The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการเรียน ว32203 ชีววิทยาเพิ่มเติม 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by domerattana, 2021-05-28 03:09:30

เอกสารประกอบการเรียน ว32203 ชีววิทยาเพิ่มเติม 1

เอกสารประกอบการเรียน ว32203 ชีววิทยาเพิ่มเติม 1

เอกสารประกอบการเรยี น
ปการศกึ ษา ๒๕๖๔

นายรัตนชัย ตญั ญะ

ครูผูสอน

ชื่อ-สกุล....................................................................... ชั้น ม.๕/......... เลขที่.........
โรงเรยี นชะอวดวทิ ยาคาร

สาํ นกั งานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช

สงั กัดสาํ นักงานการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ

คำนำ

เอกสารฉบับนี้ ใชประกอบการเรียนรายวิชา ว32203 ชีววิทยาเพิ่มเติม 1 ภาคเรียนที่ 1
ปก ารศึกษา 2564 ของนกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที่ 5 โรงเรยี นชะอวดวทิ ยาคาร โดยมีสาระสำคัญเก่ียวกับ
โครงสรางและการสืบพนั ธุข องพืชดอก ผลและเมล็ด เนื้อเยื่อพชื ราก ลำตน และใบ การแลกเปลี่ยนแกส
และการคายนำ้ และการสงั เคราะหดวยแสงของพชื

ผูเขียนหวังเปนอยางยิ่งวา เอกสารประกอบการเรียนฉบับนี้จะเปนประโยชนตอครูและ
นักเรียนในการเรียนรูในรายวิชา ว32203 ชีววิทยาเพิ่มเติม 1 ตลอดจนสามารถนำไปประยุกตใชในการ
เรียนในรายวิชาอื่น ๆ ที่เกี่ยวของตอไป และหากเอกสารฉบับนี้มีขอผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา
ณ โอกาสน้ี

นายรัตนชยั ตัญญะ
ครูกลุมสาระการเรยี นรวู ิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

โรงเรียนชะอวดวทิ ยาคาร

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ว32203 ชีววิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ

FLOWER

โครงสรางและการปฏสิ นธิของพืชดอก

วชิ า ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เติม 1 ชนั มธั ยมศึกษาปี ที 5
ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ โรงเรียนชะอวดวทิ ยาคาร

โครงสรา งของดอกไม 1

ดอกเปนอวยั วะสบื พนั ธุข องพชื ซ่ึงภายในดอกจะมสี วนประกอบท่ี
สาํ คญั อยู 4 สว น คอื
1.กลบี เลยี้ ง (Sepal) มกั มีสเี ขยี ว เชน เดยี วกบั ใบ สามารถสงั เคราะห

แสงได หนา ที่ ปอ งกันอนั ตรายหรอื หอ หมุ ดอกตอนตมู

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ

โครงสรา งของดอกไม

2.กลบี ดอก (Petal) มสี ตี า ง ๆใชใ นการลอ แมลงเพ่ือชว ยในการ
สืบพนั ธุ โดยมีสีสวยกลิ่นหอม โคนกลบี ดอกมตี อมนํา้ หวาน

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 2

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชา ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ
โครงสรา งของดอกไม

3.เกสรตัวผู (Stamen) เปนอวัยวะสาํ หรับสรางเซลลส บื พันธเุ พศผู มัก
มหี ลายอนั เกสรตวั ผูป ระกอบดว ย

-กา นชูอบั ละอองเรณู ( Filament )
-อบั ละอองเรณู ( Anther) ซงึ่ ภายในมลี ะอองเรณู (Pollen grain)

http://generalhorticulture.tamu.edu/h202/labs/lab2/flower-links/male-female-parts.html

โครงสรา งของดอกไม

4.เกสรตัวเมยี (Pistil) มหี นา ท่ีใหเซลลส ืบพนั ธเุ พศเมยี ทเ่ี รยี กวา
เซลลไ ข ซึ่งเกสรตวั เมยี นน้ั ประกอบดว ย
- กา นชเู กสรตัวเมีย (Style)
- ยอดเกสรตัวเมยี (Stigma)

- รงั ไข (Ovary) ภายในมอี อวลุ (Ovule)และภายในออวลุ มเี ซลลไ ข
อยู (egg)

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 3

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ
4
ลกั ษณะของดอกในพืชใบเล้ยี งเดี่ยวและพชื ใบเล้ยี งคู

ชนดิ ของดอกไม
1. จําแนกตามโครงสรางและสว นประกอบ
2. จาํ แนกตามลกั ษณะของเพศ
3. จําแนกตามจาํ นวนดอก
4. จาํ แนกตามการติดอยูบนฐานรองดอก

1. จาํ แนกตามโครงสรางและสว นประกอบ

1.1 ดอกครบสว น (Complete flower)

คือ ดอกท่ีมสี วนประกอบครบทัง้ 4 สวน เชน ชบา ตอยตง่ิ
กุหลาบ บานบุรี มะลิ ชงโค อัญชัน มะเขอื พรู ะหง ผักบงุ แพงพวย บวั
หลวง เปน ตน

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชา ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ
5
1. จาํ แนกตามโครงสรา งและสว นประกอบ

2. ดอกไมค รบสว น (Incomplete flower)
ดอกท่มี ีสว นประกอบไมค รบท้ัง 4 สวน ซงึ่ อาจขาดสวน

หนึง่ สว นใดไปหรอื อาจขาดมากกวา 1 สวนก็ได เชน ขาว
ขา วโพด ตาํ ลงึ ฟก ทอง จําปา บานเยน็ เฟองฟา หนาวัว
มะละกอ แตงกวา มะยม มะเดอ่ื บวบ ละหงุ เปนตน

ดอกมะละกอ

2. จําแนกตามลักษณะของเพศ

2.1 ดอกสมบูรณเพศ (Perfect Flower)
ดอกทม่ี ีเกสรตัวผูแ ละเกสรตวั เมยี อยูใ นดอกเดยี วกนั
เชน ดอกชบา ดอกกหุ ลาบ ดอกบัว ดอกบานบรุ ี ดอกมะเขือ
ดอกพริก ดอกถ่วั ดอกฝา ย ดอกกะหลํ่า กลวยไม
ดอกขา ว ดอกผกั บุง ดอกแค เปนตน

2. จําแนกตามลักษณะของเพศ

2.2 ดอกไมสมบูรณเ พศ (Imperfect Flower)
ดอกทมี่ เี กสรตัวผแู ละเกสรตวั เมียเพยี งอยางเดยี ว

อยางใดอยา งหนงึ่ เชน มะพราว ฟกทอง บวบ
แตงกวา ขาวโพด ตําลงึ มะละกอ ตาล มะยม มะเด่อื
ดอกหนา วัว ฯลฯ

