ประเภทของการวิจัย
ผู้จัดทำ
1.นางสาวสิริธิดา เกตุไพบูลย์ รหัส 62115267106
2.นางสาวณัฐริกา แสนเสนา รหัส 62115267115
3.นายพรเพชร นันทะวงศ์ รหัส 62115267211
4.นางสาวศิริวัฒนา ต้อนโสกรี รหัส 62115267213
นักศึกษาสาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ ชั้นปีที่3
มหาวิทยาลัยราชภัฎสกลนคร
๑
บทท่ี 2
ประเภทของการวจิ ัย
รองศาสตราจารย์ ดร. ธนานนั ต์ กลุ ไพบตุ ร
คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร
สารบัญ หนา้
เนื้อหา
ประเภทของการวิจยั ....................................................................................................................................... 1
1. แบง่ ตามประโยชน์ของการวจิ ัย................................................................................................................... 1
2. แบง่ ตามวัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั .............................................................................................................. 4
3. แบง่ ตามการวิจัยทางการศึกษาจำแนกตามวตั ถุประสงค์............................................................................. 5
4. แบง่ ตามจุดมุ่งหมายของการวิจยั ................................................................................................................ 6
5. แบ่งตามระเบียบวธิ ีวิจยั ทว่ั ไป (General Methodology).......................................................................... 6
6. ประเภทของการวิจยั ทางการศกึ ษาจำแนกตามวธิ กี ารวจิ ัย.......................................................................... 9
7. แบง่ ตามเทคนคิ และเนือ้ หาเฉพาะ............................................................................................................. 11
8. จำแนกตามลกั ษณะการเก็บข้อมลู ............................................................................................................ 13
9. แบ่งตามลกั ษณะวชิ า ................................................................................................................................ 14
10. แบง่ ตามจำนวนสาขาวชิ า ....................................................................................................................... 15
11. การแบง่ ประเภทการวจิ ัยตามผลลพั ธ์ที่ต้องการ ...................................................................................... 15
13. แบง่ ประเภทการวิจยั ตามศาสตร์ทีศ่ ึกษา................................................................................................. 17
14. การแบง่ ประเภทการวจิ ยั ตามระดับการควบคุมได้ .................................................................................. 18
15. แบ่งตามระยะเวลาของการศกึ ษา ........................................................................................................... 18
16. แบ่งตามภาระงานของสถาบนั ................................................................................................................ 19
17. แบ่งประเภทการวิจยั ตามเกณฑ์อน่ื ๆ ..................................................................................................... 19
บทสรปุ ......................................................................................................................................................... 20
บรรณานกุ รม ................................................................................................................................................ 21
1
ประเภทของการวจิ ัย
การวิจัยนับว่าเป็นรากฐานที่สำคัญในการแสวงหาและสั่งสมองค์ความรู้ของศาสตร์ในสาขาต่าง ๆ
ก่อให้เกิดองค์ความรู้หรือการค้นพบความจริงที่เป็นแก่นสารในศาสตร์เหล่านั้น เพื่อนำไปบรรยาย อธิบาย
ทำนายและควบคมุ ปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ การจัดประเภทของสิง่ ต่างๆ ในโลกนี้ สามารถจัดได้มากมายหลายแบบ
ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่ง ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์เรามีอยู่มากมายสามารถจัดแบง่ ออกเป็นประเภทต่างๆ
ได้หลายแบบตามเกณฑ์ตา่ งๆ เช่น แบ่งตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ ฐานะทางเศรษฐกิจ เชื้อชาติ
ถิ่นที่อยู่อาศัย ฯลฯ ในทำนองเดียวกันการวิจัยก็สามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้หลายแบบ
การจัดประเภทของการวิจัยสามารถทำได้หลายลักษณะ ขึ้นอยู่กับเกณฑ์จะยึดถือสิ่งใดเป็นหลักในการจัด
ประเภททง้ั นด้ี ้วยเกณฑ์ตา่ งๆ ท่ีนำมาใชแ้ บง่ ประเภทงานวจิ ยั ยังไมช่ ดั เจนจึงทำให้การแบ่งประเภทของงานวิจัย
ไม่ชัดเจนตามไปด้วยแต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันได้มีผู้ที่พยายามนำเกณฑ์ต่าง ๆ มาจัดแบ่งประเภทของงานวิจยั
ซ่งึ อาจแบ่งได้ตามเกณฑ์ ดังนี้
แบง่ ตามประโยชน์ของการวิจัย
การทำวจิ ยั ผวู้ ิจยั ยอ่ มหวงั ผลในการนำผลงานวจิ ัยไปใชป้ ระโยชนไ์ ปแกป้ ญั หา หรือเพอ่ื เปน็ การเพ่ิมพูน
ความรู้ ดังนั้น การแบ่งประเภทของงานวิจัยแบ่งตามประโยชน์ของการวิจัยจึงแบ่งตามเหตุผลในการนำไปใช้
3 ประการ
1.1 การวิจยั พ้นื ฐาน
1.2 การวจิ ัยประยกุ ต์
-การวจิ ัยเชิงปฏิบัตกิ าร
-การวจิ ัยเพือ่ หาแนวทางในการปฏิบตั งิ าน
1.3 การวิจยั เชิงปฏิบัติการ
1.1 การวิจัยพื้นฐาน (Basic Research) เป็นการวิจัยที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อค้นหา สั่งสมและเพิ่มพูน
องค์ความรู้ในศาสตร์สาขาต่างๆ ให้มีความก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป โดยไม่ให้ความสำคัญต่อการนำองค์ความรู้
เหล่านี้ไปใช้แก้ปัญหา ดังนั้นการวิจัยพื้นฐานส่วนใหญ่จึงเป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาทฤษฎี/หรือทดสอบทฤษฎี
ต่าง ๆ ที่นักทฤษฎีได้พัฒนาขึ้นหรือนำเสนอไว้ เช่น การวิจัยเพื่อพัฒนาทฤษฎีการเรียนรู้ของนั กจิตวิทยา
การศึกษา การพัฒนาวิธีการประมาณค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบกรณีแบ่งครึ่ง ( Split Research)
ของสำเริง บญุ เรืองรัตน์ (2527) และการพัฒนาพารามเิ ตอร์ทำให้เรียบ (Smoothing Parameter) สำหรับ
การทดสอบการแจกแจงปกติพหุตัวแปรของ (ไพศาล วรคำ. 2550) เป็นต้น
2
การวิจัยพื้นฐาน (basic research) หรือการวิจัยบริสุทธิ์ (pure research) หรือการวิจัยทฤษฎี
(theoretical research) เป็นการวิจัยที่มุ่งหาข้อเท็จจริงเพื่อให้ได้ความรู้ใหม่ เป็นการเสริมสร้างทฤษฎี
หลักการและวิทยาการให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ส่วนใหญ่เป็นการวิจัยเกี่ยวกับเคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ จิตวิทยา
เป็นต้น การวิจัยแบบนี้ เป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการในศาสตร์ สาขาวิชาใดวิชาหนึ่ง
โดยเฉพาะ
การวิจัยพื้นฐานหรือการวิจัยบริสุทธิ์ (Basic research or Pure research) เป็นการแสวงหา
ข้อเท็จจริง หรือความสัมพันธ์ระหว่างข้อเท็จจริงกับปรากฏการณ์ที่มุ่งศึกษาเพื่อให้เกิดความเข้าใจพื้นฐาน
การวิจัยนี้ไม่มีความประสงค์ที่จะนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ทันทีในชีวิตจรงิ แต่การวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์
ต่อการเพ่ิมพูนความรู้ทางวชิ าการและการวจิ ยั ในขัน้ ตอ่ ๆ ไป
การวิจัยพื้นฐาน (basic research) หรือการวิจัยบริสุทธิ์ (pure research) หรือการวิจัยทฤษฎี
(theoretical research) เป็นการวิจัยที่มุ่งหาข้อเท็จจริงเพื่อให้ได้ความรู้ใหม่ เป็นการเสริมสร้างทฤษฎี
หลักการและวิทยาการให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ส่วนใหญ่เป็นการวิจัยเกี่ยวกับเคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ จิตวิทยา
เป็นต้น การวิจัยแบบนี้ เป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการในศาสตร์ สาขาวิชาใดวิชาหน่ึง
โดยเฉพาะ
การวิจัยพื้นฐานหรือการวิจัยบริสุทธิ์ (Basic research or Pure research) เป็นการแสวงหา
ข้อเท็จจริง หรือความสัมพันธ์ระหว่างข้อเท็จจริงกับปรากฏการณ์ที่มุ่งศึกษาเพื่อให้เกิดความเข้าใจพื้นฐาน
การวิจัยนี้ไม่มีความประสงค์ที่จะนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ทันทีในชีวติ จริง แต่การวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์
ต่อการเพิ่มพนู ความรู้ทางวิชาการและการวิจัยในขัน้ ต่อ ๆ ไป
การวิจัยพื้นฐานหรือการวิจัยบริสุทธิ์ (Basic or Pure Research) การวิจัยแบบนี้มุ่งแสวงหา
ความรหู้ รือความจริงท่ีเป็นกฎ ทฤษฎี สูตร อาจจะมีประโยชน์ต่อสังคมหรือไมเ่ พียงใดไมส่ นใจ เป็นการวิจัยมุ่ง
หาความรู้ในวิชานั้นโดยเฉพาะ เช่น การวิจัยหาทฤษฎีการเรียนรูโ้ ดยการทดลองกับนกหรือสตั ว์อื่น ๆ เป็นตน้
การวิจัยแบบนี้ไมน่ ึกถงึ ว่าจะใช้ประโยชนก์ บั อะไร เม่ือใด
1.2 การวิจัยประยุกต์ (Applied Research) เป็นวิจัยที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อหาคำตอบของปัญหาท่ี
เผชิญอย่ใู นขณะนนั้ หรอื เป็นการวิจัยเพอื่ แก้ปัญหาในเร่อื งใดเรอื่ งหนึ่ง ท้ังทเ่ี ป็นการแกป้ ญั หาระยะสัน้ ท่ีเกิดข้ึน
เฉพาะหน้าและนำไปใช้ประกอบการวางแผนเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว ตัวอย่างเช่น
การสำรวจความคิดเห็นของครูที่มีต่อโปรแกรมการอ่านจำนวน 5 โปรแกรม เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจใน
การเลือกโปรแกรมการอ่านที่เหมาะสมสำหรับนักเรียนหรือการวิจัยในชั้นเรียน (Classroom Research)
ที่ทำการวิจยั เพอื่ แก้ปญั หาเกี่ยวกบั การเรยี นการสอน เป็นตน้
3
การวิจัยประยุกต์ (Applied research) เป็นการวิจัยที่มุ่งแสวงหาข้อเทียมหรือความสัมพันธ์
ระหว่างข้อเท็จจริง โดยมุ่งที่จะนำผลการวิจัยหรือข้อค้นพบนั้นไปใช้เป็นประโยชน์ในชีวิตจริง เพื่อการ
แก้ปัญหาและการตดั สินใจเพ่ือพัฒนาโครงการหรือวธิ กี าร เป็นตน้
การวจิ ยั ประยกุ ต์ (applied or practical research) เป็นการวจิ ัยทมี่ ุ่งแสวงหาความจริงในปัญหา
