กลุ่มนิเทศ ตดิ ตามและประเมนิ ผลการจดั การศึกษา
สานักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาระนอง
ย้อนรอยเมอื งเก่า
เล่าเรอ่ื ง“เมอื งแร่นอง”
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๑
ขอ้ มลู พนื้ ฐานจงั หวดั ระนอง
ข้อมูลพืน้ ฐานจงั หวัดระนอง
ตราประจำจงั หวัดระนอง
รูปปราสาทตั้งอยู่บนภูเขา มีรูปเลข ๕ ประดิษฐานอยู่บนพานแว่นฟ้าพระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช เป็น
พระมหากษัตริย์พระองค์แรกทีเ่ สด็จประพาสเมืองระนอง ซึง่ เจ้าเมอื งระนองในสมัยนั้นได้จัดท่ี
ประทับบนเนินเขานิเวศน์คีรี ซึ่งต่อมาได้พระราชทานนามพลับพลาที่ประทับว่าพระที่น่ังรัตน
รังสรรค์ จังหวัดระนองจึงได้ประมวลเอาสิ่งสำคัญดังกล่าวมาเป็นดวงตราประจำจังหวัด ซ่ึง
เป็นรูปปราสาทตั้งอยู่บนภูเขามีรูปเลข ๕ ประดษิ ฐานอยู่บนพานแว่นฟ้า ความหมายต่างๆ ใน
ดวงตรา คอื
เลข ๕ หมายถงึ พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหา
จุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ
ปราสาท หมายถงึ พระทนี่ ัง่ รตั นรังสรรค์
ภเู ขา หมายถงึ ภูเขานเิ วศน์คีรี
พานแวน่ ฟา้ หมายถงึ ชาวจังหวดั ระนอง
จงั หวดั ระนอง ใช้อักษรยอ่ ว่า รน.
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๒
ตน้ ไม้ประจำจังหวัด
ตน้ อนิ ทนลิ
ดอกไมป้ ระจำจังหวดั
ดอกโกมาซมุ
โกมาซุม เป็นกล้วยไม้ป่า มีชื่อว่า “เอื้องเงินหลวง” มีลักษณะคล้ายกับดอก
แคทลียา ซึ่งเป็นราชินีดอกกล้วยไม้ พบมากในป่าที่มีความชุ่มชื้นของจังหวัดระนอง
โดยเฉพาะเขาน้ำตกหงาว บริเวณอำเภอเมือง ลักษณะลำต้นเปน็ ปล้องๆ เท่านิ้วชี้ เนื้อเยือ่
อ่อนๆ ใบบางๆ เรียวเล็ก สีเขียวอ่อนถึงแก่ แยกออกสองทาง โกมาซุมจะออกดอกออกชอ่
สมบูรณ์สวยงามมาก ลักษณะดอกมีสีขาว มีกลีบใหญ่ แต้มสีเหลืองอ่อนอยู่ตรงกลาง
บริเวณใกล้ลิ้น มีกลิ่นหอมอ่อนๆ บานอยู่ได้หลายวัน โดยจะออกดอกบานสะพรั่ง ในช่วง
เดือนตลุ าคม-ธนั วาคมของทกุ ปี
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๓
ธงประจำจังหวดั
คำขวัญจังหวัดระนอง
“คอคอดกระ ภเู ขาหญ้า กาหยหู วาน ธารนำ้ แร่ มุกแทเ้ มืองระนอง”
คอคอดกระ เป็นสว่ นท่ีแคบท่สี ุดของแหลมมลายอู ยใู่ นเขตบา้ นทบั หลี ตำบลมะมุ อำเภอ
กระบุรี จังหวดั ระนอง
ภูเขาหญ้า ภูเขาหญ้าหรือเขาหัวล้าน สถานที่ทอ่ งเทยี่ วของจังหวัดระนอง
กาหยหู วาน หรือมะมว่ งหมิ พานตน์ ำเข้ามาปลกู คร้ังแรกทภ่ี าคใตข้ องประเทศไทย
เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๔๔ โดยพระยารษั ฎานปุ ระดิษฐมหิศรภกั ดี
(คอซิมบ้ี ณ ระนอง)
ธารนำ้ แร่ ระนองมแี หลง่ น้ำแรถ่ งึ ๗ แหง่ แหล่งน้ำแรร่ ้อน เมืองแห่งนำ้ แร่ธรรมชาติท่มี ี
ชอ่ื เสยี งของประเทศ
มุกแท้เมอื งระนอง เป็นจังหวดั ทมี่ ีชื่อเสียงเรอ่ื งไข่มุกของประเทศไทย
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๔
ความเปน็ มาของชือ่ จงั หวดั และอำเภอ
ระนอง หรอื เมืองแรน่ อง เดิมเป็นหวั เมอื งเล็กๆ มฐี านะเปน็ เมืองข้นึ ของเมืองชุมพร
มาตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของไทย โดยแบ่งการปกครองออกเป็น ๒ เมือง
คือ เมืองระนอง และเมืองตระ ซึ่งอยูใ่ นการปกครองของเมืองชุมพรเจา้ เมืองมีบรรดาศักด์ิ
เป็นหลวง เรียกช่ือตามนามเมอื งว่า “หลวงระนอง” ครน้ั ต้นสมยั กรงุ รัตนโกสินทร์มีชาวจีน
ฮกเกี้ยน ชื่อ “คอซู้เจียง” ได้ยื่นขอประมูลอากรดีบุกในเขตเมืองระนอง และเมืองตระ ซึ่ง
พระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจ้าอยู่หัว ทรงโปรดอนญุ าตพร้อมกับพระราชทานบรรดาศักดิ์
ใหค้ อซูเ้ จยี งเป็นหลวงรตั นเศรษฐี ดำรงตำแหนง่ นายอากรเมืองตระ และเมืองระนอง ในปี
๒๓๙๗ ตำแหน่งเจ้าเมืองระนองว่างลง เนื่องจากหลวงระนองป่วยถึงแก่กรรม
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญา
บัตรเลื่อนบรรดาศักดิ์ หลวงรัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) ขึ้นเป็นพระรัตนเศรษฐีเป็นเจ้าเมือง
ระนอง เม่อื พม่าตกเปน็ เมืองขนึ้ ของอังกฤษและรัฐบาลองั กฤษไดจ้ ัดการปกครองหัวเมืองที่
ได้ไปจากพม่าเข้มงวดกวดขันขึ้นโดยลำดับมาถึงเขตต่อแดนพระราชอาณาเขตทางทะเล
ตะวันตก ในเวลาต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่าเมือง
ระนองและเมืองตระเป็นเมืองขึน้ อยู่ในเมืองชุมพรจะรักษาราชการทางชายแดนไม่สะดวก
จึงโปรดฯให้ยกเมืองตระและเมืองระนองเป็น หัวเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร
และทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯใหเ้ ลื่อนบรรดาศักดิพ์ ระรตั นเศรษฐี (คอซเู้ จียง) ขน้ึ เป็นพระ
ยารัตนเศรษฐี เป็นผวู้ ่าราชการเมืองระนอง เม่อื พ.ศ. ๒๔๐๕ และ ในปี พ.ศ. ๒๔๒๐ สมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาดำรง
สจุ รติ มหศิ รภกั ดี ระนองมีฐานะเป็นหัวเมืองอสิ ระและต่อมาไดย้ กฐานะเปน็ จังหวดั และได้มี
การยุบเมืองตระเป็นอำเภอ เรียกว่า อำเภอกระบุรี โดยให้ขึ้นกับจังหวัดระนอง ตั้งแต่น้ัน
มาระนองในอดีตนั้นมีความสำคัญในฐานะที่เป็นเมืองดีบุก เมืองชายแดน เมอื งคอคอดกระ
และเมอื งเสด็จประทับแรม ดงั น้ี
๑. เมอื งดีบุก ระนองมีทรัพยากรธรรมชาตทิ ่ีมีชื่อเรยี กกันในสมยั โบราณว่าตะก่ัวดำ
หรือดีบุกอยู่ใต้แผ่นดินเป็นจำนวนมาก จึงมีความสำคัญในฐานะเป็นเมืองดีบุกมีแร่ดีบุกมี
ค่าอุดมสมบูรณ์ และเป็นเมืองแรกที่มีเจ้าของเหมืองแร่ (นายนอง) ได้รับพระราชทาน
บรรดาศักด์ิเป็นหลวงระนอง เจ้าเมืองคนแรก ซึ่งเป็นนายอากรแตโ่ บราณในการผกู ขาดส่ง
อากรดีบุกให้รัฐบาล นับว่าได้มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจของ
ประเทศทสี่ ำคญั ต่อเนอื่ งมาจนถงึ ปจั จุบัน
๒. เมืองชายแดนการที่ไทยต้องเสียดินแดนเมืองมะริดรวมทั้งเมืองมะลิวัลย์แก่
องั กฤษและไดม้ กี ารปกั ปนั เขตแดนไทย โดยใช้แมน่ ำ้ กระบุรเี ปน็ เสน้ ก้ันพรมแดน
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๕
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๒ มีผลให้เมืองระนองและเมืองตระ ซึ่งมีฐานะเป็นอำเภอใน
ปกครองของจังหวัดระนอง มีความสำคัญในฐานะเปน็ เมืองชายแดน มีอาณาเขตติดต่อกับ
เมอื งขึน้ ของอังกฤษทางด้านทะเลตะวันตกและมีความสำคัญในฐานะเป็นศูนย์รวมของการ
ไปมาหาสู่และซื้อขายสินค้าระหว่างไทยกับพม่าซึ่งเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เมื่อพม่าได้รับ
เอกราชพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ การไปมาหาสู่และการซื้อขายสินค้าระหว่าง
คนไทยและพม่าทางชายแดนจังหวดั ระนองนำความเจรญิ ก้าวหน้าทางเศรษฐกจิ ใหจ้ ังหวัด
ชายแดนทงั้ สองประเทศจนถึงปจั จุบนั
๓. เมืองคอคอดกระพื้นที่บริเวณคอคอดกระเป็นผืนแผ่นดินที่กิ่วหรือแคบที่สุดใน
แหลมมลายู ระยะทางประมาณ ๔๔ กิโลเมตร พื้นที่ด้านตะวันตกของบริเวณคอคอดกระ
ตั้งอยู่ในเขตปกครองของเมืองตระมาแต่เดิม ผืนแผ่นดินส่วนที่แคบที่สุดระหว่างทะเล
ตะวันตกและทะเลตะวนั ออกแหง่ น้ี มีภเู ขาสลับซบั ซ้อนมีทางลัดผ่านช่องเขาเพยี งสายเดียว
ในสมยั โบราณคอคอดกระมีความสำคัญเปน็ เส้นทางทส่ี ำคัญทางเดียวทพี่ มา่ ใช้เป็นเส้นทาง
เดินทัพยกมาตีหัวเมอื งปกั ษ์ใต้ฝั่งทะเลตะวันออก เมื่อฝรั่งเศสคิดจะขุดคลองกระจากเมือง
ตระไปออกเมืองชุมพร เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเดินเรือจากยุโรปไปเมืองจีนใน
แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคอคอดกระจึงมีความสำคัญมากขึ้น หาก
สามารถขดุ คลองได้สำเร็จเรือเดนิ ทะเลจากยโุ รปจะผ่านคลองไปเมอื งจีนได้โดยไม่ต้องอ้อม
แหลมมลายู ผลประโยชน์ทางการค้าของอังกฤษทางเมืองปีนังและสิงคโปร์ และความ
จำเป็นทางด้านการทหารของอังกฤษ คงมีผลให้ไทยต้องเสียดินแดนทางแหลมมลายู ด้วย
เหตุดังกล่าวประกอบกับการขุดคลองกระ จึงจำเป็นต้องขุดแม่น้ำกระบุรีซึ่งเป็นเส้นก้ัน
พรมแดนไทยกับพม่าของอังกฤษให้กว้างลึกเข้าไปในดินแดนอันอยู่ในอำนาจของอังกฤษ
ด้วย เมื่ออังกฤษไม่ยอมจึงขุดคลองคอคอดกระไม่ได้ ความคิดที่จะขุดคลองกระจึงล้มเลิก
ไป อังกฤษจึงได้กำหนดเป็นข้อผูกพันไว้ในสนธิสัญญาระหว่างไทยกับอังกฤษมิให้ไทยขุด
คลองดังกล่าวโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากของอังกฤษก่อน การขุดคลอง ณ บริเวณคอ
คอดกระ มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูง แต่กระทบต่อความมั่นคง ของชาติทางด้าน
การทหาร บริเวณคอคอดกระเหมาะสมแก่การขดุ คลองเพียงไรคุ้มค่าในการลงทนุ แค่ไหน
เป็นเรื่องที่ควรแก่การศึกษา คอคอดกระจึงยังอยู่ในความสนใจทั้งทางราชการและ
ประชาชนมาจนถึงปัจจุบัน
๔. เมืองเสด็จประทับแรมพระมหากษัตริย์ไทยในอดีต และพระบาทสมเด็จพระ
เจา้ อยูห่ ัวภูมพิ ลอดุลยเดช ตลอดจนพระบรมวงศานุวงค์ ได้เสดจ็ พระราชดำเนนิ มาประทับ
แรม ณ จังหวัดระนอง ตามลำดับดังน้ี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ
เลียบมณฑลปักษ์ใต้ผ่านเมืองตระไปประทับแรม ณ พระที่นั่งรัตนรังสรรค์ บนเขานิเวศน์
คีรี เมืองระนอง ๓ ราตรี ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๖
เลียบมณฑลปักษ์ใต้ฝั่งตะวันตก ประทับแรม ณ จังหวัดระนอง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเมืองระนอง และประทับแรม ณ
จังหวัดระนอง ๓ ราตรี ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
และสมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรจงั หวดั
ระนอง ประทับแรม ณ จังหวัดระนอง เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ สมเด็จพระเทพ
รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จเยี่ยมราษฎรท้องที่จังหวัดระนองเป็นการส่วน
พระองค์และทรงลงพระปรมาภิไธยบนแผ่นศิลาที่อำเภอกระบุรี รวมทั้งประทับแรม เป็น
เวลา ๒ ราตรี เมื่อวันที่ ๒๙-๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ และเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม
พ.ศ. ๒๕๓๖ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีได้เสด็จนำคณะนักเรียน
นายร้อยพระจุลจอมเกล้ามาทัศนศึกษาประกอบหลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์ ณ จังหวัด
ระนอง
พฒั นาการของบา้ นเมืองในยคุ ต่างๆ
สมัยกอ่ นกรงุ ศรีอยธุ ยา
ประวัติความเป็นมาของจังหวัดระนองสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาไม่มีหลักฐาน
ปรากฏเข้าใจว่าสมัยนั้นจังหวัดระนองยังคงมีสภาพเป็นป่าดง รกร้างว่างเปล่าไม่มีผู้คนอยู่
อาศัย เป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งเจริญรุ่งเรืองทางส่วนใต้ของประเทศ
ไทยในสมยั นนั้
สมัยกรุงศรีอยธุ ยา
ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถกับสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุง
ศรีอยุธยา (ระหว่าง พ.ศ.๑๙๙๑ - ๒๐๗๒) ได้มีการปรับปรุงระบบการปกครองบ้านเมือง
โดยยกเลิกการปกครองแบบที่มีเมืองลูกหลวง ๔ ด้าน ราชธานีที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยกรุง
สุโขทัย และได้มกี ารขยายขอบเขตการปกครองของเมืองหลวงให้กว้างออกไปโดยรอบ คือ
จัดเป็นแบบในวงราชธานีกับนอกวงราชธานี ในวงราชธานีนั้นถือเอาเมืองหลวงเป็นหลัก
และมเี มอื งจตั วาขึ้นอยรู่ ายรอบหัวเมือง เมืองจัตวาเหล่านม้ี ีผ้รู ้งั (เจ้าเมอื ง) กับกรมการเป็น
พนักงานปกครองโดยให้อยู่ในบังคับบญั ชาของเสนาบดีทั้งหลายในเมืองหลวงส่วนหัวเมือง
ท่ีอยู่นอกวงราชธานี หรือเมอื งชายแดนหน้าดา่ นชายแดนนน้ั จดั ให้เป็นหัวเมืองชนั้ เอก โท
ตรี ตามขนาดความสำคัญของเมืองนั้น ๆ ซึ่งต่อมาเรียกว่าหัวเมืองชั้นนอก หัวเมือง
ชั้นนอกเหล่านี้ต่างก็มีหัวเมืองเล็กๆ คั่นอยู่เช่นเดียวกับในวงราชธานี มากบ้างน้อยบ้าง
ตามขนาดของอาณาเขตโดยกำหนดตามท้องที่สุดแต่จะให้พนักงานปกครองต่างเมือง
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๗
เดินทางไปมาถึงกันได้ภายในวันหรือสองวัน เพื่อจะได้บอกข่าวช่วยเหลือกันเมื่อมี
เหตกุ ารณต์ ่างๆ เชน่ ภาวะสงคราม บรรดาหัวเมอื งชนั้ นอกเหล่านี้ พระมหากษัตริย์จะทรง
แต่งตั้งเจ้านายในราชวงศ์หรือข้าราชการชั้นสูงศักดิ์เป็นผู้สำเร็จราชการเรียกว่าเจ้าเมือง
หรือพระยามหานครตามแตฐ่ านะของเมอื งมอี ำนาจปกครองบังคับบัญชาสิทธิ์ขาดต่างพระ
เนตรพระกรรณทุกประการ ในสมัยอยุธยาน้ี เมืองระนองมีลักษณะเป็นหัวเมืองเล็กๆ
ขึ้นอยู่กับเมืองชุมพร ซึ่งเป็นหัวเมืองชั้นตรี มีอาณาเขตติดทะเลฝั่งตะวันออกและฝั่ง
ตะวันตก นอกจากเมืองระนองซึ่งเป็นเมืองชั้นเอกเมืองชุมพรแล้วยังมีเมืองตระ (อำเภอ
กระบรุ )ี เมอื งปะทิว เมืองตะโก เมืองหลงั สวนและเมืองมลิวนั (อยใู่ นสหภาพพม่า)
สมัยกรงุ ธนบุรี
เมืองระนองสมัยกรุงธนบุรี ไม่ปรากฏมีเหตุการณ์และหลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์แต่อย่างใด สันนิษฐานว่ายังเป็นหัวเมืองเล็กๆ ขึ้นตรงต่อเมืองชุมพรตลอด
สมยั กรงุ ธนบรุ ี
สมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์
เมืองระนองมีชื่อปรากฏอยู่ในพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ในรัชกาลที่ ๑ และ
รชั กาลที่ ๒ วา่ เป็นเมืองหนึ่งที่พม่ายกทัพผ่านเขา้ มาเพ่ือไปตีเมืองชมุ พรเท่านั้น นอกจากนี้
ในอดีตนอกจากจะเป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ในป่าดงรกร้างหาเป็นภูมิฐานบ้านเมืองไม่ ภูมิ
ประเทศยังเต็มไปด้วยภูเขาสลับซับซ้อนแทบจะหาที่ราบสำหรับการเกษตรไม่ได้ มิหนำซ้ำ
การเดินทางไปมาติดต่อต่างเมืองก็ลำบากยากเข็น ถ้าไม่ใช่การเดินทางทางเรือ อันต้อง
ผ่านปากอ่าวเข้ามาทางด้านมหาสมุทรอินเดียแล้ว ก็ต้องขึ้นเขาลงห้วย บุกป่าฝ่าดงกันเท่า
น้นั เองแตไ่ ม่วา่ ทางใดก็ต้องเสยี เวลาเดินทางกนั เป็นวันๆ ทง้ั นน้ั จนข้นึ ชอื่ วา่ เป็นเมือง “สุด
หลา้ ฟา้ เขยี ว” เอาทีเดียว ผูค้ นตา่ งกันจงึ ไม่ค่อยจะไดถ้ ่ายเทเข้ามาตั้งรกรากทำมาหากินใน
เมืองระนองพลเมืองระนองจึงมีอยู่น้อยนิดเรื่อยมาแต่ในท่ามกลางป่าเขาทุรกันดารนั้น
ระนองได้สะสมทรัพยากรธรรมชาติไว้ใต้แผ่นดินเป็นเอนกอนันต์ นั่นคือวัตถุที่มีชื่อเรียก
กนั ในสมัยโบราณวา่ ตะกว่ั ดำ และในปัจจบุ นั เรียกว่า แรด่ ีบุกนน่ั เอง
ด้วยเหตุนี้เองจึงมีราษฎรในเมืองชุมพรและเมืองหลังสวนได้อพยพเข้ามาหา
