The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน-406310028-เทอม-2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

วิจัยในชั้นเรียน-406310028-เทอม-2

วิจัยในชั้นเรียน-406310028-เทอม-2

38 พบได้บ่อย แต่หากครูทำความเข้าใจความแตกต่างของภาษาที่หนึ่ง และภาษาที่สอง รวมทั้งศึกษาวิธีการ ช่วยเหลือเด็กอย่างเหมาะสม เด็กย่อมจะได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้สองภาษาไปพร้อม ๆ กัน อีกทั้งยัง เป็นการทำให้เด็กคุณค่าของภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่นอีกด้วย 2.5 ทักษะการฟัง 2.5.1 ความหมายของการฟังสำหรับเด็กปฐมวัย นพดล จันทร์เพ็ญ (2557 : 42) ให้ความหมายการฟังว่า การฟัง หมายถึง การที่มนุษย์ ได้ยินเรื่องราวโดยผ่านประสาทสัมผัสทางหู อาจจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ได้ ถ้าเรื่องราวที่ฟังเป็นเรื่องที่สื่อ ความหมายได้และมนุษย์สามารถนำไปคิดหรือปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง เกิดความรู้ ความเข้าใจ ก็กล่าวได้ว่า เป็นการฟังที่สมบูรณ์และในทางตรงกันข้าม หากการฟังนี้มีลักษณะสับสนวกวน ขาดความหมายจากสื่อ ที่ส่งมาให้ ก็ไม่นับว่าเป็นการฟังที่สมบูรณ์ ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นการ “ได้ยิน” อรอุมา มุสิกสาร (2559 : 32) ให้ความหมายการฟังว่า การฟัง หมายถึง การรับรู้สาร ต่าง ๆ ผ่านประสาทสัมผัสทางหู ก่อให้เกิดการรับรู้ และพิจารณาทำความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของสาร นั้นได้ พัชรินทร์ จันทร์ส่องแสง (2560 : 110) ให้ความหมายการฟังว่า การฟังเป็นการได้ยิน เรื่องราวผ่านประสาทสัมผัสทางหู แล้วสามารถนำไปคิด เกิดความรู้ ความเข้าใจ หรือปฏิบัติได้ ตามที่ผู้พูด ต้องการสื่อสารได้ถูกต้อง ครบถ้วนซึ่งต้องอาศัยทั้งกระบวนการถ่ายทอดสารของผู้พูด และกระบวนการรับ สารของผู้ฟังจึงจะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ต้องการ สรุปได้ว่า การฟัง หมายถึง การได้ยิน ผ่านประสาทสัมผัสทางหู แปลความหมาย รวบรวม เชื่อมโยง เพื่อให้เข้าใจภาษา ซึ่งทำให้สามารถปฏิบัติตามคำสั่งและสามารถจับใจความ เรื่องที่ฟัง ได้ ซึ่งวัดโดยแบบประเมินพัฒนาการความสามารถทางด้านการฟัง 2.5.2 ความสำคัญของการฟังสำหรับเด็กปฐมวัย นพดล จันทร์เพ็ญ (2557 : 45-46) กล่าวว่า การฟังมากทำให้มีความรู้มาก จนกล่าว ได้ว่า ผู้รู้จักฟังคือผู้ฉลาด และถ้าฟังอย่างถูกวิธีก็จะยิ่งพาตนเองไปพบกับความสำเร็จอย่างแน่นอน ความสำคัญของการฟังมี ดังนี้ 1. ทำให้เป็นผู้รอบรู้กว้างขวางเพราะการฟังเป็นทักษะหนึ่งของการใช้ภาษาเป็น เครื่องมือในการเรียนและการหาความรู้ เป็นทางแห่งความรู้ ฉะนั้นการฟังจึงมีประโยชน์ทั้งในการเรียน ทุกวิชาและในชีวิตประจำวัน 2. ทำให้ผู้ฟังรู้สึกเป็นสุข สนุกสนานเพลิดเพลิน เกิดความซาบซึ้ง นิยมชมชอบ


39 3. การฟังเป็นเครื่องสื่อความหมาย สื่อความเข้าใจ ความรู้สึกนึกคิดของผู้พูด ถ้าขาด ประสิทธิภาพในการฟังอาจทำให้ผู้ฟังเข้าใจผิดไปได้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องฝึกทักษะในการฟัง ให้สามารถฟังแล้วเข้าใจให้ถูกต้องตรงกับความต้องการของผู้พูด 4. การฟังเป็นทักษะที่สำคัญที่ใช้ในชีวิตประจำวันมากกว่าทักษะอื่น คือ ฟัง 45% พูด 30% อ่านและเขียน 25% การฟังเป็นส่วนประกอบสำคัญของการพูด ช่วยให้การพูดสมบูรณ์ บรรลุ จุดหมายด้วยการแสดงความสนใจ ความกระตือรือร้น และซักถามผู้พูดในสิ่งที่พูด การฟังเป็นบทเรียนของ การพูด ผู้ฟังได้สังเกตและวิจารณ์เพื่อปรับปรุงการพูดของผู้พูดและได้ศึกษาเรียนรู้ตัวอย่างแบบอย่างการ พูดอีกด้วย การฟังเป็นเครื่องมือแสดงพัฒนาการของเด็ก ถ้าเด็กมีความบกพร่องทางอารมณ์ มีความขุ่น ข้องสะเทือนใจ หรือมีความบกพร่องทางสังคม จะทำให้การฟังไม่สมบูรณ์ 5. การฟังเมื่อสัมพันธ์กับการพูด เป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาหมู่พวกการฟังว่าร่วมกับ ผู้คนจำนวนมาก ทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วมกัน พัชรินทร์ จันทร์ส่องแสง (2560 : 111) กล่าวว่า การฟังมีความสำคัญในการใช้เป็น เครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ช่วยผ่อนคลายความเครียดให้รู้สึกสนุกสนาน เพลิดเพลิน ซาบซึ้ง นิยม ชมชอบ เป็นส่วนประกอบสำคัญของการพูด ช่วยให้เข้าใจความรู้สึกและความต้องการของผู้พูด อนงค์ หมื่นสา (2553 อ้างถึงใน นิภา ดิษฐสุวรรณ, 2562 : 48) กล่าวว่า การฟังเป็น สิ่งที่เด็กปฏิบัติมาแล้ว ตั้งแต่เกิดเด็กรู้จักฟังก่อนที่จะพูดเป็นในระยะ 6 ปีแรกของชีวิตหูของเด็กจะทำงาน อย่างหนักในการรับฟังเมื่อเด็กมีอายุได้ 6 ปีเด็กจะเข้าใจถ้อยคำตั้งแต่ 2,500 กำถึง 24,000 คำ เมื่อเด็กเข้ามาโรงเรียน ย่อมมีโอกาสที่จะได้ฟังคนอื่นพูดอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะให้การฟังมีประสิทธิภาพดี ครูต้องช่วยฝึกด้วย โดยฝึกให้เด็กรู้จักฟังอย่างไตร่ตรอง เพราะการฟังเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง อรอนงค์ จันทวี (2556 : 31) กล่าวว่า การฟังเป็นทักษะที่มีความจำเป็นต่อ ชีวิตประจำวันของมนุษย์มาก เพราะมนุษย์ทุกคนต้องใช้ทักษะการฟังในการติดต่อความซึ่งกันและกัน การรับรู้ การเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างการฟังยังมีอิทธิพลต่อการพูดอย่างมาก เนื่องจากเป็น พื้นฐานในการพัฒนาการพูด ฐาปนี สิทธิเลิศ (2558 : 41) กล่าวว่า การฟังมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของเรา มาก เพราะในการติดต่อสื่อสารกันเราจำเป็นต้องฟัง รุ่งพนอ รักอยู่ (2559 : 11) กล่าวไว้ว่าการฟังมีความสำคัญอย่างยิ่ง เป็นทักษะที่ เกิดขึ้นก่อนทักษะการพูด หากไม่มีทักษะการฟัง เราจะไม่สามารพัฒนาทักษะการพูดได้ การสนทนา


40 จะประสบผลและครบกระบวนการสื่อสารได้นั้น ผู้ฟังต้องเข้าใจสิ่งที่ผู้พูดออกมา เมื่อสะสมตัวป้อนทาง ภาษามากพอและพร้อมที่จะพูดการพูดจึงเกิดขึ้น สรุปได้ว่า ความสำคัญของการฟัง การฟังนับเป็นจุดเริ่มต้นแรกที่นำไปสู่การพูด การอ่าน การเขียน และการดำเนินชีวิตประจำวัน เมื่อได้ฟังสิ่งต่าง ๆ สมองทำการเชื่อมโยงพิจารณาและ ตอบสนองต่อสิ่งที่ได้ยิน ซึ่งการได้ยินนับเป็นเครื่องมือแรกในการนำไปสู่การกระทำสิ่งต่าง ๆ เช่น การฟัง แล้วปฏิบัติตามคำสั่งได้ การฟังแล้วสามารถจับใจความเรื่องราวที่ฟังได้ 2.5.3 ประเภทของการฟังสำหรับเด็กปฐมวัย พัชรินทร์ จันทร์ส่องแสง (2560 : 112) แบ่งประเภทของการฟังตามรูปแบบการฟังได้ 3 ประเภท ได้แก่ การฟังโดยผู้ฟังไม่มีส่วนร่วมโดยตรงในกระบวนการสื่อสาร การฟังโดยผู้ฟังมีส่วนร่วม โดยตรงในกระบวนการสื่อสาร และการฟังประกอบการดู แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการฟัง ได้แก่ ฟังทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวัน การฟังเพื่อจําแนกเสียง การฟังเพื่อเป็นการพักผ่อน การฟังเพื่อจับสาระสำคัญ การฟัง เพื่อจับความคิด การฟังอย่างพินิจพิเคราะห์ และการฟังเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เช่น การฟังดนตรี และการแสดงต่าง ๆ รู้จักเลือกฟังสื่อในรายการที่ต้องการ ซึ่งอาจมีรายการที่ให้ความรู้ หรือให้ความ เพลิดเพลิน เป็นต้น กุสุมา รักษมณี และคณะ (2536 : 61 อ้างถึงใน จิรวัฒน์ เพชรรัตน์และอัมพร ทองใบ 2555 : 131-132) แบ่งประเภทการฟังออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. การฟังโดยมีการสื่อสารโต้ตอบระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร เป็นการสื่อสารที่ผู้พูด และผู้ฟังอาจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ การสื่อสารที่ไม่เป็นทางการ และการสื่อสารที่เป็นทางการ 1.1 การสื่อสารที่ไม่เป็นทางการ เป็นการพูดจาสนทนากันตั้งแต่บุคคลสองคนขึ้น ไป การสื่อสารประเภทนี้ ผู้ส่งสารกับผู้รับสารจะมีการได้ตอบกันและกัน การฟังต้องใช้วิจารณญาณ หรือ ฟังอย่างพินิจ ผู้ฟังต้องใช้ความคิด ตีความ วิเคราะห์ข้อความที่ฟังประเมินค่าสิ่งที่ฟังเพื่อใ ห้การ สนทนา โต้ตอบตรงกัน การสื่อสารจะต้องเลือกสรรถ้อยคำให้ตรงกับเรื่องราวที่ฟังที่พูดใช้ถ้อยคำสุภาพ เข้าใจง่าย มีมารยาทสื่อสารในสังคม จึงจะทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ 1.2 การสื่อสารที่เป็นทางการ เป็นการประชุมกลุ่มเล็ก ๆ เช่น การประชุม อภิปราย การประชุมวางแผนงาน การประชุมปรึกษาหารือ เป็นต้น ผู้ฟังจะต้องสามารถสรุปประเด็น สำคัญของการประชุม สรุปมติของที่ประชุมได้ ผู้ฟังต้องมีความอดทนที่จะฟังความคิดเห็น ฟังอย่างสงบ ด้วยความสุภาพ การฟังต้องพินิจใคร่ครวญความคิดเห็นที่ฟังการอภิปรายหรือแสดงความคิดเห็น ต้องตรงจุด การสื่อสารต้องมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจต่อกัน


41 2. การฟังโดยไม่มีการสื่อสารโต้ตอบระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร เป็นการสื่อสาร ทางเดียว เช่น การฟังเทศน์ การฟังปาฐกถา การโฆษณา การชี้แจงในที่ประชุม การฟังประเภทนี้เป็นการ ฟังในที่สาธารณะ ผู้ฟังต้องตั้งใจฟังหรือติดตามเรื่องราว ผู้ฟังไม่มีโอกาสโต้ตอบกับผู้ส่งสาร ผู้ฟังจะเป็น ผู้รับสารอย่างเดียว แต่บางครั้งผู้พูดอาจเปิดโอกาสให้ผู้ฟังอภิปรายหรือแสดงความคิดเห็น การฟังประเภท นี้จะได้รับข้อคิดความรู้และข้อเท็จจริง 3. การฟังจากสื่อสารมวลชน ได้แก่ การฟังจากวิทยุ โทรทัศน์ แถบบันทึกเสียง สื่อเหล่านี้เป็นการฟังทางเดียว ไม่สามารถโต้ตอบได้ ผู้ฟังต้องรู้จักเลือกฟังสื่อในรายการที่ต้องการ ซึ่งอาจ มีรายการที่ให้ความรู้ หรือให้ความเพลิดเพลิน เป็นต้น สรุปได้ว่า ประเภทการฟังแบ่งได้หลายประเภท แบ่งตามการใช้ประโยชน์ ได้แก่ ฟังเพื่อความบันเทิง ฟังเพื่อปฏิบัติตาม ฟังเพื่อเป็นข้อมูลความรู้ และแบ่งตามลักษณะการใช้เราฟังเพื่อ อะไร หรือแบ่งตามที่มาของการฟัง ได้แก่ การฟังในที่ชุมชน การฟังจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 2.5.4 แนวทางในการส่งเสริมการฟังสำหรับเด็กปฐมวัย ศศิธร เวียงวะลัย (2556 : 27) กล่าวว่า การจัดกิจกรรมเสริมสติปัญญา ได้แก่ 1. การใช้ภาษา เด็กอนุบาลจะใช้ภาษาได้ดี ชอบพูดหน้าชั้นต่อหน้าเพื่อน ๆ ครูควรจัด เวลาให้เด็กได้ฝึกพูดและฝึกเป็นผู้ฟังด้วยในขณะเดียวกัน 2. การสร้างเรื่อง เด็กสามารถสร้างเรื่องหรือแต่งเรื่องจากจินตนาการได้เป็นอย่างดีจึง ควรเสริมสร้างความสามารถสร้างสรรค์จากการคิดจินตนาการของเด็ก โดยอาศัยละครหรือนิทาน เรื่องเล่า ภาพวาดเป็นแบบ เด็กบางคนอาจมีมากจนแยกไม่ออกระหว่างเรื่องจริงและเรื่องที่แต่งขึ้น จนอาจทำให้ เกิดปัญหาด้านการปรับตัว ดังนั้นจึงควรกระตุ้นให้เด็กเล่าเรื่องต่าง ๆ ในขณะที่ครูต้องอธิบายเรื่องที่เป็น จริงประกอบด้วย 3. เด็กจะใช้ภาษาพูดของตนเอง การพยายามแก้ไขเป็นสิ่งที่ยากแต่เด็กจะเป็นไปตาม พัฒนาการทีละขั้น จนสามารถพัฒนาในขั้นที่ใช้ได้อย่างเหมาะสม 4. เด็กมีพัฒนาการความสามารถ ครูต้องมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กบ่อย ๆ ในรูปแบบต่าง ๆ กัน หายามสนใจในสิ่งที่เด็กพูดหรือทำให้โลกได้สำรวจและมีประสบการณ์ต่าง ๆ กระตุ้นให้เด็กทำ สิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองให้พบกับความสำเร็จ มีความคงที่ในการจำกัดขอบเขตของพฤติกรรม แสดงความ ชื่นชมและยกย่องในความสำเร็จ หาสื่อให้เด็กรู้ว่าครูและเพื่อน ๆ อีกด้วยวิธีที่จริงและอบอุ่นตลอดเวลา ชิตาพร เอี่ยมสะอาด (2553 : 140-142 อ้างถึงใน พัชรินทร์ จันทร์ส่องแสง 2560) กล่าวว่า


