The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ข้อมูลเบื้องต้นด้านประวัติศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรมจังหวัดระนอง สำหรับครูผู้สอนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระนอง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ย้อนรอยเมืองเก่า เล่าเรื่องเมืองระนอง "ฝนแปด แดดสี่"

ข้อมูลเบื้องต้นด้านประวัติศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรมจังหวัดระนอง สำหรับครูผู้สอนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระนอง

Keywords: ระนอง

เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดระนองที่บอกถึงความเป็นมาของ
ท้องถิ่นในอดีตที่มีหลักฐานปรากฏชัดเจนทำให้ประชาชนในท้องถิ่นรู้ถึงความเป็นมาและ
รากเหง้าของท้องถิ่น เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของนักเรียน
นักศกึ ษา และผู้ทส่ี นใจ ภายในเรอื นรับรองยังมศี าลบรรพบุรษุ ทมี่ ีผคู้ นไปกราบไหว้กันเป็น
จำนวนมาก
เสน้ ทางเขา้ สกู่ ำแพงจวนเจ้าเมอื งระนอง

ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๕๐๐ เมตรไปตามถนนเรืองราษฎร์ในเขตเทศบาลเมือง
ระนอง จวนเจ้าเมืองระนอง หรือ ที่ชาวระนอง เรียกว่าในค่ายระนอง เป็นบ้านเรือนที่อยู่
อาศัยของครอบครัวเจ้าเมอื งระนอง ตงั้ แต่เจ้าเมืองระนองคนแรก พระยาดำรงสุจริตมหิศร
ภกั ดี ผู้มีนามและสกุลเดมิ วา่ “คอซเู้ จียง” ท่ชี าวระนองเรยี กทา่ นวา่ เจา้ คุณผู้เฒ่า ผู้เป็นตน้
สกลุ ณ ระนอง ซ่งึ สบื ทอดเชอ้ื สายมาถงึ รุน่ ที่ ๕ รนุ่ ที่ ๖ และรนุ่ ที่ ๗ แลว้ ในปัจจุบัน

ท่านเจ้าคุณผู้เฒ่าได้สร้างฐานะอันมั่งคั่งมั่นคงของเมืองระนองขึ้นมาด้วยทรัพย์ใน
ดินที่เรียกว่า แร่ดีบุก จากครัวเรือนเพียง ๑๗ ครอบครัว ขยายตัวจนกลายเป็นชุมชนเมือง
ที่มีผู้คนมาอาศัยทำมาหากินมากขึ้นจนถึงปัจจุบัน พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้
เจียง) มีบุตร ๖ คน ธิดา ๔ คน บุตรทั้งหมดของท่านล้วนรับราชการเป็นขุนนางที่ได้รับ
พระราชทานบรรดาศกั ดใิ์ หญ่โต ดงั น้ี

๑. ท่านคอซิมเจ่ง ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรในสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นหลวงศรี
โลหภมู ิ พทิ กั ษ์ตำแหน่งผู้ชว่ ยราชการเมืองระนอง ถึงแก่กรรมในตำแหน่ง

๒. ทา่ นคอซมิ ก๊อง ได้รบั พระราชทานสัญญาบัตรในสมัยรัชกาลท่ี ๔ เป็นพระศรีโห
ภูมิพิทักษ์ ตำแหน่งผู้ช่วยราชการเมืองระนอง แล้วได้เลื่อนเป็นพระยารัตนเศรษฐี ผู้ว่า
ราชการเมืองระนองแทนต่อจากบิดาในรัชกาลที่ ๕ ต่อมาได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยา
ดำรงสจุ ริตมหศิ รภกั ดี สมุหเทศาภิบาลมณฑลชุมพร

๓. ท่านคอซิมจั๊ว ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นหลวงศรี
สมบตั ิ ผู้ช่วยราชการเมอื งระนอง ถงึ แก่กรรมในตำแหน่ง

๔. ท่านคอซิมขิม ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นหลวงศรี
โลหภูมิพิทักษ์ แล้วเป็นพระศรีโลหภูมิพิทักษ์ ผู้ช่วยราชการเมืองระนอง ต่อมาได้เลื่อน
บรรดาศักดิ์เป็นพระยาอษั ฎงคตทศิ รักษา ผู้วา่ เมอื งกระบุรี

๕. ท่านคอซิมเตก๊ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรในสมัยรัชกาลท่ี ๕ เป็นพระจรูญ
ราชโภคากร จางวางกำกบั ราชการเมืองหลงั สวน ภายหลังได้เป็นพระยาจรูญราชโภคากร

๖. ท่านคอซิมบี๊ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็น
หลวงบริรักษ์โลหวิสัย ผู้ช่วยราชการเมืองระนอง แล้วได้เลื่อนเป็นพระอัษฎงคตทิศรักษา
ผวู้ ่าราชการเมอื งกระบุรี ต่อมาได้เลือ่ นเปน็ พระยารษั ฎานปุ ระดิษฐมหิศรภกั ดี ผวู้ ่าราชการ

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๕๐

เมืองตรัง แล้วเลื่อนเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต ถึงแก่อนิจกรรมในตำแหน่งสมัย
รชั กาลที่ ๖

จวนเจ้าเมอื งระนองและเรือนรับรอง
จวนเจ้าเมืองระนอง สร้างในสมัยพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) ผู้สร้าง

คือ พระยาดำรงสจุ รติ มหิศรภกั ดี (คอซมิ ก๊อง) บุตรชายคนท่ี ๒ เรม่ิ สรา้ งเมือ่ ประมาณ พ.ศ.
๒๔๒๐ เพื่อใช้เป็นบ้านพักอาศัยแทนบ้านพักหลังเดิมที่ตั้งอยู่ริมฝั่งคลองบริเวณตลาดเก่า
สุดถนนท่าเมือง ซึ่งตัวบ้านเสียหายถูกน้ำซึมเข้าในกำแพงผนังที่ก่อด้วยปูนสดแบบจีน
สืบเนอื่ งการทำเหมืองแรด่ ีบกุ นำ้ ทลี่ ้างแร่
ชะดินทรายไหลลงคลอง มาทับถมจนคลองตืน้ เขินจนระดับพ้ืนดนิ ภายนอกสูงกว่าพ้นื บ้าน
อีกทั้งความชื้นก่อให้เกิดการป่วยไข้แก่สมาชิกในครอบครัว จวนเจ้าเมืองที่สร้างแห่งนี้ มี
ลักษณะเป็นป้อมค่ายเพื่อไว้ปอ้ งกันเหตุร้าย สืบเนื่องจากเมื่อครั้งที่กลุม่ กรรมกรได้ร่วมมอื
กับสมาคมลับอั้งยี่ทะเลาะวิวาทกับนายเหมืองด้วยเรื่องค่าแรง จนเรื่องลุกลามใหญ่โตเป็น
กบฎ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๑๙

จวนเจ้าเมืองระนอง มีเนื้อที่ ประมาณ ๓๓ ไร่เศษ ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมือง
ระนอง ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานฉบับทั่วไป เล่มที่ ๑๑๓
ตอนพเิ ศษ ๕๐ ลงวันท่ี ๑๘ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ สิ่งสำคัญคือ

๑. กำแพง ทำด้วยอิฐสอปูนสดแบบจีน สูงประมาณ ๓.๕๐ เมตร ความหนาของ
กำแพง ประมาณ ๕๐ เซนติเมตร ฐานทำด้วยหินธรรมชาติสูงประมาณ ๖๐ เซนติเมตร
และหนาประมาณ ๖๐ เซนติเมตร แนวกำแพงมีความยาวทั้งหมด ๙๕๔ เมตร ปัจจุบัน
เหลือแนวให้เห็นเพียง ๗๒๒ เมตร มีประตูทางเข้าอยู่ด้านทิศตะวันออก (ด้านถนนกิจ
ผดุง) ด้านหน้ามีเรือนหอรบขนาดใหญ่ทำด้วยไม้ (ปัจจุบันเรือนหอรบพังไปตาม
กาลเวลา) มุมกำแพงด้านทิศเหนือติดกับมุมด้านทิศตะวันออกมีป้อมขนาดเล็กอยู่หนึ่ง
ป้อม และป้อมนี้ในอดีตอาจใช้เป็นท่ีรักษาการณ์ของยาม

๒. จวนเจ้าเมืองระนองและเรือนรับรอง จวนเจ้าเมืองสร้างด้วยอิฐสอปูนสด
แบบจีน โครงบนทำด้วยไม้หลังคามุงกระเบ้ืองและเมื่อสร้างจวนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้า
เมืองเห็นว่าบริเวณตรงที่สร้างนั้นไม่เหมาะสมที่จะพักอาศัย เหตุเพราะว่าตั้งอยู่ใกล้กับ
ประตูทางเข้ามากเกินไปจึงใช้เรือนหลังนี้เป็นเรือนรับรอง มีโรงครัวอยู่ด้านซ้ายมือ ส่วน
จวนเจ้าเมืองหลังใหม่ที่สร้างขึ้นเป็นที่พักอาศัยนั้น อยู่ลึกเข้าไป ลักษณะเป็นอาคารก่อ
อิฐสอปูนสดแบบจีน ปัจจุบันได้บูรณะและปรับปรุงทำเป็นศาลบรรพบุรุษ ใช้ทำพิธี
เคารพสักการะของลูกหลานตระกูล ณ ระนอง และของประชาชนทั่วไป ป้ายหน้าศาล

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๕๑

บรรพบุรุษ มีความหมายว่า “ดวงตะวันอันสูงส่ง” บ้านน้ีมากด้วยขุนนาง บ้านน้ีมากด้วย
แก้วแหวนเงินทอง

๓. โรงเกบ็ สนิ ค้า บ่อนำ้ และบ่อพักน้ำรอ้ น โรงเกบ็ สนิ ค้าอย่ตู ิดบรเิ วณหวั มุมด้านทิศ
เหนือกับทิศตะวันออก มีประตูเข้า-ออกด้านทิศตะวันตก ภายในบริเวณมีการขุดบ่อน้ำ
บาดาลไว้หลายบ่อเพือ่ ใช้ในการในการบรโิ ภค มีบ่อพกั นำ้ ร้อน เหตุผลของการทำบ่อพักน้ำ
นี้เนือ่ งจากความเชอ่ื ของคนจีน เพ่อื ให้ผ้ทู อี่ าศัยอยพู่ ืน้ ทีน่ ั้นอยู่เยน็ เป็นสุขตลอดไป

ภายในบา้ นพกั จวนเจ้าเมือง

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๕๒

แผน่ ปา้ ยศิลาป้ายหนา้ ศาลบรรพบรุ ษุ

เกา้ อี้และโตะ๊ ไม้แกะฝังมุก แจกนั ประดบั ขนนกยงู

เก้าอแี้ ละโตะ๊ ไมแ้ กะฝงั มกุ

แก้วแหวนเงินทองบางส่วน

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๕๓

กลอ้ งยาสบู ของทา่ นคอซู้เจียง
แจกันโบราณขนาดเลก็

อาวุธโบราณ และโคมไฟแบบเดยี วกับทใี่ ช้ที่พระท่ีน่ังรัตนรังสรรค์

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๕๔

เรือนรบั รองหลงั การบูรณะ
อาคารเรือนรับรอง มีขนาดกว้าง ๒๐ เมตร ยาว ๓๐ เมตร ฐานของอาคารสูงจาก

ระดบั พืน้ ดนิ ประมาณ ๑.๒๕ เมตร มบี ันไดทางข้ึนด้านหนา้ ๓ ทาง ดา้ นหลงั ๑ทาง บนั ได
ทำด้วยหินแกรนิตขนาดกว้าง ๒๐ เซนติเมตรความยาวของหินแต่ละแผ่นไม่เท่ากันตัวอาคาร
แบ่งเป็น ๓ ห้อง มีห้องรับรองขนาดเท่ากัน 2 ห้อง อยู่ด้านซ้ายและขวาอาคาร ห้องกลาง
เป็นห้องโถง ความสูงของห้อง ๗ เมตร หนา ๖๐ เซนติเมตร ด้านข้างขวามือของอาคาร
ห่างออกไปประมาณ ๕ เมตร เป็นโรงครัวและห้องอาบน้ำ มีบ่อน้ำบาดาลและบ่อพักน้ำ
เรือนรับรองที่เหลือเพียงซากกำแพงผนัง อาคารตั้งบนฐานที่ก่อกำแพงสูงประมาณ ๑.๕๐
เมตร มีก้อนกินแกรนิตกว้างประมาณ ๑ ฟุต หนาประมาณ ๘ นิ้ว วางทับซ้อนโดยรอบของ
อาคาร พื้นปูกระเบื้องดินเผารูปสี่เหลี่ยม อาคารด้านหน้ามีบันไดขึ้นลงได้ ๓ ทาง บันได
ดา้ นหน้า กวา้ งประมาณ ๖ เมตร บนั ไดด้านข้างซา้ ย-ขวา กว้างประมาณ ๒ เมตร ขน้ั บันได
เป็นหินแกรนิตทั้งก้อนสกัดสี่เหลี่ยมมาเรียงวาง ปัจจุบัน ผนังอาคารบางส่วนหักล้มลงจาก
ความไม่ชำนาญและความรู้ของผู้รับเหมาที่เข้ามาบูรณะ และกรมศิลปากรได้สร้างหลังคา
โครงเหล็กคลุมเรือนรับรองไว้ โดยมเี สาอยูต่ รงกลางบันไดทางขน้ึ ด้านหน้าบดบังทัศนยี ภาพ
ของอาคารอย่างนา่ เสยี ดาย

เรอื นรบั รองทีเ่ หลือเพียงซากกำแพงผนัง อาคารตั้งบนฐานที่ก่อกำแพง

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๕๕

ผนงั อาคารบางสว่ นท่หี กั ล้ม

บอ่ นำ้ และบ่อพักนำ้ ร้อน
บ่อน้ำและบ่อพักน้ำร้อน บ่อน้ำทำไว้เพื่อใช้ภายในบริเวณจวน มี ๗ บ่อ และท่ี

สำคัญคือบ่อพักน้ำ ซึ่งก่อดว้ ยอิฐเปน็ รูปบ่อสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก และมีความลึกประมาณ ๑-
๑.๕๐ เมตร มีทางน้ำไหลเข้า อยู่ทางทิศใต้มาจนถึงบ่อพัก และจากบ่อพักมีทางน้ำไหล
ออกไปนอกกำแพงด้านทิศเหนือ ทางน้ำนี้ก่อด้วยอิฐ มีความลึกและกว้าง ประมาณ ๓๐-
๔๐ เซนติเมตร เหตุผลของการทำบ่อพักน้ำนี้เนื่องจากความเช่ือของคนจนี ว่าบริเวณพื้นที่
อยู่อาศัยนั้นเป็นพื้นทีร่ ้อนจึงต้องทำทางน้ำไหลผ่านพื้นที่ เพื่อให้พื้นที่มีความเย็นตามหลัก
โหราศาสตร์ของคนจนี และผู้ท่ีอาศยั อยพู่ น้ื ที่นน้ั จะอยู่เยน็ เปน็ สุขตลอดไป

บอ่ นำ้ และบอ่ พักนำ้ ร้อน ๕๖

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง

บอ่ น้ำและบอ่ พักนำ้ รอ้ นบรเิ วณจวน จำนวน ๗ บ่อ ร่องรอยหลักฐานท่ีเหลือ

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๕๗

ศาลหลกั เมืองจงั หวัดระนอง

จังหวัดระนองเป็นจังหวัดเก่าแก่ทางภาคใต้ตอนบนที่ปรากฏในประวัตศิ าสตร์ชาติ
ไทย ซึ่งเมื่อนับย้อนไปจากพุทธศักราช ๒๔๐๕ จนถึงปัจจุบันเป็นเวลาหนึ่งร้อยสี่สิบเอ็ดปี
จากหลักฐานประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๕๐ เรอื่ งตำนานเมืองระนอง ซึง่ สมเดจ็ พระเจา้ บรม
วงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเรียบเรียงประทาน สกุล ณ ระนอง ปรากฏ
หลักฐานว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรี ได้ทรง
ยกเมืองระนองเป็นหัวเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ เมื่อวันจันทร์ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๘
ปีจอ จัตวาศก ตรงกับวันท่ี ๒๑ กรกฎาคม ๒๔๐๕ แตต่ ามหลักฐานไม่ปรากฏวา่ เคยมหี ลัก
เมืองมาก่อน ดังนั้น ในปีพุทธศักราช ๒๕๓๐ เทศบาลเมืองระนอง โดยนายวิวิทย์ ปันฉิม
นายกเทศมนตรีขณะนั้น และคณะสมาชิกสภาเทศบาลเมืองระนอง ได้ริเริ่มโครงการ
กอ่ สรา้ งศาลหลกั เมืองข้นึ เสนอตอ่ พันตรีเฉลิม สภุ มร ผวู้ า่ ราชการจงั หวัดระนองในสมัยนั้น
เมื่อได้ปรึกษาหารือกับบรรดาข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนชาวจังหวัดระนองแล้ว ต่างมี
ความเห็นพอ้ งตอ้ งกนั วา่ ควรจะได้มีการกอ่ สร้างศาลหลักเมืองขน้ึ สำหรับเปน็ ท่ีสักการะบูชา
เปน็ หลกั ยึดเหนย่ี วจิตใจของประชาชนชาวระนอง นำความม่นั คงและความเปน็ สิริมงคลมา
สู่เมืองระนอง จึงได้ดำเนินการก่อสร้างขึ้นโดยในการนี้จังหวัดได้มีหนังสือรายงานไปยัง
กระทรวงมหาดไทย และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอย่หู ัวโดยถกู ตอ้ งตามประเพณปี ฏิบตั ิ

สถานทีก่ อ่ สร้างศาลหลักเมือง
ในการประชุมปรึกษาหารือเพื่อกำหนดสถานที่ก่อสร้างศาลหลักเมือง ได้พิจารณา
ลงความเห็นว่า บริเวณที่ดินวา่ งเปล่าริมคลองหาดส้มแป้น ถนนเพิ่มผล ตรงขา้ มสำนักงาน
เทศบาลเมืองระนอง เป็นสถานที่เหมาะสมที่จะสร้างศาลหลักเมืองระนอง เนื่องจาก
ปรากฏหลักฐานจากประชุมพงศาวดารของพระยารัตนเศรษฐี (เจ้าเมืองระนอง) ซึ่งในปี
พุทธศักราช ๒๔๓๓ (ร.ศ.๑๐๙) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จ

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๕๘

ประพาสเมืองระนอง (ระหว่างวันที่ ๒๒ – ๒๗ เมษายน ๒๔๓๓) และได้เสด็จพระราช
ดำเนินจากตลาดเก่าเลียบมาตามลำคลองหาดส้มแป้น จนถึงบ้านเก่าของพระยารัตน
เศรษฐี ซึ่งตั้งอยู่ที่หาดใกล้ฝั่งคลองด้วย ประกอบกับพิจารณาเห็นว่าบริเวณแห่งนี้มีเนื้อท่ี
กวา้ งขวาง ตงั้ อยู่ในทำเลท่เี หมาะสมและสะดวกแก่การทป่ี ระชาชนจะไปเคารพบชู า

การออกแบบแปลนศาลหลักเมอื ง
เทศบาลเมืองระนองซึ่งเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างศาลหลักเมืองระนองในนามของ

จงั หวัดระนอง ไดข้ อความร่วมมือไปยงั กรมศิลปากรใหช้ ่วยออกแบบแปลนการกอ่ สร้างโดย
ทางกรมศิลปากรได้มอบให้นายอนันต์ สวัสดิสวนีย์ หัวหน้าฝ่ายศิลปประยุกต์ งาน
จิตรกรรม กองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร เป็นผู้ออกแบบ ท่านผู้นี้ได้ให้ความร่วมมือมาตรวจสอบ
การก่อสร้างเป็นระยะพร้อมทั้งจัดหาช่างฝีมือที่มีความชำนาญทางด้านนี้โดยเฉพาะมาทำการ
กอ่ สรา้ งตกแต่งในบางสว่ น แบบตัวศาลมลี กั ษณะเปน็ ศาลาจตรุ มุข รูปทรงไทย มียอดศาลา
ตามลักษณะภูมิสถาปัตย์ พระธาตุไชยา จำนวน ๕ ยอด ความสูงจากพื้นดินถึงยอด
๑๓.๖๐ เมตร ขนาดตัวศาล ๖.๐๐ x ๖.๐๐ เมตร หลังจากได้วางศิลาฤกษ์ศาลหลักเมือง
แล้ว การก่อสร้างยังไม่ได้กระทำทันที เนื่องจากมีอุปสรรคเรื่องดินฟ้าอากาศในช่วงฤดูฝน
ประกอบกับทนุ ที่จะดำเนินการมไี ม่เพียงพอ จงึ ไดม้ กี ารรณรงคห์ าทุนโดยขอรับบริจาคจาก
ประชาชน เอกชน บริษัท ห้างร้าน ต่างๆ พร้อมทั้งจัดทำเหรียญที่ระลึกรูปศาลหลักเมือง
และรัชกาลที่ ๕ ในโอกาสจะครบหน่ึงร้อยปที ท่ี รงเสดจ็ ประพาสเมอื งระนอง ออกจำหน่ายสมทบทุน
ในการก่อสร้างประกอบกับทุนที่จะดำเนินการมีไม่เพียงพอ จึงได้มีการรณรงค์หาทุนโดย
ขอรับบริจาคจากประชาชน เอกชน บริษัท ห้างร้าน ต่างๆ พร้อมทั้งจัดทำเหรียญที่ระลึก
รูปศาลหลักเมืองและรัชกาลที่ ๕ ในโอกาสจะครบหนึ่งร้อยปีที่ทรงเสด็จประพาสเมืองระนอง
ออกจำหนา่ ยสมทบทุนในการกอ่ สร้าง

