The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by suradet, 2022-08-16 02:43:45

แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาฟิสิกส์ 1 (1/65)

แผนการจัดการเรยี นรู้

รายวชิ า ว31201 ฟิสิกส์ 1

ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4

ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565

นางสาวนิปทั มา นเิ ฮง

ตาแหนง่ ครู

กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ จังหวดั ปตั ตานี
สานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษาปตั ตานี



แผนการจดั การเรยี นรู้

รายวิชาเพม่ิ เตมิ ว31201 ฟสิ กิ ส์ 1
ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 4

จดั ทำโดย
นางสาวนิปทั มา นิเฮง

ตำแหนง่ ครู

กลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ จังหวัดปตั ตานี

สำนักงานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา ปัตตานี

คำนำ

แผนการจัดการเรียนรู้รายวชิ า ว31201 ฟิสกิ ส์ 1 ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 เล่มนจ้ี ัดทำข้นึ เพื่อใช้เป็นคมู่ ือ
ประกอบการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนในรายวิชาฟสิ ิกส์เพ่มิ เติม ประจำภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565
โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ จงั หวัดปตั ตานี ของผ้เู ขยี น ทง้ั นเ้ี พื่อใหบ้ รรลผุ ลการเรียนรตู้ ามสาระหลกั สตู รกลุ่มสาระ
การเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนเบญจมราชทู ิศ จังหวัดปัตตานี ตามหลักสตู รการศึกษาขั้น
พื้นฐานพทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ซง่ึ ประกอบดว้ ย 3 หน่วยการเรียนรู้ ได้แก่ ธรรมชาติ
ของฟสิ กิ ส์ การเคล่อื นที่แนวตรง แรง มวลและกฎการเคล่ือนทขี่ องนวิ ตัน รวม 80 ช่วั โมง ท้งั นผี้ เู้ ขียนได้ปรับ
ให้สอดคล้องกับสภาพท่ีแทจ้ ริง และยืดหย่นุ เวลาตามความเหมาะสม

ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า แผนการจัดการเรียนรู้เล่มนี้จะมีประโยชน์ต่อครูผู้สอนและผู้ที่ต้องการ
ศึกษาเพื่อใช้ในการเตรียมการจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดเวลาในการเตรียมการ
การจัดการเรียนรู้ของครู และช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตามผลการเรีย นรู้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น

อนึ่งแผนการจัดการเรียนรู้เล่มนีย้ ังมีข้อผิดพลาด บกพร่องหลายประการ หากมีข้อเสนอแนะประการ
ใดผู้เขยี นยนิ ดีทจ่ี ะพิจารณาเสมอ และปรับปรงุ ให้ดขี ึ้นในโอกาสต่อไป

...................................
(นางสาวนิปทั มา นิเฮง)
ครูผูเ้ ขยี นแผนการจดั การเรียนรู้

สารบญั หนา้

เรอ่ื ง 1
7
แผนการเรียนรู้ท่ี 1 ธรรมชาติทางฟสิ ิกส์ 15
แผนการเรียนรู้ท่ี 2 การวัดและรายงานผลการวัดปริมาณทางฟสิ ิกส์ 22
แผนการเรยี นรทู้ ี่ 3 การทดลองทางฟิสิกส์ 27
แผนการเรียนรทู้ ี่ 4 ตำแหนง่ 32
แผนการเรียนรทู้ ี่ 5 การกระจัดและระยะทาง 38
แผนการเรยี นรทู้ ่ี 6 อัตราเรว็ และความเร็ว 44
แผนการเรียนรู้ท่ี 7 อัตราเรง่ และความเร่ง 51
แผนการเรยี นรทู้ ี่ 8 กราฟของการเคล่ือนทีแ่ นวตรง 58
แผนการเรียนรู้ที่ 9 สมการสำหรบั การเคล่อื นท่ีแนวตรง 64
แผนการเรียนรทู้ ี่ 10 การตกแบบเสรี 71
แผนการเรยี นรู้ท่ี 11 แรง 76
แผนการเรียนรู้ท่ี 12 การหาแรงลพั ธ์ (ทดลอง) 81
แผนการเรียนรู้ท่ี 13 การหาแรงลัพธ์ (คำนวณ) 88
แผนการเรียนรู้ท่ี 14 มวล แรง และกฎการเคลื่อนท่ี (ทดลอง) 95
แผนการเรียนรทู้ ี่ 15 มวล แรง และกฎการเคลอ่ื นท่ี (คำนวณ) 102
แผนการเรยี นรทู้ ี่ 16 แรงเสียดทาน 107
แผนการเรยี นรู้ท่ี 17 แรงดึงดูดระหวา่ งมวล 112
แผนการเรียนรู้ท่ี 18 การประยกุ ตใ์ ชก้ ฎการเคลือ่ นที่
ภาคผนวก

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1

ธรรมชาติและพฒั นาการทางฟสิ กิ ส์

เรือ่ ง ธรรมชาตแิ ละพฒั นาการทางฟสิ กิ ส์

❑ ธรรมชาตทิ างฟิสกิ ส์
❑ การวดั และรายงานผลการวดั ปรมิ าณทางฟิสกิ ส์
❑ การทดลองทางฟสิ กิ ส์

เอกสารประกอบการเรยี นบทที่ 1

โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ จังหวดั ปตั ตานี

1

แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 1

โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ จังหวัดปัตตานี กลุม่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์

วชิ า ว 31201 ฟิสกิ ส์ 1 ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4

หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 1 ช่อื หน่วย : ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟสิ ิกส์

เรอื่ ง ธรรมชาตทิ างฟสิ กิ ส์ จำนวน 2 ชั่วโมง

1. สาระ/มาตรฐานการเรียนร/ู้ ผลการเรียนรู้/ตัวช้วี ดั
มาตรฐานการเรียนรู้
เข้าใจธรรมชาตทิ างฟิสกิ ส์ ปริมาณและกระบวนการวดั การเคล่ือนท่ีแนวตรง แรงและกฎการเคลื่อนท่ีของ

นวิ ตนั กฎความโนม้ ถ่วงสากล แรงเสียดทาน สมดุลกลของวัตถุ งาน และกฎการอนรุ ักษ์พลงั งานกล โมเมนตมั และ
กฎการอนรุ ักษ์โมเมนตมั การเคล่ือนที่แนวโค้ง รวมทั้งนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ตัวชว้ี ดั /ผลการเรียนรู้
1. สืบคน้ และอธิบายการคน้ หาความรู้ทางฟิสิกส์ ประวัตคิ วามเปน็ มา รวมทัง้ พัฒนาการของหลักการและ
แนวคดิ ทางฟิสิกส์ทม่ี ีผลตอ่ การแสวงหาความรูใ้ หมแ่ ละการพฒั นาเทคโนโลยี

2. สาระสำคญั (ความคิดรวบยอด)
ฟิสิกส์เป็นวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพสาขาหนึ่งที่เน้นการศึกษาเชิงปริมาณ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์เชิงปฏิบัติ

ทฤษฎี หรือกฎ หรือหลักการฟิสิกส์ได้มาจากการทดลองและการสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติ แล้วพยายามหา
รูปแบบและหลักการท่ีเกี่ยวข้องกับปรากฏการณน์ ้ัน ๆ จนเป็นท่ียอมรับและใชก้ ันอยา่ งกวา้ งขวาง เพื่อนำไปสูก่ าร
สรา้ งสิง่ ใหม่ ๆ มาชว่ ยในการแก้ปัญหา การสรา้ งเครือ่ งอำนวยความสะดวก ท่ีเรียกว่า เทคโนโลยี

3. สาระการเรยี นรู้
ฟิสิกส์เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับสสาร พลังงาน อันตรกิริยาระหว่างสสารกับพลังงาน

และแรงพน้ื ฐานในธรรมชาติ
การค้นควา้ หาความรู้ทางฟิสิกส์ไดม้ าจากการสังเกต การทดลอง และเกบ็ รวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์ หรือ

จากการสร้างแบบจำลองทางความคิด เพื่อสรุปเป็นทฤษฎี หลักการหรือกฎ ความรู้เหลา่ นีส้ ามารถนำไปใช้อธิบาย
ปรากฏการณธ์ รรมชาติ หรอื ทำนายส่ิงท่ีอาจจะเกดิ ขึ้นในอนาคต

ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของหลักการและแนวคิดทางฟิสิกส์เป็นพื้นฐานในการแสวงหาความรู้
ใหม่เพิ่มเติม รวมถึงการพัฒนา และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกม็ ีส่วนในการค้นหาความรู้ใหม่ทางวทิ ยาศาสตร์
ดว้ ย

4. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. ความรู้ (K)
อธบิ ายเกยี่ วกับธรรมชาติวิชาฟสิ กิ ส์ และสาขาความรู้ของวิชาฟสิ กิ สไ์ ด้

2

2. ทกั ษะ/กระบวนการ (P)

แสดงการบนั ทึกปริมาณทม่ี ีค่ามากหรือนอ้ ย พรอ้ มยกตวั อยา่ งการพัฒนาการของหลักการและแนวคดิ

ทางฟสิ ิกส์ได้

3. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)

เห็นคุณประโยชน์ของการเรียนวิชาฟิสิกส์ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และ

เทคโนโลยที ่ใี ช้ในชวี ติ ประจำวัน

คุณลักษณะอันพึงประสงคต์ ามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั

ปรับปรงุ 2560)

 มีวินัย  ใฝเ่ รียนรู้  ม่งุ มั่นในการทำงาน

คณุ ลกั ษณะของผ้เู รยี นตามหลักสูตรมาตรฐานสากล

 เป็นเลิศวชิ าการ  ล้ำหน้าทางความคิด

5. จุดเน้นสกู่ ารพัฒนาคุณภาพผูเ้ รยี น
ความสามารถและทักษะผเู้ รยี นในศตวรรษที่ 21 ( 3Rs 8Cs 2Ls )
1. ทกั ษะในสาระวิชาหลัก (3Rs)
1.1  Reading (อ่าน) 1.2  (W)Riting (เขยี น) 1.3  (A)Rithemetics (คณิตฯ)
2. ทกั ษะการเรียนร้แู ละนวตั กรรม (8Cs)
2.1  Critical Thinking and Problem Solving (การคิดวิจารณญาณ และแกป้ ญั หา)
2.4  Collaboration, Teamwork and Leadership (การทำงานเป็นทีม ภาวะผู้นำ)
2.8  Compassion (คุณธรรม เมตตา กรณุ า ระเบยี บวินยั )
3. ทกั ษะการเรียนรู้และภาวะผู้นำ (2Ls)
3.1  Learning (ทกั ษะการเรียนร)ู้ 3.2  Leadership (ภาวะผู้นำและความรับผดิ ชอบ)

6. การบรู ณาการตามพระราชบัญญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ ( เฉพาะท่ีเกดิ ในแผนการจดั การเรียนรู้ )
บรู ณาการกบั คา่ นยิ ม 12 ประการ
 2. ซอ่ื สตั ย์ เสียสละ อดทน มีอดุ มการณใ์ นสิง่ ที่ดงี ามเพ่ือสว่ นรวม
 4. ใฝ่หาความรู้ หม่นั ศึกษาเล่าเรียนท้ังทางตรงและทางอ้อม
 9. มสี ติรู้ตัว รคู้ ดิ รูท้ ำ

7. ภาระงาน / ช้ินงาน
ภาระงาน - ศึกษาใบความรู้ ปฏิบัตกิ จิ กรรมในแบบฝึกหัด

8. กจิ กรรมการเรียนรู้
1. ขน้ั สร้างความสนใจ
1.1 นกั เรียนและครรู ่วมสนทนา เกี่ยวกบั เรอ่ื ง วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี คอื อะไร

3

(คำตอบเป็นแบบปลายเปิด)
1.2 ครูเปิดประเด็นและชักชวนนักเรียนให้ร่วมกันอภิปราย โดยใช้คำถามเกี่ยวกับการเกิด

ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า แผ่นดินไหว และภูเขาไฟระเบิด ว่าส่ิง
เหล่าน้ีเกิดจากสาเหตุใด (คำตอบเปน็ แบบปลายเปดิ )
1.3 ครูถามคำถามว่า ฟสิ กิ ส์ คืออะไร และเกยี่ วข้องกับชวี ิตประจำวันของนักเรียนได้อย่างไร
(แนวคำตอบ : ฟิสิกส์ (Physics) เป็นศาสตร์วิชาที่ว่าด้วยกฎเกณฑ์หรือปรากฏการทางธรรมชาติ
ของสิ่งที่ไม่มีชีวิต ที่จะมุ่งเน้นศึกษาในเรื่องอันตรกิริยา (interaction) ระหว่างอนุภาคของสสาร
และพลังงานซ่งึ ฟิสิกส์เป็นวทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ และเก่ยี วขอ้ งกบั ชีวติ ประจำวนั อยมู่ ากมายหลาย
ด้าน เช่น การนำความรู้ทางฟิสิกส์ไปประยุกต์ในด้านการแพทย์ เช่น การใช้รังสีเอกซ์ เครื่องวัด
ความดันโลหิต การประยุกต์ในดา้ นเคมี ฟสิ ิกสช์ ่วยให้เขา้ ใจปฏิกริ ยิ าในระดับโมเลกุลและอะตอม
โดยอาศยั ความร้พู น้ื ฐานด้านฟิสิกส์อะตอมและฟสิ ิกส์นิวเคลยี ร์ รวมถึงอธบิ ายการเกิดพนั ธะเคมี)
2. ขน้ั สำรวจและคน้ หา
2.1 ครูให้นักเรียนทำกิจกรรม กล่องปริศนา เพื่อกระตุ้น ความสนใจและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ
ธรรมชาติของฟิสิกส์มากยิ่งขึ้น โดยมีกล่องปริศนาทั้งหมด 6 กล่อง เป็นกล่องโลหะที่ปิดผนึกไม่
สามารถเปิดออกได้ ภายในบรรจวุ ัตถุท่ีแตกตา่ งกันกลอ่ งละ 1 ชิ้น คือ ลวดเสียบกระดาษ ลูกแก้ว
ลูกเต๋า ไมจ้ ม้ิ ฟนั ถุงชา ถุงทราย
2.2 ครูแบ่งนักเรียนออกเป็น 6 กลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มมาเลือกกล่องปริศนากลุ่มละ 1 กล่อง และให้
นักเรียนแต่ละกลุ่มอภิปรายร่วมกันเพื่อหาวิธีการที่จะบอกว่าวัตถุที่อยู่ข้างในกล่องปริศนาคือ
อะไรโดยไมเ่ ปิดกลอ่ งโลหะ เช่น การยกเพอ่ื เปรยี บเทยี บน้ำาหนกั ของวตั ถุ การเขยา่ เพื่อฟงั เสียง
ที่วัตถุกระทบกับกล่องโลหะ การพลิกกลับไปกลับมาเพื่อสังเกตแรงที่เกิดจากการกระทบกัน
ระหว่างวัตถุกับกล่องโลหะ การเอียงเพื่อสังเกตการกลิ้งหรือการไหลของวัตถุ บันทึกผลการ
สงั เกต วธิ กี ารท่ีใช้ และขอ้ สรปุ ของกลุ่มวา่ วัตถุทอ่ี ยใู่ นกล่องนัน้ คืออะไร
2.3 ครใู หน้ กั เรียนแต่ละกลุ่มสลับกล่องปริศนากับเพ่ือนกล่มุ อื่น อยา่ งน้อย 3 กลอ่ งและบันทึกผลการ
สังเกต
3. ขัน้ อธิบายและลงข้อสรุป
3.1 ครูและนักเรยี นร่วมกนั อภิปรายและสรุปผลการทำกิจกรรมโดยเปรียบเทยี บการทำกิจกรรมกล่อง
ปริศนากับการได้มาซ่งึ ความรู้ ทฤษฎี หลกั การ หรือกฎทางวทิ ยาศาสตร์ ดงั นี้

กิจกรรมกล่องปริศนาเปรียบได้กับการได้มาซึ่งความรู้ ทฤษฎี หลักการหรือกฎทาง
วิทยาศาสตร์ โดยวัตถุที่อยู่ในกล่องปริศนาเปรียบได้กับความรู้และคำอธิบายปรากฏการณ์ใน
ธรรมชาติทีน่ ักวิทยาศาสตรต์ ้องการค้นพบวธิ กี ารที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เกยี่ วกับวัตถุใน
กล่องปริศนา เช่น การยก การเขย่า การพลิกและการเอียงกล่องปริศนา จากนั้นนำข้อมูลการ
สังเกตนำไปตีความหมายและลงข้อสรุปเก่ียวกับวัตถุที่อยู่ในกล่องปริศนา วิธีการที่ใช้เหตุการณ์
ดังกล่าวเปรียบได้กับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ เช่น การสังเกต การจำแนกประเภท
การต้งั สมมตฐิ าน การตคี วามหมายข้อมลู และการลงขอ้ สรปุ และการสร้างแบบจำลอง

4

วธิ กี ารทจ่ี ะใหไ้ ด้คำตอบวา่ วตั ถทุ ่อี ยู่ในกลอ่ งปริศนาคืออะไร โดยไม่เปิดกล่องปริศนา คือ
การนำวัตถุท่ีคิดว่าเป็นคำตอบมาใส่ในกล่องโลหะที่มีลกั ษณะคล้ายกันกับกลอ่ งปรศิ นา แลว้ ทำ
การเปรียบเทียบว่าเมื่อมีการกระทำต่อกล่องดงั กลา่ วเช่น การยก การเขย่า การพลิกและการ
เอียงกล่องแลว้ จะทำให้ได้ผลท่ีคลา้ ยกับการกระทำต่อกล่องปรศิ นา โดยท่ีผลการสงั เกตออกมา
คลา้ ยกนั แสดงวา่ วัตถุที่นำมาใสใ่ นกล่องใบใหม่อาจเปน็ ไปได้ทจี่ ะเป็นวตั ถุทีอ่ ยู่ในกล่องปริศนา
ซงึ่ กระบวนการดังกล่าวเปรียบไดก้ ับการทำการทดลองทางวทิ ยาศาสตรท์ ีเ่ ปน็ การดำเนินการ
เพื่อเปรยี บเทยี บกบั การทำงานของธรรมชาติ โดยทีน่ กั วิทยาศาสตรไ์ ม่สามารถรู้ได้ว่าการทำงาน
ของธรรมชาตจิ รงิ ๆ นน้ั เปน็ เช่นไร แตส่ ามารถทำการทดลองเพื่อให้ได้มาซ่ึงคำตอบทใี่ กลเ้ คยี ง
กับการทำงานของธรรมชาติมากท่ีสดุ

