1 รายงานการวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 โรงเรียนบ้านสาคอ จังหวัดยะลา Developing listening and speaking skills using story-based activities. of students in Year 1 of Kindergarten, Ban Sakho School, Yala Province นูรอัยนีซาปูรา มาหามะ เสาวลักษณ์ สมวงษ์ รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2566
2 รายงานการวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 โรงเรียนบ้านสาคอ จังหวัดยะลา Developing listening and speaking skills using story-based activities. of students in Year 1 of Kindergarten, Ban Sakho School, Yala Province นูรอัยนีซาปูรา มาหามะ เสาวลักษณ์ สมวงษ์ รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2566
ก ชื่อวิจัย การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานของนักเรียน ชั้นอนุบาลปีที่ 1 โรงเรียนบ้านสาคอ จังหวัดยะลา ผู้วิจัย นูรอัยนีซาปูรา มาหามะ และเสาวลักษณ์ สมวงษ์ สาขาวิชา การศึกษาปฐมวัย คณะกรรมการที่ปรึกษา ..................................................................กรรมการ (อาจารย์เสาวลักษณ์ สมวงษ์) ประธานหลักสูตร ...................................................................กรรมการ (อาจารย์เสาวลักษณ์ สมวงษ์) อาจารย์นิเทศประจำหลักสูตร ..................................................................กรรมการ (อาจารย์เนาวรัตน์ มะลีลาเต๊ะ) อาจารย์ฝ่ายฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู .................................................................กรรมการ (นางมาซีเตาะห์ เจ๊ะแต) ครูพี่เลี้ยง รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2566
ก ชื่อวิจัย การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานของนักเรียน ชั้นอนุบาลปีที่ 1 โรงเรียนบ้านสาคอ จังหวัดยะลา ผู้วิจัย นูรอัยนีซาปูรา มาหามะ และเสาวลักษณ์ สมวงษ์ สาขาวิชา การศึกษาปฐมวัย ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยในชั้นเรียนครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทาน เป็นฐานที่มีต่อทักษะการฟังและการพูดของนักเรียนตามเกณฑ์มาตรฐาน E1/E2 เท่ากับ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการฟังและการพูดของนักเรียนที่ใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานก่อนและหลังการจัด กิจกรรม 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชาย–หญิง ที่มีอายุระหว่าง 3-4 ปีกำลังศึกษาอยู่ ชั้นอนุบาลปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านสาคอ จังหวัดยะลา จำนวนนักเรียน ทั้งหมด 10 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐาน 2) แบบบันทึกการ สังเกตทักษะการฟังและการพูด ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม 3) แบบบันทึกการสังเกตทักษะการฟังและ การพูดระหว่างการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐาน 4) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ กิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าดัชนีความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (X) ̅̅̅ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนก่อนและหลัง โดยใช้ค่า T (t-test) ชนิดข้อมูลสัมพันธ์กัน (Dependent Samples) และการหาประสิทธิภาพของ เครื่องมือตามเกณฑ์ E1/E2 เท่ากับ 80/80 ผลการวิจัยพบว่า 1. ประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐานที่มีต่อทักษะการฟังและการพูดของ นักเรียนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน E1/E2 เท่ากับ 89.50 / 94.00 2. หลังการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐาน นักเรียนมีทักษะการฟังและการพูดสูงกว่าก่อนการ จัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. หลังการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐาน นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย (X) ̅̅̅ เท่ากับ 2.94 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน S.D. เท่ากับ 0.14
ข Title Developing listening and speaking skills using story-based activities. of students in Year 1 of Kindergarten, Ban Sakho School, Yala Province Author Nur-ainisapura Mahama and Sauwaluk Somwong Degree Early Childhood Education Academic Year 2023 Abstract The objectives of this classroom research are 1) to find out the effectiveness of organizing activities using stories as a base on students' listening and speaking skills according to the standard criteria E1/E2 equal to 80/80 2) to compare the skills of Listening and speaking of students using story-based activities before and after organizing the activity. 3) To study student satisfaction with organizing activities using story-based activities. The sample group used in this research was male and female students. Who are between 3-4 years old, studying in Year 1 of Kindergarten, Semester 1, Academic Year 2023, Ban Sakho School, Yala Province, total number of students is 10, obtained from purposive selection. The research tools included 1) a story-based activity plan 2) a listening and speaking skill observation record form. Before and after organizing the activity. 3) Listening and speaking skill observation recording form. During organizing activities using stories as a basis. 4) Student satisfaction assessment form with activities using stories as a base. Statistics used to analyze the data are content consistency index (IOC), percentage (%), mean (X) ̅̅̅ standard deviation (S.D.) and compare the difference in scores before and after using T value (t-test), related data type (Dependent Samples) and determination of tool efficiency according to E1/E2 criteria equal to 80/80.
ค The research results found that 1. The efficiency of organizing activities using stories as a base on students' listening and speaking skills is as effective as standard E1/E2equal to 89.50 / 94.00 2. After organizing activities using stories as a base Students had higher listening and speaking skills than before the activity at a statistical significance of .05. 3. After organizing the activity using stories as a base. Students are satisfied at a high level. The mean (X) ̅̅̅ is equal to 2.94, standard deviation S.D. is equal to 0.14.
ง กิตติกรรมประกาศ การศึกษาวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 โรงเรียนบ้านสาคอ จังหวัดยะลา สำเร็จได้ด้วยความอนุเคราะห์ช่วยเหลือ อย่างดีจากอาจารย์เสาวลักษณ์ สมวงษ์ ที่กรุณาให้คำปรึกษา ข้อเสนอแนะ แก้ไขข้อบกพร่องและเพิ่มเติม ความสมบูรณ์ของงานวิจัยมาโดยตลอด ผู้วิจัยขอขอบพระคุณอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ ขอขอบคุณ คณะผู้เชี่ยวชาญ นายฟุรกรณ์ดาราแม นางจุฑารัตน์ ศรีสว่าง และ นางมาซีเตาะห์ เจ๊ะแต ที่กรุณาตรวจแก้ไขและให้คำแนะนำเกี่ยวกับเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ขอขอบคุณ นางนลินี พรหมเมือง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านสาคอ ตำบลท่าสาป อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ที่ได้กรุณาให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนอย่างดียิ่ง และขอบคุณคณะครูโรงเรียนบ้านสาคอ ที่ให้ความสะดวก ให้ความช่วยเหลือในการจัดกิจกรรม ขอขอบคุณ นางมาซีเตาะห์ เจ๊ะแต ครูพี่เลี้ยง ที่คอยให้คำแนะนำ ช่วยเหลือและสนับสนุน คอยอำนวยความสะดวกในการทำวิจัยให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นอกจากนี้ขอขอบใจนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 โรงเรียนบ้านสาคอทุกคนที่ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม และเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเป็นอย่างดี นอกจากนี้ผู้วิจัยขอขอบคุณคณาจารย์ทุกท่านที่อบรมสั่งสอนให้ผู้วิจัยได้รับความรู้ ตลอดจน เพื่อน ๆ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยที่คอยช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้มาโดยตลอด ทำให้การศึกษา งานวิจัยนี้เต็มไปด้วยความสุข และเหตุการณ์ที่น่าประทับใจจนทำให้งานวิจัยฉบับนี้ประสบผลสำเร็จ ไปด้วยดี ขอขอบคุณบิดา มารดา ผู้ปกครอง ที่ให้ความรัก ความอบอุ่น และสุดท้ายนี้ขอขอบคุณกำลังใจ อีกหลายท่านที่มิได้กล่าวนามไว้ ณ ที่นี้ นูรอัยนีซาปูรา มาหามะ กุมภาพันธ์2566
จ สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย………………………………………………………………………………………………. ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ………………………………………………………………………………………….. ข กิตติกรรมประกาศ………………………………………………………………………………………………… ง สารบัญ……………………………………………………………………………………………………………….. จ สารบัญตาราง……………………………………………………………………………………………………… ซ สารบัญภาพ………………………………………………………………………………………………………… ญ บทที่ 1 บทนำ……………………………………………………………………………………………………… 1 ที่มาและความสำคัญของปัญหา………………………………………………………………….. 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย…………………………………………………………………………… 3 สมมติฐานของการวิจัย………………………………………………………………………………. 4 ขอบเขตของการวิจัย…………………………………………………………………………………. 4 ประโยชน์ของการวิจัย……………………………………………………………………………….. 5 นิยามศัพท์เฉพาะ……………………………………………………………………………………… 5 กรอบแนวคิดการวิจัย………………………………………………………………………………… 6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………………. 7 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560…………………………………………… 8 ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย…………………………………………………………………………… 8 วิสัยทัศน์…………………………………………………………………………………………………. 8 หลักการ………………………………………………………………………………………………….. 8 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กอายุ 3 - 6 ปี………………………………………. 9 จุดมุ่งหมาย……………………………………………………………………………………………… 9 มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์…………………………………………………………….. 9 ตัวบ่งชี้……………………………………………………………………………………………………. 10 สภาพที่พึงประสงค์…………………………………………………………………………………… 10 สาระการเรียนรู้………………………………………………………………………………………… 18 การจัดกิจกรรมประจำวัน…………………………………………………………………………… 24
ฉ สารบัญ (ต่อ) หน้า การประเมินพัฒนาการ……………………………………………………………………………… 26 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับทักษะภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย…………………………………. 26 ความหมายของภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย……………………………………………………… 26 ความสำคัญของภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย……………………………………………………… 27 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการทางภาษา………………………………………………….. 28 เด็กสองภาษา……………………………………………………………………………………………. 31 ทักษะการฟัง……………………………………………………………………………………………. 38 ทักษะการพูด…………………………………………………………………………………………… 43 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับนิทานสำหรับเด็กปฐมวัย………………………………………….. 48 ความหมายของนิทานสำหรับเด็กปฐมวัย……………………………………………………... 48 ความสำคัญของนิทานสำหรับเด็กปฐมวัย…………………………………………………….. 50 ประเภทของนิทานสำหรับเด็กปฐมวัย…………………………………………………………. 51 รูปแบบการเล่านิทานสำหรับเด็กปฐมวัย……………………………………………………… 53 ประโยชน์ของนิทานสำหรับเด็กปฐมวัย……………………………………………………….. 54 กิจกรรมนิทานเป็นฐาน……………………………………………………………………………… 56 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง………………………………………………………………………………….. 57 งานวิจัยในประเทศ…………………………………………………………………………………… 57 งานวิจัยต่างประเทศ…………………………………………………………………………………. 58 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย…………………………………………………………………………………….. 59 กลุ่มตัวอย่าง…………………………………………………………………………………………….. 59 ตัวแปรที่ศึกษา…………………………………………………………………………………………. 59 แบบแผนการวิจัย……………………………………………………………………………………… 59 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย…………………………………………………………………………….. 60 การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ…………………………………………………… 60 การรวบรวมข้อมูล…………………………………………………………………………………….. 64 การวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………………………………………. 64