42 1. การใช้โดยการสอนการสอนภาษา และผู้เกี่ยวข้องกับเด็กมีบทบาทสำคัญในการจัด กิจกรรมและสิ่งแวดล้อมเพื่อพัฒนาทักษะการฟัง นั่นคือ ครูต้องคำนึงถึงหลักจิตวิทยาในการสอนทักษะ การฟังเพราะเด็กจะได้ฝึกฝนการฟังด้วยความสนุกสนานและมีความสุขในการเรียนรู้ เกิดการเรียนรู้สืบค้น ภาพมีและคติที่ดียังการฟัง 2. การเรียนโดยให้เด็กเป็นผู้กระทำด้วยตนเองการพัฒนาทักษะการฟังเด็กจะต้องเป็น ผู้ปฏิบัติด้วยตนเอง ครูเป็นเพียงผู้ส่งเสริมให้สถานการณ์สมบูรณ์ขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ทักษะการฟังควร ปรับเปลี่ยนบทบาทในฐานะผู้สอนมาเป็นผู้สังเกต ผู้ฟัง และอำนวยความสะดวกในการฝึกฟัง 3. การเลือกกลวิธีสอนการเลือกวิธีการสอนเพื่อฝึกทักษะการฟังครูควรคำนึงวิธีการ ดังต่อไปนี้ 3.1 การเลือกเนื้อหาควรเลือกเนื้อหาจากง่ายไปยาก เลือกจากสิ่งใกล้ตัวไปสู่สิ่งไกล ตัวเด็กที่สำคัญต้องเป็นสิ่งที่เด็กสนใจ โดยพิจารณาจากพื้นฐานความสามารถทางลักษณะการฟังของเด็ก และเริ่มจากจุดพื้นฐานของเด็ก 3.2 เน้นการปฏิบัติจริง กิจกรรมที่จัดขึ้นควรให้เด็กได้ฝึกปฏิบัติจริง ๆ ให้เรียนรู้ จากการกระทำ ดังคำกล่าวที่ว่า “Learning by Doing” เช่น เมื่อครูเล่านิทานให้เด็กฟังแล้วให้เด็กสนทนา ซักถามเกี่ยวกับนิทานบ้าง เพื่อครูจะได้ประเมินความจำความเข้าใจของเด็กจากเรื่องที่ฟัง 3.3 ประสบการณ์ที่จัดให้เด็กควรเป็นประสบการณ์ที่มีความหมายสอดคล้องกับ ประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของเด็ก ทั้งนี้เด็กจะได้เชื่อมโยงความคิดกับประสบการณ์เดิมทำให้เกิดการ เรียนรู้ได้ง่ายขึ้น จำได้นานยากแก่การลืม และเกิดความสุขในการปฏิบัติกิจกรรม เพราะเด็กจะรู้สึก ประสบผลสำเร็จในการทำกิจกรรม ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจ เป็นผลให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง (Self Esteem) และยินดีที่จะร่วมกิจกรรมต่อไป ดังตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ปกครองมีอาชีพสวนผลไม้ เช่น เงาะ มังคุด ทุเรียน เป็นต้น ครูพัฒนาทักษะการฟังด้วยการเล่าเรื่องการทำสวนผลไม้โดยให้เด็กมีส่วนร่วมใน การเล่า หรือให้เด็กฟังเพลงเกี่ยวกับผลไม้ เป็นต้น 3.4 ประสบการณ์ด้านการฟังควรจัดให้สอดคล้องกับประสบการณ์ด้านการพูด การอ่าน และการเขียน เพราะในชีวิตประจำวันคนเราต้องใช้ทักษะทางภาษาทั้ง 4 ทักษะไปพร้อม ๆ กัน ไม่แยกย่อย เช่น ครูให้เด็กฟังเสียงร้องของสัตว์พร้อมกับให้เด็กออกเสียงตามแล้วร่วมกันวาดรูปสัตว์นั้น ชนิดนั้น เป็นต้น 4. การจัดสภาพแวดล้อมอื่น ๆ นอกจากนี้การจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาทักษะ การฟัง ควรคำนึงถึงหลักการจัดสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ต่อไปนี้


43 4.1 การจัดที่นั่งให้เด็ก เช่น จัดให้นั่งในที่ที่เด็กสามารถได้ยินและสามารถมองเห็น ผู้พูด เพราะจะทำให้เด็กเข้าใจสิ่งที่ทำได้ง่ายขึ้น 4.2 การหาหัวเรื่องที่เด็กสนใจ เด็กแต่ละวัยมีความสนใจแตกต่างกัน การที่เด็กได้ ฟังสิ่งที่ตนสนใจจะทำให้เด็กตั้งใจฟัง มีสมาธิในการฟัง ทำให้การฟังนั้นมีความหมายกับเด็ก ก่อให้เกิดการ เรียนรู้จากการฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4.3 สร้างบรรยากาศให้เป็นกันเอง การพัฒนาทักษะการฟังบรรยากาศต้อง เป็นมิตร มีความอบอุ่น มีการให้กำลังใจ 4.4 การใช้สื่อประกอบกิจกรรมพัฒนาทักษะการฟัง ควรเป็นสื่อที่มีความ หลากหลาย ตื่นเต้น เร้าใจ ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้เด็กสนใจ ประกอบกับเป็นการตอบสนองการเรียนรู้ ตามธรรมชาติของเด็กที่ว่าเด็กเรียนรู้จากสิ่งที่เป็นรูปธรรมได้ดีกว่าสิ่งที่เป็นนามธรรม จะเห็นได้ว่า การพัฒนาทักษะการฟังที่ดีนั้น ควรยึดหลักการที่สำคัญ 4 ประการ คือ การใช้จิตวิทยาการสอน การเรียน โดยให้เด็กเป็นผู้กระทำการเลือกวิธีการสอนและการจัดสภาพแวดล้อม สรุปได้ว่า แนวทางในการส่งเสริมการฟังของเด็กปฐมวัย ควรพูดให้ชัดเจน เสียงดังพอ ที่เด็กจะได้ยิน ไม่ตะโกน และควรเป็นคำพูดที่เข้าใจง่าย และกระชับไม่พูดมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ เด็กไม่สามารถจับใจความได้ ด้วยเด็กปฐมวัยจะมีสมาธิได้ไม่นาน คำพูดที่ชัด ง่ายและกระชับ 2.6 ทักษะการพูด 2.6.1 ความหมายของการพูดสำหรับเด็กปฐมวัย พิมพาภรณ์ บุญประเสริฐ (2558 : 8) ให้ความหมายว่า การพูดเป็นพฤติกรรมการ แสดงออก เป็นหนังในหลาย ๆ วิธีของการสื่อสาร โดยอาศัยถ้อยคํา น้ำเสียง และท่าทาง ถ่ายทอด ความรู้ ความคิด ความรู้สึก และความต้องการ ด้วยจุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเพื่อให้ทราบ ให้เข้าใจ ให้ปฏิบัติตาม และก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึก จุฑา สุกใส (2545 อ้างถึงใน วนิดา โรจนอุดมศาสตร์, 2562 : 56 ) ได้กล่าวว่า การพูด หมายถึง การแสดงความรู้สึกจากการได้ฟังและการคิดแล้วสื่อออกมาให้ผู้อื่นได้เข้าใจ อาจเป็นการแสดง ความรู้สึกนึกคิด ความต้องการ ความรู้และประสบการณ์โดยการเปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคํา ซึ่งต้อง อาศัยกระบวนการต่าง ๆ ทำงานอย่างต่อเนื่องและประสานกัน คือ ขบวนการหายใจ ขบวนการเปล่งเสียง ขบวนการแปรเสียงและการกำหนดเสียงเพื่อให้ผู้ฟัง ๆ แล้วเข้าใจได้อย่างถูกต้อง ณภัทรสร จรจรัส (2551 อ้างถึงใน นิภา ดิษฐสุวรรณ, 2562 : 54) ได้กล่าวว่า การพูด หมายถึง การแสดงความรู้สึกจากการได้ฟังและการคิดและการสื่อออกมาให้ผู้อื่นได้เข้าใจอาจเป็นการ


44 แสดงความรู้สึกนึกคิดความต้องการความรู้และประสบการณ์โดยการดึงเสียงออกมาเป็นถ้อยคำ ซึ้งต้อง อาศัยกระบวนการต่าง ๆ ทำงานอย่างต่อเนื่องและประสานกันคือกระบวนการหายใจการเปลี่ยนเสียง ขบวนการแปลเสียงและการกำหนดเสียงเพื่อให้ผู้ฟัง ฟังแล้วเข้าใจอย่างถูกต้อง สรุปได้ว่า การพูด หมายถึง การใช้ถ้อยคำในการสื่อสาร เพื่อบอกชื่อสิ่งต่าง ๆ พูดให้ เหมาะกับสถานการณ์ การบอกความต้องการต่าง ๆ ของตนเองไปสู่บุคคลอื่น 2.6.2 ความสำคัญของของการพูดสำหรับเด็กปฐมวัย พิมพาภรณ์ บุญประเสริฐ (2558 : 9-10) กล่าวว่า มนุษย์อาศัยการพูดในการสื่อสาร เพื่อ ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต่อการอยู่ร่วมกันในสังคม การพูดจึงมีความสำคัญทั้งต่อการดำเนิน ชีวิตประจำวัน การสร้างและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การประกอบอาชีพ และการบริหาร จัดการองค์กร การพูดมีความสำคัญต่อมนุษย์ ดังนี้ 1. ความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน การพูดมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการ ดำเนินชีวิตประจำวัน ในกระบวนการสื่อสารในกิจกรรมต่าง ๆ นับตั้งแต่ตื่นนอน 2. ความสำคัญต่อการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เมื่อมนุษย์อยู่ รวมกันเป็นสังคม การดำรงกฎเกณฑ์ตลอดจนสถาบันทางสังคมไว้ส่วนหนึ่งก็ด้วยการสื่อสาร โดยเฉพาะ อย่างยิ่งการสื่อสารในรูปแบบของการสนทนาจะมีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้สร้างและรักษาความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคลกับบุคคล บุคคลกับกลุ่ม และหน่วยงานกับหน่วยงาน 3. ความสำคัญต่อการประกอบอาชีพ การพูดเป็นบุคลิกภาพที่สำคัญประการหนึ่งของ มนุษย์ การพูดเป็นการแสดงออกถึงภาพลักษณ์ของบุคคลซึ่งถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อการรับรู้ของ ผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่มีศิลปะในการพูด รู้ความควรและไม่ควรพูด พูดถูกจังหวะเวลา มีทักษะในการพูด เพื่อเล่าเรื่องอธิบาย จูงใจ ทั้งการสนทนาระหว่างบุคคลและการพูดกับกลุ่มชน ย่อมได้รับความเชื่อถืออยู่ ท่ามกลางการยอมรับและไว้วางใจ ส่งผลต่อความสำเร็จในอาชีพการงานด้วย 4. ความสำคัญต่อการบริหารจัดการองค์การ สัมพันธภาพที่ดีในองค์การเป็นจุดเริ่มต้น สำคัญของการติดต่อประสานงานและผลงานที่มีประสิทธิภาพ การพูดคือเครื่องมือพื้นฐานที่สำคัญ อันจะ ช่วยสร้างสัมพันธภาพของสมาชิกในองค์กร นำไปสู่ความร่วมมือกันในการทำงานต่อไป สมชาติ กิจยรรยง (2559 : 18) กล่าวว่า การพูดเป็นการถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ ความคิดเห็น หรือ ข้อคิดต่อผู้ฟัง โดยใช้เสียง ภาษา อากัปกิริยา ภาพ ฯลฯ เพื่อให้คนฟังรับรู้


45 พัชรินทร์ จันทร์ส่องแสง (2560 : 134) กล่าวว่า การพูดเป็นการสื่อสารที่สำคัญ ใช้ใน การถ่ายทอดความรู้ ความคิดเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจได้สะดวกและรวดเร็ว การพูดบ่งบอกสถานะ ศักยภาพ ความเป็นผู้นำ นิสัยและบุคลิกภาพของผู้พูดได้อีกด้วย การพูดที่ดีช่วยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ ผู้ฟังเกิดความ เชื่อมั่น ศรัทธา สร้างแรงบันดาลใจ โน้มน้าวใจผู้ฟังให้ยอมรับได้โดยง่าย ฉะนั้นการพูดจึงมีความสำคัญ ต่อชีวิตมนุษย์ตลอดเวลา สรุปได้ว่า ความสำคัญของการพูดเป็นการใช้ในการสื่อสาร ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ใช้ พูดบอกสิ่งต่างๆ และใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในการดำเนินชีวิตประจำวัน 2.6.3 ขั้นตอนการพูดของสำหรับเด็กปฐมวัย ศศิธร เวียงวะลัย (2556 : 27) กล่าวว่า ภาษาพูด พัฒนาการที่ชัดที่สุดของเด็กในวัยนี้ คือ พัฒนาการทางภาษาพูด เมื่ออายุประมาณ 2 ปี จะเริ่มใช้คำพูดแทนสิ่งต่าง ๆ เริ่มแรกเด็กจะพูดเป็นคำ คำเดียว ต่อมาภาษาของเขาจะพัฒนาเร็วมากจนอายุ 4 ปี เด็กจะพูดได้มากสามารถเข้าใจภาษาที่ผู้อื่นพูด เพียเจต์ (Piaget) สรุปจากการศึกษาภาษาของเด็กไว้ว่า ภาษาพูดของเด็กจะมี 2 ประเภท คือ ภาษาพูดแบบยึดตนเอง (Egocentric Speech) กับภาษาพูดแบบสื่อสังคม (Socialized Speech) โดยที่ภาษาพูดแบบยึดตัวเองเป็นภาษาที่ขาดการสื่อความหมายที่แท้จริง เด็กจะพูดกับผู้อื่นโดย ไม่ใส่ใจว่าผู้อื่นจะเข้าใจหรือไม่ หรือจะพูดโต้ตอบอะไร ส่วนภาษาพูดแบบสื่อสังคมนั้นเป็นภาษาพูดที่สื่อ ความคิดระหว่างเด็กกับผู้อื่น เพราะเด็กไม่เพียงแต่พูดหรือถามแต่เขายังสนใจว่าผู้อื่นคิดอย่างไร หรือ โต้ตอบอย่างไรต่อคำพูดของเขา เพียเจต์ ให้ข้อสังเกตว่า เด็กในขั้นก่อนการคิดแบบเหตุผล อายุประมาณ 2-4 หรือ 5 ปีจะใช้ภาษาพูดแบบยึดตนเอง เมื่ออายุได้ประมาณ 6-7 ปี จะใช้ภาษาพูดแบบสื่อสังคม จาลอนโก (2000 : 77 อ้างถึงใน สาวิตรี จันทร์โสภา, 2559 : 6-7) กล่าวว่า การพูด เป็นการสื่อสารที่ใช้เสียง กิริยาท่าทาง สีหน้า แววตา เพื่อใช้สื่อความหมายพัฒนาการด้านทักษะการพูด สามารถแบ่งได้เป็น 5 ขั้น ดังนี้ AKSI ขั้นที่ 1 ขั้นปฏิกิริยาสะท้อนหรือขั้นก่อนการพูด (Reflexive vocalization or Prelinguistic Stage) เป็นช่วงวัยแรกเกิดหรือวัยทารก เด็กใช้วิธีเปล่งเสียงสื่อสาร โดยการร้องไห้เมื่อ ต้องการให้ผู้อื่นตอบสนองความต้องการด้านร่างกายและส่งเสียงสะท้อนต่อสิ่งเร้าภายนอก เช่น รู้สึกเปียก รู้สึกร้อน หรือจากความรู้สึกภายใน เช่น หิว ไม่สบายตัว การส่งเสียงของเด็กวัยนี้ยังไม่เป็นภาษา ไม่มี ความหมายเป็นเสียงที่เปล่งออกมาจากลำคอโดยอัตโนมัติจากการเคลื่อนไหวของหลอดเสียงเป็น เสียง


