The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 124 ณัฏชนน เล็งไทสงค์, 2024-02-05 22:56:30

แผน 2 สมบูรณ์

แผน 2 สม

แผนการจัดการเรียนรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 วิชา การออกแบบ Infographic ด้วย Canva รหัสวิชา ว 22284 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดทำโดย นายณัฏชนน เล็งไทสงค์ ตำแหน่ง นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี สังกัดสำนักการศึกษา เทศบาลนครอุดรธานีจังหวัดอุดรธานี กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไท


กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์เพิ่มเติม การออกแบบ Infographic ด้วย Canva ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 อินโฟกราฟิก (Infographic) คืออะไร? จำนวน 4 ชั่วโมงแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 อินโฟกราฟิก (Infographic) คืออะไร? เวลา เรียน 2 ชั่วโมง 1. ผลการเรียนรู้ 1. อธิบายได้ว่าอินโฟกราฟิก (Infographic) คืออะไร 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด อินโฟกราฟิก (Infographic) หมายถึง การนำข้อมูลหรือความรู้มาสรุปให้เป็น “สารสนเทศในลักษณะ ของข้อมูล” (สัญลักษณ์ กราฟ แผนภูมิ ไดอะแกรม แผนที่) เพื่อนำเสนอข้อมูลให้สามารถเข้าใจได้ง่ายและ รวดเร็ว 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. บอกได้ว่าอินโฟกราฟิก (Infographic) คืออะไร (K) 2. เลือกวิธีการส่งสารที่เหมาะสมได้ (P) 3. เห็นประโยชน์ของการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบของอินโฟกราฟิก (Infographic) (A) 4. สาระการเรียนรู้ 1. องค์ประกอบของการสื่อสาร 2. อินโฟกราฟิก (Infographic) คือ การแปลงข้อมูลให้เป็นภาพ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายและสื่อสารกับผู้คน ด้วยสิ่งที่จับต้องได้ (Infographic = Information + graphic) 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1


1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. ภาระงาน 1. กิจกรรม Say What? 2. ใบงานที่ 1 Infographic คืออะไร? 8. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1. วิธีการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creativity-Based Learning : CBL) 2. การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning 1. ผู้สอนถามผู้เรียนเพื่อเป็นการทบทวนความรู้เดิม และเพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน เช่น “นักเรียนเคยนำเสนอข้อมูลด้วยวิธีใดบ้าง?” แนวคำตอบ : รายงาน สไลด์นำเสนอ แผ่นพับ โปสเตอร์ 2. ผู้สอนให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-7 คน เพื่อทำกิจกรรม Say What? ผู้สอนอธิบายวิธีการทำ กิจกรรม คือ 1. ให้แต่ละกลุ่มยืนหันหลัง เรียงเป็นแถวตอน 2. ผู้สอนให้หัวแถวของแต่ละกลุ่มหันมาอ่านข้อความที่ผู้สอนเตรียมไว้และนำข้อความ ไปบอกคนถัดไปโดยไม่ออกเสียง ทำไปเรื่อย ๆ จนถึงคนสุดท้าย 3. ให้คนสุดท้ายของแต่ละกลุ่มเขียนข้อความที่ได้จากส่งสารลงในกระดาษ 4. ผู้สอนเฉลยข้อความ และอ่านคำตอบของแต่ละกลุ่มให้ฟัง 3. ผู้สอนอธิบายว่า องค์ประกอบของการสื่อสาร โดยทั่วไปประกอบด้วย ชั ่วโมงที่ 1 ขนั้น ำเขำ้ส่บูทเรียน ขั้นสอน


1. ผู้ส่งสาร (Sender) คือ ผู้เริ่มต้นการสื่อสาร ผู้ส่งสารจะทำหน้าที่เข้ารหัส (Encoding) อันเป็นการแปรสารให้อยู่ในรูปของสัญลักษณ์ที่มนุษย์คิดสร้างขึ้นแทนความคิด 2. สาร (Message) คือ เรื่องราวอันมีความหมายและแสดงออกมาโดยอาศัยภาษา หรือ สัญลักษณ์ใด ๆ ก็ตามที่สามารถทำให้เกิดการรับรู้ร่วมกันได้ 3. ช่องทางการสื่อสารหรือสื่อ (Channel) ผู้ส่งสารย่อมต้องอาศัยช่องทางหรือสื่อให้ทำ หน้าที่นำสารไปยังผู้รับสาร โดยทั่วไปแล้วสารที่ถูกผู้ส่งสารถ่ายทอดไปยังผู้รับสารจะเข้าไปสู่ระบบ การรับรู้ของมนุษย์โดยผ่านประสาทสัมผัสทางใดทางหนึ่ง หรือหลายทาง 4. ผู้รับสาร (Receiver) คือ บุคคล ที่รับเรื่องราวจากผู้ส่งสารและนำสารไปใช้ต่อตาม วัตถุประสงค์ต่าง ๆ 4. จากกิจกรรม Say What? การส่งสารต่อไปเรื่อย ๆ ย่อมเกิดความคลาดเคลื่อน โดยมีสาเหตุมา จากหลายปัจจัย เช่น สภาพแวดล้อม ตัวสาร ประสบการณ์ของผู้รับสาร ดังนั้น เพื่อให้การสื่อสาร มีประสิทธิภาพ เพื่อให้การสื่อสารข้อมูลไปถึงผู้รับสารได้อย่างถูกต้องครบถ้วน ตรงตาม วัตถุประสงค์ ผู้ส่งสารจึงควรเลือกใช้วิธีการส่งสารที่เหมาะสม 5. ผู้สอนประเมินความเข้าใจของผู้เรียนโดยการยกตัวอย่าง การสอนในชั้นเรียน ว่าใครเป็นผู้รับสาร อะไรคือสาร อะไรคือช่องทางการสื่อสาร และใครคือผู้รับสาร แนวคำตอบ ผู้ส่งสาร (Sender) คือ คุณครู สาร (Message) คือ เนื้อหาของเรื่องที่คุณครูต้องการจะถ่ายทอด ช่องทางการสื่อสารหรือสื่อ (Channel) คือ หนังสือ ใบงาน หรือ สื่อการสอนต่าง ๆ ผู้รับสาร (Receiver) คือ นักเรียน 6. ผู้สอนอธิบายเพิ่มเติมว่า ในบางครั้ง เราก็เป็นทั้งผู้สื่อสารและผู้รับสาร เช่น เมื่อนักเรียนได้รับรู้ เรื่องราวมาหนึ่งเรื่อง นักเรียนก็คือผู้รับสาร และเมื่อนักเรียนนำเรื่องราวนั้นไปเผยแพร่ต่อ นักเรียนก็คือผู้ส่งสาร 7. ขั้นสอน (ต่อ) ชั ่วโมงที่ 2


1. ผู้สอนอธิบายว่า อินโฟกราฟิก (Infographic) ถือเป็นช่องทางการสื่อสารวิธีหนึ่ง ที่นิยมใช้กัน อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เนื่องจาก อินโฟกราฟิก (Infographic) สามารถสื่อให้ผู้รับสารเข้าใจ ความหมายของข้อมูลทั้งหมดได้โดยไม่จำ เป็นต้องมีผู้นำเสนอมาช่วยขยายความเข้าใจอีก 2. ผู้สอนแจก ใบงานที่ 1 Infographic คืออะไร? พร้อมอธิบายวิธีการทำใบงาน คือ ให้ผู้เรียน หาคำตอบ เกี่ยวกับ อินโฟกราฟิก (Infographic) ตามที่ระบุในใบงานให้ครบถ้วน 3. ผู้สอนให้เวลาผู้เรียนในการทำใบงาน โดยที่ผู้สอนคอยดูแลความเรียบร้อยและคอยให้คำแนะนำ เพิ่มเติม 4. เมื่อครบกำหนดเวลาผู้สอนให้ผู้เรียนแต่ละคนออกมนำเสนอใบงาน โดยให้ผู้เรียนคนอื่น ๆ ร่วมกันเสนอแนะแสดงความคิดเห็น 5. ผู้สอนเปิด Slide สื่อการสอน อินโฟกราฟิก (Infographic) คืออะไร? พร้อมอธิบาย เพื่อเป็น การสรุปความรู้เกี่ยวกับ อินโฟกราฟิก (Infographic) ให้ผู้เรียนเข้าใจอีกครั้ง อินโฟกราฟิก (Infographic) หมายถึง การนำข้อมูลหรือความรู้มาสรุปเป็นสารสนเทศ ในลักษณะของข้อมูลและกราฟิกที่อาจเป็นลายเส้น สัญลักษณ์ กราฟ แผนภูมิ ไดอะแกรม แผนที่ ฯลฯ ที่ออกแบบเป็นภาพนิ่ง หรือภาพเคลื่อนไหว ดูแล้วเข้าใจง่ายในเวลารวดเร็วและชัดเจน สามารถสื่อให้ผู้ชมเข้าใจความหมายของข้อมูลทั้งหมดได้โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้นำเสนอ อินโฟกราฟิกจะประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลักๆ คือ ข้อมูล (Information) หรือตัวหนังสือ และภาพกราฟิก (Graphic) อินโฟกราฟิก เป็นการแสดงข้อมูลหรือความรู้ต่าง ๆ ที่มีเนื้อหาเป็น จำนวนมาก ที่ผ่านการวิเคราะห์และสรุปออกมาให้อยู่ในรูปแบบของ “ภาพ” เพื่อให้ผู้ที่พบเห็น เข้าใจในเวลารวดเร็ว เพียงแค่ “ดู” โดยไม่ต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติม ซึ่งอินโฟกราฟิกสามารถ นำไปใช้ร่วมกับศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อใช้สรุปเนื้อหาที่มีความซับซ้อนและมีจำนวนมากให้สามารถ เข้าใจได้ง่าย ๆ และ “จบในภาพเดียว” 6. ผู้สอนสรุปให้ผู้เรียนเข้าใจว่า อินโฟกราฟิก (Infographic) เป็นช่องทางการสื่อสารที่ผ่านการ วิเคราะห์และสรุปออกมาให้อยู่ในรูปแบบของ “ภาพ” เพื่อให้ผู้ที่พบเห็นเข้าใจในเวลารวดเร็ว ซึ่ง อินโฟกราฟิกประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก ๆ คือ ข้อมูล หรือตัวหนังสือ และภาพกราฟิก (Infographic = Information + graphic) 7. ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสอบถามเพิ่มเติม 9. สื่อการเรียนรู้ 1. กิจกรรม Say What? 2. ใบงานที่ 1 Infographic คืออะไร? 3. Slide สื่อการสอน อินโฟกราฟิก (Infographic) คืออะไร? ขั้นสรุป


