วจิ ยั ในช้ันเรียน
การปรับพฤตกิ รรมนักเรียนเรื่องการมาเรียนสายของนักเรียน
ระดบั ปวช. 2 กลุ่ม 1-2 แผนกวชิ าช่างยนต์
ภาคเรียนท่ี 2 / 2561
นายธาดา หมานดา
ครูอตั ราจ้าง แผนกช่างยนต์ วทิ ยาลยั เทคนิคระยอง
สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ
ก2
บทคดั ย่อ
การวิจยั คร้ังน้ี มีจุดมุ่งหมายเพอ่ื ปรับเปล่ียนพฤติกรรมในการมาเรียนสาย ขาดเรียน หนีเรียน ใน
ทุกรายวชิ า เพอื่ ใหน้ กั เรียนไดป้ รับเปล่ียนพฤติกรรมและมีความรับผดิ ชอบต่อหนา้ ท่ีของตน ในการมาเรียน
ใหต้ รงต่อเวลา เช่ือฟังในคาสง่ั สอนของครูผสู้ อน ปฏิบตั ิงานตามที่ไดร้ ับมอบหมายใหเ้ สร็จตามท่ีกาหนด
เพื่อใหน้ กั เรียนปฏิบตั ิตามกฎระเบียบของรายวิชาและกฎระเบียบของโรงฝึกงานท่ีปฏิบตั ิงาน
ในการวิจยั น้ีไดศ้ ึกษาพฤติกรรมของนกั เรียนระดบั ช้นั ปวช. 2 กลุ่ม 1-2 แผนกวิชาช่างยนต์ ที่มา
เรียนในภาคเรียน 2/2561 จานวน 40 คน
3 หน้า
ก
สารบัญ 1
3
บทคดั ย่อ 11
บทท่ี 1 บทนา 13
บทท่ี 2 เอกสารทีเ่ กยี่ วข้อง 15
บทที่ 3 วธิ ีดาเนินการ 16
บทที่ 4 การวเิ คราะห์ข้อมูล
บทท่ี 5 สรุปผลการวจิ ยั และอภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ
เอกสารอ้างองิ
4
บทที่ 1
บทนา
1. ความสาคญั ของปัญหา
จากที่ไดท้ าการสอนนกั เรียนระดบั ปวช. 2 กลุ่ม 1-2 แผนกวชิ าช่างยนต์ พบวา่ เมื่อนกั เรียนเขา้ มา
เรียนไดป้ ระมาณ 2-4 สปั ดาห์ นกั เรียนจะเริ่มมาเรียนสาย ขาดเรียน และหนีเรียนเกิดข้ึน เน่ืองจากเป็นวชิ าที่
เนน้ ความเป็นระเบียบวนิ ยั ตรงต่อเวลา และมีความรับผดิ ชอบในงานที่ไดร้ ับมอบหมาย จากการสงั เกตพบวา่
นกั เรียนท่ีมาเรียนสาย ขาดเรียน และหนีเรียน จะเป็นนกั เรียนกลุ่มเดิม ๆ ท่ีไม่ชอบปฏิบตั ิงานและคอยเล่ียง
งานตลอดเวลา ดงั น้นั ผวู้ จิ ยั จึงตอ้ งการเขา้ ไปคลุกคลีสอบถามปัญหาต่าง ๆ ท่ีนกั เรียนกลุ่มน้ีไม่ชอบเรียน
โดยใชว้ ธิ ีการพดู คุยและตกลงกนั ระหวา่ งครูและนกั เรียนมีการสร้างบรรยากาศในหอ้ งเรียน ผวู้ จิ ยั คาดว่าจะ
เป็นวธิ ีการท่ีจะช่วยเพมิ่ ความรับผดิ ชอบในการเรียนของนกั เรียนกลุ่มน้ีได้
2. วตั ถุประสงค์การวจิ ยั
เพ่ือปรับพฤติกรรมของนกั เรียนระดบั ปวช. 2 กลุ่ม 1-2 แผนกวิชาช่างยนต์ ในการมาเรียนสาย การ
ขาดเรียน และการหนีเรียน โดยมีเป้ าหมายวา่ นกั เรียนจะเขา้ เรียนและมีความรับผดิ ชอบในการปฏิบตั ิงาน
มากข้ึน
3. วธิ ีดาเนินการวจิ ัย
3.1 ประชากร/กลุ่มตวั อย่างนักศึกษา
นกั เรียนระดบั ปวช. 2 กลุ่ม 1-2 แผนกวิชาช่างยนต์ ที่มีพฤติกรรมในการมาเรียนสาย ขาดเรียน
และหนีเรียน
เครื่องมือที่ใช้
ก. เคร่ืองมือในการแก้ไขปัญหา/แนวทางแก้ปัญหา
1. สมุดบนั ทึกเวลาเรียนของนกั เรียนระดบั ปวช. 2 กลุ่ม 1-2 แผนกวชิ าช่างยนต์
2. การสงั เกตพฤติกรรมในการมาเรียนของนกั เรียนระดบั ปวช. 2 กลุ่ม 1-2 แผนกวิชาช่างยนต์ ใน
5 ดา้ น ดงั น้ี การเขา้ เรียนทุกคาบ การเขา้ เรียนตรงเวลา การกระตือรือร้นในการเรียน การต้งั ใจเรียน และการ
สามคั คีในการทางานเป็นกลุม่
3. การสมั ภาษณ์นกั เรียนกลุ่มเป้ าหมายในขอ้ มลู ส่วนตวั ปัญหาและความตอ้ งการของนกั เรียน
ข. เคร่ืองมอื ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล
1. แบบบนั ทึกเวลาเรียน
2. แบบสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียน
3. แบบสอบถามปัญหาในช้นั เรียน
2
วธิ ีการเกบ็ รวบรวมข้อมูล
1. ช้ีแจงถึงวธิ ีการเขา้ เรียนการปฏิบตั ิงาน เช่น การเขา้ เรียนสาย ขาดเรียน และการหนีเรียนจะไดร้ ับ
ผลกระทบอยา่ งไรบา้ ง
2. ใหน้ กั เรียนปฏิบตั ิงานตามหนา้ ที่ที่ไดร้ ับมอบหมายและคอยสงั เกตการปฏิบตั ิงานของนกั เรียน
กลุ่มเป้ าหมาย
3. คอยสังเกตพฤติกรรมของนกั เรียน และสรุปผล
สถติ ทิ ใ่ี ช้และวธิ ีการวเิ คราะห์ข้อมูล
วเิ คราะห์ขอ้ มลู จากแบบบนั ทึกเวลาเรียน และการสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนกลุ่มเป้ าหมายใน
การมาเรียนและการปฏิบตั ิงาน
4. ประโยชน์ทีค่ าดว่าจะได้รับ
1. นกั เรียนมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการเรียนท่ีดีข้ึน
2. นกั เรียนมีการมาเรียนทนั เวลาท่ีกาหนด และไม่สามารถขาดเรียน หรือหนีเรียนได้
3. นกั เรียนมีความรับผดิ ชอบในการเรียนมากข้ึน
4. นกั เรียนมีความสามคั คีในกลุ่มเพ่ือนมากข้ึน
5. นกั เรียนมีความรับผดิ ชอบต่อหนา้ ที่ และมีระเบียบวนิ ยั ต่อตนเองมากข้ึน
3
บทท่ี 2
เอกสารที่เกยี่ วข้อง
แนวคดิ และทฤษฎที ีเ่ กย่ี วข้องกบั การจัดการพฤตกิ รรม
พฤติกรรมต่างๆ ของบุคคลเกิดข้ึนจากการเรียนรู้ ดงั กล่าวขา้ งตน้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมน้นั มี
เจตนาใหผ้ เู้ รียนมีการกระทาในรูปแบบใหม่ต่างจากเดิม หรือลดพฤติกรรมในรูปแบบเก่าลง จึงเป็นการทา
ใหเ้ กิดการเรียนรู้ใหม่ การเกิดพฤติกรรมข้ึนมาและการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม จึงเป็นการเรียนรู้โดย