ช สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 4 ผลการวิจัย………………………………………………………………………………….. 69 ลักษณะที่ใช้ในการเสนอวิเคราะห์ข้อมูล………………………………………………………. 69 ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล………………………………………….. 69 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล………………………………………………………………………………. 70 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ………………………………………….. 78 กลุ่มตัวอย่าง……………………………………………………………………………………………. 78 ตัวแปรที่ศึกษา…………………………………………………………………………………………. 78 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย………………………………………………………………………….... 79 การเก็บรวบรวมข้อมูล………………………………………………………………………………. 79 สถิติในการวิเคราะห์…………………………………………………………………………………. 79 สรุปผลการวิจัย………………………………………………………………………………………… 80 อภิปรายผล……………………………………………………………………………………………… 81 ข้อเสนอแนะ……………………………………………………………………………………………. 84 บรรณานุกรม……………………………………………………………………………………………………….. 85 ภาคผนวก………………………………………………………………………………………………………….... 90 ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบเครื่องมือวิจัย……………………. 91 ภาคผนวก ข หนังสือขอความอนุเคราะห์…………………………………………………….. 93 ภาคผนวก ค รายชื่อนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1………………………………………………. 97 ภาคผนวก ง แผนการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้ กิจกรรมนิทานเป็นฐานของนักเรียน………………………………………… 99 ภาคผนวก จ แบบประเมินความพึงพอใจการพัฒนาทักษะการฟังและการพูด โดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน…………………………………………………. 160 ภาคผนวก ฉ การประเมินเครื่องมือวิจัยสำหรับผู้เชี่ยวชาญ……………………………. 162 ภาคผนวก ช ตารางแสดงค่าดัชนีความสอดคล้อง ( IOC )……………………………… 175 ภาคผนวก ซ ประเมินภาพการวิจัย……………………………………………………………... 182 ภาคผนวก ฌ ประวัติผู้วิจัย………………………………………………………………………… 193
ซ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 มาตรฐานที่ 1 ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี…………………………… 11 2 มาตรฐานที่ 2 กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรง ใช้ได้คล่องแคล่ว และ สัมพันธ์กัน………………………………………………………………………………………………. 11 3 มาตรฐานที่ 3 มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข…………………………………………………. 12 4 มาตรฐานที่ 4 ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว……….. 12 5 มาตรฐานที่ 5 มีคุณธรรม จริยธรรม และมีจิตใจที่ดีงาม…………………………………. 13 6 มาตรฐานที่ 6 มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง………………………………………………………………………………………………….. 14 7 มาตรฐานที่ 7 รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความเป็นไทย…………………………… 14 8 มาตรฐานที่ 8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดี ของสังคมในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข………….. 15 9 มาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย………………………………………….. 15 10 มาตรฐานที่ 10 มีความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้………………. 16 11 มาตรฐานที่ 11 มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์…………………………………... 17 12 มาตรฐานที่ 12 มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีความสามารถในการแสวงหา ความรู้ได้เหมาะสมกับวัย…………………………………………………………………………… 18 13 แบบแผนการวิจัย……………………………………………………………………………………… 60 14 วิเคราะห์การใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน……………………………………………………….. 61 15 ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญต่อแผนการจัดกิจกรรม การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานของนักเรียน…. 70 16 ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญต่อแบบบันทึกการสังเกต พฤติกรรมทักษะการฟังและการพูดของนักเรียนก่อนและหลังการการจัดกิจกรรม 71
ฌ สารบัญตาราง ตาราง หน้า 17 ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญต่อแบบบันทึกการสังเกต พฤติกรรมทักษะการฟังและการพูดของนักเรียนโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ระหว่างการจัดกิจกรรม……………………………………………………………………………… 72 18 ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญต่อแบบประเมินความ พึงพอใจของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ที่มีต่อทักษะการฟังและการพูดโดยใช้ กิจกรรมนิทานเป็นฐาน………………………………………………………………………………. 73 19 ค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยผลการสังเกตพฤติกรรมระหว่างและหลังการจัด กิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1……………………………………………………………………… 74 20 แสดงประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐานที่มีต่อทักษะ การฟังและการพูดของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ตามเกณฑ์มาตรฐานค่า E1/E2 เท่ากับ 80/80 จากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 10 คน………………………………….. 75 21 ผลการวิเคราะห์ค่าของคะแนน ก่อน – หลังการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะ การฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน……………………………………………. 75 22 ผลการวิเคราะห์ t – test ของคะแนนก่อน – หลังการจัดกิจกรรมการพัฒนา ทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน สูตร t-test dependent 76 23 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ที่มีต่อการใช้กิจกรรม นิทานเป็นฐาน……………………………………………………………………………………………. 77
ญ สารบัญแผนภาพ ภาพที่ หน้า 1 กรอบแนวคิดการวิจัย……………………………………………………………………………….... 6
1 บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญของปัญหา ภาษามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เป็นเครื่องมือสำหรับการคิด ซึ่งจะนำไปสู่ พัฒนาการทางเชาว์ปัญญาในขั้นสูง เป็นเครื่องมือสำหรับการสื่อสาร ทั้งในการแสดงออกถึงความต้องการ ความรู้สึกนึกคิด อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้ โดยเป็นสื่อกลางที่ช่วยให้มนุษย์สามารถ ถ่ายทอดความคิดที่เป็นนามธรรมได้ เป็นสื่อที่มนุษย์สร้างขึ้น เป็นเครื่องมือของการสื่อสาร ก่อให้เกิดความ เข้าใจความหมายตรงกัน ทำให้สามารถศึกษาถ่ายทอดนำมาอนุรักษ์และสร้างสรรค์วัฒนธรรม เป็นมรดก ทางสังคมสืบต่อกันมา (ประภาศรี สีหอำไพ, : 2550 อ้างถึงใน เกตน์นิภา ฮาดคันทุง, 2561 : 1) ทักษะ ทางภาษาสามารถส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ได้ดีในช่วงปฐมวัย ซึ่งเป็นช่วงวัยที่เด็กกำลังเติบโตในทุก ๆ ด้านโดยเฉพาะภาษาเรียกได้ว่า “เป็นวัยทองของภาษา” เนื่องจากเป็นระยะที่เด็กมีพัฒนาการด้านภาษา เจริญขึ้นอย่างมาก หากเด็กได้รับการส่งเสริมอย่างเต็มตามศักยภาพจะทำให้การเรียนรู้ของเด็กพัฒนาไป อย่างรวดเร็ว ภาษาของเด็กในช่วงปฐมวัยมีความสำคัญมาก เด็กพร้อมที่จะฝึกทักษะทางภาษาทั้งในด้านการรู้ คำศัพท์ การออกเสียงคำให้ชัดเจน การใช้ประโยคเพื่อการติดต่อสื่อสาร การบอกชื่อวัตถุ สิ่งของ แต่ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น อายุ เพศ สุขภาพและสภาพแวดล้อมที่เป็นองค์ประกอบในการ พัฒนาและการเรียนรู้ภาษา พัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัยเป็นไปตามขั้นตอน มีลักษณะเหมือน ขั้นบันได เริ่มตั้งแต่การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน โดยแต่ละขั้นตอนจะมีความเหลื่อมล้ำเชื่อม สัมพันธ์ซึ่งกันและกันไม่แยกกันโดยสิ้นเชิง พัฒนาการทางภาษาขั้นต้นจะเป็นพื้นฐานของการพัฒนา ทางภาษาขั้นที่สูงขึ้น พัฒนาการทางภาษาของเด็กวัย 3-6 ปีจะครอบคลุมทักษะทางภาษา 4 ด้าน ได้แก่ ทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียน แต่ละทักษะจะมีพัฒนาการไปตามวัย (พัชรี ผลโยธิน, 2562) การที่เด็ก ปฐมวัยจะพัฒนาภาษาและความสามารถในการสื่อสารได้นั้น ทักษะการฟัง และการพูดถือเป็นทักษะ พื้นฐานที่สำคัญ เนื่องจากเด็กวัยนี้เป็นวัยที่เรียนรู้ภาษาตามลำดับขั้น โดยเริ่มจากความคุ้นเคยจากการได้ ยินได้ฟังไปสู่การพูดและการสนทนา (รสสุคนธ์ แนวบุตร,2557 : 4) ซึ่งสอดคล้องกับ กุลยา ตันติผลาชีวะ (2557 : 132) กล่าวว่า เด็กเรียนรู้ภาษาตามลำดับขั้นพัฒนาการ เริ่มจากความคุ้นเคยจากการได้ยินได้ฟัง การพูดคุยสนทนา ทำให้ทักษะทางภาษาเจริญงอกงามใช้ภาษาง่าย ๆ ซึ่งเด็กในช่วงอายุ 2-7 ปี เป็นระยะของ การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของคำสะสมการเรียนรู้คำมากขึ้น
2 การพัฒนาภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ได้กำหนด จุดมุ่งหมายสำหรับเด็กปฐมวัยให้เด็กมีพัฒนาการตามวัยเต็มตามศักยภาพและมีความพร้อมในการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดขึ้นกับเด็กเมื่อจบการศึกษาในระดับปฐมวัย ดังนี้ 1) ร่างกายเจริญเติบโตตามวัย แข็งแรง และมี สุขนิสัยที่ดี 2) สุขภาพจิตดี มีสุนทรียาภาพ มีคุณธรรม จริยธรรม และจิตใจที่ดีงาม 3) มีทักษะชีวิตและ ปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีวินัย และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 4) มีทักษะ การคิด การใช้ภาษาสื่อสาร และการแสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกับวัย รวมไปถึงการส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ พัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ซึ่งในช่วงอายุ 3-4 ปี หรือ ระดับชั้นอนุบาลปีที่1 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยได้กำหนดประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้าน สติปัญญา การใช้ทักษะทางภาษา ทักษะการฟังและการพูด ดังนี้ 1) การฟังและตอบคำถามจากนิทาน 2) การพูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนิทาน 3) การพูดเล่าเรื่องจากประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) การพัฒนาภาษาเกี่ยวกับทักษะการฟังและการพูดจึงมีความสำคัญกับเด็ก ในระดับชั้นอนุบาล 1 มาก เพราะจะเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ในระดับชั้นต่อไป การพัฒนาภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันทางด้านวัฒนธรรม โดยเฉพาะชายแดนที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ภาคเหนือ ติดต่อกับชายแดนพม่าและ ลาว ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ติดต่อกับชายแดนลาวและเขมร ภาคใต้ติดต่อกับชายแดนไทยมาเลเซีย ประชากรในพื้นที่ดังกล่าวจะมีปัญหาการใช้ภาษาโดย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะเด็กเหล่านี้จะใช้ ภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง ส่วนภาษาที่หนึ่งหรือภาษาแม่เป็นภาษามลายู จึงก่อให้เกิดปัญหากับการ สื่อสาร ซึ่งในชีวิตประจำวันโดยส่วนใหญ่ใช้ภาษามลายูท้องถิ่นมากกว่าการใช้ภาษาไทย ทำให้เด็กเรียน และรับรู้ภาษาไทยได้ช้า ซึ่งระบบการศึกษาในพื้นที่นอกจากจะมีระบบการศึกษาภาคสามัญทั่วไป (หมายถึงอนุบาล ประถม มัธยมและอุดมศึกษา) ในท้องถิ่นยังมีระบบการศึกษาภาคศาสนาที่เรียกว่า ระบบตาดีกา เมื่อเด็กเจริญเติบโตพอที่จะศึกษาเล่าเรียนได้ บิดามารดาจะต้องให้เด็กเริ่มฝึกหัดอ่านภาษา อาหรับ และคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งการเรียนพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของมุสลิม การที่เด็กต้องใช้ภาษาที่สองซึ่งเป็นภาษาที่ไม่ถนัดในการเรียนรู้ในโรงเรียน ส่งผลต่อการเรียน และมีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาต่ำกว่านักเรียนในภูมิภาคอื่น ๆ เกือบทุกวิชา ปัญหานี้อาจจะส่งผลระยะ ยาวต่อคุณภาพทางการศึกษาและคุณภาพชีวิตของประชากรด้วย (อับดุลสุโก ดินอะ, 2557 : 76-77)
3 เด็กในวัยอนุบาล 3-6 ปี กำลังอยู่ในวัยที่เริ่มเรียนภาษา ซึ่งการเรียนจะประสบความสำเร็จ ก็ต่อเมื่อเด็กได้เรียนรู้อย่างมีความหมายจากสถานการณ์จริงในชีวิตประจำวันของเขา แต่การที่เด็กต้องหัด เรียนสองภาษา คือ การเรียนภาษาที่หนึ่งที่บ้าน และเรียนภาษาไทยกลางเป็นภาษาที่สองที่โรงเรียนไป พร้อมกัน ถ้าการสอนไม่ได้ยอมรับประสบการณ์ทางภาษาและวัฒนธรรมของเด็ก และไม่คำนึงถึงบริบท ทางสังคม และวัฒนธรรมในการเรียนรู้ภาษาของเด็ก ก็จะทำให้เด็กสับสน และประสบปัญหาในการเรียน ได้ เนื่องจากเด็กขาดความเข้าใจภาษาที่สองและขาดทักษะในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อความหมาย ทำให้ เด็กมีอุปสรรคในการเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ เพราะภาษาเป็นสื่อกลางระหว่างประสบการณ์กับความคิด การส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาให้กับเด็กวัยอนุบาล จึงเป็นการสร้างเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการที่ จะนำไปใช้ในการเรียนรู้ตลอดชีวิตของเด็ก (รติรัตน์ คล่องแคล่ว, 2559 : 3) จากการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนที่ผู้วิจัยได้ลงปฏิบัติการสอนที่โรงเรียนบ้านสาคอ ชั้นอนุบาลปีที่ 1 พบว่านักเรียนร้อยละ 80 ยังขาดทักษะการใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร กล่าวคือ นักเรียน ฟังภาษาไทยไม่เข้าใจ และพูดภาษาไทยไม่ได้ เพราะใช้ภาษามลายูถิ่นในการสื่อสารเป็นหลัก โดยการใช้ ภาษาของนักเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต เนื่องจากเป็นพื้นฐานของทักษะการเข้าสังคม เพราะนักเรียนใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการแสดงความต้องการ ความรู้สึกนึกคิด การแลกเปลี่ยน ประสบการณ์กับผู้อื่น และเป็นพื้นฐานสำคัญของอารมณ์ สังคม และพัฒนาการทางสติปัญญา ทำให้เกิด ปัญหาในการจัดกิจกรรมในการเรียนรู้ และปัญหาที่พบมากที่สุด คือ การใช้ภาษาในการสื่อสารที่บ้านกับที่ โรงเรียนต่างกัน ทำให้นักเรียนสับสนในการเรียนรู้ เพราะต้องการใช้ภาษาไทยกลางในการสื่อสาร ส่งผลให้ นักเรียนฟังภาษาไทยไม่เข้าใจ และกลัวการใช้ภาษาไม่ถูกต้อง นักเรียนส่วนใหญ่ยังออกเสียงภาษาไทยผิด ขาดความมั่นใจในการสื่อสารและการแสดงออก และเมื่อสังเกตในการจัดกิจกรรม พบว่า นักเรียนส่วน ใหญ่ให้ความสนใจในกิจกรรมการเล่านิทาน ซึ่งนักเรียนจะให้ความสนใจ ตื่นเต้น มีความกระตือรือร้น และ ให้ความร่วมมือ ผู้วิจัยพิจารณาเห็นว่าการใช้สื่อประกอบการเรียนการสอนถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ นักเรียนเกิดทักษะการฟัง และการพูดที่ดีขึ้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะสร้างนวัตกรรมให้นักเรียน เพื่อพัฒนาให้นักเรียนมีความสามารถด้านการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานในระดับที่สูงขึ้น ต่อไป
