กรอบหลกั สูตรระดับท้องถ่นิ
ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาระนอง
สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาระนอง
สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พื้นฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ
ก
ประกาศสำนักงานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาระนอง
เรื่อง ใหใ้ ช้กรอบหลกั สตู รระดบั ท้องถ่ิน สำนกั งานเขตพืน้ ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาระนอง
............................................................................
ด้วยกระทรวงศึกษาธกิ าร ไดป้ ระกาศใหใ้ ช้หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐานพุทธศกั ราช 2551
เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดการศึกษาในยุค Thailand 4.0 โดยมีจุดมุ่งหมายและมาตรฐานการเรียนรู้เป็น
เป้าหมาย และกรอบทิศทางในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีการ
สามารถในการแข่งขันในเวทีระดับโลก พร้อมทั้งปรับกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ให้มีการสอดคล้องกับ
เจตนารมณ์ แหง่ พระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และทีแ่ กไ้ ขเพิ่มเติม (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545
ซึ่งจดุ มุ่งเนน้ กระจายอำนาจทางการศึกษาให้สำนักงานเขตพื้นที่การศกึ ษา และสถานศึกษาได้มีบทบาทและมี
ส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น ให้เป็นไปตามแผนการ
ศึกษาชาติ พ.ศ. 2560 – 2579
สำนกั งานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาระนอง จึงปรบั ปรุงกรอบหลักสูตรระดับทอ้ งถิน่ ให้เป็นไป
ตามกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนด เพื่อใช้เป็นกรอบในการ
สรา้ งหลักสตู รสถานศกึ ษา ทสี่ อดคลอ้ งและสนองความต้องการของท้องถน่ิ ทั้งนเ้ี พ่อื ปลูกฝังให้ผู้เรียนมีความรู้
ความเข้าใจ เก่ียวกบั ทอ้ งถิน่ ตนเอง เกดิ ความรัก ความผกู พัน มเี จตคติทดี่ ี และภาคภูมใิ จในถ่นิ กำเนิดของตน
นำส่งิ ดีงามทีม่ ใี นท้องถ่นิ มาใช้ในการพฒั นาคุณภาพชวี ิตของตนเอง สังคม และดำรงชวี ิตอยรู่ ่วมกันในสังคมได้
อยา่ งมีความสุข
เพื่อให้กรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่นของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระนอง
เกิดประโยชน์ต่อสถานศึกษาและผู้เรียน จึงประกาศใช้กรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่น สำนักงานเขตพื้นที่
การศกึ ษาประถมศึกษาระนอง ตัง้ แต่ปกี ารศกึ ษา 2563 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันท่ี 3 เมษายน 2563
(นางสาวพนอ ทพิ ยพ์ มิ ลรัตน์)
ผอู้ ำนวยการสำนกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษาประถมศึกษาระนอง
ข
คำนำ
กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานพุทธศักราช
2551 เพ่ือให้สอดคล้องกับการจัดการศึกษาในยุค Thailand 4.0 โดยมีจุดมุ่งหมายและมาตรฐาน
การเรียนรเู้ ป็นเปา้ หมาย และกรอบทิศทางในการพฒั นาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปญั ญา มีคณุ ภาพชีวติ ท่ี
ดีและมีความสามารถในการแข่งขันในเวทีระดับโลก พร้อมท้ังปรับกระบวนการพัฒนาหลักสูตรให้มี
ความสอดคล้องกับเจตนารมณ์ แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไข
เพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 ซ่ึงมุ่งเน้นกระจายอำนาจทางการศึกษาให้สำนักงานเขตพ้ืนที่
การศึกษา และสถานศึกษาได้มีบทบาทและมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพ
และความตอ้ งการของท้องถ่ิน ใหเ้ ป็นไปตามแผนการศึกษาชาติ พ.ศ2560 – 2579 สำนักงานเขต
พื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาระนองจึงปรับปรุงกรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่น ให้เป็นไปตาม
กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐานกำหนด เพื่อใช้เป็นกรอบใน
การสรา้ งหลกั สูตรสถานศึกษา ทีส่ อดคลอ้ งและสนองต่อความตอ้ งการของทอ้ งถนิ่
กรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่นเล่มนี้ประกอบด้วย ๕ ส่วน คือ บทนำ เป้าหมายและจุดเน้น
สาระการเรียนรู้ท้องถน่ิ การประเมินคุณภาพผู้เรยี นระดับท้องถิ่น และการนำกรอบสาระการเรียนรู้
ระดับทอ้ งถน่ิ สกู่ ารพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา เพอื่ ใหโ้ รงเรยี นนำกรอบและแนวทางไปจัดทำหลกั สตู ร
สถานศกึ ษาต่อไป
สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาระนอง ขอขอบคุณคณะทำงานและผู้มีส่วน
เกี่ยวข้องทุกท่านที่ให้ความร่วมมือในการจัดทำกรอบหลักสูตรระดับท้องถ่ินฉบับนี้ มีความสมบูรณ์
และเหมาะตอ่ การจัดการศึกษา หากสถานศกึ ษา หรือผู้มีส่วนเก่ยี วข้องพบข้อบกพรอ่ ง หรอื ต้องการให้
ขอ้ เสนอแนะเพ่ือการปรับปรุงให้หลกั สูตรระดับท้องถ่ินฉบับนี้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทางคณะผู้จัดทำ
จักขอขอบคุณท่าน เป็นอย่างยง่ิ
กลมุ่ นเิ ทศ ติดตามและประเมนิ ผลการจัดการศกึ ษา
สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาระนอง
ค
สารบญั หน้า
ก
ประกาศสำนกั งานเขตพื้นทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาระนอง ข
คำนำ ค
สารบัญ 1
ส่วนที่ 1 สว่ นนำ 1
3
ความเป็นมา 4
การดำเนนิ งานของส่วนกลาง 5
การดำเนนิ งานระดับเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษา 7
การดำเนินงานของสถานศกึ ษา
องคป์ ระกอบของสาระการเรียนรรู้ ะดับท้องถนิ่ 10
สว่ นที่ 2 เปา้ หมายและจุดเนน้ 10
วิสยั ทศั น์ 10
หลกั การ 10
จดุ หมาย 10
เปา้ หมาย 11
จดุ เน้นการดำเนินงานของสำนกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาระนอง 12
ส่วนท่ี 3 สาระการเรียนรู้ท้องถน่ิ 13
การวิเคราะหค์ วามสัมพันธโ์ ครงสร้างกรอบหลกั สูตรท้องถิ่นจังหวัดระนอง
กับมาตรฐานการเรยี นรู้ 23
เนอื้ หาประกอบหลกั สตู รทอ้ งถนิ่ จงั หวดั ระนอง 23
33
1. สภาพภมู ิศาสตร์ ส่ิงแวดล้อมและสังคม 39
2. ประวัติศาสตรเ์ มืองระนอง 47
3. การปกครองของจังหวดั ระนอง 57
4. มรดกทางธรรมชาติของจังหวัดระนอง 64
5. โบราณสถาน โบราณวัตถุ 70
6. ศิลปหัตถกรรมและงานช่างท้องถ่นิ 85
7. ภาษาและวรรณกรรม 92
8. ศาสนา พธิ กี รรมและความเชอ่ื 99
9. เอกลกั ษณข์ องจงั หวดั ระนอง 103
10. บคุ คลสำคญั ในท้องถิน่ 103
สว่ นท่ี 4 การประเมนิ คณุ ภาพผเู้ รียนระดับท้องถ่ิน 104
แนวทางการวัดและประเมินผล 106
รูปแบบการประเมนิ คณุ ภาพ
ส่วนที่ 5 การนำกรอบหลักสูตรระดบั ทอ้ งถิ่นสกู่ ารพัมนาหลกั สตู รสถานศกึ ษา
สารบญั (ต่อ) ง
บรรณานกุ รม หน้า
ภาคผนวก 107
108
คณะทำงาน 109
สว่ นที่ 1
สว่ นนำ
ความเปน็ มา
การจัดการศึกษาข้ันพื้นฐานจะต้องสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม
วฒั นธรรม สภาพแวดล้อม และความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่ีเจรญิ ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคนของชาติให้สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ
ประเทศ โดยการยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ให้มีคุณภาพและมาตรฐานระดับสากล
สอดคล้องกับประเทศไทยยุค 4.0 และโลกในศตวรรษที่ 21
กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ได้ดำเนินการ
ทบทวนปรับปรุงหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 โดยนำข้อมูลจาก
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนการศึกษา
แห่งชาติ พ.ศ.2560- 2579 มาใช้เป็นกรอบและทิศทางในการพัฒนาหลักสตู รให้มีความเหมาะสม
ชัดเจนย่ิงขึ้น โดยมีการปรับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดในกลุ่มสาระคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี การงานอาชีพ สาระภูมิศาสตร์ในกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
ซ่ึงเป็นสิ่งท่ีมีความสำคัญยิ่งในการพัฒนาประเทศ เพราะเป็นรากฐานที่สำคัญในการช่วยให้มนุษย์มี
ความคิดริเร่มิ สรา้ งสรรค์ คิดอย่างมีเหตผุ ล คิดเป็นระบบ สามารถวิเคราะหป์ ัญหา หรือสถานการณ์ได้
อย่างรอบคอบและถีถ่ ้วน
การบริหารจัดการหลักสูตรในยุคปัจจุบันมีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นและสถานศึกษาให้มี
สว่ นร่วมคดิ รว่ มตัดสินใจ ในการพัฒนาหลักสูตรของตนเอง โดยอาศัยการเปลย่ี นแปลงแนวคิด วธิ ีการ
รูปแบบ และปรับเปล่ยี นกระบวนทัศน์ (paradigm shift) จากกรอบแนวคิดเดมิ สแู่ นวคิดใหม่ ความรู้
ใหม่ วิธีการบริหารจัดการ และแนวปฏิบัติใหม่ ๆ ซ่ึงต้องมีความเกี่ยวเน่ืองสัมพันธ์กันหลายระดับ
ตง้ั แตร่ ะดบั ชาติ ระดบั ท้องถน่ิ และระดับสถานศกึ ษา
แนวทางการบริหารจัดการหลักสูตรตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศกั ราช
2551 การบรหิ ารจดั การหลกั สตู รในยุคปัจจุบันซงึ่ มกี ารกระจายอำนาจสทู่ ้องถิ่นและสถานศกึ ษาใหม้ ี
ส่วนร่วมคิดร่วมตัดสนิ ใจในการพัฒนาหลกั สตู รของตนเองครอบคลุมหลายมติ ิเกย่ี วข้องกับบุคคลหลาย
ฝ่ายในท้องถิ่นและต้องอาศัยองคป์ ระกอบปัจจัยเกอ้ื หนุนต่างๆ มากมาย เพ่ือการปรับปรุงพัฒนาการ
เรียนการสอนให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพสูงสุด การกำหนดกรอบหลักสูตรท้องถ่ินเป็นสาระสำคัญ
ประการหน่ึงที่จะช่วยให้ผู้บริหารสถานศึกษาครูผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียน
เห็นแนวทางในการดำเนินงานในการจดั ทำหลักสูตรสถานศึกษา การจัดการเรียนการสอนรวมท้ังการ
ส่งเสริมและดูแลด้านคุณภาพสอดคล้องกับสภาพและความต้องการของชุมชนท้องถ่ิน โดยมีการ
กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเปา้ หมายและเกณฑ์ในการพัฒนาสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น และสามารถ
ตรวจสอบคุณภาพของผู้เรียนในระดับท้องถ่ิน เพ่ือกำหนดกรอบทิศทางในการจัดการเรียนการสอน
เพ่ื อ พั ฒ น า ผู้ เรีย น ให้ มี ค ว าม รู้ค ว าม ส าม าร ถ อั น เป็ น พ้ื น ฐา น จ ำ เป็ น ใน ท้ อ ง ถ่ิ น แ ล ะ โล ก ปั จ จุ บั น
กรอบเป้าหมาย จุดเน้นท่ีกำหนดสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น ต้องมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ บนพื้นฐาน
ความเชื่อว่าทกุ คนสามารถเรียนรูแ้ ละพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ ผู้เรยี นมีโอกาสเรียนรู้เรอื่ งราว
2
ของชุมชน ท้องถิ่น ซ่ึงเป็นสภาพแวดล้อมในชีวิตจริงของตน ทำให้เกิดความตระหนัก เห็นคุณค่า
สำนึกรักผูกพันกับท้องถิ่น มีความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษ ถ่ินฐานบ้านเกิด เป็นสมาชิกท่ีดีของชุมชน
ตลอดจนสามารถแก้ปัญหา พัฒนาชีวิต อาชีพ ครอบครัวและสังคมของตนเองได้ตามควรแก่ฐานะ
และเป็นบุคคลทม่ี ีความรอบรู้เกี่ยวกับท้องถ่นิ ในแง่มุมต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วฒั นธรรม ฯลฯ
อยา่ งชดั เจน ในกระบวนการจัดทำหรอื พัฒนาหลกั สูตรสถานศึกษา เพือ่ ใชใ้ นการจัดการเรยี นร้ใู หบ้ รรลุ
เป้าหมายตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดท่ีหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กำหนดนั้น
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษาได้กำหนดใหห้ น่วยงานระดับทอ้ งถ่นิ ซึ่งในที่นหี้ มายถึงเขตพื้นที่
การศึกษา หรือหน่วยงานต้นสังกัดอื่นๆ ท่มี ีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการศึกษา ได้จดั ทำกรอบหลักสูตร
ระดับท้องถ่ินนั้น ๆ ข้ึน เพ่ือเป็นกรอบทศิ ทางให้สถานศึกษาได้นำไปประกอบการพิจารณาจัดทำหรือ
เพิ่มเติมในส่วนทจี่ ะสามารถตอบสนองต่อความตอ้ งการของท้องถ่ิน ภายใต้บรบิ ทของสถานศึกษาตาม
หลกั การจดั การศึกษาโดยเน้นผเู้ รียนเปน็ สำคัญ ในแนวการบริหารจัดการหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษา
ขั้นพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ได้กำหนดใหห้ น่วยงานระดับท้องถน่ิ ซึ่งหมายถึงจงั หวัด สำนักงานเขต
พ้ืนที่การศึกษา และหรือองค์กร หน่วยงานอ่ืน ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
ควรศึกษายุทธศาสตรก์ ารพัฒนาประเทศโดยรวม ยุทธศาสตร์การพฒั นา กล่มุ จังหวดั และยุทธศาสตร์
การพฒั นาจังหวัด ตลอดจนแผนพัฒนาการศกึ ษาของเขตพนื้ ที่การศกึ ษาควบคกู่ บั มาตรฐานการเรียนรู้
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อพิจารณากำหนดกรอบเป้าหมายและจุดเน้นในการ
พัฒนาทรัพยากรบุคคลในวัยเรียนให้มีความสัมพันธ์สอดคล้องกัน เพ่ือเป็นมนุษย์ท่ีมีความสมดุล
ท้งั ดา้ นรา่ งกาย ความรู้ คุณธรรม มีจติ สำนกึ ในความเปน็ พลเมืองไทยและเปน็ พลโลก
ด้วยเหตุนี้กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นจึงถือเป็นตัวจักรสำคัญในการตอบสนองนโยบาย
พระราชบัญญัติทางการศึกษา กฎหมายและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ท่ีเก่ียวข้องกับการจัด
การศกึ ษาดังน้ี
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 81 ระบุไว้ว่ารัฐต้องจัด
การศึกษาอบรมและสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรม ให้เกดิ ความรู้คู่คุณธรรมจัดให้มีกฎหมาย
เก่ียวกับการศึกษาแห่งชาติปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทาง เศรษฐกิจและ
สังคม สร้างเสริมความรู้ และปลูกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้อง เกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมุข สนับสนุนการค้นคว้าวจิ ัยในศิลปะวทิ ยาการตา่ งๆ
เร่งรัดพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศ พัฒนาวิชาชีพครูและส่งเสริมภูมิ
ปัญญาทอ้ งถิ่น ศลิ ปะและวฒั นธรรมของชาติ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2)
พ.ศ.2545 มาตรา 7 ระบุว่า กระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่งปลูกฝังจิตสำนึกท่ีถูกต้องเก่ียวกับการเมือง
การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รู้รักษาและส่งเสริมสิทธิ
หน้าท่ีเสรภี าพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาค และศักดิ์ศรคี วามเป็นมนุษย์ มีความภาคภูมิใจ
ในความเป็นไทยรู้จักรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมและของประเทศชาติ รวมทั้งส่งเสริมศาสนา
ศลิ ปวฒั นธรรมของชาติ การกฬี า ภมู ิปัญญาทอ้ งถิ่น ภูมปิ ญั ญาไทย และความรู้อันเปน็ สากล ตลอดจน
อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความสามารถในการประกอบอาชีพ รู้จักพึ่งตนเอง
มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ใฝร่ ู้ และเรียนร้ดู ้วยตนเองอย่างตอ่ เนื่อง
3
มาตรา 27 ให้คณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน กำหนดหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ข้ันพ้ืนฐาน เพื่อความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองท่ีดีของชาติการดำรงชีวิต และการประกอบอาชีพ
ตลอดจนเพื่อการศึกษาต่อให้สถานศึกษาขั้นพนื้ ฐาน มหี น้าที่จัดทำสาระของหลักสตู รในสว่ นท่ีเก่ียวกับ
สภาพปัญหาในชุมชน และสังคมภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพอ่ื เป็นสมาชิกท่ดี ีของ
ครอบครวั ชมุ ชน สงั คม และประเทศชาติ
มาตรา 39 ให้กระทรวงกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษา ทั้งด้านวิชาการ
งบประมาณ การบริหารงานบุคคล การบริหารงานทั่วไป ไปยังคณะกรรมการและสำนักงานเขตพ้ืนที่
การศกึ ษาและสถานศึกษาในเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาโดยตรง
พระราชบัญญัติ ระเบียบบรหิ ารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ. ศ.2546 มาตรา35 ระบไุ ว้
วา่ สถานศึกษาที่จัดการศึกษาศกึ ษาข้ันพื้นฐานเฉพาะท่ีเป็นโรงเรยี น มีฐานะเป็นนิติบุคคล และมาตรา