0 10. การวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ กิจกรรม Say What? แบบประเมินพฤติกรรม รายบุคคล คุณภาพอยู่ในระดับ ดี ผ่านเกณฑ์ ตรวจ ใบงานที่ 1 Infographic คืออะไร? แบบประเมินผลงาน คุณภาพอยู่ในระดับ ดี ผ่านเกณฑ์ ประเมินพฤติกรรมกลุ่ม จากการทำกิจกรรม Say What? แบบประเมินพฤติกรรมกลุ่ม คุณภาพอยู่ในระดับ ดี ผ่านเกณฑ์


11. สรุปผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ประจำหน่วยการเรียนรู้ 11.1 ด้านความรู้(K) …………………………………………………………………………………………………………………………………........................... ……………………………………………………………………...........................…………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………… ………..........................……………………………………………………………………............................…………………………… ……….……………………………………………………………………..........................…………………………………...................... .......................................…………………………………………..........................…………………………………...................... จำนวนที่ผ่าน..................คน คิดเป็นร้อยละ ................ จำนวนที่ไม่ผ่าน...........คน คิดเป็นร้อยละ................ 11.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) …………………………………………………………………………………………………………………………………........................... ……………………………………………………………………...........................…………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………… ………..........................……………………………………………………………………............................…………………………… ……….……………………………………………………………………..........................…………………………………...................... .......................................…………………………………………..........................…………………………………...................... จำนวนที่ผ่าน..................คน คิดเป็นร้อยละ ................ จำนวนที่ไม่ผ่าน...........คน คิดเป็นร้อยละ................. 11.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์(A) 11.3.1 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ประจำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ) …………………………………………………………………………………………………………………………………........................... ……………………………………………………………………...........................…………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………… ………...................…………………………………………..........................…………………………………................................ จำนวนที่ผ่าน..................คน คิดเป็นร้อยละ ................ จำนวนที่ไม่ผ่าน...........คน คิดเป็นร้อยละ................. 11.3.2 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ประจำกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) …………………………………………………………………………………………………………………………………........................... ……………………………………………………………………...........................…………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………… จำนวนที่ผ่าน..................คน คิดเป็นร้อยละ ................ จำนวนที่ไม่ผ่าน...........คน คิดเป็นร้อยละ.................


11.4 ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน (C) …………………………………………………………………………………………………………………………………........................... ……………………………………………………………………...........................…………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………… จำนวนที่ผ่าน..................คน คิดเป็นร้อยละ ................ จำนวนที่ไม่ผ่าน...........คน คิดเป็นร้อยละ................. 11.5 สรุปผลจากการประเมินใบงาน/ชิ้นงาน (รวบยอด) ประจำหน่วยการเรียนรู้ 11.5.1 ระดับคุณภาพดีมาก จำนวน ............... คน คิดเป็นร้อยละ ......... 11.5.2 ระดับคุณภาพดี จำนวน ............... คน คิดเป็นร้อยละ .......... 11.5.3 ระดับคุณภาพพอใช้ จำนวน ............... คน คิดเป็นร้อยละ .......... 11.5.4 ระดับคุณภาพปรับปรุง จำนวน ............... คน คิดเป็นร้อยละ .......... ปัญหาอุปสรรค/ข้อเสนอแนะอื่น ๆ ............................................................................................................................. ................................................. ................……………………………………………………………………................................................................................. ลงชื่อ……………………………………………… (นายณัฏชนนเล็งไทสงค์) ครูผู้สอน วันที่………………………………………………… ความคิดเห็นครูพี่เลี้ยง ............................................................................................................................. ................................................. ................……………………………………………………………………................................................................................. ลงชื่อ………....................................... (นางมาลิกา สุขใจ) ครูพี่เลี้ยง วันที่………………………………………………… ความคิดเห็นผู้อำนวยการโรงเรียน ............................................................................................................................. ................................................. ................……………………………………………………………………................................................................................. ลงชื่อ ........................................ (นายกฤษดา โสภา) ผู้อำนวยการสถานศึกษา วันที่…………………………………………………


กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์เพิ่มเติม การออกแบบ Infographic ด้วย Canva ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 อินโฟกราฟิก (Infographic) คืออะไร? จำนวน 4 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 ประโยชน์ของอินโฟกราฟิก (Infographic) เวลาเรียน 2 ชั่วโมง 1. ผลการเรียนรู้ 1. บอกประโยชน์ของอินโฟกราฟิก (Infographic) ได้ 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด ประโยชน์ของอินโฟกราฟิก (Infographic) อินโฟกราฟิกช่วยให้ สรุปข้อมูลในปริมาณมากให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น การใช้ภาพช่วยให้น่าสนใจและจดจำได้ดี เหมาะสำหรับการให้ข้อมูลในหลากหลายประเภท และสะดวกในการเผยแพร่ ข้อจำกัดของอินโฟกราฟิก (Infographic) อินโฟกราฟิกมีข้อจำกัด คือ อาจเกิดความเข้าใจไม่ตรงกันเพราะการตีความและการคิดวิเคราะห์ของแต่ละ คนไม่เหมือนกัน 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. บอกประโยชน์ของอินโฟกราฟิก (Infographic) ได้ (K) 2. เลือกช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสมในการนำเสนอข้อมูลได้(P) 3. เห็นความสำคัญของการใช้อินโฟกราฟิก (Infographic) เพื่อการสื่อสาร (A) 4. สาระการเรียนรู้ 1. ความเป็นมาของอินโฟกราฟิก (Infographic) 2. ประโยชน์ของอินโฟกราฟิก (Infographic) 3. ข้อจำกัดของอินโฟกราฟิก (Infographic) 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2


2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. ภาระงาน 1. กิจกรรมค้นคว้าหาความรู้ 2. กิจกรรมหัวท้ายตายก่อน 3. ใบงานที่ 2 ความเป็นมาของอินโฟกราฟิก (Infographic) 4. ใบงานที่ 3 ประโยชน์และข้อจำกัดของอินโฟกราฟิก 8. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1. วิธีการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creativity-Based Learning : CBL) 2. การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning 1. ผู้สอนเปิดคลิปวิดีโอ Infographic คืออะไร เพื่อเป็นการกระตุ้นความสนใจ และเพื่อเป็นการ ทบทวนความรู้เดิมของผู้เรียน จากลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=_VVOo9iBUYg 2. ผู้สอนถามผู้เรียนเพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ เช่น “นักเรียนคิดว่า ทำไม อินโฟกราฟิก ถึงถูกนำมาใช้เป็นช่องทางการสื่อสารข้อมูลและความรู้ ที่นิยมมากในปัจจุบัน” ชั่วโมงที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน


แนวคำตอบ : ช่วยให้ สรุปข้อมูลในปริมาณมากให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น การใช้ภาพช่วยให้น่าสนใจและ จดจำได้ดี 3. ผู้สอนอธิบายว่า ปัจจุบันอินโฟกราฟิก (Infographic) ปรากฏตามสื่อ ตามป้ายสาธารณะ หรือแม้แต่ คู่มือการใช้งานในหลายอย่าง โดยอินโฟกราฟิก (Infographic) เกิดขึ้น สามปี ก่อนคริสต์ศักราช และถูกใช้งานมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอินโฟกราฟิกช่วยให้การนำเสนอข้อมูลน่าสนใจมากขึ้น ทำให้ การสื่อสารเป็นไปอย่างราบรื่นในเวลารวดเร็ว 4. ผู้สอนเปิด Slide สื่อการสอน ความเป็นมาของอินโฟกราฟิก (Infographic) พร้อมกับอธิบาย สามปี ก่อนคริสต์ศักราช ภาพเขียนบนผนังถํ้าสามารถอนุมานได้ว่าเป็นอินโฟกราฟิกชิ้นแรกที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับ วัฒนธรรมการใช้อักษร ภาพของชาวอียิปต์เพื่อเล่าเรื่องราวชีวิต การทํางานและศาสนา หรือชาวจีน ที่มีคําจารึกตามเศษกระดูกสัตว์หรือกระดองเต่า ที่เรียกกันว่า กระดูกเสี่ยงทาย (Oracle bone) ปี ค.ศ.1786 William Playfair วิศวกรชาวสกอตแลนด์เป็นคนแรกที่นําข้อมูลทางสถิติมาแสดงในรูปแบบ ของแผนภูมิและกราฟเพื่อแสดงถึงเศรษฐกิจของประเทศอังกฤษและได้ตีพิมพ์ลงในหนังสือ ชื่อ The Commercial and Political Atlas ปี ค.ศ.1857 พยาบาลชาวอังกฤษ ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล (Florence Nightingale) เป็นผู้ออกแบบอินโฟกราฟิก “กุหลาบไนติงเกล” (Nightingale Rose Diagram) ไดอะแกรมทรงพลังระดับเปลี่ยนสังคมขึ้นมาได้ จากการได้เข้าไปดูแลทหารที่ผ่านสงครามมาในค่าย โดยนําเสนอข้อมูลในรูปแบบที่ทั้งดึงดูดที่สุด ขั้นสอน


และเข้าใจง่ายที่สุดไปพร้อมกัน ปี ค.ศ.1933 ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อ Harry Beck ได้สร้างแผนที่การคมนาคมของกรุงลอนดอนเป็นครั้งแรก โดยแสดงเส้นทางการขนส่งมวลชนสาธารณะและสถานีเดินรถ เป็นการนําแผนภูมิรูปภาพ เข้ามาใช้ในชีวิตประจําวัน ปี ค.ศ.1972 OtlAicher นักออกแบบชาวเยอรมันได้จัดทําสัญลักษณ์ภาพ (Pictogram) สําหรับงานกีฬา โอลิมปิกที่จัดขึ้นที่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมัน โดยสัญลักษณ์ภาพที่จัดทําขึ้นเป็นรูปร่างท่าทาง ต่าง ๆ ของมนุษย์ ซึ่งยังมีอิทธิพลต่อเนื่องมาถึงสัญลักษณ์ตามป้ายสาธารณะต่างๆ ปี ค.ศ.1982 หนังสือพิมพ์ USA TODAY ใช้อินโฟกราฟิกในการนําเสนอข่าวสารเปลี่ยนจากการนําเสนอ ในรูปแบบตัวหนังสือระบบพิมพ์ขาวดํามาเป็นใช้ระบบพิมพ์แบบสีและใช้การทํางานของ ภาพอินโฟกราฟิกในการนําเสนอข่าวสารแทนรูปแบบเดิม ปี ค.ศ.2005 เว็บไซต์ digg และ reddit ที่รวบรวมและเผยแพร่ข่าวสารบทความด้านเทคโนโลยี ซึ่งทํางาน ร่วมกับเครือข่ายสังคม โดยเปิดช่องทางให้ใครก็ได้โพสต์ข้อมูลที่น่าสนใจ โดยคนส่วนมากนำเสนอ ข้อมูลโดยใช้อินโฟกราฟิก ปัจจุบัน ปัจจุบันอินโฟกราฟิกถูกนำไปใช้หลากหลายมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่วัตถุประสงค์เพื่อการ ประชาสัมพันธ์ ไปจนถึงการย่อยข้อมูลที่ยากๆ ให้สื่อสารเข้าใจง่าย ซึ่งแนวโน้มการใช้อินโฟกราฟิก เริ่มเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วง 5 – 8 ปี ที่ผ่านมา 5. ผู้สอนให้ผู้เรียนทำกิจกรรม ค้นคว้าหาความรู้ พร้อมอธิบายวิธีการทำกิจกรรม คือ ให้ผู้เรียนหาข้อมูล เพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อที่กำหนด ซึ่งประกอบด้วย 1. กระดูกเสี่ยงทาย (Oracle bone) 2. แผนภูมิและกราฟเพื่อแสดงถึงเศรษฐกิจของประเทศอังกฤษและได้ตีพิมพ์ลงในหนังสือ ชื่อ The Commercial and Political Atlas 3. กุหลาบไนติงเกล (Nightingale Rose Diagram) 4. แผนที่การคมนาคมของกรุงลอนดอน ที่สร้างขึ้นครั้งแรก


