ศกึ ษาวเิ คราะห์กรรมของพระเทวทัตท่ปี รากฏในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท
AN ANALYTICAL STUDY OF KAMMA OF THEVATATTA IN
THERAVADA BUDDHISM
พระปลัดกาพล ปญฺ าวฑุ โฺ ฒ
วิทยานพิ นธ์นเี้ ป็นส่วนหน่ึงของการศกึ ษา
ตามหลกั สตู รปรญิ ญาพุทธศาตรมหาบณั ฑติ
สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา
บัณฑิตวทิ ยาลยั
มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย
พุทธศกั ราช ๒๕๕๖
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
ศกึ ษาวิเคราะห์กรรมของพระเทวทตั ที่ปรากฏในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท
พระปลัดกาพล ปญฺ าวุฑฺโฒ
วทิ ยานพิ นธ์นี้เป็นสว่ นหน่ึงของการศกึ ษา
ตามหลกั สตู รปริญญาพุทธศาตรมหาบัณฑติ
สาขาวิชาพระพทุ ธศาสนา
บัณฑติ วิทยาลยั
มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย
พุทธศกั ราช ๒๕๕๖
(ลิขสิทธิ์เป็นของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
AN ANALYTICAL STUDY OF KAMMA OF THEVATATTA IN
THERAVADA BUDDHISM
Phra Palat Kamphon Panyawuttho
A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of
The Requirement for The Degree of
Master of Arts
(Buddhist Studies)
Graduate School
Mahachulalongkornrajavidyalaya University
Bangkok, Thailand
C.E. 2013
(Copyright by Mahachulalongkornrajavidyalaya University)
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
ก
ช่ือวทิ ยานพิ นธ์ : ศกึ ษาวิเคราะห์กรรมของพระเทวทัตท่ีปรากฏในพระพุทธศาสนา
เถรวาท
ผู้วจิ ัย : พระปลดั กาพล ปญฺญาวุฑโฺ ฒ (กวางแกว้ )
ปริญญา : พุทธศาสตรมหาบณั ฑิต (พระพทุ ธศาสนา)
คณะกรรมการควบคุมวทิ ยานิพนธ์
วนั สาเรจ็ การศกึ ษา : พระราชวชิรเมธี ดร. ป.ธ.๙., พธ.บ., อ.ม., กศ.ด.
: ผศ. อานนท์ เมธีวรฉัตร ป.ธ.๖., น.ธ.เอก., พธ.บ., กศ.ม.
: ๑๒ เมษายน ๒๕๕๗
บบทคัดย่อ
งานวิจัยเร่ือง “วิเคราะห์กรรมของพระเทวทัตท่ีปรากฏในพระพุทธศาสนาเถรวาท”
มีจุดประสงค์ดังน้ี ๑) เพื่อศึกษาหลักกรรมที่ปรากฏในพระพุทธศาสนาเถรวาท ๒) เพ่ือศึกษาการ
กระทากรรมของพระเทวทัต ๓) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ผลกรรมของพระเทวทัตที่ปรากฏในพระพุทธศาสนา
เถรวาท
ผลการวิจัยพบว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้อย่างชัดเจนถึงหลักกรรมในฐานสูตร และ
จูฬกัมมวิภังคสูตร ว่า “เรามีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกาเนิด มีกรรมเป็น
เผ่าพันธ์ุ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทากรรมใดไว้ จะเป็นกรรมดีหรือกรรมช่ัวก็ตาม ย่อมเป็นผู้รับผล
ของกรรมนั้น” จากพทุ ธพจนน์ ้ี ถอื ได้วา่ เปน็ หลักกรรมที่ครอบคลุมและชัดเจนมากท่ีสุด กรรมนั้นย่อม
ให้ผลอย่างแน่นอน กรรมจึงเปรียบเสมือนสมบัติท่ีตนเองพึงจะได้รับท้ังในปัจจุบันและในอนาคต
ด้วยเหตุน้ีมนุษย์จึงมีกรรมเป็นของตน ตามความหมายของกรรม ประเภทของกรรม ลักษณะของ
กรรม และแนวคิดทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องกับกรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาทตัวการสาคัญที่กาหนดให้
มนุษยห์ รอื สตั ว์กระทาดหี รือเลวนน่ั ก็คอื เจตนานนั่ เอง
ในอดีตชาติ พระเทวทัตมีเจตนาที่เป็นอกุศลกรรม กระทากรรมทุจริตทางกาย ทางวาจา
และทางใจ ด้วยเหตุนี้ กรรม หรือ การกระทาในอดีตชาติของพระเทวทัตจัดเป็นกรรมช่ัว หรือ
อกุศลกรรม ในทางพระพุทธศาสนา
ในปัจจุบันชาติ ก่อนบวชเจ้าชายเทวทัตมีเจตนาเป็นอกุศลกรรม ต่อมา หลังจากท่ีเจ้าชาย
สิทธตั ถะทรงออกบวชไดบ้ รรลอุ นุตตรสัมมาสมั โพธญิ าณเป็นพระพุทธเจ้า เจ้าชายเทวทัตมีความเล่ือมใส
ศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า เกิดเจตนาที่เป็นกุศลกรรมได้ประพฤติกรรมดี ละลายมานะ และมิจฉาทิฏฐิ
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
ข
ได้หมด มีความประพฤติดี สามารถประพฤติปฏิบัติบาเพ็ญสมณะธรรมจนได้ฌาณมีฤทธ์ิมาก
แต่ภายหลังถูกอานาจของกิเลสครอบงาทาให้ก่อกรรมชั่ว จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตได้สานึกผิดใน
การกระทาของท่าน ได้ถวายกระดูกคางเป็นพุทธบูชา สุดท้ายแล้วท่านก็มิได้ยึดถือเอาความช่ัวเป็น
หลักในการดาเนนิ ชวี ติ เพียงอย่างเดยี ว ท่านยังมีความสานึกผดิ ถงึ กรรมชั่วทาอย่างไรก็ไม่สามารถทาให้
ชีวิตมีความสุขสงบได้อย่างย่ังยืนถาวร กรรมดีหรือความดีเป็นส่ิงที่ทาให้ชีวิตมีความสุขสงบได้อย่าง
ยัง่ ยืนถาวร
ผลกรรมของพระเทวทัตท่ีปรากฏในพระพุทธศาสนาเถรวาท ในอดีตชาติ ท้ัง ๗๘ ชาดก
เป็นอกุศลกรรมตามหลักกรรม ๒ ผลกรรมส่งผลให้ประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา และทางใจ ตาม
หลักกรรม ๓ ซึ่งเป็นช่องทางการทากรรม จัดว่าเป็นกรรมดา ตามหลักกรรม ๔ กรรมน้ีส่งผลให้พระ
เทวทัต หรือ ทุฏฐกุมาร ได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน เส่ือมจากลาภ เสื่อมจากยศ และเส่ือมจาก
การสรรเสริญตามหลกั เกณฑก์ ารให้ผลของกรรม
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
ค
Dissertation Title : AN ANALYTICAL STUDY OF KAMMA OF THEVATATTA
Researcher IN THERAVADA BUDDHISM
: Phrapaladkamphon Pannavutto (Kwangkaew)
Degree : Master of Arts (Buddhist Studies)
Dissertation Supervisory Committee
: Dr. Phrarajavachiramethee Pali. IX., B.A, M.A., Ph.D.
: Asst. Prof. Anond Metheevarachatra Pali VI., B.A, B.Ed., M.Ed.
Date of Graduation : 12 April 2014
ABSTRACT
This research is "The fate of the Satan appearing in Theravada Buddhism"
has 3 objectives : 1) to study the main action appears in Theravada Buddhism 2) to
study Dhavadhat’s deeds 3) to analyze the Dhavadhat’s retribution which appears in
Theravada Buddhism.
Results of the research
The results showed that the Buddha has said clearly the main action in a
recipe and Cukhammaviphungkhasute, " We have our fate, the result of Karma is a
generator . We do the good or evil deeds ,we will receive the result of karma.”
According to Buddha’s quote, it’s clearly and represent Karma principles. Karma
is like a treasure that they will get both today and in the future. For this reason,
human beings have karma as their own. The meaning of karma , types of Karma and
the Karma Theories in Theravada Buddhism is the importance given to human or
animal actions, good or bad, is depended on its intention .
In Dhavadhat’s previous life ,he intended a bad deed by physical deeds,
speech and mental corruption in Buddhism.
Later he is the principal devotion in the Buddhism. After Prince Sitdhata’s
achieving. He had the good deeds and was a well-behaved practitioner until he
had a lot of power of passion. But later he was the power of passion
overwhelming cause of the evil deeds. At the end of life, he repented of his
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
ง
deeds, he dedicated his bones to Buddhism . He did not taken only major evil
in his lifestyle but he accepted Karma, which makes a happy life, a peaceful ,
and sustainable.
Dhavadhat’s retribution which appeared in Theravada Buddhism in the 78
sections were the process and the effect of two karma; Akusala-kamma and kusala-
kamma. The retribution resulted in body actions, verbal actions, and mental action
which were three karma and the black evil as four karma. Black evil and his
resulted , he was suffering, lost of fortune, lost of rank and blaming according to
the results of karma.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
จ
กิตตกิ รรมประกาศ
วิทยานิพนธ์เรื่อง “วิเคราะห์กรรมของพระเทวทัตที่ปรากฏในพระพุทธศาสนาเถรวาท”
ฉบับน้ี สาเร็จลงได้ด้วยดีเพราะได้รับความเมตตาอนุเคราะห์จาก พระราชวชิรเมธี, ดร.
ประธานท่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ ผศ. อานนท์ เมธีวรฉัตร กรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ผู้วิจัย
ขอขอบพระคุณท่านเป็นอย่างสูง ท่ีได้ให้ความอนุเคราะห์ชี้นาและตรวจแก้วิทยานิพนธ์น้ี กระผมต้อง
ขอขอบพระคุณ คณะครูอาจารย์ บุคคลากร ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ศูนยบ์ ณั ฑติ ศกึ ษาวิทยาลยั สงฆ์นครสวรรคท์ ุกท่านที่ประสิทธป์ิ ระสาทวิชาความรูใ้ หแ้ ก่ผู้วจิ ยั
ขอกราบขอบพระคุณ พระเทพปริยัติเมธี, ผศ. ดร. ผู้อานวยการวิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์
ที่ได้ให้โอกาสเปิดการเรียนการสอนในระดับปริญญาโท สาขาวิชาพระพุทธศาสนาขึ้น อันเป็น
ประโยชน์อย่างยิ่งต่อการศึกษาของนิสิตทั้งภิกษุ สามเณร และประชาชน ขอขอบคุณ เพ่ือน ๆ
สหธรรมกิ นสิ ิตปรญิ ญาโท รุ่นท่ี ๖ ทกุ รูป ทุกท่าน ซ่งึ เป็นกลั ยาณมิตรท่ีดีเสมอมา ขอเจริญพรขอบคุณ
เจ้าหน้าท่ีศูนย์บัณฑิตศึกษาวิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ทุกท่าน ช่วยอานวยความสะดวกติดต่อ
ประสานงานตา่ ง ๆ ใหเ้ กดิ ผลสาเรจ็ เป็นอย่างดี
ขอคุณงามความดีที่เกิดจากการศึกษา การทาวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ ผู้วิจัยขอบูชาคุณ
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์และบูชาคุณของบิดา มารดา ญาติ มิตร ครู อุปัชฌาย์ อาจารย์
โดยขออ้างคุณของพระศรีรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธ์ิทั้งหลายโปรดจงดลบันดาลให้ทุกท่านมีสุขภาพ
แขง็ แรงปราศจากโรคภัยอันตรายตา่ ง ๆ ขอจงมแี ตค่ วามสขุ ดว้ ยกนั ทกุ ทา่ น เทอญ.
พระปลดั กาพล ปญญฺ าวฑุ โฺ ฒ (กวางแก้ว)
๑๕ กนั ยายน ๒๕๕๖
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
ฉ
สารบญั
เรอ่ื ง หนา้
ก
บทคัดย่อภาษาไทย ค
บทคัดยอ่ ภาษาองั กฤษ จ
ฉ
กิตติกรรมประกาศ ซ
สารบญั ๑
คาอธบิ ายสัญลกั ษณ์และคายอ่ ๑
๔
บทท่ี ๑ บทนา ๔
๔
๑.๑ ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา ๔
๕
๑.๒ วตั ถุประสงค์ของการวิจัย ๙
๑๐
๑.๓ ขอบเขตของการวจิ ัย ๑๑
๑๕
๑.๔ วธิ ดี าเนนิ การวิจัย ๒๕
๓๑
๑.๕ นยิ ามศพั ท์เฉพาะทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย ๓๒
๓๒
๑.๖ ทบทวนเอกสารและรายงานวิจัยที่เก่ียวข้อง ๓๒
๕๘
๑.๗ ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะได้รับ ๖๐
๖๐
บทท่ี ๒ หลักกรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท
๒.๑ ความหมายของกรรม
๒.๒ ประเภทของกรรม
๒.๓ ลกั ษณะของกรรม
๒.๔ สรุปแนวคดิ ทฤษฎีทีเ่ ก่ียวข้องกับกรรมในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท
บทที่ ๓ การกระทากรรมของพระเทวทัตท่ีปรากฏในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท
๓.๑ ประวัตขิ องพระเทวทตั
๓.๑.๑ ประวัติในอดีตชาติ
๓.๑.๒ ประวัตใิ นปัจจบุ ันชาติ
๓.๒ การกระทากรรมของพระเทวทตั
๓.๒.๑ กอ่ นพระเทวทตั บวช
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
ช
สารบญั (ตอ่ )
๓.๒.๒ หลังพระเทวทัตบวช ๖๑
๓.๓ ผลกรรมของพระเทวทตั ๖๖
บทที่ ๔ ๓.๓.๑ ผลกรรมในอดตี ชาติ ๖๖
๓.๓.๒ ผลกรรมในปจั จุบนั ชาติ ๖๗
วิเคราะหผ์ ลกรรมของพระเทวทัตท่ีปรากฏในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๘๙
๔.๑ วเิ คราะห์ผลกรรมของพระเทวทตั ในอดตี ชาติ ๘๙
๔.๑.๑ วเิ คราะห์ผลกรรมของพระเทวทัตในอดีตชาติตามหลกั กรรม ๒ ๘๙
๔.๑.๒ วิเคราะหผ์ ลกรรมของพระเทวทตั ในอดีตชาติตามหลกั กรรม ๓ ๙๒
๔.๑.๓ วเิ คราะห์ผลกรรมของพระเทวทัตในอดีตชาติตามหลกั กรรม ๔ ๙๕
๔.๒ วิเคราะห์ผลกรรมของพระเทวทัตในปจั จบุ ันชาติ ๙๘
๔.๒.๑ วเิ คราะห์ผลกรรมของพระเทวทัตในปจั จุบนั ชาติตามหลักกรรม ๒ ๙๘
๔.๒.๒ วิเคราะห์ผลกรรมของพระเทวทตั ในปจั จุบันชาติตามหลกั กรรม ๓ ๑๐๑
๔.๒.๓ วิเคราะห์ผลกรรมของพระเทวทัตในปัจจบุ ันชาติตามหลักกรรม ๔ ๑๐๒
๔.๓ สรุปตารางการกระทากรรมและผลกรรมของพระเทวทัต ๑๐๕
๔.๔ องคค์ วามรูท้ ่ีไดจ้ ากการวิจัย ๑๑๔
บทท่ี ๕ สรปุ ผลการวจิ ัยและข้อเสนอแนะ ๑๑๖
๕.๑ สรปุ ผลการวิจัย ๑๑๖
๕.๒ ข้อเสนอแนะ ๑๑๙
๑๑๙
๕.๒.๑ ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย
๕.๒.๒ ขอ้ เสนอแนะในการทาวทิ ยานิพนธ์ ๑๑๙
บรรณานกุ รม ๑๒๑
ประวัตผิ ู้วิจยั ๑๒๕
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
ซ
คำอธบิ ำยสญั ลักษณ์และคำย่อ
กำรใชอ้ ักษรยอ่
อักษรยอ่ ในวิทยานิพนธฉ์ บบั นี้ ใช้อ้างองิ จากพระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณ
ราชวทิ ยาลัย พทุ ธศกั ราช ๒๕๓๕ และอรรถกถาภาษาไทย ชุด ๙๑ เล่ม ใช้ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
เรยี งตามคัมภรี ์ ดังน้ี
พระวนิ ัยปฎิ ก
ว.ิ จ.ู (ไทย) = วนิ ัยปฎิ ก จฬู วรรค (ภาษาไทย)
(ภาษาไทย)
ว.ิ ม. (ไทย) = วินัยปิฎก มหาวรรค
พระสตุ ตันตปิฎก
ที.ปา. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค (ภาษาไทย)
ม.มู. (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปัณณาสก์ (ภาษาไทย)
ม.ม. (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก มัชฌิมนิกาย มชั ฌมิ ปัณณาสก์ (ภาษาไทย)
ม.อ.ุ (ไทย) = สตุ ตนั ตปฎิ ก มชั ฌมิ นิกาย อปุ รปิ ัณณาสก์ (ภาษาไทย)
สํ.ส. (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก สังยตุ ตนิกาย สคาถวรรค (ภาษาไทย)
สํ.นิ. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก สังยตุ ตนิกาย นทิ านวรรค (ภาษาไทย)
สํ.ข. (ไทย) = สตุ ตันตปิฎก สงั ยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค (ภาษาไทย)
สํ.สฬา. (ไทย) = สุตตนั ตปิฎก สังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค (ภาษาไทย)
อง.ฺ ทุก. (ไทย) = สุตตนั ตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทกุ นิบาต (ภาษาไทย)
อง.ฺ ตกิ . (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก องั คุตตรนิกาย ติกนิบาต (ภาษาไทย)
อง.ฺ จตุกฺก. (ไทย) = สุตตันตปิฎก องั คตุ ตรนิกาย จตกุ กนิบาต (ภาษาไทย)
อง.ฺ ปญจฺ ก. (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก อังคตุ ตรนิกาย ปญั จกนิบาต (ภาษาไทย)
อง.ฺ ฉกฺก. (ไทย) = สตุ ตันตปิฎก องั คุตตรนิกาย ฉักกนบิ าต (ภาษาไทย)
อง.ฺ สตตฺ ก (ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก องั คตุ ตรนิกาย สตั ตกนบิ าต (ภาษาไทย)
ขุ.ขุ. (ไทย) = สตุ ตันตปิฎก ขุททกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ (ภาษาไทย)
ขุ.อ.ุ (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก ขทุ ทกนกิ าย อุทาน (ภาษาไทย)
ขุ.ชา. (ไทย) = สตุ ตันตปฎิ ก ขุททกนิกาย ชาดก (ภาษาไทย)
ขุ.ชา.ทกุ . (ไทย) = สตุ ตนั ตปฎิ ก ขุททกนกิ าย ชาดก ทุกนิบาต (ภาษาไทย)
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
ฌ
พระสุตตันตปฎิ ก
ขุ.ชา.วีสติ. (ไทย) = สุตตันตปฎิ ก ขทุ ทกนกิ าย ชาดก วีสตนิ ิบาต (ภาษาไทย)
ขุ.ป. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภทิ ามรรค (ภาษาไทย)
พระอภิธรรมปิฎก
อภิ.วิ. (ไทย) = อภิธรรมปิฎก วภิ ังค์ (ภาษาไทย)
อรรถกถำพระวินยั ปิฎก
วิ.อ. (ไทย) = วนิ ยั ปิฎก สมันตปาสาทกิ า ปราชกิ กัณฑ-สงั ฆาทเิ สสาท-ิ
มหาวคั คาทอิ รรถกถา (ภาษาไทย)
อรรถกถำพระสตุ ตันตปฎิ ก
ม.ม.อ. (ไทย) = มชั ฌมิ นิกาย ปปัญจสูทนี มัชฌิมปัณณาสก์อรรถกถา (ภาษาไทย)
ม.อ.ุ อ. (ไทย) = มัชฌมิ นกิ าย ปปัญจสูทนี อุปรปิ ณั ณาสก์อรรถกถา (ภาษาไทย)
สํ.สฬา.อ. (ไทย) = สังยตุ ตนกิ าย สารัตถัปปกาสนิ ี สฬายตนอรรถกถา (ภาษาทย)
อง.ฺ เอกก.อ. (ไทย) = องั คุตตรนิกาย มโนรถปรู ณี เอกนิบาตอรรถกถา (ภาษาไทย)
อง.ฺ ตกิ .อ. (ไทย) = องั คุตตรนิกาย มโนรถปรู ณี ตกิ นบิ าตอรรถกถา (ภาษาไทย)
