รายงานการวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร จัดทำโดย นางสาวซอบารียะห์ สะแลแม รหัสนักศึกษา406213020 สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2565
ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การ เปลี่ยนแปลงของสาร ผู้วิจัย นางสาวซอบารียะห์ สะแลแม สาขาวิชา วิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะกรรมการที่ปรึกษา …………………………………………กรรมการ (อาจารย์ ปิยศิริ สุนทรนนท์ สินไชย) ประธานหลักสูตร ................................... ...........................กรรมการ (อาจารย์ ปิยศิริ สุนทรนนท์ สินไชย) (อาจารย์ที่ปรึกษา/อาจารย์นิเทศประจ าหลักสูตร ..............................................................กรรมการ (อาจารย์เนาวรัตน์มะลีลาเต๊ะ) อาจารย์ฝ่ ายฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ............................... ...............................กรรมการ (นางสาวคอรีเยาะ ดอเลาะ) ครูพี่เลี้ยง รายงานการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร ปีการศึกษา 2565
ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่5โดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การ เปลี่ยนแปลงของสาร ผู้วิจัย นางสาวซอบารียะห์ สะแลแม สาขาวิชา วิทยาศาสตร์ทั่วไป บทคัดย่อ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร มีวัตถุประสงค์การวิจัย คือเพื่อสร้าง และหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสารตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การ จัดการเรียรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTAD ร่วมด้วยชุดกิจกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร เพื่อศึกษาความพึงพอใจ ต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมด้วยชุดกิจกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านเบอเส้ง จำนวน 17 คน เป็นการสุ่มแบบยกกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้2. แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และ 3. แบบทดสอบความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมด้วยชุดกิจกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมุติฐานโดยใช้ t-test (Dependent) ผลการวิจัยพบว่า (1) การจัดการเรียรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTAD ร่วมด้วยชุดกิจกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ 82/82 (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 (3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับมากสุด ( X = 4.76, S.D. = 0.44 ) คำสำคัญ : การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความพึง พอใจ
ข Title development of academic achievement of grade 5 students using the STAD cooperative learning management technique together with the learning activity set on substance change Author Sobareeyah Salaemae Degree General Science Academic 2022 Abstract development of academic achievement of students in grade 5 By using collaborative learning management, STAD technique, together with a learning activity set on substance change. have research objectives was to create and determine the effectiveness of the learning activity set titled Changes in Substances according to the 80/80 Standard Criteria to compare the preschool and post-school achievement of grade 5 students by using collaborative learning management techniques STAD together with a series of activities on the subject of change of substance To study the satisfaction with the collaborative learning management with STAD technique together with a series of activities on substance change. Of the students in grade 5, the sample group in the research was 17 students studying in grade 5 in the 1st semester of the academic year 2022 at Ban Be Seng School, using Cluster Random Sampling Research instruments 1. STAD cooperative learning management combined with learning activities 2. Science achievement test and 3. STAD cooperative learning satisfaction test. with a series of activities on the change of substances. The statistics used in the data analysis were percentage, mean, standard deviation. and hypothesis testing using t-test (Dependent). together with a series of activities on the subject of change of substance The efficiency of grade 5 students was 82/82 (2) The learning achievement of grade 5 students after school was higher than before. with statistical significance at 0.5 level (3) the students' satisfaction with the cooperative learning management STAD technique together with the learning activities set about the change of substance of grade 5 students at the highest level (X = 4.76, S.D. = 0.44) Keywords: cooperative learning management, STAD technique, learning activities set achievement, satisfaction
ค กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี เนื่องจากได้รับความกรุณาอย่างสูงจาก อาจารย์ปิยศิริ สุนทรนนทร์ สินไชย อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัยที่กรุณาให้คำแนะนํา คำปรึกษา ตลอดจนปรับปรุงแก้ไข ข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วย ความเอาใจใส่อย่างดียิ่ง ผู้วิจัยตระหนักถึงความตั้งใจจริงและความทุ่มเทของอาจารย์ และขอกราบขอบคุณเป็น อย่างสูงไว้ณ ที่นี้ ขอขอบคุณโรงเรียนบ้านเบอเส้ง จังหวัดยะลา ที่ได้ให้ความร่วมมือในการวิจัยในครั้งนี้ และขอขอบคุณ คณะครูและนักเรียนโรงเรียนบ้านเบอเส้ง ที่ให้ความร่วมมือ อนึ่งผู้วิจัยหวังว่างานวิจัยฉบับนี้จะมีประโยชน์อยู่ไม่ น้อย จึงขอมอบส่วนดีทั้งหมดที่มีให้แก้อาจารย์ทุกท่านที่ได้ให้ความรู้ ทำให้ผลงานวิจัยเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ เกี่ยวข้อง ขอขอบคุณ นางสาวคอรีเยาะ ดอเลาะ ครูพี่เลี้ยง และอาจารย์ปิยศิริ สุนทรนนท์ สินไชย อาจารย์ประจำ หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร ผู้ทรงคุณวุฒิที่ กรุณาให้คำแนะนํา และความอนุเคราะห์ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการทำวิจัย อนึ่งผู้วิจัยหวังว่างานวิจัยฉบับนี้จะมีประโยชน์และคุณค่า และขอขอบคุณทุกท่านที่เกี่ยวข้องส่งเสริมให้ ผู้วิจัยได้มีโอกาสได้ศึกษา ทำให้ผู้วิจัยมีโอกาสทำงานวิจัยฉบับนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีสำหรับข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่ อาจจะเกิดขึ้นนั้น ผู้วิจัยขอน้อมรับ และยินดีที่จะรับฟังคำแนะนําจากทุกท่านที่เข้ามาศึกษา เพื่อเป็นประโยชน์ใน การพัฒนางานวิจัยต่อไป
ง สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ข สารบัญ ค สารบัญตาราง ง บทที่ 1 บทนำ 1 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญ 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1 1.3 ขอบเขตของการวิจัย 1 1.4 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 2 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ 2 บทที่ 2 เอกสารและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2.1.1 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD 5 2.1.1.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 5 2.1.1.2 องค์ประกอบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 6 2.1.1.3 ลักษณะการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 7 2.1.1.4 ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 8 2.1.1.5 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD เทคนิค STAD 10 2.1.1.6 ประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค STAD 11 2.1.2 ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 2.1.2.1 ความหมายของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 12 2.1.2.2 ประเภทของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 13 2.1.2.3 องค์ประกอบของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 15 2.1.2.4 ประโยชน์ของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 16 2.1.2.5 ขั้นตอนการสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 17 2.1.3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1.3.1 ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 20 2.1.3.2 จุดมุ่งหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ 20 2.1.3.3 ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 21 2.1.3.4 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 21 2.1.4 ความพึงพอใจ 2.1.4.1 ความหมายของความพึงพอใจ 23
จ บทที่ 3 3.1 กลุ่มเป้าหมาย 24 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 24 3.3 การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ 24 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 28 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล 29 3.5 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 30 บทที่ 4 4.1 การสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของ สารตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 33 4.1.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามเพศ 33 4.1.2 การหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร ตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 33 4.2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของการจัดการเรียรู้ แบบร่วมมือเทคนิคSTAD ร่วมด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของ สาร 33 4.3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการการจัดการเรียรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTAD ร่วม ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร 34 บทที่ 5 5.1 สรุปผลการวิจัย 35 5.2 อภิปรายผลการวิจัย 35 5.3 ข้อเสนอแนะ 37 บรรณานุกรม 38 ภาคผนวก ภาคผนวก ก ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 41 ภาคผนวก ข แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD 82 ภาคผนวก ค คุณภาพของเครื่องมือ 107 ประวัติผู้วิจัย 111
1 บทที่1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญ การจัดการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์มีเป้าหมายสำคัญดังนี้ เพื่อให้เข้าใจหลักการ ทฤษฎีที่เป็นพื้นฐานใน วิทยาศาสตร์ เข้าใจขอบเขต ธรรมชาติ และข้อจำกัดของวิทยาศาสตร์ มีทักษะสำคัญในการศึกษาค้นคว้า และ คิดค้นทางวิทยาศาสตร์ พัฒนากระบวนการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหามีทักษะในการสื่อสาร ตระหนักถึง ความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์ และสภาพแวดล้อม เพื่อนำความรู้ความเข้าใจในเรื่อง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์และเพื่อให้เป็นคนมีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) ถึงแม้ว่าการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในประเทศมีเป้าหมายดังกล่าวมาข้างต้น แต่ สภาพการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นมักจะมีเป้าหมายสำคัญเพื่อสอบแข่งขันเข้าเรียนต่อใน โรงเรียนที่มีชื่อเสียง หรือเตรียมสอบเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ดังนั้นนักเรียนส่วนใหญ่จึงเข้าใจว่าการ เรียนวิทยาศาสตร์ไม่ต่างกับการเรียนเนื้อหาความรู้โดยการท่องจำเพื่อให้ได้ผลการเรียนที่ดีการจัดการเรียนรู้ ดังกล่าวจึงไม่ส่งเสริมการคิดอย่างมีเหตุผล และไม่ส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา(สถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์ , 2554) ดังนั้นการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมีความเข้าใจในแนวคิดดังกล่าวจึงเป็น เป้าหมายที่สำคัญ การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นแนวการจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียน สร้างองค์ความรู้ใหม่โดย การใช้กระบวนการคิด กระบวนการกลุ่ม และให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์และ มีส่วนร่วมในการเรียนสามารถนำความรู้ ไปประยุกต์ใช้ได้ โดยผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวกจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ผู้เรียน (พิมพันธ์ เดชะ คุปต์, 2550; กระทรวงศึกษาธิการ 2551) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD เป็นรูปแบบการสอนอย่างหนึ่งที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยมี วิธีการจัดการเรียนการสอนที่ผู้เรียนได้ใช้ความรู้ความสามารถทำกิจกรรมแก้ปัญหาร่วมกันโดยช่วยเหลือซึ่งกันและ กันตลอดจนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย เข้าใจในเนื้อหาที่เรียน (สุรชัย ศรีวรชัย และคณะ ,2560) ซึ่งข้อดีของเทคนิค STAD เป็นรูปแบบการสอนที่ทำให้นักเรียนมีความเอาใจใส่รับผิดชอบตนเองและกลุ่ม ร่วมกับเพื่อนสมาชิกส่งเสริมให้ผู้เรียนที่มีความสามารถต่างกันได้ร่วมมือกันเรียนรู้ ส่งเสริมให้ผู้เรียนผลัดกันเป็น ผู้นำได้ฝึกและเรียนรู้ทักษะทางสังคม นักเรียนมีความตื่นเต้นสนุกสนานกับการเรียนรู้ (สุวิทย์ มูลคำและอรทัย มูล คำ, 2552) และยังพบว่าการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วิทยาศาสตร์และทักษะการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียนได้ซึ่งสอดคล้องกับกับงานวิจัยของ พรทิพย์ เมืองแก้ว และคณะ (2553) ชุดกิจกรรมเป็นนวัตกรรมประเภทหนึ่งที่ครูผู้สอนใช้ในการประกอบการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดย นักเรียนสามารถศึกษาสื่อต่าง ๆ และเป็นรูปแบบของการสื่อสารระหว่างครูผู้สอนกับนักเรียน ซึ่งประกอบไปด้วย คำแนะนำให้นักเรียนทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างมีขั้นตอนและเป็นระบบชัดเจน อีกทั้งกิจกรรมยังเน้นการฝึกทักษะ
