The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by suradet, 2022-08-16 02:43:45

แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาฟิสิกส์ 1 (1/65)

44

แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 8 กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 4
โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ จังหวัดปตั ตานี
วชิ า ว 31201 ฟสิ ิกส์ 1 ชอื่ หน่วย : การเคล่อื นท่ีแนวตรง
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 จำนวน 4 ชั่วโมง
เรื่อง กราฟของการเคลื่อนท่ีแนวตรง

1. สาระ/มาตรฐานการเรียนร้/ู ผลการเรียนรู้/ตวั ช้วี ัด
มาตรฐานการเรยี นรู้
เขา้ ใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวดั การเคลอ่ื นที่แนวตรง แรงและกฎการเคลอ่ื นท่ีของ

นิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสยี ดทาน สมดุลกลของวัตถุ งาน และกฎการอนรุ ักษ์พลงั งานกล โมเมนตัมและ
กฎการอนรุ ักษโ์ มเมนตัม การเคล่ือนทแี่ นวโคง้ รวมทั้งนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ตัวช้ีวัด/ผลการเรยี นรู้
1. ทดลอง และอธบิ ายความสมั พันธ์ระหว่างตำแหน่ง การกระจดั ความเร็ว และความเรง่ ของ
การเคลื่อนที่ของวัตถใุ นแนวตรงที่มีความเรง่ คงตัวจากกราฟและสมการ รวมทั้งทดลองหาค่าความเร่ง
โน้มถว่ งของโลก และคำนวณปริมาณต่าง ๆ ท่เี ก่ียวข้อง

2. สาระสำคัญ (ความคดิ รวบยอด)
วัตถุที่เคลื่อนที่ในแนวตรง เมื่อเวลาผ่านไป การกระจัด ความเร็วและความเร่งของวัตถุอาจเปลี่ยนไป

สามารถแสดงความสมั พันธร์ ะหวา่ งปรมิ าณเหล่าน้ีกับเวลาในรูปกราฟของการเคลื่อนท่ี ได้แก่
1. กราฟระหว่างตำแหน่งกบั เวลา โดยความชนั ของกราฟ คอื ความเรว็
2. กราฟระหวา่ งความเร็วกับเวลา โดยความชันของกราฟ คือ ความเร่ง
และพืน้ ทใ่ี ตก้ ราฟคือ การกระจัดท่วี ตั ถเุ คลอ่ื นทไ่ี ด้
3. กราฟระหวา่ งความเร่งกบั เวลา โดยพ้นื ท่ใี ตก้ ราฟคือความเร็วท่ีเปลีย่ นไป

3. สาระการเรียนรู้
กราฟความสัมพันธ์ระหว่าง การกระจัด (∆x) ความเรว็ (v) ความเรง่ (a) และเวลา (t) เพ่ือให้เข้าใจได้ง่าย

จะใชก้ ราฟเสน้ ตรงหาความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสองปริมาณทเ่ี ป็นปฏิภาคกัน ส่วนกราฟเสน้ โค้งใชด้ กู ารเปลย่ี นแปลงได้
แต่ไมส่ ามารถพิสจู น์ความสมั พันธไ์ ดช้ ดั เจน

4. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. ความรู้ (K)
อธิบายกราฟแสดงความสมั พันธร์ ะหว่างระยะทาง ความเร็ว ความเร่ง กบั เวลา สำหรับการเคลอ่ื นท่ี
แนวตรงได้
2. ทักษะ/กระบวนการ (P)
คำนวณปริมาณที่เกย่ี วข้องกับการเคล่อื นท่แี นวตรงของวัตถุจากกราฟตำแหน่งกับเวลาได้

45

3. คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ (A)

คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั

ปรับปรุง 2560)

 มวี นิ ัย  ใฝ่เรยี นรู้  มงุ่ ม่ันในการทำงาน

คุณลกั ษณะของผเู้ รยี นตามหลักสตู รมาตรฐานสากล

 เป็นเลิศวิชาการ  ลำ้ หน้าทางความคิด

5. จุดเน้นสกู่ ารพฒั นาคุณภาพผเู้ รยี น
ความสามารถและทักษะผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ( 3Rs 8Cs 2Ls )
1. ทักษะในสาระวิชาหลัก (3Rs)
1.1  Reading (อ่าน) 1.2  (W)Riting (เขียน) 1.3  (A)Rithemetics (คณิตฯ)
2. ทักษะการเรียนร้แู ละนวัตกรรม (8Cs)
2.1  Critical Thinking and Problem Solving (การคิดวิจารณญาณ และแกป้ ัญหา)
2.4  Collaboration, Teamwork and Leadership (การทำงานเปน็ ทีม ภาวะผ้นู ำ)
2.8  Compassion (คุณธรรม เมตตา กรุณา ระเบยี บวินยั )
3. ทกั ษะการเรยี นรู้และภาวะผ้นู ำ (2Ls)
3.1  Learning (ทกั ษะการเรยี นรู้) 3.2  Leadership (ภาวะผูน้ ำและความรับผิดชอบ)

6. การบูรณาการตามพระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาติ ( เฉพาะทเ่ี กิดในแผนการจัดการเรียนรู้ )
บูรณาการกบั ค่านยิ ม 12 ประการ
 2. ซือ่ สตั ย์ เสยี สละ อดทน มอี ดุ มการณ์ในสิ่งทีด่ ีงามเพื่อส่วนรวม
 4. ใฝ่หาความรู้ หมั่นศกึ ษาเลา่ เรยี นท้งั ทางตรงและทางออ้ ม
 9. มีสติรู้ตวั รคู้ ิด รทู้ ำ

7. ภาระงาน / ชิ้นงาน
ภาระงาน - ศึกษาใบความรู้ ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมในแบบฝึกหัด

8. กิจกรรมการเรียนรู้
1. ข้นั สรา้ งความสนใจ
1.1 ครูและนักเรียนร่วมกันทบทวนความรู้เดิม เกี่ยวกับ ระยะทาง การกระจัด อัตราเร็ว ความเร็ว
และความเร่ง เชื่อมโยงเนื้อหาโดยนักเรียนร่วมกันตอบคำถาม เกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ระหว่าง
ระยะทาง การกระจัด อัตราเร็ว ความเร็ว และความเร่ง (ทิ้งช่วงให้นักเรียนคิด) เพื่อนำไปสู่

การศึกษา เรื่องกราฟความสัมพนั ธ์ระหว่างการกระจัด (∆x) ความเรว็ (v) ความเรง่ (a) และเวลา
(t)

46

1.2 ครูถามคำถามว่า “กราฟระยะทางกับเวลาสามารถบ่งบอกถึงปริมาณใดได้” เพื่อเป็นการกระตนุ้
ให้นกั เรียนรว่ มกันคิด (แนวคำตอบ : จากกราฟความสมั พันธร์ ะหว่างการกระจัดกับเวลาสามารถ
หาค่าความเรว็ (v) จากคา่ ความชันของกราฟได้)

1.3 ครูยกตวั อยา่ งการเคลื่อนที่ของรถยนตใ์ นแตล่ ะวินาที แล้วอธิบายวา่ การเคล่ือนท่ีของวัตถุอธิบาย
ได้ด้วยปริมาณต่าง ๆ ดังที่นักเรียนทราบมาแล้ว เช่น ระยะทาง การกระจัด อัตราเร็ว ความเร็ว
และความเร่ง ถ้านำปริมาณต่าง ๆ ในการเคลื่อนที่ของวัตถุกับเวลาที่วัตถุใช้ในการเคลื่อนที่มา
เขียนเป็นกราฟ จะได้กราฟความสัมพันธ์ของปริมาณดังกล่าวในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งสามารถใช้
กราฟดงั กล่าวหาปริมาณตา่ ง ๆ ท่ีเกยี่ วขอ้ งกับการเคลอ่ื นทีน่ ัน้ ได้

2. ขั้นสำรวจและคน้ หา
2.1 ครูให้นักเรียนทำการศึกษารูป 2.4 การเคลื่อนที่ของรถยนต์ในแนวตรง ในหนังสือเรียนรายวิชา
เพิ่มเติม ฟิสิกส์ 1 ม.4 สสวท. และให้นำข้อมูลตำแหน่งของรถยนต์กับเวลาบันทึกลงในตาราง
พรอ้ มท้งั ลงพิกัดความสัมพันธข์ องเวลาและตำแหน่งลงในกราฟ
2.2 ครใู หน้ ักเรียนร่วมกันอภปิ รายตามรปู 2.13 ในหนังสือเรยี นรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ 1
ม.4 สสวท. และสรปุ ผลลงในสมดุ

3. ขนั้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ
3.1 ครูและนกั เรียนร่วมกันอภปิ รายถึงการลงขอ้ มลู ของรปู 2.4 ไดด้ งั นี้

รูป 2.4 การเคลอ่ื นท่ขี องรถยนต์ในแนวตรง
สามารถเขียนเป็นตารางแสดงตำแหน่งของรถยนต์ในเวลาตา่ ง ๆ ได้ดงั นี้

เวลา (วนิ าที) ตำแหนง่ ของรถยนต์ (เมตร)
0 +4.0
1.0 +8.0
2.0 -8.0

47

เมอื่ ลงพิกดั ความสมั พนั ธ์ระหว่างตำแหนง่ ของรถยนต์กบั เวลาจะไดด้ ังน้ี

ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลที่ได้ ว่า ความเร็วเฉลี่ยหาได้จากความชันของเส้นตรงที่ลากผ่าน

ระหว่างจุดสองจดุ ในกราฟ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างตำแหน่งกบั เวลา

3.2 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลการศึกษารูป 2.13 ในหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมฟิสิกส์1 ม.4

สสวท.ไดว้ า่ การเคล่ือนทด่ี ว้ ย ความเรว็ คงตวั ความเร็วเฉลย่ี เท่ากับความเร็วขณะหนึง่

4. ข้ันขยายความรู้

4.1 ครูอธิบายวิธีการคำนวณหาค่าความเร็วจากกราฟความสัมพันธ์ของการกระจัดกับเวลาได้วา่ เป็น

กราฟเสน้ ตรงเฉียงข้ึน แสดงวา่ เมอ่ื เวลาเพม่ิ ขน้ึ การกระจัดท่ีรถยนต์เคลื่อนท่ีได้จะเพ่ิมข้ึนตามไป

ด้วยในอัตราคงตัวหรือแปรผันตรงซึ่งกันและกันเมื่อหาความชันของกราฟในช่วงเวลาที่มีหน่วย

เป็นวนิ าที จะได้ว่า

ความชันของกราฟ = ∆y
∆x

4.2 ครอู ธิบายใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจมากข้นึ ว่าค่าความชนั ของกราฟระหวา่ งการกระจัดกบั เวลาทีห่ าได้ ก็

คอื ความเรว็

จากสมการเสน้ ตรงท่ัวไป คือ y = mx + c

เมอื่ m คือ ความชนั ของเส้นตรง มคี ่าเทา่ กับ ∆y
∆x
c คือ จุดตดั บนแกน y

จากสมการ v = ∆x หรอื ∆x = vt
∆t
เมื่อเทียบกับ y = mx + c แล้วกราฟระหว่างการกระจัด (∆x) กับเวลา (t) จะได้

ความชันเทา่ กบั ความเร็ว (v) และจดุ ตัดบนแกน ∆x เท่ากับ 0 (c = 0)

4.3 ครูและนักเรยี นรว่ มกนั สรุปเกย่ี วกบั กราฟการกระจดั กับเวลา ดงั น้ี

1. ความชนั ของกราฟการกระจัดกับเวลาแทนความเรว็ เฉล่ยี ของการเคลื่อนท่ี

2. เม่อื ความเร็วคงตวั ความเรว็ เฉล่ียเท่ากับความเรว็ ขณะหน่งึ

48

3. การหาความเร็วเฉล่ียระหว่าง 2 จุดใด ๆ หาจากความชันของเส้นตรงท่ีลากจาก

จุดทั้งสองบนกราฟตรงช่วงเวลานั้น ความชันจะแทนความเร็วเฉลี่ยและแทน

ความเร็วขณะหนึ่งตรงจุดกึง่ กลางชว่ งเวลานนั้

4.4 ครูอธิบายว่าจากกราฟจะเห็นว่ากราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วกับเวลาเป็นกราฟ

เส้นตรงเฉียงขึ้น นั่นคือ ค่าบนแกนความเร็วเปลี่ยนแปลง เราทราบแล้วว่าถ้าวัตถุเคลื่อนที่ด้วย

ความเร็วคงตวั แสดงว่าวัตถุนั้นไม่ได้เคลื่อนท่ีดว้ ยความเร่ง หรือความเร่งของวัตถุเป็น 0 แต่ถ้ามี

การเปลี่ยนแปลงความเร็ว แสดงว่าวัตถุนั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร่ง พิจารณาจากกราฟจะพบว่า
v3-v1
ความชันของกราฟเป็น ∆v ซึ่งก็คือ ความเร่งของการเคลื่อนที่ หาได้จาก ∆v = t3-t1 กล่าวได้ว่า
∆t ∆t
ความชนั ของกราฟความเรว็ กับเวลาแทนความเร่งเฉล่ยี ของการเคลอื่ นท่ี

4.5 ครูอธิบายว่าเราสามารถหาการกระจัดได้จากพื้นที่ใต้กราฟ ความชันของกราฟจะบ่งบอกถึง

ความเร่งของการเคลือ่ นทีแ่ ละเมอ่ื นักเรยี นหาพืน้ ทใ่ี ต้กราฟออกมา ซึง่ หาไดจ้ าก พ้ืนทีใ่ ต้กราฟ

4.6 ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั สรุปเก่ียวกบั กราฟความเรว็ กบั เวลา ดังน้ี

1. ความชนั ของกราฟความเรว็ กับเวลาแทนความเร่งเฉลี่ยของการเคล่อื นท่ี

2. เม่ือความเร็วคงตวั ความเร็วเฉลีย่ เท่ากับความเรว็ ขณะหน่ึง

3. การหาความเร่งขณะหนง่ึ ตรงตำแหนง่ เวลาใด หาจากความชนั ของเสน้ ตรงทล่ี าก

สมั ผสั กับกราฟตรงตำแหน่งเวลานั้น

4. พ้ืนท่ีใต้กราฟความเรว็ กับเวลาแทนการกระจัดของการเคล่อื นท่ี

4.7 ครสู รุปเพิ่มเติมเกี่ยวกบั กราฟแสดงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งการกระจดั กับเวลา (∆x – t) ความเร็ว

กบั เวลา (v – t) ความเร่งกับเวลา (a – t) ดังน้ี

ถา้ ความชนั เพิ่มขึน้ → ความเรว็ เพม่ิ สมำ่ เสมอ → ความเร่งคงตัวมีค่าเปน็ บวก

ถา้ ความชันลดลง → ความเรว็ ลดลงสม่ำเสมอ → ความเรง่ คงตวั มคี า่ เป็นลบ

5. ขัน้ ประเมนิ ผล

5.1 ครูทดสอบความรู้เก่ียวกับ กราฟความสัมพันธร์ ะหว่างความเร็วกับเวลา และกราฟความสัมพันธ์

ระหว่างความเร่งกับเวลา จากการนำเสนอ คำถามตรวจสอบความเข้าใจและแบบฝึกหัด 2.5 ใน

หนงั สือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟสิ ิกส์ 1 ม.4 สสวท.

9. สื่อการเรียนรู/้ วัสดุอุปกรณ์ /แหลง่ เรยี นรู้
สอ่ื 1. เอกสารประกอบการเรียนเรื่อง การเคลอื่ นท่ีแนวตรง
2. แบบฝึกหัด
แหล่งเรียนรู้ 1. www.google.co.th 2. หนงั สือเรียนรายวิชาเพ่มิ เตมิ ฟิสกิ ส์ เล่ม 1 (สสวท.)

