The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการเรียน ว32203 ชีววิทยาเพิ่มเติม 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by domerattana, 2021-05-28 03:09:30

เอกสารประกอบการเรียน ว32203 ชีววิทยาเพิ่มเติม 1

เอกสารประกอบการเรียน ว32203 ชีววิทยาเพิ่มเติม 1

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ

ไซเลมพาเรงคมิ า (xylem parenchyma)

เปน เซลลทยี่ ังมชี วี ิตอยูเพยี งเซลลเ ดยี ว ในเน้ือเยือ่ ไซเลม
มีผนังบาง แตเ มื่อแกแลวจะมีสารลิกนนิ มาสะสม ทําใหผ นงั หนา
ขน้ึ ปกติจะเรียงตัวในแนวตง้ั แตบ างกลมุ จะเรียงตวั ตามขวางหรอื
ตามแนวรศั มี ทาํ หนา ทล่ี ําเลยี งนํา้ และเกลือแรไปตามดานขาง
เรยี กวา ไซเลมเรย (xylem ray)

ไซเลมไฟเบอร (xylem fiber)

ผนงั หนา รปู รา งยาวเรียว หัวทา ยแหลม มลี กั ษณะคลาย
เสน ใย เปนเซลลท ตี่ ายแลว แตย งั คงทําหนา ที่ใหความแข็งแรง
แกพ ชื เทาน้นั

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 15

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ
16
2. เนือ้ เยอื่ ถาวรเชงิ ซอน (complex tissue)
โฟลเอม(phloem) ประกอบดว ยกลมุ เซลล 4 ชนิด คือ
- ซีฟทวิ เมมเบอร (sieve tube memeber)
- คอมพาเนยี นเซลล (companion cell)
- โฟลเอมพาเรนคมิ า (phloem parenchyma)
- โฟลเอมไฟเบอร (phloem fiber)
ทั้งหมดน้ีรวมกันทําหนาที่ลําเลียงอาหารท่ีไดจากการสังเคราะห

ดวยแสง ไปยังสวนตางๆ ของพืช

โฟลเอม (phloem)

ทีมา http://www.uic.edu/classes/bios/bios100/lectf03am/lect18.htm

โฟลเอม (phloem)

ทีมา http://www.uic.edu/classes/bios/bios100/lectf03am/lect18.htm

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ
ซฟี ทิวบ (sieve tube)

มรี ูปรา งยาว ปลายทัง้ 2 ดานคอนขางแหลม มีรูเล็กคลา ย
ตะแกรงเรยี กวา ซพี เพลท (Sieve plate) อาหารหรือไซโทพลาส
ซมึ สามารถผา นรูนีไ้ ด

http://www.cartage.org.lb/en/themes/sciences/botanicalsciences/plantsstructure/plantsstructure/plantsstructure.htm

แสดงลกั ษณะของซีพทิวบ์

ทีมา http://facweb.furman.edu/~lthompson/bgy34/plantanatomy/plant_cells.htm

มดั ท่อลําเลียง (vascular bundle)

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 17

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ

เซลลค อมพาเนยี น (Companion cell)

เซลลม ขี นาดเลก็ รปู รางเรยี วยาว
ปลายแหลม มีนิวเคลียสขนาด
ใหญ เหน็ ไดช ัดเจน มกี าํ เนดิ จาก
เซลลตน กําเนดิ เดยี วกบั ซพี ทวิ บ
เมมเบอร

http://www.biologie.uni-hamburg.de/b-online/library/webb/BOT410/Phloem/Phloem-2.htm

โฟลเอมพาเรงคมิ า (Phloem parenchyma) 18

เหมือนกับพาเรงคมิ าทว่ั ไป
เปน เซลลท ีม่ ชี ีวิต ปกตลิ ําเลยี ง
อาหารในแนวด่งิ บางกลมุ
ลําเลียงในแนวรศั มขี วางลาํ ตน
และราก เรยี กวา โฟลเอมเรย

ทีมา http://www.answers.com/topic/pericycle

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชีววิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ

โฟลเอมไฟเบอร (Phloem fiber)

เปน เซลลไมมีชีวิตชนิดเดียวในเนอ้ื เยอื่ โฟลเอมใหค วาม
แขง็ แรงแกพ ืชเทา น้นั

http://student.nu.ac.th/u46410387/LESSON3.HTM

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 19

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

โครงสรา งของราก ลําตน และใบ

วชิ า ว32203 ชีววทิ ยาเพิมเติม 1 ชนั มธั ยมศึกษาปี ที 5
ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ โรงเรียนชะอวดวทิ ยาคาร

Root structure

ราก (Root) ::อวัยวะหรือสวน
ของพืชท่ีไมมี ขอ ปลอง ตา และ
ใบ เจริญลงสูดินตามแรงดึงดูด
ของโลก (positive geotropism )
มีกําเนิดมาจาก radicle ของ
embryo ซ่งึ อยภู ายในเมลด็

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 1

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

โครงสรา งของปลายราก (Root tip structure)

การแบงโครงสรา งของปลายรากตามลกั ษณะของเซลล แบงออกไดเปน
บรเิ วณตา งๆ ดังน้ี
1. หมวกราก (Root cap) เปนสวนท่ีประกอบดวยเซลลพาเรงคิมาที่เรียงตัวกัน

อยา งหลวมๆ ทาํ หนา ที่ปองกันอันตรายใหก บั เนื้อเยอ่ื เจริญทอ่ี ยูถัดเขา ไป
2. บริเวณการแบงเซลล (Zone of cell division) อยูถัดจากหมวกรากขึ้นมา

บรเิ วณนป้ี ระกอบดว ยเนอื้ เยือ่ เจรญิ ปลายราก มกี ารแบงเซลลแ บบไมโทซสิ
3. บริเวณการยืดยาวของเซลล (Zone of cell elongation) อยูถัดจากบริเวณที่

มีการแบงเซลลขน้ึ ไป เซลลบริเวณน้ีจะมีลักษณะยืดยาวทําใหความยาวราก
เพม่ิ มากขน้ึ
4. บริเวณที่เซลลเจริญเติบโตเต็มที่ (Zone of Differentiation) เปนบริเวณที่
เซลลมีการเปลี่ยนสภาพ และเจริญเติบโตเต็มท่ีไปเปนเซลลชนิดตางๆใน
โครงสรางของราก เพอื่ ทาํ หนาทีเ่ ฉพาะ (Differentiation)

หนาทข่ี องราก 2
1. ชว ยยึดตน ใหต ดิ แนน กบั พ้นื ดนิ (anchorage)
2. ชวยดดู นาํ้ และธาตอุ าหารจากพน้ื ดนิ (absorption)
3. ลาํ เลยี งไปยังสว นตา งๆ (conduction)
4. พืชบางชนดิ มีการเกบ็ สะสมอาหารไวท ่ีบรเิ วณราก
5. รากพืชบางชนดิ สามารถสงั เคราะหด ว ยแสงได เชน

กลว ยไม

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชีววิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