เฉพาะหน้า เพื่อนำผลไปใช้ในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง การวิจัยประยุกต์อาจเรียกแตกต่างกันตาม
จุดมุ่งหมายของการนำผลการวจิ ยั ไปใชไ้ ดเ้ ปน็ 2 ประเภทยอ่ ย คือ
1. การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (action research) เป็นการวิจัยเพื่อนำผลการวิจัยไปได้
การปฏิบัติงานกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การแก้ปัญหาเรื่องเรียน การศึกษา
ถึงสาเหตุท่ที ำให้น้ำทว่ มภาคใต้ การศกึ ษาปัญหาพนกั งานไฟฟ้าหยดุ งาน เป็นต้น
2. การวิจัยเพื่อหาแนวทางในการปฏิบัติงาน (operational research) เป็นการวิจัยเพื่อหา
แนวทางในการปฏบิ ตั ิงาน
การวิจัยประยุกต์ ( Applied Research) การวิจัยแบบนี้แก้ปัญหาที่สามารถนำไปใช้ได้กับ
สภาพการณใ์ ดสภาพการณ์หนึ่ง เช่น เดก็ ตกซำ้ ช้ันมากกว็ จิ ัยดสู าเหตุของการสอบตกเพื่อครูและผู้บริหารจะได้
แก้ปญั หาได้ถูกต้อง
การวิจัยประยุกต์ (Applied research) เป็นการวิจัยที่มุ่งแสวงหาข้อเทียมหรือความสัมพันธ์
ระหว่างข้อเท็จจริง โดยมุ่งที่จะนำผลการวิจัยหรือข้อค้นพบนั้นไปใช้เป็นประโยชน์ในชีวิตจริง เพื่อการ
แกป้ ัญหาและการตดั สนิ ใจ เพื่อพัฒนาโครงการหรือวธิ กี าร เปน็ ต้น
การวิจัยประยุกต์ (applied research) การวิจัยประยุกต์เป็นการวิจัยที่มุ่งให้ได้ผลการวิจัยที่
นำไปใช้ประโยชนใ์ นการแก้ปญั หาหรือปรบั ปรงุ ความเปน็ อยขู่ องมนุษย์และสงั คมใหด้ ขี ้นึ
1.3 การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research) ถือเป็นการวิจัยประยุกต์วิธีหนึ่งแตกต่างกันที่การ
วิจัยเชิงปฏิบัติการ จะศึกษาเฉพาะที่หรือเฉพาะหน่วยงาน เพื่อนำผลที่ได้มาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยตรงใน
การทำงาน โดยหวังทจ่ี ะปรับปรุงแก้ไขสภาพการทำงานใหด้ กี วา่ เดมิ
การวิจัยเชิงปฏิบัติ ( Action Research) การวิจัยแบบนี้มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นครั้ง ๆ ไป ผล
ของการวจิ ยั จะอ้างอิงไปใช้กลุ่มอื่นไม่ได้เพราะมองในวงจำกัด เช่น วิจัยปญั หาบางอยา่ งท่ีกูอยากรู้ในห้องเรียน
ท่ตี นเองเปน็ ครูประจำชั้น เปน็ ต้น
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ได้กำหนดประเภทของการวิจัยไว้ 3 ประเภท คือ การวิจัย
พ้ืนฐานและการวจิ ยั ประยกุ ต์ และการพฒั นาทดลอง
4
การวิจัยพื้นฐาน ( basic research หรือ pure research หรือ theoretical research)
เป็นการศึกษาค้นคว้าในทางทฤษฎี หรือในห้องทดลองเพื่อหาความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับสมมุติฐานของ
ปรากฏการณส์ มมตฐิ านของปรากฏการณ์และความจริงท่ีสามารถสังเกตได้หรือเป็นการรามสัมพนั ธ์ต่าง ๆ เพื่อ
ตั้งและทดสอบสมมติฐาน (hypothesis) (theones) และกฎต่างๆ (laws) โดยมิได้มุ่งหวังที่จะใช้ประโยชน์
โดยเฉพาะ
การวิจัยประยุกต์ (applied research) เป็นการศึกษาค้นคว้าเพื่อหาความรู้ใหม่ ๆ และมี
วัตถุประสงคเ์ พื่อนำความรูน้ ้ันไปใช้ประโยชน์อยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง หรอื เปน็ การนำเอาความรู้และวิธีการต่าง ๆ ท่ี
ได้จากการวิจัยขั้นพื้นฐานมาประยุกต์ใช้อีกต่อหนึ่ง หรือหาวิธีใหม่ ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ได้ระบุไว้แน่ชัด
ลว่ งหน้า
การพัฒนาทดลอง (experimental development) เปน็ งานทที่ ำอย่างเป็นระบบ โดยใช้ความรู้ท่ี
ได้รับจากการวิจัยและประสบการณ์ที่มีอยู่ เพื่อสร้างวัสดุ ผลิตภัณฑ์และเครื่องมือใหม่ เพื่อการติดตั้ง
กระบวนการ ระบบและบรกิ ารใหม่ หรอื เพ่อื การปรบั ปรุงสงิ่ ต่าง ๆ เหล่าน้ันใหด้ ีขึ้น
2. แบ่งตามวตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั
เมอ่ื แบ่งตามวัตถุประสงค์ของการวจิ ยั เราสามารถแบ่งวจิ ยั ออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
การวิจัยพน้ื ฐานหรือการวจิ ยั บริสุทธ์ิ
การวจิ ยั เชงิ ประยกุ ต์
การวจิ ัยเชงิ ปฏิบัติ
2.1 การวิจัยพื้นฐานหรือการวิจัยบริสุทธิ์ (Basic or Pure Research) หมายถึง การวิจัยที่มี
วัตถุประสงค์เพื่อสนองความอยากรู้ของมนุษย์ หรือเพื่อเพิ่มพูนความรู้ของมนุษย์ มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้
ประโยชน์จากผลการวิจัยนั้นๆ การวิจัยดังกล่าวนี้จะทำให้ได้ความรู้หรือข้อเท็จจริงที่เป็นทฤษฎีพื้นฐานของ
ศาสตร์ต่างๆ หรอื ไดค้ วามรเู้ พ่ือขยายขอบเขตของศาสตรต์ า่ งๆ ใหก้ วา้ งขวางออกไปไมม่ ที ส่ี ้นิ สดุ
ตัวอย่างของการวิจัยบริสุทธิ์ เช่น การวิจัยเพื่อให้ได้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับดวงดาวต่าง ๆ ในวิชา
ดาราศาสตร์ การวิจยั เพือ่ สร้างทฤษฎีพ้ืนฐานในวิชาฟสิ ิกส์ เคมี หรอื ชีววิทยา เปน็ ตน้
แม้ว่าวัตถุประสงค์ของการวิจัยบริสุทธิ์คือเพื่อให้ได้ความรู้โดยไม่สนใจว่าความรู้ที่ค้นพบนั้นจะมี
ประโยชน์หรือไม่ก็ตามแต่ปรากฏว่าในระยะยาวแล้วข้อค้นพบที่ได้จากการวิจัยบริสุทธิ์มักจะสามา รถนำไป
ประยุกต์ใช้ได้อย่างกว้างขวาง ตัวอย่างเช่นการวิจัยทางเคมีที่ทำให้ค้นพบสารชนิดหนึ่งซึ่งมีลักษณะพิเ ศษ
เรียกชื่อว่าพลาสติก เมื่อคนพบใหม่ๆนั้น ผู้วิจัยก็ไม่ทราบว่าสารดังกล่าวนั้นจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
5
อยา่ งไรบ้าง แตเ่ มอื่ เวลาล่วงเลยไปก็พบว่าสารพลาสติกน้ันสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางโดยทำ
เปน็ ภาชนะเคร่ืองใชต้ า่ งๆ ได้อยา่ งมากมาย
2.2 การวิจัยเชิงประยุกต์ (Applied Research) หมายถึง การวิจัยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำผลที่ได้
ไปทำประโยชน์ให้แก่มนุษย์ เพื่อทำให้ชีวิตของมนุษย์มีความสขุ และสะดวกสบายยิ่งขึ้น ตัวอย่างของการวิจัย
ประเภทนี้ได้แก่ การวิจัยในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ เช่นแพทยศาสตร์ เกษตรศาสตร์ และการวิจัยใน
สาขาวิชาสังคมศาสตร์ เชน่ ศึกษาศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ เปน็ ตน้
2.3 การวิจัยเชิงปฏิบัติ (Action Research) หมายถึง การวิจัยที่มีวัตถุประสงค์เพ่ือนำผลที่ได้ไป
ปรับปรุงงานเฉพาะหน้าหรืองานในหน้าที่ของตนหรือของทั้งหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ไม่มุ่งที่จะนำ
ผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้ในกรณีทั่วๆ ไป ตัวอย่างของงานวิจัยเชิงปฏิบัติ เช่น การวิจัยเกี่ยวกับการเรียนการ
สอนที่กระทำโดยครูซึ่งสอนวิชานั้น ๆ และกระทำกับนักเรียนในชั้นของตน ทั้งนี้เพื่อจะได้นำผลการวิจัยไปใช้
ปรับปรุงการเรียนการสอนที่ตนรับผิดชอบอยใู่ หไ้ ด้ผลดีย่ิงข้ึน
3. แบ่งตามการวจิ ยั ทางการศกึ ษาจำแนกตามวัตถปุ ระสงค์
การวจิ ัยเบ้อื งต้น
การวจิ ัยประยกุ ต์
การวิจัยและพฒั นา
การวจิ ยั ปฏิบัตกิ ารหรือการวจิ ัยเพ่ือแก้ปญั หา
ถ้าคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการวิจัยโดยประเมินว่าผลการประยุกต์ไปใช้ในการศึกษาได้อย่างไร
การวจิ ัยทางการศกึ ษาท่ีสำคัญมี 4 ประเภท คือ
3.1 การวิจัยเบื้องต้น (Basic Research) เป็นการวิจัยเพื่อสร้างหรือพัฒนาทฤษฎีทางการศึกษา
รวมทง้ั การปรับปรงุ ทฤษฎีท่มี อี ยู่แลว้
3.2 การวิจัยประยุกต์ (Applied Research) เป็นการวิจัยเพื่อประยุกต์ ทดสอบหรือประเมินความ
เปน็ ไปไดห้ รือประสิทธิผลของทฤษฎีในการนำไปแกป้ ัญหาทางการศกึ ษา
3.3 การวิจัยและพัฒนา (Research and Development) เป็นการพัฒนาหรือสร้างแนวทางหรอื
ชอ่ งทางในการปฏบิ ัตงิ านในสถานศกึ ษา
3.4 การวจิ ัยปฏบิ ตั กิ ารหรอื การวิจัยเพ่ือแกป้ ัญหา (Action Research) เป็นการวจิ ัยเพ่อื แก้ปัญหา
ในหอ้ งเรยี นโดยใชว้ ิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์
6
4. แบ่งตามจดุ มุ่งหมายของการวิจยั
การวิจยั ถา้ แบง่ ตามจุดมุ่งหมายท่ีใช้ในการทำวิจัยแบง่ ได้เปน็ 4 ประเภท คอื
การวิจยั เพอ่ื สำรวจหรือค้นคว้า
การวจิ ัยเพอื่ พยากรณ์
การวจิ ยั เพือ่ วินจิ ฉัย
การวจิ ยั เพื่อการอธิบาย
4.1 การวิจัยเพื่อสำรวจหรือค้นคว้า (exploratory research) เป็นการวิจัยเพื่อที่จะหาคำตอบว่า
ส่งิ ทศ่ี กึ ษานัน้ ประกอบด้วยอะไรบ้าง เพือ่ ช่วยใหผ้ ้วู จิ ัยมีความรู้เร่ืองนั้นๆ มากข้ึน งานวิจยั ลักษณะนี้มักไม่มีการ
ตัง้ สมมติฐาน เชน่ การสำรวจภาวะการอ่านหนงั สอื ออกของเดก็ ก่อนวยั เรียนในประเทศไทย
4.2 การวิจัยเพื่อพยากรณ์ (predictive research) เป็นการศึกษาความเป็นเหตุเป็นผลกันของ
สภาพการณ์ความเป็นจริงอาจจะเป็นการศึกษาย้อนหลังหรือปัจจุบัน เพื่อนำผลที่ได้ไปทำนายสิ่งที่จะเกิดข้ึน
ต่อไปในอนาคต เช่น การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาชั้นมัธยมกับ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา ถ้าผลการวิจัยสรุปได้ว่านักศึกษาที่มีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนชั้นมัธยมระดับดีจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับอุดมศึกษาในระดับดี ผู้วิจัยอาจจะนำ
ผลการวิจัยนี้มาทำนายว่านักศึกษาที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในชั้นมัธยมในระดับดี จะมีผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนในระดบั อุดมศึกษาในระดับดดี ้วย
4.3 การวิจัยเพื่อวินิจฉัย (diagnostic research) เป็นการวิจัยท่ีมุ่งศึกษาปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นใน
สถานการณ์ใดสถานการณ์หน่งึ โดยเฉพาะ เพ่ือให้เกิดความเขา้ ใจปัญหาและสาเหตุท่ีทำให้เกดิ ปัญหาอันจะเป็น
ประโยชนใ์ นการแก้ปัญหาในสถานการณน์ ้ันๆ โดยเฉพาะ
4.4 การวิจัยเพื่อการอธิบาย (explanatory research) เป็นการวิจัยที่มุ่งหาคำตอบเพื่ออธิบาย
คำถามหรอื สถานการณ์ใดสถานการณ์หนง่ึ ในการศึกษาจะศึกษาสิ่งที่มคี วามหมายเก่ยี วข้องทง้ั หมดเพื่อบอกถึง
ความสัมพันธท์ ีเ่ กิดขนึ้ วา่ เป็นไปในลักษณะใดและมสี ว่ นเกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใด
5. แบง่ ตามระเบยี บวิธวี ิจยั ท่ัวไป (General Methodology) ซ่งึ สามารถจำแนกประเภทการวิจัยไดด้ ังน้ี
การวจิ ัยเชงิ ทดลอง
การวจิ ัยเชิงสืบยอ้ น
การวิจัยเชงิ สำรวจ
การวิจัยเชงิ ประวตั ิศาสตร์
การวิจัยเชงิ ชาตพิ ันธ์วุ รรณนาการ
7
วจิ ัยเชงิ อนาคต
การวจิ ัยเชิงบรรยาย
5.1 การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยได้สร้างเงื่อนไขบางอย่าง