ขุ.ธ.อ. (ไทย) = ขุททกนกิ าย ธรรมบทอรรถกถา (ภาษาไทย)
ขุ.อ.ุ อ. (ไทย) = ขุททกนิกาย ปรมตั ถทีปนี อุทานอรรถกถา (ภาษาไทย)
ขุ.วิ.อ. (ไทย) = ขุททกนกิ าย ปรมัตถทปี นี วิมานวัตถุอรรถกถา (ภาษาไทย)
ขุ.เถร.อ. (ไทย) = ขทุ ทกนิกาย ปรมัตถทีปนี เถรคาถาอรรถกถา (ภาษาไทย)
ขุ.ชา.อ. (ไทย) = ขทุ ทกนิกาย ชาดกอรรถกถา (ภาษาไทย)
ปกรณวเิ สส
มลิ นิ ฺท. (ไทย) = มลิ นิ ทปญั หาปกรณ (ภาษาไทย)
คำช้ีแจงในกำรใชห้ มำยเลขในคมั ภรี พ์ ระไตรปฎิ ก
๑) การใช้หมายเลขอักษรย่อในคัมภีร์พระไตรปิฎก โดยใช้อักษรย่อแทนช่ือเต็มของคัมภีร์
ตามระเบียบการอ้าง คือ เล่ม/ข้อ/หน้า เช่น ที.ม. (ไทย) ๑๐/๗๕/๔๒. หมายถึง พระสุตตันตปิฎก
ทีฆนกิ าย มหาวรรค เลม่ ท่ี ๑๐ ขอ้ ๗๕ หนา้ ๔๒ เป็นต้น
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
ญ
๒) การใช้หมายเลขอักษรย่อในคัมภีร์อรรถกถาฉบับแปลเป็นภาษาไทย โดยใช้อักษรย่อ
แทนชือ่ เต็มของคัมภรี ต์ ามระเบยี บการอ้าง คือ เล่ม/ขอ้ /หน้า เช่น ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๔๐/๑๑/๑. หมายถึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ธรรมบทอรรถกถา พระไตรปิฎกอรรถกถาแปล เล่มที่ ๔๐ ข้อ ๑๑
หนา้ ๑ เป็นต้น
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
บทที่ ๑
บทนำ
๑.๑ ควำมเป็นมำและควำมสำคญั ของปญั หำ
พระพุทธศาสนามุ่งเน้นเรื่องการพ้นทุกข์ และสอนให้รู้จักทุกข์และวิธีการดับทุกข์ ให้พ้น
จากอวิชชา (ความไม่รู้ความจริงในธรรมชาติ) อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์จากกิเลสท้ังปวง คือ ความโลภ
ความโกรธ ความหลง เน้นการศึกษาทาความเข้าใจ การโนนิโสมนสิการด้วนปญญญา และพิสูจน์ทราบ
ขอ้ เท็จจรงิ เหน็ เหตุผลวา่ สิ่งนี้มี ส่ิงนจ้ี งึ มี จนเห็นตามความเป็นจริงว่าสรรพสิ่งในธรรมชาติเป็นไปตาม
กฎพระไตรลักษณ์ และสัตว์โลกท่ีเป็นไปตามกฎแห่งกรรม แล้วเลือกใช้หลักธรรมในพุทธศาสนาที่
เหมาะกับผลท่ีจะได้ส่ิงที่ปรารถนาอน่างถูกต้อง ด้วนความไม่ประมาทในชีวิตให้มีความสุขในท้ังชาติน้ี
ชาตติ อ่ ๆ ไป หลกั กรรม เปน็ หลักธรรมสาคัญหน่ึงที่สอนให้เชื่อกรรม เช่ือผลของกรรม โดนมีประเด็น
วา่ เมอ่ื บคุ คลใดกต็ ามจะทากรรมให้เกิดขึ้นต้องทาความเข้าใจถึงธรรมชาติของกรรมทางพระพุทธศาสนา
ให้ดีเสีนก่อน เพราะคนหรือสัตว์โลกทั้งหลานมีกรรมเป็นของตนเอง ในจูฬกัมมวิภังคสูตร สุภมาณพโต
เทนนบตุ รได้กราบทลู ถามพระพทุ ธเจา้ ว่า “ขา้ แตพ่ ระองค์ผเู้ จรญิ อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปญจจันให้สัตว์
ที่เกิดเป็นมนุษน์ ปรากฏเป็นคนเลวและคนดี คือ มนุษน์ทั้งหลานน่อมปรากฏว่ามีอานุส้ัน มีอานุนืน
มีโรคมาก มีโรคน้อน มีผิวพรรณทราม มีผิวพรรณดี มีอานาจน้อน มีอานาจมาก มีโภคะน้อน มีโภคะ
มาก เกิดในตระกูลต่า เกิดในตระกูลสูง มีปญญญาน้อน มีปญญญามาก” พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
“มาณพ สัตว์ท้ังหลานมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นทานาท มีกรรมเป็นกาเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
มีกรรมเป็นท่ีพ่ึงอาศัน กรรมน่อมจาแนกสัตว์ทั้งหลานให้เลวและดีต่างกัน” เร่ืองคุณสมบัติของกรรม
น้ีต้องทาความเข้าใจกันให้มาก เพราะคาว่ากรรมคือการกระทา ท่ีเราดีหรือเลวนั้นไม่ต้องไปโทษใคร
อืน่ กรรมของเราเองจัดสรรมา หนา้ ท่ีของกรรมหรือธรรมชาติของกรรมสง่ ผลอนา่ งนี้
พระเทวทัต “คือใคร” ตามพุทธประวัติ กล่าวไว้ว่า พระเทวทัตเป็นเจ้าชานแห่งโกลินวงศ์
เป็นพระโอรสของพระเจ้าสุปปพุทธะ ในพระนครเทวทหะ กับพระนางอมิตา พระกนิษฐภคินี
(น้องสาว) ของพระเจ้าสุทโธทนะ (พระพุทธบิดา) อีกท้ังพระเทวทัตนังเป็นพระเชษฐา (พี่ชาน) ของ
ม.อุ. (ไทน) ๔/๒๘๙/๓๔๙-๓๕๐.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๒
พระนางนโสธราพมิ พา ซง่ึ เป็นพระมเหสีของเจา้ ชานสทิ ธัตถะ๒ ก่อนท่ีเจา้ ชานสทิ ธัตถะจะทรงออกบวช
และบรรลอุ นตุ รสมั มาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เปน็ พระพุทธเจา้ พระเทวทัตเปน็ ลงุ ของพระราหุล เป็นเพื่อน
เล่นกับศากนกุมารท้ังหลานที่ออกบวช โดนเป็นเพื่อนเล่นกันต้ังแต่เป็นพระกุมารพร้อมกับศากนกุมาร
อีก ๔ พระองค์ คือ ภัททินกุมาร อนุรุทธกุมาร กิมพิลกุมาร และภคุกุมาร จากพุทธประวัติ ถึงแม้
พระเทวทตั จะประพฤติตัวเปน็ ศตั รูกับพระพุทธเจ้า แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็คือ พระเทวทัตก็นังเป็น
สาวกรูปหนึ่งของพระพุทธเจ้าที่ได้กล่าวคาขอบวชต่อพระพุทธเจ้า อีกท้ัง พระเทวทัตนังไม่ต้อง
อาบัติปราชิก สถานะความเป็นพระภิกษุนังคงมีอนู่ในพระเทวทัต และในตอนต้นที่พระเทวทัต
ออกบวชน้ัน อาจกล่าวได้ว่าเป็นการออกบวชด้วนศรัทธา มีความตั้งใจที่จะปฏิบัติ เพื่อการพ้นทุกข์
สามารถปฏิบัติธรรมจนได้ฌานมีฤทธิ์มาก๓ เน่ืองจากบุคคลบางพวกในสังคมไทน มีความเห็นหรือ
ทัศนะคตทิ ม่ี ตี อ่ พระเทวทตั ไปในทิศทางเดีนว กล่าวคือ เห็นว่าพระเทวทัตมีความประพฤติไม่ดีกระทา
สิ่งที่ไม่ดีแล้วนาไปเปรีนบเทีนบกับบุคคลบางคนในสังคม ผู้วิจันมีความเห็นว่าบุคคลที่กล่าวถึง
พระเทวทัตลักษณะน้ันอาจก่อเวรกรรมขึ้นมาโดนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ถ้าจะกล่าวถึงในลักษณะของ
ความเป็นจริง นกตัวอน่างว่าพระเทวทัตทาอน่างนี้ เป็นส่ิงที่ไม่ดี โดนไม่นาความรู้สึกส่วนตัว ความไม่
พอใจเข้าไปขณะทก่ี ล่าวถึง เพือ่ ทจ่ี ะนกตัวอน่างเป็นอุทาหรณ์แก่บุคคลทั่วไป ก็น่าจะเป็นการกระทาที่
เหมาะสมกวา่
พระเทวทตั เป็นบคุ คลทม่ี ีประวัตนิ ่าศึกษาเป็นอน่างนิ่งในแนวของความเห็นผิด อันนามาสู่
การกระทาความชั่ว และผลกรรมจากการกระทาดังกล่าวมานาเสนอในแนวทางป้องกันการ
กระทาความผิด พระเทวทัตเป็นผู้ที่พุทธศาสนิกชนรู้จักกันเป็นอน่างดีจากเรื่องราวในคัมภีร์ทาง
พระพุทธศาสนา พระเทวทัตได้ทากรรมท่ีเป็นอกุศลกรรม ประพฤติทุจริตทางกาน ทางวาจา และ
ทางใจ อาทิเช่น ในชาติก่อนท่ีจะเกิดเป็นพระเทวทัตตามประวัติได้กล่าวถึงพระเทวทัตในชาดกต่าง ๆ
ในลักษณะเปน็ คเู่ วรของพระพุทธเจ้าเฉพาะทีป่ รากฏในคมั ภรี ์ชาดกทง้ั หมด ๗๘ ชาดก๔ โดนชาติแรกท่ี
เป็นปฐมในการจองเวรน่ันคือ ในเสรีววาณิชชาดก ซึ่งพระโพธิสัตว์ได้เสวนพระชาติเป็นพ่อค้า
ช่ือเสรีวบัณฑิต ฝ่านพระเทวทัตได้ถือกาเนิดเป็นพ่อค้าชื่อเสรีวพาล เขาได้หลอกซ้ือขานสินค้าแก่
๒ ข.ุ ธ.อ. (ไทน) ๔๒/๖ .
๓ ข.ุ ธ.อ. (ไทน) ๔๐/ ๘๗.
๔ ข.ุ ชา.อ. (ไทน) ๕๗/๔๐ -๔๐๒.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๓
ประชาชน ถกู พระโพธิสัตว์ซ้ือสินค้าตดั หนา้ ทาใหเ้ ขาเสนี ใจเป็นอนา่ งนิ่ง ไดผ้ กู อาฆาตในพระโพธิสัตว์๕
นับแตช่ าตนิ ้ี พระเทวทัตได้คอนจองล้างจองผลาญกับพระพุทธเจ้ามาจนถึงในชาติปญจจุบันและได้บวช
เป็นภิกษุ ช่ือว่า พระเทวทัตเป็นพระสงฆ์ที่ทาให้ชาวพุทธเข้าใจในสานวนที่ว่า “ถ้ามารไม่มี บารมีไม่
เกิด” พระเทวทัตได้ทากรรมไว้มากมานในฝ่านอกุศลกรรม อาทิเช่น มีความอิจฉาต่อพระพุทธเจ้าเกิด
ความโลภในเอกลาภปรารถนาเลีน้ งชีพดว้ นการหลอกลวงพระเจ้าอชาตศัตรู อีกทั้งนังลอบปลงพระชนม์
พระพุทธเจ้าและก่อการ ทาสังฆเภท๖ ทาให้คณะสงฆ์แตกแนกกัน ซึ่งเป็นกรรมหนัก
ทางพระพุทธศาสนาจัดว่าเป็นอนันตรินกรรม และในท้านท่ีสุดด้วนผลกรรมส่งผลให้พระเทวทัต
ถูกแผ่นดินสูบลงไปต้ังแต่ข้อเท้า สะเอว จนถึงคาง ในขณะที่จมลงถึงคาง ท่านคิดว่า บาปกรรมของ
ท่านถึงท่ีสุดแล้ว ก็หวนระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า และได้กล่าวคาสรรเสริญพระพุทธคุณว่า
“ข้าพเจ้าขอถึง พระพุทธองค์ ผู้เป็นบุคคลเลิศ เป็นเทพนิ่งกว่าเทพ เป็นสารถี ฝึกนรชน มีพระจักษุเห็น
รอบด้าน ทรงบุญลักษณะนับร้อนพระองค์นั้น ด้วนลมปราณกับกระดูกทั้งหลานเหล่าน้ี”๗ จนถึงแก่
มรณภาพและไปบังเกิดในอเวจีมหานรกสิ้น กัป
พระพุทธองค์ทรงทานานให้พุทธบริษัทฟญงว่า พระเทวทัตเมื่อเสวนทุกข์อนู่ในนรกอเวจี
กปั แลว้ ภานหลงั จกั ได้กลับมาเกดิ เป็นมนษุ นแ์ ละจะได้ตรสั รู้เป็นพระปญจเจกพุทธเจ้านามว่า อัฏฐิสสระ
ดว้ นอานาจผลบุญท่ถี วานกระดูกคางเป็นพุทธบูชา๘
ด้วนเหตุน้ี ผู้วิจันจึงเลือกที่จะทาวิทนานิพนธ์เร่ืองนี้ก็เพราะเห็นว่าการท่ีพระเทวทัตซ่ึงเป็น
บุคคลที่ใกล้ชิดพระพุทธเจ้ามากท่ีสุดผู้หน่ึง แต่กลับประพฤติกรรมชั่วมากมาน หาได้ส่งผลให้
พระพุทธศาสนาเกิดความมัวหมองไม่ แต่กลับทาให้พระพุทธศาสนาปรากฏเด่นชัดข้ึน เปรีนบเหมือนกับ
สีดาทาให้สีขาวเด่นชัดข้ึน จึงถือว่าท่านเป็นบุคคลที่มีความสาคัญมากผู้หนึ่งในทางพระพุทธศาสนา
ผู้วิจันจึงมีความประสงค์ที่จะศึกษาวิเคราะห์กรรมของพระเทวทัตที่ปรากฏในพระพุทธศาสนาเถรวาท
สามารถนามาสั่งสอนประชาชนได้อน่างถูกต้องและการทากรรมของพระเทวทัตน้ันมีผลเป็นอน่างไร
เพือ่ ชนี้ าให้พุทธศาสนิกชนเลือกถือปฏิบัติเอาแต่สิ่งที่ดีละเว้นชั่วทาแต่ความดี
๕ ข.ุ ชา.อ. (ไทน) ๕๕/ - ๗๐.
๖ ว.ิ จู. (ไทน) ๗/๓๔๔/ ๕๘.
๗ ข.ุ ธ.อ. (ไทน) ๔๐/ ๙๘.
๘ ข.ุ ธ.อ. (ไทน) ๔๐/ ๙๙.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๔
๑.๒ วตั ถุประสงคข์ องกำรวิจัย
.๒. เพ่อื ศกึ ษาหลกั กรรมท่ีปรากฏในพระพุทธศาสนาเถรวาท
.๒.๒ เพ่อื ศึกษาการกระทากรรมของพระเทวทัต
.๒.๓ เพื่อศกึ ษาวิเคราะหผ์ ลกรรมของพระเทวทัตทป่ี รากฏในพระพุทธศาสนาเถรวาท
๑.๓ ขอบเขตของกำรศกึ ษำวิจยั
การวิจันนี้มีจุดประสงคท์ ีจ่ ะศกึ ษาวเิ คราะห์กรรมของพระเทวทัตท่ีปรากฏในพระพุทธศาสนา
เถรวาท โดนชี้ให้เห็นถึงกรรมในพระพุทธศาสนา กรรมของพระเทวทัต ผลกรรมของพระเทวทัตท่ีปรากฏ
ในพระพุทธศาสนาเถรวาท
๑.๔ วิธีดำเนินกำรวิจัย
การวิจนั คร้งั น้ีเปน็ การวิจันเชิงเอกสาร (Documentary Research) มีขัน้ ตอนดังต่อไปนี้
.๔. มีการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารปฐมภูมิ ทุตินภูมิ และงานวิจันตาราต่าง ๆ ที่
เก่นี วขอ้ งกับเร่อื งท่ีต้องการศึกษา
.๔.๒ วิเคราะห์การกระทากรรมของพระเทวทตั ทีป่ รากฏในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท
.๔.๓ สรุปผลการศึกษาการกระทากรรมของพระเทวทัตท่ีปรากฏในพระพุทธศาสนา
เถรวาท
.๔.๔ เสนอแนะเนื้อหาเพ่ิมเติมบางประเด็นที่ได้จากการศึกษาเพื่อประโนชน์ทางด้าน
วชิ าการอนา่ งน่ังนนื ตอ่ ไป
๑.๕ นิยำมศัพทเ์ ฉพำะท่ใี ช้ในกำรวจิ ัย
กรรม หมานถงึ การกระทาท่ปี ระกอบด้วนเจตนา คือ ทาดว้ นความจงใจทา ดีก็ตาม ชว่ั ก็ตาม
ผลกรรม หมานถึง สิ่งที่เกิดขึ้นกับการกระทา เรีนกว่า ผลของกรรม ในท่ีนี้หมานถึง ส่ิงที่
เกดิ ข้นึ จากการกระทาดี หรือสง่ิ ทเี่ กดิ ขน้ึ จากการกระทาช่ัว
พระเทวทัต ในคัมภีร์ท้ังหลานมีใช้ท้ังคาว่า เทวทัตต์ และ เทวทัต แต่ในวิทนานิพนธ์เล่มนี้
ผวู้ จิ นั จะใชค้ าวา่ พระเทวทัต
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๕
๑.๖ ทบทวนเอกสำรและงำนวิจัยที่เกีย่ วข้อง
ผวู้ จิ นั ได้ศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ันตา่ งๆ ทเ่ี กีน่ วข้องโดนมีรานละเอีนดดังต่อไปน้ี
วศิน อินทสระ ได้กล่าวถึงพระเทวทัตไว้ในหนังสือ หลักกรรมและการเวีนนว่านตานเกิด
ในหัวข้อ ผลแห่งกรรมที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ดังนี้ว่า ชาติหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงฆ่า
น้องชานต่างมารดาเพราะอนากได้ทรัพน์เพีนงผู้เดีนว โดนผลักน้องชานลงซอกเขาเอาหินทุ่ม ด้วนผลแห่ง
กรรมน้ัน ในพระชาติสุดท้านท่ีเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จึงถูกพระเทวทัตปองร้านเอาศิลาทุ่ม แต่เพราะ
กรรมนนั้ เบาบางมากแล้วจึงไมถ่ กู อนา่ งจัง ถกู เพีนงสะเก็ดเล็กนอ้ นทีน่ ิ้วพระบาทเทา่ นั้น๙
เจอื สตะเวทิน กล่าวถึงพระเทวทัตไว้ในหนังสือ วรรณคดีพระพุทธศาสนา เล่ม ๒ สรุป
เป็นใจความได้ดังน้ี พระเทวทัต เป็นบุคคลท่ีมีอุปนิสันทะเนอทะนานเป็นอน่างนิ่ง และนังเป็นผู้ท่ีมี
จิตใจประกอบด้วนความอิจฉาริษนาและอาฆาตมาดร้านด้วน ท่านเกิดมาเพ่ือเป็นอันธพาลโดนแท้
เม่ือท่านออกผนวชแล้ว ทรงคบคิดกับเจ้าชานอชาตศัตรูให้กระทาการปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสาร
ซึ่งเป็นพระราชบิดา และต้ังตัวเป็นปรปญกษ์กับพระพุทธองค์เพราะต้องการจะเป็นใหญ่ในพระศาสนา
ทา่ นไดป้ ระกอบกรรมร้านต่อพระพทุ ธองค์หลาน ๆ ครง้ั เป็นตน้ วา่ ปลอ่ นช้างนาฬาคีรีซึ่งกาลังตกมันไป
ทาร้านพระพุทธองค์ในระหว่างที่เสด็จไปสู่กรุงราชคฤห์ แต่ก็ไม่สาเร็จ เพราะอานาจแห่งเมตตาบารมี
ของพระองค์ ทาให้ชา้ งเปลี่นนทา่ ทีทีด่ รุ ้านกลบั กลานเป็นแสดงความเคารพต่อพระองค์ หรือแม้กระท่ัง
การท่ีพระเทวทัตกล้ิงหินลงมาเพ่ือจะให้ทับพระองค์ถึงสิ้นพระชนม์ แต่ด้วนอานาจบารมี มีเพีนง
สะเก็ดศิลาช้ินหนึ่งแตกออกมาต้องพระองค์ให้ห้อพระโลหิตเท่านั้น แต่กระนั้น ก็นับว่าเป็น
อนนั ตรินกรรมส่วนหนึง่ ในบน้ั ปลาน พระเทวทัตจงึ ได้มรณภาพอนา่ งสนดสนอง คอื ถูกแผ่นดนิ สบู ๐
สมัคร บุรำวำศ กล่าวถึงพระเทวทัตไว้ในหนังสือ ปรีชาญาณของสิทธัตถะ สรุปได้
ใจความดังน้ี พระเทวทัตเป็นคนพาลสันดานหนา เป็นคู่สร้างเวรกรรมมาแก่พระพุทธองค์ ท่านมาเกิด
เป็นศักนราชกุมารร่วมพระวงศ์ เม่ือออกบวชแล้วก็ได้บรรลุฌานโลกีน์ มีความปรารถนาในลาภและ
สักการะ ก็เข้าฌานทาปาฏิหาริน์ให้เจ้าชานอชาตศัตรูเห็นจนได้รับลาภและสักการะมากมาน แล้วนุนง
ให้เจ้าชานอชาตศัตรูกระทาปิตุฆาต และด้วนความท่ีมีจิตอาฆาตในพระพุทธองค์เป็นทุนเดิมจึงได้
๙ วศิน อินทสระ, หลักกรรมและกำรเวียนว่ำยตำยเกิด. (กรุงเทพมหานคร : บริษัท ขุมทอง
อตุ สาหกรรมและการพิมพ์ จากัด, ๒๕๕๕), หนา้ ๙๒.
๐ เจือ สตะเวทิน, วรรณคดีพุทธศำสนำ เล่ม ๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาพระสุเมรุ,
๒๕ ๕), หน้า ๖๔–๖๕.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๖
ลอบปลงพระชนม์พระพุทธองค์หลานคร้ังหลานครา แต่ผลก็คือพระพุทธองค์ทรงชนะอน่างอหิงสา
และกาลต่อมา ท่านเสื่อมจากลาภสักการะจึงประสงค์จะปกครองสงฆ์เอง แต่พระพุทธองค์ไม่ทรง
อนุญาต ทา่ นจึงกระทาสงั ฆเภทและทลู ขอวตั ถุ ๕ ประการ สดุ ทา้ นของชวี ิตท่านได้ถูกแผ่นดินสูบจนถึง
แก่มรณภาพ บทบาทของพระเทวทัตหาได้ทาความมัวหมองใด ๆ แก่พระพุทธองค์ไม่ มีแต่จะเพ่ิมพูน
เกีนรติคณุ ใหแ้ ก่พระพทุ ธองคม์ ากขน้ึ อนา่ งเดนี ว
อดิศักดิ์ ทองบุญ กล่าวถึงพระเทวทัตไว้ในหนังสือ คาให้การของพระเทวทัต สรุปเป็น
ใจความได้ดังน้ี พระเทวทัต ถึงแม้ว่าท่านจะทาส่ิงท่ีไม่ดีมาจนตลอดชีวิต แม้แต่หลังจากที่บวชเข้า
มาแล้วก็ตาม ด้วนความท่ีท่านเกิดความน้อนใจที่คนท้ังหลานเม่ือเข้ามาวัดก็ถามหาแต่พระสารีบุตร
พระมหาโมคคัลลานะ และพระอานนท์เป็นต้น ไม่มีใครถามหาท่านเลน ท่านก็เลนเกิดมานะถือตัวว่า
ตัวท่านก็เป็นกษัตริน์เช่นเดีนวกัน จึงแสวงหาคนมาเป็นพวก ก็ไม่เห็นใครเหมาะสมเท่ากับเจ้าชาน
อชาตศัตรู จึงได้ทาปาฏิหาริน์ให้เจา้ ชานเลอื่ มใส แล้วคบคิดกบั เจา้ ชานทากรรมชั่วหลานประการ แต่ใน
บั้นปลานของชีวิต ท่านเกิดสานึกผิดและได้ถวานร่างกานของตัวเองและลมหานใจเป็นพุทธบูชา เพ่ือ
เป็นการไถ่ถอนความผิดท่ีได้ทาไว้แก่พระพุทธองค์ และก็ได้รับคาพนากรณ์จากพระพุทธองค์ว่า
หลังจากที่ท่านพ้นจากอเวจีมหานรกแล้วก็จะได้มาบังเกิดเป็นมนุษน์อีก และจะได้สาเร็จเป็น
พระปญจเจกพทุ ธเจ้านามว่าอัฏฐิสสระ ซ่ึงเป็นการแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ท่านจะเป็นคนที่ต้นคด แต่ว่ามี
ปลานตรง ๒
พระเทพวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ) ได้กล่าวไว้ในหนังสือกฎแห่งกรรมว่า “อันโชคดี
หรือโชคร้านท่ีเราได้ประสบอนู่ปญจจุบัน ไม่ใช่ขึ้นอนู่กับอานาจภานนอกหรืออานาจดวงดาวใด ๆ เลน
แท้ท่จี ริง ข้ึนอนู่กบั ผลกรรมที่เราไดส้ ง่ั สมไว้ในอดตี ติดตามมาให้ผลในปญจจุบันน้ันเอง และการท่ีเราจะ
ได้รับความสุขหรือความทุกข์อนู่ในปญจจุบัน ไม่ใช่ขึ้นอนู่กับกรรมที่เราได้สร้างไว้ในปญจจุบันอน่างเดีนว
อาจขึน้ อนกู่ ับกรรมในอดตี ด้วน เราตอ้ งนอมรับอดีตชาติ ต้องนอมรับการกระทาของเราในวัน ในเดือน
สมคั ร บรุ าวาศ, ปรชี ำญำณของสทิ ธตั ถะ, (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์ศนาม บริษัท เคล็ดไทน
จากดั , ๒๕๓๗), หน้า ๐– ๔.