หลกั การเดียวกนั เทคนิควธิ ีการท่ีใชเ้ พอื่ ปรับเปล่ียนพฤติกรรม อาศยั แนวคิดจากทฤษฎีการเรียนรู้หลาย
ทฤษฎีท่ีจะกลา่ วถึงในที่น้ี มี 2 กลุ่มทฤษฎี คือ
1. แนวคดิ จากทฤษฎกี ารเรียนรู้จากเงือ่ นไข เป็นแนวคิดจากกลุ่มพฤติกรรมนิยม ซ่ึงใหค้ วามสาคญั กบั
อิทธิพลของสิ่งเร้าหรือสิ่งแวดลอ้ มในการกาหนดพฤติกรรมการเรียนรู้ของตน
เง่อื นไขส่ิงเร้า เป็นแนวคดิ ท่ีพฒั นามาจากทฤษฎีการวางเง่ือนไขแง Ivan P.Pavlow (1879-1935-6) การจดั
เง่ือนไขส่ิงเร้า คือ การจดั ส่ิงเร้าที่คาดวา่ ผเู้ รียนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองท่ีดี ใหเ้ ขา้ คูก่ บั สิ่งเร้าท่ีตอ้ งการให้
ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้ ซ่ึงจะช่วยใหเ้ กิดการเรียนรู้ตามที่ผสู้ อนตอ้ งการ
เงื่อนไขการกระทา เป็นแนวคิดจากทฤษฎีการวางเง่ือนไขของ B.F Skinner (1904-1990) เป็นการทาให้
ผเู้ รียน เรียนรู้วา่ ถา้ ทาหรือไม่ทาพฤติกรรมน้นั แลว้ จะไดห้ รือไม่ไดร้ ับผลอะไร จากแนวคิดที่วา่ ถา้ คนเรารู้วา่
ทาสิ่งน้นั แลว้ ไดผ้ ลเป็นทีพอ่ ใจกจ็ ะต่อไป และถา้ ทาแลว้ ไม่บงั เกิดผลที่พอใจหรือไดผ้ ลท่ีไม่พอใจ กจ็ ะไม่ทา
อีก เป็นการเรียนรู้จากเงื่อนไข เง่ือนไขที่จดั ใหเ้ ดก็ เกิดการเรียนรู้ ควรจะเป็นเง่ือนไขทางบวก คือทาแลว้
ไดร้ ับความพอใจ แนวคิดจากทฤษฎีน้ีคือ การใชห้ ลกั การเสริมแรงและการลงโทษใหม้ ีประสิทธิภาพ
2. แนวคดิ จากล่มุ ปัญญานิยม เป็นกลุ่มที่ใหค้ วามสาคญั กบั องคป์ ระกอบจากตวั ผเู้ รียนที่มีผลต่อการเรียนรู้
ในที่น้ีจะกล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้ทางปัญญาสงั คมของ Albert Bandura (1925)
แนวคิดน้ีใหค้ วามสาคญั ต่อปัจจยั จากตวั บุคคลท่ีมีผลต่อการเรียนรู้ นอกเหนือจากปัจจยั จากสิ่งแวดลอ้ ม
ปัจจยั ส่วนบุคคลไดแ้ ก่ ลกั ษณะทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ ความคิด เหล่าน้ีมีอิทธิพลร่วมกนั กบั
สิ่งแวดลอ้ มในการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล และอธิบายวา่ ท้งั สิ่งแวดลอ้ ม ตวั บุคคลและพฤติกรรม 3 ประการน้ี
จะมีอิทธิพลซ่ึงกนั และกนั ดว้ ย กล่าวคือ ความคิดความเขา้ ใจ ความรู้สึกของบุคคล เป็นผลมาจากการรับรู้
และการมีปฏิสมั พนั ธก์ บั สิ่งแวดลอ้ ม และความคิดความรู้สึกของบุคคลกเ็ ป็นตวั กาหนดพฤติกรรมของ
บุคคลน้นั ในขณะเดียวกนั พฤติกรรมของบุคคลกม็ ีผลต่อการเปล่ียนแปลงในสิ่งแวดลอ้ มดว้ ย
แนวคดิ จากฤษฎีปัญญาสังคม จะช่วยใหค้ รูจดั พฤติกรรมเดก็ ในช้นั เรียนดว้ ยความเขา้ ใจวา่ พฤติกรรมที่
เกิดข้ึนเป็นผลร่วมกนั ระหวา่ งคุณสมบตั ิเฉพาะตวั ของเดก็ กบั อิทธิพลจากสภาพแวดลอ้ ม ซ่ึงรวม
ท้งั ตวั ครูดว้ ย และการจะทาใหเ้ ดก็ เปล่ียนแปลงพฤติกรรมจะตอ้ งทาให้เดก็ รับรู้สิ่งแวดลอ้ ม รับรู้
ความสามารถของตวั เองท่ีถกู ตอ้ ง ฝึกใหเ้ ดก็ คิดเกี่ยวกบั การกระทาของตวั เอง ควบคุมการกระทาตวั เองและ
ใหเ้ ดก็ มีตวั แบบท่ีดีในการเรียนรู้เพื่อใหเ้ กิดพฤติกรรมท่ีพงึ ประสงค์
4
เป้ าหมายของการจัดการพฤติกรรม
เพอ่ื ใหเ้ ดก็ แต่ละคนเรียนรวมอยกู่ บั คนอื่น ๆ ในช้นั เรียนได้ และกระบวนการเรียนการสอนท้งั กลุ่ม
เป็นไปไดอ้ ยา่ งราบร่ืน ครูจะตอ้ งพฒั นาเดก็ ใหม้ ีพฤติกรรมเป้ าหมาย ดงั ต่อไปน้ี
1. ใหเ้ ดก็ เรียนรู้ที่จะควบคุมตวั เองไดม้ ากข้ึน เช่น เวลาตอ้ งการสิ่งใด จะอดทนรอได้ แสดงกิริยาตอบ
โตด้ ว้ ยอารมณ์ที่สมเหตุสมผล ลดปฏิกิริยาตอบโตท้ ี่รุนแรงลง ลดการกระทาตามใจตวั เอง
2. ใหเ้ ดก็ เรียนรู้ท่ีจะเขา้ ใจและยอมรับผลการกระทาของตวั เอง เดก็ ตอ้ งเรียนรู้วา่ ถา้ ตวั เองกระทา
เช่นน้นั แลว้ จะเกิดผลตามมาอยา่ งไร เช่น การลุกจากที่บอ่ ย ๆ จะไม่มีงานของตวั เองส่งครู หรือการพดู จาไม่
สุภาพ เพอื่ นจะไม่พดู ดว้ ย
3. ใหร้ ับผดิ ชอบตวั เอง และพ่ึงพาคนอื่นตามความจาเป็นไดอ้ ยา่ งเหมาะสม เดก็ ที่มีความตอ้ งการพเิ ศษ
อาจมีส่ิงที่ตอ้ งพ่งึ พงิ หรือขอใหค้ นอื่นช่วยในหลายกรณี เช่น เดก็ หูตึง อาจจะใหเ้ พอ่ื นที่อยใู่ กลบ้ อกสิ่งที่ครู
พดู ใหฟ้ ัง
การจัดการพฤติกรรม อาจแบ่งไดเ้ ป็น 3 ระดบั
ระดบั ที่ 1 การป้ องกนั พฤติกรรมทีเป็นปัญหาในช้นั เรียน โดยการสร้างความสมั พนั ธท์ ี่ดีระหวา่ งครูกบั
เดก็ ใหเ้ ดก็ มีความรู้สึกที่ดีต่อครู ต่อหอ้ งเรียน ต่อการเรียน เป็นวธิ ีการท่ีตอ้ งจดั การเป็นอนั ดบั แรก ซ่ึงครูจะ
ทาไปพร้อมกบั กระบวนการเรียนการสอนในช้นั เรียนรวมท้งั ช้นั
ระดบั ที่ 2 การคิดหาวธิ ีการแกป้ ัญหา หรือจดั การพฤติกรรมที่เกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม เมื่อเดก็ คนใดมี
พฤติกรรมที่เป็นปัญหาเกิดข้ึน ครูจะตอ้ งสามารถจดั การใหเ้ ดก็ เรียนรู้ใหม่ เกิดพฤติกรรมใหม่ที่ดีกวา่ เดิม
และถา้ เป็นพฤติกรรมท่ีเกิดข้นึ เฉพาะหนา้ ท่ีเป็นผลเสีย หรือเป็นอนั ตราย ครูจะสามารถจดั การไดอ้ ยา่ ง