ขึ้น เพื่อนำไปใช้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (ซึ่งอาจจะเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของ) แล้วพิจารณาผลที่เกิดขึ้นกับสิ่งน้ัน
เงื่อนไข ที่สร้างขึ้นนั้นเรียกว่า สิ่งทดลอง (Treatment) หรือตัวแปรต้นของการศึกษา ดังนั้นการวิจัยเชิง
ทดลองจึงมีการจัดกระทำกับตัวแปรที่เป็นสาเหตุ (บางทีเรียกว่าตัวแปรทดลอง) ส่วนผลที่เกิดขึ้นก็คือตัวแปร
ตามหรือตวั แปรผลน่นั เอง สว่ นสิ่งท่ไี ดร้ ับเง่ือนไขทสี่ ร้างข้นึ น้ันเรียกวา่ หนว่ ยทดลอง (Experimental unit)
ตัวอย่างของการวิจัยเชิงทดลอง เช่น ครูผู้สอนวิชาสุขศึกษาสนใจที่จะศึกษาผลของระยะเวลาในการ
ออกกำลังที่มีต่ออัตราการเตน้ ของหวั ใจ จึงสุ่มนักเรยี นมา 60 คน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ๆ ละ 20 คน กลุ่มแรก
ให้ออกกำลงั กายวนั ละ 30 นาที กลุ่มทีส่ องให้ออกกำลงั กายวนั ละ 45 นาที และกลุ่มท่ีสามให้ออกกำลังกายวัน
ละ 1 ชั่วโมง โดยทำการวัดอัตราการเต้นของหัวใจก่อนและหลังออกกำลังกาย ในการทดลองครั้งนี้ตัวแปรตน้
หรือตัวแปรทดลองก็คือระยะเวลาในการออกกำลังกาย ซึ่งมีสามระยะหรือสามระดับ โดยผู้วิจัยเป็นผู้กำหนด
(หรอื จัดกระทำ) ส่วนตวั แปรตามหรอื ตวั แปรผลกค็ ือ อตั ราการเตน้ ของหัวใจ และหนว่ ยทดลองกค็ ือนักเรียนที่
ร่วมในการวจิ ัย
5.2 การวิจัยเชิงสืบย้อน (Ex Post Facto Research) เป็นการวิจัยที่ผูว้ ิจัยไม่สามารถจัดกระทำหรือ
ควบคุมตัวแปรใดๆ ได้ เนื่องจากตัวแปรเหล่านี้ที่เกิดขึ้นหรือติดตัวมาตามธรรมชาติดังที่ เคอร์ลินเจอร์
(Kirlinger. 1973 : 379) ได้ให้ความหมายของการวิจัยเชิงสืบย้อนไว้ว่า “เป็นการสืบเสาะเชิงประจักษ์ที่มี
ระบบในสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถควบคุมตัวแปรต้นได้เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นอยู่เสมอ ๆ หรือ
เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นลักษณะที่ติดตัวมาจึงไม่สามารถจัดกระทำได้ ” ผู้วิจัยจึงเพียรพยายามศึกษา
ความสัมพันธ์และผลทเ่ี กดิ ข้ึนระหวา่ งตัวแปรเทา่ น้นั
ตวั อย่างของการวิจัยเชงิ สืบย้อน เชน่ การศึกษาความสัมพนั ธ์ระหว่างเจตคติตอ่ โรงเรียนกับผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนในวิชาต่างๆของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ในการวิจัยนี้ผู้วิจัยจะต้องดำเนินการให้ได้
นักเรียนมาเป็นกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสม และทำการวัดเจตคติของนักเรียนที่มีต่อโรงเรียนและผลสัมฤทธิ์ของ
นักเรยี นในรายวิชาต่างๆ ซ่ึงจะเหน็ ว่าผู้วจิ ยั ไม่สามารถจดั กระทำกับตัวแปรใด ๆ ได้ หรอื ผู้วิจัยไม่สามารถให้สิ่ง
ทดลองกับผ้เู รยี นเพ่ือให้เปลยี่ นแปลงเจตคตแิ ละคะแนนผลสัมฤทธิ์ได้
5.3 การวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) เป็นการวจิ ัยท่มี ุ่งหาคำตอบเกย่ี วกับปรากฏการณ์หรือ
ตัวแปรต่างๆวา่ มลี ักษณะอยา่ งไร เชน่ การเกิดขนึ้ การกระจายหรือการแจกแจง หรือความสัมพันธ์ของตัวแปร
ทางการศึกษา ทางจิตวิทยาและทางสังคม เป็นต้น ซึ่งปรากฏการณ์หรือตัวแปรดังกล่าวนี้เปน็ ส่ิงทีเ่ กิดขึน้ หรือ
เก็บรวบรวมข้อมูลได้ในปัจจุบัน การวิจัยเชิงสำรวจและการวิจยั เชิงสืบยอ้ นจึงแยกออกจากกันได้ไม่ชัดเจนนกั
ตัวอย่างเช่น การศึกษาความพึงพอใจของสถานประกอบการที่มีต่อการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาระดับ
8
ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงของสถาบันอาชีวศึกษาแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้วิจัยจะต้องสร้ างเครื่องมือที่มีความ
เหมาะสม นำไปเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มผู้ประกอบการหรือประชากรของผู้ประกอบการที่นักศึกษาไป
ฝึกงาน สารสนเทศที่ได้ผู้วิจัยก็จะสามารถอธิบายถึงคุณลักษณะที่สำคัญของนักศึกษาที่สถานประกอบการ
ต้องการ และระดับความพึงพอใจของผู้ประกอบการที่มีต่อการปฏิบัติงานของนักศึกษาสถาบันแห่งน้ี
การศึกษาจึงควรเน้นคุณลักษณะของนักศึกษาที่สถานประกอบการต้องการ ไม่ใช่สาเหตุหรือเหตุผลว่าทำไม
ผู้ประกอบการจึงมีความเห็นอย่างน้ัน
5.4 การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (Historical Research) ในบริบททางการศึกษา การวิจัยเชิง
ประวัติศาสตร์ เป็นการศึกษาเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือปัญหาในอดีตที่ต้องเก็บรวบรวมสารสนเทศจากสิ่งที่
เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ซึ่งจะนำมาใช้เป็นข้อมูลในการตีความในการศึกษาเพื่อที่จะทำความเข้าใจและอธิบาย
ปัญหาเหล่านั้น เนื่องจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นได้จบลงสมบูรณ์แล้วในอดีต ไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นอีกได้
ความถูกต้องของผลการวิจัยจึงขึ้นอยู่กับหลักฐานหรือร่องรอยของปรากฏการณ์ประกอบกับกระบวนการ
สืบเสาะเชิงวิเคราะห์ (Critical inquiry) ตัวอย่างเช่น การศึกษาเกี่ยวกับการจัดการศึกษาของไทยในช่วงปี
2475–2503 เป็นต้น
5.5 การวิจัยเชิงชาติพันธ์ุวรรณนา (Ethnographic Research) การวิจัยประเภทนี้เป็นการวิจัยท่ี
เกี่ยวข้องกับศาสตร์ทางสาขามานุษยวิทยา ต่อมามีการนำการวิจัยประเภทนี้มาใช้ในทางการศึกษาเพิ่มขึ้น
เร่อื ยๆ ซ่ึงคำว่าชาตติ ิพันธ์วรรณนาน้นั เปน็ การพรรณนาเชงิ วเิ คราะหอ์ ย่างลุ่มลึกเกี่ยวกบั ปรากฏการณ์ หน่ึง ๆ
ทางวัฒนธรรม แต่เมื่อนำมาใช้ในบริบททางการศึกษาซึ่งนิยาม “การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนา” เสียใหม่ว่า
เป็นกระบวนการที่เกี่ยวกับการจัดหาคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ให้กับระบบการศึกษา กระบวนการ
และปรากฏการณ์ ภายใต้บริบทใดบรบิ ทหนง่ึ (Wiersma. 1995 : 16)
ความเชื่อถือได้ของการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนานั้นจะขึ้นอยู่กับการสังเกต การพรรณนาและการ
ตัดสินใจหรือการตีความเชิงคุณภาพเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่กำลังศึกษา ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้น
และเป็นไปเองตามธรรมชาติ ผู้วิจัยไม่สามารถจัดกระทำได้ แต่จะเน้นการสืบค้นเพื่อให้ได้ภาพรวมของ
ปรากฏการณ์นั้นออกมา ส่วนใหญ่แล้วการวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาจะไม่มีพื้นฐานทางทฤษฎี ที่แข็งแกร่ง
(ทฤษฎที ไ่ี ดร้ ับการพิสจู น์แลว้ ) รองรบั ทฤษฎีและสมมตฐิ านสว่ นใหญ่จะเกิดขน้ึ ในขณะทำการศกึ ษาหรือเกิดใน
สนามวิจัย ตัวอย่างเช่น การศึกษาธรรมชาติของการสอนวิทยาศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คำถาม
การวิจัยคอื “การสอนวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนนีเ้ ป็นอยา่ งไร มอี ะไรท่ีเหมือนกัน” ผ้วู ิจัยก็จะทำการสังเกตการ
เรยี นการสอนในห้องเรียนวิทยาศาสตร์ไปตลอดปีการศึกษา พร้อมกบั บันทกึ เหตุการณ์ (ซง่ึ เรียกวา่ การบันทึก
ภาคสนาม หรือ Field Note) และอาจเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์นักเรียนและครูเพื่อให้ได้ข้อมูล
อย่างรอบด้าน และครอบคลุม เพื่อนำสารสนเทศหรือผลที่รวบรวมได้มาวิเคราะห์สรุป ก็จะสามารถหา
คำอธบิ ายและตีความเก่ยี วกับการสอนวทิ ยาศาสตรข์ องโรงเรียนนี้ได้
9
5.6 การวิจัยเชิงอนาคต ( Future Research) เป็นการวิจัยที่มุ่งศึกษาหาคำตอบเกี่ยวกับ
ปรากฏการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยอาศยั ข้อมลู เกี่ยวกบั ปรากฏการณ์ที่มีมาในอดีตและที่เป็นอยู่ใน
ปัจจุบันเพื่อคาดคะเนแนวโน้มของปรากฏการณ์ที่จะเป็นไปหรือที่จะเกิดขึ้นได้มากที่สุดในอนาคต ทั้ งนี้เพ่ือ
ประโยชนใ์ นการวางแผน เตรียมการ ส่งเสริมหรือป้องกันปรากฏการณท์ ี่อาจจะเกิดขึ้นดังกล่าว เทคนิควิธีการ
ที่นำมาใช้ในการวิจัยเชิงอนาคต ได้แก่ เทคนิคเดลฟาย (Delphi technique) เทคนิค EDFR (Ethnographic
Delphi Future Research) และเทคนิคการสร้างภาพอนาคต (Scenario) เป็นต้น ตัวอย่างของการวิจัยเชิง
อนาคต เช่น รูปแบบการบริหารจดั การศึกษาจากสถานศึกษาขั้นพน้ื ฐานไปอีก 10 ปขี ้างหน้า เปน็ ต้น
5.7 การวิจัยเชิงบรรยาย การวิจัยเชิงบรรยาย เป็นการวิจัยที่มุ่งบรรยายหรือลงข้อสรุปเกี่ยวกับ
เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ โดยศึกษาจากสภาพที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติ ตัวแปรที่ศึกษาเป็นตัวแปรที่
เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่มีการจัดกระทำกับตัวแปรอิสระ และไม่ได้ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน วิธีการเก็บ
รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์มีหลากหลายผู้วิจัยต้องเลือกให้เหมาะสมกับปัญหาแต่ละเรื่อง สิ่งที่ศึกษาจะ
เกี่ยวข้องกับสภาพเหตุการณ์ สถานการณ์ เงื่อนไข ปัญหา อุปสรรค แนวทางแก้ไขปัญหาตลอดจนการ
เปรียบเทียบ การหาความสัมพันธ์ การทำนาย การหาแนวโน้มหรือการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ต่าง ๆ
เหลา่ น้ัน เปน็ ต้น การวจิ ยั เชงิ บรรยายนีบ้ างตำราเรียกวา่ “การวิจยั เชงิ พรรณนา”
การวจิ ยั เชิงบรรยาย อาจแบง่ ประเภทออกไปได้อีก 3 ประเภท คือ การวิจัยเชงิ สำรวจ การ
วิจัยเชิงความสัมพันธ์ และการวิจัยเชิงพัฒนาการ ตัวอย่างชื่อเรื่องการวิจัยเชิงบรรยายแต่ละประเภท มี
ดงั น้ี
ตวั อยา่ งชื่อเรอื่ งการวิจยั เชิงบรรยาย ประเภทการวิจัยเชิงสำรวจ
-ความตระหนักเกี่ยวกับมลพิษอุตสาหกรรมของพนักงานการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ผปู้ ระกอบการอุตสาหกรรมและชมุ ชน (ไพฑรู ย์ พมิ พ์ด.ี 2542)
ตัวอย่างชอื่ เรอ่ื งการวจิ ยั เชงิ บรรยาย ประเภทการวจิ ัยเชิงความสมั พันธ์
-อิทธิพลของการใช้อินเทอร์เน็ตและตัวแปรที่เกีย่ วข้องที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
นกั ศึกษาโรงเรียนพณิชยการตง้ั ตรงจติ ร (สบื พงศ์ นาคมณี. 2553)
ตวั อยา่ งชอ่ื เรอื่ งการวิจยั เชิงบรรยาย ประเภทการวจิ ยั เชงิ พฒั นาการ
-พัฒนาการของเด็กในโครงการศนู ยศ์ กึ ษาเดก็ เล็ก คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (นิตยา
ไทยาภิรมย.์ 2548)
6. ประเภทของการวิจัยทางการศกึ ษาจำแนกตามวธิ กี ารวิจัย
การวิจยั ทางการศึกษาจะมวี ธิ ีการดำเนินการคลา้ ย ๆ กัน คือ การกำหนดหรือต้ังหัวข้อปัญหาการเก็บ
รวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการสรุปผลการวิจัย การวิจัยแต่ละประเภทก็จะมีวิธีการเฉพาะตาม