1. Epidermis การจดั เรียงตวั ของเนื้อเยื่อบรเิ วณราก

อยบู รเิ วณรอบนอกสดุ ประกอบดวยเซลลผวิ และเซลลข นรากเรียงตัว
กันเปนชั้นเดยี ว

2. Cortex

เปนช้ันเนื้อเย่ือท่ีเจริญมาจาก Ground tissue โดยสวนมาก
จะประกอบดวยเซลล Parenchyma ดานในสุดของ Cortex จะมีเซลลเรียง
ตัวเปนแถว เรียก เอนโดเดอรมิส (Endodermis) ซ่ึงจะมีสารซูเบอริน
(suberin) และลิกนิน (lignin) สะสมอยูเปนแถบเล็กๆรอบเซลล เรียก
Casparian strip

3. Stele ประกอบดวย
3.1 Pericycle
3.2 Vascular bundle ไดแ ก Xylem และ Phloem
3.3 Pith

การจัดเรยี งตวั ของเนอื้ เย่อื บรเิ วณราก

การจัดเรยี งตวั ของเนือ้ เยอ่ื บรเิ วณราก Dicot Root
Monocot Root

โดยสว นมากพืชใบเล้ยี งคูมกั ไมพ บ Pith ในราก** 3

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

การเติบโตขั้นแรก/ปฐมภมู ิ (Primary growth) และ การเตบิ โตขัน้ ท่ี 4
สอง/ทุตยิ ภมู ิ (Secondary growth) ของราก

Primary growth หมายถึง การเจริญเติบโตเปลี่ยนแปลงของ
เน้ือเย่ือ ในสวนตางๆ ของพืชเพ่ือทําใหสวนเหลาน้ันยาวข้ึน หาก
เปนการเจริญเติบโตภายในราก จะทําใหรากยาวขึ้น และหากเปน
การเจริญเตบิ โตในลําตนกจ็ ะทําใหลาํ ตน สงู ข้นึ หรือยาวข้นึ

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชีววิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

การเติบโตขน้ั แรก/ปฐมภูมิ (Primary growth) และ การเติบโตขั้นที่
สอง/ทตุ ิยภมู ิ (Secondary growth) ของราก

Secondary growth หมายถงึ การเจริญเติบโตเปลยี่ นแปลงของเนอื้ เย่อื เพอ่ื เพิ่ม
ขนาดของสว นเหลาน้นั ใหอ ว นขึ้นหรอื กวางมากข้ึน
ซ่งึ Secondary growth จะเกดิ หลัง Primary growth
ในรากมักเกิดในพชื ใบเล้ยี งคเู ปนสวนใหญ หรอื ในรากพืชใบเลยี้ งเดย่ี วบางชนดิ
โดยท่บี รเิ วณ Region of maturation จะเกดิ Vascular cambium จะแบง ตัวและ
เจริญเปลี่ยนแปลงไปเปน Secondary phloem ทางดานนอก และ Secondary
xylem ทางดานในของ Vascular cambium นอกจากจะเกดิ จาก Vascular
cambium แลว ยังเกิดจาก Cork cambium อีกดวย

การเติบโตขน้ั ทส่ี อง/ทุตยิ ภูมิ (Secondary growth) ของราก 5

Secondary growth หมายถึง การเจรญิ เติบโตเปลี่ยนแปลงของเน้ือเยื่อ
ในสวนตางๆ ของพืช จาก Secondary meristem ไปจนกระท่ังได
Secondary permanent tissue เพ่ือเพิ่มขนาดของสวนเหลาน้ันใหอวนขึ้น
หรอื กวา งมากข้ึน ซึง่ Secondary growth จะเกดิ หลัง Primary growth

ในรากมักเกิดในพืชใบเล้ียงคูเปนสวนใหญ หรือในรากพืชใบเล้ียงเด่ียว
บางชนิด โดยที่บริเวณ Region of maturation จะเกิด Vascular cambium
จะแบงตัวและเจริญเปลี่ยนแปลงไปเปน Secondary phloem ทางดานนอก
และ Secondary xylem ทางดานในของ Vascular cambium นอกจากจะ
เกิดจาก Vascular cambium แลว ยงั เกดิ จาก Cork cambium อกี ดว ย

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

Primary growth Secondary growth

ระบบราก (Root system)

1.ระบบรากแกว ( primary root system )
มรี ากแกว เปนหลักมีขนาดใหญกวา รากอืน่ ๆ อาจมรี ากแขนง แตกออกมาจาก
pericycle ของรากแกว พบในพืชใบเลีย้ งคู
2.ระบบรากฝอย ( fibrous root system) มกั ประกอบดวยรากท่มี ีขนาด
ใกลเคียงกนั เปน เสนเลก็ ๆ แผอ อกโดยรอบพบในพชื ใบเลีย้ งเดี่ยว

Tap root system Fibrous root system

ชนิดของราก (Type of root)
พจิ ารณาตามการเกิดราก
1. Primary root (Tap root) เปนรากแรกสดุ ทแี่ ทงออกจากเมล็ด โดยเกิด

จากการเจรญิ ของ radicle ของตนออน

2. Secondary root (Lateral root) เปน รากทแี่ ตกแขนงออกจาก primary

root โดยเกดิ จากการแบง ตวั ของ pericycle

3. Adventitious root เปนรากทเ่ี จรญิ มาจากสว นตา งๆของพืช เชน

ลําตน ใบ มหี นาท่เี ฉพาะ

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 6

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

ชนดิ ของราก (Type of root)

รากทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปทาํ หนา ทเ่ี ฉพาะอยา ง 7
(Adventitious root)
1. Storage root
2. Prop root
3. Climbing root
4. Photosynthesis root
5. Respiration root
6. Parasitic root
รากทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปทาํ หนา ทเ่ี ฉพาะอยา ง
1. Storage root เชน หวั แครอต หวั ผักกาด หวั มันเทศ หวั มันแกว

มันสาํ ปะหลัง กระชาย เปนตน

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
รากทเี่ ปล่ยี นแปลงไปทาํ หนา ทเ่ี ฉพาะอยา ง 8
2. Prop root เชน รากค้ําจนุ ของตนขา วโพด ตน ลําเจยี ก ตน โกงกาง

ภาพ รากค้ําจุนของตนโกงกาง

รากทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปทาํ หนา ท่ีเฉพาะอยา ง
3. Climbing root เชนรากของพลู พลดู าง กลว ยไม

รากที่เปล่ยี นแปลงไปทาํ หนา ทเ่ี ฉพาะอยา ง
4. photosynthesis root เชน รากกลว ยไม รากของไทร

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชีววิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
รากที่เปล่ยี นแปลงไปทาํ หนา ทเี่ ฉพาะอยา ง 9
5. Respiration root เชนรากของแพงพวย รากตนลาํ พู