37 ให้มีสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา เพ่ือทำหน้าที่ในการดำเนินการให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของ
คณะกรรมการฯ และให้มอี ำนาจหน้าทเ่ี กีย่ วกบั การศึกษา ตามทก่ี ำหนดไวใ้ นกฎหมายนี้ หรือกฎหมาย
อืน่ และมอี ำนาจหน้าท่ี ดงั น้ี
(1) อำนาจหน้าที่ในการบริหารและจัดการศึกษาและพัฒนาสาระของหลักสูตรการศึกษาให้
สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น
พ้นื ฐาน
(2) อำนาจหน้าท่ีในการพัฒนางานด้านวิชาการและจัดให้มีระบบประกันคุณภาพภายใน
สถานศึกษารว่ มกนั กบั สถานศกึ ษา
ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยคณะกรรมการการบริหารหลักสูตรและงานวิชาการ
สถานศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พ. ศ.2544 ข้อ 5 ระบุวา่ ให้มีคณะกรรมการคณะหน่งึ เรียกวา่ “คณะกรรมการ
บรหิ ารหลักสตู รและงานวชิ าการสถานศกึ ษา” อยภู่ ายใต้คณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพนื้ ฐานและข้อ
6 ใหค้ ณะกรรมการมหี นา้ ทด่ี ังตอ่ ไปนี้
(1) วางแผนดำเนินงานวชิ าการ กำหนดสาระรายละเอียดของหลักสตู รระดบั สถานศึกษาและ
แนวการจัดสัดส่วนสาระการเรียนรู้ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับ
หลกั สูตรการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน สภาพเศรษฐกิจ สังคม ศลิ ปวัฒนธรรม ภูมปัญญาของท้องถิน่
การกำหนดเนื้อหาสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น เพ่ือให้สถานศึกษานำไปใช้จัดประสบการณ์ให้
ผู้เรียนได้เรียนรู้เก่ียวกับท้องถิ่นของตนเอง ท้ังในด้านความสำคัญ ประวัติความเป็นมา สภาพภูมิ
ประเทศ ภูมิอากาศ สภาพเศรษฐกิจ สังคม การดำรงชีวิต การประกอบอาชีพ ศิลปะ วัฒนธรรม
ประเพณี ภูมิปัญญา ฯลฯ ตลอดจนสภาพปัญหาในชุมชนและสังคมนนั้ ๆ อันจะทำให้ผู้เรียนเกิดความ
รกั ความผกู พัน มีความภาคภูมิใจในท้องถ่ินของตน ยินดที ี่จะร่วมสืบสานพฒั นาหรือแก้ไขปัญหาของ
ท้องถิ่นนน้ั มีขอ้ เสนอแนะแนวทางการดำเนนิ งานทีส่ ำคัญ ดงั นี้
การดำเนินงานของส่วนกลาง
กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานเป็นหน่วยงาน
ในส่วนกลาง มีภารกิจสำคัญในการจัดและส่งเสริมการศึกษาข้ันพื้นฐาน โดยมีหน้าที่ในการจัดทำ
นโยบายและจัดทำหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ซึ่งได้กำหนดจุดหมายของหลักสูตร
4
แกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. 2551เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เก่ียวกับท้องถ่ินโดยกำหนด
คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ ใหผ้ ู้เรียนรกั ประเทศชาติ รักท้องถ่ิน มุ่งทำประโยชน์ สรา้ งสง่ิ ดีงามใหส้ งั คม
มีจติ สำนึกในการอนรุ ักษภ์ าษาไทย ศลิ ปวัฒนธรรม ประเพณี กฬี า ภูมิปญั ญาไทย ทรพั ยากรธรรมชาติ
และส่งิ แวดล้อม ซึง่ สำนักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาสถานศึกษา หน่วยงานท่เี กย่ี วขอ้ ง จะตอ้ งนำหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พ.ศ. 2551 ไปใช้จดั การศึกษา ข้ันพ้ืนฐานให้บรรลุ ตามจุดหมายและ
มาตรฐาน การเรียนรู้ทกี่ ำหนดไว้
การดำเนนิ งานระดบั เขตพืน้ ที่การศึกษา
พระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 กำหนดให้
สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา มีหน้าท่ีในการบริหารจัดการศึกษา และพัฒนาสาระของหลักสูตร
การศึกษา ให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน รวมท้ัง มีหน้าท่ีในการพัฒนางาน
ด้านวิชาการร่วมกับสถานศึกษา สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ควรจัดทำ “กรอบสาระการเรียนรู้
ท้องถิ่น” ในระดับเขตพนื้ ท่ี เพอื่ ใหส้ ถานศึกษานำไปจัดทำรายละเอยี ดของเน้ือหาองคค์ วามรทู้ ่ีเกี่ยวกับ
ท้องถน่ิ ให้เหมาะสมกบั สภาพของสถานศกึ ษาและนำไปสู่การปฏิบตั จิ รงิ โดยได้ดำเนนิ การ ดังน้ี
แนวทางการดำเนนิ งานระดบั เขตพนื้ ทกี่ ารศึกษา
1. ดำเนินงานในรูปคณะกรรมการองค์ประกอบของคณะกรรมการ ประกอบด้วย
ศึกษานิเทศก์ ครู ผู้บริหารการศึกษา ผู้นำชุมชน ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ประสบการณ์ หลากหลาย
สาขา เช่น มีความรู้เก่ียวกับวิสัยทัศน์ กลุ่มจังหวัด มีความเข้าใจเก่ียวกับท้องถิ่น ภูมิปัญญา ปัญหา
ชุมชน มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความมุ่งมั่น และเห็นความสำคัญของการจัดการศึกษา มีความรู้ด้าน
จิตวิทยาและพัฒนาการเด็ก มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตร การเรียนการสอน การวัดและ
ประเมินผล ฯลฯ และได้ร่วมกันกำหนดกรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นให้เหมาะสม ทันสมัย เป็น
ประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของผู้เรียนในเขตพ้ืนท่ี สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้
การศกึ ษาข้ันพ้นื ฐานอยา่ งแทจ้ ริง
2. ศึกษา/วิเคราะห์หลกั สตู รการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน คณะกรรมการจดั ทำกรอบสาระการเรียนรู้
ท้องถนิ่ ได้ทำการศึกษา/วิเคราะห์หลกั สูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซ่งึ ครอบคลมุ ทั้งมาตรฐานการเรยี นรู้
การศึกษาข้ันพื้นฐาน มาตรฐานการเรยี นรู่ช่วงชั้น และสาระการเรียนรูช้ ั้นปีของกลุ่มสาระการเรียนรู้
ต่าง ๆ ตามหลักสูตรการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน เพ่ือจะได้ทราบถึงขอบข่ายของการกำหนดกรอบสาระการ
เรียนรทู้ อ้ งถิน่
3. ศึกษา/วิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศของท้องถ่ิน ซ่ึงคณะกรรมการได้ศึกษาวิเคราะห์/
สังเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศของท้องถ่ิน ครอบคลุมทั้งวิสัยทัศน์กลุ่มจังหวัด/จังหวัด ความสำคัญ
ประวัติความเป็นมา สภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สภาพเศรษฐกิจ สังคม วิถีการดำรงชีวิต ศิลปะ
วัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น สภาพปัญหาในชุมชนและสังคมนั้น ๆ รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์
และสังเคราะห์ขอ้ มูลจุดเนน้ หรอื ขอ้ มูลประเด็นที่สถานศึกษาในเขตพ้ืนทีใ่ ห้ความสำคัญ แล้วนำข้อมลู ท่ี
ไดม้ าทั้งหมดใช้เปน็ ข้อมลู พืน้ ฐานในการจดั ทำกรอบสาระการเรียนรู้ทอ้ งถนิ่
4. กำหนดกรอบสาระเรียนรู้ท้องถน่ิ เมื่อคณะกรรมการไดว้ ิเคราะห์/สงั เคราะห์ และทราบถึง
ขอบข่ายของการกำหนดกรอบสาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน จากหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน รวมทั้ง
5
ขอ้ มูลสารสนเทศของท้องถิ่นและสถานศึกษาแล้ว จึงร่วมกันกำหนดกรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นให้
เหมาะสม ซึ่งมีความยืดหยุ่น สถานศึกษาสามารถนำไปกำหนดรายละเอียดของเนื้อหาองค์ความรู้ ที่
เกีย่ วกบั ท้องถ่ินไดง้ ่ายและสอดคล้องกบั จุดเนน้ ของสถานศึกษา
5. สอบถามและรับฟังความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณผู้เก่ียวข้อง เม่ือจัดทำกรอบสาระเรียนรู้
ทอ้ งถ่ินเสรจ็ แล้ว นำไปรบั ฟงั ความคิดเห็นจากบคุ คลที่เก่ียวข้องในทอ้ งถ่ิน เช่น ผู้ทรงคุณวุฒิ ผูบ้ รหิ าร
การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ครู อาจารย์ ศึกษานิเทศก์ ผู้ปกครอง นักเรียน ผู้นำชุมชน ตลอดจน
ผ้เู กีย่ วข้องต่าง ๆ เพ่ือตรวจสอบความสมบรู ณ์ ก่อนท่ีจะนำไปปรบั ปรงุ และให้สถานศึกษานำไปจัดทำ
รายละเอยี ดสาระการเรยี นรทู้ อ้ งถน่ิ ของสถานศึกษาต่อไป
6. เผยแพร่และประชาสัมพันธ์กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน หลังจากปรับปรุง กรอบสาระ
การเรียนรู้ท้องถ่ินให้สมบูรณ์แล้ว สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาจะเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กรอบสาระ
การเรยี นรทู้ ้องถิ่นใหส้ ถานศกึ ษาทุกแห่งในเขตพื้นที่ไดท้ ราบและนำไปเป็นกรอบจดั ทำรายละเอียดของ
เนอื้ หาการเรยี นรทู้ ้องถิ่นของสถานศกึ ษาอย่างเหมาะสม
7. นิเทศ กำกับ ติดตามและประเมินผล หลังจากสถานศึกษาได้นำกรอบสาระการเรียนรู้
ทอ้ งถ่นิ ไปจัดทำรายละเอยี ดของเน้ือหาองค์ความรทู้ ีเ่ กยี่ วกบั ท้องถิ่นและจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ให้
เกิดข้ึนกับผู้เรยี นแลว้ สำนักงานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษาจะดำเนินการนิเทศ ตดิ ตาม กำกับ และประเมินผล
การจัดประสบการณก์ ารเรียนรู้เก่ียวกบั ท้องถน่ิ ของสถานศกึ ษา
8. วิจัยพัฒนากรอบหลกั สูตรระดับท้องถิ่น การวิจยั นำสาระการเรียนรู้เก่ียวกับท้องถ่ินสู่การ
เรียนการสอนในระดับสถานศึกษา รวมทั้งติดตามประเมินผลคุณภาพของผู้เรียนว่าเป็นไปตาม
มาตรฐานการเรียนรู้หรือไม่ และนำผลการประเมินมาใช้ในการวางแผน ปรับปรุงและวิจัยพัฒนา
คุณภาพการศกึ ษาต่อไป
กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถ่ินของสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา จะได้มีการทบทวนและ
ปรับปรุงพัฒนาทุกระยะ 3 – 5 ปีหรือตามระยะเวลาท่ีคณะกรรมการฯเห็นสมควรเพ่ือให้มีความ
ทันสมัยเหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมและสภาวะของสังคม วัฒนธรรมที่มีการเปล่ียนแปลงอยู่
ตลอดเวลา
การดำเนินงานของสถานศึกษา
สถานศึกษาเป็นหน่วยงานระดับปฏิบัติการท่ีจะต้องนำกรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น ที่
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้จัดทำนำไปสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม เพ่ือให้ผู้เรียน ได้เรียนรู้
เกี่ยวกับท้องถิ่นของตนเอง เกิดความรัก ความผูกพัน และมีความภาคภูมิใจในท้องถิ่น สถานศึกษาจึง
ต้องนำ กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน มาจัดทำ รายละเอียดของเนื้อหา องค์ความรู้ที่เก่ียวกับท้องถิ่น
ให้เหมาะสมกบั บรบิ ทของสถานศึกษาและสภาพชุมชนนัน้ ๆ
แนวทางการดำเนินงานของสถานศกึ ษา
1. แต่งต้ังคณะกรรมการ/ คณะทำงาน คณะกรรมการชุดนี้ควรประกอบด้วย ผู้อำนวยการ
เขตพ้ืนท่ีการศึกษา/ ผู้บริหารส่วนราชการระดับท้องถ่ิน ผู้บริหารสถานศึกษาในท้องถ่ินท้ังระดับ
มธั ยมศึกษา ครูผสู้ อน ผูแ้ ทนชมุ ชน
6
2. วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารและแหล่งข้อมูลต่างๆ อาทิ หลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 รวมทั้งศกึ ษาสภาพ แนวโน้มการเปล่ียนแปลง บริบทสภาพ
ปัญหา ความต้องการของท้องถนิ่ ชมุ ชน ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของผู้เรียนในพ้นื ท่ี เปน็ ต้น
3. ดำเนินการจดั ทำกรอบหลักสตู รระดับท้องถนิ่ ในการดำเนนิ การจัดทำกรอบหลกั สูตรระดับ
ท้องถิ่นให้มีคุณภาพ จะต้องมีการวางแผนงานท่ีชัดเจนเพ่ือให้เห็นภาพการทำงานตลอดแนวด้วย
กระบวนการทำงานแบบมีสว่ นร่วม
4. รับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้ทรงคุณวุฒิ ครูผู้สอน ผู้ปกครอง ปราชญ์ใน
ชมุ ชน และหน่วยงานธุรกิจ ฯลฯ เพ่ือนำขอ้ คิดเห็นจากฝ่ายต่างๆ มาปรับปรงุ กรอบหลกั สูตรใหม้ ีความ
เหมาะสมชดั เจนยง่ิ ขึ้น
5. เสนอคณะกรรมการเขตพืน้ ท่กี ารศกึ ษา/ คณะกรรมการระดบั ทอ้ งถน่ิ เพ่อื ใหค้ วามเหน็ ชอบ
7
องคป์ ระกอบของกรอบสาระการเรียนรู้ระดับทอ้ งถ่ิน
1. เป้าหมาย/จุดเน้นของสำนักงานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษา ที่จะชว่ ยขับเคล่ือนการจัดการศกึ ษา
ของสถานศึกษาภายในเขต/ท้องถ่ิน เพ่ือให้สามารถพัฒนาผู้เรยี นให้บรรลุคุณภาพตามมาตรฐานการ
เรยี นรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน และผ้เู รยี นได้มีโอกาสเรียนรู้ในเรื่องเก่ียวกบั ชมุ ชน
ท้องถ่ินในการจัดการศึกษาให้บรรลุผลดังกล่าว สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาจึงกำหนดเป้าหมาย/
จดุ เน้นที่ตอ้ งการให้เดน่ ชดั เปน็ การเฉพาะเพ่อื ให้สถานศึกษาไดเ้ ลง็ เหน็ ทศิ ทางในการพัฒนาการศึกษา
ในท้องถิ่น เช่น การพัฒนาด้านทักษะการคิดวิเคราะห์ ด้านความรักและความภาคภูมิใจในท้องถ่ิน
เป็นต้น โดยเปา้ หมาย/จดุ เนน้ นน้ั ควรกำหนดเปน็ คณุ ภาพที่ตอ้ งการใหเ้ กิดข้นึ ในตวั ผู้เรยี น
2. สาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน เป็นส่วนที่ให้ข้อมูลเก่ียวกับหัวข้อ/ประเด็นสำคัญที่ผู้เรียน
ในท้องถ่ิน ควรเรียนรูห้ รือได้รับการปลกู ฝงั ในฐานะที่เป็นสมาชิกของชุมชน เพือ่ ให้เกิดความรกั ความ
ภาคภูมิใจและต้องการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมภูมิปัญญาท้องถิ่นสภาพแวดล้อม
ในท้องถ่ิน การกำหนดสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น จึงกำหนดในขอบเขตประเด็นสำคัญพร้อมท้ังมี
คำอธิบายประกอบในแต่ละประเด็นพอสังเขป เพื่อให้ครูผู้สอนใช้เป็นแนวทางในการจัดให้ผู้เรียนได้
เรียนรู้ในเรื่องเกี่ยวกับท้องถิ่น ประวัติความเป็นมาของท้องถิ่น สภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ
เศรษฐกิจ สังคม วิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถ่ินสภาพปัญหาและเหตุการณ์
สำคัญในชมุ ชนและสงั คมนั้น ๆ รวมทงั้ ขอ้ มลู แนวโน้มการพฒั นาทอ้ งถิน่ เป็นตน้
การจัดทำสาระการเรยี นรูท้ อ้ งถนิ่ อาจได้จากการวิเคราะห์รวมรวบขอ้ มลู จากแหลง่ ต่าง ๆ เช่น
วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดของกลุ่มสาระการเรียนรู้ท้ัง 8 กลุ่มสาระตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุธทศักราช 2551 ในส่วนท่ีเกี่ยวข้องกับชุมชนและท้องถิ่น รวมทั้ง
ขอ้ มูลจากการศึกษา สำรวจสภาพปัญหา การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในสังคม/ชุมชนเพ่ือนำมา
สงั เคราะห์จดั เปน็ หมวดหมู่ เพ่อื สถานศกึ ษาจะได้ใชเ้ ปน็ แนวทางการจัดการเรยี นรูต้ อ่ ไป
การจดั ทำหลักสูตร โดยเฉพาะในส่วนท่เี กย่ี วขอ้ งกับทอ้ งถนิ่ สิ่งทคี่ วรทำความเข้าใจให้ตรงกัน
ไดแ้ ก่
1. หลกั สตู รท่ีใชใ้ นการจดั การเรียนรู้ในระดับสถานศึกษา คอื “หลกั สตู รสถานศึกษา”
2. สิ่งท่ีผู้เรียนต้องเรียนรู้เก่ียวกับท้องถิ่น สามารถสอดแทรกเข้าไปในรายวิชาพ้ืนฐาน
ทัง้ 8 กลุม่ สาระการเรียนรู้ หรือหากสถานศึกษาเห็นวา่ มีสิง่ สำคญั ที่ตอ้ งการจะเน้นและแยกสอนเป็น
การเฉพาะ เช่น เพ่ืออนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถ่ินก็สามารถเปิดเป็นรายวิชาเพ่ิมเติมได้ แต่ไม่ว่าจะเป็น
ลักษณะใดก็อยู่ในหลักสูตรสถานศึกษาท้ังส้ิน เพราะการกระจายอำนาจให้โรงเรียนจัดทำหลักสูตร
สถานศึกษากเ็ พื่อให้สอดคลอ้ งกับสภาพและความต้องการของทอ้ งถน่ิ ซงึ่ ลกั ษณะแตกตา่ งกนั ไป
3. กรอบหลักสูตรระดับรู้ท้องถิ่นที่สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาระนอง
จัดทำเป็นกรอบแนวทางกว้าง ๆ ที่ระบุเป้าหมาย/จดุ เน้นของท้องถ่ิน สาระการเรียนรูห้ รอื เรื่องต่าง ๆ
เกี่ยวกับท้องถิ่น และแนวทางการประเมินคุณภาพผู้เรียนในท้องถิ่น สถานศึกษาสามารถนำไปเป็น
แนวทางจัดการเรยี นการสอน เพื่อให้ผู้เรียนไดม้ คี วามรูค้ วามเข้าใจเรื่องเหล่านั้นในฐานะที่เป็นสมาชิก
ในสังคมน้ัน ๆ ในเอกสารกรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น นำเสนอเป็นเพียงแนวทางและตัวอย่างของ
รายวิชาเพิ่มเตมิ เก่ียวกบั ทอ้ งถิน่ ได้ มิใช่สง่ิ ทกี่ ำหนดใหโ้ รงเรียนต้องสอน
8
3. การประเมินคุณภาพการศึกษาระดับท้องถ่ิน การประเมินคุณภาพผู้เรียน และการ
รายงานผลการศึกษาระดับท้องถ่ิน เป็นกลไกสำคัญในการควบคุมคุณภาพการศึกษา เพ่ือ เป็นการ
ตรวจสอบว่าคุณภาพผ้เู รียนตามหลักสูตรแกนกลางตลอดจนเป้าหมายและจุดเน้นซึ่งกำหนดคณุ ภาพ
ผู้เรียนในพื้นท่ีน้ันบรรลุผลหรือไม่เพียงใด และมีอะไรจะต้องปรับปรุงพัฒนาต่อไป ดังน้ัน ควรมีการ
ระบุเกี่ยวกับการประเมินคุณภาพผู้เรียนไว้ในกรอบหลักสูตระดับท้องถ่ิน ให้โรงเรียนต่าง ๆ ได้รับ
ทราบข้อมูลว่าเขตพื้นท่ีการศึกษาจะจดั การประเมินคุณภาพในกลุ่มสาระการเรียนรูใ้ ดบ้าง ระดับข้ัน