ต่อมาในเดือนกันยายน ๒๕๓๑ จึงได้เริ่มดำเนินการก่อสร้าง ทำการก่อสร้างตัว
ศาลาเสร็จเรียบร้อยในเดือนมีนาคม ๒๕๓๓ และในเดือนสิงหาคม ๒๕๓๓ ได้ดำเนินการ
ตกแต่งหินแกรนิตพื้นศาลา และบริเวณบันไดเพิ่มเติม สิ้นค่าก่อสร้างเป็นเงินทั้งส้ิน
๑,๓๙๗,๐๐๐ บาท การจัดหาไม้มาทำเสาหลักเมือง ในระหว่างดำเนินการก่อสร้าง
ศาลหลักเมืองได้พยายามจัดหาไม้ที่มีคุณสมบัติใช้เป็นเสาหลักเมืองตามโบราณประเพณี
ในที่สุดนายปิ่น ริมไทยสงค์ ปลัดอำเภอกะเปอร์ในขณะนั้นได้มีจิตศรัทธามอบต้นราช
พฤกษท์ มี่ ีอายุเกือบหนึ่งรอ้ ยปี อยู่ในสวนของทา่ นณบา้ นเลขที่ ๕๗หมู่ท่ี ๘ ตำบลกะเปอร์ อำเภอ
กะเปอร์ จังหวัดระนอง โดยไม่คิดมูลค่าแต่อย่างใดก่อนทำการตัดโค่นต้นราชพฤกษ์ ใน
วันที่ ๑๖-๑๗ กันยายน ๒๕๓๒ ได้ประกอบพิธีบวงสรวงและขอฤกษ์ตัดโค่นตน้ ไม้ จากนั้น
ในวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๓๒ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ จึงนิมนต์เจ้าคณะ

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๕๙

จงั หวดั ระนอง มารดนำ้ พระพุทธมนต์ทโี่ คนเสาตน้ ไม้ แล้วจึงกระทำพิธีตัด จากนั้นได้นำไป
กลงึ เกลาเป็นเสากลมเรียวขนาดเสน้ ผา่ ศนู ย์กลาง ๒๗ เซนตเิ มตร ความสูง ๒.๗๐ เมตรเมอ่ื
ทำการกลึงเกลาเสาหลักเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในวันเสาร์ที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๓๓ ได้
ประกอบพิธีประดิษฐานเสาหลักเมือง โดยพันตรีเฉลิม สุภมร ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง
ขณะนั้น เป็นประธานในพิธี พิธีการครั้งนี้เป็นการนำเสาหลักเมืองมาประดิษฐาน ณ
ศาลหลักเมือง ส่วนยอดเสาหลักเมืองต้องนำเข้าเฝ้าน้อมเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงบรรจุแผ่น
ทองดวงเมือง ทรงพระสหุ รา่ ยและทรงเจมิ กอ่ นจะอญั เชญิ มาประดษิ ฐานต่อไป

พิธถี วายองค์หลกั เมืองเพอื่ ทรงพระสุหร่ายและทรงเจิม
ในวันพฤหัสบดี ที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๓๓ เวลา ๑๖.๓๐ นาฬิกา ผู้ว่าราชการจังหวัด
ระนอง และคณะกรรมการไดเ้ ขา้ เฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ณ พระตำหนักจิตรลดา
รโหฐาน น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายยอดเสาหลักเมือง (ยอดหัวเม็ดทรงมัน) เพื่อทรง
บรรจุแผ่นทองดวงเมือง ทรงพระสุหร่ายและทรงเจิม จากนั้นได้จัดขบวนแห่อัญเชิญมา
จังหวัดระนอง ถึงจังหวัดระนองเมื่อวันท่ี ๑๐ สิงหาคม ๒๕๓๓ มีคณะข้าราชการ พ่อค้า
ประชาชน มารอรับและร่วมขบวนแห่จากอำเภอกระบุรี อำเภอละอุ่น เข้าอำเภอเมือง ทำ
การแห่อัญเชิญไปรอบเมืองก่อนนำไปประดิษฐานบนศาลากลางจังหวัดระนอง เพื่อรอ
อัญเชิญไปรอบเมือง ก่อนนำไปประดิษฐานบนศาลากลางจังหวัดระนอง เพื่อรออัญเชิญไป
ประดิษฐาน ณ ศาลหลกั เมอื งตอ่ ไป

พธิ ถี วายองค์หลักเมืองเพื่อทรงพระสหุ รา่ ยและทรงเจิม

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๖๐

สมเด็จพระบรมโอรสาธริ าชฯ สยามมกฎุ ราชกมุ าร ทรงประกอบพธิ ยี กเสาหลกั เมือง (เ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จ

พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกฎุ ราชกุมาร เสดจ็ ฯแทนพระองคม์ าทรงประกอบพิธียกเสา
หลักเมือง (ประดษิ ฐานยอดเสาหลักเมือง) และทรงเปิดศาลหลกั เมือง ซ่ึงถือเป็นพิธีการขั้น
สุดท้ายที่สำคัญที่สุด เมื่อวันอังคาร ที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๓๓ ในการเสด็จครั้งนี้ได้ทรงประกอบ
พิธีพระราชทานพระพุทธนวราชบพิตรประจำจังหวัดระนอง และพระพุทธนวราชบพิตร
จำลองประจำอำเภอต่างๆ ด้วย นับเป็นเกียรติประวัติและศักดิ์ศรีสมควรแก่ความ
ภาคภมู ิใจของชาวจังหวัดระนองสืบไป

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๖๑

หอพระประจำจงั หวัดระนอง
หอพระ 9 เกจิอาจารย์ เป็นหอพระที่ตั้งอยู่ใกล้กับพระราชวังรังสรรค์ (จำลอง)

สรา้ งข้ึนในปี พ.ศ.2525 ชว่ งปีเฉลมิ ฉลองกรงุ รัตนโกสินทร์ ครบ 200 ปี ภายในประดิษฐาน
รูปเหมือนของเกจิอาจารย์ชื่อดังของภาคใต้ ได้แก่ หลวงพ่อจันทร์ หลวงพ่อนุ้ย หลวงพ่อ
รื่น หลวงปู่ทวด หลวงพ่อเบี้ยว หลวงพ่อติ๋ว หลวงพ่อลอย หลวงพ่อน้อย และหลวงพ่อ
บรรณ นักทอ่ งเทีย่ วนยิ มมาสกั การะที่หอพระฯ น้กี อ่ นไปชมพระราชวังรังสรรค์

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๖๒

เขาพระขยางค์
สถานทต่ี งั้
ตั้งอย่หู มู่ที่ ๕ ตำบลลำเลียง อำเภอกระบรุ ี จังหวดั ระนอง
ประวัติความเป็นมา
เขาพระขยางค์มีตำนานเล่าว่าในราวสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เจ้าเมือง

กระบุรีคนหนึ่ง ชื่อพระแก้วโกรพเป็นคนเชื้อสายเก่าจังหวัดนครศรีธรรมราชมีภรรยาชื่อ
น้อย มีบตุ รธิดา จำนวน ๒ คนคือ นายทองกบั นายเทพ เม่ือนายทองพใี่ หญ่มีอายุสมควรแก่
การบวชเรยี น พระแก้วโกรพจงึ ส่งไปเรียนวชิ าทว่ี ดั กับอาจารย์ท่ีเมืองนครศรีธรรมราช โดย
หวังจะให้กลับมาครองเมืองแทนตนสืบไป ในระหว่างที่นายทองบวชเรียนอยู่นั้นฝ่ายบิดา
คือ พระแกว้ โกรพได้ภรรยาอกี คนหน่งึ ชอื่ จั่น เปน็ สาวรุ่นอายุไลเ่ ลยี่ กับบตุ รชายทั้งสอง พอ
นายทองเรียนวิชาจนกลับมายังเมืองกระบุรีได้เป็นชู้กับแม่เลี้ยง ความรัก ความหลงผิดจึง
ได้คิดฆ่าบิดา แต่ปรากฏว่าแผนแตก พระแก้วโกรพจับได้จึงสั่งให้นำนายทองไปฆ่า แต่ฆ่า
วิธีใดนายทองก็ไม่ตาย เพราะวิชาคงกะพันที่เรียนมา จนในที่สุดจึงให้นำนายทองไปผูกมดั
ไวก้ ับขาหย่งั ในถ้ำเข้าแหลมเนียง ทรมานโดยใหอ้ ดข้าวอดน้ำจนตาย ตอ่ มาจึงเรียกเขาน้ีว่า
เขาขาหย่ังหรอื ถ้ำขาหย่งั และเพีย้ นมาเป็นพ-ยางค์และขยางคใ์ นทส่ี ุด

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๖๓

ลักษณะท่วั ไป
เขาพระขยางค์เปน็ ภูเขาหินลูกโดด สภาพพื้นท่ีโดยรอบเป็นป่าชายเลน ป่า

จากและป่าโกงกาง ภายในภูเขามีถ้าใหญ่น้อยทั้งสูงทั้งต่ำจำนวนหลายถ้ำ บางถ้ำปรากฏ
พระพุทธรูปปูนป้ันประดับ แหล่งโบราณคดีเขาพระขยางคเ์ ป็นเพิงผาอยู่ทางทิศตะวนั ออก
ของภเู ขา ก่อนถึงถ้ำขนาดใหญ่ประมาณ ๕๐ เมตร

หลกั ฐานท่พี บ
ภายในถำ้ พบโบราณวตั ถุ บางถำ้ เล่ากนั ว่า ในอดีตมภี าพเขยี นสีอยู่ที่ผนังถ้ำ

แต่ปัจจุบันลืบเลือนหายไปหมดแล้ว นอกจากนี้ยังพบโครงกระดูกและเครื่องปั้นดินเผา
สนั นิษฐานวา่ มอี ายุอยู่ในราวยุคหินใหมต่ อนปลาย จากการสำรวจขดุ คน้ พบเศษภาชนะดิน
เผาเนือ้ หยาบจำนวนหลายช้นิ ท้งั ส่วนปากและสว่ นลำตวั ลวดลายเรียบกม็ ีลายเชือกทาบก็
มี อกี ท้งั บางชน้ิ มกี ารเคลอื บนำ้ ดินสแี ดงอกี ด้วย

เสน้ ทางเขา้ สู่เขาพระขยางค์
เดินทางจากตัวอำเภอกระบุรีไปตามทางถนนเพชรเกษมทางทิศใต้

ประมาณ ๑๒ กโิ ลเมตรแลว้ เลีย้ วขวาเขา้ ไปประมาณ ๑ กโิ ลเมตร เปน็ ทางลกู รงั

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๖๔

สวนสาธารณะรักษะวาริน
สถานทีต่ ้ัง
ตัง้ อยทู่ ตี่ ำบลหาดสม้ แป้น อำเภอเมือง จังหวดั ระนอง
ประวัติความเป็นมา
เป็นบริเวณพื้นที่ของตำบลหาดสม้ แป้น บริเวณที่เรียกว่า “สวนสาธารณะรักษะวา

ริน” มีการสำรวจโดยนายสุวิทย์ ชัยมงคล และคณะโครงการสำรวจแหล่งโบราณคดี ปี
๒๕๓๑ พบโบราณวัตถุอยู่บริเวณบนฝ่ังทางทิศใต้ และในลำคลองหาดส้มแป้นบริเวณ
สวนสาธารณะ จากหลักฐานดังกล่าว พอสรุปได้ว่า บริเวณนี้เคยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของ
มนษุ ย์มากอ่ นประวัตศิ าสตร์ในชว่ งเวลาใดเวลาหน่ึง ซึ่งไดใ้ ช้ลำคลองหาดส้มแป้นเปน็ สถาน
ประกอบสัมมาชีพเก่ยี วกับชวี ติ ความเปน็ อยแู่ ละเคร่ืองมอื เคร่ืองใช้

ลกั ษณะทว่ั ไป
เป็นบริเวณทอ่ี ย่รู ะหวา่ งภูเขา มลี ำคลองผา่ น คอื ลำคลองหาดส้มแปน้ แจจุบันเป็น
สวนสาธารณะรักษะวาริน ซึ่งใช้เป็นที่พักผ่อนของประชาชน เนื่องจากบริเวณ
สวนสาธารณะมีน้ำพรุ ้อนด้วยจึงเปน็ แหลง่ ท่องเที่ยวที่สำคญั ของจังวัดระนอง
หลกั ฐานที่พบ
จากการสำรวจของนักโบราณคดี พบเครื่องมือหินกะเทาะหลายชิ้น สันนิษฐานว่า
เคยเปน็ ถิน่ ทีอ่ ยอู่ าศัยของมนุษย์สมัยก่อนประวตั ิศาสตร์

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๖๕

บ่อนำ้ พรุ อ้ น สวนสาธารณะรักษะวารนิ

เสน้ ทางเขา้ สู่สวนสาธารณะรักษะวาริน
อยหู่ างจากตัวเมืองระนองประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร ไปตามเสน้ ทางถนนกำลังทรัพย์
และถนนสายระนอง-หาดสม้ แป้นใกลก้ บั นำ้ พุรอ้ นและวดั ตโปทาราม (วัดบ่อน้ำรอ้ น)

คลองหาดส้มแป้นไหลผ่านสวนสาธารณะ

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๖๖

นำ้ ตกรากลอย
สถานท่ตี งั้
ตัง้ อยู่ที่ หมู่ท่ี ๕ บ้านนกงาง ตำบลราชกรูด อำเภอเมือง จงั หวดั ระนอง
ประวตั ิความเปน็ มา
นำ้ ตกรากลอยเป็นส่วนหน่ึงของคลองนกงาง ไหลลงมาจากเขาพอ่ ตาโชงโดง

เจา้ หนา้ ทกี่ รมศลิ ปากร โดยนายสวุ ทิ ย์ ชัยมงคล และคณะ ไดเ้ ข้าไปสำรวจต้งั แต่ พ.ศ.
๒๕๓๑ ตามโครงการสำรวจแหล่งโบราณคดีภาคใต้ พบหลกั ฐานทางโบราณคดีทีส่ รปุ ได้วา่
เคยเป็นถน่ิ ที่อยอู่ าศัยของมนุษยใ์ นอดตี ต้งั แต่สมยั กอ่ นประวัตศิ าสตร์

ลกั ษณะท่วั ไป
เป็นนำ้ ตกทต่ี ้ังอยู่บริเวณเชงิ ผาพอ่ ตาโชงโดง เตม็ ไปดว้ ยก้อนหนิ กรวดหลายขนาด
จำนวนมากมายเป็นระยะทางยาวประมาณ ๑ กโิ ลเมตร บรเิ วณพน้ื ท่ที ี่เปน็ แหลง่ โบราณคดี
ได้แก่ บรเิ วณน้ำตกและบริเวณใกล้เคียงประมารไม่ต่ำกว่า ๑ ตารางกโิ ลเมตร บริเวณทพ่ี บ
โบราณวัตถุเป็นถนนกวา้ งประมาณ ๑.๕-๒.๑ เมตร ต้งั แต่เหนือคลองนกงางใตข้ ้นึ ไปถึง
นำ้ ตกรากลอย

แหลง่ โบราณคดีนำ้ ตกรากลอย

หลักฐานทพ่ี บ
พบเครื่องมือกะเทาะหลายชิ้น ทำขึ้นจากหินกรวดและหินปูนรูปแบบต่างๆ
มากมาย ทั้งรูปสามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า รูปคล้ายสามเหลี่ยมหน้าจั่วแบนและรูปไข่
แบน สนั นิษฐานว่าบริเวณนเี้ คยเป็นทีอ่ ยู่อาศัยของมนษุ ย์สมัยกอ่ นประวัตศิ าสตร์ โดยใช้นำ
ตกรากลอยเปน็ สถานที่ประกอบสมั มาชพี เกี่ยวกับชวี ติ ความเป็นอย่แู ละเคร่ืองมอื เครื่องใช้

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๖๗

โบราณวตั ถุประเภทหนิ ที่พบ
๑. เคร่ืองมือหินกะเทาะ ทำจากหนิ กรวดรปู สามเหลี่ยม เปน็ เคร่อื งมือสบั -ตัดขนาด
ใหญ่ มีรอยกะเทาะขนาดใหญ่ที่ด้านข้าง ๓-๔ รอย และมีรอยแตกชำรุดที่ด้านหนึ่ง ขนาด
ยาว ๒๒.๐๐ เมตร กวา้ ง ๑๖.๕๐ เซนตเิ มตร หนา ๗.๒๒ เซนติเมตร
๒. เคร่อื งมอื หินกะเทาะ ทำจากหินกรวดรูปหลายเหลี่ยม มีรอยกะเทาะขนาดใหญ่
ที่ด้านข้าง ๓-๔ รอย ขนาดยาว ๑๖.๐๐ เซนติเมตร กว้าง ๑๒.๗๕ เซนติเมตร หนา ๕.๗๗
เซนติเมตร
๓. เครื่องมือหินกะเทาะ ทำจากหินกรวดรูปหลายเหลี่ยม-หนา ลักษณะเป็น
เครื่องมือสับ-ตัดขนาดใหญ่ มีผิวเดิมของหิน (Cortex) เหลืออยู่มาก มีรอยกะเทาะขนาด
ใหญ่ที่ด้านข้าง ๒-๓ รอย ขนาดยาว ๑๗.๐๐ เซนติเมตร กว้าง ๑๕.๘๐ เซนติเมตร หนา
๙.๒๐ เซนตเิ มตร
๔. เครื่องมือหินกะเทาะรูปหลายมุมมน หน้าหนึ่งเป็นผิวเดิมของหินตรงกลางสูง
และลาดชนั ลงสดู่ ้านขา้ ง ซ่งึ มีรอยกะเทาะหรอื รอยถูกใชง้ านอยู่ ๒-๓ รอย อกี หน้าหน่ึงเป็น
รอยแตกของสะเก็ดหิน (flake) จากส่วนแกนหิน (core) ขนาดยาว ๑๔.๖๙ เซนติเมตร
กว้าง ๑๑.๒๘ เซนตเิ มตร หนา ๘.๐๐ เซนติเมตร
๕. เครือ่ งมอื หนิ กะเทาะรูปสี่เหลี่ยมผืนผา้ มรี อยกะเทาะทีห่ นา้ หน่ึงบรเิ วณด้านยาว
ส่วนอีกด้านหน้าหนึ่งเป็นรอยแตกของหินขนาดยาว ๑๒.๒๐ เซนติเมตร กว้าง ๘.๘๘
เซนตเิ มตร หนา ๕.๔๓ เซนติเมตร
๖. เครื่องมือหินกะเทาะรูปหลายเหล่ียม-หนา มีรอยกะเทาะที่หน้าหนึง่ อยู่ ๒ ด้าน
ส่วนอื่นเป็นรอยแตกและผิวเดิมของหินขนาดยาว ๑๒.๓๕ เซนติเมตร หนา ๖.๐๗
เซนตเิ มตร
๗. เครื่องมือหินกะเทาะ ทำจากหินปูน รูปคล้ายสามเหลี่ยมหน้าจั่ว-แบน ด้าน
ประกอบมุมยอดโค้งออกทั้งสองด้าน และมีรอยกะเทาะที่สองด้านนี้จนถึงส่วนปลาย ส่วน
ฐานเป็นตัดตรง ขนาดยาว ๑๓.๙๐ เซนติเมตร กว้าง ๑๐.๓๕ เซนติเมตร หนา ๓.๓๓
เซนติเมตร
๘. เครื่องมือหินกะเทาะทำจากหินปูน รูปไข่-แบน หน้าหนึ่งส่วนใหญ่เป็นผิวเดิม
ของหิน อีกหน้าหนึ่งเป็นรอยแตก มีรอยกะเทาะหลายรอยบริเวณขอบโค้งด้านยาว ขนาด
ยาว ๑๕.๓๕ เซนตเิ มตร กวา้ ง ๑๐.๙๓ เมตร หนา ๓.๖๕ เซนติเมตร
๙. เครื่องมอื หินกะเทาะทำจากหินปูน รูปสามเหลีย่ มยาว-แบน มีรอยแตกเรียบทง้ั
สองหน้า และมีรอยกะเทาะบริเวณด้านยาวทั้งสองด้านไปบรรจบที่ปลายหนึ่ง ขนาดยาว
๑๓.๔๐ เซนตเิ มตร กวา้ ง ๘.๗๗ เซนตเิ มตร หนา ๓.๓๔ เซนติเมตร

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๖๘

๑๐. เครื่องมือหินกะเทาะ ทำจากหินปูนรูปหลายเหลี่ยม-แบน ผิวส่วนใหญ่เป็นผิว
เดิมของหิน ทั้งสองหน้ามีรอยกะเทาะบริเวณขอบด้านยาวด้านหนึ่งขนาดยาว ๑๒.๒๐
เซนติเมตร กวา้ ง ๑๒.๑๔ เซนติเมตร หนา ๓.๓๓ เซนติเมตร

๑๑. เครื่องมือหินกะเทาะ ทำจากหินปูนรูปสามเหลี่ยม ทั้งสองหน้าค่อนข้างเรียบ
ตรงคล้ายผิวเดิมของหิน มีรอยกะเทาะ ๓-๔ รอยที่ด้านยาวด้านหนึ่ง ขนาดยาว ๑๒.๒๐
เซนตเิ มตร กวา้ ง ๘.๒๑ เซนติเมตร หนา ๓.๖๐ เซนติเมตร

โบราณวตั ถปุ ระเภทหนิ ที่พบ

เส้นทางเข้าสนู่ ้ำตกรากลอย
เดินทางจากตัวจังหวัดไปตามถนนเพชรเกษมทางทิศใต้ ประมาณ ๓๒ กิโลเมตร

แล้วเล้ยี วซา้ ยเขา้ ไปถึงน้ำตกประมาณ ๑ กิโลเมตร เป็นถนนลาดยาง

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๖๙

วัดสุวรรณคีรีวหิ าร (วัดหนา้ เมอื ง)