49

10. การวดั และประเมินผล

การวัดประเมินผลด้าน วธิ ีการวัด เคร่ืองมือวัด เกณฑก์ ารผา่ น
1. ด้านความรู้ (K)
1. ทดสอบ 1. แบบทดสอบ ได้คะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป
2. สรปุ ความคิด

2. ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) สงั เกตจากการปฏบิ ัติ 1. แบบสงั เกต ได้คะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป
กจิ กรรมในชั้นเรียน 2. แบบประเมนิ

3. ด้านคุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ (A) การสงั เกตพฤติกรรมความ แบบสังเกต ได้คะแนนในระดบั พอใช้ขน้ึ ไป
สนใจและต้ังใจเรียน

4. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน การสังเกตพฤติกรรมความ แบบประเมนิ ได้คะแนนในระดับพอใช้ขึ้นไป

5 ประการ สนใจและต้งั ใจเรยี น

5. ด้านทักษะผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21 การสังเกตพฤติกรรมความ แบบประเมนิ ไดค้ ะแนนในระดบั พอใช้ขึ้นไป

(21st Century Skills สนใจและต้ังใจเรียน

50

บันทกึ หลังการจดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ่ี 8

เรือ่ ง กราฟของการเคลือ่ นท่ีแนวตรง

1. ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้

จากการประเมนิ ผลจาก การจดั กจิ กรรม โดยครูใช้คำถามในการจดั กิจกรรม เพอื่ ใหน้ ักเรยี นไดช้ ่วยกันคิด อภิปรายผล ของนักเรยี น

ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 จำนวน 80 คน โดยการประเมนิ ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ผลปรากฏดงั น้ี

1.1 ผลการประเมนิ ดา้ นความรู้

1.1.1 จากการประเมนิ แบบทดสอบหลังเรียน พบวา่ มีนักเรยี น

- ได้ระดับดีมาก จำนวน 30 คน คดิ เป็นร้อยละ 37.5

- ได้ระดับดี จำนวน 22 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 27.5

- ได้ระดบั ปานกลาง จำนวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 15.0

- ได้ระดับพอใช้ จำนวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 12.5

- ไดร้ ะดบั ปรบั ปรงุ จำนวน 6 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 7.5

1.2 ผลการประเมนิ ด้านทกั ษะกระบวนการ/ดา้ นทกั ษะผ้เู รียนในศตวรรษที่ 21

1.2.1 จากการประเมนิ โดยใชแ้ บบประเมนิ ทกั ษะในการ สังเกตความสนใจในการรว่ มกจิ กรรม

พบวา่ มนี กั เรยี น

- ไดร้ ะดับดี จำนวน 38 คน คิดเป็นร้อยละ 47.5

- ได้ระดับพอใช้ จำนวน 35 คน คดิ เป็นร้อยละ 43.8

- ได้ระดับปรับปรุง จำนวน 7 คน คดิ เป็นร้อยละ 8.7

1.2.2 จากการประเมนิ โดยใชแ้ บบประเมินการเขยี นรายงานและการนำเสนอ ในการจดั กจิ กรรม

พบวา่ มนี กั เรียน

- ได้ระดบั ดี จำนวน 40 คน คิดเป็นร้อยละ 50.0

- ได้ระดับพอใช้ จำนวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 43.8

- ได้ระดบั ปรับปรงุ จำนวน 5 คน คดิ เป็นร้อยละ 6.2

1.3 ผลการประเมินด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์/สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน โดยใช้แบบประเมนิ พฤติกรรมการ

ทำงานกล่มุ ของนักเรยี น พบว่ามีนกั เรยี น

- ได้ระดับดี จำนวน 70 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 87.5

- ไดร้ ะดับพอใช้ จำนวน 10 คน คดิ เป็นร้อยละ 12.5

- ไดร้ ะดบั ปรบั ปรงุ จำนวน - คน คดิ เป็นรอ้ ยละ -

2. ปัญหา/อุปสรรค
นักเรียนบางส่วนยังมองกราฟไมเ่ ปน็

3. ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ปญั หา
ควรให้แบบฝกึ หดั แยกหวั ข้อไปกอ่ น เชน่ กราฟระหว่าง s-t ,v-t และ a-t แลว้ คอ่ ยรวมกราฟท่หี ลากหลาย เพอื่ ให้นกั เรยี นได้
ชำนาญในการคำนวณ และเลือกใชส้ ตู รได้อย่างถูกตอ้ ง

ลงช่อื …………………ก……า………………
(นางสาวนปิ ทั มา นเิ ฮง)
ครผู สู้ อน

นิ

51

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 9 กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 4
โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ จงั หวัดปตั ตานี
วชิ า ว 31201 ฟสิ ิกส์ 1 ชอ่ื หน่วย : การเคลื่อนท่แี นวตรง
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 จำนวน 4 ชั่วโมง
เรอ่ื ง สมการสำหรับการเคล่อื นท่แี นวตรง

1. สาระ/มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ผลการเรยี นรู้/ตวั ชวี้ ัด
มาตรฐานการเรียนรู้
เขา้ ใจธรรมชาตทิ างฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคล่ือนทแ่ี นวตรง แรงและกฎการเคล่ือนท่ีของ

นิวตัน กฎความโนม้ ถว่ งสากล แรงเสยี ดทาน สมดุลกลของวัตถุ งาน และกฎการอนรุ ักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและ
กฎการอนรุ ักษ์โมเมนตมั การเคลื่อนที่แนวโคง้ รวมทั้งนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ตัวชว้ี ัด/ผลการเรยี นรู้
1. ทดลอง และอธบิ ายความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งตำแหนง่ การกระจดั ความเรว็ และความเร่งของ
การเคลื่อนทีข่ องวัตถุในแนวตรงที่มีความเร่งคงตัวจากกราฟและสมการ รวมทั้งทดลองหาค่าความเรง่
โน้มถว่ งของโลก และคำนวณปริมาณตา่ ง ๆ ท่ีเกยี่ วขอ้ ง

2. สาระสำคญั (ความคดิ รวบยอด)
การเคลื่อนทขี่ องวัตถุแนวตรงในกรณีความเรง่ มีค่าคงตัว คอื การทว่ี ัตถุเคล่ือนท่ีดว้ ยความเร่งโดย

มีทั้งขนาดและทิศทางเหมือนเดิมตลอดเวลาของการเคลื่อนที่ โดยสมการการเคลื่อนที่ของวัตถุที่เกี่ยวข้องมี
ความสัมพนั ธต์ ามสมการ

v=u+at

∆x= u+v t
(2)

∆x=ut+ 1 at2
2

v2=u2+2a∆x

3. สาระการเรยี นรู้
ในกรณผี ู้สังเกตมีความเร็ว ความเรว็ ของวัตถทุ ส่ี ังเกตได้เป็นความเร็วท่เี ทยี บกบั ผู้สังเกต สมการ

สำหรบั คำนวณหาปริมาณต่าง ๆ ของการเคล่อื นที่ในแนวตรงด้วยความเร่งคงตวั มี 4 สมการซึง่ แสดงได้
2 รปู แบบ ดงั ตารางดา้ นลา่ ง

52

โดยสมการแบบที่ 1 ใช้สำหรับการพิสูจน์การเคลื่อนที่ในแนวตรง ที่มีการเคลื่อนที่ในแนว x ส่วนสมการ
แบบที่ 2 ปรับใชเ้ พื่อใหส้ ะดวกสำหรบั การคำนวณ

4. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้

1. ความรู้ (K)

อธบิ ายความสัมพนั ธร์ ะหว่างการกระจัด เวลา ความเร็ว ความเรง่ ของการเคล่ือนทเี่ สน้ ตรงได้

2. ทักษะ/กระบวนการ (P)

คำนวณหาปรมิ าณท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การเคล่ือนท่ีในแนวตรงได้

3. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A)

คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงคต์ ามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับ

ปรับปรงุ 2560)

 มวี นิ ยั  ใฝเ่ รยี นรู้  ม่งุ ม่นั ในการทำงาน

คุณลักษณะของผเู้ รยี นตามหลักสูตรมาตรฐานสากล

 เปน็ เลิศวชิ าการ  ล้ำหน้าทางความคดิ

5. จุดเน้นสู่การพัฒนาคณุ ภาพผู้เรียน
ความสามารถและทักษะผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 ( 3Rs 8Cs 2Ls )
1. ทกั ษะในสาระวิชาหลัก (3Rs)
1.1  Reading (อา่ น) 1.2  (W)Riting (เขยี น) 1.3  (A)Rithemetics (คณติ ฯ)
2. ทักษะการเรยี นรู้และนวัตกรรม (8Cs)
2.1  Critical Thinking and Problem Solving (การคิดวจิ ารณญาณ และแก้ปัญหา)
2.4  Collaboration, Teamwork and Leadership (การทำงานเปน็ ทีม ภาวะผนู้ ำ)
2.8  Compassion (คณุ ธรรม เมตตา กรณุ า ระเบียบวินยั )
3. ทักษะการเรียนร้แู ละภาวะผู้นำ (2Ls)
3.1  Learning (ทกั ษะการเรียนร)ู้ 3.2  Leadership (ภาวะผู้นำและความรับผดิ ชอบ)

53

6. การบูรณาการตามพระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแห่งชาติ ( เฉพาะทีเ่ กิดในแผนการจัดการเรียนรู้ )
บรู ณาการกับค่านิยม 12 ประการ
 2. ซอื่ สตั ย์ เสียสละ อดทน มอี ดุ มการณ์ในส่งิ ทีด่ ีงามเพ่ือส่วนรวม
 4. ใฝห่ าความรู้ หมั่นศกึ ษาเล่าเรียนท้งั ทางตรงและทางออ้ ม
 9. มีสตริ ู้ตวั รูค้ ดิ ร้ทู ำ

7. ภาระงาน / ชิ้นงาน
ภาระงาน - ศึกษาใบความรู้ ปฏิบัตกิ จิ กรรมในแบบฝึกหัด

8. กจิ กรรมการเรียนรู้

1. ขน้ั สรา้ งความสนใจ

1.1 ครูทบทวนความสมั พนั ธร์ ะหว่างระยะทาง การกระจัด ความเร็ว อัตราเรว็ ความเรง่ อัตราเร่ง

และเวลา เนน้ ยำ้ สตู รความสมั พันธ์พ้ืนฐานนัน่ คือ v= ∆s และ a= ∆v
∆t ∆t
1.2 ครทู บทวนตัวแปรท่นี ักเรียนควรรจู้ กั นิยาม คอื

s คอื ระยะทาง ⃑s คอื การกระจัด

u คือ อัตราเร็วตอนต้น u⃑ คอื ความเรว็ ตอนปลาย

v คอื อตั ราเร็วตอนต้น ⃑v คือ ความเรว็ ตอนปลาย

a คอื ความเรง่ ตอนต้น a⃑ คอื ความเรง่ ตอนปลาย

t คอื เวลา

2. ขนั้ สำรวจและค้นหา

2.1 ครูให้นักเรียนทดลองนำสมการความสัมพันธ์พื้นฐาน v= ∆s และ a= ∆v หาความสัมพันธ์ในแต่
∆t ∆t
ละตัวแปร โดยใช้โจทย์ที่ว่า หากนักเรียนต้องการคำนวณหาระยะทาง แต่โจทย์ให้เพียงค่า

อัตราเร็วตอนตน้ และอัตราเร็วตอนปลาย และความเร่ง นกั เรียนจะมวี ธิ กี ารคำนวณอย่างไร

3. ข้นั อธิบายและลงข้อสรปุ

3.1 ครูอธบิ ายใหค้ วามรเู้ ก่ยี วกับสมการที่ใช้ในการคำนวณปริมาณต่าง ๆ ของการเคลอ่ื นท่ีในแนวตรง

ของวตั ถทุ มี่ ีความเร่งคงตัว ดงั นี้

เม่ือวตั ถมุ ีการเคล่อื นท่ใี นแนวตรงโดยให้มีความเรง่ a คงตวั ทเี่ วลาเรมิ่ ตน้ t = 0 มีความเรว็ ต้น u

และเม่อื เวลาผา่ นไป t ให้วัตถุนั้นมคี วามเรว็ ปลายเป็น v ถา้ เขียนกราฟระหวา่ งความเร็วและเวลา

ทีใ่ ช้ จะได้กราฟ

54

รปู กราฟระหวา่ งความเรว็ และเวลา

จากความเร่ง a = ∆v = v-u
∆t t

ดังนั้น v = u + at (A)

ครูอธิบายต่อว่า จากสมการ (A) นักเรียนจะเห็นได้ว่า เราสามารถหาค่าความเร็วของวัตถุที่เวลา

ใด ๆ ก็ไดถ้ ้าหากวา่ รู้ค่าความเรว็ เร่มิ ต้นและรู้ความเรง่ การเปลยี่ นแปลงความเร็วจะเพิ่มขึ้นอย่าง

เชิงเส้นตามเวลา เพราะความเร่งของการเคล่ือนท่ีมีค่าคงตัว ดังกราฟ ทำให้ได้ว่า ความเร็วเฉลยี่

ในช่วงเวลาใด ๆ จะเท่ากับค่าเฉลี่ยของความเร็วของสองจุดนั้น ๆ ให้ ∆s เป็นการกระจัดของ

วัตถุจากนิยามของความเร็วเฉลี่ย และใช้ความสัมพันธ์ในสมการ (A) ทำให้ได้สมการของการ

กระจัดในอีกรปู แบบหนง่ึ ดังนี้

∆s= (u+2v) t (B)

3.2 ครูให้นกั เรียนลองแทนค่า t จากสมการ (A) ในสมการ (B) จะได้อกี รปู แบบหนง่ึ ของความสัมพันธ์

ระหวา่ งการกระจดั ความเร็ว และความเรง่ ดังน้ี

∆s=ut+ 1 at2 (C)
2

และยงั สามารถแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเรว็ ปลายกับความเรง่ และการกระจดั โดยที่ไม่มี

ตัวแปรของเวลาเข้ามาปรากฎในสมการ ดังนี้ (D)
v2=u2+2a∆s

ครูและนักเรียนแตล่ ะรว่ มกันอภิปรายสรุปไดว้ ่า สมการการเคล่ือนทีด่ ว้ ยความเร่งคงตัวท่ีได้จะใช้
ในการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาสำหรับการเคลื่อนที่ของวัตถุใด ๆ ได้ ดังตาราง สมการของการ

เคล่ือนทีข่ องวตั ถใุ นแนวตรงภายใตค้ วามเร่งคงตวั

55

สมการ ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากสมการ
ความเรว็ ทเ่ี ปน็ ฟังก์ชันของเวลา
v=u+at การกระจัดท่เี ป็นฟงั ก์ชนั ของความเร็ว

∆s= u+v t การกระจดั ที่เป็นฟังก์ชนั ของเวลา
(2)
ความเรว็ ทเี่ ป็นฟงั กช์ นั ของการกระจัด
∆s=ut+ 1 at2
2

v2=u2+2a∆s

4. ข้นั ขยายความรู้
4.1 ครูใหข้ ้อสังเกตเพิ่มเตมิ ในการใช้สมการดงั นี้

สมการ ตัวแปรที่ไม่สนใจ
ไมส่ นใจ s
v=u+at ไม่สนใจ a

∆s= u+v t ไมส่ นใจ v
(2)
ไมส่ นใจ t
∆s=ut+ 1 at2
2

v2=u2+2a∆s

4.2 ครูแจ้งให้นักเรียนทราบว่ายังมีสมการที่สามารถหาได้จากความสัมพันธ์ข้างต้นเพิ่มอีก 1 สมการ

คือ ∆s=vt- 1 at2 ซ่ึงเปน็ สมการที่ใชเ้ ม่ือไมส่ นใจ u
2
5. ขัน้ ประเมินผล

5.1 ครูทดสอบความรู้เกี่ยวกับสมการในการคำนวณหาปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ใน

กรณีที่ความเร็วคงตัว จากคำถามตรวจสอบความเข้าใจและแบบฝึกหัดท้าย 2.6 ในหนังสือเรียน

รายวิชาเพิ่มเติมฟสิ ิกส์ 1 ชนั้ ม.4 สสวท.

9. ส่อื การเรียนรู้/วัสดุอุปกรณ์ /แหลง่ เรยี นรู้
ส่อื 1. เอกสารประกอบการเรยี นเรือ่ ง การเคลอ่ื นท่ีแนวตรง
2. แบบฝกึ หดั
แหล่งเรยี นรู้ 1. www.google.co.th 2. หนังสอื เรียนรายวิชาเพม่ิ เติม ฟิสิกส์ เลม่ 1 (สสวท.)

56

10. การวดั และประเมินผล

การวัดประเมินผลด้าน วธิ ีการวัด เคร่ืองมือวัด เกณฑก์ ารผา่ น
1. ด้านความรู้ (K)
1. ทดสอบ 1. แบบทดสอบ ได้คะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป
2. สรปุ ความคิด

2. ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) สงั เกตจากการปฏบิ ัติ 1. แบบสงั เกต ได้คะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป
กจิ กรรมในชั้นเรียน 2. แบบประเมนิ

3. ด้านคุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ (A) การสงั เกตพฤติกรรมความ แบบสังเกต ได้คะแนนในระดบั พอใช้ขน้ึ ไป
สนใจและต้ังใจเรียน

4. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน การสังเกตพฤติกรรมความ แบบประเมนิ ได้คะแนนในระดับพอใช้ขึ้นไป

5 ประการ สนใจและต้งั ใจเรยี น

5. ด้านทักษะผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21 การสังเกตพฤติกรรมความ แบบประเมนิ ไดค้ ะแนนในระดบั พอใช้ขึ้นไป

(21st Century Skills สนใจและต้ังใจเรียน

57

บันทกึ หลังการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ี 9

เร่อื ง สมการสำหรับการเคลือ่ นที่แนวตรง

1. ผลการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้

จากการประเมินผลจาก การจดั กจิ กรรม โดยครูใชค้ ำถามในการจดั กิจกรรม เพ่อื ให้นักเรยี นได้ช่วยกนั คิด อภปิ รายผล ของนักเรยี น

ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 จำนวน 80 คน โดยการประเมนิ ตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ผลปรากฏดงั น้ี

1.1 ผลการประเมินดา้ นความรู้

1.1.1 จากการประเมนิ แบบทดสอบหลังเรียน พบว่ามีนักเรยี น

- ไดร้ ะดบั ดมี าก จำนวน 25 คน คดิ เป็นร้อยละ 31.3

- ได้ระดับดี จำนวน 27 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 33.8

- ไดร้ ะดับปานกลาง จำนวน 10 คน คิดเปน็ ร้อยละ 12.5

- ไดร้ ะดับพอใช้ จำนวน 12 คน คดิ เป็นร้อยละ 15.0

- ได้ระดบั ปรับปรุง จำนวน 6 คน คิดเปน็ ร้อยละ 7.5

1.2 ผลการประเมนิ ด้านทักษะกระบวนการ/ด้านทกั ษะผเู้ รยี นในศตวรรษท่ี 21

1.2.1 จากการประเมินโดยใชแ้ บบประเมนิ ทักษะในการ สังเกตความสนใจในการรว่ มกจิ กรรม

พบว่ามนี กั เรียน

- ได้ระดับดี จำนวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 43.8

- ได้ระดับพอใช้ จำนวน 35 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 43.8

- ได้ระดับปรบั ปรงุ จำนวน 10 คน คิดเปน็ ร้อยละ 12.4

1.2.2 จากการประเมนิ โดยใช้แบบประเมนิ การเขยี นรายงานและการนำเสนอ ในการจัดกจิ กรรม

พบว่ามีนักเรยี น

- ได้ระดับดี จำนวน 40 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 50.0

- ได้ระดับพอใช้ จำนวน 35 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 43.8

- ไดร้ ะดบั ปรับปรุง จำนวน 5 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 6.2

1.3 ผลการประเมินด้านคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์/สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รยี น โดยใช้แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการ

ทำงานกลุ่มของนักเรยี น พบว่ามีนกั เรยี น

- ไดร้ ะดับดี จำนวน 75 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 93.2

- ได้ระดบั พอใช้ จำนวน 5 คน คดิ เป็นร้อยละ 6.8

- ไดร้ ะดับปรับปรุง จำนวน - คน คิดเป็นรอ้ ยละ -

2. ปัญหา/อุปสรรค
นกั เรียนบางส่วนยงั จำสูตร สมการการเคลือ่ นทแี่ นวตรงไม่ได้

3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ปญั หา
ควรมีกจิ กรรม วธิ กี ารท่องสตู ร แบบจำงา่ ยๆ เพอื่ ใหน้ กั เรยี นสามารถนำมาใช้ในการคำนวณได้อย่างรวดเร็ว และเขา้ ใจย่ิงขึน้

ลงช่อื …………………ก……า………………
(นางสาวนิปัทมา นิเฮง)
ครูผสู้ อน

นิ

58

แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 10 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 4
โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ จงั หวดั ปตั ตานี
วิชา ว 31201 ฟสิ กิ ส์ 1 ชอ่ื หน่วย : การเคล่ือนทแ่ี นวตรง
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 จำนวน 4 ชัว่ โมง
เรอื่ ง การตกแบบเสรี

1. สาระ/มาตรฐานการเรียนรู/้ ผลการเรยี นรู้/ตวั ชี้วัด
มาตรฐานการเรยี นรู้
เขา้ ใจธรรมชาติทางฟสิ กิ ส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลือ่ นทีแ่ นวตรง แรงและกฎการเคลอื่ นท่ีของ

นิวตัน กฎความโนม้ ถ่วงสากล แรงเสยี ดทาน สมดุลกลของวัตถุ งาน และกฎการอนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและ
กฎการอนรุ ักษโ์ มเมนตมั การเคลื่อนทีแ่ นวโคง้ รวมทั้งนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ตวั ชีว้ ดั /ผลการเรยี นรู้
1. ทดลอง และอธิบายความสมั พันธร์ ะหว่างตำแหน่ง การกระจัด ความเร็ว และความเรง่ ของ
การเคลื่อนทีข่ องวัตถุในแนวตรงทีม่ ีความเรง่ คงตัวจากกราฟและสมการ รวมทั้งทดลองหาค่าความเร่ง
โนม้ ถว่ งของโลก และคำนวณปริมาณตา่ ง ๆ ที่เกี่ยวขอ้ ง

2. สาระสำคญั (ความคดิ รวบยอด)
การตกแบบเสรี เปน็ การเคล่ือนท่ขี องวัตถภุ ายใต้แรงโนม้ ถ่วงของโลกเพยี งแรงเดียว โดยไม่คดิ แรงต้านหรือ

แรงเสียดทานของอากาศ ความเร่งในการเคลื่อนที่ของวัตถุที่ตกแบบเสรี เรียกว่า ความเร่งโน้มถ่วงของโลก แทน
ด้วย g

3. สาระการเรยี นรู้
การเคลื่อนที่ของวัตถุจากที่สูงหรือเคลื่อนที่ในแนวดิ่งภายใต้สนามโน้มถ่วงของโลก เมื่อไม่คิดความ

ต้านทานของอากาศ จะปรากฏว่า วัตถุทุกชนิดที่มีมวลมากน้อยต่างกัน ย่อมตกลงสู่พื้นด้วยความเร่งเท่ากันเสมอ
เรยี กการเคลื่อนทีแ่ บบน้ีว่า การตกแบบอสิ ระ (free fall) หรือการตกแบบเสรี ซง่ึ การตกแบบอิสระนี้ ใช้ได้ท้ังกรณี
ท่ีวัตถุตกลงในแนวดงิ่ หรอื ว่าถกู โยนขึ้น

ความเร่งในการเคลื่อนที่ของวตั ถทุ ต่ี กแบบเสรี เรยี กวา่ ความเรง่ โนม้ ถ่วงของโลก แทนด้วย g
มคี ่าประมาณ 9.8 เมตร/วนิ าที2

4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. ความรู้ (K)
อธิบายการตกแบบเสรไี ด้
2. ทกั ษะ/กระบวนการ (P)
ทดลองหาค่าความเร่งโน้มถ่วงของโลกและคำนวณปริมาณท่ีเกย่ี วขอ้ งได้

59

3. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)

คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงคต์ ามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับ

ปรับปรุง 2560)

 มีวนิ ัย  ใฝ่เรียนรู้  มงุ่ มั่นในการทำงาน

คุณลกั ษณะของผูเ้ รียนตามหลกั สูตรมาตรฐานสากล

 เป็นเลศิ วชิ าการ  ลำ้ หน้าทางความคดิ

5. จุดเนน้ ส่กู ารพฒั นาคณุ ภาพผเู้ รยี น
ความสามารถและทักษะผเู้ รียนในศตวรรษที่ 21 ( 3Rs 8Cs 2Ls )
1. ทกั ษะในสาระวิชาหลกั (3Rs)
1.1  Reading (อ่าน) 1.2  (W)Riting (เขยี น) 1.3  (A)Rithemetics (คณิตฯ)
2. ทกั ษะการเรียนรแู้ ละนวัตกรรม (8Cs)
2.1  Critical Thinking and Problem Solving (การคิดวิจารณญาณ และแก้ปญั หา)
2.4  Collaboration, Teamwork and Leadership (การทำงานเปน็ ทีม ภาวะผนู้ ำ)
2.8  Compassion (คุณธรรม เมตตา กรุณา ระเบยี บวินัย)
3. ทักษะการเรยี นรแู้ ละภาวะผู้นำ (2Ls)
3.1  Learning (ทักษะการเรียนร)ู้ 3.2  Leadership (ภาวะผนู้ ำและความรับผิดชอบ)

6. การบรู ณาการตามพระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแห่งชาติ ( เฉพาะที่เกิดในแผนการจัดการเรยี นรู้ )
บรู ณาการกับคา่ นยิ ม 12 ประการ
 2. ซอ่ื สัตย์ เสียสละ อดทน มอี ุดมการณใ์ นสง่ิ ที่ดีงามเพ่ือสว่ นรวม
 4. ใฝห่ าความรู้ หมน่ั ศึกษาเล่าเรียนท้งั ทางตรงและทางออ้ ม
 9. มสี ตริ ูต้ วั ร้คู ิด รู้ทำ

7. ภาระงาน / ช้ินงาน
ภาระงาน - ศึกษาใบความรู้ ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมในแบบฝึกหัด

8. กจิ กรรมการเรียนรู้
1. ขัน้ สรา้ งความสนใจ
1.1 ครูถามนักเรียนวา่ เหตใุ ดเม่ือปล่อยวัตถจุ ากทีส่ ูง วตั ถจุ ึงตกลงสู่พื้นโลก
(แนวคำตอบ : มีแรงดึงดูดของโลก)
1.2 ครูถามนักเรยี นวา่ วตั ถุตา่ ง ๆ ตกลงสู่พืน้ โลกในลักษณะเดยี วกันหรอื ไม่ และระหว่างวตั ถุที่มี
มวลต่างกันตกจากจดุ เดยี วกันพรอ้ ม ๆ กนั จะตกถึงพนื้ พร้อมกนั หรือไม่ เพราะเหตุใด
(แนวคำตอบ : ตกเหมือนกัน ลกั ษณะเดียวกัน และตกถึงพ้ืนพรอ้ มกนั )

60

2. ขั้นสำรวจและคน้ หา
2.1 ครูให้นักเรียนทำกิจกรรม 2.2 การตกแบบเสรี เพื่อหาค่าความเร่งโน้มถ่วงของโลก ในหนังสือ
เรียนฟสิ กิ สเ์ พิ่มเตมิ 1 สสวท. โดยเนน้ ยำ้ วา่ เครือ่ งเคาะสญั ญาณเวลาเป็นชนิด 50 ครง้ั ต่อวินาที
2.2 ครูให้นักเรียนทำการบันทึกผลที่ได้ลงในตารางและเขียนกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง
ความเรว็ และเวลา และสรุปผล

3. ขัน้ อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลที่ได้จากกราฟของนักเรียนแต่ละคนว่ามีแนวโน้มเป็นอย่างไร ซึ่ง
กราฟทค่ี วรไดค้ วรมีลกั ษณะดงั นี้

รปู กราฟระหว่างความเรว็ กบั เวลา

3.2 ครูให้นักเรียนรว่ มกันอภิปรายคำถามทา้ ยกจิ กรรม ซง่ึ นักเรียนควรตอบไดว้ ่า

- กราฟท่ีไดม้ ลี ักษณะอย่างไร (แนวคำตอบ : กราฟมีลักษณะเป็นเส้นตรงที่มีความชนั เป็นบวก)

- จากลกั ษณะของกราฟแสดงวา่ ความสมั พันธ์ระหวา่ งขนาดความเรว็ ขณะหน่ึงกบั เวลาเป็น

อย่างไร (แนวคำตอบ : ความสัมพันธร์ ะหว่างขนาดความเร็วขณะหนึ่งกบั เวลาเปน็ เชงิ เสน้ กนั )

- ความชนั ของกราฟมีค่าเท่าใด และค่านแี้ ทนปริมาณอะไร (แนวคำตอบ : ความชันท่ีนกั เรียน

คำนวณได้ควรมคี า่ ใกลเ้ คียง 9.8 m/s2 และคา่ น้แี ทนขนาดความเร่ง)

3.3 ครแู ละนักเรียนร่วมกันสรุปผลการทำกจิ กรรมไดด้ ังน้ี

- กราฟแสดงความสมั พันธร์ ะหว่างขนาดความเรว็ ขณะหนึง่ (v) กับเวลา (t) มีลักษณะเป็น

เสน้ ตรงแสดงวา่ ขนาดความเร็วขณะหนง่ึ แปรผันตรงกบั เวลา

- ความชันของกราฟหาได้จาก ∆x ซึ่งคอื ความเร่งเฉลยี่ น่ันเอง
∆y
- ความเร่งในการเคลื่อนท่ีของถงุ ทรายคือ ความเร่งโน้มถว่ งของโลก

61

4. ขั้นขยายความรู้
4.1 ครูชี้แจงเพิ่มเติมว่า ความเร่งโน้มถ่วงของโลกนี้มีค่าที่ยอมรับกันในปัจจุบัน คือ 9.8 m/s2
สำหรับเส้นกราฟที่ไม่ผ่านจุดกำเนิดนั้น เป็นเพราะในการเขียนกราฟระหว่างขนาดความเร็ว
ขณะหนึ่งกับเวลานั้นจุดที่เลือกให้เวลาเป็นศูนย์ ขณะนั้นวัตถุมีขนาดความเร็วไม่เท่ากับศูนย์
ครใู หข้ อ้ สงั เกตเพ่ิมเติม ในการใชส้ มการดังน้ี

สมการ ตัวแปรทไ่ี มส่ นใจ
ไม่สนใจ s
v=u+at ไม่สนใจ a

∆s= u+v t ไม่สนใจ v
(2)
ไม่สนใจ t
∆s=ut+ 1 at2
2

v2=u2+2a∆s

4.2 ครูโยงความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรมเพื่ออธิบายการตกแบบเสรีว่าเป็นการเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง

ภายใต้ ความเร่งโน้มถ่วง และสามารถอธิบายการตกแบบเสรีด้วยสมการการเคลื่อนที่แนว

เส้นตรง ความเร่งคงตัว โดยเปลี่ยนจาก a เปน็ g

∆∆ss=v==u(utu+++2g21vt)gt2t
v2=u2+2g∆s
1
∆s=vt- 2 gt2

ครูเน้นว่าวัตถุทีต่ กแบบเสรีมีการเคล่ือนที่ด้วยความเร่งโนม้ ถ่วง มีค่าคงตัวและมีทิศลงในแนวดิง่

เมอื่ ใหท้ ศิ ขึน้ มีเครอ่ื งหมายเปน็ บวก จะแทนค่าได้ -9.8 m/s2

5. ขั้นประเมนิ ผล

5.1 ครูทดสอบวัดความรเู้ กีย่ วกับการตกแบบเสรี และการประยุกต์ใชส้ มการการเคลื่อนที่แนวตรงกับ

การตกแบบเสรี จากการนำเสนอ คำถามตรวจสอบความเข้าใจและแบบฝึกหัดท้าย 2.7 ใน

หนังสอื เรยี นฟิสกิ ส์เพม่ิ เตมิ 1 สสวท.

62

9. สอื่ การเรียนรู้/วสั ดุอุปกรณ์ /แหลง่ เรยี นรู้
สอ่ื 1. เอกสารประกอบการเรียนเรือ่ ง การเคล่ือนที่แนวตรง
2. แบบฝึกหัด
3. ชุดกจิ กรรมการทดลอง กิจกรรมท่ี 2.2 การตกแบบเสรี เพ่ือหาคา่ ความเรง่ โนม้ ถ่วงของโลก
แหลง่ เรียนรู้ 1. www.google.co.th 2. หนังสอื เรียนรายวิชาเพม่ิ เติม ฟสิ ิกส์ เลม่ 1 (สสวท.)

10. การวัดและประเมินผล

การวัดประเมินผลดา้ น วิธีการวัด เคร่ืองมือวดั เกณฑก์ ารผ่าน

1. ด้านความรู้ (K) 1. ทดสอบ 1. แบบทดสอบ ไดค้ ะแนนในระดบั พอใช้ขน้ึ ไป
2. สรปุ ความคิด

2. ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) สังเกตจากการปฏบิ ตั ิ 1. แบบสังเกต ได้คะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป

กิจกรรมในชั้นเรียน 2. แบบประเมิน

3. ดา้ นคณุ ลักษณะทีพ่ ึงประสงค์ (A) การสงั เกตพฤติกรรมความ แบบสงั เกต ได้คะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป

สนใจและตง้ั ใจเรยี น

4. ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน การสงั เกตพฤติกรรมความ แบบประเมนิ ได้คะแนนในระดับพอใช้ขึ้นไป

5 ประการ สนใจและตัง้ ใจเรยี น

5. ดา้ นทักษะผเู้ รียนในศตวรรษที่ 21 การสังเกตพฤติกรรมความ แบบประเมนิ ได้คะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป

(21st Century Skills สนใจและตง้ั ใจเรียน

63

บันทกึ หลังการจดั กิจกรรมการเรียนร้ทู ี่ 10

เรื่อง การตกแบบเสรี

1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้

จากการประเมนิ ผลจาก การปฏบิ ตั กิ ิจกรรมการทดลอง โดยให้นักเรยี นแบ่งกลุ่มทำการทดลอง และรว่ มกันอภปิ ราย ของนกั เรยี น

ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 จำนวน 80 คน โดยการประเมินตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ผลปรากฏดังน้ี

1.1 ผลการประเมินดา้ นความรู้

1.1.1 จากการประเมินแบบทดสอบหลังเรยี น พบวา่ มนี ักเรยี น

- ไดร้ ะดับดีมาก จำนวน 20 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 25.0

- ได้ระดบั ดี จำนวน 32 คน คดิ เป็นร้อยละ 40.0

- ได้ระดับปานกลาง จำนวน 10 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 12.5

- ไดร้ ะดับพอใช้ จำนวน 12 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 15.0

- ไดร้ ะดับปรับปรงุ จำนวน 6 คน คิดเปน็ ร้อยละ 7.5

1.2 ผลการประเมนิ ด้านทักษะกระบวนการ/ดา้ นทักษะผู้เรียนในศตวรรษที่ 21

1.2.1 จากการประเมินโดยใช้แบบประเมนิ ทกั ษะในการ สงั เกตความสนใจในการรว่ มกจิ กรรม

พบว่ามนี ักเรยี น

- ได้ระดบั ดี จำนวน 30 คน คิดเป็นร้อยละ 37.5

- ไดร้ ะดับพอใช้ จำนวน 40 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 50.0

- ได้ระดบั ปรับปรุง จำนวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 12.5

1.2.2 จากการประเมินโดยใชแ้ บบประเมินการเขียนรายงานและการนำเสนอ ในการจดั กจิ กรรม

พบว่ามนี ักเรียน

- ไดร้ ะดบั ดี จำนวน 30 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 37.5

- ไดร้ ะดบั พอใช้ จำนวน 45 คน คิดเปน็ ร้อยละ 56.3

- ได้ระดบั ปรับปรุง จำนวน 5 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 6.2

1.3 ผลการประเมนิ ดา้ นคุณลักษณะอันพึงประสงค์/สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น โดยใชแ้ บบประเมนิ พฤติกรรมการ

ทำงานกลุ่มของนักเรยี น พบว่ามีนกั เรยี น

- ได้ระดบั ดี จำนวน 75 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 93.2

- ไดร้ ะดับพอใช้ จำนวน 5 คน คดิ เป็นร้อยละ 6.8

- ไดร้ ะดับปรบั ปรงุ จำนวน - คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ -

2. ปัญหา/อุปสรรค
อปุ กรณก์ ารทดลองเสอ่ื มสภาพ สง่ ผลให้แตล่ ะกล่มุ มผี ลการทดลองไม่เหมอื นกัน

3. ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ปญั หา
กอ่ นทำการทดลอง ครคู วรเช็คอปุ กรณ์ใหเ้ รียบร้อย เพอื่ ให้กจิ กรรมดำเนนิ ไปอย่างสำเร็จลลุ ่วงไปด้วยดี

ลงชอ่ื …………………ก……า………………
(นางสาวนปิ ัทมา นิเฮง)
ครผู สู้ อน

นิ

หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 3

แรงและกฎการเคล่ือนท่ี

เรือ่ ง แรงและกฎการเคล่ือนที่

❑ แรง
❑ การหาแรงลพั ธ์ (ทดลอง)
❑ การหาแรงลพั ธ์ (คานวณ)
❑ มวล แรง และกฎการเคลอ่ื นที่ (ทดลอง)
❑ มวล แรง และกฎการเคลอ่ื นท่ี (คานวณ)
❑ แรงเสยี ดทาน
❑ แรงดงึ ดดู ระหวา่ งมวล
❑ การประยกุ ตใ์ ช้กฎการเคลอ่ื นที่

เอกสารประกอบการเรยี นบทท่ี 3

โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ จงั หวดั ปตั ตานี

64

แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 11 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4
โรงเรียนเบญจมราชทู ิศ จงั หวดั ปตั ตานี
วชิ า ว 31201 ฟสิ ิกส์ 1 ชือ่ หน่วย : แรงและกฎการเคล่อื นท่ี
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 3 จำนวน 4 ชวั่ โมง
เรอื่ ง แรง

1. สาระ/มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ผลการเรียนรู้/ตวั ช้ีวดั
มาตรฐานการเรยี นรู้
เขา้ ใจธรรมชาตทิ างฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลื่อนทแี่ นวตรง แรงและกฎการเคลื่อนที่ของ

นวิ ตัน กฎความโน้มถว่ งสากล แรงเสยี ดทาน สมดุลกลของวัตถุ งาน และกฎการอนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและ
กฎการอนรุ ักษ์โมเมนตมั การเคลือ่ นทแ่ี นวโคง้ รวมท้ังนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

ตัวชว้ี ัด/ผลการเรยี นรู้
1. ทดลอง และอธิบายการหาแรงลัพธ์ของแรงสองแรงทท่ี ำมมุ ต่อกนั
2. เขียนแผนภาพของแรงที่กระทำต่อวัตถุอสิ ระ ทดลอง และอธบิ ายกฎการเคลื่อนท่ีของนิวตันและการใช้
กฎการเคลือ่ นทข่ี องนวิ ตนั กับสภาพการเคล่ือนท่ีของวตั ถุ รวมทง้ั คำนวณปริมาณต่าง ๆ ทเี่ กี่ยวขอ้ ง

2. สาระสำคญั (ความคิดรวบยอด)
แรง (Force) “ F ” หมายถงึ ปรมิ าณท่ีกระทำกับวตั ถุแล้วทำใหว้ ัตถุเปล่ียนสภาพการเคลือ่ นท่ี ทำให้วตั ถุ

ท่ีอยู่นิง่ เคลอ่ื นท่ีไป ทำใหว้ ตั ถุทเ่ี คล่ือนทอ่ี ยูแ่ ล้วเคล่ือนท่เี รว็ หรอื ช้าลง ทำให้วัตถุมีการเปลี่ยนทศิ ตลอดจนทำให้วตั ถุ
มกี ารเปล่ียนขนาดหรือรูปทรงไปจากเดิมได้แรงเปน็ ปรมิ าณเวกเตอร์ ที่มที ั้งขนาดและทิศทางการรวมหรอื หกั ลา้ ง
กนั ของแรงจึงต้องเปน็ ไปตามแบบเวกเตอร์

แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ การหาแรงลัพธใ์ ช้วิธีเดียวกับกบั การหาเวกเตอร์ลพั ธ์ การหาแรงลพั ธ์ของแรงสอง
แรงท่ีกระทำมมุ กัน ทำได้โดยการสรา้ งรปู โดยเขียนลกู ศรแทนขนาดและทิศทางของแรงตามมาตราสว่ นที่กำหนด
หรือการคำนวณโดยแยกแรงแต่ละ่ แรงเป็นแรงย่อยในแนวแกนXและในแนวแกนY

3. สาระการเรียนรู้
การพิจารณาแรงนั้นจะนำสภาพการเคลื่อนที่ของวัตถุมาระบุแรงที่กระทำต่อวัตถุ โดยต้องรู้ว่าแรงใดเปน็

ของผู้กระทำ ผูถ้ กู กระทำ มที ศิ ทางใด และเพือ่ การพิจารณาไดช้ ัดเจนจะใชแ้ ผนภาพวัตถุอสิ ระที่เขียนแรงทั้งหมดที่
กระทำต่อวตั ถทุ ่พี จิ ารณาครบถ้วนและถูกต้อง มีแรง 5 แรงทีค่ วรรูเ้ ป็นพืน้ ฐานคอื

- น้ำหนักของวัตถุ (weight) คือแรงที่โลกดึงดูดวัตถุ มีขนาดขึ้นอยู่กับมวลของวัตถุ และมีทิศเข้าหา
ศูนยก์ ลางโลก

- แรงสปริง (spring force) เป็นแรงที่สปริงพยายามต้านกับแรงทีม่ ากระทำต่อสปริง มีขนาดขึ้นกับความ
ยาวของสปรงิ ท่เี ปล่ยี นไป มที ิศทางท่ีทำใหส้ ปริงกลบั สูร่ ูปร่างเดมิ

- แรงดงึ (tension force) เชน่ แรงดงึ เชอื ก เป็นแรงทเ่ี ชือกดึงวัตถุ มีทศิ ออกจากวัตถุ

65

- แรงแนวฉาก (normal force) เป็นแรงกระทำระหว่างผิววัตถุสองก้อนที่สัมผัสกัน มีทิศตั้งฉากกับแนว
ผิวสัมผสั

- แรงเสียดทาน (frictional force) เป็นแรงกระทำระหว่างผิววัตถุสองก้อนที่สัมผัสกัน พยายามต้านการ
เคล่อื นทร่ี ะหว่างวัตถุ มีทิศในแนวผวิ สัมผัส

4. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้

1. ความรู้ (K)

อธิบายเก่ยี วกับความหมายของแรงได้

2. ทักษะ/กระบวนการ (P)

เขียนแผนภาพวัตถุอิสระในกรณีตา่ ง ๆ ได้

3. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A)

คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงคต์ ามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับ

ปรบั ปรุง 2560)

 มวี ินัย  ใฝเ่ รียนรู้  มงุ่ มน่ั ในการทำงาน

คณุ ลักษณะของผูเ้ รยี นตามหลกั สูตรมาตรฐานสากล

 เปน็ เลิศวชิ าการ  ล้ำหนา้ ทางความคดิ

5. จดุ เนน้ สู่การพฒั นาคณุ ภาพผูเ้ รียน
ความสามารถและทักษะผ้เู รยี นในศตวรรษท่ี 21 ( 3Rs 8Cs 2Ls )
1. ทักษะในสาระวิชาหลัก (3Rs)
1.1  Reading (อ่าน) 1.2  (W)Riting (เขยี น) 1.3  (A)Rithemetics (คณิตฯ)
2. ทักษะการเรยี นรแู้ ละนวัตกรรม (8Cs)
2.1  Critical Thinking and Problem Solving (การคิดวิจารณญาณ และแกป้ ญั หา)
2.4  Collaboration, Teamwork and Leadership (การทำงานเปน็ ทมี ภาวะผู้นำ)
2.8  Compassion (คณุ ธรรม เมตตา กรุณา ระเบียบวินยั )
3. ทักษะการเรยี นรแู้ ละภาวะผูน้ ำ (2Ls)
3.1  Learning (ทักษะการเรยี นร)ู้ 3.2  Leadership (ภาวะผนู้ ำและความรับผิดชอบ)

6. การบูรณาการตามพระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ ( เฉพาะทีเ่ กดิ ในแผนการจดั การเรียนรู้ )
บูรณาการกับค่านิยม 12 ประการ
 2. ซื่อสัตย์ เสยี สละ อดทน มอี ุดมการณ์ในสงิ่ ทดี่ ีงามเพื่อสว่ นรวม
 4. ใฝห่ าความรู้ หมั่นศกึ ษาเลา่ เรียนท้ังทางตรงและทางออ้ ม
 9. มสี ติรตู้ วั รู้คดิ รู้ทำ

66

7. ภาระงาน / ช้ินงาน
ภาระงาน - ศึกษาใบความรู้ ปฏบิ ตั ิกิจกรรมในแบบฝึกหัด

8. กจิ กรรมการเรยี นรู้
1. ขน้ั สร้างความสนใจ
1.1 ครูทบทวนความรู้เรื่องแรงที่นักเรียนเคยเรียนมาแล้ว และตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียน
เกี่ยวกับ แรง ให้อภิปรายร่วมกันเพื่อให้เกิดแนวคิดที่ถูกต้อง แล้วตั้งคำถามโดยยกสถานการณ์
ให้ นกั เรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็นเก่ียวกบั แรงเพิ่มขน้ึ เชน่ ยงั มแี รงจากผู้โยนกระทำต่อลูก
โบวล์ ง่ิ อยูห่ รือไมข่ ณะลกู โบวล์ ง่ิ กำลงั กล้งิ ไปบนรางหลังจากหลุดจากมอื ผโู้ ยนแล้ว (แนวคำตอบ
: มี เชน่ แรงโน้มถ่วงของโลก)
1.2 ครถู ามนักเรยี นวา่ ในแรงดึงมือในกรณีท่นี กั เรยี นยนื หว้ิ ของหนกั เปรยี บเทียบกบั การดึงปลายหนัง
ยางวา่ เหมอื นหรือแตกต่างกันอยา่ งไร (คำตอบเปน็ แบบปลายเปดิ )
2. ข้นั สำรวจและคน้ หา
2.1 ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันอภปิ รายเกี่ยวกบั ลักษณะของแรงตามหวั ขอ้ 3.1.1 ในหนงั สือเรยี นรายวิชา
เพิ่มเติม ฟิสิกส์ 1 สสวท. จนนักเรียนสามารถระบุ ลักษณะสำคัญของแรงว่าแรงต้องมีผู้กระทำ
ผถู้ ูกกระทำ และมีทิศโดยใช้ลูกศรแทนแรง
2.2 ครูและนักเรยี นรว่ มกนั อภปิ รายเก่ยี วกับแรงกระทำเปน็ ค่ตู ามรายละเอยี ดในหนังสือเรียน จากนั้น
ให้นักเรียนสังเกตวา่ แรงอะไรบ้าง เมื่อนักเรียนดึงหนังยางที่ปลายด้านหนึ่งยึดไว้ และให้นักเรียน
วเิ คราะหเ์ กย่ี วกับแรงกระทำเป็นคู่ ซักถามจนไดแ้ นวคำตอบว่า เมือ่ นกั เรยี นออกแรงดงึ ปลายหนัง
ยาง มือของนักเรยี นเป็นผ้กู ระทำ หนังยางเป็นผู้ถูกกระทำ ดังรูป 3.1 ก. ในขณะเดยี วกนั หนังยาง
จะออกแรงดึงกระทำต่อมือของนักเรียนด้วย โดยหนังยางเป็นผู้กระทำ มือของนักเรียนเป็น
ผู้ถูกกระทำ ดังรูป 3.1 ข. นั่นคือ มือของนักเรียนและหนังยางสลับกันเป็นผู้กระทำและ
ผถู้ กู กระทำ

รปู 3.1 ก. มอื เป็นผูก้ ระทำ หนงั ยางเป็นผถู้ ูกกระทำ

67

รปู 3.2 ก. หนังยางเปน็ ผู้กระทำ มือเปน็ ผถู้ กู กระทำ

3. ข้นั อธบิ ายและลงข้อสรปุ
3.1 ครูใหน้ กั เรียนศึกษารูปชายคนหนึ่งดนั กลอ่ ง จากแนวคำถามชวนคดิ ในหนังสอื เรยี น

รปู สถานการณท์ ่ีมีผชู้ ายดนั กล่อง A และ B บนพน้ื ล่นื
และถามนักเรียนวา่ มแี รงอะไรกระทำต่อกล่อง A บ้าง (แนวคำตอบ : แรงผลกั แรงท่ีกลอ่ ง B ดัน
กล่อง A แรงที่พื้นดันกล่อง A และน้ำหนักของกล่อง A) และมีแรงอะไรกระทำต่อกล่อง B บ้าง
(แนวคำตอบ : แรงท่กี ล่อง A ดนั กล่อง B แรงที่พ้นื ดันกลอ่ ง B และน้ำหนกั ของกลอ่ ง B)
3.2 ครูให้ความรู้เกี่ยวกับแผนภาพวัตถุอิสระเพื่อใช้ในการวิเคราะห์แรงที่กระทำกับวัตถุตามขั้นตอน
ทั้ง 3 ข้อ ตามรายละเอียดหนังสือเรียนจากนั้นครูอธิบายการเขียนแผนภาพวัตถุอิสระจาก
สถานการณต์ า่ ง ๆ ในตาราง 3.2 และข้อสังเกตในหนังสอื เรยี น
4. ขน้ั ขยายความรู้
4.1 ครูใหค้ วามรเู้ พ่มิ เติมว่า การพิจารณาแรงนน้ั จะนำสภาพการเคล่ือนที่ของวัตถุมาระบุแรงท่ีกระทำ
ต่อวัตถุ โดยต้องรู้ว่าแรงใดเป็นของผู้กระทำ ผู้ถูกกระทำ มีทิศทางใด และเพื่อการพิจารณาได้
ชัดเจนจะใช้แผนภาพวัตถุอิสระที่เขียนแรงทั้งหมดที่กระทำต่อวัตถุที่พิจารณาครบถ้วนแล ะ
ถูกตอ้ ง มแี รง 5 แรงท่คี วรรเู้ ป็นพน้ื ฐานคอื

- นำ้ หนักของวัตถุ (weight) คือแรงทีโ่ ลกดึงดูดวตั ถุ มขี นาดข้นึ อยู่กับมวลของวัตถุ และ
มีทิศเข้าหาศูนย์กลางโลก

- แรงสปริง (spring force) เป็นแรงที่สปริงพยายามต้านกับแรงที่มากระทำต่อสปริง มี
ขนาดข้ึนกบั ความยาวของสปรงิ ท่ีเปล่ยี นไป มที ิศทางท่ที ำใหส้ ปรงิ กลบั สู่รูปรา่ งเดิม

- แรงดงึ (tension force) เช่น แรงดึงเชอื ก เปน็ แรงทเี่ ชอื กดึงวัตถุ มที ิศออกจากวตั ถุ

68

- แรงแนวฉาก (normal force) เป็นแรงกระทำระหว่างผิววัตถุสองก้อนที่สัมผัสกัน มี
ทศิ ตั้งฉากกบั แนวผวิ สัมผัส

- แรงเสียดทาน (frictional force) เป็นแรงกระทำระหว่างผิววัตถุสองก้อนที่สัมผัสกัน
พยายามต้านการเคลอ่ื นทีร่ ะหว่างวตั ถุ มีทศิ ในแนวผวิ สมั ผัส
5. ขั้นประเมนิ ผล
5.1 ครูเขียนภาพวัตถุ A และ B ดังรูป 3.2 แล้วให้นักเรียนแต่ละคนเขียนรูปแล้วใส่ลูกศรแทนแรง
ทั้งหมดที่กระทำต่อวัตถุทั้งสองลงในรูปที่เขียน ให้นักเรียนระบุด้วยว่าแรงใดคือ น้ำหนัก แรง
สปริง แรงดึง แรงแนวฉาก และแรงเสยี ดทาน

รูป 3.2 แสดงแรงตา่ งๆ ที่กระทำกับวัตถุ A และ B
ครใู ชร้ ปู 3.3 เปน็ แนวคำตอบตามในการระบุประเภทของแรง โดย W1, W2 เปน็ นำ้ หนกั ของวตั ถุ

รูป 3.3 แสดงและระบุต่างๆ ท่กี ระทำต่อวัตถุ A และ B

5.2 ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพื่อสรุปแนวคิดสำคัญเกี่ยวกับแรง จากนั้นครูให้นักเรียนตอบ
คำถามตรวจสอบความเข้าใจและทำแบบฝึกหัด 3.1 ในหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ 1
สสวท. โดยเฉลยคำตอบและอภปิ รายคำตอบรว่ มกัน

9. สอ่ื การเรยี นรู้/วัสดุอปุ กรณ์ /แหล่งเรยี นรู้

สอ่ื 1. เอกสารประกอบการเรยี นเรือ่ ง แรง มวลและกฎการเคลื่อนทขี่ องนิวตัน

2. แบบฝึกหัด 3. ยางวง

แหล่งเรยี นรู้ 1. www.google.co.th 2. หนงั สือเรียนรายวิชาเพ่มิ เติม ฟสิ กิ ส์ เล่ม 1 (สสวท.)