ใดบ้าง และประเมินเมื่อไร ด้วยวิธีการหรือเคร่ืองมืออะไร มีเกณฑ์การประเมินเป็นอย่างไร และ
โรงเรียนทีม่ ผี ลการประเมนิ ไมถ่ งึ เกณฑท์ ี่กำหนดจะต้องดำเนนิ การอย่างไร เป็นตน้
9
สว่ นท่ี 2
เป้าหมายและจดุ เน้น
สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาระนอง ได้กำหนดวิสยั ทศั น์ จุดมุ่งหมาย เป้าหมายและ
จุดเน้นในการจัดการศึกษาตามกรอบหลักสตู รระดบั ท้องถน่ิ ดังน้ี
วสิ ัยทศั น์
กรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่นจังหวัดระนอง พุทธศักราช 2563 มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนได้เรียนรู้
ภูมิหลัง วิถีการดำรงชีวิต เศรษฐกิจสังคม ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและทรัพยากรของจังหวัด
ระนอง เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนจังหวัดระนอง มีความรัก ความภาคภูมิใจในฐานะพลเมืองจังหวดั ระนอง และ
เป็นกำลงั สำคัญในการบำรงุ รกั ษาใหย้ ่งั ยนื ตอ่ ไป
หลกั การ
กรอบหลกั สตู รระดบั ทอ้ งถิน่ มีหลกั การสำคญั ดังนี้
1. เปน็ หลักสตู รประกอบการทำหลกั สูตรสถานศกึ ษาของสถานศกึ ษาในสังกดั
2. เปน็ หลกั สตู รทสี่ นองต่อปัญหาความตอ้ งการของท้องถน่ิ
3. เปน็ การจัดการเรียนรทู้ ี่สอดคลอ้ งกบั วถิ ีชมุ ชน
4. เป็นหลักสตู รทส่ี นองตอบความตอ้ งการของผู้เรยี นอยา่ งหลากหลาย
5. เป็นหลักสูตรท่ีเนน้ การมสี ่วนร่วมอยา่ งแท้จริงระหว่างโรงเรียนกับชมุ ชน
จดุ หมาย
กรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่นจังหวัดระนอง พุทธศักราช 2563 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศกึ ษาระนอง มุ่งพฒั นาผู้เรียนใหเ้ ป็นคนดี คนเกง่ มคี วามสขุ และมศี ักยภาพในการพัฒนาตนเองตลอด
ชีวติ ดังน้ี
1. มีคุณธรรม จริยธรรมตามหลักศาสนา และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัย
ปฏิบตั ิตนตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
2. มีความรกั ความภาคภมู ใิ จ และดำเนนิ ชวี ิตตามขนมธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของบรรพชนคน
เมืองระนอง
3. มสี ุขภาพกายสุขภาพจิตท่ดี ี มีสขุ นสิ ัยและรกั การออกกำลังกาย
4. มีจติ สำนึกรักแผน่ ดินถน่ิ เกิดจงั หวัดระนอง เปน็ พลเมืองท่ดี ีของชุมชนและของชาติ ยึดมน่ั ในวถิ ีชวี ิต
และการปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษัตริยเ์ ป็นประมขุ
5. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นจังหวัดระนอง การอนุรักษ์และพัฒนา
สิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะ ที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในชุมชนท้องถิ่น และอยู่ร่วมกันอย่างมี
ความสุข
เป้าหมาย
1. นกั เรยี นมีจิตสำนึกรักทอ้ งถ่นิ และภมู ิใจในถ่ินกำเนิด
2. นักเรียนมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น มีจิตสาธารณะในการพัฒนา
ทอ้ งถ่นิ
11
3. นกั เรยี นมีคณุ ภาพระดับมาตรฐานสากลพรอ้ มเข้าสู่ประชาคมอาเซียนบนพืน้ ฐานของความเปน็
ไทย
จดุ เนน้ การดำเนินงานของสำนักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาระนอง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระนอง ได้กำหนดจุดเน้นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับ
ยทุ ธศาสตร์ ดังน้ี
จุดเน้นด้านหลกั สูตรและกระบวนการเรยี นรู้
1. ปรับปรุงหลักสตู รสถานศกึ ษาให้สอดคลอ้ งกับบรบิ ท ชุมชน ทอ้ งถ่นิ และนโยบายทางการศึกษา
2. สถานศึกษาทกุ แห่งมีการยกระดบั มาตรฐานภาษาอังกฤษเพ่อื การสือ่ สารทกุ ระดับช้นั
3. สถานศึกษาใช้ STEM Education , DLIT , DLTV , Active learning จัดการเรียนสอดคล้องกับ
การศึกษาในศตวรรษที่ 21 และสนองนโยบายไทยแลนด์ 4.0
4. ผู้เรียนระดับก่อนประถมศึกษามีพัฒนาการด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ จิตใจ ด้านสังคม และด้าน
สตปิ ัญญาท่สี มดุลพรอ้ มทจ่ี ะเข้ารบั การเรยี นตอ่ ในระดับประถมศึกษา
5. ผเู้ รียนชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 1 อ่านออก เขยี นได้
6. ผ้เู รยี นต้งั แต่ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 2 ข้นึ ไป อ่านคล่องเขยี นคลอ่ ง
7. ผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีผลการทดสอบความสามารถพื้นฐาน (NT) ด้านภาษาไทย
ด้านคณติ ศาสตร์
8. ผเู้ รียนชน้ั มธั ยมศึกษาตอนตน้ ไดร้ ับการศึกษาต่อตามความถนัดและความสนใจและ มีทัศนคติท่ีดี
ตอ่ การประกอบอาชพี
9. ผู้เรียนทุกคนผา่ นเกณฑก์ ารประเมินสมรรถนะตามหลกั สูตรการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน
10. ผเู้ รียนได้รับการวัดและประเมนิ ผลทหี่ ลากหลายเหมาะสมตามศกั ยภาพเป็นรายบุคคล
11. ผู้เรียนมคี ่านยิ มหลกั ของคนไทย 12 ประการ มีจิตสำนึกในการอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและ
สง่ิ แวดล้อม หา่ งไกลยาเสพตดิ มีทักษะการแกป้ ัญหาและอยอู่ ยา่ งพอเพยี งบนพ้ืนฐานวัฒนธรรมของคนไทย
12. ผู้เรียนระดบั ประถมศกึ ษา ใฝ่เรียนรู้ ใฝด่ ี และอยู่รว่ มกับผู้อน่ื ได้
13. ผ้เู รียนระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ มีทักษะการแก้ปญั หาและอยู่อย่างพอเพยี ง
14. ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษได้รับการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาเต็มศักยภาพ เป็น
รายบุคคล
สว่ นท่ี 3
สาระการเรยี นร้ทู อ้ งถ่ิน
สาระการเรยี นรู้ทอ้ งถ่นิ จังหวัดระนอง ประกอบดว้ ย องคค์ วามรู้ ทักษะหรอื กระบวนการเรียนรู้ และ
คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ซ่ึงกำหนดให้ผู้เรยี นทุกคนในสถานศึกษาขน้ั พ้ืนฐานทุกโรงเรียนในจังหวัดระนอง ได้
จดั การเรยี นรู้ทอ้ งถ่ินจังหวัดระนอง ตามศกั ยภาพของสถานศกึ ษาโดยกำหนดเป็น 10 เรอื่ ง ดังนี้
องค์ความรู้ ทักษะสำคญั และคณุ ลักษณะ
ในกรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่นจงั หวัด
ระนอง
1. สภาพกายภาพ 2. ประวัติศาสตร์ 3. การปกครองของ
ของจงั หวดั ระนอง เมืองระนอง จงั หวัดระนอง
4. มรดกทางธรรมชาติ 5. โบราณสถาน 6. ศิลปหัตกรรมและ
ของจังหวัดระนอง โบราณวัตถุ งานชา่ งทอ้ งถนิ่
7. ภาษาและวรรณกรรม 8. ศาสนา พิธกี รรม 9. เอกลักษณ์
และความเชอื่ ของจังหวัดระนอง
10. บุคคลสำคญั
ในท้องถ่ิน
13
การวิเคราะห์ความสมั พนั ธโ์ ครงสรา้ งกรอบหลกั ระดบั สตู รระดบั ทอ้ งถิ่นจังหวดั ระนอง กับมาตรฐานการ
เรียนรู้ทุกกลุ่มสาระ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน การจดั การเรยี นรู้
ระดบั ชั้น
เรื่อง สาระการเรยี นรทู้ อ้ งถิน่ จังหวัดระนอง พทุ ธศักราช 2551
ที่ และมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ช้ีวดั กลุ่ม ประถม ม.ต้น
สาระการเรยี นรู้ //
//
1. สภาพกายภาพของจังหวดั ระนอง ภาษาไทย //
//
- สภาพภูมศิ าสตร์ท่ตี ัง้ และอาณาเขต สาระท่ี 1 การอา่ น มฐ. ท 1.1 //
//
- ลักษณะภูมิประเทศ สาระท่ี 2 การเขียน มฐ. ท 2.1 //
- ลักษณะภูมอิ ากาศ สาระท่ี 3 การฟงั การดู การพดู มฐ.ท 3.1 //
//
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี //
//
สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มฐ. ว 1.1
//
สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มฐ. ว 2.1 //
สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ //
//
มฐ. ว 3.1 - 3.2
สาระที่ 4 เทคโนโลยี มฐ. ว 4.1 - 4.2
คณติ ศาสตร์
สาระท่ี 1 จำนวนและพชี คณิต
มฐ. ค 1.1 - 1.2
สาระท่ี 2 การวัดและเรขาคณติ
มฐ. ค 2.1 - 2.2
สาระท่ี 3 สถติ ิและความนา่ จะเปน็
มฐ. ค 3.1 - 3.2
สังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม
สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ มฐ. ส 5.1 - 5.2
การงานอาชีพ
สาระที่ 1 การดำรงชีวติ และครอบครัว
มฐ. ง. 1.1
ศิลปะ
สาระท่ี 1 ทัศนศลิ ป์ มฐ. ศ 1.2
ภาษาตา่ งประเทศ
สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสอื่ สาร
มฐ.ต. 1.1– 1.3
สาระท่ี 3 ภาษากับความสมั พนั ธ์กับกลุ่ม
สาระอน่ื มฐ.ต. 3.1
14
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน การจัดการเรียนรู้
ระดบั ชัน้
เรื่อง สาระการเรียนร้ทู อ้ งถ่ินจงั หวดั ระนอง พทุ ธศักราช 2551
ที่ และมาตรฐานการเรียนรูแ้ ละตวั ชว้ี ัดกลุ่ม ประถม ม.ต้น
สาระการเรยี นรู้ //
//
2. ประวตั ศิ าสตรเ์ มอื งระนอง ภาษาไทย //
- สมัยก่อนประวัตศิ าสตร์ สาระที่ 1 การอา่ น มฐ. ท 1.1 //
//
- พฒั นาการทางประวัตศิ าสตร์ - สาระที่ 2 การเขียน มฐ. ท 2.1 //
//
เมืองระนองในสมัยประวัตศิ าสตร์ สาระที่ 3 การฟงั การดู การพดู มฐ. ท 3.1
//
ตอนต้น “เสน้ ทางการค้าโบราณ” //
//
- ระนองสมยั สงครามโลกคร้ังที่ 2 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
- ตราประจำจงั หวัดระนอง //
สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ มฐ. ว 1.1
- คำขวัญประจำจังหวดั ระนอง //
สาระท่ี 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ มฐ. ว 2.1 //
สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ //
//
มฐ. ว 3.1 - 3.2
สาระที่ 4 เทคโนโลยี มฐ. ว 4.1 - 4.2
คณิตศาสตร์
สาระที่ 1 จำนวนและพีชคณติ
มฐ. ค 1.1 - 1.2
สาระท่ี 2 การวัดและเรขาคณิต
มฐ. ค 2.1 - 2.2
สาระที่ 3 สถติ แิ ละความน่าจะเป็น
มฐ. ค 3.1 - 3.2
สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
สาระท่ี 4 ประวัตศิ าสตร์
มฐ. 4.1 – 4.3
การงานอาชีพ
สาระท่ี 1 การดำรงชีวิตและครอบครัว
มฐ. ง. 1.1
ศลิ ปะ
สาระท่ี 1 ทัศนศิลป์ มฐ. ศ 1.2
ภาษาต่างประเทศ
สาระท่ี 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร
มฐ.ต. 1.1– 1.3
สาระท่ี 3 ภาษากบั ความสมั พันธก์ ับกลุม่
สาระอืน่ มฐ.ต. 3.1
15
หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน การจัดการเรียนรู้
ระดบั ช้นั
เร่ือง สาระการเรยี นรู้ทอ้ งถิน่ จังหวัดระนอง พุทธศักราช 2551
ท่ี และมาตรฐานการเรียนรูแ้ ละตวั ช้วี ัดกลุ่ม ประถม ม.ต้น
สาระการเรียนรู้ //
//
3. การปกครองของจังหวัดระนอง ภาษาไทย //
- การปกครอง สาระที่ 1 การอา่ น มฐ. ท 1.1 //
//
- โครงสร้างการบรหิ ารการ สาระที่ 2 การเขยี น มฐ. ท 2.1 //
ปกครอง สาระที่ 3 การฟงั การดู การพูด มฐ. ท 3.1 //
- การปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี //
- การศกึ ษา สาระท่ี 1 วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ มฐ. ว 1.1 //
สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มฐ. ว 2.1 //
สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ //
มฐ. ว 3.1 - 3.2 //
//
สาระที่ 4 เทคโนโลยี มฐ. ว 4.1 - 4.2 //
//
คณิตศาสตร์
//
สาระที่ 1 จำนวนและพชี คณิต
//
มฐ. ค 1.1 - 1.2
//
สาระท่ี 2 การวัดและเรขาคณิต
//
มฐ. ค 2.1 - 2.2 //
//
สาระท่ี 3 สถิตแิ ละความนา่ จะเป็น
มฐ. ค 3.1 - 3.2
สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม
สาระที่ 1 ศาสนา ศลี ธรรม จรยิ ธรรม
มฐ. ส 1.1 - 1.2
สาระที่ 2 หนา้ ทพ่ี ลเมือง วฒั นธรรม
การดำเนนิ ชวี ิตในสังคม มฐ. ส 2.1 - 2.2
สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์ มฐ. ส 3.1 - 3.2
สาระที่ 4 ประวัตศิ าสตร์ มฐ. ส 4.1 - 4.3
สาระท่ี 5 ภูมศิ าสตร์ มฐ. ส 5.1 - 5.2
ศิลปะ
สาระท่ี 1 ทัศนศลิ ป์ มฐ. ศ 1.2
ภาษาตา่ งประเทศ
สาระที่ 1 ภาษาเพ่อื การส่อื สาร
มฐ.ต. 1.1– 1.3
สาระที่ 3 ภาษากบั ความสมั พันธก์ บั กลุ่ม
สาระอนื่ มฐ.ต. 3.1
4. มรดกทางธรรมชาตขิ องจังหวดั ภาษาไทย
ระนอง สาระที่ 1 การอ่าน มฐ. ท 1.1
- มรดกทางธรรมชาติ สาระท่ี 2 การเขยี น มฐ. ท 2.1
- พ้ืนทปี่ ่า สาระท่ี 3 การฟงั การดู การพดู มฐ. ท 3.1
- พืชพันธไุ์ ม้
- สัตว์นานาชนิด
- ต้นน้ำลำธารและแหล่งนำ้ สำคัญ
16
หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน การจดั การเรยี นรู้
ระดบั ชัน้
เรอ่ื ง สาระการเรียนรทู้ อ้ งถิ่นจังหวัดระนอง พทุ ธศกั ราช 2551
ที่ และมาตรฐานการเรียนรูแ้ ละตวั ชว้ี ัดกลมุ่ ประถม ม.ต้น
สาระการเรยี นรู้ //
//
4. วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี //
(ตอ่ ) สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มฐ. ว 1.1 //
สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มฐ. ว 2.1 //
สาระท่ี 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ //
มฐ. ว 3.1 - 3.2 //
สาระที่ 4 เทคโนโลยี มฐ. ว 4.1 - 4.2 //
คณิตศาสตร์ //
//
สาระที่ 1 จำนวนและพชี คณติ //
//
มฐ. ค 1.1 - 1.2
//
สาระท่ี 2 การวัดและเรขาคณิต
//
มฐ. ค 2.1 - 2.2
//
สาระที่ 3 สถิติและความนา่ จะเปน็
//
มฐ. ค 3.1 - 3.2 //
//
สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม
//
สาระท่ี 1 ศาสนา ศลี ธรรม จรยิ ธรรม //
//
มฐ. ส 1.1 - 1.2
//
สาระที่ 2 หน้าที่พลเมอื ง วฒั นธรรม
การดำเนินชีวิตในสังคม มฐ. ส 2.1 - 2.2
สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์ มฐ. ส 3.1 - 3.2
สาระที่ 4 ประวัตศิ าสตร์ มฐ. ส 4.1 - 4.3
สาระท่ี 5 ภูมศิ าสตร์ มฐ. ส 5.1 - 5.2
ภาษาต่างประเทศ
สาระท่ี 1 ภาษาเพื่อการสอ่ื สาร
มฐ.ต. 1.1– 1.3
สาระท่ี 3 ภาษากบั ความสมั พนั ธก์ ับกลุ่ม
สาระอ่ืน มฐ.ต. 3.1
ศลิ ปะ
สาระท่ี 1 ทัศนศลิ ป์ มฐ. ศ 1.2
5. โบราณสถาน โบราณวัตถุ ภาษาไทย
- โบราณสถาน สาระที่ 1 การอา่ น มฐ. ท 1.1
- โบราณวัตถุ สาระท่ี 2 การเขียน มฐ. ท 2.1
สาระที่ 3 การฟัง การดู การพูด มฐ. ท 3.1
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ มฐ. ว 1.1
สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มฐ. ว 2.1
สาระที่ 3 วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ
มฐ. ว 3.1 - 3.2
สาระท่ี 4 เทคโนโลยี มฐ. ว 4.1 - 4.2
17
เรื่อง สาระการเรยี นรทู้ อ้ งถิ่นจงั หวดั หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน การจดั การเรยี นรู้
ที่ ระนอง พทุ ธศักราช 2551 ระดับชั้น
5.
(ตอ่ ) และมาตรฐานการเรียนร้แู ละตวั ช้วี ัดกลมุ่ ประถม ม.ต้น
สาระการเรยี นรู้
6. ศิลปหตั ถกรรมและงานชา่ งทอ้ งถิน่ //
- จิตรกรรม คณติ ศาสตร์
- ประติมากรรม สาระท่ี 2 การวดั และเรขาคณิต //
- งานชา่ งทอ้ งถน่ิ มฐ. ค 2.1 - 2.2
- ศลิ ปวัฒนะธรรมทอ้ งถ่ิน //
สังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม //
สาระที่ 1 ศาสนา ศลี ธรรม จรยิ ธรรม //
มฐ. ส 1.1 - 1.2 //
สาระที่ 2 หนา้ ท่พี ลเมือง วัฒนธรรม
การดำเนินชีวิตในสงั คม มฐ. ส 2.1 - 2.2 //
สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ มฐ. ส 3.1 - 3.2
สาระท่ี 4 ประวตั ิศาสตร์ มฐ. ส 4.1 - 4.3 //
สาระท่ี 5 ภมู ศิ าสตร์ มฐ. ส 5.1 - 5.2 //
ศลิ ปะ //
สาระท่ี 1 ทัศนศลิ ป์ มฐ. ศ 1.1
//
การงานอาชพี
สาระท่ี 1 การดำรงชีวติ และครอบครวั //
มฐ. ง. 1.1
//
สาระท่ี 2 การอาชพี มฐ. ง. 2.1 //
//
ภาษาตา่ งประเทศ //
สาระที่ 1 ภาษาเพ่ือการสื่อสาร
มฐ.ต. 1.1– 1.3 //
สาระท่ี 3 ภาษากบั ความสัมพนั ธ์กบั กล่มุ //
สาระอื่น มฐ.ต. 3.1 //
สาระท่ี ๔ ภาษากับความสมั พันธก์ ับชุมชน
และโลก มฐ.ต. 4.1 //
ภาษาไทย //
สาระท่ี 1 การอ่าน มฐ. ท 1.1
สาระท่ี 2 การเขียน มฐ. ท 2.1
สาระท่ี 3 การฟงั การดู การพูด มฐ. ท 3.1
สาระท่ี 5 วรรณคดี วรรณกรรม มฐ.ท.5.1
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ มฐ. ว 1.1
สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มฐ. ว 2.1
สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มฐ. ว 3.1 - 3.2
สาระที่ 4 เทคโนโลยี มฐ. ว 4.1 - 4.2
คณติ ศาสตร์
สาระท่ี 1 จำนวนและพชี คณิต
มฐ. ค 1.1 - 1.2
18
เรื่อง สาระการเรยี นรู้ทอ้ งถนิ่ จังหวัด หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน การจดั การเรยี นรู้
ท่ี ระนอง พทุ ธศกั ราช 2551 ระดับชัน้
6.