วดั สุวรรณคีรวี ิหาร (วัดหน้าเมอื ง) เป็นวดั พระอารามหลวงชน้ั ตรี ชนดิ สามัญ สังกัด
คณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองระนอง ตำบลเขานิเวศน์ อำเภอเมือง
จังหวัดระนอง มีเนื้อท่ีประมาณ ๔๙ ไร่ สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๓ รับพระราชทาน
วิสุงคามสีมา วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๓๗ วัดพัฒนาตัวอย่าง พ.ศ.๒๕๔๐ สถาปนาเป็นพระ
อารามหลวง พ.ศ.๒๕๔๒ ชื่อเจ้าอาวาส พระครูระฌังค์คณารักษ์ (เจ้าคณะอำเภอเมือง
ระนอง) มจี ำนวนพระสงฆ์ ๔๒ รปู สามเณร ๑๗ รูป กจิ กรรมสำคัญ งานประเพณสี มโภชน์
พระเจดียด์ าธุ ในช่วงวันวสิ าขบูชา บรรพชาสามเณรฤดรู อ้ น เปน็ ตน้

ประวัตคิ วามเปน็ มา
เดิมชื่อวัดสุวรรณคีรีทาราม ตั้งอยู่ริมคลองหาดส้มแป้น หมู่ที่ ๑ ตำบลบาง
ริ้น อำเภอเมอื งระนอง แต่เน่อื งจากเป็นทีล่ มุ่ ต่ำรมิ คลอง ฤดฝู นนำ้ ทว่ มพระเณรต้องย้ายวัด
เมื่อน้ำลดจึงกลับมาแต่ต้องมาเจอน้ำขุ่นใช้ไม่ได้เนื่องจากมีการทำเหมืองแร่เหนือคลองทำ
ให้วัดมีสภาพเหมือนวัดร้าง ครั้นต่อมาวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๔๓๓ พระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว เสด็จประพาสจังหวัดระนอง ทรงทราบเหตุการณ์จึงทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าให้พระยารัตนเศรษฐี เจ้าเมืองระนอง สมัยนั้นหาที่ดินสร้างวัดขึ้นใหม่
พระราชทานที่เขตพระอุโบสถยาว ๑๔ วา ๒ ศอก กว้าง ๘ วา ๒ ศอก ให้เป็นที่
วิสุงคามสีมา ยกเป็นแผนกหนึ่งต่างจากราชอาณาจักรเป็นที่วเิ ศษสำหรบั พระสงฆ์ได้อาศัย
ทำสังฆกรรม และโปรดเกลา้ ให้อาราธนาพระสงฆ์จากวัดสวุ รรณคีรีทารามมาสวดถอนและ

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๗๐

ผกู พทั ธสมี า และพระราชทานนามวา่ “วัดสวุ รรณคีรีวหิ าร” ปรากฏตามประกาศพระบรม
ราชโองการ ฉบับลงวันท่ี ๒๒ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๓๗ ชาวบ้านเรียก “วัดหน้าเมอื ง” ตามท่ีตงั้
วดั ซ่งึ ตง้ั อย่บู รเิ วณหนา้ จวนเจา้ เมอื ง

เสนาสนะและถาวรวตั ถุสำคัญ
วัดสุวรรณคีรีวิหารมีแหล่งโบราณสถานและแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญ เช่น ศาลาการ
เปรียญหลังเก่าสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๗ พื้นกระเบื้องศิลปะชิโนโปรตุเกสขึ้นทะเบียน
โบราณสถานกรมศิลปากร กุฏิรับรองพระเถระ มณฑปบรรจุอัฐิอดีตเจ้าอาวาสทรงจีน ๘
เหล่ยี ม พระพทุ ธรปู ยืนปางรัตนโกสนิ ทร์ พระศลิ าออ่ นศิลปะพมา่ ธรรมมาสน์สมัยรัชกาลที่
๕ เจดีย์ทรงพม่า เป็นแหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมและความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยและคนไทย
เชื้อสายจนี และชาวพมา่

พืน้ กระเบอื้ งศลิ ปะชโิ นโปรตุเกส

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๗๑

เจดีย์ทรงหกเหลี่ยม วดั หาดสม้ แปน้

ตั้งอยู่หมู่ท่ี ๓ ตำบลหาดส้มแป้น อำเภอเมือง จังหวัดระนอง เดิมเป็นที่พำนักสงฆ์
ต่อมายกฐานะเป็นวัดเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๗๓ ภายในบริเวณวัดมีสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจ
คอื เจดีย์ทรงหกเหลยี่ ม สนั นษิ ฐานวา่ สรา้ งเม่อื ประมาณกว่า ๑๐๐ ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ พระครู
ไพบูลย์วุฒิญาณ มีความเห็นว่าหากปล่อยไว้อาจถูกโจรกรรมของมีค่าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใน
เจดีย์ จะต้องดำเนินการบูรณะขึ้น โดยสร้างเจดีย์ครอบองค์เก่า ลักษณะรูปทรงหกเหลี่ยม
แต่ละเหลี่ยมกว้างประมาณ ๓ เมตร วัดหาดส้มแป้นเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากวัดหนึ่งของ
จังหวัดระนอง เป็นที่ตั้งของศาลาที่ประดิษฐานรูปเหมือนของหลวงพ่อคล้าย ซึ่งเป็น
พระภิกษุที่ประชาชนในภาคใต้ให้ความเคารพนับถือมาก โดยได้มาจำพรรษาที่วัดแห่งน้ี
ก่อนมรณภาพ บริเวณวัดร่มรื่น มีเขาล้อมรอบ อากาศเย็นสบายเห็นสายหมอกยามเช้า มี
ลำคลองหาดส้มแป้นทอดผ่านวัด เป็นแหล่งของปลาพลวง ปลาตระกูลเดียวกับปลา
ตะเพียน และไม่มีผู้ใดจับปลาดังกล่าว เพราะถือว่าเป็นปลาศักดิ์สิทธิ์ ในบริเวณวัดจึงมี
ศาลาริมน้ำสำหรับใหน้ กั ทอ่ งเทย่ี วให้อาหารปลาเหลา่ น้ี
ประวตั ิวดั หาดสม้ แป้น

เดิมทีนั้นวัดไม่ได้ตั้งอยู่ในสถานที่ปัจจุบันนี้ แต่ตั้ง (สำนักสงฆ์) อยู่บริเวณที่ปลูก
สร้างบ้านของนางสุภา (เจ้เตี้ยง) ลิ่มศิลา ก่อนที่พ่อหลวงน้อยจะมาอยู่ที่หาดส้มแป้นก็มี
พระมาอยู่บา้ งแลว้ แต่ไปๆ มาๆ อยู่บ้าง ไม่อยู่บ้าง บางครั้งก็เหมือนจะเป็นวัดร้าง เมื่อพอ่
หลวงน้อยมาหาดส้มแป้นก็ได้มาพำนักอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้หลายพรรษา ต่อมาเม่ือ
พิจารณาบริเวณที่สร้างสวนของนายกลับ ซึ่งก็เป็นโยมอุปถัมภ์คนหนึ่งของวัด ท่านเห็นว่า
บริเวณนั้นอยูต่ ิดลำคลองมีน้ำไหลใสสะอาด ธรรมชาติสงบร่มเย็นวังน้ำกว้างใหญ่ มีฝูงปลา
พลวงมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก คนสมัยก่อนเรียกว่า “วังสระ” คือเป็นวังน้ำและคล้าย

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๗๒

สระน้ำที่กว้างใหญ่ ประมาณ พ.ศ. 3473 จึงย้ายกลับมาอยู่ที่สวนของนายกลับ และยก
ฐานะเป็นวัดในปีนั้น ส่วนนายกลับตอนนั้นก็มีอายุมากแล้วลูกเมียก็ไม่มี เมื่อยกที่ให้วัดก็
อาศัยอยู่ในวัดจนถึงแก่กรรม นายกลับเป็นคนอีสานเป็นคนที่เข้ามาขุดหาแร่ดีบุกในยุค
ต้นๆ คนหนึ่ง และที่สวนของนายกลับก็มีต้นส้มแป้นขี้ม้าปลูกอยู่ที่ริมสระด้วย จนผู้คนท่ี
ผ่านไปผ่านมา หรือมาทงเบ็ดตกปลาแถวๆ นั้น เรียกกันจนติดปากว่า “สระส้มแป้น” กัน
หลายปี พอพ่อหลวงน้อยมาสร้างวัด คำว่า “สระส้มแป้น” จึงค่อยๆ เลือนหายไป แล้ว
กลับมาเรยี กกนั ใหมอ่ กี ครง้ั ว่า“วังสระ”แต่เดย๋ี วนเ้ี กอื บไม่มใี ครเรยี กทตี่ รงนนั้ วา่ วังสระอีกเลย

หลังจากที่พ่อหลวงน้อยมรณภาพแล้ว มีพระภิกษุอีกหลายรูปวนเวียนมาอยู่ที่วัด
หาดส้มแป้น แต่ละรูปก็อยู่ไม่นานพรรษาสองพรรษาก็ออกไป เท่าที่จำได้ก็มี อาจารย์เล่
(เหล) อาจารย์ช่วย อาจารย์หม่อม และอาจารย์ช่วย อีกครั้ง พ่อท่านแสง แล้วก็มาถึงพ่อ
ท่านคลา้ ย ซง่ึ ท่านก็เปน็ เจ้าอาวาสพร้อมจำพรรษาอยู่นานหลายปจี นมรณภาพ ทัง้ ยังเป็นที่
รักและศรัทธาของชมุ ชนชาวหาดสม้ แปน้ และคนระนอง รปู สุดท้ายคือ พระครูไพบลู ย์ วุฒิ
ญาณ (ติ้น ตั้งสุวรรณ) ซึ่งมรณภาพเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๘ ด้วยวิสัยทัศน์ในอดีตได้พัฒนาวัด
เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวจนเป็นที่รู้จักต่อนักท่องเที่ยว เพื่อช่วย
เสรมิ สร้างเศรษฐกิจให้ชมุ ชนอีกทางหนง่ึ

วดั บา้ นหงาว

ประวตั คิ วามเปน็ มา
บริเวณที่สร้างวัดเดิมเป็นทุ่งเลี้ยงวัว มีชาวจีนฮกเกี้ยน ไหหลำ ไทย และชาวฮินดู
อาศัยอยู่ ต่อมาหลวงพ่อเขียดธุดงค์มาจากจังหวัดพัทลุง ปักกลดพำนักอยู่ ชาวพุทธเกิด
ความเลื่อมใสในวัดปฏิบัติจึงนิมนต์จำพรรษา และสร้างที่พักสงฆ์ขึ้นในบริเวณที่ดินของแม่
ลำไย พ่อพาณิชย์ ต่อมาอีกหลายปีหลวงพ่อเขียดได้ออกธุดงค์ไปสถานที่ต่างๆ และ

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๗๓

มรณภาพทจ่ี ังหวดั พัทลุง กม็ พี ระรูปอ่ืนๆมาจำพรรษาตลอดมาจนถึงหลวงพ่อน้อมจนฺทสโล
มาอยู่จำพรรษา นางกินเต่ง ขอซู่ แม่ลำไย และพ่อพาณิชย์ได้ยกที่ให้สร้างวัดและได้รับ
ประกาศตั้งเป็นวัดในพระพุทธศาสนา เมื่อ ๓๐ มกราคม ๒๕๓๐ ตั้งชื่อ “วัดบ้านหงาว”
ตามชื่อบา้ น

งานประเพณตี ักบาตรเทโว บรรพชาสามเณรฤดรู อ้ น

เสนาสนะและถาวรวตั ถุสำคญั
พระดีบุกใหญ่ที่สดุ ในประเทศไทย พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น วังมัจฉา ที่พักอาคันตกุ ะ กุฏิ

ทรงไทย พระประธานหล่อด้วยโลหะแบบพระพุทธชินราช หน้าตักกว้าง ๓๑.๕ น้ิว
พระพทุ ธรูปปนู ปัน้ ปางมารวชิ ยั หนา้ ตักกว้าง ๖๓ นว้ิ

ลกั ษณะเดน่
ตั้งอยู่ติดกับภูเขาหญ้าซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดระนอง ลักษณะ

พื้นที่ เป็นที่ราบเชิงเขา (ภูเขาหญ้า) ริมคลองหงาว มีสระน้ำขนาดใหญ่ในบริเวณวัด เป็น
แหล่งพันธ์ุปลานำ้ จดื บรเิ วณรม่ ร่ืนสงบ

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๗๔

ศาลเจา้ ตา่ ยเต่เอีย๋ จังหวัดระนอง

ประวตั คิ วามเป็นมาโดยสงั เขป
ศาลเจา้ ตา่ ยเต่เอยี๋ เปน็ ศาลเจา้ เก่าแกแ่ ละเป็นทน่ี บั ถอื บชู าของชาวจังหวดั ระนองมา

นานนับร้อยปี จากหลักฐานที่ปรากฎและพิสูจน์ได้คือป้ายศาลเจ้าฯป้ายแรก และจากการ
คน้ คว้าหาขอ้ มูลจากคนเกา่ คนแกช่ าวระนอง ไดเ้ ลา่ ว่าสร้างมาตัง้ แตป่ ี พ.ศ.2419 ประมาณ
129 ปี ซึ่งสมัยนั้นจะเป็นศาลไม้เก่า ๆ บนที่ดินประมาณ 20ตารางวา ต่อมาเมื่อ ปี พ.ศ. 2528
นายเลิศขจร เภาวเิ ศษ (โกเ้ จี้ยว) และ นายวสิ ทุ ธ์ิ เสกธรี ะ (จา่ เหล๋ง) ไดม้ องเหน็ ความสำคัญ
ของศาลเจา้ ฯ และน่าทีจ่ ะมีการพัฒนาใหเ้ จรญิ ข้ึน จึงไดร้ ว่ มกนั ริเริม่ จัดการกินเจข้ึน ซึ่งใน
สมัยน้นั มีผ้เู ข้าร่วมกนิ เจประมาณ 15-20 คน ซง่ึ จัดกันแบภายใน และในยุคตอ่ มาประมาณ
ปี พ.ศ.2535 ในสมัยของ นายกิตติ นิรามิษ (โก้เห้ง จิ้นเห้งอะไหล่) นายลิ่มเทียนฮิ้น และ
นายสิทธิชัย เจษกุลวิวัฒน์ (โก้จิ้น) เข้ามาบริหารงาน และสานต่องานถือศีลกินเจจนศาล
เจา้ มีความเจรญิ รุ่งเรอื งและมกี ารพฒั นาจนได้เป็นศาลเจ้าดีเด่นของกรมการปกครองหลาย
ปี จนสามารถที่จะซื้อที่ดินด้านข้าง และก่อสร้างอาคารมูลนิธิต่ายเต่เอี๋ยได้ดังที่ปรากฎใน
ปจั จุบัน และตอ่ มาประมาณปี 2546 นายฉตั รชยั นลิ วเิ ชยี ร (โกห้ ม)ู เห็นวา่ ศาลเจ้าต่ายเต่
เอยี๋ ได้ประกอบพธิ ีกนิ เจมานานแล้ว และเปน็ ศาลเจ้าแบบฉบบั ของชาวจีนฮกเก้ียน ซ่ึงตาม
ภาษาพื้นบ้านของชาวจีนฮกเกี้ยน จะพูดถึงการกินเจว่า “เจี๊ยฉ่าย” ซึ่งแปลว่ากินผักดังนั้นจึงได้
ปรับเปลี่ยนรูปแบบของงานจากงานกินเจเป็น “งานประเพณีถือศีลกินผัก ดังที่ปรากฎอยู่ใน
ปัจจุบัน นับเป็นเวลาอายุของศาลเจ้าฯ จากอดีตจนถึงปัจจุบันประมาณ129ปี ในปัจจุบันศาล
เจ้าต่ายเต่เอี๋ยได้มีการบริหารจัดการโดยนายชัยวัฒน์ ลิ่มตั้ง (โก้วัฒน์) ซึ่งเป็นผู้ตรวจตราสอดส่อง
ดูแลศาลเจ้าฯ โดยตำแหน่ง

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๗๕

ศลิ ปหัตถกรรมและงานชา่ งท้องถิน่
จังหวัดระนองมีงานด้านศิลปกรรม และงานช่างท้องถิ่นอยู่น้อยลักษณะของศลิ ปะ

ที่มีอยู่เปน็ ศิลปะแบบผสมผสาน คลา้ ยคลงึ กบั จังหวัดตา่ งๆ แถบฝงั่ ทะเลตะวนั ตกทั่วๆไป มี
ทง้ั ศิลปะแบบไทย จนี และพม่า

จติ รกรรม
ส่วนใหญ่เป็นงานที่สร้างขึ้นใหม่เป็นภาพเขียนบนฝาผนังอาคารศาสนสถาน ที่
เรียกว่า จิตรกรรมฝาผนัง เป็นภาพเก่ียวกับคติธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา ภาพพุทธ
ประวัติ รูปแบบงานเขียนโดยทั่วไปจะเขียนด้วยสีน้ำบนฝาผนังโดยตรง ผลงานดังกล่าว
ปรากฎอยู่ในอุโบสถ วัดธรรมาวุธาราม อำเภอกะเปอร์ วิหารพระพุทธไสยาสน์วัดวารี
บรรพต อำเภอเมือง และในอุโบสถวัดมัชฌิมเขต อำเภอกระบุรี

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๗๖

ประตมิ ากรรม
งานประติมากรรมส่วนใหญ่สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาในพระพุทธศาสนา หรือนำไปใช้ตกแต่งงาน
สถาปัตยกรรม เช่น พระพุทธรูปปางต่างๆ ลวดลายประดับโบสถ์ วิหาร ช่อฟ้า ใบระกา
หางหงส์ ฯลฯ งานประตมิ ากรรมที่ปรากฏใหเ้ หน็ โดยท่วั ไป ดังน้ี
ประติมากรรมพระพทุ ธประวตั ิ วดั จันทาราม อยใู่ นเขตตำบลน้ำจืด อำเภอกระบุรี
เป็นประติมากรรมปูนปั้นลอยตัว เนื้อเรื่องเป็นพุทธประวตั ิตอนตา่ งๆ ตกแต่งด้วยลวดลาย
ใช้สีสันคล้ายของจริง พื้นฝาผนังเขียนภาพทิวทัศน์ประกอบเรื่องอยู่ในวิหารรายลดหลั่น
ตามแนวเชงิ เขา ๓ ชัน้ ๆ ละ ๑๑ หอ้ ง รวม ๓๓ ห้อง สรา้ งเมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๓๒
พระพุทธไสยยาสน์วัดวารีบรรพต เป็นประติมากรรมปูนปั้นลอยตัวขนาดใหญ่
ยาว ๓๐ เมตร ประดิษฐานอยู่ที่วัดวารีบรรพต (วัดบางนอน) ตำบลบางนอน อำเภอเมือง
พุทธลักษณะเป็นศิลปะสมัยสุโขทัย สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๗ โดยฝีมือช่างชาว
นครศรีธรรมราช ประดษิ ฐานอยใู่ นวิหารบนเชิงเขาสงู
พระประจำวัน ณ ที่พักสงฆ์ ช่องเขาเทพประสิทธ์ิ เป็นรูปปูนปั้นลอยตัวตามปาง
ประจำวัน สูงประมาณ ๕ เมตร ฐานกว้าง ๒.๕๐ เมตร อยู่ในเขตตำบลทรายแดง อำเภอ
เมือง
พระะพุทธรูปไม้ วัดสุวรรณคีรี ประดิษฐานอยู่ที่วัดสุวรรณคีรี ตำบลปากจั่น
อำเภอกระบุรี เป็นประติมากรรมแกะสลักพระพุทธรูปด้วยไม้เนื้อแข็ง ปางมารวิชัย หน้า
ตักกวา้ ง ๓๕ เซนติเมตร สูง ๗๓ เซนติเมตร มลี ักษณะประณีตสวยงามสรา้ งเมอ่ื ประมาณปี
พ.ศ. ๒๔๖๐ พร้อมกับทีส่ รา้ งวดั ปากจั่น (สวุ รรณคีร)ี
พระสงั กัดจาย วดั ตโปทารามและวดั หาดส้มแป้น เปน็ ประตมิ ากรรมปนู ป้ันลอยตัว
ขนาดใหญ่ มีลักษณะโดดเด่นสวยงาม ประดิษฐานอยู่สองแห่งคือ วัดตโปทาราม และวัด
หาดส้มแป้น อำเภอเมือง โดยเฉพาะที่วัดหาดส้มแป้นฐานพระพุทธรูปออกแบบอย่าง
สวยงามเป็นลายดอกบวั และพญานาค สร้างโดยฝีมือช่างมอญจากประเทศพม่า

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๗๗

งานสถาปัตยกรรม ส่วนใหญ่เป็นศาสนสถานในพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ
เช่น เจดยี ์ วหิ าร กุฏิสงฆ์ ศาลเจ้าจีน และมัสยิด ไดแ้ ก่

เจดยี ์ทรงพม่าวัดสวุ รรณคีรี วิหารวดั อุปนันทาราม ตำบลเขานเิ วศน์ อำเภอเมือง
สร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๔๐ รูปทรงศิลปแบบพม่าส่วนยอดแกะสลักด้วยโลหะเป็น
ชน้ิ ๆ อย่างสวยงามมองดูเดน่ เป็นสง่ามคี วามสูงประมาณ ๘ เมตรฐานเป็นรูปส่ีเหล่ียมกว้าง
ด้านละ ๗ เมตร ภายในเจดีย์บรรจเุ ครื่องประดบั มีคา่

เจดีย์เก่าวัดสุวรรณคีรี ประดิษฐานอยู่ในวัดสุวรรณคีรี ตำบลปากจั่น อำเภอกระ
บรุ ี สรา้ งเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ เปน็ เจดยี ท์ รงระฆัง ศิลปะลงั กา ฐานกว้างด้านละ ๓.๕๐ เมตร
สงู ๕ เมตร เปน็ สถาปัตยกรรมทช่ี าวบ้านสร้างข้นึ ด้วยแรงศรทั ธาแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญา
ท้องถิ่น

เจดีย์รากลอย วัดปทุมทาราม อยู่ในเขตตำบลกะเปอร์ อำเภอกะเปอร์ สร้างเม่ือ
ประมาณ
ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นศิลปะแบบลังกา ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมกว้างด้านละประมาณ ๖ เมตร
สูงประมาณจากพื้นถึงฐานด้านบน ๒.๕๐ เมตร องค์เจดีย์ตั้งลอยอยู่บนฐาน ความสูงของ
องค์เจดีย์ ๗.๕๐ เมตร เป็นเจดีย์รูปทรงระฆัง มีปล้องไฉนหรือบัวกลุ่ม ปลียอดและเม็ด
น้ำคา้ ง สร้างโดยชา่ งอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพงั งา

เจดีย์รูปทรงหกเหลี่ยม วัดหาดส้มแป้น สร้างครอบเจดีย์เก่าที่มีอายุกว่าร้อยปี
ลกั ษณะเป็นรปู หกเหลี่ยมแตล่ ะเหลี่ยมกว้างประมาณ ๓ เมตร สูงจากฐานถึงยอดประมาณ
๑๗ เมตร ฝีมือช่างท้องถิ่น องค์เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่นำมาจากเชียงรุ้ง และ
มุกดาหาร

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๗๘

เอกสาร จารกึ เอกสารชนั้ ตน้ ตำนาน
และนทิ านทีส่ ำคญั

เอกสาร จารึก เอกสารช้ันต้น ตานาน และนทิ านท่ีสาคัญ

ศิลาจารกึ สลักพระปรมาภิไธย ย่อ จปร.