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชา ว32203 ชีววิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ

Cantaloupe Flower Types

https://www.google.co.th/url?sa=t&rct=j&q=&esrc=s&source=web&cd=5&cad=rja&uact=8&ved=0CDMQFjAE&url=http%3A%2F%2Fwww.agri.ubu.ac.th%2Fhorticulture%2Fpdf%2Fpl
antprop4.ppt&ei=NIThVL6cBoO0mwXn0ILQCw&usg=AFQjCNEsQg6CY8YI4jC0AhETl22HZXABCw&sig2=v1FQaVzwYF2XEyllYrxv6g&bvm=bv.85970519,d.dGc

3. จําแนกตามจาํ นวนดอก

3.1 ดอกเดยี่ ว (solitary flower) เปน ดอกทเ่ี กิดบนกานดอก เปน
ดอกเดย่ี วโดๆในแตล ะขอ ของกิ่งหรอื ลําตน เชน ชบา พูระหง จาํ ป
กุหลาบ การะเวก และบัว เปนตน
3.2 ดอกชอ (Inflorescence flower) เปน ดอกที่เกิดเปนกลุมอยบู น
กานดอกใหญเ ดียวกันประกอบดวยกา นดอกยอ ยหลายดอก แตล ะ
ดอกยอ ยมกี า นดอกยอ ย

3.1 ดอกเดยี่ ว (solitary flower)

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 6

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชา ว32203 ชีววิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ
3.2 ดอกชอ (Inflorescence flower)

3.2 ดอกชอ (Inflorescence flower)

หนาวัว (spadix) ทานตะวนั (head)

หางกระรอกแดง
(catkin)

พดุ พชิ ญา (simple cyme) หางนกยงู (raceme)

http://www.panmai.com/Flower/Flower.shtml

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 7

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ
ลักษณะรูปทรงของดอก

4. จาํ แนกตามการตดิ อยบู นฐานรองดอก 8

http://image.tutorvista.com/content/angiosperm-morphology/ovary-position.jpeg

การสืบพนั ธุข องพชื ดอก

วัฏจักรของพชื ทกุ กลมุ ไมวาจะเปนพชื ดอกหรอื พืชไรดอก เปน วฏั จกั รชวี ิต
แบบสลับ (alternation of generation)

- sporophyte
- gametophyte

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ว32203 ชีววิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ

Alternation of Generations

http://wallace.genetics.uga.edu/groups/evol3000/wiki/1e1d2/Evolution_in_Plants.html

การสบื พนั ธขุ องพืชดอก แบงออกเปน 2 ประเภท คอื
1. แบบอาศัยเพศ หมายถงึ การสืบพันธทุ ่ตี อ งมีการผสมระหวางเซลล
สืบพนั ธุเ พศผกู บั เซลลส บื พันธเุ พศเมยี และอวยั วะที่ใชในการสบื พนั ธขุ องพืช
กค็ ือ ดอกเม่ือผสมกนั แลว กเ็ จริญเติบโตเปน เมลด็ ซึ่งนาํ ไปเพาะจะสามารถ
งอกเปนพืชตน ใหมไ ด
2. แบบไมอ าศัยเพศ หมายถงึ การสบื พนั ธุท ีไ่ มตองอาศยั เซลลส ืบพนั ธุเพศผู
และเซลลสบื พันธุเพศเมีย แตใ ชส ว นตางๆ ของพชื เชน ราก ลาํ ตน ใบ
ไปปกชาํ ตดิ ตา ตอน ทาบกง่ิ การเพาะเล้ยี งเนอื้ เยื่อ เปนตน

การสบื พันธุของพืชดอก

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 9

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ

กระบวนการสรางเซลลสบื พันธเุ พศผู 10

กระบวนการสรา งเซลลส บื พนั ธเุ พศเมีย

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ

กระบวนการสรางเซลลส บื พนั ธุเพศเมีย

การงอกของหลอดเรณู

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 11

เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชา ว32203 ชีววิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ

การปฏสิ นธิซ้อน (Double fertilization steps)

หลังจากการปฏสิ นธิแลว
- รังไข (ovary ) เจรญิ เปน ผล
- ผนงั รงั ไข (ovary wall ) เจรญิ เปน เปลอื กและเนือ้ ของผลไม
- ออวุล (ovule ) เจริญเปน เมลด็
- ไข (egg ) เจริญเปน ตน ออนอยภู ายในเมลด็
- โพลารน ิวเคลยี ส (polar nucleus ) เจรญิ เปน เอนโดสเปรม
- เยอ่ื หมุ ออวุล (integument ) เจรญิ เปน เปลอื กหมุ เมล็ด
สาํ หรบั สวนประกอบอืน่ ๆ ของดอกจะเหยี่ วแหง และสลายตวั ไป

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 12

เอกสารประกอบการเรยี น รายวชิ า ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ

“ไมเ คยมีคําวาสายเกนิ ไป
ถา คดิ จะแกไขและเปล่ียนแปลง
ไมม คี าํ วาทอ แทหรือหมดแรง
ถา ยงั มีแสงของดวงดาวและดวงตะวนั ”

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 13

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
FRUIT and SEED

วิชา ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เติม 1 ชนั มธั ยมศึกษาปี ที 5
ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ โรงเรียนชะอวดวทิ ยาคาร

การเกิดผลและเมล็ด

ผลแตล ะชนิดมีลกั ษณะแตกตางกัน ประกอบดวยเนอ้ื เยอื่ 3 ชั้น ไดแ ก 1
1.1 เอกโซคารป (exocarp) เปนช้ันนอกสุดของผลทม่ี กั เรยี กวา เปลือก โดยท่วั ไป
ประกอบดว ยเนือ้ เย่ือเอพเิ ดอรมิสเพยี งช้ันเดียว แตก็มีผลบางชนิดท่ีเอกโซคาร
ประกอบดวยเนือ้ เยื่อหลายชั้นและอาจมปี ากใบดวย เอกโซคารปของพืชแตละ
ชนดิ จะมีลกั ษณะแตกตา งกันไป เชน เรยี บเหนียว เปน มัน ขรุขระ อาจมีหนาม มี
ขนหรอื ตอ มนํา้ มนั
1.2 มีโซคารป (mesocarp) เปนชนั้ กลางถัดจากเอกโซคารป เขามา ผลบางชนดิ
นน้ั มีโซคารป หนา บางชนดิ บางมาก มีโซคารป ของผลบางชนดิ เปนเนือ้ ออ นนมุ ใช
รบั ประทานได
1.3 เอนโดคารป (endocarp) เปนช้นั ในสุดของเพริคารป ประกอบดวยเนอ้ื เย่อื ที่
มคี วามหนาชัน้ เดียวหรือหลายช้นั จนมีลกั ษณะหนามาก บางชนดิ เปน เนื้อนมุ ใช
รับประทานได)

