The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรท้องถิ่น63

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

หลักสูตรท้องถิ่น63

หลักสูตรท้องถิ่น63

46

อำเภอละอนุ่ โรงเรียนประชาบาลตำบลละอุ่นใต้ ตั้งอยู่ท่ีโรงเรียนบ้านละอุ่นใต้
ตำบลละอนุ่ ใต้ ในปัจจุบนั
โรงเรียนประชาบาลตำบลละอุ่นเหนือ ตั้งอยู่ท่ีวัดละอุ่นเหนือ
ตำบลละอุ่นเหนอื ปัจจบุ นั ยุบเลกิ ไปแล้ว
โรงเรียนประชาบาลตำบลบางพระใต้แห่งแรก ต้ังอยู่ตรงข้ามวัด
ตำบลบางพระใต้ บางพระใต้ (วดั โพธทิ์ อง)
โรงเรียนประชาบาลแห่งแรก ต้ังอยู่ที่บ้านป่าไผ่ ปัจจุบันเป็น
ตำบลบางพระเหนอื โรงเรยี นบา้ นคอกชา้ ง
โรงเรยี นประชาบาล อำเภอบางแก้ว ต้งั อยู่ทวี่ ดั ชอ่ งลมปจั จบุ ัน
ตำบลบางแกว้

ในอดีตโรงเรียนของรัฐท่ีต้ังอยู่ได้ด้วยเงินงบประมาณแผ่นดิน เดิมมีโรงเรียนเดียว คือ
โรงเรียนพชิ ัยรัตนาคาร ตำบลเขานิเวศน์ เปดิ ทำการสอนถึงชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 มีศึกษาธิการจังหวัด
เปน็ ครูใหญแ่ ละทำหน้าทีศ่ ึกษาธกิ ารจังหวัดด้วย

จังหวัดระนองเร่ิมมีการจัดการศึกษาอย่างจริงจัง ตามพระราชบัญญัติปฏิรูปการศึกษา
แห่งชาติ พ.ศ. 2456 ซ่ึงเป็นโครงการหรือแผนการศกึ ษาแห่งชาติโดยกำหนดให้มีการเรียนการสอน
ในระดับประถมศกึ ษา 3 ปี มธั ยมศึกษาตอนกลาง 3 ปี และมัธยมศกึ ษาตอนปลาย 2 ปี

เมื่อมีการปกคลองท้องถ่ินเกิดขึ้น ทุกจังหวัดแบ่งการปกครองออกเป็นเทศบาลโรงเรียน
ประชาบาลในเขตเทศบาลตอ้ งโอนไปสังกดั เทศบาล 2 โรง คอื

โรงเรยี นประชาบาลตำบลท่าเมือง เป็น โรงเรยี นเทศบาล 1
โรงเรยี นประชาบาลตำบลบางนอน เปน็ โรงเรียนเทศบาล 2
พ.ศ. 2497 กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายขยายการศึกษาระดับมัธยมศึกษาโดยใหจ้ ังหวัด
ทกุ จังหวัดจัดต้ังโรงเรียนมธั ยมศึกษาจังหวัดละ 1 โรง จงั หวัดระนองได้จัดต้ังโรงเรียนประจำจังหวัด
ขึน้ ช่ือวา่ โรงเรยี นเมืองระนอง ต้ังอยทู่ ต่ี ำบลหงาว
จังหวัดระนองมีโรงเรียนศึกษาพิเศษมาต้ังแต่ พ.ศ. 2460 คือ โรงเรียนสอนภาษาจีนชื่อ
โรงเรียนเบง่ ซนิ ปจั จบุ ันเปลีย่ นช่ือเป็นโรงเรียนหมงิ ซนิ

47

4. มรดกทางธรรมชาติของจงั หวดั ระนอง

มรดกทางธรรมชาติ
ระนองเป็นจงั หวัดหน่ึงท่ีธรรมชาติได้มอบความอดุ มสมบูรณ์มาให้อย่างครบครัน ป่าอันอุดม
สมบูรณ์ ทั้งป่าบกและป่าชายเลน ท้องทะเลท่ีเต็มไปด้วยสัตว์ทะเลนานาชนิด เกาะแก่งต่าง ๆ
มากมาย คอคอดกระแผ่นดินที่แคบท่ีสุดของแหลมมลายูท่ีใคร ๆ อยากไปยืนตรงนั้นสักครั้งในชีวิต
เพ่ือเปน็ ประวัตศิ าสตร์แก่ตนเอง ภูเขาหญ้าท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ และน้ำตกอีกมากมาย รวมทั้ง
พันธุ์ไม้และสตั วห์ ายากนานาชนดิ
พ้นื ท่ีปา่
ระนอง เคยได้ช่ือว่า เมืองเล็กในป่าใหญ่ เพราะเป็นจังหวัดที่มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ท่ีสุดแห่ง
หน่ึงของประเทศไทย ประกอบกับประชากรมีจำนวนน้อยสามารถรักษาสภาพป่าไม้ไว้ได้นานกว่า
จังหวัดอื่น ๆ ในภาคใต้ แต่ปัจจุบันมีประชากรอพยพมาจากหลายจังหวัด ความต้องการที่ทำกินจึง
เพิ่มข้ึนอย่างรวดเร็วเพราะพื้นที่ราบมีอยู่น้อย การบุกรุกพื้นที่ป่าเขาจึงมีให้เห็นได้ตามลำดับ วิธีรกั ษา
ปา่ เหล่านี้มดี ้วยกันหลายรูปแบบ กล่าวคือ กำหนดใหเ้ ปน็ ป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแหง่ ชาติ เขตรกั ษา
พนั ธสุ์ ตั ว์ป่า เป็นต้น พ้ืนท่ีบางแหง่ กเ็ ปิดใหป้ ระชาชนได้ใชเ้ ป็นสถานทที่ อ่ งเทีย่ วพกั ผ่อนและศึกษาวิจยั

สภาพปา่ ท่ัว ๆ ไป

อทุ ยานแหง่ ชาติ
อทุ ยานแห่งชาติแหลมสน ระวาง 4628 พกิ ัด PML 417680 อยใู่ นท้องที่อำเภอกะเปอร์
อุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว ระวาง 4728 พิกัด PML 598897 อยู่ในท้องท่ีอำเภอเมือง
ระนอง
อทุ ยานแหช่ าติกระบรุ ี ระวาง 4729 พิกดั 47 PML 632142 อยใู่ นทอ้ งท่ีอำเภอกระบุรี
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะพยาม ระวาง 4728 พิกัด 47 PML 53884 อยู่ในท้องที่อำเภอ
เมอื งระนอง
 อุทยานแห่งชาติแหลมสน อยู่ห่างจากอำเภอเมืองระนอง 53 กิโลเมตร และห่างจาก
อำเภอกะเปอร์ประมาณ 6 กิโลเมตรจากถนนใหญ่เข้าไปอุทยาน อีกประมาณ 9 กิโลเมตร
ประกอบด้วยพ้ืนที่ริมทะเลต้ังแต่ตำบลราชกรูด อำเภอเมืองระนอง ลงไปทางใต้ผ่านตำบลม่วงกลวง
ตำบลกะเปอร์ ตำบลบางหิน ตำบลนาคา อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง เลยไปถึงอำเภอคุระบุรี

48

จังหวดั พังงา และครอบคลุมถึงเกาะต่าง ๆ ในทะเลอันดามัน ประมาณ 20 เกาะ ไดแ้ ก่ เกาะค้างคาว
หมเู่ กาะกำ ฯลฯ ที่ทำการอุทยานฯ ต้ังอยู่ที่หาดบางเบน ห่างจากจังหวัดระนองไปตามทางหลวง
หมายเลข 4 (ระนอง - พงั งา) เป็นระยะทางประมาณ 45 กิโลเมตร สถานทีท่ ่องเท่ียวประกอบด้วย
ชายหาดท่ีมีความสวยงามหลายแห่ง ไดแ้ ก่ หาดบางเบน หาดประพาส และแหลมสน

หาดบางเบน ต้ังอยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติแหลมสน เป็นหาดทรายยาวและกว้างใหญ่
มีทราย ละเอียด ร่มร่ืนด้วยป่าสนธรรมชาติ บริเวณชายหาดจะมองเห็นเกาะแก่งในทะเลได้อย่าง
สวยงาม นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของท่ีทำการอุทยานแห่งชาติ ศูนย์บริการนักท่องเท่ียว บ้านพัก
นักท่องเทยี่ ว สถานที่กางเต็นท์ และสิง่ อำนวยความสะดวกอ่นื ๆ

หาดประพาส ตงั้ อยใู่ นเขต อทุ ยานแหง่ ชาตแิ หลมสน เป็นหาดทรายกวา้ งใหญ่ เตม็ ไปดว้ ยทิว
สนและลานหญ้าท่ีกว้างใหญ่ อยู่ปากคลองกำพวนซึ่งมีป่าชายเลนสมบูรณ์ การเดินทางใช้ทางหลวง
แผ่นดินหมายเลข 4 ผ่านอำเภอสุขสำราญมา 3 กิโลเมตร จะพบทางแยกขวามือเข้าไปอีก 40 นาที
เปน็ ท่ตี งั้ ของหน่วยพทิ กั ษอ์ ุทยานแห่งชาตทิ ี่ หส.2 (หาดประพาส)

หาดแหลมสน อยู่ถัดจากหาดบางเบนไปประมาณ 4 กิโลเมตร มีหาดทรายขาวสะอาด และ
แหลง่ ปะการงั ซ่ึงอยใู่ นสภาพค่อนขา้ งสมบูรณ์ การเดินทางจะต้องเช่าเรือจากปากน้ำระนอง หรอื จาก
บริเวณใกลฯ้ กับอุทยานแห่งชาตแิ หลมสน

อุทยานแหง่ ชาติแหลมสน/หาดบางเบน

 อุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว อยู่ห่างจากจังหวัดระนองไปตามทางหลวงหมายเลข 4
(ระนอง - พงั งา) ประมาณ 15 กิโลเมตร หากมองจากริมถนนจะเหน็ น้ำตกหงาวไหลลงจากหนา้ ผาสูง
สวยงาม สภาพป่ารอบ ๆ อุทยานร่มรื่น แต่ในช่วงฤดแู ลง้ นำ้ จะคอ่ นข้างน้อย นอกจากน้ียังเป็นแหล่ง
อาศัยของ ปูเจ้าฟ้า ปูน้ำจืดชนิดใหม่ของโลก ซึ่งอาศัยอยู่ตามซอกหินบริเวณสองข้างลำธาร พบใน
เขตอุทยานแหง่ ชาตินำ้ ตกหงาวเป็นแห่งแรก

 อุทยานแห่งชาติกระบุรี ตั้งอยู่ทางด้านฝั่งทะเลอันดามัน ในท้องที่อำเภอกระบุรี อำเภอ
ละอนุ่ อำเภอเมือง จังหวัดระนอง ได้รับการประกาศจัดต้ังเป็นอุทยานแห่งชาตเิ ม่อื ปี 2542 ประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 29 ก ลงวันท่ี 21 เมษายน 2542 ครอบคลุมพ้ืนที่ 160
ตารางกิโลเมตร มพี รมแดนติดกับสาธารณรัฐแหง่ สหภาพเมียนมาร์ ทางด้านทิศตะวันตก โดยมีแม่น้ำ
กระบุรีเป็นเส้นแบง่ ก้นั ของประเทศท้ังสอง พื้นท่ีประมาณ 64 ตารางกิโลเมตร หรือร้อยละ 40 ของ
พ้ืนท่ีในแม่น้ำมีเกาะจำนวน 6 เกาะ ได้แก่ เกาะเสียด เกาะขวาง เกาะโชน เกาะยาว เกาะปลิง และ
เกาะนกเปลา้

49

 อุทยานแห่งชาติเกาะพยาม อยู่ห่างจากปากน้ำระนองออกไปประมาณ 33 กิโลเมตร
เป็นแหลง่ ปลูกมะม่วงหมิ พานต์ หรอื กาหยู ทมี่ ชี ื่อเสียงของจังหวัด ทีน่ ม่ี ีชายหาดท่ขี าวสะอาด ทอดตัว
เป็นแนวยาวไปตามตัวเกาะ นอกจากน้ีบริเวณรอบ ๆ เกาะ ยังมาเกาะแก่งที่สวยงาม เหมาะแก่การ
ดำน้ำ หรือตกปลาอีกหลายแห่ง เช่น เกาะสนิ ไห เกาะชา้ ง ฯลฯ

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา ระวาง 4627 พิกัด PML 455465 อยู่ในท้องท่ีอำเภอ
กะเปอร์

เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าทุ่งระยะ - นาสัก ระวาง 4729 พิกัด PMM 865573 อยู่ในท้องท่ี
อำเภอกระบุรี

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุทยานเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพร ด้านทิศใต้ ระวาง 4730 พิกัด
47 PMM 905618 อยใู่ นท้องที่อำเภอกระบรุ ี

เขตห้ามล่าสัตว์ป่าชายเลนม่วงกลวง ระวาง 4627 พิกัด 47 PML 428442 อยู่ในเขต
ท้องที่อำเภอสุขสำราญ

ศูนยว์ ิจัยป่าชายเลน หน่วยจดั การป่าชายเลนและหน่วยจดั การต้นน้ำ
ศูนย์วิจัยป่าชายเลนจังหวัดระนอง ระวาง4728 พิกัด 47 PML 572915 อยู่ในท้องที่
อำเภอเมอื งระนอง
หน่วยจัดการป่าชายเลนที่ รน.1 ระวาง 4728 พิกัด 47 PML 010584 อยู่ในท้องท่ี
อำเภอเมืองระนอง
หน่วยจัดการป่าชายเลนท่ี รน.2 ระวาง 4728 พิกัด 47 PMM 558591 อยู่ในท้องท่ี
อำเภอกะเปอร์
หน่วยจัดการป่าชายเลนท่ี รน.3 ระวาง 4729 พิกัด 47 PMM 687243 อยู่ในท้องท่ี
อำเภอเมืองระนอง

หน่วยจัดการต้นน้ำละอุ่น ระวาง 4729 พิกัด 47 PMM 701155 อยู่ในท้องที่อำเภอ
ละอนุ่

-

ศูนยว์ จิ ัยป่าชายเลนจงั หวัดระนอง

50

ศูนย์วิจัยป่าชายเลนจังหวัดระนอง
ศูนย์วิจัยป่าชายเลนจังหวัดระนอง ตั้งอยู่ หมู่ท่ี 4 บ้านล่าง ตำบลหงาว อำเภอเมืองจังหวัด
ระนอง บริเวณสำนักงานมีเนื้อท่ี ประมาณ 66 ไร่ อยู่ห่างจากตัวจังหวัดระนอง ประมาณ 20
กโิ ลเมตร และอย่หู ่างจากถนนสายระนอง - ตะกั่วป่า ประมาณ 5.4 กิโลเมตร บริเวณป่าชายเลนซ่ึง
อยู่ติดกับพ้ืนท่ีสำนักงานเป็นสวนป่าชายเลน เน้ือท่ีประมาณ 1.50 ไร่ พื้นท่ีป่าชายเลยสำหรับ
ศกึ ษาวิจัยจำนวน 3,664 ไร่ ตัง้ อยบู่ รเิ วณบ้านหาดทรายขาว ตำบลหงาว อำเภอเมอื ง จังหวัดระนอง
ห่างจากสำนักงานศนู ยว์ จิ ยั ประมาณ 8 กโิ ลเมตร สามารถเดนิ ทางไปได้โดยทางเรือ
พ้ืนท่ีบริเวณศูนย์วิจัยป่าชายเลนบ้านล่าง ตำบลหงาว อำเภอเมือง จงั หวัดระนอง ได้รับการ
ประกาศเป็นเขตสงวนชีวมณฑลของโลกเป็นแห่งที่ 4 ของประเทศไทย ปัจจุบันมีประเทศต่าง ๆ เข้า
ร่วมโครงการ จำนวน 101 ประเทศ
เขตสงวนชวี มณฑล จังหวัดระนอง
เขตสงวนชีวมณฑลป่าชายเลนจังหวัดระนอง ตัง้ อยู่ในเขตท้องท่ี อำเภอเมืองระนอง จังหวัด
ระนอง ทางฝั่งทะเลตะวันของประเทศไทยบริเวณเสน้ รุ้งที่ 9 องศา 43 ลิปดา ถึง 9 องศา 57 ลปิ ดา
เหนือ และเส้นแวงท่ี 98 องศา 29 ลิปดา ถึง 98 องศา 93ลิปดาตะวันออก ทิศเหนือจรดคลอง
ระนองและปากน้ำระนอง ทิศใต้จรดทะเลอันดามันและคลองทรายขาว ทิศตะวันออกจรดอุทยาน
แห่งชาติน้ำตกหงาว ทิศตะวันตกจรดทะเลอันดามันครอบคลุมพื้นท่ีตำบลหงาว และบางส่วนของ
ตำบลปากน้ำ ตำบลบางรน้ิ และตำบลราชกรูด สภาพพืน้ ท่ีส่วนใหญ่เป็นป่าชายเลนท่ีมีความสมบูรณ์
แห่งหนึ่งของประเทศไทย มีพื้นท่ีรวมท้ังสิ้น 303.09 ตารางกิโลเมตร หรือ 189,431 ไร่
โดยจำแนกพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนแรกเป็นพื้นที่แกนกลาง (core area) เป็นพ้ืนท่ีที่มีสภาพ
ธรรมชาติสมบูรณ์ ยงั ไมม่ ีการรบกวนจากการตั้งถน่ิ ฐานของมนุษย์ และมีความหลากหลายทางชีวภาพ
สูง เป็นพ้ืนท่ีท่ีเคยดำเนินการวิจัยระบบนิเวศป่าชายเลนนานาชาติมาเป็นเวลานาน มีข้อมูลทางด้าน
วทิ ยาศาสตร์เผยแพร่ท่วั โลกมีไม้โกงกางขนาดใหญ่สูงกว่า 30 เมตร อยู่เป็นแห่งเดียวในประเทศไทย
มีพ้ืนที่แกนกลางรวมทั้งสิ้นประมาณ 46 ตารางกิโลเมตร หรือ 28,588 ไร่ บรเิ วณท่ีสองเป็นพื้นท่ี
กั น ชน (buffer zone) เป็ น พื้ น ท่ี ท่ี สามารถจัด ก ารให้ มีก ารฟื้ น ฟู และ ใช้ป ระ โยชน์ จาก
ทรัพยากรธรรมชาติในรูปแบบต่าง ๆ อย่างยั่งยืน ตลอดจนเป็นแหล่งท่องเท่ียวและให้ ความรู้แก่
ประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ อย่างยั่งยืน ตลอดจนเป็นแหล่งท่องเท่ียวและให้ความรู้แก่ประชาชนใน
รปู แบบต่าง ๆ โดยได้กำหนดพื้นที่กันชนไว้ 194 ตารางกิโลเมตร หรอื 121,250 ไร่ หรอื ประมาณ
ร้อยละ 64 ของพื้นท่ีป่าชายเลน 55.23 ตารางกิโลเมตร หรือ 24,519 ไร่ พื้นที่กันชนท่ีเป็นน้ำ
ทะเล คลอง 121.27 ตารางกิโลเมตร หรือ 79,731 ไร่ พ้ืนที่เกาะ และภูเขา 11.20 ตาราง
กิโลเมตร หรือ 7,000 ไร่ บริเวณที่สามเป็นพื้นที่รอบบนอก (transition zone) เป็นพ้ืนที่ท่ีมี
การดำเนินกิจกรรมตา่ ง ๆ ร่วมกัน เช่น การเกษตร แหล่งชุมชน และอุตสาหกรรมต่าง ๆ อยู่นอกเขต
พนื้ ท่ีป่าชายเลน ซ่ึงจำเป็นต้องมีการจัดการและควบคุมการขยายตัวของชุมชน และคงไวซ้ ่ึงคุณภาพ
ของสภาพแวดล้อม เพ่ือให้มีผลกระทบต่อระบบนิเวศป่าชายเลนในพ้ืนท่ีเขตสงวนชีวมณฑลให้น้อย
ท่ีสุด

51

พชื พันธไ์ุ ม้
พืชพันธไ์ุ ม้ จังหวัดระนองมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ ทำให้มีพืชพันธ์ุไม้มีค่าหลายประเภท ทั้งพันธ์ุ
ไม้ป่า และไม้ป่าชายเลน ได้แก่ ตะเคียนทอง ตำเสา (กันเกรา) พญาสัตบรรณ นาคบุษย์ มุดม่วง
กระเนียงหวาน หมอ้ ขา้ วหม้อแกงลงิ โกงกาง ฯลฯ
โกงกางใบใหญ่ (Rhizophora mucronata) และโกงกางใบเลก็ (Rhizophora aqiculata)
โกงกางใบใหญ่ และโกงกางใบเล็ก เป็นพันธไ์ุ ม้ท่ีพบได้ทว่ั ไปตามปา่ ชายเลนของประเทศไทย
ขนาดลำต้นสูง 30 - 40 เมตร บริเวณโคนต้นคำ้ ยันรอบลำตน้ สำหรับโกงกางใบเล็กบางครั้งจะมีราก
อากาศซ่ึงเกิดจากบรเิ วณกิง่ ห้อยลงมา มีเรือยอดแคบรปู ปิรามิด เปลือกสีเทาถงึ สดี ำ ผวิ เปลือกโกงกาง
ใบใหญ่หยาบ หากทุบเปลือกท้ิงไว้สักครู่ จะพบว่าด้านในของเปลือกจะเป็นสีเหลืองถึงสีส้ม ขณะท่ี
โกงกางใบเล็กจะมีผิวเปลือกเรียบ แตกเป็นร่องเล็กตามยาวของต้นเด่นชัดมากกว่าร่องตามขวาง
เม่อื ทบุ เปลือกทงิ้ ไว้สกั ครจู่ ะพบว่าด้านในของเปลือกจะเป็นสแี สดอมแดงถึงแดงเลอื ดหมู
ลักษณะของใบ โกงกางใบใหญ่รูปใบเป็นรูปรีอวบใหญ่ ขนาดใบยาวประมาณ 8 - 24 ซม.
กว้างประมาณ 3 - 13 ซม. ปลายใบยาวประมาณ 2.5 - 6 ซม. หูใบบริเวณยอดยาวประมาณ
5 - 9 ซม. มีสีเขียวอมเหลือง ขณะท่ีโกงกางใบเล็ก ใบเป็นรูปรีหรือรูปรีแกมขอบขนานมีขนาดยาว
ประมาณ 7 - 18 ซม. กว้างประมาณ 4 - 8 ซม. มีสีเขียว ปลายใบแหลม มีต่ิงแหลมเล็กสีดำฐาน
ใบแคบ ท้องใบสีเขียวอมดำ และมีจุดสีดำเล็ก ๆ กระจายอยู่ตรงท้องใบ ก้านใบยาวประมาณ
1.5 - 3.5 ซม. มักออกสีแดงอ่อน ๆ ดอกของโกงกางใบใหญ่ออกเป็นช่อก้าน ช่อดอกรวมยาว
ประมาณ 3 - 7 ซม. ก้านดอกย่อยแต่ละดอก ยาวประมาณ 4 - 10 ซม. กลีบเล้ียงและกลีบดอก
ยาวประมาณ 4 - 10 ซม. กลีบเล้ียงและกลีบดอกมีอย่างละ 4 กลีบ และเกสรตัวผู้ 8 อัน ส่วน
โกงกางใบเล็กออกดอกช่อละคู่ ก้านดอกรวมยาว 0.6 - 2 ซม. ส่วนดอกย่อยไม่มกี ้าน กลีบเล้ียงและ
กลบี ดอก อยา่ งละ 4 กลีบ กลีบดอกมีลักษณะเป็นแผ่นบาง ๆ สีเหลอื งอมเขียวถึงสขี าว