69

10. การวดั และประเมินผล

การวัดประเมินผลด้าน วธิ ีการวัด เคร่ืองมือวัด เกณฑก์ ารผา่ น
1. ด้านความรู้ (K)
1. ทดสอบ 1. แบบทดสอบ ได้คะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป
2. สรปุ ความคิด

2. ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) สงั เกตจากการปฏบิ ัติ 1. แบบสงั เกต ได้คะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป
กจิ กรรมในชั้นเรียน 2. แบบประเมนิ

3. ด้านคุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ (A) การสงั เกตพฤติกรรมความ แบบสังเกต ได้คะแนนในระดบั พอใช้ขน้ึ ไป
สนใจและต้ังใจเรียน

4. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน การสังเกตพฤติกรรมความ แบบประเมนิ ได้คะแนนในระดับพอใช้ขึ้นไป

5 ประการ สนใจและต้งั ใจเรยี น

5. ด้านทักษะผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21 การสังเกตพฤติกรรมความ แบบประเมนิ ไดค้ ะแนนในระดบั พอใช้ขึ้นไป

(21st Century Skills สนใจและต้ังใจเรียน

70

บันทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ี 11

เรอ่ื ง แรง

1. ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้

จากการประเมนิ ผลจาก การจดั กจิ กรรม โดยครูใชค้ ำถามในการจดั กจิ กรรม เพื่อให้นกั เรยี นไดช้ ่วยกนั คดิ อภปิ รายผล ของนกั เรยี น

ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 จำนวน 80 คน โดยการประเมนิ ตามจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ผลปรากฏดงั นี้

1.1 ผลการประเมนิ ดา้ นความรู้

1.1.1 จากการประเมินแบบทดสอบหลงั เรียน พบว่ามีนักเรยี น

- ได้ระดบั ดีมาก จำนวน 25 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 31.3

- ได้ระดบั ดี จำนวน 30 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 37.5

- ไดร้ ะดบั ปานกลาง จำนวน 13 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 16.2

- ไดร้ ะดับพอใช้ จำนวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 8.7

- ไดร้ ะดบั ปรบั ปรุง จำนวน 5 คน คดิ เป็นร้อยละ 6.3

1.2 ผลการประเมนิ ด้านทกั ษะกระบวนการ/ด้านทักษะผูเ้ รยี นในศตวรรษที่ 21

1.2.1 จากการประเมนิ โดยใช้แบบประเมินทกั ษะในการ สังเกตความสนใจในการร่วมกจิ กรรม

พบวา่ มนี กั เรียน

- ไดร้ ะดบั ดี จำนวน 38 คน คิดเป็นร้อยละ 47.5

- ได้ระดบั พอใช้ จำนวน 35 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 43.8

- ได้ระดับปรับปรุง จำนวน 7 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 8.7

1.2.2 จากการประเมนิ โดยใช้แบบประเมนิ การเขียนรายงานและการนำเสนอ ในการจดั กจิ กรรม

พบว่ามีนกั เรยี น

- ไดร้ ะดบั ดี จำนวน 38 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 47.5

- ไดร้ ะดับพอใช้ จำนวน 37 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 46.3

- ได้ระดับปรบั ปรุง จำนวน 5 คน คิดเปน็ ร้อยละ 6.2

1.3 ผลการประเมนิ ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์/สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น โดยใช้แบบประเมนิ พฤติกรรมการ

ทำงานกลุม่ ของนักเรียน พบวา่ มีนกั เรยี น

- ได้ระดบั ดี จำนวน 70 คน คิดเปน็ ร้อยละ 87.5

- ได้ระดบั พอใช้ จำนวน 10 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 12.5

- ได้ระดบั ปรบั ปรงุ จำนวน - คน คดิ เป็นรอ้ ยละ -

2. ปัญหา/อุปสรรค
นกั เรียนบางส่วนยังมองภาพไมอ่ อก ว่ามแี รงอะไรบา้ งทมี่ ากระทำกบั วตั ถุ เขียน FBD.ไม่เปน็

3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกป้ ญั หา
ควรมีกิจกรรมทดลองท่หี ลากหลายเพือ่ ให้นักเรียนได้มองภาพโดยรวมอยา่ งชัดเจน

ลงช่อื ……………………ก…า………………
(นางสาวนปิ ทั มา นเิ ฮง)
ครูผูส้ อน

นิ

71

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 12 กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4
โรงเรียนเบญจมราชูทศิ จงั หวดั ปตั ตานี
วชิ า ว 31201 ฟิสกิ ส์ 1 ช่ือหน่วย : แรงและกฎการเคลือ่ นท่ี
หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 3 จำนวน 4 ช่ัวโมง
เรอ่ื ง การหาแรงลพั ธ์ (ทดลอง)

1. สาระ/มาตรฐานการเรียนรู้/ ผลการเรยี นรู้/ตวั ชวี้ ดั
มาตรฐานการเรียนรู้
เข้าใจธรรมชาตทิ างฟสิ กิ ส์ ปริมาณและกระบวนการวดั การเคลือ่ นท่แี นวตรง แรงและกฎการเคล่ือนท่ีของ

นวิ ตนั กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทาน สมดุลกลของวัตถุ งาน และกฎการอนรุ ักษ์พลงั งานกล โมเมนตมั และ
กฎการอนุรักษโ์ มเมนตัม การเคลื่อนท่แี นวโคง้ รวมท้ังนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

ตวั ช้ีวดั /ผลการเรียนรู้
1. ทดลอง และอธิบายการหาแรงลพั ธ์ของแรงสองแรงทท่ี ำมุมต่อกัน
2. เขยี นแผนภาพของแรงที่กระทำต่อวัตถุอสิ ระ ทดลอง และอธบิ ายกฎการเคล่อื นที่ของนวิ ตันและการใช้
กฎการเคล่อื นทข่ี องนิวตนั กับสภาพการเคล่อื นท่ีของวัตถุ รวมทงั้ คำนวณปริมาณตา่ ง ๆ ท่เี ก่ยี วขอ้ ง

2. สาระสำคัญ (ความคิดรวบยอด)
แรง (Force) “ F ” หมายถงึ ปริมาณที่กระทำกับวตั ถุแลว้ ทำใหว้ ัตถเุ ปลยี่ นสภาพการเคล่ือนท่ี ทำให้วัตถุ

ท่อี ยูน่ งิ่ เคล่อื นที่ไป ทำใหว้ ตั ถุท่เี คลื่อนท่ีอยูแ่ ล้วเคลื่อนท่เี รว็ หรอื ชา้ ลง ทำใหว้ ัตถมุ ีการเปลี่ยนทิศตลอดจนทำให้วตั ถุ
มกี ารเปลยี่ นขนาดหรอื รูปทรงไปจากเดิมได้แรงเป็นปรมิ าณเวกเตอร์ ท่มี ที ้ังขนาดและทิศทางการรวมหรือหักล้าง
กนั ของแรงจงึ ต้องเป็นไปตามแบบเวกเตอร์

แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ การหาแรงลัพธ์ใช้วิธีเดียวกับกบั การหาเวกเตอรล์ ัพธ์ การหาแรงลพั ธ์ของแรงสอง
แรงท่ีกระทำมุมกนั ทำได้โดยการสรา้ งรูป โดยเขียนลูกศรแทนขนาดและทิศทางของแรงตามมาตราส่วนท่ีกำหนด
หรือการคำนวณโดยแยกแรงแตล่ ะ่ แรงเป็นแรงยอ่ ยในแนวแกน X และในแนวแกน Y

3. สาระการเรียนรู้
เมื่อวัตถุก้อนหนึง่ มแี รงกระทำสองแรง ผลที่เกิดกับวตั ถุน้ันจะเป็นไปตามแรงรวมของแรงท้ังสองที่ไดจ้ าก

การรวมแบบเวกเตอร์ เรียกว่า แรงลัพธ์ (resultant force) การหาแรงลัพธ์ด้วยวิธีเขียนเวกเตอร์แบบหางต่อหัว
โดยเขียนลูกศรเวกเตอร์แทนแรงทั้งสองให้หางต่อหวั เวกเตอร์ลัพธ์ คือ ลูกศรจากหางเวกเตอร์แรกไปหัวเวกเตอร์
สุดทา้ ย หรอื วธิ กี ารสรา้ งรปู สีเ่ หล่ียมดา้ นขนาน โดยเขียนเวกเตอรแ์ ทนแรงทั้งสองให้หางมาต่อกันแลว้ ประแนวจาก
หวั ลูกศรเวกเตอร์ท้งั สองให้เปน็ รูปสี่เหลยี่ มด้านขนาน เวกเตอรล์ ัพธ์ คอื ลูกศรจากมมุ ทหี่ างพบกันไปยังมุมตรงข้าม
และการหาแรงลัพธ์ด้วยวิธีคำนวณ โดยคำนวณผลรวมแรงองค์ประกอบของแรงทั้งสองในแนว x และ ในแนว y
แลว้ คำนวณแรงลัพธ์ของแรงรวมในแนว x กับแรงรวมในแนว y จากทฤษฎพี ที าโกรัส

72

4. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้

1. ความรู้ (K)

อธิบายเก่ยี วกบั ความหมายของแรงลัพธ์ได้

2. ทกั ษะ/กระบวนการ (P)

ทดลองหาแรงลัพธ์ของแรงสองแรงทีท่ ำมมุ ต่อกันและหาขนาดและทิศทางของแรงลพั ธ์ของแรงสอง

แรงที่ทำมุมต่อกันไดถ้ ูกตอ้ ง

3. คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)

คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับ

ปรบั ปรงุ 2560)

 มีวนิ ัย  ใฝเ่ รยี นรู้  มงุ่ ม่นั ในการทำงาน

คณุ ลกั ษณะของผเู้ รยี นตามหลกั สตู รมาตรฐานสากล

 เปน็ เลศิ วิชาการ  ลำ้ หนา้ ทางความคิด

5. จุดเน้นสู่การพัฒนาคุณภาพผูเ้ รียน
ความสามารถและทักษะผเู้ รียนในศตวรรษท่ี 21 ( 3Rs 8Cs 2Ls )
1. ทักษะในสาระวิชาหลัก (3Rs)
1.1  Reading (อา่ น) 1.2  (W)Riting (เขยี น) 1.3  (A)Rithemetics (คณติ ฯ)
2. ทักษะการเรียนรูแ้ ละนวัตกรรม (8Cs)
2.1  Critical Thinking and Problem Solving (การคิดวิจารณญาณ และแก้ปญั หา)
2.4  Collaboration, Teamwork and Leadership (การทำงานเปน็ ทีม ภาวะผนู้ ำ)
2.8  Compassion (คณุ ธรรม เมตตา กรณุ า ระเบียบวินยั )
3. ทกั ษะการเรียนรูแ้ ละภาวะผ้นู ำ (2Ls)
3.1  Learning (ทกั ษะการเรียนรู้) 3.2  Leadership (ภาวะผนู้ ำและความรับผดิ ชอบ)

6. การบรู ณาการตามพระราชบัญญัติการศกึ ษาแหง่ ชาติ ( เฉพาะที่เกดิ ในแผนการจัดการเรียนรู้ )
บูรณาการกบั คา่ นยิ ม 12 ประการ
 2. ซือ่ สตั ย์ เสยี สละ อดทน มอี ดุ มการณ์ในสง่ิ ท่ีดีงามเพื่อส่วนรวม
 4. ใฝ่หาความรู้ หมน่ั ศึกษาเล่าเรียนทง้ั ทางตรงและทางอ้อม
 9. มีสตริ ้ตู ัว รูค้ ดิ รู้ทำ

7. ภาระงาน / ชิ้นงาน
ภาระงาน - ศึกษาใบความรู้ ปฏบิ ตั ิกิจกรรมในแบบฝึกหัด

73

8. กิจกรรมการเรียนรู้
1. ขั้นสร้างความสนใจ
1.1 ครูแบ่งกลุ่มนักเรียน กลุ่มละ 5 คน เล่นเกมเลือกตัวอักษรด้วยการเลื่อนถ้วยพลาสติก ที่ผูกโยง
ด้วยเชือกจำนวนเส้นเท่ากับจำนวนผู้เล่น นำถ้วยพลาสติกวางลงบนกระดาษโปสเตอร์ที่เขียน
ตวั อกั ษรไว้ ใหน้ กั เรยี นยืนล้อมกระดาษโปสเตอร์และถือปลายเชอื กคนละเสน้ เพื่อดึงเชอื กให้ถ้วย
เคลื่อนที่ไปยังตัวอักษรที่กำหนด ให้นักเรียนสังเกตการณ์เคลื่อนที่ของถ้วยพลาสติกกับแรงที่ดึง
เมือ่ ดึงถว้ ย 1 คน ดึงถว้ ยพรอ้ มกนั 2 คน ดึงถ้วยพรอ้ มกัน 3 คน และพร้อมกันจนครบ 5 คน
1.2 ครูให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของถ้วยกับแรงที่ดึงหนึ่งแรงและหลายแรง
(คำตอบเป็นแบบปลายเปิด)
2. ขั้นสำรวจและค้นหา
2.1 ครใู หน้ ักเรยี นทำกิจกรรม 3.1 การทดลองเรอื่ งการหาแรงลัพธ์ของแรงสองแรงทที่ ำมมุ กัน เพือ่ หา
ขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์ของแรงสองแรงท่ีทำมุมต่อกัน และบนั ทกึ ผลอภปิ รายร่วมกันตอบ
คำถามท้ายกจิ กรรม
2.2 ครูแนะนำตัวอย่างการวางตัวของเครื่องชั่งสปริง และแรงลัพธ์จากรูปสี่เหลี่ยมด้านขนานเป็นดัง
รูป

3. ข้นั อธิบายและลงข้อสรปุ
3.1 ครูและนักเรยี นร่วมกนั อภิปรายคำถามท้ายกจิ กรรมดงั น้ี
- เวกเตอร์ของแรงลัพธ์มีทิศทางอย่างไร และมีทิศเดียวกันหรือตรงข้ามกันกับแรงจาก
เครื่องชั่งสปริงตัวที่สาม (แนวคำตอบ : เวกเตอร์ของแรงลัพธ์มีทิศทางตามเส้นทแยงมุมของ
ส่เี หลีย่ มดา้ นขนานและตรงขา้ มกบั แรงจากเครอ่ื งช่งั สปริงตัวที่สาม)
- เวกเตอร์ของแรงลัพธ์มีขนาดเท่าใด และมีค่าเท่ากับค่าที่บันทึกได้จากข้อที่ 4 และ 7
หรือไม่อย่างไร (แนวคำตอบ : ขนาดเวกเตอร์ของแรงลัพธ์ไม่จำเป็นต้องเท่ากับค่าที่วัดไดจ้ ากขอ้
4 แตจ่ ะเท่ากับค่าท่ี วดั ไดจ้ ากขอ้ 7 และมีค่าเทา่ กับค่าท่วี ัดไดจ้ ากเครอ่ื งชงั่ สปรงิ ตัวทส่ี าม)

4. ขัน้ ขยายความรู้
4.1 ครูนำนักเรียนอภิปรายตามแนวคำถามในหนังสือเรียนจนสรุปได้ว่า แรงลัพธ์ของแรงสองแรงที่
ทำมุมต่อกัน มีขนาดเท่ากับความยาวของเส้นทแยงมุมของรูปสี่เหลี่ยมด้านขนานที่มีแรงทั้งสอง
เป็นด้านประกอบและมีทิศทางตามเส้นทแยงมุมของสี่เหลี่ยมด้านขนาน โดยชี้ออกจากหาง
เวกเตอร์ของแรงท้งั สอง

74

5. ข้นั ประเมินผล
5.1 ครูทดสอบความรู้เกีย่ วกับการหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์ทั้งสามวิธี เมื่อมีแรงสองแรงท่ที ำ
มุมต่อกัน กระทำต่อวัตถุ จากรายงานผลการทดลอง การสรุป และการตอบคำถามตรวจสอบ
ความเข้าใจ 3.2 ในหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ 1 ชั้นม.4 สสวท. โดยเฉลยคำตอบและ
อภิปรายคำตอบร่วมกัน

9. ส่อื การเรยี นร้/ู วัสดุอปุ กรณ์ /แหลง่ เรียนรู้
สอ่ื 1. เอกสารประกอบการเรียนเร่ือง แรง มวลและกฎการเคล่ือนทข่ี องนิวตนั
2. แบบฝึกหดั
3. อุปกรณ์สำหรับสาธติ เชอื ก ถ้วยพลาสติก กระดาษโปสเตอร์
4. ชดุ การทดลองกจิ กรรม 3.1 การทดลองเร่ืองการหาแรงลพั ธ์ของแรงสองแรงท่ที ำมุมกัน

แหลง่ เรยี นรู้ 1. www.google.co.th 2. หนังสือเรียนรายวิชาเพม่ิ เติม ฟสิ กิ ส์ เลม่ 1 (สสวท.)

10. การวัดและประเมนิ ผล

การวดั ประเมนิ ผลด้าน วธิ ีการวดั เคร่ืองมือวดั เกณฑ์การผ่าน

1. ดา้ นความรู้ (K) 1. ทดสอบ 1. แบบทดสอบ ไดค้ ะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป
2. สรปุ ความคดิ

2. ด้านทักษะกระบวนการ (P) สงั เกตจากการปฏิบัติ 1. แบบสงั เกต ไดค้ ะแนนในระดับพอใช้ขนึ้ ไป
กจิ กรรมในช้นั เรยี น 2. แบบประเมนิ

3. ดา้ นคุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ (A) การสงั เกตพฤติกรรมความ แบบสงั เกต ได้คะแนนในระดับพอใช้ขนึ้ ไป

สนใจและต้งั ใจเรยี น

4. ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน การสงั เกตพฤติกรรมความ แบบประเมนิ ได้คะแนนในระดับพอใช้ขึ้นไป

5 ประการ สนใจและตัง้ ใจเรียน

5. ด้านทักษะผูเ้ รยี นในศตวรรษท่ี 21 การสงั เกตพฤติกรรมความ แบบประเมนิ ไดค้ ะแนนในระดบั พอใช้ข้นึ ไป

(21st Century Skills สนใจและตง้ั ใจเรยี น

75

บนั ทึกหลังการจัดกจิ กรรมการเรียนรทู้ ี่ 12

เรื่อง การหาแรงลพั ธ์ (ทดลอง)

1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้

จากการประเมนิ ผลจาก การปฏบิ ตั กิ ิจกรรมการทดลอง โดยใหน้ กั เรยี นแบ่งกลมุ่ ทำการทดลอง และรว่ มกันอภปิ ราย ของนกั เรยี น

ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 80 คน โดยการประเมนิ ตามจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ผลปรากฏดังน้ี

1.1 ผลการประเมนิ ด้านความรู้

1.1.1 จากการประเมนิ แบบทดสอบหลงั เรยี น พบวา่ มนี ักเรยี น

- ไดร้ ะดบั ดมี าก จำนวน 30 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 37.5

- ได้ระดบั ดี จำนวน 27 คน คดิ เป็นร้อยละ 33.8

- ไดร้ ะดบั ปานกลาง จำนวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 13.8

- ได้ระดับพอใช้ จำนวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 8.8

- ไดร้ ะดับปรบั ปรงุ จำนวน 5 คน คดิ เป็นร้อยละ 6.3

1.2 ผลการประเมินด้านทักษะกระบวนการ/ด้านทักษะผู้เรยี นในศตวรรษท่ี 21

1.2.1 จากการประเมินโดยใช้แบบประเมนิ ทกั ษะในการ สงั เกตความสนใจในการรว่ มกจิ กรรม

พบวา่ มนี ักเรียน

- ไดร้ ะดับดี จำนวน 35 คน คดิ เป็นร้อยละ 43.8

- ไดร้ ะดับพอใช้ จำนวน 35 คน คิดเปน็ ร้อยละ 43.8

- ได้ระดับปรบั ปรุง จำนวน 10 คน คิดเปน็ ร้อยละ 12.4

1.2.2 จากการประเมินโดยใช้แบบประเมนิ การเขยี นรายงานและการนำเสนอ ในการจัดกจิ กรรม

พบวา่ มนี กั เรียน

- ได้ระดับดี จำนวน 45 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 56.3

- ไดร้ ะดับพอใช้ จำนวน 30 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 37.5

- ไดร้ ะดับปรับปรงุ จำนวน 5 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 6.2

1.3 ผลการประเมินด้านคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์/สมรรถนะสำคัญของผ้เู รียน โดยใช้แบบประเมนิ พฤติกรรมการ

ทำงานกลุ่มของนกั เรยี น พบว่ามนี กั เรียน

- ได้ระดับดี จำนวน 74 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 92.5

- ไดร้ ะดบั พอใช้ จำนวน 6 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 7.5

- ไดร้ ะดบั ปรบั ปรงุ จำนวน - คน คดิ เป็นร้อยละ -

2. ปญั หา/อุปสรรค
เวลาไมเ่ พยี งพอในการทดลอง เนือ่ งจากนักเรยี นเลน่ กันในชว่ งทำการทดลอง

3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกป้ ญั หา
ควรจำกดั เวลาในการทดลอง และสุม่ ตัวแทนกลมุ่ ออกมานำเสนอผลการทดลอง

ลงช่ือ ………………ก……า…………………
(นางสาวนิปัทมา นิเฮง)
ครูผูส้ อน

นิ

76

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 13 กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 4
โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ จังหวัดปตั ตานี
วชิ า ว 31201 ฟสิ กิ ส์ 1 ชอื่ หน่วย : แรงและกฎการเคลอ่ื นที่
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 จำนวน 4 ชัว่ โมง
เรอ่ื ง การหาแรงลัพธ์ (คำนวณ)

1. สาระ/มาตรฐานการเรยี นรู/้ ผลการเรียนรู้/ตัวชวี้ ดั
มาตรฐานการเรียนรู้
เข้าใจธรรมชาติทางฟิสกิ ส์ ปริมาณและกระบวนการวดั การเคล่อื นทแี่ นวตรง แรงและกฎการเคล่อื นที่ของ

นวิ ตนั กฎความโนม้ ถ่วงสากล แรงเสยี ดทาน สมดลุ กลของวัตถุ งาน และกฎการอนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตมั และ
กฎการอนุรักษ์โมเมนตัม การเคลื่อนทีแ่ นวโคง้ รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์

ตวั ชว้ี ัด/ผลการเรียนรู้
1. ทดลอง และอธิบายการหาแรงลัพธ์ของแรงสองแรงทท่ี ำมุมต่อกนั
2. เขียนแผนภาพของแรงท่ีกระทำต่อวตั ถุอิสระ ทดลอง และอธิบายกฎการเคลอื่ นที่ของนวิ ตันและการใช้
กฎการเคล่อื นทข่ี องนวิ ตนั กบั สภาพการเคลื่อนท่ีของวตั ถุ รวมทัง้ คำนวณปริมาณตา่ ง ๆ ท่เี ก่ยี วขอ้ ง

2. สาระสำคญั (ความคดิ รวบยอด)
แรง (Force) “ F ” หมายถงึ ปรมิ าณที่กระทำกับวัตถุแลว้ ทำใหว้ ตั ถุเปล่ยี นสภาพการเคล่ือนท่ี ทำให้วัตถุ

ท่อี ยูน่ งิ่ เคลื่อนท่ีไป ทำให้วตั ถุทเี่ คลอื่ นทอี่ ยแู่ ลว้ เคล่ือนทเ่ี ร็วหรือชา้ ลง ทำให้วตั ถุมีการเปล่ียนทิศตลอดจนทำให้วตั ถุ
มกี ารเปลย่ี นขนาดหรอื รปู ทรงไปจากเดิมได้แรงเปน็ ปริมาณเวกเตอร์ ท่มี ที ้ังขนาดและทิศทางการรวมหรือหกั ลา้ ง
กนั ของแรงจงึ ต้องเป็นไปตามแบบเวกเตอร์

แรงเปน็ ปริมาณเวกเตอร์ การหาแรงลัพธ์ใชว้ ิธีเดียวกับกบั การหาเวกเตอรล์ ัพธ์ การหาแรงลพั ธ์ของแรงสอง
แรงท่ีกระทำมุมกนั ทำไดโ้ ดยการสรา้ งรปู โดยเขียนลกู ศรแทนขนาดและทิศทางของแรงตามมาตราส่วนท่ีกำหนด
หรือการคำนวณโดยแยกแรงแต่ละ่ แรงเป็นแรงย่อยในแนวแกน X และในแนวแกน Y

3. สาระการเรยี นรู้
เมื่อวัตถุก้อนหนึง่ มแี รงกระทำสองแรง ผลที่เกิดกับวตั ถุน้ันจะเปน็ ไปตามแรงรวมของแรงท้ังสองที่ไดจ้ าก

การรวมแบบเวกเตอร์ เรียกว่า แรงลัพธ์ (resultant force) การหาแรงลัพธ์ด้วยวิธีเขียนเวกเตอร์แบบหางต่อหัว
โดยเขียนลูกศรเวกเตอรแ์ ทนแรงทั้งสองให้หางต่อหัว เวกเตอร์ลัพธ์ คือ ลูกศรจากหางเวกเตอร์แรกไปหัวเวกเตอร์
สุดทา้ ย หรือวธิ กี ารสร้างรปู สเี่ หลยี่ มด้านขนาน โดยเขยี นเวกเตอร์แทนแรงทงั้ สองให้หางมาต่อกนั แลว้ ประแนวจาก
หวั ลูกศรเวกเตอรท์ ้งั สองให้เป็นรปู สี่เหลี่ยมดา้ นขนาน เวกเตอรล์ ัพธ์ คอื ลูกศรจากมมุ ทหี่ างพบกันไปยังมุมตรงข้าม
และการหาแรงลัพธ์ด้วยวิธีคำนวณ โดยคำนวณผลรวมแรงองค์ประกอบของแรงทั้งสองในแนว x และ ในแนว y
แลว้ คำนวณแรงลพั ธ์ของแรงรวมในแนว x กบั แรงรวมในแนว y จากทฤษฎพี ที าโกรสั

77

4. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้

1. ความรู้ (K)

อธบิ ายเกยี่ วกบั ความหมายของแรงลัพธ์ได้

2. ทกั ษะ/กระบวนการ (P)

หาแรงลัพธข์ องแรงย่อยหลายแรงในแนวเสน้ ตรงเดียวกนั ท่ีกระทำบนวตั ถโุ ดยใชเ้ ครอ่ื งหมาย บวก-ลบ

แทนทศิ ทางของแรงที่อยู่ในแนวเสน้ ตรงเดียวกนั ได้ถูกต้อง

3. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)

คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคต์ ามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับ

ปรับปรุง 2560)

 มวี ินยั  ใฝเ่ รียนรู้  มงุ่ ม่ันในการทำงาน

คุณลกั ษณะของผ้เู รียนตามหลกั สตู รมาตรฐานสากล

 เปน็ เลศิ วิชาการ  ลำ้ หนา้ ทางความคิด

5. จุดเนน้ สกู่ ารพัฒนาคุณภาพผเู้ รยี น
ความสามารถและทักษะผ้เู รยี นในศตวรรษท่ี 21 ( 3Rs 8Cs 2Ls )
1. ทักษะในสาระวิชาหลกั (3Rs)
1.1  Reading (อา่ น) 1.2  (W)Riting (เขยี น) 1.3  (A)Rithemetics (คณิตฯ)
2. ทกั ษะการเรยี นรแู้ ละนวตั กรรม (8Cs)
2.1  Critical Thinking and Problem Solving (การคดิ วจิ ารณญาณ และแก้ปัญหา)
2.4  Collaboration, Teamwork and Leadership (การทำงานเป็นทมี ภาวะผนู้ ำ)
2.8  Compassion (คุณธรรม เมตตา กรณุ า ระเบยี บวินยั )
3. ทักษะการเรยี นรู้และภาวะผู้นำ (2Ls)
3.1  Learning (ทักษะการเรยี นรู้) 3.2  Leadership (ภาวะผูน้ ำและความรบั ผดิ ชอบ)

6. การบูรณาการตามพระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ ( เฉพาะที่เกิดในแผนการจดั การเรยี นรู้ )
บูรณาการกับคา่ นิยม 12 ประการ
 2. ซ่ือสตั ย์ เสียสละ อดทน มอี ดุ มการณ์ในสง่ิ ทดี่ งี ามเพื่อส่วนรวม
 4. ใฝ่หาความรู้ หม่นั ศึกษาเล่าเรียนท้งั ทางตรงและทางออ้ ม
 9. มสี ติรู้ตัว รคู้ ิด รูท้ ำ

7. ภาระงาน / ชิ้นงาน
ภาระงาน - ศึกษาใบความรู้ ปฏิบตั กิ จิ กรรมในแบบฝึกหัด

78

8. กิจกรรมการเรยี นรู้
1. ขน้ั สร้างความสนใจ
1.1 ครูทบทวนความรู้เก่ียวกับการหาแรงลัพธโ์ ดยวธิ ีเขียนเวกเตอร์ของแรงแบบหางต่อหัวและวิธีการ
สรา้ งรูปสเี่ หลยี่ มด้านขนาน
1.2 ครูถามนักเรียนว่าการหาแรงลัพธ์ด้วยวิธีที่แตกต่างกันจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกันหรือไม่ (แนว
คำตอบ : การหาแรงลัพธ์ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ๆ เมื่อทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง จะได้ผลลัพธ์ที่
เหมือนกนั )
2. ขน้ั สำรวจและคน้ หา
2.1 ครูให้ความรู้เกี่ยวกบั การหาแรงลพั ธ์ โดยวิธีการเขียนเวกเตอร์ของแรงแบบหางต่อหัวและวิธีการ
สร้างรูปส่ีเหลี่ยมดา้ นขนาน ให้นักเรียนอภิปรายและวิเคราะห์ความเหมอื นกันและความแตกต่าง
กนั ของวิธที ้ังสอง ดังตัวอย่างในหนงั สอื เรยี น

2.2 ครสู มุ่ นกั เรียนออกมาอภปิ รายการวเิ คราะห์ความเหมือนกันปละความแตกตา่ งกนั ของทั้งสองวิธี
(แนวคำตอบ : เหมอื นกันท่เี ป็นการหาคำตอบโดยใชเ้ วกเตอร์ลพั ธ์ ต่างกนั ที่ทราบมมุ กับไม่ทราบ
มมุ )

3. ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครูให้ความรู้เกี่ยวกับการหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์โดยการคำนวณในกรณีแรงทั้งสองตั้ง
ฉากกัน ตามสมการ (3.1) และ (3.2) ในหนังสือเรียน และชี้ให้เห็นว่าแรงหนึ่งแรงสามารถแยก
เป็นแรงสองแรงได้ ดังรูป 3.26 ก.- ง. ในหนังสือเรียน นำความเข้าใจนี้ไปพิจารณาตาม
รายละเอียดในหนงั สือเรยี น เพอื่ สรปุ เปน็ หลักการหาแรงองคป์ ระกอบในแนว x และในแนว y ซึ่ง
เป็นพน้ื ฐานในการหาแรงลพั ธด์ ้วยวธิ ีคำนวณ
3.2 ครูและนักเรียนร่วมกับอภิปรายการหาแรงลัพธ์ จนได้ข้อสรุปว่า สามารถหาแรงลัพธ์ได้จากการ
เขยี นรูปโดยใช้การตอ่ เวกเตอรแ์ ละได้จากการคำนวณโดยใช้สตู ร

4. ขนั้ ขยายความรู้
4.1 ครถู ามนักเรียนวา่ จากรูป 3.26 ก. ถึงรูป 3.26 ง. (ในหนงั สอื เรยี น) ถ้า F⃑ มีค่าเทา่ กนั
แล้ว F⃑⃑a+⃑F⃑⃑b=⃑F⃑c+F⃑⃑⃑d=F⃑⃑⃑e+⃑F⃑f=F⃑⃑x+⃑F⃑y จะเป็นจริงหรือไม่ เพราะเหตุใด (แนวคำตอบ : สมการ
ดงั กล่าวเปน็ จรงิ แรงทกุ คูเ่ ป็นแรงองค์ประกอบซึ่งมีผลบวกเท่ากับแรงF⃑)
4.2 ครูให้ความรู้เกี่ยวกับการหาแรงองค์ประกอบตั้งฉากของแรงใด ๆ ต่อจากนั้นจึงให้ความรู้การหา
แรงลพั ธจ์ ากแรงองค์ประกอบตง้ั ฉากโดยวธิ ีคำนวณดว้ ยตัวอยา่ ง 3.1 ของหนังสือเรยี น

79

5. ขัน้ ประเมนิ ผล
5.1 ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพื่อสรุปแนวคิดสำคัญเกี่ยวกับการหาแรงลัพธ์ จากนั้นครูให้
นักเรียน ทำแบบฝึกหัด 3.2 ในหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ 1 ชั้นม.4 สสวท. โดยเฉลย
คำตอบและอภิปรายคำตอบรว่ มกัน

9. สอื่ การเรียนรู/้ วสั ดุอปุ กรณ์ /แหลง่ เรียนรู้
สอ่ื 1. เอกสารประกอบการเรยี นเรื่อง แรง มวลและกฎการเคล่ือนทีข่ องนิวตนั
2. แบบฝกึ หดั
แหล่งเรยี นรู้ 1. www.google.co.th 2. หนงั สือเรยี นรายวชิ าเพ่มิ เติม ฟสิ ิกส์ เล่ม 1 (สสวท.)

10. การวัดและประเมนิ ผล

การวัดประเมินผลด้าน วิธกี ารวดั เครื่องมือวัด เกณฑ์การผา่ น

1. ด้านความรู้ (K) 1. ทดสอบ 1. แบบทดสอบ ได้คะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป
2. สรุปความคิด

2. ดา้ นทักษะกระบวนการ (P) สงั เกตจากการปฏบิ ัติ 1. แบบสังเกต ไดค้ ะแนนในระดบั พอใช้ขนึ้ ไป
กิจกรรมในช้ันเรยี น 2. แบบประเมิน

3. ด้านคุณลกั ษณะท่พี ึงประสงค์ (A) การสงั เกตพฤติกรรมความ แบบสงั เกต ได้คะแนนในระดับพอใช้ขึ้นไป
สนใจและตั้งใจเรยี น

4. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น การสังเกตพฤติกรรมความ แบบประเมิน ได้คะแนนในระดบั พอใช้ขึ้นไป

5 ประการ สนใจและต้งั ใจเรยี น

5. ดา้ นทกั ษะผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 การสงั เกตพฤติกรรมความ แบบประเมิน ได้คะแนนในระดบั พอใช้ข้นึ ไป

(21st Century Skills สนใจและตั้งใจเรยี น

80

บันทกึ หลังการจัดกิจกรรมการเรยี นรูท้ ี่ 13

เรือ่ ง การหาแรงลพั ธ์ (คำนวณ)

1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้

จากการประเมนิ ผลจาก การจดั กจิ กรรม โดยครูใชค้ ำถามในการจดั กจิ กรรม เพื่อใหน้ กั เรียนได้ช่วยกันคิด อภิปรายผล ของนกั เรยี น

ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 จำนวน 80 คน โดยการประเมินตามจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ผลปรากฏดงั นี้

1.1 ผลการประเมินด้านความรู้

1.1.1 จากการประเมนิ แบบทดสอบหลงั เรียน พบว่ามีนักเรยี น

- ไดร้ ะดบั ดมี าก จำนวน 30 คน คิดเป็นร้อยละ 37.5

- ได้ระดับดี จำนวน 22 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 27.5

- ได้ระดับปานกลาง จำนวน 12 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 15.0

- ไดร้ ะดบั พอใช้ จำนวน 10 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 12.5

- ไดร้ ะดับปรบั ปรงุ จำนวน 6 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 7.5

1.2 ผลการประเมนิ ดา้ นทกั ษะกระบวนการ/ด้านทกั ษะผู้เรียนในศตวรรษที่ 21

1.2.1 จากการประเมินโดยใชแ้ บบประเมนิ ทักษะในการ สงั เกตความสนใจในการรว่ มกจิ กรรม

พบว่ามนี กั เรยี น

- ได้ระดับดี จำนวน 38 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 47.5

- ได้ระดับพอใช้ จำนวน 35 คน คดิ เป็นร้อยละ 43.8

- ได้ระดบั ปรบั ปรงุ จำนวน 7 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 8.7

1.2.2 จากการประเมินโดยใชแ้ บบประเมินการเขียนรายงานและการนำเสนอ ในการจัดกจิ กรรม

พบว่ามนี กั เรียน

- ได้ระดับดี จำนวน 40 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 50.0

- ไดร้ ะดับพอใช้ จำนวน 35 คน คิดเปน็ ร้อยละ 43.8

- ไดร้ ะดับปรบั ปรุง จำนวน 5 คน คดิ เป็นร้อยละ 6.2

1.3 ผลการประเมนิ ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์/สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รียน โดยใช้แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการ

ทำงานกลมุ่ ของนกั เรยี น พบว่ามนี กั เรียน

- ได้ระดบั ดี จำนวน 72 คน คิดเป็นร้อยละ 90.0

- ไดร้ ะดบั พอใช้ จำนวน 8 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 10.0

- ไดร้ ะดบั ปรบั ปรุง จำนวน - คน คิดเป็นรอ้ ยละ -

2. ปญั หา/อปุ สรรค
นักเรยี นบางสว่ นขาดทกั ษะทางคณติ ศาสตรเ์ รอ่ื งการบวก ลบ เวกตอร์

3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา
ควรทบทวน การบวก ลบเวกเตอร์ และทฤษฎบี ทปที าโกรสั เพอ่ื ให้นกั เรียนสามารถนำไปใชใ้ นการคำนวณต่อไป

ลงชือ่ ……………………ก……า……………
(นางสาวนิปัทมา นเิ ฮง)
ครูผู้สอน

นิ

81

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 14 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4
โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ จงั หวัดปัตตานี
วชิ า ว 31201 ฟสิ กิ ส์ 1 ชื่อหน่วย : แรงและกฎการเคลอ่ื นท่ี
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 3 จำนวน 4 ชัว่ โมง
เร่อื ง มวล แรง และกฎการเคล่อื นท่ี (ทดลอง)

1. สาระ/มาตรฐานการเรียนร/ู้ ผลการเรยี นรู้/ตวั ชีว้ ดั
มาตรฐานการเรยี นรู้
เขา้ ใจธรรมชาตทิ างฟิสกิ ส์ ปริมาณและกระบวนการวดั การเคล่อื นทแ่ี นวตรง แรงและกฎการเคล่อื นที่ของ

นิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสยี ดทาน สมดลุ กลของวัตถุ งาน และกฎการอนรุ ักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและ
กฎการอนรุ ักษ์โมเมนตมั การเคลอ่ื นทีแ่ นวโค้ง รวมท้ังนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ตวั ชวี้ ัด/ผลการเรียนรู้
1. เขยี นแผนภาพของแรงทกี่ ระทำต่อวัตถุอิสระ ทดลอง และอธบิ ายกฎการเคลือ่ นท่ีของนวิ ตันและการใช้
กฎการเคลอื่ นท่ีของนวิ ตันกับสภาพการเคลอ่ื นท่ีของวตั ถุ รวมท้ังคำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ท่เี ก่ยี วข้อง
2. อธิบายกฎความโน้มถ่วงสากลและผลของสนามโน้มถ่วงที่ทำให้วัตถุมีน้ำหนัก รวมทั้งคำนวณปริมาณ
ตา่ ง ๆ

2. สาระสำคัญ (ความคดิ รวบยอด)
กฎการเคลื่อนท่ี เป็นกฎที่ใช้อธิบายเกี่ยวกับสภาพการเคลื่อนที่และการเปลี่ยนสภาพของวัตถุ

ประกอบดว้ ยกฎการเคล่ือนทขี่ องนิวตันทั้งสามข้อ
กฎข้อท่ี 1 ว่าดว้ ย วตั ถจุ ะรักษาสภาพอย่นู ง่ิ หรือสภาพเคล่ือนทีอ่ ย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะมีแรงลัพธ์ทมี่ คี ่า

ไมเ่ ท่ากบั ศูนย์ แสดงว่าวตั ถุพยายามรักษาสภาพเดิมของวัตถอุ ยเู่ สมอ ถ้าอยนู่ ิง่ ก็จะอยู่น่งิ ตลอด ถา้ เคลือ่ นท่ีกจ็ ะ
เคล่อื นที่ดว้ ย ความเรว็ คงที่ กฎข้อน้ีจึงเรียกว่า " กฎความเฉอื่ ย "

กฎข้อที่ 2 วา่ ด้วย เม่ือมีแรงลพั ธท์ ี่มีคา่ ไม่เท่ากบั ศนู ย์มากระทำตอ่ วตั ถุ จะทำให้วตั ถุเกดิ ความเร่งในทศิ
เดียวกับแรงลพั ธท์ ี่มากระทำและขนาดของความเรง่ นจี้ ะแปรผันตรงกบั ขนาดของแรงลพั ธ์ และแปรผกผันกบั มวล
ของวัตถุ

กฎข้อที่ 3 ว่าด้วย ทกุ แรงกิรยิ าย่อมมแี รงปฏิกิริยาขนาดเท่ากนั กระทำในทิศตรงกนั ข้ามเสมอ หรือแรง
กระทำซึ่งกนั และกนั ของวัตถุสองก้อนย่อมมขี นาดเท่ากนั แต่มีทศิ ทางตรงกนั ข้าม

3. สาระการเรียนรู้
มวล (mass) เป็นสมบัติประจำตัวของวัตถุอย่างหนึ่งโดยเป็นสมบัติทางความเฉื่อย (inertia) ต่อการ

เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุ โดยที่มวลเป็นปริมาณสเกลาร์ ในระบบเอสไอมีหน่วยเป็นกิโลกรัม (kg)
กฎข้อที่หนึ่งของนิวตัน หรือกฎแห่งความเฉื่อย กล่าวว่า "วัตถุทุกชนิดจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่

นอกจากมแี รงมากระทำตอ่ วตั ถ"ุ

82

n

∑ F⃑i=0

i=0

กฎข้อที่สองของนิวตัน กล่าวว่า "ความเร่งของของวัตถุจะแปลผันตรงกับแรงสุทธิที่กระทำต่อวัตถุ และ

แปรผกผันกับมวลของวัตถุ" ทิศของความเร่งจะมีทิศเดียวกับแรงสุทธิที่กระทำบนวัตถุ สามารถเขียนอยู่ในรูป

ของสมการทางคณติ ศาสตรไ์ ด้ดงั น้ี n

∑ F⃑i=ma⃑

i=0

กฎข้อท่สี ามของนวิ ตัน - กฎของแรงกริ ิยาและแรงปฏิกิรยิ า กล่าวว่า "เม่ือวตั ถชุ ิ้นหน่ึงออกแรง (แรงกริ ิยา

, action) กระทำต่อวตั ถอุ ีกช้ินหนงึ่ วัตถอุ ันหลงั จะออกแรงด้วยขนาดที่เท่ากันแต่ทิศตรงกนั ขา้ ม (แรงปฏิกิรยิ า -

reaction) กับแรงที่เกิดจากวัตถอุ ันแรก"

4. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

1. ความรู้ (K)

อธบิ ายเกีย่ วกบั ความหมายและความสัมพันธ์ของมวล แรงและกฎการเคลอ่ื นท่ีได้

2. ทักษะ/กระบวนการ (P)

ทดลองความสมั พนั ธ์ของมวล แรงและกฎการเคลือ่ นทีไ่ ด้

3. คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ (A)

คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั

ปรบั ปรุง 2560)

 มีวินัย  ใฝ่เรียนรู้  ม่งุ มนั่ ในการทำงาน

คณุ ลักษณะของผู้เรียนตามหลักสูตรมาตรฐานสากล

 เป็นเลิศวชิ าการ  ลำ้ หน้าทางความคดิ

5. จุดเนน้ สู่การพฒั นาคณุ ภาพผเู้ รยี น
ความสามารถและทักษะผูเ้ รียนในศตวรรษท่ี 21 ( 3Rs 8Cs 2Ls )
1. ทักษะในสาระวิชาหลัก (3Rs)
1.1  Reading (อา่ น) 1.2  (W)Riting (เขียน) 1.3  (A)Rithemetics (คณิตฯ)
2. ทกั ษะการเรยี นร้แู ละนวัตกรรม (8Cs)
2.1  Critical Thinking and Problem Solving (การคดิ วจิ ารณญาณ และแก้ปญั หา)
2.4  Collaboration, Teamwork and Leadership (การทำงานเป็นทีม ภาวะผู้นำ)
2.8  Compassion (คุณธรรม เมตตา กรุณา ระเบยี บวินยั )
3. ทักษะการเรยี นร้แู ละภาวะผูน้ ำ (2Ls)
3.1  Learning (ทกั ษะการเรยี นรู้) 3.2  Leadership (ภาวะผู้นำและความรบั ผดิ ชอบ)

83

6. การบรู ณาการตามพระราชบญั ญัติการศกึ ษาแห่งชาติ ( เฉพาะที่เกดิ ในแผนการจัดการเรียนรู้ )
บูรณาการกบั คา่ นยิ ม 12 ประการ
 2. ซอ่ื สัตย์ เสยี สละ อดทน มอี ดุ มการณใ์ นส่งิ ทดี่ งี ามเพ่ือส่วนรวม
 4. ใฝ่หาความรู้ หม่ันศึกษาเลา่ เรียนท้ังทางตรงและทางอ้อม
 9. มสี ติรู้ตัว ร้คู ดิ รูท้ ำ

7. ภาระงาน / ช้ินงาน
ภาระงาน - ศึกษาใบความรู้ ปฏิบัตกิ จิ กรรมในแบบฝึกหัด

8. กิจกรรมการเรียนรู้
1. ขั้นสร้างความสนใจ
1.1 ครูให้นักเรียนสังเกตและเปรียบเทียบการออกแรงกระทำต่อวัตถุที่มีมวลมากและมวลน้อยให้
เคลื่อนที่โดยไม่มแี รงเสียดทาน เชน่ ผลักขวดพลาสติก 2 ขวดทีแ่ ขวนอยู่ดว้ ยแรงที่เท่า ๆ กัน โดย
ขวดพลาสติกท้ังสองมีมวลแตกต่างกันอยา่ งชัดเจน หรอื ผลกั วตั ถุ 2 ชิน้ ที่มมี วลต่างกันบนถาดลด
แรงเสียดทาน ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายวา่ อะไรท่ีทำใหว้ ตั ถทุ ้ังสองเคล่ือนท่ี (แนวคำตอบ : แรง
เปน็ สิ่งทีท่ ำให้วตั ถเุ ปลย่ี นสภาพการเคล่ือนที่ และมวลที่แตกต่างกนั ก็ส่งผลในการเคลือ่ นทด่ี ้วย)
1.2 ครูถามนักเรียนว่าการปล่อยวัตถุให้ตกในแนวดิ่งจนกระทบพื้น มีปริมาณใดที่เกี่ยวข้องกับการ
เคลื่อนที่ของวัตถุดังกล่าวบ้าง (แนวคำตอบ : วัตถุเปลี่ยนสภาพการเคลื่อนที่เมื่อมีความเร็ว
เปลย่ี นหรือมคี วามเร่ง และมแี รงทีม่ ากระทำต่อวัตถจุ นทำให้วัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเรง่ ในกรณีน้ี
มแี รงโน้มถว่ งเข้ามาเกีย่ วขอ้ งดว้ ย)
2. ขน้ั สำรวจและคน้ หา
2.1 ครูให้นักเรียนทำกิจกรรม 3.2 การทดลองเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างแรง มวลและความเร่ง ใน
หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ 1 ชั้นม. 4 สสวท. บันทึกผลในตารางการทดลองและเขียน
กราฟ พร้อมทัง้ อภิปรายรว่ มกันตอบคำถามท้ายกิจกรรม
2.2 ครูแนะนำนักเรียนว่าควรบนั ทึกผลการทำกจิ กรรมดังน้ี
ตัวอยา่ งตารางบันทกึ ผลการทำกจิ กรรม

84

ตัวอยา่ งการลงข้อมูลในกราฟ

จากกราฟความเร็วขณะหนึ่งกับเวลา หาความชันของกราฟแต่ละเส้น ซึ่งความชันของ
กราฟนี้คือความเร่ง(a)ของรถทดลอง แสดงตัวอย่างการหาความเร่งของกราฟ 5W จากความชัน
ของกราฟความเร็วขณะใดขณะหนึ่งกับเวลาและในทำนองเดียวกันหาความเร่งของ 1W 2W
3W และ 4W นำความเรง่ ทห่ี าได้ไปบันทกึ ในตารางความเรง่ กบั แรงดังตัวอย่างน้ี

และบนั ทึกกราฟระหวา่ งความเรง่ กับแรง ดังตัวอยา่ งนี้

3. ข้นั อธิบายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครแู ละนักเรียนร่วมกันอภิปรายคำถามทา้ ยกิจกรรม ดังนี้
- ก่อนหนุนปลายรางไม้ข้างหนึ่งให้สูงขึ้น เมื่อผลักรถทดลองเบา ๆ เหตุใดรถทดลอง
เคลอ่ื นท่ีไปแลว้ หยุด (แนวคำตอบ : เนื่องจากมแี รงเสียดทานตา้ นรถทดลอง)

85

- จะทราบได้อย่างไรว่า รถทดลองแล่นด้วยความเร็วคงตัว และขณะที่รถทดลองแล่น
ด้วยความเร็วคงตัว แรงลัพธ์ที่กระทำต่อรถทดลองเป็นเท่าใด (แนวคำตอบ : ตรวจสอบจาก
ระยะห่างระหว่างจดุ บนแถบกระดาษว่ามีระยะหา่ งสมำ่ เสมอ แรงลัพธ์ท่กี ระทำต่อรถทดลองเป็น
ศนู ย)์

- เมื่อใส่นอตลงในขอเกี่ยวโลหะ ขณะรถทดลองเคลื่อนที่มีแรงลัพธ์กระทำต่อรถทดลอง
หรือไม่ (แนวคำตอบ : มี เพราะน้ำหนกั นอตทแี่ ขวนไวก้ ับขอเกีย่ ว)

- กราฟระหว่างขนาดความเร่ง a กับขนาดของแรง F มีลักษณะอย่างไร (แนวคำตอบ :
เปน็ กราฟเส้นตรง)

- จากลักษณะของกราฟขนาดความเรง่ a กับขนาดของแรง F มีความสัมพนั ธ์กนั อย่างไร
(แนวคำตอบ : ขนาดความเร่ง a แปรผันตรงกบั ขนาดของแรง F)
3.2 จากผลการทำกิจกรรม ครูและนกั เรยี นร่วมกันอภิปรายสรปุ กจิ กรรมได้ว่า

- ขณะที่รถเคลื่อนที่ลงตามรางไม้ด้วยความเร็วคงตัว แรงลัพธ์ที่กระทำต่อรถมีค่าเป็น
ศูนย์

- เมื่อแขวนนอตกับขอเกี่ยวโลหะ ปรับรางไม้เช่นเดียวกับข้อ 1 รถจะเคลื่อนที่ด้วย
ความเรง่ เพราะมแี รงลพั ธก์ ระทำต่อรถ

- จากผลการทำกิจกรรม กราฟระหว่าง a กับ F เมอื่ มวลคงตัว เสน้ กราฟ ความเร่ง a
กับ แรง F เป็นเสน้ ตรงและผ่านจดุ กำเนิด แสดงว่า a แปรผันตรงกบั F
4. ข้ันขยายความรู้
4.1 ครูนำนักเรียนอภิปรายและสรุปเก่ยี วกบั กฎการเคล่อื นทีข่ องนวิ ตนั ดังนี้

กฎข้อทีห่ นึง่ ∑F = 0 เป็นกฎของการเคล่ือนทีข่ องวัตถุ โดยท่เี มื่อวัตถมุ กี ารเคลื่อนที่ก็จะ
เกิดความเรง่ แต่ถา้ วตั ถุมคี วามเร็วคงที่ ก็จะทาใหค้ วามเร่งเป็น 0 ถึงแมว้ ่า วตั ถุจะมคี วามเร็ว แต่
ถ้าหากความเรง่ เปน็ 0 ก็จะไม่มีการเพิม่ ความเร็ว ทำให้วตั ถุเหมอื นอย่ใู นสภาพหยุดนิง่

กฎข้อที่สอง ∑F = ma ถ้าหากมีแรงมากระทำกับวัตถุ ทำให้วัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเรง่
โดยความเร่งจะแปรผนั กับแรงทก่ี ระทำ

กฎข้อที่สอง ∑F = -∑F แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ ดังนั้น แรงจึงมีทิศทางที่แรงไปทุก
ทศิ ทางจะมีแรงสวนทศิ ทางของแรงนัน้ เสมอ
4.2 ครูให้ความรู้เกี่ยวกับการหาแรงองค์ประกอบตั้งฉากของแรงใด ๆ ต่อจากนั้นจึงให้ความรู้การหา
แรงลพั ธจ์ ากแรงองค์ประกอบต้งั ฉากโดยวิธีคำนวณดว้ ยตัวอย่าง 3.1 ของหนงั สอื เรียน
5. ขน้ั ประเมินผล
5.1 ครูให้นักเรียนตอบคำถามตรวจสอบความเข้าใจ 3.3 ในหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมฟิสิกส์1
สสวท. โดยเฉลยคำตอบและอภปิ รายคำตอบรว่ มกัน

86

9. สื่อการเรยี นร/ู้ วสั ดุอุปกรณ์ /แหล่งเรียนรู้
สอ่ื 1. เอกสารประกอบการเรยี นเรือ่ ง แรง มวลและกฎการเคลื่อนทข่ี องนิวตนั
2. แบบฝกึ หดั
3. อปุ กรณส์ ำหรับการสาธติ เชน่ ขวดพลาสติก น้ำ เชือก วตั ถุทมี่ มี วลแตกต่างกนั 2 ชน้ิ ถาด
ลดแรงเสียดทาน

4. ชุดอุปกรณ์กิจกรรม 3.2 ความสัมพันธ์ระหว่างแรง มวลและความเร่ง

แหล่งเรยี นรู้ 1. www.google.co.th 2. หนงั สอื เรยี นรายวิชาเพม่ิ เติม ฟสิ ิกส์ เล่ม 1 (สสวท.)