เหมาะสม ไมท่ าใหเ้ กิดผลเสียต่อตวั เดก็ และคนอื่น ๆ หรือเกิดผลเสียนอ้ ยท่ีสุด
ระดับท่ี 3 การใชว้ ิธีจดั การพฤติกรรมอยา่ งเป็นระบบ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอยา่ งที่เป็นปัญหา
โดยการลดพฤติกรรมที่ไม่พงึ ประสงคล์ ง และเพิม่ พฤติกรรมที่พ่ึงประสงคใ์ หเ้ กิดข้นึ อยา่ งถาวร
ข้อควรคานึงก่อนการจดั พฤติกรรม
สิ่งที่ครูทุกคนควรรู้ และเขา้ ใจเป็นเบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั พฤติกรรมของเดก็ ในช้นั เรียนมีหลายประการต่อไปน้ี
1. ครูตอ้ งมีขอ้ มลู เดก็ ทุกคน รู้วา่ เดก็ คนใดมีความบกพร่อง ตอ้ งการความช่วยเหลือพเิ ศษในลกั ษณะ
ใดบา้ ง
2. การจดั การพฤติกรรม ปัญหาคือ พฤติกรรม ไม่ใช่ เดก็ เป็นปัญหา การคิดเช่นน้ีจะช่วยใหจ้ ดั การ
พฤติกรรมไดต้ รงประเดน็
3. ศึกษาวา่ พฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนในช้นั เรียนเป็นผลมาจากความบกพร่องเฉพาะตวั ของเดก็ หรือเป็นผลมา
จากสภาพแวดลอ้ มหรือมาจากตวั ครู
4. พฤติกรรมท่ีครูคิดวา่ เป็นปัญหาน้นั จะเก่ียวขอ้ งกบั การจดั หลกั สูตร เน้ือหาในการเรียนการสอน
กิจกรรมการเรียนการสอนและสภาพแวดลอ้ มในหอ้ งเรียนเป็นเบ้ืองตน้
5
5. พฤติกรรมของเดก็ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยใชว้ ธิ ีการสร้างความรู้สึกที่ดีใหเ้ กิดข้ึนและใชว้ ธิ ีการ
ทางบวกในการแกไ้ ข
วธิ ีการจดั การพฤติกรรมเดก็ ทม่ี คี วามต้องการพเิ ศษ
การจดั การพฤติกรรม อาจแบ่งไดเ้ ป็น 3 ระดบั
ระดบั ท่ี 1 การป้ องกนั พฤติกรรมทีเป็นปัญหาในช้นั เรียน โดยการสร้างความสมั พนั ธ์ที่ดีระหวา่ งครูกบั
เดก็ ใหเ้ ดก็ มีความรู้สึกที่ดีตอ่ ครู ต่อหอ้ งเรียน ต่อการเรียน เป็นวิธีการที่ตอ้ งจดั การเป็นอนั ดบั แรก ซ่ึงครูจะ
ทาไปพร้อมกบั กระบวนการเรียนการสอนในช้นั เรียนรวมท้งั ช้นั
ระดับที่ 2 การคิดหาวิธีการแกป้ ัญหา หรือจดั การพฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม เม่ือเดก็ คนใดมี
พฤติกรรมที่เป็นปัญหาเกิดข้ึน ครูจะตอ้ งสามารถจดั การใหเ้ ดก็ เรียนรู้ใหม่ เกิดพฤติกรรมใหม่ที่ดีกวา่ เดิม
และถา้ เป็นพฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนเฉพาะหนา้ ท่ีเป็นผลเสีย หรือเป็นอนั ตราย ครูจะสามารถจดั การไดอ้ ยา่ ง
เหมาะสม ไมท่ าใหเ้ กิดผลเสียต่อตวั เดก็ และคนอื่น ๆ หรือเกิดผลเสียนอ้ ยที่สุด
ระดับท่ี 3 การใชว้ ิธีจดั การพฤติกรรมอยา่ งเป็นระบบ เพ่อื ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอยา่ งท่ีเป็นปัญหา
โดยการลดพฤติกรรมท่ีไม่พงึ ประสงคล์ ง และเพม่ิ พฤติกรรมท่ีพ่งึ ประสงคใ์ หเ้ กิดข้ึนอยา่ งถาวร
ข้อควรคานึงก่อนการจดั พฤติกรรม
ส่ิงที่ครูทุกคนควรรู้ และเขา้ ใจเป็นเบ้ืองตน้ เก่ียวกบั พฤติกรรมของเดก็ ในช้นั เรียนมีหลายประการต่อไปน้ี
1. ครูตอ้ งมีขอ้ มูลเดก็ ทุกคน รู้วา่ เดก็ คนใดมีความบกพร่อง ตอ้ งการความช่วยเหลือพิเศษในลกั ษณะ
ใดบา้ ง
2. การจดั การพฤติกรรม ปัญหาคือ พฤติกรรม ไม่ใช่ เดก็ เป็นปัญหา การคิดเช่นน้ีจะช่วยใหจ้ ดั การ
พฤติกรรมไดต้ รงประเดน็
3. ศึกษาวา่ พฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนในช้นั เรียนเป็นผลมาจากความบกพร่องเฉพาะตวั ของเดก็ หรือเป็นผลมา
จากสภาพแวดลอ้ มหรือมาจากตวั ครู
4. พฤติกรรมท่ีครูคิดวา่ เป็นปัญหาน้นั จะเกี่ยวขอ้ งกบั การจดั หลกั สูตร เน้ือหาในการเรียนการสอน
กิจกรรมการเรียนการสอนและสภาพแวดลอ้ มในหอ้ งเรียนเป็นเบ้ืองตน้
5. พฤติกรรมของเดก็ สามารถเปล่ียนแปลงได้ โดยใชว้ ธิ ีการสร้างความรู้สึกท่ีดีใหเ้ กิดข้ึนและใชว้ ิธีการ
ทางบวกในการแกไ้ ข
เมื่อมีพฤติกรรมทีเป็นปัญหาเกิดข้ึน ครูตอ้ งคิดหาวิธีการจดั การแกไ้ ข วิธีการทวั่ ไปที่ครูใชค้ ือ เสริมแรง
และการลงโทษ การเสริมแรงและการลงโทษเพ่ือจดั การพฤติกรรม จะเกิดผลอยา่ งมีประสิทธิภาพกต็ ่อเม่ือ
ครูมีความเขา้ ใจสาเหตุที่มาของพฤติกรรมและความตอ้ งการของเด็ก ตวั ครูเป็นผมู้ ีอารมณ์มนั่ คง มีเหตุผล
และใชห้ ลกั การของการเสริมแรงและการลงโทษอยา่ งเหมาะสม
เป้ าหมายของการเสริมแรง คือใหน้ กั เรียนรู้วา่ พฤติกรรมใด พ่งึ ประสงคค์ วรทาต่อไป และรู้วา่ ถา้ ไม่ทาส่ิง
ที่ไม่พึงประสงคแ์ ลว้ จะไดร้ ับการเสริมแรง เช่น เมื่อเดก็ ไม่ลุกจากโตะ๊ ครูส่งสายตาพอใจ และยมิ้ ใหท้ ุกคร้ัง
เดก็ จะนงั่ กบั ท่ีมากข้ึน
6
ส่ิงท่ีใชใ้ นการเสริมแรงไดแ้ ก่ คาชม ท่าทีที่แสดงความรัก ความพอใจ รางวลั สิทธิพเิ ศษ การไดท้ าสิ่งท่ี
ตวั เองชอบ เป็นตน้
ความหมายของการเสริมแรง เป็นการทาใหผ้ เู้ รียนมีพลงั ในการกระทาสิ่งที่พงึ ประสงคม์ ากข้ึนเป็นการ
เสริมแรง ซ่ึงมี 2 ชนิดคือ การเสริมชนิดบวก และการเสริมแรงชนิดลบ
การเสริมแรงชนิดบวก (Position Reinforcement) เป็นการทาอะไรกต็ ามท่ีทาใหผ้ เู้ รียนมีพลงั ตอบสนอง