5. Pictogram ในงานกีฬาโอลิมปิกที่จัดขึ้นที่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมัน 6. ผู้สอนแจกใบงานที่ 2 ความเป็นมาของอินโฟกราฟิก (Infographic) พร้อมอธิบายวิธีการทำใบงาน คือ จากข้อมูลที่ผู้สอนได้อธิบายไปเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของอินโฟกราฟิก และจากข้อมูลที่ได้ จากการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม ให้นักเรียน สรุปข้อมูลเพื่อนำเสนอ โดยวาดภาพเพื่อเล่าเรื่องความ เป็นมาของอินโฟกราฟิก โดยแบ่งเป็นปี ค.ศ. ตามที่ผู้สอนได้อธิบายไป 7. ผู้สอนให้เวลาผู้เรียนในการทำใบงาน โดยที่ผู้สอนคอยดูแลความเรียบร้อยและคอยให้คำแนะนำ เพิ่มเติม 8. เมื่อครบกำหนดเวลา ผู้สอนสุ่มผู้เรียนออกมนำเสนอใบงาน โดยให้ผู้เรียนคนอื่น ๆ ร่วมกันเสนอแนะ แสดงความคิดเห็น 9. ผู้สอนอธิบายเพิ่มเติมว่า จากความเป็นมาของอินโฟกราฟิกจะเห็นว่าอินโฟกราฟิกมีความสำคัญ ในการช่วย สรุปข้อมูลในปริมาณมากให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ช่วยให้การนำเสนอข้อมูลน่าสนใจมากขึ้น ช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างราบรื่นในเวลารวดเร็วและชัดเจน 6. 1. ผู้สอนให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3 คน เพื่อทำกิจกรรม “หัวท้าย ตายก่อน” พร้อมกับอธิบาย วิธีการทำกิจกรรมคือ 1. ผู้สอนจะแจก ใบงานที่ 3 ประโยชน์และข้อจำกัดของอินโฟกราฟิก 2. ในช่องรอบที่ 1 ให้แต่ละกลุ่มเขียนประโยชน์ของอินโฟกราฟิก ภายในระยะเวลา 10 นาที 3. ครบ 10 นาที ให้ทุกกลุ่มวางปากกา กลุ่มใดเขียนได้มากที่สุดตกรอบ กลุ่มใดเขียนได้น้อยที่สุด ตกรอบ กลุ่มที่จะได้เข้ารอบต่อไปเป็นกลุ่มที่ได้คะแนนกลาง ๆ ขั้นสอน (ต่อ) ชั่วโมงที่ 2


4. ในช่องรอบที่ 2 ให้แต่ละกลุ่มเขียนข้อจำกัดของอินโฟกราฟิกภายในระยะเวลา 10 นาที 5. ครบ 10 นาที ให้ทุกกลุ่มวางปากกา กลุ่มใดเขียนได้มากที่สุดตกรอบ กลุ่มใดเขียนได้น้อยที่สุด ตกรอบ กลุ่มที่จะได้เข้ารอบต่อไปเป็นกลุ่มที่ได้คะแนนกลาง ๆ 6. ในช่องรอบที่ 3 ให้แต่ละกลุ่มเขียนอาชีพที่ควรใช้อินโฟกราฟิกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน พร้อมบอกเหตุผล ภายในระยะเวลา 10 นาที 7. ครบ 10 นาที ให้ทุกกลุ่มวางปากกา กลุ่มใดเขียนได้มากที่สุดตกรอบ กลุ่มใดเขียนได้น้อยที่สุด ตกรอบ กลุ่มที่ได้คะแนนกลาง ๆ เป็นผู้ชนะ 8. ผู้สอนให้กลุ่มที่ชนะ (อาจจะมีมากกว่า 1 กลุ่มก็ได้) นำเสนอใบงาน โดยให้กลุ่มอื่น ๆ ร่วมกัน เสนอแนะแสดงความคิดเห็น 2. ผู้สอนอธิบายเพิ่มเติมว่า การสื่อสารด้วยอินโฟกราฟิกมีจุดเด่น คือ ง่ายต่อการทำความเข้าใจเนื้อหา ช่วยให้ผู้รับสารสามารถจดจำข้อมูลได้ดีกว่า ประหยัดเวลาในการศึกษาข้อมูล และยังสามารถดึงดูด ความสนใจได้มากกว่าอีกด้วย นอกจากนี้ การนำข้อมูลไปเผยแพร่ต่อยังสามารถทำได้ได้ง่าย จึงสรุป เป็นประโยชน์ของอินโฟกราฟิกได้ ดังนี้ 1. ช่วยให้การนำเสนอข้อมูลข่าวสารนั้น ๆ ดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น 2. ช่วยให้เข้าใจเนื้อหาสาระที่มีเป็นจำนวนมากได้ง่ายขึ้น และรวดเร็วขึ้น 3. ช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ยกระดับความสามารถในการคิด และพัฒนาการจัดการ กับแนวคิด 4. ทำให้ผู้รับสารมีความจำในเรื่องที่รับรู้เพิ่มมากขึ้น 5. สามารถแสดงผลได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว 3. ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุป ว่า อินโฟกราฟิกมีทั้งข้อดีและข้อจำกัด เป็นช่องทางการสื่อสาร ที่เหมาะสำหรับทุกสาขาอาชีพ เพื่อใช้ในการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และน่าสนใจมากยิ่งขึ้น 4. ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสอบถามเพิ่มเติม ขั้นสรุป


9. สื่อการเรียนรู้ 1. คลิปวิดีโอ Infographic คืออะไร ลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=_VVOo9iBUYg 2. Slide สื่อการสอน ความเป็นมาของอินโฟกราฟิก (Infographic) 3. กิจกรรม ค้นคว้าหาความรู้ 4. ใบงานที่ 2 ความเป็นมาของอินโฟกราฟิก (Infographic) 5. กิจกรรม “หัวท้าย ตายก่อน” 6. ใบงานที่ 3 ประโยชน์และข้อจำกัดของอินโฟกราฟิก 0 10. การวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ กิจกรรม ค้นคว้าหาความรู้ แบบประเมินพฤติกรรมกลุ่ม คุณภาพอยู่ในระดับ ดี ผ่านเกณฑ์ ตรวจใบงานที่ 2 ความเป็นมา ของอินโฟกราฟิก (Infographic) แบบประเมินผลงาน คุณภาพอยู่ในระดับ ดี ผ่านเกณฑ์ กิจกรรม “หัวท้าย ตายก่อน” แบบประเมินพฤติกรรมกลุ่ม คุณภาพอยู่ในระดับ ดี ผ่านเกณฑ์ ตรวจใบงานที่ 3 ประโยชน์และ ข้อจำกัดของอินโฟกราฟิก แบบประเมินผลงาน คุณภาพอยู่ในระดับ ดี ผ่านเกณฑ์


กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์เพิ่มเติม การออกแบบ Infographic ด้วย Canva ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 หลักการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) จำนวน 8 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 Layout เวลาเรียน 2 ชั่วโมง 1. ผลการเรียนรู้ 1. อธิบายหลักการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) ได้ 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การออกแบบอินโฟกราฟิก ให้ดูน่าสนใจ สามารถออกแบบได้ด้วย เทคนิค 9 Layout ซึ่งประกอบด้วย • แบบที่ 1 Visualized Article Layout • แบบที่ 2 Listed Layout • แบบที่ 3 Comparison Layout • แบบที่ 4 Structure Layout • แบบที่ 5 Timeline Layout • แบบที่ 6 Flowchart Layout • แบบที่ 7 Roadmap Layout • แบบที่ 8 Useful Bait Layout • แบบที่ 9 NumberPorn Layout 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายวิธีการวาง Layout ในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) ในแบบต่าง ๆ ได้ (K) 2. เลือก Layout ที่เหมาะสมในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) (P) 3. เห็นความสำคัญของการเลือกLayout ในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) (A) 4. สาระการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3


1. หลักการออกแบบอินโฟกราฟิกให้น่าสนใจ 2. การใช้เทคนิค 9 Layout ในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) 3. ตัวอย่างอินโฟกราฟิกที่ใช้ เทคนิค 9 Layout 4. โมชันอินโฟกราฟิก (Motion infographic) คือ อินโฟกราฟิกแบบเคลื่อนไหวได้ 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. ภาระงาน 1. ใบงานที่ 4 หลักการออกแบบอินโฟกราฟิกให้น่าสนใจ 2. ใบงานที่ 5 เทคนิค 9 Layout 8. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1. วิธีการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creativity-Based Learning : CBL) 2. การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ชั่วโมงที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน


1. ผู้สอนเปิดคลิปวิดีโอ โรคเบาหวาน เพื่อเป็นการกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน จากลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=JFjPZkkSztA 2. ผู้สอนอธิบายว่า จากคลิปวีดีโอ เป็นการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับโรคเบาหวานด้วยโมชันอินโฟราฟิก (Motion infographic) หรือ อินโฟกราฟิกแบบเคลื่อนไหวได้ ทำให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น นักเรียนคิดว่า มีเทคนิคอะไรบ้างที่ทำให้คลิปวีดีโอนี้มาความน่าสนใจ แนวคำตอบ การเลือกใช้สี การเลือกใช้ภาพ การใช้คำพูดที่กระชับ 3. ผู้สอนเปิด Slide สื่อการสอน เรื่อง หลักการออกแบบอินโฟกราฟิกให้น่าสนใจ พร้อมอธิบาย 1. เน้นที่หัวข้อหลักหัวข้อเดียว (Focus on a single topic) พิจารณาหัวข้อหลักในการสร้างอินโฟกราฟิก หลังจากกำหนดหัวข้อแล้ว กำหนดคำถามเฉพาะที่ ต้องการคำตอบในอินโฟกราฟิก 2. ออกแบบให้เข้าใจง่าย (Keep it simple) ข้อมูลไม่อัดแน่นซับซ้อนสับสน เข้าใจได้ง่าย ไม่ทำ ให้ผู้อ่านและผู้ชมยุ่งยาก ภาพที่ซับซ้อน จะทำให้การตีความผิดพลาด 3. ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ (Data is important) การสร้างอินโฟกราฟิกต้องคำนึงถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับหัวข้อเป็นสำคัญ การออกแบบต้องไม่ทำ เกิน ขอบเขตของหัวข้อซึ่งจะเป็นการทำลายข้อมูลที่จำเป็น ต้องแน่ใจว่าการออกแบบเน้นที่ข้อมูล และรูปแบบของอินโฟกราฟิก 4. แน่ใจว่าข้อเท็จจริงถูกต้อง (Be sure facts are correct) การทำข้อมูลให้ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าไม่ถูกต้องจะลดความน่าเชื่อถือของอินโฟกราฟิก ดังนั้น ก่อนที่จะสร้างอินโฟกราฟิกต้องแน่ใจว่าข้อมูลถูกต้อง ศึกษาค้นคว้าหาข้อเท็จจริง 5. ให้อินโฟกราฟิกเป็นตัวเล่าเรื่อง (Let it tell a story) ขั้นสอน


อินโฟกราฟิกที่มีประสิทธิภาพสามารถเล่าเรื่องราวด้วยภาพวาดหรือกราฟิก ซึ่งสามารถสามารถ ถ่ายทอดข้อมูลได้ ถึงแม้ว่าผู้ชมจะไม่ได้อ่านข้อมูลมาก่อน 6. การออกแบบที่ดีทำ ให้มีประสิทธิภาพ (Good design is effective) การบรรยายด้วยภาพถ้ามีการออกแบบที่ดีจะดึงดูดใจผู้ชม ใช้ความคิดสร้างสรรค์ออกแบบให้ น่าสนใจ ภาพ กราฟิก สี ชนิด แบบ และช่องว่าง เป็นสิ่งสำคัญในการออกแบบ 7. ใช้สีที่ดึงดูดความสนใจ (Choose attractive colors) ควรเลือกใช้สีที่กระตุ้นดึงดูดความสนใจผู้ชม ใช้สีให้ถูกต้องเหมาะสมกับหัวข้อ กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ให้ชัดเจน ใช้สี 2 – 4 สี 8. ใช้คำพูดที่กระชับ (Use short texts) สรุปข้อความให้สั้นกระชับตรงกับจุดหมายที่ต้องการนำเสนอ อาจใช้แผ่นป้ายหรือข้อมูลสั้นๆ มา สนับสนุนภาพ การทำ เรื่องราวให้ดึงดูดความสนใจอาจใช้ตัวเลขมาสรุปเปรียบเทียบข้อมูล และควรใช้ ตัวหนังสือที่อ่านเข้าใจง่าย 9. ตรวจสอบตัวเลขข้อมูล Check your numbers) การนำเสนอข้อมูลด้วยตัวเลขผ่านกราฟและแผนผัง ต้องตรวจสอบความถูกต้องของตัวเลข และภาพวาด และต้องรู้ว่าตัวเลขไหนควรใช้และไม่ควรมีอยู่ ด้วยวิธีนี้จะทำ ให้อินโฟกราฟิกส์มี ประสิทธิภาพมากขึ้น 10. ทำไฟล์อินโฟกราฟิกให้เล็ก (Make the file size small) ทำไฟล์อินโฟกราฟิกให้เล็ก แต่ไม่ควรลดคุณภาพของรูปภาพควรใช้ไฟล์ เพื่อให้ผู้ชมเข้าถึงและ ดาวน์โหลดข้อมูลได้ง่าย และนำไปใช้ต่อได้ดี ตามจุดประสงค์ที่ต้องการ 4. ผู้สอนแจกใบงานที่ 4 หลักการออกแบบอินโฟกราฟิกให้น่าสนใจ พร้อมอธิบายวิธีการทำใบงาน คือ ให้ผู้เรียนเปรียบเทียบ อินโฟกราฟิก ทั้งสอบแบบว่าแบบใดมีความน่าสนใจมากกว่า พร้อมกับ บอกเหตุผล 5. ผู้สอนให้เวลาผู้เรียนในการทำใบงาน โดยที่ผู้สอนคอยดูแลความเรียบร้อยและคอยให้คำแนะนำ เพิ่มเติม


6. ผู้สอนสุ่มผู้เรียนออกมานำเสนอใบงาน โดยให้ผู้เรียนคนอื่น ๆ รวมทั้งผู้สอนร่วมกันเสนอแนะแสดง ความคิดเห็น 7. ผู้สอนอธิบายเพิ่มเติม ว่า การจัดห้องนอน หรือ ห้องเรียน ให้เป็นระเบียบ เป็นสัดส่วน มีประโยชน์ ช่วยให้ห้องโล่ง สบายตา เป็นระเบียบ เรียบร้อย เช่นเดียวกับ การออกแบบอินโฟกราฟิก จะต้อง แบ่งสัดส่วนของข้อมูล และ รูปภาพให้เหมาะสม เรียกว่า การวาง Layout เมื่อนักเรียนมีข้อมูลดี ๆ แต่นำเสนอไม่ถูกวิธี ข้อมูลดี ๆ ก็อาจกลายเป็นไม่ดีได้ 1. 1. ผู้สอนแบ่งกลุ่มนักเรียน กลุ่มละ 3 คน และให้แต่ละกลุ่มศึกษาเทคนิค 9 Layout จากลิงค์ shorturl.asia/IjOt6 โดยผู้สอนให้เวลาผู้เรียนในการศึกษาข้อมูล 20 นาที 2. ผู้สอนคอยดูแลความเรียบร้อยและคอยให้คำแนะนำเพิ่มเติม 3. ผู้สอนแจกใบงานที่ 5 เทคนิค 9 Layout ให้แต่ละกลุ่ม พร้อมอธิบายวิธีการทำใบงาน คือ ให้แต่ละกลุ่ม วาดรูปแบบโครงร่างของ Layout ตามที่ผู้สอนกำหนดให้แต่ละกลุ่ม พร้อมอธิบายว่า Layout ที่ผู้สอนกำหนดให้ เหมาะสมกับการนำเสนอข้อมูลประเภทใด 4. ผู้สอนให้เวลาผู้เรียนในการทำใบงาน โดยที่ผู้สอนคอยดูแลความเรียบร้อยและคอยให้คำแนะนำ เพิ่มเติม 5. ผู้สอนให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอใบงาน โดยให้ผู้เรียนกลุ่มอื่น ๆ ร่วมกันเสนอแนะ แสดงความคิดเห็น 6. ผู้สอนอธิบายเพิ่มเติม ว่า การออกแบบอินโฟกราฟิก ให้ดูน่าสนใจ สามารถออกแบบได้ด้วย เทคนิค 9 Layout ซึ่งประกอบด้วย แบบที่ 1 Visualized Article Layout แบบที่ 2 Listed Layout แบบที่ 3 Comparison Layout แบบที่ 4 Structure Layout แบบที่ 5 Timeline Layout แบบที่ 6 Flowchart Layout ขั้นสอน (ต่อ) ชั่วโมงที่ 2


แบบที่ 7 Roadmap Layout แบบที่ 8 Useful Bait Layout แบบที่ 9 NumberPorn Layout 7. ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุป ว่า การออกแบบอินโฟกราฟิกให้น่าสนใจ ไม่ควรใช้ข้อมูลมากเกินไป ไม่ควรใช้สีมากเกินไป ไม่ควรใช้ตัวเลขที่มากเกินไป และควรตรวจสอบการสะกดคำให้ถูกต้อง ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล ประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล รวมทั้ง ใช้เทคนิคการวาง Layout โดยเลือก Layout ที่เหมาะสมกับเนื้อหาที่ต้องการนำเสนอ เพื่อทำให้อินโฟกราฟิกมีความน่าสนใจ 8. ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสอบถามเพิ่มเติม 9. สื่อการเรียนรู้ 1. คลิปวิดีโอ โรคเบาหวาน จากลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=JFjPZkkSztA 2. Slide สื่อการสอน เรื่อง หลักการออกแบบอินโฟกราฟิกให้น่าสนใจ 3. ใบงานที่ 4 หลักการออกแบบอินโฟกราฟิกให้น่าสนใจ 4. เทคนิค 9 Layout จากลิงค์ shorturl.asia/IjOt6 5. ใบงานที่ 5 เทคนิค 9 Layout 0 10. การวัดและประเมินผล ขั้นสรุป


วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ตรวจ ใบงานที่ 4 หลักการ ออกแบบอินโฟกราฟิกให้น่าสนใจ แบบประเมินผลงาน คุณภาพอยู่ในระดับ ดี ผ่านเกณฑ์ ตรวจ ใบงานที่ 5 เทคนิค 9 Layout แบบประเมินผลงาน คุณภาพอยู่ในระดับ ดี ผ่านเกณฑ์ ประเมินพฤติกรรมรายบุคคลจาก การทำกิจกรรม ในห้องเรียน แบบประเมินพฤติกรรม รายบุคคล คุณภาพอยู่ในระดับ ดี ผ่านเกณฑ์


กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์เพิ่มเติม การออกแบบ Infographic ด้วย Canva ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 หลักการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) จำนวน 8 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 Color เวลาเรียน 2 ชั่วโมง 1. ผลการเรียนรู้ 1. อธิบายหลักการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) ได้ 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด ในการออกแบบอินโฟกราฟิกให้น่าสนใจ จำเป็นต้องเลือกใช้จิตวิทยาสี (Color Psycho) เนื่องจาก สี มีอิทธิพล และส่งผลต่อความรู้สึก ช่วยดึงดูดความสนใจ ควรเลือกสีที่เหมาะสมกับเรื่องที่ต้องการจะสื่อสาร และไม่ควรใช้สีเกิน 4 สี Adobe Color เป็นเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์เฉดสีโดยฟังก์ชันในการใช้งานมีอยู่ 3 ส่วนหลักๆ คือ 1. การสร้างชุดสีจากวงล้อสี 2. การเลือกชุดสีจากเมนู Explore 3. การสร้างชุดสีจากภาพ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายวิธีการเลือกสีที่เหมาะสมกับเนื้อหาในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) ได้ (K) 2. ใช้เครื่องมือในการเลือกสีเพื่อนำมาออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) ให้น่าสนใจได้ (P) 3. เห็นความสำคัญของการเลือกใช้สีในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) (A) 4. สาระการเรียนรู้ 1. ทฤษฎีสี 2. จิตวิทยาสี (Color Psycho) 3. เครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์สี Adobe Color 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4