กิจกรรมกลอ่ งปริศนาเปน็ กจิ กรรมทช่ี ว่ ยให้นักเรียนได้รจู้ กั กับธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์
ไดเ้ ข้าใจทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และรูส้ าเหตุทนี่ กั วทิ ยาศาสตรต์ อ้ งมีการทำการ
ทดลอง และมกี ารตั้งกฎและทฤษฎขี ึ้นมาเพ่ืออธบิ ายการทำงานของธรรมชาติ ซึง่ กฎและทฤษฎี
ทสี่ ร้างขึน้ มาน้นั ก็มีการเปลีย่ นแปลงได้หากมกี ฎและทฤษฎีใหมท่ สี่ ามารถอธิบายการทำงานของ
ธรรมชาติได้ดกี วา่ เดมิ
4. ขั้นขยายความรู้
4.1 ครูให้นักเรียนสืบค้นและอภิปรายเกี่ยวกับความหมายของทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์
(science process skills) เพิ่มเติม (แนวคำตอบ : ประกอบด้วยการสังเกต การวัด การลง
ความเห็นจากข้อมูล การใช้จำนวน การจำแนกประเภท การหาความสัมพันธ์ของสเปซกับเวลา
การพยากรณ์ การจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล การตั้งสมมติฐาน การกำเนิดนิยามเชิง
ปฏิบัติการ การทดลอง การตีความหมายของข้อมูลและข้อสรุป การทดลอง การกำหนดและ
ควบคุมตวั แปร และการสรา้ งแบบจำลอง)
4.2 ครใู ห้นกั เรยี นสบื ค้นและอภิปรายเกย่ี วกบั ตวั อย่างเทคโนโลยีทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั ฟิสิกส์
ในด้านต่าง ๆ โดยเลือกตามความเหมาะสมกับบริบทของพื้นฐานความรู้และความสนใจของ
นกั เรยี นและอาจใช้ตัวอยา่ งการประยุกตข์ องวิชาฟิสกิ ส์ (แนวคำตอบ :การประยกุ ต์ทางกลศาสตร์
เช่นโครงสร้างรองรับน้ำหนักอาคาร บ้านเรือน สะพาน ถนน สระน้ำา เขื่อน เป็นต้น ซึ่งอาศัย
ความรเู้ รอื่ งคาน (lever) และโมเมนต์ (moment)
การประยุกต์ทางอุณหพลศาสตร์ เช่น เครื่องกลจักรความร้อน (heat engine) แบบต่าง ๆ เช่น
เครอื่ งจกั รไอน้ำ เครื่องยนตแ์ กส๊ โซลนี เคร่ืองยนตด์ เี ซล เครอื่ งยนตก์ งั หนั เทอร์ไบน์ เคร่ืองยนต์ไอ
พ่น เป็นต้น การประยุกต์ทางแสง ทศั นอปุ กรณช์ นิดตา่ ง ๆ เชน่ แว่นตา กลอ้ งส่องทางไกล กลอ้ ง
โทรทรรศน์ กล้องจุลทรรศน์ กล้องถ่ายภาพนิ่ง กล้องถ่ายภาพยนตร์ เป็นต้น ซึ่งจะต้องอาศัย
ความรู้ในเรอื่ งระบบเลนสเ์ ปน็ หลัก การประยุกต์ทางเสียง เชน่
แผ่นวัสดุดูดกลืนเสียงเพื่อลดเสียงสะท้อน การออกแบบรูปลักษณะเพดานและผนังห้องประชุม
เพื่อลดเสียงสะท้อน การติดตั้งไมโครโฟนและลำโพงเสียงในห้องประชุมโดยไม่เกิดการป้อนกลับ
ทางบวก การประยุกต์ทางไฟฟ้า-แมเ่ หลก็ เชน่ เครอื่ งกำเนิดไฟฟา้ แบบต่าง ๆ เป็นตน้ )

5

5. ข้นั ประเมินผล
5.1 ครูสงั เกตพฤติกรรมของนักเรียนขณะเรียน การตอบคำถามของนักเรียน การร่วมกจิ กรรมใน
ห้องเรยี นและการทำแบบฝึกหัด
5.2 ประเมนิ ผลการเรียนรูจ้ ากการตรวจแบบฝึกหดั

9. สือ่ การเรยี นรู/้ วสั ดุอปุ กรณ์ /แหลง่ เรียนรู้
สอ่ื 1. เอกสารประกอบการเรยี นเรอื่ ง ธรรมชาติและพฒั นาการทางฟิสิกส์
2. กล่องปริศนา 6 กล่อง
แหล่งเรียนรู้ 1. www.google.co.th 2. หนงั สือเรียนรายวชิ าเพิม่ เติม ฟสิ กิ ส์ เล่ม 1 (สสวท.)

10. การวัดและประเมนิ ผล

การวดั ประเมนิ ผลดา้ น วิธีการวดั เครื่องมือวัด เกณฑก์ ารผา่ น

1. ดา้ นความรู้ (K) 1. ทดสอบ 1. แบบทดสอบ ไดค้ ะแนนในระดบั พอใช้ข้นึ ไป
2. สรุปความคดิ

2. ดา้ นทักษะกระบวนการ (P) สงั เกตจากการปฏิบัติ 1. แบบสังเกต ได้คะแนนในระดบั พอใช้ขนึ้ ไป

กจิ กรรมในชั้นเรยี น 2. แบบประเมิน

3. ดา้ นคณุ ลกั ษณะทีพ่ ึงประสงค์ (A) การสังเกตพฤติกรรมความ แบบสังเกต ไดค้ ะแนนในระดบั พอใช้ขน้ึ ไป

สนใจและต้ังใจเรียน

4. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน การสังเกตพฤติกรรมความ แบบประเมิน ไดค้ ะแนนในระดบั พอใช้ขน้ึ ไป

5 ประการ สนใจและตง้ั ใจเรียน

5. ดา้ นทกั ษะผเู้ รยี นในศตวรรษท่ี 21 การสังเกตพฤติกรรมความ แบบประเมิน ไดค้ ะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป

(21st Century Skills สนใจและตัง้ ใจเรียน

6

บันทกึ หลังการจดั กจิ กรรมการเรียนรูท้ ี่ 1

เร่อื ง ธรรมชาตทิ างฟิสกิ ส์

1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้

จากการประเมนิ ผลจาก การจดั กจิ กรรม โดยใหน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ และสบื ค้นข้อมูลทมี่ อบหมาย ของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 4

จำนวน 80 คน โดยการประเมนิ ตามจดุ ประสงค์การเรียนรู้ ผลปรากฏดงั น้ี

1.1 ผลการประเมินด้านความรู้

1.1.1 จากการประเมนิ แบบทดสอบหลงั เรยี น พบวา่ มนี ักเรยี น

- ไดร้ ะดบั ดมี าก จำนวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 31.3

- ได้ระดับดี จำนวน 27 คน คดิ เป็นร้อยละ 33.8

- ไดร้ ะดบั ปานกลาง จำนวน 16 คน คิดเปน็ ร้อยละ 20.0

- ได้ระดบั พอใช้ จำนวน 7 คน คิดเปน็ ร้อยละ 8.8

- ได้ระดับปรบั ปรุง จำนวน 5 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 6.3

1.2 ผลการประเมนิ ดา้ นทกั ษะกระบวนการ/ดา้ นทักษะผูเ้ รยี นในศตวรรษที่ 21

1.2.1 จากการประเมินโดยใช้แบบประเมินทักษะในการ สงั เกตความสนใจในการรว่ มกจิ กรรม

พบว่ามนี กั เรียน

- ไดร้ ะดับดี จำนวน 35 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 43.8

- ได้ระดบั พอใช้ จำนวน 35 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 43.8

- ได้ระดบั ปรบั ปรุง จำนวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 12.4

1.2.2 จากการประเมนิ โดยใช้แบบประเมนิ การเขียนรายงานและการนำเสนอ ในการจัดกจิ กรรม

พบวา่ มนี กั เรยี น

- ไดร้ ะดบั ดี จำนวน 40 คน คิดเปน็ ร้อยละ 50.0

- ได้ระดับพอใช้ จำนวน 35 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 43.8

- ได้ระดบั ปรบั ปรงุ จำนวน 5 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 6.2

1.3 ผลการประเมนิ ด้านคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์/สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น โดยใช้แบบประเมนิ พฤติกรรมการ

ทำงานกลุ่มของนักเรยี น พบว่ามนี กั เรียน

- ได้ระดบั ดี จำนวน 70 คน คดิ เป็นร้อยละ 87.5

- ได้ระดบั พอใช้ จำนวน 10 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 12.5

- ไดร้ ะดบั ปรบั ปรงุ จำนวน - คน คิดเป็นรอ้ ยละ -

2. ปญั หา/อปุ สรรค
นักเรยี นบางส่วนไมใ่ ห้ความมอื ในการเล่นกจิ กรรมกลมุ่ กล่องปริศนา

3. ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ปญั หา
ควรแบ่งกลมุ่ ๆละ 2-3 คน เพือ่ ให้นักเรียนได้มสี ว่ นร่วมในกจิ กรรมอย่างทว่ั ถงึ

ลงชอ่ื ……………………ก……า……………
(นางสาวนปิ ัทมา นิเฮง)
ครผู ูส้ อน

นิ

7

แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 2

โรงเรยี นเบญจมราชูทิศ จังหวดั ปตั ตานี กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์

วชิ า ว 31201 ฟสิ ิกส์ 1 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 4

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 ช่อื หน่วย : ธรรมชาตแิ ละพัฒนาการทางฟสิ ิกส์

เรื่อง การวดั และรายงานผลการวดั ปริมาณทางฟิสิกส์ จำนวน 4 ชัว่ โมง

1. สาระ/มาตรฐานการเรยี นรู้/ ผลการเรียนรู้/ตวั ชว้ี ดั
มาตรฐานการเรยี นรู้
เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลอ่ื นทแ่ี นวตรง แรงและกฎการเคลื่อนที่ของ

นวิ ตนั กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทาน สมดุลกลของวัตถุ งาน และกฎการอนรุ ักษ์พลงั งานกล โมเมนตมั และ
กฎการอนรุ ักษ์โมเมนตัม การเคลอ่ื นทแี่ นวโค้ง รวมทั้งนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์

ตวั ชวี้ ดั /ผลการเรยี นรู้
1. วัดและรายงานผลการวดั ปริมาณทางฟิสิกส์ไดถ้ ูกต้องเหมาะสม โดยนำความคลาดเคลือ่ นในการวดั มา
พิจารณาในการนำเสนอผล รวมทั้งแสดงผลการทดลองในรูปของกราฟ วิเคราะห์และแปลความหมาย
จากกราฟเสน้ ตรง

2. สาระสำคัญ (ความคิดรวบยอด)
ฟิสิกส์ เป็นวิชาที่ศึกษาปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ในการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพมีปริมาณใดสัมพันธ์

กนั แล้วการทดลองจงึ เป็นการค้นหาคำตอบและความจริงมาวเิ คราะห์ อธิบาย ความสำคญั ของ
การบนั ทกึ ข้อมลู จงึ นับว่าจำเป็น โดยตัวเลขที่ไดจ้ ากการวดั จึงมคี วามสำคัญในวชิ าฟิสกิ ส์ ตวั เลขเหลา่ นจ้ี ึง
มีนัยสำคัญ เรียกว่า เลขนัยสำคัญ แต่ความถูกต้องแม่นยำนั้นจะไม่ 100 % เนื่องจากเครื่องมือและตัวผู้วัดเอง จึง
ตอ้ งมคี ่าคลาดเคลอื่ น (ค่าความไมแ่ น่นอนของการวัด)

ปริมาณทีอ่ ธบิ ายปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ หรอื การเปลีย่ นแปลงของปริมาณทสี่ ังเกตอาจจะความยาว มวล
เวลา ความเรง่ และความดัน เป็นตน้ ปริมาณเหล่านี้จะถูกแยกเปน็ ปริมาณฐานและปรมิ าณอนุพันธ์
การกำหนดหน่วยต่าง ๆ จึงต้องกำหนดให้เข้าใจตรงกันโดยใช้ระบบหน่วยระหว่างชาติ (SI Unit) ตัวพหุคูณที่ใช้
เขยี นแทนหน่วยฐานหรือหน่วยอนพุ ันธท์ ่มี คี ่ามากหรือนอ้ ยเกนิ ไป เรียกว่า คำอุปสรรค

3. สาระการเรยี นรู้
ความรู้ทางฟิสิกส์ส่วนหนึ่งได้จากการทดลอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ ซึ่ง

ประกอบดว้ ยตวั เลข และหน่วยวดั
ปริมาณทางฟิสิกส์สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือต่าง ๆ โดยตรงหรือทางอ้อม หน่วยที่ใช้ในการวัดปริมาณ

ทางวิทยาศาสตร์ คือระบบหน่วยระหว่างชาติ เรียกยอ่ ว่า ระบบเอสไอ
ปริมาณทางฟิสิกส์ที่มีค่าน้อยกว่าหรือมากกว่า 1 มาก ๆ นิยมเขียนในรูปของสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ หรือ

เขียนโดยใช้คำนำหน้าหน่วยของระบบเอสไอ การเขียนโดยใช้สัญกรณ์วิทยาศาสตร์เป็นการเขยี นเพื่อแสดงจำนวน
เลขนยั สำคญั ท่ถี กู ต้อง

8

การทดลองทางฟสิ กิ สเ์ กย่ี วกับการวัดปรมิ าณตา่ ง ๆ การบนั ทกึ ปรมิ าณท่ไี ดจ้ ากการวัดดว้ ยจำนวน
เลขนัยสำคญั ทเี่ หมาะสมและคา่ ความคลาดเคลื่อน การวิเคราะหแ์ ละการแปลความหมายจากกราฟ เชน่
การหาความชันจากกราฟเสน้ ตรง จดุ ตดั แกน พ้นื ท่ใี ต้กราฟ เปน็ ต้น

การวัดปริมาณต่าง ๆ จะมีความคลาดเคลื่อนเสมอขึ้นอยู่กับเครื่องมือ วิธีการวัด และประสบการณ์ของผู้
วัด ซึ่งค่าความคลาดเคลื่อนสามารถแสดงในการรายงานผลทั้งในรูปแบบตัวเลขและกราฟ การวัดควรเลือกใช้
เครื่องมือวัดให้เหมาะสมกับสิ่งที่ตอ้ งการวัด เช่น การวัดความยาวของวัตถุท่ีต้องการความละเอียดสงู อาจใช้เวอร์
เนียร์แคลิเปอร์ หรือไมโครมเิ ตอร์

4. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้

1. ความรู้ (K)

1.1 อธิบายปริมาณกายภาพ ระบบหน่วยระหว่างชาติ และการเปลี่ยนแปลงของปริมาณที่สังเกตได้

จากการวดั ได้

1.2 อธบิ ายสญั กรณ์วิทยาศาสตร์และเขียนจำนวนหรือปรมิ าณในรปู สัญกรณว์ ทิ ยาศาสตร์

1.3 อธบิ ายความสำคัญของการเลอื กใช้เครื่องมอื วัดให้เหมาะสมกับส่ิงที่ต้องการวัด

1.4 อธิบายความหมายและบอกเลขนัยสำคัญของจำนวนหรอื ปริมาณจากการวดั ได้

2. ทกั ษะ/กระบวนการ (P)

2.1 ระบหุ นว่ ยฐานและตัวอย่างหน่วยอนพุ ัทธ์ของระบบเอสไอ

2.2 ยกตวั อย่างปรมิ าณทางฟิสกิ สแ์ ละหนว่ ยในระบบเอสไอของปริมาณน้ัน ๆ ได้

2.3 ใช้คำนำหน้าหนว่ ยเปลีย่ นหน่วยใหใ้ หญข่ ้นึ หรือเลก็ ลงได้

2.4 บันทึกผลการวัดปริมาณได้อย่างเหมาะสมประกอบด้วยค่าท่ีอ่านได้จากเครื่องวัดและค่าประมาณ

ได้

2.5 บนั ทึกปริมาณและจำนวนในรปู แบบสัญกรณ์วิทยาศาสตรท์ มี่ ีเลขนัยสำคัญตามที่กำหนดได้

2.6 บันทึกผลการคำนวณจากการบวก ลบ คูณและหาร จำนวนหรือปริมาณทีม่ ีเลขนยั สำคัญตา่ งกนั ได้

3. คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)

ทำงานรว่ มกับผอู้ ่นื อย่างสรา้ งสรรค์ ยอมรับความคิดเห็นของผ้อู ่ืนได้

คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับ

ปรับปรงุ 2560)

 มีวินยั  ใฝเ่ รียนรู้  มุ่งมั่นในการทำงาน

คุณลักษณะของผเู้ รียนตามหลกั สตู รมาตรฐานสากล

 เปน็ เลศิ วิชาการ  ลำ้ หนา้ ทางความคดิ

5. จดุ เนน้ สกู่ ารพัฒนาคณุ ภาพผู้เรียน
ความสามารถและทักษะผเู้ รยี นในศตวรรษที่ 21 ( 3Rs 8Cs 2Ls )

9

1. ทักษะในสาระวิชาหลกั (3Rs)
1.1  Reading (อา่ น) 1.2  (W)Riting (เขยี น) 1.3  (A)Rithemetics (คณติ ฯ)