เลี้ยงชีพด้วยการขุดแร่ดีบุกขายมาแต่โบราณฝ่ายรัฐบาลผ่อนผันให้ราษฎรมีความเป็นอยู่
อย่างผาสุกโดยให้ส่งส่วยดีบุกแทนการรับราชการ โดยการผ่อนผันกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรี
อยุธยา จนถงึ สมัยกรงุ รัตนโกสินทร์ใหม้ ีเจ้าอากรภาษรี ับผกู ขาดอากรดีบุก คือจักบำรุงการ
ขุดแร่ และมีอำนาจที่จะซื้อและเก็บส่วนดีบุกในแขวงเมืองตระตลอดมาจนถึงเมืองระนอง
โดยยอมสัญญาส่งดีบุกแก่รัฐบาลปีละ ๔๐ ภารา (คิดอัตราในเวลานี้ภาราหนึ่งหนัก ๓๕๐
ชง่ั เปน็ ดีบุก ๑๔,๐๐๐ ชัง่ ) ในการเก็บรวบรวมและจดั ส่งส่วยอากรแรด่ บี กุ ให้แก่รัฐบาลน้ัน
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๘
ราษฎรได้ยกย่องให้นายนอง ซึ่งมีลักษณะเป็นผู้นำที่ดีและเป็นหัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้
รวบรวมและส่งไป ด้วยคุณงามความดีของนายนองที่มีต่อลูกบ้านปกครองลูกบ้านด้วยดี
เสมอมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเปน็ การหารายไดใ้ ห้กับรัฐบาลเพิ่มมากขนึ้ โดยการส่งภาษีอากร
แร่ดีบุกที่ขุดได้เพิ่มมากขึ้น จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงระนองเจ้าเมืองคน
แรกสืบต่อมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีผู้ประมูลผูกขาดส่ง
ภาษอี ากรดบี กุ ข้นึ เรยี กว่า นายอากร
ในปลายสมัยรัชกาลที่ ๓ พ.ศ. ๒๓๘๗ มคี นจีนชื่อคอซู้เจยี ง (ภายหลังได้เป็นท่ี
พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดีผู้เป็นต้นสกุล ณ ระนอง) เป็นจีนฮกเกี้ยน เกิดที่เมืองจิวหู
ประเทศจีน ได้เดินทางเข้ามาประเทศไทยและตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองตะกั่วป่า ได้ย่ืน
เรื่องราวประมูลอากรดีบุก แขวงเมืองตระและระนอง และทำการประมูลได้
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งนายคอซู้เจียง
เปน็ “หลวงรตั นเศรษฐ”ี ตำแหนง่ ขุนนางนายอากร
ในปี พ.ศ. ๒๓๙๗ หลวงระนองเจ้าเมืองระนองถึงแก่กรรมทำให้เจ้าเมือง
ระนองว่างลง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงดำริถึงความดีความชอบ
ของหลวงรัตนเศรษฐีจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตร เลื่อน
บรรดาศักดิ์หลวงรัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) เป็นพระรัตนเศรษฐีผู้สำเร็จราชการเมืองระนอง
ถือศักดินา ๘๐๐ ไร่ แต่เมืองระนองยังคงเป็นเมืองไม่มีชั้น อันดับ ยังคงขึ้นตรงต่อเมือง
ชมุ พรต่อมา
การปกครองตามหัวเมืองในสมัยนั้นยังใช้วิธีซึ่งเรียกในกฎหมายเก่าว่า “กิน
เมือง” อันเป็นแบบเดิมซึ่งดเู หมือนวา่ จะใช้กันทุกประเทศในแถบทางตะวนั ออกนี้ ในเมือง
จีนก็ยังเรียกว่ากันตามภาษาจีน แต่ในเมืองไทยมาถึงชั้นหลังได้เรียกเปลี่ยนเป็น “ว่า
ราชการเมอื ง” ถึงกระนนั้ คำว่ากินเมืองกย็ งั ใชก้ นั ในคำพดู และยงั มอี ยใู่ นหนังสอื เกา่ เชน่ กฎ
มณเฑียรบาล เป็นต้น วิธีปกครองที่ดีเรียกว่ากินเมืองนั้น หลักเดิมคงถือกันว่า ผู้เป็นเจ้า
เมืองต้องทิ้งธุรกิจของตนมาประจำทำการปกครองบ้านเมืองให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข
ปราศจากอันตราย ราษฎรก็ต้องคอยแทนคุณเจ้าเมืองด้วยการออกแรงช่วยทำการงานให้
บ้าง หรือแบ่งสิ่งของซึ่งหามาได้ เช่น ข้าว ปลา อาหารที่เหลือให้เป็นของกำนัลช่วย
อุปการะมิใหเ้ จา้ เมืองตอ้ งเป็นห่วงในการหาเล้ยี งชีพ จงึ มคี วามสขุ สบาย
ในสมัยนั้นอำนาจเหนือราษฎรตามหัวเมืองมีอยู่ ๒ อย่าง คือ อำนาจเจ้าเมือง
กรมการและอำนาจเจ้าภาษีนายอากรในการเรียกเก็บภาษี หัวเมืองใหญ่ที่เจ้าเมืองเป็น
บุคคลสำคัญ เจ้าภาษีนายอากรก็อ่อนน้อม เพราะต้องอาศัยตามอำนาจเจ้าเมือง จึงจะเร่ง
เรียกเก็บภาษีได้สะดวก สำหรับระนองขณะนั้น เดิมเจ้าเมืองระนองพระรัตนเศรษฐี เป็น
พ่อค้า เป็นเจ้าภาษีนายอากรอยู่ก่อนเป็นเจ้าเมืองระนอง รู้ชำนาญการในท้องที่อยู่แล้ว
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๙
ครั้งได้เป็นผู้ว่าราชการเมือง ก็เห็นว่าการที่จะปกครองทำนุบำรุงบ้านเมืองให้สะดวกเป็น
ประโยชน์แก่ราชการและส่วนตัวด้วยนั้นจำเป็นจะต้องรวมอำนาจ ๒ อย่างเข้าด้วยกัน จึง
ไดข้ อรับผูกขาดเกบ็ ภาษีอากรเมอื งระนองตอ่ ไป
ภาษีอากรที่เก็บ ณ เมืองระนองในสมัยน้ันมี ๕ อย่าง คือ ภาษีดีบุกทีอ่ อกจาก
เมืองภาษีสินค้าขาเข้าเมือง ๑๐๐ ชัก ๓ ตามราคาอากรฝิ่น อากรสุรา และอากรบ่อนเบี้ย
ทั้ง ๕ อย่างน้ีเรียกภาษีผลประโยชน์ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวว่า
ลักษณะการที่ให้ผู้ว่าราชการเมืองรับผูกขาดเก็บภาษีผลประโยชน์ดังว่านี้ ดูเหมือนจะจัด
ขึน้ ทเี่ มอื งระนองกอ่ นคร้ังเห็นวา่ เปน็ ประโยชน์ดีจงึ ขยายออกไปถงึ เมืองใกลเ้ คียง คือ ตะก่ัว
ป่า พังงา และภูเก็ต ลักษณะนี้ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นการให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน
เพราะเจ้าเมืองจะต้องเก็บให้มากๆ เหลือส่งพระคลังเท่าใดก็เป็นกำไรแต่ความจริงไม่เป็น
เช่นนั้น หัวเมืองที่มีพลเมืองน้อย แต่ก็มีแร่ดีบุกมาก จำเป็นต้องหาคนมาเป็นแรงงานขุด
ดีบกุ เจ้าเมืองจำเป็นตอ้ งปกครอง เอาใจราษฎรมใิ หท้ งิ้ กันไปอย่ทู อี่ ื่น และยังต้องขวนขวาย
หาคนที่อื่นมาเข้ามาอยู่ในเมืองเพิ่มเติมด้วย ดังปรากฏในเอกสารนำเมืองตั้งพระยารัตน
เศรษฐี (คอซู้เจียง) เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองระนอง ตอนหนึง่ ว่า...เมืองระนองแต่กอ่ นเปน็
เมอื งขึ้นเมอื งชุมพร บา้ นเมอื งกอ็ ยู่ในดงรกร้างหาเป็นภูมิฐานบ้านเมอื งไม่…พระรัตนเศรษฐี
ชักชวนเกลย้ี กล่อมไทยจีนให้มาตง้ั บ้านเรือนทำมาหากนิ อยู่เยน็ เป็นสขุ บ้านเมืองบริบูรณ์ม่ัง
คงั่ ขน้ึ กวา่ แต่ก่อนมาก…
ครั้งต่อมาปรากฏว่า อังกฤษได้จัดการปกครองหัวเมืองซึ่งได้ไปจากพม่า
เข้มงวดกวดขันมาชิดชายพระราชอาณาเขตทางทะเลตะวันตก พระบาทสมเด็จพระจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระดำริว่าถ้าให้เมืองระนองและเมืองตระขึ้นอยู่กับเมืองชุมพร จะ
รักษาราชการทางชายแดนไม่สะดวก จึงโปรดให้ยกเมืองระนองและเมืองตระขึ้นเป็นหัว
เมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ส่วนเมืองระนองนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อน
บรรดาศักดิ์ พระรัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) ขึ้นเป็นพระยารัตนเศรษฐีผู้ว่า-ราชการเมือง
ระนอง เมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๔๐๕ และในคราวที่พระราชทานสัญญาบัตร พระยารัตนเศรษฐี
(คอซู้เจียง) นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานสัญญาบัตร นายคอซิมก๊อง (ซึ่งต่อมาได้เป็นพระยารัตนเศรษฐีและพระยา
ดำรงสุจริตในรัชกาลที่ ๕) ผู้เป็นบุตรให้เป็นหลวงศรีโลหภูมิตำแหน่งผู้ช่วยราชการเมือง
ระนองด้วย
ต่อมาพระยารัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) มีใบบอกเข้ามากราบบังคมทูลฯ ว่ามี
ความแก่ชราลงมากแล้ว ขอพระราชทานกราบถวายบังคมลาไปเมอื งจนี เพอ่ื ไปบำเพญ็ การ
กุศลที่บ้านเดิมสักครั้งหนึ่งได้พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ไปได้ตามประสงค์ พอ
พระยารัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) กลับมา จากเมืองจีน ไม่ช้านักก็เกิดเหตุพวกจีนกุลีกำเริบ
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๑๐
ครั้นเมื่อปราบปรามเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
พระราชดำริว่า พระยารัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) แก่ชราจึงพระราชทาน สัญญาบบัตรเลื่อน
ยศ พระยารัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) ขึ้นเป็นพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดีตำแหน่งจางวางผู้
กำกับราชการเมืองระนอง และทรงตั้งพระศรีโลหภูมิพิทักษ์ (คอซิมก๊อง) ซึ่งเป็นบุตรคน
ใหญ่และเป็นตำแหน่ง ผู้ช่วยราชการเมืองระนองในเวลานั้น เป็นพระยารัตนเศรษฐี
ตำแหนง่ ผวู้ ่าราชการเมอื งระนอง เมื่อปีฉลู พ.ศ. ๒๔๒๐ และการตอ้ นรับนัน้ โดยความเต็ม
ใจแข็งแรงจริงๆ จึงได้ผ่อนวันออกไปอีกวันหนึ่งเวลาเย็นได้ลงดูตามเนินนั้นโดยรอบ แล้ว
ขน้ึ เขาเล็กอกี เขาหนึง่ ซง่ึ อยู่หน้าท้องพระโรง
พระยาดำรงสุจริต (คอซู้เจียง) อยู่มาจนถึงปี มะเมีย พ.ศ. ๒๔๒๕ จึงถึง
อนจิ กรรมเมื่ออายุได้ ๘๖ ปี หลังจากพระยาดำรงสจุ รติ (คอซูเ้ จยี ง) ถึงอนิจกรรมแลว้ นาย
คอซิมบี้ (บุตรคนที่ ๖) ซึ่งบิดาส่งให้ไปเล่าเรียนที่เมืองจีนนั้น สำเร็จการศึกษากลับมาแล้ว
พระยารัตนเศรษฐี (คอซิมก๊อง) ผู้พี่นำถวายตัวเป็นมหาดเล็ก พระบาทสมเด็จพระ
จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์เป็น
หลวงบริรักษ์โลหวิสยั ตำแหนง่ ผู้ช่วยราชการเมืองระนอง
ครง้ั ตอ่ มาเม่ือโปรดให้ พระยาอษั ฎงคตทิศรกั ษา (ตันกิมเจ๋ง) เล่อื นบรรดาศักดิ์
เป็นพระยาอนุกูลสยามกิจ ตำแหน่งกงสุลเยเนราลสยาม ที่เมืองสิงคโปร์ จึงพระราชทาน
สัญญาบัตรเลื่อนหลวงบริรักษ์โลหวิสัย (ตอซิมบี้) ขึ้นเป็นพระยาอัษฎงคตทิศรักษา
ตำแหนง่ ผวู้ า่ ราชการเมอื งตระบุรี
ใน พ.ศ. ๒๔๓๓ (ร.ศ.๑๐๙) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จ
เลยี บแหลมมลายรู ะยะทางท่ีเสด็จไปครัง้ นั้น ทรงเรอื สรุ ิยมณฑล (ลำแรก) เปน็ เรือพระที่นั่ง
ไปจากกรงุ เทพฯ แลว้ ทรงช้างพระท่ีนง่ั เสดจ็ ทางสถลมารคจากเมืองชมุ พร ขา้ มแหลมมลายู
ไปลงเรือที่เมืองกระบุรี เรือพระที่นั่งอุบลบุรทิศออกไปรอรับเสด็จอยู่ที่เมืองระนอง เสด็จ
ตรวจหัวเมืองชายทะเลในพระราชอาณาเขตแล้วผ่านไปในเมืองมลายูของอังกฤษ ประทับ
ที่เมืองเกาะหมาก เมืองสิงคโปร์ ขาเสด็จกลับเสด็จทอดพระเนตรหัวเมืองมลายูและหัว
เมืองไทยทางปักษ์ใต้ตลอดมา ในคราวเสด็จเลียบมณฑลครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องระยะทางเป็นพระราชหัตถเลขา
พระราชทานมาถึงเสนาบดีสภาซึ่งรักษาพระนคร ในพระราชหัตถเลขาพระราชทานมาถึง
เสนาบดีสภาซึ่งรักษาพระ-นคร ทรงพรรณนาและพระราชทานพระบรมราชาธิบายวา่ ด้วย
เมืองระนองในสมัยเมอื่ เสด็จไปครง้ั น้ัน
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๑๑
สภาพทางภมู ิศาสตร์
ระนองเป็นจังหวัดแรกบนฝั่งทะเลอันดามัน ตั้งอยู่บนส่วนที่แคบที่สุดของ
คาบสมุทรมลายู ระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย อยู่ทางด้านทิศตะวันตก
ของภาคใต้ ประมาณละติจูดที่ ๑๐ องศาเหนือ และลองติจูดที่ ๙๙ องศาตะวันออก ห่าง
จากกรงุ เทพมหานครตามเส้นทางรถยนต์ถนนเพชรเกษมประมาณ ๕๘๐ กิโลเมตร มีเน้ือที่
ประมาณ ๓,๒๙๘,๐๔๕ ตารางกิโลเมตร มีลักษณะรูปร่างเรียวยาวและแคบ ความยาวจาก
เหนือสุดถึงใต้สุดประมาณ ๑๖๙ กิโลเมตร ความกว้างประมาณ ๔๔ กิโลเมตร ส่วนที่แคบ
ท่สี ุดประมาณ ๙ กโิ ลเมตร มอี าณาเขตดงั นี้
ทิศเหนือ ติดตอ่ อำเภอท่าแซะ จงั หวัดชุมพร และสหภาพพมา่
ทศิ ใต้ ติดต่อ จังหวัดสรุ าษฎร์ธานี และอำเภอครุ ะบรุ ี จังหวดั พังงา
ทิศตะวันออก ติดต่อ อำเภอเมืองชุมพร อำเภอสวี และอำเภอพะโต๊ะ จังหวัด
ชมุ พร
ทิศตะวนั ตก ติดต่อ ทะเลอนั ดามนั และแมน่ ้ำกระบรุ ี พรมแดนไทยกับสหภาพพมา่
ลักษณะภูมปิ ระเทศ
ประกอบด้วยภูเขา ทิวเขาประมาณร้อยละ ๘๖ ของพื้นที่ บนเขตเทือกเขาภูเก็ต
และมีทีร่ าบประมาณรอ้ ยละ ๑๔ ของพ้นื ท่ี แบ่งออกเปน็ ๒ เขตดังนี้
๑. เขตภูเขาและที่สูง อยู่ทางด้านตะวันออกของจังหวัด เป็นเทือกเขาที่ต่อเนื่อง
จากเทอื กเขาตะนาวศรวี างตัวในทิศทางจากเหนอื ไปใต้ และลาดเอียงส่ทู ะเลอนั ดามัน เป็น
แหลง่ กำเนดิ ต้นน้ำลำธารท่สี ำคัญ เช่น แม่น้ำกระบุรี คลองละอุน่ เปน็ ตน้
๒. เขตที่ราบชายฝั่ง พื้นที่ด้านตะวันตกของจังหวัด เป็นบริเวณที่ถูกทับถมเป็นที่
ราบ ซึ่งเป็นที่ราบแคบๆ กว้างประมาณ ๕-๒๐ กิโลเมตร พบบริเวณชายฝั่งทะเลและสอง
ฝั่งลำน้ำ สภาพดินไม่ค่อยอดุ มสมบูรณ์ไม่เหมาะแก่การเกษตร เพราะเป็นดินร่วนปนทราย
ชั้นล่างเป็นดินเหนียว หินลูกรัง และหินชั้นไม่อมน้ำ หน้าแล้งดินจะแห้ง อย่างไรก็ตาม
ระนองยังมีหาดทรายที่สวยงามหลายแห่ง เช่น หาดบางเบน หาดประพาส บริเวณน่านน้ำ
ยงั มีเกาะตา่ งๆ ประมาณ ๖๒ เกาะ เช่น เกาะพยาม เกาะชา้ ง เกาะสินไหง เกาะเหลา เกาะ
คา้ งคาว เป็นตน้
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๑๒
ลักษณะภมู อิ ากาศ
อยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้มีฝนตกชุกเกือบตลอดปี
เฉล่ียประมาณ ๒๐๐ วัน ต่อปี ปหี น่งึ มี ๒ ฤดู คือ ฤดรู อ้ นและฤดฝู น
ฤดรู อ้ น ระหวา่ งเดือนกมุ ภาพันธ์ ถึง เดือนพฤษภาคม มอี ากาศรอ้ นมากและนับวัน
จะรอ้ นมากขึน้ เนื่องจากสภาพแวดล้อมเปล่ียนแปลงไป
ฤดูฝน แบ่งออกเป็น ๒ ช่วง เพราะได้รับอิทธิพลของลมแตกต่างกัน ช่วงที่หน่ึง
ระหว่างเดือนมิถุนายน ถึง เดือนตุลาคม มีฝนตกชุกมาก เนื่องจากได้รับอิทธิพลของลม
มรสุมตะวันตกเฉียงใต้จากทะเลอันดามัน ช่วงที่สอง ระหว่างเดือนพฤศจิกายน – เดือน
มกราคม ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพดั มาจากฝั่งอ่าวไทย ทำให้มีฝน
ตกเบาบาง อุณหภูมิไม่สูงนัก อากาศเย็นสบาย อุณหภูมิมีความแตกต่างกันไม่มากนัก
ระหว่างเดือนที่มีอุณหภูมิสูงที่สุดกับเดือนที่มีอุณหภูมิต่ำที่สุด มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ
๒๖-๒๘ องศาเซลเซียส ปรมิ าณนำ้ ฝนเฉล่ียประมาณ ๔,๑๐๐ มิลลเิ มตรต่อปี
ประชากร
จังหวัดระนอง มีประชากรทั้งสิ้น ๑๗๔,๘๒๐ คน เป็นชาย ๘๘,๖๑๙ คน เป็นหญงิ
๘๗,๐๐๓ คน (ข้อมูล ณ เดือน มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๗) ประชากรมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปี
123,435 บาท (ข้อมูลปี ๒๕๕๗) ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในชนบท นับถือศาสนาพุทธ
รองลงมาคอื ศาสนาอิสลาม
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๑๓
เขตการปกครอง
จังหวัดระนองแบ่งเขตการปกครองเป็น ๕ อำเภอ มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
จำนวน ๓๑ แห่ง โดยมีอำเภอกระบุรีมีพื้นที่มากที่สุด และอำเภอสุขสำราญมีพื้นที่น้อย
ที่สุด
อำเภอ พน้ื ที่ (ตร.กม.) ร้อยละ หน่วยการปกครอง
ขอ้ มูลองคก์ รกครองส่วนท้องถิ่น
เมืองระนอง
กระบรุ ี ๗๑๓.๗๒๓ ๒๑.๖๔ ๑ อบจ. , ๒ ทบม. , ๔ ทบต. และ ๕ อบต.