2 กระบวนการคิดวิเคราะห์ เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาด้านความคิดซึ่งมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต (กรม วิชาการ, 2546 อ้างถึงใน อริยาภรณ์ขุนปักษี, 2561 : บทนำ) ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ อนุวัฒน์ เดชไธสง (2553) กล่าวถึงชุดกิจกรรม ไว้ว่าเป็นสื่อการเรียนการสอนอย่างหนึ่งที่เป็นการนำเอาสื่อการเรียนรู้หลาย ๆ อย่าง มาใช้ให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่ประกอบด้วยคู่มือการใช้กิจกรรมการเรียนการสอน แผนการจัดการเรียนรู้ใบ กิจกรรม แบบฝึกหัดและสื่อประกอบการเรียน เพื่อช่วยให้นักเรียนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ให้ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลที่กล่าวมานี้ ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมด้วยชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้วิชา วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เป็นการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงขึ้น นอกจากนี้ยังเป็น การพัฒนาการปฏิบัติงานของครูผู้สอน รวมทั้งสามารถนำรูปแบบการเรียนรู้ไปใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ในระดับชั้นอื่นๆ อีกด้วย 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสารตามเกณฑ์ มาตรฐาน 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTAD ร่วมด้วยชุดกิจกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมด้วยชุดกิจกรรม เรื่อง การ เปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 1.3 ขอบเขตของการวิจัย 1.3.1 กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมาย เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านเบอเส้ง อำเภอเมือง จังหวัดยะลา จำนวน 17 คน 1.3.2 ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรที่ศึกษาในงานวิจัยมีดังนี้ 1. ตัวแปรต้น คือการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTAD ร่วมด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การ เปลี่ยนแปลงของสาร 2. ตัวแปรตาม คือ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 1.3.3 ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา ระยะเวลาที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ใช้เวลาทั้งสิ้น จำนวน 10 ชั่วโมง มี แผนการจัดการเรียนรูทั้งหมด 2 แผน 1.3.4 สถานที่ใช้ในการวิจัย
3 โรงเรียนบ้านเบอเส้ง อำเภอเมือง จังหวัดยะลา 1.4 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 1. ทำให้ทราบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร 2. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุด กิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร 3. เป็นแนวทางสำหรับครูและผู้ที่สนใจในการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD หมายถึง วิธีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นหลัก โดยให้ ผู้เรียน เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยผู้เรียนที่มีความสามารถทีแตกต่างกัน เพื่อให้ทุกคนมี ส่วนร่วมในการเรียนรู้โดยมีขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่1 ขั้นเตรียมเนื้อหา สำหรับขั้นแรกครูผู้สอนจะต้องจัดเตรียมเนื้อหาสาระหรือเรื่องราวที่จะสอน โดยจะต้องเป็นเนื้อหาที่ เหมาะสมกับการเรียนรู้แบบกลุ่ม นอกจากนี้ยังต้องจัดเตรียมแบบทดสอบย่อยสำหรับการทดสอบนักเรียนเป็น รายบุคคล เพื่อใช้เป็นผลคะแนนในการพิจารณาทั้งรายบุคคลและรายกลุ่มอีกด้วย ขั้นที่ 2 ขั้นจัดกลุ่มนักเรียน ขั้นนี้ครูผู้สอนจะต้องจัดกลุ่มนักเรียน โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มละ 4 คน โดยแบ่งเป็นนักเรียนที่มี ความสามารถทางการเรียนดี ปานกลาง และ ต่ำ ในอัตรา 1:2:1 โดยดูจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนใน ชั้นเรียนเป็นหลัก ซึ่งเมื่อให้นักเรียนจับกลุ่มแล้ว ครูผู้สอนจะต้องวางกติกาและกำชับให้นักเรียนต้องรับผิดชอบและ ช่วยเหลือกันภายในกลุ่ม ซึ่งจะมีผลต่อการพิจารณาคะแนนของกลุ่ม ขั้นที่ 3 ขั้นการเรียนรู้ ขั้นนี้จะเป็นขั้นของการดำเนินการจัดการเรียนรู้ โดยครูผู้สอนจะแนะวิธีการเรียนรู้ให้กับนักเรียน ซึ่ง นักเรียนจะต้องช่วยเหลือเพื่อนในกลุ่มโดยแบ่งภาระหน้าที่ซึ่งกันและกัน เพื่อให้กิจกรรมกลุ่มดำเนินไปได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ขั้นที่ 4 ขั้นทดสอบย่อย หลังจากเรียนผ่านพ้นไปแล้วนักเรียนจะต้องทำแบบทดสอบเป็นรายบุคคล และไม่อนุญาตให้ช่วยเหลือกัน ซึ่งเมื่อทดสอบเสร็จสิ้นแล้ว ครูผู้สอนจะต้องจัดทำคะแนนการพัฒนา ทั้งรายสมาชิกและรายกลุ่มด้วย ขั้นที่ 5 การรับรองผลงานและเผยแพร่ชื่อเสียงของกลุ่ม
4 คือขั้นของการนำคะแนนการพัฒนาของกลุ่มไปเทียบเกณฑ์ เพื่อหาระดับคุณภาพ และเป็นการประกาศ ผลงานของกลุ่มที่ได้คะแนนสูง เพื่อรับรองและยกย่องชมเชยในรูปแบบต่าง ๆ 2. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้หมายถึง ชุดการเรียนการสอนที่มีระบบ ขั้นตอน และสื่อประสมที่สร้างขึ้นมา เพื่อให้นักเรียนได้มีความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนมากขึ้น โดยชุดกิจกรรมก็จะมีความแตกต่างกันไปตาม วัตถุประสงค์ของการใช้งาน และตามบริบทของนักเรียน ซึ่งครูผู้สอนมีหน้าที่ออกแบบ และปรับใช้ชุดกิจกรรมให้ เหมาะสมกับช่วงสถานการณ์ในปัจจุบัน ทำให้นักเรียนสามารถนำชุดกิจกรรมไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อ นำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีและสูงขึ้นต่อไปได้ 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ความเข้าใจ ความสามารถและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ของผู้เรียน โดยแบ่งองค์ประกอบการวัดตามแนวคิดของ Bloom วัดพฤติกรรมการเรียนรู้ซึ่งในการวิจัยนี้ผู้วิจัย วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้แบบทดสอบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ นำมาใช้วัดก่อนและหลังเรียน เนื้อหา เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ซึ่งวัดผลโดยใช้คะแนนพัฒนาการ
5 บทที่2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 เอกสารและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2.1.1 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD 2.1.1.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2.1.1.2 องค์ประกอบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2.1.1.3 ลักษณะการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2.1.1.4 ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD 2.1.1.5 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD 2.1.1.6 ประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค STAD 2.1.2 ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 2.1.2.1 ความหมายของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 2.1.2.2 ประเภทของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 2.1.2.3 องค์ประกอบของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 2.1.2.4 ประโยชน์ของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 2.1.2.5 ขั้นตอนการสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 2.1.3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1.3.1 ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1.3.2 จุดมุ่งหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ 2.1.3.3 ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1.3.4 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1.4 ความพึงพอใจ 2.1.4.1 ความหมายของความพึงพอใจ 2.1 เอกสารและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2.1.1 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD 2.1.1.1 ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือ การเรียนแบบร่วมมือ เป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนอย่างหนึ่งที่มีใช้กันอย่างแพร่หลาย เป็นวิธีที่เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง โดยที่ผู้วิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับการเรียนแบบร่วมมือ ซึ่งได้มีผู้ให้ ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือมากมาย ดังนี้
6 อาภรณ์ ใจเที่ยง, 2550 (อ้างถึงใน อทิติยา สวยรูป, 2556) ได้กล่าวว่า วิชาการให้ ความหมายไว้หลายท่าน ดังนี้ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 ) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือหรือแบบมีส่วน ร่วม หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถต่างกันได้ร่วมมือกันทำงานกลุ่มด้วยความ ตั้งใจและเต็มใจรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ในกลุ่มของตน ทำให้งานของกลุ่มดำเนินไปสู่เป้าหมายของงานได้ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือหรือแบบมีส่วนร่วม หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถต่างกัน ได้ร่วมมือกันทำงานกลุ่มด้วยความตั้งใจ และเต็มใจรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ในกลุ่มของตน ทำให้งานของกลุ่มดำเนินไปสู่เป้าหมายของงานได้ ทิศนา แขมมณี (2552) ได้ให้ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือว่าเป็นการเรียนรู้แบบ กลุ่มย่อยประมาณ 3-6คน โดยสมาชิกภายในกลุ่มมีความสามารถทางการเรียนที่แตกต่างกันช่วยกันเรียนรู้เพื่อ เป้าหมายของกลุ่ม ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึงการเรียนที่ผู้สอนแบ่งผู้เรียนใน การเรียนเป็นกลุ่มย่อย จำนวนในแต่ละกลุ่มเท่ากัน โดยในแต่ละกลุ่มจะต้องมีผู้เรียนที่มีความสามารถที่แตกต่างกัน เพื่อร่วมมือกันและทำให้กลุ่มของตัวเองประสบความสำเร็จ 2.1.1.2 องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ได้ดังนี้ จอห์นสันและจอห์นสัน (Johnson and Johnson, 1987 อ้างใน อทิติยา สวยรูป(2556)องค์ประกอบในการให้ ผู้เรียนทำงานกลุ่ม ดังข้อต่อไปนี้ 1. มีการพึ่งพาอาศัยกัน (Positive Interdependence) หมายถึง สมาชิกในกลุ่มมี เป้าหมายร่วมกัน มีส่วนรับความสำเร็จร่วมกัน ใช้วัสดุอุปกรณ์ร่วมกัน มีบทบาทหน้าที่ ทุกคนทั่วกัน ทุกคนมี ความรู้สึกว่างานจะสำเร็จได้ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน 2. มีปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดในเชิงสร้างสรรค์ (Face to Face Promotive Interaction) หมายถึง สมาชิกกลุ่มได้ทำกิจกรรมอย่างใกล้ชิด เช่น แลกเปลี่ยนความ คิดเห็น อธิบายความรู้แก่กัน ถามคำถาม ตอบคำถามกันและกัน ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกัน 3. มีการตรวจสอบความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน (Individual Accountability) เป็นหน้าที่ของผู้สอนที่จะต้องตรวจสอบว่า สมาชิกทุกคนมีความรับผิดชอบต่องานกลุ่ม หรือไม่ มากน้อยเพียงใด เช่น การสุ่มถามสมาชิกในกลุ่ม สังเกตและบันทึกการทำงานกลุ่มให้ผู้เรียนอธิบายสิ่งที่ตนเรียนรู้ให้เพื่อนฟัง ทดสอบรายบุคคล เป็นต้น 4. มีการฝึกทักษะการช่วยเหลือกันทำงานและทักษะการทำงานกลุ่มย่อย (Interdependence and Small Groups Skills) ผู้เรียนควรได้ฝึกทักษะที่จะช่วยให้งานกลุ่มประสบความสำเร็จ เช่น ทักษะการสื่อสาร การยอมรับและช่วยเหลือกัน การวิจารณ์ความคิดเห็นโดยไม่วิจารณ์บุคคล การแก้ปัญหา
7 ความขัดแย้ง การให้ความช่วยเหลือ และการเอาใจใส่ต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน การทำความรู้จักและไว้วางใจ ผู้อื่น เป็นต้น 5. มีการฝึกกระบวนการกลุ่ม (Group Process) สมาชิกต้องรับผิดชอบต่อการทำงาน ของกลุ่ม ต้องสามารถประเมินการทำงานของกลุ่มได้ว่าประสบผลสำเร็จมากน้อย เพียงใดเพราะเหตุใด ต้องแก้ไข ปัญหาที่ใด และอย่างไร เพื่อให้การทำงานกลุ่มมีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม เป็นการฝึกกระบวนการกลุ่มอย่างเป็น กระบวนการ จากองค์ประกอบสำคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ จึงสรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือ นั้นมี องค์ประกอบ 5 ประการด้วยกัน คือ 1. มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โดยสมาชิกแต่ละคนมีเป้าหมายในการทำงานกลุ่ม ร่วมกัน ซึ่งจะต้องพึงพาอาศัยซึ่งกันและกันเพื่อความสำเร็จของการทำงานกลุ่ม 2. มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อให้สมาชิกในกลุ่มมีความรู้สึกที่ดีต่อ กัน 3. สมาชิกแต่ละคนจะต้องมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4. มีการใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มย่อย ทักษะระหว่างบุคคล และทักษะการทำงานกลุ่ม ย่อย นักเรียนควรได้รับการฝึกฝนทักษะเหล่านี้เสียก่อน เพราะเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้การทำงานกลุ่มประสบ ผลสำเร็จ 5. มีการใช้กระบวนการกลุ่ม ซึ่งเป็นกระบวนการทำงานที่มีขั้นตอนหรือแผนการ ดำเนินงานที่จะช่วยให้ การดำเนินงานกลุ่มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 2.1.1.3 ลักษณะของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550) ได้กล่าวถึง การจัดกิจกรรมแบบร่วมแรงร่วมใจว่ามีลักษณะดังนี้ 1. มีการทำงานกลุ่มร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์ภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม 2. สมาชิกในกลุ่มมีจำนวนไม่ควรเกิน 6 คน 3. สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกันเพื่อช่วยเหลือกัน 4. สมาชิกในกลุ่มต่างมีบทบาทรับผิดชอบในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เช่น - เป็นผู้นำกลุ่ม (Leader) - เป็นผู้อธิบาย (Explainer) - เป็นผู้จดบันทึก (Recorder) - เป็นผู้ตรวจสอบ (Checker) - เป็นผู้สังเกตการณ์ (Observer) - เป็นผู้ให้กำลังใจ (Encourager) ฯลฯ17