เป็นพฤติกรรมมากข้ึน จากการไดร้ ับสิ่งท่ีเขาพงึ พอใจ เช่น เดก็ ตอ้ งการคาชม ทาแลว้ คาชมเดก็ ทางานแลว้ ครู
เอาผลงานไปติด แสดงใหเ้ พ่ือนเห็นวา่ ทาไดด้ ี ทาใหเ้ ดก็ พอใจและอยากจะทาเช่นน้นั อีก
การเสริมแรงชนิดลบ (Negative Reinforcement) เป็นการกระทาใดกต็ ามที่ทาใหผ้ เู้ รียนมีพลงั ตอบสนอง
เป็นพฤติกรรมท่ีพงึ ประสงคข์ ้ึน จากการที่ไม่ตอ้ งพบกบั ส่ิงเร้าที่ไม่พงึ พอใจ เช่นเดก็ ท่ีไม่ยอมทางานใหเ้ สร็จ
ตามเวลาท่ีกาหนด ครูจึงบอกวา่ "งานน้ีใหท้ าเสร็จในเวลา 3 ชม.แลว้ ครูจะมีคะแนนพิเศษใหก้ บั นกั เรียน
ดงั น้นั นกั เรียนจึงรีบทาใหเ้ สร็จเหมือนคนอ่ืน ๆ
หลกั การเสริมแรง
การเสริมแรงทาไดท้ ุกที่ทุกเวลาเม่ือพบวา่ เดก็ มีพฤติกรรมที่พงึ ประสงค์ แต่ในการใชว้ ิธีการเสริมแรงเพอื่
จดั การพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ จะตอ้ งทาใหเ้ ดก็ เรียนรู้วิธีปฏิบตั ิท่ีถูกตอ้ ง และใหท้ าพฤติกรรมน้นั ก่อน
แลว้ ตามดว้ ยการเสริมแรง เช่น เดก็ ทิ้งขยะไม่ถกู ที่ ครูจะบอกช้ีแจงใหเ้ ดก็ เขา้ ใจก่อนแลว้ ใหเ้ กบ็ ขยะใส่ถงั
เมื่อเดก็ ทาครูกเ็ สริมแรงดว้ ยคาชมและท่าทีที่แสดงความพอใจ และครูติดตามสงั เกตต่อไปเม่ือพบวา่ เดก็ ทา
ถกู กจ็ ะเสริมแรงทุกคร้ัง
ในการเสริมแรงมีขอ้ ควรคานึงถึงหลายประการ เพอื่ ใหเ้ กิดประโยชน์ตรงตามเป้ าหมายมากท่ีสุด
1. เม่ือพบพฤติกรรมใดเป็นพฤติกรรมที่พึงประสงคข์ องเดก็ คนใด เวลาใดกต็ าม จะตอ้ งเสริมแรง
พฤติกรรมน้นั ทนั ที ใหเ้ ดก็ รู้วา่ ส่ิงที่ทาน้นั ดีแลว้
2. ควรใหเ้ พอ่ื นและบคุ คลอ่ืนเสริมแรงเดก็ ดว้ ยและโดยวธิ ีการต่าง ๆ
3. การเสริมแรงเดก็ ตอ้ งเกิดจากความจริงใจของครู และไม่ใช่วธิ ีการเดียวซ้าๆ
4. ตอ้ งแน่ใจวา่ สิ่งท่ีใช่เสริมแรงเป็นส่ิงท่ีเดก็ ตอ้ งการ
5. ควรเสริมแรงอยา่ งต่อเน่ืองเพ่อื ใหพ้ ฤติกรรมที่พงึ ประสงคข์ ้ึนอยา่ งถาวร
5-6. ในการเสริมแรงพฤติกรรมเดก็ ในช้นั เรียนตอ้ งเสริมแรงเดก็ อยา่ งทวั่ ถึง ไม่ใช่เลือกเสริมแรงเฉพาะ
เดก็ ที่มีเป้ าหมายจะแกไ้ ขพฤติกรรม
7. ใชว้ ิธีการไม่เสริมแรงกบั พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงคห์ รือการไม่ใส่ใจกบั พฤติกรรมท่ีไม่พึงประสงค์
การใส่ใจโดยวิธีการใดกต็ ามอาจเป็นการเสริมแรงแก่พฤติกรรมน้นั โดยครูไม่ต้งั ใจ แต่จะเสริมแรง
พฤติกรรมท่ีตรงกนั ขา้ มแทน เช่น เดก็ ตอบโดยไม่ยกมือ ครูจะไม่แสดงกิริยารับรู้ แต่เม่ือเดก็ ยกมือ ครูจะใส่
ใจเรียกชื่อใหพ้ ดู ทนั ที
8. ครูตอ้ งเป็นแบบอยา่ งที่ดีในพฤติกรรมที่ตอ้ งการ
7
การลงโทษ
ครูทวั่ ๆ ไปมกั จะนึกถึงวธิ ีการลดพฤติกรรมท่ีไม่พงึ ประสงคโ์ ดยวธิ ีการลงโทษมากกวา่ ใชว้ ิธีการอ่ืน การ
ลงโทษไม่ใช่วธิ ีการแกป้ ัญหาที่แทจ้ ริง เป็นเพยี งการระงบั พฤติกรรมท่ีไม่พึงประสงคใ์ นระยะส้นั อาจมีผล
ทาใหเ้ กิดปฏิกิริยาต่อตา้ น เกิดความกา้ วร้าว และอาจจะแสดงหาวิธีการกระทา หรือเกิดพฤติกรรมที่ไม่พงึ
ประสงคข์ ้ึนมาใหม่ทดแทนพฤติกรรมเดิมที่ถูกลงโทษ นอกจากน้นั จะมีผลโดยตรงต่อการเรียนของเดก็ เดก็
จะไม่ไดเ้ รียนขณะท่ีถกู ลงโทษ และผลทางอารมณ์ทาใหไ้ ม่พร้อมที่จะเรียนรู้จึงควรหลีกเล่ียงการลงโทษเดก็
วธิ ีการลงโทษที่ใช้ได้ในห้องเรียน
1. การใชเ้ วลานอก (Time out) หมายถึง การแยกตวั เดก็ ออกจากสภาพที่เดก็ พอใจ ในขณะท่ีเดก็ ทา
พฤติกรรมท่ีไม่พงึ ประสงค์
2. การแกไ้ ขเกินกวา่ ความผดิ (Overcorection) เป็นการใหเ้ ดก็ แกไ้ ขความผดิ มากกวา่ ที่ไดท้ าใน
ขณะน้นั
3. การใชเ้ งื่อนไขท่ีเป็นการปรับ เป็นการดึงเอาส่ิงที่พอใจออกไป หรือลดตวั เสริมแรงที่เดก็ ไดร้ ับอยู่
หรือกาลงั จะไดร้ ับในขณะน้นั ออกไป เม่ือเดก็ ทาพฤติกรรมท่ีไม่พึงประสงค์ ไดแ้ ก่ การริบเคร่ืองแต่งกายท่ี
ไม่ถูกระเบียบ การหกั คะแนน หรือตดั สิทธ์ิการในการไดเ้ ขา้ สอบ
4. การไม่ใส่ใจหรือการปฏิเสธพฤติกรรมที่ไม่พงึ ประสงค์ โดยครูจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ เมื่อ
เดก็ ทาพฤติกรรมน้นั แต่จะหนั ไปสนใจเดก็ ท่ีมีพฤติกรรมดีในขณะน้นั แทน แต่เม่ือเดก็ ทาพฤติกรรมดี
ภายหลงั กจ็ ะสนใจและชมเชย วิธีการไม่ใส่ใจหรือปฏิเสธน้ี ถา้ ครูไดฝ้ ึกใหเ้ พ่อื นในกลุ่มทาดว้ ยกจ็ ะเป็น
วิธีการท่ีใหผ้ ลดี แต่ตอ้ งระวงั ไม่ใชว้ ิธีการไม่ใส่ใจกบั พฤติกรรมบางอยา่ ง เช่น พฤติกรรมกา้ วร้าวที่ทาใหเ้ กิด
ความเสียหาหรือเป็นอนั ตราย
ข้อควรคานึงถึงในการลงโทษเดก็
มีขอ้ ควรคานึงถึงบางประการท่ีช่วยใหก้ ารลงโทษเกิดผลตามเป้ าหมาย ไดแ้ ก่
1. ในการลงโทษจะตอ้ งใหเ้ ดก็ รู้วา่ ไดร้ ับโทษเนื่องจากกระทาพฤติกรรมใด
2. ตอ้ งลงโทษทนั ทีในขณะที่เกิดพฤติกรรมน้นั ถา้ เวลาห่างไปนานเดก็ จะลืมและไม่ยอมรับวา่ เป็น
ความผดิ
3. การลงโทษตอ้ งทาใหเ้ ดก็ รู้สึกวา่ เป็นการลงโทษจริง ๆ คือ ใหม้ ีความแรงพอ ถา้ เดก็ รู้สึกวา่ ครูทา
โทษไม่จริง ไม่รู้สึกวา่ เป็นการลงโทษ การลงโทษกจ็ ะไมเ่ กิดผล