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๗๙

ศิลาจารึกสลักพระปรมาภิไธย ย่อ จปร. เป็นสถานที่สำคัญด่านแรกของจังหวัด
ระนอง ตามเสน้ ทางจากกรุงเทพฯ ตัง้ อย่ใู นเขตตำบลปากจั่น (ตรงข้ามโรงเรียนบ้าน จปร.)
กิโลเมตรท่ี ๕๒๕ ซ่งึ เปน็ เขตแดนระหวา่ งจงั หวัดระนอง และจงั หวดั ชมุ พร หา่ งจากตวั เมอื ง
ระนอง 86 กิโลเมตร อนุสาวรีย์แห่งนี้เป็นที่ตั้งของ “หินสลักพระปรมาภิไธย จปร.” ของ
รัชกาลที่ ๕ ที่ได้ทรงจารึกไว้ ครั้งที่พระองค์ทรงเสด็จประพาสโดยขบวนช้างและม้าจาก
จังหวัดชุมพร มาประทับแรมคืนที่พลับพลาดอนวังทู้ หมู่ที่ ๑ ตำบลปากจั่น เมื่อวันที่ ๒๑
เมษายน ๒๔๓๓ และหินสลักพระปรมาภิไธยย่อ ภปร. และ สก. ของพระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ รวมทั้งพระ
นามาภิไธยย่อ สธ. ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งได้ทรงจารึก
ไว้ครั้งที่เสด็จประพาสจากชุมพรโดยรถยนต์มาทรงเยี่ยมประชาชน เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม
๒๕๐๒

ศิลาจารกี สลักปรมาภิไธย ยอ่ จปร. ต้งั อยู่ติดกับเสน้ แบ่งเขตระหวา่ งจังหวัดระนอง
และจังหวัดชมุ พร เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา
จุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนิน ประพาสทางบก ทางเรือ
รอบแหลมมลายู พ.ศ.๒๔๓๓ ตรงกับ ร.ศ.๑๐๙ และในคราวนั้นได้เสด็จพระราชดำเนิน
จากเมืองชุมพรมาเมืองกระ (กระบุรี) เพื่อตรวจราชการแผ่นดินและความเป็นอยู่ของ
ราษฎร เมื่อเสด็จมาถึงแนวเขตแดนระหว่างจงั หวัดชมุ พร และระนอง พระองคไ์ ด้ทรงสลัก
พระปรมาภิไธยย่อ จปร. ไว้บนก้อนศิลา ดงั ในพระราชนพิ นธค์ วามวา่

“ในกลางที่แจ้งนี้เป็น “ตร่อน้ำแบง่ ” มีศิลากอ้ นใหญ่จมดินครึ่งหนึ่งมีก้อนเลก็ ซ้อน
ซงึ่ เหน็ จะเป้น หนิ ลอยทง้ั สองกอ้ น ให้เขามาหาไว้จะจารึกเห็นก้อนใหญ่จะศนู ย์ยากกว่า จึง

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๘๐

ให้กลิ้งก้อนเล้กลงเสีย ให้กรมสรรพสิทธิ์เขียน จปร. อย่างอัฐกับกรมสมมตเขียน ๑๐๙
มอบเครื่องมือให้ผู้ช่วยเมืองไชยาอยู่เราะให้ แล้วรอเขียนอยู่ ๗ มินิต” สถานที่แห่งนี้จึงมี
ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และมีค่าควรแก่การศึกษา และอนุรักษณ์ไว้เป็นสมบัตขิ อง
ชาตสิ บื ไป

ตำนานเมอื งระนอง
ตอนที่ ๑ ตำนานในโบราณสมัย เมืองระนองเดิมเป็นแต่เมืองขึ้นของเมืองชุมพรมา

แต่สมัยเมื่อกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เจ้าเมืองมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวง เรียกชื่อตามนาม
เมืองว่า “หลวงระนอง” แต่รับตราตั้งจากกรุงเทพฯ เช่นเดียวกับเจ้าเมืองขึ้นทั้งปวง
ประเพณกี ำหนดอาณาเขตในการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ เอาราชธานตี ้ังเป็นหลัก
มีเมือง (จัตวา) รายรอบ การต่างๆในเมืองเหล่านั้นขึ้นอยู่ในบังคับบัญชาของเจ้ากระทรวง
ในราชธานี เป็นทำนองมณฑลราชธานี ภายนอกมณฑลราชธานีออกไปเอา “หัวเมือง”
เปน็ หลกั (กำหนดวา่ เป็นหวั เมืองเอก หวั เมืองโท หรือหวั เมืองตรตี ามขนาด) หวั เมืองหน่ึงก็
มีเมืองข้ึนรายรอบและบังคับบัญชาทำนองเดยี วกับมณฑลราชธานีเปน็ มณฑลๆไป ดงั นี้ หัว
เมืองใดอาณาเขตกว้างขวางก็มีเมอื งขึน้ มาก หัวเมืองท่ีอาณาเขตแคบก็มเี มอื งข้นึ น้อย และ
เมืองขึ้นนั้นกำหนดด้วยท้องที่ สุดแตใ่ ห้พนกั งานปกครองต่างเมืองไปมาถึงกันได้ในวันหนง่ึ
หรือสองวัน (ในสมัยเมื่อทางคมนาคมยังกันดาร) เพื่อจะได้บอกข่าวและช่วยเหลือกันเม่ือ
เกิดเหตุการณ์ ส่วนจำนวนผู้คนพลเมืองในท้องที่จะมีมากหรือน้อยไม่ถือเป็นข้อสำคัญใน
การตง้ั เมืองขน้ึ เพราะผ้คู นมักยา้ ยไปถ่ายมาไดง้ ่าย

๒. ในบรรดาหัวเมืองทางแหลมมลายูที่ตั้งมาแต่โบราณ เมืองชุมพร ประหลาดผิดกับ
เพือ่ นอยอู่ ย่างหน่งึ ทีไ่ มม่ ีตวั เมืองเหมอื นเมืองไชยา เมืองนครศรธี รรมราช เมืองพัทลุง เมือง
สงขลา เมืองปัตตานี และเมืองถลาง เมืองตะกั่วทุ่ง ทางฝ่ายตะวันตกล้วนมีโบราณวัตถุ
ปรากฏอยู่รู้ไดว้ ่าเป็นเมอื งมาแต่โบราณ แต่ส่วนเมืองชุมพร ข้าพเจ้าผู้ (๑) แต่งหนังสอื น้ไี ด้
ให้คน้ หานักแลว้ ยังมไิ ด้พบโบราณวตั ถุเปน็ สำคญั บางทจี ะเป็นดว้ ยเหตุ ๒ อย่าง คือ มีท่ีทำ
นาไม่พอคนมากอย่าง ๑ และอยู่ตรงตอแหลมมลายูมักเป็นสมรภูมิรบพุ่งกันตรงนั้น จึงไม่
สร้างบ้านเมืองแต่ก็ต้องตั้งรักษาเป็นเมืองด่าน เมืองชุมพรจึงได้มีศักดิ์เป็นหัวเมืองชั้นตรีมี
อาณาเขตตกถึงทะเลทั้ง ๒ ฝ่ายมาแต่โบราณ เมืองขึ้นของเมืองชุมพรทางฝ่ายตะวนั ออกมี
๔ เมือง ลำดับแต่เหนือลงไปใต้ คือ เมืองปะทิว ๑ เมืองท่าแซะ ๑ อยู่ข้างเหนือตัวเมือง
ชุมพร เมืองตะโก ๑ เมืองหลงั สวน ๑ อยขู่ ้างใต้ ทางฝ่ายตะวันตกมี ๓ คอื คอื เมอื งตระ ๑
เมืองมลิวัน (ตอนนี้อยู่ในแดนอังกฤษ ) (๒) ๑ เมืองระนอง ๑ เมืองระนองอาณาเขตทาง
เหนือต่อเมืองตระ ทางตะวันออกต่อเมืองหลังสวน ทางใต้ต่อเมืองตะกั่วป่า ทางตะวันตก
เป็นทะเลและต่อเขตเมืองมลิวัน ในพื้นเมืองระนองเป็นภูเขาโดยมากมิใคร่มีที่ราบ ราษฎร

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๘๑

ทำไร่นายากจึงมิใคร่มีผู้คนพลเมืองแต่ว่าเป็นท้องที่มีแร่ดีบุกทั้งบนภูเขาและตามที่ราบ
ชาวเมืองจึงหาเลี้ยงชีพด้วยขุดแร่ดีบุกขายมาแต่โบราณ ฝ่ายรัฐบาลจะผ่อนผันให้ราษฎร
เป็นผาสุก จึงกำหนดให้ส่งสว่ ยดบี ุกแทนรบั ราชการอย่างอื่นมาต้ังแต่สมยั กรุงศรีอยุธยามา
จนในสมัยกรงุ รตั น

๓. โกสินทร์ (เห็นจะเป็นเมื่อในรัชกาลที่ ๓ หรือก่อนนั้นไม่ทราบแน่) (๑) ให้มีเจ้า
ภาษีรับผูกขาดอากรดีบุก คือ จัดบำรุงการขุดแร่และมีอำนาจที่จะซื้อและจะเก็บส่วยดีบกุ
ในแขวงเมืองตระตลอดลงมาจนถึงเมืองระนอง โดยยอมสัญญาส่งดีบุกแกร่ ัฐบาลปีละ ๔๐
ภารา (คิดอัตราในเวลานั้นภารา ๑ หนัก ๓๕๐ ชั่ง เป็นดีบุก ๑๔,๐๐๐ ชั่ง) เป็นอย่างนี้มา
จนปลายรัชกาลที่ ๓ ครั้นเมื่อปีมะโรง ปี พ.ศ. ๒๓๘๗ จีนคอซู้เจียง (ซึ่งภายหลังได้เป็นที่
พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี ผู้เป็นต้นสกุล ณ ระนอง) เข้ามายื่นเรื่องราวต่อ
กระทรวงกลาโหมขอประมูลอากรดีบุกแขวงเมืองตระและระนองขึ้นเป็นปีละ ๔๓ ภารา
หรือคิดเป็นเงินราคาภาราละ ๔๘ เหรียญ รวมเป็นเงินอากรปีละ ๒,๐๖๔ เหรียญ ได้รับ
พระราชทานพระบรมราชานุญาติ โดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระ
กรุณาโปรดฯ ให้ต้ังจีนคอซู้เจียงเป็นที่หลวงรัตนเศรษฐีตำแหน่งขุนนางนายอากรแต่นั้นมา
มีสำเนาท้องตราพระคชสีห์ตั้งหลวงรัตนเศรษฐีความพิสดารดังนี้ ตราตั้งจีน (คอซู้เจียง)
เป็นหลวงรัตนเศรษฐี หนังสือ เจ้าพระยาอัครมหาเสนาธิบดอี ภัยพิริปรากรมพาหุสมุหพระ
กระลาโหม มาถึงพระยาเพ็ชร์กำแหงสงคราม พระยาชุมพรและกรมการเมืองชุมพร เมือง
ตระ เมืองระนอง ด้วยจีนเจียงเข้าไป ณ กรุงเทพพระมหานคร ทำเรื่องราวให้กราบบังคม
ทูลพระกรุณาว่า อากรดีบกุ เมืองกระ หลวงจำเริญวานิชทำอยู่ที่ระนอง ทุ่งคา บางริ้น สระ
ส้มแป้น ๔ ตำบล เป็นอากรปีละ ๔๐ ภารา จีนเจียงเห็นว่าที่เกิดแม่แร่ดีบุกยังมีอยู่มากจะ
ขอชกั ชวนไทยจนี แขก

๔. มาทำเหมืองใหญ่ เหมืองแล่น ขุดร่อนแม่แร่ขึ้นที่ปลายคลองปากจั่นตำบลหน่ึง
ระนองตำบลหนง่ึ ทงุ่ คาตำบลหนงึ่ พอนรัง้ ตำบลหน่งึ บางริ้นตำบลหน่ึง สระส้มแป้นตำบล
หนึ่ง กะเปอร์ (๑) ฟากแม่น้ำแขวงระนองตำบลหนึ่ง ราดกรูดตำบลหนึ่ง ตำบลบางพระ
หนึ่ง แขวงเมืองตะโกที่หาดทรายขาวปลายคลองตะโกตำบลหนึ่ง เข้ากัน ๑๐ ตำบล โรง
กลวงเดิมตั้งอยู่ที่เมอื งระนองแล้ว จะขอตั้งโรงกลวงขึ้นใหม่อีกที่บางพระตำบลหนึ่ง ปลาย
คลองปากจัน่ โรงหน่ึง ราชกรดู โรงหน่ึง กะเปอรโ์ รงหน่งึ หาดทรายขาวโรงหนงึ่ แต่ปีมะเส็ง
สัปตศก ปีแรกทำจะขอประมูลอากรขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแต่ ๓ ภาราก่อน เข้า
กันเป็นอากรเดิมอากรประมูลปีละ ๔๓ ภารา ถ้าทำหมดอากรครบปีมีภาษีกำไรจะบอก
ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายขึ้นอีกทุกปีๆ จึงนำเอาเรื่องราวจีนเจียงขึ้นกราบบังคมทูลพระ
กรณุ าทรงทราบใต้ฝ่าละอองธลุ ีพระบาทแล้วทรงพระกรุณาตรสั เหนอื เกล้าเหนือกระหม่อม
สั่งว่า อากรดีบุกเมืองตระ เมืองระนองนั้น หลวงจำเริญวานชิ รับทำมาก็หลายปแี ล้วไมเ่ ป็น

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๘๒

ภาคภูมิขึ้นได้ อากรจำนวนปีเถาะเบ็ญจศกส่งมะโรงก็ยังค้าง จะให้หลวงจำเริญวานิชทำ
อากรดบี ุกเมืองตระ เมืองระนองสืบต่อไป อากรก็จะคา้ งทบเท่ามากขน้ึ ซง่ึ จนี เจยี งจะรับทำ
อากรดีบกุ เมอื งตระ เมอื งระนองเดิม ๔๐ ภารา ประมูล ๓ ภารา เข้ากัน ๔๓ ภารานน้ั ก็ให้
จีนเจียงรับทำอากรต่อไปเถิดโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จีนเจียงเป็นที่หลวงรัตนเศรษฐี
นายอากร พระราชทานเสื้อเข้มขาบก้านแย่งตัวหนึ่ง เสื้อมังกรน้ำเงินตัวหนึ่ง แพรขาวห่ม
เพลาะหน่งึ แพรขาวหม่ ผนื หนึง่

๕. ปูมผืนหนึ่ง ผ้าเชิงปูมผืนหนึ่ง ให้หลวงรัตนเศรษฐีทำอากรตำบลหาดทรายขาว
แขวงเมือง ตะโก ระนอง ทุ่งคา พอนรั้ง บางริ้น สระส้มแป้น บางพระ ราดกรูด กะเปอร์
ปลายคลองปากจั่น แขวงเมืองตระ เมืองระนอง ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอังกฤษเป็นอากรปีละ
๔๓ ภารา ตั้งแต่วันเดือน ๕ ขึ้นค่ำหนึ่งปีมะเส็งสัปตศกสืบไป กำหนดให้ส่งอากรดีบุกต่อ
เจ้าพนักงาน ณ กรุงเทพพระมหานครปีละ ๒ งวดๆเดือนสิบส่งงวดหนึ่ง เดือน ๔ ส่งงวด
หนงึ่ ให้หลวงรัตนเศรษฐสี ง่ อากรดีบุกงวดเดอื นสบิ หนัก ๒๑ ภารา หาบ ๕๐ ชั่ง งวดเดือน
๔ หนัก ๒๑ ภารา หาบ ๕๐ ชั่ง ให้ส่งเสมอปีละ ๒ งวด จงทุกงวดทุกปี อย่าให้ดีบุกอากร
ของหลวงขาดค้างล่วงงวดล่วงปีไปแต่จำนวนหนึ่งได้ ถ้าจะส่งเงินเข้าไปแทนดีบุกก็ให้
คิดเงินส่งภาราละ ๔๘ เหรียญ ถ้าจะส่งดีบุกก็ให้ส่ง ๓๕๐ ชั่งต่อภารา ให้หลวงรัตนเศรษฐี
ตั้งโรงกลวงสูบฉลุงแร่ดีบุกในที่แขวงเมืองตระ เมืองระนอง เมืองตะโก อย่าให้ล่วงแขวง
ล่วงอำเภอเมืองอื่นเกิดอริวิวาทกันด้วยที่เขตต์แดนเป็นอันขาดทีเดียว ถ้าทำอากรครบปีมี
ภาษีกำไรก็ให้บอกทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายขึ้นอีกจะได้เป็นความชอบกับหลวงรัตน
เศรษฐีสืบต่อไป และให้หลวงรัตนเศรษฐีทำอากรดบี ุกโดยสัตย์โดยธรรม ถ้าราษฎร์ขดุ รอ่ น
แม่แร่ดีบุกจะเอามาตวงขึ้นโรงกลวงสูบฉลุงมากน้อยเท่าใด ให้หลวงรัตนเศรษฐีคิดค่าแร่
ให้กับราษฎรให้ครบ อย่าให้ทำฎีกาให้แก่ราษฎรใช้สอยแทนเงินแทนดีบุก และขันเฟือง
ลูกตุม้ คันวสิ ยั สำหรบั ตวงแม่แร่ช่งั ดบี กุ นัน้ มีอยู่สำหรบั โรงกลวงแล้วให้หลวงรัตนเศรษฐีเอา
ขันเฟอื ง

๖. ลูกตุ้มคนั วิสัยของหลวง ซึ่งให้ออกมาสำหรับโรงกลวงนั้น มาใช้สอยสำหรับตวง
แม่แร่ดบี ุกของราษฎร อย่าให้ขันเฟอื งลูกตุ้มใหญ่แปลกปลอมมาตวงแร่ดีบุกของราษฎรให้
เหลือเกิน ถ้าราษฎรได้แม่แร่ดีบุกมาตวงขึ้นโรงกลวงมากน้อยเท่าใดก็คิดเงินให้ค่าแม่แร่
ของราษฎรใหค้ รบ อย่าใหท้ ำฎกี าให้ราษฎรเจ้าของแร่ใหไ้ ด้ความยากแคน้ เดอื ดร้อน ถ้าสูบ
ฉลุงไดน้ ำ้ แม่แร่ดีบกุ จะทำเปน็ ดบี ุกยอ่ ยใชส้ อยซื้อขายกนั กลางบ้านกลางเมืองก็อย่าให้เรียก
เอาเศษดีบุกเลย ถ้าผู้ใดจะเอาดีบุกปึกดีบุกย่อยไปซื้อขายจำหน่ายนอกประเทศก็ให้เจ้า
เมืองกรมการนายอากรกำกับกันตีตราดีบุกปึกดีบุกย่อยเรียกเศษดีบุกภาราละ ๒ เหรียญ
อย่าให้ผู้ใดเอาดีบุกปึกดีบุกย่อยซึ่งยังไม่ได้ตีตราเรียกเศษ ลักลอบออกไปซื้อขายนอกบ้าน
นอกเมืองไดเ้ ป็นอันขาดทีเดียว ถ้าเรียกเงินเศษดีบุกจำนวนปีใดได้มากน้อยเท่าใด ก็ให้เจ้า

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๘๓

เมืองกรมการทำหางว่าวจำนวนเงินเศษดีบุกปีนั้นเท่านั้น บอกส่งเงินและหางว่าวเข้าไปยัง
กรุงเทพพระมหานครจงทุกปีได้ทำตราเหล็กสำหรับตอกพิมพ์ดีบุกปึก ดีบุกย่อยมอบให้
ออกมากับหลวงรัตนเศรษฐีด้วยแล้ว อนึ่งเป็นอย่างธรรมเนียมนายอากรคนใหม่คนเก่ารับ
อากรต่อกัน นายอากรคนใหม่ต้องรับรองและโรงกลวง โรงกงษี เรือใหญ่ เรือน้อย
เครื่องมือใช้สอยแม่แร่มูลตะกางและถ่านตอ่ นายอากรคนเก่า คิดราคาให้นายอากรคนเก่า
ตามอย่างธรรมเนียมเมืองพังงาเมืองตะกั่วป่าทำมาแต่ก่อน อนึ่งให้หลวงรัตนเศรษฐีกำชับ
ห้ามปรามบ่าวและทาษสมัครพรรคพวกซึ่งทำอากรด้วยกันนั้น อย่าให้คบหากันเป็นโจร
ผูร้ ้ายปลน้ สดมภล์ กั ช้างม้าโคกระบือ