๒ อดิศักด์ิ ทองบุญ, คำให้กำรของพระเทวทัต, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราช
วทิ นาลัน, ๒๕๔๐), คานาหน้า ๒-๔.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๗
ในปี และในชาติที่ผ่านมา ว่าเป็นส่ิงท่ีเราทาไว้เอง และสิ่งท่ีเราทาในปญจจุบัน เราก็ต้องนอมรับด้วนว่า
นัน้ คือสง่ิ ทด่ี ลบนั ดาลชีวิตของเราให้เป็นไปในอนาคตและเปน็ ไปตามกฎแหง่ กรรมนน้ั ” ๓
อิทธิพล แก้วพิลำ กล่าวไว้ในวิทนานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต เรื่องการศึกษาเชิง
วิเคราะห์เร่ืองสังฆเภทในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท มีใจความว่า พระเทวทัต มีความเลื่อมใสใน
พุทธศาสนาจนถึงกับเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุได้บาเพ็ญสมณธรรมจนสาเร็จขั้นโลกีนฤทธิ์ มีจิตใจ
กาเริบโอหังปรารถนาจะบริหารคณะสงฆ์แทนพระพุทธองค์ด้วนอานาจแห่งลาภสักการะครอบงา แต่
พระองค์ไม่ทรงอนุญาต จึงเกิดความอาฆาตปรารถนาจะทาร้านพระพุทธองค์ด้วนวิธีการต่าง ๆ เช่น
ส่งนานขมังธนูไปดักซุ่มทาร้านพระพุทธองค์ในระหว่างทางเสด็จก็ไม่สาเร็จ สั่งให้ราชบุรุษปล่อนช้าง
นาฬาคีรีเพื่อทาร้านพระองค์ก็ไม่สาเร็จ แล้วตนเองขึ้นไปบนภูเขาคิชฌกูฏเพ่ือกลิ้งก้อนหินลงไปทับ
พระองค์ก็ไม่สาเร็จ และในท่ีสุดจึงเสนอวัตถุ ๕ ประการให้พระภิกษุสงฆ์ประพฤติปฏิบัติตาม
พระเทวทัตได้กระทาอนันตรินกรรมถึง ๒ อน่าง คือ โลหิตุปบาท คือ ทาร้านพระวรกานของ
พระพทุ ธเจา้ จนพระโลหติ ห้อขึน้ และทาสังฆเภท คือทาลานสงฆใ์ ห้แตกกนั ๔
พระมหำสมชัย สิริวฑฺฒโน ได้กล่าวถึงความเชื่อเรื่องกรรมเก่ากรรมใหม่ของคนไทนที่
นับถือพระพุทธศาสนา ไว้ในวิทนานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต เร่ือง “หลักธรรมทาง
พระพทุ ธศาสนาทป่ี รากฏอนู่ในบทเพลงลกู ทุ่งไทน” ตอนหน่งึ ดงั นี้
“คนไทนที่นับถือพระพุทธศาสนา ส่วนมากมีความเชื่อเรื่องกรรมเก่ากรรมใหม่ โดนมี
ความเชื่อวา่ เปน็ เพราะกรรมเปน็ ตัวผลกั ดนั จงึ ทาให้มีชวี ิตในชาตินี้มคี วามแตกต่างกัน และมีไม่น้อนท่ี
พนานามนกเอาเร่ืองกรรมเวร ไปสอดคล้องกับเรื่องของความรัก และนังนาไปตัดสินในเร่ืองของความ
จน รวน โดนเช่ือว่าคนท่ีร่ารวนในชาตินี้น้ัน เป็นเพราะกรรมดีท่ีสร้างไว้ในชาติปางก่อน แม้กระท่ังการ
พลัดพรากจากกัน กน็ ังมีความเชอื่ วา่ เปน็ เพราะเวรกรรม” ๕
๓ พระเทพวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ), กฎแห่งกรรม, พิมพ์คร้ังที่ ๕, (กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎ
ราชวทิ นาลัน, ๒๕๓๗), หนา้ ๓.
๔ อิทธิพล แก้วพิลา, “การศึกษาเชิงวิเคราะห์เร่ืองสังฆเภทในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท”,
วิทยำนิพนธ์ศิลปศำสตรมหำบัณฑิต, (สาขาพุทธศาสน์ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ : มหาวิทนาลันธรรมศาสตร์,
๒๕๔๕), หน้า ๖.
๕ พระมหาสมชัน สิริวฑฺฒโน (ศรีนอก), “หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาท่ีปรากฏอนู่ในบทเพลง
ลูกทุง่ ไทน”, วิทยำนิพนธพ์ ุทธศำสตรมหำบัณฑติ , (สาขาวิชาพระพุทธศาสนา บัณฑิตวิทนาลัน : มหาวิทนาลันมหา
จุฬาลงกรณราชวิทนาลนั , ๒๕๓๗), หนา้ ๔๙.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๘
พระมหำไกรวรรณ ชินทตฺติโย ศึกษาวิจันเรื่องบทบาทของพระเทวทัตที่ปรากฏใน
คัมภีร์พระพุทธศาสนา จากการศึกษา พบว่าท่านเป็นผู้มีอุปนิสันไม่ดี ถูกความโลภครอบงา
เหตุเนื่องมาจากท่านน้อนใจในเหล่าอุบาสกอุบาสิกาที่ให้ความสนใจแต่กับพระอรินสงฆ์เท่านั้น ซ่ึงถือ
ได้ว่าเป็นจุดเร่ิมต้นแห่งการทาส่ิงไม่ดีในชาติปญจจุบัน และเมื่อท่านได้อชาตศัตรูกุมารมาเป็นอุปญฏฐาก
จึงถูกลาภสักการะครอบงา แล้วความทะเนอทะนาน ความมักใหญ่ใฝ่สูงก็ติดตามมา จนเป็นเหตุ
ทาลานตนเองให้น่อนนับ
แต่ในอีกแง่หน่ึงน้ัน ท่านถือได้ว่าเป็นบุคคลที่เก่งมากคนหน่ึง ดังท่ีท่านสามารถพูดจูงใจ
อชาตศตั รกู มุ าร นานควาญช้าง รวมไปถึงภิกษุเหล่าวัชชีบุตร ๕๐๐ รูปให้หลงเช่ือท่านได้ และท่านนัง
เปน็ นกั วางแผนชั้นนอดดงั ได้กลา่ วแลว้ ในเร่ืองของนานขมงั ธนู
ถ้าหากว่าท่านได้เช่ือฟญงปฏิบัติตามคาสอนของพระพุทธองค์ ก็คงจะเป็นพระสาวกท่ีน่า
เคารพนบั ถือรูปหนึง่ ในพระพุทธศาสนา
อาจกล่าวไดว้ า่ สาเหตทุ ท่ี าใหท้ ่านมีอุปนสิ ันในทางไม่ดนี ัน้ เปน็ เพราะว่าในอดีตชาติท่านมี
ความเห็นผิด จึงได้ทาแต่สิ่งไม่ดี จนเป็นอุปนิสันติดอนู่ในกมลสันดานข้ามภพข้ามชาติมาจนถึงชาติ
ปจญ จุบัน นงิ่ พจิ ารณาเฉพาะปจญ จุบันชาติแล้ว ท่านนับว่าเป็นบุคคลท่ีน่าสงสารเป็นน่ิงนัก เพราะท่านได้
พบกับพระพุทธองค์ ได้ฟญงธรรม และประพฤติปฏิบัติธรรมของพระองค์ กระท่ังได้บรรลุฌานและได้
ฤทธ์ิของปุถุชน แต่ว่าท่านกลับถูกความโลภครอบงา เปน็ เหตใุ ห้ทาตัวกระดา้ งกระเด่ือง และไม่นอมรับ
ความช่วนเหลือจากพระพุทธองค์ จนในท่ีสุด ก็แพ้ภันตัวเอง ต้องถูกแผ่นดินสูบ แต่อน่างไรก็ตาม
ท่านก็ถือว่านังได้ทาความดีส่งท้าน คือได้ถวานกระดูกคางเป็นพุทธบูชา แม้ว่าจะได้ไปบังเกิดในอเวจี
มหานรก แต่ในอนาคต ทา่ นก็จะกลบั มาเกดิ เป็นพระปจญ เจกพุทธเจ้า ๖
พระอุทัย จิรธมฺโม (เอกสะพัง) ได้เสนอวิทนานิพนธ์พุทธศาตรมหาบัณฑิต สาขา
ปรัชญา บัณฑิตวิทนาลัน มหาวิทนาลันมหาจุฬาลงกรณราชวิทนาลัน เรื่อง “ทัศนะเรื่องกรรมใน
พระพทุ ธศาสนาเถรวาท และปญญหาเร่อื งกรรมในสงั คมชาวพทุ ธไทนปญจจุบนั ” มีข้อความตอนหน่ึงว่า
“พูดถึงความแน่นอนของกรรมแล้ว นักศึกษาธรรมะที่กล่าวว่าเป็นกฎธรรมชาตินั้นมัก
นาไปเทีนบกับความแน่นอนของพืช กล่าวคือ พืชพันธ์ุใดก็ตามเม่ือปลูกลงไปในดินแล้ว ก็จะผลิดอก
ออกผลมาเป็นพันธุ์เดิมของตน โดนสิ่งแวดล้อมไม่สามารถเปล่ีนนแปลงไปเป็นพันธ์ุอ่ืนไปได้ กรรมก็
๖ พระมหาไกรวรรณ ชินทตฺติโน (ปุณขนั ธ์), “การศึกษาวเิ คราะหบ์ ทบาทของพระเทวทัตที่ปรากฏใน
คัมภีร์พระพุทธศาสนา”, วิทยำนิพนธ์พุทธศำสตรมหำบัณฑิต, (สาขาวิชาพระพุทธศาสนา บัณฑิตวิทนาลัน :
มหาวทิ นาลันมหาจุฬาลงกรณราชวทิ นาลัน, ๒๕๔๗), หนา้ ๐๕- ๐๖.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๙
เช่นเดีนวกันเมื่อทาไปแล้วท้ังดีและชั่ว ส่ิงแวดล้อมหรือกาลเวลา ไม่สามารถเปลี่นนกรรมดีให้เป็น
กรรมช่ัวและกรรมช่วั ใหเ้ ป็นกรรมดีได้” ๗
สรุปได้ว่า เรื่องกรรมเป็นเร่ืองที่ชาวพุทธทุกคนมีความเช่ือเป็นส่วนใหญ่ในอดีตแต่
ปญจจุบนั ก็จะเหน็ ไดจ้ ากขา่ วต่าง ๆ ได้แพร่กระจานใหเ้ ห็นว่าคนทุกวนั น้ีไม่ใส่ใจเรื่องกรรมสักเท่าไร เช่น
จี้ ปล้น ลัก ขโมน ข่มขืน จนถึงฆ่า เป็นต้น สมันพุทธกาลก็มีพระเทวทัตผู้ซึ่งมีบทบาทอน่างมากที่เป็น
ตัวอน่างเป็นแบบอน่างในการศกึ ษาในการปฏิบตั ิถึงการกระทาหรอื กรรมนั้นมผี ลเป็นอนา่ งไร
๑.๗ ประโยชนท์ ี่ได้รับจำกกำรวิจัย
.๗. ทาให้รู้ถึงหลักกรรมท่ปี รากฏในพระพุทธศาสนาเถรวาท
.๗.๒ ทาให้ทราบถงึ การกระทากรรมของพระเทวทัต
.๗.๓ ทาให้ทราบผลของกรรมท่เี กดิ จากการกระทาของพระเทวทตั
๗ พระอุทัน จริ ธมโฺ ม (เอกสะพัง), “ทศั นะเร่ืองกรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท และปญญหาเร่ืองกรรม
ในสังคมชาวพุทธไทนปญจจุบัน”, วิทยำนิพนธ์พุทธศำสตรมหำบัณฑิต, (สาขาปรัชญา บัณฑิตวิทนาลัน :
มหาวทิ นาลนั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทนาลัน, ๒๕๔๓), หนา้ ๕.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
บทท่ี ๒
หลักกรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท
สำหรับบทที่ ๒ ผู้วิจัยจะได้ศึกษำเรื่องกรรม ตำมแนวทำงของพระพุทธศำสนำเถรวำทที่
ปรำกฏเป็นหลักคำสอนในพระสูตรต่ำง ๆ และคำอธิบำยเกี่ยวกับเรื่องกรรมในพระไตรปิฎกซึ่งถือว่ำ
เป็นพื้นฐำนในกำรศึกษำเรื่องกรรม โดยศึกษำในประเด็นดังต่อไปนี้ คือ (๑) ควำมหมำยของกรรม
(๒) ประเภทของกรรม (๓) ลักษณะของกรรม (๔) สรุปแนวคิดทฤษฎีที่เก่ียวข้องกับกรรมใน
พระพทุ ธศำสนำเถรวำท
ศำสนำพุทธเป็นศำสนำแหง่ ปญั ญำ พระพุทธองค์ทรงสอนใหศ้ ำสนิกชนใช้เหตุผล และกำร
ทดสอบด้วยตัวของเรำเองก่อนจะเช่ือ มีบำงเร่ืองเท่ำน้ันท่ีทรงสอนให้เชื่อโดยไม่ตรัสสอนให้ทดสอบ
ก่อน ทงั้ นี้อำจเพรำะ (๑) เกนิ ปัญญำของคนธรรมดำ และ (๒) ทดสอบแล้วอำจเกิดควำมเสียหำย เช่น
ไปทำปิตุฆำต เพื่อพิสูจน์กรรมช่ัว เร่ืองท่ีทรงสอนให้ใช้ศรัทธำเป็นตัวนำ มี ๔ ประกำร เก่ียวข้องกับ
กรรม ๔ ประกำร คือ
๑. กัมมสัทธำ เชื่อกรรม, เช่ือกฎแห่งกรรม, เชื่อว่ำกรรมมีอยู่จริง คือ เช่ือว่ำเม่ือทำอะไร
โดยมีเจตนำ คือ จงใจทำท้ังท่ีรู้ ย่อมเป็นกรรม คือ เป็นควำมช่ัวควำมดี มีข้ึนในตน เป็นเหตุปัจจัย
ก่อให้เกิดผลดีผลร้ำยสืบเน่ืองต่อไป กำรกระทำไม่ว่ำงเปล่ำ และเชื่อว่ำผลท่ีต้องกำรจะสำเร็จได้ด้วย
กำรกระทำ มิใชด่ ้วยออ้ นวอนหรอื นอนคอยโชค เป็นต้น
๒. วปิ ำกสทั ธำ เช่ือวิบำก, เช่ือผลของกรรม, เชื่อว่ำผลของกรรมมีจริง คือ เช่ือว่ำกรรมท่ี
ทำแลว้ ตอ้ งมีผล และผลตอ้ งมเี หตุ ผลดีเกดิ จำกกรรมดี ผลช่วั เกดิ จำกกรรมช่ัว
๓. กัมมสั สกตำสัทธำ เชอื่ ควำมทีส่ ัตวม์ ีกรรมเปน็ ของของตน, เชือ่ ว่ำแต่ละคนเป็นเจ้ำของ
จะตอ้ งรบั ผิดชอบเสวยวบิ ำกเป็นไปตำมกรรมของตน
๔. ตถำคตโพธิสัทธำ เช่ือควำมตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ำ, มั่นใจในองค์พระตถำคตว่ำทรง
เป็นพระสัมมำสมั พทุ ธะ ทรงพระคณุ ทัง้ ๙ ประกำร ตรสั ธรรม บัญญตั วิ ินัยไว้ด้วยดี ทรงเป็นผู้นำทำงท่ี
แสดงให้เห็นว่ำ มนุษย์คือเรำทุกคนนี้ หำกฝึกตนด้วยดีก็สำมำรถเข้ำถึงภูมิธรรมสูงสุดบริสุทธิ์หลุดพ้น
ได้ ดังท่พี ระองคไ์ ด้ทรงบำเพญ็ ไวเ้ ปน็ แบบอยำ่ ง
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๑๑
ศรัทธำ ๔ อยำ่ งน้ี มมี ำในบำลเี ฉพำะขอ้ ท่ี ๔ อยำ่ งเดียว เพรำะว่ำโดยใจควำมแล้ว ศรัทธำ
๓ ขอ้ ต้น ย่อรวมลงในขอ้ ท่ี ๔ ได้ทัง้ หมด๑
๒.๑ ความหมายของกรรม
ควำมหมำยของกรรมท่ีพระพุทธเจ้ำทรงตรัสแสดงไว้ในแต่ละครำวน้ัน มีควำมหมำยเป็น
นัยเดียวกัน คือ ต้องประกอบด้วยเจตนำ และจะแสดงออกได้ ๓ ทำง คือ ทำงกำย ทำงวำจำ และ
ทำงใจ อยำ่ งในนพิ เพธกิ สตู ร พระพทุ ธองค์ทรงแสดงถึงคุณลกั ษณะของกรรมเอำไวว้ ำ่
“...เรำกล่ำวไว้เช่นนี้แลว่ำ เธอท้ังหลำยพึงทรำบกรรม ฯลฯ ข้อปฏิบัติให้ถึงควำมดับแห่ง
กรรม๒ เพรำะอำศัยเหตุอะไรเรำจึงกล่ำวไว้เช่นน้ัน ภิกษุทั้งหลำย เพรำะอำศัยเหตุนี้ว่ำ เรำกล่ำว
เจตนำว่ำเป็นตวั กรรม บุคคลคิดแล้ว จงึ กระทำกรรมดว้ ยกำย วำจำ ใจ”๓
ในอรรถกถำของพระสูตรนี้ พระอรรถกถำจำรย์ได้อธิบำยคำว่ำเจตนำเอำไว้ว่ำ พระผู้มี
พระภำคเจ้ำทรงหมำยเอำเจตนำท่ีมีกำรจัดแจง (สัมปยุตธรรม) ท่ีรวมธรรมทุกอย่ำง (กุศลธรรมและ
อกุศลธรรม) ไว้๔
ใน กัมมนโิ รธสตู ร พระพุทธเจ้ำทรงใหค้ วำมหมำยของคำวำ่ กรรมเกำ่ และกรรมใหม่ วำ่
กรรมเก่า คือ จักขุ (ตำ) โสตะ (ห)ู ฆำนะ (จมกู ) ชวิ หำ (ลิ้น) กำยและมโน (ใจ) อันบัณฑิต
พึงเห็นวำ่ เปน็ กรรมเก่ำ ถูกปัจจัยปรงุ แต่ง สำเรจ็ ดว้ ยเจตนำเป็นทต่ี งั้ แหง่ เวทนำ นเี้ รียกว่ำ กรรมเกำ่
กรรมใหม่ คอื กรรมทบ่ี คุ คลทำดว้ ยกำย วำจำ ใจ
ความดบั กรรม คือ นโิ รธทถ่ี กู ต้องวิมุตติ เพรำะดับกำยกรรม วจีกรรม และมโนกรรมได้
ปฏปิ ทาที่ให้ถงึ ความดับกรรม คอื อรยิ มรรคมอี งค์ ๘
ในพทุ ธพจนท์ ีก่ ล่ำวมำข้ำต้น พระอรรถกถำจำรย์ไดอ้ ธิบำยเพ่ิมเติมว่ำอำยตนะทั้ง ๖ มี ตำ
หู จมกู ลนิ้ กำย และใจ ดงั ท่ีปรำกฏในอรรถกถำกรรมสูตรว่ำ “จักษุ ไม่เป็นของเก่ำ กรรมต่ำงหำเป็น
๑ องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๔/ -๖, อภิ.วิ. (ไทย) ๓ /๗๙๓/ ๐๙. ดูรำยละเอียดเพ่ิมเติมใน พระธรรม
ปิฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม, ๒ ๔๓, หน้ำ ๑๖๔-๑๖ .
๒ เธอทั้งหลายพึงทราบกรรม ฯลฯ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งกรรม หมำยถึง เธอทั้งหลำยพึง
ทรำบกรรม เหตเุ กิดแหง่ กรรม ควำมต่ำงกันแหง่ กรรม วิบำกแหง่ กรรม ควำมดับแห่งกรรม และข้อปฏิบัติให้ถึงควำม
ดับแหง่ กรรม (อง.ฺ ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/๖๓/ ๗๑, องฺ.ฉกกฺ . (ไทย) ๒๒/๖๓/ ๗๗- ๗๘.)
๓ องฺ.ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/๖๓/ ๗๗.
๔ อง.ฺ ฉกฺก. (ไทย) ๓๖/๓๓๔/๒๗ .
ส.ส. (ไทย) ๑๘/๑๔๖/๑๗๙, ส.ส.อ. (ไทย) ๒๘/๒๒๗/๒๗ .