8 สมาชิกในกลุ่มมีความรับผิดชอบร่วมกัน ยึดหลักว่า “ความสำเร็จของแต่ละคน คือ ความสำเร็จของกลุ่ม ความสำเร็จของกลุ่ม คือ ความสำเร็จของทุกคน” วัชรา เล่าเรียนดี (2555 อ้างถึงใน พัชรี นาคผง, 2562) ได้สรุปลักษณะของการจัดการ เรียนการสอนด้วยวิธีสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือกันไม่ใช่การสอนโดยให้นักเรียน เข้ากลุ่มกันเรียนรู้แบบปกติ ที่ครูใช้เป็นประจำที่นักเรียนเข้ากลุ่มกันด้วยความสมัครใจ แต่เป็นการเรียนรู้ ร่วมกัน อย่างจริงจังของสมาชิกกลุ่มทุกคนที่ครูเป็นผู้จัดกลุ่มให้ เป็นการมุ่งส่งเสริมพัฒนาทักษะทางสังคมและพฤติกรรม การทำงานกลุ่มที่ช่วยเหลือพึ่งพาแนะนำซึ่งกันและกันจนงานบรรลุผลสำเร็จ ครูต้องติดตามดูแลการปฏิบัติงานกลุ่ม ของนักเรียนตลอดเวลา ให้ทุกคนรับผิดชอบต่อผลงานของตนเองและของกลุ่ม ทุกคนต้องมีการแลกเปลี่ยนความ คิดเห็น ช่วยเหลือพึ่งพากัน ยอมรับกันและกัน รวมทั้งช่วยเหลือเพื่อนสมาชิกให้สามารถเรียนรู้ได้ตามวัตถุประสงค์ ที่กำหนด จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่าลักษณะของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือมีลักษณะดังนี้ คือ เป็นการจัดการเรียนที่นักเรียนทำงานร่วมกันโดยที่ครูเป็นผู้จัดกลุ่มให้ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะต้องมีสมาชิกที่มีความรู้ ความสามารถแตกต่างกันไป ทำงานที่รับมอบหมายร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อให้สำเร็จตามจุดมุ่งหมายที่ วางไว้ และสมาชิกทุกคนในกลุ่มมีปฏิสัมพันธ์กัน 2.1.1.4 ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD การจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค STAD ได้มีผู้ให้ความหมายไว้ดังนี้ สลาวิน (Slavin. 1989 อ้างถึงใน จิรากร สำเร็จ. 2551) กล่าวถึงรูปแบบการสอนแบบ กลุ่มสัมฤทธิ์ไว้ว่า เป็นการจัดสมาชิกกลุ่มละ 4 – 5 คน แบบคละความสามารถด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ เพศ โดยครูจะทำการเสนอบทเรียนให้นักเรียนทั้งชั้นก่อน แล้วให้แต่ละกลุ่มทำงานตามที่กำหนดไว้ใน แผนการ สอนเมื่อสมาชิกกลุ่มช่วยกันทำแบบฝึกหัดและทบทวนบทเรียนที่เรียนจบแล้ว ครูจะให้นักเรียนทุกคน ทำ แบบทดสอบประมาณ 15 – 20 นาที คะแนนที่ได้จากการทดสอบจะถูกแปลงเป็นคะแนนของแต่ละกลุ่ม ที่เรียกว่า กลุ่มสัมฤทธิ์ (Achievement Division) สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ (2546) กล่าววา การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD หมายถึง การเรียนรู้แบบร่วมมืออีกรูปแบบหนึ่งคล้ายกันกับเทคนิค TGT ที่แบ่งผู้เรียนที่มีความสามารถ แตกต่างกันออกเป็นกลุ่มเพื่อทำงานร่วมกัน กลุ่มละประมาณ 4-5 คน โดยกำหนดให้สมาชิกของกลุ่มได้เรียนรู้ใน เนื้อหาสาระที่ผู้สอนจัดเตรียมไว้ แล้วทำการทดสอบความรู้ คะแนนที่ได้จากการทดสอบของ สมาชิกแต่ละคน นำมาบวกเป็นคะแนนของทีม ผู้สอนจะต้องใช้เทคนิคการเสริมแรง เช่น ให้รางวัลคำชมเชย เป็นต้น ดังนั้นสมาชิก กลุ่มจะต้องมีการกำหนดเป้าหมายร่วมกันเพื่อความสำเร็จของกลุ่ม สิริพร ทิพย์คง ได้สรุปการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD (สิริพร ทิพย์คง. 2545 อ้าง ถึงใน ยุรพงษ์ ฉัตรศุภสิริ. 2553) ไว้ว่า Robert Slavin แห่งมหาวิทยาลัย John Hopkins เป็นผู้พัฒนา STAD ขึ้น
9 ซึ่งสามารถนำ STAD มาใช้ในการเรียนการสอนในปัจจุบันได้ โดยใช้หนังสือเรียนวิชา คณิตศาสตร์ที่มีอยู่แล้ว และ ไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรในหนังสือแบบเรียน ครูผู้สอนเพียงแต่เตรียมใบงาน และแบบทดสอบย่อยเท่านั้น ซึ่ง STAD มีองค์ประกอบ 5 ประการ คือ 1. การนำเสนอสิ่งที่ต้องเรียน (Class Presentation) ครูเป็นผู้นำเสนอสิ่งที่นักเรียนต้องไม่ว่าจะ เป็น มโนมติ ทักษะการคิด กระบวนการ โดยครูอาจจะใช้วิธีการสอนแบบบรรยาย สาธิต อธิบาย และแสดงเหตุผล ใช้คำถาม ทดลอง อุปนัย เป็นต้น 2. การทำงานเป็นกลุ่ม (Teams) ครูแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม แต่ละกลุ่มจะประกอบด้วย นักเรียน ประมาณ 4 – 5 คน ที่มีความสามารถแตกต่างกันทั้งเพศชายและเพศหญิง หลังจากที่ครูจัดกลุ่มเสร็จ เรียบร้อยแล้ว ครูต้องชี้แจงให้นักเรียนในแต่ละกลุ่มทราบบทบาทและหน้าที่ของสมาชิกในกลุ่มว่านักเรียนต้อง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เรียนร่วมกัน อภิปรายปัญหาร่วมกัน ตรวจสอบคำตอบของงานที่ได้รับมอบหมาย และ แก้ไขคำตอบร่วมกัน สมาชิกทุกคนในกลุ่มต้องทำงานให้ดีที่สุด เพื่อให้เกิดความรู้ ต้องให้กำลังใจตลอดจน สามารถ ทำงานร่วมกันได้ แล้วครูแจกใบงานให้นักเรียนแต่ละกลุ่มทำ โดยใบงานที่ครูเตรียมมานั้นเป็นคำถามที่สอดคล้อง กับวัตถุประสงค์ของบทเรียน และครูควรบอกนักเรียนว่าใบงานนี้ออกแบบมาเพื่อให้นักเรียนช่วยกัน ตอบคำถาม เป็นการเตรียมตัวสำหรับการทดสอบย่อย ขอให้สมาชิกทุกคนช่วยกันตอบคำถามทุกคำถาม สำหรับการกระตุ้นให้ สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มมีความรับผิดชอบซึ่งกันและกันนั้น มีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้ 2.1 สมาชิกในกลุ่มต้องแน่ใจว่าสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มสามารถตอบคำถามแต่ละข้อได้ อย่างถูกต้อง 2.2 สมาชิกในกลุ่มต้องช่วยกันตอบคำถามทุกข้อให้ได้ โดยไม่ต้องขอความช่วยเหลือจาก เพื่อนนอกกลุ่ม หรือถ้าจำเป็นที่ต้องขอความช่วยเหลือจากครู ก็ให้ขอความช่วยเหลืออย่างน้อยที่สุด 2.3 สมาชิกในกลุ่มต้องแน่ใจว่า สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มสามารถอธิบายคำตอบแต่ละข้อ ได้ 3. การทดสอบย่อย (Quizzes) หลังจากที่นักเรียนในแต่ละกลุ่มทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วครูก็ทำ การทดสอบย่อย โดยให้นักเรียนต่างคนต่างทำแบบทดสอบ เพื่อเป็นการประเมินความรู้ที่นักเรียนได้เรียนมา วิธีการนี้จะช่วยกระตุ้นให้นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อตนเอง 4. คะแนนพัฒนาการของนักเรียนแต่ละคน (Individual Improvement Score) คะแนน พัฒนาการ ของนักเรียนจะเป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียนทำงานหนักมากขึ้นในการทดสอบแต่ละครั้งครูจะมีคะแนน ฐาน (Base Score) ซึ่งเป็นคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนที่ได้จากการทดสอบย่อยที่ผ่านมาก่อนใช้ STAD และคะแนน พัฒนาการของนักเรียนแต่ละคนหาได้จากความแตกต่างระหว่างคะแนนฐาน (คะแนนเฉลี่ยในการทดสอบย่อย ที่ ผ่านมาก่อนการใช้ STAD) กับคะแนนที่นักเรียนสอบได้จากการทดสอบย่อยหลังจากการเรียนแบบร่วมมือ (STAD) ส่วนคะแนนของกลุ่ม (Team Scores) หาได้จากการหาคะแนนเฉลี่ย โดยการรวมคะแนนพัฒนาการ ของนักเรียน ทุกคนในกลุ่ม แล้วหารด้วยจำนวนสมาชิกในกลุ่มแต่ละกลุ่ม
10 5. การรับรองผลงานของกลุ่ม (Team Recognition) เป็นการประกาศคะแนนกลุ่มให้แต่ละกลุ่ม ทราบ พร้อมให้คำชมเชย หรือให้ประกาศนียบัตร หรือให้รางวัลกับกลุ่มที่มีพัฒนาการของกลุ่มสูงสุด และครูควร ชี้แจงกับนักเรียนว่าคะแนนพัฒนาการของนักเรียนแต่ละคนมีความสำคัญเท่าเทียมกับคะแนนที่นักเรียนแต่ ละคน ได้รับจากการทดสอบ ยุรพงษ์ ฉัตรศุภสิริ (2553) กล่าวว่า STAD เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่กำหนดให้ นักเรียนที่มีระดับความสามารถทางการเรียนแตกต่างกัน มาทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มละประมาณ 4 คน มี ระดับสติปัญญาและความสามารถแตกต่างกัน เป็นนักเรียนที่เรียนเก่ง 1 คน ปานกลาง 2 คน และอ่อน 1 คน โดย ครูเป็นผู้กำหนดบทเรียนและงานของกลุ่ม ครูเป็นผู้สอนบทเรียนให้กับนักเรียนทั้งชั้น แล้วให้กลุ่ม ทำงานตามที่ครู กำหนด นักเรียนในกลุ่มช่วยเหลือกัน คนที่เรียนเก่งช่วยเหลือเพื่อนๆ เวลาสอบทุกคนต่างทำข้อสอบของตน จากนั้นครูนำคะแนนของสมาชิกทุกคนภายในกลุ่มมาคิดเป็นคะแนนของกลุ่ม และอาจจัดลำดับคะแนนของทุกกลุ่ม ประกาศให้ทุกคนทราบ ปิยะภรณ์ สาริบูรณ์ (2553) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค STAD เป็นวิธีการเรียน แบบกลุ่มวิธีหนึ่งที่สมาชิกต่างระดับความสามารถจะได้ทำงานร่วมกัน โดยที่ทุกคนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของกลุ่ม นอกจากนี้การเรียนตามวิธีนี้จะเป็นการช่วยเสริมสร้างทักษะทางสังคมให้กับผู้เรียน อันจะส่งผลต่อการปรับ บุคลิกภาพ และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข 2.1.1.5 ขั้นตอนการจัดการเรียนแบบร่วมมือ STAD อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550) กล่าวถึงขั้นตอนการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไว้ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมการ 1.1. ผู้สอนชี้แจงจุดประสงค์ของบทเรียน 1.2. ผู้สอนจัดกลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละประมาณไม่เกิน 6 คน มีสมาชิกที่มี ความสามารถแตกต่างกัน ผู้สอนแนะนำวิธีการทำงานกลุ่มและบทบาทของสมาชิกในกลุ่ม 2. ขั้นสอน 2.1. ผู้สอนนำเข้าสู่บทเรียน บอกปัญหาหรืองานที่ต้องการให้กลุ่มแก้ไขหรือคิดวิเคราะห์ คำตอบ 2.2. ผู้สอนแนะนำแหล่งข้อมูล ค้นคว้า หรือให้ข้อมูลพื้นฐานสำหรับการคิดวิเคราะห์ 2.3. ผู้สอนมอบหมายงานที่กลุ่มต้องทำให้ชัดเจน 3. ขั้นทำกิจกรรมกลุ่ม 3.1. ผู้เรียนร่วมมือกันทำงานตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับ ทุกคนร่วมรับผิดชอบ ร่วมคิด 3.2. ร่วมแสดงความคิดเห็น การจัดกิจกรรในขั้นนี้ ครูควรใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วม แรงร่วม ใจ ที่น่าสนใจและเหมาะสมกับผู้เรียน เช่น การเล่าเรื่องรอบวง มุมสนทนา คู่ตรวจสอบ คู่คิด
11 3.3. ผู้สอนสังเกตการณ์ทำงานของกลุ่ม คอยเป็นผู้อำนวยความสะดวกความกระจ่างใน กรณีที่ผู้เรียนสงสัยต้องการความช่วยเหลือ 4. ขั้นตรวจสอบผลงานและทดสอบ ขั้นนี้ผู้เรียนจะรายงานผลการทำงานกลุ่มผู้สอนและ เพื่อนกลุ่มอื่นอาจซักถามเพื่อให้เกิดความกระจ่างชัดเจน เพื่อเป็นการตรวจสอบผลงานของกลุ่มและรายบุคคล 5. ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลการทำงานกลุ่ม ขั้นนี้ผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันสรุป บทเรียน ผู้สอนควรช่วยเสริมเพิ่มเติมความรู้ ช่วยคิดให้ครบตามเป้าหมายการเรียนที่กำหนดไว้ และช่วยกัน ประเมินผลการทำงานกลุ่มทั้งส่วนที่เด่นและส่วนที่ควรปรับปรุงแก้ไข 2.1.1.6 ประโยชน์การจัดการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค STAD อารี สัณหฉวี (2543 อ้างถึงใน คณิตา นิจจรัลกุล และฉัตรชนก แสงขาว,2554) ได้ กล่าวถึงคุณค่าและประโยชน์ของการเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีต่อนักเรียนมีดังต่อไปนี้ 1. ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น 2. ทำให้นักเรียนมียุทธวิธีในการเรียนที่ดี 3. ทำให้นักเรียนมีความทรงจำดีขึ้น 4 ทำให้นักเรียนมีแรงจูงใจภายในมากขึ้น 5. ทำให้นักเรียนมีทักษะทางสังคมเพิ่มขึ้น 6. ทำให้นักเรียนชอบเรียนวิชาต่างๆ มากขึ้น 7. ทำให้นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อครู 8. ทำให้นักเรียนมีความรู้สึกที่ดีต่อเพื่อนนักเรียนด้วยกันมากขึ้น 9. ทำให้นักเรียนรู้สึกว่าตนเป็นที่ยอมรับและได้รับการสนับสนุนจากเพื่อน 10. ทำให้นักเรียนมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง (มีความภาคภูมิใจในตนเอง) จันทรา ตันติพงศานุรักษ์ (2544 อ้างถึงใน คณิตา นิจจรัลกุล และฉัตรชนก แสงขาว, 2554) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือว่ามีประโยชน์ต่อนักเรียนทั้งในด้านสังคมและ วิชาการดังนี้ 1. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสมาชิก เพราะทุกๆ คนร่วมมือในการทำงานกลุ่ม ทุกๆ คนมีส่วนร่วมเท่าเทียมกัน ทำให้เกิดเจตคติที่ดีต่อการเรียน 2. ส่งเสริมให้สมาชิกทุกคนมีโอกาสคิด พูด แสดงออก แสดงความ คิดเห็นลงมือกระทำ อย่างเท่าเทียมกัน 3. ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เช่น เด็กเก่ง ช่วยเด็กที่ ไม่เก่ง ทำให้เด็ก เก่งภาคภูมิใจ รู้จักสละเวลา ส่วนเด็กอ่อนเกิดความซาบซึ้งในน้ำใจของเพื่อนสมาชิกด้วยกัน
12 4. ทำให้รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น การร่วมคิด การระดมความคิดนำข้อมูลที่ได้มา พิจารณาร่วมกัน เพื่อหาคำตอบที่เหมาะสมที่สุด เป็นการส่งเสริมให้ช่วยคิดหาข้อมูลให้มาก คิดวิเคราะห์และเกิด การตัดสินใจ 5. ส่งเสริมทักษะทางสังคม ทำให้ผู้เรียนรู้จักปรับตัวในการอยู่ร่วมกัน ด้วยมนุษย์สัมพันธ์ ที่ดีต่อกัน เข้าใจกันและกัน 6. ส่งเสริมทักษะการสื่อสาร ทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงขึ้น จากผลดีและประโยชน์ของการเรียนรู้แบบร่วมมือที่รวบรวมมาข้างต้น นั้นชี้ให้เห็นว่าการ เรียนรู้แบบร่วมมือเป็นประโยชน์และส่งผลดีต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและด้านการ พัฒนาทักษะทางสังคมและการอยู่ร่วมกัน ซึ่งทำให้ผู้เรียนรู้จักหน้าที่ของตนและช่วยเหลือเพื่อนสมาชิกด้วยกัน และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดต่อกัน 2.1.3 ชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ 2.1.3.1 ความหมายของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ชุดการสอนหรือชุดการเรียน หมายความว่า Instructional Package หรือ Learning Package เดิมใช้คำว่า “ชุดการสอน” เป็นสื่อที่ครูนำไปใช้ประกอบการสอน แต่ต่อมานักการศึกษาได้เปลี่ยนมาใช้เป็น “ชุด การเรียน” เนื่องจากแนวคิดการจัดการเรียนการสอนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพราะการเรียนรู้ เป็นกิจกรรมของ นักเรียน การสอนเป็นกิจกรรมของครู กิจกรรมของนักเรียนและครูจะต้องการคู่กัน ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยจึงใช้คา ว่า “ชุดกิจกรรม” ซึ่งมีนักการศึกษาหลายท่านที่ได้ให้ความหมายไว้ดังนี้ อรนุช ลิมตศิริ (2556) ได้กล่าวไว้ว่า ชุดการสอนเป็นนาสื่อการสอนหลายชนิดเข้ารวมไว้ ด้วยกัน โดยให้สอดคล้องกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ภาณุวัฒน์ เปรมปรี (2556) ได้กล่าวไว้ว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ หมายถึง ชุดกิจกรรมการ เรียนรู้ ที่ผู้วิจัยสร้างและพัฒนาขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้แต่ละกิจกรรม การเรียนรู้ ประกอบด้วย ชื่อกิจกรรมการเรียนรู้ คำชี้แจง จุดประสงค์การเรียนรู้เวลาที่ใช้เนื้อหาวัสดุ อุปกรณ์กิจกรรม และ แบบฝึกหัดท้ายกิจกรรม สุวธิดา ล้านสา (2558) ได้กล่าวไว้ว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ คือ สื่อประกอบการเรียนการสอน หรือนวัตกรรมการเรียนการสอนหลายอย่างที่ผู้สอนสร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้ซึ่งจัด กิจกรรมไว้ อย่างเป็นระบบในชุดหรือกล่องเดียวกัน ชุดกิจกรรมที่สร้างขึ้นนั้นเป็นชุดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียน ได้มีโอกาสศึกษา ค้นคว้าด้วยตนเองอย่างมีระบบเป็นขั้นตอนเพื่อเป็นการเพิ่มทักษะด้านการเรียนรู้ของ ผู้เรียนเพื่อให้บรรลุ จุดประสงค์การเรียนรู้ของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ได้กำหนดไว้และทำให้ผู้เรียนเกิด ทักษะการคิดแก้ปัญหา การคิด วิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง โดยครูคอยให้คำแนะนา และให้คำปรึกษาเท่านั้น จุรีพร หรรษาวงค์ (2559) ได้กล่าวไว้ว่า ชุดกิจกรรม เป็นวิธีการสอนอย่างหนึ่ง ที่จะช่วยให้ ผู้เรียนได้เกิดทักษะกระบวนการเรียนรู้ ชุดกิจกรรมเป็นนวัตกรรมที่ประมวลเนื้อหา ประสบการณ์ แนวคิด วิธีการ กิจกรรมและสื่อต่างๆ ได้อย่างสอดคล้องกัน จากหลักการและเหตุผลดังกล่าว
