The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เนื้อหาแผนการสอนเครื่องเสียงรวม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by anont989, 2022-05-21 03:35:07

วิชาเครื่องเสียง

เนื้อหาแผนการสอนเครื่องเสียงรวม

แผนการจัดการเรยี นรู้

สมรรถนะอาชีพบูรณาการตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง

หลักสูตรประกาศนยี บตั รวิชาชีพ พุทธศักราช 2562

วชิ า เครื่องเสยี ง
รหสั วิชา 20105-2008

จดั ทำโดย
นายอนนท์ ทาเทยี ว

ครผู ้ชู ว่ ย
แผนกอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์

วิทยาลยั การอาชพี นครปฐม
สำนักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร

คำนำ

แผนการสอนวชิ า “เครื่องเสยี ง” รหัสวชิ า 20105-2008 จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางในการ
จัดการเรียนการสอน วิชา เครื่องเสียง ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช
2564 ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดยจัดการเรียนการสอนท้ังหมด 18 สัปดาห์
สัปดาห์ละ 4 ชัว่ โมง เน้ือหาภายในแบ่งออกเป็น 12 บท ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับคลน่ื เสียงและ
เครอ่ื งเสยี ง อปุ กรณ์ในระบบเสยี ง การจัดไบอสั สำหรับวงจรขยายเสยี ง การจดั วงจรขยายสัญญาณเสียง
การเชื่อมต่อสัญญาณ วงจรขยายกำลังของเครื่องขยายเสียง อุปกรณ์ประกอบในระบบเสียง การ
ประกอบเคร่ืองขยายเสียง การทดสอบคณุ สมบตั ิเครอ่ื งขยายเสยี ง เป็นตน้

สำหรบั แผนการสอนรายวิชานี้ ผูจ้ ัดทำไดท้ ุ่มเทกำลังกาย กำลังใจและเวลาในการศึกษาค้นคว้า
ทดลอง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพต่อการเรียนการสอน และการจัดการเรียนการสอนตามแนวทางหลัก
ปรัชญาของเศรษฐกจิ แบบพอเพียง

ทา้ ยที่สดุ นี้ ผู้จัดทำขอขอบคุณผู้ที่สร้างแหล่งความรู้ และผู้ทมี่ ีส่วนเก่ียวข้องต่าง ๆ ซึง่ เป็นส่วน
สำคัญที่ทำให้แผนการสอนวิชา เครื่องเสียง เล่มน้ีเสร็จสมบูรณ์เป็นท่ีเรียบร้อย และหากผู้ใช้พบ
ข้อบกพรอ่ งหรือมขี อ้ เสนอแนะประการใด ขอไดโ้ ปรดแจ้งผู้จัดทำทราบด้วย จกั ขอบคุณย่ิง

นายอนนท์ ทาเทียว
ครูผู้สอน

สารบญั หนา้

เร่ือง ก

คำนำ
สารบัญ 1
2
การจัดทำแผนการจดั การเรียนรู้ 3
การวิเคราะห์หนว่ ยการเรยี นร้แู ละสมรรถนะรายวิชา 5
ตารางวเิ คราะห์หลักสูตรรายวิชา 6
กำหนดการสอน 7
ตารางวิเคราะห์ขอ้ สอบ
กำหนดการประเมนิ ทักษะพสิ ยั

หนว่ ยท่ี 1 สัญญาณเสยี ง และหลักการบนั ทึกเสยี ง
หน่วยที่ 2 เครื่องเสยี ง และคลาสการขยายเสยี ง
หนว่ ยท่ี 3 แหลง่ จา่ ยกำลงั ไฟฟ้า
หน่วยท่ี 4 การขยายแรงดนั ไฟฟา้ และกลับเฟสสัญญาณ
หน่วยที่ 5 การขยายกำลังคล่ืนเสยี งด้วยทรานซิสเตอร์
หนว่ ยท่ี 6 การขยายกำลงั คล่ืนเสยี งดว้ ยมอสเฟต และไอซี
หนว่ ยที่ 7 การเชื่อมต่อโดยตรง ลมิ ติ เตอร์ และการป้อนกลับ
หน่วยท่ี 8 การควบคมุ เสียงทุ้มแหลม และกราฟิกอิควาไลเซอร์
หนว่ ยท่ี 9 การขยายเสียงภาคแรก และการผสมสัญญาณเสยี ง
หน่วยท่ี 10 เครอื่ งขยายเสียงโมโน และสเตริโอ
หนว่ ยที่ 11 การแยกเสียงท้มุ แหลม และการป้องกนั ลำโพง
หนว่ ยท่ี 12 อุปกรณ์ประกอบเครื่องขยายเสียง

พส.1

การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้

รหสั วิชา 20105-2008 วิชา เคร่อื งเสยี ง ท-ป-น 1-3-2

หลกั สูตร ประกาศนยี บัตรวชิ าชพี ประเภทวิชาอตุ สาหกรรม สาขาวิชาชา่ งอิเล็กทรอนิกส์

จุดประสงคร์ ายวชิ า
1. เขา้ ใจการทำงานของวงจรภาคตา่ ง ๆ ในเครือ่ งขยายเสยี ง
2. มีทกั ษะเกย่ี วกบั การประกอบวงจรเคร่ืองขยายเสยี งแบต่าง ๆ
3. มีทักษะในการใชเ้ ครอื่ งมือวดั และทดสอบคณุ สมบตั ิของเคร่ืองขยายเสยี ง
4. มกี ิจนิสัยในการทำงานด้วยความประณตี รอบคอบและปลอดภยั

สมรรถนะรายวิชา
1. แสดงความรู้เกี่ยวกบั การใชง้ านเคร่ืองมือ
2. ประกอบ ทดสอบ ปรับแตง่ และใชง้ านวงจรเคร่อื งเสียง

คำอธิบายรายวิชา
ศึกษาและปฏบิ ตั เิ กย่ี วกับสัญญาณเสียง บล็อกไดอะแกรมของเครื่องขยายเสียง วงจรขยายเสยี งคลาส A, AB,

B, C และ D วงจรเพาเวอร์ซัพพลาย วงจรขยายแรงดนั ไฟฟ้าและวงจรกลบั เฟสวงจรขยายกำลังแบบ OT, OTL
OCL และวงจรขยายแบบไดเร็กคปั ปลิง วงจรลิมติ เตอร์ วงจรปอ้ นกลับโทนคอนโทรล ปรีแอมปลิฟายเออร์ มิกเซอร์
วงจรเคร่อื งขยายเสยี งแบบโมโน สเตอริโอ วงจรครอสโอเวอรเ์ น็ทเวิรค์ วงจรป้องกนั ลำโพง อุปกรณป์ ระกอบเคร่ือง
ขยายเสียง ลำโพง ไมโครโฟนสายสญั ญาณ แมตชิงแบบ Balance และแบบ Unbalance ปล๊ัก แจค๊ การประกอบ
ทดสอบและปรบั แต่งวงจรเคร่ืองขยายเสียง การใชเ้ ครื่องมือวดั และทดสอบคุณสมบัติของวงจรและอปุ กรณ์เครื่อง
เสยี ง หลักการบันทึกเสยี งบนแถบเทปและ CD เพ่อื หาคุณลกั ษณะการตอบสนองความถี่ กำลงั วตั ต์ค่าอิมพีแดนซ์
และค่าอ่นื ๆ การต่อเครื่องขยายเสียงกับระบบอ่นื ๆ

พส.2

การวเิ คราะหห์ นว่ ยการเรยี นรแู้ ละสมรรถนะรายวชิ า

รหัสวชิ า 20105-2008 วิชา เคร่อื งเสียง ท-ป-น 1-3-2

หนว่ ย ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ สมรรถนะประจำหน่วย
ท่ี บนั ทกึ เสียง

1. สัญญาณเสยี ง และหลกั การบนั ทกึ เสียง

2. เครื่องเสียง และคลาสการขยายเสียง ใช้อปุ กรณเ์ คร่อื งเสยี งระบบไฮไฟ

3. แหลง่ จ่ายกำลังไฟฟา้ แสดงความรู้เกี่ยวกบั แหลง่ จ่ายกำลังไฟฟ้า

4. การขยายแรงดนั ไฟฟา้ และกลับเฟสสัญญาณ ขยายแรงดนั ไฟฟา้ และกลับเฟสสญั ญาณ

5. การขยายกำลังคลน่ื เสยี งดว้ ยทรานซิสเตอร์ ขยายกำลงั คลืน่ เสยี งดว้ ยทรานซสิ เตอร์

6. การขยายกำลังคลน่ื เสียงด้วยมอสเฟต และไอซี ขยายกำลงั คลืน่ เสียงด้วยมอสเฟต และไอซี

7. การเชอ่ื มตอ่ โดยตรง ลมิ ติ เตอร์ และการป้อนกลับ เชอ่ื มตอ่ โดยตรงลมิ ติ เตอร์ และป้อนกลบั

8. การควบคุมเสียงทุ้มแหลม และกราฟิกอิควาไลเซอร์ ควบคมุ เสยี งทมุ้ แหลมและกราฟิกอควาไลเซอร์

9. การขยายเสียงภาคแรก และการผสมสญั ญาณเสยี ง ขยายเสยี งภาคแรก และผสมสัญญาณเสยี ง

10. เคร่อื งขยายเสยี งโมโน และสเตริโอ ใช้งานเคร่ืองขยายเสยี งโมโน และสเตริโอ

11. การแยกเสยี งทมุ้ แหลม และการป้องกนั ลำโพง แยกเสยี งท้มุ แหลมและปอ้ งกนั ลำโพง

12. อุปกรณ์ประกอบเครอ่ื งขยายเสียง ใช้อุปกรณป์ ระกอบเครอื่ งขยายเสียง

พส.3

ตารางวิเคราะห์หลกั สตู รรายวชิ า

รหสั วิชา 20105-2008 วชิ า เคร่ืองเสียง ท-ป-น 1-3-2

หน่วย ระดับพฤตกิ รรมท่ีพงึ ประสงค์
ที่
ชอ่ื หนว่ ยการเรียนรู้ พุทธพิ ิสยั ทกั ษะ จติ เวลา
(ชม.)
1 2 3 4 5 6 พสิ ยั พสิ ัย
4
1. สญั ญาณเสียง และหลกั การบันทึกเสียง ✓✓ 51
4
2. เคร่อื งเสยี ง และคลาสการขยายเสยี ง ✓✓ 51 4
3. แหล่งจา่ ยกำลงั ไฟฟา้ ✓✓ 72 4
4. การขยายแรงดนั ไฟฟา้ และกลับเฟสสัญญาณ ✓✓ 72 4
5. การขยายกำลงั คลน่ื เสยี งดว้ ยทรานซสิ เตอร์ ✓✓ 72 4
6. การขยายกำลังคล่นื เสียงดว้ ยมอสเฟต และไอซี ✓✓ 72 4
7. การเชื่อมต่อโดยตรง ลิมติ เตอร์ และการป้อนกลบั ✓✓✓ 71 8
8. การควบคมุ เสยี งทุ้มแหลม และกราฟกิ อคิ วาไลเซอร์ ✓✓✓ 71 8
9. การขยายเสียงภาคแรก และการผสมสัญญาณเสียง ✓✓✓ 72 8
10. เคร่อื งขยายเสียงโมโน และสเตรโิ อ ✓✓✓ 72 8
11. การแยกเสยี งทุ้มแหลม และการป้องกันลำโพง ✓✓✓✓ 72 10
12. อปุ กรณ์ประกอบเคร่ืองขยายเสียง ✓✓✓✓✓ 72

สอบปลายภาค 2
รวม 80 20 72
80 20
ความสำคัญ/สดั สว่ นคะแนน (รอ้ ยละ)

หมายเหตุ ระดบั พุทธิพสิ ยั 1 = ความจำ 2 = ความเข้าใจ 3 = การนำไปใช้
4 = วิเคราะห์ 5 = สังเคราะห์ 6 = ประเมินค่า

พส. 4

กำหนดการสอน
รหสั วชิ า 20105-2008 วชิ า เคร่ืองเสียง ท-ป-น 1-3-2
หลกั สูตร ปวช. 2562 ประเภทวชิ าอตุ สาหกรรม สาขางาน ช่างอเิ ล็กทรอนิกส์

หน่วยการเรยี นรู้/รายการสอน สมรรถนะประจำหนว่ ย เกณฑ์การปฏิบัติงาน สป.ที่ ชม.

1.สัญ ญ าณ เสียง และหลักการ บนั ทกึ เสยี ง คะแนนรวมไม่น้อยกวา่ 50 % 1 4
2 4
บนั ทึกเสียง 3 4
4 4
2.เครื่องเสียง และคลาสการขยาย ใช้อปุ กรณ์เครือ่ งเสยี งระบบไฮไฟ คะแนนรวมไม่นอ้ ยกวา่ 50 %

เสียง

3.แหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้า แ ส ด งค ว าม รู้เกี่ ย ว กั บ แ ห ล่ งจ่ าย คะแนนรวมไม่นอ้ ยกว่า 50 %

กำลงั ไฟฟ้า

4.การขยายแรงดันไฟฟ้า และกลับ ขยายแรงดันไฟฟ้ า และกลับ เฟ ส คะแนนรวมไม่น้อยกว่า 50 %

เฟสสญั ญาณ สัญญาณ

5.การขยายกำลังคลื่นเสียงด้วย ขยายกำลังคลื่นเสียงดว้ ยทรานซิสเตอร์ คะแนนรวมไม่นอ้ ยกว่า 50 % 5 4
ทรานซิสเตอร์

6.การขยายกำลังคลื่นเสียงด้วย ขยายกำลงั คลืน่ เสยี งดว้ ยมอสเฟต และ คะแนนรวมไม่น้อยกว่า 50 % 6 4
7 4
มอสเฟต และไอซี ไอซี 8-9 8
10-11 8
7.การเชื่อมต่อโดยตรง ลิมิตเตอร์ เชื่ อ ม ต่ อโด ย ต รงลิ มิ ต เต อ ร์ แ ล ะ คะแนนรวมไม่น้อยกวา่ 50 %

และการปอ้ นกลับ ปอ้ นกลับ

8.การควบคุมเสียงทุ้มแหลม และ ควบคุมเสียงทุ้มแหลมและกราฟิกอค คะแนนรวมไม่น้อยกว่า 50 %

กราฟิกอิควาไลเซอร์ วาไลเซอร์

9.การขยายเสียงภาคแรก และการ ข ย า ย เสี ย ง ภ า ค แ ร ก แ ล ะ ผ ส ม คะแนนรวมไม่นอ้ ยกว่า 50 %

ผสมสญั ญาณเสยี ง สญั ญาณเสียง

10.เคร่ืองขยายเสียงโมโน และ ใช้งานเคร่ืองขยายเสียงโมโน และ คะแนนรวมไม่น้อยกวา่ 50 % 12-13 8
สเตรโิ อ สเตรโิ อ 14-15 8

11.การแยกเสยี งทุ้มแหลม และการ แยกเสียงทุ้มแหลมและปอ้ งกนั ลำโพง คะแนนรวมไม่น้อยกว่า 50 %
ป้องกนั ลำโพง

12.อุปกรณ์ประกอบเครื่องขยาย ใช้อปุ กรณป์ ระกอบเครอื่ งขยายเสียง คะแนนรวมไม่นอ้ ยกวา่ 50 % 16-18 10
เสยี ง

สอบปลายภาค 18 2

72

พส.5

ตารางวเิ คราะหข์ อ้ สอบ

รหัสวิชา 20105-2008 วิชา เคร่ืองเสียง ท-ป-น 1-3-2

พุทธิพิสยั
ความจำ
หนว่ ยการเรยี น รายการสอน เ ้ขาใจ รวม
(ประเดน็ การประเมนิ ) นำไปใ ้ช (ข้อ)
ิวเคราะ ์ห
ัสงเคราะห์
ประเ ิมนค่า
ปรนัย( ้ขอ)
ัอตนัย( ้ขอ)

1.สญั ญาณเสียง และหลกั การ บนั ทกึ เสยี ง 32- - - - 5- 5

บันทกึ เสียง

2.เครื่องเสียง และคลาสการ ใช้อุปกรณ์เครื่องเสียงระบบ 3 2 - - - - 5 - 5

ขยายเสยี ง ไฮไฟ

3.แหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้า แ ส ด ง ค ว า ม รู้ เกี่ ย ว กั บ 3 2 - - - - 5 - 5

แหลง่ จ่ายกำลังไฟฟา้

4.การขยายแรงดันไฟฟ้า และ ขยายแรงดันไฟฟ้า และ 3 2 - - - - 5 - 5

กลบั เฟสสัญญาณ กลับเฟสสัญญาณ

5.การขยายกำลังคล่ืนเสียง ขยายกำลังคล่ืนเสียงด้วย 3 2 - - - - 5 - 5

ดว้ ยทรานซิสเตอร์ ทรานซสิ เตอร์

6.การขยายกำลังคลื่นเสียง ขยายกำลังคลื่นเสียงด้วย 3 2 - - - - 5 - 5

ดว้ ยมอสเฟต และไอซี มอสเฟต และไอซี

7.การเช่ือมต่อโดยตรง ลิมิต เช่ือมต่อโดยตรงลิมิตเตอร์ 2 2 1 - - - 5 - 5

เตอร์ และการป้อนกลบั และปอ้ นกลบั

8.การควบคุมเสียงทุ้มแหลม ควบคุมเสียงทุ้มแหลมและ 2 2 1 - - - 5 - 5

และกราฟิกอิควาไลเซอร์ กราฟิกอควาไลเซอร์

9.การขยายเสียงภาคแรก ขยายเสียงภาคแรก และ 2 2 1 - - - 5 - 5

และการผสมสัญญาณเสียง ผสมสัญญาณเสียง

10.เครื่องขยายเสียงโมโน ใช้งานเคร่ืองขยายเสียงโม 2 2 1 - - - 5 - 5

และสเตรโิ อ โน และสเตรโิ อ

11.การแยกเสียงทุ้มแหลม แยกเสียงทุ้มแห ลมและ 2 1 1 1 - - 5 - 5

และการปอ้ งกันลำโพง ป้องกันลำโพง

12.อปุ กรณป์ ระกอบเครื่อง ใช้อุปกรณ์ประกอบเคร่ือง 1 1 1 1 1 - 5 - 5

ขยายเสยี ง ขยายเสียง

รวม 29 22 6 2 1 - 60 - 60

พส.6

กำหนดการประเมินทกั ษะพสิ ยั

รหัสวชิ า 20105-2008 วิชา เครอื่ งเสยี ง ท-ป-น 1-3-2.