สภาพปา่ โกงกาง

52

ตะบูนดำ (Xylocarpus Maluccensis)
พบข้ึนอยู่กระจายทั่วไปในบริเวณท่ีเป็นดินเลนแข็งในพ้ืนที่ป่าชายเลนของประเทศไทย
เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงประมาณ 25 - 35 เมตร เป็นไม้ผลัดใบชนิดหน่ึงของป่าชายเลน ลำต้น
สว่ นใหญ่ตรง โคนต้นไม้ มพี ูพอนเล็กน้อย มีรากหายใจลกั ษณะแบนบ้างกว้างบ้าง โผล่ข้ึนจากบริเวณ
ผิวดินรอบ ๆ โคนต้น ยาวประมาณ 20 - 40 ซม. เปลือกของลำต้นเมื่อยังไม่โตเต็มท่ีเรียบ มีสีเทา
แต่เมื่อต้นโตเต็มท่ีเปลือกจะแตกเป็นร่องตามแนวยาวและตามขวางลำต้น และลอกเป็นแผ่นสั้น ๆ
ตามยาวลำต้น สว่ นลำตน้ มักเป็นโพรงเมื่อเจรญิ เติบโตเต็มท่ีหรือเม่ือไม้มีอายุมากขึ้น
ผกั เหลียง
เป็นไมพ้ ุ่มขนาดเล็ก ความสูงราว 1 - 2 เมตร ชอบข้นึ ในป่าโปร่งที่มีร่มรำไรและความช้ืนสูง
ใบแก่สีเขียวเข้มเป็นมัน ใบอ่อนยอดอ่อนสีม่วงแดง ดอกออกที่กิ่งเป็นช่อ ลักษณะรียาวคล้ายไข่ไก่
มีสีเขียวแก่สุกสีเหลือง ใช้รับประทานได้ ผักเหลียงสามารกปลูกร่วมกับพืชอื่น ๆ เช่น แซมในสวน
มะพร้าว ยางพารา สะตอ และไม้ผลอ่ืน ๆ ในปัจจุบันเป็นที่รู้จักของผู้บริโภคอย่างกว้างขวาง
เช่นเดียวกับสะตอ ลูกเนียง เนื่องจากรสชาติดีไม่มีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ทำให้ผู้บริโภค
ปลอดภยั จากสารพิษ

ผกั เหลียง
กาหยู (มะม่วงหิมพานต)์
เปน็ พชื ตระกูลเดียวกนั กับมะมว่ ง ผลคล้ายรูปไต เปลือกแข็งอยภู่ ายใน ค่ัวแลว้ กินได้ ยางเป็น
พษิ ก้านผลอวบน้ำ ลักษณะคล้ายผลชมพู่ คนมักเข้าใจกันว่า ก้านผลน้ีคือ ผล ส่วนผลรปู คล้ายไต คือ
เมล็ด มีถิ่นกำเนิดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศบลาซิล เมื่อ พ.ศ. 2444 พระยารษั ฎา
นุประดิษฐ์มหศิ รภกั ดี เป็นผู้นำเมล็ดมะมว่ งหมิ พานต์จากประเทศมาเลเซยี มาปลกู ทจ่ี ังหวดั ระนองเป็น
คร้งั แรก กาหยูเป็นพืชท่ีทนทานต่อความแห้งแล้ง ต้องการสภาพภูมิอากาศที่แห้งแล้ง และไม่ควรมี
ฝนตกในช่วงออกดอก เพราะจะทำให้ตดิ ผลนอ้ ย ไม่ชอบอากาศเย็น ปลูกขนึ้ งา่ ยเจริญเติบโตเร็ว ดูแล
รกั ษาง่าย ขึ้นไดใ้ นดินแทบทุกชนิด
สัตวน์ านาชนดิ
ระนองเป็นจังหวัดเล็ก ๆ ตั้งอยู่ภาคใต้ฝ่ังตะวันตก ริมฝ่ังทะเลอันดามัน มีคอคอดกระหรือ
กวิ่ กระ ซง่ึ เป็นสว่ นท่แี คบท่สี ุดในแหลมมลายู มีฝนตกชุกมากท่ีสุด จนได้ช่ือว่าเป็นเมือง ฝนแปดแดดส่ี

53

ด้วยเหตุน้ีทำให้จังหวัดระนองอุดมไปด้วยภูเขาและป่าไม้ รวมทั้งสัตว์นานาชนิด ท่ีอาศัยความอุดม
สมบูรณ์ของป่าไม้ ต้นน้ำลำธาร นอกจากนพ้ี ้ืนที่ของจังหวัดระนองต้งั อยตู่ ิดกับทะเลอันดามัน ทำให้มี
สัตว์ทะเลชุกชุม อาชีพหลักของคนท้องถิ่นน้ี คือ การทำประมง ซ่ึงถือเป็นอาชีพเศรษฐกิจทที่ ำรายได้
และนำความเจรญิ มาสู่ท้องถน่ิ

นอกจากน้ีจังหวัดระนองยังมีป่าชายเลนที่มีความสมบูรณ์มากท่ีสุดแห่งหนึ่งในโลก ซ่ึงเป็น
แหล่งท่ีอยู่อาศัยของสัตว์ต่าง ๆ หลายชนิด ที่พบมากบริเวณศูนย์วิจัยป่าชายเลน ได้แก่ ลิงแสม
นกกนิ น้ำ กานำ้ นาก งูชนดิ ต่าง ๆ กระรอก และตะกวด

มีปลาประมาณ 82 ชนิด ท่ีอาศัยอยู่ลำคลองในป่าชายเลน ชนิดทม่ี ีความสำคัญและพบมาก
ได้แก่ ปลากะพงขาว ปลากระบอก ปลานวลจันทร์ทะเล และปลาขา้ งลาย นอกจากปลาแลว้ ยังมีสัตว์
ทมี่ ีความสำคัญทางเศรษฐกิจอยู่ คือ กุ้ง มีประมาณ 15 ชนิด ได้แก่ กุ้งกุลาดำ กุ้งแชบ๊วย กุ้งตะกาด
และกงุ้ กะปิ เปน็ ต้น

มีปูกว่า 30 ชนิด ที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลน ที่พบมากคือ ปูทะเล ปูแสม ปูก้ามดาบ และปู
ทะเล หรืออกี ชอ่ื หน่ึงว่าปูดำ เป็นสตั ว์น้ำทมี่ คี ุณค่าทางเศรษฐกิจ จะอาศยั อยู่ในปา่ ชายเลนเกือบตลอด
ชีวิต จนถึงช่วงเวลาวางไข่แม่ปจู ึงเดนิ ทางออกสู่ทะเล ปกู ้ามดาบเปน็ ปูตัวเล็กแต่มีก้ามสีสดขนาดใหญ่
กา้ มขนาดใหญ่นม้ี เี ฉพาะตวั ผเู้ ทา่ นั้น และมีเพียงตวั ละ 1 ขา้ ง

หอยมากกว่า 26 ชนิด อาศัยเกาะติดกับลำต้น ราก ก่ิง และใบของต้นไม้ เป็นหอยฝาเดียว
ประมาณ 22 ชนดิ เช่น หอยขี้นก และหอยสองฝา 4 ชนิด เช่น หอยนางรม หอยแครง

สำหรบั นักดูนก ป่าชายเลนเป็นอีกพ้ืนที่หนง่ึ ทีม่ ีนกให้ศกึ ษาไม่น้อยกวา่ 40 ชนดิ เช่น นกกิน
เปรี้ยวสีฟ้าสลบั ขาวซึ่งเปน็ นกประจำถิน่ นกยางเขียว นกแซวสวรรค์ นกโกงกางหัวโต ฯลฯ

ต้นนำ้ ลำธารและแหล่งนำ้ สำคัญ
จากสภาพภูมิศาสตร์ของจังหวัดระนอง ซ่ึงมีลักษณะพ้ืนที่ทางด้านทิศตะวันออกเป็นภูเขา
มีเทือกเขาตะนาวศรีวางตัวเป็นแนวจากทิศเหนือสู่ทิศใต้ และลาดเอียงจากทิศตะวันออกสู่ทิศ
ตะวันตก ทางด้านทิศตะวันตกมีอาณาเขตตดิ ต่อกับทะเลอันดามัน ทำใหเ้ ป็นแหลง่ กำเนิดต้นน้ำลำธาร
ลำคลองและแม่น้ำหลายสายไหลจากทิศตะวันออกไปสู่ทิศตะวันตกลงทะเลอันดามัน แหล่งน้ำท่ี
สำคัญของจงั หวดั ระนองมดี ังน้ี
• แม่น้ำกระบรุ ี เป็นแม่น้ำสายสำคัญที่กัน้ พรมแดนระหวา่ งไทยกบั พมา่ ต้นนำ้ เกิดจากเขาน้ำ
และเขาจอมแหทางทิศเหนือ ไหลลงสู่ทะเลอนั ดามัน มีความยาวประมาณ 95 กโิ ลเมตร
• คลองลำเลียง ต้นน้ำเกิดจากเขาบางใหญ่และเขาแคนทางเหนือ ไหลลงสู่ทะเลอันดามัน
มคี วามยาวประมาณ 20 กิโลเมตร
• คลองปากจน่ั ต้นน้ำเกดิ จากเขาหินลุ ทางทศิ เหนือของจังหวัด ไหลลงสูแ่ ม่นำ้ กระบุรีทบี่ ้าน
นานอ้ ย มีความยาวประมาณ 30 กโิ ลเมตร
• คลองอิน ต้นน้ำเกิดจากเขาหินลุ ทางทิศเหนือของจังหวดั ไหลลงสู่แม่น้ำกระบุรีที่บ้านทับ
หลี มคี วามยาวประมาณ 20 กิโลเมตร

54

• คลองกระบุรี ต้นน้ำเกิดจากเขาผักแว่นในเขตชุมพร - ระนอง ไหลผ่านอำเภอกระบุรี
มคี วามยาวประมาณ 20 กโิ ลเมตร

• คลองละอุน่ ต้นน้ำเกิดจากเทอื กเขาห้วยเสียด และเขาหินด่านทางทิศตะวันออก ไหลลงสู่
แม่น้ำกระบุรที บ่ี ้านเขาฝาชี มีความยาวประมาณ 35 กิโลเมตร

คลองละอุ่น
• คลองหาดส้มแป้น ต้นน้ำเกิดจากเทอื กเขาจอมแหและเขานมสาวไหลลงสู่ทะเลอนั ดามันท่ี
บา้ นเกาะกลาง ความยาวประมาณ 19 กโิ ลเมตร
• คลองกะเปอร์ ต้นน้ำเกิดจากเขายายหม่อน ไหลลงสู่ทะเลอันดามันที่บ้านบางลำพู อำเภอ
กะเปอร์ ความยาวประมาณ 32 กโิ ลเมตร
• คลองกำพวน ต้นน้ำเกิดจากเทือกเขาพระหมี ไหลลงสู่ทะเลอันดามันที่บ้านกำพวน
อำเภอสขุ สำราญ ความยาวประมาณ 19 กโิ ลเมตร
น้ำตก จังหวัดระนองมสี ภาพภมู ิศาสตรท์ ่ีเตม็ ไปด้วยภูเขาและพืน้ ท่ีราบตดิ ชายฝ่ังทะเล ทำให้
สถานทท่ี ่องเท่ยี วยงั คงสภาพตามธรรมชาตไิ ว้อย่างสมบูรณ์ แหล่งทอ่ งเทย่ี วท่ีสำคัญของจังหวัดระนอง
มดี ังนี้
นำ้ ตกหงาว
บริเวณฝ่ังตรงข้ามกบั ภูเขาหญ้าจะมีทางแยกซ้ายมือไปตามถนนลูกรงั ประมาณ 2 กิโลเมตร
ที่น่ีมีน้ำตกสวยงาม คือ น้ำตกหงาว ต้ังอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว (Ngao National Park)
ช่วงที่มีน้ำตกมากท่ีสุด คือ ช่วงเดือนมิถุนายนเป็นต้นไปสัตว์ท่ีน่าสนใจที่พบได้บริเวณน้ำตกหงาว
ได้แก่ ปูเจ้าฟ้า ซ่ึงเป็นปูน้ำจืดชนิดใหม่ของโลก อาศัยอยู่ตามซอกหิน หรือใต้ใบไม้บริเวณ 2 ข้างลำ
ธารเล็ก ๆ ที่ไหลลงจากนำ้ ตกโดยเฉพาะในฤดูฝน
นำ้ ตกโตนเพชร
บริเวณเขาสงู ซ่ึงกั้นเขตแดนระหว่างจังหวดั ชุมพรกับจังหวัดระนองดา้ นอำเภอพะโต๊ะ ท่ีเรยี ก
กันว่า เขาพ่อตาโชงโดง เป็นแหล่งกำเนินน้ำตกท่ีสวยงามมากมายซึ่งรวมถึง น้ำตกโตนเพชรด้วย
เพชรเม็ดเอกแห่งน้ำตกเมืองระนองด้วย น้ำตกโตนเพชรอยู่หางจากตัวเมืองระนองไปตามทางหลวง
หมายเลข 4 (ระนอง - พังงา) ประมาณ 29 กิโลเมตร จากถนนใหญ่จะมีทางแยกเข้าไปบริเวณค่าย

55

ลกู เสือจังหวัด ประมาณ 2 กิโลเมตร จากน้ันจึงเดินเท้าตอ่ ไปอีกประมาณ 1.5 กิโลเมตร จึงถึงบริเวณ
น้ำตก น้ำตกโตนเพชร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ ความสูงถึง 11 ชั้น มีน้ำไหลตลอดท้ังปี บรเิ วณโดยรอบ
ยงั คงงดงามดว้ ยผืนปา่ อันอุดมสมบรู ณ์

นำ้ ตกปญุ ญบาล
เป็นน้ำตกที่มีช่ือเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัดระนองอยู่ริมถนนเพชรเกษม ห่างจากตัวเมือง
ระนอง 16 กิโลเมตร เป็นน้ำตกท่ีมีความสูงถึง 19 ชั้น มีน้ำตลอดท้ังปี สวยงามมากในช่วงฤดูฝน
ร่มร่นื ดว้ ยปา่ ทึบ

น้ำตกบกกราย
อยู่บนเส้นทางสายระนอง - ชุมพร ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 54 กิโลเมตร หรือที่หลัก
กิโลเมตรท่ี 556 - 557 จะมีป้ายช้ีไปน้ำตกบกกรายจากน้ันต่อไปตามถนนลูกรังอีกประมาณ 13
กิโลเมตร ก็จะถึงบริเวณน้ำตก น้ำตกบกกรายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มีน้ำไหลตลอดปี บรเิ วณโดยรอบ
มีธรรมชาติที่ร่มร่ืนเหมาะแก่การพักผ่อน ต้ังอยู่ในเขตความรับผิดชอบของเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่า
ทงุ่ ระยะ - นาสัก

นำ้ ตกชมุ แสง
จากตัวเมืองกระบุรีไปตามทางหลวงหมายเลข 4 (ทางไปจังหวัดชมุ พร) บริเวณหลักกโิ ลเมตร
ที่ 529 - 530 มีทางแยกซ้ายมือเป็นถนนลูกรังประมาณ 3 กิโลเมตร ก็จะถึงน้ำตกชุมแสง ซ่ึงจะมี
น้ำไหลเฉพาะในช่วงฤดูฝน

หาดประพาสหรือห่านหินทงุ่
อยหู่ ่างจากเขตเทศบาลเมอื งระนองไปตามทางหลวงหมายเลข 4 (ระนอง - พังงา) ประมาณ
90 กิโลเมตร หรือจากอำเภอกะเปอร์ ประมาณ 30 กิโลเมตร จากนั้นแยกขวาเข้าไปถนนลูกรังอีก
ประมาณ 3 กโิ ลเมตร ก็จะถงึ บริเวณหาดประพาสซ่ึงเป็นหาดทรายชายทะเลท่ีมคี วามงดงาม รม่ รืน่ ไป
ด้วยป่าสนธรรมชาติ เชน่ เดียวกบั หาดบางเบน
เกาะต่าง ๆ จังหวัดระนองมีเกาะในทะเลอันดามัน ซึ่งขึ้นอยู่ในเขตปกครองของจังหวัด
จำนวน 62 เกาะ เกาะขนาดใหญท่ ่ีมีประชาชนอาศัยอยู่ ได้แก่ เกาะสินไห เกาะพยาม และเกาะชา้ ง
เกาะพยาม
อยู่ห่างจากปากน้ำระนอง ประมาณ 33 กิโลเมตร เป็นแหล่งปลูกมะม่วงหิมพานต์ท่ีมี
ช่ือเสยี งของจังหวดั ประกอบด้วยหาดทรายขาวสะอาด มีลกั ษณะกว้างและทอดเป็นแนวยาวไปตาม
ตวั เกาะ ใช้เวลาเดนิ ทางจากปากนำ้ ระนอง (ท่าเรือสะพานปลา) ประมาณ 3 ชัว่ โมง
เกาะชา้ ง
อยู่ห่างจากเกาะพยาม ประมาณ 4 กิโลเมตร การเดินทางจะต้องเช่าเรือไปจากปากน้ำ
ระนอง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ช่ัวโมง มีอ่าวใหญ่ซ่ึงเป็นอ่าวท่ีมีขนาดใหญ่ท่ีสุดของเกาะ มีหาด
ทรายสงบ สวยงาม และมีชนเผ่ามอแกน ซ่งึ เป็นชาวเลอาศัยอยู่ เกาะช้าง เป็นเกาะท่มี ีลักษณะรูปรา่ ง

56

คล้ายช้าง ชาวบ้านจึงเรียก เกาะช้าง มีเน้ือท่ีประมาณ 12,000 ไร่ 19.2 ตารางกิโลเมตร
มปี ระชากรอาศัยอยู่ประมาณ 220 คน ประกอบอาชีพทำสวนมะพรา้ ว สวนมะม่วงหมิ พานต์ (กาหยู)
และสวนยางพารา เป็นเกาะที่เหมาะแกก่ ารดำน้ำและตกปลา

หมเู่ กาะกำ ประกอบดว้ ย เกาะนอ้ ยใหญ่หลายเกาะได้แก่
เกาะกำตกหรือเกาะอ่าวเขาควาย เป็นเกาะที่ความอัศจรรย์ของธรรมชาติได้บรรจงสร้าง
ความโค้งของอ่าวจนเป็นรูปครึ่งวงกลม และมีหาดทรายขาวสะอาดโค้งยาวรอบเกาะ เป็นเกาะที่มี
ความอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธ์ุไม้นานาชนิด ตลอดจนทะเลบริเวณนี้มีปะการัง และกัลปังหาหลาย
ชนิดขึน้ ปะปนกันอยู่ และยงั เปน็ ที่ตั้งของที่ทำการหน่วยพิทักษ์อทุ ยานฯ อีกดว้ ย
เกาะกำใหญ่ เป็นเกาะท่ีใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะกำ มีเน้ือที่ประมาณ 25 ตารางกิโลเมตร
มสี ภาพปา่ และพนั ธไ์ุ ม้สมบูรณ์ มีสตั วป์ า่ นานาชนิดอาศัยอยู่ เชน่ กระจง หมี หมปู่ ่า
เกาะกำใต้ เป็นเกาะทีอ่ ยทู่ างใต้สุดของหมู่เกาะกำ ทางกองทพั เรอื ไดจ้ ดั ให้มีประภาคารไวบ้ น
เกาะเพอ่ื เป็นสัณญาณในการเดนิ เรือ ชาวประมงเรยี กกันวา่ เกาะไฟแว๊บ
เกาะกำนุ้ย เป็นเกาะท่ีใหญ่รองลงมาจากเกาะกำใหญ่ นอกจากจะมีสภาพป่าที่สมบูรณ์แล้ว
ยังมีหาดทรายขาวทอดยาวไปตามตัวเกาะ ดา้ นหนา้ เกาะมีปะการังเขากวางขนึ้ อยเู่ ป็นบริเวณกว้าง
เกาะกำกลางหรือเกาะญ่ีป่นุ เป็นเกาะที่มหี าดทรายขาวตดั กับนำ้ ทะเลสีมรกต และโขดหินท่ี
ข้นึ เป็นเกาะเล็กเกาะน้อยเรียงรายกนั ตลอดจนมีหินโสโครกท่ีโผล่พ้นผิวน้ำข้ึนมาเป็นแนวยาว เรียก
กันว่า หินคันนา ใต้ผิวน้ำรอบ ๆ หินคันนาจะมีปะการังเขากวางขึ้นอยู่เป็นบริเวณกว้างปะปนกับ
ปะการังสมอง ส่วนบนโขดหนิ ก็เปน็ ท่ีอาศัยของนกนางนวลนบั ร้อยตวั อีกด้วย
เกาะล้าน เป็นเกาะท่ีมีสภาพป่าสมบูรณ์นอกจากน้ียังมีถ้ำที่เป็นที่อยู่อาศัยของค้างคาว
ตัวเล็ก ๆ จำนวนมากอีกด้วย ปัจจุบันทางอุทยานแห่งชาติฯ ได้จัดส่ิงอำนวยสะดวกไว้ที่เกาะกำตก
หรือบริเวณท่ีตั้งของที่ทำการหน่วยฯ เช่น จัดให้มีเตน้ ท์สำหรับนักท่องเท่ียวท่ีประสงค์ จะคา้ งคืนบน
เกาะ มหี อ้ งอาบน้ำ ห้องสุขา และรา้ นจำหน่ายเครื่องด่ืมและอาหารไว้บรกิ าร นอกจากน้ีทางหนว่ ยยัง
จัดเส้นทางเดินเท้าเพื่อชมป่าและชมทิวทัศน์ธรรมชาติท่ีจุดชมวิว ชมพระอาทิตย์ท่ีผาอัสดงและ
เสน้ ทางเดินเท้าท่นี ักท่องเท่ยี วสามารถเดินชมได้ท่ัวบริเวณเกาะ

57

5. โบราณสถาน โบราณวตั ถุ

โบราณสถาน
สสุ านเจ้าเมืองระนอง
สุสานเจ้าเมืองระนอง ตั้งอยู่ท่ี ตำบลบางนอน อำเภอเมือง จังหวัดระนอง บริเวณที่ตั้งของ
สสุ านเป็นเนินเขาลาดลงมาจากเขาระฆังทอง เป็นสุสานของพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซูเจียง)
เจ้าเมืองระนองคนแรก ท่ีถึงแก่อนิจกรรมเม่ือ พ.ศ. 2425 สิริอายุ 86 ปี จากนั้นได้มีการฝังศพตาม
ประเพณีจีน และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตทำคำจารึกศิลาปักไว้ให้เป็นเกียรติยศ ณ ที่ฝัง
ศพ จารกึ เรื่องชาติประวตั ิของพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี ทัง้ ภาษาไทย ภาษาจีนถดั ไปมีเสาธงศิลา
คหู่ นึง่ แพะคู่หน่ึง เสอื คู่หนึ่ง มา้ คู่หนึ่ง ขุนนางฝ่ายบนุ๋ ฝา่ ยบู๊คู่หนึง่ แล้วก่อเขอื่ นศิลา ปูศิลาเป็น ช้ัน ๆ
ข้นึ ไป 3 ชั้นจนถึงลานที่ฝังศพ ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของตระกูล ณ ระนอง นับเป็นสถานท่ีสำคัญ
ทางประวัตศิ าสตร์แห่งหนง่ึ ของจังหวัดระนอง