(ตอ่ ) และมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ช้ีวดั กลมุ่ ประถม ม.ต้น
สาระการเรียนรู้
7. ภาษาและวรรณกรรม //
- วรรณกรรมของเมอื งระนอง สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม
- ภาษาท้องถนิ่ ระนอง //
สาระที่ 1 ศาสนา ศลี ธรรม จรยิ ธรรม
มฐ. ส 1.1 - 1.2 //
สาระท่ี 2 หนา้ ทพ่ี ลเมอื ง วัฒนธรรม
การดำเนินชีวิตในสงั คม //
มฐ. ส 2.1 - 2.2
สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ //
มฐ. ส 3.1 - 3.2
สาระท่ี 4 ประวตั ศิ าสตร์ //
มฐ. ส 4.1 - 4.3 //
สุขศึกษาและพลศกึ ษา //
สาระท่ี 2 ชวี ติ และครอบครัว มฐ. พ 2.1 //
สาระท่ี 3 การเคลอ่ื นไหว ออกกำลังกาย //
เกมกฬี าไทย กีฬาสากล มฐ. พ 3.1 - 3.2
สาระท่ี 5 ความปลอดภยั ในชีวิต มฐ.พ 5.1 //
//
ศิลปะ
สาระท่ี 1 ทัศนศิลป์ มฐ. ศ 1.2 //
สาระท่ี 2 ดนตรี มฐ. ศ 2.2
สาระที่ 3 นาฏศลิ ป์ มฐ. ศ 3.1 //
การงานอาชีพ //
สาระที่ 1 การดำรงชวี ิตและครอบครัว
มฐ. ง. 1.1 //
สาระที่ 2 การอาชีพ มฐ. ง. 2.1 //
//
ภาษาต่างประเทศ //
สาระที่ 1 ภาษาเพอื่ การสือ่ สาร //
มฐ.ต. 1.1– 1.3
สาระท่ี 3 ภาษากบั ความสมั พนั ธ์กับกลุม่
สาระอ่ืน มฐ.ต. 3.1
สาระท่ี ๔ ภาษากบั ความสมั พันธก์ บั ชมุ ชน
และโลก มฐ.ต. 4.1
ภาษาไทย
สาระที่ 1 การอา่ น มฐ. ท 1.1
สาระท่ี 2 การเขยี น มฐ. ท 2.1
สาระท่ี 3 การฟัง การดู การพดู มฐ. ท 3.1
สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษา มฐ. ท 4.1
สาระท่ี 5 วรรณคดี วรรณกรรม มฐ.ท.5.1
19
เรอ่ื ง สาระการเรยี นรู้ทอ้ งถิ่นจังหวัด หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน การจดั การเรียนรู้
ท่ี ระนอง พทุ ธศกั ราช 2551 ระดบั ชัน้
7
(ต่อ) และมาตรฐานการเรียนรูแ้ ละตวั ชว้ี ัดกลุ่ม ประถม ม.ต้น
สาระการเรียนรู้
8. ศาสนา พิธีกรรม และความเชือ่ //
- ศาสนบคุ คล วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี //
- ศาสนสถาน สาระที่ 1 วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ มฐ. ว 1.1 //
- พธิ กี รรมและความเช่อื สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มฐ. ว 2.1
สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ //
มฐ. ว 3.1 - 3.2
สาระที่ 4 เทคโนโลยี มฐ. ว 4.1 - 4.2 //
สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม //
สาระท่ี 1 ศาสนา ศลี ธรรม จริยธรรม //
มฐ. ส 1.1 - 1.2 //
สาระท่ี 2 หนา้ ท่ีพลเมอื ง วฒั นธรรม //
การดำเนินชีวิตในสังคม มฐ. ส 2.1 - 2.2
สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ มฐ. ส 3.1 - 3.2 //
สาระที่ 4 ประวัตศิ าสตร์ มฐ. ส 4.1 - 4.3 //
สาระที่ 5 ภมู ิศาสตร์ มฐ. ส 5.1 - 5.2
//
การงานอาชพี //
สาระท่ี 1 การดำรงชีวติ และครอบครัว //
มฐ. ง 1.1
สาระที่ 2 การอาชีพ มฐ. ง 2.1 //
ศิลปะ //
สาระที่ 1 ทศั นศิลป์ มฐ. ศ 1.2
สาระที่ 2 ดนตรี มฐ. ศ 2.2 //
สาระที่ 3 นาฏศลิ ป์ มฐ. ศ 3.1
//
ภาษาตา่ งประเทศ //
สาระท่ี 1 ภาษาเพ่ือการสอื่ สาร //
มฐ.ต. 1.1– 1.3
สาระที่ 3 ภาษากบั ความสัมพันธก์ ับกลุ่ม //
สาระอื่น มฐ.ต. 3.1 //
สาระที่ ๔ ภาษากบั ความสัมพนั ธก์ บั ชุมชน //
และโลก มฐ.ต. 4.1
//
ภาษาไทย
สาระท่ี 1 การอา่ น มฐ. ท 1.1
สาระท่ี 2 การเขยี น มฐ. ท 2.1
สาระท่ี 3 การฟงั การดู การพูด มฐ. ท 3.1
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ มฐ. ว 1.1
สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มฐ. ว 2.1
สาระที่ 3 วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มฐ. ว 3.1 - 3.2
สาระที่ 4 เทคโนโลยี มฐ. ว 4.1 - 4.2
20
เรอื่ ง สาระการเรยี นรทู้ อ้ งถ่นิ จังหวดั หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน การจดั การเรยี นรู้
ท่ี ระนอง พุทธศกั ราช 2551 ระดับชนั้
8.
(ต่อ) และมาตรฐานการเรียนร้แู ละตวั ช้วี ดั กลมุ่ ประถม ม.ต้น
สาระการเรียนรู้
9. เอกลักษณ์ของจงั หวัดระนอง //
- ปเู จา้ ฟ้า สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
- คอคอดกระ สาระที่ 1 ศาสนา ศลี ธรรม จรยิ ธรรม //
- ภูเขาหญ้า มฐ. ส 1.1 - 1.2 //
- บ่อนำ้ รอ้ น สาระท่ี 2 หน้าทพ่ี ลเมือง วฒั นธรรม //
การดำเนนิ ชวี ิตในสังคม มฐ. ส 2.1 - 2.2 //
สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ มฐ. ส 3.1 - 3.2
สาระที่ 4 ประวตั ิศาสตร์ มฐ. ส 4.1 - 4.3 //
สาระที่ 5 ภมู ิศาสตร์ มฐ. ส 5.1 - 5.2 //
การงานอาชีพ //
สาระที่ 1 การดำรงชีวติ และครอบครัว //
มฐ. ง 1.1 //
สาระท่ี 2 การอาชีพ มฐ. ง 2.1
//
ศิลปะ
สาระท่ี 1 ทศั นศิลป์ มฐ. ศ 1.2 //
สาระที่ 2 ดนตรี มฐ. ศ 2.2
สาระที่ 3 นาฏศิลป์ มฐ. ศ 3.1 //
ภาษาตา่ งประเทศ //
สาระที่ 1 ภาษาเพอื่ การส่อื สาร //
มฐ.ต. 1.1– 1.3 //
สาระท่ี 3 ภาษากับความสัมพันธก์ บั กล่มุ
สาระอน่ื มฐ.ต. 3.1 //
สาระท่ี ๔ ภาษากับความสมั พันธก์ บั ชุมชน //
และโลก มฐ.ต. 4.1 //
ภาษาไทย //
สาระท่ี 1 การอ่าน มฐ. ท 1.1
สาระท่ี 2 การเขยี น มฐ. ท 2.1 //
สาระท่ี 3 การฟัง การดู การพูด มฐ. ท 3.1 //
//
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
สาระท่ี 1 วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ มฐ. ว 1.1
สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มฐ. ว 2.1
สาระท่ี 4 เทคโนโลยี มฐ. ว 4.1 - 4.2
คณติ ศาสตร์
สาระที่ 2 การวัดและเรขาคณติ
มฐ. ค 2.1 - 2.2
ศิลปะ
สาระท่ี 1 ทัศนศิลป์ มฐ. ศ 1.2
สาระที่ 2 ดนตรี มฐ. ศ 2.2
สาระที่ 3 นาฏศลิ ป์ มฐ. ศ 3.1
21
หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน การจดั การเรยี นรู้
ระดับชัน้
เร่ือง สาระการเรยี นร้ทู ้องถน่ิ จงั หวัดระนอง พทุ ธศักราช 2551
ที่ และมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชว้ี ัดกลมุ่ ประถม ม.ต้น
สาระการเรียนรู้ //
9. สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม //
//
(ต่อ) สาระท่ี 1 ศาสนา ศลี ธรรม จรยิ ธรรม //
//
มฐ. ส 1.1 - 1.2
//
สาระท่ี 2 หน้าทพ่ี ลเมือง วฒั นธรรม
//
การดำเนนิ ชวี ิตในสงั คม มฐ. ส 2.1 - 2.2 //
สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ มฐ. ส 3.1 - 3.2 //
สาระท่ี 4 ประวตั ิศาสตร์ มฐ. ส 4.1 - 4.3 //
สาระที่ 5 ภมู ิศาสตร์ มฐ. ส 5.1 - 5.2 //
สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา //
//
สาระท่ี 5 ความปลอดภัยในชีวิต มฐ.พ 5.1 //
//
การงานอาชพี
//
สาระท่ี 1 การดำรงชีวิตและครอบครัว //
//
มฐ. ง 1.1
//
สาระท่ี 2 การอาชพี มฐ. ง 2.1
//
ภาษาต่างประเทศ //
//
สาระที่ 1 ภาษาเพอื่ การสอ่ื สาร
มฐ.ต. 1.1– 1.3
สาระท่ี 3 ภาษากบั ความสมั พันธ์กบั กลมุ่
สาระอน่ื มฐ.ต. 3.1
สาระที่ ๔ ภาษากบั ความสัมพันธ์กับชมุ ชน
และโลก มฐ.ต. 4.1
10. บุคคลสำคญั ในท้องถิ่น ภาษาไทย
- บคุ คลสำคัญในประวัตศิ าสตร์ สาระท่ี 1 การอา่ น มฐ. ท 1.1
สาระท่ี 2 การเขยี น มฐ. ท 2.1
สาระที่ 3 การฟงั การดู การพดู มฐ. ท 3.1
สาระท่ี 5 วรรณคดี วรรณกรรม มฐ.ท.5.1
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มฐ. ว 1.1
สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มฐ. ว 2.1
สาระที่ 4 เทคโนโลยี มฐ. ว 4.1 - 4.2
สังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม
สาระท่ี 1 ศาสนา ศีลธรรม จรยิ ธรรม
มฐ. ส 1.1 - 1.2
สาระที่ 2 หนา้ ทพี่ ลเมอื ง วฒั นธรรม
การดำเนินชีวิตในสังคม มฐ. ส 2.1 - 2.2
สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ มฐ. ส 3.1 - 3.2
สาระท่ี 4 ประวัติศาสตร์ มฐ. ส 4.1
22
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน การจดั การเรยี นรู้
ระดบั ชนั้
เรอ่ื ง สาระการเรยี นร้ทู ้องถนิ่ จงั หวดั ระนอง พทุ ธศักราช 2551
ที่ และมาตรฐานการเรียนรูแ้ ละตัวช้ีวัดกลุม่ ประถม ม.ต้น
สาระการเรียนรู้ //
//
10. สุขศึกษาและพลศึกษา
//
(ตอ่ ) สาระท่ี 2 ชีวติ และครอบครัว มฐ.พ 2.1 //
สาระที่ 5 ความปลอดภยั ในชีวติ มฐ.พ 5.1 //
//
การงานอาชพี //
สาระท่ี 1 การดำรงชีวติ และครอบครวั //
มฐ. ง 1.1 //
สาระที่ 2 การอาชพี มฐ. ง 2.1 //
ศลิ ปะ
สาระท่ี 1 ทัศนศิลป์ มฐ. ศ 1.2
สาระท่ี 2 ดนตรี มฐ. ศ 2.2
สาระที่ 3 นาฏศลิ ป์ มฐ. ศ 3.1
ภาษาต่างประเทศ
สาระท่ี 1 ภาษาเพอ่ื การสื่อสาร
มฐ.ต. 1.1– 1.3
สาระที่ 3 ภาษากบั ความสมั พนั ธ์กบั กลุ่ม
สาระอนื่ มฐ.ต. 3.1
สาระที่ ๔ ภาษากบั ความสมั พันธ์กบั ชุมชน
และโลก มฐ.ต. 4.1
23
เน้อื หาประกอบกรอบหลักสูตรระดับทอ้ งถ่ิน
1. สภาพภูมิศาสตร์ ส่งิ แวดลอ้ มและสงั คมจงั หวดั ระนอง
คำขวญั เมืองระนอง : ภูเขาหญา้ กาหยูหวาน ธารนำ้ แร่ มกุ แท้เมอื งระนอง
ตน้ ไม้ประจงั หวัดระนอง : ต้นอนิ ทนลิ (Lagerstroemia spesiosa)
ดอกไมป้ ระจำจังหวัดระนอง : ดอกโกมาซุม (Dendrobium formosum)
สตั ว์น้ำประจำจงั หวัด : ปเู จ้าฟ้า หรือปนู ้ำตก (Phricotelphusa sirindhorn)
24
สภาพภูมศิ าสตร์
ท่ีต้งั และอาณาเขตตดิ ต่อ
จังหวัดระนอง เป็นจังหวัดหน่ึงของภาคใตต้ อนบน ติดกับทะเลอันดามนั และมชี ายแดนตดิ ต่อ
กับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เป็นแนวยาวประมาณ 100 กิโลเมตร ต้ังอยู่ระหว่างเส้นรุ้งท่ี
10 องศา 47 ลิปดา ถึง 9 องศา 18 ลิปดาเหลือ และเส้นแวงที่ 97 องศา 49 ลปิ ดา ถึง 95 องศา
58 ลิปดาตะวันออก อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร ไปตามทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม)
ประมาณ 568 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดต่าง ๆ และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์
ดงั นี้
ทิศเหนือ ติดต่อกบั อำเภอท่าแซะ จงั หวดั ชมุ พร
ทิศใต้ ติดต่อกบั อำเภอครุ ะบุรี จังหวดั พังงา
ทศิ ตะวันออก ติดตอ่ กับอำเภอเมืองชมุ พร อำเภอสวี อำเภอพะโต๊ะ
อำเภอท่งุ ตะโก อำเภอหลงั สวน จงั หวัดชุมพร อำเภอท่าฉาง
อำเภอทา่ ชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ทศิ ตะวนั ตก ตดิ ตอ่ กบั สาธารณรัฐแหง่ สหภาพเมียนมาร์ และทะเลอันดามัน
ขนาด รูปรา่ ง และลกั ษณะภูมิประเทศ
จังหวัดระนองมีลักษณะรูปร่างเรียวยาวและแคบจากทิศเหนือสู่ทิศใต้ มีความยาวเหนือสุด
จากอำเภอกระบุรี ถึงใต้สุดอำเภอสุขสำราญ ประมาณ 169 กิโลเมตร มีส่วนกว้างท่ีสุดจากทิศ
ตะวันออกสู่ทิศตะวันตก ประมาณ 44 กิโลเมตร ส่วนที่แคบที่สุดกว้างประมาณ 9 กิโลเมตร มีพื้นท่ี
จงั หวดั ประมาณ 2,061,278 ไร่
พ้ืนท่ีจังหวัดระนองส่วนใหญ่มีสภาพเป็นป่าเขา ด้านทิศตะวันออกมีเทือกเขาตะนาวศรี
ทอดตัวเป็นแนวยาวจากทิศเหนือสทู่ ิศใต้ ประกอบด้วยภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน ภูเขาท่ีสูงท่สี ุด ได้แก่
ภเู ขาพ่อตาโชงโดง สูง 1,702 ฟุตจากระดับนำ้ ทะเล ตง้ั อยู่ในเขตอำเภอกะเปอร์
ลักษณะของพื้นท่ีลาดเอียงจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ประมาณ 86 % ของพื้นท่ี
จังหวัด มีสภาพเป็นป่าไม้และภูเขาท่ีมีต้นไม้ใหญ่น้อยค่อนข้างสมบูรณ์ ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ไม้ยาง ยูง
ตะเคียน จำปา ตาเสอื ฯลฯ ภเู ขาเหล่าน้ีเป็นแหลง่ กำเนิดตน้ น้ำลำธารหลายสาย ที่สำคัญ เชน่ แม่น้ำ
กระบุรี เป็นแม่น้ำก้ันพรมแดนระหว่างไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ นอกจากน้ียังมี
ลำคลองท่ีสำคัญ คือ คลองลำเลียง คลองปากจ่ัน ในท้องที่อำเภอกระบุรี คลองละอุ่น ในเขตอำเภอ
ละอนุ่ คลองกะเปอร์ ในเขตอำเภอกะเปอร์ และคลองบางรน้ิ ในเขตอำเภอเมืองระนอง
บริเวณชายฝั่งติดกับทะเลอันดามัน มีความยาวประมาณ 69 กิโลเมตร พ้ืนที่มีสภาพเป็น
ปา่ ชายเลน มไี ม้โกงกาง ตะบูน แสม อยู่หนาแน่น ส่วนท่ีเป็นชายหาดคอ่ นข้างเรียบและกวา้ งมีความ
โค้งเวา้ ตามธรรมชาติ สวยงามมากเหมาะท่ีจะเป็นแหล่งท่องเท่ียว บางแห่งมีภูเขาติดกับชายฝ่ังทะเล
มีเกาะน้อยใหญ่นอกชายฝั่ง จำนวน 62 เกาะ เกาะสำคัญที่มีผู้คนอาศัยอยู่ ได้แก่ เกาะพยาม
เกาะสินไห เกาะชา้ ง เกาะเหลา เป็นตน้
25
เกาะพยาม/เกาะช้าง
ลักษณะภูมิอากาศ
จงั หวัดระนอง มีลักษณะภมู อิ ากาศเป็นแบบมรสุมร้อนชนื้ มีฝนตกเกือบตลอดท้ังปี เน่ืองจาก
ได้รับอิทธิพลจากทั้งลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ระนองมีฤดูฝน
ท่ียาวนานจนได้รับการขนานนามจากชาวเมืองว่าเป็นเมือง ฝนแปด แดดส่ี จังหวัดระนองมีฤดูกาล
ดงั น้ี
• ฤดูร้อน เร่ิมตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงเดือนเมษายน สภาพอากาศในฤดูร้อน
อณุ หภมู คิ ่อนขา้ งสูง อุณหภมู สิ ูงสดุ อยูใ่ นเดอื นเมษายน อณุ หภูมโิ ดยเฉล่ยี 37.6 องศาเซลเซยี ส
• ฤดูฝน เร่ิมตั้งแต่เดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนตุลาคม และช่วงท่ีมีฝนตกชุกมาก
คอื เดือนกรกฎาคม
• ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดอื นมกราคม โดยอณุ หภูมิต่ำสุดใน