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๑๒
ของเกำ่ ตำมชอ่ื แห่งปจั จยั เพรำะเกิดแตก่ รรม”๖ ดังนน้ั อำยตนะท้งั ๖ นี้ มีจักษุเป็นต้น เป็นตัวรับรู้ผล
กรรมท่ีไดก้ ่อไปแล้วทำงกำย ทำงวำจำ ทำงใจ ซึง่ ตอ้ งประกอบด้วยเจตนำ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ได้ให้ควำมหมำยของกรรมไว้ใน พจนำนุกรมพุทธ
ศำสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ ว่ำ กรรม กำรกระทำ หมำยถึง กำรกระทำที่ประกอบด้วยเจตนำ คือ
ทำด้วยควำมจงใจหรือจงใจทำ ดีก็ตำม ชั่วก็ตำม เช่น ขุดหลุมพรำงดักคนหรือสัตว์ให้ตกลงไปตำย
เปน็ กรรม แต่ขุดบ่อน้ำไว้กินใช้สัตว์ตกลงไปตำยเอง ไม่เป็นกรรม (แต่ถ้ำรู้อยู่ว่ำ บ่อน้ำท่ีตนขุดไว้อยู่ใน
ท่ีซ่ึงคนจะพลัดตกได้ง่ำย แล้วปล่อยปละละเลยมีคนตกลงไปตำย ก็ไม่พ้นเป็นกรรม) ว่ำโดยสำระ
กรรมก็คือเจตนำ หรือเจตนำนั่นเองเป็นกรรม กำรกระทำท่ีดีเรียกว่ำ กรรมดี กำรกระทำช่ัว เรียกว่ำ
กรรมช่ัว๗
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวฑฺฒโน)
ทรงอธิบำยควำมหมำยของคำว่ำ กรรม โดยทรงให้ควำมหมำยตำมท่ีพระพุทธเจ้ำได้ตรัสไว้ที่ว่ำ
“เจตนำห ภิกฺขเว กมฺม วทำมิ” ซึ่งแปลว่ำ เรำกล่ำวเจตนำว่ำเป็นกรรม เอำมำเป็นควำมหมำยหลัก
แตพ่ ระองค์ท่ำนไดอ้ ธิบำยเพ่ิมเตมิ วำ่
“พระพทุ ธเจำ้ ได้ตรสั ไว้ แปลควำมว่ำ เรำกล่ำวเจตน (ควำมจงใจ) ว่ำเป็นกรรม เพรำะคน
จงใจ คือ มีใจมุ่งแล้ว จึงทำทำงกำยบ้ำง ทำงวำจำบ้ำง ทำงใจบ้ำง ฉะนั้น กรรม คือ กิจท่ีบุคคลจงใจ
ทำ หรือทำดว้ ยเจตนำ ถำ้ ทำด้วยไม่เจตนำ ไม่เรียกวำ่ กรรม อยำ่ งเชน่ ไมม่ ีเจตนำเหยียบมดตำย ไม่เป็น
กรรม คอื ปำณำติบำต ต่อเมื่อเจตนำจะเหยียบให้ตำย จึงเป็นกรรม คือ ปำณำติบำต แต่เมื่อจัดอย่ำง
ละเอยี ด สิง่ ท่ีทำด้วยไมเ่ จตนำ ท่ำนจดั เปน็ กรรมชนดิ หน่งึ เรียกวำ่ กรรมสกั ว่ำทำ เพรำะอำจให้โทษได้
เหมอื นกนั เหมือนอยำ่ งที่กฎหมำยถอื วำ่ ผดิ ในฐำนะประมำท”๘
จำกพระดำรัสของพระองค์ท่ำนข้ำงต้น นอกจำกกล่ำวถึงควำมหมำยคำว่ำกรรมตำมนัย
ของพระพทุ ธเจ้ำทีท่ รงหมำยถงึ ต้องมีเจตนำประกอบแลว้ กำรกระทำท่อี อกมำทำงกำย ทำงวำจำ และ
ทำงใจ ก็จะทำให้เกิดกรรมใหม่ขึ้นถึงแม้ว่ำจะไม่มีเจตนำก็ตำม ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ำทำไม
พระพุทธองค์จึงทรงให้เรำท่ำนท้ังหลำยสำรวมกำย วำจำ และใจ และไม่ประมำทในธรรมทั้งปวงเป็น
กำรรกั ษำตนเอำไว้ว่ำ
๖ ส.สฬำ.อ. (ไทย) ๒๘/๒๗๖.
๗ พระพรหมคุณำภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์คร้ังท่ี
๑ , (กรงุ เทพมหำนคร : บรษิ ัท สหธรรมิก จำกดั ), ๒ ๓ หน้ำ ๓-๔.
๘ สมเด็จพระญำณสังวร สมเด็จพระสังฆรำชสกลมหำสังฆปรินำยก (เจริญ สุวฑฺฒโน), หลักกรรมใน
พระพทุ ธศาสนา, (กรงุ เทพมหำนคร : มหำมกุฎรำชวิทยำลัย, ๒ ๑), หนำ้ ๓.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๑๓
กำรสำรวมกำยเป็นกำรดี กำรสำรวมวำจำเป็นกำรดี
กำรสำรวมใจเป็นกำรดี กำรสำรวมในที่ทั้งปวงเปน็ กำรดี
บุคคลสำรวมในทีท่ ้ังปวงแลว้ มีควำมละอำยต่อบำป เรำกลำ่ ววำ่ รักษำตน๙
ส่วนในพจนำนุกรม ฉบับรำชบัณฑิตยสถำน ได้ให้ควำมหมำยของคำว่ำ “กรรม” ไว้ว่ำ
กรรม คือ “กำรกระทำ, กำรงำน, กิจ, เป็นกำรดีก็ได้ ชั่วก็ได้”๑๐ ซึ่งมีควำมหมำยเป็นกลำง ๆ และมี
ควำมหมำยกวำ้ งมำก คือ ไม่ว่ำจะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม หรือกำรกระทำทั้งที่มีเจตนำหรือไม่
กต็ ำม หรือกำรกระทำในลักษณะสักแต่ว่ำกระทำก็ตำม จัดว่ำเป็นกรรมท้ังส้ิน และจะส่งผลต่อไปภำย
ภำคหนำ้
ดร. วัชระ งามจิตรเจริญ ได้อธิบำยควำมหมำยรำกศัพท์คำว่ำ กรรม ทั้งที่มำจำกภำษำ
บำลี และภำษำสันสกฤต และอธิบำยเปรียบเทียบกับหลักคำสอนเรื่องกรรมของศำสนำฮินดูและ
ศำสนำเชน โดยให้เหตุผลว่ำ กำรกระทำท่ีจัดเป็นกรรมหมำยเอำเฉพำะกำรกระทำที่มีเจตนำ กำร
กระทำท่ีมีเจตนำคือกำรกระทำด้วยควำมจงใจหรือตั้งใจ มิได้หมำยถึงกำรกระทำที่ทำโดยไม่มีเจตนำ
ดังพุทธพจน์ในนิพเพธิกสูตรที่ว่ำ “ภิกษุทั้งหลำย เพรำะอำศัยเหตุนี้ เรำกล่ำวเจตนำว่ำเป็นตัวกรรม
บุคคลคิดแล้ว จึงกระทำกรรมด้วยกำย วำจำ ใจ”๑๑ จำกพุทธพจน์น้ี จึงถือได้ว่ำ กรรมกับเจตนำซึ่ง
เปน็ เหตุกำรณห์ รอื พฤตกิ รรมทำงจิตอย่ำงหน่ึงเป็นอันเดียวกัน และอำจกล่ำวได้ว่ำ คำว่ำ “กรรม” ยัง
มคี วำมหมำยครอบคลมุ ถงึ กำรกระทำท่ีเกิดจำกเจตนำดว้ ยเพรำะเป็นกำรแสดงออกของเจตนำดังพุทธ
พจนท์ ่ีตรัสวำ่ คิดแล้วจึงกระทำกรรมด้วยกำยวำจำและใจ แต่แนวติดสำยอภิธรรมถือว่ำกำรกระทำคือ
กำรเคลอื่ นไหวทำงกำยและวำจำทเี่ กดิ จำกจติ เป็นสมุฏฐำน (จิตชรูป) ไม่ใช่ตัวกรรมแต่จัดเป็นส่ิงที่เกิด
ร่วมกับกรรม ซ่ึงเป็นกำรถือเอำควำมหมำยอย่ำงตรงตัวหรือถือเอำตำมองค์ธรรมในจิตท่ีเป็นตัวกำร
สำคัญในเร่ืองน้ีเท่ำนั้น กรรมในทัศนะของพุทธศำสนำเถรวำทจึงต่ำงจำกศำสนำฮินดูที่เห็นว่ำ
กำรกระทำที่แสดงออกทำงกำยโดยเฉพำะในกำรประกอบพิธีกรรมคือตัวกรรมและต่ำงจำกศำสนำเชน
ที่เหน็ วำ่ “กรรม” เปน็ สะสำรประเภทหนงึ่ ท่ีทำใหช้ วี ะสกปรก๑๒
พระญาณติโลกะ (Nyanatiloka) อธิบำยว่ำ กรรม คือ กำรกระทำที่มีพื้นฐำนมำจำก
กุศลกบั อกศุ ล ทำให้เกดิ กำรเวียนว่ำยตำยเกิด หรอื เจตนำเปน็ ตวั กำหนดที่ไป เจตนำของกรรมคือ กำร
๙ ส.ส. (ไทย) ๑ /๑๑๖/๑๓ .
๑๐ รำชบัณฑิตยสถำน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓, พิมพ์ครั้งที่ ๑๓,
(กรุงเทพมหำนคร : โรงพมิ พ์กำรศำสนำ, ๒ ๑๖), หน้ำ ๑๘.
๑๑ องฺ.ฉกกฺ . (ไทย) ๒๒/๖๓/ ๗๗.
๑๒ ดร.วัชระ งำมจิตรเจริญ รศ., พุทธศาสนาเถรวาท, (กรุงเทพมหำนคร : สำนักพิมพ์
มหำวทิ ยำลัยธรรมศำสตร์, ๒ ๐), หน้ำ ๒๖๗-๒๖๘.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๑๔
แสดงออกของกำรกระทำท่ีเป็นกุศลหรืออกุศลมีกำยกรรม วจีกรรม มโนกรรม กรรมทำง
พระพุทธศำสนำ จึงมิใช่ตัวกำหนดโชคชะตำหรือสังคมของมนุษย์ แต่เป็นเรื่องของกำรกระทำ ซึ่งทำง
ตะวันตกมีควำมเข้ำใจวำ่ พระเจ้ำเปน็ ผู้กำหนด๑๓
บรรจบ บรรณรุจิ อธิบำยว่ำ กรรม คือ กำรกระทำที่ประกอบด้วยเจตนำของคนที่ยังมี
กิเลส ซ่ึงยังมีกำรให้ผล แบ่งออกได้เป็น ๓ ทำง คือ กำยกรรม (กำรกระทำทำงกำย) วจีกรรม (กำร
กระทำทำงวำจำ–พูด) และมโนกรรม (กำรกระทำทำงใจ –ควำมคิด) กรรมทั้ง ๓ มีท้ังฝ่ำยดีและฝ่ำย
ชัว่ ๑๔
พระธรรมวสิ ุทธกิ วี (พจิ ติ ร ฐิตวณฺโณ) อธิบำยว่ำ กรรม แปลว่ำ กำรกระทำ กรรมน้ีเป็น
คำกลำง ๆ ถ้ำหำกว่ำเป็นกำรกระทำดี ท่ำนเรียกว่ำ กุศลกรรม ถ้ำหำกว่ำเป็นกำรกระทำชั่วท่ำน
เรยี กว่ำ อกศุ ลกรรม๑
แสง จันทร์งาม อธิบำยว่ำ กรรม แปลว่ำ กำรกระทำ (action) ที่ประกอบด้วยเจตนำหรือ
ควำมตง้ั ใจ (volition) อันมีกิเลสเป็นแรงผลักดัน ฉะน้ัน กรรมที่สมบูรณ์จะต้องมีตัวประกอบกรรม ๓
เสมอ คอื มกี เิ ลสเป็นแรงกระตนุ้ มคี วำมต้ังใจหรอื เจตนำ มกี ำรกระทำหรอื กำรเคลอื่ นไหว๑๖
อวย เกตุสิงห์ กล่ำวไว้ว่ำ พระพุทธศำสนำสอนว่ำ คนเรำมีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผล
ของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นท่ีพึ่งอำศัย หำกทำกรรมใดไว้ จะดีหรือชั่วก็ตำมย่อมต้องรับ
ผลของกรรมน้ัน๑๗
พระอริยนันทมุนี (พุทธทาส อินฺทปญฺโญ) ท่ำนได้อธิบำยถึงควำมเข้ำใจควำมหมำยที่
คลำดเคลื่อนของคำว่ำ กรรม ทำชำวโลกโดยเฉพำะคนไทยเข้ำใจผิดกันอยู่ โดยเปรียบเทียบกับ
๑๓ Nyanatiloka, Buddhist Dictionary Manual of Buddhist Terms and Doctrines,
(Kandy : Buddhist Publication Society, ๑๙๘๐), P. ๙๒.
๑๔ บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏจิ จสมุปบาท, พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๓, (กรุงเทพมหำนคร : พรบุญกำรพิมพ์, ๒ ๓๘),
หนำ้ ๗๖.
๑ พระธรรมวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ), กฎแห่งกรรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๗, (กรุงเทพมหำนคร : มหำ
มกุฎรำชวิทยำลัย, ๒ ๔๖), หนำ้ ๒.
๑๖ แสง จันทร์งำม, พุทธศาสนวิทยา, พิมพ์คร้ังที่ ๔, (กรุงเทพมหำนคร : ธีระกำรพิมพ์, ๒ ๔๔),
หนำ้ ๑๒๒.
๑๗ อ้ำงในวศิน อินทสระ, สวรรค์ นรก บุญ บาปในพระพุทธศาสนา, พิมพ์คร้ังท่ี ๔,
(กรงุ เทพมหำนคร : เมด็ ทรำย, ๒ ๔๙), หนำ้ ๔๙.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๑
ควำมหมำยของภำษำบำลีซ่ึงเป็นภำษำต้นตำรับเดิม งำนน้ีของท่ำนปรำกฏอยู่ในหนังสือชื่อ
“โอสำเรตัพพธรรม” โดยอธิบำยวำ่
“คำพูดทำเป็นภำษำบำลี เช่นคำว่ำ กมฺม อย่ำงนี้ มันมีควำมหมำยจำกัดชัด ดิ้นเป็นอย่ำง
อ่ืนไม่ได้ แต่ในภำษำไทย ชำวบ้ำนพูดกันอยู่น้ี คำว่ำ กรรม นี้ เปล่ียนควำมหมำยไปเป็นอย่ำงอ่ืนก็มี
ดิน้ ไดก้ ม็ ี ภำษำไทยเขำพูดกันว่ำ กรรม คือกำรกระทำ ทีน้ี กำรกระทำน้ีมันมีหลำยชนิด กำรกระทำที่
เป็นกรรมก็มี กำรกระทำท่ีไม่เป็นกรรมก็มี ฉะนั้น พูดว่ำ กำรกระทำคือกรรม น้ีมันไม่ถูก แต่ถ้ำภำษำ
บำลี พูดว่ำ กมฺม แล้ว หมำยถึงกรรมทีเดียว หมำยควำมว่ำกำรกระทำ ท่ีประกอบไปด้วยเจตนำของ
สัตว์ทมี่ คี วำมรู้สกึ นีข้ อใหส้ ังเกตไวด้ ว้ ย
คำว่ำ กรรม ในภำษำไทยเปล่ียนควำมหมำย มำกลำยเป็นของบำงอย่ำง เป็นส่ิงบำงส่ิง
เช่นว่ำ ถึงแก่กรรมอย่ำงน้ี ก็หมำยควำมว่ำตำย ภำษำบำลีไม่มีอย่ำงน้ี ไม่เคยพูดอย่ำงนี้ ไม่เคยพูดว่ำ
ถึงกรรมแล้วก็จะต้องตำย เด็ก ๆ ร้องกันอยู่ ได้ยินบ่อย ๆ ว่ำ กรรมแล้วแก้วตำเอ๋ย อย่ำงนี้ คำว่ำ
กรรม อยำ่ งนมี้ นั เปล่ียนควำมหมำยหมดแลว้ มนั หมำยถงึ กำรรับผลกรรม หรอื กรรมมำถึงเข้ำแล้ว คือ
หมำยควำมว่ำ ได้รับผลกรรม ไม่ใช่กรรม”๑๘
สรุปได้ว่ำ ท่ีท่ำนผู้รู้ท้ังหลำยบรรยำยถึงควำมหมำยของคำว่ำ “กรรม” เป็นไปในทำง
เดียวกัน กล่ำวคือ ก็ยังยึดควำมหมำยจำกพุทธพจน์ท่ีว่ำ เจตนำห ภิกฺขเว กมฺม วทำมิ ดังที่ได้กล่ำว
มำแล้ว คือ กรรมจะเกิดข้ึนได้ต้องมีเจตนำที่ประกอบด้วยกิเลสตำมหลักของวัฏฏสงสำร เม่ือมีกิเลส
เป็นตัวขับเคล่ือน ก็จะเกดิ เป็นกรรม และต้องเสวยวิบำกกรรมต่อไป และทำให้เกิดกิเลสและต้องสร้ำง
กรรมต่อไป
๒.๒ ประเภทของกรรม
กรรมเปน็ หลักธรรมท่สี ำคญั ท่มี ีปรำกฏในพระไตรปิฎกและอรรถกถำ โดยมีกำรแบ่งกรรม
ออกเป็นประเภทตำ่ ง ๆ คอื ๑) ประเภทของกรรมในพระไตรปิฎก, ๒) ประเภทของกรรมในอรรถกถำ
มดี งั ต่อไปนี้
๑) ประเภทของกรรมในพระไตรปิฎก
พระไตรปฎิ กได้แบ่งประเภทของกรรมไว้หลำยประเภทด้วยกัน โดยแบ่งตำมคุณภำพหรือ
มูลเหตทุ เี่ กิดกรรม แบ่งตำมทำงทีท่ ำกรรมและแบง่ ตำมกรรมท่มี คี วำมสมั พนั ธก์ ับวบิ ำก
๑๘ พุทธทำสภิกขุ, โอสาเรตัพพธรรม, (กรงุ เทพมหำนคร : ธรรมทำนมูลนิธ,ิ ๒ ๑๗), หน้ำ ๒๖๑.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๑๖
(ก) กรรมตามคณุ ภาพหรือสาเหตทุ ีเ่ กดิ กรรม
กรรมที่แบ่งตำมคุณภำพหรือสำเหตุที่เกิดกรรมน้ัน พระไตรปิฎกได้กล่ำวไว้ใน อกุศลมูล
สตู ร๑๙ สรุปได้วำ่
อกุศลมลู (รำกเหง้ำแห่งอกุศล) มี ๓ อย่ำง คือ โลภะ โทสะ โมหะ บุคคลทำกรรมเพรำะมี
โลภะ โทสะ โมหะ ทำงกำย วำจำ ใจ จัดเป็นอกุศลกรรมและมีผลทำให้เป็นทุกข์ ลำบำก คับแค้น
เดือดรอ้ นในปจั จุบัน หลังกำรตำยแลว้ ยอ่ มไปเกดิ ในทคุ ติ
กศุ ลมูล (รำกเหงำ้ แห่งกุศล) มี ๓ อย่ำง คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ บุคคลทำกรรมโดยไม่
มีโลภะ โทสะ โมหะ ทำงกำย วำจำ ใจ จัดเป็นกุศลกรรมและมีผลทำให้อยู่เป็นสุข ไม่ลำบำก ไม่คับ
แค้น ไมเ่ ดอื ดร้อนในปัจจุบนั ย่อมปรนิ พิ พำนในชำตปิ ัจจุบัน
กรรมท่ีแบง่ ตำมคุณภำพหรอื สำเหตุกำรเกดิ มี ๒ อย่ำง คือ ๑. อกุศลกรรม หมำยถึง กรรม
ช่ัว มีสำเหตุมำจำกโลภะ โทสะ โมหะ ๒. กุศลกรรม หมำยถึง กรรมดี มีสำเหตุมำจำกอโลภะ อโทสะ
อโมหะ เรียกวำ่ กรรม ๒๒๐
(ข) กรรมแบ่งตามทางท่ีทา
กรรมแบ่งตำมทำงท่ีทำ พระพุทธเจ้ำได้ตรัสถึงกรรมตำมท่ีเกิดไว้ในพระสูตร อุปำลิวำท
สูตร ไวว้ ่ำ
...ตปัสสี เรำบัญญัติในกำรทำช่ัว ในกำรประพฤติช่ัวไว้ ๓
ประกำร คือ (๑) กำยกรรม (๒) วจีกรรม (๓) มโนกรรม… ตปัสสี
กำยกรรมกอ็ ยำ่ งหนึง่ วจกี รรมก็อย่ำงหนึ่ง มโนกรรมก็อย่ำงหนึ่ง…
ตปัสสี บรรดำกรรมทั้ง ๓ ประกำร ที่จำแนกแยกออกเป็นอย่ำงนี้
เรำบัญญัติมโนกรรมว่ำมีโทษมำกกว่ำในกำรทำกรรมชั่ว ในกำร
ประพฤติชั่ว มิใชก่ ำยกรรมหรือวจกี รรม๒๑
กรรม ๓ กรรมจำแนกตำมทวำร คอื ทำงที่ทำกรรม มี ๓ คอื ๒๒
๑. กายกรรม กำรกระทำทำงกำย
๒. วจกี รรม กำรกระทำทำงวำจำ
๑๙ อง.ฺ ทกุ ฺ. (ไทย) ๒๐/๒๗ /๒๗๗.
๒๐ พระพรหมคุณำภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์คร้ังท่ี
๑ , (กรงุ เทพมหำนคร : บรษิ ัท สหธรรมิก จำกดั , ๒ ๓), หนำ้ ๔.
๒๑ ม.ม. (ไทย) ๑๓/ ๖/ .