๗. เครือ่ งอัญมณขี องสมณชีพราหมณ์ อาณาประชาราษฎร ลกู ค้าวานิชทางบกทาง
เรือให้ได้ความยากแค้นเดือดร้อน และซื้อขายสิ่งของต้องห้ามกระทำให้ผิดด้วยพระราช
กำหนดกฎหมายหา้ มปรามเกา่ ใหมแ่ ตส่ งิ่ ใดสิ่งหน่ึงได้ อน่ึงเทศกาลพระราชพิธีตรุษสารท ก็
ให้หลวงรัตนเศรษฐีไปพร้อมดว้ ยเจ้าเมืองกรมการเมืองระนอง ณ พระอาราม บ่ายหน้าต่อ
กรุงเทพพระมหานคร กราบถวายบังคมรับพระราชทานน้ำพิพัฒน์สัตยาปีละ ๒ ครั้งเสมอ
จงทุกปีอย่าให้ขาด คร้ันลุท้องตรานี้ไซ้ก็ให้พระยาชุมพรกรมการเมืองชุมพร กรมการเมือง
ตระ กรมการเมืองระนองจำลองท้องตรานี้ไว้แล้วส่งต้นตราตั้งนี้ให้หลวงรัตนเศรษฐีทำ
อากรเมอื งตระ เมอื งระนอง เมอื งตะโกสบื ไป หนังสือมาณวันอังคาร เดือน ๓ ข้นึ ๕ คำ่ จุล
ศักราช ๑๒๐๖ ปีมะโรง นักษัตรฉศก (พ.ศ. ๒๓๘๗) ตรารูปคนถือดาบประจำครั่ง ตรา
พระคชสีหน์ อ้ ยประจำผนกึ จีนคอซเู้ จยี งผไู้ ดเ้ ป็นที่หลวงรตั นเศรษฐนี ี้เปน็ จนี ฮกเกี้ยน เกดิ ที่
เมอื งเจยี งจีนจวิ หูในประเทศจนี เมอื่ ปมี ะเสง็ พ.ศ. ๒๓๔๐ ครั้งอายุได้ ๒๕ ปี ออกจากเมอื ง
จีนมายังเกาะหมาก ประกอบกรรมกรเป็นอาชีพพอสะสมได้ทุนบ้างแล้ว เข้ามาอยู่ตั้ง
ค้าขายในพระราชอาณาเขตที่เมืองตะกั่วป่า ได้อาศัยความอุปการะของทา้ วเทพสุนทร ซึ่ง
เป็นสตรีมีทุนทำค้าขายอยู่ในจังหวัดนั้น ครั้นทำมาหากินมีทุนมากขึ้นเห็นว่าที่เมืองพังงา
เป็นทำเลการค้าดีกว่าที่เมืองตะกั่วป่า จึงไปตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นหลักแหล่งที่ตลาดเมือง
พงั งาจนทำมาหากินได้ทุน

๘. ทรัพยบ์ รบิ รู ณ์ข้นึ จึงคดิ ตอ่ เรอื กำปั่นใบลำหน่ึงแล้วลงเรือนนั้ ไปเที่ยวค้าขาย รับ
ซื้อสินค้าที่เกาะหมากเที่ยวขายตามหัวเมืองชายทะเลตะวันตกไปจนเมืองระนองเมืองตระ
และรับซอื้ สนิ คา้ ตามหัวเมืองเหล่าน้ันมดี ีบุก เป็นต้น ไปขายยังเกาะหมากอาศัยการท่ีเท่ียว
ค้าขายเช่นนี้ จึงได้รู้เบาะแสที่ทำมาหาผลประโยชน์ทางหัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตก มาเห็น
ว่าเมืองระนองเป็นทำเลที่มีดีบุก แต่ผู้ทำการขดุ หาค้าขายยงั มีนอ้ ยอาจจะตั้งทำมาหาเล้ยี ง
ชีพได้ด้วยค้าดีบุกที่เมืองระนอง ให้เป็นการใหญ่โตขึ้นโดยมิตอ้ งแย่งชิงกับผู้ใด จึงได้เข้ามา
ขอผูกอากรดบี ุกเมืองระนองภายหลังยกครอบครัวยา้ ยมาต้ังภมู ลิ ำเนาอยู่เมืองระนอง บ้าน
เดิมที่ตลาดเมืองพงั งาก็ยังให้รักษาไว้ เห็นจะเป็นดว้ ยไม่ประมาท หมายว่าถ้าทำการอาชีพ

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๘๔

ที่เมืองระนองไม่สำเร็จ ก็จะกลับไปอยู่ที่เมืองพังงา บ้านที่เมืองพังงานั้นยังรักษาไว้เป็นท่ี
ระลึกตอ่ มาจนถึงชั้นบุตรหลาน

ตอนที่ ๒ ยกเมืองระนองเป็นหัวเมืองจัตวา ถึงรัชกาลที่ ๔ เมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๓๙๗
เป็นปีที่ ๔ ในรัชกาลนั้น ตำแหน่งเจ้าเมืองระนองว่าง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนบรรดาศักดิ์หลวงรัตน
เศรษฐี (คอซู้เจียง) ขึ้นเป็นพระรัตนเศรษฐี เจ้าเมืองระนอง แต่ยังคงเป็นเมืองขึ้นของเมือง
ชุมพรต่อมามีสำเนาตราพระคชสหี น์ ำเมอื ง ดังนี้

ตรานำเมืองตั้งพระรัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) เป็นเจ้าเมืองระนอง หนังสือเจ้าพระยา
อัครมหาเสนาธิบดีอภัยพิริปรากรมพาหุ สมุหพระกระลาโหม มาถึงพระยาเพ็ชร์กำแหง
สงคราม ผู้สำเรจ็ ราชการเมืองชุมพร ดว้ ยมใี บบอกเข้าไปแต่ก่อนว่า หลวงระนองป่วยถึงแก่
กรรมที่เจ้าเมืองว่างเปล่าอยู่ จึงนำหนังสือบอกพระยาชุมพรขึ้นกราบบังคมทูลแด่
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ วมีพระบรม
ราชโองการการตรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมสั่งว่าเมืองระนองเป็นเมืองอากรดีบุก อยู่
ฝา่ ยทะเลตะวนั ตก ล่อแหลมเขตแดนใกล้กับอังกฤษสำคญั อยู่ เจา้ เมอื งยังหามีตัวไม่จะไว้ใจ
แกร่ ารชกาไมไ่ ด้ทรงพระราชดำริเห็นวา่ หลวงรตั นเศรษฐที ำอากรดีบุกมาชา้ นาน ๒

๑๐. หลายปีเงินภาษีอากรของหลวงมิได้ขาดค้างเกี่ยวข้องแล้วก็เป็นคนผู้ใหญ่อารี
รอบคอบ กรมการเมืองระนองก็รักใคร่นับถือพอจะเป็นที่เจ้าเมืองระงับกิจทุกข์ของไพร่
บา้ นพลเมืองสืบต่อไปได้ จึงโปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ มพระราชทานสัญญาบัตร์ ตงั้ ให้หลวง
รัตนเศรษฐีเลื่อนขึ้นเป็นที่พระรัตนเศรษฐี ผู้สำเร็จราชการ (๑) เมืองระนองถือศักดินา
๘๐๐ ไร่ โปรดพระราชทานถาดหมากคนโทกาไหล่ทองสำรับหนึ่ง เสื้อเข็มขาบริ้วตัวหน่ึง
เสือมังกรห้าเล็บอย่างจีนตัวหนึ่ง ผ้าเช็ดหน้าเขียนลายทองผืนหนึ่ง แพรขาวย่นหนังไก่
เพลาะหน่ึง ผ้าห่มนอนปกั ทองมีซับผนื หน่ึง ผ้าปมู ผนื หนงึ่ หมวกจกุ ทองคำอย่างจีนหนึ่งให้
พระรัตนเศรษฐีผู้สำเร็จราชการเมืองระนอง ออกมาระงับกิจทุกข์ของอาณาประชาราษฎร
ทำราชการฉลองพระเดชพระคุณสืบไป ถาดหมากคนโทเงินซึง่ โปรดพระราชทานสำหรับท่ี
หลวงระนองเศรษฐนี น้ั โปรดพระราชทานให้แกห่ ลวงโลหภมู ผิ ้ชู ว่ ยราชการ และเมืองระนอง
ขึน้ อยู่กบั เมอื งชุมพร ให้พระรตั นเศรษฐีผู้สำเร็จราชการเมอื งระนองฟังบังคับบัญชาพระยา
ชุมพร ให้ปลัดยกระบัตร์กรมการเมืองระนอง ฟังบังคับบัญชาพระรัตนเศรษฐีผู้สำเร็จ
ราชการเมืองแต่ซึ่งชอบด้วยราชการจงทุกประการอย่าให้ถือเปรียบขัดแก่งแย่งกัน ให้เสีย
ราชการไปแต่สิง่ ใดสงิ่ หน่ึงได้

๑๑. ให้พระรัตนเศรษฐี ผสู้ ำเร็จราชการเมอื งระนองต้ังใจทำราชการฉลองพระเดช
พระคุณโดยสุจริต ให้มีจิตต์โอบอ้อมอารีแก่สมณพราหณาจารย์กรมการไพร่บ้านพลเมือง

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๘๕

ลูกค้าวานิชให้อยู่เย็นเป็นสุขอย่ากระทำข่มเหงกรมการไพร่บ้านพลเมือง ให้ได้ความ
ยากแค้นเดือดร้อนแต่สงใดสิ่งหนึ่งได้ ประการหนึ่งกรมการผู้ใหญ่ผู้น้อยว่างเปล่าอยู่เห็นวา่
ผู้ใดได้ราชการดีก็ให้ปรึกษากับพระยาชุมพร จัดแจงตั้งแต่งขึ้นไว้ให้ครบตามตำแหน่งแล้ว
ให้พระยาชุมพรบอกเข้าไป ณ กรุงเทพพระมหานคร เจ้าพนักงานจะได้ตั้งแต่งออกมาให้
ตามอย่างตามธรรมเนียม ประการหนึ่งถ้าราษฎรจะเกี่ยวข้องด้วยคดีฟ้องหากล่าวโทษแก่
กนั เปน็ แต่ความเล็กน้อยกใ็ ห้พระรัตนเศรษฐแี ละกรมการพิจารณาว่ากล่าวให้สำเร็จท่ีเมือง
ระนอง ถ้าเป็นความมหันตโทษข้อใหญ่ให้ส่งไปยังเมืองชุมพรชำระว่ากล่าวตามอย่างตาม
ธรรมเนียมสืบมาแต่ก่อน ถ้าจะพิจารณาพิพากษาว่ากล่าวคดีของราษฎรให้เป็นยศเป็น
ธรรมโดยอุเบกขาญาณ อย่าเห็นแก่หน้าบุคคลอามิสสินจ้างสินบนเข้าด้วยฝ่ายโจทก์ฝ่าย
จำเลยกลับเท็จเป็นจริงกลับจริงเป็นเท็จกลบเกลื่อนเน้ือความแพ้เป็นชนะ ชนะเป็นแพ้ ให้
ราษฎรได้ความเดือดร้อนยากแค้นและกระทำให้ผิดด้วยพระราชกำหนดกฎหมายห้ าม
ปรามเก่าใหม่ แต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ อนึ่งถ้าเป็นระดูการถึงเทศกาลทำนาให้ตักเตือนว่ากล่าว
แก่อาณาประชาราษฎรให้ชักชวนกันทำไร่นาให้เตม็ ภาคภูมิใหไ้ ดผ้ ลเมล็ดเข้า

๑๒. จงมาก จะได้เป็นกำลังราชการทำบุญให้ทานเป็นกุศลสืบไปแล้วให้บอก
รายงานน้ำฝนเข้าไปยังเมืองชุมพรเนืองๆ เมืองชุมพรจะได้บอกเข้าไปยัง ณ กรุงเทพพระ
มหานคร อน่ึงส่วยสาอากรซึ่งขึ้นท้องพระคลังมีอยู่ในแขวงเมืองระนองมากน้อยเท่าใด ถึง
งวดถึงปีจะส่งก็ให้พระรัตนเศรษฐีว่ากล่าวแก่เจ้าพนักงานให้คุมเอาส่วยสาอากรของหลวง
เข้าไปส่งยังเมืองชุมพรจงทุกงวดทุกปี เมืองชุมพรจะได้ส่งเข้าไป ณ กรุงเทพพระมหานคร
ประการหนึ่งให้พระรัตนเศรษฐีชำระบัญชีค่าส่วยและเลขสมพักษรจรอาศัยเลขสำหรับ
เมืองจะโจทก์ไปอยู่แห่งใดตำบลใด ก็ให้ชำระเอาตัวคืนมาอยูต่ ามเดิมแลว้ ให้รู้บัญชเี ลขไพร่
พลเมืองสมสังกัดพันข้าพระโยมสงฆ์ส่วยส้องกองช่างตราภูมิคุ้มห้ามมีอยู่ ณ แขวงหัวเมือง
ระนองมากนอ้ ยเท่าใดและเลขพลเมอื ง เลขด่าน เลขกองนอก คงสักหมวดใด กองใดให้คดั
เอาบัญชีให้รู้จำนวนเลขไว้ให้แน่นอน มีราชการขุกค่ำคืนมาประการใด จะได้กะเกณฑ์
ราชการทันท่วงที อนึ่งเลขหมวดใดกองใดซึ่งหลบหนีไปแอบแฝงอยู่ มิได้สักข้อมือใช้
ราชการแผ่นดินนั้นให้พระรัตนเศรษฐีว่ากล่าวชักชวนเกลี้ยกลอ่ มให้มาตั้งบ้านเรือนให้เปน็
ภาคภูมิลงทำมาหากินให้บ้านเมืองบริบูรณ์ มั่งคั่งจะได้ใช้ราชการสืบไปและทุกวันนี้ทาง
ทะเลเกิดโจรผู้ร้ายชุกชุมพระรัตนเศรษฐีจะส่งเงินอากรขึ้นมา ณ เมืองชุมพรนั้นหนทาง
ตงั้ แต่เมืองระนองจะมาเมืองตระ

๑๓. ทางเปลี่ยว จะคุมเงินมาแตต่ ามลำพังกรมการเมอื งระนองจะไว้ใจไม่ได้ให้พระ
ยาชุมพรแต่งกรมการไปบรรจบกรมการเมืองตระจัดแจงเรือไปรับป้องกันขึ้นมาสักลำหน่ึง
๒ ลำ มาถงึ เมอื งชุมพรแลว้ กจ็ ัดแจงเรือและกรมการกำกับคุมเอาเงินอากรของหลวงส่งเข้า
ไปให้ถึงกรุงเทพพระมหานครอย่าให้เป็นอันตรายตามทางได้เป็นอันขาดทีเดียว อนึ่งถึง

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๘๖

เทศกาลพระราชพิธีตรุษสารทก็ให้พระรัตนเศรษฐีกรมการและขุนหมื่นนายอำเภอแขวง
เมืองระนองไปพร้อมด้วยกรมการณวัดวาอารามกระทำสัตยานสุ ัตย์ตอ่ ใต้ฝ่าละอองธลุ ีพระ
บาทกราบถวายบังคมพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปิ่น
เกล้าเจ้าอยู่หัว รบั พระราชทานถือน้ำพระพิพฒั น์สตั ยาปีละ ๒ คร้งั ตามอยา่ งธรรมเนียมจง
ทกุ ปีอยา่ ใหข้ าด ประการหนง่ึ จะมีใจประดิพทั ธรักใครล่ ูกสาวหลานสาวกรมการและอาณา
ประชาราษฎรผู้ใดก็ให้แต่งเฒ่าแก่ไปว่ากล่าวสู่ขอตามอย่างธรรมเนียมห้ามอย่าให้กระทำ
ข่มเหงฉุดคร่าเอาลูกสาวหลานสาวกรมการและอาณาประชาราษฎรมาเป็นภรรยาให้
ราษฎรได้ความยากแค้นเดือดร้อนแต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ อนึ่งเมืองระนองอยู่ชายทะเล
ล่อแหลมจะไว้ใจแก่ราชการไม่ได้ให้พระรัตนเศรษฐีจัดแจงเรือและคนสรรพไปด้วยเครื่อง
สาตราวธุ ใหพ้ ร้อมสรรพลาดตะเวนรักษาปากน้ำตามอา่ วคงุ้ แขวงเมอื งระนองจง

๑๔. กวดขัน อยา่ ใหส้ ลัดศัตรูเล็ดลอดเข้ามากระทำร้ายแกโ่ รงกงษแี ละบ้านเมืองได้
เป็นอนั ขาดแลว้ คอยระวงั สืบสวนข่าวคราวราชการ ได้ขา่ วราชการมาประการใดก็ให้เร่งรีบ
บอกไปยังเมืองชุมพรและหัวเมืองต่อกันโดยเร็ว เมืองชุมพรจะได้บอกส่งเข้าไปยังกรุงเทพ
พระมหานคร ประการหนึ่ง พระรัตนเศรษฐีผู้สำเร็จราชการเมืองระนองทำราชการฉลอง
พระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถ้าราชการผันแปรประการใดก็ให้
คดิ อ่านผอ่ นปรนผันแปรโดยขอ้ ราชการให้ชอบจงทุกประการสุดแตอ่ ย่าให้เสียราชการไปได้
อนึ่งให้พระรัตนเศรษฐีกำชับห้ามปรามบุตรภรรยาเสมียนทนายข่าวและทาสอย่าให้คบหา
กันเป็นโจรผู้ร้ายปล้นสดมภ์ฉกชิงฉ้อตระบัด เอาพัสดุทองเงินเครื่องอัญมณีของสมณชี
พราหมณ์อาณาประชาราษฎรลูกค้าวานิช และทำลายพระพุทธรูป พระสถูปพระเจดีย์
พระวิหาร การเปรียญวัดวาอาราม ฆ่าช้างเอางาและขนาย ฆ่าสัตว์อันมีคุณ ตัดต้นไม้อันมี
ผลซื้อขายสิ่งของต้องห้ามกระทำให้ผิดดว้ ยพระราชกำหนดกฎหมายห้ามปรามเก่าใหม่แต่
ส่งิ ใดส่ิงหน่ึงได้เป็นอนั ขาดทีเดียว คร้นั ลุท้องตรานี้ไซ้ก็ให้พระยาชมุ พรกรมการลำลองลอก
เอาท้องตราตั้งไว้ ประทวนสั่งต้นตรานี้และตราจำนำ เลขสำหรับที่สารบานบัญชี เลขสม
พลเมือง กฎหมายกระทงความเก่าใหม่ ซง่ึ มีอยู่

๑๕. สำหรับเมืองระนองมากน้อยเท่าใดใหแ้ ก่พระรัตนเศรษฐีผู้สำเร็จราชการเมือง
ระนองเข้ารับราชการฉลองพระเดชพระคุณสืบไป หนังสือมาณวันพุธ เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๕
ค่ำ จุลศักราช ๑๒๑๖ ปีขาลฉศกตรารูปคนถือดาบประจำครั่ง ตราพระคชสีห์ห้อยประจำ
ผนึก ต่อมาความปรากฎว่ารัฐบาลอังกฤษจัดการปกครองหัวเมืองซึง่ ได้ไปจากพม่ากวดขัน
ขึ้นโดยลำดับมาถึงทต่ี อ่ แดนพระราชอาณาเขตทางทะเลตะวนั ตก พระบาทสมเด็จพระจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่าเมืองตระและเมืองระนองเป็นเมืองขึ้นอยู่ในเมืองชุมพร
จะรักษาราชการทางชายแดนไม่สะดวกจึงโปรดฯ ให้ยกเมืองตระและเมืองระนองขึ้นเป็น
เมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ส่วนเมืองระนองนั้นทรงโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๘๗

พระรัตนเศรษฐี คอซู้เจียงข้นึ เป็นพระยารัตนเศรษฐี ผูว้ ่าราชการเมืองระนองเม่ือปีจอ พ.ศ.
๒๔๐๕ มีสำเนาสารตราพระคชสหี น์ ำเมือง ดงั นี้

สำเนาสารตรานำเมืองตั้งพระยารัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) เป็นผู้สำเร็จราชการเมือง
ระนอง สารตรา ท่านเจ้าพระยาอัครมหาเสนาฯ มาหลวงศรีโลหภูมิผู้ช่วยราชการ หลวง
อินทคริ ปี ลดั หลวงพรหมภักดี กรมการผ้รู ักษาเมอื งระนอง