ละอ่นุ
กะเปอร์ ๗๘๓.๐๑๐ ๒๓.๗๔ ๒ ทบต. , ๖ อบต.
สขุ สำราญ
รวม ๖๕๗.๖๘๘ ๒๒.๗๐ ๑ ทบต. , ๓ อบต.
๓๙๕.๐๗๘ ๑๙.๙๔ ๑ ทบต. , ๔ อบต.
๓๙๕.๐๗๘ ๑๑.๙๘ ๒ อบต.
๓,๒๙๘.๐๕ ๑๐๐ ๑ อบจ. , ๒ ทบม. , ๘ ทบต. และ ๒๐ อบต.
ทีม่ า : สำนักงานท้องถิน่ จงั หวัดระนอง ณ มกราคม ๒๕๕๗
อำเภอเมอื งระนอง
ตำแหน่งท่ีตั้ง อำเภอเมืองระนอง ตง้ั อย่รู ิมถนนเรอื งราษฎร์ ตำบลเขานเิ วศน์
สภาพพื้นท่ี อำเภอเมืองระนอง มีเนื้อที่ประมาณ ๗๑๓.๗๒๓ ตารางกิโลเมตร
โดยทั่วไปเป็นภูเขา พื้นที่ราบสูงส่วนมาก ที่ราบต่ำมีน้อย ความสูงขึ้นอยู่ทางด้านทิศ
ตะวนั ออก คอ่ ยๆ ลาดตำ่ ลงมาทางทศิ ตะวันตกด้านชายฝ่ังทะเลอันดามนั ไม่มีแม่น้ำสำคัญ
ไหลผ่าน คงมเี พียงลำคลองเล็กๆ จำนวน ๙ สาย
ประชากรและอาชพี อำเภอเมอื งระนอง มีประชากรรวมทัง้ สิ้น ๖๘,๔๔๘ คน แยก
เป็นชาย ๓๗,๐๓๙ คน หญงิ ๓๑,๔๐๙ คน สว่ นใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตรกรรม ไดแ้ ก่
เงาะ มะพร้าว จำปาดะ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มะม่วงหิมพานต์ ลองกอง กาแฟ ทุเรียน
มังคุด สะตอหมาก และการปศุสัตว์ ไดแ้ ก่ โค กระบอื แพะ สุกร เป็ด ไก
การปกครอง พื้นที่การปกครองอำเภอเมืองระนอง ประกอบด้วย ๙ ตำบล ๓๘
หม่บู า้ น
อำเภอกระบุรี
คำขวัญอำเภอ “คอคอดกระ เสด็จพระแข่งเรือ มากเหลือต้นจาก ของฝาก
ซาลาเปา”
ตำแหน่งที่ตั้ง อำเภอกระบุรี ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดระนอง ห่างจากตัว
จังหวดั ระนอง ๖๑ กโิ ลเมตร เปน็ อำเภอทม่ี ีพ้ืนท่ีมากทส่ี ุดของจังหวดั ระนอง
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๑๔
สภาพพ้ืนที่ อำเภอกระบรุ ี มีเน้ือท่ี ๗๘๓.๐๑๐ ตารางกิโลเมตร
ประชากรและอาชีพ อำเภอกระบุรี มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น ๔๐,๘๐๖ คน ชาย
๒๑,๐๕๓ คน หญิง ๑๙,๗๕๓ คน อาชีพหลัก ได้แก่ ทำสวนยางพารา ทำสวนกาแฟ ทำ
สวนปาล์ม และทำสวนผลไม้ อาชพี เสริม ไดแ้ ก่ คา้ ขาย ประมงพน้ื บ้าน และรับจ้าง
การปกครอง พื้นที่การปกครองของอำเภอกระบุรี ประกอบด้วย ๗ ตำบล ๖๑
หมู่บ้าน
อำเภอละอนุ่
ตำแหน่งที่ตั้ง อำเภอละอุ่น ได้ชื่อว่า “อำเภอในหุบเขา” ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของ
จังหวดั ระนอง หา่ งจากตวั จงั หวัดระนอง ถนนสายหาดสม้ แปน้ - บางพระใต้ ระยะทาง ๓๒
กิโลเมตร และถนนเพชรเกษม - ละอุ่น แยกกิโลเมตรที่ ๓๐ ระยะทาง ๔๓ กิโลเมตร มี
อาณาเขตชายฝัง่ ริมทะเลดา้ นตะวันตกตดิ ตอ่ ประเทศพมา่
สภาพพื้นท่ี อำเภอละอุ่น มีเนื้อที่ประมาณ ๗๔๘.๕๔๖ ตารางกิโลเมตร พื้นที่ส่วน
ใหญ่เป็นภูเขาสูงต่ำ มีลำน้ำสำคัญ ได้แก่ คลองละอุ่น คลองบางพระ คลองบางแก้ว
ลักษณะพื้นที่คล้ายกับรูปหัวใจ ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาบางส่วนเป็นที่ราบ มีเนื้อที่
เพอื่ การเกษตรประมาณ ๓๙,๑๙๔ ไร่ หรอื คดิ เปน็ รอ้ ยละ ๑๕ ของพน้ื ทีท่ ้งั หมด อำเภอละ
อุ่นได้ชื่อเป็น “เมืองหุบเขา” เพราะภูมิประเทศเต็มไปด้วยภูเขา ภูเขาที่สำคัญ ได้แก่ ทิว
เขาปักขุนอำไพ ทิวเขาควรชก ในท้องที่ ตำบลละอุ่นเหนือ ทิวเขาคล่อง ตำบลบางพระ
เหนอื ทิวเขาตอเบา ตำบลบางแกว้ จากสภาพดงั กล่าว ทำให้พ้นื ท่ีป่ายังคงอุดมสมบรู ณ์ จึง
ยังเป็นผลให้สภาพอากาศมคี วามช้นื สูง ฝนตกชกุ ฤดหู นาวอากาศเย็นสบาย หมอกปกคลุม
ภูเขาทำให้ดูคล้ายทะเลหมอก
ประชากรและอาชีพ อำเภอละอุ่น มีประชากรรวมทั้งสิ้น ๑๐,๒๒๔ คน แยกเป็น
ชาย ๕,๒๙๖ คน หญิง ๔,๙๒๘ คน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร มีการทำสวน
ยางพารา สวนปาลม์ และทำไร่กาแฟ
การปกครอง พื้นที่การปกครองของอำเภอละอุ่น ประกอบด้วย ๗ ตำบล ๓๐
หมบู่ ้าน
อำเภอกะเปอร์
ตำแหน่งที่ตั้ง อำเภอกะเปอร์ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของจังหวัดระนอง ห่างจากตัว
จังหวัดระนอง ๕๒ กิโลเมตร ติดชายฝั่งทะเลอันดามัน ห่างจากกรุงเทพมหานคร ไปตาม
ทางหลวงหมายเลข ๔ (ถนนเพชรเกษม) ประมาณ ๖๒๐ กิโลเมตร
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๑๕
สภาพพื้นท่ี อำเภอกะเปอร์ มีเนื้อที่ประมาณ ๖๕๗.๖๘๘ ตารางกิโลเมตร มีความ
อุดมสมบูรณ์ทั้งด้านป่าไม้ สัตว์ป่า ของป่า และแร่ธาตุต่างๆ มีแม่น้ำลำคลองที่สำคัญ ๒
สาย คือ คลองกะเปอร์ มีต้นกำเนิดจากเขาแม่ยายหม่อน และคลองบางหิน มีต้นกำเนิด
เขาแดนคลองยัน
ประชากรและอาชีพ อำเภอกะเปอร์ มีประชากรทั้งสิ้น ๑๗,๘๐๙ คน แยกเป็น
ชาย ๙,๑๕๓ คน หญิง ๘,๖๕๖ คน ส่วนใหญ่ประกอบอาชพี ด้านการเกษตรกรรมและการ
ประมง ซึ่งในพื้นทีม่ พี ืชทางเศรษฐกจิ ที่สำคัญ ได้แก่ ยางพารา กาแฟ เงาะ มังคุด ลองกอง
และปาลม์ นำ้ มัน
การปกครอง พื้นที่การปกครองของอำเภอกะเปอร์ ประกอบด้วย ๕ ตำบล ๓๔
หมบู่ ้าน
อำเภอสขุ สำราญ
ตำแหนง่ ที่ตัง้ อำเภอสขุ สำราญ ต้ังทวี่ า่ การอยู่ หมูท่ ี่ ๕ ตำบลกำพวน อยทู่ างทศิ ใต้
ของจังหวัดระนอง ห่างจากจังหวัดระนอง ประมาณ ๙๔ กิโลเมตร มีเนื้อที่รวมประมาณ
๓๙๕.๐๘๗ ตารางกโิ ลเมตร หรอื ประมาณ ๒๔๖,๙๒๙.๓๗๕ ไร่
สภาพพื้นท่ี อำเภอสุขสำราญ มีเนื้อที่ประมาณ ๓๙๕.๐๗๘ ตารางกิโลเมตร พื้นท่ี
โดยทั่วไปเป็นที่ราบไหล่ทวีปและที่ราบเชิงเขา มีภูเขาสูงและป่าไม้สลับอยู่ทั่วไป พื้นดิน
ส่วนใหญ่เป็นดนิ ทราย มีพื้นที่ราบประมาณ ร้อยละ ๓๐ ของพื้นทีท่ ั้งหมด มีภูเขาใหญ่เปน็
แนวยาวตลอดเหนือ - ใต้ อยู่ทางทิศตะวันออกของอำเภอ และมีภูเขากระจัดกระจายอยู่
ตามรมิ แนวฝ่ังอนั ดามนั ดา้ นทิศตะวนั ตก มยี อดภเู ขาสงู คอื ยอดเขาแดนเป็นรายตอ่ ของ ๓
จงั หวดั คอื ระนอง พังงา และสุราษฎร์ธานี รวมมพี น้ื ท่ีที่เป็นป่าไม้และภูเขา ประมาณร้อย
ละ ๗๐ ของพื้นที่ทั้งหมด มีคลองสำคัญ ๔ สาย ได้แก่ คลองบางมันและคลองบางนอน
ไหลผา่ นหมทู่ ่ี ๑ ตำบลนาคา ลงสูท่ ะเลอนั ดามัน คลองนาคา ไหลผ่านหม่ทู ี่ ๒, ๕ และหมทู่ ่ี
๔ ตำบลนาคา ลงสทู่ ะเลอนั ดามัน และคลองกำพวน ไหลผา่ นหมู่ท่ี ๒, ๓ และหมู่ท่ี ๕ ลงสู่
ทะเลอันดามัน
ประชากรและอาชีพ อำเภอสุขสำราญ มีประชากรทั้งสิ้น จำนวน ๑๐,๘๕๘ คน
แยกเปน็ ชาย ๕,๕๘๔ คน หญงิ ๕,๒๗๔ คน
การปกครอง พื้นที่การปกครองของอำเภอสุขสำราญ ประกอบด้วย ๒ ตำบล ๑๕
หมู่บา้ น
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๑๖
ทรพั ยากรธรรมชาติ
ดนิ
ลักษณะดินของจังหวัดระนอง ไม่เหมาะสมกับการเพาะปลูกมากนัก เนื่องจากมี
ลักษณะเป็นดินตื้น ระบายน้ำดีเกินไปและมีสภาพเป็นดินเปรี้ยวในบางพื้นท่ี เช่น อำเภอ
กระบรุ ี จากข้อมลู ของสำนักงานทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อมจังหวัดระนอง จากพ้ืนที่
ทั้งหมด 2,061,278 ไร่
แรธ่ าตุ
ระนองถือได้ว่าเป็นจังหวัดที่มีทรัพยากรที่สมบูรณ์จังหวัดหนึ่ง มีแร่ธาตุที่สามารถ
ทำรายไดใ้ ห้แก่จงั หวดั เป็นจำนวนมากในแต่ละปี ไดแ้ ก่ แร่ดีบกุ วุลแฟรม
ปา่ ไม้
จงั หวดั ระนองมปี า่ ไมอ้ ยู่ 2 ประเภท
(1) ป่าบก เปน็ ป่าที่ปรากฏให้เห็นอยโู่ ดยท่วั ไป ปี 2547 จงั หวัดระนองมีพ้ืนท่ีป่า
บกเหลืออยู่ 1,027,508 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 49.80 ของพื้นที่จังหวัด เมื่อรวมพื้นท่ี
ป่าชายเลนอีก จำนวน 156,822 ไร่ แล้วจะมีพื้นที่ป่าทั้งสิ้น 1,184,330 ไร่ คิดเป็น
ร้อยละ 57.40 ของพ้นื ทจ่ี งั หวัดทงั้ หมด
(2) ป่าชายเลน จังหวัดระนองอยู่ติดกับทะเลอันดามัน ชายฝั่งมีน้ำทะเลท่วม
ถึง ทำให้เกิดสภาพป่าอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า ป่าชายเลน เป็นป่าที่มีสภาพทาง
นิเวศน์วิทยาที่สำคัญมากเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำวัยอ่อน มีไม้ที่สำคัญ ได้แก่ โกงกาง
ปรง ถว่ั ตะบูน ประสกั และอ่ืน ๆ
แหลง่ นำ้
จังหวัดระนอง มีแม่น้ำลำคลองที่เกิดจากเทือกเขาทางด้านทิศตะวันออกเป็นส่วน
ใหญ่มีลักษณะเป็นทางน้ำสายสั้น ๆ ไหลลงสู่ทะเลอันดามันทางด้านทิศตะวันตก ลำน้ำ
สำคัญ ได้แก่ แม่นำ้ กระบรุ ี คลองลำเลยี ง คลองปากจ่นั คลองวนั คลองกระบรุ ี คลองละอุ่น
คลองหาดส้มแป้น คลองบางริ้น คลองละออง คลองราชกรูด คลองกะเปอร์ คลองกำพวน
และคลองนาคา
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๑๗
พระราชกรณยี กจิ ของบรู พกษตั รยิ ์
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั สมเดจ็ พระนางเจา้ ฯพระบรมราชนิ นี าถ
และพระบรมวงศานวุ งศ์ ทม่ี ตี อ่ พนื้ ท่ีในจงั หวัดระนอง
พระราชกรณยี กิจของบรู พกษัตรยิ ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินนี าถ และพระบรมวงศานวุ งศ์ ท่ีมตี ่อพ้นื ที่
ถนนประวัติศาสตร์ของจังหวัดระนอง
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๑๘
ถนนประวัติศาสตร์ของจังหวัดระนอง เป็นถนนในจังหวัดระนอง จำนวน ๑๐ สาย
ซึ่งได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เม่ือ
ครัง้ เสดจ็ ประพาสหวั เมืองปักษ์ใตแ้ ละแหลมมลายู ทรงแวะประทบั จงั หวัดระนอง ระหว่าง
วันที่ ๒๓ – ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๓ ในครั้งนัน้ พระองค์ยงั ได้พระราชทานนามพลับพลา
ท่ีประทบั คือ “พระทีน่ ่งั รตั นรงั สรรค์” และเนนิ เขาซงึ่ เป็นทีต่ ้งั ของพระท่ีนัง่ ฯ ชื่อว่า “เขา
นิเวศน์คีรี” ถนน ๑๐ สายที่สำคัญที่ได้ชื่อว่าเป็นถนนประวัติศาสตร์ นั้นเป็นพระมหา
กรุณาธิคุณของชาวจังหวัดระนอง เป็นล้นพ้น เป็นเกียรติประวัติและความภาคภูมิใจของ
จังหวัดระนองมิรู้ลืม ถนนประวัติศาสตร์ ๑๐ สายดังกล่าวที่เป็นที่เทิดทูนของชาวจังหวัด
ระนอง เนื่องจากนับเป็นพระปรีชาสามารถที่พระองค์ได้ทรงตั้งชื่อถนนได้คล้องจองกัน
ถงึ ๑๐ สาย และถนนแต่ละสายชอ่ื จะสอดคลอ้ งกับสภาพภูมิประเทศและสภาพของชุมชน
เช่น ถนนเรืองราษฎร์ เป็นถนนที่ผ่านย่านตลาดและ การค้าขาย ถนนดับคดีเป็นถนนซ่ึง
ผ่านที่ตั้งศาลจังหวัดระนอง เป็นต้น จึงได้นำชื่อถนนทั้ง ๑๐ สาย มานำเสนอไว้เพื่อคนรุ่น
หลังจะได้ทราบถึงสภาพของถนน ตั้งแตจ่ ุดเริ่มต้นถึงสุดระยะทางของถนนตา่ งๆ ได้แก่ ท่า
เมือง เรืองราษฎร์ ชาติเฉลิม เพิ่มผล ชลระอุ ลุวัง กำลังทรัพย์ ดับคดี ทวีสินค้า ผาดาด
รายละเอียดดังนี้
สายที่ ๑ ถนนท่าเมือง
เรม่ิ ต้นจากบา้ นด่านท่าเมือง หัวถนนมศี าลาทา่ นำ้ สร้างดว้ ยไม้ย่นื ลงในแม่น้ำจะเป็น
ที่นั่งพักสำหรับผู้โดยสารที่เดินทางไปยังจุดต่างๆ โดยทางเรือ ที่ด่านท่าเมืองมีเรือยนต์
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๑๙
เรอื ใบ เรอื แจว เรอื สำเภา จากระนอง-ไปกระบรุ ี ระนอง-ไปกะเปอร์ ระนอง-ไปละอ่นุ และ
จากระนองไปยังเกาะสอง หรือวิกเตอเรียพอยด์ ของประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่ง
สหภาพเมียนมาร์ ที่ทา่ เรือแห่งนจ้ี ะมีเรือมาจอดขนถา่ ยสนิ ค้า และรับส่งคนโดยสาร รวมท้งั
เป็นท่าเรือขนส่งสินค้าขาออกและขาเข้า สินค้าขาออกที่สำคัญคือดีบุก กระบือ ซึ่ง
สมัยก่อนมีสะพานควายที่นำกระบือไปขายต่างประเทศและบริเวณนี้จะเป็นแหล่งชุมนุม
การติดต่อการค้ากับชาวต่างประเทศ ที่จะมาจอดเรือกลไฟขนถ่ายสินค้าจากประเทศจีน
ประเทศอังกฤษ ประเภทสินค้าซึ่งเป็นที่นิยมจะเป็นน้ำหอม อาหารกระป๋อง ยารักษาโรค