46 ตามธรรมชาติไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ เด็กทุกชาติทุกภาษาหรือแม้แต่เด็กที่บกพร่องทางการได้ยินก็ สามารถออกเสียงได้เหมือนกัน ขั้นที่ 2 ขั้นเล่นเสียง (Babbling Stage) เป็นช่วงที่เด็กมีอายุ 1 เดือน 3 เดือน เด็กวัยนี้รู้จัก ใช้ริมฝีปากและลิ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพเริ่มสื่อสารด้วยการเล่นน้ำลาย ช่วงปลายของชั้นนี้ เด็กทำเสียงได้มากขึ้นส่วนใหญ่คือเสียง “” เสียงสระส่วนใหญ่เป็นสระหน้าและสระกลางสามารถฟัง เสียง ตนเอง และผู้อื่นได้ชัดขึ้นแต่ชอบฟังและเลียนเสียงตนเองมากที่สุด เด็กทำเสียงได้หลายเสียง เช่น เสียง หัวเราะ เสียงครางในลำคอ ช่วงท้ายของขั้นนี้เด็กใช้เสียงมีความหมายมากขึ้น เช่น ขัดขืน หรือเรียกร้อง ความสนใจ ขั้นที่ 3 ขั้นเล่นเสียงสูงต่ำ (Inflected Vocal Play) เป็นช่วงที่เด็กอายุ 8-12 เดือน การเล่นเสียงของเด็กวัยนี้จะมีเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ คล้ายคำถามสามารถเปล่งเสียงแสดงความดีใจ แปลกใจ โกรธ ทำเสียงพยัญชนะได้มากขึ้น เช่น มะ พะ ปะ และการเล่นเสียงยังดำเนินต่อไป ขั้นที่ 4 ขั้นเลียนเสียงผู้อื่น (Echolalia) เป็นช่วงที่เด็กอายุ 12-18 เดือนเลิก เลียนเสียงตนเองที่ไม่มีความหมาย แต่ชอบเลียนเสียงจากผู้ใหญ่หรือผู้อื่นที่อยู่รอบตัว เสียงจาก สิ่งแวดล้อม โดยเลียนเสียงที่ออกเสียงง่าย ๆ เป็นคำสั้น ๆ ถ้าทำเสียงแล้วได้รับความสนใจก็จะทำเสียง จะเชื่อมโยงเสียงนั้นกับคน วัตถุ หรือสถานการณ์ เด็กจะเริ่มเลียนเสียงของแม่ก่อน แล้วเลียนเสียงรอบข้าง ถ้าเด็กได้ตัวแบบที่ดีก็จะพูดได้ดี ถ้าได้ตัวแบบที่ใช้ภาษาไม่ถูกต้องก็จะใช้ภาษาไม่ถูกต้องไปด้วย ในขั้นนี้ เด็กจะเริ่มจากคำที่ได้ยินบ่อย ๆ เช่น แม่ พ่อ ชื่อตนเอง เข้าใจคำสั่งง่ายและจะพูดคำซ้ำๆ นักจิตวิทยา พบว่า การที่เด็กพูดซ้ำเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ตื่นเต้นกับกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ หรือพยายามเรียกร้อง ความสนใจจากผู้ใหญ่ เด็กบางคนเริ่มเชื่อมโยงค่าและความหมายของคำได้ เช่น เมื่อเห็นแมวจะบอกว่า “นี่แมว” เริ่มเชื่อมโยงภาพว่าสัตว์รูปร่างหน้าตาเช่นนี้ เรียกแมว ขั้นที่ 5 ขั้นพูดภาษาได้จริง (True Speech) ในขั้นนี้เด็กอายุ 18 เดือนขึ้นไป เริ่มพูดเป็นคำก่อน แล้วจึงหัดสร้างประโยคนำคำมาต่อเรียงกันได้แบบไม่มีกฎเกณฑ์เข้าใจคำศัพท์ประมาณ 20-50 คำ เริ่มเข้าใจคำถามง่าย ๆ ของผู้ใหญ่ สามารถทำท่าประกอบเสียง เมื่ออายุ 2 -25 ปี จะเรียนรู้ กฎเกณฑ์ในการเรียงคำเป็นประโยคเพื่อสื่อสารได้ถูกต้องมากขึ้น และรู้จักศัพท์หลายร้อยคำ ทั้งนี้ขึ้นอยู่ กับสิ่งแวดล้อมและการปฏิบัติของผู้ใหญ่ที่ดูแล ปฏิสัมพันธ์ที่ดีจะช่วยให้เด็กพัฒนามากขึ้น พัชรินทร์ จันทร์ส่องแสง (2560 : 138) กล่าวว่า เด็กมีพัฒนาการพูดเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะก่อนที่จะพูดเป็นคำซึ่งเป็นช่วงอายุแรกเกิดจนถึง 2 ขวบ เป็นขั้นการออกเสียงเพื่อสื่อ


47 ความหมายให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการและเริ่มพูดคำซ้ำ ระยะของการพูดเป็นช่วงอายุ 2 ขวบขึ้นไป ซึ่ง พัฒนาการทางด้านการพูดเป็นไปอย่างรวดเร็ว เด็กสามารถพูดคำที่มีความหมายได้มากขึ้น เรียนรู้คำศัพท์ ใหม่ ๆ ได้มากขึ้น และเมื่อเด็กอายุได้ประมาณ 5 ปี เด็กจะสามารถเข้าใจหลักไวยากรณ์ เรียนรู้การผูก ประโยคต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ในการพูดสื่อความหมาย ความคิด ความต้องการของ ๆ ตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ และเข้าใจได้เหมาะสมกับสถานการณ์ สรุปได้ว่า ขั้นตอนการพูดของเด็กปฐมวัย การพูดของเด็กจะพัฒนาไปตามอายุของเด็ก จากเริ่มแรกแต่ส่งเสียงอ้อแอ้ เมื่ออายุมากขึ้นก็จะพัฒนาเป็นคำศัพท์เป็นประโยคตามลำดับ 2.6.5 แนวทางในการส่งเสริมการพูดสำหรับเด็กปฐมวัย บุญทิพา เดชะทรงคุณ (2556 : 24) กล่าวว่า การจัดกิจกรรมที่สามารถส่งเสริมให้เด็ก มีพัฒนาการทางการพูดให้ดียิ่งขึ้นมีหลากหลายวิธี เช่น ท่องคำคล้องจอง การเล่านิทาน ร้องเพลง และการ เล่นเกมต่าง ๆ การพูดคุยกับเด็กแต่ละวิธีล้วนแล้วแต่ที่จะส่งเสริมพัฒนาการทางการพูดให้กับเด็ก พัชรินทร์ จันทร์ส่องแสง (2560 : 142-143) กล่าวว่า การส่งเสริมการพูดที่ดีควร ศึกษา รายละเอียดเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของการพูดและแนวทางในการส่งเสริมทักษะการพูดที่สอดคล้อง กับจุดมุ่งหมายสำหรับเด็กปฐมวัยแล้วการส่งเสริมทักษะการพูดมุ่งเพื่อให้เด็กกล้าแสดงความคิดเห็นด้วย การพูดโดยใช้คำพูดและน้ำเสียงที่เหมาะสมกับกาลเทศะและโอกาสให้รู้จักขอบคุณ ขอโทษ ให้พัฒนา ความสามารถในการบอกชื่อ อธิบาย จำแนกสิ่งต่าง ๆ ที่เด็กพบเห็นในสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น บอกสิ่งที่ เขาเห็น รู้สึก ได้ยิน ได้กลิ่น เป็นต้น และสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจความต้องการและความรู้สึกของตนเองได้ ซึ่งหลังจากที่ครูเข้าใจจุดมุ่งหมายของการพูดของ เด็กปฐมวัยแล้วสามารถพิจารณาเลือกแนวทางในการ ส่งเสริมทักษะการพูดด้วยวิธีการ ดังนี้ 1. อ่านนิทานหรือหนังสือ หรือเปิดเทปให้เด็กฟังบ่อย ๆ เพื่อให้เด็กได้ยินคำศัพท์ให้ มากที่สุด เพื่อเก็บสะสมข้อมูลแล้วนำไปใช้ส่งสารออก 2. สนทนากับเด็กพร้อมกับแสดงออกทางสีหน้า นั่นคือ ครูควรพูดคุยกับเด็กอย่าง สม่ำเสมอ ไม่ว่าจะทำอะไรควรอธิบายให้เด็กฟัง ขณะเดียวกันการพูดคุยควรจะให้สอดคล้องกับสีหน้า ท่าทางเพื่อเด็กจะได้เข้าใจความหมายง่ายขึ้น 3. ใช้คําถามกระตุ้นเด็กตอบ การกระตุ้นด้วยคำถามชนิดต่าง ๆ จะช่วยให้เด็กคิดและ ตอบออกมาในรูปของการพูด ดังนั้นในการจัดกิจกรรมควรใช้คำถามประกอบ เช่น กิจกรรมการเล่นเกม


48 ที่ใช้คำถาม เช่น เกมอะไรเอ่ย การเล่นบทบาทสมมติเป็นตัวละครต่าง ๆ การเล่นสมมติเกี่ยวกับการพูดเป็น ผู้ประกาศข่าว การแสดงเลียนแบบคนในอาชีพต่าง ๆ เป็นต้น 4. ฝึกพูดในกิจวัตรประจำวัน เช่น ในขณะทำอาหารอธิบายให้เด็กฟังสั้น ๆ ว่ากำลังทำ อะไร ทําไมจึงต้องทำสนทนาซักถามเด็กถึงกิจวัตรที่ทำ เป็นต้น 5. การเล่าประสบการณ์ ครูควรให้เด็กผลัดเปลี่ยนกันเล่าประสบการณ์ของตนโดยครู เป็นผู้ให้กำลังใจ คอยช่วยเหลือเมื่อเด็กเล่าไม่ได้ 6. การแสดงบทบาทของบุคคลใกล้ชิดในการส่งเสริมทักษะการพูด ควรปฏิบัติดังนี้ 6.1 พูดกับเด็กบ่อยๆ เพื่อกระตุ้นให้เด็กตอบสนองการพูดและเรียนรู้ภาษาพูดได้ เร็ว หรืออาจแสดงท่าทางประกอบการพูดด้วย 6.2 ให้รางวัลการสื่อสารของเด็กด้วยรอยยิ้ม การกอดรัด โอบอุ้ม และให้ความใส่ใจ ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้เด็กพูดเร็วขึ้น 6.3 แสดงความรักผ่านการสัมผัส ผ่านน้ำเสียง ซึ่งเป็นการส่งผ่านความผูกพัน ระหว่างกันกระตุ้นให้มีการพูดคุยในทุกวิถีทาง 6.4 การประสานสายตาระหว่างผู้พูดกับเด็กเพื่อช่วยให้เด็กรับทราบถึงความรัก ความสนใจความเอาใจใส่และความห่วงใยมีกำลังใจในการพูดสนทนา 6.5 ตอบสนองการพูดของเด็กด้วยความสนใจและตั้งใจฟัง จะเห็นได้ว่าแนวทางใน การส่งเสริมทักษะการพูดให้กับเด็กปฐมวัยนั้นจำเป็นต้องพิจารณา ให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการ พัฒนาการพูด ซึ่งปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมทักษะการพูดให้มี ประสิทธิภาพคือบทบาทของบุคคลใกล้ชิด ที่มีปฏิสัมพันธ์กับเด็ก สรุปได้ว่า แนวทางในการส่งเสริมการพูดของเด็กปฐมวัย มีหลายวิธี ซึ่งสามารถนำมา ปรับใช้ให้เหมาะสมได้ ทั้งการอ่านนิทาน การเล่าประสบการณ์ หรือการพูดกับตัวเด็กบ่อย ๆ เป็น แนวทาง ในการส่งเสริมการพูดสำหรับเด็กได้ 3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับนิทานสำหรับเด็กปฐมวัย 3.1 ความหมายของนิทานสำหรับเด็กปฐมวัย ความหมายของนิทาน มีหน่วยงาน และนักวิชาการหลายท่าน ได้กล่าวถึงความหมายของ นิทานไว้ได้ ดังนี้


49 วิไล มาศจรัส (2551 : 13 อ้างถึงใน ดวงหทัย คำวัง, 2554 หน้า 9) ได้กล่าวถึง ความหมายของนิทานไว้ว่าเป็นเรื่องเล่าสืบสานต่อกันมาถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งในหลาย อย่างของมนุษย์เป็นสิ่งที่มีความหมายและมีคุณค่า สุกันยา อินทร์นุรักษ์ (2553 : 35) กล่าวว่า นิทาน หมายถึง เรื่องราวหรือเรื่องเล่าที่มี การเล่าสืบต่อกันมาจากจินตนาการของผู้เขียน หรือผู้เล่าเรื่อง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อเล่าให้ ลูกหลานฟังในรูปสอนใจ หรือแนวปฏิบัติที่ถูกที่ควรในการดำรงชีวิต นิทานเป็นเรื่องที่เล่าสืบสานต่อ ๆ กัน มา ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งในหลายอย่างของมนุษย์เป็นสิ่งที่มีความหมาย มีคุณค่า ซึ่งนิทาน จะมีทั้งนิทานที่เล่าปากเปล่าและนิทานที่มีการเขียนการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร นิทาน หมายถึง เรื่องเล่าหรือเรื่องที่แต่งขึ้นใหม่ โดยใช้วิธีการเล่าเรื่อง หรือใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ประกอบในการเล่านิทานเพื่อ ความสนุกสนาน ให้คติสอนใจ และง่ายต่อความเข้าใจ ในเนื้อหาของนิทานที่ต้องการสื่ออกมา ทั้งนี้ในการเล่าเรื่องการเลือกนิทานหรือการใช้ภาษาควรคำนึงถึงวัยของผู้ฟัง จารุณี ศรีเผือก (2554 : 17) กล่าวว่า นิทาน หมายถึง เรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาเพื่อให้เด็ก เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินและความบันเทิง ซึ่งนิทานอาจเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องที่สมมติขึ้น ทำให้เด็ก เกิดจินตนาการจากเรื่อง ได้แง่คิดคติสอนใจ เด็กสามารถนำไปเป็นต้นแบบต่อการปฏิบัติตนใน ชีวิตประจำวัน และใช้ในอนาคตได้ ชุติมา ประจวบสุข (2556 : 31) กล่าวว่า นิทาน หมายถึง เรื่องที่เล่าสืบต่อกันมา เนื้อเรื่องของนิทานอาจเป็นเรื่องที่แสดงความคิด ความเชื่อ แฝงคุณธรรม ให้ความรู้ และสร้าง จินตนาการ ให้กับผู้ฟังนิทานจึงนับเป็นสื่อที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งในการส่งเสริมพัฒนาการทางภาษา และการเรียนรู้ ของเด็ก สรุปได้ว่า นิทาน หมายถึง เรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมา หรืออาจเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาใหม่ เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน ให้ความรู้สอดแทรกคติแนวคิดที่ดีมีคุณธรรม จริยธรรมที่พึงประสงค์ คติสอนใจ และให้ความรู้สร้างจินตนาการให้กับผู้อ่านและผู้ที่ได้ฟังนิทานเป็นสื่อที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง ในการเรียนรู้เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ฟังได้ประพฤติปฏิบัติตามถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งในหลาย อย่างของมนุษย์เป็นสิ่งที่มีความหมาย มีคุณค่า ซึ่งนิทานจะมีทั้งนิทานที่เล่าปากเปล่าและนิทานที่มีการ เขียนการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรโดยใช้วิธีการเล่าเรื่อง หรือใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ประกอบในการเล่า นิทาน เพื่อความสนุกสนาน ให้คติสอนใจ และง่ายต่อความ เข้าใจในเนื้อหาของนิทานที่ต้องการสื่อออกมา ทั้งนี้ในการเล่าเรื่องการเลือกนิทานหรือการใช้ภาษา ควรคำนึงถึงวัยของผู้ฟัง


50 3.2 ความสำคัญของนิทานสำหรับเด็กปฐมวัย นิทาน เป็นสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตเด็กช่วยให้เด็กมีความสุข ให้แง่คิดและคติสอนใจการจัด ประสบการณ์ให้เด็กโดยใช้นิทานเป็นสิ่งจําเป็น เพราะการเล่านิทานสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนา และเตรียมความพร้อมให้กับเด็ก ได้มีนักวิชาการกล่าวถึงความสำคัญของนิทานไว้หลายท่านดังต่อไป วิเชียร เกษประทุม (2557 : 9-10) ได้กล่าวถึงความสำคัญของนิทานว่ามีคุณค่าและมี ประโยชน์ ดังนี้ 1. นิทานให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน เป็นการผ่อนคลายความเครียดและช่วยให้เวลาผ่าน ไปอย่างไม่น่าเบื่อหน่าย 2. นิทานช่วยกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวเด็กบางคนอาจมองผู้ใหญ่ว่าเป็นบุคคลที่ ขี้บ่น ชอบดุด่า น่าเบื่อหน่ายหรือน่าเกรงขาม แต่ถ้าผู้ใหญ่มีเวลาเล่านิทานให้เด็กฟังบ้าง นิทานที่สนุก ๆ ก็ จะช่วยให้เด็กอยากอยู่ใกล้ชิดผู้ใหญ่ความเกรงกลัวหรือเบื่อหน่ายผู้ใหญ่ลง 3. นิทานให้การศึกษาและเสริมสร้างจินตนาการ 4. นิทานให้ข้อคิดและคติเตือนใจช่วยปลูกฝังคุณธรรมต่าง ๆ ที่สังคมพึงประสงค์ให้แก่ผู้ฟัง เช่น ให้ซื่อสัตว์ให้เชื่อผู้ใหญ่ให้พูดจาไพเราะอ่อนหวาน ให้มีความเอื้อเผื่อเผื่อแผ่ให้ขยันขันแข็ง เป็นต้น 5. นิทานช่วยสะท้อนให้เห็นสภาพของสังคมในอดีตในหลาย ๆ ด้าน เช่น ลักษณะของสังคม วิถีชีวิตของประชาชนในสังคม ตลอดจนประเพณีค่านิยมและความเชื่อ เป็นต้น นิทานเป็นสิ่งที่สำคัญ ต่อชีวิตทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนอกจากนิทานจะช่วยให้เด็ก ๆ มีความสุขสนุกหรรษาแล้วยังเป็นโลกแห่ง จินตนาการที่สมบูรณ์แบบที่คอยช่วยถักทอสายใยความรักความฝันสานสัมพันธ์ อันอบอุ่นความ ละมุนละไมในกลุ่มสมาชิกของครอบครัว อีกทั้งนิทานยังให้แง่คิดคติสอนใจและปรัชญาชีวิตอันรำลึก แก่เด็ก นิทานมีความสำคัญต่อพัฒนาการของเด็กดังนี้ 5.1 ช่วยพัฒนาเด็กทางด้านลักษณะชีวิต เด็กได้เรียนรู้ถึงลักษณะชีวิตที่ดีผ่านนิทานที่ ปรารถนาให้เด็กมีพฤติกรรมที่ดีเช่น มีคุณธรรมจริยธรรม มีความกล้าหาญ มีความยุติธรรม 5.2 การพัฒนาเด็กด้านบุคลิกภาพ บุคลิกภาพเป็นองค์ประกอบที่มีอยู่มากในนิทาน ซึ่งเด็กจะได้รับรู้ถึงบุคลิกภาพที่ดีที่จะช่วยให้อยู่ในสังคมได้อย่างดีเช่น ความเชื่อมั่น การรักษาตน ความสุภาพอ่อนน้อม ความมีมารยาทที่ดีความเป็นผู้นำ 5.3 การพัฒนาเด็กด้านความรู้และสติปัญญา 5.4 การพัฒนาเด็กในด้านทักษะและความสามารถ