ลกั ษณะของการวจิ ยั นน้ั ๆ ถา้ จำแนกการวจิ ัยมีวิจยั หลายประเภท คือ
10
การวจิ ยั เชงิ ประวตั ศิ าสตร์
การวิจัยเชิงบรรยาย
การวจิ ัยเชิงสหสัมพันธ์
การวจิ ัยเชิงเปรียบเทยี บเหตผุ ล
การวิจยั เชงิ ทดลอง
6.1 การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (Historical Research) เป็นการวิจัยเกี่ยวกับการศึกษาค้นคว้า
การทำความเข้าใจและการอธิบายเหตุการณ์ในอดีต มีวัตถุประสงค์เพื่อหาข้อสรุปที่เป็นเหตุ เป็นผล หรือ
แนวโน้มของเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งจะช่วยให้ความกระจ่างเกี่ยวกับเหตุการณ์ในปัจจุบันและคาดคะเนหรือ
ทำนายเหตุการณใ์ นอนาคต
6.2 การวิจัยเชิงบรรยาย (Descriptive Research) เป็นการวิจัยเพื่อทดสอบสมมติฐานหรือค้นหา
คำตอบเกี่ยวกับสถานภาพในปัจจุบันของกลุ่มตัวอย่างของการวิจัย ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จะได้จากการ
ออกแบบสำรวจความคิดเห็น การสัมภาษณ์ หรือการสังเกต เป็นต้น เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
จะสรา้ งขึ้นสำหรับการวิจัยแต่ละหัวข้อวิจัยหรือเคร่ืองมือมาตรฐาน แตก่ ารวจิ ัยประเภทนี้ก็มีข้อบกพร่องหลาย
ประการ เช่น ผตู้ อบแบบสอบถามไม่ตอบหรอื สง่ แบบสอบถามคนื หรอื หลบเลีย่ งการให้สมั ภาษณ์ เป็นต้น
6.3 การวจิ ยั เชิงสหสัมพันธ์ (Correlational Research) เปน็ การวจิ ยั เพ่อื ตัดสินหรอื ประเมินระดับ
ของความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรเชิงประมาณ 2 ตัวหรือมากกว่า โดยมุ่งวิเคราะห์ว่าตัวแปรเหล่านั้นมี
ความสัมพันธ์กันหรือไม่หรือใช้ความสัมพันธ์เพื่อการทำนาย เมื่อตัวแปร 2 ตัวมีความสัมพันธ์ในระดับสูงไม่ได้
หมายความวา่ ตวั แปรท้งั สองเป็นเหตุและผลซ่ึงกนั และกัน เพราะอาจจะมอี งคป์ ระกอบอนื่ ทำให้ตัวแปรทั้งสอง
มคี วามสมั พันธก์ ัน เพยี งแตท่ ำนายไดว้ ่าตัวแปรท้ังสองมีความสมั พันธ์เกยี่ วข้องกัน ระดบั ของความสัมพันธ์ของ
ตัวแปร 2 ตัวจะทำไดใ้ นรูปแบบของสมั ประสทิ ธ์ิของสหสมั พนั ธ์ ซ่ึงจะมคี ่าระหว่าง -1.00 ถึง 1.00
6.4 การวิจัยเชิงเปรียบเทียบเหตุผล (Casual Comparative or “ Expost facto” Research)
เป็นการศึกษาวิจัยเพื่อสืบเสาะหาความสัมพันธ์ของความเป็นเหตุเป็นผล โดยศึกษาผลสืบเนื่องและศึกษา
ย้อนหลังขององค์ประกอบที่เป็นเหตุผลต่อกัน ผู้วิจัยจะเก็บรวบรวมข้อมูลของเหตุการณ์ที่ต้ องการศึกษาไว้
เลือกตัวแปรตาม (ผล) ที่เกิดขึ้นแล้ว จากข้อมูลที่ได้จะศึกษาย้อนหลังและวิเคราะห์สาเหตุ ความสัมพันธ์และ
แปลความ
6.5 การวจิ ยั เชิงทดลอง (Experimental Research) เป็นการวิจัยหาความสมั พันธ์ของเหตุและผล
ระหว่างตวั แปรต้น (Independent variable) ซึ่งเป็นตวั เหตุและตวั แปรตาม (dependent variable) ซึ่งเปน็
ผลโดยการใช้เงื่อนไขในการทดลองที่เรียกว่า การจัดกระทำ (teratment) กับกลุ่มทดลอง (Experimental
Group) แตไ่ ม่ใชก้ บั กลมุ่ ควบคุม (Control Group) แล้วเปรียบเทยี บผลการทดลอง
11
การศึกษาวจิ ัยหัวข้อปญั หาหนงึ่ ๆ อาจกระทำไดห้ ลายวิธหี รือจัดเข้าประเภทของการวจิ ัยไดห้ ลายประเภท
ซึ่งขน้ึ อยกู่ ับวัตถุประสงคห์ รือวิธีการวิจยั ของการวจิ ัยดงั กล่าว ผูร้ ้บู างทา่ นมคี วามเห็นว่าการวิจัยเชิงสหสัมพันธ์
และการวจิ ัยเชิงเปรียบเทยี บเหตผุ ลเปน็ การวจิ ัยประเภทเชิงบรรยาย
7. แบ่งตามเทคนิคและเนื้อหาเฉพาะ
การแบง่ ประเภทการวจิ ยั ตามเกณฑ์นี้พิจารณาจากเทคนคิ และเนื้อหาเฉพาะด้านที่ผวู้ ิจยั ให้ความสนใจ
ทำการศึกษา ซึง่ สามารถจำแนกประเภทของการวิจยั ได้ดงั น้ี
การวิจยั เชงิ ปฏิบตั กิ าร
การวิจัยและพฒั นา
การวจิ ัยในชน้ั เรียน
การวิจยั เชิงประเมิน
โดยการวิจัยแต่ละประเภทมลี กั ษณะทีพ่ อสรุปได้พอสังเขปดงั น้ี
7.1 การวิจัยเชิงปฏิบัติการ ( Action Research) เป็นการวิจัยที่มุ่งแก้ปัญหาในการปฏิบัติงาน
ประจำภายในหน่วยงานหรือองค์กร ดังนั้นการวิจัยเชิงปฏิบัติการจึงสรุปอ้างไปยังสถานการณ์อื่นได้น้อยมาก
ตวั อย่างเชน่ ครวู ทิ ยาศาสตร์ในโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษาต้องการทราบว่า การให้นกั เรียนทำการทดลองเป็นกลุ่มกับ
ทดลองเป็นรายบุคคลวิธีใดจะให้ผลดีกว่ากัน จึงใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยทำการวิจัยกับนักเ รียนที่เรียน
วิทยาศาสตร์ในโรงเรียนของเขา เพื่อดูประสิทธิภาพและประสิทธิผลของวิธีการทั้งสอง จะเห็นได้ว่าผู้วิจัย
(ครูวทิ ยาศาสตร์) สนใจเพยี งสถานการณ์ภายในโรงเรยี นของเขาเท่านั้น ดงั นนั้ การวิจยั เชงิ ปฏิบัติการโดยทั่วไป
จึงมักจะทำกับกลุ่มเป้าหมายเล็กๆ เพียงไม่กี่กลุ่ม หรืออาจเป็นเพียงกลุ่มเดียว และเคร่งครัดในเรื่องของแบบ
แผนและระเบียบวธิ ีการวิจยั นอ้ ยกวา่ การวิจัยทางการศึกษาอ่ืน ๆ
การวิจัยเชิงปฏิบัติการในบางครั้งนำมาใช้ร่วมกับการวิจัยแบบมีส่วนร่วม (Participatory Research)
ซึ่งเป็นการวิจัยที่มุ่งอาศัยบุคคลจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่เป็นกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
(Stakeholder) ผลการวิจัย ให้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการดำเนินงานวิจัยตั้งแต่ขั้นตอนแรกคือการ
กำหนดปัญหาการวิจัย จนกระทั่งขั้นตอนสุดท้ายคือการสรุปและเขียนรายงานการวิจัย การวิจัยที่ได้เรียกว่า
“การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม” (Participatory Action Research : PAR) ซึ่งหมายถึงการวิจัยท่ี
มุ่งแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยอาศัยการมีส่วนร่วมของบุคคลที่มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามาดำเนินการวิจัยตั้งแต่เริ่มต้น
จนเสรจ็ สิ้นการวิจยั จุดเดน่ ของการวิจัยประเภทนคี้ อื สามารถแก้ปัญหาได้ตรงตามความต้องการของผู้มีส่วนได้
ส่วนเสียทง้ั หมด ตวั อย่างเช่น การวจิ ัยเพ่อื แกป้ ัญหาพฤติกรรมที่ไม่พงึ ประสงค์ของนักเรยี นในโรงเรียนแห่งหน่ึง
คณะผู้วิจัยอาจประกอบด้วยผู้วิจัย ผู้บริหารโรงเรียน กรรมการสถานศึกษา ครูและผู้ปกครอง โดยขั้นตอน
12
เริ่มต้นผู้วิจัยและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดจะต้องมาร่วมปรึกษาหารือถึงประเด็นปัญหาที่มีอยู่ และร่วมกัน
วิเคราะหแ์ ละกำหนดประเด็นปญั หาท่ีจะทำการวจิ ัย หลังจากน้ันคณะผู้วจิ ัยซึ่งประกอบด้วยบุคคลหลายๆฝา่ ย
จะร่วมกันวางแผนการดำเนินงาน โดยอาศัยโลกทัศน์ ความรู้และความเชี่ยวชาญของบุคคลแต่ละฝ่ายมา
วิเคราะห์ร่วมกัน ผู้บริหาร กรรมการสถานศึกษาและผู้ปกครองอาจเป็นผู้กำหนดพฤติกรรมทีค่ าดหวัง ครูและ
ผ้ปู กครองอาจสะท้อนพฤติกรรมท่ีเป็นอยู่ของนักเรียนผ้วู จิ ัยอาจนำเสนอวิธีการและขัน้ ตอนการดำเนินการวิจัย
เปน็ ต้น การวจิ ัยประเภทนจี้ ึงกอ่ ใหเ้ กดิ การแลกเปลี่ยนเรยี นรรู้ ว่ มกนั
7.2 การวิจัยและพัฒนา ( Research and Development : R&D) เป็นการนำเอาวิธกี ารวิจยั มา
ใช้ในการสร้างและตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ( Product) ที่บุคคลหรือหน่วยงานนั้นจัดให้มีข้ึน
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นนั้น สามารถนำไปใช้ได้จริงตรงตามวัตถุประสงค์ ซึ่ง
ผลิตภัณฑ์ในที่นห้ี มายถึง วัสดุ ครภุ ัณฑ์ อุปกรณ์ สิ่งของ แนวคิดหรอื ทฤษฎตี ่างๆทีไ่ ดผ้ ลติ และคิดค้นขน้ึ ดังนัน้
การวิจัยและพัฒนาซึ่งสามารถนำไปใช้กับทุกวงการสาขาอาชีพ เช่น การวิจัยและพัฒนาเคมีภัณฑ์ในวงการ
แพทย์ การวิจัยและพัฒนาสื่อและวิธีสอนในวงการศึกษา การวิจัยและพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ทางการทหาร
การวิจยั และพัฒนาเครอ่ื งมอื ทางการเกษตร เปน็ ต้น
โดยทั่วไปแล้วการวิจัยและพัฒนาจะประกอบด้วย 4 ขั้นตอนใหญ่ๆ ได้แก่ ขั้นตอนการสำรวจหรือ
วิเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการผลิตภัณฑ์ในปัจจุบัน ขั้นตอนการสร้างและตรวจสอบคุณภาพ
ผลติ ภณั ฑ์ ขน้ั ตอนการวจิ ยั ทดลองใชผ้ ลติ ภัณฑ์ และขน้ั ตอนการประเมินปรับปรุงผลติ ภัณฑ์ โดยทัง้ 4 ข้ันตอน
นจ้ี ะดำเนินหมนุ เวยี นกันเป็นวัฏจกั ร จนกระท่งั ผลิตภณั ฑ์ทม่ี ีความสมบรู ณ์ สามารถนำออกเผยแพรไ่ ด้
7.3 การวจิ ัยในชั้นเรียน (Classroom Research) เป็นการวิจัยทม่ี งุ่ คน้ หาความจริงเกี่ยวกับปัญหา
การเรียนการสอนในชั้นเรียนหนึ่งๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำความรู้ความจริงที่ได้รับมาใช้ในการแก้ปัญหา
การเรียนรู้ของนักเรียนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือใช้แก้ปัญหาและพัฒนาการสอนของครู ดังนั้นการวิจัยในชั้น
เรยี นจงึ มีลักษณะเดียวกันกบั การวิจัยเชงิ ปฏิบัติการ จนบางครั้งก็เรยี กรวมกันว่า “การวจิ ยั เชิงปฏิบัติการในชั้น
เรียน” (Classroom Action Research) ลักษณะเด่นของการวิจัยในชั้นเรียนคือ เป็นการดำเนินการวิจัยไป
พร้อมพรอ้ มกับการจัดการเรียนการสอน มิไดแ้ ยกการวิจยั และการสอนออกจากกัน ดังน้นั ผทู้ ำการวิจัยก็คือครู
ทท่ี ำการสอนอยนู่ นั่ เอง โดยทว่ั ไปการวจิ ัยในชั้นเรียนจะมขี ้ันตอนในการดำเนินงานดงั น้ี
1) วเิ คราะห์สภาพปญั หาการเรยี นการสอนในเรอ่ื งใดเรอื่ งหน่ึง
2) กำหนดแนวทางในการแก้ปัญหาน้ันๆ
3) ดำเนินการทดลองแกป้ ัญหาตามแนวทางท่เี ลอื ก
4) ประเมินผลหรือสะท้อนกลับผลการแก้ปัญหานั้นๆ หากปัญหายังคงมีอยู่หรือยังไม่ได้รับการแก้ไข
กจ็ ะดำเนินการตามข้นั ตอนเหล่านเ้ี ร่อื ยไป จนกว่าจะหมดส้นิ ปญั หา
13
7.4 การวิจัยเชงิ ประเมิน (Evaluation Research) หมายถงึ การวิจยั ทม่ี ุ่งค้นควา้ ความจริงเกี่ยวกับ
โครงการในแง่มุมตา่ งๆ เพอ่ื นำไปตดั สนิ คุณคา่ ของโครงการ โดยอาศัยเกณฑใ์ ดเกมหน่งึ ในการตัดสิน หรอื บางที
ก็เรียกว่า “การประเมินโครงการ” (Program Evaluation) หากแต่การวิจัยเชิงประมาณนั้นจะเน้น
กระบวนการวจิ ัยมากกวา่ รปู แบบการประเมนิ เช่น การจัดโครงการเป็นสง่ิ ทดลอง (Treatment) การ
ดำเนินการวิจัยก็เลือกจะใช้แบบแผนการทดลองแบบต่างๆ การตัดสินคุณค่าของโครงการก็พิจารณาจากผล
การทดลองหรือผลที่เกิดจากโครงการ โดยการนำไปเทียบกับเกณฑ์ในเกณฑ์หนึ่ง กล่าวโดยสรุปกค็ ือ การ
วจิ ยั เชงิ ประเมนิ เปน็ การประยุกต์แนวคิดของการวจิ ัยทางสังคมศาสตร์มาใช้ในการศึกษาเก่ียวกับคุณค่าของส่ิง
ทีจ่ ะประเมนิ นนั่ เอง
8. จำแนกตามลักษณะการเก็บข้อมูล
การวจิ ยั ถา้ แบง่ ตามลักษณะการเกบ็ ข้อมลู แบง่ ออกเปน็ 7 ประเภท คอื