๑๖. ดว้ ยมพี ระบรมราชโองการมานพระบัณฑรู สรุ สิงหนาทดำรสั เหนอื เกล้าฯ สั่งว่า
เมืองระนองแต่ก่อนเป็นเมืองขึ้นเมืองชุมพร บ้านเมืองก็อยู่ในป่าดงรกร้างหาเป็นภูมิฐาน
บ้านเมืองไม่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระรัตนเศรษฐีให้เป็นผู้สำเร็จราชการรักษา
บ้านเมือง พระรัตนเศรษฐีชักชวนเกลี้ยกล่อมไทยจีนให้มาตั้งบ้านเรือนทำมาหากินอยู่เย็น
เป็นสุข บ้านเมืองบริบูรณ์มั่งคั่งข้ึนกว่าแต่ก่อนมาก พระรัตนเศรษฐีรับทำอากรดีบุกพระ
ราชทรัพย์ของหลวงทวีมากขึ้นกว่าแตก่ อ่ นพระรัตนเศรษฐเี ข้ามาเฝ้าทลู ละอองฯ ครั้งน้ีทรง
พระราชดำรวิ า่ พระรตั นเศรษฐีทำราชการฉลองพระเดชพระคุณมาช้านานหามีระแวงในข้อ
ราชการแต่สิง่ หน่งึ ส่ิงใดไม่เป็นคนมีความชอบมาก พระรตั นเศรษฐีกเ็ ปน็ ผู้ใหญ่ควรจะเล่ือน
บรรดาศักดิ์พระรัตนเศรษฐีขึ้นให้ควรแก่ความชอบจะได้เป็นพระเกียรติยศแก่นานา
ประเทศ จึงโปรดเกล้าฯพระราชทานสญั ญาบัตรเล่ือนพระรัตนเศรษฐีขึ้นเป็นที่พระยารัตน
เศรษฐี ผู้สำเร็จราชการเมืองระนองให้ถือศักดินา ๒๐๐๐ ให้พระราชทานเครื่องยศแก่พระ
ยารตั นเศรษฐี หมวกจีโบดำจกุ ทองคำ ๑ ลกู ประคำทองสาย ๑ ถาดหมากทองคำ ๑ คนโท
ทองคำ ๑ เสื้อมังกร ๑ เสื้อเข้มขาบ ๑ ผ้าส่านห่มนอนผืน๑ผ้าแพรสีชมภูสิบแถบ ๑ ผ้า
แพรจินเจาขาวเพลาะ ๑ ผ้าปูมเขมรผืน ๑ รวม ๑๐ สิ่ง ให้ยกเมืองระนองมาขึ้นกรุงเทพฯ
และให้พระยารัตนเศรษฐีตั้งใจทำราชการฉลองพระเดชพระคุณ ประพฤติการแต่ที่ชอบท่ี
ควรต่างพระเนตร์พระกรรณโดยพระราชกำหนดกฎหมาย คิดอ่านทำนุบำรุงบานเมืองให้
บรบิ รู ณ์ม่ังค่ังให้ยิง่ ข้ึนกว่าแตก่ อ่ น ให้สม

๑๗. แก่ทรงพระมหากรุณาชุบเลี้ยง จะได้มีความเจริญถาวรสืบต่อไปถ้ามีราชการ
สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ให้พระยารัตนเศรษฐีผู้สำเร็จราชการกรมการบอกให้กรมการถือเข้ามาวาง
เวรกรุงเทพฯ ตามกระทรวงเหมือนอย่างหัวเมืองขึ้นกรงุ เทพฯ ทั้งปวง ถ้าถึงกำหนดส่งเงิน
ภาษีอากรดีบุกพระราชทรัพย์ของหลวงเมือ่ ใดกใ็ ห้บอกหนังสือแต่งกรมการคุมเข้าไปส่งตอ่
เจา้ พนกั งานกรุงเทพฯ อยา่ ให้เงินอากรพระราชทรัพย์ของหลวงค้างล่วงงวดปไี ปได้ อน่ึงถึง
เทศกาลพระราชพิธีตรุษสารทก็ให้พระยารัตนเศรษฐีไปพร้อมด้วยพระหลวงขุนหมื่น
กรมการนายอากร นายกอง นายหมวด ณ พระอารามจำเพาะพระพกั ตร์พระพทุ ธเจ้า พระ
ธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า บ่ายหน้าต่อกรุงเทพฯ กระทำสัตยานุสัตย์ต่อใต้ฝ่าละอองธุลี
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กราบถวายบังคมรับพระราชทาน
น้ำพระพิพัฒน์สัตยาปีละ ๒ ครั้ง ตามอย่างธรรมเนียมอย่าให้ขาด และให้พระยารัตน

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๘๘

เศรษฐีประพฤติการรักษาบ้านเมืองตามพระราชสัญญาบัตรและท้องตราตั้งออกมาครั้งน้ี
ก่อนจงทุกประการ สารตรามาณวัน ๒๘ ค่ำ ปีจอจัตวาศก ในคราวที่พระราชทานสัญญา
บัตรพระยารัตนเศรษฐี คอซู้เจียงนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระ
กรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรนายคอซิมก๊วง (ซึ่งได้เป็นพระยารัตนเศรษฐี
และพระยาดำรงสจุ ริตเมือ่ ในรัชกาลท่ี ๕) ผ้เู ปน็ บุตรใหเ้ ป็นที่หลวงศรโี ลหภมู ิตำแหน่งผ้ชู ่วย
ราชการเมืองระนองด้วย

๑๘. วิธีการปกครองหวั เมอื งในสมัยเมอื่ แรกยกเมอื งระนองขน้ึ เป็นหวั เมืองจัตวานั้น
ยังเป็นแบบโบราณ คือ เจ้าเมืองกรมการได้แต่ค่าธรรมเนียมต่างๆ เป็นผลประโยชน์แทน
เงินเดือนและต้องบำรุงบ้านเมืองโดยลำพัง แต่อาจทำไร่นาค้าขายหาผลประโยชน์ได้จะ
เรียกราษฎรใช้สอยในกิจการของตนก็ได้ มีข้อห้ามเพียงอย่าให้ฉ้อฉลกดขี่ให้อาณาประชา
ราษฎรได้ความเดือดร้อน ส่วนการเก็บภาษีอากรนั้นนอกจากเงินส่วยซึ่งมาเปลี่ยนเป็น
รัชชูปการในรัชกาลที่ ๖ ไปแล้วให้มีเจ้าภาษีนายอากรประมูลกันรับผูกขาดไปจากใน
กรุงเทพฯ อำนาจเหนือราษฎรตามหัวเมืองจึงมีอำนาจเจ้าเมืองกรมการในการปกครอง
อย่าง ๑ อำนาจเจา้ ภาษนี ายอากรในการเรียกเกบ็ ภาษีอย่าง ๑ หวั เมืองใดเปน็ หัวเมืองใหญ่
เจ้าเมอื งเป็นคนสำคัญ เจา้ ภาษนี ายอากรก็อ่อนน้อมด้วยจำตอ้ งอาศัยความอนุเคราะห์ของ
เจ้าเมืองจึงจะเร่งเรียกภาษีอากรได้สะดวกในเมืองนั้น ถ้าเป็นเมืองไม่สำคัญและเจ้าเมือง
เป็นแต่คนชั้นสามัญ เจ้าภาษีนายอากรก็มิสู้ยำเกรงแม้จนชวนเข้าหุ้นส่วนในการเก็บภาษี
อากรในเมืองนั้นก็มีพระยาระนอง (คอซู้เจียง) เป็นพ่อค้าอยู่ก่อนแล้วมาเป็นเจ้าภาษีนาย
อากรที่เมืองระนองอยู่เมื่อก่อนเป็นเจ้าเมืองรู้ชำนาญการในท้องที่อยู่แล้ว ครั้นได้เป็นผู้ว่า
ราชการเมืองก็แลเห็นว่าจำต้องรวมอำนาจทั้ง ๒ อย่างนั้นไว้ด้วยกันจึงจะปกครองทำนุ
บำรุงบ้านเมืองได้สะดวกและเป็นประโยชน์ทั้งในราชการและในส่วนตัวเองด้วย จึงขอรับ
ผูกขาดเก็บภาษีอากรเมืองระนองด้วยก็ได้รับอนุญาตจากกรุงเทพฯตามประสงค์เพราะใน
สมยั นัน้ เมอื งระนองเปน็ อยา่ งวา่ “อย่สู ุดหลา้ ฟา้ เขียว”

๑๙. กรงุ เทพฯ ทร่ี บั ทำภาษอี ากรเปน็ อาชีพไม่มีใครปรารถนาหรือกล้าจะรับไปเก็บ
ภาษีอากรถึงเมอื งระนองพวกที่อยูใ่ นท้องถิ่นก็ไมม่ ีทุนและกำลังพอจะประมูลสู้พระยารัตน
เศรษฐีได้ ภาษีอากรที่เก็บ ณ เมืองระนองในสมัยนั้นมี ๕ อย่าง คือ เก็บภาษีดีบุกที่ออก
จากเมอื งอยา่ ง ๑ เกบ็ ภาษีสินคา้ ขาเขา้ เมือง ๑๐๐ ชัก ๓ ตามราคาอย่าง ๑ อากรฝ่ินอย่าง
๑ อากรสุราอย่าง ๑ อากรบ่อนเบี้ยอย่าง ๑ เรียกรวมกันทั้ง ๕ อย่างว่า “ภาษี
ผลประโยชน”์ ลกั ษณะการท่ใี หผ้ วู้ า่ ราชการเมอื งรบั ผูกขาดเกบ็ ภาษผี ลประโยชน์ดังว่ามาดู
เหมอื นจะจดั ขึ้นทเ่ี มอื งระนองก่อน ครน้ั เห็นวา่ เป็นประโยชนด์ จี ึงขยายต่อออกไปถึงเมืองท่ี
ใกล้เคียง คือ เมืองตะกั่วป่า เมืองพังงา และเมืองภูเก็ต ที่เป็นประโยชน์ข้อสำคัญนั้น คือ
อำนาจในการปกครองและอำนาจในการเก็บภาษีอากรรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การที่

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๘๙

รวมอำนาจเช่นนั้น ถ้าเป็นแต่แลดูเผินๆดูเหมือนจะเป็นทางให้ราษฎรได้ความเดือนร้อน
เพราะเจา้ เมอื งจำต้องเงนิ ภาษีอากรสง่ พระคลงั ใหไ้ ด้ปีละเท่าน้นั ๆ ถ้าเกบ็ ได้มากกว่าน้ันขึ้น
ไปเท่าใดก็เปน็ กำไรของเจา้ เมือง ถ้าเก็บได้น้อยไปเจา้ เมอื งก็ต้องขาดทุน เจ้าเมืองมีอำนาจ
บังคับบัญชาราษฎรได้ก็น่าจะเรียกเร่งเอาเงินภาษีอากรให้เกินพิกัดอัตราเพื่อหากำไร แต่
ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น ด้วยมีเครือ่ งปอ้ งกันอยู่ในทางเศรษฐกจิ คือ หัวเมืองเหล่านั้นผู้คน
พลเมืองมนี ้อยแต่มีแร่ดีบุกซึง่ เปน็ ของมรี าคาอยู่ในแผ่นดนิ มากจำต้องมคี นมากสำหรับเปน็
แรงงานขดุ ดีบุกข้นึ จำหนา่ ยจงึ จะเกิดผลประโยชนม์ าก เจา้ เมืองท่ีรับทำภาษี

๒๐. ผลประโยชนไ์ ม่ใชแ่ ต่จำเป็นต้องปกครองเอาใจมิให้ราษฎรในท้องท่ีท้ิงถ่ินถาน
ไปอยู่อื่นเท่านั้น ยังต้องพยายามขวนขวายหาคนจากที่อื่นเข้ามาอยู่ในเมืองเพื่อเพิ่มเติม
แรงงานสำหรับขุดดีบุกให้มีมากขึ้น อีกประการ ๑ ถ้ายิ่งมีผู้คนเข้ามาอยู่ในเมืองมากขึ้น
เพียงใด กำไรของเจ้าเมืองซึ่งพึงได้ในภาษีอากรทั้ง ๕ อย่าง ซึ่งรวมเรียกว่าภาษี
ผลประโยชนก์ ็ยิ่งมากขึ้นเพียงนั้น ความอันนี้เป็นเครื่องป้องกันมิให้เจ้าเมืองกดขี่ราษฎรใน
เมืองของตนอยู่ในตัว พระยารัตนเศรษฐี (คอซู้เจยี ง) ปกครองทำนบุ ำรุงเมืองระนองโดยวิธี
ดงั กล่าวมา บ้านเมืองก็มีความเจรญิ ส่วนตวั ก็มที รพั ยส์ มบัตเิ พมิ่ พนู ขึน้ ไดต้ ้งั ห้างโกหงวนที่
เมืองเกาะหมากสำหรับซื้อขายสินค้าของเมืองระนอง และขยายการทำเหมืองแร่ดีบุกข้าม
เขาบรรทัดเข้ามาจนในแดนเมืองหลังสวน ใช้ทุนและกำลังของห้างโกหงวนบำรุงการค้า
ขายในเมืองหลังสวนเจริญขึ้นอีกเมือง ๑ จึงโปรดฯ ให้ยกเมืองหลังสวนขึ้นเป็นเมืองจัตวา
มาขึ้นกรุงเทพฯ เหมือนอย่างเมืองระนอง เมื่อพระยารัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) ยังเป็นพ่อค้า
อยู่ที่เมอื งพังงาในรัชกาลที่ ๓ นั้น ได้หญิงไทยชาวเมืองเป็นภริยา มีบุตรด้วยกัน ๕ คน คน
ที่ ๑ ชื่อคอซิมเจ่ง ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรในรัชกาลที่ ๔ เป็นที่หลวงศรีโลหภูมิ
พทิ กั ษ์ ตำแหน่งผ้ชู ่วยราชการเมอื งระนอง แลว้ ถงึ แกก่ รรมในตำแหนง่ นนั้

๒๑. คนที่ ๒ ชื่อคอซิมก๊อง ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรในรัชกาลที่ ๔ เป็นท่ี
หลวงศรีโลหภูมิพิทักษ์ ถึงรัชกาลที่ ๕ ได้เลื่อนขึ้นเป็นพระศรีโลหภูมิพิทักษ์และเป็นพระ
ยารัตนเศรษฐีผู้ว่าราชการเมืองระนองแทนบดิ า ต่อมาได้เลื่อนบรรดาศกั ดิ์เป็นพระยาดำรง
สุจริตมหิศรภักดี สมุหเทศาภิบาลมณฑลชุมพร คนที่ ๓ ชื่อคอซิมจั๋ว ได้รับพระราชทาน
สัญญาบัตรในรัชกาลที่ ๕ เป็นหลวงศรีสมบัติ ผู้ช่วยราชการเมืองระนอง แล้วถึงแก่กรรม
คนที่ ๔ ชื่อคอซิมขมิ ได้รับพระราชทานสัญญาบตั รในรัชกาลท่ี ๕ เป็นหลวงแล้วเลื่อนเป็น
พระศรีโลหภูมิพิทักษ์ ผู้ช่วยราชการเมืองระนอง แล้วได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยาอัษฎงคตทิศ
รกั ษา ผู้วา่ ราชการเมืองตระบรุ ี (เปน็ ตำแหน่งกิตติศักดิด์ ว้ ยในชัน้ หลังมาเมอื งตระจัดลงเป็น
อำเภอขึ้นเมืองระนอง) คนที่ ๕ ชื่อคอซิมเตก็ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรในรัชกาลที่ ๕
เป็นพระแล้วเลื่อนเป็นพระยาจรูญราชโภคากร ผู้ว่าราชการเมอื งหลงั สวน เมื่อพระยารัตน
เศรษฐี (คอซเู้ จยี ง) ไปอยู่ที่เมอื งระนองแล้วมีบตุ รเกิดด้วยภรรยาอน่ื อีกคน เป็นท่ี ๖ ช่ือคอ

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๙๐

ซิมบี๋ ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในรัชกาลที่ ๕ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นที่หลวงบริ
รกั ษโลหวิสยั ตำแหนง่ ผู้ชว่ ยราชการเมืองระนองแล้วเลือ่ นเป็นท่พี ระอัศดงคตทิศรักษาผู้ว่า
ราชการเมืองตระบุรี (เมื่อยังเป็นหวั เมืองจัตวา) ต่อมาได้เลื่อนเปน็ พระยารัษฎานุประดิษฐ
มหิศรภักดี ผูว้ ่าราชการเมอื งตรังแล้วเลือ่ นขนึ้ เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต

ตอนที่ ๓ เรื่องตั้งข้าหลวงประจำหัวเมืองฝ่ายตะวันตก ตั้งแต่รัฐบาลยอมให้เจ้า
เมืองรับผกู ขาดเก็บภาษีอากรผลประโยชน์ หวั เมืองฝา่ ยตะวันตกในรชั กาลที่ ๔ ดงั กล่าวมา
ในตอนกอ่ นเมอื งพงั งา (รวมกับเมืองตะกั่วทุ่ง) สง่ เงินภาษีอากรเข้าพระคลงั ปีละ ๒๖,๙๖๐
บาท เมืองภูเก็ตปีละ ๑๗,๓๖๐ บาท เมืองตะกั่วป่าปีละ ๒๖,๙๖๐ บาท เมืองระนองปีละ
๔,๗๒๐ บาท ถึงตอนปลายรัชกาลท่ี ๔ ในยุโรปตอ้ งการซ้ือดีบุกมากขึน้ ดีบกุ กข็ ึ้นราคา ผู้ท่ี
ทำเหมืองดีบุกในแหลมมลายูทั้งในแดนอังกฤษและตามหัวเมืองในแดนไทยพากันได้กำไร
รวยมาก ผู้ที่ปรารถนาจะหาผลประโยชน์ในการทำเหมืองดีบุกก็มีมากขึ้น และเมื่อใน
รัชกาลที่๔นั้นพ่อค้าจีนอยู่ที่เมืองสิงคโปร์คนคนหนึ่งแซ่ตันชื่อกิมเจ๋ง ประกอบการค้าขาย
ติดต่อกับกรุงเทพฯ ตัวเองก็ได้เข้ามาเฝ้าแหนคุ้น เคยชอบพระราชอัธยาศัยใน
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งให้เป็นที่หลวงพิเทศพาณิชย์ ต่อมาทรง
พระราชดำริว่ารัฐบาลสยามควรจะมีกงสุลคอยดูแลรักษาประโยชน์ของไทยอยู่ที่เมืองสิงค์
โปร์ และหลวงพเิ ทศพาณชิ ยต์ ันกิมเจง๋ เป็นผซู้ ึง่ อังกฤษนับถือ จึงโปรดฯให้เล่ือนบรรดาศักด์ิ
ขึ้นเป็นพระพิเทศพาณิชย์ ตำแหน่งกงสุลสยาม ณ เมืองสิงคโปร์ พระพิเทศพาณิชย์เป็น
พ่อค้าโดยอาชีพ ครั้นเห็นว่าการทำเหมืองดีบุกได้กำไรมากและตนฝากฝ่ายอยู่กับไทย จึง
คิดจะเข้ามาทำ

๒๓. เหมืองดีบุกในแดนสยามทางหัวเมืองฝ่ายตะวันตก เมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๔๐๙
เข้ามากรุงเทพฯ กราบบังคมทูลฯ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขอไปตรวจดู
เหมืองดีบุกที่เมืองตระบุรี เมืองระนอง เมืองหลังสวน และเมืองตะกั่วป่า ก็โปรดฯ
พระราชทานพระบรมราชานุญาติตามประสงค์และให้มีข้าหลวงไปด้วย เมื่อไปตรวจดู
ตลอดท้องท่ีแล้ว พระพิเทศพาณิชย์ขอพระราชทานทำเหมืองดีบุกที่เมืองตระบุรีซึ่งยังไมม่ ี
ผู้ใดรับทำมาแต่ก่อน เผอิญในเวลานั้นเกิดมีข้อวิตกของรัฐบาลขึ้นเนื่องด้วยเมืองตระบุรี
เหตดุ ้วยฝร่ังเศสขดุ คลองสเุ อสในประเทศอิยิปต์สำเร็จได้พวกฝรั่งเศสก็พากันคิดจะหาที่ขุด
คลองทำนองเดยี วกันในประเทศอื่นต่อไป มีฝรั่งเศสบางจำพวกคิดจะขุดคลองแตเ่ มืองตระ
บุรีมาออกเมืองชุมพรให้เป็นทางใช้เรอื กำปั่นจากยุโรปไปถึงเมืองจีนเร็วขึ้นได้หลายวันโดย
มิต้องอ้อมแหลมมลายูไปทางเมืองสิงค์โปร์ ถึงคิดแผนที่และเรียกชื่อว่า “คลองตระ”
ความคิดของฝรง่ั เศสในเร่อื งคลองตระครงั้ น้ันเป็นแต่เล่ืองลืออื้อฉาว แต่ยงั ไม่ปรากฏในทาง

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๙๑

ราชการว่ารัฐบาลฝรั่งเศสจะสนับสนุนสักเพียงใด แต่ฝ่ายไทยคิดเห็นได้ว่าถ้าฝรั่งเศสมี
อำนาจถึงได้ขุดคลองตระในครั้งนั้นคงจะมีผล ๒ อย่าง คือ เสียแดนดินพระราชอาณาเขต
ทางแหลมมลายูมิมากก็น้อยอย่าง ๑ เสียประโยชน์การค้าขายของอังกฤษทางเมืองเกาะ
หมาก และสิงคโปร์ด้วยจะมีเรือไปค้าขายน้อยลงอย่าง ๑ กับแลเห็นความสำคัญในส่วน
ไทยอีกข้อที่ต้องให้อังกฤษเชื่อว่าไทยมิได้สนับสนุนฝรั่งเศสในเรื่องจะขุดคลองนั้น เม่ือ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชานุญาติให้ ๒๔ พระ
พิเทศพาณิชย์ทำเหมืองดีบุกที่เมืองตระบุรี จึงทรงตั้งพระพิเทศพาณิชย์ให้เป็นที่พระ
ยาอัษฎงคตทิศรักษา ตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองตระเมื่อปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ อันเป็นปี
ที่สุดแห่งรัชกาลที่ ๔ น้ัน แต่ตัวพระยาอัษฎงคตทิศรักษา (ตันกิมเจ๋ง) ก็คงอยู่ที่เมืองสิงค์
โปร์และทำราชการเป็นกงสุลสยามอย่ดู ้วยเป็นแตแ่ ต่งผู้แทนตัวไปทำเหมอื งดีบกุ ทเี่ มอื งตระ
บุรี ก็หาสำเร็จผลได้กำไรร่ำรวยเหมืองอย่างเมืองอื่นไม่ถึงรัชกาลที่ ๕ เมื่อปีวอก พ.ศ.
๒๔๑๕ พระยาอัษฎงคตทิศรักษา (ตันกิมเจ๋ง) เข้ามายื่นเรื่องราวต่อกระทรวงกลาโหมซึ่ง
เป็นเจ้าหน้าที่บังคับการหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตกอยู่ในสมัยนั้นว่าพระยาวิชิตสงคราม
จางวางว่าราชการเมอื งภูเก็ต เก็บภาษีอากรได้เงินเอาเป็นผลประโยชน์ ส่วนตัวเสียเป็นอนั
มาก คงส่งเงินหลวงแต่ปีละ ๑๗,๓๖๐ บาท พระยาอัษฎงคตฯขอรับผูกขาดเก็บเงินภาษี
อากรเมืองภูเก็ต จะประมูลเงินขึ้นปีละ ๒๐๒,๖๔๐ บาท รวมเป็นปีละ ๓๒๐,๐๐๐ บาท
การท่ีพระยาอัษฎงคตฯ ขอประมูลเงินภาษีอากรเมืองภูเก็ตครั้งนั้น เป็นเหตุข้อสำคัญใน
เรื่องตำนานหัวเมืองฝ่ายตะวันตก รวมทั้งเมืองระนองด้วย ด้วยมีผลทั้งฝ่ายข้างดีและฝ่าย
ข้างร้ายในเวลาต่อมา คือเมื่อพระยาอัษฎงคตฯ ยื่นเรื่องราวร้องประมูลนั้น ลักษณะการ
เก็บภาษีอากรยังใช้วิธีเรียกประมูลอยู่ทั้งในกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองที่เจ้าเมืองทางฝ่าย
ตะวันตกไดม้ อี ำนาจในการเก็บภาษอี ากรในเมอื งที่ตนปกครอง