เดอื นมกราคม อุณหภูมิเฉล่ียประมาณ 16.5 องศาเซลเซยี ส
ปัจจบุ นั ลักษณะภูมิอากาศของจังหวดั ระนองมีสภาพแปรปรวน ฝนตกไม่ค่อยเป็นไป
ตามฤดูกาล ปริมาณน้ำฝนลดน้อยลง อากาศร้อนจัด เป็นผลเสียสืบเน่ืองจากสภาพแวดล้อม
โดยเฉพาะป่าไมถ้ กู ทำลายลงเปน็ อันมาก
สภาพอากาศของจงั หวัดระนอง
26
ทรัพยากรธรรมชาติ
ดนิ
จังหวัดระนองมีข้อจำกัดด้านท่ีดิน เน่ืองจากพ้ืนที่ส่วนใหญ่มีสภาพเป็นภูเขา ป่าสงวน
ป่าชายเลน เขตอนุรักษ์และเขตสัมปทานเหมืองแร่ ทำให้พื้นท่ีของจังหวัดระนองท้ังหมด 3,298
ตารางกิโลเมตร หรือ 2,061,278 ไร่ มีพื้นที่การเกษตรเพียง 238,522 ไร่ ทำให้เกิดการจับจอง
และบุกรุกพื้นท่ีป่าสงวน ท่ีดินที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายมีน้อย และท่ีดินที่อยู่ในเขต
เศรษฐกิจส่วนมากอย่ใู นเขตป่าสงวนแหง่ ชาติ
นอกจากนั้นยังพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงของการใช้ที่ดินในจังหวัดระนอง กล่าวคือ เนื้อท่ี
ป่าไม้มีสัดส่วนลดลง ในขณะทพ่ี ื้นท่ีปลูกป่าไม้ยืนตน้ มสี ดั สว่ นเพิ่มขึ้น โดยพบวา่ มีการบุกรุกพ้ืนท่ีป่าไม้
เพ่อื ใช้เปน็ พ้ืนที่ปลูกไม้ผล และไม้ยนื ตน้ สำหรับพ้ืนทที่ ่ีใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศยั มีสัดส่วนเพ่มิ ขึ้น
แต่ไม่มากนกั และการใช้ที่ดินเพื่อการทำนามสี ัดส่วนลดลง เห็นได้ชัดว่าจังหวัดระนองนั้นเหลือพ้นื ทีท่ ี่
เป็นทร่ี าบเพ่ือการเกษตรกรรมนอ้ ยมาก ประกอบกับจงั หวัดระนองยงั ประสบปัญหาเก่ียวกบั ดนิ เปรยี้ ว
ในเขตอำเภอกระบุรี และเกือบร้อยละ 50 ของพ้ืนท่ีจังหวัดที่มีลักษณะดินต้ืน มีการระบายน้ำ
ดีเกินไปไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะทำการเพาะปลูก นอกจากนั้นยังมีพ้ืนท่ีบางส่วนที่เป็นดินเลนซึ่งไม่
เหมาะในการนำมาใช้ในการเพาะปลูก ทำให้จังหวัดระนอง มีพื้นที่ท่ีเหมาะสมในการเพาะปลูกน้อย
การพฒั นาการเกษตรโดยการขยายพน้ื ท่ีเกษตรกรรมจึงทำไดย้ าก
สำนักผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ได้กำหนดผังการใช้ท่ีดินจังหวัดระนอง ปี พ.ศ. 2529
โดยกำหนดเขตการใช้ท่ีดนิ อนาคตเป็น 3 เขต คือ
• เขตสงวน เป็นเขตที่ควรสงวนรักษาไว้ ไม่ควรนำพ้ืนท่ีไปใช้ประโยชน์โดยเด็ดขาด มีพื้นท่ี
รวมกันทั้งสนิ้ 2,131 ตารางกโิ ลเมตร คิดเป็นร้อยละ 62.23 ของพ้นื ท่จี ังหวัด
• เขตอนุรกั ษ์ เป็นเขตท่ีจำเป็นตอ้ งรักษาธรรมชาติให้คงอยู่ หรือพิจารณาบูรณะใหก้ ลบั คนื สู่
สภาพธรรมชาติเดมิ เพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศวิทยา ซ่ึงหากมีความจำเป็นที่จะนำพ้ืนท่มี า
ใช้ประโยชน์ ก็ควรมีการวางแผนให้ถูกต้อง มีพื้นท่ีรวมท้ังส้ิน 842 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ
24.58 ของพ้นื ที่จังหวดั
• เขตพฒั นา เปน็ พ้ืนที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ประโยชน์ เป็นพื้นท่เี กษตรกรรมและเขตชุมชน
มีพ้ืนที่รวมกนั ทงั้ สนิ้ ประมาณ 451.60 ตารางกโิ ลเมตร
27
พน้ื ทที่ ว่ั ๆ ไป/ทวิ ทัศน์ทางทะเล/ปากแมน่ ำ้ กระบุร/ี แมน่ ้ำกระบรุ ี
แหล่งนำ้ แหลง่ นำ้ ในจังหวัดระนอง ประกอบด้วย
- แมน่ ำ้ กระบรุ ี แม่น้ำสายยทุ ธศาสตร์ทสี่ ำคญั ของจังหวัดระนอง เน่ืองจากเป็นแม่น้ำ
ที่กนั้ พรมแดนระหวา่ งประเทศไทยกับสาธารณรฐั แห่งสหภาพเมียนมาร์ ต้นน้ำเกิดจากเขาน้ำตุ่น และ
เขาจอมแหทางทิศเหนือ ไหลผ่านอำเภอกระบุรีลงสทู่ ะเลอันดามัน มีความยาวประมาณ 95 กิโลเมตร
- คลองปากจ่ัน ต้นน้ำเกิดจากเขาปลายคลองบางนาทางทิศเหนือไหลลงสู่แม่น้ำ
กระบรุ ีทบ่ี า้ นนานอ้ ย มีความยาวประมาณ 30 กโิ ลเมตร
- คลองลำเลียง ต้นน้ำเกิดจากเขาบางใหญ่และเขาแดนทางทิศเหนือไหลผ่าอำเภอ
กระบรุ ลี งส่ทู ะเลอนั ดามนั มีความยาวประมาณ 20 กโิ ลเมตร
- คลองวัน ต้นนำ้ เกิดจากเขาหินทะลุทางทิศเหนอื ของจังหวัด ไหลลงสแู่ มน่ ้ำกระบุรี
ทีบ่ า้ นทบั หลี มคี วามยาวประมาณ 20 กิโลเมตร
- คลองกระบุรี ต้นน้ำเกิดจากเขาผักแว่น ในเขตจังหวัดชุมพร และจังหวัดระนอง
ไหลลงสแู่ ม่นำ้ กระบรุ ี มีความยาวประมาณ 20 กิโลเมตร
- คลองละอุ่น ต้นน้ำเกิดจากเทือกเขาห้วยเสียดและเขาหินด่าน ไหลลงสู่แม่น้ำ
กระบรุ ีทบ่ี ้านเขาฝาชี มคี วามยาวประมาณ 35 กิโลเมตร
- คลองหาดส้มแป้น ต้นน้ำเกิดจากเทือกเขาจอมแหและเขานมสาวไหลลงสู่ทะเล
อนั ดามันท่ีบา้ นเกาะกลาง อำเภอเมอื งระนอง มคี วามยาวประมาณ 19 กิโลเมตร
- คลองกะเปอร์ ต้นน้ำเกิดจากเขายายหมอ่ น ไหลสู่ลงทะเลอันดามันท่ีบ้านบางลำพู
อำเภอกะเปอร์ มคี วามยาวประมาณ 32 กิโลเมตร
- คลองกำพวน ต้นน้ำเกิดจากเขาพรตานี ไหลลงสู่ทะเลอันดามันท่ีตำบลกำพวน
อำเภอสขุ สำราญ
แรธ่ าตุ แร่ธาตุท่พี บในจงั หวัดระนอง ได้แก่
แร่ดินขาว (Kaolinite) พบมากในอำเภอเมืองระนอง โดยเฉพาะท่ีตำบล
หาดส้มแป้น มกี ารเปิดเหมอื งและขยายการผลติ อย่างต่อเนื่อง เน่ืองจากแร่ดนิ ขาวของจังหวัดระนอง
28
มีคุณภาพดี อัตราการซ้ือขายประมาณตันละ 1,000 บาท ใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรม
เครอื่ งปัน้ ดินเผา ยาง พลาสติก กระดาษ วสั ดุทนไฟ และสี เป็นตน้
เหมอื งแรด่ นิ ขาว
ป่าไม้ ระนองมปี า่ ไม้อยู่ 2 ประเภท คือ ป่าบกและป่าชายเลน
ป่าบก ตามรายงานจากภาพถ่ายดาวเทียมในปี พ.ศ. 2534 จังหวัดระนองมีพื้นท่ี
ป่าเหลืออยู่ 602,531 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 23.91 ของพื้นท่ีจังหวัด ซ่ึงได้ประกาศเป็นพื้นท่ี
ปา่ สงวนแห่งชาติ ไม้ยืนต้นทส่ี ำคัญ ไดแ้ ก่ ตะเคียนทอง พญาสัตบรรณ (ตีนเปด็ ) และตำเสา ฯลฯ
จังหวดั ระนองมีพื้นท่ีปา่ สงวนทั้งสิ้น 8 แห่ง คิดเปน็ พ้ืนท่ีประมาณ 506.87 ตาราง
กโิ ลเมตร หรอื 316,795 ไร่ ประกอบดว้ ย
ปา่ คลองลำเลยี ง อำเภอละอุน่ เนื้อที่ 22,500 ไร่
ป่าน้ำตกหงาว อำเภอเมืองระนอง เน้ือท่ี 1,831 ไร่
ป่าเลนคลองมว่ ง อำเภอกะเปอร์ เน้อื ที่ 100,000 ไร่
ป่าคลองเส็ดกวด ป่าเขาหินช้าง และป่าเขาสามแหลม อำเภอเมืองระนอง เนื้อที่
19,412 ไร่
ป่าคลองหวั เขยี ว และปา่ คลองเกาะสยุ อำเภอเมืองระนอง เน้ือท่ี 77,031 ไร่
ป่าเกาะชา้ ง อำเภอเมอื งระนอง เนื้อท่ี 12,434 ไร่
ป่าเกาะพยาม อำเภอเมือระนอง เน้อื ท่ี 10,875 ไร่
ปา่ หนิ กอง และปา่ คลองม่วงกลวง อำเภอเมอื งระนอง เน้ือท่ี 72,712 ไร่
นอกจากน้ี ยังมีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา อำเภอสุขสำราญ และอุทยาน
แห่งชาตแิ หลมสน อำเภอกะเปอร์
ป่าชายเลน มีเนื้อท่ีประมาณ 172,326 ไร่ หรือ ร้อยละ 8.36 ของเน้อื ท่ีจังหวัด
ป่าชายเลนมีไม้ทสี่ ำคัญ ไดแ้ ก่ โกงกาง ปรง ถัว่ ตะบูน ประสัก และอ่ืน ๆ ไม้ป่าชายเลนใช้ในการเผา
ถ่านท่ีมีคุณภาพสูง ทำให้เกิดมีอุตสาหกรรมเผาถ่านข้ึนอีกประเภทหนึ่ง แต่เนื่องจากขาดการจัดการ
และการวางแผนท่ีดี พื้นที่ป่าชายเลนท่ีเป็นแนวยาวตลอดเขต ทิศตะวันตกของจังหวัด จากอำเภอ
29
กระบุรีเลียบตามแนวแม่น้ำกระบุรีเรื่อยลงมาทางทิศใต้ จนถึงเขตอำเภอติดต่อกับจังหวัดพังงา จึงมี
สภาพเสอื่ มโทรม และบางสว่ นแปรสภาพเปน็ นาเล้ียงกุง้
ป่าชายเลน/สภาพป่าโกงกางทย่ี งั สมบรู ณ์
ทรัพยากรทางทะเล จังหวัดระนองมีความสำคัญทางด้านประมงเปน็ อย่างมาก เพราะทำเล
ท่ตี ้ังจังหวัดระนองทางด้านทิศตะวันตกจรดกับทะเลอนั ดามันมกี ารทำประมงชายฝงั่ ทะเลและประมง
น้ำลึก มที ั้งเรอื ขนาดเลก็ ขนาดกลางดำเนนิ กิจการประมงอย่จู ำนวนมาก
ในอดีตการประมงในจังหวัดระนอง จะทำการจับปลาในเขตน่านน้ำไทยและน่านน้ำ
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ มีเรอื ประมงขนาดเล็กประมาณ 1,000 ลำ เรือประมงขนาดกลาง
ประมาณ 1,000 ลำ เรือประมงขนาดเล็กจะออกจับปลาได้รายได้ประมาณ เท่ียวละ 200,000
บาท ใน 1 ปี จะออกจับปลา 24 เที่ยว เพราะฉะนั้นเรือประมงขนาดเล็กจะทำรายได้ 4,800 ล้าน
บาทต่อปี เรอื ประมงขนาดกลางทำรายได้เท่ียวละ 500,00 บาท ใน 1 ปี จะออกจับปลา 24 เที่ยว
เพราะฉะน้ันเรือประมงขนาดกลางจะทำรายได้ประมาณ 12,000 ล้านบาทต่อปี รวมแล้วใน 1 ปี
จังหวัดระนองจะมีรายได้จากการประมงถงึ 16,800 ล้านบาทตอ่ ปี และยังก่อให้เกิดมอี ุตสาหกรรม
ต่อเนื่องจากการประมงตามมา เช่น โรงงานปลาป่น โรงน้ำแข็ง แพปลา ปั๊มน้ำมัน โรงงานแปรรูป
สตั ว์น้ำ หอ้ งเย็น โรงกลึง รถขนส่งสตั ว์น้ำ คานเรอื ทา่ เทยี บเรอื
สะพานปลา
30
ปัจจุบันน้ี การทำประมงในจังหวัดระนองไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเหมือนกับในอดีต สาเหตุ
เน่ืองมาจากน่านน้ำในประเทศไทยมีเรอื ประมงมากทำให้จำนวนสัตว์น้ำลดน้อยลงไป ส่วนน่านนำ้ ใน
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ มีเรือประมงน้อยและมีพื้นท่ีกว้างกว่ามากทำให้สัตว์น้ำชุกชุม
การจบั สตั ว์น้ำในจังหวัดระนองต้องพ่งึ พาอาศัยน่านน้ำสาธารณรัฐแหง่ สหภาพเมียนมาร์ เสียเป็นสว่ น
ใหญ่ แต่เนื่องจากการปกครองในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ยังไม่มีระบบที่แน่นอน ทำให้
กิจการประมงในจังหวัดระนองผนั ผวนไปกบั การใหส้ มั ปทานจับปลาในน่านน้ำสาธารณรัฐแหง่ สหภาพ
เมยี นมาร์ ผูป้ ระกอบการประมงจึงมีความเสี่ยงในด้านการลงทนุ บางคร้ังผู้ประกอบการลงทุนต่อเรือ
จับปลาลำละหลายล้านบาท เมื่อออกไปจบั ปลาปรากฏวา่ สาธารณรฐั แห่งสหภาพเมยี นมาร์ ขอยกเลิก
สัมปทานการจับปลาในน่านน้ำ ทำให้การจับปลาได้รายได้ไม่พอกับการชำระหน้ีท่ีได้ก่อไว้ จึงต้อง
ฝ่าฝืนละเมิดกฎหมายโดยล่วงล้ำเข้าไปจับปลาในน่านน้ำสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ทำให้ถูก
ทางการสาธารณรัฐแหง่ สหภาพเมียนมาร์จับกุมตอ้ งสูญเสยี ทรพั ย์สนิ และชวี ิตเปน็ จำนวนมาก อย่างไร
ก็ตามปัจจุบันน้ีมูลค่าผลผลิตทางการประม งของจังหวัดระนองก็ยังมีรายได้ประม าณ
4,827,970,236 บาทตอ่ ปี
ทรัพยากรทางการเกษตร
ปี พ.ศ. 2540 จังหวัดระนองมีพื้นที่ถือครองทางการเกษตร จำนวน 477,533 ไร่ เป็น
พื้นที่ปลูกพืชไร่ จำนวน 18,852 ไร่ พื้นท่ีทำนา จำนวน 15,979 ไร่ และพื้นท่ีทำสวนจำนวน
436,282 ไร่ จำนวนครัวเรือนของเกษตรกรท้ังหมด 29,717 ครัวเรือนและจำนวนสถาบัน
ทางเกษตรจำนวน 109 สถาบนั (ที่มา : สำนักงานเกษตรจังหวัดระนอง)
พืชเศรษฐกิจท่ีสำคญั ของจังหวดั ระนอง ได้แก่ กาแฟ ปาล์มน้ำมัน มะม่วงหมิ พานต์ ยางพารา
สะตอ ทุเรียน เงาะ มังคดุ ลองกอง มะพรา้ ว ส้มโอ กลว้ ยน้ำวา้ และขนุน
ปญั หาทางด้านการเกษตรของจังหวัดระนอง คือ พื้นทสี่ ่วนใหญ่เป็นภเู ขา มีที่ราบน้อย ดินมี
สว่ นผสมของทรายมากไม่อุม้ น้ำ และมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ จึงไม่ค่อยเหมาะสมกับการเกษตร ถงึ แม้
จะมีฝนค่อยข้างชุกแต่ก็ไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ ทำให้ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในการ
ทำการเกษตรในหน้าแล้ง และยังมีการตัดไม้ทำลายป่า โดยจุดไฟเผาเพ่ือเตรียมดินไว้ทำไร่เล่ือนลอย
ทำให้เกิดความแห้งแล้งมากยิ่งขึ้น นอกจากน้ีพ้ืนที่บางส่วนเคยผ่านการทำเหมืองแร่มาแล้วทำให้ถูก
พลิกหน้าดิน ไม่เหมาะสมกับการเพาะปลูก เพราะมีส่วนผสมของทรายสูง ดังน้ันผลผลิตทางด้าน
การเกษตรจงึ ไม่ใคร่ดีนัก
มะม่วงหมิ พานต์
31
อาชพี
ประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพประมง อาชีพด้านเกษตรกรรม เช่น ทำสวนยาง สวนผลไม้
สวนปาล์ม สวนกาแฟ อาชีพด้านการช่าง ได้แก่ การต่อเรือ การต่อรถสองแถว อาชีพจากการ
ทอ่ งเทยี่ ว ร้านอาหาร รสี อรท์ โรงแรม
ระนองเป็นจังหวัดที่ชายแดนตดิ ต่อกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมยี นมาร์ ทำให้มีการประกอบ
ธุรกิจการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเป็นล่ำเป็นสัน การค้าขายชายแดนจะติดต่อกับจังหวัด
เกาะสอง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ การค้ามีท้ังท่ีผ่านทางตลาดมืดและการค้าท่ีผ่านด่าน
ศุลกากร เฉพาะท่ีผ่านด่านศุลกากรมียอดส่งออกประมาณปีละกว่า 2,000 ล้านบาท เป็นสินค้า
จำพวกเคร่ืองด่ืมให้พลังงาน นมข้นหวาน น้ำมันเช้ือเพลิง ผงชูรส น้ำมันหล่อลื่น บะหม่ีกึ่งสำเร็จรูป
ปูนซีเมนต์ เหล็ก รถจักรยานและยา ส่วนสินค้านำเข้าเป็นสินค้าจำพวกของป่าไม้ และผลผลิตทาง
ทะเล โดยมยี อดนำเขา้ ปีละประมาณ 200 ล้านบาท
จังหวดั ระนองมอี ุตสาหกรรมท่ีเกยี่ วกับการประมง แพปลา ธรุ กิจห้องเยน็ โรงนำ้ แข็ง โรงงาน
ปลาปน่ เตาถ่าน ปม๊ั น้ำมัน ทำให้ตอ้ งการแรงงานระดับล่างพวกไร้ฝมี ือจำนวนมาก แต่แรงงานเหล่าน้ี
มีไม่เพียงพอ ประกอบกับค่าแรงงานข้ันต่ำค่อนข้างสูง ผู้ประกอบการจึงมักใช้แรงงานบุคคลสัญชาติ
พม่าแทน เน่ืองจากค่าแรงต่ำ ทำให้มีบุคคลสัญชาติพม่าหลบหนีเข้าเมืองเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิด
ปัญหาต่าง ๆ มากมาย เช่น ลักขโมย ฆาตกรรม และอาจส่งผลกระทบต่อความม่ันคงของประเทศ
อกี ด้วย ขณะนีค้ ณะรัฐมนตรีไดผ้ อ่ นผันให้สถานประกอบการใชแ้ รงงานต่างชาตใิ นกิจการบางประเภท