และผลไมส้ ดเช่น แอปเปลิ้ สาลี่ ลกู แพร อง่นุ นับเป็นถนนสายสำคญั มากในการติดต่อกับ
ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงในอดีต ถนนสายน้ยี าวประมาณ ๒ กิโลเมตร ปจั จุบันผ่านท่ีทำ
การป่าไมช้ ายเลนที่ 1 จงั หวัดระนอง สองขา้ งทางในอดีตจะเป็นป่าโกงกางด้านซ้ายมือของ
ถนนจะมีทางน้ำขนาดกว้าง เรือขนาดใหญ่สามารถวิ่งผ่านเข้ามาได้ถึงสถานีอนามัยใน
ปจั จบุ นั และคลองนี้เช่อื มต่อไปถงึ ท่าเรือท่ีถนนทวสี ินค้า
ปัจจุบันลำคลองนี้ได้ตื้นเขินเหลือเป็นทางน้ำแคบๆ ติดกับสนามฟุตบอลของ
หมู่บ้าน ถนนผ่านตลาดแขกซึ่งเป็นย่านที่อยู่อาศัยของแขกกะลา หรือชาวสิงหล เป็นแขก
ผิวดำเป็นมัน ปากแดง ฟันขาว ยังชีพด้วยการเลี้ยง กระบือ วัว แพะ ด้านขวามือของถนน
มองเข้าไปจะเห็นคอกววั และคอกกระบือ เรียงรายหลายคอก คอกหนึ่งๆ มีจำนวนไม่น้อย
กว่า ๓๐ ตัว ส่วนด้านซ้ายมือซึ่งปัจจุบันเป็นตลาดระนองธานี จะเป็นป่าชายเลนและนา
เกลอื นอกจากนน้ั มตี น้ โกงกางขนาดใหญ่ ต้นเสม็ด ต้นลำพู ต้นไทร เป็นที่อาศัยของฝูงลิง
แสมจำนวนมาก ฝูงหนึ่งๆ ไม่น้อยกว่า ๓๐-๔๐ ตัว จะมีอยู่หลายฝูง ปัจจุบันไม่เหลือ
ร่องรอยลิงแสมใหเ้ ห็นอีก จากตลาดแขกจะผ่านโรงเรียนศรีอรุโณทัย ด้านขวามือของถนน
เป็นที่ตั้งของวัดอุปนันทาราม (วัดด่าน) ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่คู่เมืองระนอง ด้านหลังของวัดฯ
เป็นที่ตั้งของโรงเรียนเทศบาลวัดอุปนันทาราม จากวัดอุปนันทารามจะถึงตลาดเก่าจุดที่มี
ลำน้ำ และสะพานเชื่อมกบั ถนนเพิ่มผล มีระยะทาง ยาวประมาณ ๒ กิโลเมตร
สายท่ี ๒ ถนนเรืองราษฎร์
เริ่มต้นจากสี่แยกตลาดเก่าผ่านศาลเจ้าต่ายเต๊เอี๋ยผ่านตลาดบางส้านซึ่งเป็นตลาด
สดแห่งแรกของจังหวัดที่มีขนาดใหญ่ ถนนสายนี้ในอดีตจะมีบ้านเรือนเรียงรายและมี
ร้านค้าเปิดขาย สินค้าทั้ง 2 ฟากถนน มีสวนมะพร้าวและสวนผลไม้ สลับอยู่ประปราย แต่
ปัจจุบันไม่มีให้เห็นอีกเพราะสองฟากถนนจะแออัด ไปด้วยร้านค้าที่เปิดขายสินค้า ต่างๆ
จากตลาดสดด้านขวามือมองขึ้นไปจะมีศาลเจ้าฮกเต็กสือตั้งอยู่บนเนินสูงมีผู้คนขึ้น ไป
กราบไหว้บูชาอยู่เสมอ ด้านซ้ายมือจะเป็นที่ตั้งของโรงเรียนหมิงซิน เป็นโรงเรียนที่เปิด
สอนภาษาจีนจัดตั้งขึ้นโดยสมาคมคนจีนผู้มีฐานะดีที่อาศัยทำมาหากินอยู่ในจังหวัด
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๒๐
ระนองทำให้ลูกหลานได้เรียนรู้ภาษาจีน แต่ปัจจุบันเป็นโรงเรียนที่เปิดสอนหลักสูตร
กระทรวงศึกษาธิการ และมีการสอนภาษาจีนควบคู่ไปด้วยต่อมาขออนุญาตเปิดการ
เรียนการสอนเป็นโรงเรียนเอกชนการกุศลไม่เก็บค่าธรรมเนียมการเรียน จากโรงเรียนห
มิงซินจะเป็นโรงภาพยนตร์สักรินทร์และโรงภาพยนตร์สวัสดิ์ภักดี ปัจจุบันนี้โรง
ภาพยนตร์ท้ัง ๒ แห่งได้ปิดกิจการไปแล้ว จากโรงภาพยนตร์สวัสดิ์ภักดีลงไปจะเป็นย่าน
ที่มีร้านค้าเปิดขายกิจการขายสินค้าต่างๆ มากมาย ทั้งร้านขายของชำ ขายผ้า ขาย
อุปกรณ์การก่อสร้าง ขายอุปกรณ์การกีฬา นอกจากนี้ถนนเรืองราษฎร์ จะมีอาคาร
บ้านเรือนเป็นสถาปัตยกรรมแบบ ชิโนโปรตุกีส ซึ่งจะมีเสาและซุ้มประตูเป็นรูปโค้ง
ยังคงเหลือให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหลายหลัง โดยกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็น
โบราณสถานไว้เพื่ออนุรักษ์ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาผ่านจากย่านชุมชนธุรกิจหนาแน่น ช่วง
นี้จะถึงโรงภาพยนตร์พฤฒินันท์ เป็นโรงภาพยนต์แห่งเดียวที่ยังเปิดกิจการสร้างความ
บันเทิงแก่ประชาชนในปัจจุบันถนนช่วงนี้ เรียกว่า ย่านตลาดพม่า เพราะในอดีตจะมี
ชาวพม่ามาตั้งบ้านเรือนอยู่มากมายหลายหลังคาเรือน ลักษณะเด่นของบ้านเรือนชาว
พม่า คือ ทุกบ้านจะมีดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม เช่น ดอกแก้ว ดอกกุหลาบ ดอกมณฑา และ
ดอกพวงชมพู ปลูกไว้หน้าบ้านทำให้มองดูร่มรื่น บ้านเรือนเป็นบ้านสองชั้น มีใต้ถุน
ยกระดับ มีระเบียงสำหรับ นั่งเล่นหน้าบ้าน ฝาบ้านจะมีลูกกรงเป็นลายฉลุสวยงามเพื่อ
ระบายอากาศ เลยไปอีกเล็กน้อยจะเป็นที่ว่าการอำเภอเมืองระนอง ตั้งอยู่บนเนินเขา
เตี้ยๆ และอาคารหลังที่ใช้เป็นที่ว่าการอำเภอในปัจจุบันเป็นหลังที่สอง หลังจากได้รื้อ
ถอนหลังเดิมซึ่งเป็นอาคารไม้สองชั้นมีใต้ถุนสูง เสาอาคารจะเป็นเสาก่ออิฐถือปูน
สี่เหลี่ยม ขนาดใหญ่ มีมุขอยู่ด้านหน้า สาเหตุที่ได้รื้อถอนเนื่องจากทรุดโทรมมาก จาก
ที่ว่าการอำเภอเมืองระนองจะเป็นสำนักงานองค์การโทรศัพท์จังหวัดระนอง เรือนจำ
จังหวัดระนอง โรงเรียนอนุบาลดวงกมล ค่ายเจ้าเมือง (บ้านพระยาดำรงสุจริตมหิศร
ภักดี) ผ่านสามแยกในค่าย (จวนเจ้าเมือง) ผ่านด้านข้างของโรงเรียนสตรีระนองสู่
สะพานยูง ซึ่งเป็นตลาดสด (ตลาดเช้า) อีกแห่งหนึ่งที่มีประชาชนจับจ่ายใช้สอยใน
ปัจจุบันถนนนี้สุดสายที่สะพานยูง หรือสะพานคอซู้เจียงในปัจจุบัน ต่อจากนั้นจะเป็น
ถนนชาติเฉลิม
สายที่ ๓ ถนนชาติเฉลิม
เริ่มต้นจากสะพานยูงปัจจุบันชื่อ “สะพานคอซู้เจียง” ในอดีตสะพานยูงเป็น
สะพานไม้โค้งสูง ด้านล่างของสะพานเป็นคลองบางนอน ซึ่งในอดีตเป็นที่อยู่อาศัยของ
สัตว์น้ำ อันได้แก่ ปู ปลา กุ้ง หอย และจระเข้น้ำเค็ม เพราะคลองนี้โดยสภาพมีน้ำเค็มขึ้น
ถึงเวลาน้ำข้ึน น้ำทะเลจะหนุนขึ้นมาทำให้ระดับน้ำขึ้นสูง และจะมีจระเข้ปรากฏให้เห็น
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๒๑
อยู่เสมอ จะมีช่วงน้ำลึกเป็นบริเวณกว้างเป็นที่อาศัยอยู่ของจระเข้ หรือที่เรียกว่า วัง
หรือ วังเข้ ทำให้มีการตกจระเข้ (วิธีการจับจระเข้วิธีหนึ่ง) เพ่ือนำเอาหนังไปขาย เพราะ
หนังจระเข้นำเค็มของจังหวัดระนองเป็นหนังที่มีคุณภาพดีที่สุดของประเทศ ผ่าน
สะพานไปด้านซ้ายมือจะเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลระนองแห่งแรกซึ่งเป็นเรือนไม้เป็น
แนวยาว ไปกับถนน มีนายแพทย์เพียง ๑ คน คือ หลวงอาทร ธุรสุข (นายแพทย์อยู่อี้
ถนอมชีพ) มีเภสัชกร ๑ คน มีบุรุษพยาบาล ๑ คน และมีเจ้าหน้าที่ผดุงครรภ์อีก ๑ คน
แต่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ โดยแมลงที่ ๔๙ ระนอง กรมควบคุม
โรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข เลยไปอีกเล็กน้อยตรงข้ามจะเป็นวัดสุวรรณคีรีวิหารซึ่ง
เป็นวัดเก่าแก่ วัดสุวรรณคีรีวิหาร เป็นชื่อพระราชทาน มีหลักฐานเป็นพระบรมราช
โองการปรากฏอยู่ ชาวบ้านเรียกว่าวัดหน้าเมืองได้ยกฐานะเป็นพระอารามหลวงเมื่อปี
พ.ศ. ๒๕๔๔ ในอดีตจะมีสวนยางและสวนมะพร้าวอยู่หนาแน่นภายในวัด เมื่อมองเข้า
ไปจะมองแทบไม่เห็นตัวอาคารในวัด ตรงข้ามวัดจะเป็นที่ตั้งของโรงเรียนชาติเฉลิม ซึ่ง
ในอดีตด้านหลังของโรงเรียนจะมีกองทรายขนาดใหญ่หลายกองท่ีเกิดจากการทำเหมือง
โดยมีเรือขุดแร่ของบริษัทแห่งหนึ่งได้รับสัมปทานให้ขุดแร่ในบริเวณนี้ และเมื่อเลิก
กิจการไปแล้วก็ทำให้เกิดขุมเหมืองและกองทรายขนาดใหญ่ จึงทำให้เป็นที่เล่นพักผ่อน
ของนักเรียนยามว่างจากการเรียน แต่เนื่องจากน้ำในขุมเหมืองลึกและเย็นจัดทำให้
บางครั้งเกิดอุบัติเหตุถึงเสียชีวิตเมื่อเด็กลงไปว่ายน้ำเล่น จากการเป็นตะคริวแล้วจมน้ำ
ตายไปหลายคน ปัจจุบันกองทรายได้ยุบสลายไป และขุมเหมืองได้มีการถมและปรับ
สภาพเป็นที่อยู่อาศัยของประชาชน ถนนสายนี้ไปส้ินสุดที่กำแพงวัดสุวรรณคีรีวิหารพระ
อารามหลวงกับถนนระนองปากน้ำ ความยาวของถนนทั้งสายนี้ ประมาณ ๕๐๐ เมตร
สายที่ ๔ ถนนเพิ่มผล
เริ่มต้น จากถนนชลระอุ ผ่านด้านข้างของแขวงการทางระนอง ด้านข้าง
โรงพยาบาลระนองและด้านข้างของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระนอง ในปัจจุบัน
ผ่านสี่แยกไฟแดงผ่านศาลหลักเมืองระนอง สำนักงานเทศบาลเมืองระนอง สวนสุขภาพ
ห้องสมุดประชาชนจังหวัดระนอง และสำนักงานโทรคมนาคม ไปเชื่อมต่อกับถนนท่า
เมือง
สายที่ ๕ ถนนชลระอุ
เริ่มต้น จากสี่แยกสะพานยูง (สะพานคอซู้เจียง) แยกจากถนนเรืองราษฎร์ตรง
ข้ามถนนสะพานยูงหน้าค่าย (จวนเจ้าเมือง) ผ่านด้านหลังของโรงเรียนสตรีระนอง ผ่าน
สี่แยกตลาดใหม่ผ่านท่ีทำการไปรษณีย์โทรเลขจังหวัดระนอง ผ่านสะพานระหัดบน จาก
สะพานระหัดบนจะเป็นสนามฟุตบอลของชมรมคนรุ่นใหม่ ซึ่งในอดีตบริเวณนี้ตลอด
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๒๒
แนวจะเป็นเหมืองแร่ท่ีทำการขุดแร่โดยใช้วิธีทำเหมืองฉีดเหมืองแร่เหล่าน้ีจะตั้งอยู่ใกล้
ถนน จากบริเวณเหมืองแร่นี้จะเป็นโรงล้างแร่ดีบุกขนาดใหญ่ที่จะรับจ้างล้างแร่จากผู้
ประกอบกิจการเหมืองแร่ในจังหวัดระนอง ซึ่งมีอยู่มากมายหลายเหมือง ก่อนจะนำแร่ที่
ได้ส่งไปถลุงที่จังหวัดภูเก็ต ในปัจจุบันราคาแร่ดีบุกตกต่ำจึงทำให้กิจการเหมืองแร่
เหล่านี้เลิกราไปหลายสิบปี ปัจจุบันบริเวณนี้ได้เป็นที่ตั้งของสำนักงานอุตสาหกรรม
จังหวัด จากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดจะเป็นที่ตั้งของแขวงการทางระนอง ผ่าน
ข้ามถนนเพชรเกษมที่ห้าแยกต่อไปยังบ่อน้ำร้อน (วัดตโปทาราม) สุดสายเชื่อมกับถนน
ระนอง -หาดส้มแป้น มีระยะทางยาวประมาณ ๒ กิโลเมตร
สายท่ี ๖ ถนนลุวัง
เริ่มต้นจากสามแยกรัตนสิน ซึ่งเป็นโรงแรมเก่าแก่แห่งหนึ่งของจังหวัด ผ่าน
โรงเรียนอนุบาลระนอง หอพระ ๙ เกจิอาจารย์ ผ่านสำนักงานคณะกรรมการการ
เลือกตั้งจังหวัดระนอง(เดิมคือศาลาประชาคมจังหวัดระนอง) ผ่านเนินเขานิเวศน์คีรี
แยกขึ้นศาลากลางจังหวัดระนอง ซ่ึงในอดีตเป็นท่ีตั้งของพระท่ีนั่งรัตนรังสรรค์ท่ีสร้างขึ้น
เพื่อเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อปี
พ.ศ. ๒๔๓๓ เสด็จประพาสจังหวัดระนอง และเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้ถูกรื้อถอนและ
สร้างเป็นศาลากลางจังหวัดระนองในปัจจุบัน ผ่านแยกศาลากลางจังหวัด ซ้ายมือจะ
เป็นสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดระนอง ขวามือเป็น ด้านหลังของ
โรงเรียนเทศบาลบ้านเขานิเวศน์ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดระนอง ตรงข้ามเป็น
สำนักงาน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดระนอง ไปต่อกับถนนชลระอุ มีระยะทางยาว
ประมาณ ๑ กิโลเมตร
สายท่ี ๗ ถนนกำลังทรัพย์
เริ่มต้นจากถนนเรืองราษฎร์บริเวณสามแยกบางส้าน (กรุงไทย) ผ่านโรงเรียน
อนุบาลระนอง ผ่านมัสยิดอัลริดวาน ผ่านบ้านพักผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง (จวนผู้ว่า
ราชการจังหวัดระนอง) ข้ามสะพานระหัดล่างด้านซ้ายเป็นสถานีตรวจสอบและเฝ้าฟัง
ความถี่วิทยุระนอง ผ่านสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระนอง ด้านขวาเป็นศูนย์บริการ
ข้อมูลข่าวสารการท่องเท่ียว บ้านพักปลัดจังหวัดระนอง ไปต่อกับถนนเพ่ิมผล ตรงส่ีแยก
ไฟแดง มีระยะทางยาวประมาณ ๑ กิโลเมตร ถนนสายนี้ปัจจุบันตัดผ่านโรงพยาบาล
ระนอง ถึงบริเวณแยกตัดกับถนนเพชรเกษม
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๒๓
สายที่ ๘ ถนนดับคดี
เร่ิมต้นจากถนนเรืองราษฎร์บริเวณสามแยกในค่าย (จวนเจ้าเมือง) โรงเรียนสตรี
ระนองผ่านโรงเรียนสตรีระนอง กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดระนอง ศาลจังหวัด
ระนอง มีระยะทางประมาณ ๕๐๐ เมตร สุดสายที่แยกเชื่อมกับถนนชลระอุตรงบริเวณ
สามแยกชลระอุ ใกล้กับที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขจังหวัดระนอง
สายท่ี ๙ ถนนทวีสินค้า
เริ่มต้นจากถนนเรืองราษฎร์บริเวณสามแยกตลาดพม่า ลงไปเป็นถนนที่มี
ระยะทางยาวประมาณ ๑๕๐ เมตร ในอดีตเป็นที่ตั้งของโรงเลื่อยจักรท่าทวี เป็น
โรงเล่ือยขนาดใหญ่จะมีท่าเรือเพื่อขนไม้ซุงมาจอดท่ีท่า ในอดีตจังหวัดระนองจะมีอาชีพ
ในการทำไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ไม้ไปขายยังต่างจังหวัด จากท่าเรือลงไปจะเป็นลำ
คลองขนาดกว้าง ขนาบด้วยป่าชายเลนท่ีอุดมด้วยไม้โกงกางขนาดใหญ่ ต้นลำพู ต้นแสม
และไม้ป่าชายเลนอื่นๆ อีกมากมาย ยังมีสัตว์ป่าที่อาศัย หากินแถบป่าชายเลนเช่น เสือ
ชะมด แมวป่า ลิงแสม โดยฝูงลิงแสมที่หากินบริเวณรอยต่อระหว่างป่าชายเลนกับ
บริเวณตัวเมือง จากถนนท่าเมืองมายังบริเวณนี้ เดิมเป็นบริเวณที่ประชาชนใช้สำหรับ
ประกอบอาชีพในการออกไปหาปู หาปลา ช้อนกุ้ง หาหอย เพื่อนำมาประกอบอาหาร
และนำไปขายเป็นสินค้า แต่ในปัจจุบันลำคลองตื้นเขิน ไม่มีลำคลองที่แสดงให้เห็นว่า
เป็นท่าเรือ และป่าชายเลนก็เปลี่ยนสภาพไม่เหลือให้เห็นอีก สาเหตุเนื่องมาจากการทำ
เหมืองเรือขุดของบริษัทเอกชน สุดถนนสายนี้ปัจจุบันจึงแปรสภาพเป็นบ้านเรือนที่อยู่
อาศัยของคนต่างถิ่นที่มาตั้งหลักแหล่งเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันทางราชการได้ตัดถนน
เชื่อมผ่านตลาดสด (ตลาดภักดี) ต่อไปถึงสี่แยกหน้าวัดอุปนันทาราม (วัดด่าน) บริเวณ
สถานธนานุบาล ของจังหวัดระนองในปัจจุบัน (โรงรับจำนำ)
สายท่ี ๑๐ ถนนผาดาด
ถนนผาดาด คือ ถนนที่ตัดไปบ้านบางนอน จะเริ่มต้นจากสามแยกจากถนนดับ
คดีผ่านสี่แยก ตลาดใหม่ ตัดกับถนนชลระอุ เลยไปถึงสะพานใกล้ๆกับสหกรณ์ออม
ทรัพย์ครูระนองในปัจจุบัน แต่เดิมคงจะตัดถนนไปถึงเชิงเขาบ้านบางนอน แต่เมื่อมีการ
ตัดถนนเพชรเกษมเข้ามาสู่จังหวัดระนอง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘ โดยกรมทางหลวงได้ตัด
ถนนจากบ้านเขาฝาชีมาตามแนว ถนนผาดาด เช่ือมต่อถึงเขตเทศบาลเมืองระนอง ถนน
ผาดาดถึงสุดเขตเทศบาล ที่สะพาน ตลาดใหม่ (คลองบางนอนปัจจุบัน) มีระยะทาง
ประมาณ ๖๐๐ เมตร
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๒๔
๕ พฤษภาคม วันฉัตรมงคล พระราชอาสน์เบญจราชกกุธภัณฑ์
ณ พระราชวังรัตนรังสรรค์
พระราชพิธีฉัตรมงคล คือ การสมโภชพระมหาเศวตฉัตร เนื่องในวันที่พระเจ้า
แผ่นดินทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ เพื่อบังเกิด
สิริสวัสดิมงคลแก่ราชสมบัติ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้
ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ วัน
ฉัตรมงคลในรัชกาลน้ีจึงเป็นวันท่ี ๕ พฤษภาคม สืบมา โดยเมื่อถึงวันท่ี ๓ พฤษภาคม จะ
ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน อุทิศพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบูรพมหา
กษัตริยาธิราชเจ้า วันที่ ๔ พฤษภาคม เวลาบ่ายและวันที่ ๕ พฤษภาคม เวลาเช้ามีการ
ประกอบพระราชพิธีสมโภชพระมหาเศวตฉัตรและเครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์อันเป็นทั้งพิธี
ทางพระบวรพุทธศาสนา และพิธีพราหมณ์ ทั้งนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระ
ราชครูพราหมณ์พิธีอ่านประกาศการพระราชพิธีฉัตรมงคล ความว่า ในการประกอบ
พระราชพิธีนี้มีพระราชประสงค์จะให้เป็นสิริสวัสดิ์แก่บ้านเมือง จึงขออำนาจคุณพระศรี
รัตนตรัยและพระบรมเดชานุภาพสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า จงดลบันดาล
ให้ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติราชการตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เพื่อความสุขความเจริญรุ่งเรืองแก่ชาติ
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๒๕
บ้านเมือง ตลอดจนอาณาประชาราษฎร์และได้พระราชอุทิศพระราชกุศลนี้
พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทยโดยท่ัวหน้ากัน
ภายในทอ้ งพระโรงพระราชวังรัตนรังสรรค์ ตามที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว ขณะที่เสด็จประทับ ณ พระที่นั่งรัตนรังสรรค์ เมืองระนองนั้น ได้ทรงมีพระราช
นิพนธ์บันทึกไว้ว่านอกจากมีพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ของพระองค์แล้ว ยังมีเก้าอี้ หรือ
พระราชอาสน์ ประดิษฐานอยู่ด้วย ซึ่งปัจจุบันได้มีการจัดสร้างพระราชอาสน์ขึ้นใหม่
ลักษณะเดียวกันกับพระราชอาสน์ที่นับว่ามีความสำคัญยิ่ง พระราชอาสน์องค์ดังกล่าวน้ัน
คือ พระราชอาสน์เบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ นั้นมีความหมายถึง
เครื่องราชูปโภคสิ่งของเครื่องใช้อันเป็นเครื่องหมายแสดงความเป็นพระมหากษัตริย์ ซ่ึง
พระมหาราชครูพราหมณ์ จะเป็นผู้ทูลเกล้าฯ ถวายในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก (วันฉัตร
มงคล) อันเป็นพระราชพิธีสำคัญเฉลิมพระเกียรติยศ ความเป็นพระมหากษัตริย์ของ
ประเทศแด่องค์พระประมุของค์ใหม่ที่ทรงรับราชสมบัติ ซึ่งหลังการถวายแล้ว องค์พระ
ประมุขจะเป็นพระมหากษัตริย์ของประเทศอย่างสมบูรณ์ ถูกต้องตามโบราณขัตติยะราช
ประเพณีไทย เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอด
ฟ้าจฬุ าโลกมหาราช ประกอบดว้ ยเคร่ืองราชูปโภค ๔ รายการ ดงั น้ี
พระมหาพิชัยมงกุฎ เป็นเครื่องราชศิราภรณ์ อันหมายถึงเครือ่ งสำหรับประดบั พระ
เศียร ตกแต่งแบบไทย ทำด้วยทองคำสลกั ลายลงยาประดับเพชรซีก ส่วนเพชรเม็ดใหญ่บน
ยอดมีชื่อว่าพระมหาวิเชียรมณี พระมหาพิชัยมงกุฎองค์น้ี พระมหาราชครูพราหมณ์จะ
ทลู เกล้าฯ ถวายพรอ้ มพานทองรองรับแดอ่ งค์พระมหากษัตริย์ ทรงรบั ขึ้นสวมด้วยพระองค์
เอง
พระแสงขรรค์ชัยศรี เป็นของโบราณถือกันว่าเป็นพระแสงคู่พระบุญญาธิการของ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ด้ามและฝักทำด้วยทองคำลงยา
ประดับอัญมณี ด้ามพระขรรค์มีคมสองด้าน โคนพระแสงตอนต่อกับด้ามสลักเป็นรูป
นารายณ์ทรงครฑุ ค่ำทอง
ธารพระกร ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์หุ้มทองคำ ด้านบนทำเป็นรูปหัวเม็ด ส่วนด้าน
โคนทำเป็นรูปสามง่าม ส่วน วาลวิชนี คือพัดกับแส้จามรี ของทั้งสองสิ่งนี้ตามโบราณ
กาลนับรวมเป็นหนึ่ง พัดทำด้วยใบตาลปิดทอง ด้ามไม้ประดับทองคำลงยาสีเขียวแดง
ส่วนพระแส้ทำด้วยขนจามรี ด้ามเป็นแก้วเจียระไน ประกอบทองคำลงยา
ฉลองพระบาทเชิงงอน ทำจากทองคำทั้งองค์ สลักลายช่อหางโตแบบดอกเทศ
เฉพาะตัวดอกลงยาสีเขียวเกสรสีแดง หัวงอน เป็นลายดอกลำดวนมีคาดกลางส่วนตรงที่
คาดกลางทำเป็นลายก้านต่อดอกชนิดใบเทศฝังบุศย์น้ำเพชร
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๒๖
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า
ฯ ให้สร้างพระราชอาสน์องค์นี้ขึ้นด้วยไม้สลักปิดทอง พระสุวรรณปฤษฎางค์บุด้วย
กำมะหยี่สีเลือดหมูเข้ม ปักดิ้นทองตรงกลางเป็นพระปรมาภิไธยย่อ จ.ป.ร. ภายใต้พระ
จุลมงกุฎ ส่วนลวดลายของเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ประกอบเข้าด้วยกัน ซึ่งความ
งดงามของพระราชอาสน์ คือการที่ช่างสลักลายฝีมือเอกในสมัยนั้น แกะสลักลวดลาย
ประกอบทั้งหมดลงในเนื้อไม้อย่างประณีตและงดงามยิ่ง โดยอัญเชิญพระมหาพิชัย
มงกุฎไว้ที่ส่วนยอด พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกรและพระแส้จามรีประกอบด้านซ้าย
และขวา พนักที่ท้าวพระหัตถ์เป็นรูปพัดวาลวิชนี ฉลองพระบาทน้ันประดับลายไว้ที่ส่วน
ขาของพระราชอาสน์
เมื่อพระราชอาสน์องค์นี้จัดสร้างเสร็จอย่างสมบูรณ์แล้ว พระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ใช้พระราชอาสน์องค์นี้ในการเสด็จ
ออกมหาสมาคมรับการถวายพระพรชัยมงคลจากปวงประชาราษฎร์ทุกหมู่เหล่าในพระ
ราชพิธีรัชมังคลาภิเษก ร.ศ.๑๒๖,๑๒๗ และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิ
พลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลปัจจุบัน ก็ทรงใช้พระราชอาสน์องค์นี้ เสด็จฯ ออกมหา
สมาคม ๒ คราด้วยกัน คือ เนื่องในวโรกาสมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ
ในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ และพระราชพิธีกาญจนาภิเษก พ.ศ. ๒๕๓๙
ปัจจุบันได้รับอนุญาตให้มีการจำลองพระราชอาสน์เบญจราชกกุธภัณฑ์ขึ้นใหม่
๒ องค์ องค์แรกเป็นที่ประทับพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
หล่อด้วยไฟเบอร์กลาส ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย จังหวัดนครปฐม และองค์ที่สอง
ประดิษฐาน ณ ท้องพระโรงพระราชวังรัตนรังสรรค์ จังหวัดระนอง นับได้ว่าพระราช
อาสน์เบญจราชกกุธภัณฑ์องค์นี้ กอปรด้วยนิมิตมงคลแห่งความเป็นพระมหากษัตริย์
ไทยและงดงามด้วยฝีมือประติมากรรมเอกศิลปะไทยโดยแท้
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๒๗
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราช
ดำเนินทรงตรวจเยี่ยมโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินโดย
เฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง เวลา ๑๔.๔๐ น. วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๔๗ ไปทรงตรวจเยี่ยม
โรงเรียนตำรวจพระเวนชายแดน บ้านในวง อำเภอละอุ่น จังหวัดระนอง
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจ
สนองพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จ
พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ด้วยทรงอุทิศพระองค์ดำเนินตามรอยเบื้องพระ
ยุคลบาทในการช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา การทรงงานของพระองค์
เป็นไปอย่างมิทรงเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ด้วยน้ำพระทัยที่ทรงมุ่งพัฒนาโดยแท้
พระองค์ท่านทรงเรียนรู้ต้ังแต่ทรงพระเยาว์ นอกจากการต้ังพระทัยศึกษาเล่าเรียนในชั้น
เรียนแล้ว เมื่อถึงวันหยุดก็จะเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรและทรงปฏิบัติพระ
ราชกรณียกิจตามแบบพระบรมชนกและพระบรมราชชนนีอยู่เสมอมิเคยขาด ด้วยความ
สนพระทัยในเรื่องการพัฒนาท้องถ่ิน จึงทำให้พระองค์ทรงวางแนวทางในการศึกษาขั้น
สูงของพระองค์เพื่อที่จะทรงนำประโยชน์จากวิชาความรู้มาพัฒนาประเทศต่อไป
นอกเหนือจากแนวพระราชดำริและพระราชกรณียกิจที่ทรงมุ่งเน้นให้ราษฎรสามารถ
พึ่งพาตนเองได้ มีอาชีพ มีสุขภาพอนามัยที่ดีแล้วพระองค์ยังทรงมุ่งเน้นให้ราษฎรได้มี
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๒๘
โอกาสเข้ารับการศึกษาอย่างน้อยในระดับอ่านออกเขียนได้ ซึ่งเป็นขั้นพื้นฐานของการ
พัฒนาคุณภาพชีวิต
ในฐานะที่ทรงดำรงพระอิสริยยศสยามบรมราชกุมารี พระองค์มีพระราชภารกิจ
ที่จะต้องทรงปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ คือ การเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไป
พระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตของมหาวิทยาลัยต่างๆ นอกจากนี้ยังทรงปฏิบัติ
พระราชภารกิจอื่นๆ อีกนานาประการ ทั้งยังทรงตั้งโครงการตามพระราชดำริหลาย
โครงการในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนในท้องถิ่นทุรกันดาร เพื่อพัฒนาคุณภาพ
ชีวิตและการศึกษาของเด็กและเยาวชน
ในฐานะราชเลขานุการส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอ
ดุลยเดช พระองค์ตามเสด็จพระราชดำเนินยังท้องที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ทำให้ทรง
สามารถติดตามความคืบหน้าของงานของพระองค์และพระราชทานพระราชดำริและ
พระราชวินิจฉัยปัญหาต่างๆ รวมทั้งได้ทรงทราบถึงปัญหาการพัฒนาการศึกษาและแนว
ทางการแก้ไขใหม่ๆ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงคุณวุฒิ
และชาวบ้านที่ทรงพบปะเกี่ยวข้องด้วย ทำให้ทรงสามารถปรับปรุงวิธีการทรงงานของ
พระองค์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
พระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านนับเป็นคุณอเนกอนันต์ต่อประเทศชาติ
พระองค์ทรงมุ่งม่ันและสนพระทัยในพัฒนาการศึกษาทุกระดับ ด้วยพระราชภารกิจท่ีมี
อย่างต่อเนื่องทั่วทุกภูมิภาค นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นที่ทรงมีต่อการศึกษา
ไทย ทำให้ราษฎรมีการศึกษาที่ดีขึ้น นับเป็นบุญของเหล่าพสกนิกรชาวไทยที่มีสถาบัน
พระมหากษัตริย์ ยอดปราชญ์แห่งการพัฒนาที่ทรงพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณให้
พสกนิกรได้มีความเป็นอยู่ที่ดี มีรากฐานการศึกษาที่มั่นคงบนผืนแผ่นดินสยาม ใน
โอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๘ ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่ง
ยืนนาน
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๒๙
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนิน
สสุ านเจา้ เมอื งระนอง วันท่ี ๑๙ เมษายน ๒๔๕๒
วันนี้บ่าย ๔ โมงเศษ ทรงรถเสด็จออกไปที่หองซุ้ย ที่ฝังศพท่านพระยาดำรง
สุจริต ที่เรียกกันว่าเจ้าคุณเฒ่า ทางจากพระที่นั่งประมาณ ๘๐ เส้น ถนนดีตลอดทาง
และทางงามดีจริงๆ จะนึกที่ใดที่ใกล้ๆ บางกอกมาเปรียบไม่ได้เลย หองซุ้ยนั้นตั้งอยู่ที่
บนไหล่เขาต้องยอมรับว่าเลือกที่เหมาะนักหนา ยิ่งดูก็ยิ่งจำเริญตาและดูทำให้ใจเย็นช้ืน
หน้าหองซุ้ยมีแผ่นศิลาจารึกชาติประวัติของท่านผู้ตาย เมื่ออ่านเข้าแล้วดูรู้สึกปลื้มแทน
ทูลกระหม่อมทรงฉายรูปเสร็จแล้วเสด็จข้ึนไปจนถึงป้ายท่ีจารึกนามท่านผู้ตาย ท่านพระ
ยาดำรงสุจริต พระยารัษฎานุประดิษฐและบุตรหลานท่านผู้ตาย ได้คุกเข่าลงถวายคำนับ
อย่างจีน ทูลกระหม่อมได้พระราชทานพรต้องตามธรรมเนียมจีน ซ่ึงถือกันว่าถ้าเจ้านาย
เสด็จไปถึงหองซุ้ย พวกบุตรหลานผู้ตายต้องไปถวายบังคมท่ีหน้าหองซุ้ย รับประทานพร
ข้างจีนถือกันว่าเลือกที่ทำหองซุ้ยดีๆ ตระกูลของผู้ตายจะเจริญและตั้งอยู่มั่นคง ที่ทำ
หองซุ้ยท่านเจ้าคุณเฒ่าต้องนับว่าเลือกที่ดีอย่างยิ่ง เพราะบุตรหลานท่านได้เป็นใหญ่
เป็นโตไปแล้วเป็นอันมาก
ในกาลบัดน้ีบุตรหลาน ท่ียังทำราชการประจำตำแหน่งหน้าท่ีสำคัญๆ อยู่ก็หลาย
คนจะยกตัวอย่างได้ คือ ท่านพระยารัษฎานุประดิษฐ์ ข้าหลวงเทศาภิบาลผู้สำเร็จ
ราชการมณฑลภูเก็ต เป็นบุตรคนที่ ๖ ท่านเจ้าคุณเฒ่า พระยารัตนเศรษฐี ผู้ว่าราชการ
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๓๐
เมืองระนอง ๑ พระสถลสถานพิทักษ์ ผู้ว่าราชการเมืองตรัง ๑ พระยาวรฤทธิ์ฦาไชย ผู้ว่า
ราชการเมืองชุมพร ๑ ท่านทั้ง ๓ นี้ เป็นบุตรท่านพระยาดำรงสุจริต และเป็นหลานท่าน
เจ้าคุณเฒ่า บุตรของท่านเจ้าคุณเฒ่าท่ีได้ทำราชการ มีตำแหน่งถึงเจ้าเมือง แต่บัดนี้ชรา
หยุดพักราชการแล้ว คือ ท่านพระยาดำรงสุจริต จางวางกำกับราชการเมืองระนอง และ
ได้เคยเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลชุมพรด้วย ๑ พระยาจรูญราชโภคา
กร เดิมเป็นผู้ว่าราชการเมืองหลังสวน ๑ พระยาอัษฎงคตทิศรักษา ผู้ว่าราชการเมือง
กระบุรี ๑ นอกจากท่านที่กล่าวนามมาแล้วนี้ ยังมีชั้นหลานและเหลนท่านเจ้าคุณเฒ่า ที่
พอเชื่อได้ว่าเม่ือถึงกาลสมัยอันสมควรคงจะได้รับราชการในตำแหน่งหน้าท่ีสำคัญๆ เป็น
ลำดับขึ้นไป เช่น หลวงบริรักษ์โลหวิไสย บุตรท่านพระยารัษฎา เป็นต้น ยิ่งนึกไปก็ยิ่ง
ปลื้มแทนในการที่ตระกูลนี้ได้มาตั้งขึ้นได้ ในกรุงสยามเพราะความอุตสาหะและ
ความสามารถของท่านเจ้าคุณเฒ่า และน่ายินดีที่บุตรหลายของท่าน ล้วนแต่เป็นผู้มี
สติปัญญาสามารถ และมีน้ำใจจงรักภักดี ตั้งใจทำราชการสนองพระเดชพระคุณ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองตลอดมา
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพุน้ำร้อน
ร.ศ. ๑๒๘ (พ.ศ. ๒๔๕๒)
วันที่ ๑๗ (เมษายน ๒๔๕๒) ก่อนเวลาเสวยกลางวัน ได้เสด็จไปทอดพระเนตร
น้ำพุร้อน ทางไปจากวังประมาณครึ่งชั่วโมง ถนนกว้างแลเรียบร้อย โรยศิลาแน่นดีกว่า
ถนนในกรุงเทพฯ บางสาย แต่ที่น้ีได้เปรียบเพราะอยู่ใกล้เขา จะต้องการศิลาสักเท่าใดก็
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๓๑
ได้ ไม่ต้องเปลืองแรงขนกี่มากน้อย และไม่ต้องบรรทุกรถไฟเสียค่าระวางหนักต่อหนัก
ถนนที่ไปพุน้ำร้อนนั้นพอข้ามทุ่งพ้นไปแล้วก็เลียบไปตามลำธาร ซึ่งในฤดูนี้มีน้ำไหลแต่
เฉพาะที่เป็นกระแสเหมือง เมื่อผมมาเที่ยวทางนี้ครั้งก่อนนี้ ดูเหมือนจะยังจำได้อยู่ว่า
น้ำในลำธารนี้ไหลเสียงดังซ่าๆ เวลานี้ต่อให้ลงไปจนถึงที่น้ำก็ไม่ได้ยิน นี่ก็เป็นเพราะ
ทรายเหมือง ไหลลงมาถมเสียจนลำธารตื้น พุน้ำร้อนนั้นอยู่ริมลำธารเป็นบ่อมีน้ำร้อนพุ
ขึ้นมาจากพ้ืนเฉยๆ แล้วตกลงไปในลำธาร ท่ีนั้นมีศาลเจ้าท่ีบูชาผีบ่อ พวกจีนถือกันว่าจุด
ประทัดผีชอบ น้ำเดือดมากขึ้น ข้อนี้จริง ผมรับรองเพราะได้เห็นแก่ตา แต่ผีบ่อไม่ชอบ
เฉพาะแต่จุดประทัด ตบมือก็ชอบ กระทืบก็ชอบ เคาะด้วยไม้ก็ชอบ ตกลงรวบรวม
ใจความว่าทำอะไรๆ ให้กระเทือนๆ น้ำเป็นเดือดมากขึ้นมาทั้งนั้น น้ำที่พุขึ้นมานั้นร้อน
จัดเท่าๆ น้ำต้มเดือด และใช้ได้เช่นเดียวกัน ชงน้ำชากินก็ได้ ต้มไข่ในบ่อนั้นก็สุก อยู่ข้าง
จะดีมาก เสียแต่มาอยู่ในที่ซึ่งไปมายาก ถ้าแม้ไปมีอยู่ใกล้ๆ กรุงเทพฯ ผมนึกว่าคงจะทำ
ให้เกิดประโยชน์ได้มาก คุณพระอมรบ่นว่า ถ้าอย่างนี้ไปเกิดขึ้นในบ้านท่านสักบ่อหนึ่ง
จะดี แต่ท่านก็หาได้ชี้แจงให้ละเอียดไม่ ว่าท่านจะให้เกิดมีขึ้นในบ้านวัดโคก หรือบ้าน
ถนนบ้านหม้อ ท่านมีความเห็นว่าถ้ามีขึ้นในบ้านท่าน ท่านจะคิดกันรั้วให้ดี ใครเข้าไป
กินเก็บเงิน จะทำเป็นที่อาบน้ำไว้ด้วย ใครอาบจะเก็บเงินเพียงคราวละสลึงหรือ ๒ สลึง
และเพื่อจะล่อให้คนติดใจมาบ่อย ๆ จะต้องคิดอ่านหาคนถูตัวดี ๆ ไว้สักสามสี่คน แต่ข้อ
นี้ผมคัดค้าน เพราะเห็นว่าคุณพระไม่ควรจะคิดประมูลเร๊สตอรัง ห.จ.ก. ท่านก็เห็นด้วย
เลยบอกงดความคิด
ที่จริงความคิดของคุณพระอมรไม่เลวเลย พุน้ำร้อนเช่นนี้ถ้าไปเกิดในที่เหมาะ
ควร จะเป็นเงินเป็นทองมาก ถ้าเป็นที่เมืองนอกคงจะมีผู้คิดทำที่กินน้ำและอาบน้ำขึ้น
เป็นแน่ และน้ำจากบ่อนั้นถ้ากรอกขวดปิดกระดาษให้งามๆ อาจจะขายได้ราคาแพงๆ ก็
ได้ สำคัญที่ต้องคิดจัดการกับหมออะไรสักคนหนึ่งให้บอกว่าเป็นยาแก้โรคอะไรๆ ต่างๆ
ได้เท่าน้ัน น้ำแร่ต่างๆ ท่ีฝร่ังกรอกขวดมาขายเป็นยานั้นก็ไม่ผิดอะไรกัน เช่นน้ำแร่ชนิดที่
เรียกว่าเอเวียงเป็นต้น ผมได้ไปจนถึงที่พุที่ตำบลเอเวียงริมฝั่งทะเลสาบเย็นวา ในเขต
แดนฝรั่งเศส ดูก็เป็นพุน้ำธรรมดา แต่ใสสะอาดดีเท่านั้น ดื่มเข้าไปรสชาติก็ไม่ผิดน้ำฝน
เลย ไม่มีเดือดหรืออะไรสักอย่างเดียว แต่เขาช่างทำฉลากปิดขวดงามดีและมีหนังสือ
บอกว่าแก้โรคได้แทบสารพัด ขวดขนาดขวดเหล้าฮ๊อก ขายท่ีปารีสราว ๕๐ ซองตีมส์ คือ
ราวสลึง ๑ ที่ลอนดอนมีราคาขึ้นไปถึงขวดละชิลลิง คือราว ๓ สลึง ถ้าเราคิดจัดการขาย
น้ำระนองได้ขวดละเฟ้ืองเดียวเท่านั้นก็จะรวยมากพอแล้ว
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๓๒
จดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ ร.ศ. ๑๒๘
เม่อื วันที่ ๑๕ (เมษายน ๒๔๕๒) เวลาเรือถลางมาถึงทีป่ ากนำ้ ระนองน้นั เปน็ เวลาค่ำ
มืด ไม่สามารถจะแลเห็นอะไรเสียแล้ว เพราะฉะนั้นต่อรุ่งขึ้นเวลาเช้าวันที่ ๑๖ ผม
(พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ ัว) จึงได้มีโอกาสมองดูภูมิทีท่ ั้งสองฝั่งแม่น้ำ ที่ตรง
น้เี ป็นเขาทง้ั สองฟาก สลบั ซับซ้อนกันเปน็ ชัน้ ๆ ราวกบั หลืบฉากละคร แต่ถงึ แมล้ ุงจารย์ช่าง
ใหญข่ องเรา ก็เหน็ จะเขยี นฉากละคร ให้เหมือนเช่นน้นั ได้โดยยาก ไม่เสยี ใจเลยในการท่ีตื่น
ลกุ ข้ึนดูแตเ่ ช้า ทางฝ่งั ตะวันตกเปน็ เขตแดนเมอื งมรติ ตรงทีเ่ รือจอดออกไปวกิ ตอเรียปอยน์
กับเกาะวิกตอเรีย ซึ่งไทยเราเรียกว่าเกาะสอง เป็นที่ตั้งที่ว่าการอำเภอมลิวัน นามมลิวันน้ี
เจา้ คณุ รษั ฎาอธบิ ายวา่ มีเร่ืองเล่ากันมาว่าลำคลองลดเล้ียวมาก จึงเรยี กวา่ คลองหลีกสวรรค์
แต่เป็นธรรมดาคนไทยชาวใต้มักพูดตัดคำห้วนๆ ชื่อคลองจึงกลายเป็น คลองหลิหวันไป
ภายหลงั พม่าเรียกไมถ่ กู เรยี กเพ้ยี นเป็นมลวิ วนจึงกลายเป็นมลิวนั ตอ่ มา แต่จะเป็นไปเช่นนี้
จริงหรอื ไม่ ผมไม่ขอรับอาสาเป็นผตู้ ัดสิน
ทางฝ่ายตะวันออก ที่เป็นของกรุงสยามก็มีเกาะอยู่ตรงนั้น ๒ เกาะ คือเกาะผีกับ
เกาะคนที ที่เกาะผีมีประภาคาร ซึ่งเดิมได้ทำขึ้นรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระ
เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลที่ ๕) เมื่อ ร.ศ.๑๐๘ (พ.ศ.๒๔๓๓) และได้บำรุงซ่อมแซมใช้มาจนทุกวันน้ี
ที่เกาะคนทีมีตลาดตั้งอยู่ริมน้ำ เรื่องราวที่เล่าถึงเกาะคนที กับเกาะผีนี้ก็มีสนุกพอใช้ แต่
เขียนลงในหนังสือไม่สู้จะเพราะ ผมจึงงดไว้แต่ผมอาจจะบอกได้อย่างหนึ่งว่าเป็นนิทาน
ชนิดตาม่องล่าย และเกาะนมสาวกับสามร้อยยอดนั้น ที่ทางฝ่ังตรงกันข้ามกับเกาะคนที มี
โรงพักตำรวจภูธร เมื่อตอนเช้าได้ยินเสียงชะนีร้องอยู่กึกก้อง จึงเข้าใจว่าคงจะชุมมาก ผม
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๓๓
จำได้ว่าเมื่อผมออกมาเที่ยว ทางหัวเมืองปักษ์ใต้นี้ประมาณยี่สิบปีล่วงมาแล้ว ผมได้ชะนี
กลับไปหลายตัว แต่จะได้ไปจากระนองนี้ หรอื จากแหง่ ใดผมจำไมไ่ ด้ถนดั เพราะอายุผมใน
เวลานั้นก็น้อยเต็มที ผมจำได้แม่นยำอยู่อย่างหนึ่งว่า ชะนีที่ได้เข้าไปนั้น ไปเลี้ยงไว้ใน
กรุงเทพฯ ไม่ช้าก็ตายหมด ผมเสียดายเหลือเกิน ดูเหมือนจะถึงน้ำตาตกเพราะผมอยู่ข้าง
รักชะนขี องผมมากมาไดย้ ินเสียงชะนีร้องขนึ้ จงึ นกึ ถึงเรื่องเก่านขี้ ้ึนมาได้
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๓๔
โครงการอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำริ
และพน้ื ทที่ รงงาน
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๓๕
โครงการอนั เน่อื งมาจากพระราชดำรแิ ละพ้ืนทท่ี รงงาน
๑. โครงการฝายคลองรงั แตนพร้อมระบบสง่ น้ำ อนั เน่อื งมาจากพระราชดำริ
บรเิ วณพืน้ ท่บี า้ นรังแตนใต้ หม่ทู ่ี ๑๑ ตำบล จ.ป.ร. อำเภอกระบรุ ี จังหวดั ระนอง
พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัว ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ รบั โครงการก่อสร้างฝาย
ทดน้ำคลองรังแตนพร้อมระบบส่งน้ำและอาคารประกอบไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจาก
พระราชดำริ เม่ือวนั ที่ ๒๑ มิถนุ ายน ๒๕๕๐
สถานที่ตง้ั
บริเวณพื้นที่บ้านรังแตนใต้ หมู่ที่ ๑๑ ตำบล จ.ป.ร. อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง
พิกัดตามแผนที่ทหารมาตราส่วน ๑:๕๐,๐๐๐ ท่ี ๔๗P MM ๘๗๗-๗๗๘ ระวางที่ ๔๗๓๐
II ลำดับชุด L๗๐๑๗
วตั ถุประสงค์
๑. เพื่อส่งน้ำส่งเสริมการปลูกพืชในช่วงฤดูฝน ประมาณ ๙๐๐ ไร่และช่วงฤดูแล้ง
ประมาณ ๕๐๐ ไร่ และเพิ่มผลผลิตและรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่โครงการ รวมพื้นที่
โครงการท้งั สนิ้ ๙๐๐ ไร่
๒. ส่งน้ำช่วยเหลือราษฎรเพื่อการอุปโภค-บริโภค ประมาณ ๒๕๐ ครัวเรือน
ประชากรประมาณ ๒,๐๐๐ คน ได้ตลอดทั้งปี
๓. เป็นการอนุรกั ษแ์ ละรกั ษาสภาพต้นน้ำลำธารธรรมชาตทิ ำให้เกิดความชุ่มชื่นแก่
พ้นื ดินและป่าไม้
สภาพทั่วไป
สภาพทั่วไปเป็นพื้นที่ระหว่างเนินเขา เป็นที่โล่ง และราบมีสวนผลไม้ โดยมีสันเขา
ล้อมรอบ ลักษณะเป็นดินปนทรายและหินใหญ่ สภาพลำน้ำ เป็นลำคลองที่เลาะมาตาม
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๓๖
ภูเขา มีน้ำไหลตลอดทั้งปี ความลาดเทของลำห้วยบริเวณหัวงาน ๑ : ๘ ก้นคลองกว้าง
ประมาณ ๖ เมตร ปากคลองกว้างประมาณ ๑๒ เมตร โดยมีตลิ่งด้านขวาสูงประมาณ ๒
เมตร และตลิ่งด้านซ้ายสงู ประมาณ ๕ เมตร
การประกอบอาชีพของราษฎรบริเวณพื้นที่โครงการส่วนมากทำการ
เกษตรกรรม ได้แก่ การทำสวนผลไม้ผสม เช่น เงาะ มังคุด ทุเรียน หมาก และกาแฟ เป็น
ตน้
๒. โครงการอาคารอดั น้ำหว้ ยนำ้ ทุ่น อันเนอ่ื งมาจากพระราชดำริ
บรเิ วณบา้ นน้ำทนุ่ หมทู่ ี่ ๑๐ ตำบลลำเลียง อำเภอกระบุรี จังหวดั ระนอง
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ รับโครงการอาคารอดั น้ำ
ห้วยนำ้ ทนุ่ ไวเ้ ปน็ โครงการอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำริ วันท่ี ๒๕ เมษายน ๒๕๕๐
สถานทีต่ ัง้
ตั้งอยู่ประมาณพิกัด ๔๗ PMM ๙๐๔–๔๒๔ ตามแผนที่ ๑ : ๕๐,๐๐๐ ลำดับชุด L
๗ ๐ ๑ ๘ ร ะ ว า ง ๔ ๗ ๒ ๙ I ห ร ื อ ป ร ะ ม า ณ พ ิ ก ั ด Latitude ๑ ๐ 0-
๒๐’ ๕๘.๕” N และ Longtitude ๙๘0-๕๕’ -๒๙.๘” E
วัตถุประสงคข์ องโครงการ
เพื่อเก็บกักน้ำไว้ในลำน้ำและทดน้ำให้มีระดับสูงขึ้นจนสามารถส่งน้ำเข้าท่อส่งน้ำ
ส่งไปยังพื้นท่ีที่ได้รับประโยชน์เพื่อการอุปโภค-บริโภค และการเกษตรกรรมในช่วงฤดูแลง้
ของราษฎรบริเวณบ้านน้ำทุ่น หมู่ที่ ๑๐ ตำบลลำเลียง อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง และ
บริเวณหมบู่ า้ นใกลเ้ คียง
สภาพทวั่ ไป
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๓๗
เนื่องด้วยราษฎรในพื้นที่หมู่ที่ ๑๐ ตำบลลำเลียง อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง ใน
ฤดูแลง้ หรือฝนท้ิงช่วงทำให้ราษฎรขาดแคลนน้ำสำหรับใช้ในการเกษตรกรรม การอุปโภค–
บริโภค เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว นายลำเนา สังปริเมน ราษฎร หมู่ที่ ๑๐ ได้มี
หนงั สือถงึ ราชเลขาธกิ าร ขอให้นำความกราบบงั คบั ทลู พระกรณุ ากอ่ สร้างแหล่งน้ำ
๓. โครงการอาคารอดั น้ำบ้านโป่งรวย อนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำริ
บรเิ วณบา้ นคลองเงิน หม่ทู ่ี ๗ ตำบลปากจน่ั อำเภอกระบรุ ี จงั หวดั ระนอง
พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ ัวทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ รับโครงการอาคารอัดนำ้
บ้านโป่งรวย ไว้เป็นโครงการอนั เนอื่ งมาจากพระราชดำริ วันท่ี ๑๘ มิถุนายน ๒๕๔๖
สถานทต่ี ัง้
ตั้งอยู่ประมาณพิกัด ๔๗ PMM ๘๓๙ – ๗๑๖ ตามแผนที่ ๑ : ๕๐,๐๐๐ ลำดับ
ช ุ ด L ๗ ๐ ๑ ๘ ร ะ ว า ง ๔ ๗ ๓ ๐ II ห ร ื อ ป ร ะ ม า ณ พ ิ ก ั ด Latitude ๑ ๐ 0-๓ ๕ ’–
๕๗.๐” N และ Longtitude ๙๘0-๕๑’ -๐๘.๐”E
วตั ถุประสงค์ของโครงการ
เพื่อเก็บกักน้ำไว้ในลำน้ำและทดน้ำให้มีระดับสูงขึ้นจนสามารถส่งน้ำเข้าท่อส่งน้ำ
ส่งไปยังพื้นที่ที่ได้รับประโยชน์เพื่อการอุปโภค-บริโภค และการเกษตรกรรมในช่วงฤดูแลง้
ของราษฎรบริเวณบ้านคลองเงิน หมทู่ ี่ ๗ ตำบลปากจั่น อำเภอกระบุรี จงั หวดั ระนอง และ
บริเวณหมู่ที่ ๓ บ้านหนองจิก, หมู่ที่ ๔ บ้านปากจั่น, หมู่ที่ ๖ บ้านเกาะกลาง และหมู่ท่ี
๑๐ บ้านหลมุ พอล่าง
สภาพทว่ั ไป
เนื่องด้วยในพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลปากจั่น รวม ๕ หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่
ที่ ๓ หมู่ที่ ๔ หมู่ท่ี ๖ หมู่ที่ ๗ และหมู่ที่ ๑๐ ตำบลปากจั่น อำเภอกระบุรี จังหวัด
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๓๘
ระนอง โดยฤดูแล้งขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค และใช้เพื่อการ
เกษตรกรรม เนอ่ื งจากไม่มแี หลง่ นำ้ ธรรมชาตทิ ีเ่ กบ็ กักนำ้ ไวไ้ ด้
๔. โครงการอาคารอัดน้ำห้วยหอย อนั เน่ืองมาจากพระราชดำริ
บริเวณบ้านบุรีรมั ย์ หมทู่ ่ี ๑ ตำบลในวงใต้ อำเภอละอุน่ จังหวดั ระนอง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับโครงการอาคารอัดน้ำ
หว้ ยหอย ไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ วันท่ี ๑๒ มถิ นุ ายน ๒๕๔๘
สถานท่ีตัง้
ตั้งอยู่ประมาณพิกัด ๔๗ PMM ๘๕๖–๐๖๖ ตามแผนที่ ๑ : ๕๐,๐๐๐ ลำดับชุด L
๗ ๐ ๑ ๘ ร ะ ว า ง ๔ ๗ ๒ ๙ II ห ร ื อ ป ร ะ ม า ณ พ ิ ก ั ด Latitude ๑ ๐ 0-๐ ๐ ’ –
๔๑.๘” N และ Longtitude ๙๘0-๕๒’ -๐๗.๓” E
วตั ถปุ ระสงค์ของโครงการ
เพ่อื เกบ็ กกั นำ้ ไว้ในลำนำ้ และทดน้ำให้มรี ะดับสงู ข้ึนจนสามารถสง่ น้ำเข้าทอ่ ส่งน้ำไป
ยังพื้นที่ที่ได้รับประโยชน์เพื่อการอุปโภค-บริโภคและการเกษตรกรรมในช่วงฤดูแล้งของ
ราษฎร์บริเวณบ้านบุรีรัมย์ หมู่ท่ี ๑ บ้านเนินทอง หมู่ท่ี ๒ บ้านทับเหนือ หมู่ท่ี ๓ ตำบลใน
วงใต้ อำเภอละอนุ่ และในบรเิ วณใกล้เคียง
สภาพทัว่ ไป
เน่อื งด้วยราษฎรในเขตตำบลในวงใต้ รวม ๓ หมู่บ้าน ไดแ้ ก่ หมทู่ ่ี ๑, ๒ และ ๓ ซ่ึง
มีราษฎรอยู่ประมาณ ๒๒๐ ครัวเรือนพื้นที่เกษตรกรรมประมาณ ๕๐๐ ไร่ ในฤดูแล้งหรือ
ฝนท้ิงช่วงจะขาดแคลนนำ้ เพ่ือการอุปโภค–บริโภค
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๓๙
พพิ ธิ ภณั ฑ์ โบราณสถาน โบราณวตั ถุ
และแหลง่ เรยี นรทู้ ีส่ ำคญั
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๔๐
พพิ ธิ ภณั ฑ์ โบราณสถาน โบราณวตั ถุ และแหลง่ เรยี นรทู้ ี่สำคญั
พระทน่ี งั่ รัตนรังสรรค์
ความเป็นมา
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๓๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ
ประพาสหัวเมืองแหลมมลายู ระยะทางทีเ่ สด็จไปครัง้ นั้นทรงเรือสุริยมณฑล (ลำแรก) เป็น
เรือพระที่นั่งจากกรุงเทพฯ ไปยังเมืองชุมพร จากนั้นได้เสด็จทรงช้างพระที่นั่งเสด็จทาง
สถลมารคจากเมืองชุมพร ข้ามแหลมมลายูไปลงเรือที่เมืองตระบุรี เพื่อเสด็จตรวจหัวเมือง
ชายทะเลในพระราชอาณาเขต ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ได้เสด็จไปถึงจังหวัดระนอง โดย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว โปรดฯให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพ
สาตรศุภกิจ กำหนดแผนที่ทำเรือนไม้บนเขาโดยใช้เครื่องไม้จริง และพระยารัตนเศรษฐี
(คอซิมก๊อง) เจ้าเมืองระนองขณะนั้นได้ สร้างพลับพลาถวายเป็นที่ประทับบนยอดเขา ซึ่ง
ได้เสด็จฯ ประทับแรม ณ พระที่นั่งรัตนรังสรรค์ เป็นเวลา ๓ ราตรี ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๕
เดือน เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๓
พระทน่ี ่งั รตั นรังสรรคอ์ งค์แรก
พระราชหัตถเลขาเกี่ยวกับพระที่นั่งรัตนรังสรรคแ์ ละเขานิเวศน์ในคราวเสด็จครัง้ น้ี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชนิพนธ์เป็นพระราชหัตถเลขา
บอกข่าว ทรงเล่าเรื่องที่เสด็จประพาสมายังผู้รักษาพระนคร มีความตอนหนึ่งว่า ที่เขาน้ี
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๔๑
เขาว่าสูงร้อยสิบฟิต แต่เป็นเนินลาดๆ มีที่กว้างใหญ่โตกว่าเขาสัตนาถ*มาก พลับพลาที่ทำ
นั้นกท็ ำเสาไมจ้ รงิ เคร่อื งไม้จริง กรอบฝาและบานประตใู ช้ไม้จรงิ แต่กรุใชไ้ มร้ ะกำทงั้ ลำเข้า
เป็นลายต่างๆ หลังคานั้นมุงไม้เกล็ดแล้วสองหลัง นอกนั้นมุงจากดาดสี ใช้สีน้ำเงินจะให้
เหมือนกันกับหลังคาไม้ซึ่งทาสีไว้ มีท้องพระโรงหลังหนึ่ง ที่อยู่ข้างในใหญ่หลังหนึ่งยกเป็น
ห้องนอนสูงขึ้นไปหลังหนึ่งที่อยู่ข้างในใหญ่หลังหนึ่ง มีคอนเซอเวนเตอรี่* ยาวไปจนหลัง
แปดเหลย่ี มอีกหลังหนึ่ง ท่ีหลงั เล็กซง่ึ เป็นที่นอนและที่หลงั แปดเหลีย่ มแลดเู หน็ เมืองระนอง
ทั่วทั้งเมือง หน้าต่างทุกๆ ช่อง เมื่อยืนดูตรงนั้นก็เหมือนหนึ่งดูปิกเชอ*แผ่นหนึ่งแผ่นหนึ่ง
ด้วยแลเห็นทุ่งนาออกไปจนกระทั้งถึงภูเขาซึ่งอยู่ใกล้ชิด ได้ยินเสียงชะนีร้องเนืองๆ
สลับซับซ้อนกันไป ด้านหนึ่งก็เป็นได้อย่างหนึ่ง ด้านหนึ่งก็เป็นอย่างหนึ่ง ไม่เคยอยู่ที่ใดซ่ึง
ตั้งอยู่ในทีแ่ ลเห็นเขาทุ่งป่าและบ้านเรือนคนงามเหมอื นอย่างที่นี่เลย... การตบแต่งประดบั
ประดาและเครื่องที่จะใช้สอยพรักพร้อมบริบูรณ์อย่างปีนัง ตามข้างทางและชายเนินก็มี
เรอื นเจ้านายและขา้ ราชการหลังโตๆ มโี รงบิลเลียด โรงทหารพรกั พร้อมจะอยสู่ ักเทา่ ใดกไ็ ด้
วางแผนที่ทางขึ้นทางลง ข้างหน้าข้างในดีกว่าเขาสัตนาถมาก เสียแต่ต้นไม้บนเนินนั้นไม่มี
ต้นไม้ใหญ่ ที่เหลือไว้ก็เป็นต้นไม่สู้โต ต้นเล็กๆ ที่ตัดก็ยังเป็นตอสะพรั่งอยู่โดยรอบแต่ใน
บรเิ วณพลับพลาปลกู หญ้าขึ้นเขียวสด บริบรู ณด์ ที ั่วทกุ แหง่ พระยายุทธการโกศลมาคอยรับ
อยู่ที่เมืองระนองนีห้ ้าวนั มาแล้ว เดิมคิดวา่ ตอ้ งมานอนท่ีเกาะเขมาเกินโปรแกรมวันหน่งึ จะ
ย่นวันเมืองระนองเข้าอยู่แต่สองคืน แต่ครั้นไปเห็นที่เขาทำไวใ้ ห้อยู่ลงทุนรอนมากและการ
ต้อนรับนั้นโดยความเต็มใจแข็งแรงจริงๆ จึงได้ผ่อนวันออกไปอีกวันหนึ่ง เวลาเย็นได้ลงดู
ตามเนินนั้นโดยรอบ แล้วขึ้นเขาเล็กอีกเขาหนึ่งซึ่งอยู่หน้าท้องท้องพระโรง คล้ายเขาหอ
พระปรติ ท่เี พชรบุรี ปลกู ศาลาไวใ้ นหมู่ร่มไม้เปน็ ที่เงียบสงัด เวลากลางวันนี้ไม้ร้อนด้วยครึ้ม
ฝน เวลากลางคนื หนาวปรอทถึง ๗๕ องศา...
หมายเหตุ
* เขาสตั นาถ ปจั จุบันคอื วัดเขาวงั ในจงั หวัดราชบรุ ี
* คอนเซอเวเตอร่ี (conservatory) หมายถึง เรอื นกระจก
* ปิกเชอ (picture) หมายถึง รปู ภาพ
พระราชทานชื่อพระทีน่ ่ัง
พระทีน่ ่ังรตั นรงั สรรค์ มีความหมายว่า พระทีน่ ัง่ ท่ีพระยารตั นเศรษฐเี ป็นผู้สร้างโดย
ในวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๔๓๓ ได้ทรงมีพระราชนิพนธ์ความตอนหนึ่งว่า “พระยาระนอง
(พระยารัตนรังสรรค์–คอซิมก๊อง) ขอให้ตั้งชื่อพลับพลานี้เป็นพระที่นั่งด้วยเขาจะรักษาไว้
เป็นที่ถอื น้ำพระพิพัฒน์สัจจาและขอให้ตั้งชือ่ ถนนด้วย จึงได้ให้ชื่อพระที่นั่งวา่ รัตนรังสรรค์
เพ่อื จะไดแ้ ปลกลำ้ ๆ พอมชี อ่ื ผทู้ ำเปน็ ทย่ี นิ ดี เขาทท่ี ำวงั นใ้ี หช้ อ่ื วา่ นเิ วศนค์ รี ี...”
ลักษณะทว่ั ไปของพระท่นี งั่ รัตนรังสรรค์
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๔๒
พระที่นั่งรัตนรังสรรค์มีลักษณะเป็นกลุ่มเรือนไม้ขนาดใหญ่ มีทางเดินเชื่อมต่อกัน
โดยตลอด องค์พระที่นั่งสร้างด้วยไม้สักและไม้กระยาเลย ส่วนฝาพระตำหนักใช้ไม้ระกำ
หลงั คาเป็นรปู แปดเหลี่ยมมุงดว้ ยกระเบ้ืองไม้ ซ่งึ ลกั ษณะพิเศษคอื เป็นพระท่ีน่ังที่มีการเข้า
สลักไม้แทนตะปู ซึ่งเป็นการนำวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของภาคใต้มาใช้ในงาน
สถาปตั ยกรรม
จดหมายเหตปุ ระพาสหวั เมืองปกั ษใ์ ต้ ร.ศ.๑๒๘
พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยหู่ ัวไดท้ รงพระราชนิพนธ์จดหมายเหตุ โดยใช้
พระนามแฝงว่านายแก้ว ทรงบรรยายเกี่ยวกับเขานิเวศน์และพระที่นั่งรัตนรังสรรค์ คร้ัง
เสด็จฯ ระนองครั้งแรก เมื่อ ร.ศ. ๑๒๘ (พ.ศ. ๒๔๕๒) เป็นพระราชหัตถเลขา มีข้อความ
ตอนหนึ่งดังน้ี ...เขาวังนี้อยู่ข้างจะชันมาก ม้าที่ใช้ลากรถก็ล้วนแต่ย่อมๆ ถ้าไม่ได้อาศัยคน
รุนทา้ ยรถเหน็ จะลากข้ึนมาไม่ไหว ทางขึ้นน้ันได้ตัดให้คอ่ ยๆ วกไปวกมาเพอ่ื ใหข้ ้ึนทีละน้อย
อยู่แล้ว แต่กระนั้นก็ยังชันอยู่มากยิ่งจวนๆ ถึงยอดเขารถแทบจะขึ้นไม่ไหว พระที่นั่งรัตน
รังสรรค์นี้ตั้งอยู่บนยอดเขาและมีต้นไม้ล้อมอยู่รอบทุกด้าน เพราะฉะนั้นเป็นที่น่าสบาย
อย่างยิ่ง ตัวพระที่นั่งเป็นเรือนตึก ๒ ชั้น รูปยาวไปตามยอดเขา รับลมเย็นสบายดีนัก...
เวลาบ่ายทรงรถเสด็จประพาสตามในเมืองและทอดพระเนตรสถานที่ต่างๆ เสด็จที่ว่า
การเมืองกอ่ นที่ว่าการเมอื งตามธรรมดาใช้ชนั้ ล่างพระที่นั่งรัตนรังสรรค์ คร้ันเตรียมจัดพระ
ที่นั่งเป็นที่ประทบั จึงย้ายลงไปตั้งทำการอยู่ในศาลาช่ัวคราว ทำเป็นรูปโรงนาอย่างท่ีชมุ พร
ท่ีนแี้ ลว้ จะยกพ้ืนใช้เปน็ โรงเรยี นตอ่ ไป...
พระที่นั่งดัดแปลงเป็นศาลากลางรับเสด็จฯ สามรัชกาล ต่อมาพระที่นั่งรัตน
รังสรรค์ได้ชำรุดทรุดโทรมลง ในสมัยพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอยู่หงี่) เป็นเจ้าเมือง
ระนอง (พ.ศ.๒๔๓๓ – พ.ศ.๒๔๖๖) จึงไดร้ ว่ มกบั สมหุ เทศาภบิ าลมณฑลภูเก็ตปรบั ปรงุ และ
ดัดแปลงพระที่นั่งรัตนรังสรรค์ใหม่ โดยสร้างเป็นรูปเรือนตึกก่ออิฐถือปูน ๒ ชั้น ทาสีขาว
หันหน้ามุขไปทางด้านทิศตะวันตกและประดับตราพระครุฑพ่าห์ ก่อสร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.
๒๔๔๔ แล้วใช้อาคารหลังนี้เป็นศาลากลางเมืองระนองเรื่อยมา พระที่นั่งรัตนรังสรรค์องค์
ใหมน่ ย้ี ังได้ใช้เป็นท่ปี ระทบั ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ และ รชั กาลท่ี ๗
อกี สามครงั้ ดงั นี้
คร้งั แรก พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจา้ อย่หู วั ขณะดำรงพระยศเปน็ สมเดจ็ พระ
บรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธสยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯเมืองระนองครั้งแรกคราว
ประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ เสด็จฯประทับแรม ๔ ราตรี ระหว่างวันที่ ๑๖ – ๑๙ เมษายน
๒๔๕๒
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๔๓
ครั้งที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อขึ้นครองราชย์แล้วคราว
เสด็จฯเย่ยี มหัวเมอื งมณฑลปกั ษ์ใต้ฝ่ายตะวันตกเสดจ็ ฯ ประทบั แรม ๓ ราตรี ระหว่างวันท่ี
๑๗ – ๑๙ เมษายน ๒๔๖๐
ครั้งที่ ๓ พะบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในคราวเสด็จฯประพาสเยี่ยมหัว
เมืองชายทะเลฝา่ ยตะวนั ตก เสดจ็ ฯประทบั แรม ๑ ราตรี ในวนั ที่ ๒๙ มกราคม ๒๔๗๑
มุขหนา้ ศาลากลาง
รื้อถอน กระทั่งเดือนพฤษภาคม ๒๕๐๗ สมัยท่ี พ.ต.อ.บุญณรงค์ วัฒฑนายน เป็น
ผู้ว่าราชการจงั หวดั จึงได้รือ้ ถอนองค์พระที่น่ังเพือ่ สร้างเป็นศาลากลางจงั หวัดหลังปจั จบุ ัน
โดยได้วางศิลาฤกษ์ในวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๐๗ พระที่นั่งรัตนรังสรรค์จึงสูญหายไปจาก
จังหวัดระนองตั้งแต่บัดนั้น นับเป็นการสูญเสียโบราณสถานอันมีคุณค่าและมีความสำคัญ
ยิง่ ของชาวจังหวดั ระนอง
ปัจจุบัน บริเวณที่ตั้งของพระที่นั่งเป็นเนินเขาซึ่งมีชื่อว่าเขานิเวศน์คีรีและมีศิลา
สลักประดับไว้เป็นสำคัญ ปัจจุบันอยู่ติดกับศาลากลางจังหวัดโดยยังมีร่องรอยเป็นบันได
และบริเวณให้เห็นทางจังหวัดได้อนุรักษ์ไว้ และกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็น
โบราณสถานแล้ว เมอื่ ปี พ.ศ.๒๕๒๐ (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เลม่ ที่ ๙๔ ตอนที่ ๓๙
วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๒๐) ในโอกาสฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี เมื่อปีพุทธศักราช
๒๕๒๕ ทางจังหวัดได้ค้นคว้าหลักฐานภาพถ่ายโดยขอความร่วมมือจากกรมศิลปากรให้
คำแนะนำเกี่ยวกบั รปู แบบความถูกตอ้ ง แลว้ จำลองพระทีน่ ่งั รัตนรังสรรค์ ย่อสว่ นขนาด ๑:
๑๐๐ ตั้งแสดงไว้บริเวณชั้นล่างของศาลากลางจังหวัดระนองเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้อนุชนรุ่น
หลังได้ชื่นชมพระที่นั่งที่มีความสวยงามทางสถาปัตยกรรมและเป็นตราสัญลักษณ์ประจำ
จังหวัดสืบไป
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๔๔
พระราชวังรัตนรังสรรค์ถือเป็นพระราชวัง ที่มีการประกาศพระบรมราชโองการ
ยกขึ้นเป็นพระราชวัง ๑ ใน ๑๙ แห่งของประเทศไทย และเป็นพระราชวัง ๑ ใน ๖ แห่งที่
สร้างขึ้นตามหัวเมือง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เป็นพระราชวังท่ีสร้างจากไมท้ ง้ั หลงั สวยงามาก เพือ่ เปน็ อนสุ รณ์ ในการเสดจ็ ประทับแรมของ
พระมหากษัตรยิ ท์ ้ัง ๓พระองค์ และจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชงิ ประวตั ิศาสตร์อกี แห่งหนึ่งของจังหวัด
ระนองอีกด้วย
สสุ านเจา้ เมืองระนอง
สุสานเจ้าเมืองระนอง ตั้งอยู่หมู่ที่ ๓ ตำบลบางนอน อำเภอเมือง จังหวัดระนอง
เป็นสุสานที่เป็นศิลปะแบบจีนล้วนๆ เป็นที่ฝังศพของเจ้าเมืองระนองที่ชื่อ พระยาดำรง
สุจริตมหิศร (คอซู้เจียง) มีตุ๊กตารูปปั้นสัตว์และขุนนางที่นำมาจากประเทศจีน มีเสา
หินแกรนิต ๒ เสา สุสานแห่งนี้ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ที่ตั้งของสุสานเจ้าเมืองระนองอยู่ทางหลวงหมายเลข ๔๐๐๔
(ระนอง-ปากน้ำ) หา่ งจากตัวเมืองระนองประมาณ ๑ กิโลเมตร
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๔๕
ประวัตคิ วามเปน็ มา
เป็นสุสานของพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) อดีตเจ้าเมืองระนอง ที่ถึง
แก่อนิจกรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๕ รัชกาลที่ ๕พระราชทานที่ดินให้เป็นที่ฝังศพท่ีเขาระฆังทองเป็นจำนวน
เน้อื ท่ี ๓๗๕ เสน้ กับ๓๐๐ ตารางวา พระรัตนเศรษฐี (คอซิมก๊อง) ผู้เป็นบุตรชายได้จดั การฝัง
ศพตามประเพณีจีน และได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ทำคำจารึกลงบนศิลา
เกี่ยวกับชาติประวัติ ทั้งภาษาไทยและภาษาจีนปักไว้เป็นเกียรติยศ ณ ที่ฝังศพตามธรรม
เนยี มจนี
ความสำคัญตอ่ ชมุ ชน
เป็นท่ีฝังศพของพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซเู้ จียง) เจา้ เมืองระนอง ชาวบ้าน
เรียกท่านว่า เจ้าคุณเฒ่า ซึ่งเป็นที่เคารพนับถอื ของประชาชนในท้องถ่ินเป็นตวั อย่างของผู้
ประสบความสำเร็จในชีวิต ทั้งๆที่อพยพมาจากประเทศจีนเข้ามาเป็นกรรมกรรับจ้างจนได้
ตำแหน่งเป็นเจ้าเมอื ง กเ็ พราะเป็นคนทีม่ คี วามกตญั ญูกตเวที ซ่อื ตรง อดทน มัธยสั ถ์ รอบรู้
และมองการณ์ไกล รู้จักการจัดการและการแก้ปัญหา ทำประโยชน์ให้แผ่นดินอย่างมาก
เป็นแบบฉบับสำหรับข้าราชการทั้งหลาย อีกทั้งยังมีลูกหลานอยู่ในโอวาทของบิดามารดา
จนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานจนได้เป็นใหญ่ในภาคใต้อีกหลายคน จึงเป็น
บุคคลที่น่าชื่นชมเอาเยี่ยงอย่างท่าน สุสานเจ้าเมืองระนอง จึงเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่
นักท่องเที่ยวที่มาจงั หวัดระนองตอ้ งมาเยือน
ลักษณะทางสถาปตั ยกรรม
เปน็ สสุ านขนาดใหญ่ อยบู่ ริเวณเชงิ เขาขนาดเลก็ หันหน้าไปทางทศิ ใต้ หนา้ สุสาน
เปน็ บริเวณลานกวา้ งทำด้วยศลิ าจากเมอื งจีน กอ่ เข่ือนศลิ า ปูศิลาขึน้ ไปเป็นช้ันๆ จนถงึ
สสุ านฝังศพ ด้านหน่ึงมเี สาธงศิลาคู่หนึง่ แพะคู่หนึ่ง เสอื คู่หน่ึง มา้ คู่หนงึ่ ขุนนางฝ่ายบู๊
ฝ่ายบุ๋นคู่หนง่ึ
รปู ปน้ั แพะ หมายถงึ โภคทรพั ย์ ความมง่ั คงั่
รปู ป้นั เสอื หมายถึง พลังอำนาจ ความย่งิ ใหญ่
รูปปั้นม้า หมายถงึ ข้าทาสบริวาร คนรับใช้
รปู ขนุ นางฝ่ายบู๊ฝา่ ยบนุ๋ หมายถงึ ขนุ นาง ทำหนา้ ทนี่ กั รบ
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๔๖
รปู ปน้ั ต๊กุ ตาหินฝา่ ยบู๊ ฝ่ายบุ๋น
รูปปนั้ หนิ เป็นรูปแพะ สิงโต และมา้ อย่างละ ๑ คู่
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๔๗
กำแพงจวนเจ้าเมืองระนอง
สถานที่ตั้ง
ตง้ั อย่ทู ่ตี ำบลเขานิเวศน์ อำเภอเมอื ง จังหวัดระนอง ใกลก้ บั โรงเรียนสตรีระนอง
ประวัติความเปน็ มา
กำแพงจวนเจ้าเมืองระนองสร้างในสมัยพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซิม
ก๊อง) บุตรชายคนที่ ๒ เริ่มสร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๒๐ มีเนื้อที่ประมาณ ๓๓ ไร่เศษ
ต้งั อยใู่ นเขตเทศบาลเมอื งระนอง ปัจจบุ ันกรมศลิ ปากรได้ประกาศข้ึนทะเบียนโบราณสถาน
ฉบับทวั่ ไป เลม่ ท่ี ๑๑๒ ตอนพเิ ศษ ๕๐ วนั ท่ี ๑๘ เดอื น ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ สงิ่ สำคญั คือ
๑. กำแพง ทำด้วยอิฐสอปูนสูงประมาณ ๓.๕๐ เมตร ความหนาของกำแพง
ประมาณ ๕๐ เซนติเมตร ทำด้วยหินธรรมชาติสูงประมาณ ๖๐ เซนติเมตร และหนา
ประมาณ ๖๐ เซนตเิ มตร แนวกำแพงมคี วามยาวทั้งหมด ๙๕๔ เมตร ปจั จบุ ันเหลือแนวให้
เห็นเพียง ๗๒๒ เมตร มีประตูทางเข้าอยู่ด้านทิศตะวันออกและบริเวณประตูด้านหนา้ ยังมี
เรือนหอรบขนาดใหญ่ทำด้วยไม้ (ปัจจุบันเรือนหอรบพังไปตามกาลเวลา) มุมกำแพงด้าน
ทิศเหนือติดกับมุมด้านทิศตะวันออก มีป้อมขนาดเล็กอยู่หนึ่งป้อม และป้อมนี้ในอดีตอาจ
ใชเ้ ปน็ ท่รี ักษาการณข์ องยามเลยจากปอ้ มไปตามแนวของกำแพง ยังมปี ระตขู นาดเล็กอีกใน
ตัวของกำแพงนั้นมีช่องมองหรือช่องปืนทำไว้เป็นระยะๆ ภายในกำแพงของด้านนี้ ตลอด
แนวจะเห็นซากของอาคารที่ทำเชื่อมติดกบั ตัวกำแพง ซึ่งซากอาคารต่างๆนี้เดิมทำเป็นโรง
เกบ็ สนิ คา้ เปน็ ตน้ วา่ โรงมา้ โรงตม้ กลั่นสุรา โรงต้มฝิ่นและฉางขา้ ว
๒. จวนเจ้าเมืองและเรือนรับรอง สร้างด้วยอิฐสอปูน โครงบนทำด้วยไม้ หลังคามุง
กระเบอ้ื งตั้งอยภู่ ายในไม่ไกลจากประตทู างเข้ามากนักและเมอื่ สร้างจวนเสร็จเรยี บร้อยแล้ว
เจ้าเมืองเห็นว่าบริเวณตรงที่สร้างนั้นไม่เหมาะที่จะพักอาศัย เหตุเพราะว่าตั้งอยู่ใกล้กับ
ประตูทางเข้ามากเกินไป จึงใช้เรือนหลังนี้เป็นเรือนรับรอง เป็นอาคารขนาดกว้าง ๒๐
ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๔๘
เมตร ยาว ๓๐ เมตร ฐานของอาคารสงู จากระดบั ของพ้นื ดินประมาณ ๑.๒๕ เมตร มีบนั ได
ทางขึ้นด้านหน้า ๓ ทาง ด้านหลัง ๑ ทาง บันไดทำด้วยหินแข็งขนาดกว้าง 20 เซนติเมตร
ความยาวของหินแต่ละแผ่นไม่เท่ากัน ตัวของอาคารทำด้วยปูนซีเมนต์ผสมกรวดทรายอัด
เป็นแผ่นวางซ้อนกัน ผนังห้องบางช่วงก่ออิฐผสมเล็กน้อย ตัวอาคารแบ่งเป็น ๓ ห้อง มี
ขนาดเท่ากัน ๒ ห้อง ห้องกลางเป็นห้องเล็กความสูง ๗ เมตร หนา ๒๐x๖๐ เซนติเมตร
บริเวณด้านข้างของอาคารห่างออกไปประมาณ ๕ เมตร มีเรือนของโรงครัว ๑ โรง ส่วน
จวนเจ้าเมืองหลังใหม่ที่สร้างขึ้นนั้นอยู่ลึกเข้าไปอีก (ปัจจุบันทำเป็นที่เคารพสักการะของ
ตระกลู และของประชาชนท่ัวไป)
๓. บ่อน้ำและบ่อพักน้ำร้อน บ่อน้ำทำไว้เพื่อใช้ภายในบริเวณจวน มี ๗ บ่อและที่
สำคัญคือ บ่อพักน้ำร้อน ซึ่งก่อด้วยอิฐเป็นรูปบ่อสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก และมีความลึก
ประมาณ ๑.๐๐ – ๑.๕๐ เมตร มที างน้ำไหลเข้าอยู่ทางด้านทิศใต้ มาจนถึงบ่อพักและจาก
บ่อพักมีทางน้ำไหลออกไปนอกกำแพง ด้านทิศเหนือ ทางน้ำนี้ก่อด้วยอิฐมีความลึก
ประมาณ ๓๐–๔๐ เซนติเมตร เหตุผลของการทำบ่อพักน้ำร้อนนี้ เนื่องจากความเชื่อของ
คนจีนว่า บรเิ วณพน้ื ท่อี ย่อู าศัยนัน้ เปน็ พ้ืนทร่ี ้อน จึงตอ้ งทำทางน้ำไหลผา่ นพืน้ ท่ีเพ่ือให้พนื้ ที่
มีความเย็น ตามหลักโหราศาสตร์ของคนจีนและผู้ที่อยู่อาศัยพื้นที่นั้นจะอยู่เย็นเป็นสุข
ตลอดไป
ความสำคัญตอ่ ชมุ ชน ๔๙
ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง