The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน
ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 63040186135, 2024-02-28 01:34:45

วิจัยผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานน

ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน
ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย

1 ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย นริศรา ยืนยง วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


2 ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย นริศรา ยืนยง วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


3 หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน ที่มีต่อความ - สามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย ผู้วิจัย นางสาวนริศรา ยืนยง สาขาวิชา การศึกษาปฐมวัย อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ญาณี ช่อสูงเนิน ครูพี่เลี้ยง นางอรุณรัตน์ วารุกะกุล อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตาม หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย .................................................................. หัวหน้าสาขาวิชา (ผู้ช่วยศาสตราจารย์วรัญญา ศรีบัว) วันที่.......… เดือน…….………… พ.ศ. ………… คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน ..................................................................................ประธานคณะกรรมการ (อาจารย์ญาณี ช่อสูงเนิน) .................................................................................. กรรมการ (นางอรุณรัตน์ วารุกะกุล) .................................................................................. กรรมการ (ดร.ดารา วิมลอักษร) .................................................................................. กรรมการ (ดร.นิทรา ช่อสูงเนิน) 0


4 ชื่อเรื่อง ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน ที่มีต่อความ - สามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย ผู้วิจัย นางสาวนริศรา ยืนยง อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ญาณี ช่อสูงเนิน ที่ปรึกษาร่วม นางอรุณรัตน์ วารุกะกุล ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย และเพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังที่ได้รับ การจัดกิจกรรมใช้วรรณกรรมเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ เด็กปฐมวัยชาย - หญิง ที่มี อายุระหว่าง 5 - 6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 3/2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ซึ่งได้เลือกแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) มา 30 คน ผู้วิจัยเป็น ผู้ดำเนินการทดลองด้วยตนเอง โดยทำการทดลอง สัปดาห์ละ 3 วันวันละ 60 นาที รวมระยะเวลาใน การทดลอง 8 สัปดาห์เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แผนการจัดกิจกรรมการแก้ไขปัญหาของเด็ก ปฐมวัยโดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน และแบบทดสอบความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ t – test for Dependent Samples ผลการวิจัยพบว่า 1. ความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยหลังจากที่ได้รับการจัดกิจกรรมโดยใช้ วรรณกรรมเป็นฐาน มีความสามารถในการแก้ปัญหาสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 2. ความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยหลังจากที่ได้รับการจัดกิจกรรมโดยใช้ วรรณกรรมเป็นฐาน มีการเพิ่มจากพื้นฐานเดิมร้อยละ 25.63


5 กิตติกรรมประกาศ การวิจัยครั้งนี้สำเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลืออย่างสูงยิ่งจากท่าน ดร.นิทรา ช่อสูงเนิน และอาจารย์ญาณี ช่อสูงเนิน ที่ได้ให้คำแนะนำ ข้อคิด และตรวจปรับ ข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง ขอกราบขอบพระคุณ ดร.ดารา วิมลอักษร คุณครู ประภาพิศ ดวงคำจันทร์และคุณครูลักษิกา บุญโนนแต้ ที่กรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบ คุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย อีกทั้งให้คำแนะนำอย่างดียิ่ง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การวิจัยนี้ สำเร็จลุล่วงด้วยดี ขอกราบขอบพระคุณ คณาจารย์ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยทุกท่านที่ได้กรุณา อบรม สั่งสอน ถ่ายทอดความรู้และให้ประสบการณ์ที่ดี และมีคุณค่าอย่างยิ่งกับผู้วิจัยจนทำให้ผู้วิจัยประสบ ความสำเร็จในการศึกษา รวมถึงขอบคุณเด็ก ๆ ที่เปิดโอกาสให้ผู้วิจัยได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ จนเกิด ความเข้าใจความต้องการของเด็ก ๆ แต่ละวัย และที่สำคัญคือได้เป็นครู ซึ่งเป็นอาชีพที่ชอบมาก ขอขอบคุณเพื่อนนักศึกษาปริญญาตรีสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยทุกท่านที่ให้กำลังใจซึ่งกัน และกันด้วยดีเสมอมาและขอขอบพระคุณผู้ที่ให้ความช่วยเหลือในการทำวิจัยอีกหลายท่านที่มิได้ กล่าวนามในที่มีส่วนสนับสนุนในการทำวิจัยสำเร็จด้วยดี การศึกษาและการทำวิจัยสำเร็จได้ด้วยดี เพราะได้รับการสนับสนุนจากบิดา มารดา ตลอดจนญาติ พี่ น้องที่ให้กำลังใจแก่ผู้วิจัยตลอดมา ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งและขอขอบพระคุณ เป็นอย่างสูง คุณค่าและประโยชน์ของวิจัยเล่มนี้ขอมอบเป็นเครื่องบูชาพระคุณบิดามารดาที่ได้อบรม เลี้ยงดู ให้ความรัก ความเอาใจใส่ ให้การศึกษาและเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้วิจัยเสมอมา และขออุทิศ ความดีทั้งหลายทั้งปวงจากวิจัยเล่มนี้แด่บูรพาจารย์ทุกท่านทั้งในอดีตและปัจจุบันที่ได้ประสิทธิ์ ประสาทวิชาความรู้ทำให้ผู้วิจัยได้รับประสบการณ์ที่ทรงคุณค่ายิ่ง นริศรา ยืนยง


6 สารบัญ หน้า บทที่1 บทนำ …………………………………………………………………..……………………………………………….. 1 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ....................................................................... 1 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย ............................................................................................ 3 3. ขอบเขตของการวิจัย ..................................................................................................... 4 4. สมมติฐานของการวิจัย .................................................................................................. 4 5. นิยามคำศัพท์เฉพาะ ...................................................................................................... 4 6. ประโยชน์ที่จะได้รับ ……………………………………………………………………..…………………… 5 7. กรอบแนวคิดในการวิจัย ……………………………….…………………………………………………… 6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง …………………………………………………..………………………….. 7 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับวรรณกรรมสำหรับเด็ก …………………………………………………….... 8 1.1 ความหมายของวรรณกรรมสำหรับเด็ก ............................................................ 8 1.2 ความสำคัญและประโยชน์ของวรรณกรรมสำหรับเด็ก ..................................... 9 1.3 ประเภทของวรรณกรรมสำหรับเด็ก ……………………………………………………… 13 1.4 การเลือกวรรณกรรมที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย ……………………………….. 16 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหา ……………………………………………………………… 19 2.1 ความหมายของการคิดแก้ปัญหา ................................................................... 19 2.2 ความสำคัญของการคิดแก้ปัญหา …………………………………………………………. 20 2.3 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหา …………………………………………………… 22 2.4 ลักษณะการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย ………………………………………………. 32 2.5 แนวทางและวิธีการพัฒนาการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย ……………………… 33 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้วรรณกรรมเป็นฐาน ……………………………………………… 37 3.1 งานวิจัยในประเทศ ........................................................................................ 37 3.2 งานวิจัยในต่างประเทศ .................................................................................. 37 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหา ……………………………………………………………. 38 4.1 งานวิจัยในประเทศ ........................................................................................ 38 4.2 งานวิจัยในต่างประเทศ .................................................................................. 39


7 สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย …………………………..……………………………………………………………………. 40 1. การกำหนดประชากรและการเลือกกลุ่มตัวอย่าง ........................................................... 40 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ................................................................................................ 40 3. การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ …………………………………………………………… 41 4. แบบแผนและวิธีดำเนินการทดลอง ……………………………………………………………………… 44 5. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ................................................. 45 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ..................................................................................................... 48 1. สัญลักษณ์และอักษรย่อที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ………………………………………………… 48 2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ………………………………………………………………………………………. 48 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ……………………………………………..……………………. 50 1. วัตถุประสงค์ของการวิจัย ............................................................................................ 50 2. สมมติฐานของการวิจัย ………………………………………………………………………………………. 50 3. ขอบเขตของการวิจัย …………………………………………………………………………………………. 50 4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ……………………………………………………………………………………. 51 5. วิธีดำเนินการทดลอง ..................................................................................................... 51 6. การวิเคราะห์ข้อมูล ........................................................................................................ 52 7. สรุปผลการวิจัย ............................................................................................................. 52 8. อภิปรายผล ……………………………………………………………………………………………………… 52 9. ข้อสังเกตที่ได้รับจากการวิจัย ……………………………………………………………………………… 55 10. ข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการวิจัย ………………………………………………………………………. 56 11. ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป ........................................................................... 57 บรรณานุกรม …………………………………………………………………………………………………………………… 58 ภาคผนวก ……………………………………………………………………………………………………………………….. 63 ภาคผนวก ก แบบทดสอบความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย ......................... 64 ภาคผนวก ข แผนการจัดกิจกรรมการแก้ไขปัญหาของเด็กปฐมวัย โดยใช้ วรรณกรรมเป็นฐาน ..................................................................................... 80


8 สารบัญ (ต่อ) หน้า ภาคผนวก ค บัญชีรายชื่อผู้เชี่ยวชาญ …………………………………………………………………… 103 ภาคผนวก ง การวิเคราะห์ความสอดคล้องของแบบทดสอบ และแผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้…………………………………………………………..……………… 109 ประวัติย่อผู้วิจัย ……………………………………………………………………………………………………………… 125


9 สารบัญภาพ หน้า ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการศึกษาค้นคว้า ....................................................................................... 6


10 สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1 แผนการจัดกิจกรรมการแก้ไขปัญหาของเด็กปฐมวัยโดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน ............ 41 ตารางที่ 2 แบบแผนการทดลอง ..................................................................................................... 44 ตารางที่ 3 การเปรียบเทียบผลของความสามารถในการแก้ปัญหาก่อนและหลังการจัดกิจกรรม โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน ……………………………………………………………………..…………. 48 ตารางที่4 การเปลี่ยนแปลงการจัดกิจกรรมโดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานทำให้เด็กปฐมวัยมีการ เปลี่ยนแปลงความสามารถในการแก้ปัญหา ................................................................. 49 ตารางที่5 การเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาโดยการจัดกิจกรรมโดยใช้ วรรณกรรมเป็นฐานเป็นรายบุคคล ............................................................................... 49


1 บทที่ 1 บทนำ 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา เด็กปฐมวัยคือทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญและมีค่ายิ่ง เป็นผู้มีบทบาทสร้างความเจริญก้าวหน้า ให้แก่ชาติ และอนาคตของชาติจะรุ่งโรจน์เพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของเด็กเป็นสำคัญ (อารยา สุขวงศ์ และคณะ, 2561 : คำนำ) ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในหมู่นักจิตวิทยาและนักการศึกษาทั่วไปว่าเด็ก ตั้งแต่แรกเกิดถึงอายุ 6 ปี เป็นระยะที่เด็กเกิดการเรียนรู้มากที่สุดในชีวิต การเรียนรู้เหล่านี้จะมี อิทธิพลต่อชีวิตในอนาคตของเด็กเป็นอย่างยิ่งเพราะสติปัญญาได้รับการหล่อหลอมไปแล้ว 75 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นจึงได้มีการจัดการเรียนให้แก่เด็กปฐมวัยเพื่อให้เด็กในวัยนี้ได้มีการเรียนรู้ที่ดี (นงลักษณ์ สินสืบผล, 2559 : 5) ดังนั้น การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยหรือเด็กก่อนวัยเรียน จึงมีความสำคัญที่ครูผู้สอน และผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับเด็กปฐมวัยจะต้องสนใจใฝ่รู้ เพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ ของเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดประสบการณ์ดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาหลายด้าน กล่าวคือ ด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาได้เป็นอย่างดีอันจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพ ชีวิตต่อไป (เยาวพา เดชะคุปต์, 2542 : คำนำ) จะเห็นได้ว่า สถาบัน บ้าน และโรงเรียนจึงมีความ รับผิดชอบร่วมกันในอันที่จะสร้างสรรค์ส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาอย่างเต็มที่ในทุก ๆ ด้าน ทั้งทางด้าน ร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา เพื่อให้เด็กสามารถพัฒนาเป็นพลเมืองที่ดี มีบุคลิกภาพ ที่สมบูรณ์ มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพและเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบสภาพสังคมปัจจุบันกับสมัยก่อน จะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลง ไปมาก ที่เห็นได้ชัดคือการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและค่านิยมในการดำรงชีวิต อีกทั้งประชากร มีอัตราการเกิดสูงทำให้เศรษฐกิจและการครองชีพรัดตัว บิดามารดามีความจำเป็นต้องไปประกอบ อาชีพนอกบ้าน มีเวลาสำหรับลูกน้อยลง จึงต้องฝากเด็กไว้กับญาติผู้ใหญ่หรือผู้ที่ขาดความรู้ในการ ดูแลเด็ก ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพ สุขนิสัย การเจริญเติบโต พัฒนาการทางภาษา พัฒนาการทาง สติปัญญา (นงลักษณ์ สินสืบผล, 2559 : 26 - 27) และสภาพสังคมในปัจจุบันนี้เด็กต้องพบกับ ความเปลี่ยนแปลงของสังคม สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย การพัฒนาเด็ก ให้คิด รู้จักใช้เหตุผลในการแก้ปัญหาด้วยตนเองและในระบบกลุ่ม จะช่วยในการปรับตัวต่อไปในชีวิต (ประเวศ วะสี, 2538 : 8 - 26) เนื่องจากชีวิตประจำวันของคนเรานั้นมักพบปัญหาต่าง ๆ มากมาย ซึ่งผู้คิดแก้ปัญหาจะต้องศึกษาถึงสาเหตุที่มาของปัญหาที่มีลักษณะแตกต่างกัน และจะพยายามคิด ค้นหาวิธีการที่เหมาะสมที่สุดเพื่อที่จะแก้ไขการคิดหาวิธีการอาจได้มาโดยการศึกษาหาความรู้จาก แหล่งต่าง ๆ การขอคำปรึกษาจากผู้ที่มีประสบการณ์ แล้วจึงตัดสินใจเลือกวิธีที่ดีที่สุดในการตัดสินใจ


2 นั้น อาจทำให้วิถีชีวิตต้องเปลี่ยนไปบ่อยครั้ง เราอาจมีคำตอบมากกว่าหนึ่ง ซึ่งมักเกิดจากการเปลี่ยน รูปแบบในการคิดของตนเอง การฝึกฝนวิธีคิดแก้ปัญหานั้นจะเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงแรกของชีวิต จึงทำให้ สามารถที่จะเห็นทางเลือกต่าง ๆ ได้ (สุวิทย์ มูลคำ : 2549 : 15) ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการพัฒนา ความสามารถในการคิดเป็นหัวใจของการจัดการศึกษาเพราะการคิดช่วยให้คนมีประสิทธิภาพเป็น จุดเริ่มต้นให้คนเราแสดงออกในสิ่งที่ดีงาม เป็นประโยชน์ และสร้างสรรค์ สามารถฝ่าฝันอุปสรรคและ ปัญหาต่าง ๆ ได้ (ฉันทนา ภาคบงกช, 2528 : 1) และควรเริ่มตั้งแต่ก้าวแรกที่เด็กย่างเข้าสู่โรงเรียน เพราะว่าเด็กมีธรรมชาติของการอยากรู้อยากเห็นสูง ถ้าเด็กได้รับการส่งเสริมตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วย พัฒนาศักยภาพทางการคิดที่มีอยู่ภายในตนให้ก้าวสู่ขีดสูงสุด (เชิดศักดิ์ โฆวาสินธุ์, 2540 : 1 - 20) โรงเรียนอนุบาลอุดรธานีเป็นโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุดรธานี เขต 1 เปิดทำการสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผู้วิจัยได้รับ มอบหมายให้ปฏิบัติการสอนในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3/2 จากการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ผู้วิจัยได้ สังเกตเห็นความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยในชั้นเรียน พบว่า เด็กปฐมวัยบางส่วนไม่ สามารถจัดการกับปัญหาที่ตนประสบได้ กล่าวคือ เมื่อมีปัญหาก็จะแสดงออกด้วยการร้องไห้ ขอความ ช่วยเหลือจากคนอื่น หรือบางครั้งอาจจะหลีกหนีปัญหา หรือแสดงพฤติกรรมการแก้ปัญหาที่ยังไม่ เหมาะสม ส่งผลให้เด็กไม่กล้าตอบคำถามครู ไม่กล้าแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และไม่กล้าตัดสินใจ ร่วมกันกับผู้อื่น ทั้งนี้ยังรวมไปถึงการร่วมกันแก้ปัญหาเป็นกลุ่มยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากเด็กยังไม่สามารถระบุได้ว่าปัญหาที่ได้ประสบนั้นจะใช้วิธีใดเพื่อแก้ปัญหาให้เหมาะสมที่สุด ผู้วิจัยเห็นถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงมีความสนใจที่จะพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา ของเด็กปฐมวัย เนื่องจาก ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต้องฝึกให้เกิดขึ้นใน ตัวของเด็ก ซึ่งจะช่วยพัฒนาเด็กปฐมวัยให้เป็นบุคคลที่คิดเป็น และแก้ปัญหาเป็น และเด็กต้อง ดำรงชีวิตอยู่ในสังคม ควรจะได้ฝึกการเรียนรู้ที่จะทำงานและปรับตัวเข้ากับผู้อื่น ซึ่งคุณสมบัติที่ สามารถทำงานและปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่นได้นั้น มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้าง ให้เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก เพราะเด็กสามารถที่จะปรับตัวเข้ากับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้แล้ว เด็กก็จะ สามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุขในสังคม ทั้งนี้ ความสามารถในการแก้ปัญหานั้นสามารถสอดแทรกได้ทุกกิจกรรมในการส่งเสริมให้ เด็กปฐมวัยเกิดความสามารถในการแก้ปัญหา จึงมีหลายวิธีที่สามารถทำได้การใช้วรรณกรรมเป็นฐาน จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถส่งเสริมกระบวนการแก้ปัญหาให้กับเด็กปฐมวัย เนื่องจากวรรณกรรม สำหรับเด็กนับเป็นสื่อบันเทิงประเภทหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลต่ออารมณ์มนุษย์ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะเด็ก ปฐมวัย (มานิต ปวริญญานนท์, 2555 : 125) เพราะวรรณกรรมสำหรับเด็กมีความสำคัญและ ประโยชน์ต่อเด็กปฐมวัยเป็นอย่างมาก นอกจากจะให้ความสนุกสนาน เพลิดเพลินแล้ว ยังสอดแทรก ข้อคิด คติเตือนใจในการดำรงชีวิตในสังคม สอนให้เด็กเติบโตเป็นคนดีมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์โดย


3 ที่เด็ก ๆ จะไม่รู้ตัวว่าถูกสอน และวรรณกรรมสำหรับเด็กยังมีส่วนอย่างยิ่งในการสร้างความสัมพันธ์ ระหว่างผู้ใหญ่และเด็กจะช่วยให้เข้าใจเด็กยิ่งขึ้น (กุลวรา ชูพงศ์ไพโรจน์, 2557 : 11) ซึ่งในหลาย โอกาสจึงพบว่ามีการนำเอาวรรณกรรมสำหรับเด็กมาใช้เป็นสื่อและเครื่องมือช่วยสอนของครู โดยเฉพาะครูในระดับปฐมวัย ทำให้เด็กปฐมวัยทุกคนรู้จักกับวรรณกรรมเป็นอย่างดี เนื่องจากเนื้อหา ในวรรณกรรมสำหรับเด็กช่วยเสริมทักษะทางภาษา โดยเฉพาะทักษะการฟัง การพูด การกล้า แสดงออก การคิดและจินตนาการที่กว้างไกล รวมถึงการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ให้กับเด็ก จากการฟังวรรณกรรม (ปราณี เชียง-ทอง, 2526 : 35) การจัดประสบการณ์โดยใช้วรรณกรรมเป็น ฐานจึงเป็นแนวทางการส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาสำหรับเด็กแนวทางหนึ่งที่สอดคล้องกับ พัฒนาการและธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย โดยการนำวรรณกรรมที่เด็กชื่นชอบมาเป็นฐาน ในการกำหนดสถานการณ์ปัญหาหรือกรณีศึกษามาใช้เป็นแรงกระตุ้นให้เด็กนำความรู้ หรือ ประสบการณ์ที่มีอยู่เดิมมาใช้แก้ปัญหา และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือในการ จัดการกับปัญหาเมื่อตนได้ประสบกับปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยพัฒนาทักษะในการ เรียนรู้ด้วยตนเอง เพราะการที่เด็กได้เรียนรู้ด้วยวิธีการเรียน โดยการกำหนดสถานการณ์หรือ กรณีศึกษา จะส่งผลให้เด็กรู้วิธีการแสวงหาความรู้จากแหล่งความรู้ต่าง ๆ รวบรวมความรู้และนำมา สรุปเป็นความรู้ใหม่ เป็นลักษณะของการเรียนรู้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนาทักษะการทำงาน ร่วมกันเป็นทีม ซึ่งการเรียนเป็นกลุ่มย่อยทำให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยน แนวคิดกับผู้อื่น ทำให้มีความรู้กว้างขวางมากขึ้น นับเป็นการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาและ พฤติกรรมทางสังคมให้กับผู้เรียนควบคู่กันไปด้วย ด้วยเหตุผลดังกล่าวถึงข้างต้น จะเห็นได้ว่าการจัดกิจกรรมโดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน เป็นรูปแบบการเรียนการสอนหนึ่งที่สามารถพัฒนาผู้เรียนให้เป็นไปตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ ที่ผู้สอนตั้งไว้ได้ดังนั้นผู้วิจัยในฐานะที่เป็นครูปฐมวัยจึงสนใจที่จะศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหา ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมโดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริม ความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยให้มีประสิทธิภาพในชั้นเรียน อันที่จะช่วยพัฒนาให้เด็ก เติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพของประเทศชาติต่อไป 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม 2. เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน


4 3. ขอบเขตของการวิจัย 3.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นเด็กชาย – หญิง อายุระหว่าง 5 – 6 ปี ที่ กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี อำเภอ เมือง จังหวัดอุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 3.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นเด็กชาย – หญิง อายุระหว่าง 5 – 6 ปี ที่ กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 3/2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จำนวน 30 คน จากการเลือกแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) 3.3 ตัวแปรที่ศึกษา 1) ตัวแปรต้น คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน 2) ตัวแปรตาม คือ ความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย 3.4 ระยะเวลาในการวิจัย การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 60 นาที โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 4. สมมติฐานของการวิจัย 1. เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมโดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานมีความสามารถในการ แก้ปัญหาหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง 2. เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมโดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานมีการเปลี่ยนแปลง ความสามารถในการแก้ปัญหาหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง 5. นิยามคำศัพท์เฉพาะ 5.1 เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กอายุ 5 – 6 ปี ที่ศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 3/2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 5.2 ความสามารถในการแก้ปัญหา หมายถึง พฤติกรรมที่เด็กแสดงออกในการหาวิธีการ แก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และเด็กสามารถกระทำเพื่อให้พ้นจากปัญหานั้น โดยแบ่ง สถานการณ์ปัญหาออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่


5 1) ปัญหาของตนเองที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น หมายถึง ปัญหาที่เกิดจากความต้องการหรือ จากการกระทำของเด็กเอง โดยไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข 2) ปัญหาของตนเองที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น หมายถึง ปัญหาที่เกิดจากความต้องการหรือ จากการกระทำของเด็กเอง และ/หรือผู้อื่น ซึ่งมีผลเกี่ยวข้องกันโดยตรง และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข 5.3 การจัดกิจกรรมโดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน หมายถึง การจัดกิจกรรมโดยใช้หนังสือ นิทานสำหรับเด็ก ที่มีเนื้อหา เรื่องราว และภาพประกอบเกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างความสามารถใน การแก้ปัญหา โดยนำเนื้อหาจากนิทานมาสร้างสถานการณ์ให้เด็กได้หาวิธีการแก้ปัญหา โดยมีขั้นตอน การจัดกิจกรรม 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1. นำเข้าสู่กิจกรรมนิทานด้วยกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง อาทิ การท่องคำคล้องจอง และ คำกลอนที่มีสัมผัสคำและสระน่าฟัง 2. จัดกิจกรรมโดยครูเล่านิทาน ซึ่งเนื้อเรื่องเป็นสถานการณ์ที่เป็นปัญหา ประกอบด้วย ปัญหาของตนเองที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น และปัญหาของตนเองที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น โดยจะสลับเปลี่ยน หมุนเวียนกันไปในแต่ละสัปดาห์ ให้ตัวละครได้รู้จักการแก้ปัญหา ดังนั้น เมื่อเด็กฟังนิทานแล้ว เด็กจึง ต้องใช้ความสามารถของตนเองในการแก้ปัญหาจากสถานการณ์ในนิทาน เพื่อให้นิทานจบสมบูรณ์ ด้วยการวาดภาพเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากนิทาน โดยผู้วิจัยแบ่งการจัดกิจกรรมเป็น 2 วัน ดังนี้ วันที่ 1 เด็กดูหน้าปกแล้วคาดเดาเนื้อเรื่อง จากนั้นครูเล่านิทาน และให้เด็ก ดำเนินการแก้ปัญหาด้วยตนเอง วันที่ 2 ครูเล่านิทาน และให้เด็กแสดงการแก้ปัญหาภายในกลุ่ม 3. เด็กและครูร่วมกันพูดคุยสนทนา สรุปนิทานและช่วยกันแก้ปัญหาให้กับตัวละคร ภายในเนื้อเรื่องของนิทาน ตลอดจนครูและเด็กพูดถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหรือพบเห็นในชีวิต ประจำวัน และช่วยกันแก้ปัญหาร่วมกัน อีกทั้งครูชมเชยเด็กที่ใช้ความสามารถและพยายามแก้ปัญหา ต่าง ๆ 6. ประโยชน์ที่จะได้รับ 6.1 ทำให้ทราบผลการเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยที่ได้รับ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน 6.2 นำผลที่ได้เป็นข้อมูลสำหรับครูผู้สอนและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาในระดับ ปฐมวัยไปใช้ประโยชน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ให้นักเรียนมีพัฒนาการด้านความสามารถ ในการแก้ปัญหายิ่งขึ้น 6.3 ทำให้เด็กมีความสามารถในการแก้ปัญหาที่เกิดจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ วรรณกรรมเป็นฐานที่จะช่วยพัฒนาให้เด็กเติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพของประเทศชาติต่อไป


6 7. กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการศึกษาค้นคว้า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน ความสามารถในการแก้ปัญหา ของเด็กปฐมวัย 1. ปัญหาของตนเองที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น 2. ปัญหาของตนเองที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น


7 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารตลอดจนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาใช้ ในการวิจัย และนำเสนอตามหัวข้อต่อไปนี้ 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับวรรณกรรมสำหรับเด็ก 1.1 ความหมายของวรรณกรรมสำหรับเด็ก 1.2 ความสำคัญและประโยชน์ของวรรณกรรมสำหรับเด็ก 1.3 ประเภทของวรรณกรรมสำหรับเด็ก 1.4 การเลือกวรรณกรรมที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหา 2.1 ความหมายของการคิดแก้ปัญหา 2.2 ความสำคัญของการคิดแก้ปัญหา 2.3 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหา 2.4 ลักษณะการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย 2.5 แนวทางและวิธีการพัฒนาการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้วรรณกรรมเป็นฐาน 3.1 งานวิจัยในประเทศ 3.2 งานวิจัยในต่างประเทศ 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหา 4.1 งานวิจัยในประเทศ 4.2 งานวิจัยในต่างประเทศ


8 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับวรรณกรรมสำหรับเด็ก 1.1 ความหมายของวรรณกรรมสำหรับเด็ก นักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงความหมายของวรรณกรรมสำหรับเด็กไว้ดังนี้ ปราณี เชียงทอง (2526 : 6) กล่าวว่า วรรณกรรมสำหรับเด็ก หมายถึง หนังสือที่เขียน ขึ้นสำหรับเด็กให้เด็กอ่านอย่างเหมาะสมกับวัยของเด็ก และเป็นที่สนใจของเด็กวัยต่าง ๆ ตั้งแต่ก่อน เข้าโรงเรียนไปจนถึงวัยรุ่น ซึ่งเด็กสามารถเลือกอ่านได้ตามความพอใจ โดยไม่มีการบังคับ ดารารัตน์ ทัพโต (2554 : 31) กล่าวว่า วรรณกรรมสำหรับเด็ก เป็นหนังสือที่จัดทำขึ้น เพื่อมุ่งให้เด็กได้อ่าน ฟังหรือดูเพื่อให้ได้รับความสนุกสนาน หรือได้รับความรู้ต่าง ๆ มีเนื้อหาที่ตรงกับ ความสนใจของเด็ก ขนาดตัวหนังสือและรูปเล่มจะต้องมีความเหมาะสมกับวัย มีการประพันธ์ทั้งแบบ ร้อยแก้วและร้อยกรอง หรือเป็นทั้งประเภทบันเทิงคดีและสารคดี และมีเนื้อหาสอดคล้องกับคุณธรรม จริยธรรม กล่อมจิตต์ พลายเวช (2556 : 7) กล่าวว่า วรรณกรรมสำหรับเด็ก หมายถึง หนังสือ สำหรับเด็กที่เขียนขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ กัน มีเนื้อหาสาระและใช้ภาษาที่ง่ายและเหมาะสมกับวัย ของเด็กซึ่งแบ่งออกได้กว้าง ๆ เป็น 3 วัยด้วยกัน คือ 1. ปฐมวัยหรือวัยก่อนเรียน (3 – 6 ขวบ) 2. วัยประถมศึกษา (6 – 12 ขวบ) และ 3. วัยก่อนวัยรุ่น (12 – 14 ปี) กุลวรา ชูพงศ์ไพโรจน์ (2557 : 4) กล่าวว่า วรรณกรรมสำหรับเด็ก หมายถึง ลักษณะ ของวรรณกรรมที่บอกต่อด้วยปาก หรือมุขปาฐะ ได้แก่ เพลงกล่องเด็ก การละเล่นของเด็ก บทร้อย กรองของเด็ก เพลงสำหรับเด็ก การเล่านิทาน ละครหุ่น ตลอดจนวรรณกรรมสำหรับเด็กในปัจจุบันซึ่ง ประกอบด้วยหนังสือและสื่ออิเล็กทรอนิกส์รูปแบบต่าง ๆ เนตรชนก รักกาญจนันท์ (2558 : 23) กล่าวว่า วรรณกรรมสำหรับเด็ก หมายถึง หนังสือหรือสื่อที่สร้างขึ้นสำหรับเด็ก ที่มีเนื้อหาตรงกับความสนใจของเด็กแต่ละวัย มีจำนวนตัวละคร น้อย ประโยคสั้น โครงเรื่องไม่ซับซ้อน มีขนาดตัวหนังสือ และรูปเล่มเหมาะสม และมุ่งให้เด็กได้รับ ความสนุกสนานหรือความรู้ เสริมสร้างทักษะ โดยใช้ภาษาง่าย สื่อความหมายชัดเจน นิตยา วรรณกิตร์ (2559 : 16) กล่าวว่า วรรณกรรมสำหรับเด็ก หมายถึง งานหนังสือ หรืองานนิพนธ์ในรูปแบบสื่อต่าง ๆ ที่เขียนหรือผลิตขึ้นมาสำหรับเด็กโดยเฉพาะ เพื่อให้เด็กอ่าน ฟัง ดู เล่น ฝึกปฏิบัติ หรือศึกษาค้นคว้า จรรยวรรณ เทพศรีเมือง (2560 : 9) กล่าวว่า วรรณกรรมสำหรับเด็กเป็นหนังสือที่ เขียนขึ้นเพื่อให้เด็กอ่าน หรือฟังอย่างเหมาะสมกับวัยของเด็ก โดยเนื้อหาสาระสอดคล้องกับความ สนใจของเด็ก มีรูปเล่มสวยงามสะดุดตา และสามารถเลือกอ่านได้ด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน


9 พัชรี ผลโยธิน (2561 : 10) กล่าวว่า วรรณกรรมสำหรับเด็กปฐมวัย หมายถึง งาน หนังสือ งานเขียน งานประพันธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองที่มีศิลปะการประพันธ์ ไม่จำกัดรูปแบบและ เนื้อหา สามารถสร้างจินตนาการให้แก่เด็กปฐมวัยที่อยู่ในช่วงอายุ 3 – 6 ปี สรุปได้ว่า วรรณกรรมสำหรับเด็ก หมายถึง หนังสือที่เขียนให้เด็กและเยาวชนอ่าน โดยเฉพาะ เพื่อให้เด็กใช้ในการฟัง อ่านและเรียนรู้ ด้วยเนื้อหาสาระที่มุ่งให้ความเพลิดเพลินหรือ ความรู้อย่างหนึ่งอย่างใด หรือให้ความเพลิดเพลินและความรู้ร่วมกันไปในรูปแบบที่เรียกว่า สาระบันเทิง อันจะนำไปสู่นิสัยรักการอ่านต่อไป โดยวรรณกรรมเด็กจะใช้วิธีเขียน การจัดทำและ รูปเล่มที่เหมาะสมกับวัย ความสนใจและความสามารถในการอ่านของผู้อ่าน 1.2 ความสำคัญและประโยชน์ของวรรณกรรมสำหรับเด็ก นักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงความสำคัญและประโยชน์ของวรรณกรรมสำหรับเด็ก ไว้ดังนี้ กล่อมจิตต์ พลายเวช (2556 : 8 - 14) กล่าวว่า วรรณกรรมสำหรับเด็กหรือหนังสือ สำหรับเด็กที่ดีนั้นมีคุณค่ายิ่งต่อเด็ก คุณค่าของวรรณกรรมและหนังสือสำหรับเด็กสามารถพัฒนาเด็ก ได้หลายด้าน ดังนี้ 1. เสริมสร้างพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็ก 1.1 เสริมสร้างพัฒนาการทางด้านร่างกาย เด็กในวัยนี้ มีพัฒนาการทางด้าน กล้ามเนื้อและประสาทสัมผัสดีขึ้น หนังสือที่ควรเลือกนำมาใช้ประกอบกิจกรรมการเล่นเพื่อเสริมสร้าง พัฒนาการด้านนี้ของเด็กปฐมวัย ได้แก่ บทกลอนกล่อมเด็ก ประเภทบทเด็กเล่น เช่น “เขย่งเก็งกอย” “รีรีข้าวสาร” “โพงพาง” ฯลฯ ใช้ร้องประกอบการเล่นของเด็ก ๆ บทกลอนบางบทใช้เสริมทักษะการ ใช้มือและเท้าของเด็กได้เป็นอย่างดี เช่น “จับปูดำ ขยำปูนา” “ตบมือแปะแปะ” “ตั้งไข่” ฯลฯ นอกจากบทกลอนกล่อมเด็กแล้ว ยังมีเรื่องอ่านเล่นสมัยใหม่อีกมากมายที่จะใช้เป็น เครื่องช่วย เสริมสร้างพัฒนาการทางด้านร่างกายของเด็ก 1.2 เสริมสร้างพัฒนาการทางด้านอารมณ์ เด็กปฐมวัยมักเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ มีทั้ง อารมณ์โกรธ กลัว อิจฉา อยากรู้อยากเห็น สนุกสนานร่าเริง เป็นต้น เด็กแต่ละคนมีอารมณ์ผันแปร แตกต่างกันออกไป หนังสือที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขความเป็นคนเจ้าอารมณ์ของเด็ก จะช่วยให้เด็กได้มีพัฒนาการทางด้านอารมณ์ดีขึ้น นอกจากนี้เรื่องสนุกสนาน ขบขัน ยังช่วยเสริมให้ เด็กมีอารมณ์ที่แจ่มใสร่าเริงด้วย 1.3 เสริมสร้างพัฒนาการทางด้านสังคม เด็กปฐมวัยที่เข้าเรียนในระดับอนุบาลศึกษา จะมีสังคมที่กว้างขึ้น เริ่มมีการคบเพื่อนและเล่นกับเพื่อน หนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องโรงเรียน ครูและเพื่อน รวมทั้งหนังสือที่จะได้ให้ประสบการณ์เกี่ยวกับการให้ การรับ การรอคอย และกฎเกณฑ์ ข้อบังคับ


10 ง่าย ๆ ของสังคม จะนำเด็กไปสู่การรู้จักรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ของตนเอง และเป็นเด็กดีมีระเบียบวินัย เป็นที่ยอมรับของสังคม 1.4 เสริมสร้างพัฒนาการทางด้านสติปัญญา อิทธิพลที่สำคัญที่สุดต่อความงอกงาม ทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัย ได้แก่ พัฒนาการทางภาษา ซึ่งสังเกตได้จากการพูดและการฟังของเด็ก การส่งเสริมพัฒนาการด้านนี้อาจทำได้โดยการเล่านิทานให้เด็กฟัง เพื่อให้เด็กได้ฝึกทักษะการฟังและ การใช้จินตนาการ และควรเปิดโอกาสให้เด็กได้พูดคุยกับผู้เล่า หรือให้เด็กได้มีโอกาสเล่าเรื่องที่ได้ฟัง จะช่วยให้เด็กได้มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดมากยิ่งขึ้น 2. สนองความต้องการพื้นฐานจามธรรมชาติของเด็ก ในวัยเด็กเล็กนั้น เด็กมีความ ต้องการที่แคบและเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ใกล้ตัวเด็ก เมื่อโตขึ้นมีประสบการณ์และการเรียนรู้มากขึ้นความ ต้องการของเด็กก็ขยายกว้างออกไปสู่สังคมรอบ ๆ ตัว การเลี้ยงดูเด็ก สภาพครอบครัว และสภาพของ สังคมรอบตัวเด็กมีผลกระทบต่อความต้องการพื้นฐานตามธรรมชาติของเด็กให้ผิดแผกแตกต่างกัน ออกไป หนังสือจึงเป็นสื่ออันสำคัญที่จะสนองความต้องการพื้นฐานตามธรรมชาติของเด็ก 3. สนองความอยากรู้อยากเห็นของเด็ก ความต้องการตามธรรมชาติของเด็กในเรื่องของ ความใคร่รู้ คือ ความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องต่าง ๆ นั้น เป็นความต้องการที่เห็นเด่นชัดที่สุดในเด็ก ปฐมวัย ซึ่งหนังสือสำหรับเด็กประเภทต่าง ๆ จึงสามารถที่จะสนองความอยากรู้อยากเห็นเหล่านั้นได้ เป็นอย่างดี 4. เตรียมความพร้อมในการอ่านของเด็ก เด็กที่มีโอกาสได้หยิบจับหนังสือหรือเห็นการ อ่านหนังสือของผู้ใหญ่ จะมีประสบการณ์ในการอ่าน คือ รู้จักหนังสือและการอ่านก่อนที่จะสามารถ อ่านได้เอง พ่อแม่จึงมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการเตรียมความพร้อมในการอ่านของเด็กก่อนเข้าเรียน ด้วย การเห่กล่อม อ่านดัง ๆ และเล่านิทานให้เด็กฟังพร้อมทั้งหาหนังสือมาให้เด็กด้วย การที่เด็กได้ดูได้เห็น หนังสือจะช่วยให้เด็กค่อย ๆ เข้าใจในเรื่องของหนังสือและการอ่าน คือ เข้าใจว่าจะต้องอ่านจากซ้าย ไปขวา จากหน้าไปหลังและจากบนลงล่าง กุลวรา ชูพงศ์ไพโรจน์ (2557 : 11) กล่าวว่า วรรณกรรมสำหรับเด็กมีความสำคัญอย่างดี ต่อเด็ก เพราะวรรณกรรมสำหรับเด็กสามารถพัฒนาเด็กได้หลายด้าน คือ 1. สร้างความอบอุ่นในครอบครัว วรรณกรรมสำหรับเด็กประเภทมุขปาฐะ ไม่ว่าจะเป็น เพลงกล่อมเด็ก เพลงปลอบเด็ก เพลงขู่เด็ก การเล่นของเด็ก บทร้อยกรอง และนิทานสำหรับเด็ก มีส่วนอย่างยิ่งในการสร้างความรัก ความอบอุ่น ระหว่างผู้ใหญ่และเด็กในครอบครัว เด็กจะรู้สึกอบอุ่น ใจ มีคามรัก ความผูกพันต่อกัน 2. พัฒนาทักษะทางภาษา เมื่อเด็กได้ฟังการกล่อมของผู้ใหญ่จากเพลงกล่อมเด็ก หรือ จากบทร้อยกรอง บทเล่นของเด็ก เด็กย่อมได้รับการซึมซับทางภาษาโดยไม่รู้ตัว เด็ก ๆ จะได้วง คำศัพท์มากมาย เด็กได้พัฒนาทักษะทางภาษาทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการฟัง การพูด การอ่าน และการ


11 เขียน ตามลำดับ พัฒนาทักษะเหล่านี้จะค่อยไปทีละน้อย เพราะเด็กจะได้รับทางความสนุกเพลิดเพลิน โดยไม่รู้ตัว 3. ให้ข้อคิด คติเตือนใจในการดำรงชีวิต วรรณกรรมสำหรับเด็ก ไม่ว่าจะเป็นเพลงกล่อม เด็ก บทร้อยกรอง บทเล่นและนิทานสำหรับเด็ก นอกจากจะให้ความสนุกสนาน เพลิดเพลินแล้ว ยังสอดแทรกข้อคิด คติเตือนใจในการดำรงชีวิตในสังคม สอนให้เด็กเติบโตเป็นคนดีมีคุณธรรมโดยที่ เด็ก ๆ จะไม่รู้ตัวว่าถูกสอน 4. ช่วยรักษาศิลปวัฒนธรรมของชาติวรรณกรรมสำหรับเด็กจะสอดแทรกสภาพ แวดล้อมทางธรรมชาติ ชีวิต ความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยนั้น การร้อง การเล่า สืบทอดต่อ ๆ กันมา ทำให้วรรณกรรมมุขปาฐะสืบทอดมาได้จนถึงปัจจุบัน นิตยา วรรณกิตร์ (2559 : 23 - 25) กล่าวว่า วรรณกรรมสำหรับเด็กมีความสำคัญ ดังนี้ 1. ความสำคัญต่อตัวเด็ก 1.1 วรรณกรรมสำหรับเด็กช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางภาษา อารมณ์ ความคิด และสติปัญญา งานวรรณกรรมสามารถส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาของเด็กได้เป็นอย่างดี เปรียบเสมือนโลกแห่งการเรียนรู้เรื่องภาษาสำหรับเด็ก เด็กมีโอกาสได้ฟังพ่อแม่หรือครูอ่านหนังสือ ให้ฟังและได้ดูประกอบเรื่องบ่อย ๆ จะเกิดทักษะในการฟัง พูด อ่าน เขียน และมีความรู้ในการใช้ คำศัพท์ต่าง ๆ วรรณกรรมสำหรับเด็กที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการพัฒนาอารมณ์ของเด็กแต่ละช่วงวัย จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางอารมณ์ที่ดีขึ้น นอกจากนี้เรื่องที่สนุกสนาน ขบขันยังช่วยเสริมให้เด็ก มีอารมณ์ที่แจ่มใสร่าเริงด้วย อีกทั้งวรรณกรรมสำหรับเด็กยังช่วยฝึกฝนให้เด็กเกิดจินตนาการไปตาม วัย มีความคิดสร้างสรรค์รวมทั้งเสริมพัฒนาการทางความคิดและสติปัญญาในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การสังเกต การเปรียบเทียบ การจัดกลุ่มหรือการจัดประเภท การจัดลำดับ การสรุปความ การนำ ความรู้ไปใช้ และการวิพากษ์วิจารณ์ 1.2 วรรณกรรมสำหรับเด็กช่วยพัฒนาบุคลกิภาพ เด็กจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตของ ตัวละคร ปัญหา การแก้ปัญหา ส่วนที่ดีและส่วนที่ไม่ดีของตัวละคร จะทำให้เด็กรู้จักเปรียบเทียบกับ ตัวเองทั้งในแง่ความคิด ความรู้สึกและการประพฤติปฏิบัติสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะหล่อหลอมให้เด็กเป็น คนที่รู้จักนับถือตัวเอง เข้าใจตนเอง และรู้จักที่จะยอมรับนับถือผู้อื่น เข้าใจคนอื่นด้วยเช่นกัน 2. ความสำคัญต่อบิดา มารดา ผู้ปกครอง ครูและสถานศึกษา วรรณกรรมสำหรับเด็กเปรียบเสมือนเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่จะช่วยส่งเสริมการ เรียนรู้ เสริมสร้างระเบียบวินัย ลักษณะนิสัยความประพฤติที่ดี และกล่อมเกลาเด็กให้เป็นแนวทาง ที่ต้องการ วรรณกรรมสำหรับเด็กคือมิตรแท้ เป็นโลกแห่งความหวัง จินตนาการ และความคิด สร้างสรรค์สำหรับตัวเด็ก วรรณกรรมสำหรับเด็กจึงเป็นเสมือนครูคนหนึ่งที่สามารถเป็นแบบอย่างที่ดี สำหรับเด็กได้


12 3. ความสำคัญต่อสังคม การนำวรรณกรรมสำหรับเด็กมาใช้เป็นสื่อสำหรับเด็กและเยาวชนในสังคมได้ศึกษา เรียนรู้ เป็นการเตรียมพร้อมให้เด็กเป็นคนที่มีศักยภาพทั้งทางวิชาการและทางจิตใจ พร้อมที่จะเรียนรู้ การอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข พัชรี ผลโยธิน (2561 : 11 - 14) กล่าวว่า วรรณกรรมที่เป็นงานหนังสือ งานเขียน งาน ประพันธ์ ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองสำหรับเด็กปฐมวัยนั้นมีหลากหลายประเภท เป็นสมบัติทาง ความคิดของมนุษย์ที่มีคุณค่ามากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป และมีคุณค่าสำคัญอย่างมากต่อเด็กปฐมวัย ดังนี้ 1. คุณค่าทางอารมณ์ จิตใจ วรรณกรรมมีคุณค่าทางอารมณ์สำหรับเด็กปฐมวัย ช่วยให้ เกิดผลดีทางด้านอารมณ์ จิตใจของเด็ก วรรณกรรมจะกล่อมเกลาอารมณ์ทำให้เด็กคลายกังวล มีความรู้สึกแจ่มใส อารมณ์ดี เรื่องราวในวรรณกรรมอาจแฝงความรื่นเริงบันเทิงใจ อาจทำให้เด็ก หัวเราะกับคำพูดของตัวละครในหนังสือหรือข้อคิดของการทำความดี 2. คุณค่าทางคุณธรรม วรรณกรรมบางเรื่องอาจมีแง่คิดสอดแทรกคุณธรรม ความดีงาม บางประการไว้ เช่น ความเมตตากรุณา ความเอื้อเฟื้อแบ่งปัน ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ความ อดทน ความขยันหมั่นเพียร เป็นต้น ซึ่งในเนื้อหาแต่ละเรื่องจะให้แง่คิดแตกต่างกันไป เมื่ออ่านจนจบก็ จะพบว่าเนื้อหาได้สอดแทรกคุณธรรมโดยให้แง่คิดในมุมต่าง ๆ 3. คุณค่าทางวัฒนธรรม วรรณกรรมบางเรื่องทำหน้าที่เป็นผู้สืบต่อวัฒนธรรมของคนรุ่น หนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง โดยเนื้อหาบางเรื่องอาจสอดแทรกชีวิตความเป็นอยู่ ประเพณี ความเชื่อ การ ใช้ถ้อยคำ ภาษา อาหารการกิน เป็นต้น 4. คุณค่าทางจินตนาการ วรรณกรรมบางเรื่องช่วยสร้างจินตนาการและความคิด สร้างสรรค์ให้กับเด็กปฐมวัย จินตนาการเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเรียนรู้ภาษาของเด็ก เป็น กระบวนการคิดสร้างภาพในสิ่งที่เด็กไม่เคยพบหรือเคยเห็น คิดสิ่งที่แปลกใหม่ ทั้งยังช่วยเด็กสะท้อน สิ่งที่ตนคิดออกมา 5. คุณค่าทางสติปัญญา วรรณกรรมสำหรับเด็กปฐมวัยจำนวนมากจะมีการสอดแทรก การเรียนรู้ให้แก่เด็กโดยที่เด็กไม่รู้ตัว เด็กจะได้รับความคิด ความรู้จากการฟังหรือการอ่านหรือการ พูดคุยเกี่ยวกับตัวละครหรือเนื้อหาในวรรณกรรม ให้แง่คิดเกิดการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีความสำคัญในแง่การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร เห็นแบบอย่างที่ดีในการใช้คำต่าง ๆ สรุปได้ว่า วรรณกรรมมีคุณค่าหรือมีความสำคัญต่อเด็กปฐมวัยหลายประการ ทั้งคุณค่า ทางอารมณ์ จิตใจทำให้เด็กรู้สึกแจ่มใส อารมณ์ดี คุณค่าทางคุณธรรมให้แง่คิดสอดแทรกความดีงาม บางประการไว้ เช่น ความเอื้อเฟื้อแบ่งปัน ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ คุณค่าทางวัฒนธรรม สอดแทรกชีวิตความเป็นอยู่ ประเพณี ความเชื่อ การใช้ถ้อยคำภาษา อาหารการกิน คุณค่าทาง


13 จินตนาการ ช่วยสร้างจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ให้กับเด็ก และคุณค่าทางสติปัญญาช่วยให้เด็ก ปฐมวัยเกิดการเรียนรู้ เพิ่มพูนสติปัญญาทั้งการคิดและการใช้ภาษา อีกทั้งวรรณกรรมยังเสริมสร้าง พัฒนาการในด้านต่าง ๆ ทั้ง 4 ด้าน สนองความต้องการและความอยากรู้อยากเห็น รวมทั้งเตรียม ความพร้อมในการอ่านของเด็ก 1.3 ประเภทของวรรณกรรมสำหรับเด็ก นักการศึกษาหลายท่านได้จัดประเภทของวรรณกรรมสำหรับเด็กไว้อย่างหลากหลาย ดังนี้ กุลวรา ชูพงศ์ไพโรจน์ (2557 : 3 - 11) ได้จัดประเภทของวรรณกรรมสำหรับเด็ก ดังนี้ 1. วรรณกรรมมุขปาฐะสำหรับเด็ก คือวรรณกรรมสำหรับเด็กที่เล่ากันปากต่อปาก หรือ เรียกว่ามุขปาฐะ วรรณกรรมประเภทนี้เริ่มต้นจากความคุ้นเคยของเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูจาก ครอบครัว ชุมชน ได้แก่ บทกล่อมเด็ก บทปลอบเด็ก การเล่นของเด็ก บทร้อยกรองสำหรับเด็ก และ นิทานพื้นบ้าน 2. วรรณกรรมสำหรับเด็กปัจจุบัน คือวรรณกรรมสำหรับปัจจุบันมีหลายรูปแบบ ไม่ว่า จะเป็นหนังสือสำหรับเด็กก็มีรูปแบบพิเศษ เช่น หนังสือลอยน้ำ หนังสือผ้า หนังสือสามมิติ หนังสือยืด หนังสือสะท้อนแสง หนังสือมีกลิ่น หนังสือมีเสียง หนังสือเพื่อการสัมผัส หนังสือที่มีตัวหุ่นประกอบ หนังสือ ฯลฯ นอกจากหนังสือลักษณะพิเศษดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีสื่ออิเล็กทรอนิกส์รูปแบบต่าง ๆ เช่น ภาพยนตร์ วิดีทัศน์ คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต เสียงบันทึก ฯลฯ นิตยา วรรณกิตร์ (2559 : 18 - 22) ได้จัดประเภทวรรณกรรมสำหรับเด็ก ดังนี้ 1. การจำแนกประเภทตามเนื้อหาของเรื่อง แบ่งได้ 2 ประเภท 1.1 สารคดี (Non-Fiction) เป็นงานเขียนที่นำเสนอความจริงอย่างมีศิลปะและ สร้างสรรค์ สารคดีจึงเป็นหนังสือที่ให้ความรู้ความคิด และความบันเทิงไปพร้อมกัน เนื้อหาสาระมัก เกี่ยวกับความรู้เชิงวิชาการ เช่น ภาษา วัฒนธรรม สังคม ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ชีวประวัติบุคคล และสถานที่สำคัญ หากเป็นวรรณกรรมสำหรับเด็กในรูปแบบหนังสือมักจะเป็น หนังสือแบบเรียน หนังสืออ่านเสริมประสบการณ์ 1.2 บันเทิงคดี (Fiction) เป็นงานเขียนที่ผู้แต่งมีเจตนาจะให้ผู้อ่านได้รับความ สนุกสนานเพลิดเพลินเป็นสำคัญ ผู้แต่งอาจสมมติตัวละคร ฉาก เหตุการณ์ขึ้นเพื่อสะท้อนภาพเกี่ยวกับ การดำเนินชีวิตและการอยู่ร่วมกันในสังคม เช่น นิทาน เรื่องสั้น นวนิยาย การ์ตูน 2. การจำแนกตามรูปแบบของสื่อแบ่งได้ 3 ประเภท 2.1 สื่อสิ่งพิมพ์(Printed Media) หมายถึง วรรณกรรมสำหรับเด็กในรูปแบบของสื่อ หรือวัสดุตีพิมพ์ที่มุ่งเสนอเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อการบันทึกและเผยแพร่ความรู้ข่าวสารความ


14 บันเทิง มีทั้งรูปแบบของสิ่งพิมพ์ที่เป็นรูปเล่ม ได้แก่ นิตยสาร หนังสือสำหรับเด็กประเภทต่าง ๆ รวม ไปถึงสื่อประเภทภาพถ่ายหรือภาพวาด 2.2 สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Media) หมายถึง วรรณกรรมสำหรับเด็กใน รูปแบบของสื่อที่บันทึกสารสนเทศด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ซีดีรอม คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ ภาพยนตร์และอินเทอร์เน็ต 2.3 สื่อประเภทวัสดุหรืออุปกรณ์ (Materials and Equipment Media) หมายถึง วรรณกรรมสำหรับเด็กในรูปแบบของวัสดุหรืออุปกรณ์ที่นำมาใช้เป็นสื่อในการถ่ายทอดหรือช่วยเสริม กิจกรรมการเรียนรู้ให้แก่เด็ก เช่น หนังสือผ้า หนังสือลอยน้า ภาพกระดาษ หน้ากาก หุ่นประกอบการ เล่านิทาน 3. การจำแนกตามลักษณะคำประพันธ์แบ่งได้ 2 ประเภท 3.1 ร้อยแก้ว (Prose) หมายถึงข้อความที่เขียนหรือพูดทุกรูปแบบที่ไม่มีฉันทลักษณ์ บังคับ ส่วนใหญ่ ผู้แต่งมักใช้ระดับของภาษาให้เหมาะสมกับเรื่องที่เขียนหรือบุคคลที่เขียนถึง เช่น ใช้ ภาษาตรงไปตรงมาสำหรับการเขียนธรรมดา การใช้ภาษากึ่งทางการและทางการสำหรับการเขียน บทความ ตำรา ชีวประวัติ ใช้ภาษาที่สละสลวยน่าอ่านสา หรับการเขียนนิทาน เรื่องสั้น นวนิยาย 3.2 ร้อยกรอง (Poetry) หมายถึงวรรณกรรมที่มีการจัดรูปแบบให้มีระเบียบ แบบแผน วัตถุประสงค์สำคัญของงานเขียนประเภทนี้คือเพื่อให้ความรื่นรมย์ทางสุนทรียภาพหรือ ทางด้านสะเทือนอารมณ์เช่น นิทานคำกลอน ปริศนาคำทาย เพลงกล่อมเด็ก เพลงปลอบเด็ก เพลง ประกอบการละเล่นของเด็ก นิศารัตน์ อิสระมโนรส (2564 : 2 - 6) ได้จำแนกวรรณกรรมสำหรับเด็กออกเป็น ประเภทต่าง ๆ ตามลักษณะของแต่ละประเภท ดังนี้ 1. การแบ่งประเภทมีลักษณะการถ่ายทอด จำแนกได้ 2 ประเภท คือ 1.1 วรรณกรรมสำหรับเด็กมุขปาฐะ ได้แก่ วรรณกรรมสำหรับเด็กที่ถ่ายทอดกันมา ด้วยวิธีการบอกเล่า การขับร้อง และการเล่น สืบต่อกันมา วรรณกรรมสำหรับเด็กประเภทนี้ ได้แก่ ปริศนาคำทาย เพลงกล่อมเด็ก บทเล่นเด็ก และนิทานพื้นบ้าน 1.2 วรรณกรรมสำหรับเด็กลายลักษณ์ ได้แก่ วรรณกรรมสำหรับเด็กที่ถ่ายทอดด้วย การเขียน การพิมพ์ การจารึก และการจาร ไม่ว่าจะกระทำลงบนวัสดุประเภทใด เช่น แผ่นดินเหนียว แผ่นหนัง หิน ใบไม้ เยื่อไม้กระดาษ ฯลฯ จัดเป็นวรรณกรรมสำหรับเด็กประเภทลายลักษณ์ทั้งสิ้น 2. การแบ่งประเภทตามลักษณะของคำประพันธ์เป็นหลัก จำแนกได้ 2 ประเภท คือ 2.1 ประเภทร้อยกรอง วรรณกรรมสำหรับเด็กที่มีลักษณะบังคับในการแต่งหรือมี การกำหนดคณะ เช่น “มือของฉัน” โดยฐะปะนีย์ นาครทรรพ “ไผ่น้อย” โดยพูนเพชร บุญประเสริฐ เป็นต้น


15 2.2 ประเภทร้อยแก้ว วรรณกรรมสำหรับเด็กที่ไม่มีลักษณะบังคับในการแต่งหรือไม่มี การกำหนดคณะ เช่น “ชีวิตบ้านป่า” ของประสิทธิ์ มุสิกเกษม “จ้าวป่า” ของอำนาจ เย็นสบาย “ตุ๊กแกผู้อาภัพ” ของเฉิดฉาย เขมวิชานุรัตน์ “ลูกไก่แสนสวย” ของสุภา ลือศิริ เป็นต้น 3. การแบ่งตามลักษณะเนื้อหาเป็นหลัง จำแนกได้ 2 ประเภท คือ 3.1 ประเภทสารคดี สารคดี คือเรื่องราวที่เขียนขึ้นเพื่อให้ความรู้และข้อเท็จจริง ต่าง ๆ มากกว่าที่จะให้ความบันเทิงแก่เด็ก ตัวอย่างของวรรณกรรมสำหรับเด็กประเภทนี้ เช่น “แม่ โพสพ” ของ ม.ล.เติบ ชุมสาย “คู่มือเลี้ยงปลาตู้” ของวิริยะ สิริสิงห์ เป็นต้น 3.2 ประเภทบันเทิงคดี หมายถึง วรรณกรรมสำหรับเด็กที่แต่งขึ้นเพื่อให้ความ เพลิดเพลินบันเทิงในแก่เด็กมากกว่าที่จะให้ความรู้ เช่น “เอื้องแซะสีทอง” ของวิชา พรหมจันทร์ “อ้วนอี๊ดผจญภัย” ของ เบญจา แสงมะลิ เป็นต้น 4. การแบ่งตามจุดมุ่งหมายในการแต่ง จำแนกได้ 3 ประเภท คือ 4.1 ประเภทหนังสือแบบเรียน (Textbook) 4.2 ประเภทหนังสืออ่านเพิ่มเติม (Complementary Readers) 4.3 ประเภทส่งเสริมการอ่าน (Supplementary Readers) 5. การแบ่งประเภทตามลักษณะรูปเล่มและกำหนดเวลาที่ออกเป็นหลัก จำแนกได้4 ประเภท คือ 5.1 ประเภทหนังสือพิมพ์ (Newspaper) เป็นสิ่งพิมพ์ที่ใช้กระดาษขนาดใหญ่หลาย แผ่นพับได้ ไม่เย็บติดกัน หนังสือพิมพ์สำหรับเด็กที่เป็นภาษาไทยยังไม่มีบริษัทใดจัดทำจำหน่าย มีแต่ ทำกันขึ้นภายในโรงเรียนเพื่ออ่านกันเองเท่านั้น 5.2 ประเภทวารสาร(Periodical) 5.3 ประเภทหนังสือ (Books) 5.3.1 หนังสือภาพ (Picture Books) 5.3.2 หนังสือภาพชวนขัน (Comic Books) 5.3.3 หนังสือทั่ว ๆ ไป (Books) 5.4 ประเภทจุลสารหรืออนุสาร (Pamphlets) 6. การแบ่งประเภทตามอายุเป็นหลัก จำแนกได้ 5 ประเภท คือ 6.1 เด็กอายุ 2 - 3 ปี 6.2 เด็กอายุ 3 - 6 ปี 6.3 เด็กอายุ 6 -11 ปี 6.4 เด็กอายุ 11 - 14 ปี 6.5 เด็กอายุ 14 - 18 ปี