4 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อหาประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐานที่มีต่อทักษะการฟังและการพูด ของนักเรียนตามเกณฑ์มาตรฐาน E1/E2 เท่ากับ 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการฟังและการพูดของนักเรียนที่ใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานก่อนและ หลังการจัดกิจกรรม 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐาน สมมติฐานของการวิจัย 1. ประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐานที่มีต่อทักษะการฟังและการพูดของ นักเรียนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน E1/E2 เท่ากับ 80/80 2. หลังการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐานนักเรียนมีทักษะการฟังและการพูดสูงกว่าก่อนการจัด กิจกรรม 3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐานอยู่ในระดับมาก ขอบเขตของการวิจัย 1. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชาย-หญิง มีอายุระหว่าง 3-4 ปีกำลังศึกษาอยู่ชั้น อนุบาลปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านสาคอ จังหวัดยะลา จำนวนนักเรียน 10 คน ชาย 5 คน หญิง 5 คน ได้จากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 2.ขอบเขตด้านตัวแปร ตัวแปรต้น ได้แก่ กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ตัวแปรตาม ได้แก่ ทักษะการฟังและการพูด 3. ระยะเวลาที่ทำการวิจัย การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ดำเนินการในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 เวลาในการทดลอง 10 ครั้ง จำนวน 10 กิจกรรม กลุ่มตัวอย่างได้รับการทดลองทั้งสิ้น 10 ครั้ง 10 กิจกรรม ระหว่าง เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2566 ถึง เดือน กันยายน พ.ศ. 2566
5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ได้รับการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทาน เป็นฐาน 2. ครูได้แนวทางในการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดให้กับนักเรียนโดยใช้กิจกรรมนิทาน เป็นฐาน 3. สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมทักษะการฟัง และการพูดให้กับนักเรียน นิยามศัพท์เฉพาะ 1. ทักษะการฟังและการพูด หมายถึง ความสามารถทางภาษาในการรับรู้เสียงที่ได้ยินและการ เปล่งเสียง แสดงออกในการสื่อสารใน 2 ทักษะ ทักษะการฟัง หมายถึง การแสดงพฤติกรรมของนักเรียนในการจดจ่อใส่ใจเรื่องเล่าจากนิทาน และสามารถตอบคำถามจากนิทาน ทักษะการพูด หมายถึง การแสดงพฤติกรรมของนักเรียนใน 2 เรื่อง ได้แก่ การพูดแสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับนิทาน และการพูดเล่าเรื่องจากประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน 2. กิจกรรมนิทานเป็นฐาน หมายถึง การจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐานที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็น หลักในการดำเนินกิจกรรม โดยผู้วิจัยสร้างนิทานจากหลักเกณฑ์การสร้างนิทาน ดังนี้ 1) เนื้อเรื่องของนิทานมีความเหมาะสมกับวัยของกลุ่มเป้าหมายอายุ 3 – 4 ปี 2) ภาพในนิทานมีความไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย มีความเหมาะสมกับวัยของนักเรียน 3) ภาพในนิทานมีความสอดคล้องกับบริบทสังคมของนักเรียน 4) เนื้อเรื่องในนิทานมีความสอดคล้องกับหน่วยการเรียนรู้ ซึ่งผู้วิจัยได้สร้างนิทาน ทั้งหมด 2 เรื่อง ได้แก่ เรื่องที่ 1 ต้นไม้ที่รัก เรื่องที่ 2 สัตว์น่ารัก การดำเนินการจัดกิจกรรม โดยดำเนินการจัดกิจกรรมตามขั้นตอนต่อไปนี้ 1) ขั้นนำ เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนเพื่อเตรียมความพร้อม 2) ขั้นการใช้นิทาน เป็นการทดลองใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน 3) ขั้นสรุป ทักษะการฟังและการพูด เป็นการสรุปทักษะที่ได้จากการทำกิจกรรม 3. นักเรียน หมายถึง นักเรียนชาย-หญิง ที่มีอายุระหว่าง 3-4 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านสาคอ จังหวัดยะลา จำนวน 10 คน
6 กรอบแนวคิดการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ภาพประกอบที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย เกณฑ์ในการสร้างนิทาน 1. เนื้อเรื่องของนิทานมีความเหมาะสมกับวัยของ กลุ่มเป้าหมายอายุ 3 – 4 ปี 2. ภาพในนิทานมีความไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย มี ความเหมาะสมกับวัยของนักเรียน 3. ภาพในนิทานมีความสอดคล้องกับบริบทสังคม ของนักเรียน 4. เนื้อเรื่องในนิทานมีความสอดคล้องกับหน่วย การเรียนรู้ ทักษะการฟัง -การฟังและตอบคำถามจากนิทาน ทักษะการพูด - การพูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ นิทาน - การพูดเล่าเรื่องจากประสบการณ์ ในชีวิตประจำวัน กิจกรรมนิทานเป็นฐาน 1. นิทานเรื่อง “ต้นไม้ที่รัก” กิจกรรมที่ 1 การปลูกต้นหอม กิจกรรมที่ 2 ดอกไม้กระดาษบานในน้ำ กิจกรรมที่ 3 เก็บผักกันเถอะ กิจกรรมที่ 4 ตกแต่งต้นไม้จากเศษวัสดุธรรมชาติ กิจกรรมที่ 5 ทานตะวันดุ๊กดิ๊ก 2. นิทานเรื่อง “สัตว์น่ารัก” กิจกรรมที่ 6 หน้ากากสัตว์น่ารัก กิจกรรมที่ 7 บ้านของแพนกวิน กิจกรรมที่ 8 หุ่นนิ้วมือสัตว์น่ารัก กิจกรรมที่ 9 ฟังซิ นี่คือสัตว์อะไร กิจกรรมที่ 10 กระต่ายน้อยโยกเยก
7 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 โรงเรียนบ้านสาคอ จังหวัดยะลา ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารงานวิจัย ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางในการทำงานวิจัยโดยมีรายละเอียดตามหัวข้อดังต่อไปนี้ 1. หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 1.1 ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย 1.2 วิสัยทัศน์ 1.3 หลักการ 1.4 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กอายุ 3 - 6 ปี 1.5 จุดมุ่งหมาย 1.6 มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ 1.7 ตัวบ่งชี้ 1.8 สภาพที่พึงประสงค์ 1.9 สาระการเรียนรู้ 1.10 การจัดกิจกรรมประจำวัน 1.11 การประเมินพัฒนาการ 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับทักษะภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย 2.1 ความหมายของภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย 2.2 ความสำคัญของภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย 2.3 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการทางภาษา 2.4 เด็กปฐมวัย 2 ภาษา 2.5 ทักษะการฟัง 2.6 ทักษะการพูด 3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับนิทานสำหรับเด็กปฐมวัย 3.1 ความหมายของนิทานสำหรับเด็กปฐมวัย 3.2 ความสำคัญของนิทานสำหรับเด็กปฐมวัย 3.3 ประเภทของนิทานสำหรับเด็กปฐมวัย
8 3.4 รูปแบบการเล่านิทานสำหรับเด็กปฐมวัย 3.5 ประโยชน์ของนิทานสำหรับเด็กปฐมวัย 3.6 กิจกรรมนิทานเป็นฐาน 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1 งานวิจัยในประเทศ 4.2 งานวิจัยต่างประเทศ 1. หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2560 ได้กำหนดเนื้อหา สาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ การพัฒนาเด็กปฐมวัย ดังนี้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560: 2 - 43) 1.1 ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย การศึกษาปฐมวัยเป็นการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปีบริบูรณ์อย่างเป็นองค์รวม บนพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดู และการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติ และพัฒนาการตาม วัยของเด็กแต่ละคนให้เต็มตามศักยภาพภายใต้บริบทสังคม และวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ด้วยความรัก ความเอื้ออาทร และความเข้าใจของทุกคนเพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็น มนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิดคุณค่าต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ 1.2 วิสัยทัศน์ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยมุ่งพัฒนาเด็กทุกคนให้ได้รับการพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาอย่างมีคุณภาพ และต่อเนื่องได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างมีความสุข และเหมาะสมตามวัย มีทักษะชีวิต และปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นคนดีมีวินัย และสำนึกความเป็นไทย โดยความร่วมมือระหว่างสถานศึกษา พ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝ่ายที่ เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็ก 1.3 หลักการ เด็กทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการอบรมเลี้ยงดู และการส่งเสริมพัฒนาการตามอนุสัญญาว่าด้วย สิทธิเด็ก ตลอดจนได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างเหมาะสมด้วยปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กกับ พ่อแม่ เด็กกับผู้สอน เด็กกับผู้เลี้ยงดู หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการอบรมเลี้ยงดูการพัฒนา และให้การศึกษา แก่เด็กปฐมวัย เพื่อให้เด็กมีโอกาสพัฒนาตนเองตามลำดับขั้นของพัฒนาการทุกด้านอย่างเป็นองค์รวมมี คุณภาพ และเต็มตามศักยภาพ โดยกำหนดหลักการ ดังนี้
9 1. ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กปฐมวัยทุกคน 2. ยึดหลักการอบรมเลี้ยงดู และให้การศึกษาที่เน้นเด็กเป็นสำคัญ โดยคำนึงถึงความ แตกต่างระหว่างบุคคล และวิถีชีวิตของเด็กตามบริบทของชุมชน สังคม และวัฒนธรรมไทย 3. ยึดพัฒนาการ และการพัฒนาเด็กโดยองค์รวม ผ่านการเล่นอย่างมีความหมาย และมีกิจกรรมที่หลากหลายได้ลงมือกระทำในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้เหมาะสมกับวัยและมีการ พักผ่อนเพียงพอ 4. จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กมีทักษะชีวิต และสามารถปฏิบัติตนตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นคนดีมีวินัย และมีความสุข 5. สร้างความรู้ ความเข้าใจ และประสานความร่วมมือในการพัฒนาเด็กระหว่าง สถานศึกษากับพ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย 1.4 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กอายุ 3-6 ปีเป็นการจัดการศึกษาในลักษณะของการ อบรมเลี้ยงดู และให้การศึกษาเด็กจะได้รับการพัฒนาทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาตามวัยและความสามารถของแต่ละบุคคล 1.5 จุดมุ่งหมาย หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยมุ่งเด็กมีพัฒนาการตามวัยเต็มตามศักยภาพและมีความพร้อมใน การเรียนรู้ต่อไปจึงกำหนดจุดหมายเพื่อให้เกิดกับเด็กเมื่อจบการศึกษาระดับปฐมวัย ดังนี้ 1. ร่างกายเจริญเติบโตตามวัย แข็งแรง และมีสุขนิสัยที่ดี 2. สุขภาพจิตดี มีสุนทรียภาพ มีคุณธรรม จริยธรรม และจิตใจที่ดีงาม 3. มีทักษะชีวิต และปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีวินัย และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 4. มีทักษะการคิด การใช้ภาษาสื่อสาร และการแสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกับวัย 1.6 มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยกำหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์จำนวน 12 มาตรฐาน ประกอบด้วย 1.6.1 พัฒนาการด้านร่างกาย ประกอบด้วย 2 มาตรฐาน คือ มาตรฐานที่ 1 ร่างกายเจริญเติบโตตามวัย และมีสุขนิสัยที่ดี
10 มาตรฐานที่ 2 กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว และประสานสัมพันธ์กัน 1.6.2 พัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ ประกอบด้วย 3 มาตรฐาน คือ มาตรฐานที่ 3 มีสุขภาพจิตดี และมีความสุข มาตรฐานที่ 4 ชื่นชม และแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว มาตรฐานที่ 5 มีคุณธรรม จริยธรรม และมีจิตใจที่ดีงาม 1.6.3 พัฒนาการด้านสังคม ประกอบด้วย 3 มาตรฐานคือ มาตรฐานที่ 6 มีทักษะชีวิต และปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาตรฐานที่ 7 รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และความเป็นไทย มาตรฐานที่ 8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดี ของสังคมในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 1.6.4 พัฒนาการด้านสติปัญญา ประกอบด้วย 4 มาตรฐาน คือ มาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย มาตรฐานที่ 10 มีความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ มาตรฐานที่ 11 มีจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ มาตรฐานที่ 12 มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ และมีความสามารถในการแสวงหา ความรู้เหมาะสมกับวัย 1.7 ตัวบ่งชี้ ตัวบ่งชี้เป็นเป้าหมายในการพัฒนาเด็กที่มีความสัมพันธ์สอดคล้องกับมาตรฐาน คุณลักษณะ ที่พึงประสงค์ 1.8 สภาพที่พึงประสงค์ สภาพที่พึงประสงค์เป็นพฤติกรรมหรือความสามารถตามวัยที่คาดหวังให้เด็กเกิดบนพื้นฐาน พัฒนาการตามวัยหรือความสามารถตามธรรมชาติในแต่ละระดับอายุ เพื่อนำไปใช้ในการกำหนดสาระการ เรียนรู้ในการจัดประสบการณ์ และประเมินพัฒนาการเด็กโดยมีรายละเอียดของมาตรฐาน คุณลักษณะที่ พึงประสงค์ ตัวบ่งชี้ และสภาพที่พึงประสงค์