2. ทกั ษะการเรยี นรแู้ ละนวัตกรรม (8Cs)
2.1  Critical Thinking and Problem Solving (การคดิ วจิ ารณญาณ และแกป้ ญั หา)
2.4  Collaboration, Teamwork and Leadership (การทำงานเป็นทมี ภาวะผู้นำ)
2.8  Compassion (คณุ ธรรม เมตตา กรุณา ระเบียบวินยั )

3. ทักษะการเรียนรู้และภาวะผ้นู ำ (2Ls)
3.1  Learning (ทกั ษะการเรียนร)ู้ 3.2  Leadership (ภาวะผู้นำและความรับผดิ ชอบ)

6. การบรู ณาการตามพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแห่งชาติ ( เฉพาะที่เกิดในแผนการจดั การเรียนรู้ )
บรู ณาการกับคา่ นยิ ม 12 ประการ
 2. ซื่อสัตย์ เสยี สละ อดทน มอี ดุ มการณ์ในส่งิ ท่ดี งี ามเพื่อส่วนรวม
 4. ใฝ่หาความรู้ หมน่ั ศกึ ษาเลา่ เรียนทงั้ ทางตรงและทางออ้ ม
 9. มสี ตริ ้ตู วั รู้คดิ ร้ทู ำ

7. ภาระงาน / ช้ินงาน
ภาระงาน - ศึกษาใบความรู้ ปฏิบตั กิ ิจกรรมในแบบฝึกหัด

8. กจิ กรรมการเรียนรู้
1. ขนั้ สร้างความสนใจ
1.1 นักเรียนและครูรว่ มกันทบทวนความรูเ้ ดิม เกีย่ วกบั เรอ่ื งการวัดในวิชาฟิสิกสม์ ี การวัด 2 แบบคือ
แบบสเกลกับแบบตัวเลข เชื่อมโยงเนื้อหาโดยนักเรียนร่วมกันสนทนา เกี่ยวกับ การทดลองเรื่อง
การวัดในวิชาฟิสิกส์มีความสำคัญอย่างไร และการบันทึกข้อมูลที่ถูกต้องควรทำอย่างไร (ทิ้งช่วง
ใหน้ ักเรียนคดิ ) เพื่อเปน็ ความรู้พื้นฐานนาไปสู่การศึกษา เร่อื ง การวัดอย่างละเอียด และความไม่
แน่นอนในการวัด ครูเปิดประเด็นและชักชวนนักเรียนให้ร่วมกันอภิปราย โดยใช้คำถามเกี่ยวกับ
การเกิดปรากฏการณท์ างธรรมชาติ เช่น ฝนตก ฟา้ รอ้ ง ฟ้าผา่ แผ่นดนิ ไหว และภเู ขาไฟระเบดิ ว่า
สิ่งเหล่านเ้ี กิดจากสาเหตใุ ด
1.2 ครูถามนักเรียนว่า การบอกปริมาณในทางฟิสิกส์จำเป็นต้องมีการบอกหน่วยกำกับไว้ด้วยหรือไม่
อย่างไร เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนร่วมกันคิด (แนวคำตอบ : ฟิสิกส์เป็นวิชาที่เน้นศึกษาใน
เชิงปริมาณทางกายภาพ เช่น มวล แรง ความยาว เวลา อุณหภูมิ เป็นต้น และข้อมูลที่ได้จะเป็น
ตัวเลข ดังนั้นเพื่อให้สื่อสารในสิ่งที่ต้องการศึกษาให้ผู้อื่นเข้าใจง่ายต่อการนำไปใช้ประโยชน์ จึง
จำเป็นตอ้ งมีหนว่ ยกำกับในการวัดปรมิ าณน้ัน ๆ ดว้ ย)
1.3 ครูให้นักเรยี นวัดความกว้างและความยาวของสิง่ ต่าง ๆ ในชีวติ ประจำวัน เช่น สมุด หนังสือ โต๊ะ
โดยเรมิ่ จากการวดั โดยใช้หน่วยคบื ของนักเรียนแตล่ ะคน แล้วนำมาอภิปรายรว่ มกันวา่ หน่วยการ
วัด 1 คืบ ของนักเรียนแต่ละคนยาวเท่ากันหรือไม่ และเกิดความคลาดเคลื่อนในการวัดท่ีเกิดขน้ึ

10

อย่างไร (แนวคำตอบ : หน่วยการวัด 1 คีบของแต่ละคนมีความยาวไม่เท่ากัน จึงไม่สามารถใช้
เป็นเครื่องมือในการวัดที่เป็นมาตรฐานได้ ดังนั้น การวัดสิ่ง ๆ หนึ่งเพื่อให้ทุกคนรับรู้ตรงกัน
จะตอ้ งใชเ้ ครื่องมือทมี่ มี าตรฐาน)
2. ขน้ั สำรวจและค้นหา
2.1 ครูให้นักเรียนทำการวัด สมุด หนังสือ และโต๊ะ เหมือนเดิม โดยใช้เครื่องมือวัดที่เป็นมาตรฐาน
เดียวกัน คือ ไม้บรรทัด ไม้เมตร และสายวดั ครูถามนกั เรียนว่าผลของการวดั ใกล้เคียงกันมากข้ึน
หรอื ไม่ (แนวคำตอบ : ผลการวัดมคี ่าใกล้เคียงกันมาก มีผลเท่ากนั ในหลายคน)
2.2 ครูให้นกั เรียนวดั ความหนาของกระดาษสมุด 1 แผ่น กับ เส้นผ่าศูนย์กลางของฝาขวดนำ้ พลาสติก
โดยใช้ไม้บรรทัด ครูถามนักเรียนว่าได้ผลเป็นอย่างไร สามารถวัดได้หรือไม่ (แนวคำตอบ :ความ
หนาของกระดาษสมุดไม่สามารถวัดได้ด้วยไม้บรรทัดเนื่องจากมีค่าความละเอียดไม่เพียงพอ แต่
สามารถวดั เสน้ ผ่านศูนยก์ ลางของฝาขวดน้ำได้)
2.3 ครูให้นักเรียนทำการศึกษาการวัดด้วยเครื่องมือที่มีชื่อว่า เวอร์เนียร์แคลิเปอร์ และไมโครมิเตอร์
โดยครคู วรอธบิ ายวธิ กี ารใชด้ ังนี้

การวัดความยาวดว้ ยเวอร์เนียรแ์ คลิเปอร์
เวอร์เนียร์แคลิเปอร์ (Vernier Calipers) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า เวอร์เนียร์ เป็นเครื่องมือที่ใช้วัด
ความยาวหรือเส้นผา่ ศนู ย์กลางของวตั ถุ โดยสามารถวัดได้ละเอียดถึงระดับ 0.01 เซนติเมตร หรอื
0.1 มิลลิเมตร เหมาะสำหรับใช้ในงานที่ต้องการความละเอียดและความถูกต้องสูง เวอร์เนียร์
สามารถใช้ในการวดั ได้ท้ังความยาวภายนอกของวัตถุ ความยาวภายในของวัตถุ และความลึกของ
วตั ถุ วธิ ีการวัดมีดงั นี้

1. อ่านค่าความยาวของวัตถุจากสเกลหลัก โดยใช้ขีดที่ 0 ของสเกลเวอร์เนียร์เป็นจุด
สงั เกต (ลูกศรสแี ดง) ซง่ึ ในกรณนี ้จี ะอ่านค่าความยาวของวัตถุไดเ้ ป็น 3.80 เซนตเิ มตร
2. อา่ นค่าความยาวของวัตถจุ ากสเกลเวอรเ์ นยี โดยดูจากขีดของสเกลเวอรเ์ นียร์ท่ีอยู่ตรง
กับขีดของสเกลหลักพอดี (ลูกศรสีเขียว) ซึ่งในกรณีนี้เป็นขีดที่ 7 จะอ่านค่าความยาวได้
เปน็ 7 ชอ่ ง
0.002 เซนติเมตรตอ่ ช่อง = 0.014 เซนตเิ มตร
3. ความยาวของวัตถุสามารถหาได้จากผลรวมระหว่างความยาวที่วัดได้จากสเกลหลัก
และสเกลเวอรเ์ นยี ร์ ซงึ่ ในกรณีนจ้ี ะไดเ้ ป็น 3.80 + 0.014 = 3.814 เซนติเมตร

11

ดังนั้น ความยาวของเส้นผ่าศูนย์กลางของวัตถุนี้เท่ากับ 3.814 เซนติเมตร ซึ่งจะเห็นได้
ว่า ค่าความยาวทว่ี ัดได้จะละเอียดกว่าการวัดโดยใช้ไมบ้ รรทัดซึ่งจะอ่านค่าความยาวได้เป็น 3.80
เซนตเิ มตร เทา่ นั้น

การวัดความยาวด้วยไมโครมิเตอร์ (Micrometer) หรืออีกชื่อหนึ่งคือไมโครมิเตอร์สกรู
เกจ เป็นเครื่องมือใช้งานด้านวิศวกรรม จุดประสงค์การใช้งานเพื่อสำหรับวัดขนาดที่ต้องการ
ความแม่นยำสูง โดยใช้วัดความกว้าง ยาว หรือ ความหนาของวัตถุ เหมือนเวอร์เนียร์ แต่ว่า
ไมโครมเิ ตอรจ์ ะสามารถวดั ไดล้ ะเอยี ดสงู กวา่ วิธกี ารวดั มีดังน้ี

1. อ่านค่าผลการวัดที่สเกลหลัก (Sleeve scale) โดยสังเกตขอบของสเกลหมุน
(Thimble scale) ตรงกับช่วงไหนของขีดสเกลหลัก จากรูปจะเห็นได้ว่าขอบของสเกล
หมุนจะตรงกับขีดสเกลหลักในระหว่างช่วง 7 มิลลิเมตร ถึง 8 มิลลิเมตร ดังนั้นเราจะ
อา่ นคา่ ทสี่ เกลหลกั ได้ 7.00 มิลลิเมตร
2. อา่ นคา่ ผลการวัดทสี่ เกลหมนุ (Thimble scale) โดยสงั เกตทตี่ ำแหนง่ ขีดสเกลหมนุ ว่า
มีสเกลใดตรงกับเส้นกลางของขีดสเกลหลัก จากรูปจะเห็นได้ว่าขีดสเกลหมุนขีดที่ 37
ตรงกบั ขีดกลางของสเกลหลกั พอดี
ดังนั้นสามารถอ่านคา่ ของสเกลหมุนได้ โดยการนำค่าความละเอยี ดของเครื่องมือคูณเส้น
ขีดสเกลหมุนทีอ่ า่ นได้คือ สเกลขดี ท่ี 37 x ความละเอียด 0.01 มลิ ลเิ มตร เท่ากับ 0.37 มลิ ลเิ มตร
นำผลการวัดที่อ่านได้จากสเกลหลักบวกผลการวัดที่อ่านได้จากสเกลหมุนคือ 7.00 + 0.37 =
7.37 มลิ ลเิ มตร
2.4 ครูถามนักเรียนว่าวัดความหนาของกระดาษสมุด 1 แผ่น กับ เส้นผ่าศูนย์กลางของฝาขวดน้ำ
พลาสติก โดยใช้อุปกรณ์ใดจึงจะเหมาะสมที่สุด เพราะเหตุใด (แนวคำตอบ : ความหนาของ
กระดาษสมุดควรใช้ไมโครมิเตอร์ แต่เส้นผ่านศูนย์กลางของฝาขวดน้ำควรใช้เวอร์เนียร์ เพราะ
ลกั ษณะของอปุ กรณ์การวัดมีความเหมาะสมทแี่ ตกต่างกนั )
3. ขน้ั อธบิ ายและลงขอ้ สรุป
3.1 ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายถึงผลการทำกิจกรรมการวัดจากเครื่องมือต่าง ๆ ว่าการวัด
ปรมิ าณใด ๆ ด้วยเครือ่ งมือวัด ย่อมมคี วามคลาดเคลื่อนเกดิ ข้ึนโดยความคาดเคล่ือนดังกล่าวจะมี
ค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของเครื่องมือที่ใช้วัด วิธีการวัด ความสามารถและ
ประสบการณข์ องผู้วัด ความคาดเคล่ือนที่เกิดขนึ้ นจ้ี ะเก่ยี วโยงไปถึงการบันทึกผลการคำนวณเม่ือ

12

นำตัวเลขทีม่ ีความไม่แนน่ อนหลายปริมาณมาบวก ลบ คูณ และหารกัน ย่อมทำให้เกิดความคาด
เคลือ่ นเปลีย่ นแปลงไปได้
3.2 ครูให้ความรู้ตามรายละเอียดใน หนังสือเรียนฟิสิกส์เพิ่มเติม 1 สสวท. เร่ืองระบบหน่วยระหว่าง
ชาติ สัญกรณ์วิทยาศาสตร์ ความไม่แน่นอนในการวัด เลขนัยสำคัญ และการบันทึกผลการ
คำนวณ และให้นักเรียนฝึกใช้เครื่องมือวัดที่มีความละเอียดแตกต่างกันมาใช้ สำหรับวัดความ
กว้าง ความยาว และความหนาของวัสดุต่าง ๆ เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม และทองแดง เพื่อใช้
คำนวณหาความหนาแน่นของวัสดุ ซึ่งคือ มวลต่อปริมาตร ที่มีหนว่ ยในระบบเอสไอ คือ กิโลกรมั
ต่อลูกบาศก์เมตร แล้วนำมาเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน พร้อมอภิปรายร่วมกันเกีย่ วกับผลการ
หาความหนาแน่นของวัสดุเหมอื นหรอื แตกต่างกับคา่ มาตรฐานหรือไม่ อย่างไร
4. ข้นั ขยายความรู้
4.1 ครูให้นกั เรียนสบื คน้ และอภปิ รายร่วมกนั ในประเดน็ ตา่ ง ๆ ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบั การวดั ดงั นี้

- หนว่ ยการวัดของไทย คนไทยไดม้ กี ารกำหนดมาตรฐานการวดั ขนึ้ มาตง้ั แตส่ มัยโบราณ
โดยบรรพบุรุษของเรารู้จักที่จะคิดหน่วยการวัดขึ้นมาใช้ได้เอง เช่น คืบ ศอก วา โยชน์ โดยที่ 2
คืบเป็น 1 ศอก, 4 ศอกเป็น 1 วา, 20 วาเป็น 1 เส้น, และ 400 เส้นเป็น 1 โยชน์ แต่ในเวลา
ต่อมามีการติดต่อสัมพันธ์กับหลาย ๆ ประเทศ จึงจำเป็นต้องใช้หน่วยที่เป็นสากลเพื่อความ
สะดวกในการสื่อสารให้เขา้ ใจทตี่ รงกัน

- ความแม่นและความเที่ยงของการวัด การบอกความสามารถในการวัดของเครื่องมือ
วัดนยิ มบอกด้วย 2 ปรมิ าณด้วยกนั คอื ความแมน่ (accuracy) และความเทีย่ ง (precision) โดย
ที่ ความแม่น หมายถึงความสามารถของเครื่องมือวัดในการแสดงค่าได้ใกล้เคียงกับค่าจริงมาก
ที่สุด สำหรับความเที่ยง หมายถึงความสามารถของเครื่องมือวัดในการ แสดงค่าเดิมเมื่อทำาการ
วัดซำ้ เดมิ หลาย ๆ คร้งั

- การเลือกใช้จำนวนตัวเลขนัยสำคัญในการคำนวณ การนำเอาข้อมูลที่มีจำนวนเลข
นัยสำคัญต่างกันมาบวก ลบ คูณ และหารกัน จะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีตัวเลขนัยสำคัญมากเกินไป
ทำให้การบันทึกผลการคำนวณจำเป็นต้องพิจารณาจากตัวเลขนัยสำคัญและความละเอียดให้
เหมาะสมตามรายละเอยี ดในหนงั สือเรียนฟิสิกสเ์ พ่มิ เติม 1 สสวท.4.2
5. ข้ันประเมินผล
5.1 ครูตรวจสอบความเข้าใจเรื่องการวัดและรายงานผลการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ จากคำถาม
ตรวจสอบความเข้าใจ 1.2 และการทำแบบฝึกหัด 1.2 ในหนงั สอื ฟสิ ิกสเ์ พม่ิ เติม 1 สสวท.
5.2 ประเมินนักเรียนในด้านการทำงานร่วมกับผู้อื่นอยา่ งสร้างสรรค์ ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นได้
ดว้ ยการสังเกตในภาพรวม

9. สอ่ื การเรียนรู้/วสั ดุอปุ กรณ์ /แหลง่ เรยี นรู้
สอ่ื 1. เอกสารประกอบการเรยี นเรอื่ ง ธรรมชาตแิ ละพัฒนาการทางฟสิ ิกส์
2. แบบฝึกหดั 1.2

13

3. ชุดเครือ่ งมือการวัด เช่น ไมบ้ รรทดั ไมเ้ มตร เวอร์เนียรแ์ คลิเปอร์ และไมโครมเิ ตอร์
แหลง่ เรียนรู้ 1. www.google.co.th 2. หนังสอื เรียนรายวชิ าเพมิ่ เติม ฟิสิกส์ เลม่ 1 (สสวท.)