การวจิ ัยเอกสาร
การวิจยั โดยการเฝา้ สงั เกต
การวิจัยโดยการสำมะโน
การศึกษาแบบสำรวจตอ่ เนือ่ งตามระยะเวลา
การศึกษาเฉพาะราย
การวจิ ยั แบบสำรวจ
การวิจัยแบบทดลอง
8.1 การวิจัยเอกสาร (documentary research) เป็นการทำวิจัยที่เก็บข้อมูลโดยอาศัยหลักฐาน
จากหนังสอื เปน็ หลัก
8.2 การวิจัยโดยการเฝ้าสังเกต (observatory research) เป็นการทำวิจัยที่เก็บข้อมูลโดยการ
สังเกต
8.3 การวิจยั โดยการสำมะโน (census research) เปน็ การทำวิจยั ทนี่ กั วิจยั เก็บข้อมูลจากประชากร
ทง้ั หมด
8.4 การศึกษาแบบสำรวจต่อเนื่องตามระยะเวลา (panel study) เป็นการวิจัยเพื่อศึกษาถึงการ
เปลี่ยนแปลงตามเวลาที่เปลี่ยนไป โดยการเก็บข้อมูลจะเก็บกับกลุ่มตัวอย่างเดิม แต่เก็บเป็นระยะๆ ไป เช่น
การศกึ ษาพัฒนาการเด็ก
14
8.5 การศึกษาเฉพาะราย (case studies) เป็นการวิจัยที่ทำการศึกษาอย่างลึกซึ้งเฉพาะกลุ่มใด
กลุ่มหนึ่ง ระยะเวลาหนึ่งหรือตลอดชีวิต โดยผู้วิจัยจะต้องรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาพิจารณาให้
ครบถว้ น เพ่อื ศกึ ษาหาสาเหตุทีแ่ ทจ้ ริงของสิง่ ท่ีศกึ ษา
8.6 การวิจัยแบบสำรวจ (survey research) เป็นการวิจัยที่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลของ
สภาพการณ์ท่เี ปน็ จริงจากแหล่งของข้อมูลโดยตรง การรวบรวมข้อมลู นั้นจะรวบรวมจากกลุ่มตัวอย่างไม่ใช่จาก
ประชากรท้งั หมด เพือ่ นำผลท่ีไดจ้ ากการวจิ ยั มาบรรยาย อธิบาย หรือทำนายสิ่งทศ่ี ึกษา
8.7 การวิจัยแบบทดลอง (experimental research) เป็นการวิจัยที่มีการจัดสภาพการณ์
หรือสถานการณ์แก่ตัวแปรอิสระ เพื่อดูผลที่เกิดกับตัวแปรตาม และควบคุมสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นให้คงที่
เพอ่ื ใหผ้ ลการสรปุ จำแนกตามลักษณะวชิ าหรอื ศาสตร์
9. แบ่งตามลักษณะวชิ า
การวจิ ัยทางวทิ ยาศาสตร์
การวจิ ัยทางสังคมศาสตร์
การวิจยั ทางมนุษยศาสตรแ์ ละพฤติกรรมศาสตร์
9.1 การวจิ ัยทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific research)
การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เป็นการวิจัยเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตและ
สิ่งไม่มีชีวิต มีการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้ดี มีการวัดค่าตัวแปรที่สามารถตรวจสอบหรือทำซ้ำได้
ผลการวจิ ัยมคี วามถูกต้องและมคี วามเช่อื ถอื ได้สูงมาก
การวิจัยทางวิทยาศาสตร์สามารถจำแนกออกตามสาขาวิชาต่าง ๆ ได้อีกมาก เช่น สาขาวิชาชีววิทยา
สาขาวิชาเคมี สาขาวิชาฟิสิกส์ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ สาขาวิชาไฟฟ้า สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ สาขาวิชา
วิทยาศาสตร์กายภาพ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ชวี ภาพ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์ สาขาวิชาเภสชั ศาสตร์
สาขาวชิ าเกษตรศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ เปน็ ต้น
9.2 การวจิ ัยทางสงั คมศาสตร์ (social science research)
การวิจัยทางสงั คมศาสตร์ เป็นการวิจัยท่ีเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนษุ ย์ตลอดจนสภาพแวดล้อม สังคม
และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก การวิจัยทางสังคมศาสตร์จึงควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้น้อยกว่า
การวจิ ยั ทางวิทยาศาสตร์ การวดั คา่ ของตวั แปรต่าง ๆ ก็อาจไม่สามารถวัดได้โดยตรง จงึ ต้องวดั ทางอ้อมโดยใช้
เครอ่ื งมอื ต่าง ๆ ชว่ ย เชน่ แบบสอบถาม แบบทดสอบ แบบวัดเจตคติ แบบสงั เกต และแบบสมั ภาษณ์ เป็นต้น
15
การวิจัยทางสังคมศาสตร์สามารถจำแนกออกตามสาขาวิชาต่างๆ ได้อีกมากมาย เช่น สาขาจิตวิทยา
สาขาวชิ าสังคมวิทยา สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ สาขาวิชาการศกึ ษา สาขาวิชาวจิ ิตรศลิ ป์ สาขาวิชาสถาปตั ยกรรม
ศาสตร์ สาขาวชิ าพาณิชยศาสตร์ สาขาวชิ านิตศิ าสตร์ สาขาวชิ ารัฐศาสตร์ เป็นต้น
9.3 การวิจัยทางมนุษยศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ ได้แก่ การวิจัยเกี่ยวกับคุณค่าของมนุษย์
ภาษาศาสตร์ ศลิ ปกรรมศาสตร์ ศลิ ปศาสตร์ โบราณคดี ปรชั ญาและศาสนา พฤตกิ รรมศาสตร์ เป็นต้น
10. แบง่ ตามจำนวนสาขาวชิ า การวิจัยเป็นตามเกณฑจ์ ำนวนสาขาวชิ า ได้เปน็ 2 ประเภท คอื
การวจิ ัยเฉพาะสาขาวิชา
การวจิ ยั สหวิทยาการ
10.1 การวจิ ัยเฉพาะสาขาวิชา (monodisplinary research)
การวิจัยเฉพาะสาขาวิชาเป็นการวิจัยเกี่ยวข้องกับสาขาวิชาเพียงสาขาเดียว เช่น การวิจัยทาง
คณติ ศาสตร์ การวจิ ัยทางคอมพวิ เตอร์ และการวิจัยทางการศึกษา เปน็ ต้น
10.2 การวิจัยสหวทิ ยาการ (interdispinary research)
การวิจัยสหวิทยาการ เป็นการวจิ ัยทเี่ กี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่ต่างกันมาบูรณาการเปน็ สาขาวิชาใหม่ที่มี
ลกั ษณะแตกตา่ งไปจากเดิม
ในปัจจุบันการวิจัยมีแนวโน้มเป็นสหวิทยาการมากขึ้น ทั้งในวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ตลอดจน
ระหว่างวิทยาศาสตร์กับสังคมศาสตร์ การวิจัยสหวิทยาการวิทยาศาสตร์ เช่น การวิจัยพัฒนาเครื่องมือทาง
การแพทย์ การวิจัยสหวิทยาการในสังคมศาสตร์ เช่น งานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์การศึกษา การวิจัยสหวิทยา
การบูรณาการระหว่างวทิ ยาศาสตร์กบั สังคมศาสตร์ เช่น การวจิ ยั ทางสิง่ แวดลอ้ มศึกษา
11. การแบง่ ประเภทการวจิ ัยตามผลลัพธท์ ตี่ ้องการ
ในการแบ่งประเภทงานวิจัยตามผลลัพธ์ที่ต้องการนี้ ใช้ฐานแนวคิดของสำนักงานกองทุนสนับสนุน
การวิจัยในการจำแนกประเภทของโครงการวิจัยตามผลลัพธ์ที่ต้องการเป็นหลัก (วิจารณ์ พานิช. 2546 : 12)
โดยแบ่งการวจิ ยั เป็น 3 ประเภท คือ การวิจัยเชิงวิชาการ การวจิ ัยและพัฒนา และ การวิจยั เพอ่ื ท้องถ่นิ
การวิจัยเชงิ วิชาการ
การวิจัยและพัฒนา
16
การวจิ ยั เพื่อท้องถน่ิ
11.1 การวจิ ยั เชิงวิชาการ
เป็นการวิจัยที่มุ่งเนน้ การสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการ ผลลัพธ์สำคญั ของการทำงานวิจัยประเภทนี้
คือ มีผลงานวิจัยที่สามารถนำไปตีพิมพ์และเผยแพร่ในวงการวิชาการ ถ้าผลงานวิจัยมีคุณภาพสูงก็อาจได้รับ
คดั เลือกใหต้ พี มิ พ์ในวารสารระดับชาติ ระดับนานาชาติ หรอื วารสารทม่ี ี impact factor ซึ่งเป็นวารสารท่ไี ด้รับ
การยอมรบั เขา้ อย่ใู นฐานข้อมูลของ ISI (Institute of Scientific Information) ตามลำดับ
11.2 การวจิ ยั และพัฒนา
เปน็ การวจิ ยั ทมี่ งุ่ เนน้ การนำผลการวจิ ัยไปใชป้ ระโยชน์ไดจ้ รงิ ในการวจิ ยั ประเภทนผี้ ้ใู ช้ผลงานวิจัยต้อง
มีส่วนในการร่วมตั้งโจทย์ หรือริเริ่มโจทย์วิจัย ถ้าผู้ใช้ผลการวิจัยมีส่วนร่วมในการทำงานวิจัย ทั้งด้านการ
สนับสนุนทนุ วจิ ยั หรอื การลงมือทำวิจัย จะชว่ ยสร้างความม่นั ใจในการนำผลวจิ ยั ไปใช้ประโยชนม์ ากยิง่ ขนึ้
11.3 การวิจัยเพื่อทอ้ งถิ่น
เป็นการวิจัยที่มุ่งเน้นการเรียนรู้ของชาวบ้านในลักษณะที่เป็นการเรียนรู้เป็นกลุ่ม โดยการเรียนรู้จาก
การแก้ปัญหาของท้องถิ่น หรือการพัฒนาท้องถิ่น การวิจัยเพื่อท้องถิ่นมีธรรมชาติคล้ายการวิจัยและพัฒนา
แตม่ คี วามเป็นวิชาการน้อยกว่า ทงั้ นีย้ ังคงขั้นตอนการวจิ ยั ครบถ้วน ทงั้ การมคี ำถามการวิจยั ที่ชัดเจน มี
กระบวนการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลและการวิเคราะห์ข้อมลู ตลอดจนการสรปุ บทเรียน
12. แบ่งวิธีการวิจัยออกเป็นรูปแบบ input, process และ output เหมือนกระบวนการเครื่อง
คอมพวิ เตอร์ (กรมวิชาการ 2518 : 1-7)
การวิจยั รปู แบบ input ความหมายคลา้ ยการวจิ ยั พ้นื ฐาน
การวิจยั รปู แบบ process มองในรปู กระบวนการหรือวิธีการ
การวจิ ัยรปู แบบ output
12.1 การวิจัยรปู แบบ input ความหมายคลา้ ยการวจิ ัยพื้นฐาน คือ มองในรปู การศกึ ษาค้นคว้าหา
ตัวตน เช่น หลักเกณฑ์ กฎ คุณธรรม คณุ ลกั ษณะ ตัว input อาจจะไม่เปน็ อยขู่ ัน้ น้ตี ลอดกาล มโี อกาสเปน็ คัน
อื่นๆ ก็ได้ ตัวอย่างเช่น ลักษณะคนดีที่เมืองไทยต้องการ การศึกษาปรัชญาของการพัฒนาประเทศ ความ
เสมอภาคที่จะมีโอกาสรับการศึกษาของไทย วิเคราะห์ปรัชญาการศึกษาของไทยในอดีตและปัจจุบัน ศึกษา
พัฒนาทางด้านความคิดของเด็กไทย เด็กไทยที่ครูและสังคมต้องการ อิทธิพลของสถาบันปฐมภูมิที่มีผลต่อ
บุคลิกภาพของเด็ก การศึกษาแรงจูงใจในการเรียนของนักเรียนแต่ละระดับ อิทธิพลของการเคลื่อนย้าย
ประชากรกับการจัดการศึกษารูปแบบของความสมั พันธร์ ะหวา่ งพ่ีน้องในครอบครัว คุณลักษณะของการศึกษา
เพอ่ื ความเป็นเอกราชของชาติ ฯลฯ
17
12.2 การวิจัยรูปแบบ process มองในรูปกระบวนการหรือวิธีการ เปรียบเสมือนกระบวนการผลิต
สินค้าที่เพิ่งผ่านจากวัตถุดิบ (Input) เพื่อแปรสภาพให้เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ปัญหาที่จัดว่าเป็นการวิจัยในรูปแบบน้ี
ได้แก่ พฤติกรรมของครูขณะทำการสอน ทักษะในการสอนของครู อทิ ธพิ ลของระบบการศึกษาท่ีมีต่อความคิด
รเิ ริ่มสร้างสรรค์ การศกึ ษาอิทธิพลของความเจริญทางวัฒนธรรมที่มีต่อวิวฒั นาการทางภาษา ระบบโรงเรียนใน
ฐานะที่เป็นสถาบันในการสร้างค่านิยมของคนไทย วิธีอบรมเลี้ยงดูเด็กของคนไทย การศึกษาเปรียบเทียบ
ผลสัมฤทธิ์ระหว่างนักเรียนที่อยู่ในโครงการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับนักเรียนที่
ไม่ได้อยู่ในโครงการ การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเวลาที่ใช้ในการศึกษากับประสิทธิภาพของการเรียนรู้
ระบบบริหารงานบุคคลฝ่ายการศึกษาที่มอี ิทธพิ ลต่อบุคลิกภาพของครู ฯลฯ
12.3 การวิจัยรูปแบบ output เป็นการวิจัยปัญหาซึ่งอยู่ในรูปแบบที่นำไปใช้ประเมินเสมือนสินค้า
สำเร็จรูปที่ออกจากกระบวนการข้อที่แล้ว มองอีกอย่างหนึ่งเหมือนกับการประเมินผลในโครงการใดโครงการ
หนึ่งนั่นเอง Output มีโอกาสจะเป็น input ได้แล้วแต่ลักษณะของการศึกษา ตัวอย่างปัญหาที่อยู่ในรูปแบบ
ของ output เชน่ เจตคตขิ องวัยรุ่นที่มีต่อการเปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรม ลักษณะการปรับตัวของเด็กในเมือง
กับชนบท ความสัมพันธ์ระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับผลสัมฤทธิ์ทางการงาน การประเมินผลโครงการ
ผลิตครูในระดับต่างๆ การใช้พลังกลุ่มในการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตย ผลของการศึกษาที่มีต่อ
การเปลี่ยนแปลงสถานภาพสังคมของผู้เรียน อัตราตอบแทนทางสังคมในการลงทุนการศึกษา การพัฒนา