11 ตารางที่ 1 มาตรฐานที่ 1 ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ ปฐมวัย 1 (3 – 4 ปี) ปฐมวัย 2 (4 - 5 ปี) ปฐมวัย 3 (5 - 6 ปี) 1.1 น้ำหนักและ ส ่ ว น ส ู ง ต า ม เกณฑ์ 1.1.1 น้ำหนักและส่วนสูงตาม เกณฑ์ของกรมอนามัย 1.1.1 น้ำหนักและส่วนสูงตาม เกณฑ์ของกรมอนามัย 1.1.1 น้ำหนักและส่วนสูงตาม เกณฑ์ของกรมอนามัย 1.2 มีสุขภาพ อนามัยสุขนิสัย ที่ดี 1.2.1 ยอมรับประทานอาหาร ที่มีประโยชน์ และดื่มน้ำที่ สะอาดเมื่อมีผู้ชี้แนะ 1.2.1 รับประทานอาหารที่มี ประโยชน์และดื่มน้ำสะอาด ด้วยตนเอง 1.2.1 รับประทานอาหารที่มี ประโยชน์ได้หลายชนิดและดื่ม น้ำสะอาดได้ด้วยตนเอง 1.2.2 ล้างมือก่อนรับประทาน อาหารและหลังจากใช้ห้องน้ำ ห้องส้วมเมื่อมีผู้ชี้แนะ 1.2.2 ล้างมือก่อนรับประทาน อาหารและหลังจากใช้ห้องน้ำ ห้องส้วมด้วยตนเอง 1.2.2 ล้างมือก่อนรับประทาน อาหารและหลังจากใช้ห้องน้ำ ห้องส้วมด้วยตนเอง 1.2.3 นอนพักผ่อนเป็นเวลา 1.2.3 นอนพักผ่อนเป็นเวลา 1.2.3 นอนพักผ่อนเป็นเวลา 1.2.4 ออกกำลังกายเป็นเวลา 1.2.4 ออกกำลังกายเป็นเวลา 12.4 ออกกำลังกายเป็นเวลา 1.3 รักษาความ ป ล อ ด ภ ั ย ข อ ง ตนเอง และผู้อื่น 1.3.1 เล่นและทำกิจกรรม อย่างปลอดภัยเมื่อมีผู้ชี้แนะ 1.3.1 เล่นและทำกิจกรรม อย่างปลอดภัยด้วยตนเอง 1.3.1 เล่น ทำกิจกรรม และ ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างปลอดภัย ตารางที่ 2 มาตรฐานที่ 2 กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรง ใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสาน สัมพันธ์กัน ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ ปฐมวัย 1 (3 – 4 ปี) ปฐมวัย 2 (4 - 5 ปี) ปฐมวัย 3 (5 - 6 ปี) 2.1 เคลื่อนไหว ร่างกายอย่าง ค ล ่ อ ง แ ค ล่ว ป ร ะ ส า น สัมพันธ์และ ทรงตัวได้ 2.1.1 เดินตามแ น วที่ กำหนดได้ 2.1.1 เดินต่อเท้าไปข้างหน้า เป็นเส้นตรงได้โดยไม่ต้องกาง แขน 2.1.1 เดินต่อเท้าถอยหลังเป็น เส้นตรงได้โดยไม่ต้องกางแขน 2.1.2 กระโดดสองขาขึ้นลง อยู่กับที่ได้ 2.1.2 กระโดดขาเดียวอยู่กับที่ ได้โดยไม่เสียการทรงตัว 2.1.2 กระโดดขาเดียวไปข้างหน้าได้ อย่างต่อเนื่องโดยไม่เสียการทรงตัว 2.1.3 วิ่งแล้วหยุดได้ 2.1.3 วิ่งหลบหลีกสิ่งกีดขวาง ได้ 2.1.3 วิ่งหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้ อย่างคล่องแคล่ว 2.1.4 รับลูกบอลโดยใช้มือ และลำตัวช่วย 2.1.4 รับลูกบอลโดยใช้มือทั้ง สองข้าง 2.1.4 รับลูกบอลที่กระดอนขึ้นจาก พื้นได้
12 ตารางที่ 2 (ต่อ) มาตรฐานที่ 2 กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรง ใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและ ประสานสัมพันธ์กัน ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ ปฐมวัย 1 (3 – 4 ปี) ปฐมวัย 2 (4 - 5 ปี) ปฐมวัย 3 (5 - 6 ปี) 2.2 ใช้มือ-ตา ป ร ะ ส า น สัมพันธ์กัน 2 . 2 . 1 ใช ้ ก ร ร ไ ก ร ตั ด กระดาษขาดจากกันได้โดย ใช้มือเดียว 2.2.1 ใช้กรรไกรตัดกระดาษ ตามแนวเส้นตรงได้ 2.2.1 ใช้กรรไกรตัดกระดาษตาม แนวเส้นโค้งได้ 2.2.2 เขียนรูปวงกลมตาม แบบได้ 2.2.2 เขียนรูปสี่เหลี่ยมตาม แบบได้อย่างมีมุมชัดเจน 2.2.2 เขียนรูปสามเหลี่ยมตามแบบ ได้อย่างมีมุมชัดเจน 2.2.3 ร้อยวัสดุที่มีรูขนาด เส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ซม.ได้ 2.2.3 ร้อยวัสดุที่มีรูขนาดเส้น ผ่านศูนย์กลาง 0.5 ซม.ได้ 2.2.3 ร้อยวัสดุที่มีรูขนาดเส้นผ่าน ศูนย์กลาง 0.25ซม.ได้ ตารางที่ 3 มาตรฐานที่ 3 มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ ปฐมวัย 1 (3 – 4 ปี) ปฐมวัย 2 (4 - 5 ปี) ปฐมวัย 3 (5 - 6 ปี) 3.1 แสดงออก ทางอารมณ์ได้ อย่างเหมาะสม 3 . 1 . 1 แ ส ด ง อ า ร ม ณ์ ความรู้สึกได้อย่างเหมาะสม กับบางสถานการณ์ 3.1.1 แสดงอารมณ์ ความรู้สึก ได้ตามสถานการณ์ 3 . 1 . 1 แ ส ด ง อ า ร ม ณ์ ความรู้สึกได้สอดคล้องกับ สถานการณ์อย่างเหมาะสม 3.2 มีความรู้สึก ที่ดีต่อตนเองและ ผู้อื่น 3.2.1 กล้าพูดกล้าแสดงออก 3.2.1กล้าพูดกล้าแสดงออก อย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ 3.2.1 กล้าพูดกล้าแสดงออก อ ย ่ า ง เ ห ม า ะ ส ม ต า ม สถานการณ์ 3.2.2 แสดงความพอใจใน ผลงานตนเอง 3.2.2 แสดงความพอใจใน ผลงานและความสามารถของ ตนเอง 3.2.2 แสดงความพอใจใน ผลงานและความสามารถของ ตนเองและผู้อื่น ตารางที่ 4 มาตรฐานที่ 4 ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ ปฐมวัย 1 (3 – 4 ปี) ปฐมวัย 2 (4 - 5 ปี) ปฐมวัย 3 (5 - 6 ปี) 4 . 1 ส น ใ จ มี ความสุข และ แสดงออก ผ่าน 4.1.1 สนใจ มีความสุขและ แสดงออกผ่านงานศิลปะ 4.1.1 สนใจ มีความสุขและ แสดงออกผ่านงานศิลปะ 4.1.1 สนใจ มีความสุขและ แสดงออกผ่านงานศิลปะ 4.1.2 สนใจ มีความสุขและ 4.1.2 สนใจ มีความสุขและ 4.1.2 สนใจ มีความสุขและ
13 ตารางที่ 4 (ต่อ) มาตรฐานที่ 4 ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ ปฐมวัย 1 (3 – 4 ปี) ปฐมวัย 2 (4 - 5 ปี) ปฐมวัย 3 (5 - 6 ปี) งานศิลปะ ดนตรี แ ล ะ ก า ร เคลื่อนไหว แสดงออกผ่านเสียงเพลง ดนตรี แสดงออกผ่านเสียงเพลง ดนตรี แสดงออกผ่านเสียงเพลง ดนตรี 4.1.3 สนใจ มีความสุขและ แสดงท่าทาง/เคลื่อนไหว ประกอบเพลงจังหวะและ ดนตรี 4.1.3 สนใจ มีความสุขและ แสดงท่าทาง/เคลื่อนไหว ประกอบเพลงจังหวะและ ดนตรี 4.1.3 สนใจ มีความสุขและ แสดงท่าทาง/เคลื่อนไหว ประกอบเพลงจังหวะและ ดนตรี ตารางที่ 5 มาตรฐานที่ 5 มีคุณธรรม จริยธรรม และมีจิตใจที่ดีงาม ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ ปฐมวัย 1 (3 – 4 ปี) ปฐมวัย 2 (4 - 5 ปี) ปฐมวัย 3 (5 - 6 ปี) 5.1 ซื่อสัตย์สุจริต 5.1.1 บอกหรือชี้ได้ว่าสิ่งใด เป็นของตนเองและสิ่งใด เป็นของผู้อื่น 5.1.1 ขออนุญาตหรือรอคอย เมื่อต้องการสิ่งของผู้อื่น เมื่อมี ผู้ชี้แนะ 5.1.1 ขออนุญาตหรือรอคอย เมื่อต้องการสิ่งของผู้อื่นด้วย ตนเอง 5 . 2 ม ี ค ว า ม เมตตา กรุณามี น ้ ำ ใ จ แ ล ะ ช่วยเหลือแบ่งปัน 5.2.1 แสดงความรักเพื่อน และมีเมตตาสัตว์เลี้ยง 5.2.1 แสดงความรักเพื่อนและ มีเมตตาสัตว์เลี้ยง 5.2.1 แสดงความรักเพื่อนและมี เมตตาสัตว์เลี้ยง 5.2.2 แบ่งปันผู้อื่นได้เมื่อมีผู้ ชี้แนะ 5.2.2 ช่วยเหลือและแบ่งปัน ผู้อื่นได้เมื่อมีผู้ชี้แนะ 5.2.2 ช่วยเหลือและแบ่งปัน ผู้อื่นได้ด้วยตนเอง 5.3 มีความเห็น อกเห็นใจผู้อื่น 5.3.1 แสดงสีหน้าหรือ ท่าทางรับรู้ความรู้สึกผู้อื่น 5.3.1 แสดงสีหน้าหรือท่าทาง รับรู้ความรู้สึกผู้อื่น 5.3.1 แสดงสีหน้าหรือท่าทาง รับรู้ความรู้สึกผู้อื่นอย่าง สอดคล้องกับสถานการณ์ 5 . 4 ม ี ค ว า ม รับผิดชอบ 5 . 4 . 1 ท ำ ง า น ท ี ่ ไ ด ้ รั บ มอบหมายจนสำเร็จเมื่อมี ผู้ช่วยเหลือ 5.4.1 ทำงานที่ได้รับมอบหมาย จนสำเร็จเมื่อมีผู้ชี้แนะ 5.4.1 ทำงานที่ได้รับมอบหมาย จนสำเร็จด้วยตนเอง
14 ตารางที่ 6 มาตรฐานที่ 6 มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ ปฐมวัย 1 (3 – 4 ปี) ปฐมวัย 2 (4 - 5 ปี) ปฐมวัย 3 (5 - 6 ปี) 6 . 1 ช ่ ว ย เ ห ลื อ ตนเองในการปฏิบัติ กิจวัตรประจำวัน 6 . 1 . 1 แ ต ่ ง ต ั ว โ ด ย ม ี ผู้ ช่วยเหลือ 6.1.1 แต่งตัวด้วยตนเอง 6.1.1 แต่งตัวด้วยตนเองได้อย่าง คล่องแคล่ว 6.1.2 รับประทานอาหารด้วย ตนเอง 6.1.2 รับประทานอาหาร ด้วยตนเอง 6.1.2 รับประทานอาหารด้วย ตนเองอย่างถูกวิธี 6.1.3 ใช้ห้องน้ำห้องส้วมโดย มีผู้ช่วยเหลือ 6.1.3 ใช้ห้องน้ำห้องส้วม ด้วยตนเอง 6.1.3 ใช้และทำความสะอาดหลัง ใช้ห้องน้ำ ห้องส้วมด้วยตนเอง 6.2 มีวินัยในตนเอง 6.2.1 เก็บของเล่นของใช้เข้า ที่เมื่อมีผู้ชี้แนะ 6.2.1 เก็บของเล่นของใช้ เข้าที่ด้วยตนเอง 6.2.1 เก็บของเล่นของใช้เข้าที่ อย่างเรียบร้อยด้วยตนเอง 6.2.2 เข้าแถวตามลำดับ ก่อนหลังได้เมื่อมีผู้ชี้แนะ 6.2.2 เข้าแถวตามลำดับ ก่อนหลังได้ด้วยตนเอง 6.2.2 เข้าแถวตามลำดับก่อนหลัง ได้ด้วยตนเอง 6.3 ประหยัดและ พอเพียง 6.3.1 ใช้สิ่งของเครื่องใช้อย่าง ประหยัดและพอเพียงเมื่อมีผู้ ชี้แนะ 6.3.1 ใช้สิ่งของเครื่องใช้ อ ย ่ า ง ป ร ะ ห ย ั ด แ ล ะ พอเพียงเมื่อมีผู้ชี้แนะ 6.3.1 ใช้สิ่งของเครื่องใช้อย่าง ประหยัดปละพอเพียงด้วยตนเอง ตารางที่ 7 มาตรฐานที่ 7 รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความเป็นไทย ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ ปฐมวัย 1 (3 – 4 ปี) ปฐมวัย 2 (4 - 5 ปี) ปฐมวัย 3 (5 - 6 ปี) 7.1 ดูแลรักษา ธ ร ร ม ช า ต ิ แ ล ะ สิ่งแวดล้อม 7.1.1 มีส่วนร่วมดูแลรักษา ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อ มีผู้ชี้แนะ 7.1.1 มีส่วนร่วมดูแลรักษา ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อมีผู้ชี้แนะ 7.1.1 ดูแลรักษาธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง 7.1.2 ทิ้งขยะได้ถูกที่ 7.1.2 ทิ้งขยะได้ถูกที่ 7.1.2 ทิ้งขยะได้ถูกที่ 7.2 มีมารยาทตาม ว ั ฒน ธร ร มไทย และรักความเป็น ไทย 7.2.1 ปฏิบัติตนตามมารยาท ไทยได้เมื่อมีผู้ชี้แนะ 7.2.1 ปฏิบัติตนตามมารยาท ไทยได้ด้วยตนเอง 7.2.1 ปฏิบัติตนตามมารยาท ไทยได้ตามกาลเทศะ 7.2.2 กล่าวคำขอบคุณและขอ โทษเมื่อมีผู้ชี้แนะ 7.2.2 กล่าวคำขอบคุณและ ขอโทษด้วยตนเอง 7.2.2 กล่าวคำขอบคุณและ ขอโทษด้วยตนเอง 7.2.3 หยุดยืนเมื่อได้ยินเพลง ชาติไทยและเพลงสรรเสริญ พระบารมี 7.2.3 ยืนตรงเมื่อได้ยินเพลง ชาติไทยและเพลงสรรเสริญ พระบารมี 7.2.3 ยืนตรงและร่วมร้อง เพลงชาติไทยและ เพลงสรรเสริญพระบารมี
15 ตารางที่ 8 มาตรฐานที่ 8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ ปฐมวัย 1 (3 – 4 ปี) ปฐมวัย 2 (4 - 5 ปี) ปฐมวัย 3 (5 - 6 ปี) 8.1 ยอมรับความ เหมือนและความ แตกต่างระหว่ า ง บุคคล 8.1.1 เล่นและทำกิจกรรม ร่วมกับเด็กที่แตกต่างไป จากตน 8.1.1 เล่นและทำกิจกรรม ร่วมกับเด็กที่แตกต่างไปจาก ตน 8.1.1 เล่นและทำกิจกรรม ร่วมกับเด็กที่แตกต่างไปจากตน 8.2 มีปฏิสัมพันธ์ที่ดี กับผู้อื่น 8.2.1 เล่นร่วมกับเพื่อน 8.2.1 เล่นหรือทำงานร่วมกับ เพื่อนเป็นกลุ่ม 8.2.1 เล่นหรือทำงานร่วมมือ กับเพื่อนอย่างมีเป้าหมาย 8.2.2 ยิ้มหรือทักทาย ผู้ใหญ่และบุคคลที่คุ้นเคย เมื่อมีผู้ชี้แนะ 8.2.2 ยิ้ม ทักทาย หรือพูดคุย กับผู้ใหญ่และบุคคลที่คุ้นเคย ได้ด้วยตนเอง 8.2.2 ยิ้ม ทักทาย และพูดคุย กับผู้ใหญ่และบุคคลที่คุ้นเคยได้ เหมาะสมกับสถานการณ์ 8 . 3 ป ฏ ิ บ ั ต ิ ต น เบื้องต้นในการเป็น สมาชิกที่ดีของสังคม 8.3.1 ปฏิบัติตามข้อตกลง เมื่อมีผู้ชี้แนะ 8.3.1 มีส่วนร่วมสร้าง ข้อตกลงและปฏิบัติตาม ข้อตกลงเมื่อมีผู้ชี้แนะ 8.3.1 มีส่วนร่วมสร้างข้อตกลง และปฏิบัติตามข้อตกลงด้วย ตนเอง 8.3.2 ปฏิบัติตนเป็นผู้นำ และผู้ตามเมื่อมีผู้ชี้แนะ 8.3.2 ปฏิบัติตนเป็นผู้นำและ ผู้ตามได้ด้วยตนเอง 8.3.2 ปฏิบัติตนเป็นผู้นำและผู้ ตามได้เหมาะสมกับสถานการณ์ 8.3.3 การประนีประนอม แก้ไขปัญหาเมื่อมีผู้ชี้แนะ 8.3.3 ประนีประนอมแก้ไข ปัญหาโดยปราศจากการใช้ ความรุนแรงเมื่อมีผู้ชี้แนะ 8.3.3 ประนีประนอมแก้ไข ปัญหาโดยปราศจากการใช้ ความรุนแรงด้วยตนเอง ตารางที่ 9 มาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ ปฐมวัย 1 (3 – 4 ปี) ปฐมวัย 2 (4 - 5 ปี) ปฐมวัย 3 (5 - 6 ปี) 9.1 สนทนาโต้ตอบ และเล่าเรื่องให้ผู้อื่น เข้าใจ 9.1.1 ฟังผู้อื่นพูดจนจบ และพูดโต้ตอบเกี่ยวกับ เรื่องที่ฟัง 9.1.1 ฟังผู้อื่นพูดจนจบและ สนทนาโต้ตอบสอดคล้องกับ เรื่องที่ฟัง 9.1.1 ฟังผู้อื่นพูดจนจบและ สนทนาโต้ตอบอย่างต่อเนื่อง เชื่อมโยงกับเรื่องที่ฟัง 9.1.2 เล่าเรื่องด้วยประโยค สั้น ๆ 9.1.2 เล่าเรื่องเป็นประโยค อย่างต่อเนื่อง 9.1.2 เล่าเป็นเรื่องราวต่อเนื่อง ได้
16 ตารางที่ 9 (ต่อ) มาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ ปฐมวัย 1 (3 – 4 ปี) ปฐมวัย 2 (4 - 5 ปี) ปฐมวัย 3 (5 - 6 ปี) 9.2 อ่าน เขียน และ สัญลักษณ์ได้ 9.2.1 อ่านภาพ และพูด ข้อความด้วยภาษาของตน 9.2.1 อ่านภาพ สัญลักษณ์ คำ พร้อมทั้งชี้หรือกวาดตา มองข้อความตามบรรทัด 9.2.1 อ่านภาพ สัญลักษณ์ คำ พร้อมทั้งชี้หรือกวาดตามอง จุดเริ่มต้นและจุดจบของ ข้อความ 9.2.2 เขียนขีดเขี่ยอย่างมี ทิศทาง 9.2.2 เขียนคล้ายตัวอักษร 9.2.2 เขียนชื่อของตนเองตาม แบบ เขียนข้อความด้วยวิธีที่คิด ขึ้นเอง ตารางที่ 10 มาตรฐานที่ 10 มีความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ ปฐมวัย 1 (3 – 4 ปี) ปฐมวัย 2 (4 - 5 ปี) ปฐมวัย 3 (5 - 6 ปี) 10.1 มีความสามารถ ในการคิดรวบยอด 10.1.1 บอกลักษณะของ สิ่งต่าง ๆ จากการสังเกต โดยใช้ประสาทสัมผัส 10.1.1 บอกลักษณะและ ส่วนประกอบของสิ่งต่าง ๆ จากการสังเกตโดยใช้ประสาท สัมผัส 10.1.1 บอกลักษณะส่วน ประกอบการเปลี่ยนแปลง หรือความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ จากการสังเกตโดยใช้ ประสาทสัมผัส 10.1.2 จับคู่หรือเปรียบ เทียบสิ่งต่าง ๆ โดยใช้ ลักษณะหรือหน้าที่การใช้ งานเพียงลักษณะเดียว 10.1.2 จับคู่และเปรียบเทียบ ความแตกต่างหรือความ เหมือนของสิ่งต่าง ๆ โดยใช้ ลักษณะที่สังเกตพบเพียง ลักษณะเดียว 10.1.2 จับคู่และเปรียบเทียบ ความแตกต่างและความ เหมือนของสิ่งต่าง ๆ โดยใช้ ลักษณะที่สังเกตพบสอง ลักษณะขึ้นไป 10.1.3 คัดแยกสิ่งต่าง ๆ ตามลักษณะหรือหน้าที่ การใช้งาน 10.1.3 จำแนกและจัดกลุ่มสิ่ง ต่าง ๆ โดยใช้อย่างน้อยหนึ่ง ลักษณะเป็นเกณฑ์ 10.1.3 จำแนกและจัดกลุ่มสิ่ง ต่าง ๆ โดยใช้ตั้งแต่สอง ลักษณะขึ้นไปเป็นเกณฑ์ 10.1.4 เรียงลำดับสิ่งของ หรือเหตุการณ์อย่างน้อย 3 ลำดับ 10.1.4 เรียงลำดับสิ่งของหรือ เหตุการณ์อย่างน้อย 4 ลำดับ 10.1.4 เรียงลำดับสิ่งของหรือ เหตุการณ์อย่างน้อย 5 ลำดับ