1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. ภาระงาน 1. กิจกรรม สร้างชุดสีจากภาพ 2. ใบงานที่ 6 การเลือกใช้สี 8. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1. วิธีการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creativity-Based Learning : CBL) 2. การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning 1. ผู้สอนถามผู้เรียนเพื่อเป็นการกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน เช่น “เมื่อนักเรียนเห็นภูเขาที่อุดมสมบูรณ์ ไปด้วยต้นไม้ นักเรียนรู้สึกอย่างไร?” 2. ผู้สอนอธิบายเพิ่มเติมว่า สีเขียวของธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม การเติบโตและความอุดมสมบูรณ์ ในทาง จิตวิทยาของสี จะทำความรู้สึกสดใส สดชื่น เย็น ปลอดภัย สบายตา ผ่อนคลาย มุ่งหวัง และปลอบ ประโลมให้จิตใจสงบ ชั่วโมงที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นสอน


3. ผู้สอนเปิดคลิปวิดีโอ ความหมายของสี (meaning of color) จากลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=CTLoPI9__0M 4. ผู้สอนให้ผู้เรียนเปิดโปรแกรม Adobe Color จากลิงค์ https://color.adobe.com/ ซึ่ง Adobe Color เป็นเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์เฉดสีเพื่อให้สี โดยที่สามารถเลือกเฉดสีหลักได้เอง และโปรแกรมจะช่วยวิเคราะห์เฉดสีที่เหลือให้เหมาะสมกับสีหลักที่เลือกซึ่ง Adobe Color มีฟังก์ชัน ในการใช้งานมีอยู่ 3 ส่วนหลักๆ คือ 1. การสร้างชุดสีจากวงล้อสี บนเว็บไซต์จะปรากฎในส่วนของการเลือกใช้สีจากวงล้อสี สามารถคลิกเมาส์ไปที่วงกลมสี ในวงกลมสีขาวตามภาพตัวอย่าง แล้วเลื่อนไปยังสีที่ต้องการ วงกลมสีอีก 4 สีที่เหลือก็จะเลื่อน ไปยังสีใหม่ที่เข้ากับสีที่เลือกในตอนแรก ส่วนเมนูทางด้านซ้ายมือเป็นฟังก์ชันที่คุณสามารถเลือกสี ตามหลักการใช้สีแบบต่าง ๆ ได้ เช่น Monochromatic คือการเลือกสีเฉพาะที่อยู่ในโทนเดียวกัน หรือ Complementary คือการเลือกใช้สีคู่ตรงข้าม เป็นต้น คลิกเมาส์ไปที่ วงกลมสี เลือกสีตามหลักการ ใช้สีแบบต่าง ๆ


2. การเลือกชุดสีจากเมนู Explore เมนู Explore เป็นฟังก์ชัน ซึ่งเป็นชุดสีที่มีคนสร้างเอาไว้ให้เลือกอยู่แล้ว โดยเราสามารถเข้าไป เลือกได้ตามต้องการ ตามอารมณ์การสื่อความหมาย เช่น หากต้องการชุดสีที่สื่อถึง modern technology ก็สามารถพิมพ์ Keyword ลงไปในช่องค้นหาเพียงเท่านี้ทางเว็บไซต์ก็จะนำเสนอชุดสี ที่สื่อถึง modern technology ขึ้นมามากมายให้เราเลือกนำไปใช้งาน 3. การสร้างชุดสีจากภาพ สามารถสร้างชุดสีจากภาพถ่ายได้ โดยเลือกที่ Extra Theme จากนั้น Import รูปภาพที่ต้องการ ที่จะนำมาใช้เป็นชุดสี ทางเว็บไซต์จะคำนวณและเลือกสีจากภาพที่ Import เข้ามา นอกจากนี้ยัง สามารถเลือก Color Mood เช่น อยากได้โทนเข้ม หรือสว่างกว่าเดิม จากเมนูทางซ้ายมือได้อีกด้วย


5. ผู้สอนให้ผู้เรียนทำกิจกรรม สร้างชุดสีจากภาพ พร้อมอธิบายวิธีการทำกิจกรรม คือ ให้ผู้เรียนสร้าง โทนสีจากภาพถ่าย โดยให้ใช้โทรศัพท์มือถือ ถ่ายภาพบรรยากาศในห้องเรียน และนำภาพมากำหนด โทนสีและปรับแต่งตามต้องการ 6. ผู้สอนให้เวลาผู้เรียนในการทำกิจกรรม โดยที่ผู้สอนคอยดูแลความเรียบร้อยและคอยให้คำแนะนำ เพิ่มเติม 7. เมื่อครบกำหนดเวลาผู้สอนสุ่มผู้เรียนออกมานำเสนอผลงาน โดยให้ผู้เรียนคนอื่น ๆ ร่วมกันเสนอแนะ แสดงความคิดเห็น 8. ผู้สอนอธิบายเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นการกำหนดโทนสีจากภาพถ่ายที่อยู่ในบรรยากาศใกล้เคียงกัน ซึ่งก็คือห้องเรียน แต่จะเห็นว่า เฉดสีที่ได้จะแตกต่างกันออกไป ซึ่งมาจากประสบการณ์ และความต้องการนำเสนอของแต่ละคน 1. 1. ผู้สอนเปิดคลิปวิดีโอ Color Theory – ทฤษฎีสี จากลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=GLiApwoaHwg 2. ผู้สอนแจกใบความรู้ ทฤษฎีสี (Color Theory) ให้ผู้เรียนได้ศึกษาเพิ่มเติม 3. ผู้สอนแจกใบงานที่ 6 การเลือกใช้สี พร้อมอธิบายวิธีการทำใบงาน คือ ให้ผู้เรียนแบ่งครึ่งกระดาษ วาดเขียนแนวนอนฝั่งหนึ่งระบายด้วยสีวรรณะอุ่น อีกฝั่งหนึ่งระบายด้วยสีวรรณะเย็น ในหัวข้อ ภาวะโลกร้อน 4. ผู้สอนให้เวลาผู้เรียนในการทำกิจกรรม โดยที่ผู้สอนคอยดูแลความเรียบร้อยและคอยให้คำแนะนำ เพิ่มเติม 5. เมื่อครบกำหนดเวลาผู้สอนสุ่มผู้เรียนออกมานำเสนอใบงาน และให้ผู้เรียนคนอื่น ๆ ร่วมกันเสนอแนะ แสดงความคิดเห็น 6. ผู้สอนอธิบายเพิ่มเติมว่า ในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) หากเลือกใช้คู่สีที่ไม่เหมาะสม ระหว่างตัวอักษรกับพื้นหลัง จะทำให้ตัวอักษรกลืนไปกับพื้นหลัง และการเลือกใช้สีที่หลากหลาย จนเกินไป ทำให้อินโฟกราฟิก (Infographic) ไม่น่าสนใจและยังเป็นการรบกวนสายตาอีกด้วย ขั้นสอน (ต่อ) ชั่วโมงที่ 2


7. ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุปว่า การออกแบบอินโฟกราฟิกให้น่าสนใจ ควรใช้สีเพียงแค่ 3-4 สี และควรเลือกใช้คู่สีที่เหมาะสม ถ้าสีตัวหนังสือเป็นสีอ่อน ควรเลือก Background เป็นสีเข้ม และถ้า Background เป็นสีอ่อนมก็ควรเลือกให้ตัวหนังสือเป็นสีเข้ม เพื่อสร้างความแตกต่างของสี ให้สามารถอ่านข้อความได้ง่ายขึ้น 8. ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสอบถามเพิ่มเติม 9. สื่อการเรียนรู้ 1. คลิปวิดีโอ ความหมายของสี (meaning of color) 2. โปรแกรม Adobe Color 3. กิจกรรม สร้างชุดสีจากภาพ 4. คลิปวิดีโอ Color Theory – ทฤษฎีสี 5. ใบความรู้ ทฤษฎีสี (Color Theory) 6. ใบงานที่ 6 การเลือกใช้สี 0 10. การวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ กิจกรรม สร้างชุดสีจากภาพ แบบประเมินผลงาน คุณภาพอยู่ในระดับ ดี ผ่านเกณฑ์ ขั้นสรุป


ตรวจ ใบงานที่ 6 การเลือกใช้สี แบบประเมินผลงาน คุณภาพอยู่ในระดับ ดี ผ่านเกณฑ์ ประเมินพฤติกรรมรายบุคคล จากการทำกิจกรรม สร้างชุดสี จากภาพ แบบประเมินพฤติกรรม รายบุคคล คุณภาพอยู่ในระดับ ดี ผ่านเกณฑ์


กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์เพิ่มเติม การออกแบบ Infographic ด้วย Canva ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 หลักการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) จำนวน 8 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 illustration เวลาเรียน 2 ชั่วโมง 1. ผลการเรียนรู้ 1. อธิบายหลักการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) ได้ 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด ภาพประกอบ (illustration) เป็นภาพที่เขียนขึ้นเพื่อบอกเล่าเรื่องราวหรือถ่ายทอดเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้ผู้อื่นได้รับรู้โดยมีจุดมุ่งหมายให้สอดคล้องกับเรื่องราวนั้น ๆ และให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งภาพประกอบ เป็นองค์ประกอบสำคัญในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) ภาพกราฟิกหรือภาพประกอบที่มักเลือกใช้ ในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) มี ดังนี้ 1. ภาพไอคอน 2. ภาพการ์ตูน 3. ภาพสัญลักษณ์ หรือพิกโตแกรม 4. ภาพกราฟิกทั่วไป 5. ภาพถ่าย 6. รูปทรงทางเรขาคณิต 7. เส้นและลูกศร 8. ชาร์ตและไดอะแกรม 9. แผนที่ 10. กราฟิกอื่น ๆ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายลักษณะภาพกราฟิกหรือภาพประกอบแบบต่าง ๆ ได้ (K) 2. เลือกใช้ภาพที่เหมาะสมกับเนื้อหาของอินโฟกราฟิกที่ต้องการจะนำเสนอได้ (P) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5


3. เห็นความสำคัญของการเลือกภาพประกอบในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) (A) 4. สาระการเรียนรู้ 1. ประเภทและลักษณะของภาพกราฟิกและภาพประกอบ 2. การเลือกใช้ภาพประกอบที่เหมาะสมกับเนื้อหาของอินโฟกราฟิก (Infographic) 3. เครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์สี Adobe Color 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. ภาระงาน 1. กิจกรรม ภาพสื่อความหมาย 2. ใบงานที่ 7 การเลือกใช้ภาพ 8. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1. วิธีการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creativity-Based Learning : CBL) 2. การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ชั่วโมงที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน


1. ผู้สอนให้ผู้เรียนทำกิจกรรม ภาพสื่อความหมาย โดยผู้สอนเปิดภาพที่เตรียมไว้และให้ผู้เรียนช่วยกัน บอกว่า เป็นภาพที่สื่อความหมายถึงอะไร 2. ผู้สอนอธิบายเพิ่มเติมว่า A picture represents a million words. หรือ 1 ภาพ ล้านความหมาย ซึ่งรูปภาพสื่อถึงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าคำพูด และรูปภาพสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้ เช่นเดียวกับหลาย ๆ คำ การใช้ภาพกราฟิกสามารถถ่ายทอดความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า คำศัพท์จำนวนมาก 3. ผู้สอนเปิด Slide สื่อการสอน การเลือกใช้ภาพ พร้อมอธิบาย 1. ภาพไอคอน เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการออกแบบอินโฟกราฟิกการเลือกภาพไอคอนมาใช้ต้องพยายาม ให้สอดคล้องกับเนื้อความส่วนนั้น ๆ 2. ภาพการ์ตูน ขั้นสอน


ตัวการ์ตูนที่มีสีสันมักถูกนำมาใช้ในการออกแบบอินโฟกราฟิกเพราะช่วยดึงดูดความสนใจ และช่วยให้อินโฟกราฟิกนั้น ๆ ดูเป็นมิตรมากขึ้น 3. ภาพสัญลักษณ์ หรือพิกโตแกรม คือสัญลักษณ์ที่สื่อถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งและมีขนาดใหญ่กว่าภาพไอคอน เช่น ภาพสัญลักษณ์ หญิง-ชาย หน้าห้องน้ำ 4. ภาพกราฟิกทั่วไป ภาพกราฟิกของสิ่งของต่าง ๆ รวมไปถึงคนและสัตว์ที่สร้างขึ้นด้วยคอมพิวเตอร์ก็ถูกนำมาใช้บ่อย ในอินโฟกราฟิก 5. ภาพถ่าย อาจดูเป็นส่วนประกอบที่ไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ออกแบบอินโฟกราฟิกมากนักแต่ในบาง กรณีการนำภาพถ่ายมาใช้ก็ช่วยให้อินโฟกราฟิกดูน่าสนใจและน่าเชื่อถือมากขึ้นได้ 6. รูปทรงทางเรขาคณิต ทั้งวงกลมวงรี สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม หรือหลายเหลี่ยมรูปทรงอิสระ เป็นต้น ก็มักเป็น องค์ประกอบที่พบได้บ่อย ๆ ในอินโฟกราฟิก 7. เส้นและลูกศร เส้น ไม่ว่าจะเป็นเส้นทึบ เส้นประ เส้นไข่ปลา เส้นอื่น ๆ และลูกศร หลากหลายรูปร่างหน้าตา มักถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในอินโฟกราฟิกเพื่อแสดงความเชื่อมโยงหรือต่อเนื่องของข้อมูล 8. ชาร์ตและไดอะแกรม มักถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของอินโฟกราฟิกอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งชาร์ตและไดอะแกรมก็มีหลาย รูปแบบแยกย่อย 9. แผนที่ อินโฟกราฟิกซึ่งมักจะมีแผนที่เป็นส่วนประกอบ คืออินโฟกราฟิกเชิงภูมิศาสตร์ โดยแผนที่ ในอินโฟกราฟิกจะใช้ประกอบ หรืออธิบายข้อมูลในอินโฟกราฟิก 10. กราฟิกอื่น ๆ ยังมีอินโฟกราฟิกรูปแบบอื่น ๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับอินโฟกราฟิกได้ตามไอเดีย เช่น ตารางปฏิทิน เครื่องหมายทางคณิตศาสตร์หรืออื่น ๆ 4. ผู้สอนอธิบายเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน มีเว็บไซต์สำหรับดาวน์โหลดภาพประกอบ ที่สามารถนำมาใช้งานได้ โดย ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่อาจจะมีเงื่อนไขตามที่เว็บไซต์กำหนด


เช่น www.icons8.com www.pngtree.com www.icomoon.io www.thenounproject.com 1. 1. ผู้สอนอธิบายเพิ่มเติมว่า www.flaticon.com เว็บไซต์ ที่ให้บริการ ดาวน์โหลดไอคอนโดยเฉพาะ โดยจุดเด่นของไอคอน คือ จะเป็นไอคอนที่ออกแบบอย่างเรียบง่าย ในลักษณะที่เรียกว่า Flat Design 2. โดยมีวิธีการดาวน์โหลด คือ 1. พิมพ์Keyword ที่ต้องการค้นในช่อง Search 2. จะปรากฏไอคอนขึ้นมาให้ผู้ใช้งานเลือก ขั้นสอน (ต่อ) ชั่วโมงที่ 2


3. เมื่อนำเมาส์ไปชี้ที่ไอคอนที่ต้องการดาวน์โหลด จะปรากฏปุ่มสำหรับดาวน์โหลดภาพ 4. จากนั้นจะปรากฏหน้าต่างสำหรับดาวน์โหลดขึ้นมา ให้เลือก Free download 3. ผู้สอนให้ผู้เรียนทำใบงานที่ 7 การเลือกใช้ภาพ โดยแจกเป็น Digital file โดยใช้โปรแกรม Power Point หรือ โปรแกรมอื่น ๆ พร้อมอธิบายวิธีการทำใบงาน คือ ให้นักเรียนหาไอคอนจากเว็บไซต์ ให้ ตรงกับคำที่กำหนด ให้ได้มากที่สุดในระยะเวลา 15 นาที 4. ผู้สอนให้เวลาผู้เรียนในการทำใบงาน โดยที่ผู้สอนคอยดูแลความเรียบร้อยและคอยให้คำแนะนำ เพิ่มเติม 5. ผู้สอนสุ่มผู้เรียน 5 คนออกมานำเสนอใบงาน โดยให้ผู้เรียนคนอื่น ๆ รวมทั้งผู้สอนช่วยกันเสนอแนะ แสดงความคิดเห็น 6. ผู้สอนอธิบายเพิ่มเติมว่าในการเลือกใช้ภาพประกอบ จะต้องมีจุดมุ่งหมายในการใช้รูปภาพ ตั้งเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการใช้รูปภาพเพื่อสื่อสารอะไร ต้องมีเหตุผลในการเลือกใช้ภาพ และควร พิจารณาผลกระทบทางอารมณ์ เทรนด์การใช้ภาพในปัจจุบัน และความหมายของภาพ


7. ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุปว่า การออกแบบอินโฟกราฟิกให้น่าสนใจ ควรเลือกใช้ภาพที่เหมาะสม กับเนื้อหา มีการสื่อความหมายของภาพ เลือกใช้ภาพรูปให้ตรงกับจุดประสงค์ที่ต้องการใช้ ดูสวยงาม สร้างสรรค์ และมีเอกลักษณ์ 8. ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสอบถามเพิ่มเติม 9. สื่อการเรียนรู้ 1. กิจกรรม ภาพสื่อความหมาย 2. Slide สื่อการสอน การเลือกใช้ภาพ 3. www.flaticon.com 4. ใบงานที่ 7 การเลือกใช้ภาพ 0 10. การวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ตรวจใบงานที่ 7 การเลือกใช้ภาพ แบบประเมินผลงาน คุณภาพอยู่ในระดับ ดี ผ่านเกณฑ์ ประเมินพฤติกรรมรายบุคคลจาก การทำกิจกรรม ภาพสื่อ ความหมาย แบบประเมินพฤติกรรม รายบุคคล คุณภาพอยู่ในระดับ ดี ผ่านเกณฑ์ ขั้นสรุป


กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์เพิ่มเติม การออกแบบ Infographic ด้วย Canva ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 หลักการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) จำนวน 8 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 Font เวลาเรียน 2 ชั่วโมง 1. ผลการเรียนรู้ 1. อธิบายหลักการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) ได้ 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด Typeface คือชุดรูปแบบตัวอักษร โดยการออกแบบ Typeface อาจจะมีฟ้อนต์ (FONT) แค่รูปแบบ เดียว หรือมีฟ้อนต์ (FONT) หลายรูปแบบก็ได้ ฟ้อนต์ (FONT) คือ ชุดของตัวอักษรที่มีความแตกต่างกันทั้งทางด้านของขนาด ความหนา ความกว้าง และความเอียง ซึ่งฟ้อนต์ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของอินโฟกราฟิก (Infographic) การเลือกใช้ฟ้อนต์ (FONT) ที่เหมาะสม จะสามารถดึงดูดสายตาของกลุ่มเป้าหมายได้ดี และทำให้เกิดการจดจำได้ง่ายขึ้น และยังบ่งบอกได้ถึง แนวคิดในอินโฟกราฟิก (Infographic) ที่ต้องการจะนำเสนอ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายลักษณะของTypeface แต่ละแบบได้ (K) 2. เลือกใช้ฟ้อนต์ (FONT) ที่เหมาะสมกับเนื้อหาของอินโฟกราฟิกที่ต้องการจะนำเสนอได้ (P) 3. เห็นความสำคัญของการเลือกใช้ฟอนต์ (FONT) ในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) (A) 4. สาระการเรียนรู้ 1. ประเภทและลักษณะของTypeface 2. การเลือกใช้ฟ้อนต์ (FONT) 3. การออกแบบฟ้อนต์ (FONT) ด้วย Calligraphr 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6


2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. ภาระงาน 1. กิจกรรม ออกแบบฟ้อนต์ 2. ใบงานที่ 8 การเลือกฟ้อนต์ 8. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1. วิธีการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creativity-Based Learning : CBL) 2. การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning 1. ผู้สอนถามผู้เรียนเพื่อเป็นการกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน เช่น “นักเรียนเคยสักเกตบนเสื้อนักเรียน หรือไม่ว่าใช้ฟ้อนต์แบบใดในการปัก ชื่อ นามสกุล ของตัวเอง” แนวคำตอบ : ใช้ฟ้อนต์ที่อ่านง่าย เห็นได้ชัดเจน ชั่วโมงที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นสอน


2. ผู้สอนอธิบายว่า Typeface คือชุดรูปแบบตัวอักษร โดยการออกแบบ Typeface อาจจะมีฟ้อนต์ (FONT) แค่รูปแบบเดียว หรือมีฟ้อนต์ (FONT) หลายรูปแบบก็ได้ ซึ่ง ฟ้อนต์ (FONT) คือ ชุดของ ตัวอักษรที่มีความแตกต่างกันทั้งทางด้านของขนาด ความหนา ความกว้าง และความเอียง 3. ผู้สอนเปิด Slideสื่อการสอน การเลือกใช้ฟ้อนต์พร้อมอธิบายว่า ฟ้อนต์ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ของอินโฟกราฟิก (Infographic) การเลือกใช้ฟ้อนต์ (FONT) ที่เหมาะสม จะสามารถดึงดูดสายตา ของกลุ่มเป้าหมายได้ดี และทำให้เกิดการจดจำได้ง่ายขึ้น และยังบ่งบอกได้ถึงแนวคิดในอินโฟกราฟิก (Infographic) ที่ต้องการจะนำเสนอ 1. การเลือกใช้ฟอนต์ Serif หรือ Sans Serif Serif จะมีขีดเล็ก ๆ หรือที่เรียกว่าเชิงที่ปลายตัวอักษร ฟอนต์ประเภทนี้เป็นฟอนต์ดั้งเดิม นิยม ใช้สำหรับพิมพ์เนื้อความ เพราะมีส่วนช่วยทำให้อ่านได้ง่ายขึ้น เมื่อกวาดสายตาไปตามเนื้อหา การใช้ฟอนต์นี้จะทำให้งานดูคลาสสิคมากขึ้น และนิยมใช้กับงานที่เป็นทางการ Sans Serif จะตรงข้ามกับ ฟอนต์ Serif คือไม่มีเชิง เป็นตัวอักษรเรียบ ๆ เหมาะกับการใช้ใน ส่วนของหัวข้อฟอนต์สไตล์นี้จะทำให้งานดูทันสมัยขึ้น เพราะความเรียบง่ายของรูปแบบฟอนต์


