตต์ เครอื่ งปิง้ ขนมปงั 1,000 วตั ต์
กิโลวัตต์ (kilowatt) : หน่วยกำลังไฟฟ้าท่ีมีค่าเท่ากับ 1,000 วัตต์ เราใช้ตัวย่อว่า KW
161
เพราะเหตวุ ่าในทางปฏิบัติน้ันโหลด หรือภาระทางไฟฟา้ มีจำนวนมากๆ จึงมคี ่าวตั ตส์ ูงๆ หนว่ ยวัตต์ซึ่ง
ทำให้การเรียกหรือบันทึกค่ายุ่งยากและเสียเวลา เราจึงนิยมใช้กิโลวัตต์ซ่ึงเป็นหน่วยท่ีใหญ่ขึ้นน้ีแทน
และยังมีหน่วยใหญ่กว่ากิโลวัตต์อีกก็คือ เมกกะวัตต์ (megawatt) ซึ่งเท่ากับ 1,000 กิโลวัตต์ หรือ
เขยี นย่อๆ ว่า 1 MW
กโิ ลวตั ต์ – ชัว่ โมง (kilowatt – hour) : หน่วยวัดการใชก้ ำลงั ไฟฟ้าในเวลา 1 ช่ัวโมง เราจำ
ใชอ้ ักษรย่อพมิ พต์ ัวใหญ่ KWH แทน ปกติแล้วการใชพ้ ลังงานไฟฟา้ ตามบ้านจะวัดคา่ ออกจากเคร่อื งวัด
พลังงาน (หรือที่เราเรียกกันว่า หม้อมิเตอร์) มีหน่วยเป็นกิโลวัตต์ – ชั่วโมง หรือที่เรียกกันว่า ยูนิต
(unit) แล้วคดิ ราคาไฟฟ้าท่เี ราต้องจ่ายเท่ากับ จำนวนยนู ติ ท่ีเราต้องใชค้ ูณดว้ ยราคาไฟฟา้ ต่อหนง่ึ ยนู ติ
ไฟฟ้ากระแสสลับ (alternating current) : ระบบไฟฟ้าท่ีทิศทางการว่ิงของอิเล็กตรอนมี
การสลับไปมาตลอดเวลา เราใช้สัญลักษณ์แทนด้วยอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ AC และมักนิยมใช้เป็นระบบ
ไฟฟา้ ตามบา้ น อาคาร โรงงานท่วั ๆ ไป
ไฟฟ้ากระแสตรง (direct current) : ระบบไฟฟ้าที่อิเล็กตรอนมีการวิ่งไปทางเดียวกัน
ตลอดเวลา และต่อเนื่องกัน มักจะพบว่าใช้กันอยู่ท่ัวๆ ไป ก็คือ เคร่ืองชาร์จแบตเตอรี่ ถ่านไฟฉาย
แบตเตอรร่ี ถยนตเ์ ป็นต้น ใช้อกั ษรตัวพมิ พใ์ หญ่ DC เป็นสญั ลักษณแ์ ทน
วงจรไฟฟา้ (circuit) : ทางเดนิ ไฟฟา้ ท่ตี ่อถึงกนั และไฟฟ้าไหลผา่ นได้ดี
วงจรอนุกรมหรือวงจรอันดับ (series circuit) : วงจรไฟฟ้าท่ีมีทางเดินไฟฟ้าได้เพียงทาง
เดียว จากแหล่งจ่ายไฟฟ้าผ่านวงจรไฟฟ้าไปครบวงจรอีกขั้วของแหล่งจ่ายไฟ และในวงจรนี้อาจจะมี
อุปกรณ์พวกฟิวส์ สวิตซ์ เซอรก์ ิต – เบรกเกอร์ โดยต่อเป็นวงจรอนั ดับเข้าไปเพอื่ ป้องกัน และควบคุม
วงจรดงั รูปที่ 1
วงจรขนาน(parallel circuit) : วงจรไฟฟ้าที่มีทางเดินไฟฟ้าของกระแสไฟฟ้าผ่านได้
มากกว่า 1 ทางเดนิ ข้ึนไป และจะมีอุปกรณ์เชน่ พวกเต้าเสียบหลอดไฟตอ่ ขนานกัน และข้อดีของวงจร
ก็คือ ถ้าอุปกรณ์ตัวหน่ึงตัวใดไม่ทำงาน ขัดข้องหรือเสียข้ึนมา วงจรทางเดินไฟฟ้าจะไม่ขนาน ซ่ึง
ตรงกนั ข้ามกบั วงจรอนุกรม อปุ กรณ์ในวงจรขนานตัวอืน่ ๆ ยังคงทำงานได้ตอ่ ไปดงั รปู ท่ี 2
รปู ท่ี 2 วงจรขนาน
