The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กรมศิลปากร. (2563). ต้นฉบับหนังสือไทยสมัยอยุธยา เรื่อง นันโทปนันทสูตรคำหลวง. กรุงเทพฯ : สำนักหอสมุดแห่งชาติ.

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by หอมติมนุสรณ์, 2023-04-27 04:38:50

นันโทปนันทสูตรคำหลวง

กรมศิลปากร. (2563). ต้นฉบับหนังสือไทยสมัยอยุธยา เรื่อง นันโทปนันทสูตรคำหลวง. กรุงเทพฯ : สำนักหอสมุดแห่งชาติ.

Keywords: Religion,Buddhism

ต้้นฉบัับหนัังสืือสมุุดไทยสมััยอยุุธยา นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง สำำนัักหอสมุุดแห่่งชาติิ กรมศิิลปากร พุุทธศัักราช ๒๕๖๓


ต้นฉบับหนังสือสมุดไทยสมัยอยุธยา เรื่อง นันโทปนันทส ู ตรคำ หลวง จัดพิมพ์โดย กลุ่มหนังสือตัวเขียนและจารึก สำ นักหอสมุดแห่งชาติ ISBN 978-616-283-491-2 พิมพ์ครั้งแรก พุทธศักราช ๒๕๖๓ จำ�นวน ๑,๐๐๐ เล่ม ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ Nation Library of Thailand Cataloging in Publication Data กรมศิลปากร, สำ นักหอสมุดแห่งชาติ ต้นฉบับหนังสือสมุดไทยสมัยอยุธยา เรื่อง นันโทปนันทสูตรคำ หลวง.-- กรุงเทพ : สำ นักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร, ๒๕๖๓. ๒๕๐ หน้า ๑. พระสูตร. I. ชื่อเรื่อง ๒๙๔.๓๑๘๒๐๒ ISBN 978-616-283-491-2 ที่ปรึกษา นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร นายพนมบุตร จันทรโชติ รองอธิบดีกรมศิลปากร นายอรุณศักดิ์ กิ่งมณี รองอธิบดีกรมศิลปากร นายสตวัน ฮ่มซ้าย รองอธิบดีกรมศิลปากร นางสาวพิมพ์พรรณ ไพบูลย์หวังเจริญ นักอักษรศาสตร์ทรงคุณวุฒิ นางสาวกนกอร ศักดาเดช ผู้อำนวยการสำนักหอสมุดแห่งชาติ นายเทิม มีเต็ม ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาตะวันออก นางสาวเอมอร เชาวน์สวน นักภาษาโบราณเชี่ยวชาญ นายวุฒินันท์ จินศิริวานิชย์ มัณฑนากรชำนาญการ นายทีปวัจน์ วัชรศิริอมร ผู้อำนวยการกลุ่มหนังสือตัวเขียนและจารึก คณะทำงาน นายจุง ดิบประโคน นางศิวพร เฉลิมศรี นายวินัย เภาเสน นายวัฒนา พึ่งชื่น นางสาวชญานุตม์ จินดารักษ์ นางสาวยุวเรศ วุทธีรพล นางสาววชรพร อังกูรชัชชัย นางสาวสาวิณี ขอนแก่น นายสันติ วงศ์จรูญลักษณ์ นางรตนาภรณ์ สอาดโอษฐ์ นายจามีกร ชูทรัพย์ นางสาวปุณยวีร์ ส่งเสริม นางสาวหทัยรัตน์ บุญกอง นางสาวปรัศนีย์ภรณ์ พลายกำเหนิด ผู้ถ่ายภาพ นางสาวน้ำทิพย์ นงค์สูงเนิน นายหัฎฐกร เซ็นเสถียร พิมพ์ที่ บริษัท เอส.บี.เค การพิมพ์ จำกัด 92/6 ม.3 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ๑๐๕๔๐ โทรศัพท์ ๐-๒๑๗๘-๘๗๙๔-๕, ๐-๒๗๕๗-๕๐๕๓


๏ คำำ�นำำ� ๏ นันโทปนันทสูตรคำหลวง เป็นวรรณคดีทางพระพุทธศาสนาที่เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ได้ทรงพระนิพนธ์ เมื่อพุทธศักราช ๒๒๗๙ จากคัมภีร์นันโทปนันทปกรณ์ที่พระพุทธสิริแต่งเป็นภาษาบาลีไว้ นับว่าเป็นวรรณกรรม สมัย อยุธยาที่ทรงคุณค่า แสดงถึงพระอัจฉริยภาพของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ที่ทรงพระราชนิพนธ์นันโทปนันทสูตรคำหลวง ด้วยภาษาไทยที่สละสลวยผสมผสานภาษาทั้งที่เป็นภาษาบาลี ภาษาไทย ภาษาสันสกฤตและภาษาเขมร จึงทำให้การ พรรณนาเป็นแบบร่ายโบราณได้อย่างไพเราะ นันโทปนันทสูตรคำหลวงมีเนื้อเรื่องโดยย่อกล่าวถึง พระยานันโทปนันทนาคราช เป็นผู้มีมิจฉาทิฐิ แต่ พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าสามารถที่จะละทิฐิได้จึงให้พระมหาโมคคัลลานะเป็นผู้ปราบ พระมหาโมคคัลลานะได้แสดง อิทธิฤทธิ์เพื่อให้พระยานันโทปนันทนาคราชละพยศ ละทิฐิของตน จนในที่สุดพระยานันโทปนันทนาคราชสละละทิฐิ ของตน และยอมรับเคารพพระรัตนตรัยในที่สุด เมื่อได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้า นัันโทปนัันทสููตรคำำหลวง เล่่มนี้้เป็็นต้้นฉบัับสมััยอยุุธยาเพีียงเล่่มเดีียวที่่บัันทึึกด้้วยอัักษรไทยย่่อและ อัักษรขอมย่่อ ๓ สีี คืือ สีีทอง สีีแดง และสีดำีำ บนสมุุดไทยขาวที่่สะท้้อนภูมิูิปััญญาไทยในการสร้้างความแข็็งแรงให้้ แก่ต้นฉบับดังแสดงไว้ในท้ายเล่มของสมุดไทยความว่า “พระสมุดไทยขาวอย่างนี้โบกด้วยฝุ่นสามครั้ง จึงลงน้ำกัน เชื่อมครั้งหนึ่ง จึงเขียนพระอักษร แล้วจึงลงน้ำกันเชื่อมอีกสามครั้ง แม้นว่าต้องน้ำมิได้ลบเลือนเลอย อย่างโบกด้วย ฝุ่นและน้ำกันเชื่อมนี้ของหลวงโชฎึกนอกราชการทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย” สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ หนังสือสมุดไทยเรื่องนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเอกสารมรดกความทรงจำ แห่งโลกของประเทศไทย เมื่อพุทธศักราช ๒๕๕๘ จากคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลก ในคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) นับเป็น ความภาคภูมิใจของประเทศไทย ที่มีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า มีเอกลักษณ์แสดงความเป็นชาติ ที่เจริญรุ่งเรือง และมีอารยธรรมสืบทอดมายาวนาน กลุ่มหนังสือตัวเขียนและจารึก สำนักหอสมุดแห่งชาติ จึงได้นำ ต้นฉบับหนังสือสมุดไทย เรื่อง นันโทปนันทสูตรคำหลวง มาจัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่ให้เป็นที่รับรู้โดยทั่วกัน กับทั้งเพื่อ การอนุรักษ์และสืบทอดมรดกภูมิปัญญานี้ให้คงอยู่สืบไป กรมศิลปากรหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือต้นฉบับหนังสือสมุดไทยสมัยอยุธยา เรื่อง นันโทปนันทสูตร คำหลวงจะเป็นประโยชน์แก่การศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจโดยทั่วกัน นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร


๏ สารบััญ ๏ หน้้า ค�ำน�ำ สารบัญ ประกาศองค์์การยููเนสโกขึ้้�นทะเบีียนหนัังสืือสมุุดไทย เรื่่�อง นัันโทปนัันทสููตรคำำหลวง เป็็นเอกสารมรดกความทรงจำำแห่่งโลกของประเทศไทย บทนำำ ๑ แบบอัักษรไทยย่่อ ๑๑ นัันโทปนัันทสููตรคำำหลวง ๑๒ อภิิธานศััพท์์ ๑๐๘ บรรณานุุกรม ๑๓๘ ดรรชนีีพระนามพระพุุทธเจ้้า ๑๔๐ ดรรชนีีนามพระยานาค ๑๔๕ ภาคผนวก ๑๔๘


ประกาศองค์์การยููเนสโกขึ้้นทะเบีียนหนัังสืือสมุุดไทย เรื่่อง นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง เป็็นเอกสารมรดกความทรงจำำ�แห่่งโลกของประเทศไทย


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๏ บทนำำ� ๏ คำหลวง เป็นวรรณกรรมทางศาสนาซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้ชุมนุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตร่วม สมัยนิพนธ์ขึ้น หรือทรงพระราชนิพนธ์เอง หรือพระมหาอุปราชทรงพระนิพนธ์ขึ้นก็ได้ วรรณกรรมคำหลวงในสังคม ไทยมีอยู่เพียง ๔ เรื่องเท่านั้น คือ ๑. มหาชาติคำหลวง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีรับสั่งให้ชุมนุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตในกรุงศรี อยุธยาแปลจากมหาชาติสำนวนเก่า ซึ่งแต่งด้วยภาษาบาลีแล้วแต่งเป็นภาษาไทยเมื่อปีขาล จุลศักราช ๘๔๔ พุทธศักราช ๒๐๒๕ โดยมีวิธีการประพันธ์ด้วยการนำภาษาบาลีเดิมตั้งบาท ๑ แปลแต่งเป็นกาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ หรือร่าย ภาษาไทยวรรค ๑ สลับกันไปตามความถนัดของกวี ๒. นันโทปนันทสูตรคำหลวง และ ๓. พระมาลัยคำหลวง พระบวรราชเจ้า กรมขุนเสนาพิทักษ์ (เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศรฯ) ทรงพระนิพนธ์ เมื่อ พ.ศ.๒๒๗๙ และ พ.ศ.๒๒๘๐ ตามลำดับ ด้วยคำประพันธ์ประเภทร่ายและโคลง ๔. พระนลคำหลวง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๗ ด้วย คำประพันธ์ทุกประเภท วรรณกรรมคำหลวงสมัยอยุธยาทั้ง ๓ เรื่อง เป็นวรรณกรรมที่มีเนื้อหาเรื่องราวเนื่องด้วยคติทาง พระพุทธศาสนา ส่วนพระนลคำหลวงเป็นวรรณกรรมที่มีเนื้อหาเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานทางศาสนาพราหมณ์ อันเป็น เรื่องแทรกในคัมภีร์มหาภารตะ ประวััติิความเป็็นมา นันโทปนันทสูตรคำหลวง เป็นวรรณคดีทางพระพุทธศาสนาที่แต่งขึ้นในสมัยอยุธยา รัชกาลสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ.๒๒๗๕ – ๒๓๐๑) ปรากฎชื่อเรื่องในต้นฉบับหลายแห่งว่า “นนโทปะนนทสูตรคำหลวง” เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร ไชยเชษฐสุริวงษฯ ทรงพระนิพนธ์แล้วเสร็จ เมื่อวันอาทิตย์ เดือนแปด ขึ้น ๑๕ คำ่ ปีมะโรงนักษัตร อัฐศก จุลศักราช ๑๐๙๘ ตรงกับพุทธศักราช ๒๒๗๙ ตามเนื้อความทั้งตอนต้นเรื่องและท้ายเรื่อง ๑ โดย นางสาวพิมพ์พรรณ ไพบูลย์หวังเจริญ นักอักษรศาสตร์ทรงคุณวุฒิ กรมศิลปากร ๑ ๑


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ข้อมูลแสดงประวัติทรงนิพนธ์ นอกจากได้บอกวันเดือนปีที่ทรงพระนิพนธ์แล้วยังบอกถึงรายละเอียดอื่นๆ อีกมาก ได้แก่ บอกพระนาม ผู้ทรงนิพนธ์ว่า “สิริปาโล ผู้ชื่อพระมหาสิริบาล....” อันเป็นสมณนามของพระองค์ขณะทรงพระผนวชอยู่ ณ วัดโคก แสง ตลอดจนทรงแสดงพระประวัติของพระองค์ด้วยว่า เมื่อทรงลาสิกขาบทจากเพศบรรพชิตแล้ว ทรงพระนามว่า เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ไชยเชษฐสุริยวงษ กรมขุนเสนาพิทักษ์ ต่อมาได้รับพระราชทานพระอิสริยยศเป็นกรมพระราชวัง บวรสถานมงคล (ดำกลเป็นฝ่ายหน้า) ที่มีพระปรีชาสูงยิ่งทั้งทางด้านการศึก ทรงพระนิพนธ์ว่า “ผจญปัจจา มิตรแพ้ พ่าย” และทางกวีนิพนธ์ โดยทรงเลือกใช้ถ้อยคำไพเราะ สละสลวย และทรงนิพนธ์วรรณคดีเรื่องนี้ด้วยคำประพันธ์ หลายรูปแบบ โดยเฉพาะทรงพระนิพนธ์โคลงกระทู้บอกที่มาของเรื่องว่า ทรงนำมาจากพระสูตร ทีฆนิกายที่ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาไว้ความว่า เตสํํ ชนานํํ แห่่งนิิกรสํํมณพราหมณา แลเสวกามาตยราชบััณฑิิตย โสวตถิิกมาลํํ เป็็นถนิิมรััตนภิิรััญชิิตกรรณา แห่่งเมธาในโลกยนี้้แล ๚ ๛ ๒


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ โคลงแสดงพระนามผู้ทรงนิพนธ์ ๏ นนโท พ่่ายสิิศยศซ้้าย ภควา ปนนทะ นาเคนทรา กราบเกล้้า สููตร ทีีฆนิิกายาสา ทรเลอศ บริิบููรณ์์ธรรมพระเจ้้า เทศนไว้้ควรยอฯ ๏ เจ้้าฟ้้าธรรม ท่่านแท้้พยายาม ธิิเบศร กุุมารนาม บอกแจ้้ง ไชยเชษฐ ปััญญาคาม ภีีรภาพ สููริิยวงษ์์ธรงแต่่งแกล้้ง กล่่าวเกลี้้ยงนนโทฯ ต่อจากนั้นทรงเล่าเรื่องที่มาของเรื่องว่า เรื่องนันโทปนันทสูตรที่เป็นพระบาลีนั้น พระมหาพุทธสิริเถร เจ้าแต่งไว้แต่ก่อน โดยมิได้แสดงศักราช จนกระทั่งเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศรฯ ขณะทรงผนวช ได้นำมาทรงพระนิพนธ์เนื้อ ความคำประดับในครั้งนี้ ทำให้ไม่สามารถแสดงช่วงห่างของระยะเวลาตั้งแต่พิมพ์เนื้อความพระบาลีและทรง ๓


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ พระนิพนธ์เนื้อความคำประดับได้ดังปรากฎรายละเอียดแสดงประวัติของวรรณคดีเรื่องนี้ พร้อมข้อมูลเปรียบเทียบ ระยะเวลาที่ทรงพระนิพนธ์เรื่องนี้กับมหาชาติคำหลวงไว้ด้วย “พระบาฬีนนโทปนนทสูตรนี้ พระมหาพุทธสิริเถรเจ้า แต่งไว้แต่ก่อนบมิได้ลงพุทธสักกะราชไว้ ว่าเมื่อแรกแต่ง พระบาฬีสำเร็จ์นันน พุทธสักกะราชได้เท่านั้นเท่านั้น แลเจ้าฟ้าธรงพระผนวศกรํมขุนเสนาพิทักษ มาธรงแต่งเปน เนื้อความคำประดับครั้งนี้ เมื่อสำเร็จ์นั้นพระพุทธสักกะ ราชล่วงไปแล้วได้ ๒๒๗๙ ปีกับ ๓ เดือนในวาร ๑๕ ๑ + ๘ ๘ ทุติยาสาธปีมโรง นักสัตรอัษฐศก ๛ จุลสักกะราช ๑๐๙๘ ศก แลแต่แต่งพระบาฬี มาคุมเท้าถึงธรงแต่งเนื้อความคำประดับในครั้งนี้ แลจรู้ว่าว่างอยู่นั้นจไกลกันสักขี่สิบปีนันนบมีได้แจ้ง๛ เมื่อแรกแต่งพระมหาชาติคำหลวงนั้นนจุลสักกะราช ได้ ๘๔๔ ศก ๛ แต่งนนโทปะนนทสูตรคำหลวงครั้งนี้จุลสักกะราชได้ ๑๐๙๘ ศก ว่างกันอยู่ถึง ๒๕๔ ปี ๛ นอกจากนั้น ยังอธิบายแจกแจงรายละเอียดเพิ่มเติมแสดงความแตกต่างของเรื่องนันโทปนันทสูตร ใน พระคัมภีร์ทัฆนิกายและพระอรรถกถาแก้คัมภีร์อปทาน ความว่า “นนโทปนนทสูตร ที่พระบาฬีเปนปรกติหย่างเทสนา ทงงปวง มีอยู่ในพระกำพีทิฆะนิกายะศีละขันธนั้น ต้งงเอวัมเมก่อน นนโทปนนทะสูตร อันมีใน พระอัดถะกะถาแก้พระกำพีอับปทานนี้ อันพระ มหาพุทธะสิริเถรเจ้าแต่งเปนพระบาฬีคำ ประดับนี้บมีได้ต้งง เอวัมเมก่อนเลอย บุคคลผู้มีปัญ์ญาอย่าพึงสงไสยว่า นนโทปะนนทะสูตรนี้ นอกคำพระอานนทะแลนอกสังคายะนายะ นนโทปะนนทะสูตรนี้ มีในสงงคายะนายะ แท้จิงแล II ๏ II๛” ๔


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ข้อมูลข้างต้น เมื่อถอดความเป็นภาษาไทยปัจจุบันจะสามารถอ่านได้เข้าใจยิ่งขึ้นดังนี้ “นนโทปนนท สูตร ที่พระบาลีเป็นปรกติอย่างเทศนาทั้งปวงมีอยู่ในพระคัมภีร์ทีฆนิกายศีลขันธ์นั้น ตั้ง เอวํเมก่อน นนโทปนนทสูตร อันมีในพระอรรถกถา แก้พระคัมภีร์อปทานนี้ อันพระมหาพุทธสิริเถรเจ้าแต่งเป็นพระบาลีคำประดับนี้บ่มิได้ตั้ง เอวํ เม ก่อนเลย บุคคลผู้มีปัญญาอย่าพึงสงสัยว่า นนโทปนนทสูตรนี้นอกคำพระอานนท์แลนอกสังคายนายนนโทปนนท สูตรนี้ มีในสังคายนายแท้จริงแล” ลัักษณะและทำำนองแต่่ง ดังได้กล่าวแล้วว่า นันโทปนันทสูตรคำหลวง มีเรื่องเดิมเป็นภาษาบาลีอยู่ในคัมภีร์ทีฆนิกาย ชื่อ นันโทปนันทสูตร ซึ่งพระมหาพุทธสิริเถระ นิพนธ์ไว้แต่ไม่ได้บอกเวลาที่นิพนธ์ไว้ ต่อมาเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศรฯ ได้นำ มาทรงพระนิพนธ์เป็นทำนองร่ายยาว ด้วยวิธีการแปลร้อยคล้ายมหาชาติคำหลวง คือ มีการเดินคาถา (ภาษาบาลี) แล้วจึงเรียงความละเอียดเป็นภาษาไทย โดยทรงใช้ถ้อยคำที่เป็นคำแผลงและคำภาษาโบราณปนอยู่มาก พระผู้นิพนธ์ ได้ทรงแสดงพระประสงค์ในบทพระนิพนธ์ความว่า “เพื่อจะให้จำเรอญปรีดาภิรมย์แห่งนิกรสรํมณพราหมณาแล เสวะกามาตยราชบัณฑิตย เป็นถนิมรัตนภิรัญชิตกรรณา แห่งเมธาในโลกยนี้แล” กล่าวได้ว่า บทพระนิพนธ์เรื่องนี้ เป็นวรรณคดีชั้นสูง มีเนื้อหาสาระสำหรับผู้มีปัญญาความรู้และชนนิกรทั่วไปทุกยุคทุกสมัยจวบจนปัจจุบัน เนื้้�อเรื่่องย่่อ นัันโทปนัันทสููตรคำำหลวงกล่่าวถึึงพระพุุทธเจ้้าเมื่่อประทัับอยู่่ ณ พระเชตวัันมหาวิิหาร ในกรุุงราชคฤห์์ เย็็นวัันหนึ่่ง มีีมหาเศรษฐีี ชื่่ออนาถบิิณฑิิกะมาทููลอาราธนาพระพุุทธองค์์และพระอรหัันตสาวก ๕๐๐ องค์์ไปรัับ บิณฑบาตที่บ้านของตนในวันรุ่งขึ้น สมเด็จพระบรมศาสดารับอาราธนาแล้วก็ประทับอยู่ ณ พระวิหารจนสิ้นราตรี ครั้นเวลาใกล้รุ่งพระพุทธเจ้าทรงตรวจดูโลกธาตุ ทรงคำนึงในพระทัยและทราบโดยพระญาณว่าพระยา นันโทปนันทนาคราช ควรจะได้รับรสพระธรรม ด้วยพระยานาคราชตนนี้ได้เคยสร้างกุศลไว้ในชาติก่อน แต่พระยา นันโทปนันทนี้ยังมีความเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ แต่ก็สามารถที่จะสั่งสอนให้ละมิจฉาทิฐิเข้าถึงพระรัตนตรัยได้ พระบรม ศาสดาทรงพิจารณาเห็นว่าพระโมคคัลลานะอัครสาวกเบื้องซ้าย มีฤทธิ์อาจทรมานพระยานาคราชตนนี้ให้ละพยศ เสียได้ ดังนั้นพอรุ่งเช้า พระพุทธเจ้าจึงมีพุทธฏีกาแก่พระอานนท์ว่าจะเสด็จไปยังเทวโลก พระอานนท์และพระสาวก จึงเตรียมตามเสด็จด้วย พระพุทธองค์และพระสาวกได้เหาะไปเหนือวิมานของพระยานันโทปนันท พระยานาคราช แลเห็นว่าพระพุทธเจ้าและพระสาวกจะเหาะมาเหนือปราสาทของตน ฝุ่นใต้เท้าก็จะเรี่ยรายลงมา ก็โกรธบังเกิด มิจฉาทิฐิ สำคัญตนว่าเป็นผู้มีศักดิ์ใหญ่ จึงแสดงอิทธิฤทธิ์ด้วยการจำแลงกายเป็นนาคราชใหญ่พันเขาพระสุเมรุไว้ เจ็ดรอบและแผ่พังพานบังโลกธาตุจนมืดมิดเพื่อขวางทางไม่ให้พระพุทธเจ้าเสด็จผ่าน พระสาวกองค์ต่างๆ ทูลขอเป็น ผู้ปราบพญานันโทปนันทะ แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงอนุญาต ทรงให้เฉพาะพระโมคคัลลานะเท่านั้นเป็นผู้ไปปราบ จึงเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างพญานันโทปนันทะและพระโมคคัลลานะ ในที่สุดพญานาคราชก็มิอาจสู้ได้ จึงยอม จำนนและละมิจฉาทิฐิ เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าและถือเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ๕


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๖ พระโมคคััลลานะได้้ใช้้อิิทธิิฤทธิ์์ในการปราบพญานัันโทปนัันทะ มีีทั้้งสิ้้น ๗ ครั้้ง ดัังนี้้๒ ครั้งที่ การแสดงฤทธิ์ของพญานันโทปนันท วิธีปราบของพระโมคคัลลานะ ๑ พญานันโทปนันทะเนรมิตกายให้ใหญ่เข้าพัน เขาพระสุเมรุ ๗ รอบ และแผ่พังพานทำให้เทวโลก มืดมิด พระโมคคัลลานะเนรมิตกายเป็นพญานาคให้มี ขนาดใหญ่และยาวกว่าพญานันโทปนันทะสองเท่า แล้วเข้าพันทับถึง ๑๔ รอบ ทำให้ร่างพญา นันโทปนันทะบีบแบนจนเหงื่อไหลเป็นสายดั่งการ คั้นเอาน้ำมันงา ๒ พญานันโทปนันทะพ่นควันไปทั่วทุกทิศ ทำให้มืด คลุ้มไปทั่วแสนโกฏิจักรวาล พระโมคคัลลานะพญานาคแปลงพ่นควันโต้ตอบ ๓ พญานันโทปนันทะพ่นไฟใส่พระโมคคัลลานะ แต่มิ อาจทำอันตรายพระโมคคัลลานะได้แม้แต่เส้นขน พระโมคคัลลานะพญานาคแปลงพ่นไฟตอบโต้ ทำ ให้พญานันโทปนันทะร้อนดั่งเหล็กที่ถูกเผาบนเบ้า หลอม ๔ พญานันโทปนันทะกล่าวบริภาษพระโมคคัลลานะ ว่ากระทำการหยาบช้าและขอให้คืนสู่สภาพสมณะ เช่นเดิม พระโมคคัลลานะเนรมิตกายกลับสู่สภาพปกติ แล้วสั่งสอนที่พญานาคราชกล่าวคำหยาบดูหมิ่น พระพุทธเจ้าเหตุเพราะมีมิจฉาทิฐิและเป็นสัตว์ เดรัจฉาน จึงไม่รู้จักพระพุทธเจ้า พระสาวก บิดา มารดา และอุปัชฌาจารย์ จากนั้นจึงเดินเข้าออก ช่องหูและช่องจมูกพญานันโทปนันทะ ๕ พญานัันโทปนัันทะถููกทรมานจึึงกล่่าวบริิภาษพระ โมคคัลลานะว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีเมตตา และ ลวงพระโมคคัลลานะให้เข้าไปในปากเพื่อหวังจะ เคี้ยวให้ตาย พระโมคคัลลานะกล่าวสั่งสอนว่าการกระทำนี้ กระทำด้วยความรักและความเมตตา ดุจบิดา มารดาและอาจารย์เอ็นดูต่อบุตรและศิษย์ จากนั้น จึงเข้าไปในปากและเดินจงกรมในท้องของพญา นันโทปนันทะ ๖ พญานันโทปนันทะแสร้งเชิญให้พระโมคคัลลานะ ออกจากปากเพื่อหวังเคี้ยวให้ตาย แต่พระโมคคัล ลานะรู้เท่าทันและออกจากปากได้ทันท่วงที พญานาคราชจึงพ่นลมใส่หวังทำลายพระโมคคัล ลานะให้เป็นจุณ พระโมคคัลลานะออกจากท้องพญานันโทปนันทะ ในทันที และเข้าฌานสมาบัติป้องกันลมของพญา นันโทปนันทะ ๗ พญานันโทปนันทะรู้ว่าสู้ไม่ได้ จึงแปลงกายให้เล็ก ละเอียดแล้วหนีไป พระโมคคัลลานะแปลงกายเป็นพญาครุฑบิน ติดตามทำให้พญานันโทปนันทหวาดกลัวจน ละพยศ ๒ จุุไรรััตน์์ ลัักษณะศิิริิ, “ฤทธานุุภาพพระโมคคััลลาน์์ ปราบพญานัันโทฯ ในหนัังสืือสมุุดไทย เรื่่อง นัันโทปนัันทสููตร คำำ หลวง,” วารสารมนุุษยศาสตร์์ ฉบัับบบััณฑิิตศึึกษา. ๖,๒ (ก.ค. - ธ.ค. ๒๕๖๐) : ๑ - ๑๗.


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๗ ลัักษณะต้้นฉบัับ นันโทปนันทสูตรคำหลวง เป็นหนังสือสมุดไทยขาว ปกหน้าและปกหลังลงรักปิดทองเขียนลายกนก เครือเถาก้านขด ขนาดกว้าง ๑๓ เซนติเมตร ยาว ๔๐ เซนติเมตร หนา ๖.๕ เซนติเมตร มีจำนวนหน้าหนังสือ ๑๙๐ หน้า แบ่งเป็นหน้าต้น ๙๘ หน้า หน้าปลาย ๙๒ หน้า ชุบเส้นตัวอักษร ๒ ชนิด คือ อักษรขอมย่อ เพื่อบันทึกภาษา บาลี และอักษรไทยย่อ เพื่อบันทึกข้อความด้วยภาษาไทยด้วยเส้นสี ๓ ชนิด คือ เส้นทอง เส้นชาด และเส้นหมึก ซึ่ง มีรายละเอียดพอสรุปได้ดังนี้ ภาพแสดงเส้นสีของตัวอักษรแต่ละชนิดตามฐานะของข้อมูล เส้นทอง ใช้บันทึกพระนามบุคคลสำคัญ เช่น เมื่อเอ่ยอ้างถึงพระพุทธเจ้า และพระนามผู้ทรงนิพนธ์ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร ไชยเชษฐสุริวงษ เส้นชาด ใช้บันทึกคาถาอักษรขอมภาษาบาลีทั้งหมด เส้นหมึก ใช้บันทึกเนื้อหาเรื่องราวที่เป็นภาษาไทยด้วยอักษรไทยย่อ ซึ่งเป็นอักษรประดิษฐ์ที่นิยมใช้ใน สมัยอยุธยา หน้าละ ๔ – ๖ บรรทัด ลักษณะของหนังสือสมุดไทยขาวเล่มนี้แสดงความเป็นฉบับหลวงอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือมีบานแพนก บอกวันเดือนปีที่สร้างโดยสมบูรณ์ด้วยวันทางจันทรคติและศักราชที่นิยมใช้ในเวลานั้น ทั้งพุทธศักราช และจุลศักราช พร้อมบอกนามข้าราชการกรมอาลักษณ์ ผู้ทำหน้าที่ชุบเส้นตัวอักษรแบบที่ใช้ปากกาหรือพู่กันชุบลงในกาวหรือหมึก แล้วเขียนตัวอักษรให้มีเส้นหนาและบางสลับกันในแต่ละตัวอักษร โดยเรียกตัวอักษรขอมที่ใช้บันทึกภาษาบาลีว่า พระบาฬี ส่วนตัวอักษรไทยย่อ เรียกว่า เนื้อความดังความในต้นฉบับบันทึกว่า


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๘ ๏ ข้าพระพุทธเจ้า นายสัง นายสา ชุบพระบาฬี II ๏ II ๛ นายทอง ชุบเนื้อความ II ๏ II ๛ นอกจากนั้นหนังสือสมุดไทยขาวต้นฉบับวรรณคดี เรื่องนันโทปนันทสูตรคำหลวง ยังมีความพิเศษอีก ประการหนึ่ง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นบันทึกจดหมายเหตุสำคัญที่แสดงภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของสังคมไทยในสมัย อยุธยา เรื่องการเตรียมสมุดไทยขาว ก่อนบันทึกเนื้อหาเรื่องราวด้วยกรรมวิธีของช่างในสมัยนั้น ซึ่งระบุนามในต้นฉบับ ว่า เป็นสูตรเฉพาะของหลวงโชดึกนอกราชการ ดังความว่า


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๙ ข้อความจดหมายเหตุ การเตรียมต้นฉบับ ตามแบบของหลวงโชดึกนอกราชการ “๏ พระสมุดขาวหย่างนี้โบกด้วยฟุนสามครั้ง จึ่งลงน้ำกัน เชื่อมครั้งหนึ่ง จึ่งเขียนพระอักษร แล้วจึ่งลงน้ำกันเชื่อม อีกสามครั้ง แม้นว่าต้องน้ำมิได้ลบเลือนเลอย หย่าง โบกด้วยฟุนแลน้ำกันเชื่อมนี้ของหลวงโชดึกนอกราช การทูลเกล้าทูลกรหม่อมถวาย II ๏ II ๛” จะเห็นได้ว่า การใช้ภาษาและถ้อยคำ สำนวนในต้นฉบับ มีความแตกต่างจากภาษาไทยปัจจุบัน ทั้งการ เลือกใช้ถ้อยคำและวิธีเขียนสะกดการันต์ในคำต่างๆ โดยเฉพาะการเลือกใช้คำเรียกตัวอักษรว่า “พระอักษร” เป็นการ แสดงความยกย่่องนัับถืือตััวอัักษรซึ่่งเป็็นเครื่่องมืือในการประสิิทธิิประสาทวิิชาความรู้้ให้้เป็็นของสููง ตามเนื้้อหาสาระ ของเรื่่องราวอัันเป็็นข้้อธรรมในพระพุุทธศาสนา ดัังจะเห็็นได้้จากการเรีียกต้้นฉบัับเล่่มนี้้ว่่า “พระสมุุดขาว” ด้้วยเช่่นกััน ข้้อมููลจากเอกสารต้้นฉบัับตอนดัังกล่่าวนี้้ เมื่่อถอดความเป็็นภาษาไทยปััจจุุบัันแล้้วจะอ่่านได้้เข้้าใจยิ่่งขึ้้น ดัังนี้้ พระสมุดขาวอย่างนี้โบก (ฉาบ,ทา) ด้วยฝุ่นสามครั้ง จึงลงนำ้กันเชื่อม (ทำให้ติดเป็นเนื้อเดียวกัน, ทำให้ ประสานกัน) ครั้งหนึ่ง จึงเขียนพระอักษรแล้วจึงลงน้ำกันเชื่อมอีกสามครั้ง แม้นว่าต้อง (ถูก,โดน) น้ำมิได้ลบเลือนเลย อย่าง(วิธี,แบบ) โบกฝุ่นแลน้ำกันเชื่อมนี้ ของหลวงโชดึกนอกราชการ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๑๐ การเตรียมต้นฉบับด้วยกรรมวิธีดังกล่าวข้างต้น จึงทำให้พระสมุดเล่มนี้มีน้ำหนักมากถึง ๒ ชั่ง ๒ ตำลึง ๑ บาท ๒ สลึง ดังบันทึกไว้ในต้นฉบับความว่า “ พระสมุุดนี้้ชั่่งได้้หนััก ๒ ๑ ๒ ๒ ” เมื่่อนำำสมุุดเล่่มนี้้ไปชั่่งน้ำำหนัักด้้วยเครื่่องชั่่งแบบปััจจุุบัันหนัักได้้ประมาณ ๒ กิิโลกรััม ประวััติิของต้้นฉบัับหนัังสืือสมุุดไทย เรื่่อง นัันโทปนัันทสููตรคำำหลวง หนังสือสมุดไทย เรื่อง นันโทปนันทสูตรคำหลวงเล่มนี้ ขุนวิทูรดรุณากร จากกรมศึกษาธิการทูลเกล้าฯ ถวายหอพระสมุดวชิรญาณซึ่งปัจจุบันคือ หอสมุดแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๕๑ นับเวลาถึง ปัจจุบันที่หอสมุดแห่งชาติดูแลรักษามาแล้ว รวม ๑๑๒ ปี ขุนวิทูรดรุณากร นามเดิม วันดี เกิดเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๒๓ (ร.ศ.๙๙) ที่ตำบล บางกะปิ อำเภออินท์ แขวงเมืองสิงห์บุรี หลังจากสอบไล่ได้ประกาศนียบัตรครู เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๒ (ร.ศ.๑๑๘) ได้เข้ารับราชการในสังกัดกรมศึกษาธิการตามลำดับ ดังนี้ พุทธศักราช ๒๔๔๓ (ร.ศ.๑๑๙) รับราชการครูโรงเรียน กล่อมพิทยากร พ.ศ.๒๔๔๔ (ร.ศ.๑๒๐) เป็นครูใหญ่ โรงเรียนมหรรณพ์ พ.ศ.๒๔๔๕ (ร.ศ.๑๒๑) เป็นครูใหญ่ โรงเรียน มัธยมราชบูรณะ พ.ศ.๒๔๔๖ (ร.ศ.๑๒๒) ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นขุนวิทูรดรุณากร พุทธศักราช ๒๔๔๗ – ๒๔๕๐ (ร.ศ.๑๒๓ – ๑๒๖) เป็นปฏิคมของสามัคยาจารย์สมาคมพุทธศักราช ๒๔๔๙ (ร.ศ.๑๒๕) ได้เลื่อนขึ้นเป็น พนักงานตรวจราชการ แขวงตะวันออกเฉียงเหนือ พุทธศักราช ๒๔๕๑ (ร.ศ.๑๒๗) เป็นพนักงานสอบไล่ ถึงแก่กรรม เมื่อพุทธศักราช ๒๔๕๓ สิริรวมอายุได้ ๓๐ ปี กล่าวได้ว่า ต้นฉบับวรรณคดี เรื่องนันโทปนันทสูตรคำหลวง เป็นภาพสะท้อนความเจริญรุ่งเรืองของ วงวรรณกรรมไทยในสมัยอยุธยาหลายประการ คือ ๑. มีความเป็นต้นฉบับหลวงที่สืบทอดมาจากสมัยอยุธยาด้วยปัจจัยหลายประการ ได้แก่ - บอกพระนามผู้ทรงนิพนธ์และวันเดือนปีที่ทรงนิพนธ์แล้วเสร็จ พร้อมประวัติความเป็นมาของ เนื้อเรื่อง - บอกนามอาลักษณ์ผู้ชุบเส้นตัวอักษรทั้ง ๒ แบบ - ต้นฉบับเล่มนี้บันทึกเนื้อหาเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องนันโทปนันทสูตรคำหลวงเพียงเรื่องเดียว - บันทึกเนื้อหาเรื่องราวหน้าละ ๔ – ๖ บรรทัด อย่างเป็นระเบียบสวยงามด้วยตัวอักษรไทยแบบ ประดิษฐ์ ตามความนิยมในสมัยอยุธยาเรียกว่า อักษรไทยย่อ ๒. การลงสีเส้นตัวอักษรสะท้อนทัศนคติและความนับถือพุทธศาสนาอย่างแรงกล้ากล่าวคือ มีวิธีการลง เส้นสีตัวอักษรให้ต่างกันตามความสำคัญของเนื้อหาแต่ละตอน ๓. มีบันทึกจดหมายเหตุแสดงภูมิปัญญาในการเตรียมต้นฉบับของช่างเขียนในสมัยอยุธยาก่อนบันทึก ข้อความ โดยบอกนามเจ้าของสูตรไว้ด้วย ซึ่งหลักฐานนี้ไม่เคยปรากฏอยู่ในต้นฉบับวรรณกรรมเรื่องใดๆ ของสังคม ไทยทั้งสิ้น ด้วยความสำคัญดังกล่าวข้างต้น การนำต้นฉบับวรรณกรรมเรื่องนี้มาจัดพิมพ์เป็นภาพสีตามต้นฉบับทั้ง เล่ม นอกจากจะแสดงประวัติวรรณคดีเรื่องสำคัญของชาติแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์ต้นฉบับ พร้อมประวัติศาสตร์ของ ต้นฉบับวรรณคดีที่มีอายุยาวนานเกือบ ๓๐๐ ปี ให้คงอยู่เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งได้ทำสำเนาเผยแพร่ต้นฉบับให้แพร่ หลายกว้างขวางสืบไป