17 ตารางที่ 10 (ต่อ) มาตรฐานที่ 10 มีความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ ปฐมวัย 1 (3 – 4 ปี) ปฐมวัย 2 (4 - 5 ปี) ปฐมวัย 3 (5 - 6 ปี) 10.2 มีความสามารถ คิดในเชิงเหตุผล 10.2.1 ระบุผลที่เกิดขึ้น ในเหตุการณ์หรือการ กระทำเมื่อมีผู้ชี้แนะ 10.2.1 ระบุสาเหตุหรือผลที่ เกิดขึ้นในเหตุการณ์หรือการ กระทำเมื่อมีผู้ชี้แนะ 10.2.1 อธิบายเชื่อมโยง สาเหตุและผลที่เกิดขึ้นใน เหตุการณ์หรือการกระทำ ด้วยตนเอง 10.2.2 คาดเดา หรือ คาดคะเนสิ่งที่อาจจะ เกิดขึ้น 1 0 . 2 . 2 ค า ด เ ด า ห รื อ คาดคะเนสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น หรือมีส่วนร่วมในการลง ความเห็นจากข้อมูล 10.2.2 คาดคะเนสิ่งที่อาจจะ เกิดขึ้น และมีส่วนร่วมในการ ลงความเห็นจากข้อมูลอย่างมี เหตุผล 10.3 มีความสามารถ ในการคิดแก้ปัญหา และตัดสินใจ 10.3.1ตัดสินใจในเรื่อง ง่าย 10.3.1 ตัดสินใจในเรื่องง่ายๆ และเริ่มเรียนรู้ผลที่เกิดขึ้น 10.3.1 ตัดสินใจในเรื่องง่ายๆ และยอมรับผลที่เกิดขึ้น 10.3.2 แก้ปัญหาโดยลอง ผิดลองถูก 10.3.2 ระบุปัญหา และ แก้ปัญหาโดยลองผิดลองถูก 10.3.2 ระบุปัญหาสร้างทาง เลือกและเลือกวิธีแก้ปัญหา ตารางที่ 11 มาตรฐานที่ 11 มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ ปฐมวัย 1 (3 – 4 ปี) ปฐมวัย 2 (4 - 5 ปี) ปฐมวัย 3 (5 - 6 ปี) 11.1 ทำงานศิลปะ ตาม จินตนาการและความ คิดสร้างสรรค์ 11.1.1 สร้างผลงาน ศ ิ ล ป ะ เ พ ื ่ อ ส ื ่ อ ส า ร ความคิด ความรู้สึกของ ตนเอง 11.1.1 สร้างผลงานศิลปะเพื่อ สื่อสารความคิด ความรู้สึกของ ตนเองโดยมีการดัดแปลง และ แ ป ล ก ใ ห ม ่ จ า ก เ ด ิ ม ห ร ื อ มี รายละเอียดเพิ่มขึ้น 11.1.1 สร้างผลงานศิลปะ เพื่อสื่อสารความคิด ความรู้สึกของตนเองโดย มีการดัดแปลงแปลกใหม่ จ า ก เ ด ิ ม แ ล ะ มี รายละเอียดเพิ่มขึ้น 11.2 แสดงท่าทาง/ เ ค ล ื ่ อ น ไ ห ว ต า ม จ ิ น ต น า ก า ร อย ่ า ง สร้างสรรค์ 11.2.1 เคลื่อนไหว ท่าทางเพื่อสื่อสาร ความคิด ความรู้สึกของ ตนเอง 11.2.1 เคลื่อนไหวท่าทางเพื่อ สื่อสารความคิด ความรู้สึกของ ตนเองอย่างหลากหลายหรือแปลก ใหม่ 11.2.1 เคลื่อนไหวท่าทาง เพื่อสื่อสารความคิด ความรู้สึกของตนเอง อย่างหลากหลายและ แปลกใหม่
18 ตารางที่ 12 มาตรฐานที่ 12 มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ ได้เหมาะสมกับวัย ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ ปฐมวัย 1 (3 – 4 ปี) ปฐมวัย 2 (4 - 5 ปี) ปฐมวัย 3 (5 - 6 ปี) 12.1 มีเจตคติที่ดีต่อ การเรียนรู้ 12.1.1 สนใจฟังหรืออ่าน หนังสือด้วยตนเอง 1 2 . 1 . 1 สน ใจซ ักถาม เกี่ยวกับสัญลักษณ์หรือ ตัวหนังสือที่พบเห็น 12.1.1 สนใจหยิบหนังสือมา อ่านและเขียนสื่อความคิดด้วย ตนเองเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง 12.1.2 กระตือรือร้นใน การเข้าร่วมกิจกรรม 12.1.2 กระตือรือร้นในการ เข้าร่วมกิจกรรม 12.1.2 กระตือรือร้นในการร่วม กิจกรรมตั้งแต่ต้นจนจบ 12.2 มีความสามารถ ในการแสวงหาความรู้ 12.2.1 ค้นหาคำตอบของ ข้อสงสัยต่าง ๆ ตาม วิธีการที่มีผู้ชี้แนะ 12.2.1 ค้นหาคำตอบของ ข้อสงสัยต่างๆ ตามวิธีการ ของตนเอง 12.2.1 ค้นหาคำตอบของข้อ สงสัยต่างๆ โดยวิธีการที่ หลากหลายด้วยตนเอง 12.2.2 ใช้ประโยคคำถาม ว่า “ใคร” “อะไร” ใน การค้นหาคำตอบ 12.2.2 ใช้ประโยคคำถาม ว่า “ที่ไหน” “ทำไม” ใน การค้นหาคำตอบ 12.2.2 ใช้ประโยคคำถามว่า “ เ ม ื ่ อ ไ ห ร ่ ” “ อ ย ่ า ง ไร ” ในการค้นหาคำตอบ 1.9 สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ เป็นสื่อกลางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับเด็ก เพื่อส่งเสริม พัฒนาการเด็กทุกด้าน ให้เป็นไปตามจุดหมายของหลักสูตรที่กำหนด ประกอบด้วย ประสบการณ์สำคัญ และสาระที่ควรเรียนรู้ ดังนี้ 1. ประสบการณ์สำคัญ ประสบการณ์สำคัญเป็นแนวทางสำหรับผู้สอนนำไปใช้ในการ ออกแบบการจัดประสบการณ์ให้เด็กปฐมวัยเรียนรู้ ลงมือปฏิบัติ และได้รับการส่งเสริมพัฒนาการ ครอบคลุมทุกด้าน ดังนี้ 1.1 ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้ มีโอกาสพัฒนาการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก และการประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อ และระบบ ประสาทในการทำกิจวัตรประจำวันหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ และสนับสนุนให้เด็กมีโอกาสดูแลสุขภาพ สุขอนามัย สุขนิสัย และการรักษาความปลอดภัย ดังนี้ 1.1.1 การใช้กล้ามเนื้อใหญ่ 1) การเคลื่อนไหวอยู่กับที่ 2) การเคลื่อนไหวเคลื่อนที่
19 3) การเคลื่อนไหวพร้อมวัสดุอุปกรณ์ 4) การเคลื่อนไหวที่ใช้การประสานสัมพันธ์ของการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ในการขว้าง การจับ การโยน การเตะ 5) การเล่นเครื่องเล่นสนามอย่างอิสระ 1.1.2 การใช้กล้ามเนื้อเล็ก 1) การเล่นเครื่องเล่นสัมผัสและการสร้างจากแท่งไม้บล็อก 2) การเขียนภาพและการเล่นกับสี 3) การปั้น 4) การประดิษฐ์สิ่งต่างๆด้วย เศษวัสดุ 5) การหยิบจับ การใช้กรรไกร การฉีก การตัด การปะ และ การร้อยวัสดุ 1.1.3 การรักษาสุขภาพอนามัยส่วนตัว 1) การปฏิบัติตนตามสุขอนามัย สุขนิสัยที่ดีในกิจวัตรประจำวัน 1.1.4 การรักษาความปลอดภัย 1) การปฏิบัติตนให้ปลอดภัยในกิจวัตรประจำวัน 2) การฟังนิทาน เรื่องราว เหตุการณ์ เกี่ยวกับการป้องกันและรักษาความ ปลอดภัย 3) การเล่นเครื่องเล่นอย่างปลอดภัย 4) การเล่นบทบาทสมมติเหตุการณ์ต่าง ๆ 1.1.5 การตระหนักรู้เกี่ยวกับร่างกายตนเอง 1) การเคลื่อนไหวเพื่อควบคุมตนเองไปในทิศทาง ระดับ และพื้นที่ 2) การเคลื่อนไหวข้ามสิ่งกีดขวาง 1.2 ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์ - จิตใจ เป็นการสนับสนุน ให้เด็กได้แสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกของตนเองที่เหมาะสมกับวัย ตระหนักถึงลักษณะพิเศษ เฉพาะที่เป็นอัตลักษณ์ความเป็นตัวของตัวเอง มีความสุข ร่าเริงแจ่มใส การเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้พัฒนา คุณธรรมจริยธรรม สุนทรียภาพ ความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง และความเชื่อมั่นในตนเองขณะปฏิบัติกิจกรรม ต่าง ๆ ดังนี้ 1.2.1 สุนทรียภาพ ดนตรี 1) การฟังเพลง การร้องเพลง และการแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบเสียงดนตรี
20 2) การเคลื่อนไหวตามเสียงเพลง/ดนตรี 3) การเล่นบทบาทสมมติ 4) การทำกิจกรรมศิลปะต่าง ๆ 5) การสร้างสรรค์สิ่งสวยงาม 1.2.2 การเล่น 1) การเล่นอิสระ 2) การเล่นรายบุคคล กลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่ 3) การเล่นตามมุมประสบการณ์ 4) การเล่นนอกห้องเรียน 1.2.3 คุณธรรม จริยธรรม 1) การปฏิบัติตนตามหลักศาสนาที่นับถือ 2) การฟังนิทานเกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรม 3) การร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงจริยธรรม 1.2.4 การแสดงออกทางอารมณ์ 1) การสะท้อนความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น 2) การเล่นบทบาทสมมติ 3) การเคลื่อนไหวตามเสียงเพลง/ดนตรี 4) การร้องเพลง 5) การทำงานศิลปะ 1.2.5 การมีอัตลักษณ์เฉพาะตนและเชื่อว่าตนเองมีความสามารถ 1) การปฏิบัติกิจกรรมต่างๆตามความสามารถของตนเอง 1.2.6 การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น 1) การแสดงความยินดีเมื่อผู้อื่นมีความสุข เห็นอกเห็นใจเมื่อผู้อื่นเศร้า หรือ เสียใจ และการช่วยเหลือปลอบโยนเมื่อผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ 1.3 ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้มี โอกาสปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัวจากการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านการเรียนรู้ ทางสังคม เช่น การเล่น การทำงานกับผู้อื่น การปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน การแก้ปัญหาข้อขัดแย้งต่าง ๆ 1.3.1 การปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน 1) การช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวัน
21 2) การปฏิบัติตนตามแนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 1.3.2 การดูแลรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 1) การมีส่วนร่วมรับผิดชอบดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก ห้องเรียน 2) การทำงานศิลปะที่ใช้วัสดุหรือสิ่งของที่ใช้แล้วมาใช้ซ้ำหรือแปรรูป แล้วนำกลับมาใช้ใหม่ 3) การเพาะปลูกและดูแลต้นไม้ 4) การเลี้ยงสัตว์ 5) การสนทนาข่าวและเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมใน ชีวิตประจำวัน 1.3.3 การปฏิบัติตามวัฒนธรรมท้องถิ่นที่อาศัยและความเป็นไทย 1) การเล่นบทบาทสมมุติการปฏิบัติตนในความเป็นคนไทย 2) การปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมท้องถิ่นที่อาศัยและประเพณีไทย 3) การประกอบอาหารไทย 4) การศึกษานอกสถานที่ 5) การละเล่นพื้นบ้านของไทย 1.3.4 การมีปฏิสัมพันธ์ มีวินัย มีสวนร่วม และบทบาทสมาชิกของสังคม 1) การร่วมกำหนดข้อตกลงของห้องเรียน 2) การปฏิบัติตนเป็นสมาชิที่ดีของห้องเรียน 3) การให้ความร่วมมือในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ 4) การดูแลห้องเรียนร่วมกัน 5) การร่วมกิจกรรมวันสำคัญ 1.3.5 การเล่นแบบร่วมมือร่วมใจ 1) การร่วมสนทนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 2) การเล่นและทำงานร่วมกับผู้อื่น 3) การทำศิลปะแบบร่วมมือ 1.3.6 การแก้ปัญหาความขัดแย้ง 1) การมีส่วนร่วมในการเลือกวิธีการแก้ปัญหา 2) การมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง
22 1.3.7 การยอมรับในความเหมือนและความแตกต่างระหว่างบุคคล 1) การเล่น หรือทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มเพื่อน 1.4 ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา เป็นการสนับสนุนให้เด็ก ได้รับรู้และเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมบุคคลและสื่อต่าง ๆ ด้วย กระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กพัฒนาการใช้ภาษาจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาการคิดเชิงเหตุผลและการคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวและมีความคิดรวบยอดทาง คณิตศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้นต่อไป 1.4.1 การใช้ภาษา 1) การฟังเสียงต่างๆ ในสิ่งแวดล้อม 2) การฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำ 3) การฟังเพลง นิทาน คำคล้องจอง บทร้อยกรงหรือเรื่องราวต่าง ๆ 4) การแสดงความคิด ความรู้สึก และความต้องการ 5) การพูดกับผู้อื่นเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเองหรือพูดเล่าเรื่องราว เกี่ยวกับตนเอง 6) การพูดอธิบายเกี่ยวกับสิ่งของ เหตุการณ์ และความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ 7) การพูดอย่างสร้างสรรค์ในการเล่น และการกระทำต่าง ๆ 8) การรอจังหวะที่เหมาะสมในการพูด 9) การพูดเรียงลำดับเพื่อใช้ในการสื่อสาร 10) การอ่านหนังสือภาพ นิทาน หลากหลายประเภท/รูปแบบ 11) การอ่านอิสระตามลำพัง การอ่านร่วมกัน การอ่านโดยมีผู้ชี้แนะ 12) การเห็นแบบอย่างของการอ่านที่ถูกต้อง 13) การสังเกตทิศทางการอ่านตัวอักษร คำ และข้อความ 14) การอ่านและชี้ข้อความ โดยกวาดสายตาตามบรรทัดจากซ้ายไปขวาจาก บนลงล่าง 15) การสังเกตตัวอักษรในชื่อของตน หรือคำคุ้นเคย 16) การสังเกตตัวอักษรที่ประกอบเป็นคำผ่านการอ่านหรือเขียนของผู้ใหญ่ 17) การคาดเดาคำ วลี หรือประโยค ที่มีโครงสร้างซ้ำ ๆ กัน จากนิทานเพลง คำคล้องจอง 18) การเล่นเกมทางภาษา
23 19) การเห็นแบบอย่างของการเขียนที่ถูกต้อง 20) การเขียนร่วมกันตามโอกาส และการเขียนอิสระ 21) การเขียนคำที่มีความหมายกับตัวเด็ก/คำคุ้นเคย 22) การคิดสะกดคำและเขียนเพื่อสื่อความหมายด้วยตนเองอย่างอิสระ 1.4.2 การคิดรวบยอด การคิดเชิงเหตุผล การตัดสินใจและแก้ปัญหา 1) การสังเกตลักษณะ ส่วนประกอบ การเปลี่ยนแปลง และความสัมพันธ์ ของสิ่งต่าง ๆ โดยใช้ประสาทสัมผัสอย่างเหมาะสม 2) การสังเกตสิ่งต่างๆ และสถานที่จากมุมมองที่ต่างกัน 3) การบอกและแสดงตำแหน่ง ทิศทาง และระยะทางของสิ่งต่าง ๆ ด้วยการ กระทำ ภาพวาด ภาพถ่าย และรูปภาพ 4) การเล่นกับสื่อต่างๆที่เป็นทรงกลม ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก ทรงกระบอก กรวย 5) การคัดแยก การจัดกลุ่มและการจำแนกสิ่งต่าง ๆ ตามลักษณะ และรูปร่าง รูปทรง 6) การต่อของชิ้นเล็กเติมในชิ้นใหญ่ให้สมบูรณ์ และการแยกชิ้นส่วน 7) การทำซ้ำ การต่อเติม และการสร้างแบบรูป 8) การนับและแสดงจำนวนของสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน 9) การเปรียบเทียบและเรียงลำดับจำนวนของสิ่งต่าง ๆ 10) การรวมและการแยกสิ่งต่าง ๆ 11) การบอกและแสดงอันดับที่ของสิ่งต่าง ๆ 12) การชั่ง ตวง วัดสิ่งต่าง ๆ โดยใช้เครื่องมือและหน่วยที่ไม่ใช่หน่วย มาตรฐาน 13) การจับคู่ การเปรียบเทียบ และการเรียงลำดับ สิ่งต่าง ๆตามลักษณะ ความยาว/ความสูงน้ำหนัก ปริมาตร 14) การบอกและเรียงลำดับกิจกรรมหรือเหตูการณ์ตามช่วงเวลา 15) การใช้ภาษาทางคณิตศาสตร์กับเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน 16) การอธิบายเชื่อมโยงสาเหตุและผลที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์หรือการกระทำ 17) การคาดเดาหรือการคาดคะเนสิ่งที่อาจเกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล 18) การมีส่วนร่วมในการลงความเห็นจากข้อมูลอย่างมีเหตุผล