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

โครงสรางของผล

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 2

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

ผล เจริญจากส่วนของรังไข่ หรือส่วนของดอก เมือได้รับการถ่าย
ละอองเกสร หรือ ได้รับการผสมเกสร
ผลแท คือ ผลทเี่ กดิ จากรงั ไข
(True fruits)
ผลเทยี ม ผลทเ่ี จรญิ จากสว นอ่นื ๆ ของดอก
(False fruits หรอื Accessory fruit)
ผลลม ผลท่ไี มไดร ับการปฏิสนธิ
(Parthenocarpic fruit)

ประเภทของผล 3
1. ผลเด่ียว ( simple fruit )
2. ผลกลมุ ( aggregate fruit )
3. ผลรวม ( multiple fruit )

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

1. ผลเดยี่ ว ( simple fruit ) คือผลทเี่ กดิ มาจากรงั ไขอ นั เดียวในดอก
เดียวกัน ดอกอาจเปน ดอกเดย่ี วหรอื ดอกชอกไ็ ด โดยลกั ษณะของ
ดอกเดยี่ วท่ีจะกลายเปนผลเดย่ี วนั้น จะ ตอ งเปนดอก 1 ดอก และมี
รังไข 1 อนั เชน ผลสม มะเขือ ฟก ทอง แอปเปล

ผลเด่ยี ว ( simple fruit ) 4

ผลเด่ยี ว ( simple fruit )

ผลรวม ( multiple fruit )

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

2. ผลกลมุ ( aggregate fruit ) คือ ผลทเี่ กดิ จากรงั ไขห ลายรังไข
หรอื กลุมของรังไข ในดอกเดยี วกันของดอกเดีย่ ว รังไขแ ตล ะอนั ก็จะ
กลายเปน ผลยอยหนึง่ ผล เชน ผลนอ ยหนา สตรอเบอรี เปน ตน

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 5

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

3. ผลรวม ( multiple fruit ) คอื ผลทีเ่ กิดจากรงั ไข ของดอกแตล ะดอกของ ดอก
ชอซ่ึงเชอ่ื มรวมกันแนน รงั ไขเ หลา น้จี ะกลายเปน ผลยอย ๆ เชอื่ มรวมกันแนน
จนคลายเปน ผลเดี่ยวโดยลกั ษณะของดอกท่ีจะกลายเปน ผลรวมนั้น จะเปน
ดอกชอทมี่ ีรงั ไขข องดอกยอ ย แตละดอกมาเชอื่ มรวมกนั ไดแ ก ผลสบั ปะรด
ขนุน สาเก ยอ หมอ น มะเดอ่ื เปน ตน

http://www.esu.edu/~milewski/intro_biol_two/lab_4_seeds_fruits/Seeds_and_Fruits.html

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 6

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
7
ชนดิ ของผล (Types of Fruit)
1. ผลมีเน้ือสด (Fleshy Fruit) คอื ผลที่แกแลวมีผนงั ผลสดไมแหง แบง ออกเปน

1.1 ผลเมลด็ เดยี วแข็ง (Drupe)
ผลสดทม่ี เี มล็ดเดยี ว ผนงั ช้ันกลางเปน เนือ้ หนาออนนมุ ผนงั ช้นั ในแขง็ มาก
ไดแก พทุ รา มะมวง

http://web3.dnp.go.th/botany/BFC/fruit.html#classification

1.2 ผลแบบมเี นอ้ื หลายเมลด็ (Berry)
ผลสดทีม่ ีเมล็ดหลายเมล็ ด เนอื้ ผลออนนุม ผนงั ชน้ั นอกท่เี ปน

เปลอื กมลี กั ษณะออนนุม เชนเดยี วกนั ไดแ ก มะละกอ มะเขือเทศ

1.3 ผลแบบสม (Hesperidium)
ผลที่ผนงั ชน้ั นอกมตี อ มน้าํ มนั จาํ นวนมาก ผนังชน้ั กลางออนนุม คลาย
ฟองน้ําสขี าว ผนงั ชัน้ ในมลี กั ษณะเปนเย่ือบาง และมีบางสว นของชั้นน้ี
แปรรูปเปนถงุ น้าํ เพือ่ สะสมน้าํ ตาล และกรดมะนาว ไดแ ก สม มะนาว

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

1.4 ผลแบบแตง (Pepo)
ผลที่เจรญิ มาจากรังไขใ ตวงกลบี ผนงั ช้ันนอกแขง็ และหนา ผนงั ชนั้
กลางและผนงั ชน้ั ในหนาออ นนมุ ไดแ ก แตงโม แตงกวา นํ้าเตา

1.5 ผลแบบโพม (Pome)
ผลประเภทนีเ้ ปน ผลทีม่ ีววิ ัฒนาการกา วหนา มากทส่ี ุด มาจากรงั ไข

ชนดิ อยตู ํ่ากวา สวนอนื่ ๆ ของดอก (..............................................)
เนื้อแอปเปลทเี่ รากินเปน สวนทพี่ ัฒนามาจากฐานดอกรูปถวย
(hypanthium) ในขณะที่ ใจกลางผล (apple core) ทีเ่ ราทิ้งไปนน้ั คอื
สว นของผลท่แี ทจรงิ เชน ชมพู สาลี่ แอปเปล และลกู แพร

Inferior ovary 8

ผลเทยี ม ผลท่ีเจริญจากสว นอื่น ๆ ของดอก (False fruits หรอื Accessor fruit)

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

2. ผลแหง (Dry Fruit) คอื ผลท่ีแกแ ลว ผนังผลแข็งและแหง 9
แบง ออกเปน 2 ประเภทใหญๆ ไดแ ก

2.1 ผลแหง แกไมแตก (dry indehiscent fruit)
2.2 ผลแหง แกแตก (dry dehiscent fruit)

2.1 ผลแหง แกไ มแตก (Dry Indehiscent Fruit) แบง ออกเปน
ผลแหง เมลด็ ตดิ หรอื ผลแบบธญั พืช (Caryopsis or Grain)

ผลเดี่ยวหน่ึงเมลด็ เปลอื กแขง็ และเชอ่ื มติดแนน กบั เปลือกหมุ เมล็ด เชน ขาว
ผลเปลือกแขง็ มีกาบรปู ถว ย (Acorn)

ผลคลา ยผลเปลือกแข็งเมล็ดเดยี ว แตมีกาบหุม ผล (cupule) ทงั้ หมดหรอื บางสว น
เชน ผลเกาลดั กอชนดิ ตาง ๆ