2. ฟอนต์ภาษาไทยมีหัว และไม่มีหัว ในภาษาไทยตัวอักษรจะมีหัว แต่มีการพัฒนารูปแบบฟอนต์ภาษาไทยให้มีทั้งแบบมีหัว และไม่มีหัวเพื่อให้งานออกแบบสื่อความหมายได้หลากหลายขึ้น ฟอนต์มีหัว แสดงความเป็นทางการคล้ายๆ กับ Serif ของภาษาอังกฤษ และทำให้อ่านง่าย ไม่ สับสนในเรื่องของพยัญชนะ ฟอนต์ไม่มีหัว เป็นตัวอักษรที่ให้ความรู้สึกถึงความทันสมัย ซึ่งจะเหมือนกับฟอนต์แบบ San Serif ของตัวอักษรในภาษาอังกฤษ นิยมใช้ตัวอักษรนี้กับงานที่ดูร่วมสมัยและเป็นสากล 3. ฟอนต์แบบปลายหวัด (Script) รูปแบบของฟอนต์ประเภทนี้ทำให้งานนำเสนอดูเคลื่อนไหว ดูมีชีวิตชีวา อ่อนช้อย และดึงดูดสายตาคนได้ จะนิยมใช้ในงานที่สื่อถึงความสวยงาม อ่อนหวาน หรูหราแต่จะใช้ในส่วน หัวข้อ หรือส่วนที่เป็นจุดเด่นของงานที่ต้องการเน้น ไม่เหมาะที่จะใช้ในส่วนที่เป็นเนื้อความ


4. ฟอนต์ลายมือ ฟอนต์ประเภทนี้จะเป็นฟอนต์ที่ดูไม่เป็นทางการ ใช้กับงานนำเสนอที่ต้องการให้ มีความเป็นกันเอง 5. การผสมผสานฟอนต์ ในงานนำเสนอหนึ่งงาน ไม่ควรจะใช้ฟอนต์ให้หลากหลายจนเกินไปเพราะจะทำให้งาน ดูไม่มี Concept ดูกระจัดกระจาย แต่ใช่ว่าเราจะไม่สามารถผสมผสานฟอนต์ได้ เพียงแต่ว่า ควรเลือกผสมให้เหมาะสมนั่นเอง ควรเลือกที่อ่านง่าย ชัดเจน ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น


ภาพตัวอย่างการใช้ฟอนต์แบบผสมผสาน จากภาพตัวอย่างจะใช้ฟอนต์ประมาณ 3 ฟอนต์เพื่อเพิ่มลูกเล่น ให้งานน่าสนใจ และเน้นบางจุด ซึ่งโดยภาพรวมแล้ว ฟอนต์ทั้งหมดที่ผสมผสานกันก็ยังคงให้ความรู้สึกเรียบง่าย แต่ทันสมัย 4. ผู้สอนแจกใบงานที่ 8 การเลือกใช้ฟ้อนต์พร้อมอธิบายวิธีการทำใบงาน คือ ให้นักเรียนเลือกใช้ ฟ้อนต์ให้เหมาะสมกับข้อความที่กำหนดให้ 5. ผู้สอนให้เวลาผู้เรียนในการทำใบงาน โดยที่ผู้สอนคอยดูแลความเรียบร้อยและคอยให้คำแนะนำ เพิ่มเติม 6. ผู้สอนสุ่มผู้เรียน 5 คนออกมานำเสนอใบงาน โดยให้ผู้เรียนคนอื่น ๆ ช่วยกันเสนอแนะแสดงความ คิดเห็น 1. 1. ผู้สอนเปิดคลิปวิดีโอ สอนทำฟอนต์ ด้วย Calligraphr จากลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=wj9ojOxjIcY 2. ผู้สอนให้ผู้เรียนทำกิจกรรม ออกแบบฟ้อนต์ พร้อมอธิบายวิธีการทำกิจกรรม คือ ผู้สอนแจก Calligraphr-Template เพื่อให้ผู้เรียนออกแบบฟ้อนต์ของตัวเอง ใน paper และนำไปต่อยอดพัฒนา ทำตามขั้นตอนในคลิปวิดีโอ เพื่อให้มีฟ้อนต์ที่สามารถใช้งานได้จริงเป็นของตัวเอง 3. ผู้สอนให้เวลาผู้เรียนในการทำกิจกรรม โดยที่ผู้สอนคอยดูแลความเรียบร้อยและคอยให้คำแนะนำ เพิ่มเติม 4. ผู้สอนสุ่มผู้เรียนออกมานำเสนอผลงาน โดยให้ผู้เรียนคนอื่น ๆ รวมทั้งผู้สอนช่วยกันเสนอแนะ แสดงความคิดเห็น 5. ผู้สอนประเมินความเข้าใจของผู้เรียนโดยการถามว่า ฟ้อนต์ที่นักเรียนออกแบบ เป็นฟ้อนต์รูปแบบใด ขั้นสอน (ต่อ) ขั้นสรุป ชั่วโมงที่ 2


6. ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุปว่า การเลือกใช้ตัวอักษรให้เหมาะกับอินโฟกราฟิก (Infographic) เป็น สิ่งสำคัญ เพราะรูปแบบฟอนต์บ่งบอกได้ถึงแนวคิดในงานนำเสนอ เป็นตัวกำหนดทิศทางของงาน ให้เป็นไปในแนวเดียวกัน ทำให้มีการดีไซน์ที่ดี รวมถึงทำให้ผู้ที่อ่านเข้าใจ Concept ได้ง่ายขึ้น 7. ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสอบถามเพิ่มเติม 9. สื่อการเรียนรู้ 1. Slide สื่อการสอน การเลือกใช้ฟ้อนต์ 2. ใบงานที่ 8 การเลือกใช้ฟ้อนต์ 3. คลิปวิดีโอ สอนทำฟอนต์ ด้วย Calligraphr 4. กิจกรรม ออกแบบฟ้อนต์ 0 10. การวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ตรวจใบงานที่ 8 การเลือกใช้ฟ้อนต์ แบบประเมินผลงาน คุณภาพอยู่ในระดับ ดี ผ่านเกณฑ์ ประเมินพฤติกรรมรายบุคคล จากการทำกิจกรรม ออกแบบฟ้อนต์ แบบประเมินพฤติกรรม รายบุคคล คุณภาพอยู่ในระดับ ดี ผ่านเกณฑ์


กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์เพิ่มเติม การออกแบบ Infographic ด้วย Canva ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 การเตรียมข้อมูลเพื่อใช้ในงานอินโฟกราฟิก (Infographic) จำนวน 6 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 กระบวนการในการสร้างงานอินโฟกราฟิก (Infographic) เวลาเรียน 2 ชั่วโมง 1. ผลการเรียนรู้ 1. เตรียมข้อมูลเพื่อใช้ในงานอินโฟกราฟิก (Infographic) ได้ 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด Hyperakt’s Josh Smith ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ ได้ค้นพบกระบวนการที่ดีในการออกแบบ อินโฟกราฟิก (Infographic) 10 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1. การรวบรวมข้อมูล (Gathering data) 2. การอ่านข้อมูลทั้งหมด (Reading everything) 3. การค้นหาวิธีการเล่าเรื่อง (Finding the narrative) 4. การระบุปัญหาและความต้องการ (Identifying problems) 5. การจัดลำดับโครงสร้างข้อมูล (Creating a hierarchy) 6. การออกแบบโครงสร้างข้อมูล (Building a wireframe) 7. การเลือกรูปแบบอินโฟกราฟิกส์ (Choosing a format) 8. การกำหนดภาพให้ตรงกับหัวข้อ (Determining a visual approach) 9. การตรวจสอบข้อมูลและทดลองใช้ (Refinement and testing) 10. การแบ่งปันความรู้ในอินเทอร์เน็ต (Releasing it into the world) 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายกระบวนการในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) ได้(K) 2. ออกแบบอินโฟกราฟิกตามกระบวนการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) ได้(P) 3. เห็นความสำคัญของการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) ตามกระบวนการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) (A) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7


4. สาระการเรียนรู้ 1. กระบวนการในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) 2. การสร้างอินโฟกราฟิกส์ให้มีประสิทธิภาพ (Designing Effective Infographics) 3. สิ่งที่ไม่ควรทำ ในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. ภาระงาน 1. ใบงานที่ 9 กระบวนการที่ดีในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) 2. กิจกรรม สิ่งที่ไม่ควรทำในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) 8. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1. วิธีการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creativity-Based Learning : CBL) 2. การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ชั่วโมงที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน


1. ผู้สอนเปิดคลิปวิดีโอ Infographic สุขพอที่พ่อให้ ตอน : เกษตรทฤษฎีใหม่ เพื่อเป็นการกระตุ้น ความสนใจของผู้เรียน จากลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=rJedTtbt4Uo&t=220s 2. ผู้สอนถามผู้เรียนเพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ เช่น “นักเรียนคิดว่า จากคลิปวิดีโอ ซึ่งเป็นโม ชันอินโฟกราฟิก มีกระบวนการในการผลิตอย่างไรบ้าง?” แนวคำตอบ 1. เตรียมข้อมูล 2. เตรียมภาพประกอบ 3. ดำเนินการผลิต ตัดต่อ อัดเสียง 4. เผยแพร่ 3. ผู้สอนเปิด Slide สื่อการสอน กระบวนการที่ดีในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) พร้อมอธิบายว่า Hyperakt’s Josh Smith ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ ได้ค้นพบกระบวนการที่ดีใน การออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) 10 ขั้นตอน ซึ่ง ประกอบด้วย 1. การรวบรวมข้อมูล (Gathering data) คัดเลือกข้อมูลดิบที่รวบรวมมา แต่ที่ยังไม่เป็นระเบียบ โดยอาจใช้โปรแกรม Microsoft Excel เขียนแหล่งอ้างอิงที่มาของข้อมูลที่เป็นต้นฉบับ บันทึกภาพต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ไม่ควรแยกภาพหรือแผนภาพกับข้อมูลออกจากกัน 2. การอ่านข้อมูลทั้งหมด (Reading everything) การอ่านข้อมูลเฉพาะจุดเน้น หรืออ่านอย่างผิวเผินให้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะคิดว่า เสียเวลา จะทำให้ได้ข้อมูลไม่สมบูรณ์ ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้มองเห็นภาพรวม ของประเด็นสำคัญ 3. การค้นหาวิธีการเล่าเรื่อง (Finding the narrative) อินโฟกราฟิกเริ่มที่จุดมุ่งหมายเดียว ขยายความข้อมูลที่ซับซ้อน อธิบายกระบวนการ ขั้นสอน