13 ทัศนภรณ์ แสงศรีเรือง (2559) ได้กล่าวไว้ว่า ชุดกิจกรรม คือ การวางแผนการผลิตโดยใช้ เทคนิค และวิธีการรวมทั้งการรวบรวมสื่อที่มีความสัมพันธ์สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาในแต่ละหน่วย เพื่อถ่ายทอดความรู้และ ประสบการณ์แก่นักเรียน ช่วยให้นักเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ทางการเรียนรู้ อย่างมีประสิทธิภาพ ธรรมชนก ทองอ่ำ (2559) ได้กล่าวว่า ชุดกิจกรรม เป็นการสอนลักษณะสื่อประสม และนำ กิจกรรมหลายๆ กิจกรรมประกอบกันที่ครูสร้างขึ้น เพื่อใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยมีวัตถุประสงค์ การเรียนรู้ที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามความถนัด ความสนใจของตนเอง นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ เต็มตามศักยภาพ ทำให้นักเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างถาวร อันเนื่องมาจากประสบการณ์หรือการ ฝึกหัด โดยจัดให้สอดคล้องกับเนื้อหาจุดประสงค์และประสบการณ์ต่าง ๆ สรุปได้ว่าชุดกิจกรรม หมายถึง ชุดการเรียนการสอนที่มีระบบ ขั้นตอน และสื่อประสมที่สร้าง ขึ้นมาเพื่อให้นักเรียนได้มีความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนมากขึ้น โดยชุดกิจกรรมก็จะมีความแตกต่างกันไปตาม วัตถุประสงค์ของการใช้งาน และตามบริบทของนักเรียน ซึ่งผู้สอนมีหน้าที่ออกแบบและปรับใช้ชุดกิจกรรมให้ เหมาะสมกับช่วงสถานการณ์ในปัจจุบัน ทำให้ผู้เรียนสามารถนำชุดกิจกรรมไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อ นำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีและสูงขึ้นต่อไปได้ 2.1.3.2 ประเภทของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ชม ภูมิภาค (2528 อ้างถึงใน ธรรญชนก ทองอ่ำ, 2559)กล่าวไว้ว่า ชุดกิจกรรมสามารถ จำแนกประเภทตามลักษณะการใช้งาน ซึ่งได้แบ่งประเภทของชุดกิจกรรม ออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. ชุดกิจกรรมสำหรับประกอบการบรรยาย หรือเรียกอีกอย่างว่า ชุดกิจกรรมสำหรับ ครูผู้สอน เป็นชุดกิจกรรมที่ก าหนดกิจกรรมและสื่อการเรียนให้ครูผู้สอนใช้ประกอบการบรรยายเพื่อเปลี่ยน บทบาทของครูผู้สอนให้พูดน้อยลง และเปิดโอกาสให้นักเรียนร่วมกิจกรรมการเรียนมากขึ้น ชุดกิจกรรมนี้จะมี เนื้อหา เพียงหน่วยเดียว 2. ชุดกิจกรรมแบบกลุ่ม เป็นชุดกิจกรรมแบบที่มุ่งเน้นตัวนักเรียนให้ได้ประกอบกิจกรรม ร่วมกัน และอาจจัดการเรียนในรูปศูนย์การเรียนชุดกิจกรรมแบบกลุ่มจะประกอบด้วยชุดย่อยที่มี จำนวนเท่ากับ จำนวนศูนย์ที่แบ่งไว้ในแต่ละหน่วย ในแต่ละศูนย์จะมีสื่อการเรียนหรือแบบเรียนครบ ชุดตามจำนวนนักเรียนใน ศูนย์กิจกรรมนั้น หรือสื่อการเรียนอาจจะจัดให้นักเรียนทั้งศูนย์ใช้ร่วมกันก็ได้ ผู้ที่จะเรียนจากชุดกิจกรรมแบบ กิจกรรมกลุ่ม อาจจะต้องการความช่วยเหลือจากครูผู้สอนเพียงเล็กน้อยในระยะเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากเคยชินกับ วิธีการใช้แล้ว นักเรียนจะสามารถช่วยเหลือกันได้เอง ระหว่างประกอบกิจกรรมการเรียน หากมีปัญหานักเรียน สามารถซักถามครูผู้สอนได้เสมอ 3. ชุดกิจกรรมรายบุคคล หรือชุดกิจกรรมทางไกล เป็นชุดกิจกรรมที่จัดระบบขึ้น เพื่อให้ นักเรียนเรียนได้ด้วยตนเองตามลำดับขั้นความสามารถของแต่ละบุคคล เมื่อศึกษาจบแล้วจะทำการทดสอบ ประเมินผลความก้าวหน้า และศึกษาชุดอื่นต่อไปตามลำดับ เมื่อมีปัญหานักเรียนจะปรึกษากันเองได้ ครูผู้สอน พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือทันทีในฐานะผู้แนะนำหรือผู้ประสานงานทางการเรียน
14 ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2523 อ้างถึงใน ธรรญชนก ทองอ่ำ, 2559) ได้จำแนกประเภทของ ชุดการสอนหรือชุดกิจกรรม ออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้ 1. ชุดกิจกรรมประกอบการบรรยาย เป็นชุดกิจกรรมที่ก าหนดกิจกรรมและสื่อการสอน ให้ครูผู้สอนใช้ประกอบการสอนแบบบรรยาย เพื่อลดบทบาทของครูผู้สอนให้น้อยลงและเปิดโอกาสให้นักเรียนมี ส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนมากขึ้น ชุดกิจกรรมแบบนี้จะมีเนื้อหาเพียงหน่วยเดียวซึ่งใช้กับนักเรียนทั้งชั้น โดย แบ่งเป็นหัวข้อที่จะบรรยายประกอบกิจกรรมไว้ตามลำดับขั้น สื่อที่ใช้อาจจะเป็นแผนการสอน สไลด์ประกอบเสียง บรรยายในเทป แผนภูมิ แผนภาพ ภาพยนตร์ โทรทัศน์ หรือกิจกรรมกลุ่ม เป็นต้น 2. ชุดกิจกรรมสำหรับกิจกรรมแบบกลุ่ม เป็นชุดกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้นักเรียนได้ประกอบ กิจกรรมร่วมกัน ซึ่งอาจจะจัดกิจกรรมในรูปศูนย์การเรียนหรือกลุ่มกิจกรรม โดยชุดกิจกรรมแต่ละชุด ประกอบด้วย ชุดกิจกรรมย่อยที่มีจำนวนเท่ากับจำนวนศูนย์ที่แบ่งไว้ในแต่ละหน่วยในแต่ละศูนย์ มีสื่อการเรียนหรือบทเรียนครบ ชุดตามจำนวนนักเรียนในศูนย์กิจกรรมนั้น สื่อการเรียนอาจจะจัด ในรูปของรายบุคคลหรือนักเรียนทั้งศูนย์ใช้ ร่วมกันก็ได้ ระหว่างทำกิจกรรมการเรียนหากนักเรียนมีปัญหาสามารถซักถามครูผู้สอนได้เสมอ เมื่อจบการเรียนแต่ ละศูนย์แล้วนักเรียนอาจจะสนใจการเรียนเสริมเพื่อเจาะลึกถึงสิ่งที่เรียนรู้ได้ โดยการศึกษากิจกรรมในศูนย์สำรอง ซึ่งเตรียมไว้สำหรับนักเรียนบางคนหรือบางกลุ่มที่ทำกิจกรรมเสร็จก่อนคนอื่นหรือกลุ่มอื่นจะได้มีกิจกรรมอย่างอื่น ทำเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ได้กว้างและลึก 3. ชุดกิจกรรมรายบุคคล เป็นชุดกิจกรรมที่มุ่งให้นักเรียนสามารถศึกษาหาความรู้ด้วย ตนเองตามความสามารถ และความสามารถของแต่ละบุคคล เมื่อศึกษาเสร็จแล้วก็จะทำการทดสอบ ประเมินผล ความก้าวหน้าและศึกษาชุดอื่นต่อไปตามลำดับ เมื่อมีปัญหานักเรียนสามารถปรึกษากันได้ สำหรับครูผู้สอนจะคอย ให้ความช่วยเหลือในฐานะผู้ประสานงานหรือผู้ชี้แนะแนวทาง เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้และพัฒนาความสามารถ ของตนเอง ชุดกิจกรรมรายบุคคลอาจจะอยู่ในรูปของหน่วยการสอนย่อยหรือ "โมดูล" (Modules) 4. ชุดกิจกรรมทางไกล เป็นชุดกิจกรรมสำหรับนักเรียนที่อยู่ต่างถิ่น ต่างเวลา มุ่งให้ นักเรียนศึกษาได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องมาเข้าชั้นเรียน ประกอบด้วยสื่อสิ่งพิมพ์ รายการวิทยุ กระจายเสียง วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ และการสอนเสริมตามศูนย์บริการการศึกษา เช่น ชุดการสอนทางไกล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ชุดกิจกรรมที่จะส่งเสริมให้นักเรียนเกิดประสบการณ์หรือการเรียนรู้นั้น โรงเรียน จัดเป็น 2 ประเภท ดังนี้ (เอกสารการสอนชุดวิชาระบบการเรียนการสอนมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ,2538 : อ้างถึงใน ธรรญชนก ทองอ่ำ, 2559 ) 1. กิจกรรมในหลักสูตร หมายถึง กิจกรรมการเรียนการสอนที่จัดขึ้นในลักษณะที่มี ส่วน สัมพันธ์บทเรียนตามที่หลักสูตรกำหนดไว้ เพื่อให้นักเรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจในบทเรียน เกิดกระบวนการ ในทางความคิด มีทัศนะคติและค่านิยมในทางที่ดี เป็นต้น โดยทั่วไปกิจกรรมใน หลักสูตรที่จัดขึ้นในห้องเรียนมักมี การวางแผนล่วงหน้า โดยครูผู้สอนอาจให้นักเรียนมีส่วนร่วมด้วยก็ได้ จากนั้นจะนำกิจกรรมที่วางแผนมาปฏิบัติใน
15 ห้องเรียน มีลำดับขั้นตอนเริ่มจากขั้นนำกิจกรรม ขั้นปฏิบัติกิจกรรม และขั้นสรุปกิจกรรม กิจกรรมที่จัดขึ้นใน ห้องเรียนเพื่อการเรียนรู้มีอยู่หลายรูปแบบ เช่น เพลง เกม บทบาทสมมุติเล่านิทานประกอบเรื่อง การบรรยาย การ สาธิต โครงงาน โต้วาที่วีดีโอ การวิเคราะห์จากสถานการณ์และประสบการณ์จริง 2. กิจกรรมเสริมหลักสูตร หมายถึง กิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการเรียนการสอนใน ชั้นเรียนให้ดียิ่งขึ้น เพื่อช่วยพัฒนาความสามารถตลอดจนความสนใจของนักเรียน กิจกรรมเสริม หลักสูตรที่จัดขึ้น ในโรงเรียนมีอยู่หลายชนิด เช่น กิจกรรมเสริมหลักสูตรทางวิชาการ ได้แก่ ชมรมต่าง ๆ วิชัย วงษ์ใหญ่ (2525 อ้างถึงใน ธรรญชนก ทองอ่ำ, 2559) ได้แบ่งชุดกิจกรรมตาม ลักษณะของการใช้ออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. ชุดกิจกรรมสำหรับคำบรรยาย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าชุดกิจกรรมสำหรับครูผู้สอน ใช้เป็นชุดกิจกรรมสำหรับกำหนดกิจกรรมและสื่อการเรียนให้ครูผู้สอนใช้ประกอบคำบรรยาย เพื่อลดบทบาทการ พูดของครูผู้สอนให้น้อยลง และเปิดโอกาสให้นักเรียนร่วมกิจกรรมมากขึ้น ชุดกิจกรรมนี้จะมีเนื้อหาเพียงหน่วย เดียวและใช้กับนักเรียนทั้งชั้น 2. ชุดกิจกรรมสำหรับกิจกรรมกลุ่ม ชุดกิจกรรมนี้มุ่งเน้นให้ตัวนักเรียนได้ประกอบ กิจกรรมร่วมกัน และอาจจัดการเรียนในรูปศูนย์การเรียน ชุดกิจกรรมแบบกลุ่มประกอบด้วยชุดกิจกรรมย่อยที่มี จำนวนเท่ากับจำนวนศูนย์ที่แบ่งไว้ในแต่ละหน่วย ในแต่ละศูนย์มีสื่อการเรียนหรือบทเรียนครบตามจำนวนนักเรียน ในศูนย์กิจกรรมนั้น สื่อการเรียนอาจจัดในรูปของการเรียนรายบุคคลหรือนักเรียนทั้งศูนย์ใช้ร่วมกันได้ ครูผู้สอน อาจจะต้องให้ความช่วยเหลือนักเรียนในระยะเริ่มต้น หลังจากที่นักเรียนเคยชินต่อการใช้แล้ว นักเรียนสามารถ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้เองในระหว่างการทำกิจกรรมการเรียน หากมีปัญหานักเรียนสามารถซักถามครูผู้สอนได้ เสมอ เมื่อจบการเรียนแต่ละศูนย์แล้วนักเรียนอาจจะสนใจการเรียนเสริมเพื่อเจาะลึกถึงสิ่งที่รู้ได้อีกจากศูนย์ส ารอง ที่ครูผู้สอนเตรียมไว้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการไม่เสียเวลาที่จะต้องรอนักเรียนคนอื่น 3. ชุดกิจกรรมรายบุคคล เป็นชุดกิจกรรมที่จัดระบบขั้นตอนเพื่อให้นักเรียนใช้เรียนด้วย ตนเองตามลำดับขั้นตอนความสามารถของแต่ละบุคคล เมื่อศึกษาครบแล้วจะทำการทดสอบ ประเมิน ความก้าวหน้า และศึกษาชุดกิจกรรมอื่นต่อไปตามลำดับ เมื่อมีปัญหานักเรียนสามารถปรึกษากันได้ ครูผู้สอนจะให้ ความช่วยเหลือในฐานะผู้ประสานงานหรือผู้ชี้แนะแนวทางการเรียนด้วยชุดกิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมศักยภาพ การเรียนรู้ของแต่ละบุคคล เพื่อให้นักเรียนพัฒนาความสามารถของตนเอง เต็มศักยภาพ โดยไม่ต้องเสียเวลารอ คอยผู้อื่น ชุดกิจกรรมแบบนี้บางครั้ง เรียกว่า บทเรียนโมดูล 2.1.3.3 องค์ประกอบของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ(อ้างถึงใน ปานลดา เอกนวพุฒิพันธุ์, 2560 ) กล่าวถึงชุด กิจกรรมว่ามีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ คือ 1. คู่มือการใช้ชุดกิจกรรม เป็นคู่มือหรือแผนการสอนสำหรับครูผู้สอนให้ศึกษาและ ปฏิบัติ ตามขั้นตอนต่าง ๆ ซึ่งมีรายละเอียดชี้แจงไว้อย่างชัดเจน
16 2. บัตรคำสั่งหรือบัตรงาน เป็นเอกสารที่บอกให้นักเรียนประกอบกิจกรรมแต่ละอย่าง ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ บรรจุในชุดการเรียนรู้ บัตรคำสั่งหรือบัตรงานจะมีครบตามจำนวนกลุ่มหรือจำนวน นักเรียนซึ่งประกอบด้วย คำอธิบายเรื่องที่จะศึกษา คำสั่งให้นักเรียนประกอบกิจกรรม 3. สาระและสื่อการเรียนประเภทต่างๆ จัดไว้ในรูปของสื่อการสอนที่หลากหลาย แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 3.1 ประเภทเอกสารสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือ วารสาร บทความ ใบความรู้ 3.2 ประเภท โสตทัศนูปกรณ์ เช่น รูปภาพ แผนภาพ แผนภูมิ สไลด์ 4. แบบประเมินผล เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดและประเมินความรู้ด้วยตนเองทั้งก่อนและ หลังเรียนผู้วิจัยสรุปได้ว่าองค์ประกอบของชุดกิจกรรมมีดังนี้ 1. คู่มือการใช้ชุดกิจกรรม เป็นคู่มือที่จัดท าขึ้นเพื่อให้นักเรียนสามารถศึกษา และปฏิบัติ ตามเพื่อให้บรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ 2. บัตรงาน เป็นเอกสารที่บอกให้นักเรียนประกอบกิจกรรมแต่ละอย่าง ตามขั้นตอนทำ กำหนด 3. สื่อการเรียน จัดไว้ในรูปของสื่อการสอนแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทเอกสาร สิ่งพิมพ์ ประเภทโสตทัศนูปกรณ์ 4. แบบประเมินผล เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดและประเมินความรู้ทั้งก่อนและหลังเรียน 2.1.3.4 ประโยชน์ของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ชาญชัย อินทรสนานนท์ (ม.ป.ป. อ้างถึงใน ธรรญชนก ทองอ่ำ, 2559)ได้กล่าวถึงประโยชน์ของชุด กิจกรรมการเรียนรู้หรือชุดการเรียนการสอน ซึ่งสรุปได้ดังนี้ 1. ช่วยสร้างความคิดรวบยอดบางอย่างที่ไม่อาจสร้างได้ด้วยคำพูดหรือคำสอนของครูผู้สอน 2. เร้าความสนใจของนักเรียนเพราะชุดกิจกรรมการเรียนรู้หรือชุดการเรียนการสอนจะเปิดโอกาส ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนด้วยตนเอง 3. เปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนมากขึ้น 4. ช่วยให้กระบวนการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ เนื่องจากชุดกิจกรรมการเรียนรู้หรือชุดการเรียนการ สอนผลิตโดยกลุ่มบุคคลที่มีความรู้ความช านาญหลายด้าน และมีการทดลองว่าได้ผลดีแล้วจึงนำออกมาใช้จริง 5. ทำให้การเรียนของนักเรียนเป็นอิสระจากอารมณ์และบุคลิกของครูผู้สอน และนักเรียน สามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา 6. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้หรือชุดการเรียนการสอนช่วยลดภาระการสอนของครูผู้สอน เพียงแต่ดำเนินการสอนตามคำแนะนำในชุดกิจกรรมการเรียนรู้หรือชุดการเรียนการสอนตามลำดับขั้นตอน ซึ่งแต่ ละขั้นจะมีสื่อและกิจกรรมต่าง ๆ ไว้พร้อม
17 7. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้หรือชุดการเรียนการสอนช่วยตัดปัญหาในเรื่องการสอนวิชาเดียวกัน แต่ มีครูผู้สอนหลายคนและมีวิธีสอนต่างกันทำให้เกิดความแตกต่างในด้านประสิทธิภาพของการสอน 8. มีวัตถุประสงค์ในการใช้ชัดเจนและมีแบบทดสอบสำหรับประเมินผลการเรียนรู้ไว้ครบถ้วน สรุปได้ว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้สามารถอำนวยความสะดวกในการสอนของครูผู้สอนส่งเสริม การศึกษาเป็นรายบุคคลตามความเข้าใจ โดยเน้นความแตกต่างระหว่างบุคคล ทำให้นักเรียนได้พัฒนา ความสามารถตามศักยภาพของแต่ละบุคคล ช่วยให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น นักเรียน สามารถแสดงความคิดเห็นของตนเอง และต้องเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น มีการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ทำให้ นักเรียนมีระเบียบวินัย และความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม 2.1.3.5 ขั้นตอนการสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ มีผู้เสนอแนวคิดในการสร้างชุดการเรียนการเรียนรู้รู้ดังนี้ อัญชนา โพธิพลากร (2545 อ้างถึงใน ปานลดา เอกนวพุฒิพันธุ์, 2560) ได้เสนอขั้นตอนในการ สร้างชุดการเรียนรู้ไว้ ดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 วิเคราะห์เนื้อหา ได้แก่ การกำหนดหน่วย หัวเรื่อง และมโนมติ ขั้นที่ 2 การวางแผน เป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้าโดยกำหนดรายละเอียดไว้ ขั้นที่ 3 การผลิตสื่อการเรียน เป็นการผลิตสื่อประเภทต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในแผน ขั้นที่ 4 หาประสิทธิภาพ เป็นการประเมินคุณภาพของชุดการเรียนการสอน โดยนำไป ทดลองใช้ ปรับปรุงให้มีคุณภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดไว พรทิพย์ แก้วใจดี (2545 อ้างถึงใน ปานลดา เอกนวพุฒิพันธุ์, 2560)ได้เสนอขั้นตอนสำคัญ สำหรับครูในการสร้างชุดการ เรียนรู้ด้วยตนเอง ดังต่อไปนี้ 1.ศึกษาหลักสูตร ตัดสินใจเลือกสิ่งที่จะให้นักเรียนได้ศึกษาแล้วจัดลำดับขั้นเนื้อหาให้ต่อเนื่องจาก ง่ายไปหายาก 2. ประเมินความรู้พื้นฐานประสบการณ์เดิมของนักเรียน 3. เลือกกิจกรรมการเรียนวิธีสอนและสื่อการเรียนให้เหมาะสมกับนักเรียน โดยต้องคำนึงถึงความ พร้อมและความต้องการของนักเรียน 4. กำหนดรูปแบบของการเรียน 5. กำหนดหน้าที่ของผู้ประสานงาน หรืออำนวยความสะดวกในการเรียน 6. สร้างแบบประเมินผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนว่าบรรลุเป้าประสงค์ในการเรียนหรือไม่ สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ (2551) มีขั้นตอนในการสร้างชุดกิจกรรม ดังนี้ 1. กำหนดเรื่องเพื่อทำชุดการสอน อาจกำหนดตามเรื่องในหลักสูตรหรือกำหนดเรื่องใหม่ขึ้นมาได้ การจัดแบ่งเรื่องย่อยจะเกิดขึ้นอยู่กับลักษณะของเนื้อหาและลักษณะการใช้ชุดการสอนนั้น ๆการแบ่งเนื้อเรื่องเพื่อ ทำชุดการสอนในแต่ละระดับย่อมไม่เหมือนกัน