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๑๑


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๑๒ ๏ วััน ๓ ๑ ๔ ปีีชวดสััมฤทธิิศก อััศจรรย์์มีีต้้นว่่าแผ่่นดิินไหว ๏ พระนามสมเด็็จพระพุุทธเจ้้า ๙๒ ๚ ๛ ๏ ชื่อพระญานาค ๔๔ ๚ ๛ ๏ พระมหาโมคคัลลานะเถรทรมานพระญานันโทปนันทนาคราชสูตรจบ บริบูรณ์ II ๏ II II ๏ II ๛ ๏ สุสฤทธิ์กฤตยปฤษเฎนตัม โพธิญาณัม สุลาภัม ๛


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๑๓ ๏ นโม ตสฺส ภควโต อรห โต สมฺมาสมพุุทฺธสฺส ๏ นนฺโทปนนฺทภุุชคํํวิิพุุธํํ มหิิทธึึ ปุุตฺเตน เถรภุุชเคน ทมาปยนฺโต อิิฺทธููปเทสวิิธิินา ชิิตวา มุนิุ ินฺโท ตนฺเตชสา ภวตุุ เต ชยมงคลานิิ ๏ นมสสิิตวา ชิินพุุทธํํ สธมฺมมลํํปิิ จ อริิยสํํฆมุุตฺตมํํ สามภาสาย สิิลิิฏฺฺฐํํ นนฺโทปนนฺทนามกํํ วกขามิิ ปวรํํ วตถุุ ตสฺส วสาหมสมิ นุิ ุปทฺทวนฺตรายโก ๚ ๛ ๏ อหํํอัันว่่าข้้า สิิริิปาโล นาม ผู้้ชื่่อมหาสิิริิบาล เกิิดในกาลบรรพััช ครั้้นนิิ- วััตน์์นิิเวศ เป็็นกษััตริิย์์เพศวรำำธมฺมธิิเปสฺสชยเชฏฺฺสุุริิยวํํส นาม ก็็ชื่่อเจ้้าฟ้้า ธรรมธิเบศร์ ไชยเชษฐสุริยวงษ์ เสวยรัชชงศฤงคาร วังบวรสถานมงคล ดำกลเป็นฝ่ายหน้า ผจญปัจจามิตรแพ้พ่าย นมสฺสิตวา ถวายนมัสการบัง คม ชินพุทธํซึ่งสมเด็จพระชิเนนทรทศพล อันผจญเบญจวิธมารทั้งห้า ก็ดี็ ี แลข้้าพระองคนี้้ก็็นมััสการเคารพ สธมมํํ จ ซึ่่งพระนพโลกุุตรธรรม


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๑๔ ทั้้งเก้้า แลพระปริิยััตติิธรรมเจ้้าทั้้งหลาย หมายทั้้งแปดหมื่่นสี่่พััน พระธรรมขัันธ์นั้้ ์นก็็ดีี แลพระสััทธรรมนี้้อุุตตมา อมลํํอัันนฤมลาจาก มุทิล แลข้าก็ถวิลนมัสการ อริยสํฆํ จ ซึ่งพระอัษฎาริยสงฆ์ก็ดี ตราบเท่า สมมติสงฆ์นี้ก็บังคม อุตตมํอันอุดมบวรา ครั้นแลข้าถวายนมัสการ ซึ่งพระรัตนไตรยสถานเสร็จประณามนบ วกขามิ ก็ปรารภเพื่อจักกล่าว วตถุ ในเรื่องราวนิทานธรรม นนโทปนนทนามกํอันชื่อนันโทปนันทะ ปวร อันมี พจนุสนธิบวร สิลิฏฐ ให้เกลี้ยงเกลาในอักษรแลพากยา ํสามภาสาย ด้้วยสยััมภาษาแห่่งไทย นิิสฺสาย เหตุุอาศััยพระบาฬีี มคธภาสํํซึ่่งมีี ในมคธภาษา อห อันว่าข้าพระบาทยุคคล ํ นุปททวนตรายโก ก็พ้นจาก อันตรายยุปัททรวาสรรพาพาธ วสา ด้วยอำนาจพระบารมี ตสส รตนตตยป ณามสส แห่งพระศรีรัตนตรัยประณาม อสมิ จงมีตามปรารถนาแห่งข้าเทอญ ๏ อนจฉริยเมเวทํ กปปสตสหสสุตตรานิ วีสติอสํขยยกปปานิ สกลภวตตยโลกโล ภนิิยมจฺจนฺตทลฺหสิิเนหพนฺธวตฺถาภรณปํํสุุรชฏจามิิกรวรเวทุุริิยสงขปพาลมสารคลฺลปฺปภููติิ


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๑๕ วิิวิิธวิิจิิตฺโต ปกรณสหิิตมติิรมฺมณิิยมหาจกฺกวตติิรชฺชสิริิยาทิิธนปริิจฺจาควเสน ทสปารมิิตํํ สก ลามรมานวมนมมนาปตราลงกตสีสหทยมํสชนนยนนาสิกกณณหตถปาทาทิวรองคปริจจา ควเสน ทสอุปปารมิตํ นีขิณขนธลปงกชภวนตินยนอมรนรคณาภิรามเณยยชิวิตปริจจา ควเสน ทสปรมตถปารมิตนติ สมตึสปารมิต ปูเรตวา ปฐวินาภิยา วิชยทุมมูเล อนปปกปปูปกมปี ตปจวิธปริจจาคภตตเวตตนปปทานาตีตกาลปริโคปิตมโนมยทสปารมิตาติ คาลหตรโยธา พลนิกาเยน อมรมานวยกขคนธพพวิชาธรทานวกุมภณฑ สีหพยคฆขคคกุชรมหึสวราห กโคณสิิร โคควยููสภ โสณสิิงฺคาลตุุรงฺครุรุุปิิจจุุมกฏอจฺฉตรจฺฉ โกกมิิคพานรอชฺฌครนฺงกุุล วิลารอุรเคนทหงสปงโกรวาฏก พกกพลากกากเสนกงขคชฌกนนรภมรมยูรโกจ กุมพิล มกรทุกนาคมจฉกจฉปปภูติ อเนกปปการวณณติมหนตภึสนกวิรูปรูปนิมมิต กามวิสยา ยตตสกลทิพพมานวนิกรมาริตํ สุรุจิรวิชุลตาการนานาวณณ สมุชลขคคจกจาปสรโตมรมุ สลหลปพพตมหามหิรุหปปหรหตถจตุทีปกเอกปปหารปาวุสสกานีลพหลชิตมณฑลกา มธาติสสรพลนิกาย ปราเชตวา ทสพลจตุเวสสารชชวิสารทาทิคุณทายกสส สพพตา


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๑๖ ณสฺส ปติิลภิิตฺวา ยสมหนฺตปุุมหนฺตปฺามหนฺตน ปารคเตน วิวิิธปการวิินยุุปายกุุส เลน ทุททมเทวตามนุสสนาคยกขาทีน โอฬารวินยาย วินยิตวา จตุราปายานิกทธิตมิจฉามคค โต ปริโมเจตวา สกลอริยาภิปฏิตํ นิรุปททวมจจนตสุข นิพพานมหานคราภิมุข อฏงคิกมคคปป วรํ มคค ปติฏฺปนมเนน โลกนาเถน ภควตา นิทาฆสมเย มชฌนติกกาเล ทุสสหตรตมเต ชนทินกรเตโช วิย นิสาขเย๑ สุริยุคคมน วิย จ อุตุสมเย ปุปผวิกสน วิย จ โหติ ฯ ๏ ย อเนน โลกนาเถน ภควตา นิพพิเสวนกรณ ๏ อันว่าสมเด็จพระโลกนารถมุนิ วร ผู้้เป็็นอดิิสรณ แห่่งไตรโลกยจุุธาโลกาจารย์์ แลเสร็็จบำำเพ็็ญพุุทธ บารมีสมดึงษ์ จึงคนึงโลกยพันลือ ๏ ทสปารมิต อนึ่งคือพระทศบารมี ธ บำเพ็ญ ด้วยปรีดิสามารถ พระบาทบริตยาตทานอนันต์ มีอาทิคือไอศวรรยสมบัติ แห่งบรมจักรพรรดิราชา อันเป็นที่เสน่หายิ่งนัก อันกอปรด้วยกงจักรรัตนเป็น อาทิิ นานาราชอุุปกรณบวรรััตนตรการ มีต้ี้นว่่ารััตนมสารคััล ไพทููรย์์ พรรณประพาลรััตน์์ สัังขทัักษิิณาวััฏสุุพรรณรชฏสรรพทานา โอทยา ๑ ตามคำำศััพท์์ภาษาบาลีีควรเป็็น นิิสาขสมเย


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๑๗ หาราภรณ์์ เครื่่องปััจฐรณ์์อนัันต์์ อัันโลภมััจฉรรยแห่่งสััตว์์ โลกยตรกััตติิ ผูกพัน ถือมั่นคงด้วยแท้ แม้แห่งโลกยทั้งหลาย หมายในไตรภพนั้น ๏ ทสอุปปารมิต พั้นอนึ่งคือทศอุปบารมี พระชินะศรีบริตยาค บ ํ ำเพ็ญมากแห่ง พระชาติ ด้วยสามารถศรัทธา ปลงพระกายาเป็นอาทิ พระสิโรนารถศาสดา อันประดับด้วยเครื่องราชาปลิโพธ อนึ่งโสต ธ ให้พระวรมางษหฤไทย พระ ยุคคลในพระองค์ อันทรงพระโอสถมลา แลพระนาสิกะพระกรรณพระหัตถ์ แลพระบาทปััทมทั้้งคู่่อัันหมู่่อมรนรนรา ชอบหััทยายิ่่งนััก เป็็นที่่รัักแห่่ง อาตม พระโลกิตศวรนารถสละได้ด้วยง่ายให้เป็นทาน มีด้วยอเนกประการ แล ๏ ทสปรมตถปารมิต อนึ่งคือทศปรมัตถบารมี ธ ให้พระชีวชีวิตร ปลิด ํ พระชนมพระชาติ ด้วยสามารถแสวงพุทธโพธิ์ เพื่อจะโปรดสัตวคณา จะพาไป สู่นครนฤพาน อันว่าการพระองค์ ปลงบริตยาคชีพิตรดั่งนี้ อันเป็นที่รักแห่ง พรหมคณา แลอมรินทราคณเทพนิกรนรพรรคา เพื่อรักกายาชีวาตม์