24 19) การตัดสินใจและมีส่วนร่วมในกระบวนการแก้ปัญหา 1.10 การจัดกิจกรรมประจำวัน กิจกรรมสำหรับเด็กอายุ 3 – 6 ปี สามารถนํามาจัดเป็นกิจกรรมประจำวันได้หลายรูปแบบ เป็นการช่วยให้ผู้สอนหรือผู้จัดประสบการณ์ทราบว่าแต่ละวันจะทำกิจกรรมอะไร เมื่อใดและอย่างไร ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมประจำวันสามารถจัดได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการนําไปใช้ของแต่ละ หน่วยงาน และสภาพชุมชนที่สำคัญผู้สอนต้องคำนึงถึงการจัดกิจกรรมให้ครอบคลุมพัฒนาการทุกด้านการ จัดกิจกรรมประจำวันมีหลักการจัดกิจกรรมประจำวันและขอบข่ายของกิจกรรมประจำวัน ดังนี้ 1. หลักการจัดกิจกรรมประจำวัน 1.1 กำหนดระยะเวลาในการจัดกิจกรรมแต่ละกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัยของเด็กได้ตาม ความต้องการและความสนใจของเด็ก เช่น วัย 3 - 4 ปี มีความสนใจประมาณ 8 - 12 นาที วัย 4 - 5 ปี มีความสนใจประมาณ 12 - 15 นาที วัย 5 - 6 ปี มีความสนใจประมาณ 15 - 20 นาที 1.2 กิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดทั้งในกลุ่มเล็ก และกลุ่มใหญ่ไม่ควรใช้เวลาต่อเนื่องนาน เกินกว่า 20 นาที 1.3 กิจกรรมที่เด็กมีอิสระเลือกเล่นเสรี เพื่อช่วยให้เด็กรู้จักเลือกตัดสินใจคิดแก้ปัญหา คิดสร้างสรรค์ เช่น การเล่นตามมุม การเล่นกลางแจ้ง ฯลฯ ใช้เวลาประมาณ 10 - 20 นาที 1.4 กิจกรรมควรมีความสมดุลระหว่างกิจกรรมในห้องและนอกห้องกิจกรรมที่ใช้ กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็ก กิจกรรมที่เป็นรายบุคคล กลุ่มย่อย และกลุ่มใหญ่ กิจกรรมที่เด็กเป็น ผู้ริเริ่ม ผู้สอนหรือผู้จัดประสบการณ์เป็นผู้ริเริ่ม และกิจกรรมที่ใช้กําลังและไม่ใช้กําลังจัดให้ครบ ทุกประเภท ทั้งนี้กิจกรรมที่ต้องออกกําลังกายควรจัดสลับกับกิจกรรมที่ไม่ต้องออกกําลังมากนัก เพื่อเด็กจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป 2. ขอบข่ายของกิจกรรรมประจำวัน การเลือกกิจกรรมที่จะนํามาจัดในแต่ละวันสามารถจัดได้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ความเหมาะสมในการนําไปใช้ของแต่ละหน่วยงานและสภาพชุมชน ที่สำคัญผู้สอนต้องคำนึงถึงการจัด กิจกรรมให้ครอบคลุมพัฒนาการทุกด้าน ดังต่อไปนี้
25 2.1 การพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ เป็นการพัฒนาความแข็งแรง การทรงตัวการยืดหยุ่น ความคล่องแคล่วในการใช้อวัยวะต่าง ๆ และจังหวะการเคลื่อนไหวในการใช้กล้ามเนื้อใหญ่โดยจัดกิจกรรม นอกได้เล่นอิสระกลางแจ้ง เล่นเครื่องเล่นสนาม ปีนป่ายเล่นอิสระ เคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะดนตรี 2.2 การพัฒนากล้ามเนื้อเด็ก เป็นการพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมือ – นิ้วมือ การประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตาได้อย่างคล่องแคล่ว โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้เล่นเครื่องเล่นสัมผัส เล่นเกมการศึกษา ฝึกช่วยเหลือตนเองในการแต่งกาย หยิบจับช้อนส้อม และใช้วัสดุอุปกรณ์ศิลปะ เช่น สีเทียน กรรไกร พู่กัน ดินเหนียว เป็นต้น 2.3 การพัฒนาอารมณ์จิตใจและปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม เป็นการปลูกฝังให้เด็ก มีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น มีความเชื่อมั่น กล้าแสดงออก มีวินัย รับผิดชอบ ซื่อสัตย์ ประหยัด เมตตากรุณา เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน มีมารยาท และปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทยและศาสนาที่นับถือโดยจัด กิจกรรมต่าง ๆ ผ่านการเล่นให้เด็กได้มีโอกาสตัดสินใจเลือกได้รับการตอบสนองตามความต้องการ ได้ฝึกปฏิบัติโดยสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมอย่างต่อเนื่อง 2.4 การพัฒนาสังคมนิสัย เป็นการพัฒนาให้เด็กมีลักษณะนิสัยที่ดีแสดงออก อย่างเหมาะสมและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ช่วยเหลือตนเองในการทำกิจวัตรประจำวัน มีนิสัย รักการทำงาน รักษาความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น รวมทั้งระมัดระวังอันตรายจากคนแปลกหน้า ให้เด็กได้ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหาร พักผ่อน ขับถ่าย ทำความสะอาด ร่างกายเล่นและทำงานร่วมกับผู้อื่น ปฏิบัติตามกฎกติกา ข้อตกลงของส่วนรวม เก็บของเข้าที่เมื่อเล่น หรือทำงานเสร็จ 2.5 การพัฒนาการคิด เป็นการพัฒนาให้เด็กมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาคิด รวบยอด และคิดเชิงเหตุผลทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้สังเกต จําแนก เปรียบเทียบ สืบเสาะหาความรู้ สนทนา อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เชิญวิทยากรมาพูดคุยกับเด็ก ศึกษานอกสถานที่ เล่นเกมการศึกษา ฝึกแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ฝึกออกแบบ สร้างชิ้นงาน ทำกิจกรรม ทั้งเป็นรายบุคคล กลุ่มย่อย และกลุ่มใหญ่ 2.6 การพัฒนาภาษา เป็นการพัฒนาให้เด็กใช้ภาษาสื่อสารถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ความรู้ ความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ที่เด็กมีประสบการณ์ โดยสามารถตั้งคําถามในสิ่งที่สงสัยใคร่รู้จัดกิจกรรม ทางภาษาให้มีความหลากหลายในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้มุ่งปลูกฝังให้เด็กได้กล้าแสดงออก ในการฟัง พูด อ่าน เขียน มีนิสัยรักการอ่าน และบุคคลแวดล้อมต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษา ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงหลักการจัดกิจกรรมทางภาษาที่เหมาะสมกับเด็กเป็นสำคัญ
26 2.7 การส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เป็นการส่งเสริมให้เด็กมีความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์ได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกและเห็นความสวยงามของสิ่งต่าง ๆ โดยจัดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ ดนตรี การเคลื่อนไหวและจังหวะตามจินตนาการ ประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ อย่างอิสระเล่นบทบาท สมมติ เล่นน้ำเล่นทราย เล่นบล็อก และเล่นก่อสร้าง 1.11 การประเมินพัฒนาการ การประเมินพัฒนาการเด็กอายุ 3 - 6 ปี เป็นการประเมินพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาของเด็ก โดยถือเป็นกระบวนการต่อเนื่องเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม ปกติที่จัดให้เด็กได้แต่ละวัน ผลที่ได้จากการสังเกตพัฒนาการเด็กต้องนํามาจัดทำสารนิทัศน์หรือจัดทำ ข้อมูลหลักฐานหรือเอกสารอย่างเป็นระบบ ด้วยการรวบรวมผลงานสำหรับเด็กเป็นรายบุคคลที่สามารถ บอกเรื่องราวหรือประสบการณ์ที่เด็กได้รับว่าเด็กเกิดการเรียนรู้และมีความก้าวหน้าเพียงใด ทั้งนี้ให้นําข้อมูลผลการประเมินพัฒนาการเด็กมาพิจารณาปรับปรุงวางแผนการจัดกิจกรรม และส่งเสริมให้เด็กแต่ละคนได้รับการพัฒนาตามจุดหมายของหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง การประเมินพัฒนาการควรยึดหลัก ดังนี้ 1. วางแผนการประเมินพัฒนาการอย่างเป็นระบบ 2. การประเมินพัฒนาการเด็กครบทุกด้าน 3. การประเมินพัฒนาการเด็กเป็นรายบุคคลอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่องตลอดปี 4. ประเมินพัฒนาการตามสภาพจริงจากกิจกรรมประจำวันด้วยเครื่องมือและวิธีการ ที่หลากหลายไม่ควรใช้แบบทดสอบ 5. สรุปผลการประเมินจัดทำข้อมูลและนําผลการประเมินไปใช้พัฒนาเด็ก สำหรับวิธีการ ประเมินที่เหมาะสมและควรใช้กับเด็กอายุ 3 - 6 ปี ได้แก่ การสังเกต การบันทึกพฤติกรรม การสนทนากับ เด็ก การสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลจากผลงานเด็กที่เก็บอย่างมีระบบ 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับทักษะภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย 2.1 ความหมายของภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย สุภาวดี ศรีวรรธนะ (2556 : 3-5) ได้ให้ความหมายของภาษาไว้หลายด้านดังนี้ในแง่ของ ภาษาศาสตร์ ภาษาและภาษาพูดมีความหมายอย่างเดียวกันมักเป็นคำที่ใช้แทนกันได้ เมื่อพูดถึงภาษาจึง หมายถึงภาษาที่ใช้พูดเพื่อสื่อความหมายในชุมชนหนึ่ง ๆ ในด้านจิตวิทยา ภาษาหมายถึงความสามารถใน การติดต่อกับผู้อื่น ภาษาจะรวมเอาวิธีการทุก ๆ อย่างที่ใช้ในการติดต่อเพื่อสื่อสารหรือแสดงความรู้สึก ดังนั้น ภาษาจึงรวมถึงทั้งการพูด การเขียน และการทำท่าทางในด้านการศึกษานักการศึกษาลงความเห็น
27 ว่าภาษาเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ การที่เด็กคิดแล้วไม่พูดจึงดูเหมือนเด็กไม่รู้ภาษา ซึ่งแท้ที่จริงแล้วอาจเป็นเพราะเด็กไม่อาจแสดงความสามารถในการพูดได้เท่านั้น หรรษา นิลวิเชียร (2535 อ้างถึงใน ศุภมาส จิรกอบสกุล, 2559 : 30) กล่าวว่า ภาษาเป็นสิ่ง ที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสารระหว่างกันด้วยวิธีการหลายรูปแบบ ซึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการพูด และการเขียน ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวช่วยให้เด็กเข้าใจและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น ภัคนันท์ ยอดสิงห์(2560 : 11) กล่าวว่า มนุษย์ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันและใชภาษาเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวจนทำให้ เกิดการพัฒนาการด้านสังคมและสติปัญญาภาษาเป็นสื่อกลางในการตอบโต้ทำความเข้าใจระหวางบุคคล อีกทั้งเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้สิ่งใหม่ สรุปได้ว่า ภาษาคือเครื่องมือทางสังคมที่มนุษย์ใช้แทนความคิดและสื่อสารกันอย่างมี ความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจ โดยการใช้สัญลักษณ์ที่เป็นเสียง รูปภาพ ตัวอักษร ท่าทาง หรือเครื่องหมายที่ เข้าใจตรงกัน ภาษามีความหมายกับเด็กปฐมวัยอย่างยิ่ง เพราะเด็กปฐมวัยต้องใช้ภาษาในการสื่อสารกับ ผู้อื่นในสังคมให้เข้าใจความคิดความรู้สึกความต้องการ ตลอดจนการถ่ายทอดประสบการณ์และ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่นโดยอาศัยทักษะการฟัง พูดอ่าน เขียน เป็นพื้นฐาน 2.2 ความสำคัญของภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย อรอนงค์ จันทวี(2556 : 29) กล่าวว่า ภาษาเป็นเครื่องมือถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจ ซึ่งกันและกันในสังคม ดังนั้นทุกคนในสังคมจะต้องรู้จักพูดจาสื่อความหมายและใช้ภาษาของตนให้ถูกต้อง ในการเรียนรู้ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยนั้น เด็กควรจะได้เรียนรู้ระบบเสียงเป็นสำคัญควรเป็นความพร้อม ในการสื่อสารให้กับเด็ก โดยเด็กจะเรียนรู้พื้นฐานของภาษาได้อย่างรวดเร็วจากการจัดกิจกรรมอย่างไม่เป็น ทางการ 1. เด็กสามารถจะใช้ภาษาเพื่อการติดต่อสื่อสารกับบุดคลอื่นและเปิดโอกาสให้เกิด กระบวนการทางสังคมขึ้น 2. เด็กสามารถใช้ภาษาเป็นคำพูดที่เกิดขึ้นจากภายในรูปแบบการคิดโคยระบบของการใช้ สัญลักษณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อพัฒนาการทางภานาในระดับต่อไป 3. ภาษาเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายในตัวเด็ก ดังนั้นเด็กจึงไม่ต้องอาศัยการจัดกระทำกับ วัตถุจริง ๆ เพื่อแก้ปัญหา เด็กสามารถสร้างจินตนาการถึงแม้ว่าวัตถุนั้นจะอยู่นอกสายตาหรือเคยพบ มาแล้ว เด็กสามารถทำการทดลองให้สมองและทำได้เร็วกว่าการจัดกระทำกับวัตถุนั้นจริง ๆ
28 จรินาฏ ศรเกลี้ยง (2556 : 31) กล่าวว่า ภาษามีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อการดำรงชีวิตของ มนุษย์ ภาษายังเป็นเครื่องมือสำหรับการคิด ซึ่งจะนำไปสู่พัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาในขั้นสูงกว่า มาเป็นเครื่องมือ สำหรับการสื่อสารทั้งในการแสดงออกถึงความต้องการความรู้สึกนึกคิดและข่าวสาร อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้โดยเป็นสื่อกลางที่ช่วยให้มนุษย์สามารถถ่ายทอดความคิด ที่เป็นนามธรรมได้ ดวงพร สัตนันท์ (2557 : 48) กล่าวว่า ภาษามีความสำคัญกับชีวิตมนุษย์ในการสื่อสารและ ถ่ายทอดความคิด ภาษามีความสำคัญสำหรับเด็กในการพัฒนาสติปัญญาและเป็นเครื่องมือสำคัญ ในการเรียนรู้ สรุปได้ว่า ภาษามีความสำคัญกับมนุษย์ทุกคน เนื่องจากภาษาถือได้ว่าเป็นหัวใจของความ เป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์ทุกคนต้องใช้ภาษาในการสื่อสารติดต่อกัน และยังใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการ เรียนรู้ การแสวงหาความรู้หรือบอกความต้องการของตนให้คนอื่นทราบได้ นอกจากนี้ภาษายังเป็น สื่อกลางในการถ่ายทอดความคิดจินตนาการของมนุษย์ออกมา สามารถแลกเปลี่ยนความคิดที่เป็น นามธรรมต่อกันได้ ในวัยเด็กภาษายังเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ซึ่งควรได้รับการพัฒนาเพื่อให้เกิดทักษะ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านต่าง ๆ ให้มีพัฒนาการสูงขึ้น 2.3 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการทางภาษา นักวิชาการการสื่อสารทั้งหลายได้ศึกษารูปแบบและกระบวนการสื่อสารของมนุษย์ เพื่อให้ ทราบถึงพฤติกรรมของมนุษย์ที่แสดงออกทางภาษา มีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับ พัฒนาการทางภาษาดังนี้ ทฤษฎีชอมสกี้ Chomsky (1965 อ้างถึงใน ปรีดา เมธีภาคยางกูร, 2561) ได้กล่าวว่า เด็กสามารถพูดคำใหม่ ๆ ได้โดยไม่ได้รับการเสริมแรง การเรียนรู้ภาษาเป็นเรื่องที่ซับซ้อนซึ่งจะต้อง คำนึงถึงโครงสร้างภายในตัวเด็กด้วย เขาอธิบายการเรียนรู้ภาษาของเด็กว่า เมื่อเด็กได้รับประโยคหรือ กลุ่มคำต่าง ๆ เข้ามา เด็กจะสร้างระบบไวยากรณ์ขึ้น โดยใช้เครื่องมือการเรียนรู้ภาษาและใช้ ความสามารถของตนเองมาเปลี่ยนแปลงประโยคที่ตนได้ยิน โดยการลดเสียง ลดคำ เปลี่ยนที่และแทนที่ การเปลี่ยนแปลงนี้มีอยู่ทุกภาษา แต่ละภาษามีลักษณะพิเศษแตกต่างกัน ผู้เรียนจะใช้ ความสามารถ เฉพาะคนสร้างหลักไวยาการณ์โดยอัตโนมัติ ทฤษฎีของสกินเนอร์ Skinner (1950 อ้างถึงใน เกตน์นิภา ฮาตคันทุง, 2561) ได้อธิบาย กระบวนการเรียนรู้ ภาษาว่า เกิดจากการเปล่งเสียงโดยเริ่มตั้งแต่วัยทารกและผู้เลี้ยงให้การเสริมแรง คือความเอาใจใส่ สนับสนุนเฉพาะเสียงที่ใช้อยู่ในสังคมของตน ทำให้ทารกส่งเสียงที่ได้รับแรงเสริม บ่อยครั้งจนติดเป็นนิสัย ส่วนเสียงที่ไม่มีใช้ในภาษาของตนก็จะถูกละทิ้งไปในที่สุด เด็กทารกจึงเรียนรู้ภาษา