ได้ โดยให้นายจ้างนำผู้หลบหนีเข้าเมืองไปรายงานตัวต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และเสียค่า
ประกนั ตัว ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ค่าตรวจสุขภาพ ตามระเบยี บของกระทรวงแรงงานและสวสั ดกิ าร
สังคม เพื่อเป็นการปอ้ งกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกดิ ขน้ึ จากแรงงานต่างชาตเิ หล่าน้ี
สภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัดระนอง มีสาขาหลักคอื การประมง ซึ่งเป็นสาขานำใน
โครงสร้างการผลิตของจังหวดั ในปี 2547 จงั หวดั ระนองมมี ลู ค่าผลิตภัณฑ์จังหวดั ( GPP ) ตามราคา
ประจำปีประมาณ 11,570 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 1.9 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคใต้
มลู ค่าผลิตภัณฑเ์ ฉลี่ย ต่อคน ( Percapita GPP ) หรอื รายไดเ้ ฉลย่ี ต่อหัวต่อปปี ระมาณ 64,514 บาท
สาขาการผลิตที่ทำรายได้ให้แกจ่ ังหวดั มากท่สี ุด คอื สาขาประมง ซึ่งมีมลู ค่าการผลติ ประมาณ 2,887
ล้านบาท รองลงมา คือ สาขาการขายส่งการขายปลีก การซ่อมแซมยานยนต์ฯ และสาขาการเกษตร
การลา่ สัตว์ฯ ซึ่งมีมูลคา่ การผลติ ประมาณ 1,809 ลา้ นบาท และ 1,794 ล้านบาท ตามลำดบั อตั รา
การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจังหวัดระนองในช่วงปี 2547 เพ่ิมขึ้นประมาณร้อยละ 4.3
( ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ )
ประชากร
จังหวัดระนองมีจำนวนประชากรน้อยท่ีสุดของประเทศ ปัจจุบันมีประชากรท้ังหมด
187,536 คน แยกเปน็ ชาย 94,726 คน เป็นหญงิ 92,810 คน ประชากรสว่ นใหญ่จะอาศัยอยู่ใน
เขตอำเภอเมืองระนอง รองลงมา คือ อำเภอกระบุรี อำเภอกะเปอร์ อำเภอละอุ่น และอำเภอ
สุขสำราญ และยังมปี ระชากรแฝงอยูอ่ ีกจำนวนหน่งึ ประมาณหลายหมน่ื คน เนื่องจากประชากรเหล่าน้ี
32
จะเข้ามาทำมาหากินและอาศัยอยู่โดยไม่มีการแจ้งย้ายเข้ามาอย่างถูกต้อง อัตราความหนาแน่นของ
ประชากรโดยเฉล่ยี 46 คนต่อตารางกิโลเมตร มีประชากรในวัยแรงงานจำนวน 80,982 คน หรอื คิด
เป็นร้อยละ 53.63 ของประชากรท้ังหมดประชากรที่มีงานทำ 79,439 คน หรือร้อยละ 98.09
ของประชากรวัยแรงงาน โดยแยกเป็นแรงงานภาคเกษตร 44,887 คน แรงงานนอกภาคเกษตร
1,543 คน หรอื คิดเปน็ ร้อยละ 1.91 ของประชากรวัยแรงงาน ประชากรสว่ นมาก 98 % พดู ภาษา
ท้องถ่ินภาคใต้ นอกนั้นพูดภาษากลาง ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ คิดเป็นร้อยละ 97
ศาสนาอิสลามร้อยละ 2 และศาสนาครสิ ต์ ร้อยละ 1
ประชากรในจังหวดั ระนองส่วนใหญ่ เป็นผู้ท่ีอพยพมาจากท่ีอื่น เนื่องจากประชากรด้ังเดิมมี
จำนวนน้อย ยังมีท่ีดินว่างเปล่าอยู่มาก และท่ีดินในจังหวัดระนองเป็นดินเก่าท่ียังไม่ได้ทำการเกษตร
หน้าดินจึงอุดมสมบูรณ์กว่าที่อ่ืน ประกอบกับจังหวัดมีทรัพยากรด้านป่าไม้ ประมง และแร่ธาตุอุดม
สมบูรณ์ ทำให้ประชากรจากจังหวัดภาคใต้ ภาคกลาง และภาคอีสาน อพยพหล่ังไหลเข้ามาทำมา
หากินในจังหวัดระนองเปน็ จำนวนมาก ปจั จุบนั ผู้ที่อพยพเข้ามา ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพ ด้านการ
ประมง การเกษตร ธรุ กจิ ค้าขาย และขายแรงงาน
ตารางแสดงจำนวนประชากรของจังหวัดระนอง
อำเภอ/กงิ่ อำเภอ จำนวนราษฎร (คน) จำนวน
ครัวเรอื น
อำเภอเมืองระนอง ชาย หญิง รวม (หลงั )
อำเภอละอ่นุ
อำเภอกะเปอร์ 33,836 33,418 67,254 34,561
อำเภอกระบรุ ี 6,091 5,820 11,911 5,057
อำเภอสุขสำราญ 10,106 9,705 19,811 7,369
ทอ้ งถ่นิ เทศบาลตำบลน้ำจืด 22,589 21,536 44,125 20,336
ท้องถ่นิ เทศบาลตำบลกะเปอร์ 6,883 6,851 13,734 4,040
ทอ้ งถิน่ เทศบาลตำบลละอ่นุ 1,885 1,954 3,839 1,789
ทอ้ งถน่ิ เทศบาลตำบลหงาว 886 878 1,764 622
ท้องถน่ิ เทศบาลตำบลปากน้ำ 1,296 1,293 2,589 1,100
ท้องถน่ิ เทศบาลเมืองระนอง 1,265 1,340 2,605 1,002
1,478 1,293 2,771 1,722
รวม 8,411 8,722 17,133 7,819
94,726 92,810 187,536 85,417
33
ทำให้ประชากรของจังหวัดระนองมีอยู่ดว้ ยกันหลากหลายท้องถนิ่ และยังมชี นกลุ่มน้อย คือ
ประชากรกลุ่มชาวน้ำ ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่หมูบ้านเกาะเหลา ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองระนอง และท่ี
เกาะสินไห ชาวน้ำที่เกาะเหล่าน้ันปลูกบ้านอยู่ในริมฝ่ังประมาณ 20 หลังคาเรือน มีประชากร
50 คน ความเป็นอยู่อาศัยหาสัตว์น้ำยังชีพ โดยเฉพาะการดำหอยจากก้นทะเล ชาวน้ำ
มีความสามารถในการดำน้ำได้ลึกมาก ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวน้ำกลุ่มน้ีที่เห็นเด่นชัด
คอื ประเพณีแต่งงาน เม่ือผู้ชายและผู้หญิงมีความรักใคร่ชอบพอกัน สมัครใจท่ีจะอยู่ร่วมกัน ก็จะจัด
พิธีแต่งงานแสดงความยินดีด้วยการกินเลี้ยง แล้วให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวน่ังเรือออกไปกลางทะเล 2
คน เปน็ อันเสรจ็ พธิ ี
2. ประวตั ิศาสตรเ์ มอื งระนอง
การตัง้ ถน่ิ ฐาน
ในสมัยโบราณเมอื งระนองตงั้ อยู่กลางป่าดงพงพี มเี ส้นทางสัญจรอันทุรกันดาร การเดินทาง
แสนลำบากยากเข็ญและหา่ งไกลจากเมืองหลวง จงึ ได้รบั สมญานามว่า “เมอื งสดุ หล้าฟา้ เขียว”
สมยั กอ่ นประวัติศาสตร์
นายประทุม ชุ่มเพ็งพันธ์ อดีตหัวหน้าหน่วยศิลปากรที่ 8 จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ให้
ทรรศนะเกี่ยวกบั เมืองระนองสมัยก่อนประวัติศาสตรไ์ ว้วา่
... จากการสำรวจค้นควา้ ของนักโบราณคดี... ปรากฏวา่ ในเขตจังหวดั ระนอง มีแหล่ง
อารยธรรมท่ีเก่าแก่น่าสนใจมาก่อนประวัติศาสตร์ ตามลำคลอง ถ้ำ ภูเขาหลายแห่งในท้องถ่ินอำเภอ
กระบุรี ชาวบ้านได้พบโครงกระดูกมนุษย์โบราณ เคร่ืองปั้นดินเผา โดยเฉพาะหม้อตะคันชนิดต่าง ๆ
มากมาย ภายในถ้ำพระขยางค์ อำเภอกระบรุ ี เคยมภี าพเขียนก่อนสมยั ประวัตศิ าสตร์ น่าเสยี ดายที่ถูก
ลบและเขียนกลบทับเสียหมด นอกจากน้ันยังหลักฐานปรากฏอยู่ตลอดชายฝั่งทะเลและเกาะต่าง ๆ
ซง่ึ เปน็ ของชาวไทยมสุ ลมิ และพวกชาวน้ำมาก่อน
พัฒนาการทางประวตั ศิ าสตร์
ลำดับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์เมอื งระนอง มีรายละเอยี ดทน่ี ่าสนใจควรนำมาเสนอไวใ้ น
ที่น้ีตามลำดบั คือ
เมืองระนองในสมยั ประวัติศาสตรต์ อนตน้ “เสน้ ทางการคา้ โบราณ”
กระบรุ ี – ระนองในเสน้ ทางการคา้ โบราณ
เส้นทางที่ 1 แหลมอินโดจีน โดยเฉพาะภาคใต้ตอนบนของประเทศไทย เป็นเส้นทางติดต่อ
คา้ ขายของชาวอินเดยี และชาวจนี ตามหลกั ฐานของการจัดต้ังอาณาจักรตามพรลิงค์ท่นี ครศรีธรรมราช
ซ่ึงอยู่ในสมัยเดียวกันกับอาณาจักรฟูนันท่ีเวียดนามใต้โดยมีพ่อค้าชาวอินเดียพร้อมด้วยพราหมณ์
เดินทางโดยเรือใบจากอินเดียภาคใต้มาแวะท่ีตะก่วั ป่าซึ่งมเี กาะคอเขาอยู่ที่ปากนำ้ แล้วเดินทางไปตาม
ลำน้ำจนถึงเขาสก ข้ามเขาสกล่องเรือต่อไปตามลำน้ำตาปี เดินทางต่อไปตั้งแต่แหล่งท่ีเขาคา อำเภอ
สชิ ล และหมู่บ้านโมคลาน ส่วนอีกพวกหน่งึ เดินทางต่อไปต้ังหลกั แหล่งท่ีปากแม่น้ำโขง พ่อค้ารุ่นแรก
ดงั กล่าวมานีน้ ักประวัตศิ าสตร์หลายทา่ นลงความเห็นวา่ เดินทางมาต้ังแต่ พ.ศ. 100 – 200
34
เมืองกระบุรี ระนอง คุระบุรี ตะก่ัวป่า พังงา และกระบ่ี เป็นเมืองชายฝ่ังทะเลอันดามัน
ทางตะวันตกของแหลมมลายู ซ่ึงเทอื กเขาสลับซับซ้อนติดต่อกันไปส่วนทางภาคใต้ด้านฝ่ังอา่ วไทยซึ่ง
อยู่ทางฝั่งตะวันออกของเทือกเขาตะนาวศรี ก็มีเมืองชุมพร หลังสวน ไชยา สุราษฎร์ นครศรีรรมราช
เป็นต้น การติดต่อกันระหว่างฝ่ังชายทะเลอันดามันกับอ่าวไทย นับเป็นความกันดารมากในสมัย
โบราณ เพราะพื้นท่ีบนภูเขาเต็มไปด้วยป่าดงดิบ มีท่ีราบบ้าง ป่าเบญจพรรณ ป่าพรุ และป่าชายเลน
บ้าง แต่ธรรมชาติของเทือกเขาและป่าก็เป็นแหล่งต้นน้ำหลายสายท่ีไหลลงสู่ทะเลท้ังอ่าวไทย และ
อันดามัน ทางด้านทิศเหนือสุดของชายฝง่ั ทะเลตะวันตก น้ำที่ไหลจากเทอื กเขาตะนาวศรีไดก้ ลายเป็น
ต้นน้ำของแม่น้ำปากจั่นและแม่น้ำกระบุรี และไหลไปออกปากน้ำท่ีระนอง ซ่ึงทางทิศตะวันตกเป็น
เมอื งมลิวนั (เกาะสองหรือวิคตอเรียพอยต์) แตเ่ ดิมเป็นของไทย แต่ตอ่ มาในสมัยราชการที่ 5 ตกเป็น
ของอังกฤษ ส่วนฝ่ังตะวันออกเป็นของไทย และต้นน้ำของเทือกเขาเดียวกันกไ็ หลไปบรรจบเป็นแมน่ ้ำ
ชุมพรลงสู่อ่าวไทย และได้กลายเป็นเส้นทางค้าขายของพ่อค้าโบราณ ซึ่งเดินทางข้ามคอคอดกระ
สว่ นที่แคบท่ีสุดของแหลมมลายู ซึ่งนับเป็นเส้นทางการค้าเส้นทางแรกและสำคัญย่ิงแห่งหน่ึงในสมัย
โบราณ
เส้นทางท่ี 2 ปรากฏหลกั ฐานชุมชนโบราณที่ภูเขาทอง ตำบลกำพวน อำเภอสุขสำราญ และ
อาจมีชุมชนเก่าแห่งอื่น เช่น ชาคลี บางหิน และกะเปอร์ ซ่ึงยังไมม่ ีการสำรวจขุดค้นเพราะมีคลองต้น
นำ้ จากเทอื กเขากลายเป็นคลองบางหิน คลองกะเปอร์ ซึง่ พ่อค้าชมุ ชนโบราณกำพวน บางหิน กะเปอร์
ไดเ้ ดนิ ทางผ่านบ้านเชย่ี วเหลยี ง บ้านนาลัดเลาะหุบเขาไปติดต่อค้าขายกบั ชุมชนโบราณทที่ ่าชนะ ไชยา
พุมเรยี ง และบ้านดอน สุราษฎรธ์ านี
เส้นทางที่ 3 คือ ชุมชนชาวเกาะคอเขา ซง่ึ เป็นเกาะยาวไปถึงปากน้ำตะกวั่ ปา่ ปากน้ำคุระบุรี
ซง่ึ ปากน้ำตะก่ัวปา่ ไดก้ ลายเป็นสถานกี ารคา้ ทเ่ี ก่าแก่และสำคัญท่สี ดุ ในสมยั โบราณและมีหลกั ฐานระบุ
ชดั มากกว่าแหล่งอ่นื ๆ
เส้นทางท่ี 4 คือ ปากอ่าวพังงา เดินทางไปคลองท่อมต้ังหลักแหล่ง และเดินทางติดต่อกับ
จังหวัดตรงั และนครศรีธรรมราช
เส้นทางที่ 5 คือ ปากน้ำกันตัง ล่องเรือไปตามแม่น้ำตรังแล้วเดินทางผ่านห้วยยอด ทุ่งสง
ตอ่ ไปถึงนครศรีธรรมราช
ววิ ัฒนาการบ้านเมอื งบนคาบสมุทรไทย พอจำแนกได้ดงั น้ี
การตั้งหลักแหล่งเป็นสถานีการค้า (Way station) การต้ังสถานีการค้าหรือเมืองท่าค้าขาย
(Enter port) ติดต่อเมืองอ่ืนจัดระบบรัฐและส่งต่ออำนาจทางการปกครองติดต่อกับเมืองเล็กเมือง
น้อยอ่ืน ๆ มีศูนยก์ ลางทางเศรษฐกจิ ศลิ ปวัฒนธรรม ตลอดถึงเปน็ เมอื งศาสนา (Religions city)
ชุมชนโบราณทางฝั่งตะวันตก ส่วนใหญ่เป็นสถานีทางการค้าโดยได้ขุดค้นพบโบราณวัตถุ
เช่น ถ้วย ชาม หม้อ ไห อิฐหิน ลูกปัด เหรียญเงิน ซึ่งมีอายุเก่าแก่ถึงสมัยราชวงศ์ถัง แหล่งที่ขุดพบ
มาก คือ ท่ีภูเขาทอง ตำบลกำพวน อำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนอง ท่ีบ้านทุ่งตึก ด้านตะวันตกของ
เกาะคอเขา ซ่ึงเป็นเกาะขนาดกว้าง 5 กม. ยาว 15 กม. ในอำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา เกาะนี้
35
ทอดยาวไปถึงปากน้ำตะกั่วป่า โดยเฉพาะบ้านทุ่งตึกซ่ึงระหว่างปลายคลองเมืองทองกับปลายคลอง
ทุ่งตึก หมู่ท่ี 3 เคยมีซากอาคารโบราณสถานคล้ายวิหารอยู่ถึง 3 แห่ง มีคนเคยขุดพบทองคำ
เงินเหรียญโบราณของอินเดีย ลูกปัดทองคำ ทองคำผงทราย ลูกปัดแก้ว และลูกปัดหินสีต่าง ๆ
นอกจากน้ียังพบแท่งแก้วหลอมหลายแบบ หลายสี หลายขนาด บางก้อนเกาะตดิ กันเป็นกลมุ่ ๆ คาด
ว่าคงเป็นลูกปัดที่ไม่สวย ใช้การไม่ได้เก็บไว้หลอมใหม่ รวมทั้งลูกปัดหินอีกนานาชนิด เช่น ลูกปัด
เคลือบ (faience bead) ลกู ปดั มรี ้ิว (striped bead) ลูกปัดทรงกระบอก (cylindrical bead) ลูกปัด
ทรงปลอกคอ (collared bead) ลูกปัดทรงลูกไข่ (oblate bead) ลูกปัดติดต่อกันหลายเม็ด
(segment bead) ลูกปัดมีตาเป็นช้ัน (stratified eye bead) , Mr. Van Desleen ได้วิเคราะห์ถึง
รูปแบบของลูกปัดดังกล่าวว่าเคยพบในอิตาลีมีอายุราว 700 ปี ก่อนคริสตกาล นอกจากน้ียังมีเศษ
เคร่ืองแก้วโรมัน เคร่ืองป้ันดินเผาแบบพื้นเมืองและต่างถิ่น พบพวยกาดินเผาพ้ืนเมือง มีพวยกาดิน
แบบตรงกลางป่องเปน็ รูปวงแหวนเนื้อละเอียด ใช้แปน้ หมุนเร็วพบหม้อน้ำทรงกลมพวยส้นั เขียนสแี ดง
ที่พวยกา พบเศษสำริด ตะกรันทองสำริด ตะกรันตะก่ัวทองรูปพรรณ ปลาดินเผาเคลือบเขียว
แพะแกะดนิ เผาเคลอื บขาว และสิงโตหินอ่อนสีชมพแู บบเดียวท่พี บในอฟั กานสิ ถาน
เมืองกระ (บรุ )ี หวั เมอื งในสบิ สองนักษัตร
นักประวตั ิศาสตรย์ อมรับวา่ ภาคใต้มีหลักฐานทาง โบราณคดที ุกยุคทุกสมัยตงั้ แต่ตามพรลงิ ค์
ลิกกอร์ ลังกาสุกะ มีศิลปะยุคเก่าศิลปะศรีวิชัย แต่มีศิลปวัฒนธรรมด้านศาสนาที่เด่นชัดในยุค
อาณาจักรศรีวิชัย ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 13 - 18 มีอาณาเขตทางเหนือสุด คือ เมืองประจันตขันธ์
(บางสะพาน) มีจารึกอยู่ที่เสาหินหลักเมืองยืนยัน ทางตะวันตกสุดเมืองกระบุรี คุระบุรี ตะก่ัวป่า
ทางใต้สุดปลายแหลมมลายู ศลิ ปะร่วมสมัยทพ่ี บตั้งแต่บางสะพานลงมาชุมพร กระบรุ ี ไชยา บา้ นดอน
สชิ ล นครศรีธรรมราช ถ้ำสุวรรณคูหา ตะก่ัวทุ่ง วัดเวียง ไชยาถ้ำเขาปินะ วัดคีรีวิหาร ห้วยยอด ตรัง
วัดเวียง วัดเบิก ลำปำ พัทลุง เจดีย์วัดสทิงพระ สงขลา และพระนอนในถ้ำวัดคูหาภิมุข ยะลา
หากนำมาเทียบเคียง จะพบความคล้ายคลึงกัน ส่วนใหญ่เป็นศิลปะสมัยพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช
ผู้เรอื งอำนาจ
พระมหากษัตรยิ ์แหง่ อาณาจักรศรีวิชัยผู้เกรียงไกรมากที่สุด ได้แก่ พระเจ้าศรธี รรมาโศกราช
หรือ สมเดจ็ พระเจ้าจันทรภาณุ มีหลักฐานระบุในหนังสือจุลวงศ์ ภาค 2 แปลจากฉบับภาษาบาลีเป็น