๒๒ พระพรหมคุณำภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศัพท์, หนำ้ ๔.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๑๗
๓. มโนกรรม กำรกระทำทำงใจ
มโนกรรมหรือควำมคิดจัดเปน็ กรรม เพรำะทกุ ขณะจิตที่คิดของปุถุชนมีกิเลสเกิดข้ึนกำกับ
อยู่เสมอ และเป็นจุดเริ่มต้นของกำรทำกรรม ที่มีผลสืบต่อให้กระทำกรรมทำงกำย และทำงวำจำ ซ่ึง
พระพุทธศำสนำจัดว่ำ มโนกรรมเป็นกรรมท่ีสำคัญที่สุด มีโทษมำกท่ีสุด มโนกรรมท่ีให้โทษร้ำยแรง
ทส่ี ดุ คอื มจิ ฉำทิฏฐิ และมโนกรรมท่ีเป็นควำมดีสูงสุดคือ สัมมำทิฏฐิ๒๓ อันเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตของ
บุคคลและสงั คม
เมื่อบุคคลทำกรรมตลอดเวลำที่ต่ืนอยู่ ไม่ทำงมโนกรรมก็ทำงกำยกรรม หรือวจีกรรมซึ่ง
วจีกรรมนอกจำกคำพูดแล้ว ยงั หมำยถงึ ผูท้ ำใชภ้ ำษำเปน็ เครือ่ งมือในกำรทำ๒๔กรรมอย่ำงหนึ่งอำจต้อง
ใช้กำรกระทำมำกกว่ำหน่ึงทำง กำรจะตัดสินว่ำเป็นกรรมทำงใดให้ดูว่ำกรรมนั้นสำเร็จบริบูรณ์ด้วย
อะไร กำย วำจำ หรือด้วยใจ ถ้ำสำเร็จด้วยทวำรใด พึงถือว่ำเป็นกรรมทวำรนั้น๒ เช่น กำรฆ่ำคนที่
ไม่ได้ลงมือเอง แต่ใช้วำจำจ้ำงให้ผู้อื่นทำแทน จัดเป็นกำยกรรม แต่ใช้วำจำประกอบ เพรำะถือว่ำจุด
สมบูรณ์อยู่ท่ีกำย หรือกำรเขียนหนังสือโกหก ให้คนอ่ำนเชื่อ จัดเป็นกำรกระทำทำงวจีกรรม เพรำะ
เปน็ เร่ืองของภำษำกำรส่ือสำร
กรรมท่ีแบ่งตำมทำงที่ทำ มี ๓ อย่ำง คือ กำยกรรม วจีกรรม มโนกรรม เรียกว่ำ กรรม ๓
และถ้ำนำไปรวมกับสำเหตุแห่งกำรเกิดกรรมจะได้กรรม ๖ ประเภท คือ ฝ่ำยกรรมชั่ว มีกำยทุจริต
วจีทจุ รติ มโนทุจรติ และฝ่ำยกรรมดี คือ กำยสุจริต วจีสุจรติ มโนสจุ รติ
สรุปได้ว่ำ กรรมแบ่งตำมทำงที่ทำมี ๓ อย่ำงคือ ทำงกำย ทำงวำจำ ทำงใจ มี ๒ ฝ่ำย คือ
ฝ่ำยชั่วเรียก ทุจริต ฝ่ำยดีเรียก สุจริต มโนกรรมเป็นจุดเร่ิมต้นของกำรทำกรรมทำงกำยและวำจำ
พระพุทธศำสนำจึงจดั วำ่ มโนกรรมสำคัญท่ีสุด มโนกรรมท่ีมีโทษมำกที่สุด คือ มิจฉำทิฏฐิ มีประโยชน์
มำกทีส่ ดุ คอื สัมมำทิฏฐิ
(ค) กรรมแบ่งตามกรรมท่ีมีความสัมพนั ธก์ ับวิบาก
กำรแบ่งกรรมที่มีควำมสัมพันธ์กับวิบำก นอกจำกกำรแบ่งกรรมตำมสำเหตุและทำงแห่ง
กำรกระทำแลว้ พระพุทธเจ้ำยังไดต้ รัสถงึ กรรม ๔๒๖ ไว้ในพระสูตรต่ำง ๆ หลำยพระสูตรดว้ ยกนั เช่น
๒๓ บรรจบ บรรณรจุ ิ, ปฏจิ จสมุปบาท, หน้ำ ๗๙.
๒๔ ปิ่น มุทุกันต์, พุทธศาสตร์ ภาค ๒, (กรุงเทพมหำนคร : มหำมกุฎรำชวิทยำลัย, ๒ ๓ ), หน้ำ
๔๔๖.
๒ เรอื่ งเดียวกัน, หน้ำ ๔๔๖.
๒๖ ที.ปำ. (ไทย) ๑๑/๓๑๒/๒๙๑.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๑๘
สังคตี ิสูตร๒๗ กกุ กรุ วตสิ ตู ร๒๘ และในหมวดกรรมวรรค๒๙ สรุปได้วำ่ กรรม ๔ มดี ังน้ี
๑. กรรมดา มีวิบากดา คือ กรรมช่ัว ให้ผลช่ัว หมำยถึง กรรมช่ัวที่บุคคลทำทำงกำย
วำจำ ใจ ทเ่ี ปน็ อกุศลกรรมบถ ๑๐ เบียดเบียนทงั้ ตนเองและผอู้ ื่น ส่งผลให้ผู้กระทำได้รับแต่ควำมทุกข์
ฝ่ำยเดยี วเหมอื นสัตว์นรกท่ไี ด้รบั โทษทณั ฑ์
๒. กรรมขาว มีวิบากขาว คือ กรรมดี ให้ผลดี หมำยถึง กรรมดีท่ีบุคคลกระทำทำงกำย
วำจำ ใจ ท่ีเป็นกุศลกรรมบถ ๑๐ มีผลไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ส่งผลให้ผู้กระทำได้รับแต่
ควำมสุขฝำ่ ยเดียว เหมือนอย่บู นสวรรค์ช้ันสภุ กณิ หะ
๓. กรรมท้ังดาและขาว มวี ิบากทัง้ ดาและขาว คอื กรรมทง้ั ช่ัวและทั้งดี ให้ผลทั้งช่ัวและ
ดี หมำยถึง กำรท่ีบุคคลกระทำท้ังกรรมชั่วและกรรมดี ทำงกำย วำจำ ใจ มีผลเบียดเบียนตนเองและ
ผู้อื่น และไม่เบยี ดเบยี นตนเองและผู้อื่น ส่งผลให้ผู้ที่ได้รับมีทั้งควำมทุกข์และควำมสุขสลับกัน เหมือน
มนษุ ย์ เทวดำบำงจำพวก และวนิ ิปำติกะ๓๐
๔. กรรมทงั้ ไมด่ าและไม่ขาว มีวิบากท้ังไม่ดาและไม่ขาว เป็นไปเพ่ือควำมสิ้นกรรม คือ
กรรมไม่ชั่วและกรรมไม่ดี มีผลทั้งไม่ช่ัวและไม่ดี เป็นไปเพ่ือควำมสิ้นกรรม หมำยถึง กำรท่ีบุคคลมี
เจตนำละกรรมท้ัง ๓ ดงั กล่ำวขำ้ งต้น โดยปฏบิ ัตติ ำมหลักธรรมโพชฌงค์ ๗ หรือมรรคมอี งค์ ๘๓๑
กรรมทีม่ คี วำมสมั พนั ธ์กบั วบิ ำก ประเภทท่ี ๑ กรรมดำมีวบิ ำกดำ และ ประเภทที่ ๒ กรรม
ขำวมีวิบำกขำว เป็นกำรให้ผลท่ีตรงกับเหตุ แต่ในกำรดำเนินชีวิตของปุถุชนจะทำกรรมดี หรือ กรรม
ชั่ว เพยี งอยำ่ งเดยี วตลอดชีวิตเป็นไปไม่ได้ กรรมประเภทที่ ๓ จึงเป็นกรรมที่เกิดขึ้นในกำรดำเนินชีวิต
ของมนุษย์ ท่ีมีกำรทำทั้งกรรมดีและกรรมช่ัว ปะปนกันไป เพียงแต่กรรมประเภทไหนจะมำกกว่ำกัน
เป็นผลทำใหไ้ ด้รบั ท้ังผลดี (สุข) ผลชั่ว (ทุกข์) สลับกัน กรรมประเภทท่ี ๔ คือ กรรมไม่ช่ัวและกรรมไม่
ดี มีผลไม่ชั่วและไม่ดี เป็นไปเพื่อละกิเลส หมำยถึง กำรที่บุคคลมีเจตนำ กระทำกรรมลงไปเพื่อละ
กิเลสและกรรมท้งั หลำย เพ่อื บรรลุพระนิพพำน ดว้ ยองคธ์ รรมอนั มีโพชฌงค์ ๗ และมรรคมีองค์ ๘
๒๗ อ้ำงแล้ว, หนำ้ ๒๙๑.
๒๘ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๗๘/๗ .
๒๙ องฺ.จตุกกฺ . (ไทย) ๒๑/๒๓๒–๒๓๘, ๓๔ –๓ .
๓๐ วินิปาติกะ หมำยถึง เวมำนิกเปรต ได้แก่ เปรตผู้อยู่ในวิมำนเสวยสุขและทุกข์สลับกันไปบำงตน
ข้ำงแรมเสวยสุข บำงตนขำ้ งแรมเสวยทกุ ข์ เวลำเสวยสขุ อยู่ในวมิ ำนมีร่ำงกำยเป็นทิพยส์ วยงำม แต่เวลำจะเสวยทุกข์
ก็ต้องออกจำกวิมำนไป และร่ำงกำยก็กลำยเป็นร่ำงกำยที่น่ำเกลียด น่ำกลัว. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต),
พจนานกุ รมพุทธศาสน์ ฉบบั ประมวลศัพท,์ หนำ้ ๒๘๘.
๓๑ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พุทธธรรม,ฺ พมิ พ์ครั้งที่ ๙, (กรงุ เทพมหำนคร : มหำจุฬำลงกรณรำช
วิทยำลัย, ๒ ๔๓), หน้ำ ๑๖๐.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๑๙
พระไตรปิฎก ได้แบ่งประเภทของกรรมไว้ตำมสำเหตุกำรเกิดตำมทำงแห่งกำรทำกรรม
และตำมควำมสัมพันธ์กันของกรรมและวิบำก ซ่ึงเมื่อสรุปแล้ว อกุศลกรรม (กรรมชั่ว) ให้วิบำก (ผล)
ชั่ว หรือทุกข์ และเกิดจำกกุศลกรรม (กรรมดี) ให้วิบำก (ผล) ดีหรือสุข โดยทั้งกรรมช่ัวและกรรมดี
มที ำงกระทำกรรมทำงกำย วำจำ ใจ ผลที่ไดร้ บั ระดับชัน้ ใน คือ จติ ใจเปน็ ควำมทกุ ข์ หรอื สขุ ใจ
๒) ประเภทของกรรมในอรรถกถา
ในพระไตรปฎิ ก ได้แบ่งกรรมไว้เป็นประเภทตำ่ ง ๆ แล้ว ยังได้แบ่งระยะเวลำกำรให้ผลของ
กรรม ไวใ้ นนพิ เพธกิ สูตร ว่ำ วิบำกแห่งกรรมเปน็ อย่ำงไร คอื เรำกล่ำววิบำกแห่งกรรมว่ำมี ๓ ประเภท
คือ ๑. กรรมท่ีพึงเสวยในปัจจุบัน ๒. กรรมที่พึงเสวยในชำติถัดไป ๓. กรรมที่พึงเสวยในชำติต่อ ๆ
ไป”๓๒ กำรแบง่ ระยะเวลำกำรให้ผลของกรรมนัน้ มี ๓ ระยะ กลำ่ วโดยสรุป คือ ชำตินี้ ชำติหน้ำ และ
ชำติตอ่ ๆ ไป ไมไ่ ดก้ ลำ่ วถึงอโหสิกรรม ซงึ่ มกี ำรแบ่งกรรมออกเป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจน
กรรมนอกจำกปรำกฏในพระไตรปิฎกแล้ว ยังมีกรรม ๑๒ ปรำกฏในคัมภีร์วิสุทธิมรรคซ่ึง
จัดเป็นคัมภีร์ทำงพระพุทธศำสนำชั้นอรรถกถำ แต่งโดยพระพุทธโฆษำจำรย์ได้รวบรวมกรรมใน
พระไตรปิฎก โดยยึดพระพุทธพจน์เป็นหลัก จัดแบ่งกรรมออกเป็นประเภทต่ำง ๆ ตำมผลของกรรมที่
ได้รบั มี ๓ ประเภท ประเภทละ ๔ อยำ่ ง ดงั รำยละเอียดดังตอ่ ไปนี้๓๓
(ก) กรรมประเภทท่ี ๑ กรรมทใ่ี ห้ผลตำมหนำ้ ที่ มี ๔ อยำ่ ง คอื
๑. ชนกกรรม กรรมส่งใหเ้ กิด
๒. อปุ ถมั ภกกรรม กรรมสนับสนนุ ส่งเสริม
๓. อุปปีฬกกรรรม กรรมเบยี ดเบยี น
๔. อุปฆาตกรรม กรรมทำหน้ำทต่ี ัดรอน
กรรมให้ผลตำมหน้ำท่ี หมำยถึง กรรมท่ีทำไปน้ัน ทั้งดีและไม่ดี ย่อมทำหน้ำท่ีให้ผล
เก่ียวขอ้ งกบั ชีวติ ของคนเรำดงั นี้
๑. ชนกกรรม กรรมส่งให้เกิด หมำยถึง กรรมดีหรือกรรมชั่วที่ทำไว้ ส่งให้เกิดในภพภูมิ
ต่ำง ๆ ถ้ำเป็นกรรมดีส่งไปเกิดในสุคติ ถ้ำเป็นกรรมชั่วส่งไปเกิดในทุคติ๓๔ และยังทำหน้ำที่หล่อเลี้ยง
๓๒ อ้ำงแลว้ , หนำ้ ๑๖๐.
๓๓ สมเด็จพระพุฒำจำรย์ (อำจ อำสภมหำเถร), คมั ภีรว์ ิสทุ ธมิ รรค, พิมพ์ครั้งท่ี ๔, (กรุงเทพมหำนคร :
บรษิ ทั ประยรู วงศ์ พรนิ ตงิ้ จำกัด, ๒ ๔๖), หนำ้ ๙๖๙–๑๗๑.
๓๔ ทุคติ หรือ อบำยภูมิ มี ๔ ภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกำย สัตว์เดรัจฉำน สุคติ หมำยถึง โลกมนุษย์
และสวรรค์. พระพรหมโมลี (วิลำศ ญำณวโร), กรรมทีปนี, เล่ม ๒, พิมพ์คร้ังที่ ๒, (กรุงเทพมหำนคร : ดอกหญ้ำ),
หน้ำ ๒๓.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๒๐
ชีวิตใหม่ให้ดำรงอยู่ และดำเนินกิจกรรมตำมสภำพของกรรมจนครบอำยุขัย๓ ขณะท่ีชนกกรรมทำ
หน้ำท่ีปฏิสนธิ กรรมอื่นจะแทรกแซงไม่ได้เลย ชนกกรรมเปรียบเหมือนมำรดำคลอดบุตร จะมีใครมำ
แยง่ หน้ำทเ่ี ป็นผคู้ ลอดร่วมไมไ่ ด้๓๖
๒. อุปัตถัมภกกรรม กรรมสนับสนุนส่งเสริม หมำยถึง กรรมที่ทำหน้ำที่สนับสนุน
ส่งเสริมชนกกรรมที่ไม่มีโอกำสให้ผลให้ได้ผล และชนกกรรมที่กำลังให้ผลให้ได้ผลเต็มท่ีตลอดจน
สนบั สนุนสง่ เสรมิ ชวี ติ ที่ชนกกรรมให้เกิดและหล่อเล้ียงไว้ให้เจริญเติบโต และดำรงอยู่ได้นำน๓๗ ดังน้ัน
อุปถัมภกกรรมต้องเป็นกรรมประเภทเดียวกันกับชนกกรรม เช่น ชนกกรรมนำไปเกิดเป็นลูกเศรษฐี
อปุ ถัมภกกรรมฝ่ำยกุศลจะมำสนบั สนนุ ให้เดก็ คนน้ันมคี วำมสุขสมบูรณ์ตลอดไป
๓. อุปปีฬกกรรม กรรมเบียดเบียน หมำยถึง กรรมท่ีเบียดเบียนชนกกรรมที่ให้ผลอยู่
อ่อนกำลังลง เบียดเบียนชนกกรรมท่ีกำลังจะให้ผล ให้ผลไม่เต็มที่ ตลอดจนเบียดเบียนชีวิตท่ี
ชนกกรรมใหเ้ กดิ และหล่อเลี้ยงไว้ ไม่ใหเ้ ป็นไปตำมสภำพของกรรมน้ัน อุปปีฬกกรรมจะตรงกันข้ำมกับ
ชนกกรรมและอุปถัมภกกรรม คอยบ่ันทอนผลของกรรมท้ังสองให้ส้ินลง ถ้ำมีควำมสุข ก็จะสุขไม่นำน
ถ้ำมีควำมทุกข์ก็จะทุกข์ไม่มำกและไม่นำน เช่น เกิดเป็นลูกเศรษฐีมีควำมสุขสบำย แต่ต่อ ๆ มำฐำนะ
ตกต่ำลง
๔. อุปฆาตกรรม กรรมตัดรอน หมำยถงึ กรรมทตี่ ัดรอนชีวิตท่ีชนกกรรมให้เกิดและหล่อ
เลี้ยงไว้มิให้ให้ผลและสญู สิน้ ไป ตลอดจนตดั รอนชนกกรรมอ่ืน ๆ ไม่ให้มีโอกำสให้ผลอุปฆำตกรรมเป็น
กรรมท่ีสนับสนุนอุปปีฬกกรรม และตรงกันข้ำมกับชนกกรรมและอุปถัมภกกรรม เช่น ถ้ำชนกกรรม
และอุปถัมภกกรรมเป็นฝ่ำยกุศล อุปปีฬกกรรมจะเป็นฝ่ำยอกุศลและอุปฆำตกรรมจะเป็นฝ่ำยอกุศล
เช่นเดียวกับอุปปีฬกกรรม กรรมชนิดน้ี เมื่อให้ผลจะตัดรอนชนกกรรมและให้ผลแทนที่ทันที เช่น
ชนกกรรมฝ่ำยกุศลนำไปเกิดเป็นลูกเศรษฐี อุปถัมภกกรรมส่งเสริมให้มีควำมสุข สมบูรณ์ มีชีวิตท่ี
เจริญรุ่งเรือง เมื่ออุปฆำตกรรมตำมมำ ทำให้เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต ท้ังที่อยู่ในวัยไม่สมควรตำย หรือ
ชนกกรรมนำ ไปใหเ้ กดิ เปน็ เปรตประเภทปรทัตตูปชีวิกเปรต อุปัตถัมภกกรรมเข้ำสนับสนุนชนกกรรม
ทำใหเ้ ปรตนั้นได้รับควำมทุกขต์ ำมสภำพของเปรตวสิ ัย ญำติพน่ี อ้ งในโลกมนุษย์ได้ทำบุญแล้วอุทิศส่วน
บุญกุศลไปให้ ถ้ำบุญกุศลที่ญำติทำแล้วอุทิศไปให้นี้มีกำลังแรงมำก เปรตนั้นได้รับส่วนกุศลนั้นแล้ว
กพ็ ้นจำกภำวะของเปรตจุติไปเกิดในสุคติเป็นมนุษย์หรือเทวดำ บุญกุศลในกรณีน้ี คือ อุปฆำตกรรมท่ี
เข้ำใหผ้ ลตัดรอนผลของชนกกรรมและอปุ ตั ถมั ภกกรรม๓๘
หนำ้ ๒๖. ๓ บรรจบ บรรณรุจิ, เอกสารประกอบการสอนพระไตรปิฎกวเิ คราะห์ ๑, หนำ้ ๑๒๗.
๓๖ พระพรหมโมลี (วลิ ำศ ญำณวโร), กรรมทีปนี เล่ม ๑, พมิ พ์คร้งั ที่ ๒ (กรุงเทพมหำนคร : ดอกหญ้ำ),
๓๗ บรรจบ บรรณรุจิ, เอกสารประกอบการสอนพระไตรปิฎกวเิ คราะห์ ๑, หน้ำ ๑๒๗.
๓๘ สนุ ทร ณ รังษ,ี พทุ ธปรชั ญาจากพระไตรปฎิ ก, หน้ำ ๒๐๒.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๒๑
เห็นได้ว่ำ อุปฆำตกรรมไม่ใช่กรรมที่หักล้ำงหรือลบล้ำงกรรมอื่น เพรำะกรรมแต่ละ
ประเภทให้ผลของตนเอง ลบล้ำงกรรมอื่นไม่ได้ กำรให้ผลของกรรมมีเง่ือนไขท่ีว่ำ กรรมมีกำลังให้ผล
เกิดอ่อนกำลังลง กรรมอ่ืนท่ีกำลังแรงกว่ำก็จะให้ผลแทนที่ เปรียบเหมือนกับนักกีฬำว่ิงแข่งขันกัน
นักกีฬำคนใดวิง่ เร็วจะแซงนักกีฬำคนอน่ื ท่วี ง่ิ นำหน้ำได้ และเปน็ ผชู้ นะ๓๙
(ข) กรรมประเภทที่ ๒ กรรมให้ผลกอ่ นหรือหลงั (กรรมใหผ้ ลตำมลำดบั ) มี ๔ อย่ำง
๑. ครกุ รรม กรรมหนัก
๒. อาสันนกรรม กรรมใกลต้ ำย หรอื กรรมใกลด้ ับจติ
๓. อาจิณณกรรม กรรมทีท่ ำจนชนิ
๔. กตตั ตากรรม กรรมสักว่ำทำ
กรรมให้ผลก่อนหรอื หลัง หมำยถึง กรรมท่ีทำไปทั้งดีและไม่ดี ย่อมมีผลให้ไปเกิดในภพภูมิ
ตำ่ ง ๆ กนั ขึน้ อยกู่ บั กรรมหนกั หรอื กรรมเบำ กรรมทีเ่ ปน็ กรรมหนักจะมกี ำลังมำกกวำ่ และใหผ้ ลกอ่ น
๑. ครุกรรม กรรมหนัก หมำยถึง กรรมที่ทำแล้วให้ผลเป็นตัวกำหนดชีวิตหลังควำมตำย
ได้แน่นอน ให้ผลแก่เจ้ำของกรรมในชำติท่ี ๒ หรือชำติหน้ำ ไม่มีกรรมใดมีอำนำจกำงก้ันกำรให้ผลได้
นอกจำกครุกรรมด้วยกันที่แรงกว่ำ ครุกรรมท่ีกำลังอ่อนกว่ำจะเป็นเพียงกรรมที่ช่วยอุดหนุนในฐำนะ
อุปัตถัมภกรรมเทำ่ นั้น๔๐
ครุกรรมฝ่ำยอกุศลและฝ่ำยกุศลจะนำเจ้ำของกรรมให้ไปเกิดในทุคติหรือสุคติในชำติหน้ำ
ทนั ที โดยไม่มอี ำนำจใดมำเปน็ อุปสรรคขัดขวำงได้ ครุกรรม กรรมหนักฝ่ำยอกุศล ได้แก่ กรรมอันเป็น
บำปหนัก ไดแ้ ก่
ก. นิยตมิจฉาทิฐิ ควำมเห็นผิดอันดิ่งลงไปแก้ไม่ได้ ได้แก่ ควำมเห็นว่ำทำนท่ีให้แล้วไม่มี
ผล กำรเซ่นสรวงกำรบูชำไม่มีผล ผลของกรรมดีและกรรมชั่วไม่มี โลกน้ีโลกหน้ำไม่มีบิดำมำรดำไม่มี
สัตวผ์ ้อู ุปปำตกิ ะไมม่ ี (สัตว์ผ้ผู ุดเกิดเองไมม่ ี)
ข. อนันตริยกรรม ได้แก่ กรรมอันเป็นบำปหนัก มีอำนำจให้ผลในชำติหน้ำตำมลำดับ มี
ประกำร คอื
๑. มาตฆุ าต ฆ่ำมำรดำ
๒. ปติ ฆุ าต ฆำ่ บดิ ำ
๓๙ วัชระ งำมจิตเจริญ, พุทธศาสนาเถรวาท, (กรุงเทพมหำนคร : ภำควิชำปรัชญำ คณะศิลปศำสตร์
มหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์, ๒ ๔ ), หนำ้ ๑๒๐.