16 7. การแบ่งประเภทตามระดับชั้นเรียนเป็นหลัก จำแนกได้ 3 ประเภท คือ 7.1 เด็กระดับชั้นอนุบาล ซึ่งมีอายุระหว่าง 3 – 6 ปี 7.2 เด็กระดับชั้นประถมศึกษา ซึ่งอายุระหว่าง 7 – 12 ปี 7.3 เด็กระดับชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งมีอายุระหว่าง 13 – 18 ปี 8. การแบ่งประเภทตามรูปแบบเป็นหลัก จำแนกเป็น 7 ประเภท คือ 8.1 หนังสือภาพ 8.2 วรรณกรรมพื้นบ้าน 8.3 นิทานสมัยใหม่ 8.4 ร้อยกรอง 8.5 บันเทิงคดีร่วมสมัย 8.6 บันเทิงคดีอิงประวัติศาสตร์ 8.7 ความรู้และประวัติบุคคล สรุปได้ว่า วรรณกรรมสำหรับเด็กสามารถแบ่งได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่กำหนด ว่าจะแบ่งประเภทของวรรณกรรมโดยยึดเกณฑ์อะไร ในที่นี้ผู้วิจัยจะขอจำแนกประเภทของ วรรณกรรมสำหรับเด็กออกตามคุณค่าที่ให้ประสบการณ์ด้านต่าง ๆ แก่เด็ก ออกเป็น 3 ประเภท คือ วรรณกรรมที่ให้ประสบการณ์ด้านภาษา วรรณกรรมที่ให้ประสบการณ์ด้านจำนวนและตัวเลข และ วรรณกรรมที่ให้ประสบการณ์และความรู้รอบตัว 1.4 การเลือกวรรณกรรมที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย การคัดเลือกวรรณกรรมที่มีคุณภาพและเหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย มีเกณฑ์ทั่วไปใน การคัดเลือกวรรณกรรมสำหรับเด็กปฐมวัยทุกประเภท โดยพิจารณาภาพรวมขององค์ประกอบที่ สำคัญ ได้แก่ เนื้อหา ภาษา ภาพประกอบ โครงเรื่อง และขนาดรูปเล่ม นอกจากนี้ ยังมีเกณฑ์ในการ คัดเลือกวรรณกรรมสำหรับเด็กปฐมวัยเฉพาะประเภทที่องค์ประกอบมีรายละเอียดและลักษณะเฉพาะ แตกต่างจากวรรณกรรมทั่วไป โดย ธันยา พิทธยาพิทักษ์ (2561 : 40 - 42) ได้กล่าวถึงเกณฑ์สอง ประเภท ในการคัดเลือกวรรณกรรมสำหรับเด็กปฐมวัย ดังนี้ 1. เกณฑ์ทั่วไปในการคัดเลือกวรรณกรรมสำหรับเด็กปฐมวัย เกณฑ์ทั่วไปในการพิจารณาภาพรวมของวรรณกรรมสำหรับเด็กนั้น เป็นเกณฑ์ที่ใช้ได้ กับวรรณกรรมสำหรับเด็กในทุกประเภทที่มีองค์ประกอบตามตามวรรณกรรมสำหรับเด็กปฐมวัยที่พบ ได้ทั่วไป ในการใช้เกณฑ์ทั่วไปเพื่อคัดเลือกวรรณกรรม ครูควรพิจารณาลักษณะของวรรณกรรม ดังต่อไปนี้ 1.1 เนื้อหาตรงกับความสนใจของเด็กแต่ละวัย เป็นวรรณกรรมที่มีเนื้อหาน่าสนใจ สำหรับเด็ก ทำให้เด็กมีความสุข และมีความรู้สึกพึงพอใจ ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน เนื้อหาอาจ


17 เป็นเรื่องใกล้ตัว เช่น ครอบครัว สัตว์เลี้ยง หรือเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น สัตว์ป่า ทะเล หรือเป็นสิ่งที่เด็กสามารถจินตนาการได้ เช่น เทพนิยาย เป็นต้น 1.2 ภาษาถูกต้องและเหมาะสมกับวัย ภาษาที่ใช้ในคำประพันธ์ร้อยแก้ว ใช้ภาษาที่ อ่านแล้วเข้าใจง่าย ชัดเจน กระชับ ใช้ประโยคสั้น มีการใช้คำซ้ำหรือคำสัมผัส ช่วยให้เด็กจำได้ง่ายและ รวดเร็ว สะกดถูกต้อง ใช้สำนวนที่ดีและเหมาะสม มีการใช้คำที่หลากหลายแต่ไม่ซับซ้อนเกินความ เข้าใจของเด็ก ภาษาที่ใช้ในคำประพันธ์ประเภทร้อยแก้ว ใช้คำง่าย ชัดเจน ใช้คำที่คล้องจอง ได้จังหวะ มีท่วงทำนอง สื่อความหมายได้ถูกต้อง ใช้สำนวนโวหารไพเราะเหมาะสมกับวัยและตรงตาม ฉันทลักษณ์ของการประพันธ์ในแต่ละแบบ เช่น กลอนสี่ กลอนแปด นำเสนอคำใหม่หรือคำที่เด็ก ไม่คุ้นเคยในบริบทที่น่าสนใจ โดยใช้คำประกอบภาพเพื่อช่วยให้เกิดความเข้าใจคำนั้น ไม่ใช้คำที่ ประดิษฐ์ประกอยเกินไปและหลีกเลี่ยงภาษาที่เป็นทางการเกินไป ไม่ใช้การเขียนประโยคที่ห้วนและ คำศัพท์ที่ไม่มีชีวิตชีวา 1.3 ภาพชัดเจน เหมาะสม สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง และดึงดูดความสนใจ ภาพ ประกอบส่งเสริมหรือเพิ่มเติมให้เนื้อเรื่องสมบูรณ์ โดยการเพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับโครงเรื่องตัวละครหรือ ฉาก และแสดงให้เห็นบรรยากาศของเรื่อง ภาพช่วยสื่อสารเนื้อเรื่องกับเด็ก รายละเอียดของ ภาพประกอบควรเหมาะสมกับวัยของเด็กที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ภาพและตัวอักษรประสานกันได้อย่างดี มีความสมดุล ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งมากเกินไป วรรณกรรมภาพที่ดีในสายตาของเด็กกับเสียงผู้ใหญ่ ที่อ่านให้ฟังจะผสานกลมกลืนสนิทเนียนจนเกิดเป็นภาพต่อเนื่องเคลื่อนไหวในสมองเด็ก 1.4 โครงเรื่องไม่ซับซ้อน มีการดำเนินเรื่องที่ชัดเจน และรวดเร็วฉับไว มีโครงเรื่องที่ เข้าใจได้ง่าย เนื้อเรื่องไม่สับสน วกวน มีความสมบูรณ์ การดำเนินเรื่องต้องรวดเร็วและเชื่อมโยงเป็น เหตุผลสัมพันธ์กัน ใช้วิธีการดำเนินเรื่อง หรือเน้นเหตุการณ์ที่เด็กสามารถคาดคะเนเรื่องได้ มีการ นำเสนอปัญหาและวิธีการแก้ไขที่สอนโดยอ้อมและเด็กไม่รู้สึกว่ากำลังถูกปลูกฝังหรือสอน 1.5 ขนาดรูปเล่ม การจัดหน้า และจำนวนหน้ามีความเหมาะสม หนังสือมีขนาด รูปเล่มไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป จำนวนหน้าไม่มากเกินไป เหมาะสมกับเนื้อหาและวัยของเด็ก และ เหมาะสมกับจุดประสงค์ในการใช้ เช่น ถ้าครูเลือกวรรณกรรมเพื่ออ่านออกเสียงให้เด็กฟังเป็นกลุ่ม หนังสือควรมีขนาดที่ใหญ่เพียงพอให้เด็กสามารถมองเห็นรูปได้อย่างชัดเจน จัดหน้าให้ตัวอักษรโต ชัดเจน อ่านง่าย ไม่บังภาพ ตัวอักษรในแต่ละหน้าใช้เวลาในการอ่านไม่นาน เหมาะสมกับช่วงความ สนใจของเด็กปฐมวัย 2. เกณฑ์เฉพาะประเภทในการคัดเลือกวรรณกรรมสำหรับเด็กปฐมวัย นอกจากเกณฑ์ที่เป็นภาพรวมของวรรณกรรมสำหรับเด็กปฐมวัย ซึ่งสามารถ ประยุกต์ใช้ในการพิจารณาวรรณกรรมได้ทุกประเภทแล้ว วรรณกรรมสำหรับเด็กบางประเภทมี ลักษณะเฉพาะซึ่งแตกต่างจากประเภทอื่น ทำให้การใช้เกณฑ์ทั่วไปไม่ครอบคลุมถึงรายละเอียดที่


18 เกี่ยวข้องกับลักษณะเฉพาะของวรรณกรรมประเภทนั้น เพื่อให้ครูสามารถคัดเลือกวรรณกรรม ประเภทนั้น ๆ ได้เหมาะสมกับการนำไปใช้มากยิ่งขึ้น จึงมีเกณฑ์เพิ่มเติมเพื่อใช้ในการคัดเลือก วรรณกรรมนั้นคือเกณฑ์เฉพาะประเภท ในที่นี้นำเสนอเกณฑ์ในการเลือกวรรณกรรมความคิดรวบยอด วรรณกรรมหัดนับ และวรรณกรรมหัดอ่านพยัญชนะ ซึ่งเป็นวรรณกรรมที่เหมาะสมสำหรับเด็กวัย 3 – 5 ปี ในการเรียนรู้เข้าใจความคิดรวบยอดในเรื่องต่าง ๆ ตามวัย จากความคิดรวบยอดที่เข้าใจง่าย เช่น สี รูปทรง ตัวเลข ตัวอักษร ไปสู่ความคิดรวบยอดในสิ่งที่ซับซ้อนขึ้น เช่น เวลา วรรณกรรม ประเภทนี้มีทั้งตัวละครที่เป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของ ในการนำเสนอให้เด็กเข้าใจความคิดรวบยอดที่ ต้องการ ในที่นี้จะใช้คำว่า สิ่งของแทนตัวละคร คน หรือสัตว์ทั้งหมดที่นำเสนอวรรณกรรม เนื่องจาก วรรณกรรมประเภทนี้มีการนำเสนอด้วยสิ่งของเป็นส่วนใหญ่ วรรณกรรมทั้ง 3 ประเภทนี้ มีเกณฑ์ใน การคัดเลือกใกล้เคียงกันดังนี้ 2.1 ภาพประกอบแสดงสิ่งของครบถ้วน ชัดเจน ตรงกับความคิดรวบยอดที่ปรากฏ การเลือกวรรณกรรมความคิดรวบยอดสำหรับเด็กที่เริ่มเรียนรู้ (อายุ 3-5 ปี) ควรเลือกวรรณกรรมที่ แสดงให้เด็กเห็นลักษณะของสิ่งของที่สอดคล้องกับความคิดรวบยอดที่ถูกต้องและชัดเจน หากเป็น หนังสือความคิดรวบยอดเรื่องรูปทรงควรแสดงภาพที่เห็นรูปทรงอย่างถูกต้องตามแบบแผนและชัดเจน หากเป็นวรรณกรรมหัดนับ สิ่งของที่แสดงควรตรงตามจำนวนตัวเลข ตามลำดับ 1, 2, 3 ภาพตัวเลข ถูกต้องตามแบบแผนและชัดเจน หากเป็นวรรณกรรมหัดอ่าน สิ่งของที่แสดงควรตรงกับตัวพยัญชนะ นั้นอย่างชัดเจน ภาพตัวพยัญชนะถูกต้องตามแบบแผนและชัดเจน สิ่งของที่แสดงให้เห็นใน ภาพประกอบควรเป็นสิ่งของที่เด็กคุ้นเคย เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่เห็นในความเป็นจริงกับรูปภาพ และสร้างความคิดรวบบอดในเรื่องนั้น ๆ ได้ 2.2 ความคิดรวบยอดที่นำเสนอชัดเจน หนังสือประเภทนี้ไม่มีโครงเรื่อง แต่มีความ เชื่อมโยงของรายการสิ่งของที่แสดงในเล่ม ควรเลือกวรรณกรรมที่มีการเรียงลำดับสิ่งของต่าง ๆ เพื่อให้เด็กเข้าใจความคิดรวบยอดที่ต้องการนำเสนอได้อย่างชัดเจน การเรียงลำดับรายการสิ่งของโดย ส่วนใหญ่เป็นการเรียงหรือจากเล็กไปใหญ่จากน้อยไปมาก หรือจากมากไปน้อย จากก่อนไปหลัง จาก ใกล้ตัวไปไกลตัว จากรู้จักดีไปสู่ไม่ค่อยรู้จัก จากพบเห็นได้ง่ายไปสู่พบเห็นได้ยาก หรือมีวิธีการนำเสนอ ที่สร้างสรรค์ในลักษณะอื่น แต่มีส่วนที่เชื่อมโยงกันเพื่อให้เด็กเข้าใจความคิดรวบยอดที่ต้องการ นำเสนอ หากเป็นวรรณกรรมหัดนับ สิ่งของที่นำมานับเพื่อแสดงจำนวนของตัวเลขแต่ละตัว ควรมี แนวความคิดที่เชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน เช่น สิ่งของทั้งหมดเป็นสิ่งของใกล้ตัวที่เด็กคุ้นเคย เป็นต้น 2.3 จัดวางภาพให้มองเห็นสิ่งของที่แสดงได้ง่าย เหมาะกับวัยและความสามารถ ของเด็ก โดยทั่วไปหนังสือประเภทนี้เหมาะกับเด็กเล็ก จึงควรเลือกหนังสือที่มีหน้าเว้นว่างมาก ๆ เพื่อให้เด็กเห็นภาพได้ชัดเจน หลีกเลี่ยงการแสดงสิ่งของหลาย ๆ อย่าง ไว้ในหน้าเดียวกัน เพื่อป้องกัน ไม่ให้เด็กมีสิ่งอื่นกวนสายตา หรือทำให้เกิดความสับสนในการทำความเข้าใจ


19 2.4 นำเสนอด้วยวิธีแปลกใหม่ น่าสนใจ สร้างความสนุกสนาน หากความคิดรวบยอด หรือตัวเลขและพยัญชนะที่นำเสนอเป็นสิ่งที่เด็กรู้จักดีอยู่แล้ว ควรเลือกวรรณกรรมที่มีวิธีการนำเสนอ ด้วยวิธีที่ยากขึ้น เช่น นำเสนอให้เด็กเรียนรู้ตัวเลขพร้อมกับเรื่องราวในนิทาน นำเสนอตัวพยัญชนะที่ ซ่อนอยู่ในภาพประกอบอื่น หรือนำเสนอรูปแบบพยัญชนะที่มีความหลากหลาย ทั้งที่ถูกแบบแผนและ ที่ถูกตกแต่งให้มีลักษณะแปลก ๆ อาจมีลูกเล่นเพิ่มเดิมเพื่อให้เด็กจำได้แม่นยำขึ้น และรู้จักความคิด รวบยอดนั้นในลักษณะที่แตกต่างกันมากขึ้น โดยครูควรเลือกใช้กับเด็กให้เหมาะสมตามจุดประสงค์ ที่ตั้งไว้ 2.5 มีความแข็งแรงทนทาน หนังสือที่เลือกใช้กับเด็กที่เริ่มหัดอ่านโดยเฉพาะเด็กอายุ 3 ปีควรมีความแข็งแรงทนทานทั้งปก การเข้าเล่ม และวัสดุที่ใช้ทำหนังสือ อาจเป็นหนังสือที่ทำจาก วัสดุที่คงทน ไม่ฉีกขาดง่าย เช่น ผ้า ฟองน้ำหุ้มพลาสติก หรือกระดาษอัดแข็ง หรือทำจากกระดาษที่มี คุณภาพดี มีความหนาและทนทานต่อการเปิด สรุปได้ว่า เกณฑ์โดยทั่วไปในการคัดเลือกวรรณกรรมสำหรับเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพ เหมาะสำหรับเด็กปฐมวัย คือ การคัดเลือกวรรณกรรมที่มีเนื้อหาตรงกับความสนใจของเด็กแต่ละวัย ภาษาถูกต้องและเหมาะสมกับวัย ภาพชัดเจน เหมาะสมสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง โครงเรื่องไม่ซับซ้อน มี การดำเนินเรื่องที่ชัดเจน และรวดเร็วฉับไว ขนาดรูปเล่ม การจัดหน้า และจำนวนหน้ามีความ เหมาะสม ส่วนการคัดเลือกวรรณกรรมประเภทความคิดรวบยอด วรรณกรรมหัดนับ และวรรณกรรม หัดอ่านพยัญชนะ ควรคัดเลือกวรรณกรรมที่มีคุณสมบัติ คือ ภาพประกอบแสดงสิ่งของครบถ้วน ชัดเจน ตรงกับความคิดรวบยอดที่ปรากฏอย่างชัดเจน จัดภาพให้มองเห็นสิ่งของที่แสดงได้ง่าย เหมาะกับวัยและความสามารถของเด็ก นำเสนอด้วยวิธีแปลกใหม่ น่าสนใจ สร้างความสนุกสนาน และมีความแข็งแรงทนทาน 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหา 2.1 ความหมายของการคิดแก้ปัญหา นักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงความหมายของการคิดแก้ปัญหาไว้ดังนี้ บรูเนอร์(Bruner, 1971 : 201 อ้างอิงจาก ศศิธร พงษ์โภคา, 2557 : 27) กล่าวว่า การคิดแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการใช้ประสบการณ์เดิมจากการเรียนรู้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เป็นการแสดงความรู้ ความคิดของสถานการณ์ที่เป็นปัญหาในปัจจุบัน โดยนำมาจัดเรียงใหม่ เพื่อผล ความสำเร็จในจุดมุ่งหมายเฉพาะอย่าง สุวิทย์ มูลคำ (2549 : 15) กล่าวว่า การคิดแก้ปัญหา คือ ความสามารถทางสมองที่จะ คิดพิจารณาไตร่ตรองอย่างพินิจพิเคราะห์ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นปมประเด็นสำคัญที่ทำให้สภาวะความไม่