10. การวัดและประเมินผล

การวัดประเมนิ ผลดา้ น วธิ กี ารวดั เครื่องมือวดั เกณฑ์การผ่าน
1. ดา้ นความรู้ (K)
1. ทดสอบ 1. แบบทดสอบ ได้คะแนนในระดบั พอใช้ขน้ึ ไป
2. สรปุ ความคิด

2. ด้านทักษะกระบวนการ (P) สงั เกตจากการปฏิบตั ิ 1. แบบสังเกต ไดค้ ะแนนในระดบั พอใช้ขน้ึ ไป
กจิ กรรมในชนั้ เรียน 2. แบบประเมนิ

3. ดา้ นคณุ ลักษณะทีพ่ ึงประสงค์ (A) การสงั เกตพฤติกรรมความ แบบสงั เกต ได้คะแนนในระดบั พอใช้ขน้ึ ไป
สนใจและตงั้ ใจเรยี น

4. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน การสงั เกตพฤติกรรมความ แบบประเมนิ ได้คะแนนในระดบั พอใช้ขึ้นไป

5 ประการ สนใจและต้งั ใจเรยี น

5. ดา้ นทักษะผู้เรยี นในศตวรรษท่ี 21 การสงั เกตพฤติกรรมความ แบบประเมนิ ไดค้ ะแนนในระดบั พอใช้ขึ้นไป

(21st Century Skills สนใจและต้ังใจเรยี น

14

บันทกึ หลังการจัดกจิ กรรมการเรยี นรทู้ ี่ 2

เร่ือง การวัดและรายงานผลการวัดปรมิ าณทางฟิสกิ ส์

1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้

จากการประเมนิ ผลจาก การจดั กจิ กรรมโดยครใู ช้คำถามในการจดั กจิ กรรม เพอ่ื ใหน้ ักเรียนได้ช่วยกนั คดิ ลงมือปฏิบตั ิ และอภปิ ราย

ผล ของนกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 4 จำนวน 80 คน โดยการประเมินตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ผลปรากฏดังน้ี

1.1 ผลการประเมนิ ดา้ นความรู้

1.1.1 จากการประเมินแบบทดสอบหลงั เรียน พบวา่ มีนักเรยี น

- ได้ระดับดมี าก จำนวน 30 คน คิดเป็นร้อยละ 37.5

- ไดร้ ะดับดี จำนวน 27 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 33.8

- ได้ระดบั ปานกลาง จำนวน 11 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 13.8

- ไดร้ ะดบั พอใช้ จำนวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 8.8

- ได้ระดับปรบั ปรงุ จำนวน 5 คน คดิ เป็นร้อยละ 6.3

1.2 ผลการประเมนิ ดา้ นทกั ษะกระบวนการ/ด้านทักษะผ้เู รยี นในศตวรรษที่ 21

1.2.1 จากการประเมนิ โดยใช้แบบประเมินทักษะในการ สังเกตความสนใจในการร่วมกจิ กรรม

พบว่ามนี กั เรยี น

- ไดร้ ะดับดี จำนวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 43.8

- ไดร้ ะดับพอใช้ จำนวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 43.8

- ได้ระดบั ปรับปรงุ จำนวน 10 คน คิดเปน็ ร้อยละ 12.4

1.2.2 จากการประเมินโดยใชแ้ บบประเมินการเขยี นรายงานและการนำเสนอ ในการจดั กจิ กรรม

พบวา่ มีนกั เรียน

- ไดร้ ะดบั ดี จำนวน 45 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 56.3

- ไดร้ ะดบั พอใช้ จำนวน 30 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 37.5

- ได้ระดบั ปรับปรงุ จำนวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 6.2

1.3 ผลการประเมินด้านคุณลักษณะอนั พึงประสงค์/สมรรถนะสำคัญของผ้เู รียน โดยใช้แบบประเมนิ พฤติกรรมการ

ทำงานกล่มุ ของนักเรยี น พบวา่ มนี กั เรียน

- ไดร้ ะดับดี จำนวน 70 คน คดิ เป็นร้อยละ 87.5

- ไดร้ ะดบั พอใช้ จำนวน 10 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 12.5

- ไดร้ ะดับปรบั ปรุง จำนวน - คน คิดเป็นรอ้ ยละ -

2. ปญั หา/อุปสรรค
นกั เรียนบางสว่ นยงั ใช้เคร่อื งมอื การวัดไมถ่ ูกตอ้ ง

3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา
ควรหาสิง่ ของท่ีหลากหลาย ให้นกั เรยี นไดล้ องวดั เพอื่ ใหน้ ักเรยี นสามารถแยกแยะ การใชเ้ ครอื่ งมอื อยา่ งเหมาะสม

ลงชอื่ ………………ก……า…………………
(นางสาวนิปทั มา นิเฮง)
ครผู ้สู อน

นิ

15

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 3

โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ จังหวดั ปตั ตานี กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์

วชิ า ว 31201 ฟสิ ิกส์ 1 ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4

หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 1 ชอื่ หน่วย : ธรรมชาตแิ ละพัฒนาการทางฟสิ กิ ส์

เร่อื ง การทดลองทางฟสิ ิกส์ จำนวน 4 ชั่วโมง

1. สาระ/มาตรฐานการเรยี นร้/ู ผลการเรยี นรู้/ตัวช้ีวดั
มาตรฐานการเรยี นรู้
เข้าใจธรรมชาติทางฟิสกิ ส์ ปริมาณและกระบวนการวดั การเคล่อื นท่แี นวตรง แรงและกฎการเคล่ือนที่ของ

นิวตนั กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสยี ดทาน สมดุลกลของวัตถุ งาน และกฎการอนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและ
กฎการอนุรักษโ์ มเมนตัม การเคลอ่ื นที่แนวโค้ง รวมท้ังนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

ตวั ช้วี ัด/ผลการเรยี นรู้
1. วัดและรายงานผลการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ไดถ้ ูกต้องเหมาะสม โดยนำความคลาดเคลื่อนในการวัดมา
พิจารณาในการนำเสนอผล รวมทั้งแสดงผลการทดลองในรูปของกราฟ วิเคราะห์และแปลความหมาย
จากกราฟเสน้ ตรง

2. สาระสำคญั (ความคิดรวบยอด)
วิชาฟิสิกส์ เป็นวิชาที่ศึกษาปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ในการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ การเคลื่อนที่

ของวตั ถุ การนำไฟฟา้ ของวัตถุ การเปล่ยี นแปลงสถานะของสาร มปี รมิ าณใดสมั พนั ธก์ ัน แลว้ การทดลองจึงเป็นการ
คน้ หาคำตอบและความจรงิ มาวิเคราะห์ อธบิ าย ความสำคัญของการบนั ทกึ ข้อมลู จงึ นับว่าจำเปน็ โดย
ตัวเลขที่ได้จากการวัดจึงมีความสำคัญ และมีความหมาย ตัวเลขเหล่านี้จึงมีนัยสำคัญ เรียกว่า เลขนัยสำคัญ แต่
ความถูกต้องแม่นยำน้ันจะไม่ 100 % เนื่องเครื่องมือและตัวผูว้ ัดเอง จึงต้องมีค่าคลาดเคลื่อน (ค่าความไม่แน่นอน
ของการวัด ) แล้วนำแปลเป็นความสัมพันธ์ของปริมาณที่วัดได้เป็นกราฟ ในวิชาฟิสิกส์กราฟที่เกี่ยวข้อง จะเป็น
กราฟเสน้ ตรง กราฟพาราโบลา และไฮเปอร์โบลา

3. สาระการเรยี นรู้
3.1 เลขนยั สำคัญ
3.2 คา่ ความไม่แนน่ อนในการวัด
3.3 การเขยี นและการรายงานกราฟ

4. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. ความรู้ (K)
อธบิ ายความสำคัญของการทดลองและรายงานผลการทดลองได้

16

2. ทกั ษะ/กระบวนการ (P)

แสดงทักษะการคำนวณการบันทึกข้อมูล บันทึกผลการวัดโดยใชค้ ่าทางสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและ

ความคลาดเคลื่อนของค่าเฉลี่ยและสามารถจัดสมการที่ไม่อยู่ในรูปเชิงเส้นให้อยู่ในรูปสมการเชิงเส้น

พร้อมทง้ั เขยี นกราฟและหาคา่ ของปริมาณจากกราฟเส้นตรงได้ถูกต้อง

3. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)

ทำงานรว่ มกบั ผู้อ่ืนอย่างสรา้ งสรรค์ ยอมรบั ความคดิ เห็นของผ้อู ่นื ได้

คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับ

ปรับปรงุ 2560)

 มวี นิ ยั  ใฝเ่ รยี นรู้  มุ่งมัน่ ในการทำงาน

คณุ ลกั ษณะของผู้เรียนตามหลักสตู รมาตรฐานสากล

 เป็นเลศิ วชิ าการ  ลำ้ หน้าทางความคดิ

5. จุดเนน้ ส่กู ารพัฒนาคุณภาพผ้เู รยี น
ความสามารถและทักษะผเู้ รยี นในศตวรรษที่ 21 ( 3Rs 8Cs 2Ls )
1. ทักษะในสาระวิชาหลกั (3Rs)
1.1  Reading (อา่ น) 1.2  (W)Riting (เขียน) 1.3  (A)Rithemetics (คณติ ฯ)
2. ทกั ษะการเรียนรูแ้ ละนวตั กรรม (8Cs)
2.1  Critical Thinking and Problem Solving (การคิดวจิ ารณญาณ และแก้ปญั หา)
2.4  Collaboration, Teamwork and Leadership (การทำงานเปน็ ทีม ภาวะผูน้ ำ)
2.8  Compassion (คุณธรรม เมตตา กรณุ า ระเบยี บวินยั )
3. ทกั ษะการเรยี นรแู้ ละภาวะผู้นำ (2Ls)
3.1  Learning (ทกั ษะการเรียนร้)ู 3.2  Leadership (ภาวะผูน้ ำและความรบั ผิดชอบ)

6. การบูรณาการตามพระราชบัญญัติการศกึ ษาแหง่ ชาติ ( เฉพาะทเ่ี กิดในแผนการจัดการเรียนรู้ )
บรู ณาการกับคา่ นยิ ม 12 ประการ
 2. ซอ่ื สตั ย์ เสียสละ อดทน มีอุดมการณใ์ นส่งิ ท่ดี ีงามเพื่อส่วนรวม
 4. ใฝห่ าความรู้ หมั่นศึกษาเลา่ เรียนทั้งทางตรงและทางอ้อม
 9. มีสติรู้ตวั ร้คู ดิ รทู้ ำ

7. ภาระงาน / ช้ินงาน
ภาระงาน - ศึกษาใบความรู้ ปฏบิ ตั ิกิจกรรมในแบบฝึกหัด

17

8. กจิ กรรมการเรยี นรู้
1. ขัน้ สร้างความสนใจ
1.1 นักเรียนและครูร่วมกันสนทนา เกี่ยวกับ “การทดลอง มีความสำคัญอย่างไร ขณะดำเนินการ
ทดลองสิ่งใดที่มีความสำคัญ” เพื่อนำไปสู่คำถามที่ว่า “การบันทึกข้อมูล ที่ได้จากการทดลอง
โดยเฉพาะจากเครื่องมือแบบสเกล จะเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ ตัวเลขทุกตัวมีความสำคัญ เท่ากัน
หรือต่างกนั อย่างไร”
1.2 นักเรียนตอบข้อซักถามของครูว่า “การบันทึกข้อมูล ที่ได้จากการทดลอง โดยเฉพาะจาก
เครื่องมือแบบสเกล จะเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ ตัวเลขทุกตัวมีความสำคัญ เท่ากัน หรือต่างกัน
อย่างไร” (คำตอบเป็นแบบปลายเปดิ )
1.3 นกั เรยี นร่วมกนั อภปิ รายในแต่ละกลมุ่ พร้อมทงั้ บนั ทึกความเห็นของกลมุ่ ในใบงาน
1.4 ตัวแทนนักเรียนแต่ละกลุม่ นำเสนอความเห็นของกลุ่ม (ของแต่ละคนในกลุ่มโดยตัวแทนของกลมุ่
และข้อสรปุ ของกลมุ่ )
1.5 นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับ “การบันทึกข้อมูล ที่ได้จากการทดลอง โดยเฉพาะจาก
เครื่องมือแบบสเกล จะเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ ตัวเลขทุกตัวมีความสำคัญ เท่ากัน หรือต่างกัน
อยา่ งไร”
2. ขนั้ สำรวจและค้นหา
2.1 ครูใหน้ กั เรียนวิเคราะห์ผลการทดลอง การศกึ ษาความสมั พันธ์ระหวา่ งอัตราเรว็ และ เวลา ในการ
เคล่อื นท่ขี องวัตถสุ ามารถบนั ทึกขอ้ มลู ไดด้ งั ตาราง 1.1
ตาราง 1.1 ผลการทดลองการวดั อัตราเร็วในการเคลอ่ื นทข่ี องวัตถุ
ครูถามนักเรียนว่าเมื่อนำผลการทดลองข้างต้นมาเขียนกราฟโดยให้เวลาเป็นแกนนอน และ
อตั ราเรว็ เปน็ แกนต้งั จะได้รปู เป็นอยา่ งไร และมแี นวโนม้ เป็นอยา่ งไร

เวลา (s) ความเร็ว (m/s)
1 2.9 ± 0.4
2 3.7 ± 0.4
3 4.9 ± 0.4
4 6.0 ± 0.4
5 6.8 ± 0.4
6 8.9 ± 0.4

2.2 ครูให้นักเรยี นคำนวณหาความชันจากกราฟและจุดตัดแกน โดยใชส้ ูตร

ความชนั = ∆y
∆x

18

3 ข้นั อธิบายและลงข้อสรุป
3.1 ครแู ละนกั เรียนร่วมกันอภปิ รายถงึ กราฟท่ไี ดจ้ ากขอ้ มูลในตารางที่ 1.1 ดังนี้

พบวา่ กราฟมแี นวโน้มเป็นเสน้ ตรง จึงเขียนเส้นกราฟโดยเขียนเสน้ ตรงให้ผา่ นชดุ ข้อมลู (รวมคา่

คลาดเคลือ่ น) ใหม้ ากท่สี ุด

3.2 ครแู ละนกั เรียนร่วมกนั สรปุ คา่ ความชันท่ีได้ ดังน้ี

ความชัน = ∆y = 4.4 m/s =1.0233 m/s2
∆x 4.3 s
กราฟตดั แกนตงั้ ท่ี v = 1.8 m/s

4. ข้นั ขยายความรู้

4.1 นักเรียนสนทนาซักถามครูและตอบคำถามว่า “ความสัมพันธ์ของปริมาณต่าง ๆ เมื่อนำมา

คำนวณค่าของอีกปริมาณหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ได้ควรจะบันทึกอย่างไร” (ทิ้งช่วงให้นักเรียนคิด) เพ่ือ

นำไปส่เู รอ่ื ง การบวก ลบ คูณ หาร เลขนัยสำคัญ และค่าความไม่แนน่ อนในการวัด

4.2 นักเรียนและครูร่วมกันอภิปราย เกี่ยวกับ การบวก ลบ คูณ หาร เลขนัยสำคัญ และค่าความไม่

แน่นอนในการวัด และตัวอย่างการบวก ลบ คูณ หาร เลขนัยสำคัญ และค่าความไม่แน่นอนใน

การวดั เนื้อหาตามหนงั สอื ฟิสกิ สเ์ พิม่ เติม 1 สสวท. เรือ่ ง เลขนัยสำคัญ การบันทกึ ผลการคำนวณ

และการวเิ คราะห์ผลการทดลอง

4.3 นักเรยี นและครรู ่วมกนั อภิปราย เกี่ยวกับ การเขียนกราฟ และการรายงานกราฟ เพ่ิมเติมดังน้ี

ในการหาความคลาดเคลื่อนความชันสามารถหาได้โดยเขียนเส้นตรงอีก 2 เส้น ที่มีความชันมาก

ที่สุด และความชันน้อยสุด ในกรณีที่ข้อมูลกระจายมีแนวโน้มเป็นเส้นตรง นอกจากใช้วิธีก าร

ลากเส้นให้ผ่านตำแหน่ง ค่าคลาดเคลื่อนสูงสุดกับต่ำสุดของแถบคลาดเคลื่อนให้ได้มากที่สุดตาม

รายละเอียดในหนังสือเรียนแล้ว ยังสามารถใช้วิธีการลากเส้นตรงที่มีความชันมากที่สุดโดยใช้ค่า

คลาดเคลื่อนต่ำสดุ ของข้อมูลชุดแรกกับ ค่าคลาดเคลื่อนสูงสุดของข้อมูลชุดสุดทา้ ย และลากเส้น

ตรงที่มีความชันน้อยโดยใช้ค่าคาดเคลื่อนสูงสุด ของข้อมูลชุดแรกกับค่าคลาดเคลื่อนต่ำสุดของ

ข้อมูลชดุ สดุ ทา้ ย ดังรูป

19

จากรูป พจิ ารณาเสน้ ประสีนำ้ เงนิ ซง่ึ มคี วามชนั มากทสี่ ุด จะได้

ความชนั มากทส่ี ุด = ∆y = 8.4-2.5 = 1.18 m/s2
∆x 6-1
กราฟตัดแกนตงั้ ท่ี v = 2.40 m/s

พจิ ารณาเส้นประสมี ว่ งซ่งึ มีความชันมากที่สุด จะได้

ความชนั มากที่สดุ = ∆y = 7.6-3.3 = 0.86 m/s2
∆x 6-1
กราฟตัดแกนต้ังที่ v = 1.30 m/s

จะได้ว่า ค่าคลาดเคล่อื นของความชัน = 1/2(ความชนั มาก - ความชนั นอ้ ย)
1.18-0.86
= 2

= 0.16 m/s2

คา่ คลาดเคลอื่ นของจดุ ตดั แกนตั้ง = 1/2(จดุ ตัดสงู - จดุ ตัดตำ่ )
2.40-1.30
= 2

= 0.55 m/s
ดงั นัน้ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งอัตราเร็วกบั เวลาในการเคลื่อนท่ีของวัตถุ สามารถแสดงได้ด้วย

สมการเสน้ ตรง ดงั น้ี v = (1.02±0.16 sm2) t - (1.80±0.55 m )

s

20

5. ขนั้ ประเมินผล
5.1 ครูทดสอบความเข้าใจเกี่ยวกบั การทดลองทางฟิสิกส์ จากคำถามตรวจสอบความเข้าใจ 1.3 และ
แบบฝกึ หดั 1.3 จากหนังสอื ฟิสิกสเ์ พิม่ เติม 1 สสวท.
5.2 ประเมินการทำงานร่วมกับผู้อื่นอยา่ งสร้างสรรค์ ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นได้จากการทำการ
วิเคราะหค์ ำถามในชั้นเรยี นและการทำแบบฝึกหัด 1.3

9. สอ่ื การเรยี นร้/ู วัสดุอุปกรณ์ /แหลง่ เรยี นรู้
สอ่ื 1. เอกสารประกอบการเรียนเรอื่ ง ธรรมชาตแิ ละพฒั นาการทางฟสิ ิกส์
2. แบบฝึกหดั 1.3
แหล่งเรยี นรู้ 1. www.google.co.th 2. หนังสือเรียนรายวชิ าเพิ่มเติม ฟิสิกส์ เล่ม 1 (สสวท.)