๒๕. เป็นด้วยเข้ารับประมูลเป็นเจ้าภาษีในเมืองนั้นๆ และไม่มีผู้ใดกล้าแย่งประมูล
มาแต่ก่อน มิได้เป็นผู้เก็บภาษีโดยเป็นตำแหน่งเจ้าเมือง แต่ส่วนการทำนุบำรุงบ้านเมือง
เช่น ทำถนนหนทาง หรือให้ผลประโยชน์แก่เจ้าพนักงานรักษาการบ้านเมืองนั้น อยู่ใน
หน้าที่ส่วนเป็นผู้ว่าราชการเมือง การที่เจ้าเมืองเป็นเจ้าภาษีด้วยได้ใช้เงินกำไรในการ
ปกครองทำนุบำรุงบ้านเมืองไปในตัว มิได้เป็นแต่ประโยชน์ส่วนตัวอย่างเดียวถ้ายอมรั บ
ประมูลของพระยาอัษดงคตฯ อำนาจและผลประโยชน์อันเป็นกำลังของหัวเมืองจะเกิด
แยกกัน ฝ่ายพระยาอัษดงคตฯ เป็นเจ้าภาษีนายอากรเก็บเงินได้เท่าใด เหลือจากส่งหลวง
แล้วก็เป็นประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว หาต้องจ่ายใช้ในการทำนุบำรุงบ้านเมืองไม่ ฝ่ายเจ้า
เมืองเมื่อมิได้เป็นเจ้าภาษีนายอากรด้วยก็สิ้นทุนท่ีจะใช้ในการปกครองทำนุบำรุงบ้านเมือง
จึงเป็นความลำบากเกิดขึ้น ด้วยพระยาอัษดงคตฯรับประมูลเพิ่มเงินผลประโยชน์แผ่นดิน
ขึ้นอีกมากมายจะไม่รับพิจารณาก็ไม่ได้ แต่ถ้ายอมให้รับประมูลตามปรารถนา ความยุ่ง

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๙๒

เหยิงระส่ำระสายก็จะเกิดขึ้นในเมืองภูเก็ต สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ซึ่งเป็น
ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอยู่ในเวลานั้นจึงว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมพระยาวิชิตสงครามจางวาง
ผู้สำเร็จราชการเมืองภูเก็ตให้รับประมูลเงินภาษีอากรเมืองภูเก็ตสูงกว่าพระยาอัษดงคตฯ
๑๖,๐๐๐ บาท รวมเป็นปีละ ๓๓๖,๐๐๐ บาท แล้วออกท้องตราตั้งพระยาวิชิตสงครามให้
เป็นเจ้าภาษเี มืองภเู กต็ ต่อไป ฝ่ายพระยาวิชิตสงครามเหน็ วา่ ตนเสียเปรียบ

๒๖. เจ้าเมืองอื่นในฝ่ายตะวันตกด้วยกันจึงเอาวิธีของพระยาอัษดงคตฯมาใช้ย่ืน
เรื่องราวขอประมูลภาษีอากรตามหัวเมืองฝ่ายตะวันตกบ้าง คือ เมืองระนอง เดิมส่งเงิน
ภาษีอากรเข้าพระคลังปีละ ๔,๗๒๐ บาท ขอประมูลเพิ่มอีก ๙๗,๖๘๐ บาท รวมเป็นปีละ
๑๐๒,๔๐๐ บาท เมืองตะกั่วป่ากับเมอื งพังงา เดิมส่งเงินภาษีอากรเขา้ พระคลังปหี น่ึงเมือง
ละ ๒๖,๙๖๐ บาท พระยาวิชิตสงครามขอประมูลเพิ่มเมืองละ ๒๙,๐๔๐ บาท รวมเป็น
เมืองละ ๕๖,๐๐๐ บาท สมเด็จเจ้าพระยาฯ เรียกเจ้าเมืองเหล่านั้นมาไต่ถาม ต่างชี้แจง
รายได้รายจ่ายให้ทราบและร้องวา่ เหลือกำลงั ที่จะประมูลเงินเพิ่มข้ึนไป แม้เพียงเท่าที่พระ
ยาวชิ ิตสงครามร้องประมูลสมเดจ็ เจา้ พระยาฯ เห็นจรงิ ด้วย จงึ เปรยี บเทยี บให้ยกภาษีอากร
เมืองตะกั่วทุ่ง มารวมกับเมืองตะกั่วป่า แล้วให้พระยาเสนานุชิต (นุช ณ นคร) รับประมูล
เงินภาษีอากรเพิ่มขึ้นเพียงปีละ ๑๖,๐๐๐ บาท เมืองพังงากับเมืองระนองนั้นเปรียบเทียบ
ให้พระยาบริรักษภูธร (ขำ ณ นคร) กับพระยารัตนเศรษฐี (คอซู้เจียง) รับประมูลเพิ่มเงิน
หลวงปีหนึ่งเมืองละ ๘,๐๐๐ บาท แล้วให้เป็นเจ้าภาษีนายอากรต่อไปตามเดิม การที่
ประมูลเงินภาษีอากรหัวเมืองฝ่ายตะวันตกขึ้นครั้งนั้นมีการเกิดขึ้นเป็นผล ๒ อย่าง คือ
จำนวนเงินหลวงทีจ่ ะต้องส่งจากหัวเมืองฝ่ายตะวันตกมายังพระคลังมหาสมบัติมากข้ึนกว่า
แต่ก่อนหลายเท่าต้องตั้งข้าหลวงให้ออกไปอยู่ประจำทีเ่ มืองภูเก็ต มีหน้าที่สำหรับเรียกเรง่
เงินภาษีอากรให้ส่งทันตามกำหนดแล้วข้าหลวงรวบรวมส่งมายังกรุงเทพฯ ลักษณะการท่ี
สง่ น้นั ชน้ั เดมิ ให้มเี รอื รบออกไป

๒๗. เป็นกำหนดรบั เงนิ พาอ้อมแหลมมลายูเข้ามายงั กรงุ เทพฯ ครั้นเมื่อมีแบงกเ์ ข้า
มาตัง้ ในกรุงเทพฯ ทำการตดิ ตอ่ กับรัฐบาลจึงแกไ้ ขวิธขี ้าหลวงส่งเงินน้นั ให้ไปส่งที่สาขาของ
แบงก์ ณ เมืองเกาะหมาก และแบงก์ทางกรุงเทพฯ นำส่งเงินต่อพระคลังฯ ต่อมาผลอีก
อย่างหนึ่งนั้นเมื่อเจ้าเมืองต้องส่งเงินหลวงมากขึ้นกว่าแต่ก่อนต่างก็ต้องขวนขวายคิดอ่าน
จัดการใหเ้ กิดผลประโยชน์ในบ้านเมือง อนั เป็นทางทจ่ี ะเกบ็ ภาษอี ากรได้เงินมากข้ึนก็ในหัว
เมืองเหล่านั้นมีแต่แร่ดีบุกเป็นสิ่งสำคัญซึ่งสามารถจะให้เกิดผลประโยชน์ แต่ว่าจำนวนคน
ในพื้นเมอื งมีน้อยไม่พอการพวกเจ้าเมืองจึงคิดอ่านชักชวนจีนต่างด้าวเข้ามาทำเหมืองดบี ุก
ให้มากขึ้น ทั้งที่เป็นเฒ่าเก๋นายเหมืองและจีนกุลีกรรมกร เจ้าเมืองไปกู้ยืมเงินพวกพ่อค้าที่
เกาะหมากมาทำทุนทดรองให้พวกจีนทำเหมืองแล้วรับซื้อดีบุกส่งไปขายพวกพ่อค้าที่เกาะ
หมากด้วย ในสมัยนั้นยังไม่มีพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ เจ้าเมืองจะให้ใครทำเหมือง

ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๙๓

ดีบุกในอาณาเขตปกครองของตนสักกี่แห่งก็ได้ วิธีจัดการดังกล่าวมาเกิดผลประโยชน์ทั้ง
โดยทางตรงและทางอ้อม ทางตรงนั้นคือทำดีบุกได้มากขึ้นเงินอากรดีบุกก็ย่อมเพิ่มพูนขึ้น
ส่วนผลประโยชน์ทางอ้อมนั้นคือมีจีนเข้ามาอยู่ในเมืองมากขึ้น ฝิ่นและสุราก็จำหน่าย
ได้มากขึ้น คนเล่นเบี้ยในบ่อนก็มากขึ้น สินค้าเข้าเมืองซึ่งต้องเสียภาษี ๑๐๐ ชัก ๓ ก็มาก
ขน้ึ เงินไดจ้ ากภาษอี ากรเหล่าน้ซี ่ึงเจา้ เมอื งเป็นผู้ ผกู ขาดจากรัฐบาลกไ็ ดม้ ากข้ึนตามกัน ยัง
ผลประโยชนท์ างอ้อมอกี อยา่ ง คือ เกิดมีตึกกวา้ นรา้ นเรอื นตลาดยีส่ านมั่งคัง่ ข้ึน

๒๘. ในบา้ นเมอื ง ทง้ั เกดิ การค้าขายอุดหนนุ ทางอาชพี ของพวกราษฎรพลเมืองที่อยู่
มาก่อน อาจหาทรัพย์สมบัติได้สมบรู ณ์และสะดวกขึน้ เพราะเหตุที่มีจำนวนคนเข้ามาอย่ใู น
บ้านเมืองทวีขึ้น บ้านเมืองก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นด้วย แต่ทางข้างเสียก็มีด้วยการที่จัดบำรุง
ผลประโยชน์ให้เพิ่มพูนขึ้น ครั้งนั้นเกิดแต่ความคิดของเหล่าเจ้าเมือง ซึ่งมุ่งหมายแต่จะให้
ได้ผลประโยชน์ส่งพระคลังทั้งเป็นกำไรส่วนของตนให้มากขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นประมาณ
ไม่ได้คิดถึงทางได้ทางเสียของราชการบ้านเมืองให้ยืดยาวหรือเป็นการรอบคอบ รัฐบาลใน
กรุงเทพฯ ในสมัยนั้นก็ยังไม่รู้การในท้องที่ถ้วนถี่และยังไม่ได้ คิดที่จะแก้ไขวธิ ีการปกครอง
ตามหัวเมอื งปลอ่ ยให้เจ้าเมืองจัดการบำรุงหาผลประโยชนโ์ ดยอำเพอใจก็เกิดทางข้างเสียมี
ขึ้นแต่แรก ด้วยผลประโยชน์ซึ่งเกิดเพิ่มพูนขึ้นนั้นไปตกเป็นกำไรของบุคคลแต่บางจำพวก
ดังจะพึงเห็นได้ในอธิบายต่อไปนี้ คือ ๑. เจ้าเมืองเป็นอย่างนายธนาคาร และเป็นเจ้าภาษี
และเป็นพ่อค้ารับสินค้าเข้าออก กำไรที่ได้ในการเหล่านี้ตกอยู่แก่เจ้าเมือง ๒. พวกเฒ่าเก๋
นายเหมืองรับผูกช่วง อากรสุรา ฝิ่น และบ่อนเบี้ย สำหรับบริเวณเหมืองของตน ขุดหาแร่
ดีบุกมาขายแก่เจ้าเมือง รับซื้อสินค้าจากเจ้าเมืองไปจำหน่ายเป็นรายย่อยแกพวกกุลีทำ
เหมือง กำไรในส่วนนี้ได้แก่พวกนายเหมือง ๓. พวกจีนกุลีที่มาจากเมืองจีน ด้วยเห็นแก่
ค่าจ้างอัตราสูง ยอมทำสัญญากับเฒ่าเก๋นายเหมือง ว่าจะรับจ้างอยู่ตลอดเวลาเท่านั้นๆ ปี
เป็นกำหนด ถ้าหลบหนียอมให้เฒ่าเกม๋ ีอำนาจจับกมุ รอ้ งฟ้องมโี ทษ

๒๙. ทางอาชญา ถ้าการเป็นไปโดยปกติพวกจีนกุลีทำเหมืองครบกำหนดเวลา
สัญญา กจ็ ะไดเ้ งนิ คา่ จา้ งถึงร่ำรวยกลับไปเมืองจีน ข้อนเ้ี ปน็ เครือ่ งล่อใจให้พวกจีนกุลีสมัคร
มารับจ้างทำเหมือง แต่การมิได้เป็นปกติแก่จีนกุลีทั่วไป เหตุด้วยมีเครื่องยั่วยวนอันนาย
เหมืองจัดตั้งขนึ้ หากำไรสว่ นตัวในบรเิ วณเหมือง คือ โรงสุราโรงสูบฝ่ินและบ่อนเบยี้ ท้ังราน
ขายของต่างๆ ซึ่งพึงต้องการใช้สร้อย เช่น เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น ก็เป็นของนายเหมืองขาย
ตลอดจนเวลาต้องการเงินใช้สร้อยจะขอยืมนายเหมืองก็ต้องเสียดอกเบี้ย เพราะมีการ
เหล่านี้พวกกุลีที่รับจ้างทำเหมืองถึงได้ค่าจ้างแรงก็มีทางที่เสียไปเสียโดยมาก ไม่มีคนใดท่ี
จะเก็บได้เต็มตามคาดหมายแม้เพียงได้เงินติดตัวพอเป็นกำไรกลับไปบ้านเมืองก็น้อยที่
ทำงานได้ค่าจ้างมาแล้วเสียหมดไปมีมาก ครั้นหลบหนีก็ถูกจับกุมทำโทษจะฟ้องร้องนาย
เหมืองก็ไม่ได้ ด้วยการที่สูบฝิ่นกินสุราหรือเล่นเบี้ยเสียทรัพย์หมดไปเป็นด้วยใจสมัครของ

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๙๔

ตนเอง เพราะทางเสียมีดังพรรณนามานี้ พวกกุลีที่ทำเหมืองตามหัวเมืองฝ่ายตะวันตกจึง
เป็นคนขัดสน มีแต่ตัวกับแรงที่ทำงานอยู่โดยมาก ตั้งแต่เพิ่มเงินภาษีอากรขึ้นในหัวเมือง
ฝ่ายตะวันตก ต่อมาภายใน ๓ ปี มีพวกจีนกลุ ีซ่งึ นายเหมืองดีบุกพาเข้ามาอยู่ในบ้านเมืองก็
มีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกมากมาย โดยเฉพาะที่เมืองภูเก็ตกับเมืองระนองนั้น จนถึงมีจำนวนจีน
มากกว่าไทยทีเ่ ป็นพลเมืองเดิม ก็การเบียดเบียนกันในวงพวกจนี ที่ทำเหมืองมีอยู่ดังอธิบาย
ที่กล่าวมาแล้ว พอถึงตรุษจีน ปีชวด พ.ศ. ๒๔๑๙ ก็เกิดเหตุขึ้นที่เมืองระนอง ด้วยพวกกุลี
กำเริบตอ่ สู้เจ้าเมอื ง

๓๐. กรมการจนเกือบจะเสียเมืองระนองในครั้งนั้น เรื่องพิสดารแจ้งอยู่ในใบบอก
ของพระยารัตนเศรษฐี (คอชู้เจียง) มายังกรุงเทพฯ ดังนี้ “ข้าพระพุทธเจ้า พระยารัตน
เศรษฐี ผู้ว่าราชการเมืองระนองและกรมการขอบอกปรนนิบัติมายังท่านออกพันทนายเวร
ขอได้นำขึ้นกราบเรียนฯพณฯ หัวเจ้าท่านที่สมุหพระกระลาโหม ด้วยที่เมืองระนอง
ข้าพระพุทธเจ้าได้จดั ให้คนรกั ษาด่านทางระมดั ระวังบ้านเมืองอยู่ คร้ัน ณ วนั อังคาร เดือน
๔ ขึ้นค่ำ ๑ ปี ชวด อัฐศก เพลากลางวัน พวกจีนเหมืองใหญซ่ ่ึงเปน็ หนี้ติดเงินโรงภาษีพระ
ราชทรัพย์ของหลวงคุมพวกเพื่อนประมาณ ๓๐๐ คน ๔๐๐ คน พากันหนีออกหักดา่ นทาง
พอนรงั ตะงาว ราชตรูต ชอ่ งไทร แขวงเมืองระนอง แลว้ พวกจนี เขา้ บุกรุกฟันแทงพวกชาว
ด่าน ๔ ตำบลสู้รบแก่กัน พวกจีนตายบ้าง พวกไทยตายบ้าง พวกด่านเจ็บป่วยถึงสาหัส
หลายคน พวกด่านตะงาวจับตัวพวกจีนได้ ๘ คน กำกับตัวพาเดินทางมาส่งที่เมืองระนอง
ครัน้ พวกดา่ นคมุ พวกจีน ๘ คนเดนิ มากลางทางพวกจีนเหมืองเข้ากลุ้มรุมทุบตีฟันแทงพวก
ด่านๆ สรู้ บแก่กัน พวกดา่ นตายบ้างพวกจีนตายบ้าง พวกดา่ นน้อยตัวสู้รบพวกจนี ไม่ได้กพ็ า
กันแตกหนีแล่นเข้าป่าไป พวกจีนแย่งชิงเอาจีน ๘ คนไปได้ ครั้น ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๔
ขน้ึ ๓ ค่ำ ปีชวดอฐั ศก พวกจนี คุมพวกประมาณ ๕๐๐-๖๐๐ คน พากันออกจากโรงเหมือง
มาเทีย่ วไล่ฆ่าพวกไทยในตลาดเมอื งระนอง ฆา่ หลวงมหาดไทยกรมการตายคนหน่ึง ฆ่าพวก
ทนายตายคนหน่ึง ฆ่าพวกดา่ นน้ำตาย ๒ คน และฆา่ ราษฎ

๓๑. ทั้งชายหญิงในเมืองระนองตายประมาณ ๒๑ คน และฆ่าคนที่เดินราชการมา
แต่เมอื งอืน่ ตายบ้าง แตห่ าทราบวา่ ตายสกั กีค่ นไม่และเที่ยวฆ่าคนตามแขวงอำเภอตายสักก่ี
คนยังหาได้ตรวจดูไม่ ที่ยังเหลืออยู่พาครอบครัวแล่นหนีซ่อนตัวอยู่ในป่าดงเป็นอันมาก
แล้วพวกจีนเอาไฟเผาเรือนราษฎรในแขวงอำเภอเมืองระนอง บางกลาง บางริม พอนรัง
ตะงาว ๔ ตำบล แล้วพวกจีนเหมืองและพวกจีนจรคิดอ่านกันคมุ พวกอยู่มาก แล้วแต่งกอง
ออกสกัดทางบกทางเรือมิให้พวกไทยตามแขวงอำเภอเข้ามาในเมืองระนองได้ แล้วพวกจีน
คิดจะเขา้ อุกปล้นเอาโรงภาษีพระราชทรัพย์ของหลวง คร้ันข้าพระพุทธเจ้าและกรมการจะ
จดั คนออกใหต้ ่อสดู้ ้วยพวกจีน กเ็ ห็นว่าพวกไทยมิน้อยตัวจึงข้าพระพทุ ธเจ้าและกรมการได้
จัดคนป้องกนั โรงภาษีพระราชทรัพยข์ องหลวงไว้ คร้ัน ณ วันอาทติ ย์ เดอื น ๔ ขึ้น ๕ ค่ำ ปี

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๙๕

ชวดอัฐศก พวกจีนเข้าอุกเอาเสบียงอาหารในฉางที่เมืองระนองได้แล้วพากันเอาเรือของ
ข้าพระพุทธเจ้าและเรือของราษฎรชาวบ้านประมาณ ๙-๑๐ ลำ หนีไปทางเมืองตะกั่วป่า
เมืองภูเก็ต ประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ คน แล้วพวกจีนคมุ พวกประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ คน พากัน
หนีเดนิ ทางบกไปทางปากทรงพะโตะ๊ แขวงเมืองหลงั สวน การ(ภา)ษาจนี ท่เี กิดฆ่าฟันษาไทย
ทีเ่ มืองระนองนัน้ กค็ อ่ ยสงบลง แต่ยังไว้ใจไม่ไดด้ ้วยษาจนี ยังมีใจกำเริบอยู่ ข้าพระพุทธเจ้า
กรมการกย็ ังจัดคนให้ป้องกันโรงภาษพี ระราชทรัพย์ของหลวงอยู่