เน้นที่แนวโน้มหรือสนับสนุนข้อโต้แย้ง การหาวิธีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจอาจจะยุ่งยากในระยะแรก ถ้าเราคุ้นเคยกับข้อมูลที่มีอยู่จะทำให้สามารถเล่าเรื่องราวได้ การใส่ใจกับเนื้อหาที่สำคัญที่จะช่วย ให้การนำเสนอข้อมูลมีคุณค่า 4. การระบุปัญหาและความต้องการ (Identifying problems) เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว นำมาตรวจสอบความถูกต้อง อาจมีข้อมูลที่ไม่สนับสนุนหัวข้อ หรือประเด็นที่ต้องการนำเสนอ ควรมีการอภิปรายหาข้อสรุปที่แท้จริงเพื่อระบุปัญหา และความต้องการ ปรับปรุงข้อมูลและเรื่องราวให้มีเอกลักษณ์ตรงกับหัวข้อศึกษา 5. การจัดลำดับโครงสร้างข้อมูล (Creating a hierarchy) การจัดลำดับชั้นของข้อมูลเป็นที่นิยมในการสรุปข้อมูล เป็นการนำผู้ชมให้มองเห็น ภาพรวมตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นวิธีการจัดการกับข้อมูลในการสร้างอินโฟกราฟิกตามโครงสร้างลำดับ ชั้นของข้อมูล 6. การออกแบบโครงสร้างข้อมูล (Building a wireframe) เมื่อพิจารณาตรวจสอบคัดเลือกข้อมูลอย่างละเอียดแล้ว จัดแบ่งข้อมูลเป็นลำดับชั้น และ ออกแบบโครงสร้างของของข้อมูล ผู้ออกแบบควรทำความเข้าใจกับภาพหรือกราฟิกที่เป็นตัวแทน ของข้อมูลสำคัญที่จัดไว้เป็นลำดับชั้น 7. การเลือกรูปแบบอินโฟกราฟิก (Choosing a format) เมื่อสิ้นสุดการกำหนดภาพ หรือกราฟิกที่เป็นตัวแทนของข้อมูลแล้ว ในลำดับถัดไป จะต้องเลือกรูปแบบอินโฟกราฟิกที่เหมาะสมกับเนื้อหา อินโฟกราฟิก ที่นิยมใช้งานมีทั้งหมด 9 รูปแบบ 8. การค้นหาวิธีการเล่าเรื่อง (Finding the narrative) ไม่ควรติดยึดกับวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ควรผสมผสานวิธีการใช้กราฟ แผนภาพ และแผนผัง ตกแต่งองค์ประกอบด้วยการวาดลายเส้นหรือนำ ภาพที่เป็นตัวแทนของข้อมูลมาจัด วางซ้อนกัน อาจเสริมด้วยข้อมูล สื่อ ตราสัญลักษณ์ และเนื้อหาในการออกแบบให้ตรงกับหัวข้อ 9. การตรวจสอบข้อมูลและทดลองใช้ (Refinement and testing) ตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด ทั้งข้อมูลและภาพที่ใช้ประกอบ เพื่อให้แน่ใจว่า ผลงานที่เสร็จแล้วมีคุณภาพตรงกับหัวข้อและเป้าหมาย


10. การแบ่งปันความรู้ในอินเทอร์เน็ต (Releasing it into the world) เผยแพร่ผลงานบนอินเทอร์เน็ต หรือ ช่องทางอื่น ๆ ที่เหมาะสม ติดตาม และ ตรวจสอบ ข้อคิดเห็นต่าง ๆ เพื่อนำมาพัฒนางาน การวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจะช่วยขยาย ข้อโต้แย้งและค้นพบวิธีการนำเสนอข้อมูลวิธีใหม่ได้ 4. ผู้สอนแจกใบงานที่ 9 กระบวนการที่ดีในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) พร้อมอธิบาย วิธีการทำใบงาน คือ ให้ผู้เรียนค้นหาข้อมูล เกี่ยวกับกระบวนการที่ดีในการออกแบบอินโฟกราฟิก นอกเหนือจากกระบวนการออกแบบอินโฟกราฟิกของ Hyperakt’s Josh Smith 5. ผู้สอนให้เวลาผู้เรียนในการทำใบงาน โดยที่ผู้สอนคอยดูแลความเรียบร้อยและคอยให้คำแนะนำ เพิ่มเติม 6. ผู้สอนสุ่มผู้เรียนออกมานำเสนอใบงาน โดยให้ผู้เรียนคนอื่น ๆ รวมทั้งผู้สอน ร่วมกันเสนอแนะ แสดงความคิดเห็น 7. ผู้สอนอธิบายเพิ่มเติมว่า อินโฟกราฟิกเป็นที่นิยมแพร่หลายในอินเทอร์เน็ต เพราะสามารถถ่ายทอด ข้อมูลจากการออกแบบที่มีศิลปะอย่างแท้จริง เป็นภาษาสากลที่สามารถเล่าเรื่องราวแม้ว่าดูแค่ภาพ ที่นำเสนอ อินโฟกราฟิกไม่มีขอบเขตและขีดจำกัดในการเล่าเรื่องผ่านภาพ 1. 1. ผู้สอนอธิบายว่า การสร้างอินโฟกราฟิกส์ให้มีประสิทธิภาพ (Designing Effective Infographics) ประกอบด้วย ขั้นสอน (ต่อ) ชั่วโมงที่ 2


1. เน้นที่หัวข้อหลักหัวข้อเดียว (Focus on a single topic) 2. ออกแบบให้เข้าใจง่าย (Keep it simple) 3. ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ (Data is important) 4. แน่ใจว่าข้อเท็จจริงถูกต้อง (Be sure facts are correct) 5. ให้อินโฟกราฟิกเป็นตัวเล่าเรื่อง (Let it tell a story) 6. การออกแบบที่ดีทำ ให้มีประสิทธิภาพ (Good design is effective) 7. ใช้สีที่ดึงดูดความสนใจ (Choose attractive colors) 8. ใช้คำพูดที่กระชับ (Use short texts) 9. ตรวจสอบตัวเลขข้อมูล Check your numbers) 10. ทำไฟล์อินโฟกราฟิกให้เล็ก (Make the file size small) 2. ผู้สอนให้ผู้เรียนหาข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างอินโฟกราฟิกส์ให้มีประสิทธิภาพ (Designing Effective Infographics) เพิ่มเติม และให้ผู้เรียนทำกิจกรรม สิ่งที่ไม่ควรทำในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) พร้อมอธิบายวิธีการทำกิจกรรม คือ ให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-5 เพื่อเขียน สิ่งที่ ไม่ควรทำในการออกแบบอินโฟกราฟิกให้ได้มากที่สุด โดยกำหนดระยะเวลา 20 นาที่ เมื่อครบ กำหนดเวลา 20 นาที กลุ่มใดสามารถเขียนได้มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ 3. ผู้สอนให้เวลาผู้เรียนในการทำกิจกรรม โดยที่ผู้สอนคอยดูแลความเรียบร้อยและคอยให้คำแนะนำ เพิ่มเติม 4. เมื่อครบกำหนดเวลา ผู้สอนให้แต่ละกลุ่มนำเสนอผลงาน โดยให้ผู้เรียนกลุ่มอื่น ๆ ร่วมกันเสนอแนะ แสดงความคิดเห็น และมอบรางวัลให้กลุ่มที่สามารถเขียนสิ่งที่ไม่ควรทำในการออกแบบอินโฟกราฟิก ได้มากที่สุด 5. ผู้สอนสรุปว่า การสร้างอินโฟกราฟิกส์ให้มีประสิทธิภาพ นอกจากกระบวนการที่ดีในการออกแบบ แล้ว ควรคำนึงถึง สิ่งที่ไม่ควรทำในการออกแบบอินโฟกราฟิกด้วย นั่นก็คือ 1. อย่าใช้ข้อมูลมากเกินไป (Don’t use too much text) 2. อย่าทำข้อมูลที่นำเสนอให้ยุ่งยากซับซ้อน (Don’t make confusing data presentation) 3. อย่าใช้สีมากเกินไป (Don’t overuse color) 4. อย่าใส่ตัวเลขมากเกินไป (Don’t place too much numbers) 5. อย่าละเลยข้อมูลที่ไม่สามารถระบุแยกแยะได้ (Don’t leave figures unidentified) ขั้นสรุป


6. อย่าสร้างอินโฟกราฟิกให้น่าเบื่อ (Don’t make it boring) 7. อย่าพิมพ์ผิด (Don’t misuse typography) 8. อย่านำ เสนอข้อมูลที่ผิด (Don’t present wrong information) 9. อย่าเน้นที่การออกแบบ (Don’t focus on design) 10. อย่าใช้แบบเป็นวงกลม (Don’t use a circus layout) 6. ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสอบถามเพิ่มเติม 9. สื่อการเรียนรู้ 1. คลิปวิดีโอ Infographic สุขพอที่พ่อให้ ตอน : เกษตรทฤษฎีใหม่ จากลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=rJedTtbt4Uo&t=220s 2. Slide สื่อการสอน กระบวนการที่ดีในการออกแบบ 3. ใบงานที่ 9 กระบวนการที่ดีในการออกแบบ 4. กิจกรรม สิ่งที่ไม่ควรทำในการออกแบบอินโฟกราฟิก 0 10. การวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ตรวจ ใบงานที่ 9 กระบวนการที่ดี ในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) แบบประเมินผลงาน คุณภาพอยู่ในระดับ ดี ผ่านเกณฑ์ ประเมินผลงานจากการทำกิจกรรม สิ่งที่ไม่ควรทำในการออกแบบอินโฟ กราฟิก (Infographic) แบบประเมินผลงาน คุณภาพอยู่ในระดับ ดี ผ่านเกณฑ์ ประเมินพฤติกรรมกลุ่ม จากการทำกิจกรรม สิ่งที่ไม่ควรทำ ในการออกแบบอินโฟกราฟิก (Infographic) แบบประเมินพฤติกรรมกลุ่ม คุณภาพอยู่ในระดับ ดี ผ่านเกณฑ์


Click to View FlipBook Version