10. การวัดและประเมนิ ผล

การวัดประเมนิ ผลด้าน วิธกี ารวดั เคร่ืองมือวัด เกณฑ์การผา่ น
1. ด้านความรู้ (K)
1. ทดสอบ 1. แบบทดสอบ ได้คะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป
2. สรุปความคดิ

2. ด้านทกั ษะกระบวนการ (P) สงั เกตจากการปฏบิ ตั ิ 1. แบบสังเกต ได้คะแนนในระดบั พอใช้ขนึ้ ไป

กิจกรรมในช้นั เรียน 2. แบบประเมนิ

3. ด้านคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ (A) การสังเกตพฤติกรรมความ แบบสังเกต ได้คะแนนในระดบั พอใช้ขน้ึ ไป

สนใจและตั้งใจเรยี น

4. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น การสงั เกตพฤติกรรมความ แบบประเมนิ ไดค้ ะแนนในระดบั พอใช้ขนึ้ ไป

5 ประการ สนใจและต้งั ใจเรยี น

5. ดา้ นทกั ษะผเู้ รียนในศตวรรษที่ 21 การสังเกตพฤติกรรมความ แบบประเมิน ได้คะแนนในระดับพอใช้ข้นึ ไป

(21st Century Skills สนใจและต้ังใจเรยี น

21

บนั ทกึ หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ี 3

เรอ่ื ง การทดลองทางฟิสกิ ส์

1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้

จากการประเมนิ ผลจาก การจดั กจิ กรรม โดยครูใชค้ ำถามในการจดั กจิ กรรม เพือ่ ใหน้ กั เรยี นไดช้ ่วยกนั คดิ อภิปรายผล ของ

นักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 จำนวน 80 คน โดยการประเมนิ ตามจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ผลปรากฏดังนี้

1.1 ผลการประเมนิ ด้านความรู้

1.1.1 จากการประเมินแบบทดสอบหลังเรยี น พบวา่ มีนักเรยี น

- ไดร้ ะดบั ดีมาก จำนวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 31.3

- ได้ระดบั ดี จำนวน 27 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 33.8

- ได้ระดบั ปานกลาง จำนวน 10 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 12.5

- ไดร้ ะดบั พอใช้ จำนวน 12 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 15.0

- ไดร้ ะดับปรับปรงุ จำนวน 6 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 7.5

1.2 ผลการประเมนิ ด้านทกั ษะกระบวนการ/ดา้ นทกั ษะผู้เรยี นในศตวรรษท่ี 21

1.2.1 จากการประเมินโดยใช้แบบประเมนิ ทกั ษะในการ สงั เกตความสนใจในการร่วมกจิ กรรม

พบว่ามีนกั เรยี น

- ไดร้ ะดับดี จำนวน 30 คน คิดเป็นร้อยละ 37.5

- ได้ระดบั พอใช้ จำนวน 40 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 50.0

- ไดร้ ะดับปรับปรงุ จำนวน 10 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 12.5

1.2.2 จากการประเมนิ โดยใชแ้ บบประเมินการเขียนรายงานและการนำเสนอ ในการจัดกจิ กรรม

พบว่ามนี กั เรยี น

- ไดร้ ะดับดี จำนวน 40 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 50.0

- ได้ระดบั พอใช้ จำนวน 35 คน คิดเปน็ ร้อยละ 43.8

- ไดร้ ะดบั ปรบั ปรงุ จำนวน 5 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 6.2

1.3 ผลการประเมินด้านคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์/สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น โดยใช้แบบประเมนิ พฤติกรรมการ

ทำงานกลุ่มของนักเรยี น พบว่ามนี กั เรยี น

- ไดร้ ะดบั ดี จำนวน 75 คน คิดเปน็ ร้อยละ 93.2

- ไดร้ ะดบั พอใช้ จำนวน 5 คน คิดเปน็ ร้อยละ 6.8

- ได้ระดบั ปรับปรุง จำนวน - คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ -

2. ปัญหา/อุปสรรค
นกั เรยี นบางสว่ นไมม่ คี วามรพู้ ้ืนฐานทางคณิตศาสตร์

3. ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ปญั หา
ควรทบทวนความร้พู น้ื ฐานทางคณติ ศาสตร์ กอ่ นเข้าบทเรยี น เพ่ือให้นักเรียนไดเ้ ข้าใจในเนอ้ื หามากยงิ่ ขน้ึ

ลงชื่อ …………………ก……า………………
(นางสาวนิปทั มา นิเฮง)
ครผู ู้สอน

นิ

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2

การเคลอื่ นทแ่ี นวตรง

เรื่อง การเคลอ่ื นท่ีแนวตรง

❑ ตาแหนง่
❑ การกระจัดและระยะทาง
❑ อัตราเรว็ และความเรว็
❑ อัตราเรง่ และความเรง่
❑ กราฟของการเคลื่อนทแี่ นวตรง
❑ สมการสาหรบั การเคลอ่ื นทแ่ี นวตรง

เอกสารประกอบการเรยี นบทที่ 2

โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ จงั หวดั ปตั ตานี

22

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 4 กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4
โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ จงั หวัดปัตตานี
วิชา ว 31201 ฟิสิกส์ 1 ชือ่ หน่วย : การเคล่ือนทแ่ี นวตรง
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 จำนวน 2 ชั่วโมง
เรอ่ื ง ตำแหนง่

1. สาระ/มาตรฐานการเรยี นรู/้ ผลการเรยี นรู้/ตัวช้วี ัด
มาตรฐานการเรียนรู้
เข้าใจธรรมชาติทางฟสิ ิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลือ่ นที่แนวตรง แรงและกฎการเคล่อื นท่ีของ

นิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสยี ดทาน สมดุลกลของวัตถุ งาน และกฎการอนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตมั และ
กฎการอนุรักษ์โมเมนตัม การเคลื่อนท่แี นวโค้ง รวมทั้งนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์

ตวั ชวี้ ัด/ผลการเรียนรู้
1. ทดลอง และอธิบายความสมั พันธร์ ะหว่างตำแหนง่ การกระจัด ความเร็ว และความเรง่ ของ
การเคลื่อนที่ของวัตถใุ นแนวตรงที่มีความเร่งคงตัวจากกราฟและสมการ รวมทั้งทดลองหาคา่ ความเรง่
โน้มถ่วงของโลก และคำนวณปริมาณตา่ ง ๆ ที่เก่ียวขอ้ ง

2. สาระสำคญั (ความคิดรวบยอด)
การระบุตำแหน่งต้องมตี ำแหนง่ อ้างองิ เสมอ

3. สาระการเรียนรู้
การระบตุ ำแหน่ง (position) ของวตั ถใุ นแนวตรงตอ้ งบอกเทยี บกับจุด ๆ หนึง่ ในแนวการเคล่ือนที่ เรียกวา่

จุดอ้างอิง

4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้

1. ความรู้ (K)

อธบิ ายความหมายตำแหนง่ ได้

2. ทักษะ/กระบวนการ (P)

คำนวณและระบุตำแหน่งของวตั ถไุ ด้

3. คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A)

คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับ

ปรบั ปรงุ 2560)

 มวี ินยั  ใฝ่เรยี นรู้  มงุ่ มั่นในการทำงาน

คณุ ลกั ษณะของผเู้ รยี นตามหลักสตู รมาตรฐานสากล

 เป็นเลศิ วชิ าการ  ล้ำหนา้ ทางความคิด

23

5. จดุ เน้นสกู่ ารพฒั นาคุณภาพผเู้ รยี น
ความสามารถและทักษะผูเ้ รยี นในศตวรรษที่ 21 ( 3Rs 8Cs 2Ls )
1. ทกั ษะในสาระวิชาหลัก (3Rs)
1.1  Reading (อ่าน) 1.2  (W)Riting (เขยี น) 1.3  (A)Rithemetics (คณิตฯ)
2. ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม (8Cs)
2.1  Critical Thinking and Problem Solving (การคดิ วจิ ารณญาณ และแกป้ ญั หา)
2.4  Collaboration, Teamwork and Leadership (การทำงานเปน็ ทีม ภาวะผ้นู ำ)
2.8  Compassion (คณุ ธรรม เมตตา กรณุ า ระเบียบวินัย)
3. ทักษะการเรยี นรู้และภาวะผูน้ ำ (2Ls)
3.1  Learning (ทักษะการเรียนร)ู้ 3.2  Leadership (ภาวะผ้นู ำและความรบั ผดิ ชอบ)

6. การบูรณาการตามพระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ ( เฉพาะท่ีเกิดในแผนการจดั การเรยี นรู้ )
บูรณาการกบั คา่ นิยม 12 ประการ
 2. ซอ่ื สัตย์ เสยี สละ อดทน มอี ุดมการณใ์ นสิง่ ท่ีดีงามเพ่ือส่วนรวม
 4. ใฝห่ าความรู้ หมัน่ ศึกษาเลา่ เรยี นทัง้ ทางตรงและทางออ้ ม
 9. มสี ติรู้ตวั ร้คู ดิ รทู้ ำ

7. ภาระงาน / ช้ินงาน
ภาระงาน - ศึกษาใบความรู้ ปฏบิ ัติกิจกรรมในแบบฝึกหัด

8. กิจกรรมการเรียนรู้
1. ข้ันสรา้ งความสนใจ
1.1 ครูยกสถานการณ์ว่า ถ้าครูไปเยี่ยมนักเรียน นักเรียนจะมีวิธีการบอกอย่างไรให้ครูไปถึงบ้านของ
นักเรียนได้อย่างถูกต้อง (แนวคำตอบ : บอกสถานที่ที่ใหญ่ๆเป็นรู้จักที่อยู่ใกล้บ้านที่สุดเป็น
ตำแหน่งอ้างองิ หรอื จุดเรม่ิ ตน้ )
1.2 ครูทบทวนเรื่องความแตกต่างระหว่างปริมาณเวกเตอร์กับปริมาณสเกลาร์ ว่าปริมาณเวกเตอร์
เปน็ ปรมิ าณท่มี ีทง้ั ขนาดและทิศทาง ส่วนปริมาณสเกลารเ์ ป็นปรมิ าณทมี่ เี พยี งแค่ขนาด
2. ขนั้ สำรวจและคน้ หา
2.1 ครูให้นักเรยี นศึกษาความรู้เพิ่มเติมวา่ สามารถระบุตำแหน่งของวตั ถุใด ๆ ด้วย เวกเตอร์ตำแหน่ง
ที่บอกระยะห่างและทิศทางเทียบกับจุดอ้างอิง ดังตัวอย่างตามรูป 2.1 เวกเตอร์ตำแหน่งของ
รถยนต์ ในหนังสอื ฟสิ กิ สเ์ พมิ่ เติม 1 สสวท. ไดอ้ ยา่ งไร (คำตอบเป็นแบบปลายเปดิ )

24

3. ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป
3.1 ครูนำอภิปรายจนได้ข้อสรปุ วา่ การระบตุ ำแหน่งของวตั ถุจำเป็นต้องมีตำแหน่งอ้างอิงและในกรณี
การเคลื่อนที่แนวตรง เครื่องหมาย + (หรือ -) ที่ใส่เพื่อบอกค่าตัวแปรที่เป็นค่าบวก (หรือค่าลบ)
เป็นการใส่ เพื่อบอกทิศทางเวกเตอร์ตำแหน่งของวัตถุ รวมทั้งไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องหมาย “ ”
บนตัวแปร ครูควรเน้นว่า การบอกเวกเตอร์ตำแหน่งโดยทั่วไปจะกำหนดให้จุดอ้างอิงเป็นจุด
กำเนิดของแกนพิกัด เช่น จากรูป 2.1 ถ้ามีเด็กยืนตรงกึ่งกลางระหว่างรถยนต์และคนทางซ้าย
เวกเตอร์ตำาแหน่งของเด็กคอื x = +1 m

4. ขน้ั ขยายความรู้
4.1 ครใู ห้ความรู้เพิ่มเติมว่า การกำหนดให้จุดอื่นที่ไม่ใช่จดุ กำเนิดของแกนพิกัดเป็นจุดอ้างอิง จะต้อง
มีสัญลักษณ์ตัวห้อย เช่น จากรูป 2.1 ในการบอกตำแหน่งรถ เทียบกับคนโดยไม่ใช้คนเป็นจุด
กำเนิดของแกนพิกดั จะเขียนเปน็ XAB (เมื่อ B เป็นตำแหน่งรถ และ A เปน็ ตำแหน่งคน) และจะ
เขยี นตำแหนง่ ของรถเทยี บกับคนไดเ้ ป็น X = +6 m ซงึ่ ก็คือ ใชค้ นท่เี ป็นจุดกำเนดิ ของแกนพกิ ดั
4.2 ครูตั้งคำถามให้นักเรยี นอภิปรายรว่ มกนั เพื่อสรุปความรูเ้ กีย่ วกับตำแหน่งและการนำส่งิ ท่ีได้เรียนรู้
ไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจำวัน

5. ขัน้ ประเมนิ ผล
5.1 ครูทดสอบความรู้เกี่ยวกับตำแหน่ง จากการสรุป การนำเสนอ คำถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 2.1
ในหนังสือฟสิ ิกสเ์ พ่ิมเติม 1 สสวท.

9. สือ่ การเรยี นร/ู้ วัสดุอุปกรณ์ /แหล่งเรียนรู้
สอ่ื 1. เอกสารประกอบการเรยี นเรอ่ื ง การเคล่ือนที่แนวตรง
แหลง่ เรยี นรู้ 1. www.google.co.th 2. หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสกิ ส์ เล่ม 1 (สสวท.)

25

10. การวดั และประเมินผล

การวัดประเมินผลด้าน วธิ ีการวัด เคร่ืองมือวัด เกณฑก์ ารผา่ น
1. ด้านความรู้ (K)
1. ทดสอบ 1. แบบทดสอบ ได้คะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป
2. สรปุ ความคิด

2. ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) สงั เกตจากการปฏบิ ัติ 1. แบบสงั เกต ได้คะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป
กจิ กรรมในชั้นเรียน 2. แบบประเมนิ

3. ด้านคุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ (A) การสงั เกตพฤติกรรมความ แบบสังเกต ได้คะแนนในระดบั พอใช้ขน้ึ ไป
สนใจและต้ังใจเรียน

4. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน การสังเกตพฤติกรรมความ แบบประเมนิ ได้คะแนนในระดับพอใช้ขึ้นไป

5 ประการ สนใจและต้งั ใจเรยี น

5. ด้านทักษะผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21 การสังเกตพฤติกรรมความ แบบประเมนิ ไดค้ ะแนนในระดบั พอใช้ขึ้นไป

(21st Century Skills สนใจและต้ังใจเรียน

26

บันทึกหลังการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ท่ี 4

เร่ือง ตำแหนง่

1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้

จากการประเมินผลจาก การจดั กจิ กรรม โดยครใู ชค้ ำถามในการจดั กิจกรรม เพ่ือใหน้ ักเรยี นได้ชว่ ยกัน คดิ อภปิ รายผล ของ

นกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 4 จำนวน 80 คน โดยการประเมินตามจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ผลปรากฏดงั น้ี

1.1 ผลการประเมินดา้ นความรู้

1.1.1 จากการประเมินแบบทดสอบหลังเรยี น พบว่ามีนักเรยี น

- ไดร้ ะดบั ดมี าก จำนวน 30 คน คดิ เป็นร้อยละ 37.5

- ไดร้ ะดับดี จำนวน 22 คน คิดเป็นร้อยละ 27.5

- ไดร้ ะดับปานกลาง จำนวน 10 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 12.5

- ไดร้ ะดบั พอใช้ จำนวน 12 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 15.0

- ไดร้ ะดบั ปรบั ปรงุ จำนวน 6 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 7.5

1.2 ผลการประเมนิ ด้านทกั ษะกระบวนการ/ดา้ นทกั ษะผเู้ รยี นในศตวรรษท่ี 21

1.2.1 จากการประเมินโดยใช้แบบประเมนิ ทักษะในการ สงั เกตความสนใจในการร่วมกจิ กรรม

พบว่ามนี กั เรยี น

- ได้ระดับดี จำนวน 35 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 43.8

- ได้ระดบั พอใช้ จำนวน 35 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 43.8

- ได้ระดับปรบั ปรงุ จำนวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 12.4

1.2.2 จากการประเมินโดยใชแ้ บบประเมินการเขยี นรายงานและการนำเสนอ ในการจัดกจิ กรรม

พบว่ามนี ักเรียน

- ไดร้ ะดบั ดี จำนวน 40 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 50.0

- ไดร้ ะดับพอใช้ จำนวน 35 คน คิดเปน็ ร้อยละ 43.8

- ได้ระดับปรบั ปรุง จำนวน 5 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 6.2

1.3 ผลการประเมินดา้ นคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์/สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น โดยใช้แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการ

ทำงานกลมุ่ ของนกั เรยี น พบวา่ มีนกั เรียน

- ได้ระดบั ดี จำนวน 75 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 93.2

- ไดร้ ะดบั พอใช้ จำนวน 5 คน คดิ เป็นร้อยละ 6.8

- ได้ระดับปรับปรงุ จำนวน - คน คดิ เป็นร้อยละ -

2. ปัญหา/อปุ สรรค
นักเรยี นบางสว่ นไมส่ นใจ ในขณะทค่ี รูกำลังอภิปรายหาขอ้ สรปุ

3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา
ควรมกี จิ กรรมเคลื่อนไหวแทรกระหว่างทคี่ รกู ับนักเรียนรว่ มกันอภปิ ราย เพื่อดงึ ดูดความสนใจตลอดการจดั กิจกรรม