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๑๘ แลพระมุุนิินทรนารถสรรเพชญ์์ เสด็็จบำำเพ็็ญพระบารมีีสามสิิบประการ สิ้นกาลนานยี่สิบอสงไขย มีกำไรแสนมหากัลป์ อันสมเด็จพระชิเนนทรทศ พล ผจญมาราธิราช เจ้ากามธาตุพศพรรติ แลขนัดหมู่มารโยเธศ อันนฤมิตร เพศกายา มีรูปานานัตว เป็นขนัดพลนาเนก มารดิเรกพึงกลัว ตัวสูงบัง คคนานต์ รูปามารนานา เป็นเทพดามานุษ อุบัติเป็นคนธรรพ กุม ภัณฑาสูรยักษิทธิ์ แปลงเป็นวิทยาธร เป็นกินนรสุบรรณ ลางบางผันรูปา เป็็นพญาไกสร เป็็นสุุกรพยััคฆา ดุุรคขััคคคเชนทรากาสร เป็็นพานรสฤงคาล อััจฉาสวาณมฤคคา เป็็นพฤษภาแลโคเพลาะ เฉพาะเป็็นวราหพานรโชมล กะทิงโทนโคกวาง ลางบางเป็นวิลาฬ ลางมารเป็นนาคราช แมลบมลิ้นพราศ พรายแสง ลางจำแลงกายา เป็นสับปาอัชฌัคร เป็นสุนัขไนแลชะนี ละมั่ง พีตัวโตรจ พานรโลดลมจร เป็นพังพอนเป็นเสือแผ้ว แล้วหมู่ยักษนานา นฤมิตรเป็นปักษาคณางค์ ลางบางเป็นหงษปักษา นกกตรุมกานกลาง เป็นนก


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๑๙ ยางเสนภมรโมร เขาเพลิิงโกรญจคิิชฌา เป็็นสกุุณาค้้อนหอย แข่่งกัันลอย โบยบิน เป็นกุมภิรสุงสุมาร เป็นพิสดารกายา เป็นมกราเป็นนาค แลเลือน หลากรูปา เป็นมัจฉากูรเมศ แลมารโยเธศทั้งหลาย มีรูปกายมหันต์ ดุจวัสสันตกาลเมฆ ยังพรรเษกธารา ในมหาทวีปทั้งสี่ ให้มีอึงคะนึงตก ฝนสรสรกเซ็งซ่า ในครั้งคราทีเดียว ชรอุ่มเขียวหมู่มาร บ้างขี่ยานนานา หัตถาถือเครื่องยุทธ สรรพาวุธสรหลอน โตมรค้อนครกสาก พฤกษา มากนองเนืือง แสงสาษตรเมลืืองอาภา กลลัักขณาพิิทธยุุต ผุุดพรายใน เวหาศ อาจจะข่มจะฆ่า สัตว์ในแหล่งหล้าทั้งหลาย อันประพฤติฝ่าย ข่ายมาร แลเป็นสถานแห่งอมรา ฉ้อกามาพจรนั้น ๏ แลสมเด็จพระศรีสรร พัชญ์ ผู้กำจัดริปูหมู่บาป ปราบหมู่มารให้พ่ายแพ้ เที่ยงแท้ด้วยโยธา คือ บุญญาพระทศบารมี อันสมเด็จสากยสีหรักษา ทรงพระเบญจาบริตยาค อันมี ภาคห้าประการ แลพระราชทานรางวัล อันจะนับกัลป์บ่มิได้ แลลุแก่ไญยธรรม


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ สัพพัญตัญญาณ แลให้คุณุประการบวร โลกุตตรสมบัติ คือทศพล จตุเวสารัชชญาณทั้งปวง ในช่วงวิชยบรมพฤกษโพโพธิ อันไพโรจน์รุจี ในนาภีีพสุุธา แลสมเด็็จบรํํมจัักษุุมาสรรเพชญ์์ เสด็็จพุุทธยาตรลีีลา ตฤณ โณรรฆจตุรามหรรณพ เลิศลบโลกยโลกา ยิ่งบุญญานุภาพนัก เลิศยศ ศักดิ์อุดมา อรรคาธรรมุบาย บรรยายธรรโมวาท ฉลาดล้ำโลกยนิกร ก็สั่ง สอนสัตว์ทั้งหลาย หมายมีอาทิคือเทวา ยักษามานุษนาค อันผู้อื่นจักทรมานยากนัักหนา สมเด็็จมุุเนศศวราบพิิตร เปลื้้องไปล่่ปลิิดให้้พ้้น จากหน ทางมฤจฉาอันพาสัตว์ทั้งปวงไป ทนทุกข์ในนิรยาบายทั้งสี่ แลสมเด็จอธิบดี แธรรยา โลกาจาริย์พำนัก เฉพาะซึ่งพระภักตรบวร ยังมหานครนฤพาน อันพ้นจากสถานอุปัทรวาสรรพาทุกข์ อันบรมสุขอนันต์ อันพระอาริยเจ้า ทั้งปวงย่อมปรารถนา เป็นที่แสวงหาเป็นที่รัก แลสมเด็จโลกยพำนักนิสบ สกล มีพุทธกมลหฤไทย ถกนสัตว์ไว้ให้บริสุทธิ์ ในมกุฎอุดมทาง ๒๐


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ คืือพระอััษฎางคิิกมััคค แลลัักษณอัันทวรมาน ให้้พาลเสีียพยศร้้าย อััน หมายมั่นสัญญา ว่าอาตมายิ่งนั้นได้ ในพระสรรเพชญ์โพธิสมภาร อันถึง สถานเลิศนี้ กลรัศมีพันแสง มีเดชะแรงจำรูญ แสงสูรย์ส่องจำรัส บำบัด มืดมหนธ์ อันบุคคลทนด้วยยาก ในภาคอรรฒทิวา เพลาสูรยเทเวศ ในเมื่อเจตรกาลมาศ อันอุณหาสโลกา ดุจพระภาณุเทวบุตร ผุดผาดรถ ครรไล อรุโณทัยขึ้นมา เมื่อไกษยราตรีกาล ยังบุษปมาลย์ใหญ่น้อย ให้้ชื่่นช้้อยบานแบ่่ง แห่่งอัันควรแก่่ฤดูู อัันนี้้เป็็นลัักษณููประมา แห่่งสม เด็จพระชิเนนทราจารย์ ๏ อิทํ ทมน อันพระองค์ทรมานแล้วนี้ ํ๏ อนจฉริยํ ยังบ่มีเป็นอัศจรรย์ก่อนแล ๏ อิทํ ปนจฉริยํ ยํ ตสส ตถาคตานุมเตน กปปสตสหสสาธิกมสํเขยยํ กตาธิการสมปปนโน อนเตวาสิโก เตสํ ทุททมนานํ ทเมตวา มิจฉามคคโต ปริโมเจตวา ๏ สมมามคคปติฏฺฐเปตวา นิพพิเสวนมกาสิ ๏ อนเตวาสิโก อันว่าพระอรรคพาม บรมศิิษย์์ แห่่งสมเด็็จสััษกิิดศวราจารย คืือพระมหาโมคคััลลานะเถรา ๒๑


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๒๒ อัันมีีบููรรพปรารถนาได้ทำ้ ำ ไว้้ สิ้้นอสงไขยแสนกััลป์์ แลสััตว์ทั้้ ์ งปวงอัันจะทร มานยาก ธ ก็ชักมาจากมรรคมฤจฉา ก็ตั้งไว้ในสัมมาทฤษฎิมารค ให้ปราศ จากพาลพยศอันร้ายได้นั้น แลทรมานอันใดอันอุดมา พั้นอันว่าทร มาน แห่งพระมหาโมคคัลลานะอุดม ด้วยบรมมุตราสมพุทธาธิบบาย หมายแห่งทรมานอันนี้ ๏ อจฉริยํว่าเป็นที่อัจฉรรย์ คืออัศจรรย์ดิเรก แล ๏ กถํอันว่าพระมหาโมคคัลลานะ ทรมานสัตวได้นั้น เป็นอัศจรรย์ ดั่่งฤา ๏ เอกสมึึ กิิร สมเย สมฺมาทิฏิิโก กมฺมผลสทฺธหนฺโต อนาถปิิณฺฑิิโก เสฏิิ สกิิย หทยพภนตรคตราคทหนปปชลิตกปปคคิชาลสตตปริตาปิตํ สกลเทวา สุรมนุชสุปณณ คนธพพยกขาทีนํ หทยปริลาหวุปสมนํนิปุณณํ คิริราโชตตุงคาวนิตลพหลรตนา กมภิรนภวิ สาลมภิิภวนํํ สกลเวเนยฺยโสตวิิวราภิสิิจิิตามตฺตรสวรํํติิโลกมณฑลสพฺพาปติิวิิธาย กกขนธสนตานํ จิรกาลปปวตติสพพาสวิธารณสมตถํ ทุคคติสสปตตมานํ สพพสตตนิกราณํ ธารณํ ภค วา โลกทีีเปน ตสฺส มุุขวิิวรอติิสวณิิยตรวรมณิิวงฺสวิิสฏรนอฏงฺคสมฺปนฺนาคเตน พฺรหฺมสเรน เท


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๒๓ สิิตํํ อติิมธุรํํุ ธมฺมวรํํสุุตฺวา สสาทรพหุุมานสหิิตมานโส เทวตามนุุสฺสนิิกรมานิิยคุุณนิิกรสมนนาคตสส มุนิวรสส คุณํ อานยิตวา เสว ภนเต โลกปิตามหาขนธลมหิโต ปจหิ ภิกขุสเตหิ สทธึ อมหากํ เคเห ภิกขํ คณหตูติ นิมนเตตวา สหสสนยนปงกชภวนาทิลินิมุขนิกรสจุมพิตํ ภควโต ปาทปทุมเมถุนํ สกสิรสาภิวนทิตวา ปกกามิ ๏ คือในกาลครั้งหนึ่งนั้น อันว่าอนาถบิณฑิ กคฤหบดี มีศรัทธาชมชอบ กอปรด้วยสัมมาทฤษฎี มีความพิริยะขวาย ขวน เชื่อในผลในกรรม ได้สดับซึ่งพระธรรมอันเลิศ อันประเสริฐอุดมา พระธรรมเทศนาแห่่งสมเด็็จพระสรรเพชญ์พุ์ุทธเจ้้า อัันเป็็นที่่เคารพบููชา ไตรโลกาภิวันท์ อันมีพระสรเสียง พุทธสำเนียงบวรา ปานพรหมมาทั้ง หลาย หมายด้วยอัษฎางค์ประการ อันเกิดแต่สถานช่องพระโอษฐ์ แห่งสม เด็จพระสรมโณดดมวิสุทธิ มกุฎโลกยนมัสการ ปานสำเนียงปี่แก้ว แจ่มใส แผ้วสระหละ เป็นลักษณะหินุบประมา พระมฤธุรสะราพุทธพากย์ ยิ่งกว่า มากอนันต์ ตรัสพระธรรมาภิสมัย อันไพเราะเสนาะยิ่งนัก เปรียบด้วย


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๒๔ อััคคชลชลา อมฤตยาทิิพโพยทก ธาราตกสงโรจ ในช่่องโสตประสาท แห่่ง เวไนยชาติทั้งหลาย รำงับจิตรกระวายกระวน ในสกนธ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย หมายมีอาทิคือเทพดา ยักษาสูรกุมภัณฑ์ คนธรรพ์นาคาครุฑ แลมนุษย ชาติทั้งปวง เดือดร้อนทรวงสัตว์โลกยเนืองเนือง เรืองด้วยเปลวเพลิงผลาญ ปานด้วยเพลิงประไลยกัลป์ อันไหม้สัตว์อัตรา อุประมาต่อเพลิงราคะ กรุ่น อยู่ภาคภายใน กมลหฤทัยพัสดุ ติดพลุ่งกุธูรรมา ในกายแห่งสัตว์ พุุทธองค์์ตรััสเทศนา มล้้างอาสรพทั้้งผอง อัันจองสััตว์์สิ้้นกาลนาน ในขัันธ สันดานสัตว์ทั้งหลาย อันเกิดแลตายเวียนไปในไตรโลกยมณฑล อันสม เด็จพระทสพลพระองค์ ดำรงสัตว์ทั้งปวงไว้ ให้ลุในแก่นสาร บ่มิให้ตก ไปในภูมิสถานทั้งหลาย คือจตุราบายทุกขา แลพระสรัทธรรมาสุขุมาลย์ สูงกว่าสถานสิขเรนทร อันชื่อสุเมรุราชา พระธรรมหนาด้วยคุณ ยิ่งกว่า พสุุนธรดลา พระสััทธรรมาอัันลึึก อธึึกลัักษณุุประมา กว่่ารััตนานิธีิี