๔๐ พระพรหมโมลี (วิลำศ ญำณวโร), กรรมทีปนี เล่ม ๑, หน้ำ ๑๑๗.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๒๒
๓. อรหนั ตฆาต ฆำ่ พระอรหันต์
๔. โลหติ ปุ บาท ทำร้ำยพระพุทธเจำ้ จนถงึ ยงั โลหิตให้หอ้ ข้ึนไป
๕. สงั ฆเภท ยงั สงฆ์ใหแ้ ตกกนั
ครุกรรมฝ่ำยกุศล หรืออนันตริยกรรมฝ่ำยกุศล ได้แก่ รูปฌำน ๔ และ อรูปฌำน ๔
เรียกว่ำ สมำบัติ ๘ สมำบัติหรือฌำนเพียงขั้นใดขั้นหนึ่ง เช่น รูปฌำนที่ ๑ เป็นต้น ครุกรรมฝ่ำยกุศล
ถำ้ ผทู้ ไ่ี ดฌ้ ำนสมำบัติอยแู่ ล้วเส่อื มลงสำมำรถทำได้ใหม่ แต่ผู้ที่ทำอนันตริยกรรมฝ่ำยอกุศลจะติดตัวอยู่
ตลอดเวลำไม่มีกำรเสื่อมแบบฝ่ำยกุศล แม้ผู้ทำจะสำนึกผิดแล้วก็ตำม ก็ไม่สำมำรถใช้ควำมเพียร
พยำยำมเจริญสมำธใิ ห้เกิดฌำนได้ เพรำะกำลังกรรมของอนันตริยกรรมฝ่ำยอกุศลจะเป็นนิวรณ์ปิดก้ัน
จิตไม่ให้บรรลุองค์ฌำนได้ ดังน้ัน จึงมีคำกล่ำวว่ำอนันตริยกรรมฝ่ำยอกุศล ย่อมห้ำมท้ังสวรรค์และ
มรรคผลนพิ พำนในชำติปัจจุบัน๔๑
๒. อาสนั นกรรม กรรมใกลต้ าย หรอื กรรมใกล้ดับจิต หมำยถึง กรรมดีหรือกรรมช่ัวท่ีทำ
ในเวลำใกล้ตำย กรรมดีหรือกรรมช่ัวท่ีจิตระลึกถึงเม่ือครำวกำลังจะตำย บำงทีเป็นกรรมท่ีทำไว้นำน
แล้ว ตอ่ มำระลกึ ถึงเมื่อตอนใกล้ตำย แต่ไม่ใช่กรรมที่เป็นครุกรรม ถ้ำไม่มีครุกรรมอำสันนกรรม ให้ผล
กอ่ น อำสันนกรรมถึงจะเป็นกรรมที่มีพลังสู้กรรมอื่นไม่ได้ แต่สำมำรถให้ผลของกรรมได้ก่อนกรรมอ่ืน
เปรียบเทียบอำสันนกรรมได้กับโคท่ีแออัดอยู่ในคอก มีโคแก่อยู่ปำกคอก เมื่อเปิดคอก โคแก่สำมำรถ
ออกจำกคอกได้ก่อนโคที่แข็งแรงท่ีอยู่ข้ำงใน๔๒ อำสันนกรรมจะทำหน้ำท่ีนำบุคคลไปเกิดตำมกรรมที่
ทำ ถ้ำเป็นอกุศลกรรมจะนำไปเกิดในทุคติ ถ้ำเป็น กุศลกรรมจะนำไปเกิดในสุคติ๔๓ อำสันนกรรม
หมำยถงึ ชนกกรรม ในประเภทของกรรมทใ่ี หผ้ ลตำมหน้ำท่ี
เห็นได้ว่ำ อำสันนกรรมเป็นกรรมเพียงเล็กน้อย ไม่มีควำมรุนแรงมำกก็ตำม แต่บุคคลไม่
ควรประมำทในกำรทำกรรม ควรรักษำจิตให้ผ่องใสคุ้นเคยกับควำมดีเอำไว้ เพรำะผลของกรรมท่ี
บุคคลทำไว้น้ันแม้เป็นควำมช่ัวเพียงเล็กน้อย ก็สำมำรถทำจิตให้เศร้ำหมอง ส่งผลให้ไปเกิดในทุคติได้
อำสันนกรรมอำจหมำยถึง ชนกกรรมกไ็ ด้
๓. อาจิณณกรรม กรรมท่ีทาเป็นประจา หมำยถึง กรรมดีหรือกรรมชั่วที่ทำเป็นประจำ
สม่ำเสมอ ส่งผลให้กลำยเป็นนิสัย แม้ว่ำกรรมชนิดนี้จะเป็นกรรมท่ีทำเพียงคร้ังละเล็กน้อย แต่เมื่อทำ
มำกเข้ำ ก็กลำยเป็นกรรมที่มำกเปรียบได้กับน้ำท่ีหยดลงตุ่มทีละหยด บ่อย ๆ เข้ำน้ำก็เต็มตุ่มได้
อำจิณณกรรมจึงเรียกได้อีกอย่ำงว่ำ พหุลกรรม อำจิณณกรรม อำจหมำยถึงกรรมบำงอย่ำงที่ทำด้วย
๔๑ สุนทร ณ รงั ษ,ี พุทธปรชั ญาจากพระไตรปิฎก, หน้ำ ๒๑๘.
๔๒ สมเดจ็ พระมหำสมณเจ้ำ กรมพระยำวชริ ญำณวโรรส, ธรรมวภิ าค ปริจเฉทท่ี ๒, หนำ้ ๑๒๘.
๔๓ สนุ ทร ณ รงั ษี , พุทธปรัชญาจากพระไตรปิฎก, หน้ำ ๒๑๙.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๒๓
เจตนำอย่ำงแรงกล้ำ ทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ แต่เป็นกรรมท่ีทำไว้เพียงครั้งเดียวและนำน
มำแล้ว และผู้ทำได้คิดถึงกรรมนั้นบ่อย ๆ จนเกิดควำมเคยชิน เม่ือทำเสร็จแล้ว ผู้ทำได้คิดถึงกำร
กระทำนัน้ บอ่ ย ๆ ทกุ ครงั้ ทค่ี ิดถงึ กรรมน้ัน ถ้ำเป็นกรรมดีก็จะมีควำมรู้สึก สุข ปีติ และถ้ำเป็นกรรมช่ัว
ก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ เศร้ำหมอง อำจิณณกรรมจะเป็นตัวกำหนดคติชีวิตที่ไปหลังควำมตำย ซึ่งขึ้นอยู่กับ
วำ่ กรรมฝำ่ ยกุศลหรืออกุศลจะมมี ำกกวำ่ กัน จงึ เปรียบเทียบอำจิณณกรรม ท้ัง ๒ ฝ่ำย เหมือนนักมวย
ปล้ำต่อสกู้ นั นักมวยปลำ้ คนใดมกี ำลังมำกกวำ่ จะทำใหค้ ่ตู ่อสู้ลม้ ลงพ่ำยแพไ้ ด้๔๔
๔. กตัตตากรรม กรรมสักว่าทา หมำยถึง กรรมดหี รือช่วั ท่ีทำดว้ ยเจตนำ หรือควำมต้ังใจ
ไม่แรง เพรำะไม่มีเจตนำท่ีตั้งใจไว้ก่อน หำกไม่มีครุกรรม อำสันนกรรม กรรมนี้จึงจะให้ผลเป็น
ตวั กำหนดคติชวี ติ หลังควำมตำย ไปเกิดในทุคตหิ รือสุคติตำมกรรมที่ทำกรรมประเภทที่ ๒ เป็นกรรมท่ี
จัดตำมลำดับกำรให้ผลก่อนหรือหลัง ตำมควำมหนักเบำ ของกรรม ยกเว้นอำสันนกรรมท่ีไม่อยู่ใน
เงื่อนไขนี้ ด้วยเป็นกรรมท่ีทำในวำระสุดท้ำยของจิตส่งผลให้เกิดในทุคติหรือสุคติ จึงเป็นกรรมที่ให้ผล
ในชำติท่ี ๒
(ค) กรรมประเภทท่ี ๓ กรรมให้ผลตำมระยะเวลำ มี ๔ อยำ่ งคอื
๑. ทฏิ ฐธมั มเวทนยี กรรม กรรมใหผ้ ลในชำตินี้
๒. อุปปชั ชเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชำตหิ น้ำ
๓. อปราปรยิ เวทนยี กรรม กรรมให้ผลในชำติต่อ ๆ ไป
๔. อโหสิกรรม กรรมไมใ่ หผ้ ล
กรรมให้ผลตำมระยะเวลำ หมำยถึง กรรมท่ีได้ทำไปแล้ว เป็นกรรมทั้งในส่วนท่ีดีและไม่ดี
ย่อมมีระยะเวลำในกำรให้ผลต่ำงกัน กล่ำวคือกรรมบำงอย่ำงทำในชำตินี้ ให้ผลในชำตินี้กรรม
บำงอย่ำงทำในชำตนิ ้ี ให้ผลในชำติหนำ้ กรรมบำงอยำ่ งทำในชำติน้ี ใหผ้ ลในชำตติ อ่ ๆ ไปจำกชำติหน้ำ
๑. ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาติน้ี หมำยถึง กรรมดี กรรมช่ัว ท่ีกระทำใน
ชำตินี้ ให้ผลในชำตินี้เลย เป็นกรรมแรงจึงให้ผลทันตำเห็น๔ กรรมดีให้ผลเป็น ลำภ ยศ สรรเสริญ
กรรมช่วั ให้ผลเป็น เส่ือมลำภ เส่ือมยศ นินทำ๔๖ มี ๒ อย่ำง คือ กรรมดีหรือกรรมชั่วที่ให้ผลภำยใน ๗
วนั และให้ผลภำยในชำติน้ี กรรมประเภทน้ีจะกลำยเป็นอโหสิกรรมต่อเม่ือให้ผลแล้วและผู้ที่จะรับผล
ตำยจะไม่มีกำรให้ผลข้ำมชำติ ดังน้ัน จึงต้องเป็นกรรมท่ีทำด้วย เจตนำดีแรงกล้ำ กระทำกับผู้ที่มีคุณ
๔๔ พระพรหมโมลี (วลิ ำศ ญำณวโร), กรรมทปี นี เลม่ ๑, หน้ำ ๑๙๐.
๔ สมเดจ็ พระมหำสมณเจ้ำ กรมพระยำวชริ ญำณวโรรส, ธรรมวิภาค ปริจเฉทที่ ๒, หน้ำ ๑๒๖.
๔๖ บรรจบ บรรณรุจิ, เอกสารประกอบการสอนพระไตรปฎิ กวเิ คราะห์ ๑, หน้ำ ๑๒๙.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๒๔
วิเศษ มีบุญ คุณ หรือมีควำม ดีอย่ำงมำก๔๗ ทิฏฐธัมมเวทนียกรรมจะให้ผลในชำตินี้ได้เลยนั้น ต้องไม่
ถูกทิฏฐธัมมเวทนียกรรมฝ่ำยตรงข้ำมเข้ำเบียดเบียน และต้องมีปัจจัยสำคัญเกื้อหนุน ๔ ประกำร คือ
คติ กำล อปุ ธิ และปโยค ถำ้ เกอ้ื หนุนทฏิ ฐธมั มเวทนยี กรรมฝ่ำยกุศล เรียกว่ำสมบัติ ๔ และถ้ำเก้ือหนุน
ทิฏฐธัมมเวทนียกรรมฝ่ำยอกุศลเรียกว่ำ วิบัติ ๔ กรรมประเภทน้ีจึงเปรียบได้กับนำยพรำนเนื้อ ยิงลูก
ธนูไปยังเน้ือถ้ำถูกเน้ือ เน้ือก็ตำย ถ้ำไม่ถูกเน้ือย่อมวิ่งหนีไม่กลับมำให้ยิงอีก นำยพรำนจึงเปรียบ
เหมอื นผลของกรรม เนอื้ คือ ผ้ทู ำกรรมท่ีต้องรับผลของกรรมนัน้ ๔๘
๒. อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาติหน้า หมำยถึง กรรมดีหรือกรรมชั่วที่ทำใน
ชำติน้ี แต่ยังไม่ให้ผล จะให้ผลในชำติถัดไป กรรมประเภทนี้ กลำยเป็นอโหสิกรรม ต่อเมื่อให้ผลแล้ว
หรอื ผูท้ ำกรรมตำยลงกอ่ นได้รับผล จะไม่ข้ำมไปให้ผลในชำติต่อ ๆ ไป
๓. อปราปรยิ เวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป ถัดจำกชำติหน้ำหมำยถึง กรรม
ดี หรือกรรมช่ัว ที่ทำในชำติน้ี แล้วจะให้ผลในชำติต่อ ๆ ไป ถัดจำกชำติหน้ำชำติใดชำติหน่ึงเม่ือสบ
โอกำส เปรยี บเหมอื นสุนัขไลเ่ น้ือไล่ตำมเนื้อทันเข้ำในท่ีใด ย่อมเข้ำกัดในท่ีนั้น๔๙ ดังน้ัน กรรมประเภท
น้ีจึงน่ำกลัวกว่ำกรรมประเภทที่ ๑ และประเภทที่ ๒ ด้วยว่ำผลของกรรมจะติดตำมผู้กระทำไปตลอด
กำรเวียนว่ำยตำยเกิด จนกว่ำจะให้ผลหมดจึงจะกลำยเป็นอโหสิกรรม ดังนั้น กำรให้ผลของกรรม
ประเภทที่ ๒ และประเภทที่ ๓ ทำให้เกิดควำมเข้ำใจคลำดเคลื่อนในเร่ืองผลของกรรม ท่ีมีควำม
ซบั ซอ้ นส่งผลขำ้ มภพขำ้ มชำติ
๔. อโหสิกรรม กรรมท่ีให้ผลสาเร็จแล้ว หรือกรรมไม่มีผล หมำยถึง กรรมดีหรือกรรม
ช่ัวท่ีทำไว้ ให้ผลเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อไม่มีโอกำสให้ผลในเวลำท่ีให้ผล ด้วยถูกกรรมชนิดอ่ืนตัดหน้ำให้ผล
ไปก่อน จึงอ่อนกำลังให้ผลไม่ทัน และเลิกให้ผลในท่ีสุด หรือเพรำะผู้กระทำกรรมน้ันสำเร็จเป็นพระ
อรหันต์ นิพพำนในชำติน้ีแล้ว ก็ไม่เวียนว่ำยตำยเกิดอีกต่อไป จึงไม่มีตัวตนท่ีจะต้องมำรอรับผลของ
กรรม เปรียบเหมือนพืชสิ้นยำงแล้วเพำะไม่ขึ้น ๐ ดังนั้น อโหสิกรรม จึงหมำยถึงกำรกระทำควำมดี
ตำ่ ง ๆ ของพระอรหนั ตด์ ้วย ยอ่ มไมม่ ีผลเป็นกรรมดี เพรำะท่ำนทำควำมดีด้วยจิตท่ีปรำศจำกควำมยึด
มั่น ถือม่ัน ๑ ไม่คิดทำดีเพ่ือหวังผลตอบแทนช้ันนอก รวมท้ังไม่คิดทำดีเพื่อละกิเลส เพรำะกิเลสได้
๔๗ อำ้ งแล้ว. หนำ้ ๑๒๙.
๔๘ พระพรหมโมลี (วลิ ำศ ญำณวโร), กรรมทปี นี เล่ม ๑, หนำ้ ๒ ๔.
๔๙ สมเด็จพระมหำสมณเจำ้ กรมพระยำวชริ ญำณวโรรส, ธรรมวิภาคปรจิ เฉทท่ี ๒, หน้ำ ๑๒๖.
๐ อ้ำงแล้ว. หนำ้ ๑๒๖.
๑ บรรจบ บรรณรุจิ, เอกสารประกอบการสอนพระไตรปิฎกวเิ คราะห์ ๑, หน้ำ ๑๓๐.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๒
หมดส้ินแล้ว แต่ยังทำดีต่อไปอย่ำงต่อเนื่อง กำรทำดีของท่ำนจึงจัดเป็นเพียงกิริยำ ไม่จัดเป็นกรรม
และไมม่ ีวบิ ำก ๒
กรรม ๑๒ เป็นควำมรู้เร่ืองกำรให้ผลในส่วนของ ลำภ ยศ สรรเสริญ และเส่ือมลำภเสื่อม
ยศ นินทำเป็นกำรกล่ำวถึงผลของกรรมโดยเฉพำะท่ีกล่ำวถึงกำรให้ผลชั้นนอกเท่ำน้ัน คือ ให้ผลเป็น
โลกธรรม ไม่ได้กล่ำวถึงกำรให้ผลช้ันใน คือ ให้ผลทำงด้ำนจิตใจ ตลอดจนเป็นกำรแสดงให้เห็น
ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกรรมเก่ำในอดีตชำติกับกรรมใหม่ในชำติปัจจุบัน เช่น กรรมเก่ำในอดีตชำติทำ
หน้ำทเ่ี ปน็ ชนกกรรม แลว้ กรรมเก่ำในอดีตชำตอิ ยำ่ งอนื่ หรือกรรมใหมใ่ นชำติปัจจุบันอำจทำหน้ำท่ีเป็น
อุปัตถัมภกกรรม อุปปีฬกกรรม และอุปฆำตกรรมก็ได้ ๓ และทำกรรมเพียงประเภทเดียว อำจเป็น
กรรมได้ถึง ๓ ประเภท พร้อม ๆ กัน เช่น ถ้ำเรำฆ่ำบิดำเป็นทั้งครุกรรมเป็นทั้งทิฏฐธัมมเวทนียกรรม
และเปน็ ท้ังอุปฆำตกรรม ๔
สรปุ ไดว้ ่ำ กรรม ๑๒ เป็นมตขิ องอรรถกถำจำรย์ ทกี่ ลำ่ วไว้ในอรรถกถำ โดยมีวัตถุประสงค์
รวบรวมคำสอนเรอื่ งกรรมจำกพระไตรปฎิ ก แล้วจดั แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ตำมทำงให้ผลของกรรม
คือ ๑. กรรมให้ผลตำมหน้ำท่ี ๒. กรรมให้ผลก่อนหรือหลัง ๓. กรรมให้ผลตำมระยะเวลำ อธิบำย
รำยละเอยี ดเก่ยี วกับกรรมและผลของกรรมท่เี ป็นรปู ธรรมไดช้ ดั เจน ผู้ที่ศึกษำเรื่องกรรม ๑๒ จนเข้ำใจ
จะเป็นผ้ยู อมรบั เงอ่ื นไขของกำรใหผ้ ลของกรรมชั้นนอก ท่มี ีควำมซบั ซอ้ นได้ โดยไม่สงสัยกำรให้ผลของ
กรรมอกี ตอ่ ไป
๒.๓ ลกั ษณะของกรรม
กรรม เป็นส่ิงท่ีควรพิจำรณำในกำรดำรงชีวิตของมนุษย์ในสังคม เพรำะกรรมจะส่งผลต่อ
ชีวิตทั้งปัจจุบัน และในอนำคต ทำให้มีอันเป็นไปตำมเหตุปัจจัยท่ีทำให้เกิดกรรม ท่ีเรำเกิดมำได้น้ี
กเ็ ปน็ เรอื่ งของกรรม เมอ่ื เกดิ มำแล้วก็ตอ้ งประสบกับผลของกรรมท่ีก่อไว้ในอดีต ดังท่ีพระพุทธเจ้ำทรง
แนะนำให้พจิ ำรณำเพอ่ื ละกำรทำควำมชั่ว และเร่งกระทำควำมดีให้พ้นจำกกรรมช่ัว ควำมตอนหน่ึงใน
ฐำนสูตร และจูฬกัมมวิภังคสูตรว่ำ สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิตควรพิจำรณำเนือง ๆ ว่ำ “เรำมี
กรรมเป็นของตน เปน็ ผู้รบั ผลของกรรม มีกรรมเปน็ กำเนิด มีกรรมเป็นเผ่ำพันธ์ุ มีกรรมเป็นท่ีพ่ึงอำศัย
เรำทำกรรมใดไว้ จะเปน็ กรรมดหี รอื กรรมชัว่ กต็ ำม ยอ่ มเป็นผูร้ ับผลของกรรมนั้น”
๒ บรรจบ บรรณรจุ ิ, ปฏิจจสมุปบาท, หนำ้ ๒๐๑.
๓ บรรจบ บรรณรุจิ, เอกสารประกอบการสอนพระไตรปิฎกวิเคราะห์ ๑, หนำ้ ๑๓๑.
๔ แสง จนั ทร์งำม, พทุ ธศาสนวทิ ยา, หน้ำ ๑๑ .