ลงชื่อ …………………ก……า………………
(นางสาวนิปทั มา นเิ ฮง)
ครูผสู้ อน

นิ

27

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 5 กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4
โรงเรียนเบญจมราชทู ศิ จงั หวัดปัตตานี
วชิ า ว 31201 ฟิสิกส์ 1 ชื่อหน่วย : การเคลอื่ นท่ีแนวตรง
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 จำนวน 2 ช่วั โมง
เรอ่ื ง การกระจัดและระยะทาง

1. สาระ/มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ผลการเรยี นรู้/ตวั ช้ีวัด
มาตรฐานการเรียนรู้
เขา้ ใจธรรมชาตทิ างฟิสกิ ส์ ปริมาณและกระบวนการวดั การเคลอื่ นทแี่ นวตรง แรงและกฎการเคลอื่ นท่ีของ

นิวตนั กฎความโนม้ ถ่วงสากล แรงเสียดทาน สมดลุ กลของวัตถุ งาน และกฎการอนรุ ักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและ
กฎการอนรุ ักษ์โมเมนตัม การเคล่ือนท่แี นวโคง้ รวมท้ังนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ตัวชีว้ ดั /ผลการเรียนรู้
1. ทดลอง และอธบิ ายความสมั พันธร์ ะหวา่ งตำแหน่ง การกระจัด ความเร็ว และความเร่งของ
การเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวตรงที่มีความเร่งคงตัวจากกราฟและสมการ รวมทั้งทดลองหาค่าความเรง่
โนม้ ถ่วงของโลก และคำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กีย่ วขอ้ ง

2. สาระสำคญั (ความคดิ รวบยอด)
การเคล่ือนท่ีแนวตรงท้ังในแนวระดบั และแนวด่งิ เปน็ การเคล่ือนท่ภี ายใต้แรงโน้มถ่วงของโลก แนวด่งิ การ

เคล่ือนทข่ี องวตั ถจุ ะมีความสัมพนั ธ์กบั ระยะทาง การกระจดั เวลา อตั ราเรว็ ความเรว็ ความเร่ง และทิศทาง

3. สาระการเรยี นรู้
การระบุตำแหนง่ (position) ของวตั ถใุ นแนวตรงตอ้ งบอกเทยี บกบั จุด ๆ หนึ่งในแนวการเคล่ือนท่ี เรยี กว่า

จุดอ้างอิง เมื่อวัตถุมีการเคลื่อนที่ ตำแหน่งของวัตถุนั้นจะเปลี่ยนไป การเปลี่ยนตำแหน่งของวัตถุ เรียกว่า การ
กระจัด (displacement) การกระจดั เปน็ ปริมาณเวกเตอร์ท่บี อกทั้งขนาดและทิศทาง
ส่วนความยาวตามเส้นทางท่วี ตั ถเุ คลอ่ื นที่ เรยี กวา่ ระยะทาง (distance) d

4. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. ความรู้ (K)
อธิบายความหมาย บอกความแตกตา่ งระหว่างตำแหน่ง ระยะทาง และการกระจดั ได้ถูกตอ้ ง
2. ทกั ษะ/กระบวนการ (P)
คำนวณระยะทางและการกระจดั การเคลือ่ นทีข่ องวัตถุได้
3. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับ
ปรบั ปรงุ 2560)

28

 มีวินยั  ใฝเ่ รียนรู้  มงุ่ มัน่ ในการทำงาน

คุณลกั ษณะของผู้เรียนตามหลกั สูตรมาตรฐานสากล

 เป็นเลิศวชิ าการ  ลำ้ หนา้ ทางความคดิ

5. จุดเน้นส่กู ารพัฒนาคณุ ภาพผเู้ รยี น
ความสามารถและทักษะผเู้ รียนในศตวรรษที่ 21 ( 3Rs 8Cs 2Ls )
1. ทักษะในสาระวิชาหลกั (3Rs)
1.1  Reading (อา่ น) 1.2  (W)Riting (เขยี น) 1.3  (A)Rithemetics (คณิตฯ)
2. ทักษะการเรียนรูแ้ ละนวตั กรรม (8Cs)
2.1  Critical Thinking and Problem Solving (การคดิ วจิ ารณญาณ และแก้ปัญหา)
2.4  Collaboration, Teamwork and Leadership (การทำงานเป็นทมี ภาวะผนู้ ำ)
2.8  Compassion (คุณธรรม เมตตา กรุณา ระเบยี บวินัย)
3. ทักษะการเรยี นรูแ้ ละภาวะผู้นำ (2Ls)
3.1  Learning (ทกั ษะการเรยี นรู)้ 3.2  Leadership (ภาวะผูน้ ำและความรับผิดชอบ)

6. การบรู ณาการตามพระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแห่งชาติ ( เฉพาะท่ีเกดิ ในแผนการจัดการเรียนรู้ )
บรู ณาการกับคา่ นิยม 12 ประการ
 2. ซื่อสตั ย์ เสียสละ อดทน มีอุดมการณ์ในสงิ่ ที่ดีงามเพ่ือสว่ นรวม
 4. ใฝ่หาความรู้ หมัน่ ศึกษาเล่าเรยี นทง้ั ทางตรงและทางออ้ ม
 9. มสี ตริ ตู้ ัว รู้คดิ ร้ทู ำ

7. ภาระงาน / ช้ินงาน
ภาระงาน - ศึกษาใบความรู้ ปฏิบตั ิกิจกรรมในแบบฝึกหัด

8. กิจกรรมการเรียนรู้
1. ขนั้ สรา้ งความสนใจ
1.1 ครยู กสถานการณว์ า่ ถา้ ครูไปเยยี่ มนกั เรียน นักเรยี นจะมวี ธิ กี ารบอกอยา่ งไรให้ครไู ปถงึ บ้านของ
นกั เรียนได้อยา่ งถูกต้อง (แนวคำตอบ : บอกสถานท่ีทใ่ี หญๆ่ เป็นรจู้ ักท่ีอยู่ใกลบ้ ้านทสี่ ดุ เป็น
ตำแหน่งอ้างองิ หรือจดุ เริ่มตน้ )
1.2 ครูทบทวนเรื่องความแตกต่างระหว่างปริมาณเวกเตอร์กับปริมาณสเกลาร์ ว่าปริมาณเวกเตอร์
เป็นปรมิ าณที่มที ้งั ขนาดและทศิ ทาง สว่ นปริมาณสเกลาร์เปน็ ปริมาณทีม่ เี พียงแค่ขนาด
1.3 ครูถามนักเรียนวา่ การเคลือ่ นท่ีของวัตถุ เกยี่ วข้องกับส่ิงใดบา้ ง (แนวคำตอบ : การเปลย่ี น
ตำแหนง่ เมื่อเวลาเปลยี่ นไป)

29

2. ข้นั สำรวจและคน้ หา
2.1 ให้นักเรียนคนหนึ่งมายืนหน้าชั้นจากนั้นให้เดินในแนวตรงจากผนังด้านหนึ่งของห้องเรียนไปถึง
ผนังอีกด้านหนึ่ง แล้วตั้งคำถามว่า การกระจัดและระยะทางที่มีค่าเท่ากันหรือไม่ จากนั้นให้
นักเรียนคนเดิมเดินย้อนกลับมาที่จุดตั้งต้น แล้วครูใช้คำถามว่า เมื่อเดินไปและกลับถึงตำแหน่ง
เดิม การกระจดั และระยะทางมีค่าเท่ากันหรือไมอ่ ยา่ งไร (คำตอบเป็นแบบปลายเปดิ )
2.2 ครูแบ่งนักเรียนออกเปน็ กลมุ่ กลุ่มละ 4–5 คน กำหนดให้แต่ละกลุ่มสืบคน้ ในหวั ขอ้
การคำนวณหาระยะทางและการกระจัด โดยให้นักเรียนแต่ละร่วมกันวางแผนการสืบค้นทั้งจาก
หนังสือเรยี น

3. ขัน้ อธิบายและลงข้อสรปุ
3.1 ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายสรุปการทำกิจกรรมว่าการเดินของนักเรียนในช่วงแรก การ
กระจัดและระยะทางมีค่าเท่ากัน ซึ่งเท่ากับระยะจากผนังห้องด้านหนึ่งถึงอีกด้านหนึ่ง ในขณะท่ี
การเดินทั้งไปและกลับถึงตำแหน่งเดิม การกระจัดเท่ากับศูนย์แต่ระยะทางเท่ากับสองเท่าของ
ระยะจากผนงั หอ้ งดา้ นหน่งึ ถึงอีกด้านหน่งึ
3.2 ครูเน้นกับนักเรียนว่าการกระจัด คือปริมาณเวกเตอรม์ ีทิศออกจากตำแหน่งเริ่มต้นไปยังตำแหน่ง
สุดท้าย มีขนาดเท่ากับระยะห่างระหว่างตำแหน่งเริ่มต้มและตำแหน่งสุดท้าย ส่วนระยะทางคือ
ความยาวของเส้นทางตลอดการเคลื่อนที่ตั้งแต่ตำแหน่งเริ่มต้นถึงตำแหน่งสุดท้าย เป็นปริมาณ
สเกลาร์ ระยะทางไมจ่ ำเป็นต้องมีคา่ เทา่ กบั ขนาดของการกระจดั

4. ขั้นขยายความรู้
4.1 ครูอธิบายตัวอย่าง 2.1 ในหนังสือฟิสิกส์เพิ่มเติม 1 สสวท. เพื่อย้ำความเข้าใจของนักเรียน
เกี่ยวกับการคำนวณการกระจัดและระยะทาง ให้นักเรียนอภิปรายเพื่อสรุปความรู้ที่ได้เกี่ยวกับ
การกระจัดและระยะทาง ดังนี้ ระยะทาง (distance) คือ ระยะทั้งหมดที่วัดได้ตามแนวการ
เคล่ือนที่ ระยะทางจะระบุแตข่ นาดเพียงอย่างเดียว จึงจัดวา่ เป็นปริมาณสเกลาร์ หน่วยเป็นเมตร
(m) ส่วนการกระจัด (displacement) คือ ระยะที่วัดได้ในแนวเส้นตรงจากตำแหน่งเริ่มต้นไปยัง
ตำแหน่งสุดท้าย ซึ่งเป็นปริมาณเวกเตอร์ที่ต้องระบุทั้งขนาดและทิศทาง มีหน่วยเป็นเมตร (m)
ครูอธิบายชี้ให้นักเรียนเห็นว่า ระยะทางขึ้นอยู่กับเส้นทางการเคลื่อนที่จริง ส่วนการกระจัดจะ
ขึ้นอยู่กับตำแหน่งเริ่มต้นและตำแหน่งสุดท้ายของการเคลื่อนที่ และระยะทางจะมีขนาดเท่ากับ
การกระจดั ในกรณีท่ีวัตถเุ คล่ือนทีเ่ ปน็ เส้นตรงและไม่เปล่ียนแปลงทิศทาง

5. ขัน้ ประเมนิ ผล
5.1 ครทู ดสอบความรเู้ ก่ียวกบั การกระจัดและระยะทาง จากการสรุป การนำเสนอ คำถามตรวจสอบ
ความเขา้ ใจ 2.2 และแบบฝกึ หดั 2.2 ในหนังสือฟสิ กิ ส์เพมิ่ เตมิ 1 สสวท.

9. สือ่ การเรียนร้/ู วัสดุอุปกรณ์ /แหล่งเรยี นรู้
สอ่ื 1. เอกสารประกอบการเรียนเรอ่ื ง การเคลื่อนท่ีแนวตรง
2. แบบฝึกหัด

30

แหล่งเรียนรู้ 1. www.google.co.th 2. หนงั สือเรียนรายวชิ าเพมิ่ เติม ฟสิ กิ ส์ เลม่ 1 (สสวท.)

10. การวัดและประเมนิ ผล

การวดั ประเมินผลดา้ น วธิ ีการวดั เคร่ืองมือวดั เกณฑก์ ารผ่าน

1. ด้านความรู้ (K) 1. ทดสอบ 1. แบบทดสอบ ได้คะแนนในระดบั พอใช้ขน้ึ ไป
2. สรุปความคิด

2. ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) สังเกตจากการปฏบิ ตั ิ 1. แบบสังเกต ได้คะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป

กจิ กรรมในชัน้ เรยี น 2. แบบประเมนิ

3. ด้านคณุ ลักษณะทพี่ ึงประสงค์ (A) การสงั เกตพฤติกรรมความ แบบสงั เกต ได้คะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป

สนใจและตง้ั ใจเรยี น

4. ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน การสังเกตพฤติกรรมความ แบบประเมิน ได้คะแนนในระดับพอใช้ขึ้นไป

5 ประการ สนใจและตั้งใจเรียน

5. ด้านทักษะผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21 การสงั เกตพฤติกรรมความ แบบประเมนิ ได้คะแนนในระดบั พอใช้ขึ้นไป

(21st Century Skills สนใจและตั้งใจเรียน

31

บนั ทึกหลังการจัดกจิ กรรมการเรยี นรูท้ ี่ 5

เร่ือง การกระจดั และระยะทาง

1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้

จากการประเมินผลจาก การจดั กจิ กรรม โดยครใู ชค้ ำถามในการจดั กจิ กรรม ยกตัวอยา่ งสถานการณ์ ให้ตวั แทนห้องออกมาสาธิต

การจดั กิจกรรม เพ่ือใหน้ ักเรยี นไดช้ ่วยกันคิด อภปิ รายผล ของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 จำนวน 80 คน โดยการประเมินตาม

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ผลปรากฏดงั นี้

1.1 ผลการประเมินดา้ นความรู้

1.1.1 จากการประเมนิ แบบทดสอบหลงั เรยี น พบว่ามีนักเรยี น

- ไดร้ ะดับดีมาก จำนวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 31.3

- ได้ระดับดี จำนวน 27 คน คิดเปน็ ร้อยละ 33.8

- ได้ระดบั ปานกลาง จำนวน 16 คน คิดเป็นร้อยละ 20.0

- ได้ระดับพอใช้ จำนวน 7 คน คิดเปน็ ร้อยละ 8.8

- ไดร้ ะดบั ปรบั ปรุง จำนวน 5 คน คดิ เป็นร้อยละ 6.3

1.2 ผลการประเมินดา้ นทักษะกระบวนการ/ดา้ นทักษะผูเ้ รียนในศตวรรษท่ี 21

1.2.1 จากการประเมนิ โดยใช้แบบประเมนิ ทกั ษะในการ สังเกตความสนใจในการร่วมกจิ กรรม

พบวา่ มีนกั เรยี น

- ได้ระดบั ดี จำนวน 35 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 43.8

- ไดร้ ะดบั พอใช้ จำนวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 43.8

- ไดร้ ะดับปรบั ปรงุ จำนวน 10 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 12.4

1.2.2 จากการประเมนิ โดยใช้แบบประเมินการเขยี นรายงานและการนำเสนอ ในการจดั กจิ กรรม

พบวา่ มนี กั เรียน

- ได้ระดบั ดี จำนวน 38 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 47.5

- ได้ระดับพอใช้ จำนวน 37 คน คิดเป็นร้อยละ 46.3

- ได้ระดับปรับปรงุ จำนวน 5 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 6.2

1.3 ผลการประเมนิ ด้านคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์/สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น โดยใชแ้ บบประเมนิ พฤติกรรมการ

ทำงานกลมุ่ ของนกั เรียน พบว่ามีนกั เรียน

- ไดร้ ะดับดี จำนวน 70 คน คดิ เป็นร้อยละ 87.5

- ไดร้ ะดับพอใช้ จำนวน 10 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 12.5

- ได้ระดับปรบั ปรุง จำนวน - คน คิดเป็นร้อยละ -

2. ปัญหา/อุปสรรค
นกั เรยี นบางสว่ นไมใ่ หค้ วามสนใจเวลาที่เพือ่ นออกมาทำกจิ กรรม

3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกป้ ัญหา
ควรจัดกจิ กรรมในรูปแบบสถานการณส์ มมตทิ ่เี ชอ่ื มโยงกบั บรรยากาศใหห้ ้องเรียน มสี ือ่ แสดงให้เห็นเหตุกาณอ์ ยา่ งชัดเชน เพ่อื ให้
นักเรยี นทกุ คนไดม้ สี ว่ นรว่ มในการหาคำตอบนั้นๆ

ลงชอื่ …………………ก…า…………………
(นางสาวนิปัทมา นเิ ฮง)
ครูผูส้ อน

นิ

32

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 6 กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 4
โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ จังหวดั ปตั ตานี
วชิ า ว 31201 ฟิสกิ ส์ 1 ชื่อหน่วย : การเคลือ่ นทแี่ นวตรง
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 จำนวน 4 ชั่วโมง
เรื่อง อตั ราเรว็ และความเรว็

1. สาระ/มาตรฐานการเรียนรู้/ ผลการเรียนรู้/ตวั ชีว้ ัด
มาตรฐานการเรยี นรู้
เขา้ ใจธรรมชาตทิ างฟสิ ิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลื่อนท่ีแนวตรง แรงและกฎการเคล่อื นที่ของ

นวิ ตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสยี ดทาน สมดลุ กลของวัตถุ งาน และกฎการอนุรักษ์พลงั งานกล โมเมนตมั และ
กฎการอนรุ ักษ์โมเมนตัม การเคลอ่ื นทแ่ี นวโค้ง รวมท้ังนำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์

ตัวชว้ี ัด/ผลการเรียนรู้
1. ทดลอง และอธบิ ายความสัมพนั ธ์ระหว่างตำแหน่ง การกระจดั ความเรว็ และความเร่งของ
การเคลื่อนทีข่ องวัตถใุ นแนวตรงที่มีความเร่งคงตัวจากกราฟและสมการ รวมทั้งทดลองหาค่าความเร่ง
โน้มถ่วงของโลก และคำนวณปรมิ าณต่าง ๆ ทเี่ กย่ี วข้อง

2. สาระสำคญั (ความคิดรวบยอด)
การเคลื่อนท่ีของวัตถตุ า่ ง ๆ เม่ือนำไปเทียบกบั เวลา จะทำให้ร้วู ่าวตั ถนุ ้นั เคลื่อนท่เี ร็วหรือช้า เรยี กว่า