4. การลงโทษทางกาย และการลงโทษทางจิตใจ ที่ทาใหเ้ ดก็ อายหรือรู้สึกวา่ ถูกประจาน เป็นสิ่งท่ีไม่
ควรทา
5. วิธีการลงโทษเดก็ แต่ละคน จะใชว้ ิธีการต่างกนั เช่น การติหรือตาหนิสาหรับเดก็ บางคนจะรู้สึกวา่
ถูกลงโทษอยา่ งรุนแรง แต่สาหรับเดก็ บางคนจะไม่รู้สึกวา่ ถกู ลงโทษ
6. ในการลงโทษและถา้ มีขอ้ ตกลงกนั ไวก้ ่อนแลว้ ครูจะตอ้ งใชว้ ธิ ีการน้นั โดยไม่อ่อนไหว ยดึ หยนุ่ จน
ทาใหเ้ ดก็ ขาดความเชื่อถือ จะทาใหก้ ารลงโทษขาดประสิทธิภาพ
8
การจัดการพฤติกรรมทเี่ กดิ ขึน้ เฉพาะหน้า
ในกรณีที่มีการป้ องกนั ปัญหาและการจดั การในข้นั ตน้ แลว้ อาจยงั มีปัญหาพฤติกรรมบางอยา่ งเกิดข้ึน ซ่ึงควร
จะตอ้ งจดั การทนั ทีเฉพาะหนา้ ไดแ้ ก่ ปัญหาท่ีจะเป็นอนั ตรายทางกายต่อตวั เดก็ และต่อคนอ่ืน หรือเป็นความ
ประพฤติที่ไม่เหมาะสมกบั บุคคล ไม่เหมาะสมกบั สถานการณ์ท่ีมีปริมาณสูง เช่น ตี ชก ทาร้ายตวั เองหรือคน
อ่ืน กา้ วร้าวดว้ ยวาจาและกิริยาท่าทาง เป็นตน้
ปัญหาพฤติกรรมจะลดความรุนแรงลง หรือป้ องกนั ปัญหารุนแรงได้ ถา้ ครูหูตาไว สงั เกตเดก็ ทวั่ หอ้ ง
ตลอดเวลา และคาดการณ์ไดท้ นั ทีวา่ จะมีปัญหาข้ึน เมื่อเห็นสภาพที่แสดงวา่ จะเป็นปัญหา ครูตอ้ งจบั ตามอง
และอาจไปอยใู่ กลๆ้ ตวั เดก็ เพ่อื เตือนหรือกนั ไม่ใหเ้ ดก็ กระทาสิ่งที่รุนแรง หากเกิดปัญหาข้ึน สิ่งที่ครูตอ้ งทา
ขณะน้นั คือ
1. ยตุ ิพฤติกรรมน้นั ทนั โดยวธิ ีการท่ีเหมาะสม
2. คิดวา่ จะทาอยา่ งไรในทนั ดว้ ยอารมณ์เยน็ และมน่ั คง
3. บอก อธิบาย ใหร้ ู้วา่ การกระทาน้นั ผดิ เพราะอะไร
การจดั การพฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนเฉพาะหนา้ ตอ้ งอาศยั ความเขา้ ใจเก่ียวกบั ตวั เดก็ เป็นสาคญั ครูท่ีมีขอ้ มลู
รู้จกั ลกั ษณะเฉพาะของเดก็ อยแู่ ลว้ จะเขา้ ใจสาเหตุของพฤติกรรมที่เกิดข้ึนน้นั ไดด้ ี การแกป้ ัญหาเฉพาะหนา้
มีความสมั พนั ธ์กบั สาเหตุที่มาของพฤติกรรม พฤติกรรมบางอยา่ งท่ีเดก็ แสดงออกมาท้งั โดยต้งั ใจและไม่
ต้งั ใจ อาจจะเกิดจากความไม่เชา้ ใจ และไม่รู้วา่ จะเป็นผลเสียต่อตวั เอง และคนอื่นอยา่ งไร แต่ถา้ ไดร้ ับการ
บอก การอธิบายใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งชดั เจน หากเดก็ เช่ือถือครู พฤติกรรมดงั กล่าวอาจจะหายไปได้
โปรแกรมการจดั การพฤติกรรมเฉพาะบุคคลในช้ันเรียนรวม
ในกรณีท่ีครูป้ องกนั ปัญหาพฤติกรรมในช้นั เรียนขา้ งตน้ แลว้ แกป้ ัญหาเฉพาะหนา้ ที่เกิดข้ึนแลว้ แตว่ า่
พฤติกรรมบางอยา่ งยงั ไมเ่ ปลี่ยนแปลง ยงั คงเป็นปัญหา จะตอ้ งจดั การแกไ้ ขอยา่ งเป็นระบบต่อไป วธิ ีการน้ีดู
จะเป็นเร่ืองยงุ่ ยาก สาหรับครูท่ีจะปฏิบตั ิไปพร้อมกบั กระบวนการเรียนการสอน ในเวลาปกติดว้ ยตวั เองคน
เดียว แต่มีความจาเป็นท่ีจะตอ้ งทา เพราะจะทาใหป้ ระสบความสาเร็จในการจดั การพฤติกรรมได้ ถา้ ไดต้ ้งั ใจ
ทาอยา่ งต่อเนื่องไม่เลิกลม้ เสียกลางคนั อาจจะตอ้ งอาศยั ครูคนอื่นช่วยในบางข้นั ตอน
ข้นั ท่ี 1 ข้นั สงั เกต เมื่อพบวา่ มีพฤติกรรมที่จะตอ้ งแกไ้ ขอยา่ งเป็นระบบ ครูจะตอ้ งเร่ิมดว้ ยการสงั เกต และ
บนั ทึกพฤติกรรมที่เกิดข้ึนจริง รอบชวั่ โมง / วนั / สปั ดาห์ วา่ เดก็ ทาอะไร อยา่ งไร มีปริมาณมากนอ้ ยเพยี งใด
เป็นการบนั ทึกพฤติกรรมท้งั ที่ดีและไม่ดีควบคู่กนั เพอ่ื ใหแ้ น่ใจวา่ พฤติกรรมน้นั เป็นปัญหาจริง ๆ
ข้นั ที่ 2 เขียนพฤติกรรมที่เป็นปัญหา และต้งั จุดมุ่งหมายกวา้ ง ๆ วา่ ตอ้ งการจะเปล่ียนแปลงใหเ้ ป็นอยา่ งไร
ข้นั ท่ี 3 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมระบุชดั เจนวา่ เดก็ จะมีพฤติกรรมอะไรเกิดข้ึน ระบสุ ถานการณ์ท่ีเดก็ ทา
และระบุเกณฑท์ ี่บ่งบอกวา่ เกิดพฤติกรรมตามจุดมุ่งหมายหรือไม่
ข้นั ท่ี 4 เลือกเทคนิควธิ ีการต่าง ๆ ที่เหมาะสมเพ่อื ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
9
ข้นั ท่ี 5 สรุปจากการประเมินพฤติกรรมหลงั จากปฏิบตั ิตามโปรแกรม ถา้ มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไป
ตามเป้ าหมาย กท็ าการปรับพฤติกรรมต่อไป โดยค่อย ๆ ลดตวั เสริมแรงลง จนแน่ใจวา่ มีพฤติกรรมใหม่
เกิดข้ึนแลว้ จึงยตุ ิโปรแกรม
การปรับพฤตกิ รรมผู้เรียน
ใหแ้ รงเสริมอยา่ งไรถึงจะดีผเู้ รียนที่แตกต่างผเู้ รียนบางคนต้งั ใจเรียนบางคนไม่ต้งั ใจเรียนเกิดข้ึนในทุก
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่จะมีผเู้ รียนบางส่วนที่ไม่สนใจเรียนไม่มีอุปกรณ์มาเรียน จากปัญหาดงั กล่าว ได้
ประชุมครูในสายช้นั เดียวกนั เพื่อแกไ้ ขปัญหาผเู้ รียนร่วมกนั ในการปรับพฤติกรรมของผเู้ รียนโดยการใหแ้ รง
เสริมท้งั ทางบวกและทางลบ ผลการปฏิบตั ิ พบวา่ นกั เรียนกลุ่มที่ไดแ้ รงเสริมในทางบวก เช่น การใหด้ าวการ
ชมเชยการปรบมือให้ การยมิ้ การใหค้ วามเป็นกนั เอง ผเู้ รียนจะค่อย ๆ เร่ิมชา้ ๆ สปั ดาห์แรกกจ็ ะจดไดน้ ิด
หน่อย กระทง่ั จดไดท้ นั เพ่ือน ๆ พยายามทาการบา้ นมาส่ง แมจ้ ะถูกบา้ งผดิ บา้ ง ผสู้ อนตอ้ งใหก้ าลงั ใจอยา่ ง