20 สมดุลเกิดขึ้น โดยพยายามหาหนทางคลี่คลายขจัดปัดเป่าประเด็นสำคัญเหล่านั้นให้กลับเข้าสู่สภาวะ สมดุล หรือสภาวะที่เราคาดหวัง ดารา วิมลอักษร (2552 : 55) กล่าวว่า การคิดแก้ปัญหา เป็นกระบวนการทางสมอง ที่ทำให้บุคคลคิดอย่างมีจุดมุ่งหมาย เมื่อเกิดความไม่สมดุลหรือเกิดปัญหาขึ้น จึงต้องใช้ความรู้ ประสบการณ์เดิมในการคิดแก้ปัญหานั้น ๆ ทำให้เกิดการเรียนรู้และการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ (2556 : 161) กล่าวว่า การคิดแก้ปัญหา เป็นกระบวนการคิด พิจารณาไตร่ตรองอย่างพินิจพิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นประเด็นสำคัญของเรื่องหรือสิ่งต่าง ๆ ที่คอย ก่อกวน สร้างความรำคาญ สร้างความยุ่งยากสับสนและความวิตกกังวล และพยายามหาหนทาง คลี่คลายสิ่งเหล่านั้นให้ปรากฏ และหาหนทางขจัดสิ่งที่เป็นปัญหาก่อความรำคาญ ความวิตกกังวล ความยุ่งยากสับสนให้หมดไป เพียงจิต ศรีสุก (2556 : 52) กล่าวว่า ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาเป็น กระบวนการทำงานของสมอง การคิด และการวิเคราะห์เรื่องราวด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ตลอดจนจากการเรียนรู้และประสบการณ์เดิม แล้วนำไปสู้ขั้นตอนหรือวิธีการในการแก้ปัญหาเพื่อให้ บรรลุจุดมุ่งหมายที่ต้องการหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบ สุปรีชา วงศ์อารีย์ (2558 : 89) กล่าวว่า การคิดแก้ปัญหา หมายถึง การคิดที่นำ ประสบการณ์เดิมที่เกิดจากการเรียนรู้มาเป็นพื้นฐานการแก้ปัญหาในสถานการณ์หรือปัญหาใหม่ โดย มีขั้นตอนหรือกระบวนการในการแก้ปัญหาให้บรรลุเป้าหมายหรือเป้าประสงค์ที่กำหนดไว้ ซึ่ง ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของบุคคลจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะทางสมอง ประสบการณ์ ความสนใจ สติปัญญา ความพร้อม แรงจูงใจ อารมณ์ และสภาพแวดล้อม สรุปได้ว่า การคิดแก้ปัญหา หมายถึง กระบวนการหรือขั้นตอนที่ผ่านการคิด โดยอาศัย ความรู้ ประสบการณ์เดิมที่เกิดจากการเรียนรู้มาเป็นพื้นฐานในการขจัดอุปสรรค หรือปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ต้องการ 2.2 ความสำคัญของการคิดแก้ปัญหา นักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงความสำคัญของการคิดแก้ปัญหาไว้ดังนี้ ดารา วิมลอักษร (2552 : 56) กล่าวว่า การคิดแก้ปัญหาเป็นทักษะสำคัญและจำเป็น ของมนุษย์ที่อยู่ในภาวะสังคมปัจจุบันซึ่งในระบบการศึกษาจะต้องให้ความสำคัญในการพัฒนา ฝึกฝน เยาวชนทั้งในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียนได้มีโอกาสฝึกทักษะการคิดแก้ปัญหาให้มาก ผู้ที่มีหน้าที่ รับผิดชอบจัดการศึกษาทุกระดับจะต้องร่วมมือกันฝึกฝน พัฒนาให้เด็กและเยาวชนของชาติได้มี โอกาสฝึกทักษะการคิดแก้ปัญหาในรูปแบบที่หลากหลายเพื่อประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ


21 นภาปิย สิริกรกาญจนา (2553 : 10) กล่าวว่า การคิดแก้ปัญหามีความสำคัญต่อการ ดำรงชีวิตของมนุษย์ในสังคม เนื่องจากการคิดแก้ปัญหาจะเป็นการตัดสินใจเพื่อหาแนวทางแก้ไขให้ ปัญหานั้นผ่านไปด้วยดีผู้ที่มีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาย่อมประสบผลสำเร็จทั้งในชีวิตและ สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข แสงโสม กชกรกมุท (2563 : 7 – 8) กล่าวว่า การคิดแก้ปัญหามีความสำคัญทั้งต่อ ตัวเด็กปฐมวัยและผู้เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยดังนี้ 1. ช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง การคิดแก้ปัญหาช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ว่า อะไร คือปัญหาที่แท้จริง อะไรเป็นสาเหตุของปัญหา รวมถึงสามารถหาวิธีการแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ ซึ่งการที่ เด็กได้วิเคราะห์ปัญหานำไปสู่การพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงได้ เช่น เด็กสามารถรู้เท่าทันปัญหาโดยใช้ ทักษะการทำนาย การตั้งสมมติฐาน และการทดสอบสมมติฐาน ดังตัวอย่างเช่น เด็กวัย 5 ขวบ สามารถคาดเดาว่า ถ้าเดินถือแก้วน้ำที่มีน้ำอยู่เต็มแก้วอาจทำให้น้ำหกได้ (การทำนาย) จึงคิดว่าไม่ควร เติมน้ำเต็มแก้ว เพราะจะทำให้สามารถเดินถือแก้วน้ำได้โดยไม่หก (การตั้งสมมติฐาน) และเมื่อเด็กได้ ทดลองทำ ก็ได้ผลตามที่คิดไว้ (การทดสอบสมมติฐาน) เป็นต้น นอกจากนี้การคิดแก้ปัญหาทำให้เด็ก รู้จักยืดหยุ่นทางความคิด ตระหนักได้ว่าการแก้ปัญหามีหลายวิธีรวมถึงผนวกวิธีการอื่น ๆ ในการ แก้ปัญหาได้ โดยใช้การประยุกต์และการผสมผสาน ตัวอย่างเช่น เด็ก 4 ขวบ พยายามหาวิธีการ ต่าง ๆ ในการติดใบไม้ลงบนกระดาษ โดยใช้เครื่องเย็บกระดาษแทนการใช้กาวอย่างที่เคยทำ (การประยุกต์) และยังคงใช้วิธีทากาวเพื่อติดใบไม้ลงบนกระดาษให้แน่นขึ้น (การผสมผสาน) เป็นต้น จะเห็นได้ว่า เด็กปฐมวัยสามารถพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงผ่านการคิดแก้ปัญหา 2. ช่วยให้เด็กมีประสบการณ์และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาอื่น ๆ ที่มี ลักษณะคล้ายคลึงกัน การคิดแก้ปัญหาทำให้เด็กมีประสบการณ์ในการจัดการปัญหา มีวิธีการต่าง ๆ ในการแก้ปัญหา ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมในการแก้ปัญหาอื่น ๆ ที่มี ลักษณะคล้ายกัน ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้จากการแก้ปัญหาในแต่ละครั้ง จะเห็นได้ว่าการคิดแก้ปัญหา มีความสำคัญและจำเป็นต่อการเรียนรู้ ซึ่งเด็กปฐมวัยควรได้รับการส่งเสริมและพัฒนาการคิด แก้ปัญหาอย่างถูกต้องเหมาะสม เพื่อการเรียนรู้ที่ดีและใฝ่หาความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและ สังคม 3. ช่วยให้เด็กรู้จักแก้ปัญหาด้วยตัวเองและปลูกฝังความรับผิดชอบต่อปัญหาโดยไม่เป็น ภาระของผู้อื่น การส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาการคิดแก้ปัญหา นอกจากช่วยให้เด็กได้เรียนรู้หาวิธีการ แก้ปัญหาที่ถูกต้องเหมาะสม โดยไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนและได้ลงมือแก้ปัญหาด้วยตัวเองแล้ว เด็กยัง ได้รับการส่งเสริมคุณลักษณะที่ดีต่าง ๆ ได้แก่ การรู้จักพึ่งพาตนเอง การช่วยเหลือตนเองเมื่อมีปัญหา เกิดขึ้น และความรับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง ซึ่งจะปลูกฝังให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ของสังคม เพราะมีความรับผิดชอบและคิดแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยตัวเอง โดยไม่หลีกหนีปัญหาหรือผลัก


22 ภาระให้ผู้อื่นรับผิดชอบแทน จึงเท่ากับว่าการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยจะไม่ทำให้ผู้อื่นต้องคิด แก้ปัญหานั้นแทน 4. ช่วยให้เด็กมีความสุขและเห็นคุณค่าในตนเองจากการแก้ปัญหาได้ การที่เด็กปฐมวัย สามารถคิดแก้ปัญหาและประสบความสำเร็จจากการลงมือแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง ทำให้เกิด ความรู้สึกพึงพอใจและมีความสุขจากผลที่ได้รับ 5. ช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องกับเด็กเกิดความพึงพอใจ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูและผู้เกี่ยวข้องกับ การพัฒนาเด็กปฐมวัยจะเกิดความรู้สึกพึงพอใจเมื่อเห็นผลสำเร็จของการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย อีกทั้งยังมีความรู้สึกชื่นชมยินดีและภาคภูมิใจที่เด็กสามารถคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง รู้จักพึ่งพาตนเอง รับผิดชอบปัญหาของตนเองได้ สรุปได้ว่า การคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย ช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง ช่วย ให้เด็กมีประสบการณ์และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ช่วยให้เด็กรู้จักแก้ปัญหาด้วยตัวเองและปลูกฝังความรับผิดชอบต่อปัญหาโดยไม่เป็นภาระของผู้อื่น ช่วยให้เด็กมีความสุขและเห็นคุณค่าในตนเองจากการแก้ปัญหาได้ และช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องกับเด็ก เกิดความพึงพอใจ 2.3 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหา ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย มีหลายทฤษฎีที่สามารถนำมา เชื่อมโยงกับการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยได้ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทฤษฎีพัฒนาการ และกลุ่มทฤษฎีการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้ 1. กลุ่มทฤษฎีพัฒนาการ การคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยสามารถใช้กลุ่มทฤษฎีพัฒนาการมาอธิบายให้เห็น เกิดความเข้าใจได้ในที่นี้จะกล่าวถึงกลุ่มทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์(Piaget) ทฤษฎี พัฒนาการทางสติปัญญาของบรูเนอร์(Bruner) และทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของ โคลเบิร์ก (Kohlberg) โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.1 ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์(Piaget) เป็นทฤษฎีว่าด้วยการ พัฒนาสติปัญญาของมนุษย์ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยที่มีพัฒนาการทางสติปัญญาอย่างสมบูรณ์ เมื่อ มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทำให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาการคิดจากรูปธรรมไปสู่นามธรรม โดยอาศัยกระบวนการทำงานของโครงสร้างความคิดในสมองที่มีการจัดระบบ ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้บุคคลทำความเข้าใจความหมายของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งการทำงานของโครงสร้าง ความคิดนี้ แบ่งเป็น 2 กระบวนการ คือ (จินตนา ธนวิบูลย์ชัย, 2559) 1) กระบวนการดูดซึมเข้าสู่โครงสร้างหรือการซึมซาบประสบการณ์ (Assimilation) เป็นกระบวนการรับข้อมูลมาตีความหมาย พยายามทำความเข้าใจตามระดับ


23 สติปัญญาของแต่ละบุคคล โดยนำมาปรับเข้ากับความรู้เดิมที่มีอยู่ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการซึมซับ ข้อมูลเข้าไปในโครงสร้างความคิดหรือประสบการณ์เดิม ตัวอย่างเช่น เด็กรู้จักใช้กระดาษทิชชูซับน้ำ ที่หกลงพื้นได้ 2) กระบ วนการป รับ ขยายห รือการป รับโครงสร้าง ทางสติปั ญ ญ า (Accommodation) เป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางความคิดที่มีอยู่เดิมให้สามารถ ตอบสนองข้อมูลใหม่ที่รับเข้ามาทำให้เกิดโครงสร้างความคิดใหม่ในสมอง ตัวอย่างเช่น เด็กเข้าใจว่า เวลาทำน้ำหกสามารถใช้ผ้าขนหนูเช็ดแทนกระดาษทิชชู และยังสามารถนำกลับเอามาใช้ใหม่ได้โดย ไม่ต้องทิ้ง เมื่อบุคคลพยายามจัดโครงสร้างความคิดด้วยกระบวนการทั้ง 2 นี้ได้อย่างผสมผสาน กลมกลืนกัน จะทำให้เกิดสภาวะที่มีความสมดุล (equilibrium) สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ แต่ถ้าหากบุคคลไม่สามารถปรับข้อมูลหรือประสบการณ์ใหม่ให้เข้ากับโครงสร้างความคิดได้ จะทำให้ เกิดสภาวะที่ขาดความสมดุล (disequilibrium) ซึ่งเป็นผลให้เกิดปัญหา ความขัดแย้ง ความสับสน ตลอดจนความไม่สบายใจ ซึ่งอาจเป็นแรงผลักดันให้บุคคลพยายามแสวงหาวิธีการใหม่เพื่อให้การ ทำงานของโครงสร้างความคิดด้วยกระบวนการทั้งสองนี้เกิดความสมดุล หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นการ พัฒนาการคิดแก้ปัญหา อย่างไรก็ดีเพียเจต์เชื่อว่า พัฒนาการคิดของมนุษย์มีความต่อเนื่องและเจริญ ขึ้นตามวุฒิภาวะ โดยมีทั้งหมด 4 ขั้น แต่ในที่นี้จะกล่าวถึง 2 ขั้นแรกที่เกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหา ของเด็กปฐมวัย ซึ่งอธิบายได้ดังนี้ (ดวงพร ผกามาศ, 2554; วรรณภา เหล่าไพศาลพงษ์, 2554; ศศิธร พงษ์โภคา, 2557) 1) ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensorimotor stage) อยู่ในช่วงแรกเกิด – 2 ปี เด็กจะรับรู้โดยใช้อวัยวะสัมผัส การประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อมือและตา เด็กจะเรียนรู้ว่า การกระทำของตนสามารถส่งผลต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบได้ ในขั้นนี้เด็กจะชอบทำอะไรซ้ำ ๆ เป็น การเลียนแบบ พยายามคิดแก้ปัญหาแบบลองผิดลองถูก เมื่อสิ้นสุดระยะนี้ เด็กจะมีการแสดงออกของ พฤติกรรมอย่างมีจุดมุ่งหมาย และสามารถแก้ปัญหาโดยเปลี่ยนวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แต่ความสามารถในการวางแผนของเด็กยังอยู่ในขีดจำกัด 2) ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational stage) อยู่ในช่วงอายุ 2 – 7 ปี เด็กจะ สามารถควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ และทำงานประสานสัมพันธ์กันได้มากขึ้น มีพัฒนาการ ทางภาษาดีขึ้น แต่สำหรับเด็กเล็กยังมีการยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง (egocentrism) ที่ยึดถือการรับรู้ ของตนเองเป็นสำคัญ ไม่รับรู้ความคิดเห็นของผู้อื่น ในระยะนี้เพียเจต์ได้แบ่งเป็น 2 ขั้นย่อย คือ (1) ขั้นก่อนเกิดความคิดรวบยอดอย่างใช้เหตุผล (Preconceptual thought) อยู่ในช่วงอายุ 2 – 4 ปี ความคิดของเด็กวัยนี้ขึ้นอยู่กับการรับรู้เป็นส่วนใหญ่สามารถเข้าใจความหมาย ของสัญลักษณ์ การใช้ภาษา แต่การคิดแก้ปัญหาในกิจกรรมการเรียนรู้ยังมีข้อจำกัด เพราะเด็กยังยึด


24 ตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่สนใจเหตุผลของคนอื่น จึงแก้ปัญหาไม่ค่อยถูกต้อง แต่สามารถใช้เหตุผล เบื้องต้นโดย โยงความสัมพันธ์ระหว่าง 2 เหตุการณ์หรือมากกว่ามาเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกัน และกันได้ (2) ขั้นการคิดด้วยความเข้าใจของตนเอง (Intuitive thought) อยู่ในช่วงอายุ 4 – 7 ปี ความคิดของเด็กวัยนี้จะเริ่มมีเหตุผลมากขึ้น มีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ดีขึ้น มีความสนใจอยากรู้อยากเห็น รู้จักจำแนกแยกแยะได้มากขึ้น มีการคิดแก้ปัญหาโดยการตัดสิน จากผลของการกระทำต่าง ๆ จากสิ่งที่เห็น เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาโดยการเลียนแบบพฤติกรรมของ ผู้ใหญ่ที่อยู่รอบข้าง มีการใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการคิดแก้ปัญหา เช่น ตั้งคำถาม อธิบายเหตุผล อย่างง่าย เป็นต้น สรุปได้ว่า ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคิด แก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย แบ่งเป็น 2 กระบวนการ ได้แก่ กระบวนการดูดซึมเข้าสู่โครงสร้างหรือการ ซึมซาบประสบการณ์ และกระบวนการปรับขยายหรือการปรับโครงสร้างสติปัญญา ซึ่งการพัฒนาการ คิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย จะช่วยให้โครงสร้างความคิดเกิดสภาวะที่สมดุล ขั้นพัฒนาการทาง สติปัญญาของเพียเจต์ที่เกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหา ได้แก่ ขั้นการใช้ประสาทสัมผัส และขั้นก่อน ปฏิบัติการคิด ซึ่งมี 2 ขั้นย่อย คือ ขั้นก่อนเกิดความคิดรวบยอด และขั้นการคิดด้วยความเข้าใจของ ตนเอง ซึ่งเป็นความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีนี้สามารถนำไปพัฒนาการคิดแก้ปัญหาของเด็ก ปฐมวัยต่อไป 1.2 ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูเนอร์ (Bruner) ทฤษฎีนี้อธิบายว่า การ เรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคมที่บุคคลได้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและลงมือปฏิบัติ นำไปสู่การค้นพบการแก้ปัญหา และการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของ ประสบการณ์หรือความรู้เดิม บุคคลจะต้องเป็นผู้เลือกข้อมูลหรือสิ่งที่สนใจ สร้างสมมติฐาน ตลอดจน ตัดสินใจโดยบูรณาการประสบการณ์ใหม่ไปสู่โครงสร้างความคิด บรูเนอร์เน้นที่ความสำคัญของ สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมว่ามีอิทธิพลต่อการพัฒนาสติปัญญาและความคิดของบุคคล ซึ่งได้อธิบาย ลักษณะพัฒนาการทางสติปัญญาไว้ 6 ประการคือ (ดวงพร ผกามาศ, 2554; วรรณภา เหล่าไพศาล พงษ์, 2554) 1) เป็นการพัฒนาจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้าไปตามธรรมชาติ 2) ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่เรียนรู้สะสมเพิ่มในโครงสร้างความคิด 3) เป็นความสามารถที่เพิ่มขึ้นในการให้ข้อมูลกับตนเองและคนอื่น โดยใช้คำ และสัญลักษณ์ แทนสิ่งที่เกิดจากประสบการณ์ 4) ขึ้นอยู่กับการปฏิสัมพันธ์อย่างมีระบบและสม่ำเสมอระหว่างสิ่งแวดล้อม และบุคคล