18 2. กำหนดหมวดหมู่เนื้อหาและประสบการณ์ อาจกำหนดเป็นหมวดวิชาหรือบูรณาการแบบสห วิทยาการได้ตามความเหมาะสม 3. จัดเป็นหน่วยการสอน จะแบ่งเป็นกี่หน่วย หน่วยหนึ่ง ๆ จะใช้เวลานานเท่าใดนั้น ควร พิจารณาให้เหมาะสมกับวัยและระดับชั้นนักเรียน 4. กำหนดหัวเรื่อง จัดแบ่งหน่วยการสอนเป็นหัวข้อย่อย ๆ เพื่อสะดวกแก่การเรียนรู้ แต่ละหน่วย ควรประกอบด้วย หัวข้อย่อยหรือประสบการณ์ในการเรียนรู้ประมาณ 4-6 หัวข้อ 5. กำหนดความคิดรวบยอดหรือหลักการ ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าจะให้นักเรียน เกิดความคิดรวบ ยอดหรือสามารถสรุปหลักการได้ 6. กำหนดจุดประสงค์การสอน หมายถึง จุดประสงค์ทั่วไปและจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม รวมทั้ง การกำหนดเกณฑ์การตัดสินผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ให้ชัดเจน 7. กำหนดกิจกรรมการเรียน ต้องกำหนดให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ซึ่งจะเป็น แนวทางในการเลือกและผลิตสื่อการสอน กิจกรรมการเรียน หมายถึง กิจกรรมทุกอย่างที่นักเรียนปฏิบัติ เช่น การ อ่าน การทำกิจกรรมตามบัตรคำสั่ง การตอบคำถาม การเขียนภาพ การทดลอง การเล่นเกม การแสดงความ คิดเห็น การทดสอบ เป็นต้น 8. กำหนดแบบประเมินผล ต้องออกแบบ ประเมินผลให้ตรงกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมโดยใช้ สอบแบบอิงเกณฑ์ (การวัดผลที่ยึดเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในวัตถุประสงค์โดยมีการนำ ไปเปรียบเทียบกับคน อื่น) เพื่อให้นักเรียนทราบว่าหลังจากผ่านกิจกรรมมาเรียบร้อยแล้ว นักเรียนได้ เปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้ตาม วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้มากน้อยเพียงใด 9. เลือกและผลิตสื่อการสอน วัสดุอุปกรณ์และวิธีการที่ครูผู้สอนใช้ถือเป็นสื่อการสอนทั้งสิ้น เมื่อ ผลิตสื่อการสอนในแต่ละหัวเรื่องเรียบร้อยแล้ว ควรจัดสื่อการสอนเหล่านั้นแยกออกเป็นหมวดหมู่ ก่อนนำไปหา ประสิทธิภาพเพื่อหาความตรง ความเที่ยงต่อการนำไปใช้ เราเรียกสื่อการสอนแบบนี้ว่า ชุดการสอน โดยปกติ รูปแบบของชุดการสอนที่ดีควรมีขนาดมาตรฐานเพื่อความสะดวกในการใช้และความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการ เก็บรักษา โดยพิจารณาในด้านต่าง ๆ เช่น การใช้ประโยชน์ ความประหยัด ความคงทนถาวร ความน่าสนใจ ความ ทันสมัยทันเหตุการณ์ ความสวยงาม เป็นต้น 10. สร้างข้อทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนพร้อมทั้งเฉลย การสร้างข้อสอบเพื่อทดสอบก่อนและ หลังเรียน ควรสร้างให้ครอบคลุมเนื้อหาและกิจกรรมที่กำหนดให้เกิดการเรียนรู้โดยพิจารณาจากจุดประสงค์การ เรียนรู้เป็นสำคัญ ข้อสอบไม่ควรมากเกินไปแต่ควรเน้นกรอบความรู้สำคัญในประเด็นหลักมากกว่ารายละเอียด ปลีกย่อยหรือถามเพื่อความจำเพียงอย่างเดียวและเมื่อสร้างเสร็จแล้ว ควรเฉลยไว้ให้พร้อม ก่อนส่งไปหา ประสิทธิภาพของชุดการสอน
19 11. หาประสิทธิภาพของชุดการสอน เมื่อสร้างชุดการสอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องนำ ชุดการสอนนั้นไปทดสอบโดยวิธีการต่าง ๆ ก่อนนำไปใช้จริง เช่น ทดลองใช้เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้ ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบความถูกต้อง ความครอบคลุมและความตรงของเนื้อหา เป็นต้น สุวธิดา ล้านสา (2558) ได้นำเสนอขั้นตอนการสร้างชุดกิจกรรมประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นวิเคราะห์เนื้อหา ได้แก่ การกำหนดหน่วย หัวเรื่อง และมโนคติ 2. ขั้นการวางแผน วางแผนล่วงหน้า กำหนดรายละเอียด กำหนดวัตถุประสงค์ กำหนดกิจกรรม กาหนดแบบประเมิน 3. ขั้นการเลือกและผลิตสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการที่ครูใช้ คือ เป็นสื่อการสอนทั้งสิ้นเมื่อผลิต สื่อการสอนของแต่ละหัวเรื่องแล้ว ก็จัดสื่อการสอนเหล่านั้นไว้ เป็นหมวดหมู่นำไปทดลองหา ประสิทธิภาพ เรียกว่า “ชุดกิจกรรม” 4. ขั้นการหาประสิทธิภาพหาประสิทธิภาพชุดกิจกรรมเพื่อเป็นการประกันว่าชุดกิจกรรมที่สร้าง ขึ้นมีประสิทธิภาพในการสอนผู้สร้างจำต้องกำหนดเกณฑ์ล่วงหน้า โดยคำนึงหลักที่ว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการ ช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนให้บรรลุผล การใช้ชุดกิจกรรม ชุดกิจกรรมที่ได้ปรับปรุงแล้วและมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ สามารถนำไปสอนผู้เรียนได้ตามประเภทของชุด กิจกรรม และตามระดับการศึกษา 5. ขั้นการใช้ชุดกิจกรรม ซึ่งมีขั้นตอนสำคัญ คือ ให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน ขั้นนำเข้าสู่ บทเรียน ขั้นประกอบกิจกรรม ขั้นสรุปผลการเรียน และทำแบบทดสอบหลังเรียนเพื่อดูพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ได้ เปลี่ยนไป การสร้างชุดกิจกรรม ADDIE MODEL เป็นขั้นตอนในการออกแบบการเรียนการสอนรูปแบบ หนึ่ง ประกอบไปด้วย 5 ขั้นดังนี้ (สงกรานต์ ลาพิมล, 2560, 29 อ้างถึงใน Seels Glasgow, 1998) ขั้นที่ 1 ขั้นวิเคราะห์ (Analysis Phase) ในขั้นนี้เป็นการทำความเข้าใจปัญหาการเรียน การสอน เป้าหมายของรูปแบบการสอนและวัตถุประสงค์ที่จะสร้างขึ้นตลอดจนสภาพแวดล้อม การเรียนรู้ และความรู้ พื้นฐานและทักษะของผู้เรียนที่จำเป็นต้องมี โดยพิจารณาจากคำถามเพื่อการวิเคราะห์ ขั้นที่ 2 การออกแบบ (Design Phase) ขั้นตอนการออกแบบประกอบด้วยการสร้างจุดประสงค์ การเรียนรู้ กำหนดเครื่องมือวัดประเมินผล แบบฝึกหัด เนื้อหา วางแผนการสอน และเลือกสื่อการสอน ขั้นตอน การออกแบบควรจะทำอย่างเป็นระบบและมีเฉพาะเจาะจง โดยความเป็นระบบนี้ หมายถึงตรรกะ มีระเบียบแบบ แผนของการจำแนก การพัฒนา และการประเมินแผนยุทธวิธีที่วางไว้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย สำหรับความ เฉพาะเจาะจงหมายถึงแต่ละองค์ประกอบของการออกแบบรูปแบบการสอนจะต้องเอาใจใส่ทุกรายละเอียด ขั้นที่ 3 ขั้นการพัฒนา (Development Phase) ขั้นตอนการพัฒนาคือขั้นที่ผู้ออกแบบสร้างส่วน ต่างๆ ที่ได้ออกแบบไว้ในขั้นของการออกแบบซึ่งครอบคลุมการสร้างเครื่องมือวัดประเมินผล สร้างแบบฝึกหัด สร้าง เนื้อหา และการพัฒนาโปรแกรมสำหรับสื่อการสอน เมื่อเรียบร้อยทำการทดสอบเพื่อหาข้อผิดพลาดเพื่อนำผลไป ปรับปรุงแก้ไข ขั้นที่ 4 ขั้นการนำดำเนินการ (Implementation Phase) ในขั้นตอนการดำเนินการนี้ หมายถึง ขั้นของการสอนโดยอาจจะเป็นรูปแบบชั้นเรียน การฝึกอบรม หรือห้องทดลอง หรือรูปแบบ การเรียนการสอนที่ใช้ คอมพิวเตอร์ โดยจุดมุ่งหมายของขั้นตอนนี้คือการสอนอย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลต้องให้การส่งเสริม ความเข้าใจของผู้เรียนสนับสนุนการเรียนรอบรู้ของผู้เรียนตามวัตถุประสงค์ต่างๆ ที่ตั้งไว้
20 ขั้นที่ 5 ขั้นการประเมินผล (Evaluation Phase) ขั้นการประเมินผลประกอบด้วยสองส่วน คือ การประเมินผลรูปแบบ (Formative) การประเมินผลในภาพรวม (Summative) การประเมินผล รูปแบบคือการ นำเสนอในแต่ละขั้นของ ADDIE Process ซึ่งเป็นการประเมินผลเพื่อพัฒนาและการประเมินผลในภาพรวมจะทำ เมื่อการสอนเสร็จสิ้นเพื่อประเมินผลประสิทธิผลการสอนทั้งหมด ข้อมูลจากการประเมินผลรวมโดยปกติมักจะถูก ใช้เพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับรูปแบบการสอน การศึกษาขั้นตอนการสร้างชุดกิจกรรมผู้วิจัยได้เลือกใช้การสร้างชุดกิจกรรม ADDIE MODEL ของ Glasgow (1998, อ้างถึงใน สงกรานต์ ลาพิมล, 2560, 29) ประกอบไปด้วย 5 ขั้น คือ ขั้นที่1 ขั้นวิเคราะห์ (Analysis Phase) ขั้นที่2 การออกแบบ (Design Phase) ขั้นที่3 ขั้นการพัฒนา (Development Phase) ขั้นที่4 ขั้นการนำดำเนินการ (Implementation Phase) และขั้นที่5 ขั้นการประเมินผล (Evaluation Phase) ในการวิจัย ครั้งนี้ 2.1.3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1.3.1 ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นการแสดงถึงความสามารถของนักเรียนที่ได้จากการเรียนการสอน ซึ่ง ได้มีผู้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ ดังนี้ พัฒนาพงษ์สีกา (2551) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงผลที่เกิดจากการ กระทำของบุคคล ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเนื่องจากการได้รับประสบการณ์โดยการเรียนรู้ด้วยตนเอง หรือจากการเรียนการสอนในชั้นเรียน และสามารถประเมิน หรือวัดประมาณค่าได้จากการทดสอบ หรือการสังเกต พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง วุฒิชัย ดานะ (2553) ได้กล่าววา่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ระดับความรู้ความสามารถ และทักษะที่ได้รับและพัฒนามาจากการเรียนการสอนวิชาต่าง ๆ โดยอาศัยเครื่องมือในการวัดผลหลังจากการเรียน หรือจากการฝึกอบรม ไพโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ได้กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า คือคุณลักษณะรวมถึงความรู้ ความสามารถของบุคคลอันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน หรือมวลประสบการณ์ทั้งปวงที่บุคคลได้รับจากการ เรียนการสอน ทำให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่างๆ ของสมรรถภาพทางสมอง ซึ่งมีจุดมุ่งหมาย เพื่อเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถสมองของบุคคลว่าเรียนแล้วรู้อะไรบ้าง และมีความสามารถด้านใดมาก น้อยเท่าไร ตลอดจนผลที่เกิดขึ้นจากการเรียนการฝึกฝนหรือประสบการณ์ต่าง ๆ ทั้งในโรงเรียน ที่บ้าน และ สิ่งแวดล้อมอื่นๆ รวมทั้งความรู้สึกค่านิยม จริยธรรมต่าง ๆ ก็เป็นผลมาจากการฝึกฝนด้วย ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ ความสามารถ และพฤติกรรมที่ เปลี่ยนแปลงไปของผู้เรียน หลังจากที่ได้รับการเรียนรู้และพัฒนาจากการการเรียนการสอนในวิชาต่าง ๆ หรือจาก การเรียนด้วยตนเอง ซึ่งสามารถวัดได้จากการทำแบบทดสอบหลังเรียน แบบฝึกหัด เป็นต้น 2.1.3.2 จุดมุ่งหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ กระทรวงศึกษาธิการได้นำเสนอแนวทางการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สามารถสรุปได้ดังนี้
21 1. การวัดต้องสอดคล้องกับตัวชีวัด หรือผลการเรียนรู้เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุง แก้ไข นักเรียนทีไม่ผ่านตัวชีวัด 2. มีขั้นตอนการวัดอย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่เลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะสมดำเนินการ สร้าง เครื่องมือ ดำเนินการวัดผล และนำผลทีได้ไปใช้ตัดสินผลการเรียน จากข้อความข้างต้นสรุปได้ว่า แนวทางการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะต้อง กำหนดสิ่งที่ประเมิน วางแผนการประเมินว่าจะเก็บข้อมูลอะไร โดยวิธีใด ใช้เทคนิคหลาย ๆ ด้าน ที่สามารถวัดให้ครอบคลุม เกณฑ์ที่ใช้ต้องมีความสัมพันธ์กับสิ่งที่วัด เครื่องมือนั้นต้องมีความเที่ยงตรง และมีความเชื่อมั่น วัดให้ตรงกับจุดมุ่งหมาย และปราศจากความลำเอียง สรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายของ การวัดผลสัมฤทธิ์ ประกอบด้วย 2 องค์ประกอบ คือ การวัดด้านการปฏิบัติและการวัดด้านเนื้อหาซึ่ง การวัดด้านเนื้อหา จะมีลักษณะการวัดได้ 2 วิธี คือการสอบแบบปากเปล่าและการสอบแบบให้เขียน ตอบ การวัดทั้ง 2 องค์ประกอบจะทำให้สามารถทราบถึงความรู้ความสามารถและทักษะต่าง ๆ ของ ผู้เรียนว่าอยู่ในระดับใด มากน้อยแค่ไหน 2.1.3.3 ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สมบัติ ท้ายเรือคา (2551) สรุปไว้ดังนี้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดระดับความสามารถของผู้เรียนว่ามีความรู้ความสามารถและทักษะ ในเนื้อหาวิชาที่เรียนไปแล้วมากน้อยเพียงใด บุญชม ศรีสะอาด (2553) สรุปไว้ดังนี้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement Test) หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ความสามารถของบุคคลในด้านวิชาการซึ่งเป็นผลจาก การเรียนรู้ในเนื้อหาสาระและตามจุดประสงค์ของวิชาหรือเนื้อหาที่สอบนั้น โดยทั่วไปจะวัดผลสัมฤทธิ์ ในวิชาต่าง ๆ ที่เรียนในโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาต่าง ๆ จากที่มีผู้กล่าวข้างต้นสรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียยหมายถึง เครื่องมือที่ใช้วัดความสามารถของผู้เรียนจากสิ่งที่ได้เรียนรู้ เพื่อให้ทราบถึงความรู้ความสามารถที่ผู้เรียนได้เรียน มาแล้ว 2.1.3.4 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บุญชม ศรีสะอาด ( 2553 ) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ หมายถึงแบบทดสอบ ที่ใช้วัดความรู้ความสามารถของบุคคลในด้านวิชาการ ซึ่งเป็นผลจากการเรียนรู้ในเนื้อหาสาระและตามจุดประสงค์ ของวิชาหรือเนื้อหาที่สอบนั้น จำแนกเป็น 2 ประเภทคือ 1. แบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Criterion Referenced Test) หมายถึง แบบทดสอบที่สร้าง ขึ้นตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม มีคะแนนจุดตัดหรือคะแนนเกณฑ์สำหรับใช้ตัดสินว่าผู้สอบมีความรู้ตามเกณฑ์ที่ กำหนดไว้หรือไม่