สม่าเสมอ ดา้ นกลุ่มนกั เรียนท่ีไดแ้ รงเสริมในทางลบ เช่น การตกั เตือน การใหน้ งั่ สมาธิ การใหท้ ่องจา จะ
พบวา่ นกั เรียนจะไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ แต่จะทาท่าต้งั ใจเรียนเพราะถกู บงั คบั กลบั บา้ นไปก็
ไม่มีการบา้ นมาส่ง จากขอ้ สงั เกตดงั กล่าว การปรับพฤติกรรมผเู้ รียนตอ้ งทาใหแ้ รงเสริมทางบวก ถึงแมแ้ รก
ๆ ผเู้ รียนจะเขยี นนอ้ ย แต่เม่ือเราใหก้ าลงั ใจเขาไปเรื่อย ๆ บอกวา่ เขาสามารถทาไดเ้ ท่า ๆ กบั เพอื่ น ๆ ทุกคน
ในช้นั เรียน เมื่อเขามีกาลงั ใจ เขากจ็ ะมีกาลงั กายดว้ ย จะเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้
การเสริมแรง คือการทาใหค้ วามถ่ีของพฤติกรรมเพมิ่ ข้ึน อนั เป็นผลเนื่องมาจากผลกรรมท่ีตามหลงั
พฤติกรรมน้นั
การเสริมแรงทางบวก ( Positive Reinforcement)หมายถึง ส่ิงของ คาพดู หรือสภาพการณ์ที่จะช่วยให้
พฤติกรรมเกิดข้ึนอีก หรือสิ่งทาใหเ้ พมิ่ ความน่าจะเป็นไปไดข้ องการเกิดพฤติกรรม
การเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement) หมายถึง การเปลี่ยนสภาพการณ์หรือเปล่ียนแปลงบางอยา่ ง
กอ็ าจจะทาใหบ้ ุคคลแสดงพฤติกรรมได้
การเสริมแรงทางลบเกี่ยวขอ้ งกบั พฤติกรรมใน 2 ลกั ษณะคือ
1. พฤติกรรมหลีกหนี (Escape Behavior)
2. พฤติกรรมหลีกเล่ียง(Avoidance Beh.)
จากการวิจยั เกี่ยวกบั การเสริมแรงกินเนอร์ไดแ้ บ่งการใหแ้ รงเสริมเป็น 2 ชนิดคือ
1. การเสริมแรงทุกคร้ัง คือการใหแ้ รงเสริมแก่บุคคลเป้ าหมายท่ีแสดงพฤติกรรมที่กาหนดไวท้ ุกคร้ัง
2. การเสริมแรงเป็นคร้ังคราว คือไม่ตอ้ งใหแ้ รงเสริมทุกคร้ังท่ีบุคคลเป้ าหมายแสดงพฤติกรรม
วธิ ีการเสริมแรง
การเสริมแรงแบบทุกคร้ัง เช่น การเสริมแรงเกิดข้ึนทกุ คร้ังที่เดก็ ลา้ งมือก่อนรับประทานอาหาร
การเสริมแรงตามช่วงเวลาท่ีแน่นอน เช่น การเสริมแรงทุก ๆ 1 ชว่ั โมงหลงั จากทาพฤติกรรมไปแลว้
การเสริมแรงตามช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน เช่น บางทีกใ็ หเ้ สริมแรง 1 ชว่ั โมง บางทีกใ็ หเ้ สริมแรง 2 ชวั่ โมง คร้ัง
ที่แน่นอน เช่น แสดงพฤติกรรมออกกาลงั กาย 3 คร้ังใหก้ ารเสริมแรง 1 คร้ัง
10
การเสริมแรงตามจานวนคร้ังที่ไม่แน่นอนหรือแบบสุ่ม (Random) คือ บางคร้ังกใ็ หก้ ารเสริมแรง บางคร้ังก็
ไม่ใหก้ ารเสริมแรง
สรุปแนวคดิ ทส่ี าคญั ของนักจติ วทิ ยาการศึกษา ดงั น้ี
1. ธอร์นไดค์ (Thorndike) ใหข้ อ้ สรุปวา่ การเสริมแรง จะช่วยใหเ้ กิดความกระหายใคร่รู้เกิดความพอใจ และ
นาไปสู่ความสาเร็จ
2. สกนิ เนอร์ (Skinner) กล่าววา่ "การเสริมแรง จะเป็นส่ิงสาคญั ท่ีจะทาใหบ้ ุคคลแสดงพฤติกรรมซ้า และ
พฤติกรรมของบุคคลส่วนใหญ่ จะเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้แบบปฏิบตั ิ (Operant Learning) และพยายาม
เนน้ วา่ การตอบสนองต่อส่ิงเร้าใดๆ ของบุคคล สิ่งเร้าน้นั จะตอ้ งมีส่ิงเสริมแรงอยใู่ นตวั หากลดส่ิงเสริมแรง
ลงเมื่อใด การตอบสนองจะลดลงเม่ือน้นั "
3. กทั ธรี (Grthrie) เชื่อวา่ การเรียนรู้ จะเป็นผลมาจากสิ่งเร้าและการตอบสนองซ่ึงเมื่อเกิดข้ึนพร้อมๆ กนั สิ่ง
เร้าทุกอยา่ งยอ่ มจะมีลกั ษณะท่ีเร้า และก่อใหเ้ กิดพฤติกรรมไดท้ ้งั หมด ดงั น้นั การเสริมแรงไม่จาเป็นตอ้ ง
นามาใชส้ าหรับการตอบสนอง
4. ฮัล (Hull) เชื่อวา่ การเสริมแรงเป็นส่ิงที่ทาใหเ้ กิดความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสิ่งเร้าและการตอบสนอง ม่มีการ
เรียนใดๆ ท่ีมีความสมบรู ณ์ การเรียนรู้เป็นลกั ษณะของการกระทาที่ต่อเนื่องกนั จะคอ่ ยๆ สะสมข้ึนเร่ือยๆ
การเสริมแรงทุกคร้ังจะทาใหก้ ารเรียนรู้เพมิ่ ประสิทธิภาพยง่ิ ข้ึน
หลกั การและแนวคดิ ทส่ี าคญั ของการเสริมแรง
1. การเรียนรู้จะเกิดข้ึนไดต้ อ้ งอาศยั การเสริมแรง การเสริมแรงทางบวกจะดีกวา่ ทางลบ
2. การเรียนรู้จะเกิดข้ึนไดต้ อ้ งอาศยั ความใกลช้ ิดระหวา่ งส่ิงเร้าและการตอบสนอง
3. การเสริมแรงมีหลายวิธี อาจใชว้ ตั ถุส่ิงของ หรือถอ้ ยคาที่แสดงความรู้สึกกไ็ ด้ ท่ีสามารถสร้างบรรยากาศ
กระตุน้ ใหค้ วามพึงพอใจใหเ้ กิดความสาเร็จหรือเคร่ืองบอกผลการกระทาวา่ ถูกผดิ และอาจเป็นการส่งเสริม
ใหเ้ กิดการเสริมแรงต่อ ๆ ไป
4. การเสริมแรงควรจะตอ้ งใหส้ ม่าเสมอ นอกจากน้นั หลกั การเสริมแรงยงั ทาใหส้ ามารถปรับพฤติกรรมได้
5. ควรจะใหก้ ารเสริมแรงทนั ที ท่ีมีการตอบสนองไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ซ่ึงควรจะเกิดข้นึ ภายใน ประมาณ 10
วนิ าที ถา้ หากมีการตอบสนองที่ตอ้ งการซ้าหลายคร้ังๆ กค็ วรเลือกใหม้ ีการเสริมแรงเป็นบางคราว แทนท่ีจะ
เสริมแรงทุกคร้ังไป
5-6. ควรจะจดั กิจกรรมการเรียน ใหเ้ ป็นไปตามลาดบั จากง่ายไปยาก และเป็น ตอนส้นั ๆ ท่ีสอดคลอ้ งกบั
ความสามารถของผเู้ รียน
11
บทที่ 3
วธิ ีดาเนินการ
การวิจยั คร้ังน้ีเป็นการวจิ ยั เชิงปฏิบตั ิและการสงั เกต เพื่อปรับพฤติกรรมของนกั เรียนระดบั ปวช. 2