รากที่เปล่ยี นแปลงไปทาํ หนา ทเ่ี ฉพาะอยา ง
6. Parasitic root เชน

รากของตนกาฝาก และตน ฝอยทอง

STEM

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

ลาํ ตน (Stem) : เจรญิ มาจากตน ออ น (Embryo) สวนเอพคิ อลทิล
(Epicotyle) และ สว นไฮโพคอลทลิ (Hypocotyl) ลําตน จะแตกตา งจากรากตรงท่ี
มีขอ (node) ปลอ ง (Internode) และตา (Bud)

โครงสรา งภายในของลาํ ตน 10

http://function-planty.exteen.com/20110119/entry-7

โครงสรางภายในภาคตดั ขวางของลาํ ตน ใบเลี้ยงคู แสดง Vascular bundle

ท่ีมา http://slideplayer.com/slide/4207850/

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

โครงสรา งภายในภาคตดั ขวางของลาํ ตน ใบเลยี้ งเดย่ี ว แสดง Vascular bundle

ทมี่ า http://slideplayer.com/slide/4207850/

โครงสรา งภาคตัดขวางของลาํ ตนพืชใบเลี้ยงเด่ียวและใบเลีย้ งคู

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 11

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

การเจรญิ เตบิ โตข้นั แรก (ปฐมภูม)ิ ของลาํ ตน
(Primary growth of stem)

เ ป น ก า ร เ จ ริ ญ เ ติ บ โ ต เ พ่ื อ เ พ่ิ ม ค ว า ม สู ง ห รื อ ค ว า ม ย า ว ข อ ง ต น พื ช
ท่ีปลายสดุ ของยอดออน หรือตายอดเปนสวนของลําตนที่ประกอบดวยเน้ือเยื่อ
เจริญซงึ่ เปน Apical meristem หรือ Promeristem มีการแบงตัวเพ่ิมปริมาณอยู
ตลอดเวลา เปนจดุ เติบโต ของลําตนและใบ และจะมีการแบงตัวใหปลายยอด
ยาวออกไปเร่ือยๆ สวนท่ีอยูตํ่าลงมาก็จะคอยๆ เจริญเปล่ียนแปลงเปนเน้ือเย่ือ
ถาวรตอ ไป
โดยมันจะเร่ิมเปล่ียนแปลงเปนเน้ือเยื่อเจริญชนิด Primary meristem
(ไดแก Protoderm, Ground meristem และ Procambium) กอน แลวจากน้ันจึง
คอยๆ เปลี่ยนแปลงตอไปจนกระทั่งเปนเน้ือเย่ือถาวรระยะท่ี 1(Primary
permanent tissue)
Protoderm Epidermis
Ground meristem  Cortex และ Pith
Procambium Primary xylem
Vascular cambium
Primary phloem Vascular bundle

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 12

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
13
Dicot Monocot

นPPข..........aiอั้น.....t.....rhง.....ยe.....ลใ.....cnัง.....นํ.....aาcอ.....พ.....ตvh.....อi.....yืนชt.....นy.....mใไ..........อบมa..........ยเม.........ล.ซู....ี ....ที้ยVึ่ง........ํจางa........เใsะ....ด....หcแ........u่ียลห........lวaํ....าง....บr....ตแ....า....ลbน....ง....uะ....กช....nต....ล....นdา........วิlดย....e....ง....ไ....อปตก........ยต....อล....ู้ัง....นาม....แ....ยกีเ....ต....พเล....ปพ....ียา........นืชงง........ Pith cavity

การเจริญเติบโตขัน้ ท่ี 2 (ทุติยภมู ิ) ของลําตน
(Secondary growth of stem)

Secondary growth ทํ า ใ ห ไ ด Secondary permanent tissue
จากการแบงตัวของ Vascular cambium และ Cork cambium ซ่ึงเปน
Secondary meristem

1. Vascular cambium แบงตัวใหเน้ือเยื่อดานนอกเปน Secondary
phloem และแบง ตัวใหเ นอ้ื เยือ่ ดา นในเปน Secondary xylem

2. Cork cambium เกิดข้ึนจากการแปรสภาพของ Parenchyma
ใน Cortex กลับไปเปนเน้ือเย่ือเจริญอีกครั้ง จากน้ัน Cork cambium จะ
แบงตัวให Cork ทางดานนอก ชวยปองกันความรอน การระเหยของน้ํา การ
กระทบกระเทือน หรืออันตรายจากเชื้อโรคและแมลงตางๆ และยังแบงตัวให
เซลลท างดานใน คือ Phelloderm อีกดวย

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
การแบงตวั ของ Vascular cambium

Secondary growth

ที่มา https://s3.amazonaws.com/classconnection/970/flashcards/605970/jpg/primaryandsecondarygrowthofstem-14961627EC41E7990FF.jpg

ภาพ การเปล่ียนแปลงของลาํ ตน พชื ใบเลยี้ งคขู ณะเกดิ การเจริญเตบิ โตขน้ั ทส่ี อง

เนอ้ื เย่ือต้งั แต Secondary xylem เขา ไปดานในจนถงึ แกนในสุดของ
ลําตน ไมเนอ้ื แขง็ เปน สวนที่เรียกวา เน้ือไม (Wood)
และตง้ั แต Vascular combium ออกมาดานนอก เปน สวนทเี่ รยี กวา
เปลอื กไม (Bark)
http://www.nana-bio.com/e-learning/plant%20organ/stem.html

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 14

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

ภาพโครงสรา งลาํ ตนทีม่ กี ารเจรญิ ขน้ั ทส่ี อง กระพีไ้ ม (Sap wood)
คือ เน้ือไมสวนนอก

มีสีคอนขางออน หรือจางกวา
สว นใน

แกนไม (Heart wood)
คื อ เ น้ื อ ไ ม ส ว น ท่ี

มีสีเขม เน่ืองจากมีสารตางๆ
สะสมอยูมาก เชน ยาง นํ้ามัน
แ ท น นิ น ( tannin) ทํ า ใ ห
แขง็ แรงมาก

วงป (Annual ring)

วงป เกิดจากการแบงตัวและ
เ ติ บ โ ต ที่ แ ต ก ต า ง กั น ข อ ง
Secondary xylem ในฤดูนํ้า มา ก
กบั ฤดแู ลง
Spring wood : ฤดนู ้ํามาก แบงตวั เรว็ เซลลอ วบใหญ ผนงั บาง สีออ น
Summer wood : ฤดแู ลง (นา้ํ นอ ย) แบง ตวั ชา เซลลขนาดเล็ก ผนงั หนา สเี ขม

ทีมา https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/564x/4b/d9/51/4bd95105a0bb2be7d2dfadd3b598993e.jpg และ http://images.slideplayer.com/24/7249167/slides/slide_42.jpg

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 15

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

Lenticel

เมอ่ื ลาํ ตน พชื มอี ายุมาก จะมี Cork หุมที่ผิวนอก
และจะมีรอยแตกบริเวณผิวของลําตน เรียกวา
Lenticel

รอยแตกน้ีเกิดจาก การท่ีเซลลบริเวณน้ัน
สามารถอมนํ้าไดดี ทําใหบริเวณนั้นบวมและแตก
ออก