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๒๕ อัันกล่่าวคืือวารีีจตุุรสมุุทร แลพระธรรมุุตโรวาท อัันว่่าอนาถบิิณฑิิกนั้้น ถวายเครื่องสรรพบูชา ปัสสันนาการคำรพย ประณามนบสรรเสริญ เจริญ แห่งนิกรพระคุณวรา แห่งสมเด็จวิสุทธเทพดามุนิวร อันอมรนรคณา โลกยศรัทธาเปรมปรีดิ์ จึ่งนิมนต์พระศรีสรรเพชญ์ ข้าแต่สมเด็จพระพุทธ องค์ ผู้เป็นพงศ์สูริยา อันเป็นพระชนกาธิราช ทั่วโลกธาตุบูชา ข้าขออัญเชิญ เสด็จพระพุทธองค์ จงรับโภชนสุปพยัญชน์ กับด้วยพระอรหันต์ถ้วนห้า ร้้อยในเรืือนข้้าพระพุุทธเจ้้า เพลาเช้้าพรููกนี้้ แล้้วเศรษฐีีถวายอภิิวาท แทบพุทธบาทยุคคล สมเด็จพระญาณสมนตตระการ เปรียบด้วยกมุทบาน ประดับ กับด้วยหมู่แมลงภู่ บินหวี่หวู้ร่อนร้อง ระงมก้องไปมา ในพนสรา ปทุเมศ แห่งสมเด็จเทเวศร์มัฆวา อันนี้เป็นอุประมาคฤหบดี กฤษ ดาชลีพระบาท ด้วยเศียรอาตมแล้วก็ไปแล ๏ อถ สพพสตตานุกมปโก สพพาสววิินิิมุุตฺโต สพฺพโลกเชฏโ โน สตฺถา ตสฺส นิิมนฺตนํํ อธิิวาเสตฺวา ตํํทิิวสาวเสสํํ รตติิภาคฺจ ปกติิ


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๒๖ กตฺตพฺพพุุทฺธกิิจฺเจน วิิติินาเมสิิ ๏ ในกาลนั้้น อัันว่่าสมเด็็จบรํํมมารชิินะสาษดา อัันเป็็น อิศวราแห่งไตรโลกยด้วยพิเศษ วิมุตติกิเลสอาสรพ ปรารภพระกรุณา ทรงพระเมตตาอนุเคราะห์ เฉพาะแก่สัตวโลกยสบสกล ครั้น ธ รับนิมนตคฤห บดีเสร็จ ธ ก็เสด็จสถิตสำราญหฤไทย ยั้งอยู่ในทิพส ยังพระอิริยาบถมุนี สิ้นราษตรีประพฤติ ด้วยพุทธกฤตยพิไสย ตามอันใดอันหนึ่ง อันพระ องค์์พึึงกระทำำนั้้น เป็็นปรกติิธรรมดาแล ๏ ทีนี้้จัักพรรณนาตามพระอาริิยาธิิบ ปราย หมายเป็็นลัักษณอุุประมา ต่่อทิิวาราตรีี ปานมีรูีูปวิิญญาณ อัันอยู่่ใน สถานที่ใกล้ แลบ่มิได้ปฏิบัติ พระพุทธเจ้านั้น ๏ อถ รตติยา วรมหิยาสาย อตตโน ขยุปปนวิรตติ โสกาย ภควโต สนติกมุปปฏนํ อลภนติยา ตสสา สนตุ ปฏฺาเน ทิวาหิ ทิวาปติ หิ จ ปติลภิตพพมติเร กปปิติสุขํ อนุสสรนติยา วิย ๏ อันว่านางอุดมลักษณกัลยา มีภัก ตราลเอ่ง นวลผ่องเปล่งนฤมลา ลักษณาสรรพวรางค์ เปรียบสสางกรจำรูล เพ็งบูรณพรรณประภา ก็รฦกปรียาดมาแลสุข แล้วบังเกิดทุกขินทรีย


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๒๗ อัันราษตรีีแลทิิพส อัันอยู่่ใกล้้พระสุุคตศาสดา บ่่มิิได้้รัักษาอุุปฐาก ไกลแห่่ง มรรคแห่งผล ป่วยการตนอยู่ใกล้ บ่มิได้ปฏิบัติรักษา สมเด็จพระธรรม ธราสวามินทรนั้น ๏ พลวปจจุสมเย นานปปการทิชคณานํ รวนการุวิลาเปน สรนิกรติ ตนยนมพุปริฬสิตปริปุณเณนทมณฑลสกสุภควทนาย ปริเทวมานาย วิย ปริกขยมุปคตา เยว ๏ ในเมื่อนางเบญจกัลยางควรา มีภักตราซรึมซราบ อาบด้วยอัสสุชลธารา พรรณนาคือน้ำค้าง ประดุจนางครวญคร่ำ ร้องไห้ร่ำพิลาป สะอื้นภาพรัญจวน อัันควรจะเอ็็นดููกรุุณา อุุประมาต่่อเสีียงนก ต่่างโผผกร่่อนร้้อง สำำเนีียงก้้อง พงไพร ในยามสมัยปัจจาศม จวนพระภาศกรจรประเมิน โลกยดำ เนินอรถครรไล อรุโณทัยเพลา จะไกษยแห่งราตรี ก็มีในกาลนั้นแล ๏ อถ ปจจุสสสมเย สมุปาคเต สพพาการสมปุณโณ ทุรุปโม โลกวิเสฏโ จิตตวสิโก โลกวิทู ทุริตทุริโต โน ภควา มโนวจิปนิธาย กายปปติปาเตสุ กปปสตสหสสาธิกวีสติ อสงขยฺยกปปููปกปปิิตนยนปฺปทิิปนาทิิสุุจริิตจาริินาเทวตา คณสมลงฺกตอวนิิตลจลอติิ


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๒๘ ลกสมพุุตสฺสฏทุุมราชมููลาธิิคเตน เคหกุุฏปาการปาสาทเสลทตถุุ นานาวุุตฺเตน อจฺจนตปริิ สุทเธน ทิพพจกขุนา สพพากาเรน ทิสมานหตถตลตถิตกนกติณฑุกปปติ มํ ภวตตยมเสสํ โอโล เกสิ ๏ ในกาลเมื่อใกล้ จะไกษยแห่งพระฮาม ยามอรุโณทัย สมเด็จพระบรํม โลโกดดราธิกธิคุณ ไพบูลย์พุทธกายา ประดับด้วยทวัตดึงสาการชวลิต แลอสิตยานุพยัญชนวรา พุทธไภรัญชิดาดิเรก แลมีอเนกประการ อันทุ รัสสถานแห่งบุคคล อันจะเปรียบด้วยพระสมนตญาณอันเลิศ พระองค์ ประเสริิฐกว่่าโลกา โลกยบููชาด้้วยวิิเศษ แลพระโลกเชษฐพิิจารณ์์ ชำนาญในพุทธหฤไทย ทราบในโลกยทั้งหลาย หมายในภพทั้งสาม อันมี นามบรรหาร สังขารโลกยโลกา ภาชนาโอกาสโลกย แลพระผู้ยศโยคอุดมา ทูรทุราจากทุจริต ธ ก็เสด็จพิจารณา ในภวาทั้งสามเนียรพเศษ ด้วย พุทธเนตรจักษุญาณ ก็ปรากฏอาการทั้งผอง คือผลพลับทองกระจ่าง วาง ในพ่างพื้นพระหัตถ์ ตระบัดแจ้งทุกประการ ด้วยพุทธจักษุญาณสะมันต


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๒๙ อัันบริิสุุทธิ์์ทั้้งปวง ยลตรลอดล่่วงคฤหา พฤกษาพงพนานต์์ คฤหาสถาน ภฤดดี แลตรลอดคิรีปราสาท ปราการราษฎรสีมา แลพระปัญญาพุทธจักษุ นั้น อันพระองค์เจ้าได้ ในช่วงวิไชยบรมพฤกษ อันอธึกรุจิรา เป็นมกุฎาภรณ ธรณี บ่มีได้จลาจเลนทร์ อันหมู่เทเวนทร์ทั้งหลาย ถวายบูชานมัสการ พระองค์เลิศกว่าสถานภพไตรย แลพระองค์ได้ทิพจักษุนั้น ด้วยจำ เริญธรรมสุจริต ประพฤติกิตยพิเศษ ควักพระเนตรให้เป็นทาน สู้ลาญ พระชนมพระชีีพ อนึ่่ง ธ ให้้ประทีีปเป็็นทาน แสงชััชวาลย์์เปลวเปล่่ง พระ องค์บำเพ็งมานาน ประมาณยี่สิบอสงไขย แลมีกำไรแสนมหากัลป์ ในอัน กล่าวพรรณนา พระองค์จินดาเจ็ดอสงไขย ในออกพุทธวาจา คณนาได้ เก้าอสงไขย ในอันเพียรด้วยพระกายวาจา สังขยาได้สี่อสงไขย เศษกำ ไรแสนมหากััลป์์ อัันธพรรณนาก่่อนนั้้น แล ๏ ตสฺโสโลกนกาเล เยว ปุุราณ พุุทธุุปฺปาทุุปฏิิตติิวิิธสุุจริิตสกลเวเนยฺยชนวิิจิินลิินนิิปุุณฺเณ อเนกโกฏิิสหสฺสจกฺกวาฬา


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๓๐ ภิิปฏริิเต พุุทฺธทิิวากรสฺส าณชาลมยุุเขขุุทฺธกมิิจฺฉาทิิฏฺฺิิโก นฺนโทปนนฺทอุุรคราชา อาปาถมาคจฺฉ ติิ ๏ อัันว่่าพระญานัันโทปนัันท อัันเป็็นนาคราชา เป็็นสุขุุมมฤจฉาทฤษฏีี ก็็บัังเกิิดมีีในพุุทธชาลญาณ อัันสุุขุุมาลพระปััญญา แห่่งพระพุุทธทิิวากร วร ญาณาบพิิตร อัันผาริิตไปในจัักรวาฬ ประมาณแสนโกฏิมิิถยา แลประมวลมาซึ่่ง สััตว์์เวไนยชาติิ อัันอาตมมีีสุุจริิตธรรม สามประการอัันได้้สร้้างไว้้ แต่่ในชาติิ บููรรพา ในพระศาสนาพระพุุทธ อัันอุบัุัติิแต่ก่่ ่อนนั้้น ก็็แจ้้งสรรพทุุก ประการ ในข่่ายพระญาณพุุทธองค์์ เมื่่อทรงพระพิิจารณ์์ ก็็แจ้้งแท้้ในกาล นั้้นแล ๏ โส จายํํมิิจฺฉาทิิฏิิโก สมโณติิ วา พฺราหฺมโณติิ วา อุุปฺปชฺฌาจริิโย วาติิ มาตาปิิตโร ติิ วา ธมฺโมติิ วา น ชานาติิ ๏ อัันว่่าพระญานนโทปนัันท อัันเป็็นคนพาลา เป็็น มฤจฉาทฤษฎิินี้้ก็็บ่่มีีรู้้ว่่าบุุคคล เป็็นอรหัันตศรมณก็็ดีี อนึ่่งก็็บ่่มีีรู้้ว่่าผู้้ นี้้พราหมณา อุุปััชฌาจารย์์ชนกา แลผู้้เป็็นมาดาบัังเกิิดเกล้้า บ่่มีีรู้้จัักว่่า พระธรรมเจ้้าก็็มีี แก่นั่ ันโทปนัันทนี้้แล ๏ อถาตีีตานาปจจุุปฺปนฺนวตถุุาณโกวิิโท