22 2. แบบทดสอบอิงกลุ่ม (Norm Referenced Test) หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งสร้าง เพื่อวัดให้ครอบคลุมหลักสูตร สร้างตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร สมนึก ภัททิยธนี ( 2553 ) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง แบบทดสอบที่วัดสมรรถภาพสมองด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับการเรียนรู้ผ่านมาแล้วแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นและแบบทดสอบมาตรฐาน 1. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น ที่นิยมใช้มี 6 แบบ ดังนี้ - ข้อสอบแบบอัตนัยหรือความเรียง (Subjective or Essay Test) เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะ คำถาม แล้วให้นักเรียนเขียนตอบอย่างเสรี เขียนบรรยายตามความรู้ และข้อคิดเห็นของแต่ละคน - ข้อสอบแบบกาถูก–ผิด (True-false Test) เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือก แต่ตัวเลือกดังกล่าวเป็นแบบคงที่และมีความหมายตรงกันข้าม เช่น ถูก - ผิด ใช่ – ไม่ใช่ จริง - ไม่จริง เหมือนกัน - ต่างกัน เป็นต้น - ข้อสอบแบบเติมคำ (Completion Test) เป็นข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยคหรือ ข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์ แล้วให้เติมคำ หรือประโยค หรือข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้นั้นเพื่อให้มีใจความสมบูรณ์ และถูกต้อง - ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ (Short Answer Test) ข้อสอบประเภทนี้คล้ายกับข้อสอบแบบ เติมคำ แต่แตกต่างกันที่ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ เขียนเป็นประโยคคำถามสมบูรณ์(ข้อสอบเติมคำเป็นประโยคหรือ ข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์) แล้วให้ผู้ตอบเป็นคนเขียนตอบคำตอบที่ต้องการจะสั้นและกะทัดรัดได้ใจความสมบูรณ์ ไม่ใช่เป็นการบรรยายแบบข้อสอบอัตนัยหรือความเรียง - ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching Test) เป็นข้อสอบเลือกตอบชนิดหนึ่งโดยมีคำหรือ ข้อความแยกออกจากกันเป็น 2 ชุด แล้วให้ผู้ตอบเลือกจับคู่ว่าแต่ละข้อความในชุดหนึ่ง (ตัวยืน)จะคู่กับคำหรือ ข้อความใดในอีกชุดหนึ่ง (ตัวเลือก) ซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ออกข้อสอบกำหนดไว้ - ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice Test) คำถามแบบเลือกตอบโดยทั่วไปจะ ประกอบด้วย 2 ตอน คือ ตอนนำ หรือคำถาม (Stem) กับตอนเลือก (Choice) ในตอนเลือกนี้จะประกอบด้วย ตัวเลือกที่เป็นคำตอบถูกและตัวเลือกที่เป็นตัวลวง ปกติจะมีคำถามที่กำหนดให้นักเรียนพิจารณา แล้วหาตัวเลือกที่ ถูกต้องมากที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวจากตัวเลือกอื่น ๆและคำถามแบบเลือกตอบที่ดีนิยมใช้ตัวเลือกที่ใกล้เคียงกัน ดู เผิน ๆ จะเห็นว่าทุกตัวเลือกถูกหมดแต่ความจริงมีน้ำหนักถูกมากน้อยต่างกัน จากที่มีผู้กล่าวข้างต้นสรุปได้ว่า ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความสามารถของบุคคล ซึ่งเป็นผลมาจากการเรียนรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอบนั้น ซึ่งใน การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เป็นแบบทดสอบอิงเกณฑ์ และเป็นแบบทดสอบ ที่ครูสร้างขึ้น
23 2.1.4 ความพึงพอใจ 2.1.4.1 ความหมายของความพึงพอใจ ความพึงพอใจ (Satisfaction) เป็นคำที่มีความหมายที่หลากหลาย นักการศึกษาและนักพัฒนา หลักสูตรหลายคนได้ให้ความหมายไว้ดังต่อไปนี้ เสาวภาคย์ ปฐมพฤษ์วงษ์ (2558) ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกหรือทัศนคติ ที่เป็นไปตาม ความคาดหวัง หรือมากกว่าที่คาดหวัง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อได้รีบสิ่งที่ต้องการหรือบรรลุเป้าหมายหากความต้องการหรือ จุดหมายนั้นไม่ได้รีบการตอบสนอง ความพึงพอใจจะลดลงหรือไม่เกิดขึ้น จาริณีอิศรากูร ณ อยุธยา (2559) ความพึงพอใจหมายถึงทัศนคติที่เป็นนามธรรมเกี่ยวกับ จิตใจ อารมณ์ ความรู้สึกที่บุคคลมีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด นอกจากนี้ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกด้านบวกของบุคคลที่มีต่อสิ่งใด สิ่งหนึ่ง อาจเกิดจากความคาดหวังหรือเกิดต่อเมื่อสิ่งนั้นสามารถตอบสนองความต้องการให้แก่บุคคลได้ซึ่งความพึง พอใจที่เกิดขึ้นสามารถเปลี่ยนไปตามค่านิยมหรือประสบการณ์ของตัวบุคคล ชนิดา ทาระเนต์ (2560) ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลที่เป็นความรู้สึกใน ทางบวก ความรู้สึกที่ดีต่อการปฏิบัติกิจกรรม เมื่อได้รับผลสาเร็จหรือผลตอบแทนจากการปฏิบัติ กิจกรรมนั้น ๆ ดาวสวรรค์ รื่นรมย์ (2560) ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกหรือทัศนคติของผู้ใช้บริการ หลัง ได้รับบริการหรือระหว่างการใช้บริการได้บรรลุเป้าหมาย หรือได้รับบริการที่ตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้บริการ คาดหวังหรือดี เกินกว่าความคาดหวัง ซึ่งสังเกตได้จากการแสดงออกทางสายตา คำพูด หรือพฤติกรรมต่างๆ อรศศิพัชร์ ศิริวรรณพร (2560) ความพึงพอใจ หมายถึง การประเมินระหว่างสิ่งที่ผู้บริโภค คาดหวังกับสิ่งที่เขาได้รับ หากผู้บริโภคพบว่าสิ่งที่เขาได้รับซื้อหรือการใช้สินค้าใดๆ ดีกว่าที่เขาคาดหวัง ไว้ผู้บริโภค จะรู้สึกถึงความพึงพอใจ และความพึงพอใจนี้เอง ที่จะทำให้ผู้บริโภคลดความลังเลในการตัดสินใจซื้อลง รวมถึงการ สนับสนุนให้เกิดพฤติกรรมการใช้ซ้ำ และพฤติกรรมการบอกต่อ จากการศึกษาความหมายของความพึงพอใจที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิด หรือเจตคติที่ดีของบุคคลที่มีต่อการทำงานหรือการปฏิบัติกิจกรรมทั้ง ทางบวกและทางลบ ถ้าเป็น ทางบวกก็จะทำให้เกิดผลดีต่อการปฏิบัติงานที่ทำ แต่ถ้าเป็นทางลบก็จะเกิดผลเสียต่อการปฏิบัติงานนั้นได้ การทำ ให้นักเรียนเกิดความพึงพอใจในการเรียนจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ การที่บุคคลจะเรียนรู้หรือมีพัฒนาการและความเจริญงอกงามนั้น บุคคลจะต้องอยู่ในสภาวะพึงพอใจ สุขใจเป็นเบื้องต้นนั่นคือบุคคลต้องได้รับการจูงในทั้งในลักษณะนามธรรมและรูปธรรม
24 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย งานวิจัยเรื่องการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้าน เบอเส้ง ผู้วิจัยได้นำเสนอขั้นตอนการดำเนินการวิจัย ดังนี้ 3.1 กลุ่มเป้าหมาย 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.3 การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.5 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 กลุ่มเป้าหมาย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านเบอเส้ง อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 17 คน 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.2.1 เครื่องมือที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ 3.2.1.1 แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD 3.2.1.2 ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร 3.2.2 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 3.2.2.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งแบบทดสอบที่ใช้นี้ทดสอบทั้งก่อนและหลังเรียน เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ แบบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 3.2.2.2 แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรม เรื่อง การ เปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) จำนวน 10 ข้อ 3.3 การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ 3.3.1 การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD 3.3.1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ละเทคโนโลยี หนังสือเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เล่ม 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
25 3.3.1.2 ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนบ้านเบอเส้ง จังหวัดยะลา กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 วิชาวิทยาศาสตร์ 3.3.1.3 ศึกษาและวิเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี และการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD 3.3.1.4 ศึกษารายละเอียดของเนื้อหา เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 เพื่อนำมาสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ 3.3.1.5 ศึกษาจุดประสงค์การเรียนรู้ รายละเอียดของเนื้อหาเรื่อง 3.3.1.6 การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTAD 3.3.1.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเสนอต่อครูพี่เลี้ยงและอาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยเพื่อ ตรวจสอบความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ เวลาที่ใช้แต่ละแผนจัดการเรียนรู้ เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไข 3.3.1.8 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแล้ว จำนวน 2 ชุด เสนอผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน เพื่อ ประเมินคุณภาพของแผนจัดการเรียนรู้ 3.31.9 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้ปรับปรุงและแก้ไขแล้วไปทดลองสอนจริงกับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 17 คน 3.3.2 การสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ การสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตาม ขั้นตอนดังนี้ 3.3.2.1 ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การ เปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 3.3.2.2 ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ 3.3.2.3 ดำเนินการสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร เพื่อส่งเสริมการ เรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของ สาร ประกอบด้วย 1) การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ได้แก่ การเปลี่ยนสถานะ การละลาย 2) การเปลี่ยนแปลงทาง เคมี 3) การเปลี่ยนแปลงที่ผันกลับได้และการเปลี่ยนแปลงที่ผันกลับไม่ได้ 3.3.2.4 นำชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ที่สร้างเสร็จแล้วให้ อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบ หลังจากได้ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะจากอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว นำชุดกิจกรรม การเรียนรู้ให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ประเมินความคิดเห็นที่มีต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลง ของสาร โดยหาค่าเฉลี่ย และเทียบกับเกณฑ์คุณภาพและความเหมาะสม โดยใช้เกณฑ์แบบประเมินชนิดมาตรา ส่วนประมาณค่า (rating scale) ตามวิธีของลิเคอร์ท (likert scale) ซึ่งมี 5 ระดับ ได้แก่ ให้ 5 คะแนน หมายถึง เหมาะสมมากที่สุด ให้ 4 คะแนน หมายถึง เหมาะสมมาก
26 ให้ 3 คะแนน หมายถึง เหมาะสมปานกลาง ให้ 2 คะแนน หมายถึง เหมาะสมน้อย ให้ 1 คะแนน หมายถึง เหมาะสมน้อยที่สุด เกณฑ์การแปลความหมายค่าเฉลี่ยแบบประเมินคุณภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้มีดังนี้ คะแนนเฉลี่ย 4.51-5.00 หมายถึง เหมาะสมมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถึง เหมาะสมมาก คะแนนเฉลี่ย 2.51-3.50 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.51-2.50 หมายถึง เหมาะสมน้อย คะแนนเฉลี่ย 1.00-1.50 หมายถึง เหมาะสมน้อยที่สุด 3.3.2.5. แก้ไขปรับปรุงชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร เพื่อส่งเสริมการ เรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ทุกรายการตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 3.3.2.6. นำชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ที่ผ่านการปรับปรุงเรียบร้อย แล้วไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดสอบเครื่องมือ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านเบอเส้ง จำนวน 1 ห้อง รวม 17 คน 3.3.2.7 หลังจากนำชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง นำข้อมูลจากการหาประสิทธิภาพ ของกระบวนการ (E1) และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เพื่อหาประสิทธิภาพ ของ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามเกณฑ์มาตรฐานที่ 80/80 3.3.3 การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ สำหรับใช้ก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยชุด กิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีขั้นตอนในการสร้างดังนี้ 3.3.3 1. ศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบในการวัดผลและประเมินผลจากตำราต่างๆที่เกี่ยวกับการ สร้างแบบทดสอบ หนังสือการวัดและประเมินผล เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน 3.3.3.2. ศึกษาผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เพื่อสร้างตารางการวิเคราะห์ พฤติกรรมที่ต้องการวัด ซึ่งประกอบด้วย พฤติกรรมทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ความรู้ความจำ ความเข้าใจ และการนำ ความรู้ไปใช้ 3.3.3.3. สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เรียนใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การ เปลี่ยนแปลงของสาร เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 แบบทดสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ แบบ 4 ตัวเลือก ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และ ผลการเรียนรู้ตามตารางวิเคราะห์พฤติกรรมที่ต้องการวัด จำนวน 25 ข้อ เลือกใช้จำนวน 20 ข้อ
27 3.3.3.4. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขอคำแนะนำในการ ปรับปรุง จำนวน 3 คน โดยตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์การเรียนรู้ความตรงตาม เนื้อหา ความสอดคล้องของพฤติกรรมที่ต้องการวัด และความถูกต้องของการใช้ภาษาโดยกำหนดความคิดเห็น ดังนี้ +1 คือ แน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดได้ตรงตามจุดประสงค์ 0 คือ ไม่แน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดได้ตรงตามจุดประสงค์ -1 คือ แน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดได้ไม่ตรงตามจุดประสงค์ 3.3.3.5. คัดเลือกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จากค่าเฉลี่ยความเห็น ตั้งแต่ 0.5 ขึ้น ไป จึงถือว่าแบบทดสอบนั้นมีความเที่ยงตรง 3.3.3.6. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขแล้วนำไปใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านเบอเส้ง จำนวน 17 คน 3.3.4 การสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ การสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมการ เรียนรู้ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร 3.3.4.1. ศึกษารูปแบบการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ 3.3.4.2. กำหนดโครงสร้างของแบบสอบถามความพึงพอใจ ประกอบด้วย เนื้อหาสาระรูปแบบ ของสื่อ และประโยชน์ที่ได้รับ 3.3.4.3 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรม การเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 10 ข้อ 3.3.4.4. นำแบบวัดความพึงพอใจให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ตรวจสอบความสอดคล้อง (IOC) แล้วนำข้อมูลมาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC (index of Item-objective congruence) (อนุวัติ คูณแก้ว , 2555) ซึ่งใช้เกณฑ์การให้คะแนน คือ +1 คือ แน่ใจว่าข้อคำถามนั้นวัดได้ตรงตามรายการ 0 คือ ไม่แน่ใจว่าข้อคำถามนั้นวัดได้ตรงตามรายการ -1 คือ แน่ใจว่าข้อคำถามนั้นวัดได้ไม่ตรงตามรายการ 3.3.4.5 พิจารณาความเหมาะสมของแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน จากค่าเฉลี่ย ความเห็น ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป จึงถือว่าแบบสอบถามนั้นมีความเที่ยงตรง 3.3.4.6 นำแบบสอบถามมาหาค่าความเชื่อมั่น (reliability) โดยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา ของครอนบัค (cronbach’s alpha coefficient) (Cronbach อ้างถึงใน สุภาเพ็ญ จริยะเศรษฐ์, 2542)