10. การวดั และประเมนิ ผล

การวดั ประเมินผลดา้ น วิธกี ารวดั เครื่องมือวดั เกณฑ์การผ่าน

1. ดา้ นความรู้ (K) 1. ทดสอบ 1. แบบทดสอบ ไดค้ ะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป
2. สรปุ ความคดิ

2. ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) สังเกตจากการปฏบิ ัติ 1. แบบสังเกต ไดค้ ะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป
กจิ กรรมในชั้นเรียน 2. แบบประเมนิ

3. ดา้ นคณุ ลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์ (A) การสังเกตพฤติกรรมความ แบบสงั เกต ไดค้ ะแนนในระดับพอใช้ขน้ึ ไป
สนใจและตั้งใจเรียน

4. ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น การสงั เกตพฤติกรรมความ แบบประเมิน ได้คะแนนในระดบั พอใช้ขึ้นไป

5 ประการ สนใจและต้งั ใจเรียน

5. ดา้ นทกั ษะผเู้ รียนในศตวรรษที่ 21 การสังเกตพฤติกรรมความ แบบประเมิน ไดค้ ะแนนในระดบั พอใช้ขน้ึ ไป

(21st Century Skills สนใจและตง้ั ใจเรยี น

87

บนั ทกึ หลังการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ท่ี 14

เรอื่ ง มวล แรง และกฎการเคลอื่ นที่ (ทดลอง)

1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้

จากการประเมินผลจาก การปฏบิ ตั กิ ิจกรรมการทดลอง โดยให้นกั เรยี นแบ่งกล่มุ ทำการทดลอง และรว่ มกนั อภปิ ราย ของนกั เรยี น

ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 4 จำนวน 80 คน โดยการประเมนิ ตามจดุ ประสงค์การเรียนรู้ ผลปรากฏดังนี้

1.1 ผลการประเมนิ ด้านความรู้

1.1.1 จากการประเมนิ แบบทดสอบหลังเรยี น พบวา่ มีนักเรยี น

- ได้ระดับดมี าก จำนวน 27 คน คิดเป็นร้อยละ 33.8

- ไดร้ ะดับดี จำนวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 31.3

- ได้ระดบั ปานกลาง จำนวน 10 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 12.5

- ได้ระดบั พอใช้ จำนวน 12 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 15.0

- ได้ระดบั ปรบั ปรงุ จำนวน 6 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 7.5

1.2 ผลการประเมินด้านทกั ษะกระบวนการ/ดา้ นทกั ษะผู้เรยี นในศตวรรษท่ี 21

1.2.1 จากการประเมินโดยใช้แบบประเมินทักษะในการ สังเกตความสนใจในการร่วมกจิ กรรม

พบว่ามนี ักเรยี น

- ไดร้ ะดับดี จำนวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 43.8

- ไดร้ ะดบั พอใช้ จำนวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 43.8

- ไดร้ ะดับปรบั ปรุง จำนวน 10 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 12.4

1.2.2 จากการประเมนิ โดยใชแ้ บบประเมนิ การเขียนรายงานและการนำเสนอ ในการจดั กจิ กรรม

พบว่ามีนักเรียน

- ได้ระดบั ดี จำนวน 40 คน คดิ เป็นร้อยละ 50.0

- ได้ระดับพอใช้ จำนวน 35 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 43.8

- ไดร้ ะดับปรับปรุง จำนวน 5 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 6.2

1.3 ผลการประเมนิ ดา้ นคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์/สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน โดยใชแ้ บบประเมนิ พฤตกิ รรมการ

ทำงานกลมุ่ ของนักเรยี น พบวา่ มนี กั เรียน

- ได้ระดับดี จำนวน 75 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 93.2

- ไดร้ ะดับพอใช้ จำนวน 5 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 6.8

- ไดร้ ะดับปรับปรุง จำนวน - คน คดิ เปน็ ร้อยละ -

2. ปัญหา/อปุ สรรค
เวลาไมเ่ พยี งพอในการทำการทดลอง เน่อื งจากมหี ลายการทดลอง

3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกป้ ัญหา
ควรสาธติ การทดลอง และรว่ มกันอภิปรายหาขอ้ สรุปนำไปสู่ทีม่ าของสมการ และการนำไปใช้อย่างถกู ต้อง

ลงช่อื ……………………ก……า……………
(นางสาวนปิ ัทมา นเิ ฮง)
ครูผสู้ อน

นิ

88

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 15 กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4
โรงเรยี นเบญจมราชทู ศิ จงั หวัดปัตตานี
วชิ า ว 31201 ฟสิ กิ ส์ 1 ช่อื หน่วย : แรงและกฎการเคลอ่ื นที่
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3 จำนวน 4 ชัว่ โมง
เร่อื ง มวล แรง และกฎการเคล่ือนท่ี (คำนวณ)

1. สาระ/มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ผลการเรยี นรู้/ตวั ชว้ี ัด
มาตรฐานการเรยี นรู้
เขา้ ใจธรรมชาติทางฟิสกิ ส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคล่ือนท่แี นวตรง แรงและกฎการเคลือ่ นที่ของ

นิวตัน กฎความโนม้ ถ่วงสากล แรงเสียดทาน สมดุลกลของวัตถุ งาน และกฎการอนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและ
กฎการอนุรักษโ์ มเมนตัม การเคลอ่ื นท่แี นวโคง้ รวมทั้งนำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์

ตวั ช้ีวัด/ผลการเรยี นรู้
1. เขยี นแผนภาพของแรงท่กี ระทำต่อวตั ถุอิสระ ทดลอง และอธิบายกฎการเคล่ือนท่ีของนวิ ตันและการใช้
กฎการเคลือ่ นท่ีของนวิ ตันกับสภาพการเคลอ่ื นท่ีของวัตถุ รวมทง้ั คำนวณปรมิ าณต่าง ๆ ท่เี ก่ยี วข้อง
2. อธิบายกฎความโน้มถ่วงสากลและผลของสนามโน้มถ่วงที่ทำให้วัตถุมีน้ำหนัก รวมทั้งคำนวณปริมาณ
ตา่ ง ๆ

2. สาระสำคัญ (ความคิดรวบยอด)
กฎการเคลื่อนที่ เป็นกฎที่ใช้อธิบายเกี่ยวกับสภาพการเคลื่อนที่และการเปลี่ยนสภาพของวัตถุ

ประกอบดว้ ยกฎการเคล่อื นทขี่ องนวิ ตันทัง้ สามข้อ
กฎขอ้ ท่ี 1 ว่าดว้ ย วัตถุจะรักษาสภาพอย่นู ง่ิ หรือสภาพเคล่ือนทอี่ ย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะมีแรงลัพธท์ ่มี คี ่า

ไมเ่ ท่ากบั ศูนย์ แสดงวา่ วัตถุพยายามรักษาสภาพเดิมของวัตถอุ ยู่เสมอ ถ้าอยนู่ ิง่ กจ็ ะอยู่นิ่งตลอด ถา้ เคล่อื นท่ีกจ็ ะ
เคล่อื นทด่ี ้วย ความเรว็ คงท่ี กฎข้อนจ้ี ึงเรียกว่า " กฎความเฉอื่ ย "

กฎขอ้ ที่ 2 วา่ ด้วย เม่ือมีแรงลพั ธท์ ี่มีคา่ ไมเ่ ทา่ กับศูนย์มากระทำต่อวตั ถุ จะทำให้วัตถเุ กดิ ความเร่งในทศิ
เดียวกับแรงลพั ธ์ท่ีมากระทำและขนาดของความเร่งนี้จะแปรผันตรงกับขนาดของแรงลพั ธ์ และแปรผกผนั กบั มวล
ของวัตถุ

กฎขอ้ ที่ 3 ว่าด้วย ทกุ แรงกริ ยิ ายอ่ มมีแรงปฏิกิรยิ าขนาดเท่ากันกระทำในทิศตรงกันข้ามเสมอ หรือแรง
กระทำซง่ึ กันและกนั ของวัตถุสองก้อนย่อมมีขนาดเทา่ กนั แต่มีทิศทางตรงกนั ขา้ ม

3. สาระการเรียนรู้
มวล (mass) เป็นสมบัติประจำตัวของวัตถุอย่างหนึ่งโดยเป็นสมบัติทางความเฉื่อย (inertia) ต่อการ

เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุ โดยที่มวลเป็นปริมาณสเกลาร์ ในระบบเอสไอมีหน่วยเป็นกิโลกรัม (kg)
กฎข้อที่หนึ่งของนิวตัน หรือกฎแห่งความเฉื่อย กล่าวว่า "วัตถุทุกชนิดจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงท่ี

นอกจากมีแรงมากระทำตอ่ วตั ถุ"

89

n

∑ F⃑i=0

i=0

กฎข้อที่สองของนิวตัน กล่าวว่า "ความเร่งของของวัตถุจะแปลผันตรงกับแรงสุทธิที่กระทำต่อวัตถุ และ

แปรผกผันกับมวลของวัตถุ" ทิศของความเร่งจะมีทิศเดียวกับแรงสุทธิที่กระทำบนวัตถุ สามารถเขียนอยู่ในรูป

ของสมการทางคณติ ศาสตรไ์ ดด้ งั นี้ n

∑ F⃑i=ma⃑

i=0

กฎข้อที่สามของนิวตนั - กฎของแรงกริ ยิ าและแรงปฏิกริ ิยา กล่าววา่ "เม่อื วตั ถุช้ินหนึง่ ออกแรง (แรงกริ ิยา

, action) กระทำต่อวตั ถอุ ีกชิ้นหนง่ึ วัตถอุ ันหลังจะออกแรงด้วยขนาดทเี่ ท่ากันแต่ทศิ ตรงกันข้าม (แรงปฏิกิรยิ า -

reaction) กับแรงที่เกดิ จากวัตถุอนั แรก"

4. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้

1. ความรู้ (K)

อธิบายเกีย่ วกับความหมายและความสัมพนั ธ์ของมวล แรงและกฎการเคล่อื นท่ีได้

2. ทักษะ/กระบวนการ (P)

คำนวณสถานการณ์ท่เี ก่ียวข้องกับกฎการเคล่ือนท่ขี องนิวตันไดถ้ ูกต้อง

3. คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)

คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั

ปรบั ปรงุ 2560)

 มวี ินัย  ใฝ่เรยี นรู้  มุ่งมน่ั ในการทำงาน

คุณลกั ษณะของผู้เรียนตามหลักสูตรมาตรฐานสากล

 เปน็ เลศิ วิชาการ  ล้ำหน้าทางความคิด

5. จดุ เนน้ สกู่ ารพัฒนาคณุ ภาพผู้เรียน
ความสามารถและทักษะผู้เรยี นในศตวรรษท่ี 21 ( 3Rs 8Cs 2Ls )
1. ทักษะในสาระวิชาหลัก (3Rs)
1.1  Reading (อ่าน) 1.2  (W)Riting (เขียน) 1.3  (A)Rithemetics (คณิตฯ)
2. ทักษะการเรียนรแู้ ละนวตั กรรม (8Cs)
2.1  Critical Thinking and Problem Solving (การคิดวจิ ารณญาณ และแกป้ ญั หา)
2.4  Collaboration, Teamwork and Leadership (การทำงานเป็นทมี ภาวะผนู้ ำ)
2.8  Compassion (คุณธรรม เมตตา กรณุ า ระเบียบวินัย)
3. ทกั ษะการเรียนรู้และภาวะผ้นู ำ (2Ls)
3.1  Learning (ทักษะการเรยี นรู้) 3.2  Leadership (ภาวะผู้นำและความรบั ผดิ ชอบ)

90

6. การบูรณาการตามพระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ ( เฉพาะทีเ่ กิดในแผนการจดั การเรยี นรู้ )
บรู ณาการกับค่านิยม 12 ประการ
 2. ซอ่ื สตั ย์ เสยี สละ อดทน มีอุดมการณ์ในส่ิงทีด่ งี ามเพ่ือส่วนรวม
 4. ใฝ่หาความรู้ หมนั่ ศกึ ษาเลา่ เรียนท้ังทางตรงและทางอ้อม
 9. มสี ตริ ้ตู วั รคู้ ิด รูท้ ำ

7. ภาระงาน / ชิ้นงาน
ภาระงาน - ศึกษาใบความรู้ ปฏิบตั ิกิจกรรมในแบบฝึกหัด

8. กจิ กรรมการเรียนรู้
1. ขน้ั สร้างความสนใจ
1.1 ครูทบทวนผลการทดลองกิจกรรม 3.2 การทดลองเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างแรง มวลและ
ความเร่งจากคาบที่แลว้ ดงั นี้
- ขณะที่รถเคลื่อนทีล่ งตามรางไมด้ ว้ ยความเร็วคงตัว แรงลพั ธท์ ่ีกระทำตอ่ รถมีค่าเป็นศูนย์
- เมื่อแขวนนอตกับขอเกี่ยวโลหะ ปรับรางไม้เช่นเดียวกับข้อ 1 รถจะเคลื่อนที่ด้วยความเร่ง
เพราะมีแรงลัพธ์กระทำตอ่ รถ
- จากผลการทำกิจกรรม กราฟระหว่าง a กับ F เมื่อมวลคงตัวถ้าเส้นกราฟ ความเร่ง a กับ แรง
F เป็นเสน้ ตรงและผา่ นจุดกำเนดิ แสดงว่า a แปรผนั ตรงกบั F
1.2 ครูถามนักเรียนว่า แล้วถ้าการทดลองได้เส้นกราฟเป็นเส้นตรงที่ไม่ผ่านจุดกำเนิด เกิดขึ้นเพราะ
อะไร (คำตอบเป็นแบบปลายเปดิ ) ครูแจ้งนักเรียนให้หาคำตอบจากการทำกิจกรรม 3.2 โดยการ
สรา้ งสถานการณเ์ พ่มิ
2. ขน้ั สำรวจและคน้ หา
2.1 ครูให้นักเรียนทำกิจกรรม 3.2 สร้างสถานการณ์ เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างมวล และความเร่ง
ของการเคลื่อนที่ เมื่อกำหนดให้แรงคงตัว แต่มวลของรถทดลองเปลี่ยน โดยมีวิธีการทำการ
ทดลองในหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ 1 ชั้นม. 4 สสวท. บันทึกผลในตารางการทดลอง
และเขยี นกราฟ พรอ้ มทงั้ อภปิ รายร่วมกนั ตอบคำถามท้ายกจิ กรรม
2.2 ครูแนะนำนักเรียนว่าจัดตั้งอุปกรณ์ โดยให้รถทดลองเคลื่อนที่บนรางไม้ด้วยความเร็วคงตัว แล้ว
ให้ใช้นอต 4 ตัวแขวนกับขอเกี่ยวโลหะเพื่อทำหน้าที่เป็นแรงดึงคงตัว ทำกิจกรรมเหมือนเดิม
เพียงแต่เพิ่มมวลของรถโดยเพิ่มแท่งเหล็กมวล 500 กรัม ครั้งละ 1 แท่ง 3 ครั้ง ทุกครั้งที่เปลี่ยน
มวลจะต้องจัดรางไม้เพื่อทำให้รถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงตวั ก่อนตามกิจกรรมตอนที่ 1 นำแถบ
กระดาษทั้ง 4 ที่บันทึกการเคลื่อนที่ของมวลที่เปลี่ยน เมื่อใช้แรงดึงคงตัว ไปหาความเร็วที่เวลา
ตา่ ง ๆ บนั ทกึ ผลลงในตาราง 3.3 ตวั อย่างตารางบนั ทกึ ผลการทำกจิ กรรม

91

กราฟระหวา่ งความเร็วกับเวลาจากตาราง 3.3 แสดงได้ดงั รูป

จากกราฟหาความชันของกราฟแต่ละเส้น ค่าความชันที่ได้คือขนาดของความเร่ง (a)
ของรถทดลองและมวลรถโดยให้ m=1 2m=2 3m=3 และ 4m=4 ตามลำดับแล้วบันทึกผลลง
ในตาราง 3.4

ตาราง 3.4 ตารางบันทึกความเรง่ กบั สว่ นกลับของมวล
กราฟระหว่างความเรง่ กบั สว่ นกลับของมวลจากตาราง 3.4 แสดงไดด้ งั รปู

92

3. ขนั้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ

3.1 ครูและนกั เรยี นร่วมกนั อภิปรายหลังทำกิจกรรม ดงั นี้

เมอ่ื มวล m คงตัว ขนาดของความเรง่ a ของรถทดลองจะแปรผันตรงกบั ขนาดของแรงลัพธ์ F

และเม่ือทำการทดลองต่อโดยเปล่ยี นมวล m ของรถทดลองและใหแ้ รงลัพธ์ F มีขนาดคงตวั

ขนาดของความเร่ง a ของรถจะแปรผันตรงกบั ส่วนกลบั ของมวล 1/m หรอื กล่าวไดว้ า่ ขนาดของ

ความเร่งแปรผกผันกับมวล m นัน่ เอง 1
m
a ∝

จากการแปรผนั ตามขา้ งตน้ จะสรุปได้วา่

F ∝ ma
3.2 จากผลการทำกจิ กรรม ครูและนักเรียนร่วมกันอภปิ รายสรุปกจิ กรรมไดว้ า่

- จากผลการทำกจิ กรรมกบั สถานการณ์ทส่ี ร้างข้ึน เมื่อใช้ชุดการทำกจิ กรรม 3.2 จะ

สรุปไดว้ า่ F⃑ = ma⃑ คือกฎการเคลอื่ นทขี่ ้อทสี่ องของนิวตัน

- ความเร่ง a⃑ มที ิศเดียวกบั แรงลัพธ์ F⃑ เสมอ

- ในการนำสมการ F⃑ = ma⃑ ไปใชน้ ้นั จะต้องคำนงึ ถึงทิศของ F⃑และ a⃑

- สำหรับสมการ F = ma เพอ่ื ใช้หาขนาดของแรงและความเร่งเทา่ นัน้

- เม่ือมีแรงลพั ธม์ ากระทำและขนาดของความเร่งจะแปรผนั ตรงกบั ขนาดของแรงและ

แปรผกผนั กบั มวลของวตั ถุ (ซึ่งเป็นไปตามกฎข้อที่ 2 ของนิวตนั )

- ปกตกิ ราฟท่ไี ดจ้ ะต้องผ่านจุดกำเนิด สำหรับการทำกจิ กรรมของนักเรยี นบางกลุ่ม

มักจะไดก้ ราฟเส้นตรงทไ่ี มผ่ ่านจดุ กำเนดิ ทเี่ ป็นเช่นนีเ้ พราะการชดเชยแรงเสยี ดทาน

ไม่ถูกต้อง

4. ขนั้ ขยายความรู้

4.1 ครนู ำนักเรยี นอภิปรายและสรุปเกี่ยวกับกฎการเคล่ือนท่ีของนิวตัน ดังนี้

มวล (mass) เป็นสมบัติประจำตัวของวัตถุอย่างหนึ่งโดยเป็นสมบัติทางความเฉื่อย

(inertia) ตอ่ การเปลี่ยนแปลงการเคลอ่ื นทขี่ องวตั ถุ โดยทม่ี วลเป็นปริมาณสเกลาร์ในระบบ

เอสไอมหี น่วยเป็นกิโลกรมั (kg)

กฎข้อที่หนึ่งของนิวตัน หรือกฎแห่งความเฉื่อย กล่าวว่า "วัตถุทุกชนิดจะเคลื่อนที่ด้วย

ความเรว็ คงที่ นอกจากมีแรงมากระทำตอ่ วัตถุ"

n

∑ F⃑i=0

i=0

กฎข้อที่สองของนิวตัน กล่าวว่า "ความเร่งของของวัตถุจะแปลผันตรงกับแรงสุทธิที่

กระทำต่อวัตถุ และแปรผกผันกับมวลของวัตถุ" ทิศของความเร่งจะมีทิศเดียวกับแรงสุทธิท่ี

กระทำบนวตั ถุ สามารถเขียนอยู่ในรปู ของสมการทางคณติ ศาสตร์ได้ดังน้ี


Click to View FlipBook Version