กลุ่ม 1-2 แผนกวิชาช่างยนต์ ในการมาเรียนสาย การขาดเรียน และการหนีเรียน โดยมีเป้ าหมายวา่ นกั เรียน
จะเขา้ เรียนและมีความรับผดิ ชอบในการปฏิบตั ิงานมากข้ึน เพ่อื ดาเนินการวิจยั เป็นไปตามวตั ถุประสงคข์ อง
การวิจยั ผวู้ ิจยั จึงไดด้ าเนินการวิจยั ดงั น้ี
ข้นั ตอนการวจิ ัย
1. ศึกษาพฤติกรรมการมาเรียนของนกั เรียนท่ีมาเรียนสาย หนีเรียน และขาดเรียนวา่ เกิดจากสาเหตุ
ใด
2. ศึกษาพฤติกรรมของนกั เรียนวา่ นกั เรียนมีปัญหาทางดา้ นครอบครัว หรือนกั เรียนติดเพื่อนต่าง
เพศหรือไม่
จานวนนักเรียนทท่ี าการศึกษา
เพศชาย จานวน 38 คน เพศหญิง จานวน 2 คน ซ่ึงเป็นนกั เรียนระดบั ปวช. 1 กลุ่ม 1-2
แผนกวชิ าช่างยนต์
เครื่องมอื ทใี่ ช้ในการวิจัย
ก. เคร่ืองมอื ในการแก้ไขปัญหาแนวทางแก้ปัญหา
1. สมุดบนั ทึกเวลาเรียนของนกั เรียนระดบั ปวช. 2 กลุ่ม 1-2 แผนกวชิ าช่างยนต์
2. การสงั เกตพฤติกรรมในการมาเรียนของนกั เรียนระดบั ปวช. 2 กลุ่ม 1-2 แผนกวิชาช่างยนต์ ใน
5 ดา้ น ดงั น้ี การเขา้ เรียนทุกคาบ การเขา้ เรียนตรงเวลา การกระตือรือร้นในการเรียน การต้งั ใจเรียน และการ
สามคั คีในการทางานเป็นกลมุ่
3. การสมั ภาษณ์นกั เรียนกลุ่มเป้ าหมายในขอ้ มูลส่วนตวั ปัญหาและความตอ้ งการของนกั เรียน
ข. เครื่องมอื ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล
1. แบบบนั ทึกเวลาเรียน
2. แบบสังเกตพฤติกรรมของนกั เรียน
3. แบบสอบถามปัญหาในช้นั เรียน
วธิ ีการเกบ็ รวบรวมข้อมูล
1. เรียกนกั เรียนที่มาเรียนสาย หนีเรียน และขาดเรียนมาสอบถามถึงปัญหาที่นกั เรียนไม่สามารถ
มาเรียนไดท้ นั ตามเวลาที่กาหนด และครูผสู้ อบถามควรมีการจดบนั ทึกเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร
2. ช้ีแจงถึงวิธีการเขา้ เรียนการปฏิบตั ิงาน เช่น การเขา้ เรียนสาย ขาดเรียน และการหนีเรียนจะไดร้ ับ
ผลกระทบอยา่ งไรบา้ ง
3. นดั พบผปู้ กครองของนกั เรียนมาปรึกษาหารือ เพ่ือหาแนวทางแกไ้ ขร่วมกนั ระหวา่ งผปู้ กครอง
ของนกั เรียนกบั ครูผสู้ อน
12
4. ติดตามพฤติกรรมการมาเรียนของนกั เรียนอยา่ งสม่าเสมอ และใหน้ กั เรียนปฏิบตั ิงานตามหนา้ ที่
ที่ไดร้ ับมอบหมายและคอยสงั เกตการปฏิบตั ิงานของนกั เรียนกลุ่มเป้ าหมาย
5. คอยสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียน และสรุปผล
สถานท่ที าการศึกษาวจิ ัย
แผนกวิชาช่างยนต์ วิทยาลยั เทคนิคระยอง ตาบลท่าประดู่ อาเภอเมือง จงั หวดั ระยอง 21000 โทร
038-611-160
สถิติทใ่ี ช้และวธิ ีการวเิ คราะห์ข้อมูล
วเิ คราะห์ขอ้ มูลจากแบบบนั ทึกเวลาเรียน และการสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนกล่มุ เป้ าหมายใน
การมาเรียนและการปฏิบตั ิงาน
13
บทที่ 4
การวเิ คราะห์ข้อมูล
ในการวจิ ัยเร่ือง การปรับพฤติกรรมนักเรียนเรื่องการมาเรียนสายของนักเรียนระดบั ปวช. 1 กล่มุ
1-2 แผนกวชิ าช่างยนต์ สามารถนาเนอผลการวิจยั ได้ดังนี้
ตารางท่ี 1 ศึกษาพฤติกรรมการมาเรียนของนกั เรียนท่ีมาเรียนสาย หนีเรียน และขาดเรียนวา่ เกิด
จากสาเหตุใด
ข้อท่ี เร่ือง ใช่ ไม่ใช่
1. นอนดึก ต่ืนนอนสาย 6 34
2. เล่นเกมอินเตอร์เน็ตเพลินจนลืมเวลาเรียน 4 36
3. นดั พบกลุ่มเพอื่ นไปดูหนงั ฟังเพลง และร้องคาราโอเกะ 3 37
4. ทางานพเิ ศษเพ่อื หารายไดไ้ ปเล้ียงครอบครัวจนไม่มีเวลาพกั ผอ่ น 2 38
5. นกั เรียนใชเ้ คร่ืองมือส่ือสารเป็นเวลานานๆ 12 28
6. นกั เรียนไม่สบาย ปวดหวั ตวั ร้อน 3 37
7. เล่นการพนนั ด่ืมสุรา 5 35
8. ติดธุระส่วนตวั 4 36
9. ยานพาหนะเกิดการเสียระหวา่ งการเดินทางมาเรียน 5 35
10. อื่นๆ 7 33
จากการศึกษา นกั เรียนท่ีทาการศึกษาท้งั หมดมี 40 คน พบวา่ นกั เรียนมีพฤติกรรมที่ส่งผลทาให้
นกั เรียนมาเรียนสาย หนีเรียน และขาดเรียนที่เป็นอนั ดบั ท่ี 1 คือ นกั เรียนใชเ้ คร่ืองมือส่ือสารเป็น
เวลานานๆ ท้งั หมด 12 คน คิดเป็นร้อยละ 27.27 อนั ดบั ที่ 2 คือ อื่นๆ ท้งั หมด 7 คน คิดเป็นร้อยละ
15.90 อนั ดบั ที่ 3 คือ นอนดึก ต่ืนนอนสาย ท้งั หมด 6 คน คิดเป็นร้อยละ 13.63
14
ตารางท่ี 2 ศึกษาพฤติกรรมของนกั เรียนวา่ นกั เรียนมีปัญหาทางดา้ นครอบครัว หรือนกั เรียนติด
เพื่อนต่างเพศหรือไม่
ข้อที่ เรื่อง ใช่ ไม่ใช่
1. มีครอบครัวขนาดใหญ่ 15 25
2. ครอบครัวมีฐานะยากจน 8 32
3. ไม่มีใครช่วยเหลืองานบา้ น 5 35
4. ระยะการเดินทางมาเรียนไกลมาก ( 10 กม. ข้ึนไป ) 17 23
5. ไม่มียานพาหนะในการเดินทาง 4 36
5-6. ไม่มีคา่ ใชจ้ ่ายในการมาเรียนในวนั น้นั ๆ 2 38
7. หยดุ เรียนเพ่ือหารายไดช้ ่วยเหลือครอบครัว 2 38
8. นกั เรียนไดร้ ับอุบตั ิเหตุที่ตอ้ งอาศยั เวลาการรักษาตวั ที่ใชเ้ วลานานพอสมควร 3 37
9. นกั เรียนมีเพอ่ื นต่างเพศร่วมหอ้ งพกั ( หอพกั ) 3 37
10. เพ่ือนต่างเพศท่ีอาศยั ร่วมหอ้ งไม่สบาย 3 37
จากการศึกษา นกั เรียนท้งั หมดท่ีทาการศึกษาท้งั หมดมี 40 คน พบวา่ นกั เรียนมี