51 5.5 การพัฒนาเด็กในด้านสุขภาพ นิทานเป็นกระบวนการหนึ่งที่กำหนดบทบาทในด้าน สุขภาพให้เกิดแก่เด็กเพราะเมื่อเด็กได้อ่านหรือฟังนิทานแล้วจะก่อให้เกิดการเรียนรู้ในการที่จะรักษา สุขภาพกายและสุขภาพจิตของตน เกริก ยุ้นพันธ์ (2557 : 55-56) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการเล่านิทาน 1. เด็ก ๆ หรือผู้ฟังจะเกิดความรู้สึกอบอุ่นและใกล้ชิด เป็นกันเองกับผู้เล่น 2. เด็ก ๆ หรือผู้ฟังจะเกิดความรู้สึกร่วมในขณะฟังทำให้เขาเกิดความเพลิดเพลินผ่อนคลาย และสดชื่นแจ่มใส 3. เด็ก ๆ หรือผู้ฟังจะมีสมาธิหรือความตั้งใจที่มีระยะเวลานานขึ้นหรือยาวขึ้น โดยเฉพาะ ผู้เล่าที่มีความสามารถในการดึงให้ผู้ฟังหรือเด็ก ๆ ใจจดจ่ออยู่กับเรื่องราวที่ผู้เล่า เล่าเรื่องที่มีขนาดยาว 4. เด็ก ๆ หรือผู้ฟังจะถูกกล่อมเกลาด้วยนิทานที่มีเนื้อหาส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรม ทำให้เด็ก ๆ และผู้ฟังเข้าใจในความดีและความงามยิ่งขึ้น 5. นิทานจะทำให้เด็ก ๆ หรือผู้ฟังมีความละเอียดอ่อน รู้จักการรับและการให้มองโลกในแง่ดี 6. นิทานจะทำให้เด็ก ๆ หรือผู้ฟังใช้กระบวนการคิดในการพิจารณาแก้ปัญหาได้ 7. นิทานสามารถสร้างความกล้าให้กับเด็ก ๆ หรือผู้ฟังโดยการแสดงออกผ่านกระบวนการ คิด ที่มีประสิทธิภาพ 8. เด็ก ๆ ผู้ฟังจะได้ความรู้ที่เป็นประโยชน์และสามารถประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้ 9. นิทานช่วยสร้างเสริมจินตนาการที่กว้างไกลไร้ขอบเขตให้กับเด็กหรือผู้ฟัง 10. นิทานสามารถช่วยให้เด็ก ๆ และผู้ฟังได้รู้จักการใช้ภาษาที่ถูกต้อง การออกเสียง การกระดกลิ้นตัว ร เรือ และ ล ลิงได้อย่างถูกต้องและเป็นธรรมชาติ สรุปได้ว่า ความสำคัญของนิทาน คือ นิทานให้ความเพลิดเพลิน สนุกสนานและผ่อนคลาย ความเครียด สร้างเสริมจินตนาการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม กระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว สะท้อนให้เห็นสภาพของสังคมในอดีตในหลาย ๆ ด้านช่วยพัฒนาเด็กทางคุณลักษณะชีวิตพัฒนา บุคลิกภาพของเด็ก พัฒนาด้านความรู้และสติปัญญา ทักษะและความสามารถทางภาษา 3.3 ประเภทของนิทานสำหรับเด็กปฐมวัย นิทานแบงออกเป็นหลายประเภท โดยการอาศัยวิธีกำหนดต่างกันออกไป ซึ่งได้มีผู้แบ่ง ประเภทของนิทานต่าง ๆ กันดังนี้


52 ชนาธิป บุบผามาศ (2553 : 18) กล่าวว่า ประเภทของนิทานแบ่งออกได้หลายประเภท โดยใช้หลักเกณฑ์การแบ่งที่ต่างกันไปตามรูปแบบและเนื้อหาของนิทาน สุกันยา อินทร์นุรักษ์ (2553 : 37) กล่าวว่า การจัดแบ่งประเภทของนิทานที่แตกต่างกัน ด้วยเพราะการศึกษาและสํารวจนิทานด้วยจุดมุ่งหมายและเกณฑ์ที่ต่างกัน อย่างไรก็ตามการศึกษาและ การสํารวจนิทานนี้ทําให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับนิทานมากมายและการจัดแบ่งประเภทของนิทาน ก็ทำให้ผู้ เล่าหรือนักเล่านิทาน ได้รับความสะดวกในการเลือกนิทานมาใช้และสามารถดัดแปลงแต่งเติมนิทานที่เล่า ให้สมบูรณ์และเหมาะกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการนําเสนอแก่ผู้ฟังได้อย่าง มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พัณณ์ชิตา สิรภัทรศรีเสมอ (2555 : 11) การแบ่งประเภทของนิทาน นิทานอาจแบ่ง อย่างกว้าง ๆ ออกได้เป็น 5 ประเภทดังนี้ 1. นิทานปรัมปรา (Finry tale) นิทานประเภทนี้มีลักษณะที่เห็นได้ชัด คือ เป็นเรื่อง ค่อนข้างยาวเป็นเรื่องสมมุติว่าเกิดขึ้นในที่ใดที่หนึ่งแต่สถานที่เลื่อนลอยไม่กำหนดชัดเจน เนื้อเรื่องจะ ประกอบด้วยอิทธิฤทธิ์ปฎิหารย์ ตลอดจนอํานาจต่าง ๆ อันพ้นวิสัยมนุษย์นิทานแบบนี้มีอยู่ทั่วไปในโลก ทั้งทางภาคตะวันออก และตะวันตก เป็นต้น 2. นิทานท้องถิ่น (Legend) นิทานชนิดนี้มีขนาดสั้นกว่านิทานปรัมปรา มักเป็นเรื่อง เหตุการณ์เดียวและเกี่ยวกับความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี โชคลาง หรือคตินิยม อันเป็นของพื้น บ้านเมืองนั่น เช่น นิทานประเภทอธิบาย นิทานที่เกี่ยวกับความเชื่อต่าง ๆ นิทานที่เกี่ยวกับสมบัติที่ฝัง เอาไว้นิทาน วีรบุรุษ นิทานคติสอนใจ นิทานเกี่ยวกับนักบวช 3. นิทานเทพนิยาย (Myth) นิทานประเภทนี้หมายถึงนิทานที่มีเทวดา นางฟ้า เป็นตัว บุคคลในเรื่อง เช่น เรื่องเมขลารามสูร ท้าวมหาสงกรานต์ 4. นิทานเรื่องสัตว์ (Animal tale) นิทานประเภทเรื่องสัตว์เป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วไป ตัวเอกของนิทานประเภทนี้จะเป็นสัตว์เสมอ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ นิทานเรื่องสัตว์ประเภท สอนคติธรรม (Fable) เช่น นิทานอีสป ชาดกต่างๆ ที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นสัตว์นิทานเรื่องสัตว์ ประเภทเล่าซ้ำหรือเล่าไม่รู้จบ (Cumulative tale) เช่น เรื่องยายกะดา 5. นิทานตลกขบขัน (Jests) นิทานประเภทนี้มักเป็นเรื่องสั้น ๆ จุดสำคัญของเรื่องอยู่ที่ ไม่น่าจะเป็นไปได้ต่าง ๆ อาจเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความโง่ กลโกง การพนัน ขันต่อ การแสดงปฏิพาน ไหวพริบ ตลอดจนการเดินทาง และการผจญภัยที่ก่อเรื่องผิดปกติในแง่ขบขันต่าง ๆ เช่น เรื่องสี่สหาย ศรีธนญชัย เป็นต้น สรุปได้ว่า ในการแบ่งประเภทของนิทานนั้นสามารถแบ่งได้หลายประเภท โดยใช้ หลักเกณฑ์การแบ่งที่แตกต่างกันตามรูปแบบและเนื้อหาของการเล่านิทาน


53 3.4 รูปแบบการเล่านิทานสำหรับเด็กปฐมวัย การเล่านิทาน ถ้าจะเล่าโดยการอ่านหรือการเล่าปากเปล่า โดยไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบ วิธีการเลยจะทำให้ความสนใจของเด็กลดลง ฉะนั้นควรมีทั้งรูปแบบและวิธีการที่จะช่วยให้บรรยากาศของ การฟังนิทานน่าสนใจยิ่งขึ้น เกริก ยุ้นพันธ์ (2539 : 36 – 55 อ้างถึงใน วรัญญา ศรีบัว, 2560 : 101) กล่าวถึง การเล่า นิทานมีรูปแบบและกระบวนการเล่าหลากหลาย แยกลักษณะการเล่าได้ดังนี้ 1. การเล่านิทานแบบปากเปล่า เป็นนิทานที่ผู้เล่าเรื่องจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่การ เลือกเรื่องให้เหมาะสมและสอดคล้องกับผู้ฟังนิทานปากเปล่า เป็นนิทานที่ดึงดูดและเร้าความสนใจของ ผู้ฟังด้วยน้ำเสียง แววตา และลีลาท่าทางประกอบของผู้เล่าที่สง่าและพอเหมาะพอดี 2. การเล่านิทานแบบเล่าไปวาดไป เป็นนิทานที่ผู้เล่าจะต้องมีประสบการณ์การเล่านิทาน แบบปากเปล่าอยู่ด้วยมากพอสมควร เพราะการเล่านิทานแบบปากเปล่ายังคงใช้ศิลปะการเล่าอย่างมีชัน เชิงในการเล่าอย่างเดิม แต่จะต้องเพิ่มการวาดรูปในขณะที่เล่าเรื่องราวด้วยรูปที่วาดออกมา อาจจะ สอดคล้องกับเรื่องราว หรือบางครั้งเมื่อเล่าเรื่องจบรูปที่วาดจะไม่สอดคล้องกับเรื่องที่เล่าเลยก็ได้ คือจะได้ ภาพใหม่เกิดขึ้น 3. การเล่านิทานแบบใช้สื่ออุปกรณ์ประกอบเป็นนิทานที่เล่า โดยใช้สื่อหรืออุปกรณ์ขณะที่เล่า เป็นนิทานที่ผู้เล่าจะต้องใช้สื่อที่จัดเตรียมหรือหามาเพื่อประกอบการเล่า เช่น การเล่านิทานโดยใช้สื่อ หนังสือ นิทานหุ่นนิ้ว นิทานหุ่นมือ นิทานหุ่นเชิด นิทานหุ่นชัก นิทานหุ่นกระบอก นิทานหุ่นกระดาษ นิทานเชือก นิทานผ้าเช็ดหน้า ฯลฯ เป็นต้น และในขณะที่เล่านิทานนี้อาจจะมีดนตรีประกอบ หรือผู้เล่า หาวัสดุอย่างง่ายมาทำเครื่องเคาะกำกับจังหวะ เพื่อประกอบการเล่าเพิ่มรสชาติให้สนุกสนานยิ่งขึ้น สื่อนิทานจะช่วยกระตุ้นเร้าความสนใจของผู้ฟังให้เกิดความสนใจในนิทานมากขึ้นด้วย กุลยา ตันติผลาชีวะ (2541 : 12–14 อ้างถึงใน วรัญญา ศรีบัว, 2560 : 101) ได้กล่าวถึง รูปแบบการเล่านิทาน ไว้ดังต่อไปนี้ 1. การเล่านิทานปากเปล่า เป็นการเล่าที่อาศัยเพียงคำพูดและน้ำเสียงการเล่าไม่มีการใช้สื่อ ประกอบการเล่า นอกจากน้ำเสียงและจังหวะการพูดที่สูง ต่ำ เร้าใจผู้ฟังตามเนื้อเรื่องที่นำเสนอการเล่าวิธี นี้ต้องใช้ศิลปะการพูดและการเล่าที่จูงใจมาก การเล่าไม่ควรนานเกิน 15 นาที 2. การเล่านิทานประกอบท่าทาง การเล่านิทานแบบนี้เป็นการเล่าที่มีชีวิตชีวามากกว่าการ เล่าปากเปล่า เพราะเด็กสามารถติดตามเรื่องที่เล่าได้ และจินตนาการเป็นรูปธรรมมากขึ้นตามท่าทางของ ผู้เล่าและสนุกมากขึ้น เพราะเห็นภาพพจน์ของเรื่องที่เล่า ท่าทางที่ใช้ประกอบการเล่านิทานอาจเป็น


54 ท่าทางของผู้เล่าแสดงร่วมกับเด็ก ได้แก่ การทำหน้าตาและแสดงท่าทางกายหรือการเล่นนิ้วมือประกอบ การเล่า 3. การเล่านิทานประกอบภาพ ภาพที่ใช้ประกอบการเล่านิทานมีหลายชนิด มีทั้งภาพ ถ่ายภาพโปสเตอร์ ภาพจากหนังสือภาพ ภาพวาด ภาพสไลด์ ภาพเคลื่อนไหว หรือภาพฉาย การมีภาพ สวย ๆ มาประกอบการเล่านิทานจะจูงใจเด็กและสร้างจินตนาการอันบรรเจิดให้กับเด็กมาก โดยเฉพาะ ภาพการ์ตูน ที่เคลื่อนที่ไปแต่ละลำดับภาพจะจูงใจ ทำให้เด็กได้ติดตามเรื่องราวด้วยความอยากรู้ เด็กจะ สนุกมากขึ้น ถ้าผู้เล่ากระตุ้นให้เด็กแสดงความคิดเห็น และร่วมสร้างจินตนาการให้กับนิทานที่เล่า 4. การเล่าประกอบเสียง ได้แก่ เสียงดนตรี แถบบันทึกเสียงต่าง ๆ สามารถนำมประกอบ การเล่านิทานได้ จุดประสงค์เพื่อสร้างบรรยากาศที่กระตุ้นเร้าให้เกิดความตื่นเต้น อยากติดตามประกอบ ในการเล่า เช่น เมื่อเล่าถึงรถไฟวิ่ง ผู้เล่าอาจชักชวนให้เด็กที่ฟังร่วมทำเสียงรถไฟวิ่ง ฉึ่ก ฉึ่ก ปู๊น ๆ ประกอบการเล่า ซึ่งอาจทำให้บรรยากาศฟังสนุกสนานไปอีกแบบ สรุปได้ว่า การเล่านิทานแต่ละครั้งของครูควรคำนึงถึงรูปแบบและวิธีการอยูเสมอเพื่อเร้า ความสนใจของเด็ก กอใหเกิดประสิทธิภาพในการเล่ายิ่งขึ้น 3.5 ประโยชน์ของนิทานสำหรับเด็กปฐมวัย ธนิยา สายตำลึง (2565 : 49 ) นิทานเป็นสื่อเชื่อมโยงความรักใคร่ความใกล้ชิดระหว่างพ่อแม่ กับลูก ครูกับศิษย์บรรณารักษ์กับเด็ก ๆ ที่มาใช้ห้องสมุด ทำให้เด็กเกิดความรู้สึกอบอุ่น เกิดความเชื่อมั่น ในตนเอง รู้สึกตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ดังนี้ 1. นิทานช่วยปลูกฝังให้เด็กเป็นคนช่างคิดและช่างสังเกต ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสร้างเด็กให้มี ความมั่นใจ 2. นิทานช่วยกระตุ้นจินตนาการของเด็ก น้ำเสียงที่ใช้ในการเล่านิทานให้เด็กฟังจะช่วย เสริมสร้างจินตนาการ การเล่านิทานบ่อยๆ จะทำให้เด็กฝึกการสร้างสรรค์จินตนาการที่แปลกใหม่ และกว้างไกล 3. นิทานสร้างความสัมพันธ์ที่ดี 4. นิทานเสริมาร้างสมาธิ ช่วงเวลาของฟังนิทานเด็กจะตั้งใจฟังอย่างตั้งใจ 5. นิทานช่วยบ่มคุณธรรม จริยธรรมให้กับเด็ก นิทานส่วนใหญ่จะสอดแทรกคุณธรรมทักษะ ชีวิตและข้อคิดดีๆ ไว้ในเนื้อเรื่องหรือตอนท้ายของเรื่องทำให้เด็กได้ตระหนักถึงคุณงามความดีและสิ่ง เหล่านี้จะติดตัวลูกไปจนโต