๓๒. เสมอมิได้ขาด ข้อหนึ่งเมื่อพวกจีนเที่ยวฆ่าพวกภาษาไทยนั้น ข้าพระพุทธเจ้า
กรมการได้มีหนงั สือลงวันศุกร์ เดือน ๔ ขึ้น ๕ ค่ำ ปีชวดอัฐศกฉบบั ๑ ลงวันเสาร์ เดือน ๔
ขึ้น ๕ ค่ำ ปีชวดอัฐศกฉะนับ ๑ รวม ๒ ฉบับ คำนับแจ้งข้อราชการไปยังเจ้าหมื่นเสมอใจ
ราชปริวิเคราะห์ซิลกอมมิเสนอข้าหลวง ณ เมืองภูเกต็ ด้วยแล้ว กบั ขา้ พระพุทธเจ้ากรมการ
มหี นังสือลงวนั พฤหัสบดี เดือน ๔ ข้นึ ๓ คำ่ ปีชวดอัฐศก แจง้ ขอ้ ราชการไปยงั พระยาเพ็ชร
กำแหงสงคราม ผู้ว่าราชการเมืองชุมพรฉบับ ๑ ไปยังพระเพ็ชรคีรีศรีสุรสงคราม พระสวี
ฉบับ ๑ ไปยังหลวงปลัดกรมการผู้รักษาเมืองหลังสวนฉบับ รวม ๓ ฉบับ ขอให้ท่านเจ้า
เมืองกรมการเมืองชุมพร สวี เมืองหลังสวน จัดกรมการพาคนไปช่วยข้าพระพุทธเจ้า
ป้องกันโรงภาษีพระราชทรัพย์ของหลวงที่เมืองระนองด้วย กรมการเมืองชุมพร สวี เมือง
หลังสวน ยังหาพาคนไปถึงเมืองระนองไม่ ข้าพระพุทธเจ้ากรมการขอรับพระราชทานได้
โปรดใหท้ า่ นข้าหลวงออกไป ช่วยขา้ พระเจ้าป้องกันโรงภาษพี ระราชทรัพย์ของหลวงท่ีเมือง
ระนองด้วย ควรมิควรสุดแล้วแต่จะโปรด ขอบอกปรนนิบัติมาณวันพุธ เดือน ๔ ขึ้น ๙ ค่ำ
ปชี วดอฐั ศก แต่เวลานนั้ มเี รือรบหลวงอยูท่ เ่ี มอื งภูเกต็ ไปช่วยทัน การทจ่ี ีนกุลีกำเริบในเมือง
ระนองก็สงบลงแต่เมื่อข่าวเรื่องจีนกุลีที่เมืองระนองกำเริบขึ้นทราบถึงเมืองภูเก็ต (ทำนอง
จะลอื ว่าพวกจีนกุลีตเี มืองระนองได้) พวกจนี กุลที ีเ่ มืองภเู กต็ ก็พากันกำเริบขึน้ บ้าง เป็นการ
ใหญ่โตกว่าที่เมืองระนองด้วยจีนกุลีที่เมืองภูเก็ตมีจำนวนมากกว่าที่เมืองระนองหลายเท่า
เรือ่ งจีนกุลที ี่เมืองภเู กต็ กำเริบ ตามจนี กลุ ีที่เมืองระนองมแี จง้ อยู่ในใบบอก

๓๓. พระยามนตรีสุริยวงศ (ชุ่ม บุนนาค) เมื่อยังเป็นที่เจ้าหมื่นเสมอใจราชเป็น
ข้าหลวงอยู่ ณ เมืองภูเก็ต ดังนี้ “ข้าพระพุทธเจ้า เจ้าหมื่นเสมอใจราชปริวิเคาน์ซิลบอก
มายังออกพันนายเวรขอได้นำขึ้นกราบเรียน ฯพณฯ ที่สุมหพระกระลาโหมทราบขอ
พระราชทานนำขึ้นกราบบงั คมทูลพระกรุณาแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบใต้
ฝ่าละอองธุลีพระบาท ด้วยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศมีพระประสาสน์ให้เรือ
มุรธาวสิทธ์สวัสดิอยู่รักษาเมืองภูเก็ต ให้เรืองสยามมกุฏชัยวิชิตบรรทุกเงินภาษาหัวเมือง
เข้ามาส่งกรุงเทพฯ ข้าพระพุทธเจ้าได้ให้กัปตนั รชิ ลวิ พาเรอื สยามมกฏุ ชัยวชิ ติ ไปเมืองพงั งา
รับเงินภาษี เมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่ง เมืองพังงา เรือสยามมกุฏชัยวิชิตกลับมาถึงเมือง
ภูเกต็ ณ วันจันทร เดือน ๔ ขึน้ ๗ ค่ำ กำหนดเรอื สยามมกุฏชยั วิชติ ออกจากเมอื งภูเก็ตเข้า

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๙๖

มากรุงเทพฯ ณ วันจันทร เดือน ๔ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ครั้น ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๔ ขึ้น ๑๐ ค่ำ
ได้ทราบเกลา้ ฯ ว่าจนี ท่ีเมืองระนองเข้ามาท่เี มอื งภูเกต็ ประมาณ ๓๐๐ ตน เทยี่ วเรย่ี ราย

กัปตันริชลิวเป็นนายทหารเรือเดนมารค เมื่อยังหนุ่มพระเจ้าศรีสเตียนที่ ๙ มีพระ
ราชสาส์นฝากรับราชการอยู่ในประเทศสยาม ด้วยมีใจสมัครจึงโปรดให้เป็นนายเรือรบ
สยามมงกุฏชัยวิชิต เวลานั้นออกไปรับราชการอยู่ทางหัวเมืองตะวันตก ภายหลังได้เป็น
หลวงชลยุทธโยธินทรบังคับการเรือพระที่นั่งเวสาตรี เข้ามารับราชการกรุงเทพฯ ได้เลื่อน
ยศศักดิ์ขึ้นนกรมทหารเรือโดยลำดับ จนได้เป็นนายพลเรือโท พระยาชลยุทธโยธินทร์ แล้ว
จึงออกจากราชการเม่อื ชรา

๓๔. อาศัยอยู่ตามเหมืองพวกจีนพูดว่าท่ีเมืองระนองจีนเกิดวิวาทแก่กัน จึง
ข้าพระพุทธเจ้าให้สืบได้ จีนเมืองระนองมา ๓ คน ถามให้การว่าวันจันทร์ เดือน ๓ แรม
๑๔ ค่ำ ปีชวดอัฐศก จีนลูกจ้างเมืองระนองคิดค่าจ้างกับจีนนายเหมืองเกิดวิวาทขึ้นถึงยิง
แทงกันตาย พวกจีนที่มีความผิดพากันหนี พระยารัตนเศรษฐีให้กักด่านทางจับพวกจีน
พวกจีนสู้รบพวกด่านเอาปืนยิงถูกพวกจีนตาย ๑๑ - ๑๒ คน แล้วพวกจีนพากันกลับมาที่
เหมืองชวนเพื่อนคุมกันประมาณคน ๒๐๐ เศษ จะสู้รบกับพวกด่านอีก จีน ๓ คน ก็พากัน
มาเมืองภูเก็ต ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบเกล้าฯ ดังนี้ จึงให้กับตันไตเกลอพาเรือมุรธาวสิทธิ
สวสั ดิไปฟังเหตุการณท์ ่ีเมอื งระนองแต่ ณ วนั ศกุ ร์ เดือน ๔ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เพลาเช้า ครนั้ เพลา
เที่ยงข้าพระพุทธเจ้าได้รับหนังสือพระยารัตนเศรษฐีลง ณ วันศุกร์ เดือน ๔ ขึ้น ๔ ค่ำ ปี
ชวดอัฐศกฉบับ เพลาบ่าย ๕ โมง หลวงนากรมการเมืองระนองถือหนังสือพระยารัตน
เศรษฐีลงวันพุธ เดือน ๔ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีชวดอัฐศก มาถึงข้าพระพุทธเจ้าอีกฉบับ ความว่าที่
เมืองระนองพระยารัตนเศรษฐีได้จัดให้คนรักษาด่านทางระมัดระวังบ้านเมืองอยู่ ครั้น ณ
วันองั คาร เดือน ๔ ขน้ึ ค่ำ ๑ ปชี วด อัฐศก เพลากลางวนั พวกจีนเหมอื งใหญ่ซึ่งเปน็ หน้ีโรง
ภาษี คุมพวกเพื่อนประมาณ ๓๐๐ - ๔๐๐ คน พากันหนีหักด่านพอนรัง ด่านตะงาว ด่าน
ช่องไทร ด่านราชตรูด แขวงเมืองระนอง พวกจีนบุกรุกฟันแทง พวกด่าน ๔ ตำบล ต่อสู้
พวกจีนตายบ้าง พวกด่านตายบ้าง ที่เจ็บลำบากถึงสาหัสก็หลายคน พวกด่านตะงาวจับ
พวกจีนได้ ๘ คน จะพาลงมาเมืองระนองเดินมาถึงกลางทางพวกจีนเหมืองเข้ากลุ้มรุมฟัน
แทง

๓๕. พวกด่านสู้รบ พวกจีนตายบ้างพวกด่านตายบ้าง พวกจีนแย่งชิงเอาจีน ๘ คน
ไปได้ครั้น ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๔ ขนึ้ ๓ คำ่ ปชี วดอัฐศก พวกจีนคมุ กนั ประมาณ ๕๐๐ -
๖๐๐ คน พากันออกจากโรงเหมืองเที่ยวไล่ฆ่าพวกไทยในตลาดเมืองระนอง ฆ่าหลวง
มหาดไทยกรมการตายคนหนึ่ง ฆ่าพวกทนายตายคนหนึ่ง ฆ่าพวกด่านน้ำตาย ๒ คน ฆ่า
ราษฎรชายหญิงในเมืองตายประมาณ ๒๐ คน ฆ่าคนที่เดินราชการมาแต่เมืองอื่นตายบ้าง
แต่ยังไมท่ ราบว่าตายสักกีค่ น คนตามแขวงอำเภอพวกจนี ฆ่าตายสักกีค่ นยังหาได้ตรวจดูไม่

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๙๗

ที่ยังเหลืออยู่พาครอบครัวหนีเข้าป่าดงไปเป็นอันมาก แล้วพวกจีนเอาไฟเผาบ้านเรือน
ราษฎรในแขวงเมืองระนอง ๔ ตำบล พวกจีนเหมืองจีนจรคุมกันเป็นอยู่มาก แล้วแต่งกอง
ออกสกัดทางบกทางเรือ มิให้พวกไทยตามแขวงอำเภอเข้ามาในเมอื งระนองได้ พวกจีนคิด
จะเข้าปล้นเอาโรงภาษีพระราชทรัพย์ของหลวงพวกไทยซึ่งจะออกต่อสู้น้อยกว่าพวกจีน
พระยารัตนเศรษฐีจึงจัดแต่การป้องกันรักษาโรงภาษีพระราชทรัพย์ของหลวงไว้ ครั้น ณ
วันเสาร์ เดือน ๔ ขึ้น ๕ ค่ำ พวกจีนเข้าปล้นเอาเสบียงอาหารที่เมืองระนองได้ แล้วเอาเรือ
พระยารตั นเศรษฐี เรือราษฎรประมาณ ๙ - ๑๐ ลำ พากันหนไี ปทางเมอื งภเู กต็ เมืองตะกว่ั
ป่า ประมาณ ๓๐๐ - ๔๐๐ คน หนีไปทางบกแขวงหลังสวนประมาณ ๓๐๐ - ๔๐๐ คน
พวกจีนซึ่งฆ่าฟันพวกไทยนั้นค่อยสงบลง แต่ยังไว้ใจไม่ได้ด้วยพวกจีนยังมีใจกำเริบอยู่
ขอให้เรอื รบไปช่วยพระยารัตนเศรษฐี มีความในหนังสอื ดงั น้ี

๓๖. ข้าพระพุทธเจ้าซักถามหลวงนากรมการเมืองระนองซ่ึงถอื หนังสอื มาให้การวา่
พระยารัตนเศรษฐีกวาดหาคนในแขวงเมืองระนองได้มาเข้าค่ายรักษาบ้านพระยารัตน
เศรษฐีประมาณ ๓๐๐ คน ปืนใหญ่กระสุน ๕ นิ้ว ๖ นิ้ว มีอยู่ ๒๐ กระบอก ปีนเล็กมีอยู่
ประมาณ ๒๐๐ กระบอก กระสุนดินดำไม่ทราบวา่ จะมีสักเทา่ ไร จีนท่ีเมอื งระนองประมาณ
คน ๓,๐๐๐ เศษ แต่ที่คิดกำเริบนั้นจะมีสัก ๒,๐๐๐ คน พระยารัตนเศรษฐีได้มีหนังสือไป
ถึงเมืองสวี เมืองชุมพร เมืองหลังสวน ขอให้ยกคนมาช่วย คนถือหนังสือไปตั้งแต่ ณ วัน
เดือน ๔ ขึ้น ๖ ค่ำ ๗ ค่ำ คนหัวเมืองยังหายกมาถึงไม ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า
คนไทยในเมืองระนองน้อยกว่าพวกจีนมากเกลือกการที่เป็นจะไม่สงบเรียบร้อย จึงให้เรือ
สยามมกุฎชัยวิชิตรอฟังราชการอยู่ก่อน ครั้น วันอาทิตย์ เดือน ๔ ขึ้น ๑๓ ค่ำ ปีชวดอัฐศก
กะลาสเี รือสยามมกฎุ ชยั วชิ ิตขนึ้ มาบนเมอื งภเู กต็ เพลาบา่ ย ๕ โมง จนี เอียวอน้ั เยิย้ นมาแจ้ง
ความว่า กะลาสีเรือรบขึ้นมาตลาดเมากลัวจะวิวาทกับพวกจีนในตลาดจึ่งข้าพระพุทธเจ้า
ให้โปลิศ
ออกไปเอาตัวกะลาสี โปลิศกลับมาแจ้งว่ากะลาสีกลับไปเรือรบเสียแล้ว เวลาทุ่มเศษ
นายหมัศ ยายอุ่ม แขกกะลาสีเรือรบสยามมกุฎชัยวิชิต มาแจ้งความแก่ข้าพระพุทธเจ้าว่า
เพลาพลบค่ำนายหมศั นายอมุ่ พากนั ไปตลาดถนนทางวดั มงคลนมิ ติ ร จะซอื้ หมากพลูท่ีร้าน
จีน ครู่หนึ่งได้ยินเสียงจีนอึงขึ้น นายหมัศ นายอุ่ม เห็นจีนถือเครื่องศัสตราวุธไม้ตะบองไม้
คานกลุ้มรุมเข้ามาตีถูกนายหมัศ นายอุ่มมีบาดแผลหลายแห่ง ข้าพระพุทธเจ้าให้กรมการ
ทำกระทงพิจารณาบาดแผลไว้แลว้ ให้มิสเตอรเวเบอนายทหาร ๓๗. โปลิศไปสืบจับพวกจีน
ซึ่งตีกะลาสี มิศเตอรเวเบอนายทหารโปลิศจับได้จีนตันหงิมพวกตั้นแจหนึ่ง จีนอึงเหียบพ
วกล้าอัวหนึ่ง มาส่งข้าพระพุทธเจ้าๆ สั่งให้เกาะตัวไว้ที่ออฟฟิศก่อนพรุ่งนี้จึงจะชำระ
ข้าพระพุทธเจ้าให้พระพิมลสมบัติพานายหมัศ นายอุ่มไปแจ้งแก่พระยาวิชิตสงคราม
จางวาง ทันใดนั้นพวกจีนคุมกันประมาณ ๓๐๐ คนเศษ ถือเครื่องศัสตราวุธพากันเดินมา

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๙๘

ตามตลาด พบขุนจำนงพวกจีนไล่ฟังแทงถูกขุนจำหนง ๕ แห่ง เจ็บถึงสาหัสแทบบรรดา
ตาย แล้วพวกจนี พากนั จะเขา้ มาแย่งชิงเอาจนี ๒ คนซึง่ เกาะไว้ที่ออฟฟิศ จนี อองขิวซ่ึงเป็น
ที่หลวงประเทศจีนารักษ์มาแจ้งว่า พวกจีนคุมกันกำเริบเห็นจะห้ามไม่หยุด พระยาวิชิต
สงครามให้มาแจ้งแก่ข้าพระพุทธเจ้าว่าขอให้ปล่อยจีน ๒ คนออกไปเสียก่อน
ข้าพระพุทธเจ้าให้พระพิมลสมบัติกลับไปแจ้งแก่พระยาวิชิตสงครามว่าจีน ๒ คน ซึ่งเกาะ
มาไว้กไ็ ม่ไดจ้ ดั ทำโทษอะไร เปน็ แต่เกาะตัวไวจ้ ะชำระ ถ้าปล่อยจีน ๒ คนให้กับพวกจีนเห็น
ว่าจะเสียอำนาจแผ่นดินไป เมือพระยาวิชิตสงครามเห็นว่าปล่อยจีน ๒ คน ไปให้กับพวก
จีนจะไม่เป็นท่ีเสียอำนาจแผ่นดินแล้ว สุดแต่พระยาวิชติ สงคราม ข้าพระพุทธเจ้าให้เอาตัว
จีน ๒ คน ไปมอบไว้ที่พระยาวิชิตสงครามๆ ปล่อยจีน ๒ คน ให้จีนอองขิวซึ่งเป็นที่หลวง
ประเทศจนี ารักษจ์ ีนตัวแทนควิ รับตัวออกไป คร่หู นง่ึ จีนสาฮมี าแจง้ วา่ พวกจนี คุมกนั กลับขึ้น
ไปรื้อโรงโปลิศที่ท้ายตลาดทางไปกะทู พระยาภูเก็ตมาแจ้งแก่ข้าพระพุทธเจ้าว่าพวกจีน
กำเรบิ ไมห่ ยดุ พระยาวชิ ิตสงครามส่ังใหพ้ ระยา

๓๙. หัวหน้าพวกแซ่เอียวรวม ๑๐ คน เข้ามาถึงออฟฟิศเพลา ๘ ทุ่มเศษ
ข้าพระพุทธเจ้าปรึกษาว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เรือรบและข้าหลวงออกมา
ประจำรักษาเมืองภูเก็ต เพราะมีพระราชประสงค์จะทำนุบำรุงบ้านเมืองและราษฎรลูกค้า
ให้อยู่เย็นเป็นสุขทั่วกัน อย่าให้เกิดเหตกุ ารณส์ ิ่งหน่ึงสิ่งใดได้ กะลาสเี รอื รบวิวาทกับพวกจีน
เปน็ แตค่ วามเลก็ นอ้ ยไม่ควรพวกจีนจะกำเรบิ ก่อถ้อยความใหโ้ ตใหญ่ขึ้น จีนหัวหน้าก็มีบุตร
ภรรยาตั้งตึกร้านค้าขายมีผลประโยชน์อยู่ในเมืองภูเก็ตก็มาก แล้วก็ได้ทรงพระกรุณาชุบ
เกล้าขชลจฯ ตั้งให้มียศบรรดาศักดิ์เป็นปลัดจีน อำเภอจีนสำหรับจะได้ระงับถ้อยความ
เหตกุ ารณต์ า่ งๆ ควรท่ีจีนหวั หน้าจะคดิ ถึงพระเดชพระคณุ ช่วยกนั ทำนุบำรุงบา้ นเมืองระงับ
พวกจีนชั่วร้ายอย่าให้กำเริบขึ้นได้จึงจะชอบ จีนหัวหน้าเหตุเกิดขึ้นในเวลากลางคืนยังไม่
ทราบว่าจีนพวกไหนแน่ ข้าพระพุทธเจ้าจะให้จีนหัวหน้าทำเป็นประการใดจะขอทำตาม
ข้าพระพุทธเจ้าจึงให้จีนหัวหน้าเขียนตั๋วออกไปห้ามพวกจีนตามกงสีตามแซ่ที่พากันยกลง
มาให้เลิกกลับขึ้นไป ถ้ามีความเกี่ยวข้อประการใดก็ให้ออกมาว่ากล่าวจะได้พร้อมด้วยจีน
หัวหน้าชำระตัดสินให้พวกจีนหัวหน้าพร้อมกันที่ออฟฟิศเขียนตั๋วในเวลานั้นออกไปห้าม
ตามพวกกงสีตามแซ่ พวกจีนกงสีตามแซไ่ ดร้ บั ตวั๋ ทราบแล้วกพ็ ากนั กลบั ไป ขา้ พระพุทธเจ้า
ให้จีนหัวหน้าคุมพวกจีนแยกกองออกเป็น ๕ กอง รักษาตลาดกอง ๑ รักษาต้นทางท่าเรือ
กอง ๑ รักษาตน้ ทางไปกะททู า่ แครงกอง ๑ รกั ษาทางตรอกตลาดกอง ๑ รกั ษาทางปากน้ำ
กอง ๑ ครนั้ เพลา ๑๐ ทุ่มกัปตันรเี จลวิ พาทหารกะลาสเี รือ

๔๐. สยามมงกุฎพิชยั วิชติ ขน้ึ มาบนเมอื ง ๑๐๐ คน รุง่ ขน้ึ ณ วนั จันทร์ เดอื น ๔ ข้ึน
๑๔ ค่ำ เพลา ๕ โมงเช้า เรือมรุธาวสิทธิสวัสดิ์ซึ่งไปฟังราชการเมืองระนองกลับมาถึงเมือง
ภูเก็ต กัปตันไตเกลอพาทหารขึ้นมาบนเมือง ๒๐ คน ข้าพระพุทธเจ้าได้รับหนังสือพระ

ขอ้ มลู เบอื้ งตน้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สงั คม วฒั นธรรมจงั หวดั ระนอง ๙๙


Click to View FlipBook Version