สุสานเจา้ เมอื งระนอง

กำแพงจวนเมืองระนอง
กำแพง ทำด้วยอิฐสอปูนสูงประมาณ 3.50 เมตร ความหนาของกำแพงประมาณ
50 เซนติเมตร ฐานทำด้วยอิฐธรรมชาติ สูงประ มาณ 60 เซนติเมตร และหนาประมาณ
60 เซนติเมตร แนวกำแพงมีความยาวท้ังหมด 954 เมตร ปัจจุบันเหลอื แนวให้เหน็ เพียง 722 เมตร
มีประตูทางเข้าอยู่ทางด้านทิศตะวนั ออก และบรเิ วณประตูด้านหน้ายงั มเี รอื หอรบขนาดใหญ่ทำดว้ ยไม้
(ปัจจุบันเรือนหอรบพังไปตามกาลเวลา) มุมกำแพงด้านทิศเหนือติดกับมุมด้านทิศตะวันออกมี
ป้อมขนาดเล็กอยู่หน่ึงป้อม และป้อมน้ีในอดีตอาจใช้เป็นท่ีรักษาการณ์ของยาม เลยจากป้อมไปตาม
แนวของกำแพงยังมีประตูขนาดเล็กอีกด้วย ตัวกำแพงมีช่องมองหรือช่องปืนทำไว้เปน็ ระยะ ๆ ตลอด
แนวกำแพงด้านนีจ้ ะเห็นซากของอาคารที่ทำเชื่อมตดิ กบั ตัวกำแพง ซึ่งซากอาคารตา่ ง ๆ น้ีเดิมทำเป็น
โรงเกบ็ สนิ ค้า เปน็ ต้นวา่ โรงชา้ ง โรงมา้ โรงต้มกล่ันสรุ า โรงต้มฝิน่ และฉางข้าว
จวนเจ้าเมืองและเรอื นรับรอง
จวนเจ้าเมืองระนองสร้างในสมยั พระยาดำรงสุจรติ มหิศรภกั ดี (คอซูเจียง) ผู้สร้าง คือ พระยา
ดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซิมก๊อง) บุตรชายคนท่ี 2 เริ่มสร้างเม่ือประมาณ พ.ศ. 2420 มีเนื้อที่
ประมาณ 33 ไร่เศษ ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองระนอง ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ประกาศข้ึนทะเบียน

58

โบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา ฉบับท่ัวไป เล่มที่ 113 ตอนพิเศษ 503 ลงวันท่ี 18 ธันวาคม
2539 สร้างด้วยอฐิ สอปนู โครงบนทำดว้ ยไม้ หลังคามงุ กระเบ้ือง ตง้ั อยู่ไม่ไกลจากประตทู างเขา้ มาก
นัก และเมื่อสร้างจวนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าเมืองเห็นว่าบริเวณตรงที่สร้างไม่เหมาะที่จะอาศัย เหตุ
เพราะว่าตั้งอยู่ใกล้กับประตูทางเข้ามากเกินไป จึงใช้เรือนหลังน้ีเป็นเรือนรับรอง เป็นอาคารกว้าง
ขนาด 20 เมตร ยาว 30 เมตร ฐานของอาคารสงู จากระดบั พ้นื ดินประมาณ 1.25 เมตร มีบันไดทาง
ขึน้ ด้านหน้า 3 ทาง ด้านหลัง 1 ทาง บันไดทำด้วยหินแขง็ ขนาดกว้าง 20 เซนติเมตร ความยาวของ
หินแต่ละแผ่นไม่เท่ากัน ตวั อาคารทำดว้ ยปูนซเี มนต์ผสมกรวดทรายอัดเปน็ แผ่นวางซ้อนกัน ผนังห้อง
บางช่วงกอ่ อิฐผสมเล็กน้อย ตัวอาคารแบ่งเปน็ 3 ห้อง มีขนาดเท่ากัน 2 ห้อง ห้องกลางเป็นห้องเล็ก
ความสูงของห้อง 7 เมตร หนา 20 เซนติเมตร บริเวณด้านข้างของอาคารห่างออกไปประมาณ 5
เมตร มโี รงครวั 1 โรง ส่วนจวนเจ้าเมืองหลังใหม่ที่สรา้ งข้ึนนัน้ อยู่ลกึ เข้าไปอีก (ปัจจุบันทำเป็นสถานที่
เคารพสักการะของตระกลู และประชาชนทว่ั ไป)

ซากจวนเจา้ เมอื งระนอง
บ่อน้ำและบ่อพักน้ำร้อน บ่อน้ำท่ีทำไว้เพื่อใช้ภายในบริเวณจวน มี 7 บ่อและท่ีสำคัญ คือ
บอ่ พักน้ำรอ้ นซง่ึ ก่อด้วยอิฐ เป็นรปู บ่อสีเ่ หลี่ยมขนาดเล็ก มีความลึกประมาณ 1 - 1.50 เมตร มีทาง
น้ำไหลเข้าอยู่ทางด้านทิศใต้มาจนถึงบ่อพัก และจากบ่อพักมีทางน้ำไหลออกไปนอกกำแพงด้าน
ทิศเหนือ ทางน้ำกอ่ ด้วยอฐิ มีความลึกและกว้างประมาณ 30 - 40 เซนติเมตร เหตุผลของการทำบ่อ
พักน้ำร้อนน้ีเนื่องจากความเช่ือของคนจีนว่า บริเวณพื้นที่ของท่ีพักอาศัยนั้นเป็นพื้นท่ีร้อนจึงต้อง
ทำทางน้ำไหลผ่านพ้ืนที่ เพื่อใหพ้ ้ืนทค่ี วามเย็นตามหลกั โหราศาสตร์ของชาวจีน และผทู้ ่ีอยู่อาศัยพ้ืนที่
นนั้ จะอย่เู ย็นเป็นสุขตลอดปี

บ่อน้ำโบราณ

59

โบราณวตั ถุ
พระพทุ ธรปู ศลิ ายวง
เป็นประติมากรรมเก่าแก่ ศิลปะแบบพม่า สร้างมานานกว่า 100 ปี ประวัติโดยละเอียดไม่
สามารถสืบทราบได้ โดยส่วนใหญ่มักสร้างเป็น พระพุทธรูปปางมารวิชัย ลักษณะเป็นหินสีขาว
ประติมากรรมนี้เป็นศิลปะแบบผสมผสานตามความเช่ือในพระพทุ ธศาสนาของไทยกบั สาธารณรัฐแห่ง
สหภาพเมียนมาร์ ซ่ึงต่างนิกายกัน แต่รูปแบบจะคล้ายคลึงกัน มีความประณีตงดงาม และถือเป็น
ประติมากรรมท่ีล้ำค่าของจังหวัดระนอง และจะมีปรากฏเฉพาะในเขตพ้ืนท่ีชายแดนไทย - พม่า
มีหลายขนาดด้วยกัน ขนาดใหญ่หน้าตักกว้าง 70 เซนติเมตร สามารถเย่ียมชมสักการะได้ ณ
วัดมัชฌิมเขต หมู่ที่ 2 ตำบลมะมุ อำเภอกระบุรี วัดสุวรรณคีรี หมู่ที่ 4 ตำบลปากจ่ัน และวัด
สวุ รรณครี วี ิหาร อำเภอเมอื งระนอง
พระพุทธรูปศลิ าทราย (พอ่ ปคู อหกั )
เป็นพระพุทธรูปหินทรายเก่าแก่ ปางมารวิชัย ขนาดหน้าตัก 70 เซนติเมตร สูง 130
เซนติเมตร สันนิษฐานวา่ เป็นพระพุทธรูปท่ีมมี านานต้งั แต่สมยั ราชการท่ี 1 แหง่ กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ เม่ือ
เกิดสงครามเก้าทพั องค์พระได้ถูกทำลายไปบางส่วน โดยเฉพาะเศยี รได้หักหายไป ชาวบ้านจงึ เรยี กว่า
พ่อปู่คอหัก หรือพ่อปู่ปากจ่ัน มีความเช่ือว่าเป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนให้ความเคารพ
นบั ถือและเกรงกลัวในอภนิ ิหารของพระพุทธรูปองคน์ ม้ี าก ลักษณะเด่นของพระพทุ ธรูปนอกจากความ
เก่าแก่แล้ว วัสดุที่สร้าง คือ หินทราย ซึ่งปกติจะไม่มีในพื้นท่ีจังหวัดระนอง และพ้ืนท่ีอ่ืน ๆ ในแถบ
ภาคใต้ ไม่สามารถสืบทราบได้แน่ชัดถึงความเป็นมาโดยละเอียด ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ
วัดสุวรรณคีรี หม่ทู ่ี 4 ตำบลปากจนั่ อำเภอกระบรุ ี จงั หวัดระนอง

แหล่งโบราณคดี
ภูเขาทอง ต้ังอยู่ท่ีตำบลกำพวน อำเภอสุขสำราญ จงั หวดั ระนอง เชิงเขาดา้ นตะวันออกห่าง
จากถนนเพชรเกษมไมถ่ ึง 100 เมตร ทิศเหนือเป็นท้องนา (ปจั จุบันเป็นนากุ้ง) ทิศตะวันตกจดปา่ ชาย
เลนและทะเลอันดามัน ทิศใต้จดโรงเรยี นภูเขาทองและหมู่บ้านกำพวน เป็นแหล่งโบราณคดีท่ีเก่าแก่
เมื่อประมาณ 1,000 กว่าปีที่ผ่านมา สมัยน้ันทิศเหนือกับทิศตะวันตกเป็นทะเล และคงจะเคยมีเรือ
สำเภาของพ่อค้าจากอินเดีย ศรีลังกา และอาหรับมาติดต่อค้าขายและพักบนภูเขาแห่งน้ี เพราะเป็น
ภเู ขาเตี้ยไม่ลาดชัน บนภเู ขามที ีร่ าบพอจะปลกู เพิง กระทอ่ มหรือที่พักได้ จึงทำเปน็ ท่าเรอื ช่ัวคราวเพื่อ
ตดิ ต่อคา้ ขายกับเมอื งธนบุรี ตะกวั่ ป่า พังงา กระบี่ สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช เพราะบนภูเขา
ทองและแถบเชิงเขามีลูกปัด เศษภาชนะ หม้อ โอ่ง ไหดินเผาที่ชาวบ้านขุดพบอยู่มากมาย เทียบ
ลักษณะ ขนาด สี จะเหมือนกบั ลูกปัด หม้อ โอ่ง ไหดินเผาท่ีขุดพบที่ควนลูกปัด อำเภอตะกั่วป่า และ
ท่คี ลองท่อม จงั หวัดกระบี่

แหล่งประวตั ิศาสตร์
เนินประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ที่ตำบลเขานิเวศน์ อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง เดิมเป็น
บริเวณที่ตัง้ ของพระท่ีนั่งรัตนรงั สรรค์ (ปจั จบุ ันรอื้ ถอนแล้ว) พ.ศ. 2433 (ร.ศ. 109) พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ เลียบแหลมมลายู โดยทางเรือสุริยมณฑลเป็นเรือพระท่ีน่ังไปจาก

60

กรุงเทพฯ แล้วทรงช้างพระท่ีนั่งเสด็จทางสถลมารคจากเมืองชุมพรข้ามแหลมมลายูไปลงเรือท่ีเมือง
กระบรุ ี มเี รอื พระท่ีนั่งอุบลบรุ ทิศ ออกไปรับเสด็จทเี่ มืองระนอง เมื่อครง้ั พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี
(คอซิมก๊อง ณ ระนอง) เป็นเจ้าเมืองระนอง ได้ร่วมกับสมุทรเทศาภิบาลมณฑลภูเกต็ ดัดแปลงพระที่
น่งั รัตนรงั สรรค์ เป็นรูปเรือนตกึ 2 ชนั้ การกอ่ สร้างแล้วเสร็จเมือ่ พ.ศ. 2444 แลว้ ได้ใชอ้ าคารหลังน้ี
เป็นศาลากลางของเมืองระนอง ซึ่งต่อมาได้มีการรื้อถอนศาลากลางหลังน้ีเพ่ือก่อสร้างอาคารศาลา
กลางจังหวัดใหม่ พ.ศ. 2507 พระท่ีน่ังรัตนรังสรรค์ ได้เคยใช้เป็นท่ีประทับของพระมหากษัตริย์
มาแล้ว ถึง 3 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในคราวเสด็จพระราชดำเนิน
ประพาสรอบแหลมมลายู พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รชั กาลที่ 6 และพระบาทสมเด็จ
พระปกเกลา้ เจา้ อยู่หัว รชั กาลที่ 7

ศิลาจารึกพระปรมาภิไธยยอ่ จ.ป.ร.
ศิลาจารึกพระปรมาภิไธยย่อ จ.ป.ร. ประดิษฐาน ณ ตำบลปากจ่ัน บริเวณเขตต่อ ระหว่าง
ระนอง - ชุมพร ตรงหลักกิโลเมตรที่ 525 ตรงข้ามโรงเรียนบ้าน จ.ป.ร. เป็นหินสลกั พระปรมาภิไธย
ย่อ จ.ป.ร. ขนาดหินมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เมตร ปัจจุบันมีหินสลักพระปรมาภิไธย 3 ก้อน
สลักพระปรมาภิไธย จ.ป.ร. ภ.ป.ร. และ ส.ก. วางเรียงในศาลาสร้างใหม่มองเห็นได้ชัดจากริมถนน
เพชรเกษม พระปรมาภิไธยย่อนับเปน็ บันทึกทางประวัติศาสตร์อยา่ งหนึ่ง โดยเฉพาะพระปรมาภิไธย
ย่อ จ.ป.ร. ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ในครั้งน้ันได้เสด็จราชดำเนิน
จากชุมพรไประนองโดยกระบวนช้างถึง 199 เชือก เพื่อประทับต่อท่ีเมืองกระบุรี ระหว่างเสดจ็ พระ
ราชดำเนินผ่านตำบลปากจ่ัน ถึงลำห้วยเล็ก ๆ ทอดพระเนตรพบหินกอ้ นใหญ่ จึงให้พระเจ้าบรมวงศ์
เธอกรมพระสรรพสิทธิประสงค์ เขียน จ.ป.ร. อย่างอัฐ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมติอมร
พันธุ์ เขียน 109 มอบเครื่องมือให้ผู้ช่วยเมือง ไชยา เป็นผู้สลักการเสด็จพระราชดำเนินคร้ังนั้นได้
ประทบั แรมท่ีพลับพลาดอนนาพระ ซึ่งเป็นท่ีตงั้ โรงเรียนปากจั่นวิทยาในปัจจุบัน ประทับแรม ณ วันท่ี
21 เมษายน พ.ศ. 2433

รูปปนั้ อนุสาวรีย์
พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 5 ต้ังอยู่
บริเวณเนินประวัติศาสตร์ ทางทศิ ตะวนั ออกของศาลากลางจงั หวัด ซ่ึงเป็นสถานที่ทีพ่ ระองค์ทรงปลูก
ตน้ มะขามคไู่ ว้เม่อื ปี พ.ศ. 2433 เม่ือคร้ังท่ีเสด็จประพาสเมืองระนอง โดย นายสันติ ภิรมย์ภกั ษ์ และ
ครอบครัวบริจาคเงินเป็นทุนก่อสร้าง 600,000 บาท มีนายสมพร กุลวนิช ผู้ว่าราชการจังหวัด
ระนองวางศิลาฤกษ์ เม่ือวันท่ี 20 กันยายน พ.ศ. 2534 นายจำนง เฉลิมฉัตร ผู้ว่าราชการจังหวัด
ระนองคนต่อมาเป็นปรานเททอง เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 และได้อันเชิญพระบรมรูป
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มาประดิษฐานบนแท่งพระบรมราชาสาวรีย์
เม่ือวนั จันทร์ ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2537

61

พระบรมราชาสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หวั รัชกาลที่ 6 ต้ังอยู่ท่ี ตำบล
บางริ้น อำเภอเมือง จังหวัดระนอง ประดิษฐานอยู่ภายในบริเวณสนามกีฬาจังหวัดระนอง สร้างเม่ือ
พ.ศ. 2523 ในสมัยท่ีนายพร อุดมพงษ์ เป็นผู้วา่ ราชการจังหวัดระนอง โดยมวี ัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็น
สถานท่ีประกอบพธิ ีราชสดดุ ีในวนั สำคัญเกี่ยวกบั กิจการลูกเสือไทย ปัจจุบันในความดแู ลของจังหวัด

สงิ่ สำคญั ค่บู า้ นคู่เมอื ง
พระแสงราชศัสตราประจำจงั หวดั ระนอง
วันท่ี 18 เมษายน พ.ศ. 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ
เลียบมณฑลปักษ์ใต้ ได้พระราชทานพระแสงราชศัสตราประจำจังหวัดระนอง โดยทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระแสงราชศัสตราแก่ พระระนองบุรศี รีสมุทเขตร์ ผวู้ า่ ราชการจงั หวัด เพื่อ
เป็นเครื่องหมายแห่งพระราชอำนาจท่ีได้ทรงมอบให้ไว้ และมีพระราชดำรัสตักเตือนให้ผู้ว่าราชการ
จังหวัด และข้าราชการ จงช่วยกันรับราชการฉลองพระเดชพระคุณ รักษาพระแสงไว้มิให้เสื่อมเสีย
พระเกียรติยศได้แม้แต่เล็กน้อย ให้ตั้งตนอยู่ในความสุจริต ซ่ือตรง จงรักภักดี อยู่ในพระราชกำหนด
กฎหมาย แลประพฤติตนใหเ้ ป็นพลเมืองดีท่วั กนั

ศาลหลักเมอื งจงั หวดั ระนอง
จากหลักฐานประชุมพงศาวดารภาคที่ 50 เร่ือง ตำนานเมืองระนอง ซ่ึงสมเด็จพระบรมวงศ์
เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ ปรากฏหลักฐานว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 4 แห่งราชวงศ์จักรี ทรงยกเมืองระนอง เป็นหัวเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ
เมื่อวนั จนั ทร์ แรม 10 คำ่ เดือน 8 ปีจอ จัตวาศก ตรงกบั วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2405 แต่ตาม
หลักฐานไม่ปรากฏว่าเคยเป็นศาลหลักเมืองมาก่อน ดังนั้น ในปีพุทธศักราช 2530 เทศบาลเมือง
ระนอง จึงได้ริเร่ิมโครงการก่อสร้างศาลหลักเมอื ง สำหรับเป็นท่ีสักการบูชา เป็นหลักยึดเหน่ียวจิตใจ
ของประชาชนชาวระนอง นำความมัน่ คง และความเป็นสิรมิ งคลมาสเู่ มืองระนอง
ศาลเจ้าพอ่ หลกั เมอื งกระบรุ ี
ตั้งอยู่หมู่ท่ี 3 ตำบลปากจ่ัน ริมถนนเพชรเกษม ด้านซ้ายเป็นแม่น้ำคลองจ่ัน ด้านขวาเป็น
แม่น้ำคลองหลีก ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองน้ีเดิมเรียกว่า พระเสื้อเมือง เป็นท่ีเคารพกราบไหว้บูชาของ
ชาวบา้ น โดยจะมีพิธีบูชาในช่วงเดือน 4 ถึงเดือน 6 (ปัจจบุ ันเดือน 6) ประกอบพิธีในวันองั คารหรือ
วันเสาร์ โดยมีอาหารเครื่องเซ่นไหว้ เช่น ขนมโค ไก่ เหล้า ไข่ ข้าวและอาหารคาวหวานอ่ืน ๆ เมื่อ
เสร็จพิธีบูชา ชาวบ้านจะรบั ประทานอาหารร่วมกัน ข้าวที่ใช้หุงในงานเป็นข้าวท่ีหุงด้วยกระทะใบบัว
ขนาดใหญ่ จากนั้นมีมหรสพ เช่น หนังตะลุง มโนราห์ รำถวาย บริเวณนี้เดิมเป็นคูเมือง 2 ช้ัน เป็น
แนวดิน (ปัจจุบันสร้างถนนตัดขวางคูเมือง) เป็นเส้นทางเดินเท้าไปจังหวัดชุมพร ไม่มีชุมชน คาดว่า
เปน็ เมืองร้างเพราะผู้คนหนีโจรผู้ร้ายไปอยู่ที่ตลาดปากจ่ัน (เดิม เรียกว่า ประจัน)
หอพระประจำจงั หวดั ระนอง
ตัง้ อยู่ที่ตำบลเขานิเวศน์ อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง สร้างเม่ือ พ.ศ. 2525 ในวาระ
เฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี บริเวณท่ีต้ังของหอพระอยู่ทางทิศใต้ของศาลากลางจังหวัด

62

ปัจจุบันเป็นท่ีประดิษฐานรูป 9 พระเกจิอาจารย์ ได้แก่ หลวงพ่อบรรณพุทธสโร หลวงพ่อจันทร์
หลวงพ่อเบ้ียว อุปกิจโจ หลวงพ่อนุ้ย หลวงพ่อต๋ิว สุวรรณโณ หลวงพ่อน้อย หลวงพ่อช่ืน คัมภีโร
หลวงพ่อลอย และหลวงพ่อคลา้ ย

บา้ น 100 ปี เทียนสือ ประวตั ิศาสตร์ ไทย – จนี เมืองระนอง
“บ้านเทียนสือ” เป็นคำในภาษาจีน โดย “เทียน” แปลว่า สวรรค์ “สือ” แปลว่า ของขวัญ
เม่ือรวมกันจึงได้ความหมายว่า บ้านของขวัญจากสวรรค์ บ้านเทียนสือ มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่
ผสมผสานระหว่างจีนและไทย สร้างข้ึนในสมัยรัชกาลที่ 5 เจ้าของบ้านเดิม คือ “ท่านเทียนสือ” ซึ่ง
เป็นหลานเขยของ พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง เจ้าเมืองระนอง) และพระยารัษฎา
นุประดษิ ฐ์ (คอซิมบ้ี เจ้าเมืองตรัง) ปัจจุบันมี นายศุภพรพงษ์ชัย พรพงษ์ (โกศ้ ุภ) ทายาทรุ่นที่ 6 เป็น
ผดู้ ูแลบา้ น

บา้ น 100 ปี เทียนสือ
วัดบา้ นหงาว อำเภอเมือง จังหวัดระนอง
วดั บา้ นหงาว ตงั้ อยู่ท่ี ต.หงาว อ.เมือง จ.ระนอง เดิมทเี ป็นเพียงท่พี กั สงฆ์ จนกระทั่งหลวงพ่อ
เขียด พระธดุ งค์มาจากปัตตานี มาปักกรดบำเพญ็ แลว้ ชาวบา้ นเกิดการเล่อื มใส ศรัทธา จงึ ได้สรา้ งวัด
ขึ้นในปี พ.ศ. 2530 และให้ท่านพำนักที่วัดแห่งนี้ ปัจจุบันวัดบ้านหงาวมีเจ้าอาวาสชื่อพระครู
ประจักษ์สุตาสาร เป็นพระนักพัฒา ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นในสมัยพระครูประจกั ษ์สุ
ตาสาร เช่น อุโบสถหลงั ใหม่ท่ีใหญ่ สวยงาม วดั บ้านหงาว เป็นวดั ดังของ จ.ระนอง วัดนี้มีชื่อเสียงอยู่
ดว้ ยกัน 3 อยา่ ง ได้แก่

วัดบ้านหงาว

63

1. วังมัจฉา ในวัดบ้านหงาว เป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ มีปลาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ท่ีริมน้ำ
เป็นที่ตั้งของกุฏิพระวัดบ้านหงาว มีฉากหลังเป็นเนินเขาหัวโล้น ภูเขาท่ีอยู่หลังกุฏิพระมีบันไดขึ้นไป
ประมาณ 300 ข้ัน ถ้าใครแรงดีก็ข้ึนไปชมวิวได้เป็นจุดชมวิว 360 องศา วังมัจฉา วัดบ้านหงาวมี
ปลากหลากหลายชนิด เชน่ ปลาบึก ปลาจาระเม็ดน้ำจืด ปลาดุกยักษ์ ปลาตะเพยี น ปลานลิ ฯลฯ

วังมัจฉา
2. อุโบสถหลังใหม่ ของวัดบ้านหงาว เป็นอุโบสถที่สวยงามมาก มีรายละเอียดลวดลายทุก
ชนิ้ ใชโ้ ทนสเี หลืองทอง มบี นั ไดพญานาคขึน้ ไปยังอุโบสถ ตวั อุโบสถมีลักษณะเป็นอุโบสถ 2 ชนั้ หรือที่
เรียกว่าอุโบสถลอยฟ้า มีขนาดกว้าง 8 x 15 เมตร รอบอุโบสถเป็นลานกว้างขนาด 14.5 x 63
เมตร มีบันไดข้ึนลง 4 ด้าน ทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ด้านล่างของอุโบสถเป็นห้องโถง
ใชส้ ำหรับการประชุม จดั สัมมนา บริเวณรอบๆ อโุ บสถ มีหินแกะสลกั เป็นเรอื่ งเล่าของเมอื งระนอง

อุโบสถหลังใหม่
3. หลวงพ่อดีบุก พระพุทธรูปปางมารวิชัย สร้างข้ึนเม่ือวันท่ี 10 สิงหาคม 2551
เป็นพระพุทธรปู ทท่ี ำจากดีบกุ ท่ีใหญ่ที่สุดในโลก ใชแ้ ร่ดีบุกถงึ 3 ตัน รวมถึงพระสารบี ุตรและพระโมค
คัลลานะ รวมคา่ ใช้จ่ายประมาณ 4 ลา้ นบาท สาเหตุท่ีใช้แร่ดีบกุ ในการสร้างพระพุทธรปู เพราะเมือง
ระนองในสมัยก่อนมีแร่ดีบุกเป็นจำนวนมาก แร่ดีบุกเป็นสินค้าส่งออกของระนองได้สร้างความเจริญ
ให้กับระนองเป็นเวลาหลายสิบปี หลวงพ่อดีบุก มีช่ือเป็นทางการว่า “พระติปุกะพุทธมหาศากยมุนี
ศรีรณังค์” อันมคี วามหมายว่า “พระพทุ ธรปู ดบี ุกองคใ์ หญเ่ ป็นสิริมงคลและศักดิศ์ รีของเมอื งระนอง”

64

6. ศิลปหัตถกรรมและงานช่างทอ้ งถิน่

งานศิลปหัตถกรรม และงานช่างฝีมือในท้องถ่ิน ท่ีเป็นเอกลักษณ์แสดงฝีมือทางเชิงช่างของ
จังหวัดระนองมีปรากฏให้เห็นน้อยมาก ลักษณะศิลปะท่ีมีอยูเ่ ป็นศิลปะแบบผสมผสาน คล้ายคลึงกับ
จงั หวัดตา่ ง ๆ แถบฝั่งทะเลตะวันตกทั่ว ๆ ไป งานจติ รกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ที่ปรากฏ
ให้เห็นมีทั้งศิลปะแบบไทย จีน และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ท้ังนี้อาจเป็นเพราะว่าระนอง
เป็นจงั หวัดท่ีอยู่ติดชายฝ่ังทะเล และมีชายแดนติดต่อกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ประชากร
ส่วนใหญ่อพยพโยกย้ายมาจากถ่ินอ่ืน การสร้างงานศิลปะจึงเป็นไปตามเช้ือสายของชุมชนน้ัน ๆ
ผลงานศิลปหัตถกรรม งานช่างท้องถิ่นจึงปรากฏให้เหน็ น้อย ถงึ กระนั้นกต็ ามสามารถรวบรวมผลงาน
ศิลปะประเภทตา่ ง ๆ ไดด้ งั นี้

 จติ รกรรม
งานจติ รกรรมในจงั หวัดระนองเทา่ ทปี่ รากฏเป็นงานที่สร้างข้ึนใหมส่ ันนษิ ฐานว่าคงเปน็ เพราะ
ไม่ใคร่มีช่างผู้ชำนาญในด้านนี้ จึงทำให้ผลงานด้านจิตรกรรมท่ีโดดเด่น ประณีต สวยงามมีน้อย
ทป่ี รากฏเด่นชดั ส่วนมากเป็นภาพเขียนบนฝาผนังอาคารศาสนสถาน หรือท่ีเรียกว่าจิตรกรรมฝาผนัง
ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นภาพที่เกี่ยวกับคติธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ภาพพุทธประวัติ ลักษณะการ
เขยี นจะมีการจำลองแบบ เนอ่ื งจากเปน็ จติ รกรในท้องถ่ิน อาศยั ประสบการณ์และความมใี จรกั ต่องาน
เขยี นภาพ ประกอบกับความศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนาจงึ เกิดแรงผลักดันใหม้ กี ารเขียนภาพบนฝาผนัง
ขน้ึ มา รูปแบบงานเขียนภาพโดยท่ัวไป จะเขียนด้วยสีน้ำลงบนฝาผนังโดยตรง ผลงานท่ีปรากฏแสดง
ให้เห็นภูมิปญั ญา ประสบการณ์ ทำใหพ้ บเห็นเกิดความรู้สกึ ถึงคุณค่าท้งั ในแง่ของศิลปะและเรอ่ื งราวท่ี
ปรากฏ เช่นภาพเขียนเกี่ยวกับพระสิบชาติ ภาพเขียนเก่ียวกับพุทธประวัติ แต่ละตอนตั้งแต่ประสูติ
ตรัสรู้ กระทั่งถึงปรินิพพาน เป็นต้น ผลงานดังกล่าวปรากฏอยู่ที่อุโบสถ วัดธรรมมาวุธาราม อำเภอ
กะเปอร์ วิหารพระพทุ ธไสยาสน์วัดวารีบรรพต อำเภอเมอื งระนอง และที่อโุ บสถวดั มัชฌิมเขตอำเภอ
กระบุรี

จติ รกรรมฝาผนงั ภาพพระพุทธประวตั ิ
 ประติมากรรม
เป็นงานท่ีสามารถสัมผัสได้ด้วยความรู้สึก ลึก ตื้น กว้าง ยาว ในรูปของงาน 3 มิติ ด้วย
รูปแบบความงามของรูปทรง สัดส่วน มติ ิแห่งการสัมผัสถึงความเรยี บ ความประณีตของพ้ืนผิววัสดุใน
การสร้างงาน งานประติมากรรมส่วนใหญ่ สร้างข้ึนด้วยแรงศรัทธาในพระพุทธศาสนา หรือนำไปใช้

65

ตกแต่งงานสถาปัตยกรรม เช่น พระพุทธรูปปางต่าง ๆ ลวดลายประดับโบสถ์ วิหาร ช่อฟ้า ใบระกา
หางหงส์ ฯลฯ จงั หวดั ระนอง มีผลงานประติมากรรมทีป่ รากฏให้เห็นโดยทว่ั ไป ๆ ดงั นี้

ประติมากรรมพระพุทธประวัติ วัดจันทาราม จัดเป็นประติมากรรมโดดเด่นของอำเภอ
กระบุรี ตั้งอยู่ภายในวัดจันทาราม ตำบลน้ำจืด อำเภอกระบุรี สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2532 ด้วยแรง
ศรทั ธาของพทุ ธศาสนกิ ชนในท้องถนิ่ และละแวกใกล้เคียง ภายใตค้ วามคิดริเริ่มของทา่ นพระครกู ารรุณ
สิกขศาสน์ เจ้าอาวาสวัดจันทารามองค์ปัจจุบัน ลักษณะรูปแบบ เป็นประติมากรรมปูนป้ันลอยตัว
เน้อื เร่ืองเป็นพทุ ธประวัติตอนต่าง ๆ ตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ตกแต่งด้วยลวดลาย ใช้สสี ัน
คลา้ ยของจริง พนื้ ฝาผนงั เขียนภาพทวิ ทศั น์ประกอบเนื้อเร่ือง ประดษิ ฐานอยู่ในวิหารราย ลดหล่นั ตาม
แนวเชงิ เขา 3 ชั้น ๆ ละ 11 ห้อง ๆ ละ 4 ตารางเมตร รวมเปน็ 33 หอ้ ง

พระพทุ ธไสยาสน์ วัดวารีบรรพต
เป็นประติมากรรมปูนป้ันลอยตัวขนาดใหญ่ ยาว 30 เมตร ประดิษฐานอยู่ที่วัดวารีบรรพต
(วดั บางนอน) ตำบลบางนอน อำเภอเมอื งระนอง พุทธลักษณะเปน็ ศิลปะสมัยสุโขทยั สรา้ งเมอื่ ปี พ.ศ.
2507 โดยฝีมือช่างชาวนครศรีธรรมราช ประดิษฐานอยู่ในวิหารบนเชิงเขาสูง จากสภาพพ้ืนท่ี
ดงั กล่าวทำให้การดำเนินการก่อสร้างเป็นไปด้วยความยากลำบาก แต่ด้วยแรงศรัทธาของชาวจังหวัด
ระนอง และความมุ่งม่ันของเจ้าอาวาส (พระครูประภัสรวิริยคุณ) จึงทำให้งานประติมากรรมช้ินนี้
เกิดข้นึ เป็นทภี่ าคภมู ใิ จของชาวจังหวัดระนอง

พระพทุ ธไสยาสน์ วัดวารบี รรตพต

พระประจำวัน ณ ทพ่ี กั สงฆ์ ชอ่ งเขาเทพประสทิ ธ์ิ
สร้างข้ึนตามความเช่ือซ่ึงมีมาแต่โบราณ เพื่อกราบไหว้บูชาและความเป็นสิริมงคล เป็นรูป
ปูนปั้นลอยตัว ตามปางประจำวัน สูงประมาณ 5 เมตร ฐานกว้าง 2.50 เมตร ประดิษฐานอยู่
ณ ที่พักสงฆ์ช่องเขาเทพประสิทธิ์ ริมถนนเพชรเกษม ตำบลทรายแดง อำเภอเมอื งระนอง มีลกั ษณะ
โดดเด่นสะดดุ ตาสำหรบั ผู้ทีส่ ัญจรไปมาบนเสน้ ทางสายน้ี
พระพุทธรูปไม้ วดั สุวรรณครี ี
ประดิษฐานอยู่ ณ วัดสุวรรณคีรี ตำบลปากจ่ัน อำเภอกระบุรี เป็นประติมากรรมแกะสลัก
พระพุทธรูปด้วยไม้เน้ือแข็ง ปางมารวิชัย ขนาดหน้าตัก 35 เซนติเมตร ความสูง 73 เซนติเมตร
มีลักษณะประณีตสวยงาม สร้างเม่ือประมาณ พ.ศ. 2460 พร้อม ๆ กับการสร้างวัดปากจ่ัน

66

(วัดสุวรรณคีรี) ด้วยความเก่าแก่และศิลปะการแกสลักท่ีสวยงาม พระพุทธรูปองค์นี้จึงเป็นท่ีเคารพ
นับถือของชาวจังหวัดระนองโดยท่ัวไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งประติมากรรมพระพุทธรูปไม้น้ี สะท้อนให้
เหน็ ถงึ ภมู ิปัญญาในเชิงชา่ ง และศิลปะที่แสดงออกตามความเชื่อของคนในสมัยก่อน สมควรอนุรักษไ์ ว้
ใหค้ นรุ่นหลงั ได้ชืน่ ชม

พระสังกจั จายน์ วัดตโปทาราม และวัดหาดสม้ แป้น
เป็นประตมิ ากรรมปูนป้ัน ลอยตัวขนาดใหญ่ ลักษณะโดดเดน่ สวยงามประดิษฐานอยู่ด้วยกนั
2 แห่งคอื ที่วดั ตโปทาราม และวัดหาดสม้ แป้น ตำบลหาดสม้ แป้น อำเภอเมอื งระนอง โดยเฉพาะทว่ี ดั
หาดส้มแปน้ ฐานพระพุทธรูปออกแบบอย่างสวยงามเป็นลายดอกบัวและพญานาค สรา้ งโดยฝีมอื ช่าง
ชาวมอญจากสาธารณรฐั แห่งสหภาพเมียนมาร์

พระสงั กัจจายน์
 งานสถาปตั ยกรรม

เป็นงานออกแบบก่อสร้างอาคารให้เหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอยเพื่อสนองต่อความ
ตอ้ งการของมนุษยใ์ นการอยู่รว่ มกันในสังคม เช่น การออกแบบอาคารที่อยู่อาศัย อาคารศาสนสถาน
ต่าง ๆ เพื่อให้เกดิ กิจกรรมและความสัมพันธ์ในชมุ ชน โดยมีลักษณะและรูปแบบที่แตกต่างกัน ท้ังใน
ด้านโครงสรา้ ง การตกแตง่ นอกจากน้งี านสถาปัตยกรรมยังแสดงออกถึงวัฒนธรรมการดำเนนิ ชีวิตของ
คนในชาติ และยืนยันความเจริญรุ่งเรอื งในแต่ละยุคสมัย เป็นหลักฐานแหล่งสืบค้นเพ่ือการศึกษาถึง
วิวัฒนาการในแหล่งประวัตศิ าสตร์ ความภาคภูมใิ จ ความวริ ิยะอุตสาหะทส่ี รา้ งสรรค์ข้ึนด้วยงานศลิ ปะ
อนั สูงค่า ประณตี สวยงาม งานสถาปัตยกรรมเทา่ ทปี่ รากฏในจังหวัดระนอง ไดแ้ ก่

เจดยี พ์ มา่ วดั สวุ รรณครี วี ิหาร และวดั อุปนันทาราม
เจดีย์ทรงพม่า วัดสุวรรณคีรีวิหาร ตำบลเขานิเวศน์ อำเภอเมืองระนอง เป็นโบราณสถาน
เก่าแก่ที่มีอายุร่วม 100 ปี รูปทรงเป็นศิลปะแบบพม่า ส่วนยอดแกะสลักด้วยโลหะเป็นชั้น ๆ อย่าง
สวยงาม มองดูเด่นเป็นสง่า มีขนาดความสูงประมาณ 8 เมตร ฐานสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 7 เมตร

67

ภายในเจดีย์บรรจุเคร่ืองประดับท่ีมีค่า นอกจากนี้ยังมีเจดีย์รูปทรงเดียวกัน แต่รายละเอียดอาจ
แตกต่างกนั บ้างอยู่ทวี่ ัดอปุ นันทาราม ตำบลเขานิเวศน์ อำเภอเมอื งระนอง ด้วยอกี แห่งหนึ่ง

เจดยี ์เกา่ วดั สุวรรณคีรี
ประดิษฐานอยู่ภายในวัดสุวรรณคีรี ตำบลปากจั่น อำเภอกระบุรี เป็นเจดีย์เก่าแก่ของวัด
สร้างเม่ือประมาณ ปี พ.ศ.2472 สมัยพระครูสุวรรณวิมลกิจ เป็นเจ้าอาวาส เป็นเจดีย์ทรงระฆัง
ศิลปะลังกา (อุเทสิก-เจดีย์) มีขนาดฐานกว้าง ด้านละ 3.50 เมตร สูง 5 เมตร เป็นสถาปัตยกรรมท่ี
ชาวบ้านสรา้ งขึ้นตามแรงศรัทธาเพื่อเป็นพุทธบูชา แสดงให้เห็นถงึ ความวิรยิ ะอุตสาหะ และภูมปิ ัญญา
ทอ้ งถิ่นอยา่ งแท้จรงิ

เจดยี ว์ ัดอปุ นันทาราม/เจดีย์ทรงพมา่
เจดีย์รากลอย วดั ปทมุ ธาราม
ประดิษฐานอยู่ท่ีวัดปทุมธาราม ตำบลกะเปอร์ อำเภอกะเปอร์ เป็นเจดีย์ท่ีมีอายุประมาณ
66 ปี เป็นศิลปะแบบลังกา ฐานสี่เหลี่ยมกว้างด้านละประมาณ 6 เมตร สูงจากพื้นถึงฐานด้านบน
ประมาณ 2.50 เมตร องค์เจดีย์ตั้งลอยอยู่บนฐาน ขนาดความสูงของเจดีย์ประมาณ 7.50 เมตร
เป็นรปู ทรงระฆัง มีปล้องไฉน หรือบัวกลุ่ม ปลียอด และเม็ดน้ำคา้ ง สร้างโดยช่างชาวอำเภอตะก่ัวป่า
จังหวัดพังงา ในสมัยที่พระครูสงวนเป็นเจ้าอาวาส และเนื่องจากฐานยกพื้นสูงดังกล่าว ชาวบ้านจึง
เรยี กวา่ เจดยี ร์ ากลอย
เจดียร์ ปู ทรงหกเหล่ยี ม วัดหาดสม้ แปน้
วดั หาดส้มแป้น ตำบลหาดส้มแปน้ อำเภอเมืองระนอง เดมิ เป็นท่ีพำนกั สงฆ์ ตอ่ มายกฐานเป็น
วัดเม่ือประมาณปี พ.ศ.2473 ภายในบริเวณวัดมีสิ่งก่อสร้างท่ีน่าสนใจคือเจดีย์รูปทรงหกเหล่ียม
ซ่ึงต้ังตระหง่านอยู่บนเชิงเขา พระครูไพบูลย์วุฒิญาณ (ดิ้น ตั้งสุวรรณ) เจ้าอาวาสเล่าว่า เดิมบริเวณ
ดังกลา่ วเป็นท่ตี ั้งของเจดยี เ์ กา่ ซง่ึ ปรักหกั พังไปหมดแลว้ แตย่ ังคงมีซากปรากฏให้เหน็ อยู่ มีลกั ษณะเป็น
เจดีย์หินผสมดินเหนียว สันนิษฐานว่าสร้างเมื่อประมาณ 100 ปีเศษล่วงหน้าแล้ว ปี พ.ศ.2535
พระครูไพบูลย์วุฒิญาณ มีความเห็นว่าหากปล่อยท้ิงไว้ อาจถูกโจรกรรมของมีค่าและส่ิงศักดิ์สิทธ์ิใน
เจดีย์ จึงดำเนินการบูรณะข้ึน โดนสร้างเจดีย์ครอบองค์เก่า ลักษณะเป็นรูปทรงหกเหลี่ยม แต่ละ

68

เหล่ยี มกว้างประมาณ 3 เมตร นับจากฐานถงึ ยอดสูงประมาณ 17 เมตร โดยดตู น้ แบบการก่อสร้างมา
จากจังหวดั สุพรรณบุรี การก่อสรา้ งใช้ช่างท้องถิ่น งบประมาณ 3 ลา้ นบาทเศษ รวมถึงการสรา้ งบนั ได
ทางข้ึนและกำแพงกันดินพงั ทลายด้วย

องค์เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งนำมาจากเชียงรุ้งและมุกดาหาร โดย ร.ต.อ.เปี่ยม
บญุ โชติ (อดีตเลขานุการจอมพล ป. พิบูลสงคราม) นายกั๊ก หน่อเน้ือ (ชาวจังหวดั ระนอง) พระผู้เฒ่า
จากพมา่ และหลวงพอ่ จำปา อำเภอปะทิว จงั หวัดชุมพร

กุฏสิ งฆ์วดั บ้านหงาว
ลกั ษณะเป็นอาคาร 2 ช้ัน ชั้นล่างจดั แสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ ชนั้ บนสร้างเปน็ มขุ แฝดสำหรับเป็น
ที่พักของอาคันตุกะ มีการตกแต่งทั้งภายนอกและภายในอย่างสวยงาม จุดเด่นอยู่ท่ีการออกแบบ
โดยใช้วัสดุเหลือใช้มาประดับ เช่น บันไดปูด้วยเศษกระเบ้ืองสลับหิน ช่องลมทำด้วยแจกันขนาดเล็ก
หน้ามุขทุกด้านใช้วัสดุเหลือใช้ประดับฝังตัวอยู่ในผนัง มีรูปทรงแปลกตา ทุกมุมมองกลมกลืนเข้า
ดว้ ยกันอย่างงดงาม เสาทุกด้านประดับด้วยดินเหมืองเก้า (หินคลอง) ดูสวยงามและแข็งแรง ถือเป็น
สถาปตั ยกรรมลำ้ ค่าแห่งหนงึ่ ในจังหวดั ระนอง

วิหารพระแกว้ มรกตจำลอง วัดบ้านหงาว
ตั้งอยู่ท่ีวัดบ้านหงาว บริเวณภูเขาหญ้า ตำบลหงาว อำเภอเมืองระนอง เป็นอาคารทรงไทย
ช้ันเดียว ใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตจำลอง จุดเด่นของอาคารอยู่ท่ีการออกแบบการก่อสร้าง
ตกแต่งด้วยวัสดุเหลือใช้ประเภทกระเบ้ืองดินเผา แสดงออกถึงความคิดเชิงสร้างสรรค์ของผู้สร้างที่
สามารถดัดแปลงเศษวสั ดเุ หลอื ใช้ มาสร้างสรรค์ผลงานดา้ นสถาปัตยกรรมได้เป็นอยา่ งดี

มัสยดิ บ้านกำพวน
มัสยิดบ้านกำพวน ต้ังอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลกำพวน อำเภอสุขสำราญ มีลักษณะการก่อสร้าง
เหมอื นอาคารทางศาสนาของชาวมสุ ลิมทว่ั ๆ ไป (ซึ่งเป็นงานสถาปัตยกรรมท่ไี ด้รับอทิ ธพิ ลมาจากการ
ผสมผสานระหว่างศลิ ปะตะวันออกกลาง โรม และศิลปะไบแซนทีน) มัสยิดแห่งน้ีสร้างขึ้นแห่งแรกใน
จงั หวัดระนอง มอี ายปุ ระมาณ 100 ปีเศษ เดิมทีสรา้ งเป็นอาคารหลังคามงุ ด้วยใบจาก ต่อมาได้มีการ
บูรณะให้มีสภาพม่ันคงแข็งแรง และสวยงามยิ่งขึ้น โดยฝี มือช่างท้องถิ่น (นายยูนุ้ย สาลี
อดตี โตะ๊ อิหมา่ ม บา้ ยเลขท่ี 34 หมู่ที่ 3 ตำบลกำพวน อำเภอสขุ สำราญ)
ศาลเจ้าจีนเมอื งระนอง
ศาลเจ้าเป็นงานสถาปัตยกรรมแบบจีน สร้างข้ึนตามลัทธิความเช่ือและความศรัทธาของ
ชาวจีนในท้องที่จงั หวัดระนอง ซ่งึ มีคนไทยเช้ือสายจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมกี ารสร้างศาลเจ้า
ไวห้ ลายแห่ง เหมอื นชมุ ชนชาวจีนทว่ั ๆ ไป ศาลเจา้ ที่มคี วามเกา่ แก่สวยงาม ได้แก่

ศาลเจา้ พงไล้จบั อิดเขยี วเกาะ
ตั้งอยู่ท่ีถนนสะพานปลา ตำบลบางร้ิน อำเภอเมืองระนอง สร้างเม่ือ ปี พ.ศ.2521 เป็น
อาคาร 2 ช้ัน ด้านหน้าอาคารตกแต่งด้วยปูนป้ันรปู มังกรสีสันสวยงาม 2 คู่ และลายปูนปั้นเป็นแบบ

69

ศิลปกรรมจีน ด้านบนมีราวระเบียง อาคารชั้นสองนำรูปโค้งมาประดับและตกแต่งด้วยลวดลาย
หลังคา 2 ชน้ั ตกแตง่ ดว้ ยศลิ ปะแบบจนี

ศาลเจ้าตา่ ยเตเอย๋ี
ศาลเจ้าตา่ ยเตเอย๋ี
ต้ังอยู่ถนนเรืองราษฎร์ อำเภอเมืองระนอง สร้างเม่ือประมาณ 100 ปีเศษ ลักษณะเป็น
อาคารช้นั เดยี ว ตกแต่งด้วยศลิ ปะแบบจนี
 งานชา่ งท้องถ่ิน
จัดว่าเป็นภูมิปัญญาท้องถ่ินระดับชาวบ้าน ที่แสดงออกซึ่งความรู้ความสามารถ และ
ประสบการณ์ของแต่ละบุคคล โดยอาศัยวัสดุที่มีอยู่ตามธรรมชาติ หรือวัสดุเหลือใช้ในท้องถ่ิน เพ่ือ
ประโยชน์ในการใช้สอยเป็นหลัก นอกจากจะสนองประโยชน์ในการใช้สอยแล้ว ยังมีการปรับปรุง
สร้างสรรค์ พัฒนารูปแบบให้มีความสวยงามประณีตยิ่งขึ้นโดยผสมผสานระหว่างขนมธรรมเนียม
ประเพณี ความเช่ือ คตนิ ิยม และศลิ ปะในชมุ ชนท่ีอาศัยอยดู่ ว้ ย
หัตถกรรมงานช่างท้องถ่ินเท่าที่ปรากฏในจังหวัดระนอง ได้แก่ ส่ิงของเครือ่ งใช้จำพวก สุ่มไก่
ฝาขัดแตะ ตะกรา้ เก้าอี้หวาย ไม้กวาดดอกออ้ เครื่องมุก เคร่ืองประดบั จากเปลอื กหอย ดอกไม้ใบยาง
ฝาชี ฯลฯ งานช่างท้องถ่นิ ทปี่ รากฏเดน่ ชดั และนา่ สนใจ มดี งั นี้
เคร่ืองประดับจากเปลือกหอยมุก
จังหวัดระนองเป็นจังหวัดชายแดนท่ีต้ังอยู่ติดกับชายแดนฝ่ังทะเลอันดามัน ซึ่งเป็นแหล่งท่ี
สามารถเพาะเลี้ยงหอยมุก และสรรหาเปลือกหอยมุกธรรมชาตไิ ด้ นอกจากเปลือกหอยมกุ ยังมีเปลอื ก
หอยอื่น ๆ ตลอดจนกัลปังหา เปลือกหอยเหล่านี้นำมาประดิษฐ์ตกแต่งเป็นเครื่องใช้ เคร่ืองประดับ
ของชำร่วย ของที่ระลึก โดยนำมาทำความสะอาด ขัดเงา ฉลุให้เป็นลวดลายในเชิงศิลปะเป็นรูปแบบ
ตามความต้องการ เช่น กรอบรูป โคมไฟ พวงกุญแจรูปสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น งานฝีมือเหล่านี้สามารถ
รายได้ให้กับชาวจังหวัดระนองเป็นอย่างมาก สามารถเยี่ยมชมและหาซื้อได้จากร้านขายของที่ระลึก
ท่ัวไป หรือทโี่ รงมุกบางกลาง ตำบลบางริ้น อำเภอเมอื งระนอง

70

หตั ถกรรมเครื่องหวาย
หวายเปน็ พชื ชนิดหนึ่งทีม่ คี วามคงทนถาวรไมต่ า่ งจากไม้เนื้อแขง็ หวายมีอยดู่ ว้ ยกนั หลายชนิด
เช่น หวายชำ หวายหอม หวายนางนวล หวายแดง หวายเสี้ยน หวายพรุน หวายกาหนุน หวายงอย
เปน็ ตน้ ในจงั หวดั ระนองบางแห่งยงั มีพน้ื ทป่ี ่าสงวนซึ่งยังคงมีหวายอยูห่ ลายชนิด
ช่างหัตถกรรมเครื่องหวายที่ดีจะต้องเป็นคนท่ีรักศิลปะ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการ
ออกแบบช้ินงาน หรือศึกษาค้นคว้าลอกเลียนแบบจากแหล่งศึกษาอ่ืน ๆ มาพัฒนาปรับปรุงฝีมือของ
ตนให้มีความประณีต สวยงามย่ิงข้ึน งานหัตถกรรมเคร่ืองหวายในจังหวัดระนอง มีแหล่งผลิตไม่มาก
นัก เท่าที่ปรากฏอยู่ท่ีอำเภอเมืองระนอง โดยนายสมบัติ ชัยภูมูล บ้านเลขท่ี 29 หมู่ท่ี 3 ตำบล
บางนอน อำเภอเมืองระนอง นำหวายขนาดต่าง ๆ มาประดิษฐ์เป็นชุดรับแขก เก้าอี้ ตู้โชว์ ชุดโต๊ะ
อาหาร เตยี งนอน ชนั้ วางของ ราวตากผ้า โคมไฟ กรอบรูป เปน็ ตน้

7. ภาษาและวรรณกรรม

ภาษา ภาษาท่ีใช้ในเขตจังหวัดระนอง มีลักษณะผสมผสาน โดยใช้ร่วมกับภาษาจีน
ภาษาอังกฤษ ภาษาพม่า ภาษามลายูและภาษาถนิ่ ภาคใต้ ภาษาถ่ินของชาวระนองมีสำเนียงการพูด
แตกต่างออกไป จากจังหวดั ต่าง ๆ ของภาคใต้

ภาษาถิ่นเมืองระนอง
ภาษาท่ีใช้ในจังหวัดระนอง เป็นลักษณะผสมผสาน โดยใช้ร่วมกับภาษาจีน ภาษาอังกฤษ
ภาษาพม่า ภาษามลายู และภาษาถิ่นของภาคใต้ในจังหวัดต่าง ๆ ทั้งนี้ท้ังในยุคการก่อสร้างเมือง
เจ้าเมืองระนองได้มีการติดต่อค้าขายกับประเทศต่าง ๆ ที่ใกล้เคียง เช่น สาธารณรัฐแห่งสหภาพ
เมียนมาร์ ปีนัง สิงคโปร์ เป็นต้น จึงได้รับวัฒนธรรมทางด้านภาษามาจากต่างประเทศต่าง ๆ มา
ผสมผสานเป็นภาษาท่ใี ชท้ ่ัวไปในจงั หวัดระนอง รวมทั้งการใช้ภาษาถิ่นของชาวจังหวัดระนองภาษาที่
ใชใ้ นจังหวัดระนองต้ังแต่อดีตจนถงึ ปจั จบุ ัน จึงมสี ำเนยี งการพูดแตกต่างออกไปจากจงั หวัดต่าง ๆ ของ
ภาคใต้ ดงั ตัวอยา่ งภาษาที่ใชใ้ นจงั หวดั ระนอง ดังน้ี

คำศัพท์ 71

-ก- ความหาย

แกงทึ่ง แกงจดื
เกือก รองเทา้
พ่ชี าย
โก น้าชาย
กู่ กุ้งทำกะปิ
กุง้ เคย หงึ
ตกั น้ำขน้ึ จากบ่อโดยใช้ไมท้ ่อนทำเป็นรอกมีแกน
กนิ น้ำส้ม (สำนวน) เหลก็ หมนุ
ก้าน้ำ อดุ หนุน
มากมาย
กาวกวน มากมาย
กะเอกะอา้ น กระโปรง
ขา้ วตงั
กะหลักกะลุย กะหล่ำปี
กุน๋ ผักกาดดอง
มะมว่ งหิมพานต์
กะดัง ขนมทำดว้ ยข้าวเหนยี วใสน่ ้ำตาลหอ่ ด้วยใบไผ่
กู่เหล กาแฟ
เกี่ยมฉา่ ย ถ่ัวบดอดั เป็นแทง่
ตระกร้า
กาหยู้ ไฟฉาย
กจ่ี ั่ง แกงปา่
กลว้ ยแขก
โกป่ ี กล้วยหอมเขยี ว
กอ้ งถงึ กล้วยตานี
กะหนา , กระซะ . กะนาก . นาก ฝร่ัง
ไกโ่ ต้ง
เกียงแก๊บ สังขยา
แกงเคี่ยวพริก ลุกลีล้ ุกลน
ตา
กลว้ ยทอด ไกป่ ่า
กล้วยคอหัก กลอ่ ง
กลว้ ยมังลา พีช่ าย

กะผลงั
ไก่โตง้

กายา่
กะล่วั ตัว้ ตา้
กง้

ไกเ่ ถ่อื น
กบ

โก้

72

คำศัพท์ ความหาย
-ข-
กะเหลอ โง่
โกง
เกียม ดุ
โกยผา้ เตรยี ม
กา้ งร่ม
ไกรบวง เก็บผ้าที่ตาก
แกงเคยเกลือ กางรม่
กงชี กรรไกร

เข้ียวหนอง แกงเลยี ง
ขป้ี ลา ของสว่ นรวม
ขนึ้ เหลยี ง
ขี้พร้า กลดั หนอง
ขือ ไตปลา
เขบ็ ขาม ไขว่หา้ ง
ขี้แมงวัน
ขลอย ฟักเขียว
ไข้ข้ึน เปา้ กางเกง
ขฉ้ี อ้
ขา้ วเหนียวอุบ ตะขาบ
ขบ ผา้ ขึ้นรา
ขช้ี ิด สอย
ขยุ่ ข้ยี ะ
เขยี ม ออกหัด
ขุน เอาเปรียบ
ขุ้ย
แข แข ข้าวเหนียวผัดกะทแิ ล้วอบจนสกุ
ขาเตง้ กัด
ข้เี ลงขเ้ี กง้ ตระหนี่

โกยขยะ
ประหยัด

เลยี้ ง ดแู ลรกั ษา
ด่า
ใกล้ ๆ

ขาเสียเดนิ เขยก
ไม่เอาไหน

เครา คำศัพท์ 73
เคลี่ยม -ค-
แคบ๊ ๆ ความหาย
ควายทอ -จ-
ควน ทัง้ หมด
คนเฉ็ก สะอาด เรยี บร้อย
เคย รบี ๆ
ควายขวดิ
เจบ็ พุง เนนิ
เจ็บหัว คนจนี
จี้ กะปิ
จับโป่ย
เจง้ ปวดท้อง
จาโก้ย ปวดศรีษะ
จำปาดะ พ่สี าว
เจียนสี พวกสิบแปดมงกฎุ ตม้ ตุ๋น
จิมแจ้ หมดตัว ขาดทุน
จบั หย่ีอว้ั ปาท่องโก๋
จบั โพย่ จำปา
เจ้า ตะหลิว
จ้ินเจ้ ลานซักผ้า
จี ของไหวบ้ รรพบุรษุ 12 ถ้วย
แจง้ ของขำ
จอก ทิด (พระสึกใหม่)
จุมผอ่ ลานชะล้าง
จักกะเดียม ปิ้ง
สว่าง
แกว้ น้ำ
แม่ครวั
จก๊ั จ้ี

ฉา้ น คำศพั ท์ 74
ฉิวเช่ง -ฉ-
เฉง้ -ช- ความหาย
ฉาว
ฉ้อ -ด- ฉัน
ฉนุ ซอี วิ้ ขาว
ฉ่ิงฉาย ทำความสะอาด
ฉา้ ยซีม ดวุ ่า
ชกั รอก
เช้ง อยูไ่ ม่นิง่
ชากาเหล้ง ทำแบบขอไปที
ขุนเปีย๋ ผักกวางตงุ้
ใชเ่ ถ่าโกย้
เชียงชนุ ทำความสะอาด
ชรู ู้ ไอศกรมี (ใชช้ ้อนตัก)
ชกั อโี บ๊ย ปหู ่อ
ชมม๋า ขนมหัวผกั กาด
ชมควาย เหลา้ โรง
ชมเกล่า ทำรดู้ ี
ชีโกทึง่ การเกลา้ มวยผมแบบจีน
ชาว ส่ี กระเจ๊ียบแดง
ชื่อตีน ส้มแขก
ชักซิว สม้ จด๊ี
โซ่ เต้าทึง
จจู้ ้จี กุ จิก
ดานหม่า เหยยี ดขา
ดันพงุ ตะคริวจบั
ดอกตรษุ จีน พ่สี ะใภ้
ดอกจนิ เจย้ี ม
ดอกศร เก้าอี้
ดอกฝน ท้องอดื
ดตี ัว ดอกเฟอ้ื งฟ้า
ดับ ดอกไม้จีน
ลูกศร
เม็ดฝน
เคยตวั
จัด

ดงไฟ คำศัพท์ 75
ดานเชยี ง -ด-
ดอกกุนย่ี ความหมาย
ดอกสามเดือน -ต-
ดอกตะปู ลาไฟ (ตอนข้าวนำ้ แหง้ )
ดอกหลี เขียง
ดอกหบี เสยี ง ดอกบานไม่รู้โรย
ดน้ ดอกบานไมร่ โู้ รย
ดอกผกากรอง
ต่อเช้า ดอกมะลิ
ตอ่ ไหร้ ดอกวา่ นส่ีทิศ
ตอ่ รอื ซุกซน
ต่อเร่อื ง
โด้ยเชยี พรงุ่ น้ี
ตา้ ห่ัน เมอ่ื ไหร่
เต่าแหง เต่าฉา่ ย มะรืน
แตงจนี มะเร่ือง
ตงั หนุ้ เดก็ กระเปา๋ รถ
เต่าหยู้ ยับยงั้
เต่าค่ัว ถั่วงอก
เต่าอิว๋ แตงโม
แต่ออ้ วุ้นเสน้
แตโ่ บ๊ย เตา้ หู้ยี้
แต่อ้อเลย้ี ง เต้าหูเ้ หลือง
เตก็ กากี ซีอ้วิ
ตูต่อ ชาใส่นำ้ ตาล
ตอเทศ นำ้ ชา
ต้มทิ ชาดำเย็น
แต่แรก ฟองเตา้ หู้
ตอกแปะ กระเพาะหมู
ต้มกลว้ ย (ตน้ ) กระถิน
ตก๊ั เดยี ว แกงจดื กะทิ
ตน หรอื ตุน เมือ่ กอ่ น สมยั กอ่ น
กาบหมาก
ขา้ วเหนยี วห่อกล้วย
ประเดยี๋ ว
คณุ เธอ

คำศพั ท์ 76

-ต- ความหมาย
ตดั ถว่ั
ตอแหล คำอทุ าน
แต่ส่วน โกหก
ตาแม๊ด คนเดียว
ตง้ิ ตวด มองไม่เหน็
ต่อหลอง โตห้ ลอง อยไู่ มน่ งิ่ วนุ่ วาย
แตกตาง ขอร้อง
ตกมา่ แลกเงนิ
ตะปูควง ประหมา่
โต้เล่ ตะปเู กลียว
หอ้ ยโหน
-ถ-
ถัวใต้ดนิ ถัว่ ลิสง
ถุง่ ทิ่ม แทง
ถด เขยมิ
ถุงตีน ถุงเท้า
ถวั ะ เก๊ะ ลิ้นชัก
ถงุ้ ถัง
ถ่าว เตะ คำ้

-ท- ชูคอ
ทกคอ ตำข้าว
ทม่ิ ขอ้ ทำอยา่ งไร
ทำผรือ กระแทกกระท้ัน
ทำแด๋ก ปัจจุบนั
เทยี มเครง สตั ว์มพี ษิ คลา้ ยแมงป่อง
ทวยมนั เพ่ิม
เทม่ิ ขยบั กระเทบิ
เท๊ิบ ตำ
ทม่ิ ต่างหู
ทองหู กระทง กรวย
โทง ก้น
ท้าย บ้วนน้ำลาย
ท่ยุ น้ำลาย เลกิ (อาบน้ำ)
ท๋าว

นำ้ ซปุ คำศพั ท์ 77
น้ำเตา้ -น-
น้ำหมอ้ ความหมาย
เนือย -บ-
นั่งแยะ นงั่ แยก น้ำพริก
เนด็ ฟักทอง
นอนเที่ยง นำ้ ข้าว
นำ้ กี้ เหน่อื ย หวิ เพลีย
เนียนแปลบ ลม้ กน้ กระแทก
เนนเกด ดือ้ ด้าน
นำ้ ขกี้ ลา นอนกลางวนั ตื่นสาย
นำ้ ด่าง
บอบขา้ ว ละเอยี ด เทีย่ วเตร่
เบค (Bag) เท่ียวเตร่
บุเหรง บุหราน นำ้ ครำ
บาบา
บะหลา่ ตา่ หิวขา้ ว
บหุ งัด กระเป๋าเดินทาง
บาจง่ั โบราณ
บที ่อยบั๊ก ลูกครึง่
บงุ กู๋ โรตี
เบอร์ แกงบวชรวมมติ ร
เบอเหรอ่ หำ่ ขนมบะจ่าง
บ้องตื้น ขนมเล็บมือนาง
บิดข้ีคร้าน มา้ นั่งเตี้ย ๆ
บะ หวยใตด้ นิ
บา้ หญิง ใหญโ่ ต ใหญ่มาก
ใบกล้วย สตไิ มด่ ี
บี้ห้นุ บดิ ขเ้ี กียจ
บ่าว ถาดทำด้วยไมไ้ ผ่ ฝาชี
บัว จบี ผู้หญงิ
ใบตอง
เสน้ หมข่ี าว
พช่ี าย
เจดีย์เลก็ ใส่กระดูก

ปา้ ย คำศพั ท์ 78
ปนุ เต้า -ป-
แปง้ หวาน ความหมาย
ปลาเจีย๊ บ -ผ-
ปัน้ ถิ ทอ่ น้ำ
ปากบอน -ฝ- ทีต่ ักขยะ
ปิ๋ว -พ- ผงชรู ส
ปากหัด ปลาสามรส
ปงั คนั้ กะทิ
ปลาจิ้งจ้งั พดู เรื่อยเปื่อย
ปาตโิ คด๊ ปลวิ หลุด
ปโี ถง เหล็กสกดั
กระปอ๋ ง
ผกุ ปลาไสต้ นั
ผมเงาะ กระโปรงชั้นใน
ผ้าผวย ปีเถาะ
ผยุ
แผล๊บเดยี ว ผุ เปื่อย
ผ้าชบุ ผ้าจิบม๊วั เงาะ
ผา้ หย้าง ผา้ หม่
ผลกิ เหมยี้ เปอ่ื ย
ผอถาน ผอลว่ ง รวดเรว็
ผ้าขาวม้า
ฝักถ่ัว ผา้ พลาสตกิ
ฝา้ ย เท้าเพลง
ฝกั หมอน หลวงพ่อ

พรกิ ผง ถ่ัวฝักยาว
พกั เมดิ้ สำลี
พลุง่ ปลอกหมอน
พองขน
แพล็ด พริกป่น
พา่ หนุง ผักจ้ิม
เดือด
ขนลุก
ไปอย่างรวดเรว็
ผา้ ถุง

พลอยไป คำศพั ท์ 79
พรดี๊ -พ-
-ม- ความหมาย
แมงม่ี
มู้กอ้ี -ย- อาศัยไปดว้ ย
มกี อ้ บ๋อย ล่ืน
เม็ดก๊วยจ้ี -ร-
มดั ชีกู้ แมลงหวี่
มันหง่ิว เสียงข้ึนจมูก
มนั ราก ขา้ วเหนียวดำ
หมอ้ เว่ เมลด็ แตง
ละมดุ
ยกขนึ้ มันสำปะหลัง
หยงั ไง่ หวั มนั
ย้ำ หม้อทมี่ หี หู ้วิ
ยกุ ยกิ
ยอดอม ลุดขนึ้
ยำ่ อยา่ งไร
ย่อยทวดทวด เคยตวั
ยงขา้ ว กระดกุ กระดกิ
ชะอม
รกั ต้ี เคยชนิ
รบ น้ำหกเป็นระยะ
เรือบนิ คนขา้ ว
รดู๊
โรงบาล รกั แร้
เรอื ติดทา้ ย ทะเลาะ
รถจอดหนา้ เครือ่ งบนิ
ราก ลปิ สติก
โรงพยาบาล
เรือหางยาว
รถลากซุง
อาเจยี ร

คำศพั ท์ 80

-ว- ความหมาย
วกั
วิบ ชอ้ น ทพั พี
วกิ นั่ง โกรธ
เวเปล โรงภาพยนตร์
ไกวเปล
-ส-
สอแส อยากรู้อยากเห็น
สะโล ชะลอ
สายล้ิม ผักกวา้ งตุง้
สม้ ขาม มะขาม
สม้ นาว มะนาว
ไสดมุ กลดั กระดมุ
สาคลาย ดีขึ้น
สุงสงิ สมาคม
วิกลจรติ
เสียจติ เสอ้ื ยดื
เสื้อย่น เข็มขดั
สายเอว เสอื้ แขนยาว
เสอ้ื มือยาว ยาง
สายยาง
ขนมถ้วยฟู
-ห- ขนมกงุ้ ทอดเป็นแผ่น
ห้วดโก้ย เผอื ก
แห่จ่ี เหด็ หหู นู
หวั บอน หอมหัวใหญ่
เห็ดหูลิง หวั แตก
หัวบาหวงั นดิ เดยี ว
หัวแหก ปิด (ใช้กบั ประตู หนา้ ต่าง กุญแจ)
หีดเดียว ท่านำ้
หบั หุบ หบิ หวั ผักกาดขาว
หัวท่า งว่ ง
หัวชา่ ยเถา่ บหุ รี่พม่า
เหาหอน หาวนอน ขนมฝกั บัว
หมว่ นยา่ ตูรูด้
หนมจู้จ้นุ

81

คำศัพท์ ความหมาย
-ห-
ขนมสอดไส้
หนมห่อ คอ่ ม ขนมบ้าบิน่
หนมโก้เบ่งก้า ขนมกวนใสน่ ำ้ ดา่ ง
บวั ลอยไม่ใส่กะทิ
ขนมก้ี ถลอก
หนมอี้ หนามตำ
หนังถก เล็ก
การเอายาเส้นเหนบ็ ไว้ทรี่ ะหว่างฟนั กับกระพุ้งแก้ม
หนามทิ่ม มะมว่ งทก่ี ลิน่ ละมุด
หนุ้ย หดี ขนมงาพอง
กระสอบป่าน
เหนียดยา หมพู ะโล้
หมดุ มว่ ง กะลามะพรา้ วออ่ น
หมว่ั หล่าว มดตะนอย
ชะมด
หมูนี้ หมปู ่า
หมูค้อง การต่อราคาของ
(ตน้ ) ฝร่ัง
เหม้งพร้าว
หมดน่อย
หมดุ ลงั

หมเู ถอ่ื น
หยวน ๆ

หยาหมู้

วรรณกรรมพื้นบ้าน ประกอบด้วยตำนาน นิทานพ้ืนบ้านอันเป็นประวัติของสถานท่ีต่าง ๆ
ตำนานอำเภอกระบุรี มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า มีกระทองตัวหน่ึง (สีคล้ายทองคำ) ถูก

ชาวต่างชาติไล่ตีมาจากทะเลนอก ผ่านมาทางแม่น้ำกระบุรี กระทองตัวน้ีได้ว่ายนำ้ ขึ้นไปบนชายหาด
นาน้อย นายแก้วชาวบ้านในแถบนั้นจับได้จึงนำไปถวายเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช นายแก้วมีความดี

ความชอบได้รับแต่งต้ังให้เป็นนายบ้าน เป็นคนเก็บภาษีที่ดิน ภาษีค่าคนเก็บปีละ ๒ บาทต่อคน และ
ให้ชือ่ เมอื งวา่ เมืองกระ

ตำนานบา้ นทบั หลสี ุริยวงศ์ เม่ือปี พ.ศ.๒๔๓๓ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว

เสด็จ ฯ ประพาสหัวเมืองปักศ์ใต้ โดยได้เสด็จ ฯ จากชุมพรไประนองทางสถลมารคใช้ขบวนช้าง
๑๙๙ เชือก ทรงและประทับแรมที่พลับพลาดอนมาพระ แลว้ เสด็จ ฯ ประทับแรมตอ่ ท่ีบา้ นทับหลีสุริ

ยวงศ์ นางหลี ภรรยาของนายวงศ์ ได้สร้างทป่ี ระทับใหเ้ ป็นท่ปี ระทับแรม ชาวบ้านจึงเรียกสถานที่แห่ง
นีว้ ่า ทับหลสี รุ ิยวงศ์ ปจั จุบนั คอื บรเิ วณตลาดนดั ทบั หลี

ตำนานถ้ำพระขยางค์ มีเร่ืองเล่าสืบต่อกันมาว่า นายแก้วมีภรรยาชื่อ นางน้อย มีบุตรสอง

คนคือนายทองกับนายเทพ ต่อมานายแก้วได้ส่งบุตรชายไปเรียนวิชากับอ าจารย์ท่ีเมือง
นครศรีธรรมราช อาจารย์ทราบจากคำทำนายของตนว่า วันหนึ่งบิดากับบุตรคู่น้ีจะต้องฆ่ากันตาย

82

เมอ่ื นายทองเรียนจบจงึ เขา้ ไปลาอาจารยก์ ลบั บ้าน อาจารย์ได้ห้ามไวแ้ ละบอกวา่ ถา้ กลับไปจะเสยี ชวี ิต
แต่นายทองไม่เช่ือได้หลบหนีกลับบ้าน เมื่อนายทองกลับถึงบ้าน ไม่พบนายแก้วซ่ึงเดินทางไปท่ีเมือง
นคร พบแต่แม่เล้ียงชื่อนางจัน ซึ่งเป็นภรรยาคนท่ีสองของนายแก้ว ได้ผูกพันได้เสียกัน ต่อมาเม่ือ
ความรถู้ ึงนายแก้วจงึ เดินทางกลับ นายทองไดด้ ักฆ่าพ่อด้วยกลวิธตี ่าง ๆ แตน่ ายแกว้ รทู้ ันและจับนาย
ทองได้ นำตัวไปมัดไวบ้ นหลังเขาลูกหน่ึง โดยนำขึ้นเขาหยงั มัดมือมัดเท้าไว้ไม่ให้ข้าวปลาอาหารปล่อย
ให้ตากแดดจนตาย เขาลูกดังกล่าวมีถ้ำอยู่หลายแห่ง เรียกกันว่าถ้ำขาหย่ัง หรือถ้ำขยางค์ หรือถ้ำ
พระขยางค์ ในปัจจุบนั

ตำนานปากจนั่ หลงั จากนายทองตายแล้ว นายแก้วจึงมาชำระความกับนางจนั โดยจับนาง
จนั มัดลอยแพไม้ไผ่ จนนางจันเสียชีวิต คลองนี้เลยได้ช่ือว่าคลองยายจัน ต่อมาเรียกแผลงเป็น คลอง
ปากจัน่ และหมบู่ ้านปากจ่ัน

นาฎศิลป์พื้นบา้ น ได้แก่ ลเิ กปา่ ลเิ กป่าสขุ สำราญ รำร่อนแร่ มโนราห์เป็นต้น
ลิเกป่า เป็นศิลปะการแสดงอย่างหน่ึงของชาวชนบทภาคใต้ของประเทศไทย ให้ความ
สนุกสนานเพลิดเพลินแก่ผู้ชมไมน่ ้อยกว่าตะลุง และมโนราห์ ชาวชนบทในจังหวดั ระนองไดน้ ำมาร้อง
เลน่ และแสดงกันมาช้านานแล้ว ตัวแสดงลเิ กป่า มีประมาณ ๑๐ - ๒๐ คน รวมทั้งลูกคู่ซึ่งมีหน้าท่ีเล่น
ดนตรีประกอบ และร้องรบั เวลาที่ผู้แสดงร้องบท ตัวแสดงที่สำคัญมีแขกเทศเป็นพระเอก ยาหยีเป็น
นางเอก ภรรยาแขกเทศ เสนาเปน็ ตวั ละครชูโรง เจ้าเมืองและตัวประกอบอ่ืน ๆ ตามความเหมาะสม
กบั ทอ้ งเร่ืองท่ีแสดง เน้ือเรอื่ งสว่ นใหญจ่ ะเป็นนิยายทางฝา่ ยมุสลิม หรือนำเอาเรอื่ งจักร ๆ วงศ์ ๆ ของ
ไทยมาดดั แปลง หรือนำเอานวนิยายของอาหรบั มาแสดง การแต่งกายของตัวละคร ไมย่ ุ่งยากซับซ้อน
เป็นลักษณะการแต่งกายของชาวมุสิมโดยท่ัวไป ตัวอย่างบทของตัวแสดงในลิเกป่าท่ีเป็นหลัก คือ
บทราชา บทยาหยี และบทเสนา

- บทราชา "จะกล่าวถึงท่านท้าวเจ้าภารา สถิตอยู่มหาปราสาทใน เสร็จสรง
ทรงเคร่อื งทันใด เสด็จออกไปหนา้ บัลลงั ก์"

- บทยาหยี "อะเดะ๊ สะยัน ตวนยาหยี ได้ยินสวามรี อ้ งเรยี ก"
- บทเสนา "เสนารับสงั่ บังคมลา แล้วคลานคลอ้ ยถอยมาเร็วทนั ใด"
ลิเกป่า เป็นลิเกท่ีชาวบ้านใช้การขับกลอนเป็นภาษาไทย เป็นกลอนหก กลอนแปด
คลา้ ยกลอนลิเก ส่วนมากเป็นกลอนสด ผู้แสดงตอ้ งมไี หวพรบิ ปฎิภาณในการใช้คำใหส้ ัมผสั ถกู ต้องตาม
ทำนองกลอน

83

ลิเกอุลู คือ ลิเกท่ีแสดงกันในเขตสี่จังหวัดภาคใต้ ได้แก่จังหวัด สตูล ยะลา ปัตตานี และ
นราธิวาส ซ่ึงประชาชนส่วนใหญ่พูดภาษายาวี ด้วยเหตนุ ี้ลิเกอุลู จึงใช้ภาษากลอนและบทเจรจาเป็น
ภาษายาวี เวลาแสดง แขกเทศต้องเหนื่อยมากเพราะต้องเต้นอยู่ตลอดเวลา ตามจังหวะดนตรีซ่ึงใช้
รำมะนาหรือโทน สอง-สามใบ โหม่ง ปี่ ฉ่ิง และซอ ใช้เวลาแสดงประมาณ ส่ี - ห้า ชั่วโมง ก่อนเร่ิม
แสดงเนื้อเร่ืองแขกเทศจะออกมา เกริ่นบทไหว้ครู หรือ เบิกโรงก่อน แล้วดำเนินเรื่องทำนองว่า
ในสมัยนี้มีแขกเมืองกลั กัตตา เดินทางมาค้าขายทำมาหากนิ ตามหวั เมืองชายฝั่งทะเลตะวันตกของไทย
หลายแห่ง และได้ภรรยาเปน็ มุสลิม คือชาวเกาะในทะเลอันดามันด้านจังหวัดระนอง ประกอบอาชีพ
ประมง ภรรยาหลวงของแขกเทศช่ือยาหยี อยู่กินกันมานาน แขกเทศคิดถงึ บ้านเมือง และพ่อแม่ของ
ตนจงึ เขา้ พบเจา้ เมอื ง ขอลากลบั บ้านเมอื ง ส่วนยาหยีไมย่ อมไปเพราะหนทางไกลเดินทางลำบาก และ
เป็นห่วงพ่อแม่ด้วย แขกเทศจงึ อ้อนวอนขอร้องและบังคับ ยาหยีจำใจต้องไปแล้วไปลาพ่อแม่ ญาติพี่
น้องเพื่อนฝูง สองสามีภรรยาพร้อมเสนาผู้ติดตามได้โดยสารเรือ ระยะทางไกลใช้เวลาเดินทางนาน
ระหว่างทางก็ชมทิวทศั น์และธรรมชาติใหย้ าหยีฟังเพื่อแก้เหงา และคลายความคิดถงึ บ้าน จนกระท่ัง
ถึงเมืองของแขกเทศ สถานที่ส่วนใหญ่จะแสดงบนเวที จัดฉากให้สวยงามเพียงเลก็ นอ้ ย มีทางเข้าออก
สำหรับตัวละครเอาไว้สองทาง เหมือนกับเวทีละครท่ัวๆ ไป พวกลูกคู่ซ่ึงมีหน้าท่ีเล่นดนตรีประกอบ
และร้องรับบทรอ้ งของตวั ละคร จะนง่ั อยู่หน้าฉากข้าง ๆ เวที

ข้นั แรกลกู คู่จะร้องเพลงซึ่งบอกให้ทราบว่า ต่อไปน้ีจะมีแขกเทศออกมาเกริ่นเร่ืองราว ลูกคู่
ร้องเพลงสามเที่ยว พร้อมกับตีจังหวะดนตรีไปด้วย เมื่อจบแล้วแขกเทศก็ออกมาร้องบทของตน
มีท่าทางประกอบเมื่อจบเพลง ลูกคู่ร้องบทลูกคู่รับ แขกเทศเต้นเป็นจังหวะไปตามเนื้อเพลงและ
เสยี งดนตรี ตัวละครจะมีคนแรกทอ่ี อกมาคือตัวแขกเทศ ซึง่ ตรงกับลิเกในภาคกลาง และภาคใต้ทั่วไป
แขกเทศยังต้องใช้ภาษายาวีผสมภาษาไทย ทำหน้าท่ีออกมาบอกเร่ืองทักทายผู้ชม คำเจรจาจะเป็น
เสียงแปร่งเหมอื นแขกท่พี ูดภาษาไทยไม่ชัด ผสมกับคำหรือติดประโยคทต่ี ิดตลก คิดได้สองแงส่ องง่าม
คือ คำท่ีมีความหมายคาบลูกคาบดอก กลอนบทแรกใช้ "สะละมาหน้า ฮารุมมาหน้า ดาเห้ร ดาหร้า
อาเดะ้ ระย้า สะยะบนตะเปง๊ " ซึ่งเปน็ บททกั ทายและแสดงความเคารพผู้ชมนั่นเอง ตอ่ จากแขกเทศจะ
เป็นตัวราชาหรอื เจ้าเมือง บางคร้ังเรียกว่า รายา ตามเสียงมาเลย์ เพื่อคลอ้ งจองกับคำราชนิ ี รานี หรือ
ยาหยี ทั้งคู่จะออกมาปรึกษาการบ้านการเมือง หรือปรารภเรื่องราชบุตร ราชธิดา เรื่องผู้สืบทอด
สมบัติ การสู้รบกับศัตรู แล้วแต่เร่ืองอาจจะออกมาพร้อมกันท้ังเสนา ตัวตลก ตัวพระเอก นางเอก
มฤี าษี มีโจร จะดำเนนิ เรือ่ งคล้ายหนังตะลุง หรือโขนร่นุ เก่า ก่อนท่จี ะมีตวั ละครเป็นบุคคล ก่อนตดั เป็น
ตวั หนังตะลงุ ผู้แสดงรนุ่ กอ่ นจะมีแตผ่ ้ชู ายล้วน แม้จะเปน็ บทยาหยี บทนางเอก ก็ใช้ผูช้ ายโดยแต่งกาย
เป็นผู้หญิง สวมบทบาทดดั เสยี งให้คลา้ ยคลงึ กบั ผู้หญิง

84

รำร่อนแร่ เป็นการแสดงนาฎลีลาท่ีสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของผู้คนใน
ท้องถ่ินภาคใต้ โดยถ่ายทอดเป็นรูปแบบการทำมาหากินท่ีเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น คือ การร่อนแร่
ผู้แสดงจะแต่งกายด้วย ชุดยาหยา ซึ่งเป็นเคร่ืองแต่งกายเฉพาะของหญิงชาวพื้นเมืองภาคใต้

การหาแร่ของชาวบ้าน หรือท่ีเรียกกันว่าร่อนแรน่ ั้น จะใช้ภาชนะที่เรียกว่า เลียง ทำจากไม้
ลกั ษณะคล้ายกะทะแต่ไม่มีหู ในการร่อนแร่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงมากกวา่ ผู้ชาย จะต้องลงไปยืนอยู่
ในน้ำ นุ่งผ้าถุงส้ัน ๆ เหนือเข่าเล็กน้อย ท่ีเอวจะทำชายพก เม่ือได้แร่แล้ วจะนำมาใส่ท่ีชายพก

วิธีร่อนแร่ เริ่มด้วยการใช้เสียมขุดดิน หิน กรวด ทราย ตลอดจนส่ิงต่าง ๆ ที่ปนมากับแร่
ขน้ึ มาท้งั หมด จากนน้ั จงึ ใชม้ ือสา่ ย หรอื รอ่ น เอาสงิ่ ท่ีไมต่ อ้ งการออกไป คงเหลอื แตแ่ ร่

โนรากลั ยา นาฏราช
ประวัติโนรากัลยา นาฏราช หรือ กัลยา เทพนิมิต เกิดวันอาทิตย์ เดือน 9 ปีฉลู
พุทธศักราช 2492 ท่ีบ้านควนยูงหมู่ที่ 3 ตำบลนากะชะ อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช
บดิ าชื่อนายกระจา่ ง พิบูลย์ มารดาชื่อนางพลัด พิบลู ย์ โนรากลั ยา เป็นบุตรท่ี 4 ในจำนวน 8 คน
คือ 1.นางสมนึก สุนทรพัฒน์ 2.นางแจ่มศรี บุญฤทธ์ิ 3.นายสมพร พิบูลย์ 4. นางกัลยา
เทพมินิตร 5. นายสามารถ พิบูลย์ 6. นายสมภาส พิบูลย์ 7. นายขาว พิบูลย์ และ 8. นางเอ่ียมศรี
ทวี

โนรากลั ยา ได้แต่งงานเมอ่ื อายุ 19 ปี กับนายแสงอร่าม เทพนิมติ ร ครอบครัวของโนรา
กัลยา อยู่บ้านเลขท่ี 45/4 หมู่ 1 ตำบลบางใหญ่ อำเภอกระบุรี จังงหวัดระนอง มีบุตรด้วยกัน
4 คน คือ 1.นางนงเยาว์ ทองคำ 2.นางรัตนาภรณ์ ทองคำ 3. นางสาวแสงอรุณ เทพนิมิตร
และ4. นายแสงอนันต์ เทพนมิ ิต

ประวตั กิ ารศึกษา
โนรากัลยา นาฏราช ถือว่าได้มีโอกาสดีกว่าพ่ีๆ คนอ่ืนๆ อีก 3 คน เนื่องจากสภาพ
ครอบครวั ค่อนขา้ งจะยากจน โนรากลั ยาไดเ้ ขา้ รับการศึกษาในโรงเรียนวัดเฟื่อง ตำบลนากะชะ อำเภอ
ฉวาง จงั หวดั นครศรีธรรมราชมรี ายละเอียดดงั นี้
พ.ศ. 2501 อายุ 9 ปี ศึกษาระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1
พ.ศ. 2502 อายุ 10 ปี ศึกษาระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 2
พ.ศ. 2503 อายุ 11 ปี ศึกษาระดับชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 3

85

โนรากัลยา มีผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีมาก และเป็นที่รักของครูอาจารย์ทุกคน เมื่อจบช้ัน
ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 โนรากัลยาไดอ้ อกมาชว่ ยพ่อแมท่ ำงานและเลย้ี งนอ้ งแทนพี่

ประวตั ิการฝึกรำมโนราห์
โนรากลั ยา นาฏราช เกิดในครอบครัวโนราโดยโนรากระจ่าง พิบูลย์ ผูเ้ ป็นบดิ าได้ฝึกรำโนรา
จากโนราวัน จังหวัดนครศรีธรรมราช และได้มาอยู่กับโนราแป้น เคร่ืองงาน เม่ือมีบุตรจึงเริ่มสอน
โนราให้แก่ลูกๆ โดยสอนให้กับโนราแจ่มศรี และโนราสมนึกผู้เป็นพี่ แล้วจึงมาสอน โนรากัลยา เม่ือ
โนรากัลยาอายุ 16 ปี โนรากัลยาได้เขา้ รับพิธีครอบเทริด โดยมีบิดาเป็นผปู้ ระกอบให้ ปัจจบุ ัน โนรา
กลั ยายงั คงรักษาและถา่ ยทอดการรำโนราแก่หลานในหมบู่ า้ นและผูส้ นใจทัว่ ไปโดยเฉพาะนกั เรยี น

8. ศาสนา พิธีกรรมและความเชือ่

ศาสนา
ประชาชนชาวระนองส่วนใหญน่ ับถอื ศาสนาพุทธ โดยเฉพาะในพื้นท่ีอำเภอกระบรุ ีและละอุ่น
แต่ก็มีบางพ้ืนท่ีของอำเภอเมืองระนองบางส่วนท่ีนับถือศาสนาอิสลาม ส่วนอำเภอกะเปอร์ และอำเภอ
สขุ สำราญ ประชาชน 80 - 90 % นบั ถอื ศาสนาอสิ ลาม
ศาสนบุคคล
หลวงพ่อบรรณ พทุ ธสโร
ภูมิลำเนาเดิมเป็นชาวจังหวัดไชยา (อดีตไชยาเป็นจังหวัด) เป็นผู้สรา้ งวัดอุปนันทารามเม่ือ
ประมาณปี พ.ศ. 2436 หลวงพ่อบรรณเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก และต่อมาได้เป็นเจ้าคณะจังหวัด
ระนอง ได้รับพระราชทานทินนามท่ีพระครูศีลพงศ์คณารัก ถึงแก่มรณภาพ เม่ือ พ.ศ. 2463 ท่ีวัด
หาดสม้ แป้น ศพหลวงพ่อบรรณได้ถูกนำมาบำเพ็ญกุศลที่วดั อุปนันทาราม และประกอบพิธีฌาปนกิจท่ี
วัดสุวรรณคีรีวิหาร หลวงพ่อบรรณได้บำเพ็ญประโยชน์ทางการศึกษาในจังหวัดระนองเป็นอันมาก
โดยเฉพาะดา้ นภาษาไทย เนอ่ื งจากในสมยั น้ันระนองหาคนรู้หนังสือไทยได้ยาก หลวงพ่อได้ช่วยสอน
ภาษาไทยใหแ้ ก่เดก็ ชาวระนองครัง้ น้ัน และต่อมา ไดจ้ ดั ตัง้ โรงเรยี นภายในวดั อุปนนั ทาราม ต่อมาทาง
ราชการได้ขยายการศึกษาจัดต้ังโรงเรียนตามตำบลต่าง ๆ โดยโรงเรียนประถมศึกษาในสมัยนั้นมีช่ือ
เหมือนกัน คือ โรงเรียนประชาบาลตำบล เมื่อโรงเรียนประสบปัญหาขาดแคลนครูที่จะทำการสอน
หลวงพอ่ ได้นำบุตรหลานของท่านจากไชยาเปน็ ครูสอนหนังสอื ให้แก่เด็กชาวระนองหลายคน หลวงพ่อ
บรรณเป็นพระภิกษุที่อุปสมบทมาจากไชยา สถานท่ีตัง้ ของพระบรมธาตไุ ชยา ซง่ึ มีชาวพุทธท่มี ีความรู้
ทางพระพุทธศาสนาอาศัยอยู่จำนวนมาก ในขณะท่ีระนองเปน็ จงั หวัดทีเ่ พิ่งตั้งขนึ้ ใหม่ ประชาชนส่วน
ใหญ่เปน็ ชาวจีนทผ่ี สู้ ำเร็จราชการพามาเหมอื งแร่ หลวงพ่อบรรณได้นำความรูเ้ ก่ยี วกับพระพุทธศาสนา
รวมทั้งวัฒนธรรมไทยมาเผยแพร่ให้แก่ชาวระนองในครั้งน้ันได้รู้จักและถือปฏิบัติ ทำให้เป็นที่เคารพ
นับถือและเล่ือมใสของชาวไทยและชาวจีนในจังหวัดระนอง ท่านเคยได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์
เป็นเจ้าคณะจังหวัด และที่สำคัญคือ หลวงพ่อได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ท่ี
ศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ผู้นับถือศาสนาอิสลามยังบนบานเม่ือมีภัย ใครมีความเจ็บไข้ได้ป่วยก็มาหา ให้ท่าน
รักษาดว้ ยยาและนำ้ มนต์

86

หลวงพ่อบรรณ พุทธสโร

หลวงพอ่ จนั ทร์ วดั จันทาราม
เดิมหลวงพอ่ จันทรเ์ ป็นพระภิกษุชาวพมา่ จำพรรษาอยู่วัดข้ไี ฟ (เถา้ ) สาธารณรัฐแหง่ สหภาพ
เมยี นมาร์ ตอ่ มาพระยารัษฎานปุ ระดษิ ฐม์ หิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) เม่ือครั้งยงั ดำรงตำแหนง่ เป็น
พระยาอัษฎงคตทิศรกั ษา เจ้าเมืองกระบุรี ได้ศรัทธาเล่ือมใสและนิมนต์ให้มาตั้งสำนักสงฆ์อยูท่ ่ีตำบล
น้ำจืด เมืองกระบุรี โดยสร้างวัดประทุมธาราเทพนิมิตข้ึน ต่อมาหลวงพ่อจันทร์ได้พัฒนาขึ้นเป็นวัด
อย่างสมบรูณ์ และด้วยเหตุท่ีหลวงพ่อจันทร์เป็นพระภิกษุสงฆ์ท่ีเคร่งครัดในพระธรรมวินัย สันโดษ
และมีเมตตาธรรมสงู จึงไดร้ บั แต่งต้ังเป็นเจ้าอาวาสวดั ประทมุ ธาราเทพนิมติ อยู่ถึง 22 พรรษา ครน้ั ถึง
แก่มรณภาพเมื่อ พ.ศ. 2455 สิริรวมอายุได้ 80 ปีเศษ บรรดาศิษยานุศิษย์และประชาชนท่ีเล่ือมใส
ศรัทธา จึงไดเ้ ปลีย่ นช่ือวัดประทมุ ธาราเทพนมิ ิต เพื่อเป็นเกยี รตแิ ละอนสุ รณแ์ กท่ ่านว่า วัดจันทาราม
พระครูอดุ มคุณาจารย์ (รนี่ คัมภโี ร)
พระครูอุดมคุณาจารย์ นามเดิม รื่น นามสกุล บรบิ ูรณ์ เกิดเม่ือวันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ.
2444 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 9 ปขี าล ท่บี ้านน้ำจืดน้อย อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง เปน็ บุตร
นายช้อย นางผ่อง บริบูรณ์ อาชีพ กสิกรรม พระครูอุดมคุณาจารย์ อุปสมบทเมื่อวันอาทิตย์ท่ี
14 เมษายน พ.ศ.2482 ตรงกับวันข้ึน 7 ค่ำ เดือน 5 ณ อุโบสถศิลาลาย อำเภอบกเบ้ียน จังหวัด
มะริด สาธารณรฐั แห่งสหภาพเมียนมาร์ พ.ศ. 2461 เรียนจบชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 3 จากโรงเรียนวัด
จันทาราม อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง และไม่ปรากฏว่าสอบนักธรรมได้เลย แต่ท่านได้ศึกษาหา
ความรู้ดว้ ยตนเองในระยะ 3-4 ปีแรก เพราะวดั อยใู่ นถ่นิ ทุรกันดารและขาดครสู อน ท่านจงึ ม่นุ เน้นไป
ในด้านปฏบิ ัติสมาธิ ภายหลังย้ายมาศกึ ษาปฏิบตั ธิ รรม ทว่ี ัดสวุ รรณครี ี จังหวัดระนอง
หลวงพอ่ เบี้ยว อปุ กจิ โจ
เกดิ เมื่อวันท่ี 7 มิถนุ ายน พ.ศ. 2431 ท่ีตำบลบา้ นทุ่ง อำเภอไชยา จังหวัดสรุ าษฎร์ธานี บดิ า
ชอ่ื นายลือ มารดาชื่อนางสม้ ธนสมบัติ จบการศึกษาช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 4 จากโรงเรียนวัดป่าเลไล
ตำบลเสม็ด อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เคยปฏิบัติงานในตำแหน่งแพทย์ประจำตำบล ตำบล
เสม็ด อุปสมบทเมื่อวันท่ี 6 มิถุนายน พ.ศ.2496 ณ วัดวังตะวันตก อำเภอเมือง จังหวัด
นครศรีธรรมราช โดยมีพระอธิการพับ เจ้าอาวาสวัดวังตะวันตกเป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทแลว้ ได้
ย้ายไปจำพรรษาตามท่ีต่าง ๆ อีกหลายแห่ง เช่น สำนักสงฆ์ป่าช้าจีน ตำบลบางหมาก อำเภอเมือง

87

ชุมพร สำนักสงฆ์ทรายแดง ตำบลละอุ่น กิ่งอำเภอละอุ่นและครั้งสุดท้ายจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์
สามคั คธี รรม ตำบลกะเปอร์ ตัง้ แตป่ ี พ.ศ.2508

ครั้งแรกที่มาจำพรรษาอยู่ท่ีสำนักสงฆ์สามัคคีธรรม สำนักสงฆ์แห่งนี้มีท่ีดินเพียง 3 ไร่เศษ
ทา่ นได้พฒั นาสำนักสงฆ์เร่ือยมา โดยขอบริจาคที่ดนิ จากนายหน่อ ชำนาญวุธ อีก 10 กว่าไร่ ทำให้มี
ท่ีดินเพิ่มมากข้ึน จึงได้เร่ิมขออนุญาตสร้างวัดในปี พ.ศ. 2513 และก่อสร้างอุโบสถขนาดกว้าง
7 เมตร ยาว 21.75 เมตร และพัฒนาปรับปรุงวัดจนเจริญรุ่งเรืองสืบมา และได้รับพระราชทาน
วิสงุ คามสมี าในปี พ.ศ. 2513 ต่อมาเปล่ยี นชือ่ เป็น วดั ธรรมาวุธาราม วัดน้ีเคยไดร้ ับการคัดเลือกเป็น
วดั พัฒนาตวั อย่าง ใน ปี พ.ศ. 2515 ขณะดำรงตำแหนง่ เจ้าอาวาส หลวงพอ่ ได้ปกครองคณะสงฆ์โดย
สามัคคีธรรม อบรมผู้ท่ีเข้ามาบวชเรียนด้วยความรัก ความเมตตา โดยท่านได้ต้ังกฎว่า ผู้ท่ีบวชเรยี น
ทุกคนจะต้องเรียนและท่องจำพระอภิธรรมได้เจ็ดบทก่อน จึงจะสามารถบวชเป็นพระภิกษุได้
พ.ศ. 2514 และ พ.ศ. 2516 ได้ร่วมกับคณะกรรมการวัดจดั สร้างเหรียญของหลวงพ่อเบยี้ ว 2 รุ่น
เพื่อให้ประชาชนท่ีสนใจเคารพบูชา จนมีกิตติศัพท์เล่ืองลือไปไกล ผู้ที่นำไปบูชาเชื่อกันว่าสามารถ
ป้องกันสตั วม์ เี ข้ียวงาและปอ้ งกันอุบตั ิเหตไุ ด้ ปัจจุบันไม่สามารถหาเหรียญรุน่ น้ีได้อีกแลว้ สมยั เม่อื เป็น
ฆราวาสหลวงพ่อเคยเป็นแพทย์ประจำตำบล เน่ืองจากมีความรู้ด้านแพทย์แผนโบราณมาก และเม่ือ
มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสที่วดั น้ี ก็ไดพ้ ยายามจัดทำยารักษาโรคแผนโบราณ ต่าง ๆ เพ่ือแจกจา่ ยแก่
ประชาชนที่ไปนมัสการและเยี่ยมเยียน จนเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วไป หลวงพ่อเบ้ียว ถึงแก่
มรณภาพเม่ือปี พ.ศ.2517 ท่ีวัดธรรมาวุธารามมีประชาชนพากันมาเคารพศพของท่านอย่างเนือง
แน่น ศพของหลวงพ่อถูกบรรจุไว้ในโลงแก้วเพ่ือให้ประชาชนที่ไปเคารพสักการะมองเห็น เพราะศพ
ของท่านไม่เน่าเป่ือย แม้กระท่ังเส้นผมก็ยังอยู่ในสภาพเดมิ ทุกอย่าง เป็นที่น่าอัศจรรย์ย่ิงนัก ปัจจุบัน
ศพของท่านยังคงตั้งอยู่ภายในศาลาวัดธรรมาวุธาราม ตำบลกะเปอร์ อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง
เพ่อื ใหป้ ระชาชนไดเ้ คารพสกั การะ หลวงพ่อเบ้ียวนับเป็นเกจิอาจารย์รูปหนึ่งท่ีชาวระนองเล่ืองใส
ศรัทธาและเปน็ พระเกจอิ าจารยร์ นุ่ เดยี วกบั พระอาจารย์รนื่ วดั นกงาง อำเภอเมอื ง จังหวัดระนอง

หลวงพ่อติ๋ว สุวรรณโณ
หลวงพ่อต๋ิวเดิมเป็นคนพ้ืนเพจังหวัดพิษณุโลก อุปสมบทเมื่ออายุ 22 ปี มรณภาพเมื่อ
ประมาณปี พ.ศ.2479 หรือ พ.ศ.2480 เป็นอดีตเจ้าอาวาสองค์ท่ี 4 วัดสุวรรณคีรีวิหาร รูปป้ันที่
ประดิษฐานอยู่ ณ วัดสุวรรณคีรีวิหาร นับว่ามีรูปหน้าท่ีใกล้เคียงกับองค์จริงมาก แต่เป็นภาพที่
ดัดแปลงจากทา่ น่งั เก้าอปี้ ล่อยขา รูปร่างลกั ษณะสงู ใหญ่ สว่ นสูงกวา่ 180 เซนตเิ มตร ผวิ คอ่ นข้างขาว
(เชอ้ื สายจีน) ปากกว้าง คางใหญ่ยื่น ใบหญา้ ใหญ่สมร่าง ร่างใหญ่แต่ไม่อว้ น ลักษณะทา่ นัง่ /ยนื ตวั ตรง
เดิมจำพรรษาอยู่วดั สระเกศ กรุงเทพฯ ตอ่ มาไดอ้ อกธดุ งค์อยู่นานถึง 20 พรรษา จากนนั้ จงึ ย้ายมาจำ
พรรษาอยู่ท่ีจังหวัดระนอง (ไม่ทราบวัดแน่นอน) หลวงพ่อเป็นพระภิกษุที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย
มาก ทำใหม้ ผี คู้ นเคารพเลื่อมใสเป็นจำนวนมาก
หลวงพ่อนอ้ ย
สมณศักด์ิ ฉายา (ไม่ปรากฏ) เดิมชื่อ น้อย นามสกุล ว่าวลอย จำพรรษาอยู่ทว่ี ัดหาดส้มแป้น
อำเภอเมือง จังหวัดระนอง ชาติภูมิ เกิดท่ีบ้านบางช่อน อำเภอวิคตอเรียพอยท์ สาธารณรัฐแห่ง
สหภาพเมียนมาร์ บิดา นายเอวอ่อน มารดา นางเกตุ นามสกุล ว่าวลอย บรรพชา เม่ืออายุ 12 ปี

88

ที่วัดมลิวลั ย์ อำเภอวิคตอเรียพอยท์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมยี นมาร์ โดยมีพระอาจารยข์ าวเป็นพระ
อุปัชฌาย์และจำพรรษาอยู่ที่วัดมลิวัลย์ จนอายุครบอุปสมบทโดยไม่ลาสิกขาบทเลย อุปสมบท เม่ือ
อายุ 20 ปี ที่วัดมลิวัลย์ อำเภอวิคตอเรียพอยท์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ประมาณ
พ.ศ.2473 ย้ายมาจำพรรษาทีว่ ดั หาดส้มแป้นเปน็ ลำดับจนกระท่ังมรณภาพเมอื่ วนั ที่ 12 กมุ ภาพนั ธ์
พ.ศ. 2481 ท่ีวัดหาดส้มแป้น สริ ิอายุรวม 81 ปี อุปนิสัย เป็นคนมักน้อยสันโดษ ไม่ยอมคลุกคลีกับ
ฝูงชนทั้งบรรชิตและคฤหัสถ์ มีความเมตตาสูง เป็นท่ีพึ่งพาของชาวบ้านตำบลหาดส้มแป้น เป็นคน
ประหยดั และมักจะแนะนำให้ประชาชนทีไ่ ปนมัสการทา่ นเปน็ คนประหยดั ดว้ ย เป็นคนเคร่งครัดใน
ระเบียบวินยั เป็นท่ีศรทั ธาของชาวบา้ นโดยทั่วไป

หลวงพอ่ ลอย
สมณศักดิ์ พระครูสุทธิบุญญาคม ฉายา ขนติธโร เดิมช่ือ บุญลอย แก้ววิรัตน์ จำพรรษาอยู่ท่ี
วัดปากน้ำประชารังสฤษด์ิ (อดีตเจ้าอาวาส) ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดระนอง เกิดเมื่อ
พ.ศ.2441 ท่ีอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เดิมท่านนับถือศาสนาอิสลาม มีพ่ีน้อง 7 คน เป็นผู้ชาย
4 คน หญิง 3 คน บิดาช่ือ นายคล้าย มารดาชื่อ นายปาน อุปสมบท 2 ครั้ง คร้ังแรกบวชทางฝ่ัง
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ กับอาจารย์โลมบกเบ้ียน แล้วลาสิกขาบท อุปสมบทคร้ังท่ี 2 กับ
พระระณังควินัยมุนี เจ้าคณะจังหวัดระนองในสมัยน้ัน (อุสมบทเมื่ออายุประมาณ 52 ปี) และได้รับ
แต่งตั้งเป็นเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ อยู่ได้ 6 พรรษา และได้รับการแต่งต้ังเป็น “พระใบฎีกา”
พ.ศ. 2527 ได้รบั พระราชทานสมณศักดเิ์ ปน็ “พระครูสทุ ธิบุญญาคม” ฉายา ขนตฺ ธิ โร มรณภาพ เมื่อ
พ.ศ. 2532 เชอ่ื กันว่าทา่ นเป็นผู้ทมี่ ีความรู้ในเรอ่ื งเวทยม์ นตค์ าถา

หลวงพ่อนุย้
สมณศักดิ์ พระครูวุฒิชัยคุณ ฉายา ธิตวุโฒ เดิมชื่อ นุ้ย นามสกุล แสงพายพั อดีตเจ้าอาวาส
วัดโพธาราม อำเภอละอุ่น จังหวัดระนอง หลวงพ่อนุ้ย เป็นผู้ทรงศีลปฏิบัติธรรมโดยเครง่ ครัด พูดจริง
มีสัจจะ จนเป็นที่กล่าวขานกันว่าเป็นผู้มีวาจาสิทธ์ิ มีความสามารถในการใช้ยาสมุนไพรรักษาผู้ป่วย
โรคต่าง ๆ เป็นพระนักพัฒนา อบรม ส่ังสอนให้ชาวบ้านเป็นคนดี คติเตือนใจท่ีท่านย้ำอยู่เสมอ คือ
อดทน อดกลนั้ เป็นทศี่ รธั ทาของชาวบ้านในอำเภอละอุ่นและละแวกใกลเ้ คียง
หลวงพ่อท่านคล้าย ปณุ ณสวุ ณโณ
พ่อท่านคลา้ ยเดิมช่ือ นายคล้าย ไสสม เกิดปีมะโรง พ.ศ. 2456 วันที่และเดือนไมป่ รากฏ
บิดาชื่อนายขวด แม่ช่ือนางวัก เกิดท่ีตำบลหน้าสตน อำเภอหัวไทร จังหวัดพระนครศรีธรรมราช มพี ี่
นอ้ งรวมหกคนท่านเป็นคนสุดท้อง เมื่ออายุ 15 ปี ไดบ้ รรพชาเป็นสามเณรท่วี ดั หน้าสตน ในวนั ท่ี 10
มิถุนายน 2471 โดยมีพระครูพนัง เป็นอุปัชฌาย์ และเมือ่ อายุครบ 20 ปี ได้อปุ สมบทท่ีวัดเดมิ และ
อุปัชฌาย์องค์เดิม พระขาว คุรุสุวรรโณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านจำพรรษาที่วัดน้ีมาตลอด
จนกระท่ังพระขาวเจ้าอาวาสมรณภาพ ท่านก็ได้รับการแต่งต้ังให้เป็นเจ้าอาวาสเป็นเวลาแปดปี
ต่อจากน้ันเดนิ ทางไปจำพรรษาที่วัดแหลมทราย จังหวัดสงขลา เพ่ือศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากท่าน
เจ้าคุณเส้ง เจ้าอาวาสวัดแหลมทรายจนจบนักธรรมเอก เมื่อจบแล้วได้เดินทางไปจำพรรษาอยู่ปีนัง
ประเทศมาเลเซีย เป็นเวลา 1 พรรษา ออกพรรษาแล้วเดินทางไปสิงคโปร์ จากสิงคโปร์เดนิ ทางมาจำ

89

พรรษาที่จงั หวัดภูเก็ตเป็นเวลาหลายพรรษาทวี่ ัดราไวย์และวัดอื่น ๆ จากภูเก็ตเดนิ ทางมาจำพรรษาที่
วัดท่าข้าม อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเวลา 3 พรรษาเน่ืองจากท่านเป็นพระภิกษุท่ี
เคร่งครัดพระวินยั และปฏบิ ัติกรรมฐานมาตลอด ดงั นนั้ ท่านจึงเดินทางออกจากวัดทา่ ข้าม ไปธดุ งค์อยู่
ในปา่ เพื่อปฏิบตั ิธรรมอยหู่ ลายแห่งเป็นเวลานานถงึ 30 ปี ตลอดเวลาท่ที ่านธุดงค์จะเดินไปทีไ่ หนท่าน
เดินทางด้วยเท้า จะไม่เดินทางด้วยยานพาหนะทุกอย่าง หลังจากเดินทางไปเย่ียมญาติพ่ีน้องท่ี
นครศรีธรรมราช ก็ออกเดินทางด้วยเท้าเข้ากรุงเทพฯ ผ่านจังหวัดต่าง ๆ เป็นเวลา 10 วัน ถึง
กรุงเทพฯ เขา้ นมัสการพระแก้วมรกตเดินทางกลับมายังจังหวัดระนองจำพรรษาท่ีวัดราชกรดู และวัด
อื่น ๆ ขณะท่จี ำพรรษาทีว่ ัดราชกรูดมีเรือ่ งเล่าตอ่ กันมาว่า ขณะทที่ ่านฉันภตั ตาหารมพี ระภิกษุรปู หน่ึง
ไม่พอใจทา่ นโดยไมท่ ราบสาเหตุ ลุกข้ึนใช้สอ้ มแทงท่าน ทา่ นยกมือขนึ้ รับปรากฏว่าแทงไมเ่ ข้ามีคนถาม
ท่านว่ามีของดอี ะไร ท่านกลับพูดแบบขำขันวา่ จะแทงเขา้ อย่างไรเมอื่ แทงเขา้ ง่ามมือ

จากระนองท่านออกธุดงคไ์ ปนมัสการพระธาตุเมืองร่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์
ธุดงค์อยู่เป็นเวลา 2 ปี ขณะธุดงค์อยู่ในเมืองพม่า ท่านเดินทางไปพบดงว่านชนิดต่าง ๆ เป็นร้อย ๆ
แต่ไม่สามารถนำออกมาได้ เรือ่ งวา่ นน้ีทา่ นเคยเล่าให้ศิษย์ท่ีใกล้ชิดฟัง ผู้ท่ีท่านเลา่ ให้ฟังที่ยังมีชีวติ อยู่
คือ นายเสถียร อู่เจริญ แพทย์ประจำตำบลหาดส้มแป้น จังหวัดระนอง ระหว่างที่ท่านอยู่ใน
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ มีลูกสาวของจางวางของหมู่บ้านป่วยเป็นอหิวาตกโรค ท่านเป็นผู้
รอบรู้เรื่องยาสมนุ ไพรและโรคตา่ ง ๆ เป็นอย่างดี ท่านรกั ษาด้วยการเอาน้ำใสป่ ากกระบอกปืนเสกด้วย
คาถาแล้วเทลงใส่ขันน้ำให้กิน ปรากฏว่าลูกสาวของจางวางหายจากโรคเหมือนปลิดท้ิง ชาวพมา่ เคารพ
นับถือท่านมาก นิมนตใ์ หท้ า่ นอยู่ตอ่ ไปอีก ทา่ นธุดงค์ออกจากสาธารณรฐั แหง่ สหภาพเมียนมาร์มาอยทู่ ่ี
วดั อปุ นนั ทาราม (วดั ดา่ น) จงั หวดั ระนอง และวัดหาดส้มแป้นเป็นวดั เล็ก ๆ อยู่ในหมูบ่ ้านท่ีทรุ กันดาร
จากตัวเมืองเข้ามายังหมู่บ้านต้องเดินทางด้วยเท้าและบรรทุกของด้วยช้างเท่าน้ัน แต่เป็นดินแดนท่ี
สงบร่มเยน็ ดว้ ยธรรมชาตแิ ละทรัพยากรอนั อุดมสมบูรณช์ าวบา้ นอยู่กนั อยา่ งสงบสุขสามัคคเี ปน็ เหมอื น
ฉันพี่น้อง บริเวณวัดด้านหน้ามีลำคลองไหลผ่านน้ำใสสะอาดมีปลาพลวงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ด้านหลังมีเนินเขามีต้นไม้นานาชนิดเขียวชอุ่มตลอดปี ท่านจึงคิดจำพรรษาที่วัดน้ีให้นานที่สุด หรือ
ตลอดไป ท่านชอบมากเพราะสงบรม่ เย็นดว้ ยธรรมชาติไมว่ นุ่ วาย โดยเฉพาะปลาพลวงในลำคลองทา่ น
รกั และหวงแหนมาก เดก็ ๆ ไปรังแกท่านจบั มาเฆย่ี นทุกราย ส่วนผู้ใหญ่จะไม่มีใครกล้ารังแกปลา ทา่ น
พูดเสมอว่า ปลาน่ีคือสมบัติอันล้ำค่าของชาวหาดส้มแป้น ซึ่งคำพูดของท่านก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็น
ความจริงเพราะปจั จุบันน้ีมขี บวนรถทัวร์มาดปู ลาทว่ี ดั ทุกวนั และยง่ิ ไปกวา่ นนั้ เมอ่ื วันท่ี 30 กรกฎาคม
2531 ท่ีผ่านมา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกมุ ารีไดเ้ สดจ็ มาทอดพระเนตรปลาพลวง
ทนี่ ี่ และได้เสด็จข้นึ ศาลานมัสการรปู หลอ่ เหมือนของท่านด้วย ทำให้ชาวหาดส้มแป้นทุกคนได้มีโอกาส
เข้าเฝ้าใกล้ชิดทุกคน ท่านได้รับการแต่งต้ังเปน็ เจ้าอาวาสวัดหาดส้มแป้นต่อจากพ่อหลวงน้อย ในสมัย
ที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสน้ันมีกุฏิเก่าสร้างด้วยไม้ยกพื้นมีบันได ข้างล่างใต้กุฏิจะเต็มไปด้วยยาสมุนไพร
เคร่ืองบดยา หมอ้ ต้มยา ทา่ นต้องรักษาโรคทุกชนิดทุกวัน เพราะสมัยนน้ั การแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่
ก้าวหน้าไม่มีสถานอี นามัย คนไข้จะไปหาหมอท่ีโรงพยาบาลต้องหามไป ไม่มีรถกวา่ จะถึงตอ้ งใช้เวลา
เป็นวัน ๆ ชาวบ้านเวลาเจ็บไข้ก็ต้องไปหาท่าน ท่านแทบไม่มีเวลาพักผ่อนกลางคืนดึกดื่นท่านจะไป

90

ทันทีเมื่อมีคนไข้ ท่านช่วยชีวิตคนไข้ไว้ได้มากมาย มีเหตุการณ์ที่แสดงความศรัทธาของชาวหาดส้ม
แป้นที่มีต่อท่าน ท่านจะเดินทางไปเยี่ยมญาติ ชาวบ้านเข้าใจว่าท่านจะไม่กลับมาอีกเดินตามท่านไป
เกือบท้ังหมู่บ้านเดินร้องไห้ ไปจนกระทั่งท่าน รับปากว่าท่านจะกลับมาแน่นอน ชาวบ้านจึงยอม
กลับ ท่านกลับมาจำพรรษาท่ีน่ีตลอดมา จนกระท่ังท่านป่วยด้วยโรคประสาทหนังตาไม่ทำงาน หนัง
ตาปิดสนิทท้ังสองข้างส่วนดวงตายังปกติทำให้ท่านดึงหนังเปิดจึงจะมองเห็น ท่านไปไหนมาไหนไม่
สะดวก บรรดาศิษยานุศิษย์และผู้มีจิตศรัทธาต่อท่านพยายามพารักษาที่กรุงเทพฯ และที่มีหมอ
เช่ียวชาญแต่อาการไม่กระเต้ืองข้ึน ทำใหท้ ่านตัดสินใจไปจำพรรษาที่วัดสระ กำนนั บญุ จินตจ์ ึงรวบรวม
เงนิ ท่ีเก็บรักษาไวป้ ระมาณส่หี มื่นกว่าบาทพร้อมกับให้คนนำท่านไปส่งท่ีวดั สระตามความต้องการของ
ท่านระยะที่ท่านมารักษาท่ีวดั สระนี้ ชาวหาดส้มแป้นบรรดาศิษยแ์ ละผู้เคารพนับถือท่านมาเยยี่ มท่าน
แม้ระยะทางจะไกลลำบากก็ไม่ย่อท้อ จวบจนกระทั่งวันที่ 16 สิงหาคม 2523 ท่านมรณภาพ
ท่ามกลางญาติและพี่สาวของท่านชาวหาดส้มแป้นและบรรดาศิษย์ได้รับข่าวด้วยความเศร้าโศกเป็น
อย่างยิ่ง มีบรรดาศิษยแ์ ละผู้ท่นี ับถือท่านจำนวนหนึ่งเดินทางไปรว่ มงานศพท่าน กอ่ นทา่ นจะมรณภาพ
ท่านถามมาว่าวนั น้ี วันอะไร ข้ึนหรือแรมกี่ค่ำ เม่ือรู้ว่าเป็นอะไร เด็ก ๆ ท่ีว่ิงเล่นใกล้ ๆ กุฏิที่ท่านอยู่
ท่านใช้ให้ไปวิ่งเล่นที่อื่น ท่านต้องการความสงบ เม่ือมีผู้เข้าไปพบปรากฏว่าท่านมรณภาพแล้ว
ในลักษณะท่านน่ังตรงศรี ษะแหงนพับไปข้างหลังเล็กน้อย หลังจากได้รับอฐั ิของท่าน ชาวหาดส้มแป้น
โดยการให้ทุนของนางฉุ้นล่ัน จู้ย่ี สร้างรูปหล่อเหมือนของท่านบรรจุอัฐิประดิษฐานไว้ที่ศาลาซึ่งเดิม
เป็นที่ท่านจำพรรษาท่ีวัดน้ี ในขณะท่ีท่านมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันนี้ที่ศาลาพ่อท่านคล้ายจะมีนักทัศนาจร
และผู้ที่มาดปู ลาพลวงเขา้ กราบไหวบ้ ูชารปู เหมือนของท่านทกุ วัน และรายได้ทรี่ ับจากตูบ้ รจิ าคทศ่ี าลา
ทางคณะกรรมการได้จัดตั้ง “กองทุนพ่อท่านคล้าย” ขึ้นมาเพื่อสาธารณประโยชน์ การศึกษา การ
ศาสนา ของตำบลหาดส้มแป้น