ภาษาอังกฤษ โดย Wilhelm Geiger : Culavamsa Part ll P.151 – 153 ซึ่งมีข้อความตรงกันกับ
พงศาวดารไทยของพระบรหิ ารเทพธานี ภาค 2 หนา้ 23 – 30, และสอดคลอ้ งกับข้อความในหนงั สือ
แหลมอนิ โดจนี โบราณ ของเสถียรโกเศศ หน้า 259 ความว่า
... พระเจ้าจันทรภาณุพระองค์นี้คงเป็นพระองค์เดียวกันกับที่มีพระนามปรากฏใน
ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช และตำนานพระพทุ ธสหิ ิงค์ ทรงครองราชย์ตรงกับพระเจ้าปรากรมพาหุ
ท่ี 2 แห่งศรีลังกา ระหว่าง พ.ศ. 1779 – 1799 (Parakramabahu ll came to the throne in
the 1799 after the year of the Nirvana of Buddha) พระเจา้ จันทรภาณุทรงเรืองอำนาจดว้ ยมี
36
กองทัพเรือทุกแห่งท่ีเป็นเมือง 12 นักษัตร ภายใต้อำนาจการปกครองของพระองค์โดยเฉพาะที่อยู่
ทางฝ่ังทะเลอันดามัน มีตะก่ัวป่า กระบุรี และตรัง ดังมีหลักฐานการแต่งตั้งเมือง 12 นักษัตร
ตามตำนานพระธาตุเมอื งนครศรธี รรมราช และตำนานเมืองนครศรีธรรมราชวา่
“…จง่ึ พญาศรีธรรมโศกราชตรกิ นั แล้ว ก็สร้างเมอื ง 12 นกั ษัตรขึ้น มี
ปีนักษัตร เมอื งนักษัตร
ชวด – หนู เมืองสาย (บรุ ี) ถือ ตราหนู
ฉลู – วัว เมืองตานี ถือ ตราววั
ขาล – เสือ เมืองกะลนั ตนั ถือ ตราเสอื
เถาะ – กระตา่ ย เมอื งปะทัง ถือ ตรากระตา่ ย
มะโรง – งใู หญ่ เมอื งไทร (บุรี) ถือ ตรางูใหญ่
มะเส็ง – งเู ลก็ เมอื งพทั ลุง ถอื ตรางูเล็ก
มะเมีย – ม้า เมืองตรงั ถอื ตรามา้
มะแม – แพะ เมืองชุมพร ถอื ตราแพะ
วอก – ลิง เมืองบันทายสอ ถือ ตราลงิ
ระกา – ไก่ เมอื งสะอเุ ดา ถอื ตราไก่
จอ – สุนขั เมอื งตะกวั่ ป่า ถือ ตราสุนัข
กนุ – สกุ ร เมืองกระ (บุร)ี ถือ ตราสุกร
ประวตั ิเจ้าเมอื งกระบุรี
หลักฐานเก่ียวกับเมืองกระบุรีท้ังเป็นวัตถุและบุคคล โดยเฉพาะผู้เป็นเจ้าเมืองกระบุรีมีน้อย
มากดังกล่าวแล้วข้างต้นว่า อาจเป็นเพราะไม่ได้มีหลักฐานท่ีเป็นตำนาน หรือการบันทึกที่เป็นลาย
ลักษณ์อักษรไว้ คงมีแต่การเล่าต่อ ๆ กันมาแบบมุขปาฐะ จนบางตอนเป็นเช่นนิทานพ้ืนบ้าน เท่าที่
ปรากฎเป็นเอกสารในปจั จุบันหลายฉบบั มีความตรงกันวา่
เมื่อปลายสมยั กรงุ ศรีอยุธยา ท้องท่ีเมืองกระบุรีเป็นหมู่บ้านเลก็ ๆ กระจัดกระจายอยู่ห่าง ๆ
กัน อยู่ในความปกครองของเมืองชุมพร โดยนายแก้วเช้ือสายของเจ้าพระยานครได้อพยพจากเมือง
นครศรธี รรมราช มาตั้งบา้ นเรอื นอยทู่ ่บี ้านนาน้อย (หมู่ 2 ตำบลปากจน่ั ปจั จุบัน) มภี รรยาช่ือ นางนอ้ ย
ต่อมาได้เป็นนายบ้านปกครองดูแลชาวบ้าน
วันหน่ึงนายแก้วได้กระทองสวยงามมากจากวังกระ ลำน้ำกระบุรีจึงนำไปมอบให้เจ้าเมือง
ชุมพร เจา้ เมืองชมุ พรได้นำขน้ึ ทูลเกลา้ ฯ ถวายพระเจา้ อย่หู ัวแห่งกรุงศรอี ยธุ ยา ด้วยความดีความชอบ
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมหมู่บ้านต่าง ๆ ที่นายแก้วปกครองอยู่ยกฐานะขึ้นเป็น
หัวเมืองชั้นจัตวาขึ้นต่อเมืองชุมพรซ่ึงเป็นหัวเมืองช้ันตรี เพ่ือให้เมืองกระบุรีเป็นเมืองหน้าด่านรับศึก
พมา่ คู่กบั เมอื งมลวิ ัน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศให้ นายแกว้ เปน็ พระแกว้ โกรพ
ตำแหนง่ เจ้าเมืองกระบรุ ี
37
อาณาเขตของเมืองกระบุรี ติดต่อกับเมืองท่าแซะ ทิศใต้จดเมืองระนอง มีคลองลำเลียงเป็น
เขต ทิศตะวนั ออกจดเมืองชมุ พร ทิศตะวันตกติดตอ่ กับเมืองมลิวัน (เมอื งวิคตอเรยี พอยตจ์ ังหวดั มะริต
ของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ในปัจจุบัน) เมื่อพระแก้วโกรพรับตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองกระบุรี
แล้ว ได้สร้างตัวเมืองโดยใช้ดินก่อเป็นกำแพงล้อมรอบ เรียกบ้านค่าย อยู่ตรงบริเวณที่ต้ังสถานี
ตำรวจภูธรตำบลปากจั่นในปัจจุบัน คร้ันพระแก้วโกรพชราภาพลงกราบทูลลาออกจากตำแหน่ง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายเทพ บุตรคนท่ีสองเป็น พระศรี
สมบตั ิ สืบทอดตำแหน่งเจา้ เมอื งกระบุรแี ทน เพราะนายทอง บตุ รคนท่ีหนึ่ง มคี วามผิดฐานลอบมีชู้กับ
นางจ่ันมารดาเลี้ยง และวางแผนปิตุฆาต จึงถูกบิดาลงโทษ โดยการโบยตีแล้วนำขึ้นขาหย่ังไปทรมาน
จนตายในถ้ำแหลมเนียง ซ่ึงต่อมาถ้ำนี้กลายเป็นสถานท่ีศักด์ิสิทธ์ิ เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้าน
เรยี กวา่ ถ้ำขาหย่งั และต่อมา เรียกวา่ ถำ้ พระขยางค์
ถำ้ ขาหยั่งหรือถำ้ พระขยางค์
เมืองระนองในสมัยอยุธยา – รตั นโกสนิ ทร์ (คดั จากประวัตมิ หาดไทยสว่ นภมู ิภาค จงั หวัดระนอง)
สมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา
ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถกับสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยา
(ระหว่าง พ.ศ. 1991 - 2072) ได้มีการปรับปรุงระบบการปกครองบ้านเมือง โดยยกเลิกการ
ปกครองแบบท่ีมีเมืองลูกหลวง 4 ด้านราชธานีท่ีใช้กันมาตัง้ แต่สมัยกรุงสุโขทัยและได้มีการขยายเขต
การปกครองของเมืองหลวงให้กว้างออกไปโดยรอบ คือ จัดเป็นแบบในวงราชธานกี ับนอกวงราชธานี
ในวงราชธานีนั้นถือเอาเมอื งหลวง เป็นหลักและมีเมืองจัตวาขึ้นอยู่รายรอบหวั เมือง เมืองจัตวาเหล่านี้
มีผู้ร้ัง (เจ้าเมือง) กับกรมการเป็นพนักงานปกครอง โดยให้อยู่ในบังคับบญั ชาของเสนาบดที ้ังหลายใน
เมืองหลวง ส่วนหัวเมืองท่ีอยูน่ อกวงราชธานี หรือเมืองชายแดนนั้น จัดให้เป็นหัวเมืองช้ันเอก โท ตรี
ตามขนาดความสำคัญของเมอื งน้ัน ๆ ซง่ึ ต่อมาเรียกว่า หวั เมอื งช้ันนอก ซ่งึ หวั เมืองช้นั นอกเหล่านี้ต่าง
ก็มีหวั เมืองเล็ก ๆ คั่นอยู่เช่นเดียวกบั วงราชธานีมากบ้างน้อยบ้างตามขนาดของอาณาเขตโดยกำหนด
ตามทอ้ งทส่ี ุดแต่จะให้พนักงานปกครองต่างเมืองเดนิ ทางไปมาถึงกันได้ภายในวันหรือสองวัน เพื่อจะ
ได้บอกข่าวช่วยเหลือกันเม่ือมีเหตการณ์ต่าง ๆ เช่น ภาวะสงคราม บรรดาหัวเมืองชั้นนอกเหล่านี้
พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งเจ้านายในราชวงศ์ หรือข้าราชการช้ันสูงศักด์ิเป็นผู้สำเร็จราชการ
38
เรียกว่าเจ้าเมอื ง หรือพระยามหานครตามแต่ฐานะของเมือง มีอำนาจปกครองบงั คับบัญชา สิทธขิ์ าด
ตา่ งพระเนตรพระกรรณทุกประการ ในสมัยอยธุ ยานี้ เมอื งระนองมีลักษณะเป็นหวั เมอื งเล็ก ๆ ข้ึนอยู่
กบั เมอื งชมุ พร ซงึ่ เป็นหัวเมอื งชั้นตรี มีอาณาเขตติดทะเลฝ่ังตะวันออกและฝ่ังตะวนั ตก นอกจากเมือง
ระนองซึ่งเป็นเมืองช้ันเอก เมืองชุมพรแล้ว ยังมีเมืองตระ (อำเภอกระบุรี) เมืองปะทิว เมืองตะโก
เมอื งหลังสวนและเมอื งมลวิ นั (ปจั จุบนั อย่ใู นสาธารณรฐั แห่งสหภาพเมยี นมาร์)
สมยั กรุงธนบรุ ี
เมืองระนองสมัยกรงุ ธนบุรี ไม่ปรากฎมีเหตกุ ารณ์และหลักฐานทางประวัติศาสตร์แต่อย่างใด
สนั นิษฐานว่ายังเปน็ หวั เมอื งเลก็ ๆ ขึ้นตรงต่อเมืองชมุ พรตลอดสมัยกรุงธนบุรี
สมยั รัตนโกสินทร์
เมืองระนองมีช่ือปรากฎอยู่ในพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ในรัชกาลท่ี 1 และรัชกาลที่ 2
ว่าเป็นเมืองหนึ่งที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ยกทัพผ่านเข้ามาเพื่อไปตีเมืองชุมพรเท่าน้ัน
นอกจากนี้ในอดีตนอกจากจะเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ในป่าดงรกร้างหาเป็นภูมิฐานบ้านเมืองไม่ ภูมิ
ประเทศยังเตม็ ไปด้วยภเู ขาสลับซบั ซ้อนแทบจะหาที่ราบสำหรับการเกษตรไม่ได้ มิหนำซ้ำการเดินทาง
ไปมาติดต่อตา่ งเมืองกล็ ำบากยากเยน็ ถา้ ไม่ใช่การเดนิ ทางทางเรือ อันตอ้ งผา่ นปากอา่ วเขา้ มาทางดา้ น
มหาสมุทรอินเดียแล้ว ก็ต้องข้ึนเขา ลงห้วย บกุ ป่าฝ่าดงกันเท่านั้นเอง แต่ไม่ว่าทางใดก็ต้องเสียเวลา
เดินทางกันเปน็ วนั ๆ ทง้ั น้ันจึงข้นึ ช่ือวา่ เปน็ เมอื ง “สุดหลา้ ฟ้าเขียว”
ระนองในเสน้ ทางเสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้
การเสด็ จพ ระราชดำเนิ นเมือ งระน อ งขอ งพ ระบ าทส มเด็จพ ระจุลจอมเกล้า เจ้ า อยู่ หัว
ในปี พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเลียบ
แหลมมาลายู โดยเรือพระท่ีน่ังสุริยมณฑล (ลำแรก) จากกรุงเทพฯ ไปยังเมืองชุมพร จากนั้นได้เสด็จ
ทางสถลมารค จากเมืองชุมพรต่อไปยังเมืองกระบุรี เมืองระนอง เพือ่ เสด็จตรวจหัวเมืองชายทะเลใน
พระราชอาณาเขต แลว้ เสดจ็ ตอ่ ไปยงั เกาะหมาก และประเทศสิงคโปร์
ระนองสมัยสงครามโลกคร้งั ท่ี 2
พ.ศ. 2484 - 2488 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมันร่วมกับอิตาลี ญี่ปุ่นซ่ึงเป็นฝ่าย
อกั ษะ ทำสงครามกบั ฝรง่ั เศส องั กฤษ อเมรกิ ัน จีน และรัสเซีย ซึง่ เป็นฝ่ายสัมพนั ธมิตร
ญี่ปุ่นยกพลข้ึนบกท่ีอ่าวพนังตัก จังหวัดชุมพร เม่ือ พ.ศ. 2484 กองพันทหารบกจังหวัด
ชุมพรได้นำทหารและยุวชนทหารออกไปต่อต้านเพื่อป้องกันอธิปไตยเกิดการสรู้ บกันท่ีบริเวณท่ายาง
ท้ังทหารญี่ปุ่นและทหารไทยเสียชีวิตไปจำนวนไม่น้อย คร้ังรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่นตกลงกันให้
ทหารญ่ีปุ่นเดินทัพผ่านไปยังสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ซึ่งสมัยน้ันสาธารณรัฐแห่งสหภาพ
เมียนมาร์ เปน็ อาณานิคมขององั กฤษ ทหารญ่ปี ุ่นกเ็ ดินทัพจากชมุ พรไปยังระนอง โดยทางรถยนต์และ
ทางเท้าสมัยนั้นถนนหนทางจากชุมพรถึงกระบุรีเป็นถนนลงหิน รถยนต์สามารถแล่นผ่านไปได้ แต่
ถนนจากกระบรุ ถี งึ เขาฝาชยี ังไม่เรยี บรอ้ ย พงึ่ ถมดินยงั ไม่ลงหนิ หรอื กรวด ส่วนสะพานคอนกรตี สร้างไว้
เสรจ็ แลว้ ฤดูแล้งรถพอแล่นไปได้จากชุมพรไปจนถึงเขาฝาชี สามารถลำเลียงทหารและยุทธโธปกรณ์
39
และได้มีการสรา้ งทางรถไฟจากชุมพรไปจนถงึ เขาฝาชีสำเรจ็ สามารถลำเลียงทหารและยุทธปัจจัยโดย
ทางรถไฟนำลงเรือที่เขาฝาชี ซ่ึงเป็นฐานทัพเรือของญ่ีปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งท่ี 2 โดยญ่ีปุ่นได้นำ
เชลยชาวอนิ เดียมาเปน็ จำนวนมากเพื่อใชแ้ รงงานในการกอ่ สร้างทางรถไฟ
จุดที่ตั้งกองทหารญ่ปี นุ่ ในจงั หวัดระนอง มีด้วยกันหลายจดุ ได้แก่
• ทต่ี ำบลน้ำจืด คือ บรเิ วณที่ต้งั โรงเรยี นกระบรุ ีวิทยาปจั จบุ ัน
• ทเ่ี ขาฝาชี บริเวณสุดปลายทางรถไฟ
• ทป่ี ากน้ำระนอง มเี รอื รบมาจอดประจำการอยู่ จงึ มที หารอย่เู วรประจำ
• ที่โรงเรียนวัดอปุ นนั ทาราม ใช้อาคารเรียนและบริเวณโรงเรียนทัง้ หมดเปน็
สถานพยาบาลทหารทีเ่ จ็บปว่ ย
เครื่องบินรบของอังกฤษได้มาทิ้งระเบิด ที่เขาฝาชี ท่ีปากน้ำระนอง และทิ้งทุ่นระเบิดใน
แม่น้ำกระบุรี จากปากน้ำระนองถึงปากน้ำละอุ่น ครั้งหน่ึงญี่ปุ่นได้นำทหารเข้าโจมตีกองทหารไทยที่
ปากน้ำระนอง และนำทหารเข้ายึดสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง ทำร้ายทหารและตำรวจเสียชีวิต
หลายคน ยึดทท่ี ำการไปรษณีย์ ทำร้ายพนกั งานสือ่ สาร (เจา้ หนา้ ที่วทิ ย)ุ ด้วย
วัดอุปนันทารามมิได้เป็นเพียงสถานพยาบาล แต่ยังเป็นสถานท่ีซ่ึงมีทหารญ่ีปุ่นมาอาศัย
เพ่ือเรียนภาษาไทย จำนวน 3 คน (โอรสสมเด็จพระจักรพรรดิ 1 องค์ ชาวเกาหลี 1 คน พลทหาร
ชาวโอซาก้า 1 คน) โดยญี่ปนุ่ แตง่ ตำราข้ึนเอง เป็นภาษาไทย มีภาษาญี่ปนุ่ กำกับทัง้ การอา่ นออกเสยี ง
และคำแปล
ระนองมีกลุทเสรีไทย ซ่ึงส่วนหนึ่งเป็นครูโรงเรียนประถมศึกษา มีการติดต่อกับอังกฤษโดย
อาศยั เรือดำนำ้ ของอังกฤษ เคร่ืองมือสื่อสารสมัยน้ันยังไม่ดีพอแต่เสรีไทยกไ็ ดร้ ับวิทยสุ ่ือสารติดต่อกัน
ได้ (เสรีไทยเทา่ ท่ที ราบช่ือ ก็มีครูประพจน์ พัฒนา และครูจุมพล พยัคพันธ์ุ)
3. การปกครองของจงั หวัดระนอง
การปกครอง
โครงสร้างการบริหารการปกครอง จังหวัดระนองแบ่งเป็นการปกครองออกเป็น 5 อำเภอ
คอื
อำเภอเมืองระนอง แบง่ ออกเป็น 9 ตำบล 39 หมู่บ้าน
อำเภอกระบุรี แบ่งออกเป็น 7 ตำบล 60 หมบู่ ้าน
อำเภอกะเปอร์ แบง่ ออกเป็น 5 ตำบล 34 หมบู่ ้าน
อำเภอละอุ่น แบง่ ออกเป็น 7 ตำบล 30 หมบู่ ้าน
อำเภอสุขสำราญ แบ่งออกเปน็ 2 ตำบล 15 หมบู่ ้าน
การปกครองส่วนท้องถิ่น แบ่งการปกครองออกเป็น องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล
และองค์การบรหิ ารส่วนตำบล ดังนี้
40
องค์การบรหิ ารส่วนจงั หวัด 1 แห่ง ได้แก่ องค์การบหิ ารส่วนจังหวดั ระนอง
เทศบาล 11 แหง่ ไดแ้ ก่
- เทศบาลเมอื งระนอง
- เทศบาลตำบลปากน้ำ
- เทศบาลตำบลหงาว
- เทศบาลตำบล จปร.
- เทศบาลเมอื งบางริ้น
- เทศบาลตำบลปากน้ำทา่ เรือ
- เทศบาลตำบลน้ำจืด
- เทศบาลตำบลกะเปอร์
- เทศบาลตำบลละอุ่น
- เทศบาลตำบลกำพวน
- เทศบาลตำบลบางนอน
องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำบล 20 แห่ง ตงั้ อยู่ในเขตอำเภอตา่ ง ๆ ดังน้ี
อำเภอเมอื งระนอง
องค์การบริหารสว่ นตำบลราชกรดู
องคก์ ารบริหารส่วนตำบลหงาว
องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำบลทรายแดง
องคก์ ารบริหารสว่ นตำบลเกาะพยาม
องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำบลหาดส้มแป้น
อำเภอกระบุรี
องค์การบริหารส่วนตำบลปากจ่ัน
องค์การบรหิ ารส่วนตำบลนำ้ จืด
องคก์ ารบริหารสว่ นตำบลน้ำจืดนอ้ ย
องค์การบริหารสว่ นตำบลมะมุ
องค์การบรหิ ารสว่ นตำบลลำเลยี ง
องค์การบริหารส่วนตำบลบางใหญ่
องค์การบรหิ ารส่วนตำบล จ.ป.ร.