วงจรเปิด (open circuit) : สภาวการณ์ท่ีทางเดินไฟฟ้าเกิดขาดวงจรหรือไม่ต่อวงจรทำให้
กระแสไฟฟ้าไหลไม่ได้
162
วงจรลัด (short circuit) : สภาวการณ์ท่ีเกิดมีการลัดวงจรทางเดินของกระแสไฟฟ้า อัน
เนอ่ื งมาจากรอยต่อของสายต่างๆ พลาดถึงกัน มกี ระแสไฟฟา้ รั่วตอ่ ถึงกนั เปน็ ต้น
แอมแปร์ (ampere) : หน่วยการวัดค่าอัตราการไหลของไฟฟ้าท่ีผ่านตัวนำ เราจะใช้อักษร
ยอ่ ตัวพิมพ์ใหญ่ A หรือ amp แทน ปกติแล้วหน่วยแอมแปร์นน้ี ยิ มใช้ระบุขอบของการใช้กระแสไฟฟ้า
ด้านสูงสุดในการทำงานของอุปกรณ์เคร่ืองใช้ไฟฟ้าน้ันอย่างปลอดภัย อย่างเช่น เต้าเสียบ 15
แอมแปร์ ฟิวส์ 30 แอมแปร์
เฮิรตซ์ (hertz) : หน่วยความถ่ีมคี ่าเป็นรอบต่อวนิ าที การท่ีอิเล็กตรอนวิ่งไปในทิศทางหนึ่ง
แล้ววกกลับมาสู่แหล่งจ่ายไฟฟ้าจากน้ันก็มีอิเล็กตรอนวิ่งออกมาจากแหล่งจ่ายไฟไปในทิศทางหน่ึง
วกกลบั มา โดยทศิ ทางการว่ิงของอเิ ล็กตรอนทัง้ 2 คร้ังว่งิ สวนทางกัน (หรอื พูดอกี นบั หน่ึงกค็ ือ ว่ิงสลับ
ไปสลับมาน้ันเอง) เราเรียกว่า 1 รอบ ความถ่ีของระบบไฟฟ้าบ้านเราใช้ความถี่ 50 เฮิรตซ์ ใช้
สญั ลักษณ์ HZ แสดงแทน
โอห์ม (ohm) : หน่วยความต้านทานทางไฟฟ้าใช้สัญลักษณ์แทนด้วยตัวโอเมกา (Ω) ความ
ต้านทานจะพยายามต่อต้านการไหลของกระแสไฟฟ้า ความต้านทานเป็นได้ท้ังผู้ทำงานให้หรือ
ขัดขวางการทำงานให้ผู้ใช้ไฟ มันทำงานให้ในขณะทใี่ ชม้ ันเป็นฉนวนหรอื ใช้ควบคุมวงจร ตัวอย่างเช่น
เทปพันสายไฟ เต้าเสียบท่ีทำจากพลาสติก จะป้องกันอันตรายให้กับผู้ใช้ไฟได้ และใช้ความต้านทาน
แบบปรับค่าได้ (rheostat) ปรับความสว่างของหลอดไฟฟ้า แต่มันจะขัดขวางการทำงานเม่ือผู้ใช้ไฟ
ใช้สายไฟเส้นเลก็ และยาวมากๆ หรือมีสนิมตามจุดสัมผัสต่างๆ ของตัวนำ จะเป็นสาเหตขุ องการเพิ่ม
ค่าความต้านทาน ทำให้เกิดความรอ้ นมากเกนิ ไป พร้อมท้ังเกดิ การสญู เสียกำลังไฟฟ้าไปในสายตัวนำ
ดว้ ย
กฎของโอห์ม (Ohm’s law) : กฎท่ีว่าดว้ ยความสัมพันธ์ระหว่างแรงดัน กระแส และความ
ตา้ นทานในวงจรไฟฟ้า กฎน้ีกลา่ ววา่ คา่ กระแสไฟฟ้า (I) จะเปน็ สัดสว่ นโดยตรงกบั คา่ แรงดันไฟฟา้ (E)
และเป็นสัดส่วนผกผันกับค่าความต้านทาน (R)I = E / R
โวลต์ (volt) : หน่วยวัดแรงดันไฟฟ้า แรงดันไฟฟา้ หรอื แรงดันท่ีทำให้เกดิ มกี ารเคล่ือนท่ีของ
อิเล็กตรอนภายในตัวนำไฟฟ้า เราใช้ตัวย่อแทนแรงดันไฟฟ้าด้วย V, E หรือ EMF ปกติจะใช้ E และ
EMF แทนแรงดนั ทเี่ กิดจากการเคลื่อนที่ของประจุไฟฟา้ หรือ electromotive force (ซงึ่ เปน็ อกี นิยาม