อง.ฺ ปญจฺ ก. (ไทย) ๒๒/ ๗/๑๐๑.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๒๖
๒.๓.๑ ลกั ษณะของกรรมในฐานะเปน็ ภาระต่อผู้รับกรรม
เมื่อได้ทำกรรมอย่ำงใดอย่ำงหนึ่งลงไปแล้ว กรรมน้ันย่อมให้ผลอย่ำงแน่นอน ในหลักคำ
สอนของพระพทุ ธศำสนำ พระพุทธเจ้ำทรงแสดงธรรมเป็นเครื่องยืนยันถึงกรรมว่ำ เม่ือเรำทำกรรมลง
ไปแล้วจะต้องได้รับผลแน่นอนท่ีสุด ต้ังแต่ในขณะทำกรรมลงไป เช่น ขณะเรำที่กำลังฆ่ำคนหรือสัตว์
คนหรือสัตว์น้ันรู้ตัวแล้วต่อสู้ด้ินรน ทำให้เรำได้รับบำดเจ็บหรือเสียชีวิต เป็นต้น อำจกล่ำวเป็นภำษำ
ชำวบ้ำนโดยท่ัวไปได้ว่ำ เป็นกรรมทันตำเห็น บำงทีกรรมบำงอย่ำงให้ผลแบบต่อเนื่องไปถึงอนำคต
เช่น ไปแอบขโมยของคนอื่น ตอนแรกเจ้ำของยังไม่ทรำบว่ำเป็นฝีมือใคร ตอนน้ันจึงรอดตัว แต่เมื่อ
รวบรวมหลักฐำนได้แลว้ ใหเ้ จ้ำหนำ้ ทเ่ี ขำ้ ไปจับกุม นีก่ ็เปน็ ผลกรรมที่ยงั ไม่ทันตำเห็น แต่รอให้ผลเมื่อถึง
เวลำของมนั กรรมเหลำ่ นจ้ี ะใหผ้ ลไปจนถึงท่ีสุดแห่งกรรมนั้น คือเป็นกรรมที่ไม่สำมำรถให้ผลอีกต่อไป
เม่ือถูกจับผลกรรมน้ันส้ินสุดลง หรือเป็นอโหสิกรรมเมื่อเจ้ำทุกข์ไม่เอำเรื่องเอำควำมผลกรรมน้ันก็ไม่
ต้องเสวยผลกรรมอีกต่อไป คือไม่ต้องรับภำระแก้กรรมกันอีกต่อไป ดังน้ัน กรรมจึงเปรียบเสมือน
สมบตั ิท่ีตนเองพึงจะไดร้ บั ในอนำคต หรือหนี้สินท่ีตนเองต้องชดใช้อย่ำงเล่ียงไม่ได้ในอนำคต มนุษย์จึง
มีกรรมเป็นของตน และกรรมน้ีเองนำไปสู่กำรสร้ำงภพสร้ำงชำติ สร้ำงเป็นขันธ์ ๑ ขันธ์ ขันธ์ ๔ ขันธ์
ขันธ์ ขันธ์ ซึ่งเป็นภำระต่อไปไม่รู้จบ ดังพุทธพจน์ที่ว่ำภำระน้ัน ได้แก่ อุปำทำนขันธ์ (กองอันเป็น
ท่ีตั้งแห่งควำมยึดม่ัน) ประกำร คือ รูปูปำทำนขันธ์ (อุปำทำนขันธ์คือรูป) เวทนูปำทำนขันธ์
(อุปำทำนขันธ์คือเวทนำ) สัญญูปำทำนขันธ์ (อุปำทำนขันธ์คือสัญญำ) สังขำรูปำทำนขันธ์ (อุปำทำน
ขนั ธค์ ือสังขำร) วิญญำณูปำทำนขันธ์ (อุปำทำนขนั ธ์คอื วิญญำณ) กำรถือภำระ คือ ตัณหำอันทำให้เกิด
อีก ประกอบด้วยควำมเพลิดเพลินและควำมกำหนัด มีปกติให้เพลิดเพลินและควำมกำหนัด มีปกติให้
เพลดิ เพลินในอำรมณน์ ัน้ ๆ ไดแ้ ก่ กำมตัณหำ (ควำมทยำนอยำกในกรม) ภวตัณหำ (ควำมทยำนอยำก
ในภพ) วิภวตัณหำ (ควำมทยำนอยำกในวิภพ) กำรวำงภำระ คือควำมดับตัณหำไม่เหลือด้วยวิรำคะ
ควำมสละ ควำมสละคืน ควำมพ้น ควำมไม่อำลัยในตณั หำ ๖
๒.๓.๒ ลักษณะของกรรมในฐานะเปน็ ส่ิงท่ีส่งผลตอ่ ผู้รบั ผลกรรม
ในอรรถกถำจูฬกัมมวภิ งั คสตู ร ได้อธิบำยถงึ กำรเป็นผู้รับผลของกรรมไว้ว่ำ “สัตว์ทั้งหลำย
เปน็ ทำยำทแหง่ กรรม เพรำะฉะนัน้ สตั ว์เหล่ำน้นั ชื่อวำ่ เป็นทำยำทแห่งกรรม” ๗
ดังนั้น หลังจำกท่ีได้ทำกรรมอย่ำงใดอย่ำงหน่ึงไปแล้ว จะเกิดผลกรรมขึ้นมำ ซึ่งอำจเกิด
ทันที หรืออำจให้ผลภำยหลังตำมแรงกรรม และผู้ท่ีจะได้รับผลกรรมโดยตรงก็คือตัวผู้กระทำเอง ไม่มี
ใครรับผลกรรมแทนกันได้ หำกวำ่ กรรมทีก่ ระทำเปน็ กุศลกรรม กรรมนั้นก็จะเป็นมรดกตกทอดให้ผู้ทำ
๖ ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๒/๓๔-๓ .
๗ ม.อุ.อ. (ไทย) ๒๓/ ๙๗/๒๖๒.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๒๗
กรรมน้ันได้รับทันที ดังพุทธภำษิตท่ีปรำกฏในจูฬกัมมวิภังคสูตร มัชฌิมนิกำย อุปริปัณณำสก์
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ วำ่ “กรรมยอ่ มจำแนกสัตวท์ ัง้ หลำยให้เลวและดตี ่ำงกัน” ๘
เมื่อไดร้ บั มรดกกรรมท่ตี นเองได้กอ่ ข้ึน ตำมทไี่ ด้กล่ำวมำแล้ว ถ้ำทำกรรมดี ก็จะได้สิ่งดีเป็น
มรดก ถ้ำทำกรรมชว่ั กจ็ ะไดผ้ ลกรรมช่ัวเป็นมรดกให้กบั ตนเอง และไม่มีทำงที่จะได้ผลตรงกันข้ำม เช่น
ทำดีแล้วได้ชั่ว หรือทำช่ัวแล้วได้ดี ดังที่พระพุทธเจ้ำทรงแสดงในกุกกุรวติกสูตร ว่ำ ด้วยกำรประพฤติ
วัตรเลียนแบบสุนัขของชีเปลือยท่ีชื่อว่ำ เสนิยะ แก่บุตรของชำยโกลิยะชื่อว่ำ ปุณณะ ว่ำ คร้ันบำเพ็ญ
กุกกุรวัตร บำเพ็ญตนตำมปกติแบบสุนัข บำเพ็ญจิตแบบสุนัข บำเพ็ญกิริยำอำกำรแบบสุนัขอย่ำง
สมบรู ณไ์ มข่ ำดสำยแลว้ หลังจำกตำยไป เขำย่อมไปเกิดในหมู่สุนัข ๙ สำมำรถกล่ำวได้ว่ำ ทำอย่ำงไรก็
ได้เช่นนั้นนั่นเอง และเป็นกำรกระทำที่สำมำรถจำแนกผู้กระทำได้ว่ำเป็นคนดีหรือคนเลว ซึ่งเรำ
สำมำรถสงั เกตได้จำกผลของกำรกระทำน่นั เอง
๒.๓.๓ ลกั ษณะของกรรมในฐานะเป็นเหตุใหผ้ รู้ บั กรรมตอ้ งมาเกิดเพอื่ รบั กรรม
ตำมควำมท่ีปรำกฏในคมั ภรี อ์ รรถกถำ มชั ฌิมนกิ ำย อุปริปัณณำสก์ พระอรรถกถำจำรย์ได้
อธิบำยควำมหมำยของคำว่ำ “เรำมีกรรมเป็นกำเนิด” ว่ำ “กรรมเป็นทำยำทคือเป็นภัณฑะของสัตว์
เหล่ำน้ัน กรรมเป็นกำเนิดคือเป็นเหตุของสัตว์เหล่ำน้ัน เพรำะฉะนั้น สัตว์เหล่ำน้ันช่ือว่ำ มีกรรมเป็น
กำเนิด”๖๐
ในจฬู กมั มวิภังคสูตร พระพทุ ธเจ้ำได้ทรงแสดงถึงสำเหตุท่ีมนุษย์และสัตว์โลกท้ังหลำยเกิด
มำไม่เหมือนกันต่อหน้ำสุภมำณพโตเทยยบุตร เมื่อสุภมำณพโตเทยยบุตรทูลถำม และพระพุทธองค์
ทรงวิสัชชนำว่ำ สัตว์ท้ังหลำยมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นทำยำท มีกรรมเป็นกำเนิดมีกรรมเป็น
เผ่ำพันธุ์ มกี รรมเปน็ ท่ีพง่ึ อำศยั กรรมยอ่ มจำแนกสตั วท์ ั้งหลำยใหเ้ ลวและดตี ่ำงกนั ๖๑
จำกพระสูตรน้ีจะเห็นว่ำ พระพุทธเจ้ำทรงแสดงว่ำท่ีเรำเกิดมำแล้วต้องเป็นอย่ำงน้ันอย่ำง
นี้ ก็เพรำะกรรมที่เรำก่อไว้ในกำลก่อนแทบท้ังส้ิน ถ้ำทำแต่สิ่งท่ีเป็นกุศลมำแต่ก่อน กุศลกรรมที่ได้ก่อ
ข้นึ กจ็ ะเป็นเหตปุ จั จยั ทำใหป้ ระสบแต่สง่ิ ทดี่ ีในปัจจบุ นั เช่น เกิดมำรวย ก็เพรำะกรรมดีมีกำรทำบุญให้
ทำนเป็นต้น เป็นเหตุปัจจัยเก้ือหนุน แต่หำกว่ำก่ออกุศลกรรม คือทำควำมชั่ว เช่น ไปลักขโมยของ
เป็นตน้ เหตุปจั จยั ดังกลำ่ วกจ็ ะทำให้เกิดมำมีฐำนะยำกจน อย่ำงนเ้ี ป็นต้น
๘ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๙๗/๓ ๖.
๙ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๗๙/๗๖.
๖๐ ม.อุ.อ. (ไทย) ๒๓/ ๙๗/๒๖๒.
๖๑ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๘๙/๓๔๙-๓ ๐.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๒๘
ในจิตตสัมภูตชำดก พระพุทธเจ้ำตรัสพระคำถำที่จิตตบัณฑิตแสดงต่อหน้ำพระพักตร์ของ
พระเจ้ำสัมภตู ะผเู้ คยเปน็ พี่น้องกับท่ำนเมือ่ ชำตปิ ำงก่อน ว่ำ
ขอเดชะพระองค์ผู้จอมชน ชำตกิ ่อนของนรชนไมส่ มำ่ เสมอ
ในหมู่มนุษย์ กำเนิดแหง่ คนจณั ฑำลนับว่ำต่ำตอ้ ยท่สี ุด
ในชำติกอ่ น พวกเรำไดอ้ ำศยั อยู่ในครรภ์ของหญงิ จัณฑำล
เพรำะกรรมชั่วช้ำของตน๖๒
พระสูตรน้ีเป็นอีกพระสูตรหน่ึงที่ทรงแสดงให้เห็นว่ำ เรำจะทำอะไรก็ตำม ก็จะส่งผลให้
ตนเองได้รับผลจำกกำรกระทำน้ัน ๆ ด้วย เช่นเดียวกันกับจูฬกัมมวิภังคสูตร ก็คือ ถ้ำได้ทำควำมดี
เอำไว้ ก็จะได้รับผลดี ซ่ึงอำจส่งผลเร็วหรือช้ำ เรำจะได้รับผลอย่ำงแน่นอน และถ้ำทำกรรมชั่ว ก็จะ
ได้รบั ผลกรรมช่ัวทต่ี นเองได้ทำไวเ้ ชน่ กนั
วศิน อินทสระ ได้อธิบำยประเด็นน้ีโดยยึดหลักกำรอธิบำยแบบเดียวกับหลักปฏิจจสมุป
บำทและสังสำรวัฏ ซ่ึงท่ำนกล่ำวว่ำคนเรำเกิดมำเพรำะยังมีกรรมอยู่ คือยังมีกิเลส มีกรรมและมีวิบำก
คือผลของกรรม ผลของกรรมย่อมส่งวิญญำณให้เกิดในท่ีต่ำง ๆ ตำมควำมเหมำะสมแก่กรรม จะมีแต่
คนไมม่ ีกรรมแล้ว เชน่ พระอรหนั ตย์ อ่ มไมเ่ กิดอกี ๖๓
๒.๓.๔ ลกั ษณะของกรรมในฐานะเป็นเผา่ พนั ธุข์ องผู้รับกรรม
อรรถกถำจำรยไ์ ดใ้ หค้ วำมหมำยของคำวำ่ “เรำมกี รรมเปน็ เผ่ำพันธ์ุ” ในมัชฌิมนิกำย อุปริ
ปัณณำสก์ ว่ำ “กรรมเป็นเผ่ำพันธ์ุของสัตว์เหล่ำนั้น เพรำะฉะนั้น สัตว์เหล่ำนั้นช่ือว่ำ มีกรรมเป็น
เผ่ำพันธุ์”๖๔ เมื่อได้ทำกรรมอย่ำงใดอย่ำงหน่ึงแล้ว กรรมน้ันจะส่งผลตำมอำนำจของกรรมทันทีโดย
สง่ ผลได้ท้งั ในปจั จบุ ันและอนำคต กลำ่ วคือ กรรมท่เี รำได้ทำไว้จะส่งผลให้เรำเกิดมีและเป็นไปตำมแรง
กรรม จึงเปรียบเสมือนเป็นเผ่ำพันธุ์ของตัวผู้กระทำกรรมต่อไปในอนำคตน่ันเองโดยจะส่งผลได้ทั้ง ๓
ระยะ คอื
หนำ้ ๒. ๖๒ ข.ุ ชำ.วสี ติ. (ไทย) ๒๗/๓๘/๔๗๖.
๖๓ วศิน อินทสระ, หลักกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด, (กรุงเทพมหำนคร : เรือนธรรม, ๒ ๔๖),
๖๔ ม.อุ.อ. (ไทย) ๒๓/ ๙๗/๒๖๒.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๒๙
๑. ในปัจจบุ นั หรือในภพนเ้ี รยี กวำ่ ทฏิ ฐธรรมเวทนียกรรม๖
๒. ในภพหนำ้ เรียกว่ำ อปุ ปชั ชเวทนียกรรม๖๖
๓. ในภพต่อ ๆ ไป เรยี กว่ำ อปรำปรเวทนียกรรม๖๗
๒.๓.๕ ลกั ษณะของกรรมในฐานะเปน็ ท่ีพงึ่ อาศยั ของผู้รับกรรม
ในสภำพท่ีเป็นอยู่ในปัจจุบันของสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตท่ีเกิดมำและอำศัยในภพภูมิต่ำง ๆ ล้วน
แตอ่ ำศยั กรรมเก่ำทที่ ำไว้ปำงก่อน และกรรมท่ีทำไว้ในปัจจุบัน พระมหำไพฑูรย์ สุทฺธวิธุโร ได้กล่ำวถึง
กำรอำศัยอยกู่ บั กรรมของสตั วโ์ ลกท้ังหลำยว่ำ
“ในสังคมมนุษย์นี้ ปรำกฏว่ำมีคนหลำยประเภทที่แตกต่ำงกัน เช่น บำงคนหูหนวก
ตำบอด ปัญญำอ่อน บำ้ ใบ้ พิกำร แต่กำเนิดกม็ ี หรอื อำศยั ส่ิงแวดลอ้ ม อุบัติบำงอย่ำง หรือกำรกระทำ
บำงอย่ำงแล้วกลำยเป็นคนพิกำรก็มี และท่ีเห็นชัดก็คือ มีสัตว์หลำยประเภทที่อำศัยอยู่ร่วมโลกใบ
เดยี วกบั มนุษย์ อะไรคอื สงิ่ ทท่ี ำใหม้ นษุ ยเ์ หลำ่ น้นั และสตั ว์เหล่ำน้ันต่ำงกนั ออกไป ส่ิงท่ีทำให้มนุษย์และ
มนุษย์หรือมนุษย์กับสัตว์แตกต่ำงกันออกไปเช่นน้ัน เพรำะผลแห่งกรรม หรือกรรมให้ผลน่ันเอง ไม่มี
ใครบันดำล ใครทำกรรมใดไว้ก็ได้รับผลกรรมนั้น ซึ่งกำรสร้ำงกรรมน้ัน อำศัยเจตนำเป็นตัวกำร
แม้บำปอกุศลกรรมก็มีเจตนำท่ีเป็นตัวชักนำน้ีเป็นตัวทำอกุศลเจตสิกท้ังหมดเป็นตัวกำรทำกรรมให้
สำเรจ็ แลว้ จำแนกสัตว์ให้ไดร้ ับทกุ ข์แตกต่ำงกันไป”๖๘
๖ ในอรรถกถำพระสุตตนั ตปิฎก อังคุตรนิกำย ตกิ นบิ ำต กล่ำวว่ำ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรมนั้น ให้วิบำก
ในอตั ภำพนเี้ ทำ่ นน้ั (องฺ.ติก.อ. (ไทย) ๓๔/๔๗๓/๑๒๒.).
๖๖ ในอรรถกถำพระสุตตนั ตปฎิ ก องั คตุ รนิกำย ตกิ นบิ ำต มีคำอธิบำยวำ่ อุปปชั ชเวทนียกรรมนั้นอำนวย
ผลในอัตภำพต่อไป แต่ในบรรดำกุศลอกุศลท้ังสองฝ่ำยนี้ อุปปัชชเวทนียกรรมในฝ่ำยท่ีเป็นกุศล พึงทรำบด้วย
สำมำรถแห่งสมำบัติ ๘ ในฝ่ำยท่ีเป็นอกุศล พึงทรำบด้วยสำมำรถแห่งอนันตริยกรรม ผู้ท่ีได้สมำบัติ ๘ จะเกิดใน
พรหมโลก ฝำ่ ยผกู้ ระทำอนนั ตริยกรรม จะเกดิ ในนรกด้วย (อง.ฺ ตกิ .อ. (ไทย) ๓๔/๔๗๓/๑๒๒-๑๒๓.).
๖๗ ในอรรถกถำพระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกำย ติกนิบำต มีคำอธิบำยว่ำ อปรำปรเวทนียกรรมน้ันได้
โอกำสเมื่อใดในอนำคตกำล เมื่อน้ัน จะให้ผล เมื่อควำมเป็นไปแห่งสังสำรวัฏฏะยังมีอยู่ กรรมนั้นจะช่ือว่ำ เป็น
อโหสกิ รรมย่อมไม่มี (องฺ.ตกิ .อ. (ไทย) ๓๔/๔๗๓/๑๒๓.).
๖๘ พระมหำไพฑูรย์ สุทฺธวิธุโร, “กำรวิเครำะห์เชิงปรัชญำเร่ืองบำปในพระพุทธศำสนำเถรวำท”,
วิทยานิพนธ์ปริญญาพทุ ธศาสตรมหาบัณฑติ สาขาปรชั ญา, (บณั ฑิตวิทยำลัย : มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำช
วิทยำลยั , ๒ ๓๖), หน้ำ ๗๗.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๓๐
ในจูฬนันทิยชำดก๖๙ พระพุทธเจ้ำทรงแสดงแก่ภิกษุท้ังหลำยที่กำลังวิพำกษ์วิจำรณ์กำร
กระทำของพระเทวทัตทหี่ ำทำงลอบปลงพระชนมพ์ ระพุทธเจ้ำหลำยครั้งแล้ว จึงทรงแสดงชำดกนี้และ
ตรัสพระคำถำวำ่
คนทำกรรมใดไว้ ยอ่ มเหน็ กรรมนนั้ ในตน
คนทำกรรมดยี ่อมได้รบั ผลดี
คนหว่ำนพชื เช่นใด คนทำกรรมช่ัวยอ่ มได้รับผลชัว่
ยอ่ มไดร้ ับผลเชน่ นนั้ ๗๐
ทั้งสองพระสูตรนี้ พระพุทธเจ้ำทรงแสดงต่อหน้ำภิกษุท้ังหลำยที่มีควำมสงสัยเร่ืองกรรม
ก็ทรงยนื ยันว่ำ ทำกรรมอะไรเอำไว้ ย่อมได้ผลเช่นนั้น ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ทำกรรมชั่วย่อมได้ผล
ชั่ว เหมือนกับกำรหว่ำนเมล็ดพันธุ์พืชชนิดใด ย่อมได้พันธ์ุพืชเช่นนั้นเป็นกำรตอบแทนอย่ำงแน่นอน
เชน่ เดยี วกัน
อีกพระสูตรหนึ่งที่พระพุทธเจ้ำ คือ กุมำรกสูตร ที่ททรงแสดงแก่เด็กท่ีกำลังจับปลำอยู่ใน
ระหว่ำงกรุงสำวัตถกี ับพระเชตวนั ให้เลิกจับปลำดว้ ยพุทธอทุ ำนว่ำ
ถ้ำเธอท้ังหลำยกลัวควำมทกุ ข์
ถำ้ ควำมทุกข์ไมเ่ ปน็ ทรี่ กั ของเธอทง้ั หลำย
กอ็ ย่ำได้ทำบำปกรรมในที่แจง้ ๗๑ หรอื บำปกรรมในทล่ี บั ๗๒
เพรำะถ้ำเธอทั้งหลำยจักทำ หรอื กำลังทำบำปกรรมอยู่
ถงึ จะเหำะหนีไป เธอย่อมไม่พน้ จำกควำมทกุ ข์ไปได้๗๓
ตำมหลักคำสอนลักษณะของกรรมดังที่ได้กล่ำวมำ ณ เบื้องต้น กำรสร้ำงกรรมของบุคคล
ผู้ก่อกรรม กรรมน้ันจะส่งผลต่อไปในภำยภำคหน้ำ ทั้งในส่วนของสภำพจิตใจ หรือแม้แต่
สภำพแวดล้อม เปรยี บเสมอื นกำรสรำ้ งทอี่ ยูอ่ ำศยั ให้กบั ตนเอง
๖๙ ในอรรถกถำพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกำย ทุกนิบำตชำดก เล่ม ๓ ภำค ๓ หน้ำ ๓๘๙ ใช้คำว่ำ
“จลุ ลนันทยิ ำชำดก” แทน “จฬู นันทิยชำดก” (ข.ุ ชำ.ทุก. (ไทย) ๒๗/๒๙๒-๒๙๔/๓๘๙-๓๙๔).
๗๐ ข.ุ ชำ.ทกุ . (ไทย) ๒๗/๑๔๓-๑๔๔/๑๐๓.
๗๑ บาปกรรมในทแี่ จง้ หมำยถงึ กรรมชว่ั ทำงกำย และทำงวำจำ (ข.ุ อุ.อ. (ไทย) ๔๔/๑๑ / ๒๐).
๗๒ บาปกรรมในท่ีลับ หมำยถงึ กรรมชวั่ ทำงใจ (ข.ุ อุ.อ. (ไทย) ๔๔/๑๑ / ๒๐).