อำเภอกะเปอร์
องคก์ ารบริหารสว่ นตำบลมว่ งกลวง
องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านนา
องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำบลบางหนิ
องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำบลกะเปอร์
41
อำเภอละอนุ่
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำบลบางแก้ว
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำบลละอุน่ เหนือ
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำบลบางพระเหนอื
อำเภอสุขสำราญ
องคก์ ารบริหารสว่ นตำบลนาคา
รายนามเจ้าเมอื งระนอง และผ้วู ่าราชการจงั หวัดระนองตง้ั แตอ่ ดีตจนถึงปจั จุบนั
ต้งั แต่ ถึง
1. หลวงระนอง ราวสมัยรชั กาลท่ี 2 ราว ปี พ.ศ. 2397
(นายนอง นามสกลุ ไมป่ รากฏ)
พ.ศ. 2397 พ.ศ. 2420
2. พระรตั นเศรษฐี
(คอซูเจียง ณ ระนอง) พ.ศ. 2420 พ.ศ. 2433
3. พระยารตั นเศรษฐี พ.ศ. 2433 พ.ศ. 2460
(คอซมิ ก๊อง ณ ระนอง)
พ.ศ. 2460 พ.ศ. 2468
4. พระยารตั นเศรษฐี
(คออยู่หงี ณ ระนอง) พ.ศ. 2469 พ.ศ. 2472
5. พระระนองบรุ ศี รสี มุทรเขตต์ พ.ศ. 2472 พ.ศ. 2476
(คออยู่โงย่ ณ ระนอง)
พ.ศ. 2476 พ.ศ. 2482
6. พระยาอมรศกั ด์ปิ ระสิทธ์ิ
(พรอ้ ม ณ ถลาง) พ.ศ. 2482 พ.ศ. 2484
พ.ศ. 2484 พ.ศ. 2487
7. พระยาอมรฤทธิธำรง 22 ก.ย. 2478 19 ม.ค. 2488
(พร้อม ณ ถลาง) 25 ม.ค. 2488 20 ต.ค. 2489
28 ต.ค. 2498 23 พ.ค. 2492
8. พระบรุ พทิศอาทร
(คออยู่เพิ่ม ณ ระนอง)
9. นายพืชน์ เดชะคปุ ต์
10. นายถนอม วบิ ลู มงคล
11. นายเนื่อง อ.ปานิกบตุ ร
12. นายจันทร์ สมบรู ณก์ ุล
13. นายแสวง ทิมทอง
42
14. นายครี ี ครี ีรัฐนคิ ม ตง้ั แต่ ถงึ
15. นายแสวง ชัยอาญา
16.นายวเิ วก จันทรโ์ รจน์วงศ์ 3 มิ.ย. 2492 12 ต.ค. 2496
17. นายพนั ธ์ุ สายตระกูล 2 ธ.ค. 2496 12 ต.ค. 2497
18. พ.ต.อ. บญุ ณรงค์ วฑั ฒนายน 12 ต.ค. 2497 23 ก.ย. 2501
19.นายมนตรี จันทรปรรณกิ 23 ก.ย. 2501 20 เม.ย. 2504
20. นายวงษ์ ชอ่ วิเชยี ร 20 เม.ย. 2504 30 ก.ย. 2508
21. ร.ต.ท. ชาญ เวชเจริญ 1 ต.ค. 2508 30 เม.ย. 2512
22. นายจำลอง พลเดช 1 พ.ค. 2512 30 ก.ย. 2513
23. นายปัญญา ฤกษ์อไุ ร 1 ต.ค. 2513 30 ก.ย. 2518
24. นายไพฑรู ย์ ลมิ ปิทีป 1 ต.ค. 2518 9 พ.ค. 2520
25. นายพร อุดมพงษ์ 10 พ.ค. 2520 9 พ.ค. 2521
26. นายสาคร เปล่ียนอำไพ 8 ต.ค. 2521 2 ก.พ. 2523
27. นายอำพัน คล้ายชัง 3 ก.พ. 2523 พ.ศ. 2525
28. พ.ต. เฉลมิ สุภมร 8 ต.ค. 2525 30 ก.ย. 2528
29. ร.ต. สมพร กุลวานชิ 1 ต.ค. 2528 30 ก.ย. 2530
30. นายจำนง เฉลมิ ฉตั ร 1 ต.ค. 2530 30 ก.ย. 2533
31. นายสถิต แสงศรี 1 ต.ค. 2533 30 ก.ย. 2534
32. นายศิวะ ชวนะวริ ัช 1 ต.ค. 2534 30 ก.ย. 2537
33. นายชัยจิตร รัฐขจร 1 ต.ค. 2537 30 ก.ย. 2538
34. นายสถิต แสงศรี 1 ต.ค. 2538 30 ก.ย. 2539
35. นายทรงวฒุ ิ นามมศี รี 1 ต.ค. 2539 15 เม.ย. 2541
36. ร.ท. ธวัช หันตรา 16 เม.ย. 2541 30 ก.ย. 2541
37. นายนพพร จนั ทรถง 1 ต.ค. 2541 30 ก.ย. 2542
38. นายวินัย มงคลธารณ์ 1 ต.ค. 2542 30 ก.ย. 2544
39. นายเมฆนิ ทร์ เมธาวิกุล 1 ต.ค. 2544 30 ก.ย. 2546
40. นางกาญจนา กีห่ มนั 1 ต.ค. 2546 30 ก.ย. 2548
41. นายวนั ชาติ วงษช์ ยั ชนะ 1 ต.ค. 2548 12 พ.ย. 2549
42. นายพีระศกั ดิ์ หินเมอื งเกา่ 13 พ.ย. 2549 30 ก.ย. 2551
43. วา่ ทีร่ อ้ ยตรเี ชิดศักดิ์ จำปาเทศ 1 ต.ค. 2551 25 พ.ย. 2554
44. นายสุริยนั ต์ กาญจนศิลป์ 28 พ.ย. 2554 7 ต.ค. 2555
45. นายจตพุ จน์ ปิยัมปตุ ระ 19 พ.ย. 2555 30 ก.ย. 2557
3 พ.ย. 2557 30 ก.ย. 2559
1 ต.ค. 2559 ปจั จบุ นั
43
การศกึ ษา
เมอ่ื ครัง้ ที่เมืองระนองยังเป็นหัวเมอื งเลก็ ๆ มีผู้คนอาศัยอยู่เพียง 17 หลังคาเรือน เมอื งกระ
เมืองละอุ่น และเมืองกะเปอร์ มีผู้คนอาศัยอยู่เพียงไม่กี่หลังคาเรือน การศึกษาในคร้ังกระนั้นคงมีแต่
การแนะนำสง่ั สอนกนั ในครัวเรือน หรือจากญาติและหัวหน้าชุมชนนั้น ๆ โดยสอนให้รู้จกั ทำมาหากิน
สอนให้รจู้ ักขนบธรรมเนียมประเพณีทเี่ คยปฏิบัตสิ บื ต่อกันมา
ตอ่ มาเมื่อผู้สำรวจราชการเมืองระนอง ซึ่งมีตำแหน่งเป็นนายอากรดีบุกขาดแรงงานที่จะขุด
หาแร่ จงึ ได้มีการตอ่ เรือขนาดใหญ่แล่นจากเมืองระนองไปยังมณฑลฮกเกี้ยน ชักชวนชาวจนี ใหม้ าทำ
มาหากินในระนอง เรือที่ต่อข้ึนนี้ช่อื ว่าเรือหัวเขียว ซงึ่ ที่จอดเรือยังคงเรยี กวา่ คลองหัวเขียวจนทุกวันน้ี
ชาวจีนที่มากับเรือลำนี้เข้ามาทำมาหากิน มีครอบครัวมีลูกมีหลาน ดังน้ันชาวระนองส่วนใหญ่จึงมี
บรรพบุรุษเปน็ ชาวจีน แม้แต่ภาษาพูดก็มีภาษาจนี ปะปนอยู่ เชน่ เรียกพ่อว่าเตย่ี ช่ือคนก็เปน็ ภาษาจีน
ดังจะเห็นได้จากลูกหลานเจ้าเมืองระนอง 5 ช่ัวแรกมีทำเนียมช่ือท่ีเป็นภาษาจีนเกือบทุกคน
ชาวระนองนิยมเรียก โป๋ แปะ กง้ โก้ จ้ี เจ้ก เป็นต้น คร้ันถึงรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้คนไทยทั่วไปได้เรียนหนังสือ แต่ชาวระนองยังคง
ไดร้ ับการศกึ ษาตามพระราชประสงคเ์ ป็นสว่ นนอ้ ยเพราะอยู่ห่างไกล และขาดบคุ ลากร
คร้งั ถึงรชั สมัยพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอย่หู ัว ได้มีการออกประกาศพระราชบัญญตั ิ
ประถมศึกษา เม่ือวันท่ี 1 กันยายน พ.ศ. 2464 กำหนดให้กุลบุตรกุลธิดาทุกคนมีอายุครบ 7 ปี
บริบูรณ์ เข้าเรียนในชั้นประถมศกึ ษาจนถึงอายุ 14 ปี หรือจนกวา่ จะสอบไล่ได้ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 3
โดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน แต่มกี ารเก็บเงินศึกษาพลี ซึ่งเป็นเงินที่เก็บจากชายฉกรรจ์ทมี่ ีอายุระหว่าง
18 - 60 ปี คนละ 1 - 3 บาท ตามแต่ท้องถิ่นกำหนดเพ่ือนำไปช่วยการศึกษา เนื่องจากรัฐบาลไม่มี
เงนิ งบประมาณเพยี งพอที่จะจัดการศกึ ษาให้ทวั่ ถึงได้ โรงเรียนที่จัดต้งั ขึ้นแตล่ ะแหง่ ในคร้ังน้นั ส่วนใหญ่
อาศัยศาลาวดั ครูที่จะทำการสอนหายากและไม่ค่อยมีเงินคา่ จ้าง เงินเดอื นที่จา่ ยใหค้ รสู ว่ นใหญ่ไดจ้ าก
เงินศึกษาพลี ในบ้างท้องท่ีท่ีไม่มีศาลาวัด ชาวบ้านนำโดยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ ศึกษาธกิ าร
อำเภอเป็นหัวหน้าไดช้ ่วยกันจัดหาวัสดุในท้องถ่นิ สร้างอาคารเรียนช่ัวคราวข้ึน โรงเรียนในสมัยนนั้ ทุก
โรงเรียนใช้ชื่อเดียวกันคือ “โรงเรียนประชาบาลตำบล... 2 หรือ 3” ส่วนครูโรงเรียนประชาบาลใน
สมัยนั้นเป็นลูกจ้าง ไม่มีบำเหนจ็ บำนาญ ได้รับค่าจ้างตามแต่ท่ีทางอำเภอจะมีเงนิ จ่ายให้ ดังนั้นการที่
จะหาคนมีความรู้มาเป็นครูเป็นเร่ืองยาก ทำให้ต้องรับรู้ท่ีจบการศึกษาประถม 3 หรือประถม 4
เข้าเป็นครูสอนในโรงเรียนประชาบาล ต่อมากระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายให้เด็กในท้องท่ีห่างไกล
ซง่ึ เรียนจบ ป.4 ไปเรยี น ม.1 (พิเศษ) เพอื่ กลับไปเป็นครแู กไ้ ขปญั หาขาดแคลนครู
บุคคลสำคัญผู้มีส่วนในการวางรากฐานการศึกษาในจังหวัดระนองท่านหน่ึงคือ พระครูศีล
พงศ์คณารักษ์ (หลวงพ่อบรรณ พุทธสโร) เจ้าคณะจังหวัดระนอง หลวงพ่อบรรณเป็นพระภิกษุ
ชาวจังหวัดไชยา ได้มาสร้างวัดอุปนันทารามท่ีจังหวัดระนองเมื่อ พ.ศ.2436 ภายหลังจากจีน
คอซเู จยี ง มาเป็นนายอากรดบี ุกเพยี ง 99 ปี หลวงพอ่ บรรณดำรงตำแหนง่ เจ้าอาวาสวดั อุปนันทาราม
อยู่นานถึง 27 ปี เม่ือครั้งท่ีหลวงพ่อมาจำพรรษาอยู่ที่วัดอุปนันทาราม แรก ๆ ท่านได้มาช่วยสอน
44
ภาษาไทยให้แก่เด็ก ๆ ท่ีอาศัยอยู่ใกล้ ๆ วัดซึ่งบิดามารดานำมาฝาก เม่ือมีการจัดต้ังโรงเรียนขึ้นตาม
วดั ต่าง ๆ จึงได้มีการจัดตั้งโรงเรียนประชาบาลตำบลท่าเมือง 1 ขน้ึ ท่ีวัดอปุ นันทาราม โดยอาศัยศาลา
วัดเป็นท่ีเรียนช่ัวคราว อาคารเรียนเป็นเรือนหลังคาจากเสาไม้โกงกาง ต่อจากนั้นจึงได้มีการสร้าง
อาคารถาวรเล็ก ๆ ขน้ึ หลงั หนงึ่ ต่อมาโรงเรียนนี้ได้โอนไปสังกัดเทศบาล ปัจจุบันคือ โรงเรยี นเทศบาล
วัดอุปนันทาราม ต่อมาได้มีการขยายการจัดต้ังโรงเรยี นไปยังตำบลต่าง ๆ ทั่วทั้งจังหวัด สว่ นสถานท่ี
เรียนยงั คงใชศ้ าลาวดั เป็นส่วนใหญ่
สง่ิ ท่ีพอ่ หลวงบรรณได้มีส่วนชว่ ยเหลอื การศกึ ษาทส่ี ำคญั คือ เมือ่ เปดิ โรงเรียนแล้วไมม่ ีครูสอน
หลวงพ่อได้นำญาติของท่านจากจังหวัดไชยามาเป็นครูหลายคน ซึ่งปัจจุบันยังมีบุตรหลานของท่าน
อาศัยอยใู่ นจงั หวดั ระนองหลานท่าน คือ
นายหน่วย เชาวนเลศิ เป็นครใู นท้องทอี่ ำเภอกระบุรี
นายชื่น เชาวนเลศิ เป็นครูในท้องทีอ่ ำเภอกระบุรี
นายซอ้ น ธรารักษ์ เป็นครูในทอ้ งท่ีอำเภอกระบุรี
นายเนื่อม นองนุกลู เป็นครูในท้องที่อำเภอเมอื งระนอง
การศึกษาเริม่ แรกทีม่ ีการจัดตงั้ โรงเรยี น โรงเรียนตำบลละ 1 โรง
อำเภอเมืองระนอง
ตำบลเขานิเวศน์ โรงเรียนพิชัยรัตนาคาร พระพิชัยฯ ยกที่ดินพร้อมอาคาร 1 หลัง
ให้เป็นสถานที่เรยี น ปัจจุบันเป็นโรงเรียนอนุบาลระนอง เปิดสอน
ระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นเป็นโรงเรียนแห่ง
แรกของจังหวดั ระนอง
ตำบลท่าเมือง โรงเรียนประชาบาล ตำบลทา่ เมอื ง คอื โรงเรยี นประชาบาล ตำบล
ท่าเมือง 1 ตั้งอยภู่ ายในวดั อปุ นันทาราม
ตำบลบางรนิ้ โรงเรยี นประชาบาล ตำบลบางริ้น 1 ตงั้ อยบู่ ริเวณสนามเด็กเลน่
บ้านบางร้นิ ปัจจุบัน
ตำบลหงาว โรงเรียบประชาบาล ตำบลหงาว 1 ตั้งอยู่ในบริเวณโรงเรียนบ้าน
ทุ่งหงาวปจั จุบนั
ตำบลบางนอน โรงเรียนประชาบาล ตำบลบางนอน ตั้งอยู่ในวัดสุวรรณคีรีวิหาร
ปจั จุบัน
ตำบลราชกรดู โรงเรยี นประชาบาล ตำบลราชกรูด 1 ตั้งอยู่ ณ ที่ต้ังโรงเรียนบ้าน
ราชกรูด
ตำบลหาดสม้ แป้น โรงเรียนต้ังอยใู่ นวัดหาดสม้ แป้น เนื่องจากวดั ไม่มศี าลาชาวบา้ นจึง
ต้องสรา้ งอาคารเรยี นขนึ้ เอง
ตำบลทรายแดง โรงเรียนบา้ นสกี ิ้ม
45
อำเภอกระบรุ ี โรงเรียนประชาบาลตำบลน้ำจืดใหญ่ (ต่อมาเปล่ียนเป็นตำบล
ตำบลน้ำจืดใหญ่ นำ้ จืด) ตงั้ อยู่ทีว่ ัดจนั ทาราม อาศยั ศาลาวัดเปน็ สถานท่ีเรยี น
ตำบลนำ้ จืดน้อย โรงเรียนประชาบาลตำบลน้ำจืดน้อย 1 ต้ังอยู่ท่ีเนินกลางหมู่บ้าน
ตำบลมะมุ น้ำจดื น้อย
โรงเรยี นประชาบาลตำบลมะมุ 1 ต้ังอยู่ที่วัดมะมุ 1 ปัจจุบัน เป็น
ตำบลปากจั่น โรงเรียนบ้านสองพี่น้อง เนื่องจากตำบลมะมเุ ป็นชุมชนใหญ่มีผู้คน
อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และในอดีตเคยเป็นท่ีประทับรับเสด็จ
อำเภอกะเปอร์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยหู่ ัว รัชกาลท่ี 6 ประกอบกับ
ตำบลกะเปอร์ พลับพลารับเสด็จเป็นอาคารแข็งแรงว่างอยู่ จึงเปิดเป็นโรงเรียน
ประชาบาลตำบลมะมุ 2 (ทับหลี-สุรยิ วงศ)์
ตำบลมว่ งกลวง โรงเรียนประชาบาลตำบลปากจั่น 1 ตั้งอยู่ในวัดปากจ่ัน ต่อมาวัด
ตำบลเชีย่ วเหลยี ง ได้ย้ายออกมาอยู่ท่ีใกล้ถนนเพชรเกษม เปลี่ยนชื่อเป็นวัด
ตำบลบา้ นนา สุวรรณคีรีได้ยา้ ยกลับไปอยู่ ณ ท่ตี ั้งวัดปากจั่นเดมิ
ตำบลบางหิน
ตำบลนาคา โรงเรียนประชาบาลตำบลกะเปอร์ 1 ตั้งอยู่ ณ บ้านกงษี ใกล้กับ
ท่ีวา่ การอำเภอกะเปอร์สมัยนั้น ปัจจุบนั โรงเรยี นนไี้ ด้ยุบเลกิ ไปแล้ว
ตำบลกำพวน เพราะตัวอำเภอย้ายมาอยู่ริมถนนเพชรเกษม และเปิดเรียนใหม่
คอื โรงเรยี นบ้านดา่ น
โรงเรียนประชาบาลแห่งแรกต้ังอยทู่ ี่บ้านสำนกั
โรงเรียนประชาบาลตำบลเชีย่ วเหลยี ง 1 ตั้งอยทู่ ห่ี มบู่ ้าน
เชีย่ วเหลยี ง
โรงเรียนประชาบาลตำบลบ้านนา 1 ต้ังอยู่ที่วัดบ้านนา อาศัย
ศาลาวดั เป็นสถานท่ีเรียน
โรงเรียนประชาบาลตำบลบางหิน 1 ต้ังอยู่ในหมู่บ้านบางหิน
รมิ คลองบางหิน
โรงเรียนประชาบาลตำบลนาคา 1 ต้งั อยู่ในหมู่บ้านบางกล้วยนอก
ตวั โรงเรียนมีลกั ษณะเป็นโรงนา ไม่มีโต๊ะเก้าอ้ี สถานทเ่ี รียนใชแ้ คร่
ไมไ้ ผเ่ ป็นที่น่ังเรียนและนง่ั เขยี นทงั้ ครแู ละนักเรียน
โรงเรียนประชาบาลตำบลกำพวน 1 ต้ังอยู่ริมคลองกำพวนหลัง
มัสยิดกำพวน