29 ของตนได้ดีที่สุด ด้วยการเลียนแบบพี่เลี้ยงหรือผู้เลี้ยงดูซึ่งมักจะพูดกับทารกด้วยภาษาของผู้ใหญ่เป็น ส่วนมาก และเมื่อเด็กเลียนเสียงผู้ใหญ่อย่างถูกต้องก็จะได้รับการเสริมแรง ซึ่งช่วยให้เด็กเลียนเสียง ได้บ่อยขึ้นจนติดเป็นนิสัยที่จะออกเสียงนั้นได้ภายหลัง ในระยะต่อมาการออกเสียงที่คล้ายคำพูดของ ผู้เลี้ยงดูยังทำให้เด็กเกิดความพอใจได้เองอีกด้วย ด้วยเหตุนี้สกินเนอร์จึงเชื่อในเรื่องการเลือกเสริมแรง โดยให้รางวัลการเปล่งเสียงของเด็กว่าเป็นสาเหตุของการปลูกฝังความสามารถทางภาษาให้แก่เด็ก และการเลียนเสียงผู้ใหญ่ก็สามารถทำให้เด็กพูดได้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเด็ก ได้ทั้งประเภทและส่งเสริมอิทธิพลที่สะสมกันขึ้นจนบุคคลนั้นมีความสามารถทางภาษา ทฤษฎีของเพียเจท์ Piaget (1980 อ้างถึงใน สิรินทร์ ลัดดากลม บุญเชิดชู, 2557) ได้ศึกษา พัฒนาการทางสมองของเด็ก เชื่อว่าการเจริญเติบโตทางสมองของเด็กส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการ ปฏิสัมพันธ์ (Interacition) อย่างต่อเนื่องกับสิ่งแวดล้อมภายนอกในการเรียนรู้ภาษา (LanguageAcquisition) ระยะแรกเริ่ม เด็กจะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอันส่งผลให้มีความสามารถที่จะ เลียนเสียงพูดตามผู้อื่นและเข้าใจมโนทัศน์ต่าง ๆ ในทัศนะของเพียเจท์ภาษากับการคิดไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เป็นสิ่งที่แยกจากกันแต่มีความสัมพันธ์กัน การใช้ภาษาจำเป็นต้องใช้การคิด อย่างไรก็ตามการที่ไม่มีภาษา หรือไม่สามารถรับรู้ภาษาก็ไม่ได้เป็นสิ่งกีดขวางคนเราไม่ให้คิด หากสามารถเข้าใจความคิดบางอย่างได้ เช่น ขณะเล่นประกอบชิ้นส่วนวัตถุหรือเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นการแก้ปัญหาโดยไม่ต้องพูดหรือใช้ภาษา เลย ดังนั้นภาษาไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นเสียทีเดียวที่จะทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจ งานวิจัยของเพียเจท์ ที่เกี่ยวกับ Sensorimotor Inteligence ในเด็กอายุ 18 เดือนนั้น ชี้ให้เห็นว่า เด็กมีความคิดเกี่ยววัตถุ ก่อนที่จะสามารถเอ่ยชื่อวัตถุเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างคำกับวัตถุได้ อย่างไรก็ตามการรู้การเข้าใจ มีความเกี่ยวเนื่องกับการคิดรวมทั้งเกี่ยวเนื่องกับภาษาในเรื่องนี้ เพียเจท์ที่ให้ทัศนะว่าภาษาเป็น “ตัวกระทำภายนอก" (Outside Agen) ที่ทำให้เด็กได้พัฒนาการคิด เด็กเริ่มเข้าใจภาษา รู้จักคิดเป็น สัญลักษณ์ทางภาษา และรู้จักแปลความคิดออกเป็นภาษาที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจ ภาษาเป็นกุญแจที่จะนำไปสู่ การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (Socal Interacton) นั่นคือ จะทำให้เด็กค่อย ๆ เริ่ม เปลี่ยนแปลงจากการมี ทัศนะที่ยึดตนเป็นศูนย์กลาง (Egocentic) ไปยังสังคมภายนอกเนื่องจากการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ที่สำคัญคือการติดต่อสื่อสารกันด้วยภาษา ทำให้เด็กได้เรียนรู้และเปลี่ยนทัศนะและแนวคิดกับผู้อื่น ทั้งเพียเจท์และนักวิจัยแนวเพียเจท์มีความเห็นว่าการปฏิสัมพันธ์ทางภาษา (Social Interaction) จะช่วย ให้เด็กได้พัฒนาสติปัญญา พัฒนาระดับการรู้การเข้าใจได้เร็วขึ้น พัฒนาการคิดของเด็กให้มีเหตุผลยิ่งขึ้นซึ่ง รวมถึงการพัฒนามโนทัศน์ทางการอนุรักษ์ด้วย ทฤษฎีของไวกอทสกี้ Vygotsky (2014) กล่าวว่า เด็กมีพัฒนาภาษาเพื่อที่จะเข้าร่วมกิจกรรม ในสังคม ฉะนั้น เด็กจะต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจได้ คือ การสื่อภาษาโดยใช้สัญลักษณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ
30 มาก กระบวนการพัฒนาการสัญลักษณ์เด็กต้องเรียนรู้ที่จะฟัง พูด เขียนและอ่านซึ่งคือการพัฒนาทักษะ ทางภาษาทั้ง 4 ด้าน เด็กเริ่มเรียนรู้ภาษาตั้งแต่ทารก เรียนรู้ที่จะฟังเพื่อที่จะพูดหรือใช้กิริยาท่าทาง หรือ การใช้สัญลักษณ์หรือการวาดรูปจนกระทั่งพัฒนามาเป็นการเขียน เนสเสล (Neessel, 2015 อ้างถึงใน วิชัย วงษ์ใหญ่, 2555) ได้อ้างถึงผลงานวิจัยที่เกี่ยวกับพัฒนาการทางภาษาของเด็กว่าประกอบด้วยขั้นตอน ดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 เด็กอายุ 10 เดือนถึง 1 ปี 6 เดือนจะควบคุมการออกเสียงคำที่จำได้ สามารถ เรียนรู้คำศัพท์ในการสื่อสารถึง 50 คำ คำเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับสิ่งของ สัตว์ คน หรือเรื่องราวใน สิ่งแวดล้อม การที่เด็กออกเสียงคำหนึ่งหรือสองคำอาจมีความหมายรวมถึงประโยคหรือวลีทั้งหมด ขั้นที่ 2 เด็กอายุ 1 ปี 6 เดือนถึง 2 ปี การพูดจะเป็นการออกเสียงคำสองคำและวลีสั้น ๆ และมีเฉพาะคำสำคัญสำหรับสื่อความหมาย เด็กเรียนรู้คำศัพท์มากขึ้นถึง 300 คำ รวมทั้งคำกิริยา และคำ ปฏิเสธ เด็กจะสนุกสนานกับการพูดคนเดียวในขณะที่ทดลองพูดคำและโครงสร้างหลายรูปแบบ ขั้นที่ 3 เด็กอายุ 2 ปีถึง 2 ปี 6 เดือน จะเรียนรู้คำศัพท์เพิ่มขึ้นถึง 450 คำ วลีจะยาวขึ้น พูดประโยคความเดียวสั้น ๆ มีคำคุณศัพท์รวมในประโยค ขั้นที่ 4 เด็กอายุ 2 ปี 6 เดือนถึง 3 ปี คำศัพท์จะเพิ่มมากขึ้นถึง 1,000 คำ ประโยคเริ่ม ซับซ้อนขึ้น เด็กที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาจะแสดงให้เห็นถึงความเจริญงอกงาม ทางด้านจำนวนคำศัพท์และรูปแบบของประโยคอย่างชัดเจน ขั้นที่ 5 เด็กอายุ 3 ปีถึง 4 ปี 6 เดือน สามารถสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพมีครอบครัว และ ผู้คนรอบข้าง จำนวนคำศัพท์ที่เด็กรู้ประมาณ 2,000 คำ เด็กใช้โครงสร้างของประโยคหลายรูปแบบ เด็กจะพัฒนาพื้นฐานการสื่อสารด้วยวาจาอย่างมั่นคงและเริ่มต้นเรียนรู้ภาษาเขียน พราวพรรณ เหลืองสุวรรณ (2556 : 17) ได้กล่าวถึงพัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัยไว้ ดังนี้ อายุแรกเกิดถึง 2 ขวบ เด็กแรกเกิดมักแสดงอากัปกิริยาด้วยวิธีอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ภาษาพูด เช่น การร้องให้ การทำท่าทางต่าง ๆ เมื่อทารกเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูด คำส่วนใหญ่จะเป็นคำง่าย ๆ เบื้องต้นเกี่ยวกับคำนามที่มุ่งถึงสิ่งของและบุคคลต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อมและคำกิริยาที่แสดงอาการของ ท่าทาง เช่น ยืน นั่ง นอน เด็กอายุ 18 เดือน สามารถพูดได้ประมาณ 10 คำ และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถึง 30 คำ เมื่ออายุประมาณ 2 ขวบ การเรียนรู้คำศัพท์มากน้อยเพียงใดนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญาของเด็ก ตลอดจนการส่งเสริมและโอกาสที่จะได้เรียนรู้ เด็กหลายคนในวัยนี้ จะจดจำประโยคและคำสบถจากคน
31 ใกล้ชิดแค่ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง เด็กวัยนี้มีความเจริญ ทางภาษามาก มักจะตั้งคำถามว่า อะไร ทำไม อายุ 3 ขวบ สามารถเข้าใจภาษาพูดของผู้ใหญ่ ภาษาง่าย ๆ เบื้องต้น ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ มองไม่เห็น ยังไม่เข้าใจความหมายจากคำสั่งหรือคำขอร้องจากผู้ใหญ่ เนื่องจากพัฒนาการทางภาษาในวัย นี้เจริญเร็วมาก สามารถตั้งคำศัพท์ใหม่ ๆ หรือเรียกชื่อใหม่ในสิ่งที่ตนเองไม่ทราบหรือไม่เคยรู้จักมาก่อน อายุ 4 ขวบ ให้ความสนใจในภาษาพูดของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคำแสลงหรือคำอุทาน เด็กเริ่มมีคำถามที่มีเหตุผลมากขึ้น การฟังนิทานเป็นสิ่งที่เด็กชอบมาก อายุ 5 ขวบ เริ่มมีพัฒนาการทางภาษามากขึ้น สามารถเข้าใจภาษาพูด ข้อความยาว ๆ ของผู้ใหญ่ได้ดี พยายามพูดยาว ๆ โดยเลียนแบบผู้ใหญ่ในการสร้างประโยค ชอบฟังนิทาน เทพนิยาย อายุ 6 ขวบ เด็กส่วนใหญ่จะสนใจในการพูด เด็กจะชอบสนทนากับเพื่อน ๆ หรือผู้ใหญ่ มากกว่าการเล่นสิ่งของ และมีความสุขเมื่อได้สนทนากับผู้อื่น ชอบฟังเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติ และสนใจในการอ่านเทพนิยายที่มีภาพประกอบ สรุปว่า แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนาการทางภาษาของชอมสกี้ (Chomsky) สกินเนอร์ (Skinner) เพียเจท์ (Piaget) ไวกอทสกี้ (Vygotsky) และนักวิชาการอื่นๆ ได้กล่าวว่า พัฒนาการทาง ภาษาเด็กต้องเรียนรู้ที่จะฟัง พูด เขียนและอ่าน ซึ่งคือการพัฒนาทักษะทางภาษาทั้ง 4 ด้าน เด็กเริ่มเรียนรู้ ภาษาตั้งแต่ทารก เรียนรู้ที่จะฟังเพื่อที่จะพูดหรือใช้กิริยาท่าทางหรือการใช้สัญลักษณ์หรือการวาดรูป จนกระทั่งพัฒนามาเป็นการเขียน นอกจากนี้การปฏิสัมพันธ์ทางภาษา จะช่วยให้เด็กได้พัฒนาสติปัญญา พัฒนาระดับการรู้การเข้าใจได้เร็วขึ้น พัฒนาการคิดของเด็กให้มีเหตุผลยิ่งขึ้น ทำให้เด็กสามารถเรียนรู้และ พัฒนาทักษะทางภาษาเพิ่มยิ่งขึ้น 2.4 เด็กปฐมวัย 2 ภาษา 2.4.1 ความหมายของเด็กสองภาษา มันนี ผดุงทักษิณ (2557 : 29) กล่าวถึงเด็กสองภาษาว่า หมายถึง เด็กที่ใช้ภาษาหนึ่ง ตั้งแต่เริ่มหัดพูดและใช้มาตลอดในชีวิตประจำวันกับครอบครัวและท้องถิ่นเป็นภาษาที่หนึ่งหรือภาษาแม่ โดยการเรียนรู้อย่างธรรมชาติจากผู้เลี้ยงดู และต่อมาเด็กได้เรียนรู้ภาษาใหม่ซึ่งเป็นภาษาที่สองที่เกิดจาก การสอนที่เป็นระบบหลังจากที่ได้เรียนรู้ภาษาแม่แล้ว วัชราภรณ์ มากบุญศรี (2558 : 16) ได้ให้ความหมายของเด็กสองภาษาว่า หมายถึง เด็กที่มีภาษาแม่หรือภาษาของเชื้อชาติตนเป็นภาษาแรกที่เด็กเรียนรู้ และต้องมาเรียนภาษาอื่นที่แตกต่าง จากภาษาแม่เป็นภาษาที่สอง จากภาษาแม่ที่เด็กใช้ติดต่อสื่อสารเราสามารถเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ภาษาถิ่น
32 ซึ่งในแต่ละประเทศย่อมมีภาษาที่ใช้มากกว่า 1 ภาษาและภาษาที่ใช้เหล่านั้นก็คือ ภาษาถิ่น (Dialect) ซึ่งจะเป็นภาษาเฉพาะกลุ่มหรือชุมชน เช่น เด็กไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษ เด็กอินเดียที่อยู่ใน ประเทศสหรัฐอเมริกา เด็กเหล่านี้ใช้ภาษาที่บ้านและที่โรงเรียนต่างกัน เด็กไทยที่ใช้ภาษาที่บ้านและต้อง เรียนภาษาที่สองในโรงเรียนเช่นเดียวกับเด็กอินเดีย ซึ่งใช้ภาษาอินเดียที่บ้าน และต้องเรียนภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่สองในโรงเรียนเหล่านี้ เป็นต้น จากการให้ความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า เด็กสองภาษาเป็นเด็กที่ใช้ภาษาแม่ใน ชีวิตประจำวันเป็นภาษาที่หนึ่ง ต่อมาเมื่อมีการเรียนรู้ภาษาใหม่เป็นภาษาที่สอง เช่นเดียวกับเด็กในจังหวัด ชายแดนภาคได้ มีภาษามลายูถิ่นเป็นภาษาแม่ และภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง 2.4.2 ความสัมพันธ์ของภาษาที่หนึ่งและภาษาที่สอง กลัญญูเพชราภรณ์ (2561: 3) อธิบายถึงความสัมพันธ์ของการเรียนรู้ภาษาที่หนึ่ง และภาษาที่สองไว้ 10 ด้านด้วยกัน คือ 1. ด้านเวลา เวลาของการเรียนรู้ภาษาที่สองนั้นจำกัด ในขณะที่เวลาของการเรียนรู้ ภาษาที่หนึ่งนั้นมีอยู่ตลอดเวลาตลอดวัน 2. ด้านความรับผิดชอบของครู เนื่องจากเวลาที่จำกัดความรับผิดชอบของผู้สอน ภาษาที่สองจึงมีขอบเขตกว้างขวาง ในขณะที่ผู้สอนภาษาที่หนึ่งใช้วิธีการสอนที่เร้าใจให้เด็กเกิดความอยาก เรียนและมีประสบการณ์ด้านการใช้ภาษาเพิ่มขึ้น ผู้สอนภาษาที่สองต้องรับผิดชอบในทุก ๆ ด้านของการ เรียนการสอนภาษาที่สอง 3. เนื้อหาที่กำหนด เนื่องจากเวลาที่ใช้ในการเรียนภาษาที่สองเป็นไปอย่างจำกัด ดังนั้น เนื้อหาของภาษาที่สองที่นักเรียนจะต้องเรียนนั้น ครูจะต้องวางแผนลำดับเนื้อหาไว้เป็นอย่างดี ล่วงหน้าทั้งนี้เพื่อให้การเรียนภาษาที่สองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 4. กิจกรรมที่เป็นแบบแผน ในห้องเรียนภาษาที่สองผู้สอนจะต้องกระตุ้นให้นักเรียนมี ส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน ครูจะต้องมีความสามารถที่จะต้องควบคุมและนำการฝึกการใช้ ภาษาอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่การเรียนภาษาที่หนึ่งของนักเรียนอาจจะไม่ต้องเน้นกิจกรรมดังกล่าว มากนัก 5. แรงเสริม เด็กที่เรียนภาษาที่หนึ่งและภาษาที่สองนั้นจะมีแรงเสริมที่แตกต่างกัน อย่างเห็นได้ชัด แรงเสริมที่สำคัญของเด็กที่เรียนภาษาที่หนึ่งนั้น ได้แก่ ความหิว ความกลัว ความต้องการ ความรักและความจำเป็นที่ต้องการสื่อสาร ในทางตรงกันข้ามครูที่สอนภาษาที่สองต้องใช้ความพยายาม ที่จะชักจูงโน้มน้าวให้เด็กเห็นความสำคัญของภาษาที่สองที่จะเรียนตลอดจนชักจูงให้เด็กเห็นคุณค่าและ