พฤติกรรมที่มีปัญหาทางดา้ นครอบครัว หรือนกั เรียนติดเพอ่ื นต่างเพศ ท่ีเป็นอนั ดบั ท่ี 1 คือ ระยะการ
เดินทางมาเรียนไกลมาก ( 10 กม. ข้ึนไป ) ท้งั หมด 17 คน คิดเป็นร้อยละ 38.63 อนั ดบั ท่ี 2 คือ มี
ครอบครัวขนาดใหญ่ ท้งั หมด 15 คน คิดเป็นร้อยละ 34.09 อนั ดบั ที่ 3 คือ นกั เรียนครอบครัวมีฐานะ
ยากจน ท้งั หมด 8 คน คิดเป็นร้อยละ 18.18
15
บทที่ 5
สรุปผลการวจิ ยั และอภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ
สรุปผลการวจิ ยั
จากการศึกษาพบวา่ นกั เรียนที่มีพฤติกรรมการมาเรียนสาย หนีเรียน และขาดเรียนน้นั เกิดจาก
สาเหตุหลกั ดงั น้ี
1. นกั เรียนใชเ้ ครื่องมือส่ือสารเป็นเวลานานๆ
2. สาเหตุอื่นๆ
3. นอนดึก ตื่นนอนสาย
การศึกษาพฤติกรรมของนกั เรียนวา่ นกั เรียนมีปัญหาทางดา้ นครอบครัว หรือนกั เรียนติดเพ่ือนต่าง
เพศหรือไม่ พบวา่ มีปัญหาและอุปสรรค ดงั ต่อไปน้ี
1. ระยะการเดินทางมาเรียนไกลมาก ( 10 กม. ข้ึนไป )
2. มีครอบครัวขนาดใหญ่
3. นกั เรียนครอบครัวมีฐานะยากจน
อภปิ รายผลการวิจยั
จากการศึกษาพฤติกรรมในการมาเรียนสาย หนีเรียน และขาดเรียนของนกั เรียนระดบั ช้นั ปวช. 1
กลุ่ม 1-2 แผนกวชิ าช่างยนต์ เมื่อนกั เรียนไดร้ ับการติดตามการมาเรียนจากครูและผปู้ กครองของนกั เรียน
แลว้ พบวา่ นกั เรียนมีการเปลี่ยนพฤติกรรมในทางท่ีดีข้ึน โดยไดร้ ับแรงเสริมในทางบวก และจากการเอาใจ
ใส่ในการดูแลนกั เรียน การใหค้ าปรึกษาในดา้ นต่างๆกบั นกั เรียนอยา่ งเป็นกนั เอง
ประโยชน์ทไี่ ด้รับจากการวจิ ยั
1. นกั เรียนมีการปรับเปล่ียนพฤติกรรมในการเรียนที่ดีข้นึ
2. นกั เรียนมีการมาเรียนทนั เวลาที่กาหนด และไม่ขาดเรียน หรือหนีเรียน
3. นกั เรียนมีความรับผดิ ชอบในการเรียนมากข้ึน
4. นกั เรียนมีความสามคั คีในกลุ่มเพอ่ื นมากข้ึน
5. นกั เรียนมีความรับผดิ ชอบต่อหนา้ ที่ และมีระเบียบวนิ ยั ต่อตนเองมากข้ึน
ข้อเสนอแนะ
1. ควรติดตามการแสดงพฤติกรรมดา้ นต่างๆ ของนกั เรียนกลุ่มน้ีในภาคเรียนต่อไปอยา่ งสม่าเสมอ
2. ครูผสู้ อนนกั เรียนกลุ่มน้ีควรมีความสนใจและเอาใจใส่เดก็ กลุ่มน้ีเป็นพิเศษ
3. ควรใชว้ ิธีการหกั คะแนนพฤติกรรมระหวา่ งเรียนดว้ ยเพราะจากการสงั เกตจะเห็นวา่ นกั เรียน
กลุ่มน้ีเมื่อครูผสู้ อนบอกวา่ จะหกั คะแนนแลว้ เขาจะหยดุ พฤติกรรมที่ไม่ดีดงั กล่าวได้
16
เอกสารอ้างองิ
กมลรัตน์ หลา้ สุวรรณ. จิตวทิ ยาการศึกษา. พิมพค์ ร้ังที่ 2. :โรงพิมพศ์ รีราชา กรุงเทพฯ,2528.
ชุมพล สอปัญญา. ผลของการตาหนิเสียงดงั และตาหนิเสียงนุ่มนวลกบั การชมเชยเสียงดงั
และชมเชยเสียงนุ่มนวลเพ่ือลดพฤติกรรมรบกวนเพอื่ นในขณะเรียน. ปริญญานิพนธ์
กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ. มหาสารคาม, 2535.
บุญเทิง สายยศ. ผลการใชเ้ ทคนิคควบคุมตนเองและเทคนิคการใหส้ ญั ญาตนเองเพ่ือลด
พฤติกรรมขาดระเบียบในช้นั เรียนของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนบา้ นขมิ้น
(เรืองราษฎร์รังสรรค)์ อาเภอจอมพระ จงั หวดั สุรินทร์. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม :
มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2543.
พทั ยา ภสู าเนา. การศึกษาการปรับพฤติกรรมคุยกนั ในช้นั เรียนโดยใชเ้ บ้ือเศรษฐกิจ. วิทยา
นิพนธ์ กศ.ม มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม , 2540
พรรณี ชูทยั เจนจิต. จิตวทิ ยาการเรียนการสอน. พมิ พค์ ร้ังที่ 4. บริษทั คอมแพคพริ้นท์ จากดั กรุงเทพฯ,
2538.
อบรม สันภิบาล. วชิ าการศึกษา 122 : จิตวิทยาการศึกษา. : โอเดียนสโตร์. กรุงเทพฯ, (ม.ป.ป.)
อจั ฉรา วงศโ์ สธร.แนวทางการสร้างขอบภาษา. : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั กรุงเทพฯ, 2538.
เอกสารอ้างอิง
หมายเลข ๗
สรปุ รายงานการสง่ ผลการเรยี น
Scanned by CamScanner
Scanned by CamScanner
Scanned by CamScanner
Scanned by CamScanner
Scanned by CamScanner
Scanned by CamScanner
Scanned by CamScanner
Scanned by CamScanner
เอกสารอ้างอิง
หมายเลข ๘
สมดุ บันทึกเวลาเรยี น
ประจาภาคเรยี นท่ี ๒/๒๕๖๑
เอกสารอา้ งอิง
หมายเลข ๙
แบบประเมินนเิ ทศการสอน
ประจาภาคเรยี นท่ี ๑/๒๕๖๑
(ครัง้ ที่ ๑)
เอกสารอา้ งอิง
หมายเลข ๙
แบบประเมินนเิ ทศการสอน
ประจาภาคเรยี นท่ี ๑/๒๕๖๑
(ครัง้ ที่ ๒)
เอกสารอา้ งอิง
หมายเลข ๑๐
บันทึกข้อความผลการปฏบิ ัติ
หน้าท่ี การให้คาปรึกษานักเรียน
เอกสารอ้างอิง
หมายเลข ๑๑
งานมุทิตาจิตผเู้ กษยี ณอายุ
ราชการประจาปี ๒๕๖๑
เอกสารอ้างอิง
หมายเลข ๑๒
พธิ ีวางพวงมาลา
เน่อื งในวนั ปิยมหาราช
เอกสารอา้ งอิง
หมายเลข ๑๓
อบรม PLC และ ID Plan
ประจาปีการศกึ ษา ๒๕๖๑
เอกสารอา้ งอิง
หมายเลข ๑๔
ทาบญุ ตกั บาตร และปฏบิ ัติธรรม
เนือ่ งในวนั คล้ายวันเฉลิม
พระชนพรรษา ร.๙
เอกสารอา้ งอิง
หมายเลข ๑๕
ทาบญุ ตักบาตร
เนื่องในวันขึน้ ปใี หม่ ๒๕๖๒