หนว่ ยการเรยี น/รายการสอน สมรรถนะรายหน่วย รูปแบบการประเมนิ คะแนน
รวม

1.สัญญาณเสียง และหลักการ บนั ทกึ เสยี ง ประมาณคา่ 55
ประมาณคา่ 55
บนั ทกึ เสียง ประมาณคา่ 55
ประมาณคา่ 55
2.เครื่องเสียง และคลาสการ ใชอ้ ปุ กรณเ์ ครอื่ งเสยี งระบบไฮไฟ ประมาณคา่ 55
ประมาณคา่ 55
ขยายเสียง ประมาณคา่ 55
ประมาณคา่ 55
3.แหล่งจ่ายกำลังไฟฟา้ แ ส ด งค ว า ม รู้เกี่ ย ว กั บ แ ห ล่ งจ่ า ย ประมาณคา่ 55
ประมาณคา่ 55
กำลังไฟฟา้ ประมาณคา่ 55
ประมาณคา่ 55
4.การขยายแรงดันไฟฟ้า และ ขยายแรงดัน ไฟ ฟ้ า และกลับ เฟ ส 60 60

กลบั เฟสสัญญาณ สัญญาณ

5.การขยายกำลังคลื่นเสียง ขยายกำลงั คลื่นเสยี งดว้ ยทรานซิสเตอร์

ดว้ ยทรานซสิ เตอร์

6.การขยายกำลังคล่ืนเสียง ขยายกำลังคลื่นเสียงด้วยมอสเฟต และ

ดว้ ยมอสเฟต และไอซี ไอซี

7.การเชื่อมต่อโดยตรง ลิมิต เช่ื อ ม ต่ อ โด ย ต รงลิ มิ ต เต อ ร์ แ ล ะ

เตอร์ และการป้อนกลบั ปอ้ นกลับ

8.การควบคุมเสียงทุ้มแหลม ควบคุมเสียงทุ้มแหลมและกราฟิกอค

และกราฟกิ อคิ วาไลเซอร์ วาไลเซอร์

9.การขยายเสียงภาคแรก และ ข ย า ย เสี ย ง ภ า ค แ ร ก แ ล ะ ผ ส ม

การผสมสัญญาณเสยี ง สัญญาณเสียง

10.เคร่ืองขยายเสียงโมโน และ ใช้งานเครื่องขยายเสียงโมโน และ

สเตริโอ สเตริโอ

11.การแยกเสียงทุ้มแหลม แยกเสยี งท้มุ แหลมและป้องกนั ลำโพง

และการป้องกันลำโพง

12.อปุ กรณ์ประกอบเคร่อื ง ใช้อุปกรณ์ประกอบเครอ่ื งขยายเสียง

ขยายเสียง

รวม

แบบประเมนิ ตามสภาพจริงสามารถเลือกใชต้ ามความเหมาะสม

พส.7

แบบประเมินดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยมและคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (จติ พิสัย)

รายการประเมนิ หน่วย หมายเหตุ
1.ความมมี นุษยสัมพนั ธท์ ่ีดี 1,2,3,4,5,6,7,8,9,10,11,12
2.ความมวี ินยั 1,2,3,4,5,6,7,8,9,10,11,12
3.ความรบั รบั ผิดชอบ
4.ความซื่อสตั ย์สจุ ริต 6,7,8,9,10,11,12
5.ความเช่อื ม่นั ในตนเอง 1,2,3,4,5,6,7,8,9,10,11,12
6.การประหยดั 1,2,3,4,5,6,7,8,9,10,11,12
7.ความสนใจใฝ่รู้ 1,2,3,4,5,6,7,8,9,10,11,12
8.ความสามัคคี 1,2,3,4,5,6,7,8,9,10,11,12
9.ความกตญั 1,2,3,4,5,6,7,8,9,10,11,12
10. ละเวน้ สิง่ เสพตดิ /การพนัน 1,2,3,4,5,6,7,8,9,10,11,12
11.ความคดิ รเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์ 1,2,3,4,5,6,7,8,9,10,11,12
12.การพึ่งตนเอง 1,2,3,4,5,6,7,8,9,10,11,12
13.ความปลอดภัย 1,2,3,4,5,6,7,8,9,10,11,12
14.ความอดทนอดกล้นั 1,2,3,4,5,6,7,8,9,10,11,12
15.ความมีคุณธรรม/จริยธรรม 1,2,3,4,5,6,7,8,9,10,11,12
16.การตรงต่อเวลา 1,2,3,4,5,6,7,8,9,10,11,12

4,5,6,7,8,9,10,11,12

หมายเหตุ ชอ่ งหน่วยทใี่ หร้ ะบบหมายเลขหนว่ ยตามความหมาะสมแต่ละรายการประเมิน

พส.8

กรอบการจดั การเรียนร้แู บบบรู ณาการเปน็ เรือ่ ง/ชิ้นงาน/โครงการ
และบูรณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง

สมรรถนะด้านความมีเหตุผล สมรรถนะด้านความพอประมาณ สมรรถนะดา้ นความมภี มู คิ มุ้ กนั

1. สามารถปฏิบตั ิงานไฟฟ้าด้วยความ 1.นักเรียนเตรยี มเคร่ืองมือไดถ้ ูกต้องตามข้นั ตอน 1.นักเรยี นทำงานด้วยความมวี ินัย รอบคอบ
ปลอดภยั 2. ใชว้ ัสดุ และอปุ กรณ์อย่างประหยัด และคุ้มค่าโดยให้ อดทน รักษาความปลอดภัยและสิ่งแวดลอ้ ม
ผู้เรียนใช้สมดุ ทใี่ ชแ้ ลว้ แตม่ ีหนา้ กระดาษเหลือเยอะ หา่ งไกลยาเสพตดิ
เพอ่ื ใหร้ ู้จกั ความประหยัดและพอประมาณ

3. …………………………………………….

เงื่อนไขด้านความรแู้ ละทักษะ สญั ญานเสยี งและ เงอ่ื นไขดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม
หลักการบันทึกเสียง ค่านิยม คุณลักษณะท่ีพงึ ประสงค์
1.บอกคณุ สมบัติของไฟฟ้าได้
1.หมนั่ เพยี ร เสาะแสวงหาความรู้เพมิ่ เตมิ ท่ี
2.บอกถึงอนั ตรายของไฟฟา้ ต่อร่างกายมนุษยไ์ ด้ ชว่ ย แบ่งปัน ความเออ้ื เฟอื้ เผอ่ื แผ่
3.อธิบายข้อควรปฎบิ ัติในการใชไ้ ฟฟา้ อยา่ ง นอกเหนอื จากการเรยี นการสอนใหก้ ับตนเอง
ถูกต้องปลอดภัยได้ ความ
4.บอกวธิ ีการปฏิบัติงานด้านไฟฟา้ อยา่ ง 2.มีระเบยี บวนิ ยั ปฏิบตั ิตามกฎของวทิ ยาลยั ฯ
ปลอดภัยได้ ตรงต่อเวลา มคี วามขยนั หม่นั เพยี รเสาะ
แสวงหาความรูเ้ พม่ิ เตมิ ทน่ี อกเหนอื จากการ
5.แสดงวธิ กี ารช่วยเหลือผปู้ ระสบอนั ตรายจาก เรียนการสอนใหก้ ับตนเอง
ไฟฟา้ ดูดได้
6.แสดงวธิ ีการปฐมพยาบาลผูป้ ระสบอนั ตราย 3มคี ุณธรรมและจรยิ ธรรมเหมาะสำหรบั การ
จากไฟฟ้าดูดได้ เปน็ ชา่ งทด่ี ีต่อไปในอนาคต
4.มีความซื่อสตั ยส์ จุ รติ ไมเ่ หน็ แก่ประโยชน์
ส่วนตวั มากกวา่ สว่ นรวม
5.มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ มและ
คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์

ผลกระทบเพื่อความสมดลุ พร้อมรับการเปล่ียนแปลง

ด้านสงั คม ดา้ นเศรษฐกจิ ด้านวฒั นธรรม ดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม

1.ผ้เู รยี นมรี ะเบียบวนิ ัย รับผดิ ชอบต่อหนา้ ที่ 1.สามารถลดรายจา่ ยท่จี ะเกิดขึ้นจากไฟฟ้า 1.สร้างวัฒนธรรมในการเรยี นรู้ท่ดี ีสำหรบั 1.ในการทำงานต้องใช้วัสดุ เช่น กระดาษ
และมีภูมคิ ุ้มกนั ห่างไกลยาเสพติด ลัดวง ที่ทำให้เสียชีวิตและทรัพยส์ ิน แก่ ผเู้ รยี น ทำให้ผ้เู รยี นมีความมนั่ ใจ และมคี วาม ปากกา รวมท้งั อุปกรณ์อืน่ ๆ ที่เกย่ี ว โดยเน้น
เจ้าของ พร้อมในการศกึ ษาเรียนร้ดู ้วยตนเองต่อไป ใหผ้ ้ทู เ่ี รียนประหยดั การใช้หรืออาจนำมาใช้
กิจการหรอื ประหยัดงบประมาณในปอ้ งกัน เพือ่ ให้ประหยัดมากขน้ึ
อคั คภี ยั

หมายเหตุ หากเป็นการบูรณาการในหนว่ ยการเรียนรหู้ น่วยใดหนว่ ยหน่ึง ใหน้ ำแผนภมู ินไี้ ปนำเสนอในหน่วยการเรยี นรนู้ ้ัน

แผนการจดั การเรยี นรู้ พส.9

รหัสวิชา 20105-2008 วิชา เครอ่ื งเสยี ง ท-ป-น 1-3-2 หนว่ ยที่ 1

ชื่อหน่วย สัญญาณเสยี งและหลกั การบนั ทึกเสียง เวลารวม 72 ชม.

เร่ือง สัญญาณเสยี งและหลักการบนั ทึกเสียง สปั ดาห์ 1/18

จำนวน 4 ชม.

1. สาระสำคญั
คลื่นเสียง คือพลังงานชนิดหนึ่ง อยู่ในรูปของพลังงานกล เกิดข้ึนจากการส่ันสะเทือนของวัตถุท่ีเป็น

แหล่งกำเนิดเสียง สัญญาณเสียงมีย่านความถ่ีประมาณ 20 - 20,000 Hz เป็นสัญญาณที่หูคนสามารถรับรู้ได้
โครงสรา้ งคล่ืนเสยี งประกอบไปด้วย รอบคล่ืน ความยาวคลื่น ความแรง ความถ่ี ความเรว็ และเฟส

ความดังเสียง คือระดับแรงกดดันของเสียงท่ีเคลื่อนท่ีผ่านไปในอากาศ ทำให้โมเลกุลของอากาศสั่นส่งต่อไป
เข้าหูคน เย้ือแก้วหูเกิดการสั่น ประสาทเกิดการรับรู้และได้ยินสัญญาณเสียงนั้น แรงกดดันของเสียงมีผลต่อการได้
ยนิ เสียงเบาหรอื ดงั

การบันทึกเสียงลงบนแถบเทป เป็นการเก็บสัญญาณเสียงไว้ในเทปทึกเสียง โดยการใช้สนามแม่เหล็กที่
เกิดข้ึนบนหัวเทปบันทึกเสียง ส่งไปเหนี่ยวนำลงบนสารเฟอร์โรแมกเนติกที่ฉาบไว้บนเนื้อเทป ให้เกิดการชักนำเป็น
แท่งแมเ่ หล็กขนาดเลก็ บนเน้ือเทป จัดเรียงตวั อย่างเป็นระเบยี บ

การบันทึกเสียงลงบนแผน่ CD เป็นการเก็บสญั ญาณเสยี งไวใ้ นแผน่ CD ในรูปหลุมรหัสสัญญาณแบบดิจิทัล
หลมุ สญั ญาณเสียงถูกแบง่ เป็นแทรกทเี่ รียงตอ่ กันไปเป็นวงกลมคล้ายก้นหอย
2. สมรรถนะประจำหน่วย

บันทึกเสียง
3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้

1. บอกคณุ ลักษณะสญั ญาณเสียงได้ (ดา้ นพุทธพิ ิสัย)
2. อธิบายโครงสร้างสว่ นตา่ งๆ ของสัญญาณเสียงได้ (ด้านพทุ ธพิ สิ ัย)
3. คำนวณหาค่าความเรว็ ของคล่นื เสยี งในอากาศได้ (ดา้ นพุทธิพสิ ยั )
4. บอกลัษณะความดงั ของสัญญาณเสียงและหนว่ ยวดั ได้ (ดา้ นพทุ ธพิ ิสัย)
5. บันทกึ เสียงบนแถบเทปได้ (ดา้ นทักษะพิสัย)
6. บันทกึ เสียงบนแผน่ CD ได้ (ด้านทักษะพิสยั )
7. ช้ีใหเ้ ห็นถงึ อันตรายทเี่ กดิ จากความดงั เสียงได้ (ด้านจิตพสิ ัย)
4. สาระการเรียนรู้
1. สญั ญาณเสียง
2. โครงสรา้ งสัญญาญเสียงกจิ กรรมเกี่ยวกับการผลติ
3. ความดังสัญญาณเสยี ง
4. อนั ตรายจากความดังเสียง
5. หลกั การบนั ทึกเสียงบนแถบเทป
6. หลักการบันทึกเสยี งบนแผน่ CD

5. การออกแบบการจดั การเรยี นรู้
1. การเตรียมใบงานให้สอดคลอ้ งกับหนว่ ยการเรยี นการสอน
2. การเตรียมการสอนในแตล่ ะสปั ดาห์
3. การสอนแบบสาธติ
4. การทดลองจริงได้จัดทำวงจรเองและไดส้ รา้ งเครื่องเสียงเอง
5. ผู้สอนให้ผ้เู รียนทำใบงานท่ี 1 สัญญาณเสยี งและหลกั การบันทกึ เสียง
6. ผู้สอนใหผ้ เู้ รียนทำแบบฝึกหดั หนว่ ยที่ 1

6. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขั้นนำ

1. ผู้สอนจัดเตรียมเอกสาร พร้อมกับแนะนำรายวิชา วิธีการให้คะแนนและการประเมินผลท่ีใช้กับวิชา
เคร่อื งเสยี ง

2. ผู้สอนชี้แจงหัวข้อการเรียนและจุดประสงค์การเรียนประจำหน่วยที่ 1 สัญญาณเสียงและหลักการ
บนั ทึกเสยี ง

3. ผ้สู อนใหผ้ ้เู รียนแสดงความคิดเหน็ เกี่ยวกับสัญญาณเสยี งและหลักการบันทกึ เสียง
ขน้ั สอน

1. ผู้สอนเปดิ งานนำเสนอวชิ า เครือ่ งเสียง หนว่ ยท่ี 1 สัญญาณเสยี งและหลกั การบนั ทกึ เสยี ง
2. ผู้สอนให้ผู้เรียนเปิดเอกสารประกอบการสอนวิชา เคร่ืองเสียง หน่วยที่ 1 สัญญาณเสียงและหลักการ
บันทกึ เสียง
3. ผสู้ อนเปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี นซักถามในขอ้ สงสยั เมื่ออธบิ ายเนื้อหาในหน่วยเรยี นจบ
ขัน้ สรปุ

1. ผู้สอนร่วมกับผู้เรียนทบทวนความเข้าใจและสรุปเน้ือหาในหน่วยที่ 1 สัญญาณเสียงและหลักการ
บันทึกเสยี งให้มีความเขา้ ใจในทิศทางเดียวกัน

2. ผู้สอนใหผ้ ู้เรียนทำแผนผงั ความคิดสรุปเนื้อหาหน่วยที่ 1 สัญญาณเสยี งและหลกั การบนั ทึกเสียง
7. บรรยากาศทสี่ ่งเสริมและพัฒนาผู้เรียน

สภาพห้องเรียน สะอาดหน้าเรียน ผู้เรียนมีความสนใจในการเรียน ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นแลกเปล่ียน
ความรู้ สง่ ผลใหเ้ กิดผลใหเ้ กิดเรียนรทู้ ด่ี ี
8. คณุ ธรรม จริยธรรมประจำหน่วย
มคี วามซ่ือสตั ย์ มคี วามรับผิดชอบ ความต่อเวลา มคี ุณธรรม
9. สือ่ และแหล่งการเรียนรู้

1. เอกสารประกอบการเรยี นเรอ่ื งสัญญาณเสียงและหลักการบันทกึ เสยี ง
2. ใบงาน
3. ของจริง
4. Google Classroom
5. Power point เรื่อง สัญญาณเสียงและหลักการบนั ทึกเสยี ง
10. การวัดผลและประเมนิ ผล

10.1 แบบทดสอบก่อนเรียน หนว่ ยท่ี 1 สัญญาณเสยี งและหลักการบนั ทึกเสียง
10.2 แบบทดสอบหลังเรยี น หนว่ ยที่ 1 สัญญาณเสียงและหลกั การบันทึกเสยี ง
10.3 แบบทดสอบทา้ ย หนว่ ยท่ี 1 สญั ญาณเสียงและหลกั การบันทึกเสยี ง

11. หลักฐานการเรียนรู้
1.สมุดจดงาน
2.แบบทดสอบประจำหน่วยการเรียน

12. เอกสารอา้ งอิง
- หนังสอื ประกอบการเรยี นรายวิชา เครื่องเสยี ง

พส.10

เคร่ืองมอื ทใี่ ช้ในการประเมิน

รหสั วิชา 20105-2008 วิชา เครือ่ งเสยี ง ท-ป-น 1-3-2

แบบประเมนิ แบบประมาณค่า (Ratting scale) เกณฑก์ ารให้คะแนน
5 4 3 21
ประเดน็ การประเมิน

1.บอกคุณลกั ษณะสัญญาณเสียงได้ (ด้านพุทธิพสิ ยั )
2.อธิบายโครงสร้างสว่ นต่างๆ ของสญั ญาณเสียงได้ (ด้านพุทธิพิสัย)
3.คำนวณหาค่าความเรว็ ของคล่ืนเสียงในอากาศได้ (ด้านพุทธพิ ิสยั )
4.บอกลัษณะความดงั ของสญั ญาณเสียงและหน่วยวัดได้ (ด้านพทุ ธพิ ิสัย)
5.บันทึกเสยี งบนแถบเทปได้ (ด้านทกั ษะพิสัย)
6.บันทกึ เสียงบนแผน่ CD ได้ (ด้านทกั ษะพสิ ัย)
7.ชี้ใหเ้ หน็ ถงึ อันตรายที่เกิดจากความดงั เสยี งได้ (ด้านจิตพิสัย)
8.บอกคุณลกั ษณะสัญญาณเสียงได้ (ด้านพุทธพิ ิสยั )

รวม
รวมทง้ั หมด (5 คะแนน+4 คะแนน+3 คะแนน+2 คะแนน+1 คะแนน)
คะแนนรวม (60%)

พส.11

บนั ทกึ หลงั การเรียนรู้

รหัสวชิ า 20105-2005 ชอ่ื วิชา อปุ กรณ์อเิ ล็กทรอนิกส์และวงจร ระดบั ช้ัน ปวช.1 กลุ่ม 1,2
แผนกวิชา ช่างอเิ ลก็ ทรอนิกส์
หนว่ ยที่......ชอื่ หนว่ ย สปั ดาหท์ ี่ วนั ที่สอน
จำนวนผเู้ รียน คน มาเรียน
จำนวน 5 ชั่วโมง

คน ขาดเรียน คน ลาปว่ ย คน ลากิจ คน

1. ผลการจดั การเรียนรู้

…............................................................................................................................................ ……………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………….
…............................................................................................................................................ ……………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………….
…............................................................................................................................................ ……………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………….

2. ปญั หาและอปุ สรรค

……..............................................................................................................……………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………..
……..................................................………………………………..………………………………………………………..………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………..
……..................................................………………………………..………………………………………………………..………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………..

3.ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข

……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………..

ความคดิ เห็น............................................................................ ลงชอ่ื ...........................................ครูผสู้ อน
................................................................................................ (....นายอนนท์....ทาเทียว....)
................................................................................................ .........../................/............

ลงชื่อ...........................................หัวหนา้ แผนกวิชา ความเห็น............................................................................
(.....นางรศั ม.ี ...นลิ เนตร.....) ................................................................................................
........../................/............ ................................................................................................

ลงชื่อ...........................................รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ
( นางสาวนิศากร เจริญดี )
............/................../............

พส.12

ใบความรู้ (Information Sheets)

รหสั วชิ า..20105-2008..วิชา…………..…เคร่อื งเสยี ง..............................…
ชอ่ื หน่วย...........................สญั ญานเสยี งและหลกั การบนั ทึกเสยี ง................................

เรือ่ ง........สญั ญานเสยี งและหลักการบนั ทึกเสียง...............................จำนวนช่ัวโมงสอน.......4...ช่วั โมง......

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ รายการเรียนรู้

- จดุ ประสงค์ทั่วไป

1.เพ่อื ให้มีความรแู้ ละความเข้าใจเก่ยี วกับสัญญาณเสียง 1.สญั ญาณเสียง

และหลักการบันทกึ เสียง (ด้านพทุ ธิพิสยั ) 2.โครงสรา้ งสัญญาญเสียงกจิ กรรมเก่ียวกับการผลติ

2.เพอ่ื ให้มที ักษะในการบนั ทึกเสยี งบนแถบเทปและบน 3.ความดังสญั ญาณเสยี ง

แผ่น CD (ดา้ นทักษะพสิ ยั ) 4.อันตรายจากความดงั เสยี ง

3.เพ่ือให้มเี จตคติท่ีดใี นการเห็นความสำคัญของ 5.หลักการบันทึกเสยี งบนแถบเทป

สญั ญาณเสียงและการบันทึกเสยี ง(ด้านจิตพิสยั ) 6.หลกั การบันทกึ เสียงบนแผน่ CD

- จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม

1.บอกคุณลักษณะสัญญาณเสยี งได้ (ด้านพุทธิพิสัย)

อธิบายโครงสร้างส่วนต่างๆ ของสัญญาณเสียงได้ (ด้าน

พทุ ธพิ ิสัย)

2.คำนวณหาค่าความเร็วของคล่ืนเสียงในอากาศได้ (ด้าน

พทุ ธพิ ิสัย)

3.บอกลัษณะความดังของสัญญาณเสียงและหน่วยวัดได้

(ด้านพุทธพิ สิ ยั )

4.บนั ทึกเสียงบนแถบเทปได้ (ดา้ นทักษะพสิ ัย)

5.บนั ทกึ เสียงบนแผน่ CD ได้ (ด้านทักษะพิสัย)

6.ช้ีให้เห็นถึงอันตรายที่เกิดจากความดังเสียงได้ (ด้านจิต

พสิ ยั )

พส.12

ใบความรู้ (Information Sheets)

รหัสวิชา..20105-2008..วิชา....................เครื่องเสียง............…………………

ชื่อหน่วย.................สัญญานเสยี งและหลักการบนั ทกึ เสียง..................................