25 5) ขึ้นอยู่กับการสื่อสารทางภาษา ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ระหว่างบุคคล 6) เป็นการเพิ่มปริมาณความสามารถที่จะโต้ตอบสิ่งเร้าที่เพิ่มขึ้นและสามารถ ตัดสินใจเลือกกระทำต่อสิ่งเร้าที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในเวลาที่เหมาะสมถูกต้อง ขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูเนอร์มีทั้งหมด 3 ขั้น แต่ในที่นี้จะกล่าวถึง 2 ขั้นแรกที่เกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย ดังนี้ (ศศิธร พงษ์โภคา, 2557; ศิรินาถ บัวคลี่, 2549) 1) ขั้นการเรียนรู้จากการกระทำ (Enactive stage) อยู่ในช่วงแรกเกิด– 2 ปี เด็กเรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสและลงมือกระทำ ดังนั้นเด็กจึงสามารถคิดแก้ปัญหาอย่างง่าย ๆ ได้ด้วยตนเองโดยเรียนรู้จากผลของการกระทำ ยกตัวอย่างเช่น ครูให้เด็กไปหาตุ๊กตาที่หายไป เด็กสามารถหาตุ๊กตามาได้ เพราะตัวเองเป็นคนเอาไปเก็บ เป็นต้น ในขั้นนี้เด็กจะเริ่มรู้จักการคิดริเริ่ม และคิดค้นวิธีการเพื่อใช้แก้ปัญหาด้วยการทดลอง 2) ขั้นการเรียนรู้จากการสร้างภาพในใจ (Iconic stage) อยู่ในช่วงอายุ 2–7 ปี ซึ่งเด็กรับรู้จากสิ่งเร้าและเกิดภาพในสมองหรือจินตนาการ สามารถเข้าใจสัญลักษณ์ และใช้ภาษา ในการสื่อความหมาย ดังนั้นเด็กจึงสามารถคิดแก้ปัญหาด้วยการรับรู้และใช้ภาพในใจ ยกตัวอย่างเช่น ครูให้เด็กหาภาพความสัมพันธ์ โดยให้โจทย์คือ ภาพคุณหมอ เด็กจึงเลือกภาพโรงพยาบาล เป็นต้น สรุปได้ว่า ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูเนอร์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคิด แก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย ขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูเนอร์ที่เกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหาของ เด็กปฐมวัยมี 2 ขั้น ได้แก่ ขั้นการเรียนรู้จากการกระทำ และขั้นการเรียนรู้จากการสร้างภาพในใจ ซึ่ง ความรู้และความเข้าใจนี้สามารถนำไปพัฒนาการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยต่อไป 1.3 ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก (Kohlberg) เป็นทฤษฎีว่าด้วย ความประพฤติในลักษณะ ถูก–ผิด–ดี–ชั่วของมนุษย์ เมื่อมนุษย์มีการเรียนรู้และมีโครงสร้างความคิด เพิ่มพูนมากขึ้น ทำให้จริยธรรมของบุคคลมีการพัฒนาขึ้นไปตามวัยและวุฒิภาวะทางสติปัญญา โดยมี ความสัมพันธ์กับเวลา สถานที่ วัฒนธรรม และสภาพการณ์ จริยธรรมไม่ได้ถูกสร้างขึ้นภายในหนึ่งวัน บุคคลจะมีอุปนิสัยดีงาม ต้องสร้างเสริมและสะสมจากการเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมด้วยกระบวนการ ทางสังคมซึ่งเกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรมกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นหากยังไม่ถึงวัยอันควร จริยธรรมบางอย่างจะไม่เกิดขึ้น (ชัยพร วิชชาวุธ และธีระพร อุวรรณโณ, 2534 : 96) ขั้นพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์กแต่ละขั้นเป็นผลจากการคิดไตร่ตรอง ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลนำมาพิจารณา ส่วนหนึ่งเป็นความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ และ อีกส่วนหนึ่งเป็นประสบการณ์ที่ได้รับใหม่ ซึ่งได้แบ่งออกเป็น 3 ระดับ แต่ละระดับแบ่งออกเป็น 2 ขั้น ดังนั้นขั้นพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก จึงมีทั้งหมด 6 ขั้น แต่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคิด


26 แก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย ตามขั้นพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก สามารถนำมาอธิบายได้ในขั้น ที่ 1 ของระดับที่ 1 ดังนี้ (ดวงเดือน พันธุมนาวิน, 2538) ระดับที่ 1 ระดับก่อนกฎเกณฑ์สังคม (Pre-conventional level) อยู่ในช่วง อายุ 2-10 ปี การที่เรียกระดับนี้ว่า ก่อนเกณฑ์สังคม เพราะว่าเด็กในวัยนี้ยังไม่เข้าใจกฎเกณฑ์สังคม แต่จะยอมรับเป็นข้อกำหนดว่าพฤติกรรมอะไรดีและไม่ดีจากผู้มีอำนาจเหนือตน เช่น พ่อแม่ ครู หรือ เด็กที่โตกว่า ซึ่ง พฤติกรรม“ดี” คือพฤติกรรมที่แสดงแล้วได้รางวัล และพฤติกรรม “ไม่ดี” คือ พฤติกรรมที่แสดงแล้วได้รับการลงโทษ การเรียนรู้จริยธรรมในระดับนี้ คือ การหลีกเลี่ยงการลงโทษ และคิดถึงผลตอบแทนที่เป็น ประโยชน์ ในระดับนี้ ขั้นที่เกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย ได้แก่ ขั้นที่ 1 การถูกลงโทษและการเชื่อฟัง (Punishment and obedience orientation) อยู่ในช่วงอายุ 2-7 ปี เด็กจะใช้วิธีการคิดแก้ปัญหาโดยการยอมทำตามคำสั่งผู้มีอำนาจ เหนือตน โดยไม่มีเงื่อนไข เพื่อไม่ให้ตนถูกลงโทษ ขั้นนี้แสดงพฤติกรรมการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย ที่เป็นการหลบหลีกการถูกลงโทษเพราะกลัวความเจ็บปวด ยอมทำตามผู้ใหญ่เพราะมีอำนาจทางกาย เหนือตน ถ้าเด็กถูกทำโทษ ก็จะคิดว่าสิ่งที่ตนทำ “ผิด” และจะคิดแก้ปัญหาโดยพยายามหลีกเลี่ยง ไม่ทำสิ่งนั้นอีก ส่วนพฤติกรรมที่มี รางวัลหรือคำชม เด็กก็จะคิดว่าสิ่งที่ตนทำ “ถูก” จะคิดแก้ปัญหา โดยการทำซ้ำเพื่อหวังรางวัล สรุปได้ว่า ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคิด แก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยโดยเฉพาะเรื่องความประพฤติในลักษณะถูก-ผิด ตามขั้นพัฒนาการทาง จริยธรรมของโคลเบิร์ก ได้แก่ ระดับที่ 1 ระดับก่อนกฎเกณฑ์สังคม (2-10 ปี) ในขั้นที่ 1 การถูก ลงโทษและการ เชื่อฟัง (2-7 ปี) ซึ่งเป็นความรู้และความเข้าใจที่สามารถนำไปพัฒนาการคิดแก้ปัญหา ของเด็กปฐมวัยต่อไป 2. กลุ่มทฤษฎีการเรียนรู้ สำหรับการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยในช่วงอายุ 3-6 ปี ที่เกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหา สามารถอธิบายได้โดยใช้ทฤษฎีการเรียนรู้ ได้แก่ ทฤษฎีการเรียนรู้ของไวก็อตสกี้(Vygotsky) ทฤษฎี การเรียนรู้ทางปัญญาสังคมของแบบดูรา (Bandura) และทฤษฎีการเรียนรู้แบบเชื่อมโยงของธอร์น ไดค์(Thorndike) โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 2.1 ทฤษฎีการเรียนรู้ของไวก็อตสกี้(Vygotsky) ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมและ สังคม ไวก็อตสกี้อธิบายว่า มนุษย์ได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งนอกจากสิ่งแวดล้อม ทางธรรมชาติแล้ว ยังมีสิ่งแวดล้อมทางสังคม คือ วัฒนธรรมที่สังคมสร้างขึ้น ดังนั้นสถาบันสังคม ต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่สถาบันครอบครัวจะมีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของแต่ละบุคคล เด็กเรียนรู้สัญลักษณ์ต่าง ๆ และคำพูดเป็นครั้งแรกจากสังคม ซึ่งความสามารถในการสื่อสาร


27 ด้านภาษาเป็นพื้นฐานที่ทำให้เด็กแตกต่างจากสัตว์ นอกจากนั้นภาษา ยังเป็นเครื่องมือสำคัญของการ คิดและพัฒนาเชาวน์ปัญญาขั้นสูง พัฒนาการทางภาษาและพัฒนาการคิดของเด็กเริ่มด้วยการพัฒนาที่ แยกจากกัน แต่เมื่ออายุมากขึ้น พัฒนาการทั้งสองด้านจะพัฒนาไปร่วมกัน ไวก็อตสกี้แบ่งระดับเชาวน์ ปัญญาออกเป็น 2 ขั้น คือ (ศิรินาถ บัวคลี่, 2549) 1) เชาวน์ปัญญาขั้นเบื้องต้น คือ เชาวน์ปัญญามูลฐานตามธรรมชาติโดยไม่ต้อง เรียนรู้ 2) เชาวน์ปัญญาขั้นสูง คือ เชาวน์ปัญญาที่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ที่ ให้การอบรม เลี้ยงดู ถ่ายทอดวัฒนธรรมให้โดยใช้ภาษา ไวก็อตสกี้ได้แบ่งพัฒนาการทางภาษาเป็น 3 ขั้น คือ 1) ภาษาที่ใช้ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เรียกว่า ภาษาสังคม (Social speech) เป็น ภาษา ที่เด็กใช้ในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น ในช่วงอายุแรกเกิด - 3 ปี เพื่อสื่อสารความคิดความรู้สึก ต่าง ๆ ที่ตนนั้นกำลังนึกคิด และต้องการที่จะแสดงความต้องการอารมณ์ ความรู้สึกของตนเองกับผู้อื่น 2) ภาษาที่พูดกับตนเอง (Egocentric speech หรือ Private speech) เป็นภาษาที่ เด็กใช้พูดกับตนเองในช่วงอายุ 3-7 ปี โดยไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น เพื่อช่วยในการคิดตัดสินใจแสดง พฤติกรรม 3) ภาษาที่พูดในใจเฉพาะตน (Inner speech) Vygotsky อธิบายว่า มนุษย์ต้องใช้ ภาษาในการคิด เด็กจะต้องพัฒนาภาษาในใจ ซึ่งเป็นการช่วยให้พัฒนาการทางสติปัญญาพัฒนาสูงขึ้น ตามระดับอายุ การพัฒนาภาษาภายในตนเองเกิดขึ้นในช่วงอายุประมาณ 7 ปี เมื่อเด็กพบปัญหาที่ ยุ่งยากมากขึ้น เด็กเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาไปตามขั้นตอนโดยใช้ภาษาภายในตนเอง ในขณะที่เด็กเรียนรู้ ที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเองนั้น อาจพบบางปัญหาที่คิดเองไม่ออก แต่หากได้รับคำแนะนำช่วยเหลือ บางส่วนจากผู้ใหญ่หรือได้รับความร่วมมือจากกลุ่มเพื่อนจะสามารถแก้ปัญหานั้นได้สำเร็จ Vygotsky เรียกระดับความสามารถนี้ ว่าจุดที่เด็กสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จหากได้รับความช่วยเหลือสนับสนุน สาระสำคัญของทฤษฎีการเรียนรู้ของไวก็อตสกี้ที่เกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหา ของเด็กปฐมวัย มี 2 เรื่อง คือ (จินตนา ธนวิบูลย์ชัย, 2559) 1) พื้นที่รอยต่อของพัฒนาการ (Zone of proximal development) คือ ระยะ ห่างระหว่าง ระดับพัฒนาการที่เป็นจริงกับระดับพัฒนาการที่สามารถเป็นไปได้ เด็กสามารถแก้ปัญหา ที่ยากเกินกว่า ระดับพัฒนาการที่แท้จริงของเขาได้ หากได้รับการแนะนำ ช่วยเหลือ หรือได้รับความ ร่วมมือจากผู้ที่เชี่ยวชาญหรือผู้ที่มีความสามารถมากกว่า หรืออาจกล่าวได้ว่าพื้นที่รอยต่อพัฒนาการ จะอยู่ระหว่างระดับของการแสดงพฤติกรรมโดยได้รับการช่วยเหลือกับการทำงานที่เด็กทำอย่างอิสระ ตามลำพัง พื้นที่รอยต่อของพัฒนาการนี้ไม่มีความคงที่ ไม่มีความแน่นอน จะแปรเปลี่ยนไป ซึ่งใน ความแปรเปลี่ยนนั้นได้ทำให้เด็กกลายมาเป็นผู้ที่มีความสามารถในการเรียนรู้มากขึ้นและมีความเข้าใจ


28 ในความซับซ้อนของมโนทัศน์ และทักษะต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น อะไรก็ตามที่เด็กได้รับการช่วยเหลือใน อดีตจะกลายมาเป็นการทำงานอย่าง อิสระตามลำพังในปัจจุบัน และเมื่อเผชิญกับสถานการณ์การ เรียนรู้ใหม่ จากที่เคยทำงานอย่างอิสระตามลำพัง ก็จะกลับกลายมาเป็นการทำงานที่ต้องได้รับความ ช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญกว่า วงจรนี้จึงเกิดขึ้นต่อเนื่องซ้ำไปซ้ำมา เพื่อได้มาซึ่งความรู้ ทักษะ กลวิธี หรือพฤติกรรมการเรียนรู้อื่น ๆ ที่มีคุณภาพสูงขึ้น เด็กแต่ละคนอาจมีพื้นที่รอยต่อพัฒนาการที่มีความแตกต่างกัน สำหรับเด็กบางคน อาจเป็น ไปได้ว่าต้องการความช่วยเหลือในการทำกิจกรรมค่อนข้างมาก ขณะที่เด็กคนอื่น ๆ สามารถ เรียนรู้แบบก้าวกระโดดต่อไปได้ด้วยการได้รับความช่วยเหลือที่น้อยมาก และเป็นไปได้ที่ว่า เด็ก ๆ อาจต้องการความช่วยเหลือในการเรียนรู้บางเรื่องมากกว่าเรื่องอื่น ๆ ดังนั้นเด็กจะมีการตอบสนองต่อ การได้รับความ ช่วยเหลือที่แตกต่างกันในแต่ละครั้งที่เกิดกระบวนการเรียนรู้ 2) การเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) หมายถึง บทบาทเชิงปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ผู้สอนกับเด็กในการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กและเตรียมการชี้แนะหรือให้การช่วยเหลือด้วยวิธีการ ต่าง ๆ ตามสภาพปัญหาที่เผชิญอยู่ในขณะนั้น เพื่อให้เด็กไปสู่พัฒนาการในระดับที่สูงขึ้น หรือสามารถ แก้ปัญหานั้นด้วยตนเองได้ (Wood, Bruner, & Ross, 1976 : 98) โดยเป็นการจัดเตรียมสิ่งที่ เอื้ออำนวย การให้ความช่วยเหลือ แนะนำ สนับสนุน ขณะที่เด็กกำลังแก้ปัญหาหรือกำลังอยู่ใน ระหว่างการเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง (เด็กกำลังอยู่ในพื้นที่รอยต่อพัฒนาการ) ทำให้เด็กต้องสร้างความรู้ ความเข้าใจเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาอย่าง เป็นขั้นตอน และปรับการสร้างความรู้ความเข้าใจภายในตน (internalization) ให้กลายเป็นความรู้ ความเข้าใจใหม่ภายในตนเอง ซึ่งจะส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก ให้ก้าวไปสู่ขั้นหรือระดับพัฒนาการที่สูงขึ้นไป (Raymond, 2000 : 176) ทำให้เด็กสามารถกำกับ ตนเองในการเรียนรู้ และมีความเชื่อมั่นในตนเองในการเรียนรู้ที่เพิ่มมากขึ้น สรุปได้ว่า ทฤษฎีการเรียนรู้ของไวก็อตสกี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหาของ เด็กปฐมวัยในเรื่องระดับเชาวน์ปัญญาแบ่งออกเป็น 2 ขั้น คือ เชาวน์ปัญญาขั้นเบื้องต้น และเชาวน์ ปัญญาขั้นสูง ส่วนสาระสำคัญของทฤษฎีการเรียนรู้ของไวก็อตสกี้ได้แก่ พื้นที่รอยต่อพัฒนาการ และ การเสริมต่อการเรียนรู้ ซึ่งเป็นความรู้และความเข้าใจที่สามารถนำไปพัฒนาการคิดแก้ปัญหาของเด็ก ปฐมวัยต่อไป 2.2 ทฤษฎีการเรียนรู้ทางปัญญาสังคมของแบบดูรา (Bandura) เป็นทฤษฎีว่าด้วย ปฏิกิริยาระหว่างบุคคล พฤติกรรม และสิ่งแวดล้อม เป็นทฤษฎีที่ขยายมาจากแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้ ทางสังคมที่แบนดูรา ได้ศึกษาไว้ก่อนหน้านี้ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางปัญญาสังคมเป็นแนวคิดที่ผสมผสาน กันระหว่างแนวคิดพฤติกรรม นิยมและวิทยาศาสตร์ทางปัญญา โดยเชื่อว่าพฤติกรรมของบุคคลไม่ได้ เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงเนื่องจากปัจจัยทางสภาพแวดล้อมเท่านั้น แต่มีปัจจัยทางพฤติกรรมและ


29 ปัจจัยส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญาร่วมด้วย โดยปัจจัยทั้งหมดจะมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ดังนี้ (Bandura, 1986) 1) การปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลและพฤติกรรม คือ ความคิด ความรู้สึก ความเชื่อ ความคาดหวัง การรับรู้เกี่ยวกับตนเอง และความตั้งใจจะเป็นตัวกำหนดลักษณะ และทิศทางของพฤติกรรม ของบุคคล ในขณะเดียวกันพฤติกรรมและการกระทำของบุคคลก็จะเป็น ตัวกำหนดลักษณะการคิดและ การตอบสนองทางอารมณ์ของบุคคล 2) การปฏิสัมพันธ์ระหว่างลักษณะของบุคคลและสภาพแวดล้อม คือ ความ คาดหวัง ความเชื่อ อารมณ์ และความสามารถทางปัญญาของบุคคลนั้นจะพัฒนาและเปลี่ยนแปลง โดยอิทธิพลของสภาพสังคมที่แวดล้อมผ่านตัวแบบ การสอน และการชักจูงทางสังคม ขณะเดียวกัน บุคคลจะมีการตอบสนองที่แตกต่าง กันจากสภาพแวดล้อมทางสังคมที่อาศัยอยู่จากลักษณะทาง กายภาพ เช่น อายุ ขนาดร่างกาย เชื้อชาติ เพศ เป็นต้น นอกจากนี้การสนองตอบยังขึ้นอยู่กับบทบาท และสถานภาพทางสังคมอีกด้วย 3) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมในชีวิตประจำวัน คือ พฤติกรรมเปลี่ยน เงื่อนไขสภาพแวดล้อม ในขณะเดียวกันเงื่อนไขของสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปนั้น ทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนไปด้วย สภาพแวดล้อมจะไม่มีอิทธิพลใด ๆ ต่อบุคคลจนกว่าจะมีพฤติกรรม บางอย่างเกิดขึ้น ดังนั้นบุคคลจึงเป็นทั้งผู้ก่อให้เกิดและเป็นผลิตผลของสภาพแวดล้อม การมีผลซึ่งกัน และกันนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยน มุมมองของกระบวนการถ่ายทอดทางสังคมจากเดิมที่มองว่าพ่อแม่ มีอิทธิพลต่อเด็ก มาเป็นพ่อแม่และเด็ก มีอิทธิพลต่อกันและกัน งานของแบนดูราส่วนใหญ่มุ่งเน้นที่การได้มาซึ่งความรู้ (acquisition) และการ ปรับเปลี่ยนลักษณะบุคลิกภาพของเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่ได้รับผลกระทบจากการเรียนรู้โดย การสังเกต (observational learning) หรือการดูตัวแบบ (modeling) ซึ่งแบนดูราเชื่อว่า การเรียนรู้ รูปแบบนี้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมที่เกิดขึ้นตามมา การลงโทษหรือการเสริมแรง สามารถส่งผลต่อสถานการณ์ของการเลียนแบบ เด็กจะพร้อมเลียนแบบผู้ที่ได้รับรางวัลมากกว่าผู้ที่ถูก ลงโทษ เด็กเรียนรู้ได้โดยที่ตนเองไม่ต้องได้รับรางวัลหรือการลงโทษ แนวคิดนี้มีชื่อว่า การเรียนรู้จาก ผู้อื่น (Vicarious learning) นอกจากนี้ แบนดูราแสดงให้เห็นว่า เมื่อตัวแบบถูกเสนอด้วยสิ่งเร้าที่ ต้องการวางเงื่อนไข ผู้ที่สังเกตเหตุการณ์นี้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมโดยตรง จะมีแนวโน้มที่จะถูก วางเงื่อนไขไปด้วย (Bandura, 1977) จากแนวคิดพื้นฐานที่ได้กล่าวมา แบนดูราจึงสนใจและศึกษาแนวคิดเรื่องการเรียนรู้ โดยการสังเกต โดยเชื่อว่าการเรียนรู้ของบุคคลเกิดจากการสังเกตตัวแบบ ซึ่งแตกต่างจากการเรียนรู้ โดยประสบการณ์ตรง การเรียนรู้ผ่านตัวแบบเพียงคนเดียวสามารถถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก การ กระทำได้พร้อม ๆ กัน และตัวแบบมีได้ทั้งตัวแบบที่เป็นบุคคลจริงที่คนเราปฏิสัมพันธ์โดยตรง และตัว