55 พรทิพย์วินโกมินทร์ (2542 : 5-6) ได้กล่าว ถึงความสำคัญและประโยชน์ของนิทานที่มีต่อ เด็ก ดังนี้ 1. ช่วยยั่วยุให้เด็กเกิดความสนใจ อยากอ่านหนังสือ ทำให้เด็กรักการอ่าน 2. ทำให้เด็กสนุกสนาน เพลิดเพลิน เกิดความหวัง สบายใจ ให้ความอบอุ่น ทางใจ 3. ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิต นิทานบางเรื่องช่วยให้เด็กยอมรับความจริงในชีวิตมาก ขึ้น เช่น คนดีอาจกลายเป็นคนไม่ดีระยะหนึ่ง และคนไม่ดีอาจกลับตัวเป็นคนดีได้ หรือคนมั่งมี อาจจะจน ลงในพริบตา ถ้าหากไม่รู้จักใช้เงินทอง ฯลฯ 4. ช่วยเสริมสร้างอุปนิสัยที่ดี เช่น เด็กบางคนที่มีใจคอคับแคบ ตระหนี่เห็นแก่ตัว อาจจะกลับ เป็นคนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมตตากรุณา มีน้ำใจกว้างขวางขึ้น นิทานบางเรื่องอาจช่วยให้เด็กเป็นคนมอง โลกในแง่ดี เชื่อว่ามีความยุติธรรมอยู่ในโลก ช่วยให้เด็กพูดจาไพเราะและเหตุผลมากขึ้น รู้จักอดทน รอคอยในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง 5. ช่วยเสริมสร้างจินตนาการแก่เด็ก ทำให้เด็กอยากเป็นคนเก่งกล้าอยากทำความดีเพราะทำ ความดีแล้วจะได้รับผลตอบแทนในความดีนั้น 6. ช่วยคลี่คลายปัญหาและซ่อมเสริมสภาพเด็ก เช่น เด็กบางคนเป็นคนช่างคิด เก็บตัว ไม่กล้า แสดงออกจะได้กล้าแสดงออกเป็นกันเองบ้าง 7. ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่ากับผู้ฟัง เช่น ครูกับนักเรียน นักเรียนจะมี ความรู้สึกคุ้นเคยกับครู สนิทสนมเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น เป็นการสร้างพื้นฐานในการฟัง ฝึกการมีสมาธิ ในการฟัง ฝึกให้เด็กรู้จักการติดตามเรื่อง และฟังรู้เรื่องอันจะเป็นผลดีแก่เด็กเมื่อโตขึ้นสามารถฟังครูรู้เรื่อง และอ่านหนังสือจับใจความได้ฝึกให้เด็กสามารถถ่ายทอดเรื่องได้ ระยะแรก ๆ ครูอาจใช้วิธีถามแนะ และให้เด็กตอบ เพื่อให้เด็กสามารถตอบคำถามเป็น เมื่อเด็กโตขึ้นจะได้รู้จักวิธีการตอบข้อสอบได้ กอบกมล ทบบัณฑิต (2548 : 4-5) ได้กล่าวถึงการเล่านิทานมีประโยชน์ในการส่งเสริม พัฒนาการเด็ก ดังต่อไปนี้ 1. ส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ –จิตใจ ในขณะที่ครูเล่านิทาน เด็กจะอยู่ใกล้ชิดกับครู เป็นการถ่ายทอดความรู้ ความอบอุ่น สร้างความคุ้นเคย เด็กจะเกิดความรู้สึกมั่นคงไว้วางใจครู ช่วยลด ความตึงเครียดแก่เด็ก หากครูให้โอกาสเด็กมีส่วนร่วมในการเล่านิทานจะช่วยให้เด็กกล้าแสดงออก อนึ่งความสนุกสนานเพลิดเพลินที่เด็กได้รับจากการฟังนิทานจะสร้างความสุขให้แก่เด็ก ช่วยชดเชยความ เศร้าความกังวลใจจากการพลัดพรากจากผู้ปกครองของเด็กได้ และยังช่วยให้เด็กนอนหลับอย่างเป็นสุข ด้วย นอกจากนี้ในยุคที่พ่อแม่มีเวลาให้เด็กน้อย นิทานจึงมีความจำเป็นสำหรับเด็กมากขึ้น ในแง่ของการ ชดเชยความต้องการในส่วนที่เด็กไม่ได้รับจากพ่อแม่ได้บ้าง


56 2. ส่งเสริมพัฒนาการทางสังคม เด็กได้เรียนรู้สภาพแวดล้อมรอบตัวจากการเล่านิทาน เช่น บทบาทของตัว ละครการสื่อสารกับผู้อื่น มารยาท วินัยการเคารพกฎเกณฑ์หรือข้อตกลงคลอดจน คุณธรรมต่าง ๆ ในการอยู่ร่วมกัน เป็นต้น 3. ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา นิทานมีประโยชน์ต่อการส่งเสริมพัฒนาการด้าน สติปัญญาและภาษามาก เพราะนิทานช่วยให้เด็กสร้างจินตนาการถ่ายทอดจินตนาการออกมาทาง กิจกรรมต่าง ๆ ช่วยให้เด็กสังเกตและจดจำเรื่องราว สะสมคำและความหมายของคำ ทำให้พัฒนาการทาง ภาษาพัฒนาการอย่างรวดเร็วฝึกทักษะการฟังการพูด และส่งเสริมการอ่าน ทำให้เกิดนิสัยรักการอ่าน เป็นต้น 4. ส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย ในขณะที่เด็กฟังครูเล่านิทาน หากครูสอดแทรกเทคนิค การเล่านิทานให้เด็กมีส่วนร่วม เช่น การเล่นนิ้วมือการแสดงท่าทางประกอบนิทาน การเล่นบทบาทสมมุติ หลังกิจกรรม ควรเล่านิทานทำให้เด็กได้พัฒนา และควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ใน ร่างกายได้ สรุปได้ว่า นิทานมีคุณค่าต่อเด็กปฐมวัยคือ ช่วยเสริมอารมณ์จิตใจเด็กให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ให้แนวทางในการแก้ไขพฤติกรรมอันไม่พึงปรารถนาได้รวมถึงการพัฒนา ในด้านสติปัญญา ที่เกี่ยวกับให้ข้อคิด คติเตือนใจ ภาษาการใช้จินตนาการความคิดสร้างสรรค์ 3.6 กิจกรรมนิทานเป็นฐาน นิทาน หมายถึง นิทานที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมให้กับเด็กปฐมวัย ชั้นปีที่ 1-2 ซึ่งใช้เกณฑ์ในการสร้างนิทาน ดังนี้ 1. เนื้อเรื่องของนิทานมีความเหมาะสมกับวัยของกลุ่มเป้าหมายอายุ 3 – 4 ปี 2. ภาพในนิทานมีความไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย มีความเหมาะสมกับวัยของเด็ก 3. ภาพในนิทานมีความสอดคล้องกับบริบทสังคมของเด็ก 4. เนื้อเรื่องในนิทานมีความสอดคล้องกับหน่วยการเรียนรู้ ซึ่งผู้วิจัยได้สร้างนิทาน ทั้งหมด 2 เรื่อง ได้แก่ เรื่องที่ 1 ต้นไม้ที่รัก เรื่องที่ 2 สัตว์น่ารัก การดำเนินการจัดกิจกรรม โดยดำเนินการจัดกิจกรรมตามขั้นตอนต่อไปนี้ 1) ขั้นนำ เป็นการนำเข้าสู่ บทเรียนเพื่อเตรียมความพร้อม 2) ขั้นการใช้นิทาน เป็นการทดลองใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน 3) ขั้นสรุป ทักษะการฟังและการพูด เป็นการสรุปทักษะที่ได้จากการทำกิจกรรม


57 กระบวนการสร้างนิทาน 1. คิดชื่อนิทานทั้ง 2 เรื่องให้มีความสอดคล้องกับหน่วยการเรียนรู้ 2. คิดเนื้อเรื่องนิทาน 3. สร้างตัวละครผ่านโปรแกรม Canva 4. ค้นหาฉากเพื่อเลือกรูปภาพที่สอดคล้องกับเนื้อเรื่องนิทาน 5. เมื่อสร้างรูปภาพของนิทานเสร็จแล้ว จากนั้นใส่เนื้อหาของนิทานลงไปทีละหน้าให้ สอดคล้องกับรูปภาพ ผ่านโปรแกรม Canva 6. เข้าสู่กระบวนการทำให้เป็นเล่มนิทาน นอกจากการเล่านิทานแล้ว ยังมีกิจกรรมที่ต่อยอดมาจากนิทานเป็นฐานที่ให้เด็กปฐมวัยได้ เรียนรู้เกี่ยวกับทักษะการฟังและการพูด จากการลงมือปฏิบัติจริงใน 10 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมที่ 1 การปลูกต้นหอม กิจกรรมที่ 2 ดอกไม้กระดาษบานในน้ำ กิจกรรมที่ 3 เก็บผักกันเถอะ กิจกรรมที่ 4 ตกแต่งต้นไม้จากเศษวัสดุธรรมชาติ กิจกรรมที่ 5 ทานตะวันดุ๊กดิ๊ก กิจกรรมที่ 6 หน้ากากสัตว์น่ารัก กิจกรรมที่ 7 บ้านของแพนกวิน กิจกรรมที่ 8 หุ่นนิ้วมือสัตว์น่ารัก กิจกรรมที่ 9 ฟังซิ นี่คือสัตว์อะไร กิจกรรมที่ 10 กระต่ายน้อยโยกเยก 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1 งานวิจัยในประเทศ กมลรัตน์ พ่วงศิริ และพัทธนันท์ วงษ์วิชยุตม (2561) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะ ความสามารถของทักษะการฟังและการพูด โดยการจัดการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมการเล่านิทาน ของ นักเรียน ชั้น อนุบาล 2/3 โรงเรียนวัดคูยาง ผลการวิจัยพบว่า เมื่อเปรียบเทียบคะแนนการพัฒนา ทักษะด้านการ พูดและการฟังระหว่างก่อนและหลังการจัดกิจกรรมพบว่าพัฒนาทักษะด้านการพูด และการฟังที่ได้รับการ สอนโดยใช้แผนการจัดประสบการณ์กิจกรรมการเล่านิทาน หลังสอนสูงกว่า ก่อนสอนอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .01


58 รอฮันนี เจะเลาะ (2561) ได้ศึกษาเกี่ยวกับ การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดของเด็ก ปฐมวัย โดยการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ที่ใช้นิทานประกอบภาพ ผลการวิจัยพบว่า การจัดกิจกรรม เสริมประสบการณ์ที่ใช้นิทานประกอบภาพ สามารถช่วยพัฒนาทักษะการฟังและการพูด ของเด็กปฐมวัย ได้ เนื่องจากลำดับขั้นตอนในการจัดกิจกรรมที่เหมาะสม ใช้สื่อนิทานประกอบภาพ ที่มีประสิทธิภาพ สามารถนำมาใช้กระตุ้น และแรงจูงใจให้เด็กเกิดความสนใจในบทเรียน สนุกสนานในการร่วมกิจกรรม ต่าง ๆ ร่วมกับครูผู้สอน จึงช่วยให้เด็กเกิดพัฒนาการและมีทักษะใน การฟังและการพูดสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้อง กับหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย กรมวิชาการกำหนดว่าสื่อและแหล่งการเรียนรู้เป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ช่วยให้ ครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึกและเพิ่มขึ้นทักษะให้แก่เด็ก 4.2 งานวิจัยต่างประเทศ มอรโรว์ (Morrow, 1993 ; อ้างอิงใน ศุภมาส หวานสนิท, 2559 : 50) ได้ทำการวิจัย ผลการเล่านิทานแบบเล่าเรื่องซ้ำโดยไม่มีการชี้แนะในระดับเด็กวัยอนุบาลอายุเฉลี่ย 5 ปี 7 เดือน ผู้วิจัย และผู้ช่วยแบ่งเด็กออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม วิธีดำเนินการวิจัย ผู้วิจัยและผู้ช่วย วิจัยเล่านิทานเรื่องเดียวกันให้เด็กฟัง ในช่วงเวลาเล่านิทานปกติหลังเล่านิทานให้กลุ่มควบคุมวาดภาพจาก เรื่องที่ฟังและกลุ่มทดลอง เล่าเรื่องซ้ำให้ครูฟังเป็นรายบุคคลไม่มีระดับ 0.5 วิค (Wicke, 1992 อ้างถึงใน Dolzhykova, 2014) ได้ทำการศึกษาเรื่องการใช้นิทานใน การ สอนภาษาเยอรมันกับเด็กปฐมวัย ที่ประเทศแคนาดา ผลการวิจัยพบว่านิทานเป็นสื่อที่ทำให้เกิด ประสิทธิภาพทางเรียนอย่างดียิ่ง กล่าวคือมีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญระหว่างคะแนนการสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียน นักเรียนให้การตอบสนองและร่วมกิจกรรมทางภาษาจากการเล่านิทาน ผล คะแนนและการประเมินทางด้านพฤติกรรมการเรียนชี้ให้เห็นว่า นักเรียนชื่นชอบ และเพลิดเพลินกับการ เล่านิทาน การเรียนและการเขียนเรื่อง นอกจากนี้นิทานยังเป็นสื่อที่ส่งเสริม พัฒนาทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียนอีกด้วย


59 บทที่ 3 วิธีการดำเนินวิจัย การศึกษาวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 โรงเรียนบ้านสาคอ จังหวัดยะลา มีวัตถุประสงค์1) เพื่อหาประสิทธิภาพของ การจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐานที่มีต่อทักษะการฟังและการพูดของนักเรียนตามเกณฑ์มาตรฐาน E1/E2 เท่ากับ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการฟังและการพูดของนักเรียนที่ใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทาน เป็นฐาน โดยมีวิธีการดำเนินการวิจัยตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. กลุ่มตัวอย่าง 2. ตัวแปรที่ศึกษา 3. แบบแผนการวิจัย 4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 5. การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ 6. การรวบรวมข้อมูล 7. การวิเคราะห์ข้อมูล 1.กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชาย–หญิง ที่มีอายุระหว่าง 3-4 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ ชั้นอนุบาลปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านสาคอ จังหวัดยะลา จำนวนนักเรียน ทั้งหมด 10 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 2. ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรต้น ได้แก่ กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ตัวแปรตาม ได้แก่ ทักษะการฟังและการพูด 3 แบบแผนการวิจัย รูปแบบการวิจัย คือ ศึกษากลุ่มเดียว วัดก่อนและหลังการทดลอง (One-group pretestposttest design)


60 ตารางที่ 13 แบบแผนการวิจัย กลุ่ม สอบก่อน(Pretest) ทดลอง สอบหลัง(Posttest) E O1 X O2 เมื่อ E แทน กลุ่มทดลอง O1 แทน ทดสอบทักษะการฟังและการพูด ก่อนการจัดกิจกรรม X แทน แผนการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐาน O2 แทน ทดสอบทักษะการฟังและการพูด หลังการจัดกิจกรรม 4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้มีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยดังนี้ 1. แผนการจัดกิจกรรมนิทานเป็นฐาน ประกอบด้วยนิทานจำนวน 2 เรื่อง ได้แก่ นิทาน เรื่อง ต้นไม้ที่รัก และนิทานเรื่อง สัตว์น่ารัก ซึ่งผู้วิจัยใช้ในการจัดกิจกรรม 10 กิจกรรม 2. แบบบันทึกการสังเกตทักษะการฟังและการพูด (ก่อนและ หลังการจัดกิจกรรม) 3. แบบบันทึกการสังเกตทักษะการฟังและการพูด (ระหว่างการจัดกิจกรรม) 4. แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ที่มีต่อกิจกรรมนิทาน เป็นฐาน 5. การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ 5.1. แผนการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน มีขั้นตอนการสร้างดังนี้ 5.1.1 การสร้างนิทาน 1. ออกแบบนิทานหาภาพประกอบและจัดทำนิทานขึ้นมาให้มีความเหมาะสมกับระดับ ความสามารถของนักเรียน ทำให้ได้นิทานภาพ 2 เรื่อง ได้แก่ ต้นไม้ที่รัก และสัตว์น่ารัก 2. ลงมือปฏิบัติ โดยสร้างตัวละครผ่านโปรแกรม Canva ของนิทานทั้ง 2 เรื่อง 3. นำไปให้อาจารย์ที่ปรึกษา ตรวจสอบคุณภาพของนวัตกรรมนิทานเพื่อให้ได้ ข้อเสนอแนะสำหรับปรับปรุง แก้ไขนวัตกรรมให้เหมาะสมกับการจัดการเรียนรู้กับนักเรียน 4. นำไปให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านตรวจสอบคุณภาพของนวัตกรรมนิทานเพื่อให้ได้ ข้อเสนอแนะสำหรับปรับปรุง แก้ไขนวัตกรรมให้เหมาะสมกับการจัดการเรียนรู้กับนักเรียน 5. นำข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญไปปรับปรุง แก้ไขนวัตกรรม และนำไปใช้กับนักเรียน ตามกลุ่มเป้าหมาย