28 3.3.4.7. จัดพิมพ์แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุด กิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้ว จำนวน 10 ข้อ เพื่อนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการ ทดสอบเครื่องมือ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 1 ห้อง รวม 17 คน 3.2.2 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 1. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง การเปลี่ยนแปลงขอสาร เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย 4 ตัวเลือก ทั้งหมด 20 ข้อ ซึ่งแบบทดสอบนี้ใช้ทดสอบทั้งก่อนและหลังเรียน เพื่อ ทดสอบความรู้ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร สำหรับนักเรียนเป็นรายบุคคล โดยมีค่าคะแนนเท่ากับ 20 คะแนน 2. แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมด้วย ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร แบบสอบถามความพึงพอใจเป็นแบบประเมิน 5 ระดับ (Rating Scale) 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.4.1. ผู้วิจัยวิเคราะห์และสำรวจปัญหา ศึกษาสภาพปัญหาของนักเรียนโดยการสัมภาษณ์ ครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสบการณ์และนักเรียน เพื่อวิเคราะห์ให้ได้รายละเอียด และตรงกับสภาพปัญหาจริงที่เกิดในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์มากที่สุด 3.4.2. ศึกษาทฤษฎีที่เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้และเทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ เพื่อวิเคราะห์ และหาแนวทางที่จะนำมาแก้ปัญหาในห้องเรียน 3.4.3. เลือกนวัตกรรมหรือวิธีการในแก้ปัญหา 3.4.4 การสร้างเครื่องมือวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย - แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD - ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร - แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร - แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 3.4.5. นำเครื่องมือที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้วมาใช้ในการเก็บข้อมูลวิจัยกับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านเบอเส้ง อำเภอเมือง จังหวัดยะลา โดยมีลำดับขั้นตอนการเก็บข้อมูลดังนี้ 3.4.5.1 ผู้วิจัยได้ทำการทดสอบความรู้ก่อนเรียน (Pre-test) ด้วยแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 3.4.5.2 ดำเนินการสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุด กิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น โดยจัดกิจกรรมการเรียนการสอนใช้เวลา จำนวน 10 ชั่วโมง
29 3.4.5.3 หลังจากได้จัดการเรียนการสอนครบทั้ง 10 ชั่วโมงแล้ว ผู้วิจัยได้ทำการทดสอบ หลังเรียน (Post-test) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ฉบับเดียวกับที่ใช้ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) 5.4 รวบรวมข้อมูลแล้วนำคะแนนจากชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้เรื่อง การ เปลี่ยนแปลงของสาร แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร มาวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อใช้ ในการสรุปผลการวิจัย 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้นำข้อมูลมาวิเคราะห์ ดังนี้ 3.5.1. หาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 3.5.1.1 นำใบกิจกรรมประจำแต่ละเรื่องในชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เรื่อง การ เปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียนทุกคนมาตรวจและให้คะแนน 3.5.1.2 นำคะแนนของนักเรียนทุกคนที่ได้จาก ใบกิจกรรมประจำแต่ละเรื่องในชุด กิจกรรมการเรียนรู้มาหาค่าเฉลี่ยและคิดค่าร้อยละจากคะแนนเต็มทั้งหมดของทุกกิจกรรม ซึ่งเป็นการหา ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) ของชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 3.5.1.3 เมื่อผู้เรียนเรียนจบทั้งหมด ผู้วิจัยนำคะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบหลัง เรียนมาหาค่าร้อยละจากคะแนนเต็มทั้งหมด ซึ่งเป็นการหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ของชุดกิจกรรมที่ผู้วิจัย สร้างขึ้น 3.5.2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ก่อนเรียนและหลังเรียน ดังนี้ 3.5.2.1 นำคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน มาคำนวณหา ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) 3.5.2.2 วิเคราะห์ข้อมูลหาร้อยละของคะแนนความก้าวหน้าของแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 3.5.2.3 นำคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 มาหาค่าความเชื่อมั่น โดยใช้สูตรของคูเดอร์และริชาร์ดสัน (Kuder and Richardson: KR-20) 3.5.2.4 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการทดสอบค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อ กัน (ค่า t-test dependent sample)
30 3.5.3. การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีการดำเนินการ ตามลำดับดังนี้ 3.5.3.1 นำผลการตอบแบบสอบถามของนักเรียนมาตรวจให้คะแนน โดยบันทึกข้อมูล เป็นรายบุคคล ซึ่งใช้เกณฑ์การให้คะแนนแบบสอบถาม ดังนี้ 5 คะแนน หมายถึง มากที่สุด 4 คะแนน หมายถึง มาก 3 คะแนน หมายถึง ปานกลาง 2 คะแนน หมายถึง น้อย 1 คะแนน หมายถึง น้อยที่สุด 3.4.3.2 นำผลการตอบแบบสอบถามของนักเรียนมาหาค่าเฉลี่ย (x̅) และค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 3.6 สถิติที่ใช้ในการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับการวิจัยครั้งนี้ คือ 3.6.1. สถิติพื้นฐาน มีดังนี้ 3.6.1.1 ค่าร้อยละ ร้อยละ = 3.6.1.2 ค่าเฉลี่ย ̅= Σ เมื่อ x̅แทน ค่าเฉลี่ย X แทน ผลรวมของข้อมูลทั้งหมด N แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด 3.6.1.3 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เมื่อ S.D. แทน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน n แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด ΣX แทน ผลบวกของข้อมูลทุกค่า จำนวนที่ต้องการเปรียบเทียบ จำนวนเต็ม X 100
31 3.6.2. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ 3.6.2.1 การหาความตรงเชิงเนื้อหาทำได้โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบ ( Index of Item Objective Congruence: IOC ) โดยผู้เชี่ยวชาญ IOC = ∑R N เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับลักษณะพฤติกรรม ∑ R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 3.6.2.2 การหาค่าความยากง่าย (Difficulty) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิทยาศาสตร์และแบบวัดความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ โดยใช้สูตรดังนี้ สามารถหาได้จากสูตร เมื่อ P แทน ความยากง่าย RH แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มคะแนนสูง RL แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มคะแนนต่ำ NH แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมดในกลุ่มคะแนนสูง NL แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมดในกลุ่มคะแนนต่ำ 3.6.2.3 การหาค่าอำนาจจำแนก (Discrimination) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิทยาศาสตร์และแบบวัดความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ โดยใช้สูตรดังนี้ เมื่อ r แทน ค่าอำนาจจำแนก RH แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มคะแนนสูง RL แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มคะแนนต่ำ NH แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมดในกลุ่มคะแนนสูง NL แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมดในกลุ่มคะแนนต่ำ
32 3.6.2.4 การค่าหาค่าความเชื่อมัน (Reliability) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทยา ศาสตร์และแบบวัดความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ โดยใช้สูตรของ คูเดอร์-ริชาร์ดสัน สูตร KR-20 ดังนี้ เมื่อ −20แทน ความเที่ยงของแบบทดสอบ K แทน จำนวนข้อสอบ p แทน ความยากง่ายของข้อสอบแต่ละข้อ (สัดส่วนที่ตอบถูก) q แทน สัดส่วนที่ตอบผิด (1-p) S2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวมของแบบทดสอบ 3.6.3. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ตามวัตถุประสงค์การวิจัย 3.6.3.1 คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตรดังนี้ เมื่อ GS(%) คือ คะแนนร้อยละของพัฒนาการผู้เรียน X คือ คะแนนทดสอบก่อนจัดการเรียนรู้แบบ Small Group Discussion Y คือ คะแนนทดสอบหลังจัดการเรียนรู้แบบ Small Group Discussion F คือ คะแนนเต็ม 3.6.3.2 การทดสอบค่าที (t-test) ชนิดกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน (Dependent Sample) เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และการคิดวิเคราะห์ ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน ใช้สูตรดังนี้ เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่ใช้ในการพิจารณาใน t – distribution D แทน ความแตกต่างของคะแนนแต่ละคู่ n แทน จำนวนคู่ของคะแนนหรือจำนวนนักเรียน ∑ D แทน ผลรวมทั้งหมดของผลต่างของคะแนนก่อนและหลังการทดสอบ ∑ D2 แทน ผลรวมของกำลังสองของผลต่างของคะแนนก่อนและหลังการทดสอบ
33 บทที่ 4 ผลการวิจัย การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่5โดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ผู้วิจัยมีการ วิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอผลการวิจัยดังนี้ 4.1 การสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสารตาม เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 4.1.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามเพศ ตารางที่1 ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง (จำแนกตามเพศ) เพศ จำนวน (คน) ร้อยละ ชาย 7 41.76 หญิง 10 58.82 รวม 17 100 จากตารางที่1 แสดงให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างเพชชายจำนวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 41.76 และเพศหญิง จำนวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 58.82 4.1.2 การหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร ตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 ตารางที่ 2 ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการ เปลี่ยนแปลงของสาร (E1/E2) รายการประเมิน จำนวนนักเรียน ค่าประสิทธิภาพ(E1/E2) การแปรผล คะแนนระหว่างเรียน (E1) 17 82 มีประสิทธิภาพ สอบหลังเรียน (E1) 17 82 มีประสิทธิภาพ จากตารางที่ 2 ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรมการ เรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีค่าเท่ากับ 82/82 (E1) ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ มาตรฐาน 80/80 4.2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของการจัดการเรียรู้แบบร่วมมือ เทคนิคSTAD ร่วมด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร 4.2.1 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของการจัดการเรียรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร
34 ตารางที่3 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของการจัดการเรียรู้แบบ ร่วมมือเทคนิคSTAD ร่วมด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ N คะแนนเต็ม x̄ S.D t-test ก่อนเรียน หลังเรียน 17 17 10 10 3.6 8.2 0.9 1.1 12.8 จากตารางที่ 4.3 แสดงให้เห็นว่า คะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มี คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 3.6 ส่วนหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 8.2 เมื่อนำคะแนนมาเปรียบเทียบพบว่าคะแนนเฉลี่ย ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการเรียนรู้ โดยใช้การจัดการเรียรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมด้วยชุดกิจกรรม การเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 4.3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการการจัดการเรียรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTAD ร่วมด้วยชุด กิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร 4.3.1 ผลความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการการจัดการเรียรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTAD ร่วมด้วยชุดกิจกรรม การเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ตารางที่ 4 ผลความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการการจัดการเรียรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTAD ร่วมด้วยชุดกิจกรรม การเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร รายการ x̄ S.D ความพึงพอใจ 1. ด้านสาระการเรียนรู้ 1.1 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 4.70 0.47 มาก 1.2 มีการจัดการเรียงเนื้อหาจากเรื่องง่ายไปยาก 4.76 0.44 มาก 1.3 มีความชัดเจน เข้าใจง่าย 4.47 0.51 มาก 2. ด้านนวัตกรรม 2.1 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 4.70 0.47 มาก 2.2 นวัตกรรมมีความน่าสนใจ 4.76 0.44 มาก 3. ด้านประโยชน์ที่ผู้เรียนได้รับ 3.1 นักเรียนมีความตั้งใจในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์มากขึ้น 4.59 0.51 มาก 3.2 นักเรียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับบทเรียน เรื่องการเปลี่ยนสถานะ ของสาร 4.76 0.44 มาก จากตารางที่ 4 พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจทีมีต่อการการจัดการเรียรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTAD ร่วม ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจมากสุด ข้อที่ 1.2 ,2.2 และ 3.2 และความพึงพอใจน้อยที่สุดคือ ข้อที่ 1.3