30 แบบที่เป็นสัญลักษณ์ ซึ่งเป็นตัวแบบที่เสนอผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น การ์ตูน บุคคลทางโทรทัศน์ เป็นต้น การเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการดู ตัวแบบนี้มี 4 กระบวนการ ซึ่งสามารถใช้อธิบายเกี่ยวกับการคิด แก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย ได้ดังนี้ (ประดินันท์ อุปรมัย, 2540; พรรณี ชูทัย เจนจิต, 2538; อัจฉรา ธรรมาภรณ์, 2531) 1) กระบวนการตั้งใจ (Attention process) บุคคลจะไม่สามารถเรียนรู้จากการ สังเกตตัวแบบได้ หากไม่มีความตั้งใจ และการรับรู้พฤติกรรมที่ตัวแบบแสดงออกมาความตั้งใจจะเป็น ตัวกำหนดว่าบุคคลจะ สังเกตอะไรจากตัวแบบ ปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจสามารถแบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ ปัจจัยเกี่ยวกับตัวแบบ ได้แก่ ความเด่นชัด ความซับซ้อนของเหตุการณ์ จำนวนตัวแบบ คุณค่าในการใช้ประโยชน์ ความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ ปัจจัยเกี่ยวกับผู้สังเกต ได้แก่ ความสามารถในการ รับรู้ ความสามารถในการเห็น การได้ยิน การอ่าน การรู้รส การรู้กลิ่น การสัมผัส ระดับความตื่นตัว ยกตัวอย่างการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยจากการใช้ กระบวนการตั้งใจ เช่น เด็กสังเกตเห็นครูเวลา ทำน้ำหกจะใช้ผ้าขี้ริ้วมาเช็ดพื้นให้แห้งทุกครั้ง 2) กระบวนการจดจำ (Retention process) บุคคลจะสังเกตจากตัวแบบไปเก็บ ไว้ในความจำระยะยาว ซึ่งอาจจะจดจำในรูปของภาพหรือคำพูด ผู้สังเกตที่สามารถอธิบายพฤติกรรม ของตัวแบบออกมาเป็นคำพูดหรือมีภาพของสิ่งที่ตนสังเกตไว้ในใจจะสามารถจดจำสิ่งที่เรียนรู้โดยการ สังเกตได้ดีกว่าเพียงดูอยู่เฉย ๆ หรือทำงานอื่นในขณะที่ดูตัวแบบไปด้วย บุคคลจะดึงข้อมูลที่ได้จากตัว แบบออกมาใช้แสดงพฤติกรรมตามโอกาสที่เหมาะสม ความสามารถในการจดจำ โดยการสังเกตการ กระทำของบุคคลอื่น ๆ ขึ้น อยู่กับวัย โดยประมวลไว้ในลักษณะของภาพพจน์ (imaginal coding) และในลักษณะของภาษา (verbal coding) ยกตัวอย่างการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยจากการใช้ กระบวนการจดจำ เช่น เด็กจำได้เวลาครู ทำน้ำหกจะเอาผ้าขี้ริ้วมาเช็ดให้แห้งทุกครั้ง 3) กระบวนการแสดงออก (Production process) บุคคลจะแสดงผลการเรียนรู้ จากตัวแบบต่าง ๆ ผ่านการกระทำโดยการเคลื่อนไหวทางกาย และอาจจำเป็นต้องลองทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้ได้ลักษณะพฤติกรรมที่ต้องการหรือนำมาแก้ไขพฤติกรรมที่ยังไม่เข้ารูปเข้ารอย สิ่งนี้จะทำ ให้เกิดพัฒนาการในการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสามารถในการแสดงออกหรือแสดง พฤติกรรมเหมือนกับตัวแบบขึ้นอยู่กับวัย เพราะเด็กที่มีอายุมากกว่าจะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและ สามารถควบคุมร่างกายได้ดีกว่าเด็กที่มีอายุน้อยกว่า ยกตัวอย่างการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยจาก การใช้กระบวนการแสดงออก เช่น เมื่อเด็กทำน้ำหก จึงเดินไปหาผ้าขี้ริ้วที่ครูเคยใช้ แล้วนำมาเช็ด ให้แห้ง ซึ่งเด็กอาจยังทำได้ไม่เรียบร้อยในครั้งแรก 4) กระบวนการจูงใจ (Motivational process) บุคคลจะแสดงพฤติกรรมตามตัว แบบได้จากการเสริมแรง ซึ่งมีองค์ประกอบต่าง ๆ ภายนอกเป็นสิ่งจูงใจ เช่น การได้รับคำชมจากผู้อื่น การได้รับสิ่งของที่พึงพอใจ เป็นต้น เด็กมีแนวโน้มเลียนแบบบุคคลที่มีชื่อเสียงมากกว่าบุคคลที่ไม่มี


31 ชื่อเสียง เป็นเพศเดียวกัน มากกว่าเพศตรงข้าม และเลียนแบบตัวแบบที่ได้รางวัล ส่วนพฤติกรรมของ ตัวแบบที่ถูกลงโทษมีแนวโน้ม ที่จะไม่นำมาเลียนแบบ ยกตัวอย่างการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยจาก การใช้กระบวนการจูงใจ เช่น เมื่อเด็กทำน้ำหก เด็กเอาผ้าขี้ริ้วมาเช็ดให้แห้งด้วยตัวเอง แล้วครูกล่าว คำชม ทำให้ครั้งต่อไปเด็กจะแสดงพฤติกรรมนี้อีก สรุปได้ว่า การเรียนรู้ทางปัญญาสังคมของแบนดูรามีส่วนเกี่ยวข้องกับการคิด แก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยในเรื่องปัจจัยที่มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันของพฤติกรรม บุคคล และ สิ่งแวดล้อม และกระบวนการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการดูตัวแบบ 4 กระบวนการ ได้แก่ กระบวนการตั้งใจ กระบวนการจดจำ กระบวนการแสดงออก และกระบวนการจูงใจ 2.3 ทฤษฎีการเรียนรู้แบบเชื่อมโยงของธอร์นไดค์(Thorndike) เป็นทฤษฎีว่าด้วย ความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง โดยการลองถูกลองผิด (trial and error) การทดลองของธอร์นไดค์ที่รู้จักกันดี คือ การเอาแมวที่กำลังหิวใส่ในกรงที่มีปลายเชือกข้างหนึ่งผูกกับ ประตูไว้ ส่วนปลายอีกข้างหนึ่ง สามารถดึงแล้วทำให้ประตูเปิด โดยข้างนอกกรงมีอาหารวางไว้ ธอร์นไดค์ได้สังเกตเห็นว่า ในระยะแรก แมวจะวิ่งไปวิ่งมาข่วนโน่น กัดนี้ แล้วบังเอิญไปดึงถูกเชือก ทำ ให้ประตูเปิดออก แมวจึงสามารถออกไปกินอาหารได้ เมื่อจับแมวใส่กรงครั้งต่อไป แมวจะดึงเชือกได้ เร็วขึ้น จนกระทั่งในที่สุดแมวสามารถดึงเชือก ได้ในทันที ธอร์นไดค์ได้ข้อสรุปว่า การลองผิดลองถูกจะ นำไปสู่การเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง หรืออาจกล่าวได้ว่า การเรียนรู้แบบลองผิดลอง ถูก คือ เมื่อบุคคลได้รับสิ่งเร้าจะลองใช้วิธีตอบสนองต่อสิ่งเร้าหลาย ๆ วิธีจนพบกับวิธีที่เหมาะสมและ ถูกต้องกับเหตุการณ์และสถานการณ์ เมื่อได้รับการตอบสนองที่ถูกต้องจะนำไปใช้เชื่อมโยงกับสิ่งเร้าที่ ต้องการให้เกิดการเรียนรู้ต่อไป (Mcleod, 2018) จากการทดลองของธอร์นไดค์สรุปเป็นกฎการเรียนรู้ โดยอธิบายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยได้ดังนี้ (ทิศนา แขมมณี, 2548) 1) กฎแห่งความพร้อม (Law of readiness) หมายถึง สภาพความพร้อมทาง ร่างกายและจิตใจ หรือวุฒิภาวะของบุคคล รวมทั้งพื้นฐานและประสบการณ์เดิม ทำให้เกิดการเรียนรู้ ได้ ยกตัวอย่าง การคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยจากการใช้กฎแห่งความพร้อม เช่น เด็กวัย 5 ปี สามารถติดกระดุมเสื้อได้ครบและถูกต้อง ในขณะที่เด็กวัย 3 ปี หลายคนยังติดกระดุมเสื้อไม่ได้ เป็นต้น 2) กฎแห่งการฝึก (Law of exercise) หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับ การตอบสนองได้แน่นแฟ้นขึ้นเมื่อมีการฝึกหรือทำซ้ำบ่อย ๆ และความสัมพันธ์นี้จะคลายอ่อนลงเมื่อ ไม่ได้ใช้ แต่ในบางกรณีกฎแห่งการฝึกอาจใช้ไม่ได้ผล เช่น ทดลองปิดตาลากเส้นยาว 3 นิ้ว แม้จะฝึก เท่าไรก็ไม่สามารถลากเส้นให้ยาว 3 นิ้วได้ เป็นต้น ดังนั้นการฝึกจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้ดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขอื่นเข้ามา เกี่ยวข้องด้วย แต่อย่างไรก็ดี การฝึกที่มีการควบคุมอย่างดีย่อมมีผลต่อการ เรียนรู้ที่ดีได้ กฎแห่งการฝึก แบ่งเป็น 2 กฎย่อย ได้แก่ กฎแห่งการใช้ (law of use) คือ ความสัมพันธ์


32 ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง จะเข้มแข็งขึ้นเมื่อได้ทำบ่อย ๆ และกฎแห่งการไม่ได้ใช้ (law of disuse) คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองจะอ่อนกำลังลง เมื่อไม่ได้กระทำอย่าง ต่อเนื่อง ยกตัวอย่างการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย จากการใช้กฎแห่งการฝึก เช่น เด็กวัย 3 ปี หากได้รับการฝึกฝนให้ติดกระดุมเสื้อด้วยตนเองเป็นประจำ จะสามารถทำได้ในที่สุด เป็นต้น 3) กฎแห่งผล (Law of effect) หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการ ตอบสนอง แน่นแฟ้นขึ้นเมื่อเป็นความพึงพอใจ ในทางตรงกันข้าม ถ้าความสัมพันธ์เป็นความไม่น่า พอใจจะคลายความแน่นแฟ้นลง หรืออาจจะกล่าวได้ว่าบุคคลจะแสดงพฤติกรรมที่ดีได้ต้องมีการ เสริมแรงทางบวก เช่น การให้รางวัล การให้คำชมเชย เป็นต้น แต่ถ้าบุคคลได้แสดงพฤติกรรมที่ไม่ดี ต้องมีการทำโทษ ต่อมา Thorndike พบว่า การทำโทษมิได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการ ตอบสนองคลายลง แต่เป็นการบังคับให้บุคคลพยายามหาทางตอบสนองอย่างอื่นแทน ในที่สุด Thorndike จึงล้มเลิกกฎแห่งผลที่เกี่ยวกับการทำโทษ แต่ยังคงเหลือกฎแห่งผลในด้านการเสริมแรง ทางบวก ยกตัวอย่างการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย จากการใช้กฎแห่งผล เช่น เด็กวัย 3 ปี ได้รับ คำชมหลังจากได้พยายามติดกระดุมเสื้อด้วยตนเอง เป็นต้น สรุปได้ว่า ทฤษฎีการเรียนรู้แบบเชื่อมโยงของธอร์นไดค์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคิด แก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยในเรื่องการเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก และกฎการเรียนรู้ ได้แก่ กฎแห่งความ พร้อม กฎแห่งการฝึก และกฎแห่งผล 2.4 ลักษณะการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย การพัฒนาการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยอย่างถูกต้องเหมาะสมจำเป็นต้องศึกษา ลักษณะการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย เพื่อเป็นข้อมูลนำไปใช้ในการกำหนดแนวทางและวิธีการ ที่เหมาะสมกับเด็ก โดย แสงโสม กชกรกมุท (2563 : 8-18 – 8-20) กล่าวถึงการคิดแก้ปัญหาของเด็ก วัย 3-6 ปี พร้อมยกตัวอย่างพฤติกรรมที่แสดงลักษณะการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยในกิจวัตร ประจำวัน การอยู่ร่วมกัน และกิจกรรมการเรียนรู้ ดังนี้ ลักษณะการคิดแก้ปัญหาของเด็กวัย 3-4 ปี คือ เด็กสามารถตัดสินใจแก้ปัญหาในเรื่อง ง่าย ๆ ได้ แต่ยังยึดตนเองเป็นศูนย์กลางโดยเข้าใจว่าสิ่งของทุกอย่างเป็นของตน ลักษณะการคิด แก้ปัญหาจึงขึ้นอยู่กับทักษะทางสังคม ภาษา และการรับรู้สถานการณ์ เด็กวัย 3 ปีจะยังไม่สามารถ ใช้การแก้ปัญหาด้วยภาษาได้ แต่จะใช้ร่างกายในการแก้ปัญหาแทนการพูดขอร้อง ด้วยเหตุผลนี้จึง ค่อนข้างยากที่จะให้เด็กรู้จักแบ่งปัน เด็กวัย 3 ปี สามารถแก้ปัญหาจากการจำสิ่งที่เคยเห็นผู้ใหญ่ทำ แล้วเลียนแบบหรือลองทำตาม แต่จะใช้ความรู้สึกเป็นหลักมากกว่าเหตุผล เรียนรู้แบบลองผิดลองถูก จนกระทั่งสามารถแก้ปัญหาได้ และยังชอบใช้จินตนาการหรือสร้างภาพในใจในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น บางครั้งอาจจะเกิดความหงุดหงิดใน ความพยายามที่จะแก้ปัญหา เพราะเด็กจะมุ่งวิธีการแก้ปัญหา เพียงวิธีเดียว ซึ่งบางครั้งอาจจะไม่ได้ผล เช่น เด็กมีความรู้สึกหงุดหงิดเมื่อรูดซิปไม่ขึ้น ซึ่งพยายามอยู่


33 นานก็ทำไม่สำเร็จ ส่วนเด็กวัย 4 ปีที่มีทักษะทางภาษาที่เพิ่มขึ้นและมีประสบการณ์ทางสังคมที่มากขึ้น กว่าเด็กวัย 3 ปี ซึ่งช่วยให้เด็กสามารถนำมาใช้ในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทำให้สามารถพูดคุย แลกเปลี่ยน ทำข้อตกลงหรือเจรจา และตัดสินใจร่วมกันกับเพื่อนในการแก้ปัญหา หรือเรียนรู้วิธีการ แก้ปัญหาร่วมกันได้ เข้าใจในมุมมองความคิดของผู้อื่น และใช้ทักษะการต่อรองเพื่อหลีกเลี่ยงความ ขัดแย้งได้ รู้จักการประนีประนอม การต่อรอง การแลกเปลี่ยน และการแบ่งปัน นอกเหนือจากที่กล่าว ไปแล้ว เด็กในวัยนี้จะมุ่งหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตัวเอง แต่อาจต้องให้ความช่วยเหลือในการหาปัญหาที่ แท้จริง เด็กวัยนี้จะมีความอดทนมากกว่าเด็กวัย 3 ปี และสามารถลองใช้วิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่าง หลายวิธี เมื่อเด็กสามารถแก้ปัญหาได้แล้ว จะมีความรู้สึกภาคภูมิใจในความคิดของตน เมื่อเด็กอายุเข้าวัย 4-5 ปี จะสามารถแก้ปัญหาด้วยตัวเองในเรื่องง่าย ๆ ได้สำเร็จ เริ่มเข้าใจเหตุผลมากขึ้น สนใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว อยากรู้อยากเห็น รู้จักจำแนกแยกแยะ และหาทาง แก้ปัญหาเพื่อไม่ให้ตนเอง ต้องถูกลงโทษ โดยเรียนรู้ที่จะทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ได้รับการชมเชยหรือ รางวัล สามารถใช้ภาษาเป็นเครื่องมือ ในการแก้ปัญหา โดยพฤติกรรมส่วนใหญ่จะชอบพูดกับตนเอง เพื่อช่วยในการคิดและตัดสินใจในการแก้ปัญหา เด็กวัย 5-6 ปี จะสามารถตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยตนเองอย่างมีเหตุผลมากขึ้น และ สามารถพูดคุย เกี่ยวกับผลของวิธีการแก้ปัญหาและยอมรับผลที่เกิดขึ้น โดยได้เรียนรู้ถึงคุณค่าในการ ทำสิ่งนั้นอย่างเป็นรูปธรรม เด็กวัยนี้เข้าใจความหมายของการแบ่งปันและการสื่อสารแบบรูปธรรม รู้จักแก้ไขปัญหาโดยเลียนแบบ ผู้ใหญ่ได้ดีกว่าเด็กที่อายุน้อยกว่าที่ยังยึดติดอยู่กับอารมณ์เมื่อเกิด ปัญหาขึ้น จนไม่สามารถคิดหรือรับฟังคำแนะนำจากผู้ใหญ่ที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ สรุปได้ว่า ลักษณะการคิดแก้ปัญหาของเด็กวัย 3-6 ปี คือ เด็กสามารถพัฒนาวิธีการ แก้ปัญหา โดยการเลียนแบบผู้ใหญ่ แต่เด็กเล็กอาจยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากใช้ความรู้สึกเป็น หลักมากกว่าเหตุผล เด็ก 4-5 ปีจะสามารถแก้ปัญหาง่าย ๆ ด้วยตนเอง ระบุปัญหาและบอกวิธีการ แก้ปัญหาได้หลายวิธี เมื่ออายุ 5-6 จะสามารถแก้ปัญหาโดยใช้เหตุผลมากขึ้น และสามารถพูดคุย เกี่ยวกับผลของวิธีการแก้ปัญหาได้ 2.5 แนวทางและวิธีการพัฒนาการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย นักการศึกษาได้กล่าวถึงแนวทางและวิธีการพัฒนาการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยไว้ หลายท่าน ดังนี้ แม็คคลาว, คริสคอล และรูพ (McCown, Dristol & Roop, 1996: 230 อ้างอิงจาก ดารา วิมลอักษร, 2552 : 65) กล่าวว่า การส่งเสริมในการแก้ปัญหาว่า เมื่อเด็กได้รับความรู้ที่อาจ เพราความบังเอิญ เขาจะเก็บความรู้นั้นไว้ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลนั้นหยาบ ๆ แต่ก็ถือได้ว่าพวกเขามี ข้อมูลไว้เป็นเครื่องมือเพื่อการแก้ปัญหาแล้ว การแก้ปัญหาในขั้นต่อไปซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ดีกว่าการ