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๓๑ โน ภควา อยํํ นฺนโทปนฺนทอุุรคราชา มยหํํ าณชาลปมุุเข อาปาถมาคจฺฉติิ อตถิิ นุุ โข นนฺโทปนนทสส ผณิปติสส อุปนิสสโย นตถีติ อาวชเชนโต อิทํ อททสส กิจาปิ โสเตนตตภาเวน มคคผลํ ปติพุชฌิ ตุ น สกโกติ ทลหวินเยน วิเนตว กมมผล สททหิตวา มม สาสนํ สทโท มาโน อายตึ มคคผลปติพุชฌ การเณสุ ปติฏยกา ถินมิจฉามคคโต สกกตตานํ สมุทธริตวา สกิยปติสรณํ กริสสตีติ ๏ ในกษณ กาลนั้น อันว่าสมเด็จอธิปไตยบรํมไตรโลกนารถ พระองค์ฉลาดในพระปรีชา อันพิจารณาแจ้งซึ่งอดิตานาคตปัจจุบัน ทราบซึ่งสรรพพัศดุ แลพิจารณา วััตถุุ คืือนนโทปนัันทนาครัันะยา อัันถึึงซึ่่งมาปรากฏ ในข่่ายญาณแห่่งพระ อังคิรรศมิเบญญา ดั่งพระองค์มารำพึง ดั่งจริงอันว่าอุปนิสัยปัจจัย ในนัน โทปนันทนี้ จะว่ามีแลฤา หรือว่าหาบ่มิได้ พระองค์ก็ทราบในวรพระปัญญา พุทธญาณาอนันต อันว่านันโทปนันทนาค บ่มิอาจเพื่อจะตรัส ซึ่งพระอริย มรรคผลญาณ เหตุุเป็็นเดีียรฉานกำำเนิิด ถึึงว่่าเกิิดดั่่งนั้้นก็็ดีี แลสม เด็็จพระนรสีีหสุุคต จะโอวาทด้้วยบททรมาน จะตั้้งไว้้ให้้เจีียรกาลมั่่นคง


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๓๒ มีีองค์์คืือศีีลเบญจา อัันว่่าพระญานาคนั้้น จัักเชื่่อกรรมเชื่่อผล จิิตรจะอำำ พลด้วยศรัทธา ในศาสนาพระตถาคตนี้ ก็จะตั้งอยู่ในที่เป็นเหตุ จึงจะให้ ผลพิเศษในภายหน้า คือจะลุในมรรคามัคคแลผล ก็จะรื้อสกนธ์แห่งอาตม ภาพ อันมานชั่วหยาบกระด้าง จากหนทางมฤจฉา แล้วก็จะตั้งอาตมา ภาพไว้ เป็นที่สรณาศัยแห่งตน แล ๏ โส อิทธิมา อาสิวิโส โฆรวิโสปิ สา วกเวเนยฺโยเยว ๏ อัันว่่าพระญานัันโทปนัันท อัันเป็็นอาเศีียรพิิศ อัันมีี ฤทธิิพลพหลมหิิมา ก็็เป็็นศราพกวิินััย คืือเป็็นพิิสััยพุุทธปริิ พาร พระสาวกจะพึงทวรมานแล ๏ อถ สตถา โก นุโข อิทธิมา กตาธิการสมปนโน ทุทธุมนุปายกุสโล มานุทธิตมานสํ ปติลทธมานทชชํ ทุวินยนาติทารุณกกขสมานํ อิมํ นนโทปนนท อุุรคาธิิปตึึ วิินยนฺโต นิิพพิิเสวนํํ กตฺวา มุุลฺหวเสนาสปปุุริิสเสวิิตกุุมคฺคมิิจฺฉาทิิฏิิโก ปริิโมเจตวา สตตสสปปุริสเสวิเต อริยมคเค ปเวเสสสตีติ อาวชเชนโต อิทธิปาฏิหิริยกร เณ สกลามรมานวนิิกรวิิสิิฏฺฺตรํํ กตาธิิการสมฺปนนํํทุุทธุุมนุุปายกุุสลํํ โมคฺคลฺลานตฺเถรํํ


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๓๓ ทุุติิยคฺคสาวกํํ ปสสิิ ๏ ดัับกาลนั้้น อัันว่่าสมเด็็จบรํํมแธรรยา ก็็มีีพุุทธจิินดา จำนง ดั่งพระองค์ปริวิตก ดั่งฤาอันว่าพระสราพกองค์ใด จักมีฤทธิไกรอดุลย กอปรด้วยคุณบุญญา อันได้อบรมมามากแล้ว แลแกล้วกล้าสามารถ อัน ฉลาดในอุบายมากนัก จึ่งจักทรมานพระญานาคได้ ก็จะให้ทรมาน บัดนั้น ซึ่่งนัันโทปนัันท อัันตนได้้เป็็นใหญ่่กว่่า ในนาคาบรรสััชช น้ำำ ใจถััททกัักขฬะ มีีมานะยกขึ้้นไว้้ ประดุุจธงชััยปลิิวยาบ ใจหยาบช้้าล้้นพ้้น อัันบุุคคลจะทรมานยาก ซึ่่งพระญานาคอัันร้้าย ให้้หายพาลหายพยศ แลจะเปลื้้อง ปลดพระญานาค จากมรรคมฤจฉาทฤษฎี อันบ่มีบริสุทธิ อันอสัปบุรุษ พาลา สบปรารถนาปรียาดม เสพด้วยสามารถอันหลง แลจะดำรงให้เข้าไป ในทางธรรมอันเลิศ อันประเสริฐบริสุทธิ อันสัปบุรุษทั้งผอง ส้องเสพ ในธรรมา สมเด็็จอรรคสรณาภวะโลกย ก็็เห็็นพระมหาโมคคััลลา ผู้้เป็็น ทุุติิยสราพกประเสริิฐ ฤทธิิล้ำำเลิิศมเลนทรา จัักกระทำำ ปราฏิิหาริิย์์


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๓๔ ควรจะทวรมานนาคราช ให้้อภิิวาทนบนอบ แลกอปรด้้วยคุุณอัันสร้้างแล้้ว ก็จะขัดให้ผ่องแผ้วราคา แห่งผรรณินทราธิราช แลฉลาดในทรรมุบาย ก็จะ ทรมานได้ด้วยง่ายแล ๏ อถ นรามรนาโถ มลปริสุทโธ โน ภควา ปภาตาย รตติยา อุปฏฺากานุคหณกรณตนตถํ สริรผาสุกรณตถจ มุขโธวนาทิสริรกมมํ กตวา สกลทิพพมานวนิกรา นนทพหลชลธิมณฑลวิรหิตํ สรทสมยวิลสิตาสุภควทนปริปุณเณนทมานนทมามนเตตวา อา นนทปจนนํ ภิกขุสตานํ อาโรเจหิ อชช ตถาคโต เกนจิ เทว กรณิเยน เทวโลกํ คมิสส ตีีติิ ๏ ในอัันดัับกาลนั้้น อัันว่่าสมเด็็จพระผู้้มีพุีุทธภาคย อัันบริสุิุทธิ์์จาก มุทิล เป็นที่พึ่งพรหมมินทรามรมานุษชาติ ในเมื่อสิ้นโกฐาสแห่งราษตริน ทิินกรจรกระจ่่าง สว่่างพื้้นคคนำำ พระองค์์กระทำำชำำระ พระสริิระกฤตยาพระองค์์ แลสรงพระพัักตรวิิมลา เป็็นผาสุุขแห่่งพระองค์์ แลจงอนุุเคราะห์์เอ็็นดูู แก่ผู้้ ่ พุุทธุุปปะถาก แลมีีพุุทธพากย์์โองการดำำรััส ตรััสเรีียกพระอานนท อัันอยู่่ใน พระคัันธกุุฎีี อัันมีีอิินทรีีย์์นรลัักษณ์์ แลมีีพระพัักตรผ่่องเพ็็ญเป็็นอัันงาม


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๓๕ นำำมาซึ่่งความศรััทธา แห่่งเทพดามนุุษยทั้้งปวง บริิบููรณ์์ประดุุจดวงพระ จันทร แลงามในกรรดิกฤดูมาศ อันปราศจากเมฆา สัสมนทลาวรจรจรัส เมฆดำรัสทูระทูรา ก็ตรัสด้วยพุทธฎีกาบวร ว่าดูกรแสดงอานนท ท่านจง บอกยบลให้รู้ แก่หมู่พระภิกษุสงฆ์ร้อยยิ่งห้า ว่าพระตถาคตทศพล จักเสด็จหนเทวะทิศ ด้วยพุทธกิตยอันหนึ่งพึงมี ในกาลเช้าวันนี้แท้ แล ๏ ตฺจ ปน ทิิวสํํ นาคมานวนิิกรานนฺโทปนนฺทสฺส ผณิิปติิสฺส สพฺพรตนมยอาปา ณมณฑลํํ สชฺชยึึสุุ ๏ ในกาลวัันนั้้น อัันว่่าหมู่่นาคมานพทั้้งหลาย ก็็แต่่ง สนามทึกบายะสุราบาน แลเครื่องอลังการนานา แห่งผรรเณนทราธิราช ภัตร ภาชนงามเลิิศแล้้ว แต่่ล้้วนแก้้วเจ็็ดประการทุุกสิ่่งแล ๏ โส ปน จกฺกวตติิรููปสิิรึึ นิิ- มมิิตฺวา นานปฺปการวิจิิตฺตวณฺณสุุวณฺณรชฏมณิิมยํํทิิพฺพเสตฉตตํํ ธารยมาเนหิิ ทิิพฺพภููสิิต ภููสิิเตหิิ อเนกสหสฺเสหิิ นาคมานเวหิิ เจว ทสฺสนกถนหสฺสนาทีีหิิ อาการวิิลาเส หิิ กามิินมโนหราหิิ ปรมวิิลาสาหิิ นาคกฺาหิิ ปริวุิุตฺโต ยุุคฺคนฺธรสมุุคฺคตรุุณ สุริุิโย วิิย


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๓๖ ทิิพฺพรตนปลฺลงฺเก นิสิินฺโน สพฺพรตนขจิิตฺตสุุวณฺณรชฏภาชเนสุุ อุุปฏฺฺาปิตํํ ิ จกฺกวตติิโภชนาหา รรหํ นานารสอนนปาณวิกตึ โอโลเกตวา ภุชิตุ อารทโธ อโหสิ ๏ อันดับกาลนั้น อันว่าพระญาผรรเณดศวราเสียรพิศ ก็เนียรมิตรรูปสุนธรธรา ประดุจสม เด็จมหาจักรพรรดิ แลมีนาคบรรสัชชทั้งหลาย แลพลนิกายนับพัน ก็แห่ด้วยเครื่องสรรพทิพยา คือเสวตรฉัตราทิพรัตน อันเป็นสิริสวัสดิ โอฬาร แลรชฎมาลยสุพรรณ สรรพพิจิตรต่างต่าง อันว่านางนาคทั้งหลาย มีีกายพึึงสุุดสวาท อัันอภิิลาศอุุดม คราดเครื่่องฉมคนธา เป็็นที่่ปรารถนา แห่งบุรุษ แลงามเป็นพุทธเป็นภาพควรแก่ยินมลาบยินดี รู้พาทีอภิ- ปราย แย้มยิ้มพรายจึ่งกล่าว พิดทูลท้าวควรชม มือประนมนอบน้อม นั่่งล้้อมเฝ้้าอุุรคราช เหนืือทิิพรััตนาศนบััลลัังก์์ อัันว่่าภุชัุังคราชา ประดุุจ พระภาณุุบวร ทิินกรจรอุุทััย รัังสีีไถงกระจ่่าง เหนืือพ่่างพื้้นคคนานดร อัันเทีียมยอดยุุคนธรคิิริินทร ก็็ทฤษฎิินโอชาหาร อัันบานสุุรา นานาขา


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๓๗ ทนิิยเนก รสดิิเรกทั้้งผอง อัันตั้้งอยู่่เหนืือภาชนะทองเงิินแก้้ว ก็็ปรารภแล้้ว เพื่อจะบริโภค ในกาลนั้นแล ๏ ตโต ภควา สพพพุทธจกกวตติราชาภิเสกาภิรชิต กวจสมภูเตน นววิธวาเรน สกลปฐวิกมปนสมตเถน อุปริปกกลาขารสตินตชยกุสุม โกวิลารปุบผวณณรตตปรมปํสุกุลจีวเรน กนกาจลสิขรปติมํ สมุคคภสุคตกายํ สมป ฏิจฉนโน สมนตสุรุจิรกนกคุหพภนตรโต อสมภิตตรุณหริณินโท วิย ปรมสุคนธกุฏิโต นิกข มิิตฺวา จ ปน อุุทยปพฺพตกููเฏ ปุุณฺณจนฺโท วิิย คนฺธกุุฏิิปมุุเข ฐตฺวา อานนทํํภิิกขุุสํํฆํํ สนนิิปาเตสิิ ๏ ในกาลปางนั้้น อัันว่่าสมเด็็จพระสวยมภููญาณมหิิมา ก็็ทรงพระพััสตรา วรวรางค์ สะพักเหนือพุทธางโสตรอดุลย์ มหาบางษุกุลพัสตรจีวะรา ปานรััตตบุุษบาสรเอ้้ง แสงสุุกเปล่่งสีีก่ำำดุุจกุุสุุมาสััมรอก แลสีีดอกโกวิิฬาร อันมีในสถานพนาทวา มีพรรณาอันชุ่ม จุ่มที่นีระลาขา แลมหาบังสุกุล จิิวรนั้้นไซร้้ อัันอาจให้้ธรณีีดล จลพิิจลจะลา สัังขยาได้้เก้้าครั้้ง บัังเกิิดเป็็น เกราะอัันไกร ชอบพระหฤไทยจิินดา เป็็นเครื่่องบรมพุุทธาภิิเษก อัันอดิิเรก