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
10
•ผลแหงเมล็ดลอ น (Achene)
ผลขนาดเลก็ ผนังผลแหงและบาง มี 1 เมล็ด ผนังผลกับเปลอื กหมุ

เมลด็ แยกกนั สวนมากมีฐานรองดอกขนาดใหญ เชน บวั หลวง ถาผลเกิดจาก
รังไขใตว งกลีบ และมีขนทีป่ ลายเมลด็ เรียกวาผลแหงเมลด็ ลอ นปลายมขี น
(cypsela) เชน ผลของทานตะวนั
•ผลเปลอื กแหงเมล็ดเดียว (Nut)

ผลทม่ี เี ปลอื กแขง็ และผิวมัน เปน ผลท่เี กิดจากรังไขท ี่มีหลายคารเพล
เชื่อมกนั แตม เี มลด็ เดียว เชน ผลมะพรา ว กระจับ มะมวงหมิ พานต

•ผลแบบปก เดียว (Samara)
ผลทม่ี ผี นงั ผลชัน้ นอกเจรญิ ยน่ื ออกมาเปน ปก อาจมปี กเดยี วหรือ

มากกวา เชน ผลประดู กว ม หรอื ผลคลายผลปก เดียว (samaroid) มกี ลบี เลี้ยง
เจรญิ ไปเปน ปก เชน ผลยางนา เหียง พะยอม รกั ใหญ

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

ผลแหง แยกแลว แตก (Schizocarp)
ผลที่เจรญิ มาจากรงั ไขทม่ี ีหลายคารเ พลเชอื่ มกนั เม่ือรังไขเ จริญเตม็ ท่ี

แลว คารเ พลจะแยกกันแตละคารเ พล เรยี ก ซกี ผลแบบผักชี (mericarp) ซ่ึง
ภายในมี 1 เมล็ด เชน ผลผกั ชี ครอบจักรวาล

2.2 ผลแหง แกแลวแตก (Dry Dehiscent Fruit) แบง เปน 11
•ฝก แตกแนวเดยี ว (Follicle)
ผลทีเ่ กิดจากดอกที่มีคารเ พลเดียวหรอื หลายคารเพลทแ่ี ยกกัน เมอื่ ผลแกจ ะ
แตกเพียงตะเขบ็ เดยี ว เชน ผลจําป จําปา

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

•ผลแตกแบบผกั กาด (Silique)
ผลท่เี กดิ จากรังไขที่มี 2 คารเพล เมือ่ ผลแกผนงั ผลแตกตามยาวจาก

ดา นลางไปยังดา นบนแบง ออกเปน สองซกี เมลด็ ตดิ อยูแ นวกลางของผล (central
false septum) เชน ผลผกั กาดนก ผักเสยี้ น
•ฝก แบบถวั่ Legume

ผลที่เกดิ จากดอกที่มคี ารเ พลเดียว เมือ่ ผลแกจ ะแตกออกตามแนวตะเข็บ
2 ขา งของผล ไดแกผลของพชื วงศถั่ว

•ผลแบบฝก หักขอ (loment, lomentum)
ผลคลา ยผลแบบถว่ั แตม ีรอยคอดรอบฝกเปนชวงๆหรอื เวา เปนขอ ๆ เมื่อ

ผลแกจะหกั บรเิ วณน้ี แตละขอมี 1 เมลด็ เชน ผลไมยราพ คูน
•ผลแบบผักชี (cremocarp)

ผลขนาดเล็กมี 2 เมล็ด เม่ือผลแกแ ละแตกออก เมลด็ จะแยกจากกัน
โดยมคี ารโพฟอร (carpophores) เสน เลก็ ๆยดึ ไว

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 12

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชีววิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

•ผลแหง แตก (capsule)
ผลทเี่ กดิ จากดอกท่ีรังไขม หี ลายคารเ พลเช่ือมกนั และเม่อื ผลแกจะแตก แบง
ออกเปน

• ผลแหง แตกตามรอยประสาน (septicidal capsule)
ผลแหง แตกตามแนวยาวของผนงั คารเพล เชน ผลกระเชา สีดา

• ผลแหง แตกกลางพู (loculicidal capsule)
ผลแหง แตกตรงกลางพูของแตละชอ ง เชน ผลทเุ รยี น ตะแบก

•ผลแหง แตกเปนชอง (poricidal capsule) 13
ผลแหง ทีเ่ ปดเปนชองหรอื รใู กลย อดผล เชน ผลฝน
•ผลแหง แตกแบบฝาเปด (circumscissile capsule, pyxis)
ผลแหงแลวแตกตามขวางรอบผลลกั ษณะเปนฝาเปด มีเมลด็ จาํ นวนมาก เชน
ผลหงอนไก

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

การเกิดเมล็ด

Polar nuclei (2n) + Sperm (n) -- endosperm (3n) 14

http://www.groedibles.com/2010/11/your-gardens-legacy-seed-saving-and-harvesting/

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
15
ละห่งุ

สว นประกอบของเมลด็

สว นประกอบของเมล็ดอาจแยกออกเปน 3 สว นดงั นี้
1. เปลอื กหมุ เมลด็ ( Seed coat หรอื Testa ) ทาํ หนาทีป่ องกนั สว นทอ่ี ยภู ายใน โดยปองกนั
อนั ตรายและปองกนั การคายนํ้า หากมีเปลอื ก 2 ช้ัน ช้นั นอกจะหนาแขง็ แรงและเหนยี ว สวน
ช้ันในเปน ชัน้ บางๆ ซึง่ บางคร้ังชั้นในไมม ี หากเห็นกา นยึดเมล็ดตดิ กับรงั ไขเรยี กกา นนวี้ า
ฟนนคิ วิ ลสั ( Funiculus ) เม่ือเมลด็ หลุดออกจากกา นจะเห็นเปน รอยแผลเปน เลก็ ๆเรียกวา ไฮลัม
( Hilum ) ถาบรเิ วณรอยแผลเปน นั้นมเี นื้อเขง็ ๆ ติดมา เนื้อนั้นเรียกวา คารงั เคลิ ( Caruncle )
ถากานนตี้ ดิ อยกู ับเปลอื กของเมล็ด และเปน สันขน้ึ มาเรียกสันน้ันวา ราฟ ( Raphe ) สันน้ีจะอยู
เหนือ รูไมโครไพล ( Micropyle ) รูน้เี ปน ทางใหหลอดละอองเรณู ( Pollen tube ) ผานเขาไป
ตอนกอ นเกดิ การปฏสิ นธแิ ละเปน ทางใหร ากออ น ( Radicle ) งอกออมาจากเมล็ด