มอี ัตราเร็ว หรือ ความเร็ว โดย อัตราเรว็ คิดจากอตั ราการเปล่ียนแปลงระยะทาง จงึ เป็นปรมิ าณสเกลาร์
ส่วน ความเรว็ คิดจากอัตราการเปลย่ี นแปลงการกระจดั และเป็นปรมิ าณเวกเตอร์

3. สาระการเรยี นรู้

ปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ นอกจากการกระจัดและระยะทางแล้ว ยังมีอัตราเร็ว ความเร็วและ

ความเร่งระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได้ในหนึ่งหน่วยเวลา จะหมายถึง อัตราเร็วเฉลี่ย ( average speed)

vav= d
∆t

การกระจดั ตอ่ หนึ่งหนว่ ยเวลา เรียกว่า ความเร็วเฉลี่ย (average velocity) หรือ

⃑vx,av= ∆⃑x
∆t

ถ้า ∆t เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ จนเข้าใกล้ศูนย์ ความเร็วเฉลี่ยจะเป็น ความเร็วขณะหนึ่ง (instantaneous

velocity) ใช้สัญลักษณ์ v⃑ โดยขนาดของความเร็วขณะหนึ่งคือ อัตราเร็วขณะหนึ่ง (instantaneous speed) ใช้

สญั ลกั ษณ์ v

33

4. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้

1. ความรู้ (K)

อธบิ ายความหมายของอตั ราเรว็ และความเรว็ ได้

2. ทักษะ/กระบวนการ (P)

2.1 ทดลองหาขนาดความเรว็ เฉล่ยี และความเรว็ ขณะหน่ึงของวตั ถุได้

2.2 มีทักษะการคำนวณหาปริมาณต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับการเคลอื่ นท่ีได้

3. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)

คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคต์ ามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับ

ปรบั ปรงุ 2560)

 มวี ินยั  ใฝ่เรียนรู้  มงุ่ มัน่ ในการทำงาน

คณุ ลักษณะของผเู้ รยี นตามหลกั สูตรมาตรฐานสากล

 เปน็ เลศิ วิชาการ  ลำ้ หนา้ ทางความคิด

5. จดุ เนน้ สู่การพฒั นาคณุ ภาพผเู้ รียน
ความสามารถและทักษะผเู้ รียนในศตวรรษที่ 21 ( 3Rs 8Cs 2Ls )
1. ทกั ษะในสาระวิชาหลกั (3Rs)
1.1  Reading (อ่าน) 1.2  (W)Riting (เขียน) 1.3  (A)Rithemetics (คณิตฯ)
2. ทักษะการเรยี นรแู้ ละนวัตกรรม (8Cs)
2.1  Critical Thinking and Problem Solving (การคดิ วจิ ารณญาณ และแกป้ ญั หา)
2.4  Collaboration, Teamwork and Leadership (การทำงานเป็นทีม ภาวะผนู้ ำ)
2.8  Compassion (คณุ ธรรม เมตตา กรณุ า ระเบยี บวินยั )
3. ทกั ษะการเรียนร้แู ละภาวะผู้นำ (2Ls)
3.1  Learning (ทกั ษะการเรียนร้)ู 3.2  Leadership (ภาวะผนู้ ำและความรบั ผดิ ชอบ)

6. การบรู ณาการตามพระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแห่งชาติ ( เฉพาะที่เกดิ ในแผนการจัดการเรยี นรู้ )
บรู ณาการกบั ค่านยิ ม 12 ประการ
 2. ซอื่ สตั ย์ เสียสละ อดทน มีอุดมการณ์ในส่งิ ที่ดีงามเพื่อส่วนรวม
 4. ใฝห่ าความรู้ หมั่นศึกษาเล่าเรียนท้ังทางตรงและทางอ้อม
 9. มสี ติรู้ตวั รู้คดิ รู้ทำ

7. ภาระงาน / ช้ินงาน
ภาระงาน - ศึกษาใบความรู้ ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมในแบบฝึกหัด

34

8. กิจกรรมการเรียนรู้
1. ขน้ั สร้างความสนใจ
1.1 นักเรียนและครูร่วมกันทบทวนความรู้เดิม เกี่ยวกับ เรื่อง ปริมาณสเกลาร์และปริมาณเวกเตอร์
เชื่อมโยงเนือ้ หาโดยนักเรียนร่วมกันสนทนา เกี่ยวกับ การเคลื่อนที่มปี ริมาณใดบ้างที่เปน็ ปริมาณ
สเกลาร์และปริมาณเวกเตอร์ ลองยกตัวอย่าง (ท้ิงช่วงให้นักเรียนคิด) เพื่อเป็นความรู้พื้นฐาน
นำไปสู่การศึกษา เรอ่ื ง ปริมาณต่าง ๆ ของการเคล่ือนที่ เรอ่ื ง อตั ราเร็ว และความเร็ว
1.2 นักเรยี นรว่ มกนั อภิปรายเกยี่ วกบั การเคล่อื นทมี่ ปี รมิ าณใดบ้างท่เี ปน็ ปริมาณ สเกลาร์และปรมิ าณ
เวกเตอร์ ลองยกตวั อยา่ ง (เปิดโอกาสใหน้ ักเรียนไดแ้ สดงความคดิ เหน็ โดยไม่เน้นถูกผิด)
1.3 ครูถามนักเรียนว่าการที่จะบอกถึงวัตถุใดเคลื่อนที่ได้เร็วหรือช้ากว่ากันเกี่ยวข้องกับปริมาณที่
เรยี กว่าอะไรบ้าง (แนวคำตอบ : อัตราเรว็ และความเร็ว) และครูกถ็ ามนักเรียนต่อว่า การที่วัตถุมี
การเปลีย่ นแปลงความเร็วเกดิ จากปรมิ าณทเี่ รยี กว่าอะไร (แนวคำตอบ : อตั ราเร่งละความเร่ง)
2. ขัน้ สำรวจและค้นหา
2.1 ครูให้นักเรียนทำกิจกรรม 2.1 การทดลองเรื่องการหาขนาดของความเร็วเฉลี่ยและขนาดของ
ความเร็วขณะหน่งึ ในหนังสอื ฟิสกิ สเ์ พิ่มเตมิ 1 สสวท. และทำคำถามท้ายกจิ กรรม
2.2 ในการทำกิจกรรมครูเน้นย้ำว่า การเกิดจุดเป็นแถบกระดาษเป็นการแสดงเวลาของเครื่องเคาะ
สัญญาณ โดยการเคาะ1ครั้ง หมายถึง 1/50 วินาที ดังนั้นการนับว่าแต่ละช่วงใช้เวลาเท่าใด
หลังจากนับชว่ งของจุดแลว้ เวลาทใ่ี ช้ตอ้ งสว่ น 50 เสมอ
2.3 ครูให้นักเรียนนำผลที่ได้จากกิจกรรม 2.1 มาคำนวณหาค่าความเร่งเฉลี่ยและความเร่งขณะหนึ่ง
ของรถทดลอง และสรุปผลการทดลอง
3. ข้ันอธบิ ายและลงข้อสรปุ
3.1 จากการทำกิจกรรม 2.1 นักเรียนควรสรุปได้ว่า ลกั ษณะของจุดต่าง ๆ ที่ปรากฏบนแถบกระดาษ
บ่งบอกถึงการเคลื่อนที่ของรถทดลอง ถ้าช่วงจุดกว้างรถทดลองจะเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วสูงกว่า
ในช่วงที่มีช่วงจุดแคบกว่า โดยในแต่ละช่วงจุดใช้เวลาเท่ากัน คือ 1/50 วินาที ไม่ว่าช่วงจุดจะ
กว้างหรือแคบก็ตาม อัตราเร็วเฉลี่ยของรถทดลองตลอดการเคลื่อนที่หาได้จากการนำระยะทาง
ทั้งหมดหารด้วยเวลาที่ใช้ โดยในแต่ละช่วงจุดบนแถบกระดาษใช้เวลาเท่ากันคือ 1/50 วินาที
ส่วนอัตราเร็วขณะหนึ่งของรถทดลองหาได้จากการนำระยะทาง 2 ช่วงจุดหารด้วยเวลาที่ใช้คือ
2/50 วินาที
3.2 ครูและนักเรียนร่ว มกันอภ ิปรายคำถามท้ ายบทและไ ด้สรุปแนว คำต อบ ด ั ง น้ี
1. ระยะห่างระหว่างจุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายเป็นเท่าใด และมีกี่ช่วงจุด (แนวคำตอบ :
นักเรียนต้องทำการวัดจากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดสุดท้ายและบันทึกผลตามที่ได้ เช่น ระยะทาง
ระหว่างจุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายเป็น 8.27 เซนติเมตร มีทั้งหมด 8 จุด)
2. ช่วงเวลาระหว่างจุดเริ่มต้นและจุดสุดท้าย เป็นเท่าใดจดุ (แนวคำตอบ : นักเรียนต้อง
ทำการนับช่วงจากจุดเร่ิมต้นจนถึงจุดสุดท้ายและบันทึกผลตามที่ได้ เช่น ระยะทางระหว่าง

35

จุดเริ่มต้นและจุดสดุ ท้ายเป็น 8.27 เซนติเมตร มีทั้งหมด 8 จุด จะได้ช่วงเวลาเริ่มต้นและสุดทา้ ย

เป็น 8/50 วนิ าที)

3. ขนาดของความเร็วเฉลี่ยของรถทดลองในช่วงดังกล่าว เป็นเท่าใด (แนวคำตอบ : นำ

คำตอบในข้อท่ี 1 หารด้วย คำตอบข้อที่ 2 เช่น อัตราเร็วเฉลี่ยเท่ากับ (8.27)/(8/50) = 51.7

cm/s)

4. ระยะห่างระหว่างจุดที่ 4 และจุดที่ 6 จากจุดเริ่มต้นเป็นเท่าใด และมีกี่ช่วงจุด(แนว

คำตอบ : นักเรียนต้องทำการวัดจากจุดที่ 4 ถึงจุดที่ 6 และบันทึกผลตามที่ได้ เช่น ระยะทาง

ระหว่างจดุ ท่ี4และจดุ ที่6เป็น 1.82 เซนติเมตร มีท้งั หมด 2 ช่วงจุด)

5. ช่วงเวลาระหว่างจุดที่ 4 และจุดที่ 6 จากจุดเริ่มต้นเป็นเท่าใด (แนวคำตอบ : 2/50

วินาที

6. ขนาดของความเร็วขณะหนึ่งของรถทดลองที่เวลา 5/50 วินาที เป็นเท่าใด

(แนวคำตอบ : นำคำตอบในขอ้ ที่ 4 หารด้วยคำตอบข้อที่ 5 เชน่ (1.82)/(2/50) = 45.5 cm/s

4. ขนั้ ขยายความรู้

4.1 ครูใหค้ วามรเู้ พ่ิมเติม ดงั น้ี ปริมาณทเี่ กี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ นอกจากการกระจัดและระยะทาง

แล้ว ยังมีอัตราเร็ว ความเร็วและความเร่งระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได้ในหนึ่งหน่วยเวลา จะ

หมายถงึ อัตราเรว็ เฉลี่ย (average speed) vav = d
∆t
∆⃑x
การกระจดั ต่อหนง่ึ หนว่ ยเวลา เรียกวา่ ความเรว็ เฉล่ยี (average velocity) หรือ v⃑x,av = ∆t

ถ้า ∆t เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ จนเข้าใกล้ศูนย์ ความเร็วเฉลี่ยจะเป็น ความเร็วขณะหน่ึง

(instantaneous velocity) ใช้สัญลักษณ์ ⃑v โดยขนาดของความเร็วขณะหนึ่งคือ อัตราเร็ว

ขณะหนึ่ง (instantaneous speed) ใช้สญั ลักษณ์ v

5. ขน้ั ประเมินผล

5.1 ครูทดสอบความรู้เกี่ยวกับการอัตราเร็วและความเร็ว จากคำถามตรวจสอบความเข้าใจระหว่าง

เรยี น การสรุป การนำเสนอ คำถามตรวจสอบความเข้าใจ 2.3

5.2 ครูตรวจสอบ ทักษะการใชจ้ ำนวน การคิดวเิ คราะห์ ความสามารถในการแก้ปัญหาทำงานร่วมกับ

ผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นได้จากการแบบทดสอบและจากการทำ

กิจกรรม

9. สือ่ การเรียนรู้/วสั ดุอุปกรณ์ /แหลง่ เรยี นรู้
สอ่ื 1. เอกสารประกอบการเรียนเร่ือง การเคลื่อนที่แนวตรง
2. แบบฝกึ หัด
3. ชุดการทดลองตามกิจกรรมที่ 2.1 การทดลองเรื่องการหาขนาดของความเร็วเฉล่ีย

และขนาดของความเรว็ ขณะหนึ่ง ในหนงั สือฟิสิกส์เพม่ิ เติม 2 สสวท.

แหล่งเรยี นรู้ 1. www.google.co.th 2. หนงั สือเรยี นรายวิชาเพิม่ เติม ฟิสิกส์ เล่ม 1 (สสวท.)

36

10. การวดั และประเมินผล

การวัดประเมินผลด้าน วธิ ีการวัด เคร่ืองมือวัด เกณฑก์ ารผา่ น
1. ด้านความรู้ (K)
1. ทดสอบ 1. แบบทดสอบ ได้คะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป
2. สรปุ ความคิด

2. ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) สงั เกตจากการปฏบิ ัติ 1. แบบสงั เกต ได้คะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป
กจิ กรรมในชั้นเรียน 2. แบบประเมนิ

3. ด้านคุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ (A) การสงั เกตพฤติกรรมความ แบบสังเกต ได้คะแนนในระดบั พอใช้ขน้ึ ไป
สนใจและต้ังใจเรียน

4. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน การสังเกตพฤติกรรมความ แบบประเมนิ ได้คะแนนในระดับพอใช้ขึ้นไป

5 ประการ สนใจและต้งั ใจเรยี น

5. ด้านทักษะผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21 การสังเกตพฤติกรรมความ แบบประเมนิ ไดค้ ะแนนในระดบั พอใช้ขึ้นไป

(21st Century Skills สนใจและต้ังใจเรียน

37

บนั ทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ี 6

เรอ่ื ง อตั ราเร็วและความเร็ว

1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้

จากการประเมนิ ผลจาก การปฏบิ ตั กิ ิจกรรมการทดลอง โดยใหน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ ทำการทดลอง และร่วมกนั อภปิ ราย ของนักเรยี น

ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 จำนวน 80 คน โดยการประเมินตามจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ผลปรากฏดังน้ี

1.1 ผลการประเมนิ ด้านความรู้

1.1.1 จากการประเมินแบบทดสอบหลงั เรียน พบวา่ มนี ักเรยี น

- ไดร้ ะดบั ดีมาก จำนวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 31.3

- ได้ระดบั ดี จำนวน 30 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 37.5

- ไดร้ ะดบั ปานกลาง จำนวน 13 คน คิดเปน็ ร้อยละ 16.2

- ได้ระดบั พอใช้ จำนวน 7 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 8.7

- ได้ระดบั ปรบั ปรงุ จำนวน 5 คน คดิ เป็นร้อยละ 6.3

1.2 ผลการประเมนิ ด้านทกั ษะกระบวนการ/ดา้ นทกั ษะผู้เรียนในศตวรรษที่ 21

1.2.1 จากการประเมินโดยใช้แบบประเมินทกั ษะในการ สังเกตความสนใจในการร่วมกจิ กรรม

พบว่ามนี กั เรยี น

- ไดร้ ะดบั ดี จำนวน 38 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 47.5

- ได้ระดบั พอใช้ จำนวน 32 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 40.0

- ได้ระดบั ปรับปรุง จำนวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 12.5

1.2.2 จากการประเมนิ โดยใช้แบบประเมินการเขียนรายงานและการนำเสนอ ในการจัดกจิ กรรม

พบว่ามีนักเรยี น

- ไดร้ ะดับดี จำนวน 38 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 47.5

- ได้ระดบั พอใช้ จำนวน 37 คน คดิ เป็นร้อยละ 46.3

- ได้ระดบั ปรับปรงุ จำนวน 5 คน คดิ เป็นร้อยละ 6.2

1.3 ผลการประเมนิ ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์/สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน โดยใช้แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการ

ทำงานกลุ่มของนักเรียน พบวา่ มนี กั เรยี น

- ไดร้ ะดบั ดี จำนวน 70 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 87.5

- ได้ระดบั พอใช้ จำนวน 10 คน คิดเปน็ ร้อยละ 12.5

- ไดร้ ะดบั ปรับปรงุ จำนวน - คน คิดเป็นร้อยละ -

2. ปัญหา/อปุ สรรค
เวลาไมเ่ พียงพอในการทำการทดลอง เนอ่ื งจากมีนักเรยี นบางส่วนยังมีปญั หาเร่อื งการคำนวณทำให้การทดลองลา่ ช้า

3. ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา
ควรเนน้ การนบั จุดเป็นแถบกระดาษ และวิธกี ารคำนวณให้ชัดเจนย่งิ ข้นึ

ลงชือ่ …………………ก……า………………
(นางสาวนิปัทมา นิเฮง)
ครผู สู้ อน

นิ

38

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 7 กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์
ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4
โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จงั หวัดปตั ตานี
วชิ า ว 31201 ฟสิ กิ ส์ 1 ช่อื หน่วย : การเคล่ือนทีแ่ นวตรง
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 2 จำนวน 4 ช่ัวโมง
เรอื่ ง อัตราเรง่ และความเรง่

1. สาระ/มาตรฐานการเรยี นร้/ู ผลการเรียนรู้/ตวั ชีว้ ดั
มาตรฐานการเรียนรู้
เข้าใจธรรมชาตทิ างฟสิ ิกส์ ปริมาณและกระบวนการวดั การเคล่อื นทแี่ นวตรง แรงและกฎการเคลอ่ื นที่ของ