61 5.1.2 การออกแบบแผนการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐาน 1. ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กับการส่งเสริมทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน 2. วิเคราะห์กรอบแนวคิดในการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูด โดยใช้ กิจกรรมนิทานเป็นฐาน 10 กิจกรรม ตารางที่ 14 วิเคราะห์การใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน 3. กำหนดจุดมุ่งหมายในการสร้างแผนการจัดกิจกรรม โดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดของนักเรียน แผน ที่ กิจกรรม นิทาน ทักษะการฟัง ทักษะการพูด การฟังและ ตอบคำถาม จากนิทาน การพูดแสดง ความคิดเห็น เกี่ยวกับนิทาน การพูดเล่าเรื่อง จากประสบการณ์ ในชีวิตประจำวัน 1 การปลูกต้นหอม ต้นไม้ที่รัก สัตว์น่ารัก 2 ดอกไม้กระดาษบานใน น้ำ 3 เก็บผักกันเถอะ 4 ตกแต่งต้นไม้จากเศษวัสดุ ธรรมชาติ 5 ทานตะวันดุ๊กดิ๊ก 6 หน้ากากสัตว์น่ารัก 7 บ้านของแพนกวิน 8 หุ่นนิ้วมือสัตว์น่ารัก 9 ฟังซิ นี่คือสัตว์อะไร 10 กระต่ายน้อยโยกเยก


62 4. จัดทำแผนการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูด โดยใช้กิจกรรมนิทาน เป็นฐานจำนวน 10 แผน 5. นำแผนการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูด โดยใช้กิจกรรมนิทานเป็น ฐานที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา 6. นำแผนการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูด โดยใช้กิจกรรมนิทานเป็น ฐานที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (หาค่า IOC) 7. นำแผนการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูด โดยใช้กิจกรรมนิทานเป็น ฐานที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญมาปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนํา 8. นำแผนการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูด โดยใช้กิจกรรมนิทานเป็น ฐาน มีจำนวน 10 แผน ที่ปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้วไปจัดทำเป็นฉบับสมบูรณ์ เพื่อนำไปดำเนินการจัด กิจกรรมให้กับนักเรียน จำนวน 10 วัน 5.2 แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมทักษะการฟังและการพูด (ก่อนและ หลังการจัดกิจกรรม) 1. ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กับการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน 2. กำหนดจุดมุ่งหมายในการสร้างแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรม (ก่อนและหลังการจัด กิจกรรม) การจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน 3. สร้างแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรม (ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม) การใช้กิจกรรม นิทานเป็นฐานเพื่อ พัฒนาทักษะการฟังและการพูด ประจำแผนการจัดประสบการณ์ ซึ่ง 1 แผน มี 1 แบบบันทึก 4. ให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบความถูกต้องและปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของ อาจารย์ที่ปรึกษา 5. นำแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมการใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะ การฟังและการพูดที่สร้างขึ้น ให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (หาค่า IOC) และปรับปรุงแก้ไขตามข้อแนะนําจากผู้เชี่ยวชาญ 6. นำแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมการใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะ การฟังและการพูดที่ปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้วไปจัดทำเป็นฉบับสมบูรณ์ เพื่อไปบันทึกพฤติกรรม เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดก่อนและหลังการจัดกิจกรรม


63 5.3 แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมทักษะการฟังและการพูด (ระหว่างการจัดกิจกรรม) 1. ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กับการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน 2. กำหนดจุดมุ่งหมายในการสร้างแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรม (ระหว่างการจัด กิจกรรม) การจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน 3. สร้างแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรม (ระหว่างการจัดกิจกรรม) การใช้กิจกรรมนิทาน เป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด ประจำแผนการจัดประสบการณ์ ซึ่ง 1 แผน มี 1 แบบบันทึก 4. ให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบความถูกต้องและปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของ อาจารย์ที่ปรึกษา 5. นำแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมการใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะ การฟังและการพูดที่สร้างขึ้นให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (หาค่า IOC) และปรับปรุงแก้ไขตามข้อแนะนําจากผู้เชี่ยวชาญ 6. นำแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมการใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะ การฟังและการพูดที่ปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ไปจัดทำเป็นฉบับสมบูรณ์ เพื่อนําไปบันทึกพฤติกรรมการ ใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดระหว่างการจัดกิจกรรม 5.4 แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อกิจกรรมนิทานเป็นฐาน 1. กำหนดวัตถุประสงค์ของการสร้างแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ กิจกรรมนิทานเป็นฐาน 2. กำหนดแผนผังการสร้างแบบประเมินความพึงพอใจตามประเด็นที่ต้องการสอบถาม ความพึงพอใจจำนวน 5 ข้อ และกำหนดระดับความพึงพอใจ 3 ระดับ 3. ร่างแบบประเมินตามประเด็นที่กำหนดไว้ในแผนผังการสร้างแบบประเมิน 4. จัดพิมพ์แบบประเมินความพึงพอใจฉบับร่าง 5. ให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบความถูกต้องและปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของ อาจารย์ที่ปรึกษา 6. ตรวจสอบคุณภาพแบบประเมินความพึงพอใจ โดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านและปรับปรุง แก้ไขตามข้อแนะนําจากผู้เชี่ยวชาญ 7. จัดพิมพ์แบบประเมินความพึงพอใจฉบับสมบูรณ์ และจัดทำสำเนาเพื่อนําไปใช้เก็บ รวบรวมข้อมูล


64 8. ดำเนินการสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน หลังจากการจัดกิจกรรม 6. การรวบรวมข้อมูล 6.1 ก่อนการจัดกิจกรรม Pretest 1. นำกิจกรรมนิทานเป็นฐานไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 10 คน นำแบบบันทึกการ สังเกตพฤติกรรมทักษะการฟังและการพูดก่อนกิจกรรมไปวัดและประเมินผล แล้วบันทึกผลการสังเกต พฤติกรรม (ก่อนการจัดกิจกรรม) 6.2 ระหว่างการจัดกิจกรรม 1. ดำเนินการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ซึ่งมีจำนวน 10 แผน ให้แก่กลุ่ม ตัวอย่างจำนวน 10 คน 2. ผู้วิจัยใช้แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมทักษะการฟังและการพูด (ระหว่างการจัด กิจกรรม) บันทึกผลการสังเกตพฤติรรมของนักเรียนขณะจัดกิจกรรม โดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานเป็น รายบุคคลทุกกิจกรรมทั้ง 10 กิจกรรม 6.3 หลังการจัดกิจกรรม Posttest 1. ผู้วิจัยดำเนินการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ซึ่งเป็นชุดเดียวกันกับก่อน การจัดกิจกรรมกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 10 คน แล้วนำแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมทักษะการฟังและ การพูดหลังกิจกรรมไปวัดและประเมินผลการสังเกตพฤติกรรม (หลังการจัดกิจกรรม) แล้วนำคะแนนที่ได้ ไปวิเคราะห์ข้อมูล 2. หลังการจัดกิจกรรม ผู้วิจัยให้กลุ่มตัวอย่างประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการจัด กิจกรรมโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานเป็นรายบุคคล 7. การวิเคราะห์ข้อมูล 1. ผู้วิจัยนำผลการสังเกตทักษะการฟังและการพูดทั้งก่อนและหลังการจัดกิจกรรม ของกลุ่มเป้าหมายแต่ละคนมาวิเคราะห์เชิงสถิติ ค่าเฉลี่ย (X) ̅̅̅ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) เพื่อนำไป วิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างต่อไป 2. ได้นำผลคะแนนสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมโดยใช้ กิจกรรมนิทานเป็นฐานที่มีต่อทักษะการฟังและการพูดของกลุ่มเป้าหมายแต่ละคนมาวิเคราะห์เชิงสถิติ ค่าเฉลี่ย (X) ̅̅̅ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D)


65 3. ผู้วิจัยได้มีการนำผลรวมคะแนนของผู้เชี่ยวชาญหาค่าเฉลี่ย โดยผู้วิจัยใช้การวิเคราะห์ ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยใช้โปรแกรม (Excel) ในการวิเคราะห์หาค่าสถิติครั้งนี้ 3.1 หาค่าดัชนีความสอดคล้อง 3.2 หาค่าประสิทธิภาพของเครื่องมือตามเกณฑ์มาตรฐาน E1/E2 เท่ากับ 80/80 3.3 การวิเคราะห์ทดสอบสมมติฐานด้วยค่า (t-test) โดยข้อมูลสัมพันธ์กัน 3.4 ผู้วิจัยนำผลคะแนนทั้งหมดจากการใช้เครื่องมือเก็บข้อมูลนำมาสรุปผล การวิเคราะห์ 3.5 เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วน ผู้วิจัยนำข้อมูลมาเขียนรายงานการวิจัย 7.1 สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล 7.1.1 สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของเครื่องมือ 1. การหาค่าความสอดคล้องของความเหมาะสมของกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมนิทาน เป็นฐานเพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูด แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมก่อนและหลังการจัด กิจกรรม แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมระหว่างการจัดกิจกรรม และแบบสอบถามความพึงพอใจ (IOC) ให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ตรวจเป็นลักษณะการพิจารณา 3 ประเด็น คือ เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย และไม่แน่ใจ ว่าประเด็นนั้น ๆ วัดได้เหมาะสมหรือไม่ โดยกำหนดคะแนนคือ +1 หมายถึง เห็นด้วย 0 หมายถึง ไม่เห็นด้วย -1 หมายถึง ไม่แน่ใจ แล้วนำข้อมูลที่ได้จากการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ หาค่าความ (Index of Item - Objective Congruence หรือ IOC) เมื่อ R แทน ผลรวมของคะแนนการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ คะแนนที่ได้มากกว่า 0.50 แสดงว่าใช้ได้ หากไม่ถึง 0.50 ต้องปรับปรุงแก้ไขตาม คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ สูตร IOC = R N


66 7.1.2 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. ค่าร้อยละ (Percentage) ใช้สูตรการคำนวณดังนี้ เมื่อ P แทน ร้อยละ F แทน ความถี่ต้องการแปลงเป็นร้อยละ เมื่อ P แทน ร้อยละ F แทน ความถี่ต้องการแปลงเป็นร้อยละ N แทน จำนวนความถี่ทั้งหมด 2. ค่าเฉลี่ยของคะแนน (Mean) ใช้สูตรการคำนวณดังนี้ (ชูศรี วงศ์รัตนะ , 2544 : 35 อ้างถึงใน พรรณี นิลสุวรรณ์ , 2555 : 58) เมื่อ x̅ แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ∑ x แทน ผลรวมคะแนนทั้งหมด n แทน จำนวนกลุ่มเป้าหมาย 3. การหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สูตรการคำนวณ ดังนี้ เมื่อ S.D. แทน ความเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนน ∑ x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด ∑ x 2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวยกกำลังสอง n แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มทดลอง สูตร x̅ = ∑ x n สูตร P = F N × 100 สูตร S.D. = √ n ∑x 2 − (∑x)2 n(n − 1)


67 4. การเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังการจัดกิจกรรม โดยใช้ค่า (T-test) แบบ ชนิดข้อมูลสัมพันธ์กัน (T-test Dependent) ตามสูตรดังต่อไปนี้ เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่ใช้พิจารณาใน t - distribution D แทน ผลต่างระหว่างคะแนนทดสอบก่อนและหลังการใช้ กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ∑ D แทน ผลรวมผลต่างระหว่างคะแนนทดสอบก่อนและหลัง การใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ∑ D 2 แทน ผลรวมผลต่างระหว่างคะแนนทดสอบก่อนและหลัง การใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน (∑ D) 2 แทน ผลรวมผลต่างระหว่างคะแนนทดสอบก่อนและหลัง การใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมด 5. หาประสิทธิภาพของเครื่องมือทักษะการฟังและการพูด โดยใช้กิจกรรมนิทาน เป็นฐานให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ค่า E1/E2 เท่ากับ 80/80 80 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่เด็กได้จากแบบบันทึก พฤติกรรมของนักเรียนการจัดกิจกรรม ซึ่งเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ E1 คำนวณได้จากสูตร สูตร t= ∑ D √ N ∑ D2−(∑ D) 2 N−1 สูตร E1 = ∑ x N ×100 A


68 เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ ∑ x แทน คะแนนรวมของแบบบันทึกพฤติกรรมระหว่างการ ทดลอง A แทน คะแนนเต็มของแบบบันทึกพฤติกรรมระหว่างการ ทดลอง N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมด 80 ตัวหลัง หมายถึง ผลรวมของคะแนนที่ได้จากแบบบันทึกพฤติกรรมของ นักเรียนซึ่งเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ E2 คำนวณได้จากสูตร เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ∑ x แทน คะแนนรวมของแบบบันทึกพฤติกรรมหลังการจัด กิจกรรม B แทน คะแนนเต็มของแบบบันทึกพฤติกรรมหลังการจัด กิจกรรม N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมด 7.1.3 การแปลค่าเฉลี่ยความพึงพอใจ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.51 – 3.50 หมายความว่า มีความพึงพอใจมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.51 – 2.50 หมายความว่า มีความพึงพอใจปานกลาง ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.00 – 1.50 หมายความว่า มีความพึงพอใจน้อย สูตร E2 = ∑ x N ×100 B


69 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 โรงเรียนบ้านสาคอ จังหวัดยะลา ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตามลำดับ ดังนี้ 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าและกำหนดความหมายของสัญลักษณ์ในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้เกิด ความเข้าใจตรงกันในการสื่อความหมายของข้อมูล ดังนี้ N แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง X̅ แทน ค่าเฉลี่ย (Mean) S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standar Deviation) D̅แทน ค่าเฉลี่ยผลต่างของคะแนนก่อนและหลังการจัดกิจกรรม SD แทน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนผลต่าง E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการแผนการจัดกิจกรรม E2 แทน ประสิทธิภาพด้านผลลัพธ์ของแผนการจัดกิจกรรม T แทน สถิติทดสอบที่ใช้ในการเปรียบเทียบค่าวิกฤตในการแจกแจงแบบ t Sig. แทน ค่าระดับนัยสำคัญทางสถิติ * แทน ค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับขั้นตอนต่อไปนี้ ขั้นตอนที่ 1 วิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของเครื่องมือวิจัย ขั้นตอนที่ 2 วิเคราะห์หาค่าประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐาน ตามเกณฑ์มาตรฐาน E1/E2 เท่ากับ 80/80


70 ขั้นตอนที่ 3 วิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อนและหลังการ จัดกิจกรรม โดยใช้สูตร t-test ชนิดข้อมูลสัมพันธ์กัน ขั้นตอนที่ 4 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ขั้นตอนที่ 1 วิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้องเชิงผู้เชี่ยวชาญ ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญ และวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหาค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญทางด้านการศึกษาปฐมวัย จำนวน 3 ท่าน โดยผลการ วิเคราะห์ในแต่ละเครื่องมือวิจัยปรากฏผล ดังนี้ ตารางที่ 15 ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญต่อแผนการจัดกิจกรรม การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานของเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 แผนการจัดกิจกรรมโดยใช้ กิจกรรมนิทานเป็นฐาน นิทาน ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญ ผลรวมของ คะแนน R IOC แปลผล คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 กิจกรรมที่ 1 การปลูกต้นหอม ต้นไม้ที่รัก +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ กิจกรรมที่ 2 ดอกไม้กระดาษบานในน้ำ +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ กิจกรรมที่ 3 เก็บผักกันเถอะ +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ กิจกรรมที่ 4 ตกแต่งต้นไม้จากเศษวัสดุ ธรรมชาติ +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ กิจกรรมที่ 5 ทานตะวันดุ๊กดิ๊ก +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ กิจกรรมที่ 6 หน้ากากสัตว์น่ารัก สัตว์น่ารัก +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ กิจกรรมที่ 7 บ้านของแพนกวิน +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ กิจกรรมที่ 8 หุ่นนิ้วมือสัตว์น่ารัก +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ กิจกรรมที่ 9 ฟังซิ นี่คือสัตว์อะไร +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ กิจกรรมที่ 10 กระต่ายน้อยโยกเยก +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้


71 ค่าดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดกิจกรรม การพัฒนาทักษะการฟังและการพูด โดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานของเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 IOC = ∑ = = 1 จากตารางที่15 ค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญต่อแบบประเมินแผนการจัดกิจกรรมการ พัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานของเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ค่าดัชนีความ สอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญเท่ากับ 1.00 มากกว่า 0.5 เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน สามารถนำไปใช้กับกลุ่ม ตัวอย่างได้ ตารางที่ 16 ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญต่อแบบบันทึกการสังเกต พฤติกรรมทักษะการฟังและการพูดของนักเรียนก่อนและหลังการการจัดกิจกรรม ค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมมทักษะการฟังและการพูด ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 (ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม) IO C = ∑ = = 1 แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมทักษะ การฟังและการพูดของนักเรียน (ก่อนและหลังการการจัดกิจกรรม) ความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญ ผลรวมของ คะแนน R IOC แปลผล คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 ทักษะการฟัง 1. การฟังและตอบคำถามจากนิทาน +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ ทักษะการพูด 2.การพูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนิทาน +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 3.การพูดเล่าเรื่องจากประสบการณ์ใน ชีวิตประจำวัน +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้


72 จากตารางที่ 16 ค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญต่อแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรม ทักษะการฟังและการพูดของนักเรียนก่อนและหลังการการจัดกิจกรรม ค่าดัชนีความสอดคล้องของ ผู้เชี่ยวชาญเท่ากับ 1.00 มากกว่า 0.5 เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน สามารถนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างได้ ตารางที่ 17 ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญต่อแบบบันทึกการสังเกต พฤติกรรมทักษะการฟังและการพูดของนักเรียนโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานระหว่างการจัดกิจกรรม แผนการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทาน นิทาน ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญ ผลรวมของ คะแนน R IOC แปลผล คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 กิจกรรมที่ 1 การปลูกต้นหอม ต้นไม้ที่รัก +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ กิจกรรมที่ 2 ดอกไม้กระดาษบานในน้ำ +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ กิจกรรมที่ 3 เก็บผักกันเถอะ +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ กิจกรรมที่ 4 ตกแต่งต้นไม้จากเศษวัสดุ ธรรมชาติ +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ กิจกรรมที่ 5 ทานตะวันดุ๊กดิ๊ก +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ กิจกรรมที่ 6 หน้ากากสัตว์น่ารัก สัตว์น่ารัก +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ กิจกรรมที่ 7 บ้านของแพนกวิน +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ กิจกรรมที่ 8 หุ่นนิ้วมือสัตว์น่ารัก +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ กิจกรรมที่ 9 ฟังซิ นี่คือสัตว์อะไร +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ กิจกรรมที่ 10กระต่ายน้อยโยกเยก +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ ค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมการจัดกิจกรรม (ระหว่างการจัดกิจกรรม) IOC = ∑ = = 1


73 จากตารางที่ 17 ค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญต่อแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรม การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ระหว่าง การจัดกิจกรรม ค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญเท่ากับ 1.00 มากกว่า 0.5 เป็นไปตามเกณฑ์ มาตรฐาน สามารถนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างได้ ตารางที่ 18 ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญต่อแบบประเมิน ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ที่มีต่อทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ข้อ รายการประเมิน ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญ ผลรวมของ คะแนน R IOC แปลผล คนที่ 1คนที่ 2คนที่ 3 1 เด็กชอบกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐาน +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 2 เด็กมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ กิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐาน +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 3 เด็กมีการโต้ตอบเกี่ยวกับทักษะการฟังและ การพูดอย่างสนุกสนาน +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 4 นิทานมีความสอดคล้องกับกิจกรรม +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 5 เด็กอยากให้ครูสอนโดยใช้กิจกรรมแบบนี้ใน ครั้งต่อไป +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ ดัชนีความสอดคล้องของแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐาน IOC = ∑ = = 1


74 จากตารางที่ 18 ค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญต่อแบบประเมินความพึงพอใจของ นักเรียนที่มีต่อทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ค่าดัชนี ความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญเท่ากับ 1.00 มากกว่า 0.5 เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน สามารถนำไปใช้กับ กลุ่มตัวอย่างได้ ขั้นตอนที่ 2 วิเคราะห์หาค่าประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟัง และการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ตามเกณฑ์มาตรฐาน E1/E2 เท่ากับ 80/80 ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลผลการทดลองและวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหาประสิทธิภาพของ การจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐานที่มีต่อทักษะการฟังและการพูดของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ปรากฏผลดังนี้ ตารางที่ 19 ค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยผลการสังเกตพฤติกรรมระหว่างและหลังการจัดกิจกรรม การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1เลขที่ 1-10 คะแนนระหว่างการจัดกิจกรรม (E1 ) (กิจกรรมละ 6 คะแนน) รวม (60คะแนน) คะแนนหลัง (E2 ) (10 คะแนน) กิจกรรมที่ 1 กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมที่ 3 กิจกรรมที่ 4 กิจกรรมที่ 5 กิจกรรมที่ 6 กิจกรรมที่ 7 กิจกรรมที่ 8 กิจกรรมที่ 9 กิจกรรมที่ 10 รวม 55 52 54 55 59 52 51 51 54 54 537 94 ค่าเฉลี่ย 5.50 5.20 5.40 5.50 5.90 5.20 5.10 5.10 5.40 5.40 53.70 9.40 ร้อยละ 55.00 55.00 52.00 55.00 59.00 52.00 51.00 51.00 54.00 54.00 94.00 E1 = 89.50 E2 = 94.00 ประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐานที่มีต่อ ทักษะการฟังและการพูดของนักเรียน E1/ E2 = 89.50/94.00 จากตารางที่ 19 พบว่า ประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐานที่มีต่อทักษะการ ฟังและการพูดของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ค่า E1/ E2 เท่ากับ 89.50 / 94.00 สอดคล้องกับเกณฑ์ มาตรฐานที่กำหนด E1/ E2 เท่ากับ 80/80 นั่นคือ การจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดย ใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ระหว่างการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟัง และการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 89.50 ซึ่งมากกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด


75 และผลการประเมินหลังการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 94.00 ซึ่งมากกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด แสดงว่าเป็นไปตามสมมติฐาน ตารางที่ 20 แสดงประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐานที่มีต่อทักษะการฟัง และการพูดของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ตามเกณฑ์มาตรฐานค่า E1/E2 เท่ากับ 80/80 จากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 10 คน ประสิทธิภาพ จำนวนนักเรียน (n) คะแนนเต็ม คะแนนเฉลี่ย () ̅̅̅ ร้อยละ ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1 ) 10 5.37 53.70 9.40 ประสิทธิภาพของผลลัพธ์(E2 ) 10 10 9.40 94.00 จากตารางที่ 20 พบว่า ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1 ) เท่ากับ 89.50 และมีประสิทธิภาพ ของผลลัพธ์ (E2 ) เท่ากับ 94.00 เมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานค่า E1/E2 เท่ากับ 80/80 จะเห็นได้ว่า ประสิทธิภาพแผนการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยได้ศึกษาและพัฒนาขึ้น ซึ่งมีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 89.50/94.00 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ขั้นตอนที่ 3 วิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อนและหลัง การจัดกิจกรรม โดยใช้สูตร T-test ชนิดของข้อมูลสัมพันธ์กัน (T-test dependent) ตารางที่ 21 ผลการวิเคราะห์ค่าของคะแนน ก่อน – หลังการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟัง และการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน จากตารางที่ 21 พบว่า ก่อนการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรม นิทานเป็นฐาน มีคะแนนเฉลี่ย (X) ̅̅̅ เท่ากับ 5.50 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) มีค่าเท่ากับ 0.71 เลขที่ 1-10 ผลการวิเคราะห์ค่าของคะแนนก่อน – หลัง การจัดกิจกรรม คะแนน ก่อนเรียน (10 คะแนน ) คะแนน หลังเรียน (10 คะแนน) ̅ รวม 55 94 39 157 ค่าเฉลี่ย (X) ̅̅̅ 5.50 9.40 3.90 15.70 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 0.71 0.70 0.74 5.85


76 หลังการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน (X) ̅̅̅ เท่ากับ 9.40 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) มีค่าเท่ากับ 0.70 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐานซึ่งเป็นไปตาม สมมติฐาน ตารางที่ 22 ผลการวิเคราะห์ t – test ของคะแนนก่อน – หลังการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะ การฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ใช้สูตร t-test dependent กลุ่มทดลอง จำนวน นักเรียน (N) ค่าเฉลี่ย () ̅̅̅ ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) ̅ () t-test Sig. ก่อนการจัด กิจกรรม 10 5.50 0.71 0.74 5.85 14.92 .00 หลังการจัด กิจกรรม 10 9.40 0.70 * มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากตารางที่ 22 พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ย (X) ̅̅̅ ของคะแนนก่อนการจัดกิจกรรมเท่ากับ 5.50 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.71 และหลังการจัดกิจกรรมมีค่าเฉลี่ย (X) ̅̅̅ ของคะแนนเท่ากับ 9.40 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.70 เมื่อเปรียบเทียบคะแนนความต่าง มีค่าเฉลี่ย (D) ̅̅̅ เท่ากับ 0.74 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนเฉลี่ยผลต่าง (SD) เท่ากับ 5.85 และเมื่อทดสอบค่าที่ (t-test dependent ) ชนิดข้อมูลสัมพันธ์กัน เท่ากับ 19.92 Sig .00 สรุปได้ว่า หลังการจัดกิจกรรม นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ที่มีต่อการพัฒนาทักษะการฟังและการพูด หลังการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการ จัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


77 ขั้นตอนที่ 4 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ตารางที่ 23 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ที่มีต่อการใช้กิจกรรม นิทานเป็นฐาน ข้อ รายการประเมินความพึงพอใจ ค่าเฉลี่ย () ̅̅̅ ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) ระดับ 1 เด็กชอบกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐานหรือไม่ 3.00 0.00 มาก 2 เด็กมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้กิจกรรม โดยใช้นิทานเป็นฐาน 3.00 0.00 มาก 3 เด็กมีการโต้ตอบเกี่ยวกับทักษะการฟังและการ พูดอย่างสนุกสนาน 2.90 0.30 มาก 4 นิทานมีความสอดคล้องกับกิจกรรม 2.80 0.40 มาก 5 เด็กอยากให้ครูสอนโดยใช้กิจกรรมแบบนี้ในครั้ง ต่อไป 3.00 0.00 มาก รวม 2.94 0.14 มาก จากตารางที่ 23 พบว่า เด็กชอบกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐาน อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย (X) ̅̅̅ เท่ากับ 3.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.00 เด็กมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้กิจกรรม โดยใช้นิทานเป็นฐาน อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย (X̅) เท่ากับ 3.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.00 เด็กมีการโต้ตอบเกี่ยวกับทักษะการฟังและการพูดอย่างสนุกสนาน อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย (X̅) เท่ากับ 2.90 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.30 นิทานมีความสอดคล้องกับกิจกรรม อยู่ใน ระดับมาก มีค่าเฉลี่ย (X̅) เท่ากับ 2.80 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.40 รองลงมา คือ เด็ก อยากให้ครูสอนโดยใช้กิจกรรมแบบนี้ในครั้งต่อไป อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย (X̅) เท่ากับ 3.00 ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.00


78 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การศึกษาวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 โรงเรียนบ้านสาคอ จังหวัดยะลา มีวัตถุประสงค์1) เพื่อหาประสิทธิภาพของ การจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐานที่มีต่อทักษะการฟังและการพูดของนักเรียนตามเกณฑ์มาตรฐาน E1/E2 เท่ากับ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการฟังและการพูดของนักเรียนที่ใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทาน เป็นฐาน ผู้วิจัยดำเนินการศึกษาวิจัยตามขั้นตอนดังนี้ 1. กลุ่มตัวอย่าง 2. ตัวแปรที่ศึกษา 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. สถิติในการวิเคราะห์ 6. สรุปผลการวิจัย 7. อภิปรายผล 8. ข้อเสนอแนะ 1.กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชาย–หญิง ที่มีอายุระหว่าง 3-4 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ ชั้นอนุบาลปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านสาคอ จังหวัดยะลา จำนวนนักเรียน ทั้งหมด 10 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 2. ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรต้น ได้แก่ กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ตัวแปรตาม ได้แก่ ทักษะการฟังและการพูด


79 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้มีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยดังนี้ 1. แผนการจัดกิจกรรมนิทานเป็นฐาน ประกอบด้วยนิทานจำนวน 2 เรื่อง ได้แก่ นิทานเรื่อง ต้นไม้ที่รัก และนิทานเรื่อง สัตว์น่ารัก ซึ่งผู้วิจัยใช้ในการจัดกิจกรรม 10 กิจกรรม 2. แบบบันทึกการสังเกตทักษะการฟังและการพูด (ก่อนและ หลังการจัดกิจกรรม) 3. แบบบันทึกการสังเกตทักษะการฟังและการพูด (ระหว่างการจัดกิจกรรม) 4. แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 ที่มีต่อกิจกรรมนิทานเป็นฐาน 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ดำเนินการในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 เวลาในการทดลอง 10 ครั้ง จำนวน 10 กิจกรรม กลุ่มตัวอย่างได้รับการทดลองทั้งสิ้น 10 ครั้ง 10 กิจกรรม ระหว่าง เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2566 ถึง เดือน กันยายน พ.ศ. 2566 ดังนี้ 1. ประเมินสังเกตทักษะการฟังและการพูดของนักเรียน ในการจัดกิจกรรมนิทานเป็นฐาน โดยใช้ แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมของทักษะการฟังและการพูดก่อนการจัดกิจกรรม (Pre-test) 2. ดำเนินการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน วันละ 1 กิจกรรม และสังเกตทักษะการ ฟังและการพูดของนักเรียน ระหว่างการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐาน ให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการ สนทนาโต้ตอบ และใช้แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมของทักษะการฟังและการพูดระหว่างการจัด กิจกรรมทุกครั้ง 3. ศึกษาทักษะการฟังและการพูดของนักเรียน ในการจัดกิจกรรมนิทานเป็นฐานโดยใช้แบบ บันทึกการสังเกตพฤติกรรมของทักษะการฟังและการพูดหลังการจัดกิจกรรม (Post-test) 4. ประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมนิทานเป็นฐาน โดยใช้แบบประเมิน ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมนิทานเป็นฐาน 5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการดำเนินการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ดังนี้ 1. สถิติพื้นฐานที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.1 สูตรการหาค่าร้อยละ (Percentage) 1.2 หาค่าเฉลี่ย (Mean) 1.3 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) 2. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คุณภาพของเครื่องมือ


80 2.1 ค่าความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Validity) ของแผนการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะ การฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานของนักเรียน แบบบันทึกพฤติกรรมทักษะการฟังและการ พูดของนักเรียน ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม แบบบันทึกพฤติกรรมทักษะการฟังและการพูดของนักเรียน ระหว่างการจัดกิจกรรม และแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมนิทานเป็นฐานโดยใช้ สูตรหาค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC 2.2 การหาค่า t-test เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อนและ หลังการจัดกิจกรรมของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้t-test ชนิดข้อมูลสัมพันธ์กัน (Dependent Samples) 3. หาประสิทธิภาพการจัดกิจกรรมโดยใช้สูตร E1/E2 3.1 การคำนวณหาประสิทธิภาพของ E1 3.2 การคำนวณหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ E2 6. สรุปผลการวิจัย การศึกษาวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 โรงเรียนบ้านสาคอ จังหวัดยะลา สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ 1. ผลการหาประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐานที่มีต่อทักษะการฟังและการ พูดของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 โรงเรียนบ้านสาคอ จังหวัดยะลา มีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 89.50 / 94.00 เมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดค่า E1/E2 เท่ากับ 80/80 ซึ่งมากกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ กำหนด แสดงว่าเป็นไปตามสมมติฐาน 2. ผลการเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้ กิจกรรมนิทานเป็นฐานของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 โรงเรียนบ้านสาคอ จังหวัดยะลา ก่อนการจัดกิจกรรม โดยใช้นิทานเป็นฐาน มีคะแนนเฉลี่ย (X) ̅̅̅ เท่ากับ 5.50 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) มีค่าเท่ากับ 0.71 และหลังการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน (X) ̅̅̅ เท่ากับ 9.40 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) มีค่าเท่ากับ 0.70 เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของ คะแนนก่อน – หลังการจัดกิจกรรมมีค่าเฉลี่ยความต่าง ((D) ̅̅̅ เท่ากับ 0.74 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของ คะแนนเฉลี่ยผลต่าง (SD) เท่ากับ 5.85 เมื่อทดสอบ t (t-test dependent) ชนิดข้อมูลสัมพันธ์กัน พบว่า มีค่าเท่ากับ 14.92 และค่า sig. เท่ากับ.00 แสดงว่า หลังการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการ พูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 สูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติระดับ .05 เป็นไปตามสมมติฐาน


81 3. ผลการคะแนนเฉลี่ยระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 มีความพึงพอใจต่อการ จัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย (X) ̅̅̅ เท่ากับ 2.94 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน S.D. เท่ากับ 0.14 สามารถเรียงลำดับความพึง พอใจค่าเฉลี่ยคะแนนจากมากไปหาน้อย เด็กชอบกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐาน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ((X) ̅̅̅ เท่ากับ 3.00, S.D. เท่ากับ 0.00) ต่อมา เด็กมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้กิจกรรมโดยใช้นิทาน เป็นฐาน อยู่ในระดับมาก ((X) ̅̅̅ เท่ากับ 3.00, S.D. เท่ากับ 0.00) ต่อมา เด็กอยากให้ครูสอนโดยใช้ กิจกรรมแบบนี้ในครั้งต่อไป อยู่ในระดับมาก ((X) ̅̅̅ เท่ากับ 3.00, S.D. เท่ากับ 0.00) ต่อมา เด็กมีการ โต้ตอบเกี่ยวกับทักษะการฟังและการพูดอย่างสนุกสนาน อยู่ในระดับมาก ((X) ̅̅̅ เท่ากับ 2.90, S.D. เท่ากับ 0.30) ต่อมา นิทานมีความสอดคล้องกับกิจกรรม อยู่ในระดับมาก ((X) ̅̅̅ เท่ากับ 2.80, S.D. เท่ากับ 0.40) ตามลำดับ 7. อภิปรายผลการวิจัย การศึกษาวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 โรงเรียนบ้านสาคอ จังหวัดยะลา มีประเด็นสำคัญสามารถนำมาอภิปราย ผลได้ ดังนี้ จากสมมติฐานข้อที่ 1 กล่าวว่า แผนการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้ กิจกรรมนิทานเป็นฐานของนักเรียนมีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 80/80 ผลการวิจัยพบว่า แผนการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทาน เป็นฐานของนักเรียน ก่อนจัดกิจกรรมมีค่า E1 เท่ากับ 89.50 และหลังการจัดกิจกรรม มีค่า E2 เท่ากับ 94.00 เมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์กำหนดที่กำหนดค่า E1/E2 เท่ากับ 80/80 การจัดกิจกรรมการพัฒนา ทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานของนักเรียน ที่ผู้วิจัยค้นคว้าและพัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 89.50 / 94.00 สามารถอภิปรายได้ว่า ก่อนการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรม นิทานเป็นฐานของนักเรียนในกลุ่มตัวอย่างยังมีปัญหาด้านการฟังและการพูด จึงได้สร้างเครื่องมือที่ พัฒนาการฟังและการพูดให้กับนักเรียน โดยผู้วิจัยได้ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ศึกษาค้นคว้างานวิจัย แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้ กิจกรรมนิทานเป็นฐานของนักเรียน เพื่อกำหนดจุดมุ่งหมายและลักษณะของกิจกรรม เพื่อส่งเสริมทักษะ การฟังและการพูด โดยผ่านการตรวจสอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาทางวิจัย ประเมินความเหมาะสมของการ จัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานของนักเรียน รวมทั้งเกณฑ์


82 การประเมินทักษะการฟังและการพูดของนักเรียนและผ่านการตรวจสอบความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) จากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน จึงทำให้ประสิทธิภาพของเครื่องมือในการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟัง และการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 89.50/94.00 จากสมมติฐานข้อที่2 หลังการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรม นิทานเป็นฐานของนักเรียน สูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม ผลการวิจัยพบว่า ก่อนการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทาน เป็นฐานของนักเรียน มีคะแนนค่าเฉลี่ย (X) ̅̅̅ เท่ากับ 5.50 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) มีค่า เท่ากับ 0.71 และหลังการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน (X) ̅̅̅ เท่ากับ 9.40 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) มีค่าเท่ากับ 0.70 เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของ คะแนนก่อน – หลังการจัดกิจกรรมมีค่าเฉลี่ยความต่าง (D) ̅̅̅̅เท่ากับ 0.74 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของ คะแนนเฉลี่ยผลต่าง (SD) เท่ากับ 5.85 เมื่อทดสอบค่า T (t-test dependent) ชนิดข้อมูลสัมพันธ์กัน พบว่ามีค่าเท่ากับ 14.92 และค่า sig. เท่ากับ .00 แสดงว่าหลังการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟัง และการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน สูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เป็นไปตามสมมติฐาน สามารถอภิปรายได้ว่า หลังการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรม นิทานเป็นฐานของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 มีทักษะการฟังและการพูดสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม อันเนื่องมาจากนักเรียนได้รับการส่งเสริมทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ส่งเสริม ให้นักเรียนได้ประสบการณ์ตรงในการทำกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐาน ทำให้นักเรียนใช้ภาษาไทยมากขึ้น พูดประโยคได้ยาวนานขึ้น โดยผู้ปกครองของนักเรียนเอง ได้ให้การตอบรับหลังการจัดกิจกรรมโดยใช้ นิทานเป็นฐานว่านักเรียนมีความสามารถในการฟังภาษาไทยจากสิ่งที่ผู้ปกครองพูดมากขึ้น และยังสามารถ พูดสื่อสารที่เป็นประโยคกับผู้ปกครองได้ยาวนานขึ้น ซึ่งในทุก ๆ กระบวนการและขั้นตอนในการจัด กิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐาน ครูจะสอดแทรกให้เด็กได้เรียนรู้ โดยสร้างคำศัพท์ใหม่ ๆ ซึ่งครูต้องอาศัย การฝึกฝนให้กับนักเรียนซ้ำ ๆ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ (ณัฐสกุล บุญยสิริ, 2560) ได้กล่าวไว้ว่า การพัฒนาทักษะการฟังและการพูด ใช้หลักการแนวทฤษฎีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารโดยให้ผู้เรียนมี โอกาสได้ฝึกปฏิบัติทางภาษาให้มากที่สุด เริ่มจากการฝึกฟังประโยคคำสั่ง แล้วตอบสนองด้วยภาษากาย หรือการตอบโต้ทางสรีระ เมื่อผู้เรียนมีความพร้อมที่จะพูดเขาจะสามารถพูดเองได้และการพัฒนาทักษะ การฟังและการพูดควรพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน


83 จากสมมติฐานข้อที่ 3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน อยู่ใน ระดับมาก ผลการวิจัยพบว่า หลังการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน นักเรียนมีความพึงพอใจ โดยรวมต่อการจัดกิจกรรม มีค่าเฉลี่ย (X) ̅̅̅ เท่ากับ 2.94 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน S.D. เท่ากับ 0.14 แสดงว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน โดยรวมอยู่ในระดับมาก เป็นไปตามสมติฐานที่วางไว้ สามารถอภิปรายผลได้ว่า นักเรียนมีความพึงพอใจโดยรวมต่อการจัดกิจกรรม มีค่าเฉลี่ย (X) ̅̅̅ เท่ากับ 2.94 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน S.D. เท่ากับ 0.14 แสดงว่า เด็กมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรม โดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้เนื่องจากผู้วิจัยได้ประยุกต์กิจกรรมให้มีความ น่าสนใจ และมีความแตกต่างจากการจัดกิจกรรมแบบปกติ ซึ่งผู้วิจัยได้จัดทำนิทานขึ้น ทำให้เด็กมีความ สนใจ มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมตามขั้นตอนของกิจกรรมต่าง ๆ นั้นได้ดี จึงกลายเป็นกิจกรรมที่ทำให้ เด็กมีความสุขกับการเรียน เด็กมีการสนทนาโต้ตอบ ซักถามข้อสงสัยในกิจกรรม โดยครูจะทำหน้าที่เป็นผู้ อำนวยความสะดวกในการจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ และคอยแนะนำกระตุ้นให้เกิดความสนใจ และเด็กมี ความกระตือรือร้นในการจัดทำกิจกรรมและเด็กต้องการให้มีการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ทุกวัน ซึ่งแนวทางในการส่งเสริมทักษะการฟังและการพูดของนักเรียน ครูมีบทบาทสำคัญที่คอยกระตุ้น และจัดบรรยากาศและให้กำลังใจช่วยเหลือ ขณะที่เด็กทำกิจกรรม ทำให้เด็กมีความพึงพอใจต่อการจัด กิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐานอยู่ในระดับมาก ซึ่งสอดคล้องกับการวิจัยของ (นิธินารถ อุดมสันต์, 2560 : 28) กล่าวว่า เด็กจะเรียนรู้ภาษาได้จากการเลียนแบบจากประสบการณ์ ด้านการฟังจากสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เด็ก ซึ่งสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะทำให้ พัฒนาการทางภาษามีพัฒนาการขึ้นทั้งนี้เด็กจะ จดจำคำพูดที่ตนเองได้ยินซ้ำ ๆ และเป็นคำพูดที่ ตนเองมีความสุขหรือเป็นพฤติกรรมในทางบวก เมื่อเด็ก ได้ยินคำที่ตนเองมีความสุขก็จะจำ และเลียนแบบเสียง สามารถพูดออกมาเป็นคำได้ ดั้งนั้น เด็กจะเรียนรู้ ภาษาจากการเรียนรู้ทางสังคม โดยผ่านทางกิจกรรมและประสบการณ์ต่าง ๆ รอบตัวเด็ก มีแม่แบบที่ดีที่ จะให้เด็กได้สังเกตและ เลียนแบบการใช้ภาษาจากบุคคลแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม และถูกต้องโดยผ่าน กระบวนการ เสริมแรงทั้งทางบวกและทางลบ ซึ่งต้องอาศัยกลไกจากภายในสมองเกิดการจัดระบบ ประมวลผล และสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาเพื่อเรียนรู้ภาษาให้ถูกต้องในบริบทของสังคม ในขณะเดียวกัน พันธุกรรม ก็ยังคงมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ภาษาของเด็กไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสภาพแวดล้อมอื่นๆ


84 8.ข้อเสนอแนะ จากการวิจัยการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานของนักเรียน ชั้นอนุบาลปีที่ 1 โรงเรียนบ้านสาคอ จังหวัดยะลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ 1. ผู้ที่ต้องการนำเครื่องมือการวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดยใช้ กิจกรรมนิทานเป็นฐานของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1 โรงเรียนบ้านสาคอ จังหวัดยะลา ที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น ไปใช้ ควรศึกษาและทำความเข้าใจเครื่องมือก่อนที่จะจัดกิจกรรม 2. การจัดประสบการณ์ให้นักเรียนโดยใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐาน ครูต้องจัด สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการฟังและการพูดของนักเรียน โดยคำนึงถึงศักยภาพและความพร้อมของนักเรียน ไม่ให้เกิดความเครียด ยกย่องชื่นชม ครูลดบทบาทลงเปิดโอกาสให้เด็กอย่างเต็มที่ 3. การจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐานที่มีต่อทักษะการฟังและการพูด ครูควรมีการวาง แผนการจัดเรียนล่วงหน้า เนื่องจากการทำกิจกรรมมีขั้นตอนที่หลากหลาย เช่น ทักษะการฟัง พูดในขณะ ทำกิจกรรม 4. ควรจัดเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดโดย ใช้กิจกรรมนิทานเป็นฐานให้มีความพร้อมต่อการจัดกิจกรรม ข้อเสนอแนะในการศึกษาค้นคว้าครั้งต่อไป 1. ควรนำกิจกรรมนิทานเป็นฐานไปใช้กับนักเรียนในระดับชั้นอื่น ๆ เช่น อนุบาล 2 อนุบาล 3 หรือระดับประถมศึกษาปีที่ 1-3 เพื่อส่งเสริมทักษะการฟังและการพูด 2. ควรศึกษาการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะอื่น เช่น การใช้ กิจกรรมชุดนิทานไปส่งเสริมทักษะทางด้านสังคม ด้านคุณธรรม จริยธรรม เป็นต้น 3. ควรศึกษาการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานเป็นฐาน โดยการนำรูปแบบที่หลากหลายมา ประยุกต์ใช้ เช่น สื่ออิเล็กทรอนิกส์ สื่อภาพ 3 มิติให้เหมาะสมกับการใช้งานต่อไป


85 บรรณานุกรม กมลรัตน์ พ่วงศิริและพัทธนันท์ วงษ์วิชยุตม. (2561). การพัฒนาทักษะความสามารถของทักษะการฟัง และการพูดโดยการจัดการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมการเล่านิทาน. (วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. กลัญญ เพชราภรณ์ และชัยวัฒน์ วารี. (2561). การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมการจัดการ เรียนการสอนของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาตาม ทฤษฎีพหุปัญญา. รายงานการวิจัย คณะครุศาสตร์. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏ สวนสุนันทา. กอบกมล ทบบัณฑิต. (2548). การเล่านิทานสำหรับเด็กปฐมวัย.กรุงเทพมหานคร : หน่วย ศึกษานิเทศก์. กุลยา ตันติผลาชีวะ. (2555). การจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย. กรุงเทพฯ : เบรน-เบสบุ๊คส์. เกตน์นิภา ฮาดคันทุง. (2561). การพัฒนาการจัดประสบการณ์โดยการเล่านิทานด้วยเทคนิคที่ หลากหลายเพื่อ ส่งเสริมทักษะทางด้านการฟังและการพูดสำหรับเด็กปฐมวัยที่ไม่ได้ใช้ ภาษาไทยเป็นภาษาแม่. (วิทยานิพนธ์ปริญญาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยนเรศวร. เกริก ยุ้นพันธ์. (2557). การเล่านิทาน. กรุงเทพฯ: สุวิริยาสาส์น. จรินาฎ ศรเกลี้ยง. (2556). รายงานผลการใช้กิจกรรมการเล่านิทานประกอบสื่อประสมเพื่อพัฒนา ความสามารถทางภาษาด้านการฟังและการพูดของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2. สงขลา : สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 3. จารุณี ศรีเผือก. (2554). การเปรียบเทียบพฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัย ที่มีระดับความฉลาด ทางอารมณ์ต่างกัน หลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพด้วยการตอบคำถามและ ด้วยการแสดงบทบาทสมมติ. (วิทยานิพนธ์ ค.ม. การจัดการการเรียนรู้) พระนครศรีอยุธยา : มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา. จิรวัฒน์ เพชรรัตน์และอัมพร ทองใบ. (2555). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. กรุงเทพมหานคร โอเดียนสโตร์.


86 ชนาธิป บุบผามาศ. (2553). การคิดเชิงเหตุผลของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานอีสป ประกอบคำถาม. (วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. ชุติมา ประจวบสุข. (2556). การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของเด็กปฐมวัยโดยใช้นิทาน. (วิทยานิพนธ์ ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ฐาปนี สิทธิเลิศ. (2558). ความรู้พื้นฐานของการฟัง. สืบค้นจาก : http://mcpswis.mcp.ac.th/ ดวงพร สัตนันท์. (2557). ผลของการจัดประสบการณ์ทางภาษาโดยใช้ศิลปะแบบบูรณาการที่มีต่อ ความสามารถ ในการพูดเล่าเรื่องของเด็กอนุบาล (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ดวงหทัย คำวัง. (2554). การใช้นิทานเพื่อพัฒนาทักษะการเรียงคำในประโยคภาษาไทย และการเล่า นิทานของนักเรียนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่/ เชียงใหม่. นพดล จันทร์เพ็ญ. (2557). หลักการใช้ภาษาไทย. กรุงเทพมหานคร : เจเนซิส มีเดียคอม. นฤมล เนียนหอม. (2558). การจัดประสบการณ์เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาสำหรับเด็ก. สืบค้น จาก : www.nareumon.com นิภา ดิษฐสุวรรณ. (2562). ผลการจัดกิจกรรมการเล่านิทานสองภาษาร่วมกัลป์สื่อประสมที่มีต่อ ความสามารถในการฟังและพูดภาษาไทยของเด็กปฐมวัยที่ใช้ภาษามลายูถิ่นเป็นภาษาแม่. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). สงขลา : มหาวิทยาลัยทักษิณ. บุญทิพา เตชะทรงคุณ. (2556). ผลของการจัดกิจกรรมศิลปะประดิษฐ์ที่มีต่อการพูดอย่างมีโครงสร้าง ของเด็กปฐมวัย. (วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต). กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ปรีดา เมธีภาคยางกูร. (2561). แนวคิดไวยากรณ์สากลกับการเรียนรู้ภาษาที่สอง. วารสารรามคำแหง ฉบับมนุษยศาสตร์. 37(1). 159. พรทิพย์ ชังธาดา. (2545). วรรณกรรมท้องถิ่นอีสาน. (พิมพลังที่ 4). กรุงเทพมหานคร : สุวิริยาสาส์น.


87 พัชรินทร์ จันทร์ส่องแสง. (2560). ภาษาและการรู้หนังสือสำหรับเด็กปฐมวัย สุราษฏร์ธานี : มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฏร์ธานี. พัชรี ผลโยธิน (2560). เอกสารการสอนชุดวิชา การจัดการศึกษาและหลักสูตรสำหรับเด็กปฐมวัย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช. พัณณ์ชิตา สิรภัทรศรีเสมอ. (2555). ผลการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพที่มีต่อการรับรู้ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของเด็กปฐมวัย. (วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์. พิมพาภรณ์ บุญประเสริฐ. (2558). วาทการ. กรุงเทพมหานคร : ไอยรา 12. ภัคนันท์ ยอดสิงห์. (2560). การออกแบบสื่อการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะด้านความสามารถทาง ภาษาอังกฤษของเด็กอายุ3-6 ปี(วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. มันนี ผดุงทักษิณ. (2557). การศึกษารูปแบบการจัดการเรียนรู้ระบบสองภาษา (ไทย-มลายู) แบบ ประยุกต์จังหวัดชายแดนภาคใต้. ยะลา : เอสพริ้นท์. รติรัตน์ คล่องแคล่ว. (2558). ผลการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวทางภาษาแบบธรรมชาติ ที่มี ต่อทักษะการพูดภาษาไทยของเด็กปฐมวัยไทยอีสาน (วิทยานิพนธ์ การศึกษา มหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. รสสุคนธ์ แนวบุตร. (2557). การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัยโดยใช้กิจกรรมการเล่า นิทานพื้นบ้าน (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. รอฮันนี เจะเลาะ. (2561). การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัย โดยการจัดกิจกรรม เสริมประสบการณ์ที่ใช้นิทานประกอบภาพ (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัย ราชภัฏยะลา. รุ่งพนอ รักอยู่. (2559). ความสามารถด้านการฟังภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนไทยที่เรียน ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ : กรณีศึกษาสถาบันพลศึกษาในเขตภาคกลาง (ปริญญา ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยบูรพา. บัณฑิตวิทยาลัย.


Click to View FlipBook Version