หลักสูตรในระดับอุดมศึกษาให้สัมพันธ์กับการพัฒนาทางเทคนิควิทยา การประเมินการศึกษาระบบหน่วยกิต
ฯลฯ
13. แบ่งประเภทการวจิ ยั ตามศาสตร์ท่ศี ึกษา
ประเภทการวจิ ัยในการแบง่ ตามศาสตร์ทีศ่ ึกษาน้ันมกี ารแบง่ หลากหลายกันไป ในทนี่ ีจ้ ะขอจำแนกเป็น
2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่
การวิจยั เฉพาะศาสตร์
การวจิ ัยบรู ณาการศาสตร์ต่าง ๆ
13.1 การวิจัยเฉพาะศาสตร์ เป็นการวิจัยที่เน้นเฉพาะศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่ง เช่น วิทยาศาสตร์
สงั คมศาสตร์ พฤตกิ รรมศาสตร์ ฯลฯ เป็นต้น
13.2 การวิจัยบูรณาการศาสตร์ต่าง ๆ เป็นการวิจัยที่ต้องพิจารณาความรู้จากหลายศาสตร์
หลายสาขาวิชามาบูรณาการร่วมกัน ในการทำงานวิจัยแต่ละเรื่อง เช่นการทำงานวิจัยด้านชุมชน การเมือง
รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การศึกษา ฯลฯ เป็นต้น การทำวิจัยด้านต่าง ๆ เหล่านี้อาจต้องใช้ความรู้จากหลาย
ศาสตร์มาบรู ณาการรว่ มกันในหนึง่ งานวจิ ยั เพ่ือให้ได้คำตอบท่ีตรงประเด็นคำถามวจิ ยั และสามารถนำผลวิจัยไป
ใช้ประโยชน์อยา่ งค้มุ ค่า
18
14. การแบ่งประเภทการวิจัยตามระดับการควบคุมได้
การควบคุมเป็นการป้องกันไม่ให้ตัวแปรอื่นๆ นอกเหนือจากตัวแปรอิสระ มีอิทธิพลต่อตัวแปรตาม
เพอื่ ทจี่ ะสรุปให้ได้ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักศึกษา 2 กลมุ่ แตกต่างกันเพราะใช้ระบบ
การสอนที่ต่างกันนักวิจัยต้องพยายามควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ให้มีสภาพเท่าเทียมหรือใกล้เคียงกัน เช่น ความรู้
ความสามารถในการสอนของอาจารย์ สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ฯลฯ เป็นตน้
การแบ่งประเภทตามเกณฑ์นี้ อาจได้ชื่อชนิดของการวิจัยที่เคยกล่าวข้างต้น แต่นำมาจัดเรียงลำดับ
ตั้งแตก่ ารควบคุมได้สูงสดุ ถงึ การควบคุมได้ต่ำสุดดงั นี้
14.1 การวิจยั เชิงทดลอง (experimental research)
14.2 การวจิ ัยเพอื่ แกป้ ญั หาเฉพาะหน้า (action research)
14.3 การวจิ ยั เชงิ สำรวจ (Survey research)
14.4 การวิจัยเชงิ สนาม (field research)
14.5 การวิจัยเอกสาร (documentary research)
14.6 การศึกษาเฉพาะกรณี (case study)
15. แบ่งตามระยะเวลาของการศกึ ษา
การวจิ ัยเชงิ ประวัติศาสตร์
การวจิ ยั ภาคตดั ขวาง
การวจิ ยั ระยะยาว
การศึกษาแบบต่อเนอ่ื ง
การศึกษาแนวโน้ม
15.1. การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (historical research) เป็นการวิจัยที่มุ่งบรรยายเกี่ยวกับ
เหตุการณท์ ่ีเกดิ ขึน้ ในอดตี เช่น วิถีชีวติ คนไทยในยคุ บ้านเชียง
15.2 การวิจัยภาคตัดขวาง (cross-sectional study) เป็นการวิจัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน
ปัจจบุ นั กับกลุม่ เป้าหมายจำนวนมาก เชน่ ผลกระทบของการข้นึ ราคานำ้ มนั กบั ค่าครองชีพของคนไทย
15.3 การวิจัยระยะยาว (longitudinal study) เป็นการวิจัยเหตุการณ์เดียวติดต่อกันเป็นระยะ
เวลานาน เช่น พัฒนาการอุตสาหกรรมขนาดย่อมในประเทศไทย
15.4 การศึกษาแบบต่อเนื่อง (panel study) เป็นการวิจัยอย่างต่อเนื่องมีการสรุปผลแต่ละช่วง
กอ่ นทำการศึกษาในช่วงตอ่ ไป เชน่ การพัฒนาชนบทตามแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ
19
15.5 การศึกษาแนวโน้ม (trend study) เป็นการศึกษาสภาพการณ์ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งทั้งในปัจจุบัน
และในอดีต เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากเวลา และนำผลที่ได้มาใช้ในการพิจารณา แนวโน้ม
การเกดิ เหตกุ ารณ์ในอนาคต เช่น สินคา้ เกษตรกรรมของไทยในตลาดโลก
16. แบ่งตามภาระงานของสถาบนั
ทำการวิจัยเก่ียวกบั ตัวสถาบนั เอง
ทำการวิจัยเกยี่ วกับงานท่ีสถาบนั นัน้ ทำ
สถาบันต่างๆ ย่อมถูกตั้งขึ้นและดำรงอยู่เพื่อสนองภารกิจใดภารกิจหนึ่งหรือหลายภารกิจ การที่สถาบัน
นัน้ ๆ จะดำเนนิ ภารกิจของตนให้ประสบผลสำเรจ็ จำเป็นต้องทำการวิจยั ใน 2 ลกั ษณะใหญ่ ๆ คอื
16.1 ทำการวิจัยเกี่ยวกับตัวสถาบันเอง เพื่อให้ได้ข้อมูลและข้อสรุปเกี่ยวกับจุดแข็งและจุดอ่อนของ
ตนเอง แล้วนำข้อมูลนั้นๆ มาใช้ในการปรับปรุงสถาบัน งานวิจัยประเภทนี้ เรียกว่า งานวิจัยสถาบัน
(Institutional Research) ซง่ึ อาจทำโดยบุคลากรของสถาบันหรอื ให้หนว่ ยงานอืน่ ทำการวิจยั ใหก้ ไ็ ด้
16.2 ทำการวิจัยเกี่ยวกับงานที่สถาบันนั้นทำ เพื่อให้ได้ข้อมูลและข้อสรุปที่จะใช้ปรับปรุงงานซึ่งเป็น
ภารกจิ ของสถาบนั
ตัวอย่างเช่น ถ้าสถาบันนั้นไปโรงเรียน งานวิจัยประเภทที่ 2 นี้ อาจเรียกว่า การวิจัยในชั้นเรียน
(Classroom Research) เพอ่ื ปรบั ปรงุ การเรยี นการสอน อันเปน็ ภารกิจของโรงเรียน
ถ้าสถาบันนั้นเป็นมหาวิทยาลัยงานวิจัยประเภทที่ 2 นี้ อาจแบ่งเป็น 2 ประเภทย่อย คือการวิจัยในช้ัน
เรียน เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนและงานวิจัยในศาสนาเป็นศาสตร์เฉพาะทางดังได้กล่าวในหัวข้อที่ 3 นั้น
แลว้
17. แบ่งประเภทการวิจยั ตามเกณฑ์อนื่ ๆ
นักวิจัยบางคน หรือเอกสารตำราบางรายการอาจแบ่งประเภทของการวิจัยตามเกณฑ์อื่น ๆ ที่แตกต่าง
จากที่กล่าวมาทั้งหมด เช่น แบ่งตามเกณฑ์วิชาชีพ อาจแบ่งได้เป็นการวิจัยสาธารณสุข การวิจัยทางพยาบาล
การวิจัยธุรกิจ การวิจัยด้านประชาสัมพันธ์ ฯลฯ หรือการจำแนกประเภทตามเกณฑ์ของสำนักงาน
คณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ซึ่งจำแนกประเภทการวิจัยเป็น 3 กลุ่ม คือ การวิจัยบริสุทธิ์ หรือการวิจัยพื้นฐาน
การวิจัยประยุกต์ และการวิจัยเชิงพัฒนาทางการทดลอง นอกจากนี้อาจแบ่งประเภทตามลักษณะที่ต้องการ
ศึกษา ที่มาของความรู้ ชนดิ ของขอ้ มลู หรอื แบ่งประเภทตามประโยชนใ์ นการนำผลวจิ ยั ไปใช้ ฯลฯ เป็นต้น
20
บทสรุป
การแบ่งประเภทของงานวิจัย มีการจำแนกไว้แตกต่างกันขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้งานวิจั ยเรื่องหนึ่ง ๆ
อาจมีชื่อเรียกประเภทแตกต่างกันแล้วแต่จะนำเกณฑ์ใดมาเป็นหลักจำแนก การเลือกประเภทของงานวิจัย
ขึ้นกับวัตถุประสงค์ของผู้วิจัยว่าต้องการทราบคำตอบเกี่ยวกับอะไร การทราบลักษณะหรือคุณสมบัติเฉพาะ
ของการวจิ ยั แตล่ ะประเภทเป็นส่วนสำคญั ประการหนึง่ ในการทำให้การออกแบบการวิจยั มคี วามชัดเจน ถูกต้อง
มากขึ้นเช่น แบ่งตามเกณฑ์วิชาชีพ อาจแบ่งได้เป็นการวิจัยสาธารณสุข การวิจัยทางพยาบาล การวิจัยธุรกิจ
การวิจัยด้านประชาสมั พันธ์ ฯลฯ แบ่งตามเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติซ่ึงจำแนกประเภท
การวิจัยเป็น 4 กลุ่ม คือ การวิจัยบริสุทธิ์ หรือการวิจัยพื้นฐาน การวิจัยประยุกต์ และการวิจัยเชิงพัฒนา
ทางการทดลอง แบง่ ตามลกั ษณะทีต่ อ้ งการศึกษา ที่มาของความรู้ ชนิดของข้อมูล แบง่ ประเภทตามประโยชน์
ในการนำผลวจิ ัยไปใช้ ฯลฯ เปน็ ต้น
21
บรรณานุกรม
จติ ราภา กุณฑลบุตร. (2550). การวิจยั สำหรบั นักวิจัยร่นุ ใหม่. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์ บริษัทสหธรรมิก
จำกัด. พมิ พค์ รง้ั ท่ี 2.
นวลอนงค์ บุญฤทธพิ งศ์. (2553). ระเบยี บวธิ ีวจิ ัยทางการศึกษา. กรงุ เทพมหานคร: บริษัท จดุ ทอง จำกัด.
พมิ พค์ รัง้ ท่ี 2.
ประยูร อาษานาม. (2534). คู่มอื การวจิ ัยทางการศึกษา. ขอนแก่น: โรงพมิ พ์แกน่ คำออฟเซท็ การพมิ พ์.
พรรณี ลกี จิ วัฒนะ. (2553). วิธวี จิ ยั ทางการศึกษา. กรงุ เทพมหานคร: คณะครศุ าสตร์อุตสาหกรรม สถาบัน
เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ เจ้าคุณทหารลาดกระบงั . พมิ พค์ รั้งที่ 6.
ไพศาล วรคำ. (2555). การวิจัยทางการศึกษา. มหาสารคาม: ตักสลิ าการพิมพ.์ พิมพ์ครั้งท่ี 4.
วาโร เพ็งสวสั ด์ิ. (2551). วิธีวิทยาการวิจยั . กรุงเทพฯ: สุวรี ิยาสาสน์ .
ยทุ ธ ไกยวรรณ.์ (2545). พนื้ ฐานการวิจยั (ฉบับปรับปรงุ ใหม่). กรงุ เทพมหานคร: สุวีรยิ ายสาสน์ .
พมิ พ์คร้ังที่ 4.
ลว้ น สายยศ. (2538). เทคนคิ การวจิ ัยทางการศึกษา. กรงุ เทพมหานคร: สุวรี นิ าสาสน์ . พมิ พ์คร้ังท่ี 4.
สวุ ิมล ติรกานันท์. (2557). ระเบียบวธิ กี ารวิจัยทางสังคมศาสตร์ : แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั .ิ กรงุ เทพมหานคร:
โรงพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั . พมิ พ์ครัง้ ที่ 12.
อษุ าวดี จนั ทรสนธิ และคณะ. (2554). การประเมนิ และวิจัยเพอ่ื พัฒนาการเรยี นการสอน. นนทบุรี:
สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. พิมพ์คร้งั ที่ 4.
22
แบบทดสอบ
1. วจิ ยั เชงิ พรรณนาหรือบรรยายตรงกบั ข้อใด 6. การวิจัยในช้ันเรียนเหมาะกับการศึกษาระดับใด
ก. Descriptive Research ก. ปฐมวัย
ข. Experimental Research ข. ประถมศกึ ษา
ค. Correlation Research ค. มธั ยมศกึ ษา
ง. Qualitative Research ง. ถูกทุกข้อ
2. วจิ ัยเชิงคณุ ภาพตรงกบั ขอ้ ใด 7. Classroom Action Research ตรงกบั ข้อใด
ก. Descriptive Research ก. การวิจัยปฏิบตั ิการในช้ันเรียน
ข. Experimental Research ข. การวิจยั ปฏบิ ัตกิ าร
ค. Correlation Research ค. การวจิ ัยปฏบิ ัติการทง้ั ในและนอกช้ันเรยี น
ง. Qualitative Research ง. การวจิ ัยปฏิบัติการนอกชั้นเรียน
3. วิจยั เชิงทดลองตรงกับขอ้ ใด 8. ประโยชนส์ ูงสุดของงานวจิ ัยทางการศกึ ษา คอื ขอ้ ใด
ก. Descriptive Research ก. ได้ขอ้ มูลสำหรบั การสร้างแบบฝึกหดั
ข. Experimental Research ข. ได้ทฤษฎที างการศึกษาใหม่ๆ
ค. Correlation Research ค. ได้แนวทางการแก้ไขปญั หาทางการศึกษา
ง. Qualitative Research ง. ไดฝ้ ึกการใช้งานสถติ ิ
4. วจิ ยั เชงิ ความสมั พนั ธต์ รงกับข้อใด 9. การวิจัยในชนั้ เรียน หมายถงึ อะไร
ก. Descriptive Research ก. การใชว้ ธิ ไี สยศาสตรเ์ พ่อื ทำใหก้ ารสอนดีขน้ึ
ข. Experimental Research ข. การใช้วิธีวทิ ยาศาสตรค์ ้นควา้ เพอื่ สร้างความรู้
ค. Correlation Research
ง. Qualitative Research ใหม่ทางการศึกษา
ค. การค้นควา้ วธิ ีการเรยี นโดยใช้วธิ วี ทิ ยาศาสตร์
5. การวจิ ยั ทางการศึกษา เป็นการวิจัยประเภทใด
ก. การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ ค้นคว้า
ข. การวิจัยขั้นพนื้ ฐานตามมาตรฐานโรงเรียน ง. การคน้ คว้าวิธีการพัฒนาการสอน
ค. การวจิ ยั อสิ ระเชิงวเิ คราะห์
ง. การวิจยั เชิงประยุกต์ 10. ขอ้ ใดคือจดุ มงุ่ หมายของการวจิ ัยในชั้นเรียน
ก. ประเมนิ ตดั สินผเู้ รยี น
ข. แกป้ ัญหาผู้เรยี น
ค. พฒั นาผเู้ รียน
ง. ถกู ทง้ั ข. และ ค.