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๓๘ วิิสุุทธ แห่่งสมเด็็จทิิปทุุดดโมโคดํํมเจ้้า ประดุุจเกราะเข้้าการรงค์์ แห่่งองค์์ บรมจักรพรรดิ อันเป็นเครื่องขษัตริยุประโภค สมเด็จพระดิลกโลกยวิสุทธ รูปพระพุทธอัศจรรย์ กอปรด้วยฉัพพิธพรรณรังสี พระรัศมีปรำมวย กอปรด้วยทวัตดึงสมหาบุรุษลักษณาชวลิต แลอสิตยานุพยัญชนวรงค์ พระองค์เสด็จจากสถาน พุทธองค์ปานสิขเรนทร พระญาเศลสุพรรณ เสด็จจากพระคันธกุฎี สมเด็จพระนรสีหมุนิวร ปานดรุณไกสรสีหราช บ่่มิิได้้ไหวหวาดด้้วยสำำเนีียง เสีียงพิิทธยุุตอัันตก บ่่มีีสะดุ้้งตระหนกอาการ แก่พาลมฤคคราชทั้งหลาย เยื้องกรายสีหชำนัน จากสุพรรณคูหา รัศมีโสภาสมันต ธ เสด็จสถิตหน้าพระคันธกุฎี มีอุประมาทำเนียบ เปรียบบรมพุทธางค์ กลสสางกรจรอุไทย เหนือพระญาไศลบวร อันชื่อ ยุุคนธรพระหา สมเด็็จธิิรธรวรวราก็สั่่ ็งพระอานนท ให้้ผชุุมนิิกรอร หัันต์์ทั้้งปวงแล ๏ ตทา จ ปน วิิปสฺสนาสุุภายตนหตฺเถน สพฺพกิิเลสติิณลตานิิก


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๓๙ เร คณหิิตฺวา อิิทธิิปฺปาทวรภูมิูิยํํ ปาเตตฺวา จตุุสติิปฏฺฺานปณหิิยา ปหริิตฺวา กามรููปารููปภวสํํ ขาเต ตโย ภเว จุณณวิจุณเณ กตวา สห ปติสมภิทาหิ สพพาสวสมุจเฉทารหตตปตโต ปฐมคค สาวโก สาริปุตตวรคนธคโช ปติสมภิทปตเต อตตโน ปริวาเร คเหตวา อโนปมายคคสาวกลิลา ย ภควโต ทกขิณปสเส นิสีทิ ๏ ในกาลปางนั้น อันว่าพระมหาสาริบุตร อัน เป็นทักษิณพุทธพาหา ประถมอรรคสาวกอันเลิศ พระญาณประเสริฐ คัมภีร์ ประดุจคนธหัสดินทรกุญชรบวร ดลโลกกุตตรอรหันต์ ธ เผด็จ สรรพาสวะกิิเลศ เป็็นสมุุทเฉทประหาร กัับด้้วยพระปฏิสัิัมภิิทาญาณ ทั้งปวง ก็เอางวงมากระหวัดพามา ซึ่งตฤณลดาทั้งหลาย หมายคือกิเลศทั้ง ปวง ด้วยงวงคือพระหัตถ์ อันเป็นอายัตนวรา คือพระวิปัสสนาญาณแห่ง พระองค์ ก็ทิ้งลงในพสุธาอันพิจิตร คือพระอิทธิบาทบวรา เหยียบไปมา ด้้วยส้้นเท้้า คืือพระสติิปััฏฐานเจ้้าทั้้งสี่่ ธ ก็็กระทำำตรีีภพทั้้งสาม คืือกาม ภวารููปาภวะ แลอรููปภพทั้้งปวงไซร้้ ก็็ให้้เป็็นภััศมะ ตระบััดเป็็นจุุรรณวิิ


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๔๐ จููรรณา ธ ก็็พาบริิพารแห่่งพระองค์์ อัันทรงพระปฎิสัิัมภิิทา ก็็มาด้้วยสราพกะครรไล งามบ่มีที่จะอุประไมอุปประมา ก็เฝ้าอยู่ฝ่ายขวาแห่งสมเด็จ พระ สรรเพชญ์พุทธเจ้าแล ๏ ตทนนตรเมว สมาธิอวาเต วิริยงคารํ ปริปุเรตวา อนิจจาทิลกขณา อุกกามุขวิปสสนา ภสตุ โยเชตวา จตุมหาภุติกํ กรชกายอยปิณฑาณคคินา ปริ- ปาเจตวา ทานสนธาเสน คเหตวา สีลาธิกรณิยํ ถเปตวา อริยสจจกุเฏน ปหรนโต ตสส อวิชชา สีสํ ภินทิตวา อคคผลปตโต ทุติยสาวกมหาโมคคลลานตเถรกมมารวโร อตตนา สทิเส ปริ- วาเร คเหตฺวา ภควโต วามปสฺเส นิิสีีทิิ ๏ ในกษณกาลดัับนั้้น อัันว่่าพระมหาโมค คัลลา อันเป็นอุดดรพาหาพระพุทธมกุฏโลกาจารยบพิตร ธ ก็ประพฤติ กิตย ในทุติยอรรคสราวกะอันเลิศ ฝ่ายฤทธิประเสริฐวรา อุประมา แห่งพระมหาโมคคัลลาน ประดุจโลหาการศิลปี อันให้ชาลัคคีดำเกิง ใน เตาเพลิิงลนล่่าว อัันกล่่าวคืือวิริิยาอดุุลย์์ ให้้ไพบููลย์์ในสกนธอััคยา อััน กล่่าวคืือปรีีชาสมาธิินั้้น อัันธสููบวาตนิรัิันดรไปมา คืือพระวิิปััสสนาวรางค


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๔๑ จึ่่งวางโลหะลงเผา ในปากเบ้้าก็อุ็ ุประไมยต่่อพระไตรลัักษณญาณ ก็็ให้อุุ้ณหาการแห่งโลหะ อันกล่าวคือขันธะกรัชกาย อัน ธ หมายพรรณา ในมหา ภูตรรูปทั้งสี่ ให้สุกด้วยเปลวอัคคีโดยรอบ คือกอปรด้วยองค์ปัญญา เอา สัณธาสถือมาวางไว้ ได้แก่ให้ธนทาน วางไว้ในสถานหน้าทั่ง คือตั้งอยู่ใน ศีลบารมี แลตีด้วยค้อนไปมา คือพระจตุราริยสัจจธรรม ก็ทำลายเศียร ในอันตโลหา คืออวิชชาอันกำบังสัตว์ ธ ก็ถึงซึ่งอรหัตตผลญาณ ก็พาเอา บริิพารทั้้งหลาย อัันเสมอด้้วยพระกายแห่่งพระองค์์ ธ ก็็นำำคณะสงฆ์์ทั้้ง หลาย มาเฝ้าฝ่ายซ้ายแห่งสมเด็จพระสรรเพชญ์พุทธเจ้าแล ๏ ตโต อนตรา โลกิยโลกุตตรสทธา มหาโสณฑาย สกลกิเลสติณลตํ คเหตวา จตุสติปฏานวรชาณุุมหิิ อปราปรํํ ปหริิตฺวา สพฺพานฏฺฺวิิธายกกามรชชํํ ปปฺโปเตตฺวา อนิิจฺจาทิิวิิปสฺสนามุุเข ถเปตฺวา สมาธิิชิิวฺหา ปริิวตฺเตตฺวา าณธาฒาหิิ วิิทฺธเชตฺวา มคฺคผลคิิวาหิิ ปเวเสตฺวา อมตนิิพฺพานกุุจฉิิมหิิ ปุริุ ิโต อฺาต โกณฑฺมหานาโค สพฺพาสวปริิสุุทฺเธ อตฺตโน ปริิวาเร คเหตฺวา ภควนตํํ ปริิวาเรนฺโต ภควโต


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๔๒ ปจฺฉโต นิิสีีทิิ ๏ ในกษณกาลดัับนั้้น อัันว่่าพระอััญญาโกณฑััญญะ ประดุุจบััณฑรหัศดินทร รวบเอาติณณลดา อันกล่าวคือสรรพาทิกิเลศทั้งปวง มาด้้วยงวงอัันใหญ่่ คืือในโลกีียโลกุุตตรศรััทธา ฟาดไปมาซึ่่งตฤณลดา คือกิเลศ ในชาณุประเทศอันเลิศ คือพระสติปัฎฐานอันประเสริฐทั้ง สี่ ก็สะบัดเสียซึ่งธุลี คือกามอันบ่มีเป็นประโยชน์ทั้งหลาย ก็ตั้งไว้ภาย ในปาก คือปัญญามากพิจารณ์ อนิจสังขารทุกขอนัตต์ ก็กระหวัดเอา ด้้วยชิิวหาดม คืือสมาธิิสมาบััติิ ก็็เคี้้ยวให้้เป็็นภััศมด้้วยกราม คืือนาม ญาณสิิบประการ มีอุีุทยญาณเป็็นต้้น แลกลืืนให้้พ้้นเข้้าไปในฅอ ก็็เปรีียบ ต่่อพระอริิยมรรคอริิยผล ก็็ให้้บริบูิูรณ์์ในมณฑลสกลนาภีี คืือวารีีรสอมต โมกษนฤพาน ธ ก็็พาบริิวารแห่่งพระองค์์ อัันทรงธรรมบริสุิุทธิ์์วิิมุุตติิ อาสรพทั้้งหลาย มากราบถวายบัังคม สมเด็็จพระสรรเพชญ์พุ์ุทธเจ้้า แล้้วก็็ล้้อมเฝ้้าอยู่่เบื้้องพระขนอง แล ๏ ตทา สกลหทยพฺภนฺตเร ิิตํํ สพฺพานฏฺฺวิิธาย


๏ นัันโทปนัันทสููตรคำำ�หลวง ๏ ๔๓ กสพฺพกิิเลสํํ กปฺปวิิคมนสมเย ปฺจสุุริิยปาตุุพฺภาเวน มหณฺณโวทกวิินาสํํวิิย อริิยมคฺคสุริุิ- ยปาตุพภาเวน สุกขาเปตวา อคคผลปตโต มหากสสปเถโร อตตโน ปริวาเร คเหตวา ภควนตํ ปริวาเรสิ ๏ ในกาลนั้น อันว่าพระมหากัสสปเถร ยังกมเลนทริยจิตร อันมิศร ด้วยกิเลศลามก แลตกแต่งโลกีย บ่มีเป็นประโยชน์ทั้งปวง อันสถิตใน พระทรวงแห่งพระองค์ ประดุจคงคาอันมากในมหาสมุทร ให้แห้งสิ้น สุดด้วยพระอริยมัคค อันมานลักษณประสัษฐ ประดุจนฤรรพัดดิสูริยา เมื่่อกััลปาพิินาศ รััดศโมภาษทั้้งปวง ถ้้วนห้้าดวงนฤรุุชฌ ชลกำำนุุง สมุุทรบ่่มาน เมื่่อโลกานตรายฉิิบหายด้้วยอััคยา ธ ก็็ลุุธรรมมรรคาธิิก ธยาน ธ ก็็พาเอาบริิพารแห่่งพระองค์์ อัันธำำรงธรรมวิิสุุทธิ์์ มาล้้อมสมเด็็จพระพุุทธเจ้้าอยู่่แล ๏ อถฺเ มหาเถรา จตุุปาริิสุุทฺธสีีลจามิิกรกจุุกํํ ปารุุปิิตฺวา สมาธิิกรชฏกวเจน ถิิรํํ พนธิิตฺวา อุุตฺตมเตรสธุุตงฺคสนฺนาหํํ สนฺนยหิิตฺวา อโยนโสมนสิิการสร สตติิโตมรนิิวารนตถํํ๒ จตุุสติิปฏานผลกวรํํ คณหิิตฺวา สตตมจฺจนฺตภิิตตุุจฺฉาติิ ทารุุณตรํํ ชนชรามรณาทิิ ๒ ตามคำำศััพท์์ภาษาบาลีีควรเป็็น อโยนิิโสมนสิิการสรสตติิโตมรนิิวารนตถํํ


Click to View FlipBook Version