1.1 สัญญาณเสียง
สัญญาณเสียง (Audio Signal) หรือคลื่นเสียง (Sound Wave) คือพลังงานชนิดหน่ึง อยู่ในรูป

ของพลังงานกล เกิดขึ้นจากการสั่นสะเทือนของวัตถุท่ีเป็นแหล่งกำเนิดเสียง สัญญาณเสียงมีค่าความถ่ีอยู่ในช่วง

ความถ่ีเสียง (Audio Frequency) มีย่านความถ่ีประมาณ 20 - 20,000 เฮิรตซ์ (Hertz ; Hz) สัญญาณเสียงเป็น

สัญญาณทหี่ ูของคนสามารถรบั รู้ได้ โดยการได้ยินเสียงท่ีมคี วามดังเคล่ือนที่ออกมาจากแหล่งกำเนิดเสียงแต่ละชนิด

ผา่ นตัวกลางชนิดตา่ งๆ นำเสียงเคลื่อนทไ่ี ปยังหูของคน

พลังงานเสยี งไม่มีตัวตน ไม่มีน้ำหนัก และไม่ต้องการทีอ่ ยู่ เสียงเกิดข้ึนมาไดจ้ ากการส่ันสะเทือน

ของวตั ถุทกุ ชนดิ การท่หี คู นจะไดย้ ินเสียงต้องประกอบด้วยสว่ นประกอบหลกั 3 ส่วน ไดแ้ ก่

1. แหล่งกำเนดิ เสยี ง เกิดขึ้นจากวตั ถุกำเนิดเสยี งเกิดการสัน่ ตวั การสนั่ ตวั นี้สามารถเปล่ียนแปลงค่า
ได้อาจช้าหรือเร็ว จำนวนครั้งของการส่ันต่อหนึ่งวินาที เรียกว่า ความถ่ี (Frequency) เช่น เสียงทุ้มมีความถี่ต่ำ
และเสียงแหลมมคี วามถ่ีสูง เปน็ ต้น

2. ตัวกลางเสียง ทำหน้าท่ีเป็นทางผ่านของเสียงไปยังแหล่งรับเสียง ซ่ึงตัวกลางของเสียงที่แตกต่าง
กันมีผลต่ออัตราเร็วของเสียงแตกต่างกันไป ความหนาแน่นของตัวกลางท่ีแตกต่างกัน พบ ว่าเสียงเดินทางใน
ของแข็งไดเ้ ร็วกวา่ ของเหลว และก๊าซ

3. แหล่งรับเสียง ทำหน้าที่นำเสียงที่รับได้ไปใช้งาน ซึ่งแหล่งรับเสียงมีด้วยกันหลายชนิด มี
จุดประสงค์ในการนำไปใช้งานแตกต่างกัน เช่น หูคนนำเสียงท่ีรับได้ส่งต่อไปยังสมองให้รับรู้ และไมโครโฟนนำ
เสียงท่ีได้ในรูปของการสั่นสะเทือน ไปเปลี่ยนให้เป็นเสียงในรูปของสัญญาณ ไฟฟ้า การกำเนิดเสียงจาก
แหลง่ กำเนิดทแี่ ตกต่างกัน

เสียงท่ีเกิดข้นึ มาจากแหล่งกำเนดิ เสยี งทแ่ี ตกต่างกัน จะใหค้ วามถเ่ี สยี งออกมาแตกตา่ งกัน แตล่ ักษณะ

ของคลื่นเสียงมีรูปร่างท่ีเหมือนกัน โดยสัญญาณเสียงเกิดข้ึนอยู่ในรูปของคลื่นไซน์ (Sine Wave) เหมือนกัน โดย

ส่วนของสญั ญาณคล่ืนมีการเปล่ยี นแปลงตลอดเวลา ค่อยๆ เพิ่มคา่ สงู ขึน้ จนถงึ ค่าสูงสดุ และเปลี่ยนแปลงค่อยๆ ลด

คา่ ลงจนถงึ คา่ ตำ่ สดุ เปลย่ี นแปลงสลับไปสลับมาทางดา้ นบวกหน่ึงครง้ั และทางด้านลบหนึ่งครงั้ อยา่ งตอ่ เน่ือง

คลื่นเสียงที่เกิดจากการส่ันของวตั ถุท่ีให้กำเนิดพลังงานของการสนั่ จะส่งไปใหอ้ นุภาคของตัวกลางส่ง

การสั่นต่อเนื่องกันไป ทำให้เกิดการเคลื่อนท่ีของเสียง (Sound Propagation) ออกห่างจากแหล่งกำเนิด สำหรับ

คลื่นเสียงในอากาศ เมื่อเคลื่อนท่ีผ่านไปตามอากาศ โมเลกุลของอากาศจะทำหน้าท่ีเป็นตัวกลางในการถ่ายโอน

พลงั งานของการสั่น ให้กับโมเลกลุ ที่อยู่โดยรอบด้วยการชนส่งตอ่ กันไปอยา่ งต่อเนอ่ื ง มีผลทำให้อากาศโดยรอบเกิด

การอัดตัวเข้า (Compression) และการขยายตัวออก (Rarefaction) สลับกันไป ค่อยๆ เคลื่อนท่ีออกห่างจาก

แหลง่ กำเนดิ เสยี งออกไปอยา่ งต่อเนื่อง การเกดิ เสยี งจากแหลง่ กำเนิดสง่ ผลใหอ้ ากาศอัดตวั และขยายตัว

1.2 โครงสร้างสัญญาณเสยี ง
สัญญาณเสียงทเี่ กดิ ขนึ้ มาอย่ใู นรูปคลื่นไซน์ มีส่วนประกอบของคล่ืนหลายสว่ น มีช่ือเรียกแตกตา่ ง

กัน แต่ละสว่ นจะบอกใหท้ ราบถึงคุณลกั ษณะของคล่ืนเสียง โครงสร้างคล่ืนเสียงประกอบไปด้วย รอบคลื่น (Cycle)
ความยาวคล่ืน (Wavelength) ความแรง (Amplitude) ความถ่ี ความเร็ว (Velocity) และเฟส (Phase) การอัด
ตัวและขยายตัวของคลื่นเสียง เกิดขึ้นอย่างมีจังหวะเวลา โดยคล่ืนเสียงท่ีกำเนิดข้ึนมาจากแหล่งกำเนิดเสียงท่ี
บรสิ ทุ ธ์ไิ มม่ ีคลน่ื อ่ืนปะปนอย่ดู ว้ ย เป็นคลื่นเสยี งอยใู่ นรปู ของคล่ืนพ้นื ฐาน โครงสร้างสญั ญาณเสียงแบบคลื่นไซน์

+1

0 90o 180o 270o 360o

-

(l)

ภาพท1ี่ .1โครงสรา้ งสญั ญาณเสยี งแบบคล่นื ไซน์

สัญญาณเสยี งแบบคลื่นไซน์ประกอบด้วยสว่ นประกอบต่างๆ ดังนี้
1. รอบคล่ืน คือการเคล่ือนท่ีของคลื่นเสียงแบบไซน์ไปทางซีกบวก (+) หน่ึงคร้ัง และกลับมา
ทางซีกลบ (-) อีกหนึ่งคร้ัง จนครบรอบการเคล่ือนที่ หรือกล่าวในรูปอากาศเคลื่อนท่ี คือการเคลื่อนที่ของโมเลกุล
อากาศในชว่ งอดั ตัวหน่ึงครง้ั และในช่วงขยายตวั อีกหน่ึงครงั้ เป็นการเคลื่อนท่ีครบ 1 รอบคล่ืน รอบคลน่ื นีม้ ีผลต่อ
การบอกใหท้ ราบถึงคลน่ื เสยี งที่แสดงออกมา วา่ เป็นเสยี งท้มุ หรอื เสยี งแหลม
2. ความยาวคล่ืน คือความยาวระยะห่างของยอดคล่ืนลูกหน่ึงไปถึงยอดคล่ืนอีกลูกหน่ึงที่อยู่
ติดกนั โดยมเี ฟสเหมือนกนั ซ่งึ อาจกลา่ วในรูปอากาศเคลอ่ื นที่ คือระยะห่างของคลื่นเสียงชว่ งอัดตวั เข้าตำแหนง่ หน่ึง
ไปถึงคลื่นเสียงช่วงอัดตัวเข้าอกี ตำแหน่งหนึ่งทอ่ี ยู่ติดกัน หรือกค็ ือความยาวของคล่ืนเสียงเคล่ือนทใ่ี นหนึ่งรอบคล่ืน
น่ันเอง ความยาวคล่ืนสามารถบอกให้ทราบถึงเสียงท่ีได้ออกมาว่ามีเสียงทุ้มหรือเสียงแหลมได้เช่นเดียวกัน ความ
ยาวคล่ืนใช้อกั ษรยอ่ ตวั แรมดา “l”
3. ความแรงคลื่น หรือความดังคลื่น (Loudness) คือระดับความสูงของคลื่นเสียงท่ีเกิดขึ้นมา
ความแรงคลื่นถูกบอกค่าออกมาเป็นแรงดันหน่วยเป็นโวลต์ (V) สามารถบอกได้เป็น 2 ค่า คือค่ายอด (Peak
Value ; VP) บอกค่าจากแกน 0 V ไปทางยอดบวกเรียก +VP หรือไปทางยอดลบเรียก –VP และบอกเป็นค่ายอด
ถึงยอด (Peak to Peak Value ; VPP) บอกค่าจากยอดลบถึงยอดบวก ส่วนความดังคล่ืน คือความดังของคล่ืน
เสียงที่หคู นได้ยิน บอกค่าไว้เป็นหน่วย เดซิเบล (Decibel ; dB) มีหน่วยท่ีบอกค่าใช้งานในหลายหนว่ ยแตกต่างกัน
ความแรงคลนื่ ใชอ้ ักษรยอ่ “A”

4. ความถ่ี คือค่าที่บอกความเร็วรอบคลื่นในการเคลื่อนที่ของคลื่นเสียงในเวลา 1 วินาที (s) มี
หน่วยเป็นเฮิรตซ์ (Hz) ค่าความถ่ีเกี่ยวข้องกับระดับเสียง (Pitch) ที่ความถี่ต่ำมีระดับเสียงต่ำ ที่ความถ่ีสูงมีระดับ
เสียงสูง ได้แก่ ระดับเสียงท่ีใช้บอกโน้ตดนตรี แบ่งเป็นระดับเสียง โด (C) เร (D) มี (E) ฟา (F) ซอล (G) ลา (A) ที
(B) โด๊ (C') หรือระดับเสียงท่ีใช้ในเรื่องเคร่ืองเสียง ใช้ในการขับลำโพงให้เกิดเสียงออกมา แบ่งเป็นระดับเสียง ทุ้ม
กลาง แหลม ความถใ่ี ชอ้ ักษรย่อ “f”

5. ความเร็ว คือระยะทางที่คล่ืนเสียงเคล่ือนท่ีไปได้ภายในเวลา 1 วินาที ความเร็วในการเคล่ือนท่ีของคลื่นเสียง
ข้ึนอยู่กับตัวกลางที่คลื่นเสียงใช้ในการเดินทางไป เช่น คลื่นเสียงเดินทางในอากาศด้วยความเร็วประมาณ 346
เมตรต่อวนิ าที (m/s) เดินทางในน้ำด้วยความเรว็ ประมาณ 1,498 m/s เดนิ ทางในไม้ด้วยความเร็วประมาณ 3,850
m/s และเดินทางในเหล็กด้วยความเร็วประมาณ 5,200 m/s เป็นต้น ความเร็วใช้อักษรย่อ “v” สามารถหา
ความเรว็ ในการเคลอื่ นที่ของคลน่ื เสียง เขยี นออกมาเป็นสมการไดด้ ังน้ี

เมื่อ v = อัตราความเรว็ ของคลน่ื เสียง หนว่ ย m/s

s = ระยะทางทีเ่ สยี งเคลอ่ื นทไ่ี ด้ หน่วย m

t = ระยะเวลาทีเ่ สียงเคลื่อนท่ี หน่วย s

l = ความยาวคลื่นเสียง หน่วย m

f = ความถี่คลื่นเสยี ง หนว่ ย Hz

นอกจากน้ันอุณหภูมิโดยรอบท่ีคล่ืนเสียงเคลื่อนที่ไปมีค่าแตกต่างกัน จะมีผลต่อความเร็วในการ

เคลือ่ นท่ีของคลื่นเสียงผา่ นตวั กลางแตกต่างกันไป เชน่ เสียงเคล่ือนทีใ่ นอากาศที่อุณหภมู ิ 0 C มคี วามเรว็ เท่ากับ

331 m/s และเสียงจะมีความเร็วเพิ่มข้ึนหรือลดลงโดยประมาณ 0.6 m/s เมื่ออุณหภูมิเพ่ิมขึ้นหรือลดลงในทุกๆ

1 C เขียนออกมาเป็นสมการได้ดังนี้

เม่ือ v = อัตราความเรว็ ของคลื่นเสยี งทอ่ี ณุ หภมู ิใดๆ หน่วย m/s
T = อุณหภูมทิ ี่เพิม่ ขึ้นหรอื ลดลงจากอุณหภมู ิ 0° C หนว่ ย ° C

ตวั อย่างท่ี 1.1 จงหาอัตราความเรว็ ของคลืน่ เสยี งเคล่อื นทใ่ี นอากาศที่อณุ หภูมิ 20° C
วิธที ำ

จากสูตร v = 331 m/s + (0.6 m/s/C  T)
เมอ่ื v = ?

T = 20° C
แทนคา่ v = 331 m/s + (0.6 m/s/C  20° C) = 331 m/s + 12 m/s
 ความเรว็ ของคล่ืนเสียงในอากาศทอี่ ณุ หภูมิ 20° C = 343 m/s ตอบ

6. เฟสคลื่น คือ ตำแหน่งมมุ ของคลนื่ เสียงทเ่ี คล่ือนท่ีมากระทบกับแหลง่ รับเสยี ง ตำแหน่งมุมของ
คล่ืนเสียงแต่ละความถ่ีที่มาตกกระทบจะมีความแตกต่างกันไป ทำให้รูปรา่ งของคล่นื เสียงท่ีตำแหนง่ ตกกระทบเกิด
ความแตกต่างกันด้วย เมื่อคล่ืนเสียงที่ตกกระทบมีมากกว่าหนึ่งสัญญาณ จะส่งผลต่อความดังของเสียงที่ได้ยิน
แตกต่างกัน เพราะสัญญาณเสียงที่ส่งมาหลายสัญญาณเกิดรวมกันหรือหักล้างกัน การรวมกันจะเสริมความแรง
สัญญาณเสียงให้แรงขึ้น และการหักล้างกันจะลดความแรงสัญญาณเสียงให้เบาลง การรวมกันทางเฟสของคล่ืน
เสยี ง แสดงดังรูปท่ี 1.2

รูปที่ 1.2 การรวมกันทางเฟสของคลืน่ เสยี ง

1.3 ความดงั สัญญาณเสียง
ความดงั เสยี ง คือระดับแรงกดดันของเสยี งท่เี คลอ่ื นท่ีผ่านไปในอากาศ ทำใหโ้ มเลกลุ ของอากาศสนั่

ส่งต่อไปเขา้ หคู น เย้ือแก้วหูเกิดการสั่น ประสาทเกดิ การรับรแู้ ละได้ยนิ สญั ญาณเสยี งน้ัน แรงกดดนั ของ
สญั ญาณเสียงในอากาศน้อยความดงั เสียงน้อย แรงกดดันของสญั ญาณเสยี งในอากาศมากความดังเสียงมาก น่ันคือ
แรงกดดนั ของเสียงมผี ลต่อการได้ยนิ เสยี งเบาหรือดัง

หนว่ ยวัดความดงั ของเสยี งทีน่ ิยมใช้ในระบบเสยี ง วัดออกมาเปน็ เดซิเบล (Decibel ; dB) เป็น
หน่วยพน้ื ฐานในการวัดระดบั ความดังสัญญาณเสยี งทีน่ ำไปใช้งานทั่วไปอย่างแพรห่ ลาย โดยแสดงความสมั พันธข์ อง
ตวั เลขในคา่ ลอการิทึม (Logarithm) ดว้ ยอตั ราสว่ นเปรียบเทยี บสัญญาณ ระหวา่ งสญั ญาณเอาต์พตุ กับสญั ญาณ
อินพตุ อยู่ในรปู กำลังไฟฟ้า (Power) แรงดันไฟฟ้า (Voltage) หรือกระแสไฟฟา้ (Current) มาจากระบบความดงั
เสียงของแหลง่ กำเนดิ เสียงทเี่ กิดจากอปุ กรณก์ ำเนิดเสยี งชนิดต่างๆ เช่น ปืน ระเบดิ เครื่องบิน เคร่ืองดนตรี และ
เครื่องขยายเสียง เป็นตน้

เดซิเบล (dB) เปน็ หนว่ ยวัดความดัง ถกู นำมาใช้งานในการบอกคา่ ความดังของเสยี ง ทีก่ ำเนดิ ขนึ้ มา
จากแหล่งกำเนิดเสียงชนิดต่างๆ ระดับค่าตัวเลขที่บอกไว้ในรูปลอการิทึมนั้น มีค่าใกล้เคียงกับธรรมชาติการได้ยิน
เสียงของหูคน ในการวดั ความดังออกมาในหน่วยเดซิเบล (dB) จะใช้วัดเปรียบเทียบระหว่างสัญญาณเอาต์พุตท่ีได้
กับสัญญาณอินพุตท่ีป้อนเข้ามา ในหลายรูปปริมาณไฟฟ้าแล้ว ยังใช้แสดงการเปรียบเทียบระหว่างสัญญาณ
เอาต์พุตท่ีได้จริง กับสัญญาณมาตรฐานค่าหนึ่งท่ีกำหนดให้ทางอินพุตป้อนเข้ามา เพ่ือให้ค่าที่วัดได้เป็นค่า
มาตรฐานเดียวกัน ไม่ว่าวงจรขยายเสียงหรือเคร่ืองขยายเสียงที่นำมาใช้งานจะมีความแตกต่างกันไปอย่างไรก็ตาม
หนว่ ยท่ีใชใ้ นการบอกคา่ ความดังเสยี งมหี ลายหนว่ ย ใช้บอกค่าความดังเสียงไว้แตกต่างกันไป กำหนดค่าใชง้ านเป็น
หน่วยแสดงค่าความดังเสียงไว้แตกต่างกัน เช่น dBm (Decibel Milliwatt) dBW (Decibel Watt) dBSPL
(Decibel Sound Pressure Level) dBA (Decibel A - weighted) dBmV (Decibel Millivolt) dBohm
(Decibel Ohms) และ dBHz (Decibel Hertz) เป็นตน้

1. เดซิเบล (dB) เป็นหน่วยวัดความดังเสียง นิยมนำไปใช้กันมากในด้านการป้องกันเสียงสะท้อน (Acoustics)
ด้านเกี่ยวกับเสียงในทางฟิสิกส์ ด้านระบบเสียง และด้านเคร่ืองเสียงในทางอิเล็กทรอนิกส์ ความดังของเสียงใน
เบ้ืองต้นถูกวัดออกมาในหน่วยเบล (Bel Unit) เป็นหน่วยวัดท่ีได้มาจากการตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแก่นักประดิษฐ์ช่ือ
อเลกซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ ผู้ประดิษฐ์เครื่องโทรศัพท์ข้ึนมา แต่หน่วยเบลเป็นหน่วยท่ีใหญ่ไม่สะดวกในการใช้
แ ส ด งค่ าเป็ น ตั ว เล ข จึ งได้ แ บ่ งห น่ ว ย เบ ล ให้ ย่ อ ย ล งเป็ น 10 ส่ ว น เรีย ก ห น่ ว ย ให ม่ น้ี ว่ าห น่ ว ย
เดซิเบล (dB)

ในบางครั้งจะพบเห็นได้ว่า หน่วยวัดความดังเป็นเดซิเบล (dB) นี้ จะมีเครื่องหมายบวก (+) หรือ
เครื่องหมายลบ (–) ใส่เพ่ิมไว้ด้านหน้าของตัวเลขที่แสดงคา่ ไว้ เครือ่ งหมายบวกและลบทแ่ี สดงไวม้ คี วามหมายดังน้ี

➢ หนว่ ยเดซเิ บล (dB) มีคา่ เปน็ บวก (+) เช่น + 15 dB แสดงว่าอุปกรณ์จะสามารถขยายสัญญาณ
จา่ ยออกเอาตพ์ ตุ คอื สัญญาณทางเอาต์พุตแรงกวา่ สัญญาณทางอนิ พตุ

➢ หนว่ ยเดซเิ บล (dB) มีคา่ เปน็ ลบ (-) เชน่ - 20 dB แสดงว่าอุปกรณ์จะลดทอนสญั ญาณลงก่อน
จ่ายออกเอาตพ์ ุต คือสญั ญาณทางเอาต์พุตเบากว่าสญั ญาณทางอินพุต

➢ หน่วยเดซเิ บล (dB) มเี คร่ืองหมายบวกลบ (±) เช่น ± 25 dB แสดงวา่ อปุ กรณ์สามารถทำหน้าท่ี
ได้ทั้งขยายสญั ญาณ และลดทอนสญั ญาณไดใ้ นตัวเดียวกนั

2. เดซเิ บลมลิ ลิวตั ต์ (dBm) เป็นหนว่ ยวดั ความดังเสียง ท่ีถกู เปรยี บเทยี บกบั ค่าอ้างอิงมาตรฐานที่ 1
mW หรอื ท่ี 0.001 W คงที่ โดยใช้ค่าอิมพีแดนซข์ องวงจรทดลองที่ค่าใช้งานปกติ 600 Ω มาจากคา่ มาตรฐานทาง
อุตสาหกรรมของระบบโทรศัพท์ ทรี่ ะดับความดัง 0 dBm = – 3 dB = 1 mW เป็นหน่วยวัดความดงั ท่ีถูกนำไปใช้
บอกคา่ รายละเอยี ดของอปุ กรณใ์ ช้งานตา่ งๆ

ระดับสญั ญาณท่ี 0 dBm อาจใช้ระดับอ้างอิงได้หลายระดับแตกต่างกนั นอกจากระดับ 1 mW แล้วยงั
มรี ะดับอ้างองิ อ่นื ๆ อีก เชน่ 6 mW, 10 mW, 12.5 mW และ 50 mW เป็นต้น หรือเทยี บกับคา่ อ้างอิงมาตรฐานท่ี
1 W จะถูกเรียกวา่ หนว่ ยวัดความดงั เสยี งเดซเิ บลวัตต์ หรอื dBW

3. เดซเิ บลระดับแรงกดดนั เสยี ง (dBSPL) เปน็ หน่วยวัดความดังของเสยี งเป็นเดซเิ บล โดยอา้ งอิง
กบั ระดบั แรงกดดนั ของเสียง (Sound Pressure Level ; SPL) ท่รี ะดับ 0 dBSPL ซ่งึ เป็นแรงกดดันเสียงใน
อากาศต่ำสุดทีห่ ูคนท่ัวไปได้ยินมีคา่ เท่ากบั 2  10-5 นวิ ตนั ตอ่ ตารางเมตร (N/m2) = 20 N/m2 หรอื มคี ่าเทา่ กับ
20 Pa (Micro Pascals) ใชค้ วามถเี่ สยี งอา้ งองิ ที่ 1 kHz ส่วนแรงกดดนั ของเสียงสงู สุดท่ีหูมนุษย์รบั ฟงั ได้โดยยังไม่
รูส้ กึ เจบ็ ปวด หรือยังไมเ่ ป็นอันตรายประมาณ 100 N/m2 (100 Pa)

1.4 อันตรายจากความดังเสียง
แรงกดดันเสียงท่ีส่งออกจากแหล่งกำเนิดเสียง เคล่ือนที่ผ่านอากาศส่งไปยังหูคน มีผลต่อความดัง

ของเสียงที่หูคนรับรู้ได้ เย่ือแก้วหูของคนจะเกิดการส่ันตัวมากน้อยตามแรงกดดันของเสียงผ่านอากาศที่ส่งมา แรง
กดดันอากาศมากหูจะได้ยินเสียงดังแรง แรงกดดันอากาศน้อยหูจะได้ยินเสียงดังเบา แรงกดดันของเสียงในส่วนท่ี
ดังมากเกินไป จะมผี ลทำให้เกดิ อนั ตรายตอ่ ระบบการได้ยินเสยี งของหูคนได้

หน่วยวัดความดังของเสียงทีน่ ิยมใช้งานจะบอกค่าไว้ในหน่วย dBSPL หรือหน่วย dBA ค่าความดัง
ของเสียงในอากาศเบาสุดท่หี ูคนได้ยินมีค่าประมาณ 20 mPa (0 dBA) และความดังของเสยี งในอากาศทีท่ ำให้หคู น
สญู เสียการได้ยินอย่างเฉียบพลันมีค่าประมาณ 600 Pa (150 dBA) ความดังเสียงที่เกิดข้ึนจากแหล่งกำเนิดเสียงที่
แตกต่างกัน จะมีความดังเสียงส่งออกมาแตกต่างกันไป ความดังของเสียงสามารถวัดค่าออกมาได้ด้วยมาตรวัด
ระดบั เสียง (Sound Level Meter)

ความดังของเสียงท่ีแหล่งกำเนิดเสียงต่างชนิดกันใหก้ ำเนิดขึ้นมา ส่งผลต่อระดับความดังของเสียงที่
กำเนิดขน้ึ มาแตกตา่ งกัน หูคนทไี่ ดย้ ินเสียงทม่ี ีระดับความดังมากๆ ติดต่อกนั เป็นเวลา นาน จะสง่ ผลกระทบตอ่ การ
ได้ยินเสียง อาจสง่ ผลทำใหห้ ูตึง หรือหูหนวกได้ ระดบั ความดังเสียงจากแหล่งกำเนิดเสียงต่างชนิดกนั แสดงดังรูปท่ี
1.3

( 25m) A

( 100m)

รปู ที่ 1.3 ระดบั ความดังเสยี งจากแหลง่ กำเนิดเสยี งตา่ งชนิดกนั

1.5 หลักการบนั ทึกเสยี งบนแถบเทป
เทป (Tape) ที่ถูกนำไปใช้งานในการบนั ทึกเสียงของเครือ่ งเล่นเทป คือ แถบวัสดุท่ีผลิตมาจากสาร

จำพวกพลาสติก โดยผิวด้านหน่ึงของแถบเทปจะถูกฉาบไว้ด้วยสารเฟอร์โรแมกเนติก (Ferromagnetic) เป็นสาร
จำพวกทสี่ ามารถให้กำเนดิ สนามแม่เหล็กขึ้นมาได้ สารเหล่าน้ี ได้แก่ เหล็ก โคบอลท์ เฟอรไ์ รท์ และแอลนโิ ก (เหล็ก
อะลูมิเนียม นิเกลิ ) เปน็ ต้น ส่วนประกอบทสี่ ำคัญของเทปบนั ทึกเสียงแบง่ ออกเป็น 2 ส่วน ดังน้ี

1. แถบวัสดุที่ใช้เป็นฐานรองรับสารเฟอร์โรแมกเนติก เป็นพวกพลาสติกท่ีมีความทนทานและมี
ความเหนียว วัสดุท่ีนิยมใช้งานเป็นสารประเภทโพลีเอสเตอร์ (Polyester) เพราะมคี ุณสมบัติท่ีเหนียวและยืดหยุ่น
ตวั ไดด้ ี

2. แถบสารเฟอร์โรแมกเนติกท่ีฉาบไว้บนเทป ถูกผลิตออกมาใช้งานมีหลายชนิดแตกต่างกัน เช่น
เฟอร์ริกออกไซด์ (Ferric Oxide ; Fe2O3) โครเมียมไดออกไซด์ (Chromium Dioxide ; CrO2) เฟอร์ริกโครม
(Ferric Chrome ; FeCr) และมิตัล (Metal) เป็นต้น ลักษณะโครงสรา้ งและรูปรา่ งแถบเทปบันทึกเสียงแสดงดังรูป
ท่ี 1.4

รปู ท่ี 1.4 แถบเทปบันทกึ เสียง

การบันทึกเสียงลงบนแถบเทป เป็นการเก็บสัญญาณเสียงไว้ในเทปทึกเสียง โดยการใช้
สนามแม่เหล็กท่ีเกิดขึ้นบนหัวเทปบันทึกเสียง ส่งไปเหนี่ยวนำลงบนสารเฟอร์โรแมกเนติกท่ีฉาบไว้บนเนื้อเทป ให้
เกิดการชักนำเป็นแท่งแม่เหล็กขนาดเล็กบนเนื้อเทป จัดเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ การชักนำสนามแม่เหล็กที่
เกิดข้ึนบนเนื้อเทปมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสัญญาณเสียงท่ีส่งเข้ามา หลักการบันทึกเสียงเก็บไว้ในรูป
สนามแมเ่ หล็กบนแถบเทป แสดงดังรูปท่ี 1.5

รูปท่ี 1.5 หลกั การบนั ทึกเสยี งบนแถบเทป

จากรูปท่ี 1.5 แสดงหลักการบันทึกเสียงบนแถบเทป เม่ือมีสัญญาณเสียงส่งเข้ามาที่หัวเทป
บนั ทึกเสียง ส่งผลใหห้ ัวเทปบันทึกเสียงเกิดสนามแมเ่ หล็กไฟฟ้าขนึ้ ท่ีสว่ นปลาย ส่งไปเหน่ียวนำแถบเทปให้เกิดเป็น
แท่งแม่เหล็กขนาดเล็กบนเน้ือเทป จัดเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ มีขัว้ แม่เหล็กสลับไปมาตามสญั ญาณเสียงท่ีส่งเข้า
มา สัญญาณเสียงทส่ี ่งเข้ามาเปลี่ยนแปลงค่าไป แทง่ แม่เหล็กถาวรขนาดเล็กที่เกิดขึ้นบนเน้ือเทปจะเปลี่ยนแปลงค่า
ไปเช่นเดียวกนั เกิดผลดังน้ี

ส่งสัญญาณเสียงมาเบา เกิดความเข้มสนามแม่เหล็กบนแถบเทปน้อย เหน่ียวนำไปหัวเทป
บันทึกเสียงได้สนามแม่เหล็กออกมาน้อย ส่งไปชักนำให้เนื้อเทปเกิดความเข้มสนามแม่เหล็กข้ึนน้อย และเม่ือส่ง
สัญญาณเสียงมาดัง เกิดความเข้มสนามแม่เหล็กบนแถบเทปมาก เหนี่ยวนำไปหัวเทปบันทึกเสียงได้สนามแม่เหล็ก
ออกมามาก ส่งไปชักนำใหเ้ นอ้ื เทปเกดิ ความเขม้ สนามแมเ่ หล็กข้ึนมาก

ส่งสัญญาณเสียงมามีความถ่ีต่ำ เกิดการเหน่ียวนำไปหัวเทปบันทึกเสียงใช้เวลานานได้
สนามแม่เหล็กไฟฟา้ ส่งไปชักนำให้เนอื้ เทปเกิดเป็นแทง่ แม่เหล็กถาวรแท่งยาวออกมา และเม่ือส่งสัญญาณเสียงมามี
ความถี่สูง เกิดการเหน่ียวนำไปหวั เทปบันทึกเสียงใช้เวลาน้อยไดส้ นามแม่เหลก็ ไฟฟ้าส่งไปชักนำใหเ้ นื้อเทปเกดิ เป็น
แท่งแม่เหลก็ ถาวรแท่งส้ันออกมา

ได้สัญญาณเสียงท่ีถูกเก็บบันทึกไว้บนเน้ือเทป อยู่ในรูปสนามแม่เหล็กถาวรที่มีทั้งความเข้มเสียง และ
ความถี่เสียงท่ีแตกต่างกัน ส่วนเฟสสัญญาณเสียงซีกบวกและซกี ลบ แสดงออกมาในรูปแท่งแม่เหล็กท่ีมีขั้วแม่เหล็ก
เหนอื - ใตส้ ลบั ทศิ ทางกัน

1.6 หลักการบันทกึ เสียงบนแผ่น CD
แผ่น CD (Compact Disc) และแผ่น DVD (Digital Video Disc) เป็นแผ่นพลาสติกกลม ท่ีผลิต

ข้ึนมาเพื่อใช้ในการบันทึกเสียง ภาพ และข้อมูลต่างๆ เก็บไว้ในรูปรหัสดิจิทัล (Digital Code) การบันทึกสัญญาณ
เก็บไว้ในแผ่น CD บันทึกไว้ในรูปหลุมสัญญาณ ส่วนประกอบท่ีสำคัญของแผ่น CD ประกอบด้วยวัสดุต่างๆ ซ้อน
เป็นชั้นๆ ดงั นี้

1. ช้ันพลาสติก เป็นชั้นที่มีความหนามากท่ีสุดทำด้วยวัสดุจำพวกพลาสติกโพลีคาร์บอเนต
(Polycarbonate Plastic) ทำหน้าท่ีเป็นช้ันฐานรองรับ ช่วยป้องกันความเสียหายของข้อมูลที่อยู่ในชั้นถัดไป เป็น
ชั้นทีท่ ำหนา้ ทค่ี ลา้ ยกบั เลนส์ในการโฟกสั หาข้อมลู ของแสงเลเซอรท์ ่ียงิ มาจากเครือ่ งอ่าน CD

2. ชั้นโลหะเก็บข้อมูล เป็นช้ันท่ีทำด้วยวัสดุจำพวกอะลูมิเนียม (aluminum) หรือเงิน (Silver)
ซึ่งจะเคลือบทับลงบนแผ่นพลาสติก ใช้ทำหน้าที่เก็บข้อมูลต่างๆ โดยการบันทึกข้อมูลเก็บไว้ในลักษณะทำให้เกิด
เป็นหลุมข้อมูลบนโลหะ หลุมข้อมูลถูกแบ่งเปน็ แทรกท่ีเรยี งต่อกนั ไปเป็นวงกลมคล้ายก้นหอย ส่วนทเี่ ป็นหลุมลงไป
เรียกว่า พิต (Pit) และส่วนท่ีไม่มีการเจาะหลุมลงไปเรียกว่า แลนด์ (Land) ผิวท้ังสองส่วนนี้ถูกใช้แทนการเก็บ
ข้อมูลในรปู ของรหสั ดจิ ิทัล แทนคา่ ด้วยเลข 1 และ 0

3. ชน้ั เคลือบทับบนวสั ดุโลหะอะลมู ิเนยี ม เป็นช้นั ที่ทำดว้ ยวสั ดุจำพวกพลาสตกิ อะคริลิค (Acrylic
Plastic) ทำหน้าท่ีช่วยป้องกันการชำรดุ เสยี หายของชนั้ โลหะอะลมู ิเนยี ม

4. ชั้นฉลากหรือสติ๊กเกอร์ (Label) เป็นช้ันที่อยู่ด้านบนสุดของแผ่น CD นอกจากใช้เป็นฉลาก
บอกรายละเอียดในแผ่นซีดีแล้ว ยังช่วยป้องกันความเสียหายของแผ่น CD ในช้ันโลหะเก็บข้อมูลอีกด้วย ลักษณะ
โครงสร้างและรปู ร่างแผ่น CD แผ่น DVD แสดงดงั รูปท่ี 1.6

รูปท่ี 1.6 แผ่น CD และแผน่ DVD

การบนั ทึกเสียงลงบนแผน่ CD เปน็ การเก็บสัญญาณเสยี งไว้ในแผ่น CD ในรปู หลุมรหัสสัญญาณ
แบบดจิ ิทัล หลมุ สัญญาณเสยี งถูกแบ่งเปน็ แทรกท่เี รยี งต่อกันไปเปน็ วงกลมคลา้ ยก้นหอย หลักการบนั ทึกเสียงลง
บนแผน่ CD แผน่ DVD แสดงดงั รูปท่ี 1.7

รูปท่ี 1.7 หลักการบนั ทกึ เสยี งลงบนแผ่น CD และแผ่น DVD

จากรูปท่ี 1.7 แสดงหลักการบันทึกเสียงลงบนแผ่น CD และแผ่น DVD โดยส่งสัญญาณ เสียงท่ีตอ้ งการ
บันทึกเข้าเคร่ืองบันทึก CD ผ่านอุปกรณ์แปลงสัญญาณเสียงที่อยู่ในรูปสัญญาณแอนะล็อก (Analog Signal) ให้
เป็นสัญญาณดิจิทัล (Digital Signal) ส่งต่อไปเข้าอุปกรณ์ควบคุมการบันทึกเสียงลงแผ่น CD, DVD เปล่ียน
สัญญาณเสียงเป็นแสงเลเซอร์ไปทำให้เกิดหลุมเล็กๆ รอบแผ่น CD และแผ่น DVD เป็นวงรอบแผ่นคล้ายก้นหอย
ลักษณะหลมุ เลก็ บนแผน่ CD และแผน่ DVD แสดงดังรูปที่ 1.8

รูปท่ี 1.8 หลมุ เล็กบนแผน่ CD และแผน่ DVD

พส.12

ใบความรู้ (Information Sheets)

รหัสวชิ า..20105-2008..วิชา........เครื่องเสียง......…………

ช่ือหน่วย......................สญั ญานเสียงและหลักการบนั ทึกเสยี ง.................................

แบบประเมินหลังการเรยี นบทท่ี 1

ตอนท2ี่ อธิบายให้ได้ใจความสมบรู ณ์

1. โครงสรา้ งสัญญาณเสียงแบบคล่ืนไซน์ ประกอบด้วยสว่ นประกอบอะไรบ้าง อธิบาย
............................................................................................................................. .....................................
............................................................................................................................. .....................................
.......................................................................................... ........................................................................
2. ไดย้ ินเสยี งสะท้อนกลับจากหุบเขาในเวลา 10 วนิ าที ขณะนนั้ อากาศมีอุณหภูมิ 22° C จงหาคา่ ระยะทาง
ของเสียงสะท้อนเคล่ือนท่ีกลับเทีย่ วเดยี ว
............................................................................................................................. .....................................
............................................................................................................................. .....................................
............................................................................................. .....................................................................
............................................................................................................................. .....................................
.................................................................................................................................................... ..............
3. อันตรายจากความดงั เสียงมผี ลต่อระบบการไดย้ นิ เสียงของหคู นอย่างไร เราสามารถตรวจสอบความดังเสยี ง
ได้อย่างไร
............................................................................................................................................ ......................
............................................................................................................ ......................................................
............................................................................................................................. .....................................
4. การบนั ทึกเสยี งลงบนแถบเทปมีหลกั การทำงานอยา่ งไร อธบิ ายพร้อมรปู ประกอบ
............................................................................................................................. .....................................
..................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .....................................
5. การบันทกึ เสียงลงบนแผ่น CD หลกั การทำงานอย่างไร อธบิ ายพรอ้ มรูปประกอบ
............................................................................................................................. .....................................
.................................................................................................................................... ..............................
.................................................................................................... ..............................................................
............................................................................................................................. .....................................

พส.12

ใบความรู้ (Information Sheets)

รหัสวชิ า..20105-2008..วิชา........เคร่ืองเสียง......…………

ชอ่ื หน่วย......................สญั ญานเสียงและหลกั การบนั ทึกเสยี ง..............................

ตอนที่ 2 เขยี นเครื่องหมายกากบาท (X) ลงในข้อท่ีถูกต้องท่สี ดุ

1. คลื่นเสยี งคืออะไร

ก. พลังงานชนดิ หนง่ึ อยู่ในรปู พลังงานกล ข. คล่นื ท่เี กิดข้นึ มาจากอากาศสน่ั สะเทือน

ค. คลื่นที่เกิดข้ึนมาจากอณุ หภูมิทเ่ี ปล่ยี นแปลงคา่ ง. พลังงานไฟฟ้าท่ีเกดิ ขึน้ จากเคร่อื งกำเนดิ ไฟฟ้า

2. สญั ญาณเสียงมคี วามถี่อยู่ในชว่ งใด

ก. 20 Hz – 2,000 Hz ข. 20 Hz – 10,000 Hz

ค. 20 Hz – 15,000 Hz ง. 20 Hz – 20,000 Hz

3. ความถีเ่ สียงทเ่ี ปลย่ี นแปลงมผี ลต่อสว่ นประกอบใด

ก. เสยี งทมุ้ เสยี งแหลม ข. เสียงหวีดเสียงหอน

ค. เสยี งดังเสยี งเบา ง. เสียงชัดเสียงซา่

4. ตัวกลางใดเสียงเดนิ ทางไปไดเ้ ร็วที่สดุ

ก. น้ำ ข. ไม้

ค. เหลก็ ง. อากาศ

5. เสียงมคี วามดงั มาก คอื คล่นื เสียงมสี ่วนใดมาก

ก. ความยาว ข. ความแรง

ค. ความเรว็ ง. ความถี่

6. การเคลือ่ นท่ีของคล่นื เสียงแบบไซนไ์ ปทางซกี บวกหนึ่งครั้ง และกลับมาทางซีกลบอกี หนง่ึ ครง้ั เรยี กวา่ อะไร

ก. ความแรงคล่ืน ข. ความยาวคลนื่

ค. ความเร็วคลนื่ ง. รอบคลืน่

7. ความดงั ของเสียงวัดคา่ ออกมาเปน็ หนว่ ยอะไร

ก. วัตต์ ข. โวลต์

ค. เดซเิ บล ง. แอมแปร์

8. การวัดความดงั เสยี งเปรยี บเทยี บกับค่าอา้ งองิ ที่ 1 mW มีหนว่ ยวัดเปน็ อะไร

ก. dB ข. dBm

ค. dBW ง. dBA

9. หน่วยวดั ความดังเสยี งเปน็ dBSPL เปน็ หนว่ ยวัดเปรียบเทยี บคา่ กบั อะไร

ก. ระดับแรงกดดนั เสียง ข. ระดับกำลงั ไฟฟ้าอ้างองิ

ค. ระดบั แรงดันไฟฟ้าอา้ งอิง ง. ระดับกำลงั ไฟฟา้ อนิ พุตกับเอาตพ์ ุต

10. ความดังเสียงในอากาศเบาทีส่ ุดทีห่ ูคนสามารถฟังได้ยินมคี า่ เทา่ ไร

ก. 0 mPa ข. 10 mPa

ค. 20 mPa ง. 30 mPa

พส.13

ใบงาน (Job Sheets)

รหัสวชิ า..20105-2008..วิชา........เคร่ืองเสียง......…………
ชอื่ หน่วย......................สญั ญานเสียงและหลกั การบนั ทึกเสียง...........................................

เรือ่ ง.........สัญญานเสยี งและหลกั การบนั ทึกเสียง.........จำนวนช่วั โมงทีส่ อน....4....ช่วั โมง

ใบงานที่ 1 การรวมและหักลา้ งเฟส สญั ญาณเสยี ง

ผลการเรียนรทู้ ่คี าดหวัง

1. เตรยี มออสซลิ โลสโคปใหพ้ ร้อมใชง้ านวัดเฟสสัญญาณเสียงได้

2. แสดงวธิ วี ดั ค่าการรวมเฟสและการหักล้างเฟสสัญญาณเสยี งได้ 1 เครือ่ ง
3. ประพฤติปฏบิ ัติตามความเปน็ จริงแสดงถงึ การยดึ ม่นั ในความถกู ต้อง 1 เครือ่ ง
เคร่ืองมอื และอุปกรณ์
1. ออสซลิ โลสโคปชนดิ สองเสน้ ภาพพร้อมสายโพรบ
2. เครือ่ งกำเนดิ สัญญาณเสียง

3. แผงประกอบวงจรและสายต่อวงจร 1 ชุด

ลำดับขัน้ การทดลอง

1. ปรับแตง่ ออสซิลโลสโคปชนิดสองเส้นภาพให้พร้อมใช้งาน

2. ปรบั เครอื่ งกำเนิดสัญญาณเสียงไปทต่ี ำแหนง่ คล่นื ไซน์ ปรบั ความถีไ่ ว้ท่ี 2 kHz ปรบั ความแรงของ

สัญญาณเสียงทสี่ ง่ ออกให้ได้ 8 VP-P ประกอบวงจรตามรปู ที่ 1.1

รปู ที่ 1.1 การวดั สัญญาณเสยี งดว้ ยออสซลิ โลสโคปชนดิ สองเสน้ ภาพ

3. สังเกตขนาดความแรงสัญญาณท่ีปรากฏบนจอออสซิลโลสโคป ได้ขนาดความแรงที่ 8 VP-P หรือไม่ มี
ขนาดรูปสัญญาณอ่านได้ชัดเจนหรือยัง หากยังไม่เหมาะสมให้ปรับเปลี่ยนปุ่ม VOLTS/DIV ให้ได้รูปความแรง
สัญญาณอา่ นไดช้ ดั เจน และเทา่ กันท้งั สองช่องสัญญาณท่ีวดั

พส.13

ใบงาน (Job Sheets)

รหสั วชิ า..20105-2008..วิชา........เครอ่ื งเสยี ง......…………

ช่ือหน่วย......................สัญญานเสียงและหลักการบันทึกเสียง...........................................

เร่ือง.......สญั ญานเสียงและหลกั การบันทึกเสียง.....จำนวนช่ัวโมงทีส่ อน....4....ช่ัวโมง

4. สังเกตความกว้างของสัญญาณทปี่ รากฏบนจอออสซลิ โลสโคปใน 2 รอบคล่นื มีความกว้างสัญญาณดรู ปู
ไดช้ ัดเจนหรอื ไม่ ถ้าสัญญาณแคบไปต้องปรบั ปุ่ม TIME/DIV ไปทางด้านเวลาน้อยลง (หมุนตามเข็มนาฬิกา) แต่ถา้
สัญญาณที่ไดใ้ น 2 รอบคล่นื กวา้ งไปตอ้ งปรบั ปมุ่ TIME/DIV ไปทางดา้ นเวลามากขึ้น (หมุนทวนเข็มนาฬิกา) จนได้
ความกวา้ งของสญั ญาณพอเหมาะ อา่ นคา่ ได้ชัดเจน ตอ้ งมีความกวา้ ง ความแรงสญั ญาณทัง้ สองแชนแนลทีว่ ัดได้
เท่ากัน และต้องมีเฟสสัญญาณเหมอื นกนั

5. บันทึกรปู สญั ญาณ คา่ VOLTS/DIV, TIME/DIV และคา่ VP-P ที่วัดไดล้ งในรปู ที่ 1.2

รปู ที่ 1.2 สญั ญาณเสยี งทีว่ ัดไดด้ ้วยออสซลิ โลสโคป

6. กดสวิตช์ปุ่ม ADD บนหน้าปัดออสซิลโลสโคป รวมสัญญาณอินพุตท้ังสองท่ีวัดได้เข้าด้วยกัน ได้ผล
สัญญาณปรากฏบนจอออสซิลโลสโคปเป็นอย่างไร สัญญาณ................................ (หายไป : แรงข้ึน) ได้
แรงดนั ไฟฟา้ ออกมาเทา่ ไร บันทึกรูปสญั ญาณ และคา่ แรงดนั ไฟฟา้ VP-P ทวี่ ัดไดล้ งในรูปที่ 1.3 ซีกบน

รูปท่ี 1.3 สญั ญาณเสยี งผลรวมทว่ี ดั ไดด้ ้วยออสซลิ โลสโคป

พส.13

ใบงาน (Job Sheets)

รหสั วิชา..20105-2008..วิชา........เคร่อื งเสียง......…………

ชื่อหน่วย....................สญั ญานเสียงและหลกั การบันทึกเสยี ง............................

เร่ือง......สญั ญานเสียงและหลักการบันทกึ เสยี ง.....จำนวนชั่วโมงทส่ี อน....4....ชั่วโมง

7. กดปล่อยสวิตช์ปุ่ม ADD บนหน้าปัดออสซิลโลสโคปออก ให้ได้รูปสัญญาณท่ีวัดได้ตามเดิม ท่ีชุดวัด

สัญญาณ CH 2 ของออสซิลโลสโคปจะมีปุ่มกด INVERT เป็นปุ่มกลับสัญญาณของ CH 2 ให้ปรับเป็นทิศทางตรง

ข้าม กดปุ่ม INVERT น้ีให้ได้รูปสัญญาณเสียง CH 2 กลับเป็นตรงข้าม รูปสัญญาณ CH 2 เป็นอย่างไร

.......................... (เหมือนกับ : ตรงข้ามกับ) รูปสัญญาณ เสยี ง CH 1

8. กดสวิตช์ปุ่ม ADD บนหน้าปัดออสซิลโลสโคป รวมสัญญาณอินพุตทั้งสองที่วัดได้เข้าด้วยกันอีกคร้ัง
ได้ผลสัญญาณปรากฏบนจอออสซิลโลสโคปเป็นอย่างไร สัญญาณ..................... (หายไป : แรงขึ้น) ได้แรงดันไฟฟ้า
ออกมาเท่าไร บนั ทกึ รูปสัญญาณ และค่าแรงดันไฟฟา้ VP-P ทวี่ ดั ไดล้ งในรปู ท่ี 1.3 ซีกล่าง
สรปุ ผลการทดลอง

..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
คำถามและการวิเคราะห์

1. สัญญาณเสียงที่วัดได้ด้วยออสซิลโลสโคป ในรูปท่ี 1.3 ขณะรวมสัญญาณของรูปซีกบนและรูปซีกล่าง
เกดิ ผลเปน็ อย่างไร

........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................

พส.14

ใบงาน (Operation Sheets)

รหสั วิชา..20105-2008..วิชา........เครือ่ งเสียง......…………

ชือ่ หน่วย....................สัญญานเสยี งและหลักการบนั ทกึ เสียง............................

เร่ือง......สญั ญานเสียงและหลกั การบนั ทกึ เสียง.....จำนวนชั่วโมงทส่ี อน....4....ชั่วโมง

จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้

1. นกั เรยี นความสามารถใช้ออสซลิ โลสโคปใหพ้ ร้อมใชง้ านวัดเฟสสญั ญาณเสียงได้

2. เพือ่ ใหน้ ักเรียนไดว้ ธิ วี ัดค่าการรวมเฟสและการหักลา้ งเฟสสญั ญาณเสยี งได้

เครอื่ งมือและอุปกรณ์

1. ออสซลิ โลสโคปชนิดสองเส้นภาพพร้อมสายโพรบ 1 เคร่อื ง

2. เครื่องกำเนดิ สัญญาณเสียง 1 เครอื่ ง

3. แผงประกอบวงจรและสายต่อวงจร 1 ชดุ

ลำดับขนั้ การทดลอง

1. ปรบั แต่งออสซิลโลสโคปชนิดสองเส้นภาพให้พรอ้ มใชง้ าน

2. ปรบั เคร่ืองกำเนิดสญั ญาณเสียงไปทต่ี ำแหน่งคลนื่ ไซน์ ปรับความถไ่ี วท้ ี่ 2 kHz ปรับความแรงของ
สัญญาณเสียงทส่ี ่งออกให้ได้ 8 VP-P ประกอบวงจรตามรปู ที่ 1.1

รูปท่ี 1.1 การวัดสัญญาณเสยี งดว้ ยออสซลิ โลสโคปชนดิ สองเสน้ ภาพ

4. สังเกตขนาดความแรงสัญญาณท่ีปรากฏบนจอออสซิลโลสโคป ได้ขนาดความแรงที่ 8 VP-P หรือไม่ มี
ขนาดรูปสัญญาณอา่ นได้ชัดเจนหรือยงั หากยังไม่เหมาะสมให้ปรับเปลยี่ นปุ่ม VOLTS/DIV ให้ไดร้ ูปความ
แรงสญั ญาณอา่ นได้ชัดเจน และเทา่ กนั ท้ังสองช่องสัญญาณทีว่ ดั

พส.14

ใบงาน (Operation Sheets)

รหสั วิชา..20105-2008..วิชา........เครอ่ื งเสยี ง......…………

ชื่อหน่วย....................สัญญานเสียงและหลักการบันทึกเสียง............................

เร่อื ง......สัญญานเสยี งและหลักการบันทกึ เสยี ง.....จำนวนชว่ั โมงที่สอน....4....ช่ัวโมง

ขอ้ ควรระวงั
ควรมกี ารศึกษาการใช้เครือ่ งมือวดั โดยละเอียดและ ภายในวงจรไฟฟา้
ข้อเสนอแนะ
ศกึ ษาการใชง้ านออสซลิ โลสโคป และอุปกรณ์อิเลก็ ทรอนิกส์
การประเมิน
แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยท่ี 1 สัญญาณเสียงและหลกั การบันทึกเสียง
แบบทดสอบหลังเรียน หนว่ ยท่ี 1 สัญญาณเสยี งและหลกั การบันทกึ เสียง
แบบทดสอบท้าย หนว่ ยที่ 1 สัญญาณเสยี งและหลักการบันทกึ เสียง
เอกสารอ้างองิ

หนงั สอื ประกอบการเรียนรายวิชา เครื่องเสียง
ใบงานการทดลอง

พส.15

ใบมอบหมายงาน (Assignment Sheets)

รหสั วชิ า..20105-2008..วิชา........เคร่อื งเสยี ง......…………
ชื่อหน่วย....................สัญญานเสียงและหลักการบันทึกเสียง............................
เร่อื ง......สัญญานเสยี งและหลักการบนั ทึกเสยี ง.....จำนวนช่ัวโมงท่ีสอน....4....ชั่วโมง
จุดประสงคก์ ารมอบงาน

แนวทางการปฎบิ ัติงาน

แหล่งค้นคว้า

คำถาม/ปญั หา

กำหนดเลาทำงาน

พส.16

ใบกจิ กรรมที่ 1

รหสั วชิ า..20105-2008..วิชา........เครื่องเสียง......…………ท-ป-น 1-3-2 สอนคร้งั ที่ 1
ชือ่ หน่วย....................สญั ญานเสียงและหลกั การบันทึกเสียง...................เวลา 4 ช่ัวโมง

ชอื่ กิจกรรม......สัญญานเสียงและหลกั การบันทึกเสยี ง..... เวลา ....4....ช่ัวโมง
จุดประสงค์การเรียนรู้

วัสดุ/อุปกรณ์

คำสงั่
แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยที่ 1 สญั ญาณเสียงและหลกั การบันทึกเสยี ง
แบบทดสอบหลงั เรยี น หน่วยท่ี 1 สญั ญาณเสียงและหลกั การบนั ทึกเสียง
แบบทดสอบท้าย หนว่ ยที่ 1 สัญญาณเสียงและหลกั การบันทึกเสียง
การประเมินผล

หนงั สือประกอบการเรยี นรายวิชา เคร่ืองเสียง
ใบงานการทดลอง



พส.8

กรอบการจดั การเรยี นรแู้ บบบรู ณาการเปน็ เรือ่ ง/ช้ินงาน/โครงการ
และบรู ณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง

สมรรถนะด้านความมีเหตุผล สมรรถนะด้านความพอประมาณ สมรรถนะด้านความมภี มู ิคมุ้ กัน

1. สามารถปฏบิ ัตงิ านไฟฟ้าด้วยความปลอดภยั 1.นักเรยี นเตรยี มเคร่อื งมอื ได้ถกู ตอ้ งตาม 1.นกั เรยี นทำงานดว้ ยความมีวินยั รอบคอบ อดทน
ขั้นตอน รกั ษาความปลอดภยั และสงิ่ แวดล้อม หา่ งไกลยาเสพ
เงอื่ นไขดา้ นความรแู้ ละทักษะ 2. ใชว้ ัสดุ และอุปกรณอ์ ยา่ งประหยดั และ ตดิ
คุม้ ค่าโดยใหผ้ ้เู รยี นใช้สมดุ ท่ีใชแ้ ลว้ แต่มี
1.บอกคุณสมบตั ขิ องไฟฟ้าได้ หน้ากระดาษเหลอื เยอะ เพอื่ ให้รจู้ กั ความ เงอ่ื นไขด้านคุณธรรม จริยธรรม
2.บอกถึงอนั ตรายของไฟฟา้ ต่อรา่ งกายมนษุ ยไ์ ด้ ประหยดั และพอประมาณ คา่ นิยม คุณลักษณะที่พงึ ประสงค์
3.อธบิ ายขอ้ ควรปฎบิ ตั ใิ นการใช้ไฟฟา้ อย่างถูกต้อง
ปลอดภยั ได้ เครื่องเสยี งและ 1.หม่ันเพยี ร เสาะแสวงหาความรูเ้ พ่ิมเติม ทช่ี ว่ ย แบง่ ปนั
4.บอกวิธกี ารปฏิบัตงิ านดา้ นไฟฟา้ อย่างปลอดภัยได้ คลาสการขยายเสยี ง ความเออ้ื เฟื้อเผื่อแผน่ อกเหนอื จากการเรียนการสอนใหก้ ับ
5.แสดงวิธีการช่วยเหลือผูป้ ระสบอนั ตรายจากไฟฟ้า ตนเอง ความ
ดดู ได้ 2.มรี ะเบยี บวนิ ัยปฏิบตั ิตามกฎของวิทยาลยั ฯ ตรงต่อเวลา มี
6.แสดงวิธกี ารปฐมพยาบาลผปู้ ระสบอันตรายจาก ความขยันหมน่ั เพยี รเสาะแสวงหาความรู้เพม่ิ เติม ที่
ไฟฟา้ ดูดได้ นอกเหนือจากการเรียนการสอนใหก้ บั ตนเอง
3มีคุณธรรมและจรยิ ธรรมเหมาะสำหรบั การเป็นช่างทด่ี ี
ตอ่ ไปในอนาคต
4.มีความซ่ือสตั ย์สุจริตไม่เหน็ แก่ประโยชน์สว่ นตัวมากกว่า
สว่ นรวม
5.มีคณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นิยมและคุณลักษณะอันพงึ
ประสงค์

ผลกระทบเพื่อความสมดุล พร้อมรบั การเปล่ยี นแปลง

ดา้ นสงั คม ดา้ นเศรษฐกจิ ดา้ นวฒั นธรรม ดา้ นสงิ่ แวดล้อม

1.ผเู้ รียนมีระเบยี บวนิ ัย รับผดิ ชอบต่อหน้าที่ 1.สามารถลดรายจา่ ยทจี่ ะเกิดขนึ้ จากไฟฟ้า 1.สรา้ งวัฒนธรรมในการเรียนรู้ทด่ี ีสำหรับ 1.ในการทำงานตอ้ งใช้วัสดุ เชน่ กระดาษ
และมีภมู คิ มุ้ กนั หา่ งไกลยาเสพติด ลดั วง ทที่ ำให้เสยี ชีวติ และทรัพย์สิน แก่ ผ้เู รยี น ทำให้ผู้เรียนมีความม่ันใจ และมีความ ปากกา รวมทัง้ อปุ กรณ์อ่ืนๆ ทีเ่ ก่ียว โดยเน้น
เจา้ ของ พร้อมในการศึกษาเรียนร้ดู ว้ ยตนเองต่อไป ใหผ้ ูท้ ่เี รยี นประหยดั การใชห้ รอื อาจนำมาใช้
กจิ การหรือประหยัดงบประมาณในป้องกนั เพือ่ ใหป้ ระหยัดมากขึ้น
อคั คีภัย

หมายเหตุ หากเปน็ การบรู ณาการในหนว่ ยการเรียนรหู้ น่วยใดหนว่ ยหนึ่ง ใหน้ ำแผนภูมนิ ไ้ี ปนำเสนอในหน่วยการเรียนรนู้ ั้น

แผนการจดั การเรยี นรู้ พส.9

รหสั วิชา 20105-2008 วชิ า เครือ่ งเสยี ง ท-ป-น 1-3-2 หน่วยที่ 2

ช่ือหน่วย เครอื่ งเสยี งและคลาสการขยายเสียง เวลารวม 72 ชม.

เรือ่ ง เครื่องเสยี งและคลาสการขยายเสยี ง สัปดาห์ 2/18

จำนวน 4 ชม.

1. สาระสำคัญ
เสียงสามารถเกิดขึ้นได้จากแหล่งกำเนิดเสียงหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดจะให้กำเนิดเสียงออกมาในย่าน

ความถี่เสียงแตกตา่ งกันไป ทำนองเดยี วกันอุปกรณ์รับสัญญาณเสียงก็มีหลายรปู แบบแตกต่างกัน สว่ นสำคัญของการ
รับรู้สัญญาณเสียงของคนคือหู ทำให้ระบบส่ือสารทางเสียงของคนครบสมบูรณ์ การรับรู้คล่ืนเสียงของคนเป็น
ขบวนการทมี่ คี วามซับซอ้ น

เครื่องเสียงระบบไฮไฟ เป็นเคร่ืองเสียงมีคุณภาพดี ตอบสนองได้ครอบคลุมย่านความถี่เสียงท้ังหมด โดย
สามารถถ่ายทอดสัญญาณเสียงออกมาได้เหมือนกับสัญญาณเสยี งท่ีป้อนเข้าไปทุกประการโดยไม่ผดิ เพ้ียน ไมม่ ีเสียง
แปลกปลอมใดๆ และไม่เกิดเสยี งรบกวนออกมา อุปกรณ์ใชง้ านในเครื่องเสียงระบบไฮไฟ มีมากมายหลายชนดิ หลาย
หน้าท่ีการทำงาน การใช้งานจะต้องนำอุปกรณ์เหล่าน้ีมาประกอบร่วมกัน การเลือกอุปกรณ์ที่มีคุณภาพดี มีความ
เหมาะสมมาใชง้ าน ย่อมจะส่งผลใหเ้ คร่อื งเสยี งท่ไี ดอ้ อกมาเปน็ ระบบไฮไฟทส่ี มบูรณ์แบบ

เคร่ืองขยายเสียงท่ีผลิตข้ึนมาใช้งาน ในแต่ละเคร่ืองจะประกอบข้ึนด้วยวงจรส่วนต่างๆ หลายส่วนต่อวงจร
เข้าด้วยกัน ในแต่ละส่วนมีหน้าท่ีในการทำงานแตกต่างกันไป ช่วยส่งเสริมให้เคร่ืองขยายเสียงมีคุณภาพและ
ประสทิ ธิภาพของสัญญาณเสยี งดยี ิง่ ขนึ้ สามารถทำงานตอบสนองความตอ้ งการของผ้ใู ช้ได้
2. สมรรถนะประจำหน่วย

ใชอ้ ปุ กรณ์เครื่องเสียงระบบไฮไฟ

3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1. บอกชนิดของอปุ กรณร์ ับเสยี งและอุปกรณ์กำเนิดเสียงได้ (ดา้ นพุทธิพิสยั )
2. บอกคณุ สมบัตเิ คร่ืองเสยี งระบบไฮไฟได้ (ด้านพทุ ธพิ สิ ยั )
3. อธบิ ายลกั ษณะอปุ กรณ์แตล่ ะชนดิ ใช้งานในเครื่องเสยี งระบบไฮไฟได้ (ดา้ นพุทธพิ ิสยั )
4. บอกชนดิ ของคลาสการขยายสัญญาณเสยี งได้ (ด้านพทุ ธพิ ิสยั )
5. อธบิ ายบล็อกไดอะแกรมโครงสรา้ งเครือ่ งขยายเสยี งได้ (ด้านพทุ ธพิ ิสยั )
6. ใชง้ านอปุ กรณ์เคร่ืองเสียงระบบไฮไฟได้ (ดา้ นทกั ษะพสิ ยั )
7. ชใ้ี หเ้ ห็นถึงประโยชน์ของเครอื่ งเสียงระบบไฮไฟ (ดา้ นเจตพิสัย)

4. สาระการเรียนรู้
1. อุปกรณ์รับเสยี งและอปุ กรณ์กำเนิดเสียง
2. เคร่อื งเสียงระบบไฮไฟ
3. อปุ กรณ์ใช้งานในเครือ่ งเสียงระบบไฮไฟ
4. คลาสการขยายสญั ญาณเสยี ง
5. บลอ็ คไดอะแกรมโครงสรา้ งเครอื่ งขยายเสียง

5. การออกแบบการจดั การเรยี นรู้
1. การเตรยี มใบงานให้สอดคลอ้ งกบั หน่วยการเรยี นการสอน
2. การเตรียมการสอนในแต่ละสปั ดาห์
3. การสอนแบบสาธิต
4. การทดลองจริงได้จดั ทำวงจรเองและได้สร้างเคร่อื งเสียงเอง
5. ผูส้ อนให้ผเู้ รียนทำใบงานท่ี 2 เคร่ืองเสียงและคลาสการขยายเสียง
6. ผู้สอนใหผ้ ู้เรยี นทำแบบฝึกหดั หนว่ ยท่ี 2

6. กิจกรรมการเรยี นรู้
ขน้ั นำ
1. ผสู้ อนช้แี จงหัวข้อการเรยี นและจุดประสงค์การเรียนประจำหน่วยท่ี2เคร่ืองเสยี งและคลาสการขยายเสียง
2. ผู้สอนให้ผูเ้ รยี นแสดงความคิดเห็นเกย่ี วกบั สญั ญาณเสียงและหลักการบนั ทึกเสยี ง
ขน้ั สอน
1. ผสู้ อนเปิดงานนำเสนอวชิ า เครือ่ งเสยี ง หน่วยท่ี 2 เคร่ืองเสียงและคลาสการขยายเสียง
2. ผู้สอนใหผ้ ้เู รยี นเปดิ เอกสารประกอบการสอน หน่วยที่ 2 เครอ่ื งเสยี งและคลาสการขยายเสียง
3. ผสู้ อนเปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นซกั ถามในขอ้ สงสัยเมื่ออธบิ ายเน้ือหาในหน่วยเรยี นจบ
ขัน้ สรปุ

1. ผสู้ อนใหผ้ เู้ รียนทำใบงานที่ 2 เครือ่ งเสียง และคลาสการขยายเสยี ง
2. ผูส้ อนใหผ้ ู้เรียนทำแบบฝึกหดั หน่วยที่ 2
ขนั้ สรปุ และประเมนิ ผล

1. ผู้สอนร่วมกับผู้เรียนทบทวนความเข้าใจและสรุปเนื้อหาในหน่วยที่ 2 เคร่ืองเสียง และคลาสการขยาย
เสียง

2. ผสู้ อนใหผ้ เู้ รยี นทำแผนผงั ความคดิ สรุปเน้อื หาหน่วยท่ี 2 เครื่องเสียง และคลาสการขยายเสียง
7. บรรยากาศที่ส่งเสริมและพัฒนาผูเ้ รยี น

สภาพห้องเรียน สะอาดหน้าเรียน ผู้เรียนมีความสนใจในการเรียน ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยน
ความรู้ ส่งผลใหเ้ กดิ ผลให้เกิดเรยี นรู้ทด่ี ี
8. คุณธรรม จรยิ ธรรมประจำหน่วย
มคี วามซอ่ื สัตย์ มคี วามรับผิดชอบ ความตอ่ เวลา มีคณุ ธรรม
9. ส่อื และแหล่งการเรยี นรู้

1. เอกสารประกอบการเรียนเรอ่ื งเคร่ืองเสยี ง และคลาสการขยายเสียง
2. ใบงาน
3. ของจริง
4. Google Classroom
5. Power point เรอื่ ง เคร่ืองเสียง และคลาสการขยายเสียง
10. การวดั ผลและประเมนิ ผล
10.1 แบบทดสอบก่อนเรยี น หน่วยท่ี 2 เคร่ืองเสียง และคลาสการขยายเสยี ง
10.2 แบบทดสอบหลังเรียน หนว่ ยท่ี 2 เครอื่ งเสยี ง และคลาสการขยายเสียง
10.3 แบบทดสอบทา้ ย หนว่ ยที่ 2 เครอื่ งเสยี ง และคลาสการขยายเสียง
11. หลักฐานการเรยี นรู้
1.สมดุ จดงาน
2.แบบทดสอบประจำหน่วยการเรียน
12. เอกสารอา้ งอิง
- หนังสือประกอบการเรียนรายวชิ า เครอ่ื งเสียง

พส.10

เคร่ืองมอื ทใี่ ช้ในการประเมิน

รหัสวชิ า 20105-2008 วชิ า เครือ่ งเสยี ง ท-ป-น 1-3-2

แบบประเมนิ แบบประมาณค่า (Ratting scale)

ประเด็นการประเมิน เกณฑก์ ารให้คะแนน
5 4 3 21

1.บอกชนดิ ของอปุ กรณร์ ับเสียงและอปุ กรณก์ ำเนดิ เสยี งได้ (ด้านพทุ ธิพสิ ยั )

2.บอกคุณสมบตั เิ ครอ่ื งเสียงระบบไฮไฟได้ (ดา้ นพุทธพิ ิสยั )

3.อธิบายลักษณะอุปกรณ์แต่ละชนิดใช้งานในเครื่องเสียงระบบไฮไฟได้

(ด้านพทุ ธพิ สิ ัย)

4.บอกชนดิ ของคลาสการขยายสญั ญาณเสียงได้ (ด้านพุทธิพิสยั )

5.อธบิ ายบลอ็ กไดอะแกรมโครงสร้างเครื่องขยายเสียงได้ (ดา้ นพุทธิพสิ ัย)

6.ใชง้ านอุปกรณ์เคร่ืองเสียงระบบไฮไฟได้ (ดา้ นทกั ษะพิสยั )

7.ช้ีใหเ้ หน็ ถงึ ประโยชน์ของเครือ่ งเสยี งระบบไฮไฟ (ดา้ นเจตพิสยั )

รวม
รวมท้ังหมด (5 คะแนน+4 คะแนน+3 คะแนน+2 คะแนน+1 คะแนน)
คะแนนรวม (60%)

พส.11

บันทึกหลงั การเรียนรู้

รหสั วิชา 20105-2008 ช่ือวชิ า เครอ่ื งเสยี ง ระดบั ชน้ั ปวช 2 หอ้ ง 1,2

แผนกวิชา อเิ ลก็ ทรอนิกส์ สัปดาห์ท่ี วันท่สี อน

หน่วยที่..2...ชือ่ หนว่ ย เครอื่ งเสยี งและคลาสการขยายเสยี ง จำนวน 4 ช่ัวโมง

จำนวนผเู้ รยี น คน มาเรยี น คน ขาดเรียน คน ลาปว่ ย คน ลากิจ คน

1. ผลการจัดการเรียนรู้

…............................................................................................................................................ ……………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………….
…............................................................................................................................................ ……………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………….
…............................................................................................................................................ ……………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………….

2. ปญั หาและอปุ สรรค

……..............................................................................................................……………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………..
……..................................................………………………………..………………………………………………………..………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………..
……..................................................………………………………..………………………………………………………..………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………..

3.ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ไข

……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………..

ความคิดเห็น............................................................................ ลงชื่อ...........................................ครผู สู้ อน
................................................................................................ (....นายอนนท์....ทาเทียว....)
................................................................................................ .........../................/............

ลงชอื่ ...........................................หวั หนา้ แผนกวิชา ความเหน็ ............................................................................
(.....นางรศั ม.ี ...นลิ เนตร.....) ................................................................................................
........../................/............ ................................................................................................

ลงช่อื ...........................................รองผู้อำนวยการฝ่ายวชิ าการ
( นางสาวนิศากร เจริญดี )
............/................../............

พส.12

ใบความรู้ (Information Sheets)

รหัสวชิ า..20105-2008..วิชา…………..…เครือ่ งเสยี ง..............................…

ช่อื หน่วย.....................เคร่ืองเสยี ง และคลาสการขยายเสยี ง................................

เร่อื ง.............เครื่องเสียง และคลาสการขยายเสียง.....................จำนวนช่ัวโมงสอน.......4...ช่ัวโมง......

จุดประสงค์การเรียนรู้ รายการเรยี นรู้

- จุดประสงค์ท่วั ไป

1.เพ่อื ให้มคี วามรแู้ ละความเข้าใจเกีย่ วกบั เครอื่ งเสยี งและ 1.อุปกรณร์ ับเสียงและอปุ กรณ์กำเนิดเสียง

คลาสการขยายเสียง (ด้านพุทธพิ สิ ยั ) 2.เครือ่ งเสยี งระบบไฮไฟ

2.เพอื่ ให้มที กั ษะการอุปกรณ์ใชง้ านในเคร่ืองเสยี งระบบ 3.อุปกรณ์ใช้งานในเคร่ืองเสียงระบบไฮไฟ

ไฮไฟ (ดา้ นทักษะพิสัย) 4.คลาสการขยายสัญญาณเสียง

3.เพอ่ื ให้มีเจตคติทีด่ ีในการนำอุปกรณ์เครื่องเสยี งระบบ 5.บลอ็ คไดอะแกรมโครงสร้างเครอ่ื งขยายเสยี ง

ไฮไฟไปใชง้ านอยา่ งเหมาะสมตามหลักปรชั ญาเศรษฐกิจ

พอเพยี ง (ดา้ นจิตพิสัย)

- จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม

1.บอกชนิดของอุปกรณ์รับเสียงและอุปกรณ์กำเนิดเสียงได้

(ดา้ นพทุ ธพิ สิ ัย)

2.บอกคุณสมบตั ิเครื่องเสียงระบบไฮไฟได้ (ด้านพุทธิพิสยั )

3.อธิบายลักษณะอุปกรณ์แต่ละชนิดใช้งานในเคร่ืองเสียง

ระบบไฮไฟได้ (ดา้ นพทุ ธิพิสัย)

4.บอกชนิดของคลาสการขยายสัญญาณเสียงได้ (ด้านพุทธิ

พิสัย)

5.อธิบายบล็อกไดอะแกรมโครงสร้างเคร่ืองขยายเสียงได้

(ดา้ นพทุ ธพิ ิสยั )

6.ใช้งานอุปกรณ์เครื่องเสียงระบบไฮไฟได้ (ด้านทกั ษะพสิ ยั )

7.ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของเครือ่ งเสียงระบบไฮไฟ (ด้านเจต

พิสัย)

พส.12

ใบความรู้ (Information Sheets)

รหัสวชิ า..20105-2008..วิชา....................เครื่องเสียง............…………………

ช่อื หน่วย.................เคร่ืองเสยี ง และคลาสการขยายเสยี ง..................................

เน้อื หาสาระ
2.1 อุปกรณ์รบั เสียงและอปุ กรณก์ ำเนดิ เสียง

เสียงสามารถเกิดขึ้นได้จากแหล่งกำเนิดเสียงหลายชนิด แหล่งกำเนิดเสียงแต่ละชนิดจะให้กำเนิด
เสียงออกมาในย่านความถ่ีเสียงแตกต่างกันไป แหล่งกำเนิดเสียงบางชนิดไม่สามารถกำเนิดเสียงครอบคลุมย่าน
ความถ่ีเสียงตั้งแต่ 20 – 20,000 Hz ได้ บางชนิดกำเนิดเสียงได้ในย่านความถ่ีต่ำ บางชนิดกำเนิดเสียงได้ในย่าน
ความถี่สูง หรือบางชนิดกำเนิดเสียงได้ครอบคลุมย่านความถ่ีเสียงท้ังหมด เสียงท่ีกำเนิดจากแหล่งกำเนิดเสียงชนิด
ใดก็ตามสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เสียงเหล่าน้ีถูกนำไปใช้งานด้านต่างๆ มากมาย เช่น กำเนิดเสียงแบบ
ผสมผสานให้เป็นเสียง ดนตรี สร้างความเพลิดเพลินให้ผู้คนต่างๆ ใช้ในงานอุตสาหกรรม ใช้แจ้งเตือนอันตราย ใช้
เพ่ือความบันเทงิ และใช้เพือ่ งานประชาสมั พนั ธ์ เปน็ ตน้

ในทำนองเดียวกันอุปกรณ์รับสัญญาณเสียงเพ่ือนำไปใช้งาน มีทั้งอุปกรณ์เปล่ียนแปลงสัญญาณเสียง
อุปกรณ์บันทึกเสียง อุปกรณ์ขยายเสียง และอุปกรณ์กระจายเสียง ก็มีขีดจำกัดต่อการตอบสนองต่อย่า น
สัญญาณเสียงท่ีรับได้ ซึ่งมีทั้งตอบสนองได้ไม่ครอบคลุมย่านความถ่ีเสียง และตอบสนองได้ครอบคลุมย่านความถ่ี
เสียง สิ่งสำคัญคือการเลือกอุปกรณ์เหล่านั้นมาใช้งานจะต้องเลือกให้ถูกต้องเหมาะสม เพราะสัญญาณเสียงที่ได้
ออกมามีผลต่อคุณภาพของเสยี งท่ีรบั ฟงั ได้ และทำใหป้ ระสาทสัมผสั ไม่เกดิ ความตรึงเครยี ด

ในอุปกรณ์กำเนิดเสียงที่ผลิตขึ้นมาใช้งาน เช่น เคร่ืองดนตรีชนิดต่างๆ จะพบว่าเครื่องดนตรีแต่ละ
ชนิดจะให้กำเนิดเสียงขึน้ มาแตกต่างกันไป บางชนดิ ได้เสียงสูงออกมา บางชนิดได้เสียงต่ำออกมา แม้กระทง่ั เสียง
ของคนท่ีเปล่งออกมาในแต่ละคนทั้งหญิงและชายจะมีความถ่ีเสียงเปล่งออกมาแตกต่างกัน การนำอุปกรณ์กำเนิด
เสยี งแตล่ ะชนิดไปใช้งานจะต้องเลือกใหถ้ กู ต้องและเหมาะสม แหลง่ กำเนิดเสยี งชนิดต่างๆ ใหก้ ำเนิดเสยี งที่แตกต่าง
กนั แสดงดงั รปู ที่ 2.1

รปู ท่ี 2.1 แหลง่ กำเนิดเสยี งชนดิ ตา่ งๆ ให้กำเนิดเสยี งทีแ่ ตกต่างกนั

2.2 เครอื่ งเสยี งระบบไฮไฟ
เครื่องเสียง หมายถึง เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ชนิดหน่ึง โดยทำหน้าท่ีเกี่ยวข้องกับ

การขยายสัญญาณเสียง กระบวนการทำงานด้านเสียง การถ่ายทอดเสียง การกระจายเสียง หรือการบันทึกเสียง
รวมถงึ อุปกรณ์ตา่ งๆ ทเ่ี ข้ามาเก่ียวกับเครือ่ งเสยี งดว้ ย

เครื่องเสียงระบบไฮไฟ (Hi - Fi) เป็นเคร่ืองเสียงประเภทท่ีมีคุณภาพดี สามารถให้การตอบสนองได้
ครอบคลุมย่านความถ่ีเสียงทั้งหมด โดยสามารถถ่ายทอดสัญญาณเสียงออกมาได้เหมือนกับสัญญาณเสียงที่
ป้อนเขา้ ไปทกุ ประการโดยไม่ผดิ เพีย้ น ไมม่ เี สยี งแปลกปลอมใดๆ และไม่เกดิ เสยี งรบกวนออกมา

คำว่าไฮไฟ (Hi - Fi) มาจากคำเตม็ วา่ ไฮฟเิ ดอลิตี (High Fidelity) มีความหมายว่าความชัดเจนสูง เป็น
คำที่ถูกนำมาใช้บ่อยในส่วนที่เก่ียวข้องกับงานทางด้านการตอบสนองความถี่ของเครื่องเสียง ระบบเสียง หรือการ
ทำงานของระบบที่มีความสัมพนั ธก์ บั เสียง โดยการเปรยี บเทยี บกับความผิดเพี้ยนทเี่ กิดขนึ้

เคร่ืองเสียงระบบไฮไฟท่ีนิยมใช้งานโดยทั่วไปมีหลายรูปแบบหลายลักษณะ ข้ึนอยู่กับการออกแบบ
ระบบ รวมท้ังส่วนประกอบของแหล่งกำเนิดชนิดต่างๆ ซ่ึงจะต้องให้เกิดความเหมาะสมกับงานท่ีจะนำไปใช้ และ
สิง่ ท่ีเครื่องเสียงระบบไฮไฟต้องคำนึงถึงคอื ต้องใหก้ ารตอบสนองความถ่เี สียงทุกย่านความถ่ี เคร่อื งเสยี งระบบไฮไฟ
แสดงดงั รูปที่ 2.2

ภาพท2่ี .2 เคร่อื งเสียงระบบไฮไฟ

จากรูปที่ 2.2 แสดงเคร่ืองเสียงระบบไฮไฟรูปแบบหน่ึง รูปที่ 2.3 (ก) เป็นชุดเครื่องเสียงในระบบ
ไฮไฟท่ีประกอบด้วยเคร่ืองรับวิทยุ เครื่องเล่นสัญญาณเสียง เครื่องขยายสัญญาณเสียง และอุปกรณ์เปล่ียน
สัญญาณเสียงในรูปไฟฟ้าเป็นสญั ญาณเสยี งในรูปอากาศส่ันสะเทือน อปุ กรณท์ ั้งหมดถูกประกอบเขา้ ดว้ ยกนั เป็นชุด
เครื่องเสียงไฮไฟ ส่วนประกอบทั้งหมดเหล่านี้จะให้การตอบสนองต่อความถ่ีเสียงครอบคลุมย่านความถ่ีเสียง
ท้ังหมด สัญญาณเสียงที่ได้ออกมาจะมีความชัดเจนเหมือนกับสัญญาณเสียงท่ีป้อนเข้ามา ไม่มีความผิดเพี้ยน และ
ไมม่ สี ญั ญาณรบกวน

สว่ นรูปที่ 2.2 (ข) เป็นกราฟแสดงการตอบสนองความถ่เี สียงของเครอ่ื งเสียงชนิดไฮไฟ แสดงให้เห็นว่า
เคร่ืองเสียงชนิดไฮไฟสามารถตอบสนองต่อความถี่เสียงได้ครอบคลุมย่านความถี่เสียงทั้งย่าน โดยระดับความดัง
ของเสยี งจะเกดิ ความแตกตา่ งกนั บา้ งในแตล่ ะคา่ ความถ่เี สียง

เคร่ืองเสียงระบบไฮไฟ เป็นเคร่ืองเสียงที่มีระบบการทำงานถูกประกอบข้ึนมาจากอุปกรณ์หลายชนิด
ตอ่ วงจรเข้าด้วยกันอย่างถกู ตอ้ งเหมาะสม ช่วยเสรมิ การทำงานซง่ึ กนั และกัน ส่งผลให้ได้คุณภาพเสียงออกมาครบ
สมบรู ณ์ ส่วนประกอบระบบเสียงไฮไฟประกอบขึ้นมาจากอปุ กรณห์ ลายสว่ นต่อวงจรร่วมกนั ทำให้เครอ่ื งเสียงไฮไฟ
มีคุณสมบัติครบถ้วนตามต้องการ ส่วนประกอบหลักที่สำคัญประกอบด้วย ส่วนให้กำเนิดสัญญาณเสียงที่มี
อุปกรณ์ให้กำเนิดเสียงหลากหลายชนิด ส่วนปรับแต่งสัญญาณเสียง ส่วนขยายสัญญาณเสียง ส่วนแยก
สญั ญาณเสียง และส่วนเปล่ียนสัญญาณเสียงในรูปไฟฟ้าให้เป็นสัญญาณเสียงในรูปอากาศสั่นสะเทือน ในแต่
ละส่วนประกอบมีอุปกรณ์ เคร่อื งมอื และเครอื่ งใชท้ น่ี ำมาใช้งานหลายชนดิ บล็อกไดอะแกรมเครือ่ งเสียงระบบ

ไฮไฟ แสดงดงั รูปท่ี 2.3

อปุ กรณ์ อปุ กรณ์ อปุ กรณ์ อุปกรณ์ อปุ กรณเ์ ปลย่ี น
ให้กาเนดิ เสียง ปรับแต่งเสยี ง ขยายเสยี ง แยกความถ่เี สยี ง สัญญาณไฟ้ฟ้า

เป็ น
สญั ญาณเสียง

ภาพท2่ี .3 บล็อกไดอะแกรมเคร่ืองเสียงระบบไฮไฟ

จากรปู ที่ 2.3 แสดงบล็อกไดอะแกรมเครอ่ื งเสียงระบบไฮไฟ ประกอบข้นึ ดว้ ยอปุ กรณ์ที่เขา้ มาเก่ยี วขอ้ ง
หลายส่วน ได้แก่ อุปกรณ์ให้กำเนิดเสียง เป็นอุปกรณ์ให้กำเนิดสัญญาณเสียงต่างๆ ออกมา แหล่งกำเนิดเสียง
จากอุปกรณ์เหล่าน้ีมีมากมายหลายชนิด เช่น เคร่ืองเล่น DVD เคร่ืองรับวิทยุ เครื่องเล่น MP3 และไมโครโฟน
เปน็ ต้น สญั ญาณเสยี งทถี่ กู กำเนดิ ขึน้ มาจะมีความแตกตา่ งกนั ไป

อุปกรณ์ปรับแต่งเสียง เป็นอุปกรณ์ปรับเปล่ียนคุณภาพของสญั ญาณเสียงท่ีส่งเข้ามาให้ได้ค่าเหมาะสม
กอ่ นส่งต่อไป เช่น ปรับความถ่เี สยี งประกอบดว้ ยเสียงทุ้ม เสียงกลาง เสียงแหลม ใหเ้ กิดความเหมาะสม ปรบั ระดับ
ความแรงของเสียงท่ีจะส่งออก และปรับแตง่ สัญญาณเสียงให้มีความชดั เจนไม่ผดิ เพี้ยน เป็นต้น สัญญาณเสียงท่ีได้
ออกมาจะมีความถูกตอ้ งเหมาะสม

อุปกรณข์ ยายเสียง เป็นอปุ กรณ์ทำหนา้ ท่ีขยายสญั ญาณเสียงให้มีระดบั ความแรงเพ่ิมข้ึนอย่างชัดเจนไม่
ผดิ เพ้ียน มคี วามดังของเสียงเหมาะสมตามความต้องการ

อุปกรณ์แยกความถี่เสียง เป็นอุปกรณ์แยกสัญญาณเสียงออกเป็นย่านความถ่ีเสียง ให้เกิดความ
เหมาะสมกับการใช้งานของอุปกรณ์เปลยี่ นสญั ญาณไฟฟา้ เปน็ สญั ญาณเสียง โดยทวั่ ไปจะมีอยู่ 3 ย่านความถ่ี ได้แก่
ย่านความถีต่ ำ่ หรอื เสยี งท้มุ ยา่ นความถกี่ ลางหรือเสยี งกลาง และยา่ นความถี่สูงหรือเสยี งแหลม

อุปกรณเ์ ปล่ยี นสญั ญาณไฟฟ้าเป็นสญั ญาณเสียง เป็นอุปกรณ์ทำหน้าท่เี ปลี่ยนสัญญาณ เสียงท่ีอยู่ในรูป
พลังงานไฟฟ้า ให้เป็นสัญญาณเสียงท่ีอยู่ในรูปพลังงานกล ทำให้อากาศที่อยู่โดย รอบเกิดการส่ันสะเทือน ส่ง
สญั ญาณเสยี งแพร่กระจายออกไป

2.3 อุปกรณใ์ ช้งานในเครือ่ งเสยี งระบบไฮไฟ
อุปกรณ์ใช้งานในเครื่องเสียงระบบไฮไฟ ที่ผลิตขึ้นมาใช้งานมีมากมายหลายชนิดหลายหน้าที่การ

ทำงาน การใช้งานจะต้องนำอุปกรณ์เหล่าน้ีมาประกอบร่วมกัน การเลือกอุปกรณ์ท่ีมีคุณภาพดี มีความเหมาะสม
มาใชง้ าน ยอ่ มจะส่งผลใหเ้ คร่ืองเสยี งที่ไดอ้ อกมาเปน็ ระบบไฮไฟทสี่ มบรู ณแ์ บบ

ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ มีการพัฒนารูปแบบของอปุ กรณ์ท่ีผลิต
ขึ้นมาใช้งาน รองรับความต้องการของคน อำนวยความสะดวกในการใช้งาน รวมถึงการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ
ขึ้นมามากมาย ทำให้เทคโนโลยีทางด้านเครื่องเสียงมีการพัฒนารูป แบบของอุปกรณ์เคร่ืองใช้ใหม่ๆ ที่ทันสมัย
ออกมาอย่างตอ่ เนือ่ ง

1. เครื่องรับวิทยุ (Radio Receiver) เป็นเครื่องรับสัญญาณคล่ืนวิทยุ ที่ส่งกระจายเสียงมาจาก
สถานสี ง่ วิทยกุ ระจายเสียง เปน็ คล่ืนวทิ ยุในระบบ FM และ FM สเตรโิ อมลั ตเิ พลก็ ซ์ มยี ่านความถ่ีใชง้ าน 88 – 108
MHz คลื่นวิทยุระบบ FM จะให้คุณภาพเสียงที่แพร่กระจายออกมาอยู่ในระบบไฮไฟ สัญญาณเสียงท่ีส่ง
แพรก่ ระจายออกมาครอบคลุมยา่ นความถ่ีเสียงต้งั แต่ความถ่ตี ่ำไปจนถึงความถ่ีสูง มคี ุณภาพของเสียงดี มีสัญญาณ
รบกวนต่ำ

2. เค รื่องเล่ น CD (Compact Disc Player) แ ล ะเค ร่ือ งเล่ น DVD (Digital Video Disc
Player) เป็นเครื่องเล่นสัญญาณท้ังภาพและเสียงจากแผ่น CD และแผ่น DVD สัญญาณทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้ใน
ระบบดิจิทัล โดยสัญญาณภาพและเสียงที่อยู่ในรูปสัญญาณแอนะล็อก ถูกส่งไปแปลงให้เป็นสัญญาณดิจิทัล มีค่า
เป็นเลข “0” และ “1” ส่งต่อไปทำการบันทึกข้อมูลเก็บไว้ในแผ่น CD และแผ่น DVD เป็นลักษณะทำให้เกิดเป็น
หลุมเล็กๆ รอบแผน่ CD และแผ่น DVD หลมุ ขอ้ มลู ถกู แบ่งเป็นแทรกท่ีเรียงต่อกนั ไปเป็นวงกลมคล้ายกน้ หอย

การบันทึกสัญญาณในรูปสัญญาณดิจิทัลนี้ช่วยลดความผิดเพ้ียนของสัญญาณ และลดสัญญาณ
รบกวนลงได้ ทำให้สัญญาณภาพและเสียงท่ีไดม้ ีความชัดเจนเหมือนต้นฉบับ ในขณะเล่นแผ่น CD และแผ่น DVD
อาศัยลำแสงเลเซอร์จากหัวอ่านส่งมาสัมผัสร่องภาพและเสียงของรหัสดิจิทัลบนแผ่น แสงสะท้อนในรูปสัญญาณ
ข้อมูลทีไ่ ด้รบั กลบั มาจะถกู สง่ ไปแปลงกลบั จากรหัสดจิ ิทัลออกมาเป็นสญั ญาณภาพและเสยี งตามเดิม

ในการทำงานของเครอื่ งเล่น CD และ DVD ไมม่ ีส่วนกลไกใดๆ ของเครื่องเล่นสมั ผัสร่องหลุมบนแผ่น
CD และแผ่น DVD เลยจึงไม่มีผลต่อการขีดข่วนบนแผ่น ไม่มีผลต่อการสึกกรอ่ นของแผ่น รอยขีดข่วนต่างๆ บนผิว
ของแผน่ CD และแผ่น DVD หากไมล่ ึกมากจนถึงร่องหลุมสัญญาณ หรือฝุ่นละอองทอี่ ยู่บนแผ่นมีไมม่ าก จะไม่มีผล
ต่อการเกิดสัญญาณรบกวนในขณะเล่น ไม่ทำให้เกิดความผิดเพ้ียนของสัญญาณที่เล่นกลับออกมา หรือไม่เกิดการ
กระตกุ ของสญั ญาณท่ไี ด้ เคร่ืองเล่น CD และ DVD

3. เคร่ืองเล่น MP3 แบบพกพา (Portable MP3 Player) เป็นเคร่ืองเล่นสัญญาณท้ังภาพและ
เสียงชนิดดิจิทัล สัญญาณข้อมูลถูกเก็บในรูปรหัสดิจิทัล โดยข้อมูลสัญญาณภาพและเสียงถูกเก็บไว้ใน
หน่วยความจำประเภทโซลิดสเตรต (Solid Stage) จำพวก IC ด้วยการนำสัญญาณข้อมูลมาทำการบีบอัดก่อนทำ
การจัดเก็บ เพ่ือให้ความจุข้อมูลท่ีจะจัดเก็บลดน้อยลง ช่วยให้หน่วย ความจำสามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้น และ
สามารถสร้างให้เคร่ืองเล่นมีขนาดเล็กลงได้ เพราะการเก็บข้อมูลและการเล่นข้อมูลสามารถทำได้ด้วยตัว IC ท่ีเป็น
ส่วนประกอบของเคร่ืองเล่น การเก็บข้อมูลและการเล่นไม่มีส่วนกลไกที่เคลื่อนไหว เพราะเป็นการเก็บข้อมูลใน
รูปแบบสญั ญาณดิจิทัลท้ังหมด และการเล่นกลบั สัญญาณภาพและเสียง โดยการนำสัญญาณดิจิทลั มาแปลงกลบั ให้
เปน็ สัญญาณแอนะลอ็ ก ส่งไปภาคขยายสัญญาณต่อไป

การเล่นสัญญาณภาพและเสียงของเครื่องเล่น MP3 ออกมา ทำได้โดยการนำข้อมูลท่ีเก็บไว้มาทำการ
คลายตัวออกจากการบบี อดั ขอ้ มูลก่อน และนำไปแปลงสัญญาณดิจทิ ัลให้กลบั ออกมาเป็นสัญญาณแอนะล็อกในรูป
สญั ญาณภาพและเสยี งปกติ ก่อนส่งผา่ นระบบการทำงานต่างๆ ออกมา เครือ่ งเล่น MP3 แบบพกพา

ปัจจุบันมีการผลิตเคร่ืองเสียงระบบไฮไฟออกมารองรับการใช้งานของเครื่องเล่น MP3 แบบพกพา
สามารถนำไปเชื่อมต่อใช้งานร่วมกัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเครื่องเล่น MP3 แบบพกพา หรือใช้งาน
กับโทรศัพท์เคล่ือนท่ีได้ เคร่ืองเสียงระบบไฮไฟรองรับการใช้งานของเครื่องเล่น MP3 แบบพกพา และ
โทรศัพท์เคล่อื นที่

4. เคร่ืองเล่นเทป (Tape Player) เป็นเครื่องเล่นสัญญาณเสียงท่ีถูกเล่นกลับออกมาจากเทป
บันทึกเสียง ท่ีมีการบันทึกเสียงลงบนแทบเทปแม่เหล็กในรูปแท่งแม่เหล็กถาวรขนาดเล็กไว้ การบันทึก
สัญญาณเสียงลงบนแทบเทปแม่เหล็ก โดยการเหน่ียวนำสนามแม่เหล็กจากหัวบันทึกเสียง ไปเก็บไว้บนแทบเทป
แม่เหลก็ มขี ว้ั เหนือใตข้ องแท่งแม่เหลก็ ถาวรขนาดเล็กกลับขั้วไปมา ตามข้วั บวกลบของสัญญาณเสียงท่สี ง่ มาบนั ทึก

เครอื่ งเลน่ เทปปกติทำงานได้ 2 หน้าท่ี คอื หน้าทแี่ รกเปน็ เคร่ืองเลน่ เทป ทำการเปลยี่ นสัญญาณเสียงท่ี
ถูกเก็บไว้ในรูปสนามแม่เหล็กถาวรบนแทบเทป ให้กลับมาเป็นสัญญาณเสียงในรูปสัญญาณไฟฟ้า หน้าท่ีสองเป็น
เคร่ืองบันทกึ เสียง สามารถบันทึกสัญญาณเสียงในรปู สัญญาณ ไฟฟ้า เก็บไว้ในรูปสนามแมเ่ หล็กถาวรบนแทบเทป
เครอ่ื งเล่นเทป

5. เครอ่ื งกราฟิกอิควาไลเซอร์ (Graphic Equalizer) เป็นอุปกรณ์ช่วยปรับแต่งความถ่ีเสียง ต้ังแต่
ความถี่ต่ำไปถึงความถี่สูง โดยแบ่งช่วงการปรับแต่งย่านความถ่ีเสียงออกเป็นช่วงห่างเท่าๆ กันเป็นลำดับอย่าง
ตอ่ เน่ือง กราฟิกอิควาไลเซอร์ท่ีผลิตมาใช้งานแบ่งย่านความถ่ีเสียงเพ่ือปรับแต่งออกอย่างน้อยสุด 5 ย่าน และมาก
สุดถึง 31 ย่าน การแบ่งช่วงความถ่ีที่ปรับแต่งแบ่งออกโดยวิธีเพิ่มความถ่ีแบบทวีคูณเป็นจำนวนเท่า เช่น 1 เท่า 2
เทา่ 3 เท่า และ 4 เท่า เป็นตน้

ในแต่ละช่วงความถ่ีที่กำหนดไว้ในย่านปรับแต่ง ถูกเรียกว่า ออกเทฟ (Octave) เช่น ย่าน 1 ออกเทฟ หมายถึง
ระยะห่างของแถบความถี่เพิ่มข้ึนเป็น 21 เท่า หรือ 2 เทา่ และย่าน 2 ออกเทฟ หมายถงึ ระยะห่างของแถบความถี่
เพิ่มขึ้นเป็น 22 เท่า หรือ 4 เท่า เปน็ ต้น

การปรับแต่งเพ่ิมหรือลดความถ่ีเสียงแต่ละย่าน ปรับด้วยตัวต้านทานปรับเปลี่ยนค่าได้
(Potentiometer) แบบปรับเลื่อนขึ้นลง (Slide) ซึ่งสามารถปรับเพ่ิมหรือลดความดังของความถี่ เสียงในแต่ละ
ยา่ นได้ถึง  10 dB หรือมากกวา่ ตำแหน่งของตวั ต้านทานทถ่ี ูกปรบั แตง่ ใหเ้ ล่ือนข้ึนๆ ลงๆ ของแต่ละย่านความถี่
คลา้ ยรปู กราฟ จึงเรยี กช่อื อปุ กรณ์ชนดิ น้วี ่า กราฟกิ อิควาไลเซอร์ ลกั ษณะเครอ่ื งกราฟกิ อิควาไลเซอร์

6. เครื่องขยายเสียง (Amplifier) เป็นอปุ กรณ์ทำหน้าทีข่ ยายสัญญาณเสียงที่รับเข้ามาใหม้ ีความแรง
เพ่ิมมากข้ึน โดยมีคุณภาพของสัญญาณเสียงท่ีได้ออกมาคงเดิม เกิดความผิดเพี้ยนต่ำ และให้การตอบสนอง
ครอบคลุมย่านความถี่ทั้งหมด เครื่องขยายเสียงแต่ละแบบที่ผลิตขึ้นมาใช้งาน มีโครงสร้าง รูปร่างและคุณสมบัติ
แตกต่างกันไป ข้ึนอยู่กับความต้องการในการนำไปใช้งาน บางชนิดทำหน้าท่ีขยายสัญญาณเสียงเพียงอย่างเดียว
บางชนิดเพิ่มส่วนประกอบอื่นเข้าไปด้วย ช่วยปรับแต่งคุณภาพสัญญาณเสียงทุ้ม กลาง แหลม ให้มากขึ้นหรือ
นอ้ ยลงได้ตามความต้องการ นอกจากนัน้ แล้วส่วนประกอบภายในเคร่ืองก็แตกต่างกัน รวมถึงอัตราการขยายกำลัง
สัญญาณเสียงของเครื่องขยายเสียงแต่ละเคร่ืองท่ีผลิตข้ึนมาใช้งานมีค่ามากน้อยแตกต่างกันไป มีลักษณะ รูปแบบ
และปุม่ ปรบั แตง่ ต่างๆ ถูกจดั วางในตำแหน่งทีแ่ ตกตา่ งกัน เครอื่ งขยายเสียง

7. ลำโพง (Loudspeaker) เป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่เปล่ียนสัญญาณเสียงท่ีอยู่ในรปู สัญญาณ ไฟฟ้า ให้
กลับมาเป็นสัญญาณเสียงที่อยู่ในรูปอากาศเกิดการสั่นสะเทือน อัดตัวเข้าและขยายตัวออก เพื่อให้หูของคน
สามารถรบั รถู้ ึงสัญญาณเสียงทีส่ ่งมาได้ ลำโพงถือเป็นสว่ นสำคัญของการทำใหเ้ สียงสามารถเคลอ่ื นท่ไี ปตามอากาศ
ได้ไกลเพ่มิ ขึ้น รองรบั ความแรงของสัญญาณเสียงท่ีถูกเครื่องขยายเสียงส่งมาให้ และขบั สัญญาณเสียงออกมาให้มี
คณุ ภาพเสยี งเหมอื นต้นกำเนิด ไม่เกิดความผิดเพย้ี น

คุณภาพของลำโพงมีส่วนสำคัญต่อการตอบสนองความถ่ีเสียง ทำให้เสียงท่ีได้ออกมามีความชัดเจน
ทำงานครอบคลุมความถี่เสียงท้ังหมด มีคุณสมบัตเิ ป็นระบบไฮไฟ จึงทำให้การผลิตลำโพงมาใช้งานจะต้องคำนึงถึง
ความถ่ีเสียงท่ีลำโพงสามารถตอบสนองได้ ให้กำเนิดความถี่เสียงที่ต้องการออกมาได้ การผลิตลำโพงและตู้ลำโพง
มาใช้งานนบั ว่ามีส่วนสำคญั อย่างมากตอ่ คณุ ภาพของสัญญาณเสียงท่ีไดอ้ อกมา

ลำโพงถูกผลิตขึ้นมาใช้งานมีความแตกต่างกัน ทั้งรูปแบบ ชนิด และคุณสมบัติ ลำโพงที่นิยมผลิตมา
ใช้งานอย่างแพร่หลายแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือลำโพงเสียงทุ้ม (Woofer Loudspeaker) ลำโพงเสียงกลาง
(Midrange Loudspeaker) และลำโพงเสยี งแหลม (Tweeter Loudspeaker) ลำโพงพร้อมตูล้ ำโพง

2.4 คลาสการขยายสัญญาณเสยี ง
เคร่ืองขยายเสียงที่ดีจะต้องประกอบด้วยส่วนประกอบต่างๆ ที่ช่วยสนับสนุนให้สัญญาณ เสียงท่ีขยาย
ออกมามีคุณภาพดี ไม่ผิดเพ้ียน และให้การตอบสนองตอ่ ความถ่ไี ด้ดตี ลอดย่านความถ่ีเสียง ถือเป็นสิ่งสำคัญในการ
จัดการด้านการขยายสัญญาณเสียง วิศวกรและนักวิชาการด้านการออกแบบเครื่องเสียงและระบบเสียง ได้คิดค้น
และออกแบบวงจรขยายสัญญาณเสียงออกมา โดยกำหนดคุณลักษณะการขยายสัญญาณเสียงไว้เป็นระดับหรือ
คลาส (Class) ของการขยายเสียง กำหนดไว้ในรูปคุณสมบัติการขยายสัญญาณหลายลักษณะแตกต่างกัน คลาส
การขยายสัญญาณ เสียงถูกคิดค้นออกมาใช้งานมากมาย แต่คลาสมาตรฐานท่ีถูกนำไปใช้งานอย่างกว้างขวางและ
แพร่หลายแบง่ ออกไดเ้ ป็น 5 คลาส ได้แก่ คลาส A คลาส B คลาส AB คลาส C และคลาส D
คลาสการขยายสัญญาณเสียงที่กำหนดไว้ จากเดิมได้จัดวงจรขยายสัญญาณเสียงไว้ในรูปแบบเดียวกัน
โดยมีวงจรทำงานในลกั ษณะการขยายสญั ญาณแบบแอนะล็อก (Analog Signal Amplifier) ทง้ั หมด ทำการขยาย
สัญญาณเสียงในรูปคล่ืนไซน์ ไม่มีการเปล่ียนแปลงรูปสัญญาณ เสียงตั้งแต่ทางเข้าถึงทางออก จัดแบ่งคลาสการ
ขยายในลักษณะน้ีออกเป็น 4 คลาสด้วยกัน คือ คลาส A คลาส B คลาส AB และคลาส C เป็นการจัดคลาสการ
ขยายสัญญาณเสียงจากการกำหนดจุดทำงาน (Operating Point) ของอุปกรณ์ขยายเสียงหลักในภาคขยายกำลัง
โดยกำหนดให้มีจุดทำงานท่ีแตกต่างกันไป ได้สัญญาณเสียงที่ถูกขยายออกมาแตกต่างกัน มีทั้งสัญญาณเสียง
ผดิ เพี้ยนไปและไม่ผิดเพี้ยน วงจรขยายเสียงมีประสิทธภิ าพในการขยายสัญญาณเสียงแตกตา่ งกันไปตามคลาสการ
ขยายท่ีกำหนดไว้ ได้สัญญาณเสียงแบบแอนะล็อกต้งั แตเ่ ริ่มตน้ ทำงานจนถึงส่งออก

ได้มีการออกแบบพัฒนาวงจรขยายเสียงแบบใหม่ โดยนำสัญญาณเสียงมาทำการขยายในรูปแบบ
สัญญาณดิจทิ ัล กำหนดเพมิ่ คลาสการขยายสัญญาณเสยี งแบบใหม่เรยี กว่าคลาส D ขึ้นมาใหม่ นิยมนำไปใช้งานใน
ดา้ นการขยายสัญญาณเสียงอย่างกว้างขวางและแพร่หลาย เนื่องจากข้อดีของคลาส D หลายประการ ดังนี้ มีการ
ใช้กระแสไฟฟ้าในการทำงานจากแหล่งจ่ายน้อยลง ช่วยให้การออกแบบแหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้าทำได้ง่ายข้ึน มีค่า
ความร้อนเกิดข้ึนค่อยข้างต่ำ ทำให้ความต้องการใช้แผ่นระบายความร้อน (Heat Sink) มีขนาดเล็กลง ส่งผลต่อ
ราคาของเคร่อื งขยายเสียงถูกลง ไดส้ ัญญาณเสียงออกมาคุณภาพดี และเกดิ ประสิทธภิ าพในการทำงานสูง

การจดั วงจรขยายสญั ญาณเสียงคลาส D มีรูปแบบวงจรแตกตา่ งไปจากการจัดวงจรขยายสัญญาณเสยี ง
ท้ัง 4 คลาสแบบแอนะล็อกโดยสิ้นเชิง วงจรขยายเสียงคลาส D อาศัยการทำงานผสมผสานระหว่างสัญญาณแอ
นะล็อกร่วมกับสัญญาณดิจิทัล เป็นการขยายสัญญาณเสียงแบบสวิตชิง (Switching Amplifier) ด้วยการแปลง
สัญญาณเสียงจากสัญญาณแอนะล็อกให้เป็นสัญญาณ เสียงในรูปสัญญาณดิจิทัล อยู่ในรูปสัญญาณคล่ืนพัลส์ ทำ
การขยายสัญญาณคล่ืนพัลส์ให้แรงท่ีสุดในภาคขยายกำลัง จากน้ันจึงแปลงสัญญาณเสียงในรูปสัญญาณคล่ืนพัลส์
กลับมาเป็นสัญญาณ เสียงในรูปสัญญาณแอนะล็อกตามเดิม ก่อนส่งไปขับลำโพงให้เกิดเสียงในรูปอากาศ
ส่ันสะเทือน

2.4.1 การขยายสัญญาณเสียงคลาส A
การขยายสัญญาณเสียงคลาส A (Class A Amplifier) เป็นการขยายสัญญาณเสียงที่มีจุด

ทำงานหรือจุด Q (Q Point) ของวงจรขยายเสียงอยู่ในช่วงกึ่งกลางการทำงานของอุปกรณ์ที่ทำงานเป็นเชิงเส้น
(Linear) คือวงจรขยายเสียงทำงานอยู่ตลอดเวลาถึงแม้ไม่มีสัญญาณเสียงป้อนเข้ามาก็ตาม นั่นคือวงจรขยายเสียง
พร้อมทำงานตลอดเวลา สามารถทำการขยายเสียงได้ท้ังสัญญาณเสียงช่วงบวก (+) และสัญญาณเสียงชว่ งลบ (–)
สัญญาณเสียงท่ีถูกขยายออกมา มีรูปร่างสัญญาณเสียงเหมือนสัญญาณเสียงเดิมที่ป้อนเข้ามาโดยไม่ผิดเพ้ียน
หลักการขยายสญั ญาณเสียงคลาส A แสดงดังรูปที่ 2.4

รปู ที่ 2.4 หลกั การขยายสัญญาณเสียงคลาส A

2.4.2 การขยายสัญญาณเสียงคลาส B
การขยายสัญญาณเสียงคลาส B (Class B Amplifier) เป็นการขยายสัญญาณเสียงท่ีมีจุด

ทำงาน (Q) อยู่ที่จุดคัตออฟ (Cutoff Point) หรือจุดหยุดทำงานพอดีของวงจรขยายเสียง ในอุปกรณ์ท่ีทำงานเป็น
เชิงเส้น คือวงจรขยายเสียงจะไม่ทำงานในขณะท่ีไม่มีสัญญาณเสียงถูกป้อนเข้ามา เมื่อมีสัญญาณเสียงป้อนเข้ามา
วงจรขยายเสียงจะทำการขยายสัญญาณเสียงเพียงซีกใดซีกหน่ึงเท่าน้ัน สัญญาณเสียงอีกซีกที่เหลือจะถูกตัดท้ิง
ออกไป เป็นดังน้ี ขยายสัญญาณเสียงซีกบวก (+) สญั ญาณเสียงซกี ลบ (–) จะถูกตดั ทิ้ง หรือขยายสัญญาณเสียงซีก
ลบ (–) สัญญาณเสียงซีกบวก (+) จะถูกตัดทิ้ง สัญญาณเสียงท่ีขยายออกมามีรูปร่างสัญญาณผิดเพ้ียนไปจาก
สัญญาณเดิมที่ป้อนเข้ามา การจัดวงจรขยายชนิดนี้จะต้อง จัดให้มีการขยายสัญญาณเสียงในแต่ละซีกให้ครบท้ัง
สองซีก นำวงจรขยายทั้งสองมาต่อให้ทำงานร่วมกันจึงจะได้สัญญาณเสียงส่งออกมาครบท้ังสองซีก หลักการ
ขยายสญั ญาณเสยี งคลาส B

แสดงดังรปู ที่ 2.5

รปู ท่ี 2.5 หลักการขยายสัญญาณเสยี งคลาส B

2.4.3 การขยายสัญญาณเสียงคลาส AB
การขยายสัญญาณเสียงคลาส AB (Class AB Amplifier) เป็นการขยายสญั ญาณ เสียงที่มีจุด

ทำงาน (Q) ของวงจรขยายเสียงอยู่สูงกว่าจุดคัตออฟของวงจรขยายเสียงเล็กน้อย ในอุปกรณ์ที่ทำงานเป็นเชิงเส้น
คือวงจรขยายเสียงจะทำงานตลอดเวลากับสัญญาณเสียงซีกใดซีกหน่ึงทั้งซีก ส่วนสัญญาณเสียงอีกซีกท่ีเหลือ
วงจรขยายจะทำงานได้เพียงบางส่วนของสัญญาณเสียงเท่าน้ัน เป็นดังน้ี ทำงานที่สัญญาณเสียงซีกบวก (+) ท้ังซีก
สญั ญาณเสยี งซีกลบ (–) ทำงานได้ท่สี ่วนสัญญาณเสยี งเริ่มต้นบางส่วน หรือทำงานที่สญั ญาณเสยี งซีกลบ (–) ท้ังซีก
สัญญาณเสียงซีกบวก (+) ทำงานได้ท่ีส่วนสัญญาณเสียงเริ่มต้นบางส่วน สัญญาณเสียงท่ีถูกขยายออกมามีรูปร่าง
สัญญาณผิดเพ้ียนไปจากสัญญาณเดิมท่ีป้อนเข้ามา การจัดวงจรขยายชนิดน้ีต้องจัดให้เกิดการขยายสัญญาณเสียง
ในแต่ละซีกให้ครบท้ังสองซีก นำวงจรขยายท้ังสองซีกมาต่อให้ทำงานร่วมกันจึงจะได้สัญญาณเสียงส่งออกมาครบ
ทั้งสองซกี หลกั การขยายสัญญาณเสียงคลาส AB แสดงดงั รูปท่ี 2.6

รปู ที่ 2.6 หลกั การขยายสัญญาณเสียงคลาส AB

2.4.4 การขยายสัญญาณเสียงคลาส C
การขยายสัญญาณเสียงคลาส C (Class C Amplifier) เป็นการขยายสัญญาณเสียงท่ีมีจุด

ทำงาน (Q) ของวงจรขยายเสียงอยู่ต่ำกว่าจุดคัตออฟของวงจรขยายเสียงเล็กน้อย ในอุปกรณ์ท่ีทำงานเป็นเชิงเส้น
คือวงจรขยายเสียงจะไม่ทำงานในขณะท่ีไม่มีสัญญาณเสียงถูกป้อนเข้ามา เม่ือมีสัญญาณเสียงป้อนเข้ามา
วงจรขยายเสียงจะทำการขยายสัญญาณเสียงเพียงบางส่วนของสัญญาณเสียงซีกใดซีกหนึ่ งเท่านั้น ส่วน
สัญญาณเสียงอีกซีกที่เหลือจะไม่ทำงานเลย เป็นดังนี้ เม่ือทำงานที่สัญญาณเสียงซีกบวก (+) บางส่วน
สญั ญาณเสียงซีกลบ (–) จะไมท่ ำงาน หรือทำงานทสี่ ัญญาณเสียงซีกลบ (–) บางส่วน สัญญาณเสียงซีกบวก (+) จะ
ไม่ทำงาน สัญญาณเสียงที่ถูกขยายออกมามีความผิดเพี้ยนสูงมาก ทำให้วงจรขยายชนิดน้ีไม่นิยมนำไปใช้งานใน
วงจรขยายเสียง แต่นิยมนำไปใช้ในวงจรขยายกำลังของเครอ่ื งส่งวิทยุ หรือใช้ในวงจรแยกสัญญาณซิงก์ ใช้ในวงจร
เครื่องรับโทรทัศน์ เปน็ ตน้ หลกั การขยายสญั ญาณเสยี งคลาส C แสดงดงั รูปท่ี 2.7

รูปที่ 2.7 หลักการขยายสญั ญาณเสยี งคลาส C

2.4.4 การขยายสัญญาณเสียงคลาส D
การขยายสัญญาณเสียงคลาส D (Class D Amplifier) เป็นการขยายสัญญาณเสียงท่ีมีการ

ทำงานของวงจรขยายเสียงแตกต่างออกไปจากหลักการทำงานของวงจรขยายแบบเดิมโดยสิ้นเชิง ด้วยการนำ
หลักการทำงานของการขยายสัญญาณเสียงแบบแอนะล็อกมาทำงานร่วมกับการขยายสัญญาณเสียงแบบดิจิทัล
สัญญาณเสียงท่ีอยู่ในรูปคล่ืนไซน์จะถูกเปลี่ยนไปเป็นสัญญาณ เสียงในรูปคล่ืนพัลส์ความถี่สูง นำคล่ืนพัลส์ความถี่
สูงไปขยายสัญญาณให้แรงมากที่สุดก่อนแปลงกลับมาเป็นสัญญาณเสียงในรูปคลื่นไซน์ตามเดิม หลักการขยาย
สัญญาณเสยี งคลาส D แสดงดงั รูปท่ี 2.8

รปู ที่ 2.7 หลักการขยายสัญญาณเสยี งคลาส D

จากรูปที่ 2.7 แสดงหลักการขยายสัญญาณเสียงคลาส D สัญญาณเสียงคล่ืนไซน์ผ่านวงจร
กำเนิดสัญญาณเสียงมา ส่งผ่านไปเข้าวงจรผสมคล่ืนแบบความกว้างพัลส์ (Pulse Width Modulation ; PWM)
ผสมสัญญาณเสียงด้วยคล่ืนสามเหลี่ยม ไดส้ ัญญาณส่งออกมาเป็นสัญญาณพัลส์ท่ีมีความกว้างพัลส์เปล่ยี นแปลงไป
ตามสัญญาณเสียงคล่ืนไซน์ ส่งผ่านสัญญาณพัลสท์ ี่ได้ไปเข้าวงจรขยายเสียงคลาส D ขยายสัญญาณพัลส์ให้มคี วาม
แรงสัญญาณมากท่ีสดุ ส่ง ผ่านไปเขา้ วงจรกรองความถต่ี ่ำผ่าน (Low Pass Filter ; LPF) เปลีย่ นสัญญาณคล่ืนพัลส์
กลับมาเป็นสญั ญาณเสียงคลน่ื ไซน์ สง่ ต่อไปขับลำโพงให้เกดิ คล่ืนเสยี งออกมา

2.5 บลอ็ กไดอะแกรมโครงสร้างเครื่องขยายเสียง
จากที่ทราบแล้วว่าเคร่ืองขยายเสียง เป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่เพิ่มความดังของสัญญาณเสียง โดย

กำหนดการทำงานด้วยอตั ราการขยายเสียงให้มคี วามแรงมากข้ึน พร้อมทั้งเพ่ิมคณุ ภาพเสียง ใหส้ ามารถตอบสนอง
ความต้องการของผู้ฟังแต่ละคนได้ ความดังของสัญญาณเสียงท่ีได้ออกมาต้องมีคุณภาพดี มีเสียงชัดเจน ไม่เกิด
ความผิดเพี้ยน มีระดับความดังเสียงทุกความถี่ใกล้เคียงกัน และสามารถให้การตอบสนองต่อความถ่ีเสียงได้ทุก
ความถ่ี ครอบคลมุ ย่านความถเ่ี สยี งทั้งหมด

เครื่องขยายเสียงท่ีผลิตขึ้นมาใช้งาน ในแต่ละเคร่ืองจะประกอบข้ึนด้วยวงจรส่วนต่างๆ หลายส่วนต่อ
วงจรเข้าด้วยกัน ในแต่ละส่วนมีหน้าที่ในการทำงานแตกต่างกันไป ช่วยส่งเสริมให้เคร่ืองขยายเสียงมีคุณภาพและ
ประสิทธิภาพของสัญญาณเสียงดีย่ิงข้ึน สามารถทำงานตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ บล็อกไดอะแกรม
โครงสร้างเครอื่ งขยายเสียง แสดงดังรูปท่ี 2.8

รปู ที่ 2.8 บลอ็ กไดอะแกรมโครงสร้างเครื่องขยายเสยี ง

จากรูปท่ี 2.18 แสดงบล็อกไดอะแกรมโครงสร้างเคร่ืองขยายเสียงท้ังระบบ ประกอบด้วยส่วนท่ี
เกย่ี วขอ้ งหลายสว่ น ทำงานอย่างตอ่ เนื่องสมั พันธ์กัน ช่วยควบคุมให้การทำงานของเคร่ืองขยายเสยี งมีความถูกต้อง

สมบูรณ์ ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้มากที่สุด โครงสร้างเครื่องขยายเสียงมีส่วนประกอบแต่ละภาค
ทำงานร่วมกัน หน้าทก่ี ารทำงานเป็นดังนี้

1. ขั้วต่ออินพุต (Input Connector) เป็นขั้วต่อใช้ต่อรับสัญญาณเสียงจากแหล่งกำเนิดเสียงชนิด
ต่างๆ เข้ามา เช่น ขั้วต่อเคร่ืองรับวิทยุ (Tuner) ขั้วต่อเครื่องเล่น DVD ข้ัวต่อไมโครโฟน (Mic) ขั้วต่อโฟโน
(Phono) และขั้วต่อออกซิเลียรี (Aux) เป็นต้น ข้ัวต่อแต่ละข้ัวจะมีความแรงของสัญญาณเสียงถูกป้อนเข้ามา
แตกต่างกันไป ถูกส่งผ่านไปเข้า สวิตช์เลือก (Selector Switch) เพ่ือเลือกสัญญาณเสียงอินพุตที่ต้องการเพียง
อินพตุ เดียว ปอ้ นผ่านไปเขา้ เครอ่ื งขยายเสยี ง

2. ภาคชดเชยความถ่ี (Equalizer) เป็นภาคทำหน้าท่ีชดเชยความถ่ีเสียงบางความถ่ีที่สูญเสียไปให้
กลับคืนมา หรือลดทอนความถี่บางความถี่ที่มากเกินไปให้น้อยลง ช่วยกำจัดสัญญาณรบกวนที่เกิดข้ึน ทำให้ได้
คุณภาพเสียงสมบูรณ์ก่อนส่งต่อไป วงจรชดเชยความถ่ีเสียงในภาคนี้เป็นแบบกำหนดค่าตายตัว ตามตำแหน่ง
อนิ พุตทปี่ อ้ นเขา้ มา

3. ภาคขยายภาคตน้ (Preamplifier) เป็นภาคทำหน้าท่ีขยายสญั ญาณเสยี งทีร่ ับเข้ามาจากอนิ พตุ ทม่ี ี
ระดับความแรงสัญญาณเสียงต่ำ ให้มีค่าความแรงสัญญาณมากข้ึนแบบไม่ผิดเพ้ียน และควบคุมอัตราการขยาย
เสยี งใหท้ ุกอนิ พุตมรี ะดับความแรงสญั ญาณเสยี งส่งออกใกล้เคียงกัน

4. ภาคควบคุมเร่งลดความดัง (Volume Control) เป็นภาคทำหน้าท่ีปรับระดับความดัง
สัญญาณเสยี งให้ส่งออกมีค่ามากขึ้นหรือน้อยลง ปรับคา่ ได้ตามความตอ้ งการของผู้ใชง้ านแตล่ ะคน

5. ภาคควบคุมเสียงทุ้มแหลม (Tone Control) เป็นภาคทำหน้าที่ปรับควบคุมความแรงของ
สัญญาณเสียงความถ่ีต่ำ เสียงทุ้ม (Bass) อยู่ในช่วงความถี่เสียงประมาณ 20 Hz ถึง 1 kHz ความถี่กลาง เสียง
กลาง (Middle) อยู่ในช่วงความถ่ีเสียงประมาณ 400 Hz ถึง 5 kHz และความถ่ีสูง เสียงแหลม (Treble) อยู่
ในชว่ งความถเ่ี สยี งประมาณ 2 kHz ถงึ 20 kHz ใหไ้ ดค้ ณุ ภาพของเสียงออกมาตามความต้องการของผ้ปู รบั แตง่

6. ภาคควบคุมเสียงแบบกราฟ (Graphic Equalizer Control) เป็นภาคทำหน้าท่ีช่วยในการ
ปรับแต่งย่านความถ่เี สียงที่ส่งออกมา ตั้งแต่ความถี่ต่ำไปถึงความถสี่ ูง โดยแบ่งความถ่ีเสียงท่ีจะปรับแต่งออกเป็น
ย่านความถ่ีห่างเท่ากันเรียงเป็นลำดับอย่างต่อเนื่อง การแบ่งช่วงความถี่เสียงข้ึนอยู่กับจำนวนย่านที่ต้องการให้
สามารถปรับแต่งได้ เช่น 5 ยา่ น 10 ย่าน 15 ย่าน และ 31 ย่าน เปน็ ตน้

7. ภาคขับกำลัง (Driver Amplifier) เป็นภาคทำหน้าที่ช่วยขยายสัญญาณเสียงท่ีส่งเข้ามา ให้มี
ระดบั ความแรงสัญญาณเสียงเพิ่มมากขน้ึ คงท่ีระดับหนึ่ง โดยสญั ญาณเสยี งที่ขยายออกมาต้องมีคุณภาพของเสียงดี
ไมเ่ กดิ ความผดิ เพี้ยน

8. ภาคขยายกำลัง (Power Amplifier) เป็นภาคทำหน้าท่ีช่วยขยายสัญญาณเสียงเพ่ิมมากขึ้นคงท่ี
อีกระดับหนงึ่ เปน็ ครั้งสุดท้าย โดยรับสัญญาณเสยี งเขา้ มาจากภาคขับกำลัง มาทำการขยายสัญญาณเสียงใหม้ รี ะดับ
ความแรงเพ่ิมขึ้นมากท่ีสุด โดยสัญญาณเสียงที่ได้ออกมายังคงมีคุณภาพเสียงดีไม่เกิดความผิดเพ้ียน ส่งต่อ
สญั ญาณเสียงไปขับลำโพงใหเ้ กดิ เสียงดังออกมา

เคร่ืองขยายเสียงที่มีคุณภาพดีแต่ละเคร่ือง จะต้องมีรายละเอียดต่างๆ ของเครื่องขยายเสียง
(Amplifier Specification) เคร่ืองนั้นๆ แสดงค่าบอกไว้ พรอ้ มท้ังมีกราฟแสดงคุณสมบัติในการตอบสนองความถ่ี
ของเครื่องขยายเสียงบอกไว้ด้วย ช่วยให้สามารถพิจารณาได้ว่าเคร่ืองขยายเสียงเครื่องนั้น มีข้อดีและข้อด้อย
อะไรบ้าง มีกำลังขยายเท่าไร สามารถเพิ่มลดของเสียงทุ้มและเสียงแหลมมากน้อยเพียงไร และมีความผิดเพ้ียน
ของสัญญาณเสียงท่ีถูกขยายเป็นอย่างไร ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของเครื่องขยายเสียง ผู้ท่ีเก่ียวข้อง
และมคี วามจำเปน็ ตอ้ งใช้งานสมควรจะตอ้ งทราบไวเ้ ป็นเบ้ืองต้น


Click to View FlipBook Version