หน่ึงของคำว่า โวลต์) เชน่ เดยี วกับคำว่า แอมแปร์แรงดันซึ่งระบุไวท้ ี่ตัวอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าจะเป็น
ตัวกำหนดขอบเขตการใช้แรงดันไฟฟ้าขณะทำงานได้โดยปลอดภัย เช่น มอเตอร์ 220 โวลต์ เคร่ือง
เป่าผม 110 โวลต์ เราจะต้องใช้อุปกรณไ์ ฟฟ้ากับแรงดนั ไฟฟา้ ตามทรี่ ะบไุ ว้เท่านั้น
แอมมิเตอร์ (ammeter) : เป็นเคร่ืองวัดทางไฟฟ้าชนิดหน่ึง ใช้วัดค่ากระแสไฟฟ้าที่ไหลใน
วงจรทีเ่ ราต้องการวัด โดยปกตเิ ราจะใช้เคร่ืองมือนี้ต่ออนุกรมกับวงจรที่เราต้องการวัดค่ากระแส แต่ก็
มเี คร่ืองมือวดั ชนดิ พเิ ศษที่ไม่ต้องต่อวงจรอันดับเข้ากับวงจรไฟฟา้ นน้ั จะได้กล่าวถึงในบทต่อ ๆ ไป
โอห์มมิเตอร์ (ohm meter) : เป็นเครื่องวัดทางไฟฟ้าชนิดหน่ึง ใช้วัดค่าความต้านทาน
ไฟฟา้ เวลาใช้จะตอ้ งไมม่ ีการจ่ายไฟจากแหล่งจ่ายไฟใดในวงจรไฟฟา้ น้นั
163
โวลต์มเิ ตอร์ (volt meter) : เป็นเคร่อื งมือวัดทางไฟฟ้าชนิดหน่ึง ใชว้ ัดค่าแรงดันไฟฟ้า
มัลติมิเตอร์ (multimeter) : เป็นเคร่ืองมือวัดทางไฟฟ้าชนิดหน่ึงท่ีสามารถวัดค่าแรงดัน
กระแสและความต้านทานไดใ้ นเครอื่ งวัดตวั เดียวกัน
National Electric Code : เป็นหนังสือคู่มือรวบรวมข้อแนะนำและกฎข้อบังคับในการ
ติดต้ังอุปกรณ์ไฟฟ้าให้มีความปลอดภัย แม้ว่าจะมีเน้ือหามากมายแต่หนังสือคู่มือนี้ก็ไม่มีจุดมุ่งหมาย
สำหรับการสอน หรอื ใช้แก่บคุ คลทไ่ี ม่เคยผา่ นการอบรมมาก่อน สว่ นของไทยเรากม็ ีคู่มือพวกนห้ี ลาย
แห่งด้วยกัน เช่น คู่มือของการไฟฟ้านครหลวง การพลังงานแห่งชาติ การไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค ซ่ึง
หลักการและกฎข้อบังคับส่วนใหญ่ก็คล้ายๆ กับของ NEC (National Electric Code) ของ
ตา่ งประเทศน่ันเอง
สวิตซ์อัตโนมัติหรือเซอร์กิตเบรกเกอร์ (circuit breaker) : เป็นอุปกรณ์ป้องกันที่ใช้จำกัด
กระแสไฟฟ้าสงู สุดในวงจร เมื่อกระแสเกินค่าจำกัดเซอร์กิตเบรกเกอร์จะเปิดวงจรไม่ให้กระแสไฟฟ้า
ไหลสวู่ งจรอีก จนกวา่ จะกดปมุ่ ทำงานใหม่ ปัจจบุ ันใชแ้ ทนสวติ ซฟ์ วิ ส์กันมาก
เน่ืองจากสามารถต่อวงจรเข้าไปใหม่ได้ทันที ในขณะท่ีฟิวส์ต้องสลับเปล่ียนตัวใหม่เข้าไป
แทน และยิ่งในระบบไฟฟ้า 3 เฟสด้วยแล้วถ้าเกิดขาดที่ฟิวส์เพียงเส้นเดียวเหลือไฟฟ้ามาแค่ 2 เฟส
เท่าน้ัน อาจเกิดการเสียหายไหม้ขึ้นที่มอเตอร์ 3 เฟสได้ หลักการทำงานของเซอร์กิตเบรกเกอร์จะ
ทำงานโดยอาศัยอำนาจแม่เหล็ก เม่ือมีกระแสไฟฟ้าในวงจรไหลเข้ามามากๆ สนามแม่เหล็กจะดึง
สวิตซ์ให้ตัดวงจรออก และบางแบบจะมีตัวป้องกันกระแสเกินขนาดด้วยความรอ้ นตอ่ ร่วมมาด้วยโดย