34 รับรู้ เกิดจากการทำกิจกรรมโดยอาศัย ความรู้ ความเข้าใจ อาศัยพื้นฐานและสามารถพัฒนาได้ตาม ขั้นตอน ฉันทนา ภาคบงกช (2528: 47-49) ได้เสนอแนวทางในการส่งเสริมความสามารถในการ แก้ปัญหาไว้ ดังนี้ 1. การให้ความรักความอบอุ่นสนองความต้องการของเด็กอย่างมีเหตุผลทำให้เด็กรู้สึก ปลอดภัย มีความสุข มีความเชื่อมั่นในตนเองและมองโลกในแง่ดี 2. การช่วยเหลือพึ่งพาตนเอง การส่งเสริมให้เด็กพึ่งตนเองโดยเหมาะสมแก่วัยจะช่วย ให้เด็กพัฒนาความเชื่อมั่น เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง ซึ่งเป็นพื้นฐานในการพัฒนาบุคลิกภาพของ เด็กต่อไป 3. การซักถามของเด็กและการตอบคำถามของผู้ใหญ่ ควรได้รับความสนใจ และตอบ คำถามของเด็ก สนทนาทางด้านความจำ การคิดหาเหตุผล เพื่อให้เด็กได้แสดงออกและฝึกความคิด เนื่องจากเด็กปฐมวัยมีความกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็นและช่างซักถามผู้ใหญ่ไม่ควรดุหรือแสดง ความไม่พอใจ 4. การฝึกให้เป็นคนช่างสังเกต ควรจัดหาอุปกรณ์หรือสิ่งเร้าให้เด็กได้พัฒนาการ สังเกต โดยการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้ทุกด้าน การตั้งคำถาม หรือชี้แนะโดยผู้ใหญ่จะช่วยให้เด็กเกิด ความ สนใจ และหาความจริงจากการสังเกต 5. การแสดงความคิดเห็น เปิดโอกาสให้เด็กได้เสนอความคิดเห็นและตัดสินใจเรื่องใด เรื่องหนึ่งตามความพอใจ จะช่วยให้เด็กกล้าแสดงออกและมีความเชื่อมั่นในการแสดงความคิดเห็น 6. การให้รางวัล ควรให้รางวัลเมื่อเด็กทำในสิ่งที่ดีงามในโอกาสอันเหมาะสม และแสดง ความชื่นชมและกล่าวย้ำให้เด็กให้เกิดความมั่นใจว่าเด็กทำในสิ่งที่ดี น่าสนใจ จะทำให้เด็กมีความรู้สึก ที่ดีต่อตนเองและมีกำลังใจที่จะทำในสิ่งที่ดีงาม 7. การจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาความคิดของเด็กและมีบรรยากาศที่เป็นอิสระ ไม่เคร่งเครียด ช่วยให้เด็กรู้สึกสบายใจ มีความรู้สึกที่ดี ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการพัฒนาทักษะ ทางการคิดแก้ปัญหา เจษฎา ศุภางคเสน (2530: 28 - 29) ได้เสนอวิธีการส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาไว้ดังนี้ 1. ฝึกฝนให้เด็กทำตามขั้นตอนของกระบวนการแก้ปัญหา คือรวบรวมข้อมูลตั้ง สมมุติฐาน รวบรวมวิธีการแก้ปัญหาและทดสอบสมมุติฐาน 2. ควรเน้นในเรื่องการรวบรวมข้อมูลให้มาก 3. ฝึกให้รู้จักใช้ทักษะในการแก้ปัญหา คือฝึกให้เด็กคิดเกี่ยวกับปัญหา การแก้ปัญหา ด้วยวิธีต่าง ๆ และการทำนายผลของการแก้ปัญหานั้น 4. ใช้วิธีการชี้แจงการใช้เหตุผล หลีกเลี่ยงวิธีการเข้มงวดกับเด็ก


35 5. เปิดโอกาสให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ 6. ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ให้กับเด็กเพราะมีความสัมพันธ์กับการแก้ปัญหา 7. ให้โอกาสเด็กได้ตัดสินใจด้วยตนเอง 8. กระตุ้นให้เด็กได้คิดในหลายทิศทาง เพื่อนำไปใช้กับปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อน สมจิต สวธนไพบูลย์ (2541: 91-92) กล่าวว่า สภาพการเรียนการสอนที่มุ่งให้นักเรียน คิดแก้ปัญหานั้น อาจจะส่งผลให้นักเรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหาแตกต่างกัน ซึ่งอาจจะ ขึ้นอยู่ กับปัจจัยทางสติปัญญา ความรู้พื้นฐาน สภาพสังคม ประสบการณ์ ฉะนั้นครูจึงควรอย่างยิ่ง ที่จะต้อง จัดสภาพการณ์ที่ส่งเสริมการแก้ปัญหา 1. จัดสภาพแวดล้อมที่เป็นสถานการณ์ใหม่ ๆ และวิธีการแก้ปัญหาที่หลาย ๆ วิธีมาให้ นักเรียนฝึกฝนให้มาก ๆ 2. ปัญหาที่หยิบยกมามาให้นักเรียนฝึกฝนนั้น ควรเป็นปัญหาใหม่ที่นักเรียนไม่เคย ประสบมาก่อนแต่ต้องอยู่ในวิสัยที่เด็กจะแก้ได้ 3. การฝึกแก้ปัญหานั้น ครูควรแนะนำให้นักเรียนได้วิเคราะห์ปัญหาให้ชัดเจนก่อนว่าเป็น ปัญหาเกี่ยวกับอะไร และถ้าเป็นปัญหาใหญ่ ก็ให้แตกเป็นปัญหาย่อย แล้วคิดปัญหาย่อยแต่ละ ปัญหา และเมื่อแก้ปัญหาย่อยได้หมดทุกข้อก็เท่ากับแก้ปัญหาใหญ่ได้นั่นเอง 4. จัดบรรยากาศของการเรียนการสอนหรือจัดสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นสภาพภายนอกของ นักเรียน ให้เป็นไปในทางที่เปลี่ยนแปลงได้ไม่ตายตัว นักเรียนจะเกิดความรู้สึกว่าเขาสามารถ คิดค้น เปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้างในบทบาทต่าง ๆ 5. ให้โอกาสนักเรียนได้คิดอยู่เสมอ 6. การฝึกฝนการแก้ปัญหาหรือการแก้ปัญหาใด ๆ ก็ตาม ครูไม่ควรจะบอกวิธีการ แก้ปัญหาให้ตรง ๆ เพราะถ้าบอกให้แล้วนักเรียนอาจไม่ได้ใช้ยุทธศาสตร์ของการคิดของตนเอง เท่าที่ควร สุวิทย์ มูลคำ (2549 : 17) กล่าวว่า ทุกคนสามารถพัฒนาความสามารถในการคิด แก้ปัญหาได้ทั้งโดยตนเอง และได้รับการฝึกฝนจากผู้อื่น นักคิดแก้ปัญหาจึงควรมีคุณสมบัติ ดังนี้ 1. รู้จักคิดอย่างมีเหตุผล 2. ตั้งใจค้นหาความจริง 3. กระตือรือร้น 4. ใฝ่รู้ใฝ่เรียน สนใจสิ่งรอบด้าน 5. เปิดใจรับความคิดใหม่ 6. มีมนุษยสัมพันธ์ 7. มีคุณลักษณะความเป็นผู้นำ


36 8. กล้าหาญ กล้าเผชิญความจริง 9. มีความคิดหลากหลายและคิดยืดหยุ่น 10. มีความมั่นใจในตนเอง 11. มีความคิดสร้างสรรค์ 12. ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ 13. ใจเย็นสุขุม รอบคอบ สุคนธ์ สินธพานนท์ และคณะ (2551: 112) กล่าวถึงแนวทางการส่งเสริมให้นักเรียน คิดแก้ปัญหาไว้ ดังนี้ 1. ฝึกให้ผู้เรียนได้ทำงานหรือทำกิจกรรมอยู่เสมอ การทำงานหรือทำกิจกรรมจะช่วย สร้างประสบการณ์เพิ่มขึ้น และจะมีหนทางในการคิดแก้ปัญหามากขึ้น 2. ฝึกให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง เมื่อครูได้ให้ความรู้แก่ผู้เรียนแล้วควรได้ ทดลองปฏิบัติจริง หรือถ้าเรื่องนั้นไม่สามารถปฏิบัติได้ก็อาจให้แก้ปัญหาโดยการทดสอบ ความรู้นั้น ด้วยการค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เป็นการฝึกให้ผู้เรียนคิดแก้ปัญหา 3. ฝึกให้ผู้เรียน เป็นผู้มีเหตุผล ให้มีความเชื่อมั่น 4. ฝึกให้ผู้เรียนรู้จักวิจารณ์ กำหนดวิธีการคิดแก้ปัญหาด้วยการวิเคราะห์วิจารณ์ปัญหา โดยกำหนดวิธีการวิเคราะห์วิจารณ์ออกเป็นขั้น ๆ ได้แก่ การกำหนดปัญหา รวบรวมข้อเท็จจริง ตั้งสมมติฐาน ทดสอบสมมติฐาน ประเมินผล 5. ฝึกให้ผู้เรียนรู้จักการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และฝึกให้รู้จักออกความคิดเห็น การฝึกให้ ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นอยู่เสมอ จะช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกการใช้ความคิดของตนเอง แต่ครูจะต้อง ช่วยเหลืออยู่เสมอ เพราะผู้เรียนอาจแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ได้ 6. จัดสิ่งเร้าหรือมีการกระตุ้นที่ดีจัดสถานการณ์ใหม่ หรือเสนอปัญหาหรือประเด็นที่ ท้าทายน่าสนใจ และมีวิธีการแก้ปัญหาได้หลายวิธีมาให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการแก้ปัญหา และปัญหาที่ หยิบยกมาให้ผู้เรียนแก้ปัญหานั้น ผู้เรียนต้องยังไม่เคยประสบมาก่อน และอยู่ในวิสัยที่ผู้เรียน จะแก้ปัญหาได้ การฝึกแก้ปัญหานั้นครูควรได้ชี้แนะให้ผู้เรียนมีปัญหาให้แตกก่อน ถ้าเป็นปัญหา ใหญ่ ก็แตกเป็นปัญหาย่อย ๆ แล้วคิดแก้ปัญหาย่อยแต่ละปัญหา การฝึกฝนให้ผู้เรียนแก้ปัญหาใด ๆ ก็ตาม ครูไม่ควรอธิบายวิธีการแก้ปัญหาให้ตรง ๆ 7. จัดบรรยากาศการเรียนรู้ หรือจัดสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นสภาพภายนอกของผู้เรียนเป็นไป ในทางเปลี่ยนแปลงได้ เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้สึกว่าเขาสามารถคิดค้นเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง มีอิสระ ในการคิด กล้าคิด กล้าแสดงออก


37 สรุปได้ว่า ในการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนรู้จักคิดแก้ปัญหานั้น ควรเปิดโอกาสให้เด็กลงมือ แก้ปัญหาด้วยตนเอง ชี้แนะแนวทางแก้ปัญหา เป็นแบบอย่างที่ดีในการแก้ปัญหา จัดประสบการณ์การ แก้ปัญหาที่หลากหลาย ส่งเสริมการใช้คำพูดในการแก้ปัญหา และแนะแนวทางแก้ปัญหาโดยคำนึงถึง ผลที่ตามมา 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้วรรณกรรมเป็นฐาน 3.1 งานวิจัยในประเทศ เนตรชนก รักกาญจนันท์(2558 : 81 - 82) ได้ศึกษาทักษะทางสังคมของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กปฐมวัย ชาย - หญิง อายุ 4 - 5 ปี โรงเรียนวัดม่วง กรุงเทพมหานคร จำนวน 30 คน ใช้เวลาในการทดลอง 6 สัปดาห์สัปดาห์ละ 4 ครั้ง ครั้งละ 45 นาที ผลการศึกษาพบว่า หลังการการจัดประสบการณ์การ เรียนรู้โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน เด็กปฐมวัยมีทักษะทางสังคมสูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์การ เรียนรู้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 วิมล นิราพาธ (2563 : 109 - 110) ได้ศึกษาเปรียบเทียบพฤติกรรมการอ่านของเด็ก วัยอนุบาลก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ทางภาษาโดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่าง เป็นเด็กปฐมวัย ชาย - หญิง อายุ 3 - 4 ปี โรงเรียนเซนต์โยเซฟทิพวัล จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 25 คน ใช้เวลาในการทดลอง 6 สัปดาห์สัปดาห์ละ 5 ครั้ง ครั้งละ 45 นาที ผลการศึกษาพบว่า เด็กวัยอนุบาลมีพฤติกรรมการอ่านหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 หนึ่งฤทัย พาภักดี (2564 : 93 - 96) ได้ศึกษาเปรียบเทียบความสามารถด้านการฟัง เพื่อความเข้าใจภาษาไทยของนักเรียนชั้นอนุบาล 3 โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานร่วมกับเทคนิคการ เล่าเรื่องก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กปฐมวัย ชาย - หญิง อายุ 5 - 6 ปี โรงเรียนเด่น หล้าพระราม 5 จังหวัดนนทบุรี จำนวน 21 คน ใช้เวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 45 นาทีผลการศึกษาพบว่า ความสามารถด้านการฟังเพื่อความเข้าใจภาษาไทยของนักเรียน ชั้นอนุบาล 3 โดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานร่วมกับเทคนิคการเล่าเรื่องสูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3.2 งานวิจัยในต่างประเทศ กูเลกา และดูมุส (Guleca & Durmusb, 2015 อ้างอิงจาก หนึ่งฤทัย พาภักดี, 2564 : 68) ได้ศึกษาทักษะการฟัง โดยการใช้เทคนิคการเล่าเรื่องวรรณกรรมสำหรับเด็ก กลุ่มตัวอย่างเป็น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 23 คน ใช้เวลาในการทดลอง 12 สัปดาห์ ผลการศึกษาพบว่า คะแนนการวัดความสามารถในการฟังหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ รวมทั้ง


38 พบว่ามีความแตกต่างระหว่างคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังได้เสนอแนะว่าวรรณกรรมสำหรับเด็กที่เหมาะสม มีผลต่อการพัฒนาทักษะการฟังของเด็กใน ทางบวก กล่าวคือ วรรณกรรมสำหรับเด็ก ควรใช้ภาษา และรูปประโยคเรียบง่าย เนื้อหาไม่ซับซ้อน ทอมสัน (Thompson, 2017 อ้างอิงจาก หนึ่งฤทัย พาภักดี, 2564 : 68 -69) ได้ศึกษา การใช้ภาษาพูดในการเล่าเรื่องในวรรณกรรมเด็ก ว่ามีผลต่อการพัฒนาทักษะการพูดและการฟังของ เด็กปฐมวัยหรือไม่ เพื่อนำผลการวิจัยไปใช้ออกแบบการใช้วรรณกรรมสำหรับเด็กในการเรียนการสอน ระดับปฐมวัย ผลการศึกษาพบว่า ภาษาพูดง่าย ๆ ประโยคสั้น ๆ มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความ เข้าใจในการฟัง นอกจากนี้ผลคะแนนการฟังจากการใช้ภาษาพูดสูงกว่าการใช้ภาษาเขียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ จากเอกสารงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ สรุปได้ว่า วรรณกรรมสำหรับเด็กเป็น สื่อประกอบการเรียนการสอนที่มีคุณค่า และมีความสำคัญต่อเด็กมากโดยเฉพาะเด็กระดับปฐมวัย เพราะวรรณกรรมสำหรับเด็ก ช่วยให้เด็กมีความสุขสนุกสนานเพลิดเพลิน ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการ ด้าน ต่าง ๆ เช่น ร่างกาย อารมณ์ สังคม ภาษา สติปัญญา เพิ่มทักษะในการฟัง เสริมสร้างจินตนาการ คุณธรรมและจริยธรรม และวรรณกรรมสำหรับเด็กยังมีส่วนสำคัญในการช่วยส่งเสริมความสามารถใน การคิดแก้ปัญหาในเด็กได้เป็นอย่างดี 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหา 4.1 งานวิจัยในประเทศ นภาปิย สิริกรกาญจนา (2553 : 64 - 66) ได้ศึกษาผลของการจัดกิจกรรมนิทาน คำกลอนที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กปฐมวัยอายุ 5 – 6 ปี โรงเรียนสุขฤทัย กรุงเทพมหานคร จำนวน 15 คน ใช้เวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 24 นาที ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยมีความสามารถในการแก้ปัญหาหลังการจัด กิจกรรมนิทานคำกลอนมีค่าสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมนิทานคำกลอนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 ญาณี ช่อสูงเนิน (2557 : 46 - 48) ได้ศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็ก ปฐมวัยที่ได้รับการจัดการกิจกรรมเล่านิทานประกอบศิลปะประดิษฐ์กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กปฐมวัยอายุ 5 – 6 ปี โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม กรุงเทพมหานคร จำนวน 24 คน ใช้เวลา ในการทดลอง 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 45 นาที ผลการศึกษาพบว่า เด็กปฐมวัยมี ความสามารถในการแก้ปัญหามีค่าสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบศิลปะประดิษฐ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


39 วัชรินทร์ กลีบกลาง (2561 : 76 - 78) ได้ศึกษาเปรียบเทียบทักษะการแก้ปัญหาของ เด็กปฐมวัยโดยเทคนิคการสอนสตอรี่ไลน์ในการสร้างสถานการณ์ก่อนและหลังการทำกิจกรรม กลุ่ม ตัวอย่างเป็นเด็กปฐมวัยอายุ 4 – 5 ปี โรงเรียนอนุบาลคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน 25 คน ใช้เวลาในการทดลอง 5 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 35 นาที ผลการศึกษาพบว่า เด็กปฐมวัยมี พฤติกรรมในการแก้ปัญหาสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมทักษะการแก้ปัญหาการสอนแบบสตอรี่ไลน์ ในการใช้สถานการณ์จำลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 0 4.2 งานวิจัยในต่างประเทศ เชคลี (Shaklee. 1985: 2915A. อ้างอิงจาก ฐิติพร พิชญกุล. 2538: 45) ได้ศึกษา ผลของการสอนเทคนิคการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็ก ปฐมวัยโดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มทดลองเช้ากลุ่มควบคุมเช้า กลุ่มทดลองบ่าย และกลุ่มควบคุม บ่าย กลุ่มทดลองได้รับการสอนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ จำนวน 18 บทเรียนละ 30 นาที ในขณะที่กลุ่มควบคุมเรียนตามหลักสูตรปกติผลการศึกษาพบว่า กลุ่มทดลองมีความสามารถในการ แก้ปัญหาสูงกว่ากลุ่มควบคุม และกลุ่มทดลองบ่าย มีความสามารถในการแก้ปัญหาสูงที่สุด โจนส์ (Jones. 1985: 3243A - 3244. อ้างอิงจาก สรวงพร กุศลส่ง. 2538: 22) ได้ศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยจำนวน 38 คน ที่ได้เล่นบทบาทสมมติ กับเด็กที่ ไม่ได้เล่น ผลการศึกษาพบว่า เด็กกลุ่มที่เล่นบทบาทสมมติมีความสามารถในการแก้ปัญหาได้ดีกว่าเด็ก ที่ไม่ได้เล่นบทบาทสมมติ ซัลวา บูรเนอร์; และเจโนวา (Sylva, Bruner; & Genova. 1976: 193; อ้างอิงจาก วันดี สุตสิน. 2550: 18) ได้ศึกษาพบว่า เด็กที่ได้รับประสบการณ์เล่นแบบอิสระสามารถแก้ปัญหาได้ ดีกว่าเด็กที่ได้เล่นโดยได้รับการชี้แนะกล่าวคือ เด็กที่ได้เล่นอิสระสามารถแก้ปัญหาได้หลายวิธี มีความ พยายามต่อเนื่องมีความยืดหยุ่นในการแก้ปัญหาและเริ่มต้นแก้ปัญหาจากวิธีที่ง่ายไปสู่วิธีที่ยากขึ้น ตามลำดับ จากเอกสารงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ สรุปได้ว่า มีปัจจัยหลายด้าน ที่ส่งผล ต่อความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของเด็ก แต่ปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านการคิด แก้ปัญหาของเด็กได้ดีคือวิธีการจัดกิจกรรมด้านการเรียนการสอน ที่เปิดโอกาสให้เด็กได้รับอิสระใน การเรียนรู้ด้วยตนเองมากที่สุดซึ่งจะช่วยให้เด็กมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ดี


40 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาของ เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมโดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน ซึ่งในการวิจัย ผู้วิจัยได้ดำเนินการตาม ขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1. การกำหนดประชากรและการเลือกกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ 4. แบบแผนและวิธีดำเนินการทดลอง 5. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. การกำหนดประชากรและการเลือกกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นเด็กชาย – หญิง อายุระหว่าง 5 – 6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัด อุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นเด็กชาย – หญิง อายุระหว่าง 5 – 6 ปี ที่กำลัง ศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 3/2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จำนวน 30 คน จาก การเลือกแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้เครื่องมือในการวิจัยดังต่อไปนี้ 1. แผนการจัดกิจกรรมการแก้ไขปัญหาของเด็กปฐมวัยโดยใช้วรรณกรรมเป็นฐาน 2. แบบทดสอบความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย


Click to View FlipBook Version