ศาสนสถาน
วัดสุวรรณคีรีวหิ าร
เป็นวัดแหง่ แรกของจังหวัดระนอง ต้ังอยู่ที่ตำบลเขานิเวศน์ อำเภอเมืองระนอง บริเวณที่ตั้ง
เป็นที่ราบ แวดลอ้ มไปด้วยภูเขาและบ้านเรอื นของประชาชน สรา้ งข้นึ เมือ่ เดือนเมษายน พ.ศ. 2433
ในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั เมอ่ื คราวเสด็จประพาสหัวเมอื งฝงั่ ทะเลตะวันตก
ทรงเห็นว่าวัดสุวรรณคีรีทารามประสบภัยธรรมชาติและเป็นวัดร้าง จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยารัตน
เศรษฐี ผู้ว่าราชการเมืองระนองดำเนินการสร้างวัดนี้ขึ้นมาแทน พร้อมกับได้พระราชทานนามว่า
วัดสุวรรณครี ีวิหาร ชาวบา้ นนยิ มเรียกว่า วดั หน้าเมือง ภายในอโุ บสถมพี ระประธาน พระพุทธรปู หิน
ออ่ น 5 องค์ และธรรมมาสนท์ พ่ี ระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อย่หู ัวพระราชทานไว้

วัดอปุ นันทาราม (วดั ดา่ น)
ต้ังอยู่ในเขตเทศบาลเมืองระนอง สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2436 โดยนายบาเช่งได้บริจาคท่ีดิน
จำนวน 8 ไร่ 50 ตารางวา เป็นสถานท่สี ร้างวัด ต่อมาบรษิ ัทไซมสิ ดนิ ท์ได้บริจาคที่ดินเพม่ิ ขึ้นอีกรวม

91

เป็น 22 ไร่ 2 งาน 34 วา ไดร้ ับวสิ งุ คามสีมา เมอ่ื พ.ศ. 2461 โดยมีพระครศู ีลพงษค์ ณารกั ษ์ (หลวง
พ่อบรรณฯ พทุ ธสโร) เปน็ เจา้ อาวสาองค์ที่ 1

วดั จันทาราม
เป็นวัดที่มีความสำคัญ ทางประวัติศาสตร์และสังคม กล่าวว่า เป็นวัดที่ต้ังอยู่ใกล้เขตแดน
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เป็นวัดพัฒนาตัวอยา่ งของจังหวดั ระนอง และทางราชการได้ใช้เป็น
สถานที่ประชุมและอบรมข้าราชการ ราษฎร ภายในวัดมีสถานท่ีให้ราษฎรท่ีเดินทางไกลพักค้างแรม
และมกี ารจดั กิจกรรมอ่นื ๆ ท่ีอำนวยประโยชนต์ อ่ การทำนบุ ำรงุ พระพทุ ธศาสนาประจำ
วัดจันทาราม ตั้งอยู่ที่ ตำบลน้ำจืด อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง สร้างขึ้นเม่ือ พ.ศ. 2433
เดิมช่ือว่า วัดประทุมธาราเทพนิมิต ตามประวัติกล่าวว่า เม่ือพระยาอัษฎงคงคตทิศรักษา (คอซิมบี้
ณ ระนอง) ย้ายสถานท่ีต้ังเมืองกระ จากตำบลปากจั่นมาต้ังที่ตำบลน้ำจืด เม่ือ พ.ศ. 2428 แล้ว
ดว้ ยเหตุท่ีพระยาอัษฎงคตทศิ รกั ษารู้จกั ชอบพอและเคารพนับถอื หลวงพ่อจันทร์ ซึ่งจำพรรษาอยู่ท่ีวัด
ขี้ไฟ (ซึง่ อยู่ตรงข้ามตำบลน้ำจืด หา่ งจากที่ตง้ั เมืองกระ ขึน้ ไปทางเหนือเล็กน้อย) จึงไดน้ มิ นต์หลวงพ่อ
จันทร์มาอยู่ท่ีตำบลน้ำจืด โดยสร้างวัดให้ที่เชิงเขาชายคลองน้ำจืด ห่างจากตัวเมืองประมาณ
1 กิโลเมตร โดยสร้างเป็นกุฏเิ ลก็ ๆ ด้วยไมเ้ บญจพรรณ มุงจาก ก้ันจาก อยู่ได้เฉพาะรูปเดียว เรียกว่า
วัดประทุมธาราเทพนิมติ แตช่ าวบา้ นเรยี กวา่ วัดนำ้ จดื (ทถี่ กู ตอ้ งควรเรยี กว่าสำนักสงฆ)์

อโุ บสถวดั สุวรรณคีรี ปากจน่ั
วัดสวุ รรณครี ี
เดิมช่ือ วัดปากจ่ัน สร้างข้ึนเม่ือประมาณปี พ.ศ. 2408 มูลเหตุการณ์เปล่ียนแปลงช่ือวัด
เน่ีองด้วยเหตุผลท่ีถือตามภูมิศาสตร์ ประกอบกับเคยมีชาวบ้านได้ชุดพบทองนพเก้าในคร้ังนี้ จึงได้
เรียกว่า วดั สุวรรณคีรี ได้รับวิสุงคามสีมาเมือ่ วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2502 ภายในวัดมีเจดีย์เก่าแก่
อายุนับร้อยปี ส่วนบนยอดทำด้วยทองคำแท้ ปัจจุบันเหลือแต่ซากเจดีย์เก่าปรากฏเห็นได้ชัด
มลี ักษณะเป็นอเุ ทสกิ ขเ์ จดีย์ มฐี านกวา้ งดา้ นละ 10 เมตร สูง 15 เมตร

92

วดั ปทุมธาราราม
ตงั้ อย่เู ลขท่ี 34 หมทู่ ่ี 5 ตำบลกะเปอร์ อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง ตัววัดต้ังอยู่บนท่ีราบ
สูง สภาพแวดล้อมเป็นลำคลองและป่าไม้ ประกอบด้วยอาคารเสนาสนะที่เก่าแก่ อุโบสถ ศาลาการ
เปรียญ กุฏิเจดีย์ มีเน้ือที่รวมทั้งสิ้น 101 ไร่ 50 ตารางวา วัดปทุมธารารามสร้างขึ้นเม่ือประมาณ
พ.ศ. 2311 สมัยธนบุรีตอนต้น ช่ือวัดขนามนามตามลักษณะสภาพแวดล้อม แต่ชาวบ้านมักนิยม
เรียกวา่ วัดบางปรุ ตามชื่อคลอง ได้รับวิสงุ คามสีมา เมอื่ วันท่ี 22 มกราคม พ.ศ. 2462

วัดปทมุ ธาราราม

9. เอกลกั ษณ์ของจังหวัดระนอง

คอคอดกระ
คอคอดกระ หรอื กวิ่ กระ เปน็ ส่วนทแ่ี คบท่ีสุดของคาบสมุทรมลายูอยู่ในเขตบ้านทับหลี ตำบล
มะมุ อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง กับ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ประมาณกิโลเมตรที่ 545 ของทาง
หลวงแผ่นดินหมายเลข 4 ห่างจากเขตเทศบาลเมือง 66 กิโลเมตร ในบริเวณนี้มีแผ่นป้ายคอนกรีต
ขนาดใหญ่จำลอง คอคอดกระ มีระยะทางจากฝั่งทะเลตะวันตกจรดฝ่ังตะวันออกกว้างเพียง 50
กิโลเมตร พ้ืนที่ส่วนนี้นับเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ ท่ีได้รับความสนใจตั้งแต่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์
มหาราช ในการที่จะขุดคลองตัดผ่านจนกระท่ังถึงรัชกาลท่ี 4 ฝร่ังเศสคิดจะขุดคอคอดกระเพ่ือร่น
ระยะทางในการเดินเรือจากฝั่งทะเลอันดามันข้ามมายังฝั่งอ่าวไทย โดยไม่ต้องอ้อมไปทางแหลม
มลายู แต่เน่ืองด้วยความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับอังกฤษท่ีเป็นเจ้าของกิจการท่าเรือในปีนังและ
สิงคโปร์โครงการน้ีจึงต้องระงับไป ภายหลังสงครามโลกคร้ังท่ีสองในสนธิสัญญาสมบูรณ์แบบไทย
ยินยอมท่ีจะไม่ขุดคลอง คอคอดกระ หากไม่ได้รับความยินยอมจากอังกฤษก่อน ปรีดี พนมยงค์ได้
เสนอให้ขุดคลอง เมื่อ กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 แต่ยังคงไม่มีการขุดคลองแต่อย่างใดจวบจนปัจจุบัน
ซึ่งมีหลายเหตุผลคัดค้านรวมถึงไม่ต้องการให้ประเทศไทยแยกออกเป็นสองส่วน ผนวกกับประเทศ
สงิ คโปร์กลัวจะเสียผลประโยชน์ดว้ ย ใน พ.ศ. 2544 วุฒิสภาได้ต้งั คณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญเพอื่ ศกึ ษา
ความเป็นไปได้ของโครงการขุดคอคอดกระ ผลการศึกษาที่รายงานต่อท่ีประชุมมีสาระสำคัญให้
เรียกช่ือคลองว่า "คลองไทย" และบริเวณท่ีขุดมิใช่คอคอดกระ เนื่องด้วยเหตุผลทางวิศวกรรมศาสตร์
อันได้แก่สภาพพ้ืนท่ีท่ีต้องขุดท่ีคอคอดกระน้ันเป็นหินและภูเขาและความมั่นคงเน่ืองจากบริเวณคอ

93

คอดกระอยู่ท่ีชายแดนสาธารณรัฐแหง่ สหภาพเมยี นมาร์ ปากแม่น้ำกระบุรี บริเวณท่ีวุฒิสภาเห็นวา่ มี
ความเป็นไปได้และเกิดประโยชน์สูงสุดในการขุดคลองไทย คือ เส้นทาง 9A ผ่านจังหวัด
กระบ่ี ตรงั พัทลุง นครศรธี รรมราช และสงขลา ระยะทาง 120 กโิ ลเมตร

คอคอดกระ

แม่น้ำกระบุรี (Kraburi River)
แม่น้ำกระบุรี เป็นแม่น้ำก้ันพรมแดนระหว่างประเทศไทย กับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียน
มาร์ มตี ้นน้ำอยู่ท่ีปลายทิวเขาตะนาวศรี ไหลลงสทู่ ะเลอันดามัน ที่อำเภอเมืองระนอง ต้นน้ำฝั่งไทยมี
ลำคลองหลายสายท่ีไหลลงสู่แม่น้ำกระบุรี ได้แก่ คลองหินเภา คลองกรัง คลองย่านยาวปากสูตร
คลองหวายแดง คลองน้ำทุ่น คลองเงนิ เป็นต้น และมีคลองที่ไหลจากฝั่งพมา่ มาลงแม่น้ำกระบรุ ี ได้แก่
คลองเม้าขุนน้อย คลองหาดกระดิ่ง คลองท่าเฮียน คลองกะนัด คลองยาง คลองงาน คลองสูตร
ตอนต้นน้ำเรียก คลองกระใน ปากแม่น้ำกระบุรีมีความกว้าง 5 กิโลเมตร ยาวประมาณ 139
กิโลเมตร แม่น้ำกระบุรีใช้เป็นเส้นทางคมนาคมมาตั้งแต่สมัยโบราณ ต่อมาชาวอำเภอกระบุรีได้ใช้
แมน่ ำ้ กระบรุ ี เปน็ สถานท่ีแข่งขันเรอื ในวันออกพรรษา เป็นประจำสืบมา

แมน่ ำ้ กระบุรี
ภูเขาหญา้ (Grassy Mountain)
ภูเขาหญ้าต้ังอยู่ในเขตพ้ืนท่ีตำบลหงาว อำเภอเมืองระนอง อยู่ห่างจากเขตเทศบาลเมือง
ระนองไปตามทางหลวงหมายเลข 4 (ระนอง - พังงา) ประมาณ 13 กิโลเมตร เป็นภูเขาที่ปกคลุมไป
ด้วยหญ้าเขียวขจีตามแนวเนินเขาจากเหนือจรดใต้ ในช่วงฤดูร้อนหญ้าจะแห้งกลายเป็นสีน้ำตาล

94

ตามที่ราบเชิงเขามที างเดินเท้าขึ้นสู่สันเขาเพ่ือชมทิวทัศน์โดยรอบ เนินเขาบริเวณน้ีไม่มีตน้ ไม้ใหญ่ข้ึน
มีแต่หญ้าปกคลุมอยู่ช่ัวนาตาปี ประวตั ิความเป็นมาคือ เมื่อประมาณ 100 ปีมาแล้ว เขตพ้ืนท่ีตำบล
หงาวเป็นป่าทึบ บรเิ วณภูเขาหญ้าเป็นทุ่งว่างเปล่า มีฝูงวัวปา่ และฝูงม้าปา่ มาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ชาวบ้านเรียกฝูงวัวป่าน้วี ่า โหงว ต่อมาเม่ือบ้านเมืองเจริญข้นึ มีราษฎรมาอาศัยอยมู่ าก จึงได้ลา่ ววั ป่า
เพ่ือเป็นอาหาร ส่วนม้าป่าล่าไปใช้เป็นม้าออกศึก ทำให้จำนวนสัตว์ดังกล่าวลดลงเร่ือย ๆ แต่คนรุ่น
หลงั ยังคงเรียกสถานท่ที ่ฝี ูงววั ปา่ ม้าป่า เคยอาศยั อยู่ว่า หงาว ซ่ึงเพย้ี นมาจากคำวา่ โหงว ในสมยั ก่อน
(มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, 2539) ปัจจุบันภูเขาหญ้าจัดเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาว
ระนอง และมกั จะมีนกั ทอ่ งเท่ยี วมาเย่ยี มชมอยเู่ สมอ

ภูเขาหญ้า

แหลง่ นำ้ แรร่ อ้ น
เมืองระนอง เมืองแห่งน้ำแร่ธรรมชาติที่มีช่ือเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศ น้ำแรข่ อง
ที่น่ีไม่เหม็นกล่ินกำมะถัน ท้ังยังประกอบด้วยแร่ธาตุสำคัญ เช่น แคลเซียม โซเดียมซัลเฟต
แมกนเี ซยี ม บำบดั โรคได้หลายอย่าง ดังเช่นโรคเกยี่ วกับไขข้อ กลา้ มเน้อื โรคผิวหนังต่าง ๆ ชว่ ยขยาย
หลอดเลือด ช่วยให้ระบบเผาผลาญในร่างกายดีขึน้ ลดความเครยี ด เป็นตน้ ด้วยสรรพคณุ อนั มากมาย
ของน้ำแร่เช่นนี้ มาเมืองระนองทั้งทีเราจึงไม่พลาดการอาบน้ำแร่ จังหวัดระนองมีแหล่งน้ำแร่ถึง
7 แห่ง แหล่งน้ำแร่ร้อนรักษะวารินและแหล่งน้ำแร่ร้อนบ้านพรรั้งเป็นท่ีนิยมมากกว่าแหล่งอ่ืน
เนอื่ งจากมสี ่ิงอำนวยความสะดวกพรอ้ มสรรพ
แหลง่ นำ้ แร่รอ้ นรักษะวารนิ
อยู่ในสวนสาธารณะรักษะวาริน ริมคลองหาดส้มแป้น ห่างจากตัวเมืองระนองเพียง 2 กม.
บางคนเรยี กว่าแหลง่ น้ำแร่รอ้ นวัดตโปทาราม เพราะอยู่ใกล้วัดน้ี มีบ่อน้ำแรท่ ้ังหมด 3 บ่อ บ่อใหญ่
สุด คนระนองเขาเรียกบ่อพ่อ มีเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบ 3 ม. รองลงมาคือบ่อลูก มีเส้นผ่าน
ศูนย์กลาง 2 ม. บ่อเล็กที่สุดคือบ่อแม่ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 ม. น้ำแร่ร้อนมีอุณหภูมิ 65 องศา
เซลเซียสท่ีนี่เป็นบ่อน้ำแร่ร้อนท่ีมีชื่อเสียงท่ีสุดของจังหวัด มีการจัดสภาพแวดล้อมอย่างสวยงาม
สะอาด สะดวกสบายสำหรับการแช่น้ำแร่ มีท้ังแบบบ่อแช่รวมและแบบตักอาบ ถ้ามีเวลาไมม่ าก ก็มี
บ่อแชเ่ ท้าบริการ รับรองว่าหายเมอื่ ยเปน็ ปลดิ ท้ิง

95

แหล่งน้ำแร่รอ้ นคลองบางร้ิน
อยู่ท่ีบ้านทุ่งยอ ต. บางริ้น อ. เมืองระนอง ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศใต้ราว 6 กม. แหล่ง
น้ำแร่นี้เกิดในบริเวณคลองบางร้ิน กล่าวคือน้ำแร่ร้อนไหลซึมขึ้นมาตามรอยแตกของหินกลางคลอง
อณุ หภูมิน้ำแร่ 50 องศาเซลเซียส แต่เน่ืองจากธารน้ำเย็นมีมากกว่า ทำให้น้ำมีอุณหภูมไิ ม่สูงพอ จึง
ไมเ่ ป็นที่นิยม
แหลง่ น้ำแรร่ อ้ นคา่ ยรัตนรงั สรรค์
อยู่ในค่ายรตั นรังสรรค์ (ร.25 พัน 2) ต. ราชกรดู อ. เมืองระนอง หา่ งจากตัวเมอื ง 22 กม.
มีทั้งหมด 3 บ่อ อุณหภูมิน้ำแร่ 43-45 องศาเซลเซียส บ่อน้ำแร่ที่น่ีดูเหมือนบ่อน้ำธรรมดา
เนอ่ื งจากยงั ไมม่ ีการปรับปรงุ ภมู ทิ ศั น์ ทว่ามหี อ้ งอาบน้ำแรบ่ รกิ าร เปน็ แบบฝกั บัวและแบบตกั อาบ
แหลง่ นำ้ แร่ร้อนบา้ นพรร้ัง
ต้ังอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว บ้านพรร้ัง ต. บางร้ิน อ. เมืองระนอง ห่างจากตัว
เมืองราว 10 กม. ต้องเสียค่าธรรมเนียม ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท เพราะอยู่ในเขตอุทยาน
แหง่ ชาติ และเพราะเหตนุ ี้จึงมีบรรยากาศร่มรืน่ ดว้ ยไม้ใหญ่ แหล่งนมี้ ีบ่อน้ำแร่ 3 บ่อ อุณหภูมินำ้ แร่
54-55 องศาเซลเซียส และยังมีตาน้ำแร่ร้อนผุดข้ึนมาสบกับธารน้ำเย็นพรรั้งเกิดเป็นแอ่งน้ำอุ่น มี
บ่อแชน่ ำ้ แร่อยา่ งเป็นสัดส่วน สะอาดสะอ้าน ทงั้ บ่อแช่เท้า บ่อแช่ตวั และห้องอาบนำ้ กลางแจ้ง พรอ้ ม
หอ้ งเปล่ยี นเสอื้ ผ้า ในบริเวณใกล้เคียงยงั มอี าคารทพี่ ักบรกิ ารดว้ ย
แหลง่ น้ำแรร่ อ้ นบา้ นหาดยาย
อยู่ในเขตหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติลำน้ำกระบุรี ที่ กบ. 1 (บ้านหาดยาย) บริเวณบ้าน
หาดยาย ต. บางพระเหนือ อ. ละอุ่น ห่างจากตัวเมืองระนอง 38กม. ทน่ี ีม่ ีบอ่ น้ำแร่ 3บ่อ อุณหภูมิ
น้ำแร่ 39-50 องศาเซลเซียส ไม่มีการสร้างบ่อแช่ตัว จึงต้องใช้วิธีตักอาบ แต่มีการสร้างสะพาน
เส้นทางเดิน ศาลาทพี่ กั และหอ้ งน้ำไวบ้ รกิ าร
แหล่งนำ้ แรร่ อ้ นพรุหลมุ พี
อยู่ที่บ้านทุ่งยอ ต. บางริ้น อ. เมืองระนอง ห่างจากแหล่งน้ำแร่ร้อนคลองบางริ้น 1.5 กม.
มีบ่อน้ำแร่เป็นรูปหกเหลีย่ ม ความยาว 2 ม. อุณหภูมิน้ำแร่ 40 องศาเซลเซียส ปัจจุบันกำลังพัฒนา
และปรับปรุงภูมิทัศน์ โดยสร้างบ่อแช่ตัว 2 บ่อ ห้องอาบนำ้ และร้านค้า แต่นักทอ่ งเท่ียวสามารถเข้า
ไปใชบ้ รกิ ารอาบน้ำแร่โดยการตักอาบได้
แหล่งนำ้ แร่รอ้ นบา้ นนา
อยู่ท่ีบ้านแพรกซ้าย ต. บ้านนา อ. กะเปอร์ พื้นที่ในความรับผดิ ชอบของเขตรักษาพันธ์ุสัตว์
ป่าคลองยัน จึงมีลักษณะเป็นป่าธรรมชาติท่ียังคงความอุดมสมบูรณ์ การเดินทางไปถึงค่อนข้าง
ลำบากเพราะอยู่ห่างจากตัวเมืองระนอง 72 กม. แต่มีความน่าสนใจตรงที่เป็นธารน้ำร้อนอุณหภูมิ
65-75องศาเซลเซยี ส ซึง่ ไหลไปบรรจบกับธารน้ำเย็น ทำให้น้ำอุ่นกำลงั ดี ลงแช่ได้อย่างสบาย ใกล้ๆ
กบั แหลง่ นำ้ แรร่ อ้ นมีนำ้ ตกละอองดาวให้แวะเที่ยวชมดว้ ย


Click to View FlipBook Version