33 บทบาทที่สำคัญในสังคมของภาษานั้น ๆ ด้วย 6. ประสบการณ์ชีวิต ประสบการณ์ที่เด็กจะต้องใช้ในการเรียนภาษาที่สองนั้นมักมี ขอบเขตกว้างขวางและลึกซึ้ง ในการเรียนการสอนครูจะต้องเลือกใช้วัสดุปกรณ์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ การเรียนในช่วงนั้นและให้เหมาะสมกับระดับความสามารถของภาษาและความคิดรวบยอดของเรื่องที่ เรียนด้วย จึงจะทำให้การเรียนการสอนภาษาที่สองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 7. ลำดับทักษะในการเรียนรู้ภาษาที่หนึ่งนั้น เด็กจะเรียนรู้ได้ตามลำดับการเรียนรู้ ภาษาธรรมชาติ ซึ่งในบางครั้งสามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์ของการเรียนรู้ภาษาที่สอง 8. การเปรียบเทียบและการสรุปหลักเกณฑ์กระบวนการเปรียบเทียบและสรุป หลักเกณฑ์ของการเรียนรู้ภาษาที่หนึ่งของเด็กนั้นสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้ภาษาที่สองได้ ทั้งนี้ เพราะ จากการศึกษาพบว่า ถ้าเด็กเข้าใจกฎหรือไวยากรณ์ของภาษาที่เรียนแล้วก็จะสามารถเรียนได้ดี และรวดเร็วขึ้น 9.ความเข้าใจผิดด้านวัฒนธรรม ในการสอนภาษาที่สองให้แก่เด็กนั้น เด็กจะเรียนรู้ก็ ได้ทำที่แตกต่างไปจากของตนเอง ครูจึงควรระมัดระวังในด้านนี้ให้มาก การสร้างทัศนคติที่ดีต่อภาษาที่ เรียนนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก 10. อุปสรรคทางด้านภาษาศาสตร์ ในการเรียนภาษาที่สองนั้นเด็กจะมีความรู้ภาษาที่ หนึ่งอยู่ก่อนแล้วอิทธิพลของภาษาที่หนึ่งนี้ จะมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้ภาษาที่สองของเด็กเป็นอย่าง มาก ดังนั้นครูควรคำนึงถึงจุดนี้ให้มากในการจัดโปรแกรมการสอนสองภาษา การเรียนรู้ภาษาที่สองนั้น กล่าวได้ว่าส่วนใหญ่เป็นการเรียนรู้ที่ค่อนข้างเป็นทางการ หรือเป็นระบบ เพราะเกิดจากการสอนที่เป็นแบบแผนของครู โรงเรียนและผู้ปกครองที่จัดให้เด็กอย่างเป็น ระบบซึ่งเป็นการเรียนรู้ภาษาที่สองนั้นอาจจะสูญหายไป ถ้าเกิดการยุติการใช้ภาษานั้นไปเลย ดังนั้นการคง ภาษาที่สองไว้จึงต้องอาศัยความร่วมมือของชุมชนและบ้านของเด็ก 2.4.3 รูปแบบการสอนสองภาษา มันนี ผดุงทักษิณ (2557 : 80-81) ได้กล่าวถึงรูปแบบการสอนสองภาษา (ไทย-มลายู) ให้เด็กปฐมวัยเพื่อสร้างความคล่องแคล่วและมั่นใจแก่เด็กด้วยการฟังและพูด มีรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ 1. ใช้ภาษามลายูเกือบทั้งหมด ครูที่ใช้รูปแบบนี้ต้องพูดภาษามลายูได้คล่องกับเด็กที่ พึ่งเข้าสู่โรงเรียนและฟังภาษาไทยไม่เข้าใจ ครูจะใช้ภาษามลายูทั้งหมดใน 2 เดือนแรก สำหรับการจัด กิจกรรมประจำวัน การสื่อสารอธิบายพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยเป็นภาษามลายูแบบ
34 สั้น ๆ ง่าย ๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เด็กมาโรงเรียน พบว่า รูปแบบนี้ช่วยให้เด็กกล้าสื่อสาร โต้ตอบกับครู ด้วยภาษาแม่และเข้าใจร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น หลังจากนั้นเมื่อครูสังเกตว่าเด็กมีความคุ้นเคยกับ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ครูจัดให้จึงค่อย ๆ สอดแทรกภาษาไทยผ่านสื่อการสอนสองภาษากลมกลืนไปกับสื่อ เพลง เกม นิทาน และวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เด็กเกิดการเรียนรู้ภาษาที่สองแบบธรรมชาติ 2. ใช้ภาษามลายูและภาษาไทยสลับกัน ครูที่ใช้รูปแบบนี้ต้องพูดภาษามลายูได้คล่อง เช่นกัน แต่ในห้องเรียนมีทั้งเด็กมุสลิมและพุทธหรือมีทั้งเด็กที่พูดภาษาไทยได้และพูดไม่ได้หรือพูดได้บ้าง เช่น เด็กที่เคยผ่านศูนย์เด็กก่อนเกณฑ์ประจำมัสยิดมาแล้วหรือเด็กที่อยู่ในเขตเมือง ซึ่งได้ยินและมีโอกาส ใช้ภาษาไทยได้มากกว่าเด็กในชนบท เมื่อเด็กเหล่านี้มาเรียนรวมกัน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ครูจึงต้อง ใช้ทั้งสองภาษาสลับกัน หรือใช้วิธีแปลในบางครั้ง โดยใช้สื่ออุปกรณ์และท่าทางประกอบช่วยการอธิบายให้ เด็กทั้งสองกลุ่มฟัง เข้าใจเกิดมโนทัศน์คำและทำกิจกรรมร่วมกันได้ การใช้วิธีนี้ครูพบว่า ช่วยให้เด็กเรียนรู้ สองภาษาพร้อม ๆ กันได้ และเรียนรู้ในลักษณะเพื่อนช่วยเพื่อนทั้งด้านภาษาและการทำกิจกรรมร่วม 3. ใช้ภาษาไทยสอดแทรกภาษามลายู รูปแบบนี้ใช้กับครูที่พูดภาษามลายูได้บ้าง โดยครูจะใช้ภาษาไทยเป็นหลักและสอดแทรกภาษามลายูที่เป็นคำใหม่ต้องการให้เด็กเรียนรู้ หรือการ อธิบายพูดคุยในบางช่วงตอนที่ครูสังเกตว่าเด็กยังไม่เข้าใจและยังทำไม่ถูกต้อง ครูอาจต้องใช้เวลาอธิบาย ซ้ำ ๆ และใช้หลาย ๆ วิธีเมื่อพบว่าเด็กยังไม่เข้าใจ อาจใช้สื่อหรือให้เด็กที่เข้าใจช่วยอธิบายแบบเพื่อนช่วย เพื่อน จะช่วยให้เด็กค่อย ๆ เรียนรู้เข้าใจภาษาไทยแบบซึมซับและมีการปรับตัวด้านภาษาโดยไม่เกิดการ ต่อต้าน วิธีนี้ครูต้องมีการเตรียมตัวมากกว่าครูที่สอนวิธีที่ 1 กับ 2 เพราะต้องศึกษาคำมลายูที่ต้องมาใช้ กับเด็ก ทั้งครูและเด็กมีการปรับตัวมากในระยะแรก เมื่อเด็กเกิดความคุ้นเคยกับการเรียนรู้โดยใช้สอง ภาษา หลังจากนั้นครูจึงค่อย ๆ เพิ่มการใช้ภาษาไทยในการจัดกิจกรรมประจำวัน โดยยึดความพร้อมทาง ภาษาของเด็กเป็นสำคัญ กลัญญูเพชราภรณ์ (2561 :19) กล่าวว่า การศึกษาสองภาษาเป็นการศึกษาที่เด็กได้ เรียนภาษาแม่ หรือ ภาษาถิ่น หรือภาษาที่หนึ่ง ควบคู่กับภาษาที่สอง รูปแบบการสอนสองภาษาจำแนกได้ เป็น 4 ลักษณะ ดังนี้ 1. ครูคนเดียวสอนทั้งสองภาษา การสอนแบบนี้ครูผู้สอนจำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถในการใช้ภาษาทั้งภาษาที่หนึ่ง และภาษาที่สอง ในการจัดการเรียนการสอน คือ ใช้ภาษาทั้ง สองควบคู่กันไปขณะทำการสอน 2. ครูสองคน สอนคนละภาษา โดยบูรณาการไปพร้อม ๆ กัน การสอนลักษณะ เป็นทีม เช่น ครูท่านหนึ่งสอนเป็นภาษาอังกฤษ ครูอีกท่านหนึ่งทำหน้าที่เป็นครูผู้ช่วยสอนเป็นภาษาไทย คอยช่วยเหลือเมื่อเด็กไม่เข้าใจ ครูไทยจะช่วยส่งเสริมในเนื้อหาเดียวกัน
35 3. ครูสองคนสอนคนละภาษาคนละเวลา แต่วิชาเดียวกัน การสอนด้วยวิธีนี้จะช่วยทำ ให้เด็กได้รับความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาวิชาที่เรียนมากขึ้น เป็นการเพิ่มประสบการณ์ภาษาในการเรียน ภาษาที่สอง เช่น ครูต่างชาติสอนเนื้อหาเกี่ยวกับบุคคลในครอบครัวเป็นภาษาอังกฤษ และมีครูอีกท่านเป็น ชาวไทยสอนเนื้อหาวิชาเดียวกันแต่สอนเป็นภาษาไทย การสอนเช่นนี้จะช่วยทำให้เด็กมีความเข้าใจในเรื่อง ที่เรียนรู้ได้ดีขึ้น 4. ครูสองคนต่างคนต่างสอน การสอนลักษณะนี้เป็นการสอนแบบการสอนภาษา ที่สอง ซึ่งปัจจุบันกำลังจะลดลงในบางประเทศ เป็นการจัดการศึกษาทางเลือกให้ผู้เรียนที่สนใจ ต้องการ เรียนภาษาที่สองที่ตนเองสนใจ จากรูปแบบการสอนสองภาษาที่กล่าวมาพอสรุปได้ว่า วิธีที่ใช้กันมาคือการสอนโดย ครูคนเดียวแต่จะใช้วิธีการสอนสองภาษาสลับกันจนกระทั่งเด็กมีทักษะในภาษาไทยดีขึ้น ใช้เทคนิคการ สอนแบบเน้นย้ำ ซ้ำ ทวน เพื่อให้เด็กเกิดความคล่องแคล่วและมั่นใจในการใช้ภาษา นอกจากนี้ครูยังจัดให้ เรียนรู้ผ่านสื่อเพลง นิทาน เกมหรือการเล่นและสื่อสัมผัสอื่นที่ประยุกต์เป็น สื่อสองภาษา ซึ่งช่วยฝึกการ ฟังและพูดของเด็กในการเรียนรู้สองภาษา กล้าที่จะสื่อสารกับครูด้วยภาษาไทยมากขึ้น 2.4.4 การจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยที่พูดภาษาถิ่นเป็นภาษาที่หนึ่ง นฤมล เนียมหอม (2558) กล่าวว่า "ภาษาถิ่น" เป็นภาษาย่อย (Variety of Speech) ที่พูดในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง และมีความแตกต่างทางด้านเสียง คำศัพท์ และไวยากรณ์จากภาษาย่อยที่ พูดในบริเวณอื่น ภาษาถิ่นตระกูลไทยที่ใช้พูดกันโดยทั่วไปในประเทศไทย แบ่งออกเป็น ภาษาถิ่นสำคัญ 4 ถิ่น ได้แก่ 1) ภาษาถิ่นไทยกลาง ประกอบด้วยภาษาไทยถิ่นกรุงเทพฯ ซึ่งจัดว่า เป็นภาษาไทยมาตรฐานที่ ใช้ในทางราชการ ภาษาไทยถิ่นตะวันตก ภาษาไทยถิ่นตะวันออก ภาษาไทยถิ่นสุโขทัย ภาษาไทยถิ่นโคราช 2) ภาษาไทยถิ่นใต้ 3) ภาษาไทยถิ่นอีสาน 4) ภาษาไทยถิ่นเหนือ และ ภาษาไทยถิ่นอื่น ๆ ได้แก่ ภาษาไทย ดำ ภาษาไทยพวน ภาษาผู้ไทย ภาษานครไทย ภาษาตากใบ ฯลฯ ซึ่งแต่ละภาษาถิ่นจะมีความแตกต่างกัน ทั้งในด้านการออกเสียง ระบบเสียงความหมาย และไวยากรณ์ เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ใช้ภาษาถิ่น จะเรียนรู้ภาษาถิ่นเป็นภาษาที่หนึ่งหรือเรียกว่าภาษาแม่ แต่เมื่อเด็กเข้าโรงเรียน ต้องอยู่ในบริบทของการ ใช้ภาษาไทยกลางซึ่งเป็นภาษาประจำชาติภาษาไทยกลางจึงเป็นภาษาที่สองที่เด็กต้องเรียนรู้ เด็กในกลุ่ม ดังกล่าวจึงต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องช่องว่างในการสื่อสารระหว่างเด็กที่ยังใช้ภาษาไทยกลางไม่ได้ กับครู หรือพี่เลี้ยง ซึ่งจะใช้ภาษาไทยกลาง ปัญหาสำคัญอีกปัญหาหนึ่งของการจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับ เด็กที่พูดภาษาถิ่นเป็นภาษาที่หนึ่ง และพูดภาษาไทยกลางเป็นภาษาที่สอง คือ การที่ผู้สอนให้ความสำคัญ เฉพาะภาษาไทยกลางเพียงภาษาเดียว ทำให้ภาษาถิ่นของเด็กไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบควบคู่กัน
36 ไป ภาวะเช่นนี้ทำให้เด็กสูญเสียโอกาสในการได้เรียนรู้สองภาษาไปพร้อม ๆ กัน อีกทั้งยังเป็นการทำให้เด็ก เกิดความสับสนต่อคุณค่าของภาษาไทยและวัฒนธรรมท้องถิ่นอีกด้วย ในการจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กสองภาษา ครูควรทำความเข้าใจว่าการ เรียนรู้ภาษาที่หนึ่งและการเรียนรู้ภาษาที่สองมีความแตกต่างกัน การทำความเข้าใจดังกล่าวนำไปสู่การจัด ประสบการณ์ทางภาษาอย่างเหมาะสมสำหรับเด็ก ทั้งนี้ ครูที่จัดประสบการณ์ทางภาษา สำหรับเด็ก ปฐมวัยที่พูดภาษาถิ่นเป็นภาษาที่หนึ่ง และพูดภาษาไทยกลางเป็นภาษาที่สอง ควรเป็นผู้ที่มีความสามารถ ในการใช้ภาษาถิ่นและภาษาไทยกลางเป็นอย่างดี เป็นครูที่เข้าใจสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น และบริบท ทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนในท้องถิ่น ตลอดจนมีมนุษยสัมพันธ์อันดีกับบุคคลในชุมชน ซึ่งเป็น แหล่งทรัพยากรในการเรียนการสอนที่สำคัญ โดยมีแนวทางในการจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็ก ดังต่อไปนี้ 1. ครูควรให้ความสำคัญกับภาษาที่หนึ่งของเด็กโดยยอมรับการใช้ภาษาของเด็ก ไม่ตำหนิ หรือบังคับให้เด็กใช้ภาษาที่ไม่ถนัด เนื่องจากพัฒนาการทางภาษาที่หนึ่งและภาษาที่สองมี แนวโน้มจะเพิ่มขึ้น หากได้รับการส่งเสริมและให้คุณค่ากับทั้งสองภาษาอย่างเท่าเทียมกัน 2. การใช้ภาษาในการทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างเด็กกับครูในระยะแรก ควรใช้ภาษา ถิ่นซึ่งเป็นภาษาที่เด็กคุ้นเคยเป็นหลัก และใช้ภาษาไทยกลาง ระยะต่อมาโดยให้เด็กมีโอกาสเลือกใช้ภาษา ตามความต้องการ โดยครูควรตระหนักว่าแม้จะมีการสอนทั้งสองภาษาโดยให้ความสำคัญอย่างเท่าเทียม กันก็จริง แต่เด็กอาจยังไม่สามารถออกเสียงภาษาไทยกลางได้ทุกเสียงอย่างชัดเจน ตามหลักการออกเสียง ภาษาไทยกลาง 3. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาที่มีความหลากหลายเอื้อต่อความต้องการของเด็ก ให้เด็กเรียนรู้การใช้ภาษาถิ่น และภาษาไทยกลางจากการเข้าไปมีส่วนร่วมในบริบททางสังคมและ วัฒนธรรมของเจ้าของภาษาด้วยตนเองตามสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน และสถานการณ์ที่สร้าง ขึ้นเพื่อให้ครูและเด็กเรียนรู้และพัฒนาการใช้ภาษาของตนเองอย่างเป็นธรรมชาติ ตัวอย่างกิจกรรมส่งเสริม การเรียนรู้ภาษาของเด็ก ได้แก่ การร้องเพลง ท่องกลอน หรือคำคล้องจองด้วยภาษาไทยถิ่น และ ภาษาไทยกลาง การเล่านิทานปากเปล่า หรือเล่านิทานประกอบอุปกรณ์ด้วย ภาษาไทยถิ่น และภาษาไทย กลาง การถามตอบ หรือพูดคุยกับเด็กด้วยภาษาไทยถิ่น และภาษาไทยกลาง การให้เด็กได้สนทนากับ เจ้าของภาษาทั้งผู้ที่พูดภาษาไทยถิ่น และภาษาไทยกลาง ฯลฯ
37 4. ประสานความเข้าใจกับผู้ปกครองและชุมชน ใช้บริบททางสังคมและวัฒนธรรมของ เจ้าของภาษาทั้งภาษาไทยถิ่น และภาษาไทยกลางเป็นสื่อในการสอนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเป็น การเรียนรู้ที่เป็นประสบการณ์ตรงในชีวิตจริง ในกรณีที่ครูไม่สามารถพูดภาษาถิ่นที่เด็กพูดได้ มีแนวทางใน การปฏิบัติตนของครู ดังนี้ 1. ครูต้องพูดคุยกับเด็กอย่างสม่ำเสมอแม้ว่าบางครั้งเด็กจะไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่ครูพูด 2. รอคอย ให้กำลังใจ และกระตุ้นให้เด็กลองพูดภาษาที่สอง 3. จับคู่เด็กที่พูดภาษาถิ่นเหมือนกัน เพื่อให้เด็กรู้สึกสบายใจว่ามีคนที่เหมือนตนเอง 4. เมื่อพูดกับเด็กให้ใช้ระดับเสียงตามธรรมชาติ ไม่ควรเน้นเสียง หรือออกเสียงดัง เกินไป เพราะจะทำให้เด็กกลัว หรือรู้สึกว่าครูกำลังโกรธ 5. หากเด็กใช้ชื่อที่เป็นภาษาถิ่น ให้ครูหัดออกเสียงเรียกชื่อของเด็กโดยใช้ภาษาถิ่นนั้น แทนการเรียกชื่อใหม่ที่เป็นภาษาที่สองที่ครูถนัด 6. ครูอาจพยายามใช้คำบางคำที่เป็นภาษาที่เด็กใช้เพื่อสื่อสารกับเด็ก 7. ใช้ภาษาท่าทาง ยิ้ม มองเด็กด้วยท่าทีที่ให้กำลังใจ เพื่อช่วยให้เด็กรับรู้ถึงความเป็น มิตรของครู 8. เมื่อพูดแล้วเด็กไม่เข้าใจ ครูอาจหยิบวัตถุสิ่งของที่เกี่ยวข้องมาแสดงให้เด็กดู เพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจได้ง่ายขึ้น 9. เชื่อมโยงภาษากับวัตถุ หรือประสบการณ์จริง 10. การสอนให้เด็กรู้จักคำศัพท์ใหม่ควรเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และใช้ซ้ำ ๆ จนเด็กเกิดความเคยชิน ไม่ควรรีบร้อนสอนคำมากเกินไปในทันที 11. ใช้เพลงหรือคำคล้องจองง่าย ๆ ที่เด็กสามารถท่องคลอไปพร้อมกลุ่มเพื่อน เพื่อให้ เด็กเกิดความมั่นใจในการใช้ภาษา 12. ไม่ควรสนใจต่อการใช้ภาษาของเด็กมากเกินไป เพราะทำให้เด็กรู้สึกกดดัน 13. หากมีเด็กที่ใช้ภาษาถิ่นจำนวนน้อย ควรทำความเข้าใจกับเด็กอื่น ๆ เพื่อให้เด็กไม่ ถูกล้อเลียน 14. ครูต้องตระหนักถึงข้อจำกัดของตนเองที่ไม่สามารถพูดภาษาถิ่นได้ จึงควรพูดคุย กับพ่อแม่ของเด็กให้ใช้ทั้งภาษาถิ่น และภาษาที่สองควบคู่กันไป เพื่อไม่ให้เด็กเสียโอกาสที่จะเรียนรู้สอง ภาษา การที่เด็กจะอยู่ในบริบทของสังคมสองภาษา กล่าวคือ เด็กใช้ภาษาถิ่นเป็นภาษา ที่หนึ่ง และใช้ภาษาไทยกลางเป็นภาษามาตรฐานการเรียนรู้ในโรงเรียนนั้น แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นปัญหาที่