35 บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรม การเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิจัยดังนี้ 1. สรุปผลการวิจัย 2. อภิปรายผลการวิจัย 3. ข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผลการวิจัย จากการวิจัยการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยได้สรุปผล วิจัยดังนี้ 5.1.1 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลง ของสาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ ผลการประเมินความเหมาะสมของชุดกิจกรรม การ เรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับเหมาะสมมากและมี ประสิทธิภาพเท่ากับ 82/82 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ 80/80 5.1.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 5.1.3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรม การเรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับความพึงพอใจมากสุด 5.2 อภิปรายผลการวิจัย จากการวิจัยการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 สามารถอภิปราย ผลได้ดังนี้ 5.2.1 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลง ของสาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับเหมาะสมมาก ( X = 4.76, S.D. = 0..44) และมี ประสิทธิภาพเท่ากับ 82/82 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด คือ 80/80 ทั้งนี้จากชุดกิจกรรมการเรียนรู้ได้ผ่านขั้นตอน ในการจัดทาอย่างมีระบบ โดยออกแบบชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับพัฒนาการความต้องการและความ สนใจของผู้เรียน โดยผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมทุกขั้นตอน ในระบบการทางานแบบกลุ่ม ที่แบ่งหน้าที่ แต่ละคนภายในกลุ่มอย่างชัดเจน ในกิจกรรมมีการกระตุ้นความคิด นักเรียนด้วยคำถามปลายเปิด เพื่อให้นักเรียน คิด มีอิสระในการตอบ และเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและภายในกลุ่ม ระหว่าง กลุ่ม รวมถึงครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายในเนื้อหาที่เรียน ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับการวิจัยของ เกศินี อินถา (2558) การสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง มหัศจรรย์ยางพาราโดยใช้ แนวการสอน STEM กับการพัฒนาการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ดังนี้
36 ชุดกิจกรรมที่ใช้มี ประสิทธิภาพเท่ากับ 76.58/78.80 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 75/75 และยังสอดคล้องกับ ผลการวิจัย ของกมลฉัตร กล่อมอิ่ม และปรมะ แก้วพวง (2559) ผลการวิจัยพบว่า สร้างและหาประสิทธิภาพการ จัด การเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาเพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษา พบว่า มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 78.92/79.54 และยังสอดคล้องกับผลการวิจัยของ อโนดาษ์ รัช เวทย์, ฐิชินีปกรณ์ สมแก้ว และปภา วีอุปธิ (2560) การพัฒนาทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ในศตวรรษที่ 21 โดยชุดการเรียนการสอนตามแนวสะเต็มศึกษาเรื่อง การแยกสาร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2 จากผลจาก การวิจัยพบว่า (1) ชุดการเรียนการสอนตามแนวสะเต็มศึกษาเรื่อง การแยกสาร ที่สร้างขึ้นนั้นมีค่าประสิทธิภาพ ของชุดการเรียนการสอนที่ผ่านการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ และทดสอบประสิทธิภาพกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีค่า เทากับ 77/76 สูงกวาที่ตั้งไว้คือ 75/75 5.2.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี 5 หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรม การเรียนรู้เป็นสื่อ ที่เน้นความแตกต่าง ของผู้เรียนในการใช้ความสามารถแต่ละด้านของแต่ละคน เพื่อร่วมกัน แก้ไขสถานการณ์ที่ต่าง ๆ ในชุดกิจกรรมการเรียนรู้ซึ่งชุดกิจกรรมการเรียนรู้จะเน้น สถานการณ์จริง หรือ เหตุการณ์ใกล้ตัว การแก้ปัญหาในสถานการณ์หนึ่ง สามารถมีทางแก้ไขสถานการณ์ได้มากกว่าหนึ่งทาง และแม้ นักเรียนจะไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ นักเรียนก็ยังได้ประสบการณ์ ในกระบวนการและ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกลุ่มต่าง ๆ ว่าเหตุใดจึงประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จ ภายในชั้นเรียนส่งผล ให้นักเรียน กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก และสนุกไปกับกิจกรรรมการเรียนรู้มีความกระตือรือร้นในการเรียน ซึ่ง สอดคล้องกับงานวิจัยของ ธรรญชนก ทองอ่ า (2559 : 4) ได้ศึกษาการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยใช้วิจัยเป็นฐาน เรื่อง แรงและความดัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยพบว่า 1. ชุดกิจกรรม การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้วิจัยเป็นฐาน เรื่อง แรงและความดัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 ทั้ง 5 ชุด มีความเหมาะสมขององค์ประกอบตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับมาก และมี ประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 76.07/75.89 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 75/75 ที่ก าหนดไว้ 2. นักเรียนที่เรียนด้วยชุด กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้วิจัยเป็นฐาน เรื่อง แรงและความดัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. นักเรียนที่เรียนด้วยชุด กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้วิจัยเป็นฐาน เรื่อง แรงและความดัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีความพึงพอใจโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 5.2.3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรม การเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่านักเรียน มีความพึงพอใจอยู่ ในระดับ ความพึงพอใจมาก ( X = 4.76, S.D. = 0.44) เนื่องจากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร กระตุ้นให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยน เรียนรู้กัน รู้จักหน้าที่ของตนเอง ได้ฝึกแก้ไขปัญหาสถานการณ์จริง สอดคล้องกับงานวิจัยของ เกศินี อินถา ภาณุพัฒน์ ชัยวร และอโนดาษ์ รัชเวทย์ (2558) การสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง “มหัศจรรย์ยางพารา” โดย
37 ใช้แนวการสอน STEM กับการพัฒนาการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจเมื่อได้เรียนด้วยชุดกิจกรรมดังกล่าวโดยเฉลี่ยเท่ากับ 4.31 อยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของ วรรณธนะ ปัดชา (2559) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็ม ศึกษา เรื่อง อัตราส่วน ตรีโกณมิติ พบว่าเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา มีความพึงพอใจโดยภาพ รวมอยู่ใน ระดับมาก อับดุลยามีน หะยีขาเดร์ (2562) ผลของการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาที่มีต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา ความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ และความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของ น้าฝน คูเจริญไพศาล (2562) การพัฒนาชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวทางสะเต็ม ศึกษา (STEM EDUCATION) เรื่อง การปรับปรุงคุณภาพน้าสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยชุด กิจกรรมวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับพึงพอใจมาก 5.3 ข้อเสนอแนะ 5.3.1 ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ ครูผู้สอนสามารถนำชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ไปพัฒนานักเรียนในการ ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อไปได้ 5.3.2 ข้อเสนอแนะเพื่อการศึกษาวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรศึกษาเพิ่มเติมในการนำชุดกิจกรรมมาใช้ร่วมกับเทคนิคอื่นๆ เนื่องจากในบางสถานการณ์หรือบาง เนื้อหาการใช้เพียงแค่เทคนิคเดียวอาจไม่เพียงพอ ซึ่งการนำหลาย ๆ เทคนิคมาใช้ร่วมกันอาจส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนเพิ่มสูงขึ้น 2. ควรนำชุดกิจกรรมมาใช้ควบคู่กับนวัตกรรมอื่น ๆ เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้มากยิ่งขึ้น 3. ควรมีการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ชุดกิจกรรมของนักเรียนในระดับชั้นที่แตกต่างกัน เพื่อแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของชุดกิจกรรม
38 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ กระทรวงศึกษาธิการ. จาริณี อิศรากูร ณ อยุธยา. (2559). ความพึงพอใจและพฤติกรรมการบริโภคขนมไทยของลูกค้าชาวไทย .จังหวัดกรุงเทพมหานคร. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยกรุงเทพ. ชนิดา ทาระเนต์. (2560). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เร่ืองความน่าจะเป็น โดยการ จัดการเรียนการสอนเน้นกระบวนการกลุ่ม สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสา จังหวัด น่าน. ชลบุรี : มหาวิทยาลัยบูรพา. ชัยยงค์ พรหมวงศ์. (2556). การทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน. วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์ วิจัย, 5(1), 7 - 20. ดาวสวรรค์ รื่นรมย์. (2560). ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการสานักงานทะเบียนธุรกิจนาเที่ยวมัคคุเทศก์สาขา ภาคเหนือ เขต 1. เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่. ทิศนา แขมมณี. (2552). รูปแบบการเรียนการสอนทางเลือกที่หลากหลาย. กรุงเทพมหานคร : สำนักัพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ทัศนภรณ์ แสงศรีเรือง. (2559). การพัฒนาชุดกิจกรรมการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่3 โดยใช้เทคนิคสะเต็มศึกษา. กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ. ธรรญชนก ทองอ่า. (2559). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้วิจัยเป็นฐาน เรื่อง แรงและ ความดัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. หลักสูตรปริญญาการศึกษา มหาบัณฑิต สาขาวิชาวิจัย และประเมินผลการศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร. บุญชม ศรีสะอาด. (2553).การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น. ปานลดา เอกนวพุฒิพันธุ์. (2560). ผลการใช้ชุดกิจกรรมวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง พืชใกล้ตัว สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4. หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครสวรรค์. พัฒนพงษ์ สีกา. (2551). การศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 ซึ่งเป็นผลมาจากการทดสอบคุณภาพการศึกษาระดับชาติ ปีการศึกษา 2548 ของจังหวัดอุตรดิตถ์. วิทยานิพนธ์ ค.ม.(วิจัยและประเมินผลการศึกษา). อุตรดิตถ์: มหาวิทยาลัยราชภัฏ อุตราดิตถ์ พัชรี นาคผง, 2562, การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้ ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิค STAD. มหาวิทยาลัยศิลปากร. พิมพันธ์ เดชะคุปต์. (2550). ทักษะเพื่อการพัฒนาหน่วยการเรียนรู้และการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
39 บรรณานุกรม(ต่อ) พรทิพย์ เมืองแก้ว และคณะ, 2553, การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเรื่อง ไฟฟ้าเคมี ภานุวัฒน์ เปรมปรี. (2556). การพัฒนาชุดกิจกรรมเรื่องระบบนิเวศน้ำจืดสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4 โรงเรียนประเทียบวิทยาทาน จังหวัดสระบุรี (ปริญญานิพนธ์ปริญญาการศึกษา มหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครีนทรวิโรฒ. วัชรา เล่าเรียนดี และคณะ. (2560). กลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อพัฒนาการคิดและยกระดับคุณภาพ การศึกษาสำหรับศตวรรษที่ 21. นครปฐม: บริษัท เพชรเกษมพริ้นติ้งกรุ๊ปจำกัด. วุฒิชัย ดานะ. (2553). ความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักศึกษาโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดเลย. วิทยานิพนธ์ ค.ม. เลย: มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2554, การจัดสาระการเรียนรู้ กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ หลักสูตรขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ครุสภาลาดพร้าว. สุรชัย ศรีวรชัย และคณะ, 2560, การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิคแบ่งกลุ่มสัมฤทธิ์ (STAD) ในรายวิชาฟิสิกส์ เรื่องคลื่นกล ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 โรงเรียนวัง กระแสวิทยาคม จังหวัดนครพนม. นครพนม : มหาวิทยาลัยนครพนม. สุวธิดา ล้านสา. (2558). การพัฒนาชุดกจิกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้เพื่อ ส่งเสริม ความสามารถในการคิดวิเคราะห์และจิตวิทยาศาสตร์สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 (วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต). นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร. สุวิทย์ มูลคำ และ อรทัย มูลคำ. (2552). 19 วิธีจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะ. กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์ ภาพพิมพ์. สมนึก ภัททิยธนี. (2553). การวัดผลการศึกษา. มหาสารคาม. ภาควิชาวิจัยและพัฒนาการศึกษาคณิต ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. สมบัติ ท้ายเรือคำ. (2551). ระเบียบวิธีวิจัยสำหรับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. กาฬสินธุ์: ประสานการพิมพ์ เสาวภาคย์ ปฐมพฤษ์วงษ์. (2558). ความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียนต่อการบริหารงานโรงเรียน ในอำเภอ เขาสมิง สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด. ชลบุรี : มหาวิทยาลัยบูรพา. อริยาภรณ์ ขุนปักษี. (2561). การพัฒนาชุดกิจกรรมวิชาวิทยาศาสตร์โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ เพื่อ ส่งเสริมการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4.หลักสูตรศึกษาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน วิทยาลัยครุศาสตร์มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ อนุวัฒน์ เดชไธสง. (2553). ชุดกิจกรรมการเรียนการสอนเรื่องเวกเตอร์โดยใช้โปรแกรม C.a.R.สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. หลักสูตรปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชา คณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนค รินทรวิโรฒ.
40 บรรณานุกรม(ต่อ) อาภรณ์ ใจเที่ยง. (2550). หลักการสอน.กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร อรนุช ลิมตศิริ. (2556). นวัตกรรมและเทคโนโลยีการจัดการเรียนรู้(พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ : ส ำ น ั ก พ ิ ม พ์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง. อรศศิพัชร์ ศิริวรรณพร (2560). ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการในศูนย์การค้าชุมชน กรณีศึกษา: โครงการ เดอะแจส รามอินทรา, อะแจส วังหิน และแจส เออเบิร์น ศรีนครินทร์. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย.
41 ภาพผนวก ก ชุดกิจกรรม
42
43