2. เอนโดสเปร ม ( Endosperm ) เปน อาหารสะสมสาํ หรับเอม็ บรโิ อสวนใหญ
เปนอาหารประเภทแปง หรอื คารโบไฮเดรต มีโปรตีนและไขมันปะปนอยดู วย
พบในเมล็ดของพชื ใบเล้ียงคบู างชนิด เชน ละหงุ ซึง่ มีเอนโดสเปรมแข็ง สว น
เมล็ดของพชื ใบเลย้ี งเดีย่ วบางชนดิ เชน มะพราว มเี อนโดสเปร มทัง้ ของแขง็ และ
เหลว คอื เนื้อมะพรา ว และนาํ้ มะพราว ในเมลด็ ถั่วเอนโดสเปรม จะรวมสะสมอยู
ในใบเล้ียงจงึ เห็นไดวาเมลด็ ถัว่ สามารถแกะแยกออกเปน 2 ซีก
ไดโ ดยงา ยแตล ะซีกน้นั คอื ใบเล้ียง

http://leavingbio.net/the%20structure%20and%20functions%20of%20flowers.htm

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

3. เอ็มบรโิ อ ( Embryo ) คอื สวนท่จี ะเจริญเตบิ โตเปน ตน ไมตอ ไป สวนน้ี
ประกอบดวยสว นยอย ๆ หลายสว นคือ

1. ใบเลย้ี ง ( Cotyledon ) ในพชื ใบเลีย้ งคูมี 2 ใบ และในพชื ใบเลย้ี งเดี่ยว
มเี พยี งใบเดียว ใบเล้ยี งน้จี ะไมทาํ การสังเคราะหด ว ยแสงและไมเ จรญิ เตบิ โต
ตอไป

2. เอพคิ อทิล ( Epicotyl ) สว นทีอ่ ยเู หนือตําแหนง ใบเล้ยี ง เมื่อเมล็ด
งอกเปนตน พชื สว นนี้จะกลายเปน ลาํ ตน ใบ และดอกของพืช

3. ไฮโพคอทิล ( Hypocotyl ) เปนสว นที่อยใู ตต าํ แหนง ใบเล้ยี งลงมา
เมอื่ เจริญเตบิ โตตอไปสว นน้ีจะเปนสวนหนง่ึ ของลาํ ตน

4. แรดิเคลิ ( Radicle ) สว นน้อี ยูถ ดั จากสว นของลาํ ตน คอื อยใู ตไ ฮโพ
คอทลิ ลงมา ตอไปจะเจรญิ ไปเปนรากแกว ซงึ่ ในพืชใบเล้ยี งเดี่ยวจะมรี ากแกวอยู
ในชวงระยะเวลาสั้น ๆ หลังจากนัน้ จะเปน รากฝอย ซงึ่ ตางจากพืชใบเล้ยี งคทู ี่มี
รากแกวอยตู ลอด

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 16

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

“อยาเปนคนเกง ที่แลงนา้ํ ใจ
แตจ งเปนคนธรรมดาท่วั ไป
ท่มี นี ้ําใจและไมเ หน็ แกต ัว”

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 17

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
1
การสบื พนั ธแุ บบไมอาศยั เพศ
ของพชื ดอก

ครรู ตั นชัย ตญั ญะ
โรงเรียนชะอวดวทิ ยาคาร

2 การสบื พนั ธแุ บบไมอ าศยั เพศของพืชดอกและการขยายพันธพุ ชื

2.1 การสบื พนั ธแุ บบไมอาศยั เพศของพืชดอกและการขยายพันธพุ ชื โดยการ
เพาะเลี้ยงเน้อื เย่อื และการทาํ เมลด็ เทียม

ตัวอยางการเพาะเลีย้ งเนื้อเยอ่ื พชื ชนดิ ตา ง ๆ
1. การเพาะเลยี้ งเนื้อเย่อื หนา วัว

แสดงข้ันตอนที่ 1 เลอื กใบหนา วัวออน แสดงข้นั ตอนท่ี 2 เตรียมสารละลาย
สาํ หรบั ฟอกฆา เช้ือ

แสดงขนั้ ตอนที่ 3 แชใ บหนาววั แสดงขน้ั ตอนที่ 4 ลางดว ยน้าํ กลัน่
ในสารละลายฟอกเชอ้ื น่งึ ฆา เชอื้

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

แสดงขนั้ ตอนที่ 5 ตัดเน้อื เยือ่ ใบเปน แสดงข้ันตอนท่ี 6 วางเลี้ยงบนอาหาร
ช้ิน ขนาด 1 x 1 ซม. สงั เคราะหท ่เี ตรยี มไว

แสดงข้ันตอนท่ี 7 กลุมเซลลแคลลสั แสดงขน้ั ตอนที่ 8 เปล่ยี นลงเล้ียงในอาหาร
ท่ชี กั นําใหเกดิ ตน และยอด

แสดงขั้นตอนท่ี 9 นาํ ตน ทไ่ี ดมาชกั นาํ แสดงขน้ั ตอนที่ 10 นําไปปลกู เพอื่ ให
ใหเกิดราก ปรับตัวในโรงเรือน

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 2

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
3
2. การทาํ เมลด็ เทียม (Artificial seed)
สวนประกอบของเมล็ดเทียม มีดังนี้
1. เอม็ บรโิ อหรือตนออ น
2. เอนโดสเปร มเทยี ม (Artificial endosperm) เพือ่ ใหอ าหารแกเ อ็มบรโิ อหรือตน ออน
3. เปลอื กหุม เมลด็ เทยี ม (Artificial seed coat) ทําหนาทห่ี อ หุม และปองกันอันตราย
ใหกับตนออ น
การทาํ เมลด็ เทียมของกลว ยไม มขี ั้นตอนดงั น้ี

1. นาํ เซลลข องพชื ท่ีเจรญิ จากการเล้ยี ง
เนอ้ื เยอ่ื มาเปน เอม็ บริโอ เรยี ก เอ็มบรโิ อน่ีวา
โพรโทคอรม (protocorm)

แสดงโพรโทคอรม (protocorm)

2. สรางเอนโดสเปร ม โดยนําโพรโทคอรม มาใสใ นสารละลายโซเดียมแอลจเิ นต
(sodium alginate)

3. สรางเปลอื กเมลด็ โดยดูดสารละลายโซเดยี มแอลจิเนต (sodium alginate) โดย
ใชติดโพรโทคอรม นําไปหยดลงในสารละลายแคลเซยี มคลอไรด (calcium
chloride) จะเกดิ เปน เมลด็ กลม ๆ ท่ีมีเปลือกแขง็ หุม

แสดงเอนโดสเปร ม และการสรา ง แสดงเมลด็ เทยี มของกลว ยไม
เปลอื กหุมเมล็ด

2.2 การสืบพนั ธแุ บบไมอ าศยั เพศของพชื ดอกและการขยายพันธพุ ชื โดยใช
สว นประกอบตา ง ๆ พชื ดอกสามารถสบื พันธุแ บบอาศยั เพศโดยการใชเมลด็ และ
การสบื พนั ธแุ บบไมอ าศัยเพศโดยใชส ว นประกอบอ่ืน ๆ ของพชื ดงั นี้
1. การตอนกิง่
2. การตดั ชํา
3. การตอก่ิง หรอื เสียบกงิ่
4. การติดตา
5. การทาบกงิ่
6. การใชหนอ
7. การใชร าก
8. การใชใบ
9. ใชหนอ ยอ ย

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

การเจรญิ เติบโตของพชื

โดยเร่มิ จากพืชมกี ารเตบิ โต (growth) ซง่ึ มกี ารเปล่ยี นแปลงดา น
ปรมิ าณคอื มกี ารเพม่ิ จํานวนเซลลซ งึ่ เกดิ จากการแบง เซลล (cell
division)
แบบไมโทซิส (mitosis) และการขยายขนาดของเซลล (cell
elongation)

มีการเปลย่ี นแปลงโครงสรา งและองคป ระกอบเซลล (cell
differentitation) ซง่ึ เปนการสรางรูปราง (form) เพอื่ ใหเหมาะสมกับ
การทาํ หนาท่จี าํ เพาะตา ง ๆ เชน ลาํ เลยี ง สงั เคราะหดว ยแสง เปน ตน

การเจรญิ เตบิ โตของพชื จะเกิดบรเิ วณท่มี เี น้อื เยอื่ เจริญ
(meristematic tissue)

วธิ ีวัดการเจรญิ เตบิ โตของพืช

1. การวดั การเพ่มิ ขนาดหรือปรมิ าตร ทาํ การวดั ความยาว ความสงู เสน
รอบวงของลาํ ตน
2. การวดั การเพ่มิ นํา้ หนกั

2.1 วดั น้าํ หนกั สด (fresh weight)
2.2 วดั น้าํ หนกั แหง (dry weight)
3. วธิ ีวัดการเจรญิ เติบโตแบบอืน่ ๆ ไดแก
 การนบั จํานวนโครงสรางทเ่ี พิ่มขน้ึ
 การเปลย่ี นแปลงของโครงสรางพชื
 ช่งั นาํ้ หนกั หรือมวลทงั้ หมดของพืช

กราฟ แสดงการเจรญิ เติบโตของพชื 4

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ
เนือเยือพืช

ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เติม 1 ชันมธั ยมศึกษาปี ที 5
ผู้สอน ครูรัตนชัย ตัญญะ โรงเรียนชะอวดวทิ ยาคาร

โครงสรา งและ
องคประกอบของพชื

Essential Biology

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 1

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ
2
เน้ือเย่ือของพชื (plant tissue)

ทหําลงาาพยนๆืชรเเวซปมลน กลสนัริง่ วมนมีชเ้ี รกวี าลติ เมุรชยีนทกาิดํ เงหนานอื้นงึ่ เรทยว ป่ีอื่มรก(ะtนัiกssอกuบeลด)มุ วขยอเซงเลซลล ล(cทeี่มll)า
เนื้อเยอ่ื พชื แบง เปน 2 ประเภท ไดแ ก

1.เนอื้ เยือ่ เจรญิ (meristematic tissues)
2.เน้อื เย่อื ถาวร (permanent tissues)

1. เนือ้ เยือ่ เจริญ (meristematic tissues)

คอื กลมุ ของเซลลท ่มี ีการเจรญิ และแบง ตวั แบบไมโทซสี (mitosis)
อยตู ลอดเวลา

ลักษณะของเนือ้ เยอื่ เจรญิ

1. เซลลมีขนาดเลก็
2. ผนงั เซลลบ าง
3. มีนวิ เคลียสขนาดใหญ
4. vacuoles ไมม ี หรือ มขี นาดเล็ก
5. ไมมี intercellular spaces คอื ชอ งวา งระหวา งเซลลขณะเซลลเ รียงตวั

1. เนื้อเยือ่ เจรญิ (meristematic tissue)

เปนเนื้อเยื่อท่ีประกอบไปดวยเซลลที่มีลักษณะคอนขางกลม
ท่ีเรียงตัวอยูชิดกัน เปนเซลลท่ีสามารถแบงเซลลแบบไมโทซิส
(mitosis) ไดอยางตอเน่ือง ภายในเซลลจะเห็นนิวเคลียสใหญชัดเจน
อาจมีแวควิ โอลหรอื ไมก ไ็ ด

จําแนกตามลําดับการเกิด จาํ แนกตามทีอ่ ยู

1. promeristem 1. apical meristem
2. primary growth 2. intercalary meristem
3. secondary growth 3. lateral meristem

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ
3
meristermatic tissue
primary growth
secondary growth

1. เนื้อเยือ่ เจริญ (meristematic tissues)

1.1 เนอ้ื เยื่อเจรญิ ระยะแรก (primary growth) ประกอบดวยเนอ้ื เย่อื ท่ีอยู
ช้นั PนอriกmสดุaไrปyชMัน้ ในeสrุดistems
-> Primary Tissues

Protoderm -> Epidermis

Ground Meristem -> Ground Tissues

Parenchyma, Collenchyma & Sclerenchyma

Procambium -> Vascular Tissues

primary phloem primary xylem

1. เน้ือเยอื่ เจรญิ (meristematic tissues)

1.2 เนื้อเย่อื เจรญิ ระยะท่ีสอง (secondary growth) เปน การสรา งเนื้อเยอ่ื ท่ี
ใชในการลาํ เลียง โดยเจรญิ ออกทางดานขา ง โดยสวนของ vascular
cambium จะแบง เซลลแ บบmitosis และเจริญเปน secondary xylem กับ
secondary phloem ซ่งึ ทาํ ใหเกดิ วงป (annual ring)

http://blog.woodcraft.com/2012/01/wood-lp-spins-music-to-the-ears/

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ
secondary meristem

ตาํ แหนงที่พบในสว นตางๆ ของพชื 4

1. เน้ือเย่ือเจริญสว นปลาย (apical meristem)
คือเนอ้ื เยอ่ื ทอ่ี ยบู รเิ วณปลายยอด (shoot tip ) หรือ

ปลายราก(root tip) ของพชื เมื่อมีการแบง ตัวเพม่ิ จํานวน
เซลลจ ะทาํ ใหร ากและลําตน ยืดยาวออก เพ่ิมความสงู ใหก บั
ตน พชื เปนการเจริญขนั้ แรก (Primary growth)