23
11. ขอ้ ใดไมใ่ ช่จดุ มงุ่ หมายของการวจิ ยั ในชน้ั เรยี น เรื่องที่ 1 การศึกษาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นและเจคติ
ก. พัฒนาผู้เรียน ของนักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ท่ีเรียนบนเวบ็ เรือ่ ง
ข. แกป้ ัญหาผู้เรยี น นิราศเมอื งแกลง
ค. ประเมินตัดสนิ ผเู้ รยี น เร่อื งท่ี 2 การศึกษาความทางฉลาดทางอารมณ์ของ
ง. หาสาเหตุของพฤติกรรม นักเรียนระดบั ประถมศกึ ษา โรงเรยี นสโุ ขทยั
เรอื่ งที่ 3 ความสมั พนั ธ์ของปัจจยั คดั สรรกบั การ
12. การวิจัยในช้นั เรียนจดั เป็นการวิจัยรูปแบบใด ให้บรกิ ารการศกึ ษานอกระบบโรงเรียนของโรงเรียน
ก. การวิจยั เชิงปฏบิ ัติการ ประถมศึกษา สังกดั กรงุ เทพมหานคร
ข. การวิจยั เชิงปรมิ าณ เรอ่ื งที่ 4 ผลของการใชส้ มดุ ภาพอิเล็กทรอนิกส์ท่ีมตี อ่
ค. การวจิ ยั เพอื่ สร้างทฤษฎี ความพร้อมทางการอ่านของเด็กอนบุ าล
ง. การวจิ ยั เพอ่ื พฒั นาเคร่อื งมอื เร่ืองท่ี 5 ผลของการใช้ภาพพาราโนมาเสมือนใน
การศกึ ษานอกสถานทบี่ นเวบ็ ท่มี ผี ลต่อผลสมั ฤทธิ์
13. “การพัฒนาพฤตกิ รรมการเขียนของนักเรียนชั้น ทางการเรยี นของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 4
ป.3” ขอ้ ใดคือตัวแปรตาม
15. ถา้ แบ่งประเภทของการวิจยั ตามระเบยี บวธิ วี ิจัย
ก. พฤตกิ รรมการอา่ น การวจิ ยั เรอื่ งใดเป็นการวจิ ัยเชงิ ทดลอง
ข. เพศ อายุ
ค. วิธกี ารพัฒนา ก. เร่ืองท่ี 1 2
ง. ระดบั ชนั้ ข. เรอื่ งที่ 2 3
ค. เรอื่ งท่ี 1 4
14. การวจิ ยั ในชนั้ เรียน ตรงกับความหมายข้อใด ง. เรอ่ื งที่ 4 5
ก. เป็นการวจิ ยั การศกึ ษาท่ีอยู่ทงั้ ในและนอกชั้น
16. ถา้ แบง่ ประเภทของการวจิ ัยตามวธิ ีการเกบ็
เรียน รวบรวมข้อมลู การวิจยั เรื่องใดเป็นการวจิ ยั เชิงสำรวจ
ข. เป็นการวิจัยเฉพาะการเรยี นการสอนที่อยูใ่ นชั้น
ก. เรือ่ งที่ 1
เรียน ข. เรอ่ื งที่ 2
ค. เป็นการวิจัยของครทู จ่ี ดั การการสอนทั้งในและ ค. เร่ืองที่ 4
ง. เรอ่ื งท่ี 5
นอกชั้นเรียน
ง. เป็นการวิจัยของสถานศึกษาทีจ่ ดั การเรียนการ 17. ข้อใดเปน็ การวจิ ัยท่ีแบ่งตามสาขาวชิ า
ก. วจิ ัยเชงิ ปรมิ าณ
สอน ข. วจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ
ค. วิจยั เชิงสำรวจ
จากชื่อเรือ่ งวิจยั ดงั ต่อไปนี้ ให้ใช้ตอบคำถามขอ้ 15 ง. วิจัยทางวิทยาศาสตร์
และ 16
24
18. จากการสงั เกตของครผู ้สู อนพบวา่ นักเรียนทม่ี ี 19. ขอ้ ใดเปน็ ลักษณะทสี่ ำคัญของการวจิ ัยเชิงทดลอง
ความสามารถในวิชาภาษาไทยสงู มักจะมี 1. มกี ารจัดกระทำกับตวั แปรอิสระหรือมกี ารให้
ความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์ต่ำ และนกั เรยี นท่ีมี
ความสามารถทางการคำนวณสูงมกั มีคามสามารถาง ทดลอง
วทิ ยาศาสตรส์ ูงดว้ ย ถ้าทา่ นได้รับมอบหมายให้ศึกษา 2. มีการควบคมุ สภาพการณข์ องการทดลอง
หาความจรงิ ในข้อสังเกตน้ี ท่านจะใช้วิธกี ารออกแบบ 3. มีการสังเกตหรอื วัดผลท่ีเกิดจากการทดลอง
การวิจัยแบบใด 4. มีการสรุปผลการศึกษา
ก. การวิจยั เชิงสหสมั พันธ์ ก. 1 และ 2
ข. การศกึ ษารายกรณี ข. 2 และ 3
ค. การวจิ ัยเชงิ สำรวจ ค. 1 และ 3
ง. การวิจัยเชงิ คุณภาพ ง. 2 3 และ 4
20. ขอ้ ใดไมใ่ ช่วัตถปุ ระสงค์ของการศึกษารายกรณี
ก. เพอื่ ศึกษาปรากฎการณ์ท่ีหายาก
ข. เพือ่ ศึกษาข้อมลู กับกลุม่ ตวั อย่างที่หลากหลาย
ค. เพื่อศกึ ษารูปแบบของพฤติกรรมที่เป็นต้นแบบ
ง. เพอ่ื ศึกษาเจาะลึกในประเดน็ ทีม่ ขี องเขตต่าง
ประเภทก
จัดทา
1.นางสาวสริ ิธิดา เกตไุ พบูลย์ ร
2.นางสาวณัฐรกิ า แสนเสนา ร
3.นายพรเพชร นันทะวงค์ รห
4.นางสาวศริ ิวฒั นา ต้อนโสกรี
เสน
ผศ.ดร.ธนานัน
การวจิ ยั
าโดย
รหสั นกั ศกึ ษา 62115267106
รหัสนักศึกษา 62115267115
หัสนกั ศกึ ษา 62115267211
รหสั นกั ศกึ ษา 62115267213
นอ
นต์ กุลไพบตุ ร
ประเภทของการวิจัย
การวจิ ัยนบั วา่ เปน็ รากฐานทีส่ าคัญใน
ความรขู้ องศาสตร์ในลาขาต่าง ๆ ก
ความจริงที่เป็นแก่นสารในศาสตรเ์ ห
ทานายและควบคมุ ปรากฏการณ์ต่าง
(ลกน้ี จามารถจดั แบ่งออกเปน็ ประเ
ต่างๆ เช่น แบ่งตามเพค อายุ ระดบั
เศรษฐกิจ เชื้อชาติ ถิ่นที่อยอู่ าศยั ฯ
มารถแบง่ ออกเปน็ ประเภทต่าง ๆ ได
การวจิ ัยสามารถทาได้หลายลักษณะ
หลกั ในการจัด ประเภทท้ังนด้ี ว้ ย เก
ย
นการแลวงหาและส่งั อมองดี
กอ่ ให้เกดิ องคค์ วามรู้หรอื การคน้ พบ
หล่าน้นั เพอื่ นาไปบรรยาย อธบิ าย
ง ๆ การจดั ประเภทของส่งิ ต่างๆ ใน
เภทต่างๆ ได้หลายแบบตามเกณ
บการศกึ ษา อาชพี จานะทาง
ฯลฯ ในทานองเดยี วกันการวิจัยก็จา
ด้ หลายแบบ การจัดประเภทของ
ะ ขน้ึ อย่กู บั เกณก็จะยดึ ถอื สิง่ ใดเป็น
กณฑต์ า่ งๆ
1.แบ่งตามประโยชนข์ องการวจิ ยั
การทาวิจยั ผูว้ จิ ัยยอ่ มหวังผลในการ นา่ ผลงานวิจ
หรอื เพอ่ื เป็นการเพ่มิ พนู ความรู้ ดงั น้ัน การแบ่ง
ตามประโยชน์ของการ วจิ ัยจึงแบ่งตามเหตผุ ลใน
1.1 การวิจยั พ้นื ฐาน (Basic
Research) เปน็ การวจิ ยั ท่มี ี
จุดมุ่งหมายเพื่อค้นหา ส่งั สมและ
เพม่ิ พูน องคค์ วามรูใ้ นศาสตรส์ าขา
ตา่ งๆ ใหม้ คี วามก้าวหนา้ ยิง่ ๆ ขึน้ ไป
โดยไมใ่ ห้ความสาคญั ตอ่ การนาองค์
ความรเู้ หล่านไ้ี ปใช้แกป้ ัญหา
จยั ไปใช้ประโยชนไ์ ป แก้ปัญหา
งประเภทของ งานวจิ ยั แบ่ง
นการน่าไปใช้ 3 ประการ
1.2 การวจิ ยั ประยกุ ติ (Applied
Research) เป็นวิจยั ทม่ี ีจุดมุ่งหมายเพอื่
หาคาตอบของปัญหาท่เี ผชญิ อยใู่ น
ขณะนั้น หรอื เปน็ การวจิ ยั เพ่อื แก้ปัญหา
ในเร่อื งใดเรื่อง หนงึ่ ทงั้ ท่เี ป็นการ
แก้ปัญหา ระยะสัน้ ท่ีเกิดขน้ึ เฉพาะหน้า
และนาไปใชป้ ระกอบการ วางแผนเพอ่ื
ป้องกันปญั หาที่ จะเกดิ ขน้ึ ในระยะยาว
2.แบ่งตามวตั ถปุ ระสงคข์ อง การวจิ ยั
2.1 การวิจิยขึน้ ฐานหรือการวิจัย 2.2 ก
บริสทุ ธ์ิ (Basic or Pure หมาย
Research) หมายถึง การวิจยิ ที่มี ทา ป
วัตถุประสงค์เพอื่ สนองความ อยากรู้ มีควา
ของมนุษย์ หรอื เม่อื เพ่ิมพูน ความรู้ วจิ ยั
ของมนุษย์ มิไดม้ วี ตั ถุประสงคเ์ พือ่ ใช้ วิทยา
ประโยชน์จากผลการวิจัยน้ันๆ การ
วจิ ยิ ดงั กล่าวนี้จะทาให้ไดค้ วามร้หู รอื 2.3 ก
ขอ้ เทจ็ จรงิ ท่เี ป็นทฤษฎีพ้ืนฐานของ หมาย
ศาสตร์ตา่ งๆ หรือได้ความรู้เพอ่ื ขยาย ปรับป
ขอบเขตของศาสตรต์ า่ งๆ ให้ หรอื ข
กว้างขวาง ออกไปไม่มที ี่สนิ้ สดุ นาผล
ตัวอย
การวิจัยเชงิ ประยกุ ติ (Applied Research)
ยถึง การวจิ ัยทีม่ ี วัตถุประองตเิ พ่อื นาผลที่ได้ ไป
ประโยชนใ์ ช้แกม่ นุษย์ เพอื่ ทาาใหช้ ีวิต ของมนุษย์
ามสุข และสะดวกสบาย ย่งิ ข้ึน ตวั อย่างของการ
ประเภทนี้ ไดแ้ ก่ การวจิ ยั ในสาขาวชิ า
าศาสตร์ ประยกุ ต์
การวิจยั เชิงปฏิบตั ิ (Action Research)
ยถึง การวจิ ัยทม่ี ี วัตถปุ ระสงคเ์ พ่ือนาผลที่ได้ไป
ปรุง งานเฉพาะหนา้ หรืองานในหน้าที่ของ ตน
ของทงั้ หน่วยงานใดหนว่ ยงาน หน่งึ ไม่มงุ่ ท่จี ะ
ลการวิจยิ ไป ประยกุ ต์ใชใ้ นกรณีทัว่ ๆ ไป
ยา่ งของ งานวจิ ัยเชิงปฏบิ ัติ
3.แบง่ ตามการวจิ ยั ทางการศกึ ษา จาแนกตาม
3.1 การวจิ ยั เบ้ืองต้น (Basic
Research) เป็นการวิจัยเพ่ือ สร้าง
หรือพัฒนาทฤษฎีทาง การศกึ ษา
รวมท้ังการปรบั ปรงุ ทฤษฎีท่มี ีอย่แู ล้ว
3.2 การวิจยั ประยุกต์ (Applied
Research) เปน็ การวจิ ัยเพ่ือประยุกต์
ทดสอบหรอื ประเมนิ ความ เป็นไปได้หรอื
ประสทิ ธิผลของทฤษฎี ในการนาไป
แกป้ ญั หาทางการศกึ ษา
มวตั ถปุ ระสงค์
3.3 การวจิ ยั และพัฒนา (Research
and Development) เป็นการพัฒนาหรือ
สรา้ งแนวทางหรือ ช่องทางในการ
ปฏิบตั ิงานในสถานศกึ ษา
3.4 การวจิ ัยปฏิบตั ิการหรอื การ
วจิ ัยเพ่อื แก้ปญั หา (Action
Research) เป็นการวจิ ัยเพอ่ื
แกป้ ัญหา ในห้องเรยี นโดยใช้
วิธีการทางวิทยาศาสตร์
4.แบง่ ตามจดุ มงุ่ หมายของการวจิ ยั 4.3
4.1 การวจิ ัยเพ่อื สารวจหรอื ค้นควา้ res
(exploratory research)เป็นการวจิ ยั ทเ่ี ก
เพ่อื ท่ีจะหาดาตอบวา่ สง่ิ ท่ีศกึ ษาน้ันประกอบด้วย โดย
อะไรบา้ งเพื่อชว่ ยใหผ้ ้วู จิ ยั มีความรเู้ รอ่ื งนั้นๆ ท่ที
มากขึ้นงานวิจยิ ลกั ษณะนม้ี ักไมม่ กี าร แกป้
ตงั้ สมมตฐิ าน
4.2 การวจิ ยั เพือ่ พยากรณ์ (predictive
research) เปน็ การศึกษาความเป็นเหตเุ ป็นผล
กนั ของ สภาพการณ์ ความเปน็ จรงิ อาจจะเป็น
การศกึ ษายอ้ นหลงั หรอื ปจั จุบัน เพ่ือนาผลทไี่ ด้ไป
ทานายสิ่งทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ตอ่ ไปในอนาคต เชน่
การศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนของนักศกึ ษาชั้นมธั ยมกบั ผลสมั ฤทธท์ิ างการ
เรยี น ของนักศึกษาในระดบั อดุ มศกึ ษา
3 การวจิ ัยเพอ่ื วนิ ิจฉัย (diagnostic
search) เป็นการ วิจยั ท่ีม่งุ ศึกษาปญั หาตา่ ง ๆ
กิดขน้ึ ใน สถานการณ์ใด สถานการณห์ นง่ึ
ยเฉพาะ เพอื่ ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจปญั หา และสาเหตุ
ทาใหเ้ กดิ ปญั หาอนั จะเป็น ประโยชนใ์ นการ
ปัญหาในสถานการณน์ น้ั ๆ โดยเฉพาะ
4.4 การวิจัยเพอื่ การอธบิ าย (explanatory
research) เป็นการ วจิ ยั ทมี่ ุง่ หาคาตอบเพ่อื
อธบิ าย คาถามหรอื สถานการณ์ใด สถานการณ์
หนึ่ง ในการศกึ ษาจะ ศึกษาสง่ิ ทีม่ ีความหมาย
เกยี่ วขอ้ ง ท้งั หมดเพื่อบอกถึง ความสัมพนั ธท์ ี่
เกิดข้นึ วา่ เปน็ ไปในลักษณะใดและมี สว่ นเก่ียวขอ้ ง
มากนอ้ ยเพยี งใด
5.แบง่ ตามระเบยี บวธิ วี จิ ยั ทวั่ ไป
(General Methodology)
5.1 การวจิ ยั เชิงทดลอง (Experimental Research) เปน็
การวิจัยทผี่ ู้วจิ ยั ได้สรา้ งเงือ่ นไขบางอยา่ ง ข้นึ เพ่ือนาไปใชก้ บั ส่ิง
ใดส่ิงหน่งึ (ซง่ึ อาจจะเปน็ คน สัตว์ หรอื สิ่งของ) แล้วพิจารณา
ผลทเี่ กดิ ข้นึ กับส่งิ นัน้ เงื่อนไช ทีส่ รา้ งขึน้ นน้ั เรียกวา่ สิง่ ทดลอง
(Treatment) หรือตัวแปรตน้ ของการศกึ ษา ส่วนผลที่เกดิ ข้นึ
ก็คอื ตัวแปร ตามหรอื ตัวแปรผลนน่ั เอง ส่วนสิ่งทีไ่ ดร้ บั เงอ่ื นไขที่
สรา้ งขึ้นนัน้ เรียกว่า หนว่ ยทดลอง (Experimental unit)
5.2 การวิจัยเชงิ สบื ย้อน (Ex Post Facto Research) เป็น
การวิจยั ทผ่ี ูว้ ิจัยไมส่ ามารถจดั กระทาหรอื ควบคมุ ตัวแปรใดๆ ได้
เน่ืองจากตวั แปรเหล่าน้ีท่ีเกิดขน้ึ หรอื ตดิ ตวั มาตามธรรมชาติ ผ้วู จิ ยั
จงึ เพยี รพยายามศึกษา ความสมั พนั ธแ์ ละผลท่เี กิดขน้ึ ระหว่างตวั แปร
เทา่ นน้ั
5.3 การวจิ ยั เชงิ สารวจ (Survey Research) เปน็ การวิจัยที่
มุง่ หาคาตอบเกยี่ วกบั ปรากฎการณ์หรอื ตวั แปรตา่ งๆว่ามลี กั ษณะ
อย่างไร เชน่ การเกดิ ขน้ึ การกระจายหรอื การแจกแจง หรอื
ความสัมพนั ธข์ องตวั แปร ทางการศึกษา ทางจติ วทิ ยาและทาง
สังคม เป็นตน้
5.4 การวจิ ัยเชิงประวตั ศิ าสตร์ (Historical Research) ใน
บริบททางการศึกษา การวจิ ยั เชิง ประวตั ิศาสตร์ เปน็ การศกึ ษา
เกี่ยวกับเหตุการณห์ รอื ปญั หาในอดีตท่ตี ้องเกบ็ รวบรวมสารสนเทศ
จากสงิ่ ท่ี เกิดข้ึนมาแลว้ ในอดตี
5.5 การวจิ ยั เชงิ ชาติพนั ธว์ุ รรณนา (Ethnographic Research)
การวจิ ยั ประเภทน้เี ปน็ การวิจยั ท่ี เกย่ี วขอ้ งกบั ศาสตรท์ างสาขา
มานษุ ยวทิ ยา คาวา่ ชาตติ ิพนั ธว์ รรณนาน้ัน เปน็ การพรรณนาเชงิ
วเิ คราะห์อย่างลุ่มลกึ เกย่ี วกบั ปรากฏการณห์ นง่ึ ทางวัฒนธรรม
5.6 การวจิ ัยเชิงอนาคต ( Future Research)เปน็ การวิจยั ท่มี งุ่
ศกึ ษาหาคาตอบเก่ยี วกบั ปรากฏการณ์ทีค่ าดวา่ จะเกิดขน้ึ ในอนาคต
โดยอาศยั ขอ้ มลู เกย่ี วกบั ปรากฏการณท์ ี่มีมาในอดีตและท่เี ป็นอยู่ใน
ปัจจุบัน เชน่ รปู แบบการบริหารจัดการศกึ ษาจากสถานศึกษาขนั้
พืน้ ฐานไปอกี 10 ปขี า้ งหน้า เปน็ ตน้
5.7 การวจิ ยั เชิงบรรยาย การวจิ ยั เชิงบรรยาย เปน็ การวจิ ยั ที่มงุ่
บรรยายหรือลงขอ้ สรุปเกยี่ วกบั เหตุการณห์ รือปรากฎการณ์ต่าง ๆ
โดยศกึ ษาจากสภาพท่ีเป็นอยตู่ ามธรรมชาติ ตวั แปรท่ีศึกษาเป็นตวั
แปรที่ เกิดขนึ้ ตามธรรมชาติ
6. ประเภทของการวจิ ยั ทางการศกึ ษา จาแนกต
6.1 การวจิ ัยเชงิ ประวตั ศิ าสตร์ (Historical Research)
เป็นการวิจัยเก่ียวกบั การศึกษาคน้ คว้า การทาความเขา้ ใจและ
การอธบิ ายเหตุการณ์ในอดตี มวี ัตถุประสงคเ์ พือ่ หาขอ้ สรุปที่
เป็นเหตุ เปน็ ผล หรือ แนวโน้มของเหตกุ ารณใ์ น อดตี
6.2 การวจิ ัยเชงิ บรรยาย (Descriptive Research)
เปน็ การวจิ ยั เพื่อทดสอบสมมติฐาน หรอื ตน้ หา คาตอบ
เกย่ี วกบั สถานภาพในปจั จบุ ันของกลุม่ ตวั อยา่ งของการ
วจิ ยั ขอ้ มูลท่ี เกบ็ รวบรวมไดจ้ ะไดจ้ ากการ ออกแบบ
สารวจความคดิ เห็น การสมั ภาษณ์ หรือการสังเกต
6.3 การวิจยั เชงิ สหสัมพนั ธ์ (Correlational
Research) เป็นการวจิ ัย เพอ่ื ตดั สนิ หรอื ประเมิน
ระดับ ของความสมั พนั ธ์ ระหว่างตัวแปรเชิง ประมาณ
2 ตัวหรือ มากกวา่
ตามวธิ กี ารวจิ ยั
6.4 การวิจยั เชงิ เปรยี นเทยี นเหตุผล (Casual
Comparative or " Expost facto" Research)
เปน็ การศึกษาวิจัยเพือ่ สบื เสาะหาความสัมพนั ธข์ องความเป็น
แหตุ เป็นผล
6.5 การวจิ ัยเชิงทดลอง (Experimental Research)
เป็นการวิจยั หาความสัมพนั ธ์ ของเหตแุ ละผล ระหวา่ งตวั
แปรตน้ (Independent variable) ซง่ึ เป็นตัวเหตแุ ละ
ตวั แปรตาม (dependent variable)
7. แบ่งตามเทคนคิ และเนอื้ หาเฉพาะ
7.1 การวิจยั เชิงปฏบิ ัตกิ าร ( Action Research) เปน็ การ
วิจยั ทม่ี ุ่งแกป้ ญั หาในการปฏิบตั งิ าน ประจาภายใน หนว่ ยงานหรือ
องคก์ ร การวิจยั เชิงปฏิบตั กิ ารในบางครัง้ นามาใช้รว่ มกับการ
วจิ ยั แบบมสี ่วนรว่ ม (Participatory Research) ยง่ิ เปน็ การ
วิจยั ทม่ี ่งุ อาศัยบุคคลจากหลายฝา้ ย โดยเฉพาะ อย่างยง่ิ บุคคลที่
เป็นกลุ่มผมู้ สี ่วนได้สว่ นเสีย
7.2 การวจิ ัยและพฒั นา ( Research and
Development : RED) เปน็ การนาเอาวิธกี ารวิจัย มา ใช้ใน
การสรา้ งและตรวจสอบคุณภาพของ ผลิตภัณฑ์ ( Product)
ทบ่ี ุคดลหรอื หนว่ ยงานนน้ั จดั ให้มีข้นึ
7.3 การวจิ ยั ในชัน้ เรียน (Classroom Research)
เป็นการวิจัยที่มงุ่ ดนั หาความจรงิ เกย่ี วกบั ปญั หา การ
เรยี นการสอนในชั้น เรยี นหน่ึง ๆ โดยมีวตั ถุประสงค์
เพื่อนา ความรคู้ วามจรงิ ทไ่ี ดร้ ับมาใชใ้ นการ แกป้ ัญหา
การเรียนรู้ของนกั เรียนในเรอื่ งใด เร่อื งหน่งึ หรือใช้
แก้ปัญหาและพัฒนาการสอนของครู
7.4 การวิจัยเชิงประเมิน (Evaluation Research)
หมายถงึ การวจิ ัยทม่ี งุ่ คน้ ควา้ ความจรงิ เก่ยี วกบั โครงการใน
แง่มมุ ต่าง ๆ เพ่ือนาไปตดั สินคณุ คา่ ของโครงการ โดยอาศัย
เกณฑใ์ ดเกณฑ์หนง่ึ ในการตัดสิน หรอื บางที ก็เรียกว่า "การ
ประเมินโดรงการ" (Program Evaluation)
8.จาแนกตามลกั ษณะการเกบ็ ขอ้ มลู 8
ท
8.1 การวจิ ยั เอกสาร (documentary research) ต
เป็นการทาวิจยั ที่เก็บขอ้ มลู โดยอาศยั หลกั ฐานจากหนงั สอื พ
เป็นหลกั
8
8.2 การวิจัยโดยการเฝา้ สังเกต (observatory ม
research) เปน็ การทาวจิ ยั ทีเ่ กบ็ ขอ้ มลู โดยการสงั เกต ข
ต
8.3 การวิจยั โดยการสามะโน (census ม
research) เปน็ การทาวจิ ัยทนี่ ักวจิ ยั เก็บขอ้ มลู
จากประชากร ทั้งหมด 8.7
วิจ
8.4การศกึ ษาแบบสารวจตอ่ เน่ืองตามระยะเวลา (panel ผล
study) เปน็ การวิจยั เพ่ือศึกษ เปลย่ี นแปลงตามเวลาท่ี เพ่อื
เปลี่ยนไป โดยการเก็บขอ้ มลู จะเกบ็ กับกลมุ่ ตวั อย่างเดมิ แต่
เก็บเป็นระยะๆ ไป เชน่ การศกึ ษาพฒั นาการเดก็
8.5 การศกึ ษาเฉพาะราย (case studies) เป็นการวิจัยท่ี
ทาการศกึ ษาอยา่ งลกึ ซึ้งเฉพาะกลุ่มใด กล่มุ หนง่ึ ระยะเวลาหนงึ่ หรอื
ตลอดชีวิต โดยผวู้ ิจัยจะต้องรวบรวมขอ้ มลู ท่ีเก่ียวขอ้ งทง้ั หมดมา
พจิ ารณาให้ ครบถ้วน เพือ่ ศกึ ษาหาสาเหตุทแ่ี ทจ้ ริงของส่งิ ท่ศี ึกษา
8.6 การวจิ ัยแบบสารวจ (survey research) เป็นการวจิ ัยท่ี
มีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ของ สภาพการณ์ทีเ่ ปน็ จรงิ จากแหล่ง
ของขอ้ มูลโดยตรง การรวบรวมขอ้ มลู น้ันจะรวบรวมจากกลมุ่
ตัวอยา่ งไมใ่ ชจ่ าก ประชากรท้ังหมด เพอื่ นาผลท่ีได้จากการวจิ ัย
มาบรรยาย อธิบาย หรือทานายสงิ่ ทศี่ กึ ษา
7 การวจิ ยั แบบทดลอง (experimental research) เปน็ การ
จยั ที่ มีการจัดสภาพการณ์ หรอื สถานการณแ์ กต่ ัวแปรอสิ ระ เพอื่ ดู
ลทีเ่ กดิ กับตวั แปรตาม และควบคมุ สภาพการณท์ เ่ี กิดขน้ึ ให้คงที่
อให้ผลการสรปุ จาแนกตามลกั ษณะวชิ าหรอื ศาสตร์
9. แบ่งตามลกั ษณะวชิ า
9.1 การวจิ ัยทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific research) การ
วจิ ยั ทางวทิ ยาศาสตร์ เป็นการวิจัย เก่ยี วกันปรากฎการณท์ าง
ธรรมชาติของสิง่ มชี วี ติ และ สง่ิ ไมม่ ชี ีวติ มกี ารควบคมุ ตวั แปร
แทรกชอ้ นไดด้ ี มกี ารวดั ดา่ ตวั แปร ทส่ี ามารถตรวจสอบหรือ
ทาซ้าได้ ผลการวจิ ัยมคี วามถูกตอ้ งและมี ความเชอ่ื ถือได้สูงมาก
9.2 การวิจัยทางสังคมศาสตร์ (social science
research) การวิจยั ทางสงั คมศาสตร์เปน็ การวจิ ัยที่
เก่ียวกับพฤติกรรมของมนุษยต์ ลอดจนสภาพแวดล้อม
สงั คม และวฒั นธรรม
9.3 การวิจัยทางมนษุ ยศ์ าสตร์และพฤตกิ รรมศาสตร์ไดแ้ ก่
การวิจยั เกย่ี วกบั คณุ คา่ ของมนษุ ย์ ภาษาศาสตร์ ศลิ ปกรรม
ตาสตรี ศลิ ปศาสตร์ โบราณคดี ปรัชญาและตาสนา ฤตกิ รรม
ศาสตร์
10. แบง่ ตามจานวนสาขาวชิ า การวจิ ยั เปน็ ตาม
จานวนลาขาวชิ า ไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คือ
10.1 การวิจัยเฉงพาะสาขาวิชา (Monodisplinary 10
research) การวิจยั เจพาะ อาขาวิชาเปน็ การวิจยั เท่ียวขอ้ ง การ
กบั สาขาวิชาเพยี ง สาขาเดียว เช่น การวิจัยทาง คณิตศาสตร์ ตา่ ง
การ วจิ ัยทางคอมพวิ เตอร์ และการวิจัยทางการศกึ ษา จาก
11. การแบง่ ประเภทการวจิ ยั ตามผลลพั ธท์ ต่ี อ้ ง
11.1 การวจิ ัยเชงิ วซิ าการ เป็นการวิจยั ที่ ม่งุ เน้นการอรา้ ง
ความเขม้ แขง็ ทาง วชิ าการ ผลลัพธส์ าคัญของการทางาน
วจิ ยั ประเภทน้ี คอื มผี ลงานวิจยั ท่ี สามารถนาไปตพี มิ พแ์ ละ
เผยแพรใ่ น วงการวิชาการ
11.2 การวิจยั และพฒั นา เป็นการวิจัยทม่ี ่งุ เนน้ การ นา
ผลการวจิ ัยไปใช้ประโยชน์ได้จรงิ ในการวิจยั ประเภทนีผ้ ู้ใช้
ผลงานวิจยั ตอ้ ง มสี ่วนในการรว่ มตงั้ โจทย์ หรอื รเิ ร่ิมโจทย์
วิจัย