ที่มา http://images.digopaul.com/wp-content/uploads/related_images/2015/09/10/lenticel_1.jpg

ทมี่ า https://media1.britannica.com/eb-media/00/5600-004-7C60AF3E.jpg 16

ชนดิ ของลําตน
ลําตนแบงไดเ ปน 2 ชนิดตามตําแหนงท่ีอยูคือ ลําตนเหนือ

ดิน(Aerial stem) และ ลําตนใตดิน (Underground stem)
ลาํ ตนเหนือดนิ (Aerial stem)
จําแนกตามลักษณะของลําตน ไดเ ปน 3 ชนิด
1. ตนไมใหญ( tree) หรอื ไมยนื ตน
2. ตน ไมพุม (shrub)
3. ตนไมล ม ลกุ (herb)

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
17
ไมยืนตน ไมล มลกุ

ไมพมุ

ลําตน เหนือดนิ ทเี่ ปลย่ี นแปลงไปทาํ หนาท่ีพิเศษ
1. creeping stem เปนลําตน ที่ทอดหรอื เลอื้ ยขนานไปตามผวิ ดนิ หรือ
นาํ้ ทัง้ นเ้ี พราะลําตนออ นไมสามารถตั้งตรงอยไู ดต ามขอ มกั มีรากงอก
ออกมาแลวแทงลงไปในดินเพื่อชว ยยดึ ลําตน ใหแนนอยกู ับท่ไี ด แขนงท่ี
แยกไปตามพน้ื ดนิ หรอื พน้ื นํ้าดงั กลา วนนั้ เรียกวา Stolon หรอื Runner
ไดแก ผกั บุง ผกั กะเฉด ผกั ตบชวา แตงโม ฟก ทอง และสตรอเบอร่ี

2. Climbing stem เปน ลําตนท่เี ล้อื ยหรือไตข้ึนท่สี ูง พืชพวกนม้ี กั มลี าํ ตน ออ น
เชน เดียวกบั พวกแรก แตถา มีหลักหรอื ตนไมท่มี ีลําตน ตรงอยูใกลๆ มนั อาจจะ
ไตข น้ึ ทส่ี งู ดว ยวิธีตางๆดังน้นั จงึ จาํ แนก climbing stem ออกเปน ชนดิ ตางๆ
ตามลกั ษณะของการไตไดด งั น้ี
2.1 twining stem เปน ลาํ ตนท่ีไตข้นึ ท่สี งู โดยใชล ําตนพันหลักเปนเกลยี วไป
เชน ตนถั่วตน บอระเพด็ และเถาวัลยตางๆ
2.2 tendril stem เปน ลาํ ตนทดี่ ดั แปลงไปเปนมอื เกาะ(tendril) สําหรบั พัน
หลกั เพ่อื ไตข ึน้ ทีส่ งู สวนของเทนดริลจะบดิ เปน เกลยี วคลายลวดสปรงิ เพือ่ ให
ยืดหยุนเม่ือลมพัดยอดเอนไปมา เทนดริลกจ็ ะยดื และหดได เชน ตน องนุ
บวบ นา้ํ เตา

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

2.3 root climber เปนลําตนที่ไตขน้ึ ท่ีสูงโดยใชรากที่งอกออกมาตามขอยดึ
กับหลักหรือตน ไม เชน ตนพรกิ ไทย ตนพลู และพลดู า ง
2.4 stem spineเปนลําตนท่ีเปลยี่ นแปลงไปเปนหนามรวมท้งั ขอเก่ียว(hook)
สาํ หรับไตข นึ้ ท่สี ูง และปองกนั อนั ตรายไดดว ย เชน เฟองฟา มะนาว มะกรดู
พวกสม ตางๆ ไผ และไมยราบ ตน กระดงั งา
3. Cladophyll (Cladode) เปน ลาํ ตน ที่เปลีย่ นแปลงไปมลี ักษณะและหนา ท่ี
คลายใบ คือ ลาํ ตนแผเ ปนแผน แบน หรอื เปนเสนเล็กยาวและมีสเี ขยี วของ
คลอโรฟล ล เชน กระบองเพชร สลดั ได พญาไรใ บ หนอ ไมฝร่งั เปน ตน

Creeping stem

twining stem 18

http://www.nana-bio.com/e-learning/plant%20organ/stem.html

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
tendril stem 19

root climber
stem spine or Thorny Stem

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

Cladophyll

ลําตน ใตด ิน (Undergroud stem)
สามารถจําแนกได 4 ชนิด

1. แงง หรือเหงา หรอื ไรโซม (Rhizome)
2. ทูเบอะ (Tuber)
3. บลั บ (bulb)
4. คอรม (Corm)

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 20

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

Fig. 38.28b

Fig. 38.28a

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 21

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

ใบ ( Leaves )

เปน อวัยวะทีเ่ จรญิ ออกไปบริเวณดา นขา งโดยมีตําเหนงอยูท่ีขอปลองของ
ตนและกิ่ง ใบสวนใหญจะมีสีเขียวของคลอโรฟลลรูปรางและขนาดของใบ
แตกตา งกนั ไปตามชนดิ ของพชื หนา ท่หี ลักของใบคือใชในการสังเคราะหดวย
แสง การหายใจและการคายนํา้
ลกั ษณะโครงสรางภายในของใบมสี วนประกอบ3 สว นคอื
- แผน ใบ ( blade หรือ lamina )
- กา นใบ ( petiole )
- หูใบ ( stipule )

ประเภทของใบ แบงเปน ใบเดย่ี วและใบประกอบ 22
1.ใบเด่ียว ( simple leaf ) ใบทมี่ แี ผน ใบแผน เดยี ว

2.ใบประกอบ (compound leaf ) คือ ใบทม่ี แี ผน ใบมากกวา หนง่ึ เกดิ บน
กานใบอนั เดยี วกันแตล ะใบ เรยี กวา ใบยอ ย ( leaflet ) ใบประกอบแยก
ออกไดดังน้ี
2.1) ใบประกอบแบบขนนก ( pinnately compound leaf )
2.2) ใบประกอบแบบรูปมอื ( palmately compound leaf )

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
23
2.1)ใบประกอบแบบขนนก ( pinnately compound leaf ) ใบประกอบท่ใี บยอ ย
เรยี งออกจากแกนกลาง (rachis) เปนคูต รงขามหรอื สลบั

ใบประกอบแบบขนนกปลายใบคี่ ใบประกอบแบบขนนกปลายใบคู
(odd-pinnately compound leaf) (even-pinnately compound leaf)

ใบประกอบแบบขนนกสองช้ัน
(bipinnately compound leaf)
ใบประกอบแบบขนนกสามช้ัน
(tripinnately compound leaf)

2.2) ใบประกอบแบบรปู มอื ( palmately compound leaf )
คอื ใบประกอบทีม่ ใี บยอยทกุ ใบออกมาจากตําเหนงเดียวกนั ตรง
ปลายกา นใบ

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

โครงสรา งภาคตดั ขวางของใบแท ประกอบดวย 3 สว นดวยกนั คือ
2.1 ชนั้ เอพิเดอรม ิส (Epidermis) มี 2 ดานคือ Upper epidermis กับ Lower

epidermis
2.2 ชัน้ มโี ซฟล ล (Mesophyll) แบงออกเปน 2 ชน้ั ยอยคือ Palisade mesophyll

และ Spongy mesophyll
2.3 มดั ทอ ลาํ เลียง (Vascular bundle) ประกอบดวย Xylem กบั Phloem

โดยไซเลม็ จะอยูดานบน สวน Phloem จะอยดู านลางโดยมีบลั เดลิ ชีทลอมรอบ

แกไ ขภาพจาก https://sciencevogel.wikispaces.com/file/view/leaf_section.gif/33020365/598x438/leaf_section.gif
http://image.slidesharecdn.com/plantsformoodle-120318212239-phpapp01/95/plants-for-moodle-13-728.jpg?cb=1332106413

ท่มี า http://cdn.c.photoshelter.com/img-get/I0000K4wcQZZJOY4/s/500/400/PX19-007a.jpg 24

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชีววิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

2. ใบท่ีเปลย่ี นแปลงไปทาํ หนา ที่พิเศษ (Modified leaf) ไดแก 25
2.1 มือเกาะ (leaf tendril) เปนใบท่ีเปล่ยี นแปลงมาเปนมือเกาะเพ่ือพยุงลํา
ตนใหไ ตข ้ึนทส่ี งู ได เชน มอื เกาะของถวั่ ลนั เตา มะระ ตาํ ลงึ
2.2 หนาม (Leaf spine) เปนใบที่เปลี่ยนแปลงไปเปนหนาม เพื่อใชเปนเครื่อง
ปองกัน อันตรายตางๆจากศัตรูหรือสัตว ที่จะมากิน และปองกันการระเหยของ
นํา้ เชน หนามของตนเหงอื กปลาหมอ เปลีย่ นแปลงมาจากขอบใบและหูใบ หนาม
ของตนกระบองเพชรและ เปลี่ยนแปลงมาจากใบท้ังใบ หนามของมะขามเทศ
เปล่ยี นแปลงมาจากหใู บ หนามของสับปะรด เปลยี่ นแปลงมาจากขอบใบ

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
26
2.3 ใบสะสมอาหาร (Storage leaf) เปนใบท่ีเปลี่ยนแปลงไปเปน อวัยวะ
สําหรับเก็บหรือสะสมอาหารหรือน้ํา ใบประเภทน้ีจะมีลักษณะอวบอวน
เนือ่ งจากเก็บอาหาร และอมน้ําไวมาก เชน ใบเล้ียงของพืชตางๆ ใบวานหาง
จระเข กลีบหัวหอม และ กลบี ของกระเทยี ม

2.4 ใบเกล็ด (Scale leaf) เปนใบท่เี ปลย่ี นแปลงไปเปนเกล็ดเล็กๆ ใบเกลด็
มกั ไมม ี คลอโรฟลล เชน ใบเกลด็ ของขิง ขา เผอื ก

2.5 ทุนลอย (Floating leaf ) พืชนาํ้ บางชนิด เชน ผักตบชวา สามารถลอยนํ้าอยู
ได โดยอาศัยกา นใบอาศยั กา นใบพองโตออก ภายในมเี นอ้ื อยกู นั อยางหลวมๆ
และมชี อ งวางอากาศใหญทาํ ใหม ีอากาศอยูมาก จึงชว ยพยงุ ใหลาํ ตนลอยนา้ํ อยู
ได

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

2.6 ใบประดับ หรอื ใบดอก (Bract ) เปนใบทเ่ี ปลี่ยนแปลงพิเศษเพื่อรองรบั
ดอก โดยอยบู รเิ วณกานดอกสว นมากมีสีเขยี ว แตม ีหลายชนดิ ท่มี สี อี ่นื ๆ
สวยงามคลา ยดอก เชน เฟองฟา หนา ววั ครสิ ตมาส

2.7 ใบสืบพันธุ (reproductive leaf) เปนใบที่เปล่ียนแปลงมาเพ่ือสืบพันธุ
เพ่ือชวยในการแพรพ นั ธุ เชน ใบของตนตายใบเปน

2.8 กับดกั แมลง (Carnivorous leaf) เปนใบท่ีเปลี่ยนแปลงไปเปนกบั ดักแมลง 27
หรอื สัตวเ ลก็ ภายในกับดกั จะมีตอมสรางนํา้ ยอยอาหารจาํ พวก โปรตนี เชนตน
กาบหอยแคลง หยาดนาํ้ คาง สาหรายขา วเหนียว หมอขา วหมอ แกงลงิ เปนตน

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชีววิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
การปรับตัวดา นอืน่ ๆ ของใบ

xerophyte

Hydrophyte

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 28

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

การแลกเปล่ยี นแกส และการคายน้าํ ของพชื

วิชา ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เติม 1 ชนั มธั ยมศึกษาปี ที 5
ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ โรงเรียนชะอวดวทิ ยาคาร

การแลกเปล่ียนแกส และการคายน้ําของพชื

การแลกเปลี่ยนแกสของพืช เกิดขึ้นโดย การแพร (Diffusion)
ผา นทาง รปู ากใบ (Stoma) เน่ืองจาก......พ...ชื ..ต..อ ..ง.ก...า.ร.... . .. . .. . .........และ...น..้าํ ..
เพ่ือเปนสารต้ังตนในกระบวนการสังเคราะหดวยแสง ขณะเดียวกันพืช
ก็ตองการ.... .. .. . .....ในกระบวนการหายใจ

ท่มี า http://www.cemmitrading.co.th/images/article/article-03.jpg

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 1

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

การคายนํ้าของพชื

การคายนาํ้ ของพืชเกิดได 2 วิธี คอื
1. การคายนา้ํ ในรูปไอนํา้ (Transpiration) เกดิ ขนึ้ ได 3 ทาง
- ปากใบ (Stoma)
- ผวิ ใบ
- เลนทเิ ซล (Lenticel)
2. การคายนา้ํ ในรูปของหยดนาํ้ (Guttation)

การคายน้ําในรปู ไอน้าํ (Transpiration)

1. การคายนํา้ ทางปากใบ (Stoma) เปนการคายน้ําท่ีกําจัด
ไอน้ําออกมาทางปากใบซึ่ง
เ ป น ท า ง ที่ มี ก า ร ค า ย น้ํ า
ออกมามากทส่ี ุด

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 2

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
3
ปจจัยท่มี ผี ลตอ การปด เปดของปากใบ และการคายนา้ํ ของพชื

1. อณุ หภมู ิ ความสาํ คญั ของการคายน้ํา
2. ความชน้ื 1. ควบคมุ การเคล่ือนท่ขี องน้ําในพชื
2. ชวยใหอุณหภูมขิ องใบลดลง
3. กระแสลม 3. ชวยใหเซลลภายในใบเปยกชน้ื อยูเสมอ

4. สภาพนาํ้ ในดิน

5. ความเขม ของแสง
6. แกสคารบ อนไดออกไซด

2. การคายน้ําทางผิวใบ
เกิดข้ึนไดน อ ย เนื่องจากผิวใบมี..C..u..t..i.n..
เคลือบอยทู ้ัง 2 ดา น

3. การคายนาํ้ ทางเลนทิเซล (Lenticel)
เปนการคายนาํ้ ที่กาํ จดั ไอนาํ้ ออกมาทางรอยแตกตามลาํ ตน และก่งิ

** พบในพืชใบเล้ียงคู

การคายนาํ้ ในรูปหยดนาํ้ (Guttation)

ทป่ี ลายเเสปน นใกบาเรรยีคกาวยา น..้ํา..Hผ..y.า.d.น.a..รt.hู.เ.oป..d.ด.e.เ..ล..็ก...ๆ.

ท่มี า http://i.pbase.com/o6/05/388005/1/95942183.fHN3VL1U.Guttation.jpg

ที่มา http://lh3.ggpht.com/-61hmFAoguBQ/UU8nIIAPJpI/AAAAAAAAFLU/UbPVMwS-NkA/s1600/Hydathodes%25255B30%25255D.jpg ที่มา https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/3/3d/Guttation_ne.jpg

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
การดดู นํ้า(Absorption) และการลําเลียงนาํ้ ในพชื

วิธีการดดู นํ้าของพืช 4
1. อิมบิบิชัน่ (Imbibition)

สวนประกอบของรากพชื บางสวนสามารถดดู ความชื้นหรอื นํา้
เขาไปภายในได เชนเดยี วกบั ในเมลด็ พชื

ดัดแปลงจาก http://vichakarn.triamudom.ac.th/comtech/studentproject/sci/homeostasis/imbibition.jpg
ทม่ี า http://www.esa.int/var/esa/storage/images/esa_multimedia/images/2011/03/seeds_and_plants/9504984-4-eng-GB/Seeds_and_plants_medium.jpg

2. ออสโมซิส (Osmosis)
Root absorption นํา้ ผา นเขา สูรากโดยการ Osmosis (นาํ้ มาก นาํ้ นอ ย)

ทม่ี า http://biology-igcse.weebly.com/uploads/1/5/0/7/15070316/7501759_orig.jpg

ความเขม ขนของสารละลายภายในรากสงู กวาในดินทาํ ใหน า้ํ ในดิน Osmosis เขาสรู าก
(แสดงวา นํ้าในราก < น้าํ ในดนิ )

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

การลาํ เลยี งนํา้ เขาสรู าก

เกิดขน้ึ ได 2 แบบ
1. Apoplast (อโพพลาสต)
เปนการลาํ เลยี งนํา้ ไปตามผนงั เซลลห รอื ชอ งวา งระหวา งเซลล
2. Symplast (ซิมพลาสต)
เปนการลําเลียงน้าํ ผานจากเซลลหนึ่งสเู ซลลห น่ึง ผา นพลาสโมเดสมาตา

(Plasmodesmata)

ที่มา http://images.slideplayer.com/25/8042585/slides/slide_7.jpg 5

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

Casparian strip

2. แรงดันราก (Root pressure) 6
เปน แรงดันทเ่ี กิดจากนํ้าในทอ Xylem

ท่ี มี ค ว า ม เ ข ม ข น สู ง ก ว า น้ํ า ใ น ดิ น
จึงเกิดกระบวนการออสโมซิส (Osmosis)
ของนํา้ ในดนิ เขา สูรากไดเ รือ่ ยๆ จนเกิดแรงดัน
ในทอ Xylem ดันนา้ํ ใหข้นึ ไปได

ท่ีมา http://images.tutorvista.com/content/plant-water-relations/root-pressure-demonstration.jpeg
ทม่ี า http://www.sciencephoto.com/image/28396/530wm/B7000012-Root_pressure_of_a_grape_vine-SPL.jpg

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววิทยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
7
ท่มี า http://springtolife.weebly.com/uploads/1/1/1/5/11159798/1336498182.jทpgีม่ า http://images.wisegeek.com/capillary-tube-to-collect-blood-sample.jpg

กลไกการลําเลยี งนาํ้ ของพืช

1. แรงแคปล ลารี (Capillary action)
แรงแอดฮีช่ัน (Adhesion) : แรงระหวาง
โ ม เล กุ ล ขอ งน้ํ ากั บ ผนั งด าน ข า งข อ ง
หลอดแกว
แรงโคฮีช่ัน (Cohesion) : แรงระหวาง
โมเลกลุ ของน้าํ กบั นา้ํ ดวยกนั เอง

Capillary action

ทม่ี า http://1.bp.blogspot.com/-KmFIIg0dup8/UM6UldXJbBI/AAAAAAAABU0/egIsltAjEn0/s1600/capillary+tubes.tif

Adhesion

ทีม่ า http://ib.bioninja.com.au/_Media/water-cohesion-and-adhesion_med.jpeg

Cohesion

ท่มี า https://groundsforwisdom.files.wordpress.com/2014/09/surface_tension-cohesion-of-water-molecules.jpg ท่มี า http://chemistyfortheaverageteenager.weebly.com/uploads/1/7/5/2/17524293/3971732.png?365
ทม่ี า https://room602dbps.files.wordpress.com/2014/09/original_original_e05b720737eb037304da4c2d3b39a0ce.jpg

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

3. แรงดึงจากการคายนาํ้ (Transpiration pull)
วิธีน้ีเกิดจากการคายน้ําทําใหเกิดแรงดึงภายในทอ Xylem

เพ่ือชดเชยนํ้าที่เสียไปทางปากใบ เปนวิธีลําเลียงน้ํา ไดดีของพืชทุกชนิด
และ ทุกขนาด ตามปกติใบจะคายนํ้าออกไปเร่ือยๆ ทําใหเซลลของใบ
ขาดนํ้า จึงเกิดแรงดึงน้ําจากทางดานลางขึ้นมาแทน โดยโมเลกุลน้ํา
แตละโมเลกุลจะเช่ือมกันดวยพันธะไฮโดรเจน ทําใหนํ้าภายใน Xylem
ไมม ีการขาดตอน

การลาํ เลยี งสารอาหาร (nutrient) ในพชื 8

การลาํ เลยี งแบบไมใชพลงั งาน (Passive transport)
สารอาหารจะลําเลียงจากท่ีท่ีมีความเขมขนสูงกวาไปยังท่ีที่มี

ความเขม ขนตา่ํ กวา
การลําเลียงแบบใชพลงั งาน (Active transport)

เ ป น ก า ร ลํ า เ ลี ย ง จ า ก ที่ ท่ี มี ค ว า ม เ ข ม ข น ต่ํ า ก ว า ไ ป ยั ง ที่ ที่ มี
ความเขม ขน สงู กวา

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
9
การศกึ ษาการลําเลียงอาหารของพืช

ที่มา http://6e.plantphys.net/ch/11/wt11.01/wt1001a.png มารเ ซลโล มัลพิจิ (Marcello Malpighi)
ทํ า ก า ร ค วั่ น ร อ บ เ ป ลื อ ก ข อ ง ลํ า ต น

เม่อื เวลาผานไประยะหน่ึง พบวา เปลือก
ของลําตนเหนือรอยคว่ันจะขยายขนาด
พองข้ึน และสวนรอยแผลดานลางจะ
แหงลง

ที จี เมสนั (T.G. Mason) และ อี เจ มสั เคล (E.J. Maskell)
ศึกษาตอพบวา...

เปลอื กดา นบนขยายขนาดพองขน้ึ เน่อื งจาก . . . . .
...เซอ...ซ...ึ่อง...ล...อ...ก...ล...ยไ...บ ...ปูใ...รน...ท...ิเ....อส.ว...ํา....ณ.วา...ใ....ห.น...ห.น.......ลข.า...้ัน....ํอา....รไ....เ.งด...ท.ล...เ....ร.ีี่...ปยส...บั.....งล...ร.อ....ต.ื..อ.า.า....อ...กห.ง......ไ..จ..า.ป...เ..ร...มา...ไ..ม....่ืมกอ......า....ไอ.ใ.ก...ด...บ..า..จ......ห..ตจงึ........แาึ.ง.อ......บรเ.....น.ก..ถง........ิดเบู..ก..ซ....ก....ลนล......า..ํา..ล..จ..ร..เ....ม ะ..ลส......า..ถ..ียะ....ก....สูงก....แ....มม....ล.ล....า.ข..ํ.ะ.า...ถ.อ...ข.เ....ึง..ง.ย.ล...ส.ส....าีย....วา....ย....งนร....ข....มอท....น....า....ี่าเา....ปห....ทด.....ล...าเ.า...พ.ืร...อ....ง.ขิม่...ก.....ึ้น...ข.ถP.......ึ้น.hูก....ท....l...คo.ํา....e....วใ....m....่ัหน...
เปลอื กดา นลา งรอยแผลแหง ลง เน่ืองจาก . . . . .

.อ..า..ห...า.ร..ถ...ูก..ล..าํ ..เ.ล..ีย...ง.ไ..ป..ไ.ม...ถ..งึ ..............................................................
...............................................................................................................

การศกึ ษาทศิ ทางการลําเลยี งอาหาร

ผลการทดลอง
ชุดท่ี 1 พบน้าํ ตาลทม่ี ี 14C ทีส่ วนลางของพืช
ชุดท่ี 2 พบนาํ้ ตาลท่มี ี 14C ท่สี ว นยอดของพชื
ชุดที่ 3 พบนํา้ ตาลท่มี ี 14C ท่ีสว นบนและสว นลา งของพืช (พบทกุ สวน)

ท่มี า http://www.scimath.org/ebook/sci/sci-sec4/13/eBook/

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

เอม็ เอช ซมิ เมอรแ มน (M.H. Zimmerman) 10

ทม่ี า http://www.scimath.org/ebook/sci/sci-sec4/13/eBook/

แลวอาหารทลี่ ําเลยี งใน Phloem
มีวิธีการลําเลยี งอยางไร ??

ท่มี า http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type2/science04/48/images/pic_data/98.jpg

วธิ กี ารเคลอ่ื นยาย/ลําเลยี งอาหาร
(Translocation)

Translocation คอื
......ก...า..ร..เ..ค..ล...่ือ..น...ย...า..ย..ส...า..ร..จ..า...ก...
.ส..ว..น..ห...น..ึ่ง..ไ.ป...ย..ัง..อ..ีก...ส..ว..น..ห...น..ึ่ง..ข..อ..ง...
.พ..ืช...........................................

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วิทยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
11
ธาตุอาหารทีจาํ เป็ นในพชื

Macronutrients
ธาตุอาหารท่พี ืชตอ งการมาก 9 ธาตุ ไดแ ก C, H, O, N, P, K, Ca, Mg และ S
Micronutrients

ธาตุอาหารท่ีพืชตองการในปริมาณท่ีนอย 7 ธาตุ ไดแก B, Fe, Cu, Zn,
Mn, Mo และ Cl

ความสําคัญของธาตอุ าหารแตล ะชนิด

C, H และ O : เปนสว นประกอบสําคญั ของคารโ บไฮเดรต, ไขมนั , โปรตีน
และคารโ บไฮเดรต ซึ่งเปน สวนประกอบของโครงสรางของพืช

ไนโตรเจน (N) : เปนองคป ระกอบของโปรตนี , DNA, RNA, คลอโรฟลล
กรดอะมิโน โคเอนไซม ฮอรโมน และ ATP
อาการขาด ใบซีดเหลืองท้ังใบ (เกิดท่ีใบแกกอน) ใบเล็ก จํานวนใบนอย แคระ
แกร็น และอาจแหงตาย

ทม่ี า http://birdsandblooms.com/wp-content/uploads/2012/09/nitrogen-deficiency-630x722.jpg ภาพจาก http://www.knowledgebank.irri.org/images/stories/nutrients-nitrogen-deficiency.jpg

Chlorophyll

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ
12
โพแทสเซียม (K) : ควบคุมแรงดันออสโมติกของเซลลคุม รักษาสมดุล
ของไอออนภายในเซลล กระตุนการทํางานของเอนไซม ควบคุมการสังเคราะห
และเคล่อื นยา ยแปง
อาการขาด ใบเหลืองและปลายใบไหม ขอบใบแหง และไหม

ทม่ี า http://www.greenersideoflife.com/wp-content/uploads/PotassiumDeflogos.jpg

ทม่ี า http://www.greenersideoflife.com/wp-content/uploads/Potassium2-768x501.jpg

ฟอสฟอรัส (P) : เปนองคประกอบของโปรตีน, DNA, RNA, ATP,
เยื่อหมุ เซลล
อาการขาด ใ บแกมีสีเขียวเข ม กานใบหรือใ บอ าจมีสีแดง ห รือ สีม วง
การเจรญิ เตบิ โตหยุดชะงกั แคระแกร็น การใชคารโ บไฮเดรตผดิ ปกติ

ท่มี า http://ucanr.edu/blogs/strawberries_caneberries/blogfiles/8027.jpg ท่มี า http://www.yara.co.uk/images/430-1114204071-phosphorus%20deficiency%20-
%20sugar%20beet-main%20image.JPEG

ที่มา http://extension.msstate.edu/sites/default/files/topic-files/soils/pdeficiency3.jpg

แคลเซียม (Ca) : เปนสวนประกอบของผนังเซลล ชวยกระตุนการ
ทํางานของเอนไซมบ างชนิด
อาการขาด เนอ้ื เยือ่ ปลายยอด ปลายรากจะตาย ใบออนหงิกงอ ปลายใบขอบ
ใบเหีย่ ว พชื ไมเ จรญิ เติบโต ไมออกดอกออกผล

ทม่ี า https://content.ces.ncsu.edu/media/images/3GasCa035.JPG
ทม่ี า http://www.haifa-group.com/files/Guides/tomato/char_calcium_03.jpg

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชวี วทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

แมกนีเซียม (Mg) : เปน สว นประกอบของคลอโรฟล ล กระตนุ
การทํางานของเอนไซมเกีย่ วขอ งกบั กระบวนการหายใจ และสงั เคราะหดว ยแสง
อาการขาด ใบซีดจากการขาดคลอโรฟลล ใบมีสีเหลืองบริเวณระหวางเสนใบ
(เกิดท่ีใบแกกอน) ใบไหม ปลายใบมวนงอ ใบเปนจุดสีตางๆ เชน แดง มวง
เหลือง

ทม่ี า http://mygarden.rhs.org.uk/forums/39273/PostAttachment.aspx

ทีมา http://www.omafra.gov.on.ca/IPM/images/grapes/plant-nutrition/magnesium/magnesium8_zoom.jpg

Chlorophyll

กํามะถนั (S): เปน สว นประกอบของกรดอะมโิ น และโปรตีน 13
เปนสวนประกอบของสารทท่ี าํ ใหเ กิดกลนิ่
อาการขาด ใบมีสเี หลอื งเหมอื นขาดไนโตรเจน แคระแกรน็ มโี ปรตนี นอ ย

ท่มี า http://www.ces.ncsu.edu/plymouth/cropsci/graphics/sulfur2.jpg
ทม่ี า http://keys.lucidcentral.org/keys/sweetpotato/key/Sweetpotato%20Diagnotes/Media/Html/TheProblems/MineralDeficiencies/SulfurDeficiency/S%20deficiencya.jpg

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรยี นรายวิชา ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรตั นชยั ตญั ญะ

เหล็ก (Fe) : เปนสวนประกอบของเอนไซมหรือโปตีนที่เก่ียวของกับ
กระบวนการหายใจ ชวยในการสรางคลอโรฟลล
อาการขาด ใบมสี ีเหลืองระหวา งเสนใบ (เกิดทีใ่ บออนกอน) หรืออาจซดี ขาว
และแหง ตายหากรนุ แรง

ท่ีมา http://hort.ifas.ufl.edu/nutdef/images/thy9512_M.jpg ท่มี า http://media.geekgardener.in/wp-content/uploads/geekgardener-NFT-strawberry-110.jpg

การขาดธาตุอาหารในพืช

ทม่ี า http://i.stack.imgur.com/VOdt2.jpg

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 14

เอกสารประกอบการเรยี นรายวชิ า ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เติม 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ

Photosynthes i s
วชิ า ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เติม 1
ชนั มธั ยมศึกษาปี ที 5
ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ
โรงเรียนชะอวดวทิ ยาคาร

การสังเคราะหด วยแสง (Photosynthesis) หมายถึง กระบวนการสรา งอาหาร
พแสวงกสควาารงโ เบปไนฮตเดวั รชตว ขยอแงลพะชื เสอีเนขไยี ซวมจใานกเมH็ด2คOลแอลโะรพCลOา2สโตดเยปอน าตศวั ัยเรคงลปอฏโริกฟิริยล าล

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 1

เอกสารประกอบการเรียนรายวชิ า ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ

รงควตั ถใุ นปฏกิ ริ ิยาแสง (Photosynthetic pigment) 2

http://www.uic.edu/classes/bios/bios100/lectures/ps01.htm

รงควัตถใุ นปฏกิ ริ ยิ าแสง (Photosynthetic pigment)

 คลอโรฟล ล เอ (Chlorophyll a) สามารถดดู กลืนแสงไดม ากอยู 2 ชวงคือ ชว งที่แสงมีความ
ยาวคลื่นประมาณ 430 และ 664 นาโนเมตร แตด ดู กลืนแสงไดน อ ยมากในชวงคลน่ื 500-
600 นาโนเมตร พบในพชื และสาหรา ยทกุ ชนดิ รวมทง้ั ไซยาโนแบคทเี รีย

 คลอโรฟลล บี (Chlorophyll b) สามารถดดู กลนื แสงไดม ากอยู 2 ชว งคือ ชวงที่แสงมคี วาม
ยาวคลืน่ ประมาณ 460 และ 647 นาโนเมตร แตด ูดกลืนแสงไดน อ ยมากในชวงคลนื่ 500-
600 นาโนเมตร พบเฉพาะในพืช และสาหรายสีเขยี ว

 แคโรทนี อยด (Carotenoids) สามารถดดู กลืนแสงไดม ากอยู 2 ชวงคอื ชวงท่ีแสงมีความยาว
คลื่นประมาณ 455 และ 485 นาโนเมตร แตไมดดู กลนื แสงท่ีมี ความยาวคลนื่ มากกวา 530
นาโนเมตร พบในสง่ิ มชี วี ติ ทุกชนดิ ทส่ี งั เคราะหด วยแสงได

 ไฟโคไซยานิน (Phycocyanin) เปน รงควัตถุสนี า้ํ เงิน มอี ยใู นสาหรายสีเขยี วแกมนา้ํ เงนิ จะรบั
แสงสเี ขยี ว และสแี ดงทม่ี ีความยาวคล่นื 550, 615 นาโนเมตร ไดม ากทส่ี ดุ

 ไฟโคอีริทริน (Phycoerythrin) เปน รงควตั ถสุ แี ดง มอี ยใู นสาหรายสแี ดง จะรบั แสงสเี ขยี วท่ี
มคี วามยาวคล่นื ประมาณ 495, 565 นาโนเมตร ไวไ ดม ากที่สุด

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564

เอกสารประกอบการเรียนรายวชิ า ว32203 ชีววทิ ยาเพมิ เตมิ 1 ผสู้ อน ครูรัตนชยั ตญั ญะ

http://www.tutorvista.com/content/biology/biology-iv/photosynthesis/photosynthetic-pigments.php

ปฏกิ ริ ิยาท่ีเกดิ ข้ึนในกระบวนการสงั เคราะหด ว ยแสง

มี 2 ขั้นตอน
1. ปฏิกริ ยิ าใชแ สง (Light reaction) เปนปฏิกิริยาท่ีผูผลติ รับ
พลงั งานแสงมาใชส รา งสารอินทรยพ ลงั งานสงู 2 ชนดิ คอื
AไปดTฏPOิก2แิรยิลเปาะนไNมผใAลชDติแ PผสHลง+พ(DลHaอ+rยkโดไrดยeaใชct Hio2nO) เขา รว มปฏกิ ริ ิยา และ
2. เปน ปฏิกริ ิยาท่ีผผู ลติ
+สรHา+งนโด้ํายตอาาลศจัยากพลCงั Oง2ากนบัจาHก ของ Hเข2Oารทว ี่อมยโใูดนยรปปู ฏNิกAิรDยิ PาHน้ี
ATP
ไมจําเปน ตอ งใชแสงเขา รว มโดยตรง

กระบวนการสังเคราะหดว ยแสง

ภาคเรยี นที 1 ปีการศกึ ษา 2564 3


Click to View FlipBook Version