เน้อื เยอ่ื เจรญิ สวนปลาย (apical meristem)

3 12 3
1

2

1. Protoderm 2. Ground Meristem 3. Procambium

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ

2. เน้อื เยอื่ เจรญิ เหนอื ขอ (intercalary meristem)

คือ เนอ้ื เยื่อที่อยูบรเิ วณเหนอื ขอ หรือโคนของปลอ งในพชื ใบ
เลยี้ งเดีย่ ว เชน ออ ย ไผ ขา วโพด หรอื หญา เปน ตน เมื่อมีการ
แบง ตัวจะชวยใหป ลอ งยาวข้นึ

ทีมา http://www.nana-bio.com/e-learning/Meristem.htm

3. เนื้อเยือ่ เจริญดา นขา ง
(lateral meristem หรือ axillary meristem)

คือ เนอ้ื เย่อื เจริญที่แบงตวั ออกดานขา งของลาํ ตน หรอื ราก
เมอื่ แบง ตวั แลว จะทาํ ใหล าํ ตน ราก ขยายขนาดออกทางดา นขาง
หรอื มขี นาดใหญข นึ้ เปน การเจริญข้นั ท่ี 2 (Secondary growth)
เรยี กเน้ือเย่อื เจริญดา นขางนวี้ า แคมเบยี ม (cambium)
แบงเปน 2 ชนดิ คือ

3.1 Vascular cambium

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 5

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ
3.2 cork cambium หรือ Phellogen

ใหก าํ เนิดคอรก หรอื เฟลเลมหมุ รอบรากและลาํ ตน พชื ใบเลี้ยงคู
ท่มี ีอายุมาก

เนอื้ เยอ่ื ถาวร (permanent tissues) 6

หมายถงึ กลมุ ของเซลลท ่ีในสภาพปกตไิ มม กี ารแบง ตัว
โดยเซลลเ หลานเี้ จริญเปลย่ี นแปลงมาจากเน้อื เยอ่ื เจรญิ อีก
ทีหนงึ่ แบง ออกเปน 2 ประเภท คือ
1. เน้ือเยอื่ ถาวรเชงิ เด่ียว (Simple permanent tissue)
2. เนื้อเยือ่ ถาวรเชงิ ซอน (Complex permanent tissue)

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ
7
เนื้อเยื่อถาวรเชิงเดย่ี ว (Simple permanent tissues)

ประกอบดว ยกลมุ เซลลชนดิ เดยี วกนั มารวมกันเพือ่ ทํา
หนา ทอี่ ยา งเดียวกนั แบง ออกได 2 ประเภท ไดแก

1. เนอ้ื เยื่อปองกัน/ เนอ้ื เยื่อหอ หมุ (Protective tissue)
2. เนื้อเย่ือพน้ื ฐาน (Ground tissue)

เนอ้ื เย่ือปองกนั (Protective tissue)

ทาํ หนาทีป่ อ งกนั อนั ตรายรวมท้งั การสูญเสยี นํา้ มักอยู
นอกสุดของราก ลาํ ตน และใบ แบง ออกเปน 2 ประเภท
คือ

- เอพิเดอรม สิ (Epidermis)
- คอรก (Cork) หรอื เฟลเลม (Phellem)

เอพิเดอรม สิ (Epidermis)

• ปกปอ งคมุ ครองเน้ือเยื่อตา ง ๆ
• ผิวดา นนอก มสี ารขผ้ี ง้ึ พวกคิวตนิ (cutin) ฉาบอยเู พ่อื ชว ยปองกันการ

ระเหยของนํ้า
• ชน้ั ของควิ ตนิ นี้เรียกวา ควิ ติเคลิ (cuticle)

http://botit.botany.wisc.edu/Anatomy/Glossary/Ep1.html

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ
หนาท่ีของเอพิเดอรมสิ 8

1. ใหความแข็งแรงและชว ยปอ งกนั อันตรายใหก ับเน้อื เยอ่ื
ทอ่ี ยูถ ดั ไป

2. ชว ยปอ งกนั ไมใหนา้ํ ซมึ ผานเขาไปในรากมากเกนิ ไป เพราะ
จะทาํ ใหร ากเนา

3. เจรญิ เปล่ยี นแปลงไปเปน ขนราก เซลลค มุ ขนและตอม

- ขนราก เพ่อื เพมิ่ พ้นื ทใี่ นการดูดซมึ น้ําและแรธาตุ

ทีมา http://www.nana-bio.com/e-learning/permanent.htm

ลักษณะปากใบ - เซลลคมุ ทําหนาทคี่ วบคมุ การปด -เปด ของใบ

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ

คอรก (Cork) หรอื เฟลเลม (Phellem)

เกิดจากการแบงตัวของคอรก แคมเบียม หรือเฟลโลเจน
เมอื่ คอรกเตบิ โตเตม็ ท่ีแลว โพรโทพลาสซึมและเยอ่ื หมุ เซลล
จะสลายไป เหลอื เฉพาะผนงั เซลลท มี่ ซี ูเบอริน และคิวตเิ คลิ
สะสมซง่ึ นา้ํ จะไมส ามารถผา นได เนื้อเยอื่ ชน้ั คอรกรวมกับเฟล
โลเจนและเฟลโลเดริ์ม เรียกรวมวา เพอริเดริ ม (Peridrem)

เนอื้ เยอื่ พ้นื ฐาน (Ground tissue)

เปน องคป ระกอบในราก ลาํ ตน ใบ ดอก และเปน ตวั กลางให
เน้อื เย่อื อ่นื ๆ แทรกตัวอยู มหี ลายประเภท ไดแ ก

• พาเรงคมิ า (parenchyma)

• คอลเลงคมิ า (collenchyma) สเกลอรีด (scleried)
• สเกลอเรงคิมา (sclerenchyma) เซลลเ สนใย (fiber)
• เอนโดเดอรมสิ (Endodermis)

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 9

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ
10
พาเรงคมิ า (parenchyma)

พบไดแ ทบทกุ สว นของอวยั วะพชื
รูปรา งหลายแบบ บางเซลลคอนขาง
กลม รี ทรงกระบอกหรือเปน เหลีย่ ม
มชี องวา งระหวา งเซลล (intercellular
space)
ช่องว่างระหว่างเซลล์

ทีมา http://botit.botany.wisc.edu/images/130/Cells_&_Tissues/Celery_Petiole/Parenchyma.html

พาเรงคิมา (parenchyma)

ตดั ตามยาว (long section) ตัดตามขวาง (cross section)

ทีมา http://botit.botany.wisc.edu/images/130/Cells_&_Tissues/Celery_Petiole/Parenchyma.html

พาเรงคมิ า (parenchyma)

ช่องอากาศ
(air space)
สะสมแป้ง

ทีมา http://botit.botany.wisc.edu/images/130/Cells_&_Tissues/Celery_Petiole/Parenchyma.html

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ
11
หนา ท่ขี องพาเรงคิมา

1. สะสมนาํ้ และอาหารพวกแปง โปรตนี และไขมัน
2. ในลําตน พชื ออ น ๆ ทําหนา ท่ีสงั เคราะหด ว ยแสง
3. ในพชื ตระกูลถ่วั จะอยรู วมเปนกลุมทโี่ คนกา นใบทําหนาทเ่ี กี่ยวกบั
การหุบใบ กางใบในรอบวนั
4. ในพชื C3 พชื C4 บางชนดิ พาเรงคมิ าจะเจริญลอมรอบมดั
ทอลาํ เลยี ง ถาภายในมีคลอโรพลาสตก ็จะสังเคราะหดวยแสงดว ย
น5.าํ้ ใมบันพชื บางชนดิ จะเจริญเปล่ียนไปเปน ตอมสรา งสาร เชน สรา ง
6. พาเรงคิมาในมดั ทอลาํ เลยี งจะทาํ หนาท่ีลาํ เลียงอาหาร
7. ในเกปาลนี่ยในบไแปลเปะเน สนแกอลเารงงใคบิมขาอง(พAeชื rบeาnงcชhนymิดaเ)ชน พทุ ธรกั ษา

คอลเลงคมิ า (collenchyma)

ผนงั เซลลหนามากตามมมุ ของ
เซลล ไมส มํา่ เสมอ
เปนการเพ่มิ ความยดึ หยุน
สารทีม่ าฉาบทีผ่ นังเปน
สารประกอบพวกเซลลูโลส
และเพคตนิ

ผนังเซลล์

ทีมา http://www.science.smith.edu/~mmarcotr/Hortwebpage- fall/handouts/figures-overheads/anatomyfigures.htm

คอลเลงคิมา (collenchyma)

ทีมา http://www.science.smith.edu/~mmarcotr/Hortwebpage- fall/handouts/figures-overheads/anatomyfigures.htm

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ
12
สเกลอเรงคิมา (sclerenchyma)

ผนังเซลลหนามากสารทมี่ าฉาบ
เปนสารพวกลกิ นิน (lignin)
เปนโครงกระดกู หรอื โครงรางของ
พชื จาํ แนกออกเปน 2 ชนิด

เซลลเ สน ใย (fiber)

• รปู รา งของเซลลยาวมาก
• หวั แหลมทา ยแหลม
• ผนังเซลลห นามากเปน

สารประกอบลกิ นนิ
• ชอ งวางภายในเซลลแคบ

มากเรียกวา ลเู มน
• มคี วามเหนยี วและ

ยดื หยุน

สเกลอรดี (scleried) รปู รา งสน้ั และปอม อาจกลมหรอื
เปนเหลยี่ ม ผนงั เซลลห นา มกั พบ
ตามท่ีแขง็ มากๆ เชน กะลามะพราว
เมลด็ พุทรา

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ
13
เอนโดเดอรม ิส (Endodermis)

Endodermis
สวนใหญพ บในรากพืชใบ
เล้ยี งเด่ยี ว เซลลเรียงตวั เปน
แนวเดยี ว ผนงั เซลลบ าง มสี าร
พวกซูเบอรนิ ควิ ตนิ หรอื ลกิ นนิ
มาสะสมเปนแถบทาํ ใหผนังเซลล
หนา เปน แถบ ซึ่งจะกดี ขวางนาํ้
และอาหารไมใ หผ านไดส ะดวก

ทีมา http://botit.botany.wisc.edu/images/130/Root/Monocot_Roots/Zea_Root/Endodermis_vasc_tissue

หนาทขี่ องเอนโดเดอรม ิส

1. ปองกนั เน้ือเย่อื สว นทอี่ ยถู ัดเขา ไปขา งใน
2. เปนทางผา นของนํ้า เกลือแร อาหาร และกดี ขวาง
การลาํ เลยี งสารดงั กลา ว

เนือ้ เยอ่ื ถาวรเชิงซอ น (Complex permanent tissue)
ประกอบดวยกลมุ เซลลหลายชนิดมาทาํ งานรวมกัน ซึง่
เนื้อเย่อื ถาวรเชิงซอนแบงออกเปน 2 ประเภท ไดแ ก เน้อื เยอื่ ท่ี
ทําหนา ท่ลี าํ เลยี งนํา้ แรธาตุ เรียกวา ไซเลม (xylem) และเนื้อเย่อื
ลําเลียงอาหาร เรียกวา โฟลเอม (phloem)
• ไซเลม (xylem) เทรคดี (Tracheid)
เวสเซล (Vessel)
ไซเลมพาเรงคิมา (xylem parenchyma)
ไซเลมไฟเบอร (xylem fiber)
• โฟลเอม (phloem) ซีฟทวิ เมมเบอร (sieve tube memeber)
คอมพาเนียนเซลล (companion cell)
โฟลเอมพาเรนคมิ า (phloem parenchyma)
โฟลเอมไฟเบอร (phloem fiber)

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ
14
ไซเลม (xylem)

ลาํ เลยี งนํ้าและแรธ าตุ
ประกอบดวย

1. tracheid
2. vessel
3. xylem parenchyma
4. xylem fiber

ทีมา https://webspace.utexas.edu/harms/VEVI3/transport.html

เทรคีด (Tracheid)

รปู รางยาว
หวั ทายคอ นขางแหลม
ผนังเซลลห นา
มีสารพวกลกิ นนิ สะสม
ผนังมีรูพรุนทเ่ี รียกวา pit
พบมากในพืชชน้ั ตาํ่
(vascular plant) เชน
เฟน สน เปนตน

ทีมา http://facweb.furman.edu/~lthompson/bgy34/plantanatomy/plant_cells.htm

เวสเซล (Vessel)

• คลายทอ ยาวๆ ทีป่ ระกอบดว ย
ทอ ส้ันๆหลายๆทอ มาตอ กัน

• ทอ สั้นแตล ะทอ เรยี กวา vessel
member หรอื vessel element

• ผนงั หนาเปนสารพวกลิกนินมา
สะสม มีชองทะลถุ งึ กัน ซึ่งมี
ลักษณะเปน รอยปรหุ รอื รูพรุนท่ี
เรียกวา perforation plate

• พบมากในพชื ชนั้ สูงหรอื
พืชมดี อก

ทีมา http://www.dbdmart.com/lifesigngatc/product.php?cat=88432&lang=en

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564


Click to View FlipBook Version