นวิ ตนั กฎความโนม้ ถ่วงสากล แรงเสยี ดทาน สมดุลกลของวัตถุ งาน และกฎการอนรุ ักษ์พลงั งานกล โมเมนตัมและ
กฎการอนรุ ักษ์โมเมนตัม การเคลอ่ื นที่แนวโค้ง รวมท้ังนำความรู้ไปใช้ประโยชน์

ตวั ช้วี ัด/ผลการเรียนรู้
1. ทดลอง และอธบิ ายความสัมพันธ์ระหว่างตำแหนง่ การกระจัด ความเร็ว และความเรง่ ของ
การเคลื่อนทีข่ องวัตถใุ นแนวตรงที่มีความเรง่ คงตัวจากกราฟและสมการ รวมทั้งทดลองหาค่าความเรง่
โนม้ ถว่ งของโลก และคำนวณปรมิ าณต่าง ๆ ท่เี ก่ยี วขอ้ ง

2. สาระสำคัญ (ความคดิ รวบยอด)
การเคลื่อนที่ของวัตถุใด ๆ เมื่อความเร็วไม่เท่าเดิม แสดงว่ามีการเร่งให้วัตถุนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลง ซ่ึง

เรียกว่า เกิดความเร่งขึ้นกับวัตถุนั้น และขนาดของความเร่ง จะหาได้จาก อัตราการเปลี่ยนแปลงของความเร็ว
ความเร่งจึงเป็นปริมาณเวกเตอร์

3. สาระการเรยี นรู้

ความเร็วที่เปลี่ยนไปในหนึ่งหน่วยเวลา เรียกว่า ความเร่ง (acceleration) สำาหรับความเร่งในช่วงเวลา

การเคลื่อนที่ใด ๆ เรียกว่า ความเร่งเฉลี่ย a⃑av (average acceleration) ซึ่งเป็นอัตราส่วนระหว่าง ความเร็วที่
เปล่ียนไปทัง้ หมดกบั ช่วงเวลาทเี่ กิดการเปล่ยี นความเรว็ น้นั

a⃑av= ∆v⃑
∆t

ถา้ ∆t เป็นชว่ งเวลาสัน้ ๆ จนเข้าใกลศ้ ูนย์ ความเร่งในชว่ งเวลาดังกลา่ วจะเปน็ ความเรง่ ขณะหนึง่

(instantaneous acceleration) a⃑= ∆v⃑ เมื่อ ∆t เขา้ ใกลศ้ นู ย์
∆t

39

4. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้

1. ความรู้ (K)

อธิบายความหมายของอตั ราเร่ง และความเรง่ ได้

2. ทักษะ/กระบวนการ (P)

2.1 ทดลองหาความเร่งเฉลี่ยและความเรง่ ขณะหนงึ่ ของรถทดลองได้

2.2 มีทักษะการคำนวณหาปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ได้

3. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ (A)

คุณลกั ษณะอนั พึงประสงคต์ ามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับ

ปรับปรงุ 2560)

 มวี ินยั  ใฝเ่ รียนรู้  มุ่งมนั่ ในการทำงาน

คุณลกั ษณะของผู้เรยี นตามหลักสตู รมาตรฐานสากล

 เป็นเลิศวิชาการ  ลำ้ หนา้ ทางความคิด

5. จุดเนน้ สกู่ ารพัฒนาคุณภาพผเู้ รียน
ความสามารถและทักษะผเู้ รยี นในศตวรรษท่ี 21 ( 3Rs 8Cs 2Ls )
1. ทกั ษะในสาระวิชาหลกั (3Rs)
1.1  Reading (อา่ น) 1.2  (W)Riting (เขยี น) 1.3  (A)Rithemetics (คณิตฯ)
2. ทกั ษะการเรยี นร้แู ละนวตั กรรม (8Cs)
2.1  Critical Thinking and Problem Solving (การคิดวิจารณญาณ และแก้ปัญหา)
2.4  Collaboration, Teamwork and Leadership (การทำงานเปน็ ทมี ภาวะผู้นำ)
2.8  Compassion (คุณธรรม เมตตา กรณุ า ระเบยี บวินัย)
3. ทกั ษะการเรียนรแู้ ละภาวะผ้นู ำ (2Ls)
3.1  Learning (ทักษะการเรยี นร้)ู 3.2  Leadership (ภาวะผ้นู ำและความรับผดิ ชอบ)

6. การบรู ณาการตามพระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ ( เฉพาะท่ีเกิดในแผนการจัดการเรียนรู้ )
บรู ณาการกับคา่ นิยม 12 ประการ
 2. ซอ่ื สัตย์ เสยี สละ อดทน มีอุดมการณใ์ นสง่ิ ทด่ี ีงามเพ่ือส่วนรวม
 4. ใฝห่ าความรู้ หมั่นศกึ ษาเล่าเรียนทั้งทางตรงและทางออ้ ม
 9. มสี ตริ ตู้ ัว รู้คิด รูท้ ำ

7. ภาระงาน / ช้ินงาน
ภาระงาน - ศึกษาใบความรู้ ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมในแบบฝึกหัด

40

8. กิจกรรมการเรียนรู้
1. ขน้ั สร้างความสนใจ
1.1 นักเรียนและครูร่วมกันทบทวนความรู้เดิม เกี่ยวกับ เรื่อง ปริมาณสเกลาร์และปริมาณเวกเตอร์
เชื่อมโยงเนือ้ หาโดยนักเรียนร่วมกันสนทนา เกี่ยวกับ การเคลื่อนที่มปี ริมาณใดบ้างที่เป็นปริมาณ
สเกลาร์และปริมาณเวกเตอร์ ลองยกตัวอย่าง (ทิ้งช่วงให้นักเรียนคิด) เพื่อเป็นความรู้พื้นฐาน
นำไปสู่การศึกษา เรื่อง ปริมาณต่าง ๆ ของการเคลื่อนท่ี เรื่อง อัตราเร็ว ความเร็ว อัตราเร่ง และ
ความเร่ง
1.2 ครูถามนักเรียนว่าการที่จะบอกถึงวัตถุใดเคลื่อนที่ได้เร็วหรือช้ากว่ากันเกี่ยวข้องกับปริมาณท่ี
เรียกวา่ อะไรบ้าง (แนวคำตอบ : อัตราเร็วและความเร็ว) และครูก็ถามนักเรยี นต่อว่า การท่ีวัตถุมี
การเปลีย่ นแปลงความเร็วเกิดจากปรมิ าณที่เรียกว่าอะไร (แนวคำตอบ : อตั ราเร่งละความเรง่ )
2. ขั้นสำรวจและค้นหา
2.1 ครใู หน้ กั เรยี นทำกจิ กรรมลองทำดู การหาความเรง่ เฉลี่ยและความเร่งขณะหนง่ึ ของรถทดลอง ใน
หนงั สือฟสิ ิกสเ์ พ่มิ เตมิ 1 สสวท. และทำคำถามท้ายกิจกรรม
2.2 ในการทำกิจกรรมครูเน้นย้ำว่า การเกิดจุดเป็นแถบกระดาษเป็นการแสดงเวลาของเครื่องเคาะ
สัญญาณ โดยการเคาะ1ครั้ง หมายถึง 1/50 วินาที ดังนั้นการนับว่าแต่ละช่วงใช้เวลาเท่าใด
หลังจากนบั ช่วงของจดุ แล้วเวลาทใี่ ช้ต้องสว่ น 50 เสมอ
2.3 ครูให้นกั เรียนนำผลทีไ่ ดจ้ ากกิจกรรมลองทำดู การหาความเร่งเฉลีย่ และความเรง่ ขณะหน่ึงของรถ
ทดลอง และสรปุ ผลการทดลอง
3. ขนั้ อธิบายและลงข้อสรุป
3.1 จากการทำกิจกรรมลองทำดู ครูแสดงตัวอย่างการหาความเร่งเฉลี่ยและความเร่งขณะหนึ่งจาก
แถบกระดาษทดลอง ดงั นี้
วิธีหาความเร่ง คำนวณความเร่งเฉลี่ยระหว่างช่วงเวลาที่ 1/50 วินาทีถึง 7/50 วินาทีและ
ความเร่งขณะหนึง่ บนแถบกระดาษทีเ่ วลา 4/50 วินาที ดังน้ี
▪ ความเรง่ เฉล่ยี ในช่วงเวลาที่ 1/50 วินาทีถงึ 7/50 วินาที หาได้จากความเร็วท่ีเวลา 1/50
วินาที และ 7/50 วินาที มีค่าเท่ากับ (40.0 - 57.5)/(7/50 - 1/50) = 146 เซนติเมตร
ตอ่ วนิ าที2
▪ ความเรง่ ขณะหนึ่งที่เวลา 4/50 วนิ าที หาได้จากความเร็วทเ่ี วลา 3/50 วนิ าทแี ละ 5/50
วินาที มคี า่ เท่ากับ (45.5 - 63.8)/(5/50 - 3/50) = 458 เซนติเมตรตอ่ วินาที2
3.2 ครูและนักเรยี นร่วมกนั อภปิ รายคำถามท้ายบทและได้สรุปแนวคำตอบดงั น้ี
ความเรง่ เฉลยี่ ของรถทดลองตลอดการเคล่ือนทห่ี าไดจ้ ากผลตา่ งความเร็วท่เี วลาสุดท้ายและ
เวลาเริ่มต้นหารด้วยเวลาที่ใช้ ส่วนความเร่งขณะหนึ่งของรถทดลองหาได้จากการนำความเร็ว
ระหว่าง 2 ช่วงจุดหารดว้ ยเวลาทใ่ี ช้คือ 2/50 วนิ าที

41

4. ขน้ั ขยายความรู้

4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติม ดังน้ี ความเร็วที่เปลี่ยนไปในหนึ่งหน่วยเวลา เรียกว่า ความเร่ง

(acceleration) สำหรับความเร่งในช่วงเวลาการเคลื่อนที่ใด ๆ เรียกว่า ความเร่งเฉลี่ย a⃑av
(average acceleration) ซึ่งเป็นอัตราส่วนระหว่าง ความเร็วที่เปลี่ยนไปทั้งหมดกับช่วงเวลาท่ี

เกิดการเปล่ยี นความเรว็ นน้ั a⃑av= ∆⃑v
∆t
ถา้ ∆t เปน็ ช่วงเวลาสน้ั ๆ จนเขา้ ใกลศ้ นู ย์ ความเรง่ ในชว่ งเวลาดงั กล่าวจะเปน็ ความเร่ง

ขณะหนงึ่ (instantaneous acceleration) a⃑= ∆⃑v เมอ่ื ∆t เข้าใกล้ศูนย์
∆t
4.2 ครเู พม่ิ เติมเกยี่ วกบั ความหนว่ ง ว่า วัตถุที่เคล่อื นทีด่ ้วยความเร่งเปน็ ลบ อาจเคลื่อนทชี่ า้ ลงหรอื เร็ว

ขึ้นก็ได้ ขึ้นอยู่กับทิศของความเร่งมีทิศเดียวกันหรือทิศตรงข้ามกับความเร็ว เช่น ในกรณีขว้าง

วัตถุขึ้นในแนวดิ่ง เมื่อกำหนดให้ทิศขึ้นเป็นบวก ในช่วงที่วัตถุเคลื่อนที่ขึ้น ความเร็วมีทิศขึ้นจะ

เป็นบวก ความเร่งมีทิศลงจะเป็นลบ กรณีนี้วัตถุเคลื่อนที่ช้าลง แต่ถ้าพิจารณาในช่วงที่วัตถุ

เคลอ่ื นท่ลี ง ความเรว็ มที ิศลงจะเป็นลบ ความเร่งมีทศิ ลงจะเปน็ ลบ กรณนี ว้ี ัตถุเคลอ่ื นทีเ่ ร็วข้นึ

4.3 ครใู หค้ วามรู้ตามตวั อย่าง 2.7 ในหนงั สือเรียนเพื่อให้นักเรียนเข้าใจการคำนวณความเร่งขณะหน่ึง

จากนัน้ ให้นักเรียนอภปิ รายเพ่ือสรุปความรทู้ ่ีได้เกยี่ วกับความเรง่ เฉลย่ี และความเร่งขณะหนึ่งและ

การนำความร้ไู ปประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั เชน่ การเพ่ิมความเรว็ หรือลดความเรว็ ยานพาหนะ

5. ข้นั ประเมนิ ผล

5.1 ครูทดสอบความรู้เกี่ยวกับการอัตราเร่งและความเร่ง จากคำถามตรวจสอบความเข้าใจระหว่าง

เรยี น การสรุป การนำเสนอ คำถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 2.4 และแบบฝกึ หัด 2.4

5.2 ครตู รวจสอบ ทกั ษะการใชจ้ ำนวน การคิดวเิ คราะห์ ความสามารถในการแก้ปัญหาทำงานร่วมกับ

ผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นได้จากการแบบทดสอบและจากการทำ

กจิ กรรม

9. สอ่ื การเรียนร/ู้ วสั ดุอุปกรณ์ /แหลง่ เรยี นรู้
สอ่ื 1. เอกสารประกอบการเรยี นเร่ือง การเคลื่อนท่แี นวตรง
2. แบบฝึกหดั 2.4
3. ชุดการทดลองตามกิจกรรมลองทำดู การหาความเรง่ เฉลย่ี และความเร่งขณะหนึ่งของ

รถทดลองในหนังสอื ฟิสกิ สเ์ พ่มิ เตมิ 1 สสวท.

แหลง่ เรยี นรู้ 1. www.google.co.th
2. หนงั สือเรยี นรายวิชาเพมิ่ เติม ฟสิ ิกส์ เล่ม 1 (สสวท.)

42

10. การวดั และประเมินผล

การวัดประเมินผลด้าน วธิ ีการวัด เคร่ืองมือวัด เกณฑก์ ารผา่ น
1. ด้านความรู้ (K)
1. ทดสอบ 1. แบบทดสอบ ได้คะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป
2. สรปุ ความคิด

2. ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) สงั เกตจากการปฏบิ ัติ 1. แบบสงั เกต ได้คะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป
กจิ กรรมในชั้นเรียน 2. แบบประเมนิ

3. ด้านคุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ (A) การสงั เกตพฤติกรรมความ แบบสังเกต ได้คะแนนในระดบั พอใช้ขน้ึ ไป
สนใจและต้ังใจเรียน

4. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน การสังเกตพฤติกรรมความ แบบประเมนิ ได้คะแนนในระดับพอใช้ขึ้นไป

5 ประการ สนใจและต้งั ใจเรยี น

5. ด้านทักษะผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21 การสังเกตพฤติกรรมความ แบบประเมนิ ไดค้ ะแนนในระดบั พอใช้ขึ้นไป

(21st Century Skills สนใจและต้ังใจเรียน

43

บันทึกหลังการจดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ่ี 7

เรอ่ื ง อัตราเรง่ และความเร่ง

1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้

จากการประเมินผลจาก การปฏบิ ตั ิกิจกรรมการทดลอง โดยให้นกั เรยี นแบ่งกลมุ่ ทำการทดลอง และร่วมกนั อภปิ ราย ของนกั เรยี น

ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 จำนวน 80 คน โดยการประเมินตามจดุ ประสงค์การเรียนรู้ ผลปรากฏดงั นี้

1.1 ผลการประเมินดา้ นความรู้

1.1.1 จากการประเมินแบบทดสอบหลงั เรยี น พบวา่ มีนักเรยี น

- ได้ระดบั ดมี าก จำนวน 25 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 31.3

- ได้ระดบั ดี จำนวน 27 คน คดิ เป็นร้อยละ 33.8

- ไดร้ ะดบั ปานกลาง จำนวน 10 คน คิดเปน็ ร้อยละ 12.5

- ไดร้ ะดบั พอใช้ จำนวน 12 คน คดิ เป็นร้อยละ 15.0

- ไดร้ ะดบั ปรับปรุง จำนวน 6 คน คดิ เป็นร้อยละ 7.5

1.2 ผลการประเมินด้านทกั ษะกระบวนการ/ด้านทกั ษะผเู้ รยี นในศตวรรษท่ี 21

1.2.1 จากการประเมินโดยใช้แบบประเมินทักษะในการ สังเกตความสนใจในการร่วมกจิ กรรม

พบว่ามนี ักเรียน

- ไดร้ ะดับดี จำนวน 30 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 37.5

- ไดร้ ะดบั พอใช้ จำนวน 40 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 50.0

- ไดร้ ะดบั ปรบั ปรุง จำนวน 10 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 12.5

1.2.2 จากการประเมินโดยใช้แบบประเมินการเขียนรายงานและการนำเสนอ ในการจดั กจิ กรรม

พบว่ามนี กั เรียน

- ได้ระดบั ดี จำนวน 40 คน คิดเป็นร้อยละ 50.0

- ไดร้ ะดับพอใช้ จำนวน 35 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 43.8

- ไดร้ ะดับปรับปรงุ จำนวน 5 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 6.2

1.3 ผลการประเมนิ ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์/สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน โดยใชแ้ บบประเมนิ พฤติกรรมการ

ทำงานกลุ่มของนกั เรยี น พบวา่ มีนกั เรยี น

- ไดร้ ะดบั ดี จำนวน 75 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 93.2

- ได้ระดับพอใช้ จำนวน 5 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 6.8

- ได้ระดบั ปรับปรงุ จำนวน - คน คดิ เปน็ ร้อยละ -

2. ปญั หา/อปุ สรรค
นกั เรียนบางส่วนลมื การหาค่าอตั ราเร็ว ทำให้เสยี เวลาในการทดลอง เนือ่ งจากเน้อื หามนั เช่ือมโยงกบั คาบที่แล้ว

3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา
ควรทบทวนวิธีการคำนวณการหาอตั ราเรว็ เพือ่ ใหน้ กั เรียนสามารถเช่อื มโยง และเข้าใจมากยิง่ ข้ึน

ลงชื่อ …………………ก…า…………………
(นางสาวนิปทั มา นเิ ฮง)
ครผู สู้ อน

นิ


Click to View FlipBook Version