อาศัยการที่มีกระแสไหลผ่านความต้านทานของตัว ไบเมตอลลิก (bimetallic) (ไบเมตอลลิก เป็น
โลหะท่ีขยายตัวเมื่ออุณหภูมิสูงข้ึนและหดตัวเมื่ออุณภูมิต่ำลง) เมื่อกระแสไหลผ่านมากจะเกิคความ
ร้อนมาก ตัวไบเมตอลลิกจะขยายตัวดึงให้สวิตซ์ตัดวงจรออก เราใช้ตัวอักษรย่อแทนเซอร์กิตเบรก
เกอรด์ ว้ ย CB
ฟิวส์ (fuse) เป็นอุปกรณ์ป้องกันที่ใช้จำกัดกระแสไฟฟ้าสูงสุดในวงจร เม่ือกระแสเกินค่า
จำกัดฟิวส์จะเกิดความร้อนมากข้ึนจนกระทั่งหลอมละลายขาดจากกัน วงจรก็จะเปิด ฟิวส์จะต้อง
อย่างอนุกรมกับวงจรหม้อแปลง (transformer) : เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เปลี่ยนแรงดันไฟฟ้าให้สูงขึ้นหรือ
ต่ำลง เพื่อให้ตรงกับแรงดันที่ใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เช่น มีเคร่ืองซักผ้าแรงดัน 110 โวลต์ แต่มี
ไฟฟ้าแรงดัน 220 โวลต์ เราก็ต้องใช้หม้อแปลงแรงดัน 220 โวลต์ ใหเ้ ป็นแรงดัน 110 โวลต์ จึงจะ
ใช้เคร่ืองซกั ผ้าได้ นอกจากนี้เรายังนิยมใช้หม้อแปลงกับเครื่องติดต่อภายใน และระบบเสียงกร่งิ เรียก
เปน็ ต้น
เฟส (phase) : หมายถึงชนิดของระบบไฟฟ้าที่ใช้มีท้ังระบบ 1 เฟส 2 สาย แล 3 เฟส 4
สาย อุปกรณ์ไฟฟ้า 1 เฟส 2 สาย จะใช้ตามบ้านทอ่ี ยู่อาศัย ส่วนระบบไฟฟ้า 3 เฟส 4 สาย นยิ มใช้
กับธุรกิจใหญ่กับโรงงานอุตสาหกรรม
164
ใบงาน
ให้ผูเ้ รยี นอธิบายใหเ้ ข้าใจ
1. เครื่องมือทจี่ ำเป็นของชา่ งไฟฟา้ มอี ะไรบ้างและบอกประโยชนข์ องเครอ่ื งมอื นนั้ ๆ
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
2. การตอ่ วงจรไฟฟ้าแบ่งออกเปน็ กีป่ ระเภทอะไรบ้าง
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
3. ใหผ้ ้เู รยี นอธบิ ายกฎของโอห์ม
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
165
4. ข้อควรระวังในการออกแบบระบบวงจรไฟฟ้า
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
5. ใหผ้ เู้ รียนอธบิ ายการใช้เครอ่ื งใช้ไฟฟา้ อย่างงา่ ยภายในบา้ นมา 10 อย่าง
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
6. ข้อควรระวังในการทำงานเกีย่ วกับไฟฟ้าทัว่ ๆไป
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
166
7. อธบิ ายการบรกิ ารที่ดี
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
8. ให้ผู้เรยี นอธบิ ายความจำกดั ความของคำศัพทท์ ่ใี ช้ในชา่ งไฟฟ้าใหล้ ะเอียด
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
167
แผนการจัดการเรยี นรู้
รายวชิ า วิทยาศาสตร์ รหัส พว21001
ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น จำนวน 4 หน่วยกิต
แบบ การเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง
เร่ือง บรรยากาศ (จำนวน 4 ช่วั โมง)
ตัวชีว้ ัด 1. สามารถบอกองคป์ ระกอบและการแบ่งชนั้ บรรยากาศได้
2. บอกความหมายและความสำคัญของอุณหภมู ิ ความชนื้ และความกดอากาศได้
เนือ้ หา 1. บรรยากาศ
ขนั้ ตอนการจัดกระบวนการเรียนรู้
ข้ันที่ 1 การกำหนดสภาพ ปัญหา ความต้องการในการเรยี นรู้ (O : Orientation)
1. ครูให้ผูเ้ รียนบอกปรากฏการทางธรรมชาตทิ ีพ่ บในปจั จุบันจากข่าวหรือสง่ิ ตัวเอง
พบเหน็ ว่าเปน็ อยา่ งไรมผี ลกับเราอย่างไร
2. ครูทักทายกลา่ วนำและอธบิ ายการกำหนดเป้าหมายและการวางแผนการเรยี นรู้
เกี่ยวกับเรอ่ื งบรรยากาศ
3. ครเู ปดิ โอกาสให้ผู้เรยี นซกั ถามขอ้ สงสยั ก่อนเข้าสู่บทเรยี นข้นั ต่อไป
ขน้ั ที่ 2 การแสวงหาข้อมลู และการจดั การเรียนรู้ (N : New Way of learning)
1. ครูและผูเ้ รยี นวางแผนวธิ ีการเรียนรเู้ นือ้ หาที่กำหนด
2. ครูกำหนดให้ผู้เรยี นไปศึกษาเรียนรูด้ ว้ ยตนเองในเรื่องของบรรยากาศ ในเรื่อง
ตอ่ ไปน้ี
2.1 ความหมายบรรยากาศ ให้สรปุ ใจความสำคัญลงในสมดุ บันทึกการเรียนรู้
2.2 ชั้นบรรยากาศและการแบง่ ชัน้ บรรยากาศ ทำเป็นรายงานสง่ ครู
2.3 อุณหภูมคิ วามช้ืนและความกดอากาศในทอ้ งถน่ิ สรุปใจความสำคัญลงใน
สมดุ บันทกึ การเรียนรู้
2.4 ความสัมพนั ธ์ของอุณหภมู ิความช้นื และความกดอากาศท่มี ีผลกระทบต่อ
ชวี ติ ความเปน็ อยู่
3. นำผลที่ไดจ้ ากการศกึ ษามาบนั ทกึ ลงในแฟ้มสะสมงาน
4. ครใู ห้ผ้เู รยี นนำผลงานท่ีไดจ้ ากการศึกษาค้นคว้ามานำเสนอในการพบกลุ่มครั้ง
ต่อไป
168
ขน้ั ท่ี 3 การปฏบิ ตั แิ ละการนำไปประยุกต์ใช้ (I : Implementation)
ครูและผเู้ รียนสรปุ องค์ความรรู้ ่วมกนั
ขัน้ ที่ 4 การประเมนิ ผล (E : Evaluation)
1. ครปู ระเมินชิ้นงานจากแฟ้มสะสมงานของผู้เรียน
2. ครูสังเกตจากการนำเสนอผลงานของผูเ้ รียน
3.
สื่อการเรยี นรู้
1. อินเทอรเ์ นต็
2. หนงั สือเรียนวทิ ยาศาสตร์ ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น หลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบ
ระดับการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551
3. ภมู ิปัญญาท้องถิ่น
การวัดและประเมนิ ผล
1. แฟม้ สะสมงาน
2. การสังเกต
3. การซักถาม
4. การนำเสนอ
5. การมีสว่ นรว่ มของผู้เรยี น
169
ใบงานท่.ี ......
ใหผ้ เู้ รียนศึกษาเร่ืองต่อไปนี้แลว้ สรุปสาระสำคัญลงสมดุ บันทึกการเรียนรู้
1. ความหมายบรรยากาศ
2. อุณหภมู ิความชน้ื และความกดอากาศในทอ้ งถ่ิน
3. ความสมั พันธ์ของอุณหภูมิความชน้ื และความกดอากาศที่มีผลกระทบตอ่ ชีวติ ความ
เปน็ อยู่
170
ใบงานท่ี.......
ให้ผูเ้ รยี นศึกษาเรอื่ งตอ่ ไปน้ีแล้วทำเปน็ รายงานสง่ ครู
1.ชนั้ บรรยากาศและการแบ่งช้นั บรรยากาศ
171
การวัดและประเมินผล
แบบสังเกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนรำยบคุ คล
รายการพฤติกรรม คุณภาพการปฏบิ ตั ิ
4321
1. มกี ารวางแผนก่อนการทำงาน
2. ปฏบิ ัตงิ านด้วยความตั้งใจ
3. มีการปฏบิ ตั ิงานตามขัน้ ตอน
4. มีการให้ความชว่ ยเหลือเพอื่ น
5. ใหค้ ำแนะนำเพือ่ นคนอ่นื ได้
รวม
เกณฑ์การใหค้ ะแนน
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤติกรรมอย่างสมำ่ เสมอ ให้ 4 คะแนน
ปฏิบัติหรอื แสดงพฤติกรรมบ่อยคร้ัง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤติกรรมบางคร้ัง ให้ 2 คะแนน
ปฏบิ ตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมน้อยครงั้ หรือไม่เคยปฏิบตั เิ ลย ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน 4 หมายถึง ระดบั คณุ ภาพ
17-20 3 หมายถงึ ดมี าก
13-16 2 หมายถงึ ดี
9-12 1 หมายถึง พอใช้
5-8 ปรับปรุง
172
แผนการจดั การเรยี นรู้
รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหัส พว21001
ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น จำนวน 4 หนว่ ยกติ
แบบ เรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง (กรต.) จำนวน 3 ช่ัวโมง
เรอื่ ง ปรากฏการณท์ างธรรมชาติ
ตัวชว้ี ัด 1. สามารถบอกองค์ประกอบและการแบง่ ชน้ั บรรยากาศได้
2. บอกความหมายและความสำคัญของอุณหภูมิ ความช้ืนและความกดอากาศได้
เนอ้ื หา 1. ชนดิ ของลม
2. ลมมรสมุ
3. ลมพายุหมนุ
4. อิทธพิ ลของลมต่อมนษุ ย์และส่งิ แวดล้อม
5. การป้องกนั ภยั ทเ่ี กดิ จากปรากฏการณท์ างธรรมชาติ
6. ความสำคญั และประโยชนข์ องการพยากรณ์อากาศ
ขนั้ ตอนการจดั กระบวนการเรียนรู้
ขน้ั ท่ี 1 การกำหนดสภาพ ปญั หา ความตอ้ งการในการเรยี นรู้ (O : Orientation)
1. ครูใหผ้ ู้เรียนบอกปรากฏการทางธรรมชาตทิ ่ีพบในปจั จุบนั จากข่าวหรือสิ่งตวั เองพบเหน็ ว่า
เป็นอย่างไรมีผลกับเราอย่างไร
2. ครูทักทายกล่าวนำและอธิบายการกำหนดเป้าหมายและการวางแผนการเรียนรู้เกี่ยวกับ
เร่ืองบรรยากาศ
3. ครเู ปิดโอกาสให้ผูเ้ รียนซักถามข้อสงสัยก่อนเข้าสู่บทเรยี นขนั้ ตอ่ ไป
ขน้ั ที่ 2 การแสวงหาขอ้ มูล และการจัดการเรยี นรู้ (N : New Way of learning)
1. ครูและผู้เรยี นวางแผนวิธีการเรียนร้เู นื้อหาทกี่ ำหนด
ครูกำหนดใหผ้ ู้เรียนไปศกึ ษาเรียนรดู้ ้วยตนเองในเรอื่ งของบรรยากาศ ในเรื่องต่อไปนแี้ ล้ว
ทำเปน็ รายงานส่งครู
1.1 ชนดิ ของลม
1.2. ลมมรสุม
1.3. ลมพายุหมุนเขตร้อน
2. นำผลที่ได้จากการศึกษามาบนั ทึกลงในแฟม้ สะสมงาน
3. ครใู ห้ผู้เรยี นนำผลงานทไ่ี ด้จากการศึกษาคน้ ควา้ มานำเสนอในการพบกล่มุ คร้งั ต่อไป
173
ขนั้ ท่ี 3 การปฏบิ ตั ิและการนำไปประยกุ ตใ์ ช้ (I : Implementation)
ครแู ละผเู้ รยี นสรุปองคค์ วามรู้ร่วมกนั
ขั้นที่ 4 การประเมนิ ผล (E : Evaluation)
1. ครูประเมินชิน้ งานจากแฟม้ สะสมงานของผู้เรียน
2. ครสู ังเกตจากการนำเสนอผลงานของผู้เรียน
ส่ือการเรยี นรู้
1. อนิ เทอรเ์ นต็
2. หนงั สอื เรียนวิทยาศาสตร์ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ หลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบ
ระดับการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551
3. ภมู ปิ ญั ญาท้องถ่นิ
การวดั และประเมินผล
1 .แฟ้มสะสมงาน
2. การสงั เกต
3. การซักถาม
4. การนำเสนอ
5. การมีส่วนร่วมของผู้เรียน
174
ใบงานที่.......
1.ใหผ้ ูเ้ รียนศึกษาเร่ืองตอ่ ไปนี้แล้วทำเป็นรายงาน
1 . ชนิดของลม
2.ลมมรสุม
3. ลมพายหุ มนุ เขตร้อน
4.อิทธิพลของลมตอ่ มนุษยแ์ ละสิง่ แวดล้อม
175
ใบงานที่.......
1. ให้ผู้เรยี นยกกรณีตวั อย่างปรากฏการทางธรรมชาติที่เกดิ ขนึ้ ในท้องถิ่น ประเทศ มาอย่างละ
ตวั อย่างพร้อมท้งั อธิบายสาเหตุ ผลกระทบท่ีเกดิ ขึ้นจากปรากฏการทางธรรมชาตแิ ละบอกแนว
ทางแก้ไข
176
การวดั และประเมนิ ผล
แบบสงั เกตพฤตกิ รรมกำรทำงำนรำยบคุ คล
รายการพฤติกรรม คุณภาพการปฏบิ ตั ิ
4321
1. มกี ารวางแผนก่อนการทำงาน
2. ปฏิบตั งิ านด้วยความตง้ั ใจ
3. มีการปฏบิ ตั ิงานตามข้ันตอน
4. มีการให้ความช่วยเหลือเพอ่ื น
5. ใหค้ ำแนะนำเพ่ือนคนอน่ื ได้
รวม
เกณฑก์ ารให้คะแนน
ปฏิบตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน
3 คะแนน
ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤติกรรมบอ่ ยครง้ั ให้ 2 คะแนน
1 คะแนน
ปฏิบตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมบางครง้ั ให้
ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมนอ้ ยคร้ังหรือไม่เคยปฏบิ ตั ิเลย ให้
เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
17-20 4 หมายถึง ดีมาก
13-16 3 หมายถงึ ดี
9-12 2 หมายถงึ พอใช้
5-8 1 หมายถึง ปรบั ปรงุ
๑๗๗
ขนั้ ท่ี 4 การประเมินผล
1. ประเมนิ ผลงาน /การนำเสนอรายงาน
2. ความคิดเหน็ ของครู / ผู้รู้
3. รปู เลม่ รายงาน
สือ่
1. หนังสอื เรียน/ส่อื สิ่งพิมพ์
2. อินเตอร์เนต็
3. ใบงาน เร่อื งงานและพลงั งาน
๑๗๘
คณะผจู้ ดั ทำ
ทปี่ รกึ ษา อ่อนละออ ผอ.กศน.อำเภอพบิ ลู มงั สาหาร
นายเฉลิมพล โมทอง ครูชำนาญการ
นางญาณิศา
คณะทำงาน ยง่ิ ยืน ครผู ู้ช่วย
นายนริ ันดร โพธิ์งาม ครอู าสาสมัครฯ
นายชาครติ รอดพรอ้ ม ครอู าสาสมัครฯ
นางสาวฐิตมิ าส จันทรเ์ ตม็ ครูกศน.ตำบล
นายภาณุศร
ผรู้ บั ผดิ ชอบ/เรียบเรยี ง
นายนิรันดร ยง่ิ ยนื ครูผู้ช่วย