๗๓ ข.ุ อุ. (ไทย) ๒ /๔๔/๒๖๐.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๓๑
๒.๔ สรุปแนวคิดทฤษฎที เี่ กยี่ วข้องกับกรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท
จำกกำรศึกษำเอกสำรเกี่ยวกับกรรมในพระพุทธศำสนำ ตำมหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ำ
ตลอดจนนกั วชิ ำกำรทำงพระพทุ ธศำสนำ ไดใ้ หท้ ศั นะเก่ียวกับควำมหมำยของกรรมดงั กล่ำวมำแล้วน้นั
สรุปได้ว่ำ ควำมหมำยของ “กรรม” หมำยถึง กำรกระทำที่จะต้องประกอบไปด้วยควำม
ตั้งใจ หรือเจตนำเป็นพื้นฐำน โดยจะแสดงออกมำ ทำงกำย ทำงวำจำ และทำงใจ มีท้ังกรรมดี กรรม
ชั่วและส่งผลต่อผู้กระทำ ไม่ขึ้นอยู่กับฐำนะ เม่ือก่อกรรมแล้วจะต้องได้รับผลของกรรมน้ันแน่นอนไม่
ช้ำกเ็ ร็วข้ึนอยู่กับประเภทของกรรมทไ่ี ดก้ ระทำ
คำว่ำกรรมเป็นคำกลำง ๆ ที่ไม่ได้บ่งบอกถึงส่ิงท่ีดีหรือช่ัว แต่กรรมเป็นเร่ืองของ
กำรกระทำอันประกอบด้วยเจตนำ ท่ีเกิดจำกทวำรคือ ทำงกำย ทำงวำจำ และทำงใจ โดยทำง
พระพุทธศำสนำ ถือว่ำ ใจเป็นบ่อเกิดของส่ิงทั้งปวง ท่ีจะนำไปสู่กำรกระทำทำงกำย หรือทำงวำจำ
สมดังพทุ ธพจน์ทีว่ ่ำ มโนปุพฺพ คมำ ธมมฺ ำ มโนเสฏฺฐำ มโนมยำ....ฯลฯ แปล ใจเป็นผู้นำทุกสิ่งทุกอย่ำง
ใจเป็นใหญ่ ทุกอย่ำงสำเร็จได้ด้วยใจ ถ้ำคนเรำมีใจชั่วเสียแล้ว กำรพูด กำรกระทำก็พลอยชั่วไปด้วย
เพรำะกำรพูดช่ัวทำช่ัวน้ันทุกข์ย่อมตำมสนองเขำ เหมือนล้อหมุนตำมรอยเท้ำโค โดยสำมำรถแยก
กรรมออกเป็น ๒ ฝ่ำยคือ ฝ่ำยดเี รียกว่ำ กศุ ลกรรม ฝ่ำยชัว่ เรยี กวำ่ อกุศลกรรม
ลักษณะของกรรมเป็นดังคำสอนของพระพุทธเจ้ำที่ว่ำ สัตว์ทั้งหลำยมีกรรมเป็นของตน
มีกรรมเป็นทำยำท มีกรรมเป็นกำเนิดมีกรรมเป็นเผ่ำพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พ่ึงอำศัย กรรมย่อมจำแนก
สตั ว์ทัง้ หลำยให้เลวและดีตำ่ งกันอยำ่ งนี้
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
บทท่ี ๓
การกระทากรรมของพระเทวทตั ท่ีปรากฏในพระพุทธศาสนาเถรวาท
สำหรับบทที่ ๓ ผู้วิจัยจะได้ศึกษำเรื่องกำรกระทำกรรมของพระเทวทัตท่ีปรำกฏใน
พระพุทธศำสนำเถรวำท ถึงแม้พระเทวทัตจะเป็นศัตรูของพระพุทธองค์ก็ตำม แต่ท่ำนก็ถือว่ำเป็น
พระสำวกรูปหนึ่งของพระพุทธองค์เช่นเดียวกัน กำรดำเนินชีวิตของท่ำนมีควำมเป็นไปที่น่ำสนใจยิ่ง
นกั ซง่ึ จะได้กล่ำวตอ่ ไป
กำรศกึ ษำกำรกระทำกรรมของพระเทวทัตน้ัน ผู้วิจัยขอเร่ิมต้ังแต่อดีตชำติก่อน เพ่ือให้รู้
ว่ำเพรำะเหตใุ ด ท่ำนจึงไดม้ ำเป็นศัตรูคอยจองล้ำงจองผลำญพระพุทธองค์
๓.๑ ประวตั ิของพระเทวทตั
๓.๑.๑ ประวตั ิในอดีตชาติ
ชีวประวัติในอดีตชำติของพระเทวทัตนั้น เน่ืองจำกท่ำนมิใช่พระสำวกฝ่ำยเอตทัคคะ
ดังนั้น จึงมิได้ปรำกฏในคัมภีร์อปำทำน ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลประวัติของท่ำนจำกชำดกต่ำง ๆ
ที่พระพุทธองค์ได้ปรำรภเหตุเกิดข้ึนแล้วตรัสไว้ โดยมีท่ำนเกิดร่วมชำติด้วย เฉพำะท่ีปรำกฏในคัมภีร์
ชำดกน้นั นับได้ทัง้ หมด ๗๘ ชำติ ซ่งึ ผ้วู ิจยั จะไดส้ รปุ ชวี ประวตั ิของท่ำนในแต่ละชำติ ดังต่อไปน้ี
. ในเสรีววำณิชชำดก ถือว่ำเป็นชำติแรกที่พระเทวทัตได้ผูกอำฆำตในพระโพธิสัตว์
ซ่ึงพระโพธิสัตว์ได้เสวยพระชำติเป็นพ่อค้ำชื่อเสรีวะ ในเมืองเสรีวะ ฝ่ำยพระเทวทัตได้ถือกำเนิดเป็น
พอ่ คำ้ ช่ือเสรีวะเหมือนกัน เขำได้หลอกซื้อขำยสินค้ำแก่ประชำชน เมื่อถูกพระโพธิสัตว์ซ้ือของตัดหน้ำ
ทำให้เขำเสียใจเปน็ อยำ่ งย่งิ ได้ผูกอำฆำตในพระโพธิสตั ว์
ต่อจำกนี้ไป ผู้วิจัยจะกล่ำวถึงอดีตชำติของพระเทวทัตท่ีเกิดร่วมกับพระพุทธองค์โดย
เรียงตำมลำดับชำดก ดังนี้
มีอีกหนึ่งชำดกท่ีพระพุทธองค์ทรงปรำรภพระเทวทัต คือ กุมภีลชำดก ขุ.ชำ.อ. (ไทย) ๕๕/๔๐ –
๔๐ , แตอ่ รรถกถำไม่ไดก้ ล่ำวรำยละเอยี ดไว้ ดงั น้นั ผู้วจิ ยั จงึ มิไดน้ ำมำกลำ่ วไว้.
ดรู ำยละเอยี ดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕๕/๓/ ๗๘– ๘ .
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๓๓
. ในอปัณณกชำดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชำติเป็นพ่อค้ำเกวียนผู้เป็นบัณฑิต ส่วน
พระเทวทัตเกิดเป็นพ่อค้ำเกวียนผู้โง่เขลำ เขำได้เดินทำงไปค้ำขำยต่ำงเมืองพร้อมกับบริวำร เพรำะมี
ปญั ญำน้อยจึงถูกพวกยักษ์ท่ีอยู่กลำงดงมำหลอกให้หลงเชื่อแล้วจับกิน ฝ่ำยพระโพธิสัตว์อำศัยปัญญำ
ไมห่ ลงเชอ่ื พวกยกั ษ์ จงึ ผ่ำนพน้ ไปไดโ้ ดยสวสั ดิภำพ๓
๓. ในลักขณชำดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชำติเป็นพญำเน้ือ มีเน้ือหนึ่งพันเป็นบริวำร
พระเทวทัตได้บังเกิดเป็นเน้ือชื่อว่ำกำฬะลูกของพระโพธิสัตว์ เมื่อโตขึ้นได้ปกครองเน้ือ ๕๐๐ ตัวและ
ไดพ้ ำบริวำรหลบพวกมนุษย์ไปท่ีเชงิ เขำ แต่เพรำะไม่ระวงั บริวำรจึงถูกพวกมนษุ ยฆ์ ่ำตำยเปน็ อนั มำก๔
๔. ในนโิ ครธมคิ ชำดก พระโพธิสตั ว์เสวยพระชำติเปน็ พญำเน้ือนิโครธ ฝ่ำยพระเทวทัตได้
บังเกิดเป็นพญำเนื้อสำขะ ทั้งสองต่ำงมีบริวำรตัวละ ๕๐๐ เม่ือแม่เน้ือบริวำรของพญำเน้ือสำขะซ่ึง
กำลังมีครรภ์แก่มำอ้อนวอนขอผัดผ่อนวำระท่ีพญำเนื้อทั้งสองต้ังไว้ให้บริวำรต้องเสียสละชีวิตตนเพื่อ
ส่วนรวมให้พระรำชำประหำรนำเนื้อไปปรุงอำหำร แต่พญำเนื้อสำขะไม่ยินยอม พระโพธิสัตว์จึงสละ
ชีวติ ของตนไปรับวำระแทน แต่ในทส่ี ดุ ก็ไดร้ ับอภัยทำน๕
๕. ในนฬปำนชำดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชำติเป็นพญำลิงมีบริวำรแปดหม่ืนตัว
พระเทวทัตกำเนิดเป็นผีเสื้อน้ำท่ีสระโบกขรณีคอยดักกินสัตว์ทุกตัวท่ีลงกินน้ำในสระ พญำลิงได้พำ
บริวำรไปหำกินทส่ี ระน้ัน อำศยั ปญั ญำจึงสำมำรถพำบริวำรทั้งหมดกินน้ำโดยท่ีผีเส้ือน้ำนั้นจับกินไม่ได้
เลย
. ในกุรุงคมิคชำดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชำติเป็นกวำง พระเทวทัตได้ถือกำเนิดเป็น
นำยพรำน เขำประสงค์จะจับพระโพธิสัตว์ผู้มำหำกินผลไม้ที่หล่นใต้ต้นไม้ที่ตนขัดห้ำงอยู่ข้ำงบน
พระโพธิสัตว์ไม่เข้ำมำเพรำะเห็นผิดสังเกต เขำจึงโยนผลไม้ให้ไปตกลงข้ำงหน้ำของพระโพธิสัตว์
ถูกพระโพธสิ ัตวก์ ล่ำวตำหนิจึงพุ่งหอกเขำ้ ใส่แตพ่ ลำด ไม่สำมำรถจับพระโพธิสัตวไ์ ด้๗
๗. ในสัมโมทมำนชำดก พระโพธสิ ัตว์เสวยพระชำติเป็นนกกระจำบมีบริวำรหลำยพันตัว
อยใู่ นป่ำ พระเทวทตั ก็ได้กำเนดิ เปน็ นกกระจำบบรวิ ำร พระโพธิสัตว์ให้โอวำทแก่นกกระจำบบริวำรให้
๓ ดูรำยละเอียดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕๕/ ๕๔– ๗๐.
๔ ดรู ำยละเอียดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕๕/ ๘– ๓ .
๕ ดรู ำยละเอยี ดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕๕/ ๓๓– ๔๕.
ดรู ำยละเอยี ดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕๕/ ๗๔– ๗๗.
๗ ดรู ำยละเอียดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕๕/ ๗๙– ๘ .
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๓๔
มีควำมสำมัคคีกัน เมื่อนำยพรำนมำจับก็ไม่สำมำรถจับได้ ต่อมำนกกระจำบเหล่ำน้ันเกิดทะเลำะกัน
แมพ้ ระโพธสิ ตั วห์ ำ้ มกไ็ ม่ฟงั จึงถูกนำยพรำนนำขำ่ ยมำทอดจบั ไดท้ ง้ั หมด๘
๘. ในมหำสีลวชำดก พระโพธิสัตว์ได้เสวยพระชำติเป็นพระเจ้ำมหำสีลวรำชครองรำช
สมบัตใิ นกรุงพำรำณสี พระเทวทตั ได้ถือกำเนดิ เป็นอำมำตย์ชั่วในนครนน้ั พระรำชำได้เนรเทศอำมำตย์
ช่ัวนน้ั ออกจำกแวน่ แควน้ เขำโกรธจงึ ได้กรำบทลู ยยุ งพระเจ้ำโกศลใหไ้ ปยึดรำชสมบัติของเมืองพำรำณสี
แต่ครั้นพระเจ้ำมหำสีลวรำชทรงโอวำทพระเจ้ำโกศลนั้นให้ต้ังอยู่ในธรรม พระเจ้ำโกศลก็ถวำย
รำชสมบัติคืนทั้งหมด แล้วทรงลงอำญำแก่อำมำตยช์ ั่วน้นั อยำ่ งหนัก๙
๙. ในวำนรินทชำดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชำติเป็นลิง พระเทวทัตได้ถือกำเนิดเป็น
จระเข้ จระเข้ได้ใช้อุบำยเพื่อจะจับพระโพธิสัตว์ผู้ไปหำกินที่เกำะกลำงแม่น้ำ เพ่ือนำไปให้แก่เมียซ่ึงมี
ครรภ์แก่ผู้เกิดแพ้ท้องอยำกจะกินหัวใจของพระโพธิสัตว์ แต่พระโพธิสัตว์รู้เท่ำทันจึงใช้ปัญญำของตน
ให้รอดพน้ จำกจระเข้ได้ ๐
๐. ในตโยธรรมชำดก พระเทวทัตถือกำเนิดเป็นพญำลิง พระโพธิสัตว์เสวยพระชำติ
เป็นลูกของพญำลงิ นัน้ ถอื ปฏิสนธิในครรภ์ของนำงลิงตัวหน่ึง นำงกลัวว่ำลูกตนจะถูกทำร้ำย จึงหนีไป
คลอดท่ีอ่ืน เมื่อพระโพธิสัตว์เจริญวัยข้ึนจึงกลับเข้ำฝูง พญำลิงต้องกำรจะฆ่ำแต่สู้กำลังของ
พระโพธิสัตว์ไม่ได้ จึงใช้อุบำยอย่ำงอ่ืนเพ่ือจะฆ่ำพระโพธิสัตว์ แต่มิได้เป็นไปดังท่ีตนประสงค์ หัวใจจึง
ไดแ้ ตกเจ็ดเส่ียงสน้ิ ชวี ติ ไป
. ในสีลวนำคชำดก พระโพธสิ ตั วเ์ สวยพระชำติเป็นพญำชำ้ งสีลวนำครำช พระเทวทัต
ได้ถือกำเนิดเป็นนำยพรำนผู้อกตัญญู ซึ่งเข้ำไปในป่ำหิมพำนต์แล้วเกิดหลงทำง พระโพธิสัตว์ได้
ช่วยเหลือพำกลับไปเข้ำเมืองของตน แต่เขำกลับหวนมำขอตัดงำ พระโพธิสัตว์ได้สละงำของตนให้ไป
เพรำะปรำรถนำพระสัพพัญญุตญำณ พอนำยพรำนนั้นลับจำกสำยตำของพระโพธิสัตว์ไปเท่ำนั้น ก็ถูก
แผน่ ดนิ สูบไปเกดิ ในอเวจมี หำนรก
. ในสัจจังกิรชำดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชำติเป็นฤๅษีอำศัยอยู่ในป่ำแห่งหน่ึง
พระเทวทัตได้ถือกำเนิดเป็นทุฏฐกุมำร ผู้มีสันดำนกักขฬะหยำบคำย พระกุมำรได้ผูกอำฆำตใน
๘ ดรู ำยละเอยี ดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕๕/๓๓๕–๓๓๘.
๙ ดูรำยละเอียดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕ / ๐–๗ .
๐ ดูรำยละเอียดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕ /๙๕–๙๙.
ดรู ำยละเอยี ดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕ / ๐๐– ๐๔.
ดูรำยละเอยี ดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕ / ๘ – ๘๘.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๓๕
พระโพธิสัตว์ผู้เคยช่วยเหลือตนเอง รับส่ังให้ประหำรชีวิตท่ำน พระโพธิสัตว์อำศัยปัญญำจึงได้รอดพ้น
จำกควำมตำย ชำวนครได้ปลงพระชนม์พระรำชำน้นั แล้วอภเิ ษกพระโพธสิ ตั ว์ขนึ้ ครองรำชย์แทน ๓
๓. ในสิคำลชำดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชำติเป็นรุกขเทวดำข้ำงป่ำช้ำ พระเทวทัตได้
ถือกำเนิดเปน็ สนุ ขั จง้ิ จอก ซงึ่ อกตัญญูต่อพรำหมณ์ผู้หน่ึงซึ่งเคยช่วยเหลือตน โดยถ่ำยอุจจำระใส่ในผ้ำ
สไบเฉยี งของพรำหมณ์ แลว้ หนีเขำ้ ป่ำช้ำไป ๔
๔. ในทุมเมธชำดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชำติเป็นพญำช้ำงเผือก พระเทวทัตได้ถือ
กำเนิดเป็นพระรำชำครองรำชย์ในกรุงรำชคฤห์ พระรำชำน้ันเกิดควำมริษยำในพระโพธิสัตว์ จึงรับสั่ง
ให้นำยควำญช้ำงใช้อุบำยฆ่ำพระโพธิสัตว์ แต่นำยควำญช้ำงได้พำพระโพธิสัตว์หนีไปอยู่ที่
กรงุ พำรำณสี ๕
๕. ในอสัมปทำนชำดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชำติเป็นสังขเศรษฐีในกรุงรำชคฤห์
พระเทวทัตถือกำเนิดเป็นปิลิยเศรษฐีในกรุงพำรำณสี ทั้งสองเป็นสหำยกัน เมื่อปิลิยเศรษฐีได้ประสบ
ภัยพบิ ตั กิ ลำยเปน็ คนขดั สน สงั ขเศรษฐีไดแ้ บ่งสมบัตใิ ห้แก่ปิลิยเศรษฐีครึ่งหน่ึง ภำยหลัง สังขเศรษฐีได้
ประสบภัยเช่นนั้น จึงได้ไปหำปิลิยเศรษฐี แต่ปิลิยเศรษฐีกลับไม่รู้บุญคุณ ควำมทรำบถึงพระรำชำ
พระองค์จงึ ริบสมบตั ิของปลิ ิยเศรษฐีคนื ใหแ้ กส่ งั ขเศรษฐี
. ในอุภโตภัตถชำดก พระโพธิสัตวเ์ สวยพระชำตเิ ป็นรกุ ขเทวดำ พระเทวทัตได้กำเนิด
เปน็ พรำนเบ็ด เม่ือพรำนเบ็ดพร้อมด้วยลูกชำยไปหำปลำที่บึง เบ็ดไปติดท่ีตอไม้ใต้น้ำ เขำสำคัญผิดว่ำ
เป็นปลำตัวใหญ่ ไม่ประสงค์จะแบ่งให้คนอ่ืน จึงให้ลูกชำยไปบอกมำรดำให้ทะเลำะกับเพื่อนบ้ำน
ฝ่ำยตนเองไมส่ ำมำรถดึงเบ็ดขึ้นมำได้จึงถอดผ้ำรีบกระโจนลงน้ำ กระแทกกับตอเข้ำทำให้นัยน์ตำแตก
ทั้งสองข้ำง ผ้ำที่วำงไว้บนบกก็ถูกโจรขโมยไป เขำเจ็บปวดเอำมือกุมตำท้ังสองข้ำงขึ้นมำซมซำนหำ
ผ้ำนงุ่ แตม่ ิไดเ้ จอ ฝ่ำยภรยิ ำของเขำกผ็ ดิ ใจกับเพ่ือนบำ้ น เขำไดส้ ูญเสียประโยชนท์ กุ ทำงแลว้ ๗
๓ ดรู ำยละเอยี ดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕ / ๘๙– ๙๘.
๔ ดรู ำยละเอยี ดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕ /๔ ๗–๔๓๐.
๕ ดรู ำยละเอียดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕ /๔ ๙–๔๗๔.
ดูรำยละเอียดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕ /๕ ๔–๕ .
๗ ดูรำยละเอยี ดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕ /๕๕ –๕๕๔.
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๓
๗. ในโคธชำดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชำติเป็นพญำเห้ีย พระเทวทัตได้กำเนิดเป็น
กิ้งก่ำ ก้ิงก่ำเกิดควำมโกรธในบุตรของพระโพธิสัตว์ ต้องกำรจะทำลำยตระกูลเหี้ย จึงได้บอกให้พรำน
คนหน่ึงมำจับฝงู เหี้ยไป แตพ่ ระโพธิสัตวห์ นรี อดไปได้ ๘
๘. ในสิคำลชำดก พระโพธิสัตว์ได้เสวยพระชำติเป็นพญำสุนัขจ้ิงจอกอยู่ในป่ำช้ำ ฝ่ำย
พระเทวทัตได้ถือกำเนิดเป็นนกั เลงสรุ ำ ผปู้ ระสงค์จะจับพระโพธิสัตวเ์ อำเนื้อมำกินจึงใช้อุบำยหลอกล่อ
แตพ่ ระโพธสิ ตั ว์รู้ทนั จึงรอดพ้นไดแ้ ละยังกลำ่ วตำหนเิ ขำเปน็ อันมำก ๙
๙. ในวิโรจนชำดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชำติเป็นรำชสีห์อำศัยอยู่ในถ้ำทองพระเทวทัต
ได้ถือกำเนิดเป็นสุนัขจิ้งจอก ผู้ประสงค์จะล่ำสัตว์เลียนแบบพระโพธิสัตว์ จึงได้ไปยืนคอยอยู่ที่เชิงเขำ
หมำยจะจบั ช้ำง แต่พลำดถกู ช้ำงเหยียบจนถงึ แก่ควำมตำย ๐
๐. ในวนิ ีลกชำดก พระโพธสิ ัตวเ์ สวยพระชำติเปน็ พระเจ้ำวิเทหะในกรุงมิถิลำพระเทวทัต
ได้ถือกำเนิดเป็นนกวินีลกะ ซ่ึงได้กล่ำวยกตนตีเสมอกับพระเจ้ำวิเทหะ ทำให้ถูกพญำหงส์ผู้เป็นบิดำ
ของตนกลำ่ วตำหนเิ ปน็ อันมำก
. ในสกุณัคฆิชำดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชำติเป็นนกมูลไถ อำศัยอยู่ในก้อนดินท่ี
ชำวนำทำกำรไถ พระเทวทัตถือกำเนิดเป็นนกเหยี่ยวเขำ นกเหยี่ยวเขำนั้นจับพระโพธิสัตว์ได้ แต่
พระโพธิสัตวอ์ ำศัยปญั ญำจึงเอำตัวรอดได้และใช้อบุ ำยทำให้เหย่ยี วน้นั ถึงแกค่ วำมตำย
. ในมักกฏชำดก พระโพธิสตั ว์ได้เสวยพระชำติเป็นพรำหมณ์ในแคว้นกำสี พระเทวทัต
ได้ถือกำเนิดเป็นลิงอกตัญญู ซ่ึงไม่รู้คุณของพระโพธิสัตว์ท่ีตักน้ำให้ดื่ม กลับถ่ำยอุจจำระรดศีรษะของ
พระโพธิสัตว์ พระโพธิสตั ว์จึงได้กล่ำวตำหนลิ ิงเปน็ อนั มำก ๓
๓. ในคริ ิทตั ตชำดก พระโพธิสัตวเ์ สวยพระชำติเปน็ อำมำตย์ในกรงุ พำรำณสี พระเทวทัต
บังเกิดเป็นคนเลี้ยงม้ำชื่อว่ำคิริทัตซ่ึงมีขำพิกำร พระรำชำรับสั่งให้พระโพธิสัตว์ไปตรวจดูม้ำมงคลของ
๘ ดรู ำยละเอียดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕ /๕ –๕ ๔.
๙ ดรู ำยละเอียดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕ /๕ ๕–๕ ๘.
๐ ดูรำยละเอียดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕ /๕ ๙–๕๗๓.
ดูรำยละเอยี ดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕๗/๗ –๗๕.
ดูรำยละเอียดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕๗/ ๓– .
๓ ดรู ำยละเอยี ดใน ข.ุ ชำ.อ. (ไทย) ๕๗/ ๓๗– ๔ .
หอสมุดกลาง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั