มเกณฑ์
0.2 การวิจัยสหวทิ ยาการ (Interdispinary research)
รวิจัยสวทิ ยาการ เป็นการวจิ ยั ท่ี เก่ียวขอ้ งกบั อาขาวชิ าท่ี
งกนั มาบูรณาการเปน็ อาขาวชิ าใหมท่ ม่ี ี ลกั ษณะแตกต่างไป
กเดิม
งการ
11.3 การวจิ ัยเพื่อท้องถนิ่ เป็นการวจิ ยั ท่มี งุ่ เนน้ การเรยี นรู้
ของชาวบ้านในลกั ษณะทเ่ี ป็นการเรยี นรู้เปน็ กลุ่ม โดยการ
เรยี นรจู้ าก การแก้ปญั หาของท้องถ่นิ หรือการพฒั นา
ท้องถิน่
12. แบง่ วธิ กี ารวจิ ยั ออกเปน็ รปู แบบ 13
12.1 การวิจยั รูปแบบ input ความหมาย คล้ายการวิจยั
พืน้ ฐาน คอื มองในรูป การศึกษาคน้ ควา้ หา ตัวตน เช่น
หลักเกณฑ์ กฎ คุณธรรม คุณลักษณะ ตวั input อาจจะไม่
เป็นอยู่ขน้ั นต้ี ลอดกาล มโี อกาสเป็น คนั อ่นื ๆ กไ็ ด้
12.2 การวจิ ยั รปู แบบ process มองในรปู กระบวนการ
หรอื วิธกี าร เปรยี บเสมือน กระบวนการผลติ สนิ ค้าที่เพ่ิงผ่าน
จาก วัตถุดิบ (Input) เพอื่ แปรสภาพใหเ้ ปน็ อกี สงิ่ หน่ึง
ปญั หาทจี่ ัดวา่ เป็นการวจิ ัยในรูปแบบน้ี ได้แก่ พฤติกรรมของ
ครขู ณะทาการสอน ทกั ษะในการสอนของครู
12.3 การวิจัยรปู แบบ output เปน็ การวิจยั ปญั หาซงิ่ อยู่
ใน รปู แบบทีน่ าไปใชป้ ระเมนิ เสมอื นสนิ คา้ สาเร็จรปู ที่ออก
จาก กระบวนการขอ้ ท่แี ลว้ มองอีกอยา่ งหน่ึงเหมือนกบั การ
ประเมินผลในโครงการใดโครงการ หน่งึ นั่นเอง output มี
โอกาสจะเป็น input ได้แลว้ แต่ลักษณะของการศึกษา
3. แบง่ ประเภทการวจิ ยั ตามศาสตรท์ ศ่ี กึ ษา
13.1 การวิจยั เฉพาะศาสตร์ เปน็ การวิจยั ทีเ่ นน้ เฉพาะ ศาสตร์
ใดศาสตรห์ นง่ึ เช่น วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ พฤติกรรม
ศาสตร์ ฯลฯ
13.2 การวิจยั บรู ณาการศาสตรต์ า่ ง ๆ เป็นการ วิจยิ ทต่ี อ้ ง
พิจารณาความรูจ้ ากหลายศาสตร์ หลายสาขาวชิ ามาบรู ณาการ
ร่วมกัน ในการ ทางานวิจัยแต่ละเรอ่ื ง เช่นการทางานวจิ ยั ด้าน
ชุมขน การเมอื งรฐั ศาสตร์ เศรษฐศาสตร์การศึกษา
14. การแบง่ ประเภทการวจิ ยั ตามระดบั การค
การแบง่ ประเภทตามเกณฑ์น้ี อาจไดช้ ื่อชนดิ
จดั เรียงลาดับ ต้ังแต่การควบคุมได้สูงสุด ถ
14.1 การวจิ ยั เชงิ ทดลอง (exp
14.2 การวิจัยเพอ่ื แก้ปญั หาเฉพ
14.3 การวิจัยเชงิ สารวจ (Sur
14.4 การวิจัยเชิงสนาม (field
14.5 การวิจัยเอกสาร (docum
14.6 การศกึ ษาเฉพาะกรณี (ca
ควบคมุ ได้
ดของการวิจัยที่เคยกล่าวขา้ งตน้ แตน่ ามา
ถึงการควบคุมไดต้ า่ สดุ ดงั น้ี
perimental research)
พาะหนา้ (action research)
rvey research)
d research)
mentary research)
ase study)
15. แบ่งตามระยะเวลาของการศกึ ษา 15
อย
15.1. การวิจัยเชิงประวัตศิ าสตร์ (historical research) ต
เปน็ การวจิ ัยท่ีมุ่งบรรยายเก่ียวกบั เหตุการณ์ที่เกดิ ขึน้ ในอดตี แห
เช่น วิถชี ีวติ คนไทยในยุคบ้านเชยี ง
15
15.2 การวิจยั ภาคตดั ขวาง (cross-sectional สภ
study) เป็นการวจิ ัยเกยี่ วกับเหตกุ ารณท์ ีเ่ กดิ ข้นึ ใน เป
ปัจจบุ ันกบั กลมุ่ เปา้ หมายจานวนมาก เช่น ผลกระทบของ แน
การขึ้นราคานา้ มันกบั คาครองชพี ของคนไทย ไท
15.3 การวจิ ัยระยะยาว (longitudinal study) เป็นการ
วจิ ัยเหตกุ ารณเ์ ดยี วตดิ ตอ่ กนั เป็นระยะ เวลานาน เช่น
พัฒนาการอตุ สาหกรรมขนาดยอ่ มในประเทศไทย
5.4 การศกึ ษาแบบต่อเนอ่ื ง (panel study) เปน็ การวิจยั
ยา่ งตอ่ เนอื่ งมีการสรปุ ผลแต่ละช่วง กอ่ นทาการศึกษาในช่วง
ตอ่ ไป เช่นการพัฒนาชนบทตามแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคม
หง่ ชาติ
5.5 การศึกษาแนวโนม้ (trend study) เปน็ การศกึ ษา
ภาพการณ์ของสิ่งใดสิ่งหนง่ึ ทัง้ ในปจั จบุ ัน และในอดีต เพื่อศึกษาการ
ปล่ยี นแปลงอันเนื่องมาจากเวลา และนาผลที่ได้มาใชใ้ นการพจิ ารณา
นวโนม้ การเกดิ เหตกุ ารณใ์ นอนาคต เชน่ สนิ คา้ เกษตรกรรมของ
ทยในตลาดโลก
16. แบง่ ตามภาระงานของสถาบนั 1
ข
16.1 ทาการวิจยั เกย่ี วกบั ตวั สถาบันเอง เพื่อใหไ้ ดข้ อ้ มลู และ
ขอ้ สรุปเกยี่ วกบั จดุ แข็งและจุดออ่ นของ ตนเอง แล้วนา
ขอ้ มลู นั้น ๆ มาใช้ในการปรบั ปรงุ สถาบัน งานวจิ ยั ประเภทนี้
เรียกว่า งานวจิ ัย สถาบนั (Instilutional Research)
17. แบง่ ประเภทการวจิ ยั ตามเกณฑ
นกั วจิ ยั บางคน หรือเอกสารตาราบางราย
การวิจยั ตามเกณฑอ์ ืน่ ๆ ท่แี ตกต่าง จากท
แบ่งตามเกณฑ์วชิ าชีพ อาจแบง่ ได้ เปน็ กา
วจิ ัยทางพยาบาล การวิจัย ธรุ กิจ การวจิ
16.2 ทาการวิจัยเกย่ี วกบั งานที่ สถาบนั นั้นทา เพอ่ื ใหไ้ ด้ข้อมูล และ
ข้อสรปุ ทจ่ี ะใชป้ รับปรุงงาน ซง่ึ เปน็ ภารกจิ ของสถาบนั
ฑอ์ ่ืน ๆ
ยการอาจแบง่ ประเภทของ
ที่ กล่าวมาทงั้ หมด เชน่
ารวิจัยสาธารณสุข การ
จยั ด้านประชาสัมพันธ์ ฯลฯ
วารสารวิจยั
การพัฒนาผลติ ภณั ฑ์น้ําพรกิ กบของชุมชนบ้านตรอกปลาไหล ตาํ บลยา่ นรี
อาํ เภอ กบนิ ทรบ์ รุ ี จงั หวัด ปราจนี บรุ ี
Development of frog chilli paste for Trok Pla-Lai Community,
Yan-Ri District, PrachinBuri Province
ร่งุ ทพิ ย์ วงศ์ต่อม วภิ าวัน จลุ ยา และ ดวงฤทัย ธาํ รงโชติ
สาขาวิชาการพัฒนาผลติ ภัณฑอ์ าหาร คณะเทคโนโลยคี หกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลกรุงเทพ
2 นางลิ้นจ่ี ทุ่งมหาเมฆ สาทร กรุงเทพมหานคร 10120
โทร. 02-2879600 E-mail: [email protected]
บทคัดย่อ
การศึกษาคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนาผลิตภัณฑ์นํ้าพริกกบของชุมชน บ้านตรอกปลาไหล ตําบล
ย่านรีอําเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี โดยการแยกชิ้นส่วน ซึ่งในกบ 1 ตัวทําการแยกออกเป็นชิ้นส่วนได้ 5
ส่วน คือ ส่วนน่อง ขาหน้าติดอก พื้นท้อง กระดูกสันหลัง และหัว ยกเว้น เคร่ืองใน และหนัง แล้วนําไปทําการ
ทอดที่อุณหภูมิ 180+5 องศาเซลเซียส จนกระทั่งเหลือความชื้น 35+5% ต่อด้วยการอบแห้งในตู้อบลมร้อนที่
อุณหภูมิ 80+5 องศาเซลเซียส จนกระทั่งเหลือความชื้น 15+3% ส่วนน่อง 1,375+0.28 กรัม มากสุด และส่วน
พื้นท้องต่ําสุด 256+0.40 กรัม เม่ือนําช้ินส่วนกบแห้งร้อยละ 25 ไปทําเป็นผลิตภัณฑ์นํ้าพริก พบว่า นํ้าพริกกบ
จากส่วนน่อง ได้รับคะแนนการยอมรับทางประสาทสัมผัสมากท่ีสุด โดยมีคะแนนความชอบโดยรวมเท่ากับ
8.54+1.22 ส่วนนํ้าพริกกบจากส่วนกระดูกสันหลังได้รับคะแนนการยอมรับทางประสาทสัมผัสต่ําท่ีสุด โดยมี
คะแนนความชอบโดยรวมเท่ากับ 5.15+1.36 และเมื่อนําไปถ่ายทอดให้กับกลุ่มชุมชนเป้าหมาย พบว่า ผู้เข้าร่วม
โครงการมีความพึงพอใจต่อสตู รนํ้าพริกกบเทคนิคการถ่ายทอดความร้จู ากทีมวิทยากร และการนําความรู้ไปใช้ใน
ระดับคะแนนพอใจมาก
คาํ สาํ คญั : นํา้ พริก กบ นา้ํ พรกิ กบ ชุมชนบ้านตรอกปลาไหล
ABSTRACT
The objective of this research was to develop frog chilli paste for Trok Pla-Lai
community, Yan-Ri District, PrachinBuri Province by comparative chilli paste from different frog
parts. The frog was separated into 5 parts: calf, forelimb with chest, abdomen, axial skeleton
and head. The technique for preparing frog in chilli paste was fried in hot deep oil (180+5oC)
and baked in hot air oven (80+5oC) until it had moisture content 35+5% and 15+3%, respectively.
Vol.10 No.2 July - December 2016 77
วารสารวจิ ยั
The result found that the frog 25 kg. ,when it was fried and baked, remain to 1,375+0.28 g frog
for cooking chilli paste in the part of calf ,which was the maximum weight when compare with
others, and the less was the part of abdomen (256+0.40 g.). The highest score from sensory
test was the recipe from frog calf (8.54+1.22) while frog chilli paste from frog spine had been
accepted the lowest score (5.15+1.36). For knowledge transfer, it was found that the participate
were satisfied with the high level.
Keywords: Chili paste, Frog, Frog chilli paste, TROK PLA-LAI community
1. บทนํา หอม กระเทียม เป็นต้น (3) พริกขี้หนูมีสรรพคุณ ท่ีมี
ประโยชน์ ต่อร่างกายของคนเรา เช่น ช่วยลดระดับ
การพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ําพริกกบในคร้ังน้ี ไตรกลีเซอไรด์และไขมันไม่ดี (LDL) ในสัตว์ทดลองได้
เป็นการแปรรูปกบเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ท่ีน่ารับประทาน เน่ืองจากสาร Capsaicin จะช่วยป้องกันไม่ให้ตับ
เข้าถึงผู้บรโิ ภคท่วั ไป สง่ เสรมิ พัฒนาธุรกิจการเลี้ยงกบ สร้างไขมันไม่ดี (LDL) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มี
ในกระชังของชุมชนให้มีโอกาสในการแข่งขันทาง การสร้างไขมันดี (HDL) ทําให้ปริมาณของไตรกลีเซอ
ธุรกิจขนาดย่อม นอกเหนือจากการบริโภคสด และ ไรด์ในกระแสเลือดต่ําลง (4) ในนํ้าพริก ยังมีส่วนผสม
สําหรับผู้บริโภคท่ีต้องการความแปลกใหม่ โดยการ จากสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณทางยา เช่น ข่า ตะไคร้
พัฒนากรรมวิธีการทําน้ําพริกกบที่ง่ายและรสชาติ หอมแดง กระเทยี ม จึงทําให้น้ําพริกเป็นเคร่ืองจ้ิม ท่ีมี
ถูกใจผู้บริโภคท่ัวไป พร้อมกับถ่ายทอดเทคโนโลยี ประโยชน์ และยังช่วยดับคาวในอาหารประเภทปลา
ให้กับชุนชน บ้านตรอกปลาไหล ตําบลย่านรี อําเภอ ลวก หรือปลานึ่ง (5) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ
กบินทร์บุรี จังหวัด ปราจีนบุรี เน่ืองจากชุมชนน้ีมี น้ําพริกกบมีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนากรรมวิธีการทํา
อาชีพเสริมเลี้ยงกบในกระชัง และมีกบขายปริมาณ นํ้าพริกกบ เพิ่มมูลค่าและเป็นการอนุรักษ์อาหาร
มากในฤดูฝน และมีความต้องการที่จะนํากบมา พ้ืนบ้าน โดยการพัฒนาสูตรน้ําพริกกบท่ีง่ายและ
แปรรูปเป็นน้ําพริก ซ่ึงปัจจุบันราคาขายกบ เดือน รสชาติดี พร้อมกับถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับชุมชน
มิถุนายน 2559 เฉลี่ยอยู่ในช่วง 95-100 บาทต่อ บ้านตรอกปลาไหล ตําบลย่านรี อําเภอกบินทร์บุรี
กโิ ลกรัม (1) องคป์ ระกอบทางเคมีของขากบดิบ (100 จังหวัดปราจีนบุรี เป็นการส่งเสริมการเล้ียงกบและ
กรัม) ประกอบด้วย โปรตีน 16.40 กรัม กรดไขมัน การแปรรปู จากกบ
อ่ิมตัว 0.076 กรัม แคลเซียม 18 มิลลิกรัมคอเลสเตอ
รอล 50 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 285 มิลลิกรัม เหล็ก 2. วธิ ดี าํ เนนิ การวิจัย
1.50 มิลลิกรมั วติ ามินเอ 50 IU (2)
1. การศกึ ษาความเหมาะสมของส่วนต่างๆ
“น้ําพริก” เป็นอาหารไทยประเภทเคร่ือง ของกบ ดว้ ยเทคนิคการทําแห้งโดยใช้การทอดร่วมกับ
จิ้มคนไทยนิยมรับประทาน คู่กับผกั ทั้งผักสด หรือผัก การอบแห้งด้วยลมร้อน โดยการนํากบท่ีผ่านการฆ่า
ลวก มีส่วนประกอบหลักที่สําคัญ คือ พริก เกลือ
78 ปีท่ี 10 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2559
วารสารวจิ ยั
ทําการลอกหนังควักเครื่องในท้ิง ล้างนํ้าให้สะอาด ประสาทสัมผัส ด้านสี กล่ิน กล่ินรส ความมัน รสเผ็ด
จากนั้นแยกกบออกเป็นส่วนต่างๆ 5 ส่วน ดังน้ี คือ รสหวาน รสเปรยี้ ว เนือ้ สมั ผสั และความชอบโดยรวม
(1) น่อง (2) ขาหน้าติดอก (3) พื้นท้อง (4) กระดูกสัน
หลัง และ (5) หัว แล้วนํามาทอดในน้ํามันปาล์มท่ี ใช้ผู้ทดสอบชิมท่ีมีความชํานาญด้านอาหาร
อุณหภูมิ 180+5 องศาเซลเซียส นาน 15 นาที จน และเคร่ืองจ้ิม จํานวน 10 คน ใช้วิธีการให้คะแนน
ความชื้นเหลืออยู่ 35+5% และเป็นสีเหลืองอ่อน (สุก ความชอบระดับ 1-9 คะแนน โดยชอบมากที่สุด = 9
ประมาณ 70%) แล้วตักช้ินส่วนขึ้นมาพักให้สะเด็ด และไม่ชอบมากท่ีสุด = 1 ทําการประเมิน 3 ซํ้า
นํ้ามัน ท้ิงให้เย็น โขลกให้ละเอียด แล้วนําไปเกลี่ยใน ข้อมูลท่ีได้จากผู้ทดสอบแต่ละคน นํามาหาค่าเฉลี่ย
ถาดอบให้สมํ่าเสมอกัน อบแห้งด้วยตู้อบลมร้อน ท่ี ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความ
อณุ หภมู ิ 80+5 องศาเซลเซียส นาน 25 นาที จนกระทั่ง แปรปรวน (Analysis of variance) และเปรียบเทียบ
ไดค้ วามชื้น 15+3% นาํ กบหลงั การอบแห้งแต่ละส่วน ค่าเฉลี่ยโดยวิธีของ Least Significant Difference
ไปหาความช้ืนด้วยวิธี drying oven เก็บตัวอย่างใส่ (LSD) ที่ระดับความเช่ือมั่น 95% การรายงานข้อมูล
ถุงที่ปิดสนิทเพื่อกันความชื้นและอากาศและนํา ลักษณะทางประสาทสัมผัส จะแสดงในรูปกราฟแบบ
ไปทดลองในข้ันตอนต่อไป จํานวน 100 คน โดยให้ ใยแมงมุม (Spider web)
คะแนนแบบ 9-Point Hedonic Scale และวิเคราะห์
ผลทางสถิติ 3. ผลการทดลอง
2. ศึกษาขัน้ ตอนการผลติ น้ําพริกกบ ใส่กบ จากตารางท่ี 1 พบว่า จะได้เน้ือกบตาม
แห้งจากส่วนต่างๆ ในปริมาณ 25% ของส่วนผสมตัว ส่วนประกอบต่างๆ ดังนี้ ส่วนน่อง 1,375 กรัม มี
นํ้าพริก (โดยน้ําหนัก) ตัวน้ําพริกประกอบด้วย พริก นํ้าหนักมากท่ีสุด รองลงมาคือ ส่วนหัว 782 กรัม
ช้ีฟ้าแห้งเม็ดใหญ่ 12%, พริกข้ีหนูแห้ง 1%, กุ้งแห้ง สว่ นขาหนา้ ติดอก 793 กรัม ส่วนกระดูกสันหลัง 345
ป่น 12% กระเทียม 25% และหอมแดง 25% กรัม และส่วนพ้ืนท้อง 256 กรัม ตามลําดับ กบหลัง
ส่วนผสมนํ้าปรุงสามรส ประกอบด้วย กะปิ 2.89% อบแห้ง ส่วนหัวและน่องมีความช้ืนไม่แตกต่างกัน
นํ้ามะขามเปียกข้น 52.17% นํ้าตาลป๊ิบ 17.39% การท่ีส่วนหัวมีความชื้นสูงกว่าเล็กน้อยเพราะมีเอ็น
น้ําตาลทราย 17.39% น้ําปลา 8.70% และเกลือป่น กระดูกอ่อน ไขมัน อยู่มากกว่าส่วนอ่ืน ดังตารางที่ 2
1.45% คลุกเคล้าน้ําปรุงสามรสปริมาณ 45% โดย สําหรับน้ําพริกกบจากกบอบแห้งส่วนน่องจะได้
น้ําหนักนํ้าพริกทั้งหมด ผสมให้เข้ากัน นําไปผัดให้ คะแนนการยอมรับทางประสาทสัมผัสทุกด้านสูงสุด
แห้งในกะทะ ใช้อุณหภูมิ 65-70 องศาเซลเซียส นาน เท่ากับ 8.54+1.22 เพราะน้ําพริกมี สีเหลืองสวย
10 นาที ทิ้งให้เย็น (ถ้าใช้อุณหภูมิสูงกว่าน้ีในการผัด เหนียวเกาะตัวดี และน้ําพริกกบจากกบอบแห้งส่วน
นํ้าพริกจะไหม้ติดกะทะ) บรรจุขวดแก้วท่ีผ่านการฆ่า กระดูกสันหลัง จะได้คะแนนการยอมรับทางประสาท
เชื้อแล้วเว้นช่องว่างเหนืออาหารประมาณ ¼ นิ้ว สัมผัสทุกด้านตํ่าสุด 5.15+1.36 เพราะน้ําพริกมีสี
ปิดฝาขวด ทดสอบทางด้านประสาทสัมผัส ด้วยวิธี คลํ้า เกาะตัวเป็นก้อนแน่นกว่าส่วนอื่น และมีความ
9-point hedonic scale แล้วนํามาทดสอบทาง มันจากกระดูกมากกว่าส่วนอ่ืน ดังแสดงในภาพที่ 1
น้ําพริกทุกสูตรแตกต่างกันที่นํากบแต่ละส่วนกันมา
Vol.10 No.2 July - December 2016 79
วารสารวิจยั
ผลิตเป็นนํ้าพริก กบแต่ละส่วนหลังการอบแห้งจะมีสี ภาพที่ 1 ผลการทดสอบทางประสาทสัมผัสของ
ตา่ งกัน ส่วนหัว ส่วนกระดูกสันหลัง และส่วนพ้ืนท้อง นํา้ พรกิ กบที่ทํามาจากส่วนตา่ งๆ ของกบ
จะมีสีน้ําตาลเข้ม ตามลําดับ ส่วนน่องและขาหน้าติด
อกจะมีสีเหลืองเข้มใกล้เคียงกัน ดังแสดงในภาพที่ 2 ตารางท่ี 1 นํ้าหนกั ของกบจากส่วนต่างๆ หลงั อบแหง้
ในการทดลองใช้อุณหภูมิสูง 80 องศาเซลเซียส หลัง
อบแห้งจะทําให้กบหลังอบแห้งมีสีเหลืองเข้มมาก สว่ นต่างๆ ของกบ น้ําหนกั (กรัม)*
ถงึ แมจ้ ะใชร้ ะยะเวลาในการอบแหง้ สั้น อาจเป็นผลมา
จากการทอดท่ีอุณหภูมิสูงร่วมด้วย การอบแห้งจึง นอ่ ง 1,375+0.28a
ควรใช้อุณหภูมิอยู่ท่ี 50 องศาเซลเซียส เพื่อรักษา 793+0.35b
คุณภาพของอาหาร โดยเฉพาะในด้านสี (Naidu ขาหน้าตดิ อก
M.M, Vedashree M, Satapathy P และคณะ (2016)
การทดลองของ กัญญาณัฐ อุตรชน, กานต์พิชชา พื้นท้อง 256+0.40e
ซอื หมือ, บษุ บา มะโนแสน และคณะ (2555)
กระดกู สันหลงั 345+0.41d
การใช้อุณหภูมิในการอบแห้ง 80 องศา
เซลเซียสมีผลต่อความสามารถในการคืนตัวได้ดีกว่าที่ หวั 782+0.10c
อุณหภูมิ 60 และ 40 องศาเซลเซียส ตามลําดับ ซ่ึงมี
ผลอย่างมากในการผสมนํ้าปรุงรสในขั้นตอนการผสม หมายเหตุ : * หมายถึง ตัวอักษรท่ีแตกต่างกันในแนว
ตามขั้นตอนในการทํานํ้าพริกกบ แสดงในภาพท่ี 3
กรรมวิธีในการให้ความร้อนและระยะเวลาท่ีนานมาก ต้ังมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญท่ีระดับความ
ไปในการปรุงอาหารมีผลทําให้คุณค่าทางโภชนาการ
Chen A, Gilbert P, Khokhar S (2009) นอกจาก เชือ่ มน่ั 95%
น้ีพริกที่เป็นส่วนผสมในนํ้าพริกกบมีสาร Capsicum
เป็นแหล่งของ phenolic compounds, flavonoids ตารางที่ 2 ปริมาณความชื้นของกบส่วนต่างๆ หลัง
พริกเป็นตัวเพ่ิมสี ความรุนแรงของรสชาติ และกลิ่น
รส ให้กับอาหาร โดยเฉพาะ Carotenoids และ การอบแหง้
Capsaicinoids Baby KC, Ranganathan TV (2016)
ส่วนต่างๆ ของกบ ปรมิ าณความช้ืน (%)ns
น่อง 15.15+0.38
ขาหน้าตดิ อก 14.56+0.45
พน้ื ทอ้ ง 14.60+0.50
กระดูกสนั หลัง 14.55+0.42
หวั 15.30+0.57
หมายเหตุ : ns หมายถงึ ไมม่ คี วามแตกต่างกนั อย่างมี
นัยสําคญั ท่ีระดบั ความเชอ่ื ม่ัน 95%
80 ปที ี่ 10 ฉบับท่ี 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2559
วารสารวิจัย
ตารางท่ี 3 คะแนนทดสอบทางด้านประสาทสัมผสั ของน้าํ พริกกบจากส่วนตา่ งๆ ของกบอบแหง้
น้าํ พรกิ กบ สี* กลน่ิ ns กล่นิ รสns คะแนนทางดา้ นประสาทสมั ผสั ความชอบ
นอ่ ง 8.54±1.04a 8.10±1.05 7.34±1.45 ความเผ็ดns ความมนั * ความหวานns ความเปรี้ยวns เนอ้ื สมั ผัส* โดยรวม*
8.55±1.24 8.12±1.45a 8.22±1.25b 8.52±1.40d 8.71±1.33a 8.54±1.22a
ขาหน้าตดิ อก 7.13±1.20ab 7.67±1.05 7.54±1.54 8.55±1.11 6.52±1.34b 8.31±1.36e 8.54±1.45a 8.02±1.22a 7.77±1.32b
พืน้ ท้อง 6.53±1.34b 8.06±1.24 7.61±1.36 8.55±1.38 8.12±1.33a 8.14±1.37c 8.54±1.20b 8.02±1.23a 7.85±1.42b
กระดกู สันหลงั 4.10±1.04c 7.05±1.75 7.52±1.45 8.55±1.42 6.51±1.22b 8.54±1.39a 8.32±1.45e 5.12±1.22c 5.15±1.36c
หัว 4.71±1.05c 7.15±0.98 7.53±1.43 8.55±1.64 7.10±1.21ab 8.25±1.40d 8.52±1.42c 7.24±1.36ab 5.07±1.23c
หมายเหตุ : * หมายถึง ตัวอักษรที่แตกต่างกันในแนวตั้งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาํ คัญท่ีระดบั ความเช่ือม่ัน 95%
ns หมายถงึ ไม่มีความแตกตา่ งกันอยา่ งมีนยั สําคัญทรี่ ะดับความเชื่อม่นั 95%
ภาพที่ 2 เทคนิคการเตรยี มกบ
Vol.10 No.2 July - December 2016 81
วารสารวิจัย
ภาพที่ 3 ข้นั ตอนการทาํ นํา้ พรกิ กบ
4. สรุปผลการทดลอง [2] [เข้าถึงเม่ือ 29 มีนาคม 2559]. เข้าถึงได้จาก
http://www.nutritionvalue.org/Frog_legs,
จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์น้ําพริก _raw_nutritional_value.html.
กบ พบว่า ส่วนของกบเมื่อนํามาแปรรูปเป็นน้ําพริกที่
ผู้บริโภคให้การยอมรับมากท่ีสุดคือ กบส่วนน่องใน [3] [เข้าถึงเมื่อ 29 มีนาคม 2559]. เข้าถึงได้จาก:
อัตราส่วน 25% ของนํ้าหนักท้ังหมดผู้เข้ารับการ http://taxclinic.mof.go.th/products/detail.
ถ่ายทอดเทคโนโลยี ร้อยละ 83.33 (จากผู้เข้าอบรม php?ID=74
ทั้งหมด 40 คน) มีความพึงพอใจต่อทีมวิทยากร ใน
ระดบั คะแนนพอใจมาก [4] [เข้าถึงเมื่อ 29 มีนาคม 2559]. เข้าถึงได้จาก:
http://www.thaifooddb.com/article/article
5. เอกสารอา้ งองิ 096_history_and_types_of_chili_paste.h
tml
[1] [เข้าถึงเม่ือ 29 มีนาคม 2559]. เข้าถึงได้จาก
http://www.taladsimummuang.com/dm [5] [เข้าถึงเม่ือ 29 มีนาคม 2559]. เข้าถึงได้จาก
ma/Portals/PriceListItem.aspx?id=07030 http://frynn.พริกขห้ี นู
1010.
82 ปที ี่ 10 ฉบบั ท่ี 2 กรกฎาคม - ธนั วาคม 2559
สมาชิกในกล่มุ 3
1 นางสาวศภุ างค์ พิมพน์ าจ รหสั 62115267101
2 นางสาวรสา ช่วยกายตูม รหสั 62115267104
3 นายณฐั วฒุ ิ ศรีสิทธ์ิ รหสั 62115267108
4 นายดุชกาล จนั ทรังษี รหสั 62115267109
การวิจยั เฉพาะกรณี
บทนา
ปรากฏการณต์ ่างๆ ท่ีเกิดขนึ้ ทง้ั โดยธรรมชาตหรอื จากการดาเนนิ การของมนษุ ยท์ ่ีเป็นวิถีชีวติ
ตามปกตใิ นสถานการณป์ ัจจบุ นั อาทิ การดาเนนิ นโยบายทางการศกึ ษาของรฐั ประสทิ ธิผลการ
บรหิ ารโรงเรยี นขนาดเล็กการบรหิ ารโรงเรยี นวถิ ีพทุ ธดีเดน่ ระดบั ประเทศ รูปแบบการบรหิ ารชนั้ เรยี น
อย่างมีประสทิ ธิผลในโรงเรยี นขนาดใหญ่ รูปแบบการบรหิ ารงานวิชาการในโรงเรยี นดีเดน่ เขตพนื้ ท่ี
การศกึ ษา เป็นตน้ ผวู้ จิ ยั อาจใชเ้ ทคนคิ การศกึ ษารายกรณีหรอื การวิจยั เฉพาะกรณีเพ่อื เป็นวธิ ี
การศกึ ษากรณีนนั้ ๆได้ ปรากฎการณเ์ หลา่ นนั้ เป็นปรากฏการณท์ ่ีเกิดขนึ้ แลว้ ในปัจจบุ นั ตาม
สถานการณเ์ ฉพาะพืน้ ท่ีเฉพาะเรอ่ื ง จงึ ไม่จาเป็นท่ีจะศกึ ษาในลกั ษณะเชงิ สารวจท่ีใชป้ ระชากร
ขนาดใหญ่ในพนื้ ท่ีขนาดกวา้ ง ดงั นนั้ การวจิ ยั เฉพาะกรณีจงึ มีวตั ถปุ ระสงคท์ ่ีจะศกึ ษาปัญหาวจิ ยั
เฉพาะเรอ่ื งในสถานการณป์ ัจจบุ นั ผเู้ ขียนจะกลา่ วถงึ ความหมาย ธรรมชาติ องคป์ ระกอบของ
แบบการวิจยั คณุ ภาพของแบบการวิจยั เคร่อื งมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั เนน้ วธิ ีการสงั เกตเพ่อื การวิจยั
เฉพาะกรณี
ความหมายของการวจิ ยั เฉพาะกรณี
การวิจยั เฉพาะกรณี หมายถงึ การสงั เกตคณุ ลกั ณะเฉพาะหนว่ ยใดหนว่ ยหนง่ึ เช่น เด็กคนหน่งึ
หอ้ งเรยี นหอ้ งหน่งึ โรงเรยี นหรอื ชมุ ชนแห่งใดแหง่ หน่งึ โดยมีจดุ มงุ่ หมายของการสงั เกตเพ่อื สารวจ
คน้ หาและวิเคราะหป์ รากฏการณต์ า่ งๆ ท่ีเกิดขนึ้ อย่างลกึ ซงึ้ ซง่ึ จะทาใหท้ ราบวงจรชีวติ ของ
หน่วยงานนนั้ ๆ และอา้ งอิงสรุปไปยงั ประชากรของหน่วยงานนนั้ ๆ อีกดว้ ย การวจิ ยั เฉพาะกรณี
เป็นกศุ โลบายท่ีเหมาะสมในการหาคาตอบเพ่อื จะตอบคาถามท่ีว่า “อยา่ งไร” หรอื “ทาไม” ซง่ึ ผวู้ ิจยั
ควบคมุ ส่งิ ตา่ งๆในปรากฏการณไ์ ดน้ อ้ ย แต่ตอ้ งการจะทราบสภาวะแวดลอ้ มท่ีเป็นชีวิตจรงิ จาก
ปรากฏการณท์ ่ีเกิดขนึ้ การวจิ ยั เฉพาะกรณี หมายถึง การสืบคน้ ในหนว่ ยงานทางสงั คมอยา่ งจรงิ จงั
เช่น บคุ คลหน่งึ ครอบครวั หน่งึ สถาบนั หรอื ชมุ ชนหน่งึ ๆ จากความหมายท่ีนกั วิจยั ใหไ้ วพ้ อจะสรุปได้
ว่า การวิจยั เฉพาะกรณีเป็นการศกึ ษากรณีใดกรณีหน่งึ หรอื หน่วยงานใดหน่วยงานหน่งึ อยา่ ง
ละเอียดลกึ ซงึ้ เพ่อื จะตอบคาถามวา่ ทาไมตอ้ งเป็นปรากฏการณอ์ ย่างนนั้ หรอื การท่ีเกิด
ปรากฏการณอ์ ยา่ งนน้ั เป็นเพราะเหตใุ ด
องคป์ ระกอบของการวจิ ยั เฉพาะกรณี
การวจิ ยั เฉพาะกรณี มีองคป์ ระกอบสาคญั 5 ประการ ดงั นี้
1) คาถามวจิ ยั
2) จดุ มงุ่ หมายในการวิจยั
3) หนว่ ยของการวิเคราะห์
4) ความเช่ือมโยงเชงิ เหตผุ ลระหวา่ งขอ้ มลู กบั จดุ ม่งุ หมายของการวจิ ยั
5) เกณฑส์ าหรบั ตีความผลสรุป
องคป์ ระกอบแตล่ ะลกั ษณะของการวิจยั เฉพาะกรณี มีประเดน็ คาถามท่ีนา่ สนใจในแตล่ ะ
องคป์ ระกอบ ดงั นี้
คาถามวจิ ยั คาถามท่ีดีควรเป็นคาถามท่ีถามว่าอย่างไรและทาไมมากกวา่ ท่ีจะถามวา่ ใครและอะไร
เพราะจะไดค้ าตอบท่ีมีประโยชนม์ าก
จดุ มงุ่ หมายของการวิจยั การกาหนดจดุ มงุ่ หมายจะทาใหท้ ราบถงึ ทศิ ทางหรือส่งิ ท่ีจะอธิบาย
และขอบเขตของการวิจยั
หน่วยของการวิเคราะห์ การกาหนดหน่วยของการวิเคราะห์ ก็คือ การตอบคาถามท่ีวา่ “อะไรคือ
กรณี
ศกึ ษา” เชน่ คนๆ หนง่ึ แบบของผนู้ าตามท่ีกาหนด ผปู้ ่วยในคลีนกิ ฯลฯ ถา้ หากตอ้ งการศกึ ษาคนๆ
หน่งึ “คน”
ก็จะเป็นหนว่ ยของการวิเคราะห์ ดงั นน้ั การรวบรวมขอ้ มลู ก็ตอ้ งเป็นขอ้ มลู เก่ียวกบั คน
ความเช่ือมโยงเชงิ เหตผุ ลระหวา่ งขอ้ มลู กบั จดุ มงุ่ หมายของการวิจยั ก็คือ การพจิ ารณาวา่ ขอ้ มลู
หลายๆ
ลกั ษณะท่ีไดม้ าจากกรณีเดียวกนั นน้ั เก่ียวขอ้ งในเชิงทฤษฏีกบั จดุ ม่งุ หมายของการวจิ ยั หรอื ไม่
เกณฑส์ าหรบั ตีความผลสรุป ก็คือ วธิ ีการท่ีจะทาใหผ้ ลสรุปมีความถกู ตอ้ งและเท่ียงตรง อาจจะใช้
เกณฑก์ ารเปรยี บเทียบแบบแผน ของกรณีท่ีจะศกึ ษากบั กรณีอย่างอ่ืนท่ีไม่ไดศ้ กึ ษา
คุณภาพของแบบการวิจยั เฉพาะกรณี
คณุ ภาพของแบบการวิจยั เฉพาะกรณีจะพิจารณาท่ีความเท่ียงตรงและความเช่ือม่นั
ความเท่ียงตรงเชิงโครงสรา้ งพจิ ารณาจากการเก็บขอ้ มลู วา่ ขอ้ มลู นนั้ เป็นขอ้ มลู เก่ียวกบั ความคดิ
รวบยอดท่ีตอ้ งการศกึ ษาหรอื ไม่
ความเท่ียงตรงจากภายนอก พจิ ารณาว่าผลการศึกษานนั้ สามารถอา้ งองิ สรุปไดห้ รอื ไม่
ความเช่ือม่นั (Reliability) พจิ ารณาวา่ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ในการศกึ ษาเร่อื งนนั้ เม่ือทาซา้
แลว้ จะไดผ้ ลเหมือนเดมิ หรอื ไม่
ยิน (Yin. 1984 : 39) กล่าวว่า หลายคนมกั พดู ในทานองท่ีวา่ การศกึ ษารายกรณีไมส่ ามารถ
อา้ งองิ สรุปได้ แตย่ ินเหน็ ว่า ถา้ หากเลือกกรณีตวั อย่างไดถ้ กู ตอ้ งและการศกึ ษารายกรณีนนั้ เป็น
การศกึ ษาแบบทดลองก็นา่ จะอา้ งองิ สรุปแบบวิเคราะหไ์ ดโ้ ดยเนน้ การอา้ งองิ ในเชงิ ทฤษฏีไปสกู่ รณี
อย่างอ่ืนท่วั ๆ ไป
เครอ่ื งมือทใ่ี ช้เกบ็ รวบรวมข้อมูลการวิจยั เฉพาะกรณี
เครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการรวบรวมขอ้ มลู มีหลายชนิดหลายประเภท เช่น การสงั เกต การสมั ภาษณ์ แบบ
สอบถาม การศกึ ษาระเบียนประวตั ิ แบบทดสอบ ฯลฯ เคร่อื งมือตา่ งๆ ดงั กล่าวนี้ วธิ ีการสงั เกตถือ
วา่ เป็นหวั ใจของการวิจยั เฉพาะกรณี ในท่ีนีจ้ ะไดก้ ลา่ วถึงเทคนิคการสงั เกตตอ่ ไป
การสงั เกต คือการเฝา้ ดปู รากฏการณต์ ่างๆท่ีเกิดขนึ้ อยา่ งใกลช้ ดิ ในระยะเวลาท่ีกาหนด
เพ่อื ทราบความเป็นไปและความเปล่ียนแปลงของส่ิงท่ีตอ้ งการศกึ ษา นยิ ามดงั กลา่ วนีเ้ ป็นการ
สงั เกตดว้ ยตนเองการสงั เกตในการวจิ ยั จะตอ้ งทาอยา่ งมีระบบเพ่อื จะไดเ้ ขา้ ใจถึงลกั ษณะธรรมชาติ
และความสมั พนั ธร์ ะหว่างองคป์ ระกอบต่างๆ ของปรากฏการณ์ อาจจะใชว้ ิธีการสงั เกตดว้ ยตนเอง
หรอื จะใชเ้ ครอ่ื งมืออยา่ งอ่ืน เช่น แบบสอบถามหรือการสมั ภาษณซ์ ง่ึ เป็นวิธีการสงั เกตทางออ้ ม
การศกึ ษาในบางเร่อื ง เช่น พฤติกรรมของเดก็ เลก็ พฤติกรรมของสตั วซ์ ง่ึ ไม่อาจใชภ้ าษาส่ือ
ความหมายกนั ไดด้ งั นน้ั ตอ้ งเก็บขอ้ มลู โดยวธิ ีสงั เกตหรอื เก็บขอ้ มลู จากบคุ คลอ่ืนท่ีอยใู่ กลช้ ดิ การ
สงั เกตดว้ ยตนเองท่ีไดผ้ ลดีผถู้ กู สงั เกตจะตอ้ งไมร่ ูต้ วั เชน่ การสงั เกตพฤติกรรมการสอนของครูหรอื
พฤติกรรมของนกั เรยี น จะตอ้ งสงั เกตในหอ้ งท่ีจดั ไวเ้ ฉพาะสาหรบั การสงั เกต วธิ ีการสงั เกตใชไ้ ดด้ ี
ทง้ั การวิจยั ดา้ นสงั คมศาสตรแ์ ละวทิ ยาศาสตร์
(โชติ เพชรช่ืน. 2529: 91-95) ต่อไปนีจ้ ะกล่าวถงึ แบบต่างๆ ของสถานการณท์ ่ีกาหนดขนึ้
ประกอบการสงั เกต
แบบต่างๆ ของสถานการณท์ ก่ี าหนดขนึ้ เพอื่ การสังเกต
สถานการณท์ ่ีกาหนดขนึ้ เพ่อื สงั เกต ประกอบดว้ ยสถานการณต์ ่างๆ ดงั นี้
1. การอภิปรายกล่มุ โดยไมต่ อ้ งมีผนู้ า วิธีนีผ้ วู้ ิจยั เป็นผปู้ อ้ นคาถามหรอื ปัญหาใหส้ าหรบั การ
อภิปรายและหาทางแกไ้ ขปัญหา สงั เกตพฤติกรรมของผรู้ ว่ มอภิปรายแตล่ ะคนและจดบนั ทกึ กล่มุ
หนง่ึ จะมีสมาชิก 6 - 8 คน
คณุ ภาพของแบบการวิจยั เฉพาะกรณี
คณุ ภาพของแบบการวิจยั เฉพาะกรณีจะพจิ ารณาท่ีความเท่ียงตรงและความเช่ือม่นั
ความเท่ียงตรงเชงิ โครงสรา้ งพจิ ารณาจากการเก็บขอ้ มลู วา่ ขอ้ มลู นน้ั เป็นขอ้ มลู
เก่ียวกบั ความคดิ รวบยอดท่ีตอ้ งการศกึ ษาหรอื ไม่
ความเท่ียงตรงจากภายนอกพจิ ารณาว่าผลการศกึ ษานนั้ สามารถอา้ งองิ สรุปไดห้ รอื ไม่
ความเช่ือม่นั พจิ ารณาวา่ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ในการศกึ ษาเรอ่ื งนนั้ เม่ือทาซา้ แลว้ จะไดผ้ ล
เหมือนเดมิ หรอื ไม่ยิน กล่าวว่า หลายคนมกั พดู ในทานองท่ีว่าการศกึ ษารายกรณีไม่สามารถอา้ งอิง
สรุปได้ แตย่ ินเหน็ ว่า ถา้ หากเลือกกรณีตวั อย่างไดถ้ กู ตอ้ งและการศกึ ษารายกรณีนนั้ เป็นการศกึ ษา
แบบทดลองก็น่าจะอา้ งอิงสรุปแบบวเิ คราะห์ ไดโ้ ดยเนน้ การอา้ งองิ ในเชิงทฤษฏีไปส่กู รณีอย่างอ่ืน
ท่วั ๆ ไป
เคร่อื งมือท่ีใชเ้ ก็บรวบรวมขอ้ มลู การวจิ ยั เฉพาะกรณี
เครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการรวบรวมขอ้ มลู มีหลายชนิดหลายประเภท เช่น การสงั เกต การสมั ภาษณ์ แบบ
สอบถาม การศกึ ษาระเบียนประวตั ิ แบบทดสอบ ฯลฯ เคร่อื งมือต่างๆ ดงั กลา่ วนี้ วิธีการสงั เกตถืวา่
เป็นหวั ใจของการวิจยั เฉพาะกรณี ในท่ีนีจ้ ะไดก้ ล่าวถึงเทคนคิ การสงั เกตต่อไป
การสงั เกตคือการเฝา้ ดปู รากฏการณต์ า่ งๆท่ีเกิดขนึ้ อยา่ งใกลช้ ิดในระยะเวลาท่ีกาหนด
เพ่อื ทราบความเป็นไปและความเปล่ียนแปลงของส่ิงท่ีตอ้ งการศกึ ษา นิยามดงั กล่าวนีเ้ ป็นการ
สงั เกตดว้ ยตนเอง การสงั เกตในการวจิ ยั จะตอ้ งทาอยา่ งมีระบบเพ่อื จะไดเ้ ขา้ ใจถงึ ลกั ษณะ
ธรรมชาติและความสมั พนั ธร์ ะหว่างองคป์ ระกอบตา่ งๆ ของปรากฏการณ์ อาจจะใชว้ ธิ ีการสงั เกต
ดว้ ยตนเองหรอื จะใชเ้ คร่อื งมืออย่างอ่ืน เชน่ แบบสอบถามหรอื การสมั ภาษณซ์ ง่ึ เป็นวิธีการสงั เกต
ทางออ้ ม การศกึ ษาในบางเร่อื ง เช่น พฤติกรรมของเดก็ เลก็ พฤติกรรมของสตั วซ์ ง่ึ ไม่อาจใชภ้ าษา
ส่ือความหมายกนั ไดด้ งั นน้ั ตอ้ งเก็บขอ้ มลู โดยวิธีสงั เกตหรอื เก็บขอ้ มลู จากบคุ คลอ่ืนท่ีอยใู่ กลช้ ิด
การสงั เกตดว้ ยตนเองท่ีไดผ้ ลดีผถู้ กู สงั เกตจะตอ้ งไมร่ ูต้ วั เชน่ การสงั เกตพฤติกรรมการสอนของครู
หรอื พฤตกิ รรมของนกั เรยี น จะตอ้ งสงั เกตในหอ้ งท่ีจดั ไวเ้ ฉพาะสาหรบั การสงั เกต วิธีการสงั เกต
ใชไ้ ดด้ ีทง้ั การวิจยั ดา้ นสงั คมศาสตรแ์ ละวทิ ยาศาสตร์
(โชติ เพชรช่ืน. 2529: 91-95) ตอ่ ไปนีจ้ ะกลา่ วถงึ แบบตา่ งๆ ของสถานการณท์ ่ีกาหนดขนึ้
ประกอบการสงั เกต
ท่ีนกั วิจยั ควรทราบในการวิจยั เฉพาะกรณี
วารสารมหาวิทยาลยั ราชภฏั สกลนคร; ปีท่ี 1 ฉบบั ท่ี 2 : กรกฎาคม – ธนั วาคม 2552
เทคนคิ ดงั กลา่ วนีเ้ รม่ิ ใชเ้ ม่ือ ค.ศ. 1925 โดยการศกึ ษาพฤตกิ รรมความเป็นผนู้ าของนายทหารใน
กองทพั เยอรมนั ตอ่ มาไดพ้ ฒั นาเทคนคิ ดงั กลา่ วไปใชศ้ กึ ษาลกั ษณะการตดั สนิ ใจและพฤตกิ รรมการ
ตอบโต้ ระหวา่ งทหารราบกล่มุ ต่างๆ ระหวา่ งกลมุ่ นกั เรยี นระหว่างกล่มุ ผบู้ รหิ ารธรุ กิจ ขอ้ ดีของการ
อภิปรายแบบนีก้ ็คือสอดคลอ้ งกบั สถานการณใ์ นชีวติ จรงิ คือในชีวติ จรงิ ก็ไม่ตอ้ งมีกลมุ่ ผนู้ า ทกุ คน
มีสิทธิเสรใี นการอภิปรายและปัญหาท่ีนกั วิจยั นามาก็คลา้ ยกบั ปัญหาท่ีเกิดขนึ้ สาหรบั ทกุ คน จาก
ผลการวจิ ยั พบว่าวิธีดงั กลา่ วมีความเท่ียงตรงเชิงพยากรณส์ งู คือ สามารถนาไปใชใ้ นการจดั ลาดบั
ความเป็นผนู้ า การศกึ ษาความรว่ มมือและการจดั กลมุ่
ทางานไดอ้ ย่างเหมาะสม ในทางการศกึ ษาก็ไดใ้ ชเ้ ทคนคิ นีเ้ พ่อื ศกึ ษาความเป็นผนู้ าระหว่าง
นกั เรยี นต่างระดบั ชน้ั และศกึ ษาพฤติกรรมตอบโตร้ ะหวา่ งครูขณะจดั การประชมุ
บอรก์ (Borg. 1971 : 241) ไดเ้ สนอแนะการสงั เกตในสถานการณท์ ่ีกาหนดขนึ้ ซง่ึ วธิ ีการนีน้ ิยม
ใชส้ าหรบั การวจิ ยั ทางการศกึ ษาและจติ วิทยา สงั เกตงา่ ยกวา่ สถานการณจ์ รงิ เพราะสามารถ
ควบคมุ ตวั แปรบางตวั ไดอ้ ย่างไรก็ตาม การสงั เกตในสถานการณท์ ่ีกาหนดขนึ้ นีจ้ ะตอ้ งระวงั
พฤตกิ รรมบางอยา่ งท่ีมิใช่พฤติกรรมจรงิ หากบนั ทกึ พฤติกรรมดงั กลา่ วไวก้ ็อาจจะไดข้ อ้ มลู ท่ี
ผิดพลาด
2. แบบกลมุ่ เพ่อื แกป้ ัญหา วธิ ีนีก้ ล่มุ จะไดร้ บั ปัญหาใหแ้ กเ้ ช่นเดียวกบั วธิ ีแรก แต่เปา้ หมายจะ
แตกต่างกนั กบั วิธีแรก คือจะม่งุ ถงึ ผลการแกป้ ัญหาของกล่มุ เป็นประการสาคญั ผสู้ งั เกตอาจเป็นผู้
ประเมนิ ผลกิจกรรมของกล่มุ และประเมนิ พฤตกิ รรมของสมาชกิ ในกล่มุ แตล่ ะคน เทคนคิ นีส้ ่วนมาก
จะใชใ้ นการศกึ ษาความเป็นผนู้ าของนายทหาร ในทางการศกึ ษาไดป้ ระยกุ ตม์ าใชเ้ หมือนกนั เชน่
ศกึ ษาปฏิกิรยิ าตอบโตข้ องนกั กีฬาในทีม ศกึ ษาพฤตกิ รรมของกลมุ่ ชมุ นมุ ต่างๆในโรงเรยี นและ
ศกึ ษากล่มุ ทางานของสมาคมครู – ผปู้ กครอง เป็นตน้
3. แบบการเลน่ บทบาทสมมตุ ิ วธิ ีนีม้ งุ่ เก็บรวบรวมขอ้ มลู ของคนแต่ละคนโดยผแู้ สดงไดร้ บั
มอบหมายใหแ้ สดงบทบาทตามเร่อื งท่ีไดก้ าหนดไว้ สว่ นใหญ่แลว้ บทท่ีมอบหมายใหแ้ สดงนน้ั เป็น
บทบาทท่ีผแู้ สดงเก่ียวขอ้ งหรอื รูเ้ ร่อื งอย่แู ลว้ การสงั เกตพฤตกิ รรมตามบทบาทจะชว่ ยในการ
ประเมินการตดั สินใจของผเู้ ลน่ ไดแ้ ต่ท่ีสาคญั กว่านน้ั คือ การประเมินทกั ษะในการแกป้ ัญหา
นอกจากการสรา้ งสถานการณเ์ พ่อื ใชส้ าหรบั การสงั เกตแลว้ นกั วิจยั อาจไดข้ อ้ มลู จากการสงั เกตวธิ ี
อ่ืนๆซง่ึ ไม่จาเป็นตอ้ งอาศยั นกั สงั เกตท่ีไดร้ บั การฝึกมาโดยเฉพาะ เป็นใครก็ไดท้ ่ีไดร้ ว่ มทีมทาวจิ ยั
วิธีอ่ืนๆ ไดแ้ ก่
1. การศกึ ษาระเบียนสะสม วธิ ีนีใ้ ชก้ นั ท่วั ๆ ไปในทางการศกึ ษาคือครูเป็นผศู้ กึ ษาคาอธิบาย
เก่ียวกบั พฤตกิ รรมของนกั เรยี นและเก็บรวบรวมขอ้ มลู ผสู้ งั เกตไมค่ วรจะตีความคาอธิบายเก่ียวกบั
พฤตกิ รรมของนกั เรยี นท่ีเป็นปรนยั อยแู่ ลว้ ควรเตรียมคาอธิบาย ชีแ้ จงวิธีใชร้ ะเบียนสะสม ครูไม่
ควรจะบนั ทกึ ขณะท่ีอารมณเ์ สีย
2. วธิ ีทาสงั คมมติ ิวิธีนีเ้ ป็นการวดั โครงสรา้ งทางสงั คมของกลมุ่ ใดกล่มุ หน่งึ และประเมนิ
สถานภาพทางสงั คมของแตล่ ะคนโดยคานงึ ถงึ สมาชิกคนอ่ืนๆ ท่ีเป็นกล่มุ ของเขาดว้ ย วธิ ีการก็คือ
สมาชิกในกลมุ่ จะตอ้ งตอบคาถามว่าเขาชอบใครมากท่ีสดุ ในกล่มุ ตามเกณฑท์ ่ีกาหนดให้ (อาจ
มากกว่า 1 คน) เช่นใหร้ ะบชุ ่ือบคุ คลในชนั้ มา 3 คนท่ีทา่ นพอใจมากท่ีสดุ ท่ีจะรว่ มทางานกบั เขาเม่ือ
ครูมอบหมายงานใหท้ าเป็นกล่มุ ในบางโอกาสยงั ใหร้ ะบชุ ่ือบคุ คลท่ีพอใจนอ้ ยท่ีสดุ อีกดว้ ย
นอกจากนีย้ งั มีรูปแบบของการจดั การทางสงั คมมิติอย่างอ่ืนๆ เช่น ใหอ้ ธิบายบทบาททางสงั คมของ
เพ่อื นรว่ มชน้ั โดยนกั เรยี นทกุ คนจะไดร้ บั คาถามเหมือนๆ
ใหเ้ ขียนช่ือเพ่อื นรว่ มชน้ั 1 – 2 คน ท่ีมีความเหมาะสมกบั คาอธิบายต่อไปนี้
- นกั เรยี นท่ีเหมาะสมจะเป็นหวั หนา้ ชน้ั
- นกั เรยี นท่ีสามารถทาใหก้ ลมุ่ มีความสนกุ เม่ือจดั งานเลีย้ ง
- นกั เรยี นท่ีเรยี นเก่งท่ีสดุ ในชน้ั
- ถา้ ฉนั คดิ เลขไมไ่ ด้ ฉนั จะขอความช่วยเหลือจากเขา เป็นตน้
อน่งึ เทคนิคสงั คมมติ ใิ ชก้ นั บอ่ ยในการวดั วา่ ใครเป็นคนท่ีเพ่อื นในชนั้ ชอบมากท่ีสดุ
3. การจดั ลาดบั โดยอาจารยท์ ่ีปรกึ ษา การจดั ลาดบั ท่ีนกั เรยี นโดยอาจารยท์ ่ีปรกึ ษาหรอื ครูใหญ่
จดั ลาดบั ท่ีครูในโรงเรยี นเป็นวธิ ีการหาขอ้ มลู เพ่มิ เติมเก่ียวกบั พฤตกิ รรมของผถู้ กู สงั เกตในการวิจยั
ทางการศกึ ษาวธิ ีนีย้ ากท่ีจะควบคมุ ตวั แปรท่ีทาใหเ้ กิดอคติ ในบางครง้ั การจดั ลาดบั ท่ีเพ่อื การวจิ ยั
นนั้ อาจารยท์ ่ีปรกึ ษาสามารถอธิบายถงึ คณุ ลกั ษณะของผถู้ กู สงั เกตไดล้ ะเอียดก่อนแลว้ ทง้ั ๆ ท่ียงั
ไม่ถงึ กาหนดเวลาใหจ้ ดั ลาดบั ท่ี ลกั ษณะนีค้ ลา้ ยๆ กบั อาจารยท์ ่ีปรกึ ษาเกิดความประทบั ใจครงั้ แรก
แลว้ ความประทบั ใจก็จะมีตดิ ต่อกนั ไปเป็นเวลานานทง้ั ๆ ท่ีพฤติกรรมของบคุ คลนน้ั ไดเ้ ปล่ียนแปลง
ไปแลว้ การประเมนิ ลกั ษณะนีม้ กั เกิดความลาเอียงท่ีเรยี กวา่
4. วิธีใชเ้ หตกุ ารณว์ กิ ฤติ วธิ ีนี้ จอหน์ ซี. ฟลานาแกน เป็นผเู้ ร่มิ ใช้ ปกตจิ ะเป็น
การสมั ภาษณอ์ าจารยท์ ่ีปรกึ ษาของนกั เรยี นแทนการสงั เกตนกั เรยี น โดยใหอ้ าจารยท์ ่ีปรกึ ษาเป็น
คนบรรยายถงึ พฤติกรรมวิกฤติ วิธีการนีเ้ หมาะสาหรบั การแกไ้ ขปัญหาทางการศกึ ษาโดยเฉพาะ
อย่างย่งิ ปัญหาเก่ียวกบั คณุ สมบตั ิ
ของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาและครู
โอกาสท่ีจะใชว้ ิธีการสงั เกต
วธิ ีการสงั เกตมีโอกาสใชไ้ ด้ 2 กรณี ดงั นี้
1. ใชก้ ่อนศกึ ษาวิจยั ในกรณีท่ีเป็นเรอ่ื งใหม่ สถานท่ีหรอื ชมุ ชนใหม่ การวางโครงการหรอื แผนงาน
วจิ ยั ท่ีรดั กมุ กระทาไดย้ ากทง้ั นีเ้ พราะไมม่ ีขอ้ มลู ประกอบ ดงั นน้ั จาเป็นตอ้ งทาการสงั เกตก่อนลงมือ
วางแผนการวิจยั เพ่อื จะไดท้ ราบสภาพการณ์ แบบแผน ความเป็นอยู่ ลกั ษณะของกล่มุ ตวั อย่าง
ฯลฯ การสงั เกตในท่ีนีม้ กั จะใชว้ ธิ ีการเขา้ ไปมีสว่ นรว่ มคือ เป็นสมาชิกของหม่บู า้ นใหค้ นในหมบู่ า้ น
ยอมรบั ตนเสียก่อน ขอ้ มลู ท่ีไดอ้ าจนามาตงั้ สมมติฐาน กาหนดเวลา เลือกกลมุ่ ตวั อยา่ ง กาหนดวิธี
เก็บขอ้ มลู และแนวความคิดต่างๆ
2. การสงั เกตระหว่างทาการวจิ ยั การสงั เกตกรณีนีส้ ่วนมากเป็นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู สาหรบั การ
วจิ ยั วธิ ีการอาจเป็นการสงั เกตอย่างเดียวหรอื ใชร้ ว่ มกบั วิธีการอ่ืนๆ ก็ไดเ้ พ่อื ทราบความ
เปล่ียนแปลงของปัญหาหรอื เร่อื งท่ีไดท้ าการวิจยั ไปแลว้ ครงั้ หนง่ึ ขอ้ ควรระวงั ในการใชว้ ธิ ีการสงั เกต
วธิ ีการสงั เกตมีขอ้ ควรระวงั ท่ีสาคญั ดงั นี้
1. วิธีการสงั เกตจะมีประโยชนใ์ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู มากหรอื นอ้ ยขนึ้ อย่กู บั เง่ือนไขบางประกา
ดงั นี้
- ลกั ษณะของขอ้ มลู กบั ความประสงคส์ อดคลอ้ งตรงกนั
- วางระเบียบและขอ้ มลู ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ นการสงั เกตไวช้ ดั เจน
- แบบฟอรม์ สาหรบั บนั ทกึ มีความสอดคลอ้ งกบั เรอ่ื งท่ีจะศกึ ษา
- มีการตรวจสอบความถกู ตอ้ งของขอ้ มลู ท่ีเก็บได้
2. คณุ ลกั ษณะของผสู้ งั เกต
- ใหค้ วามสนใจในการสงั เกตอย่างจรงิ จงั
- ตระหนกั ในความสาคญั ของขอ้ มลู ไม่นาความเคยชินท่ีเคยพบเห็นมาใชใ้ นการสงั เกต
- ตอ้ งเป็นกลาง ลดอคติ และสรุปผลเฉพาะท่ีสงั เกตไดเ้ ท่านนั้
- การจดบนั ทกึ กบั ผลการสงั เกตตอ้ งตรงกนั ไมต่ อ้ งเสรมิ ความคิดเหน็ เพ่มิ เติม
3. ขอ้ บกพรอ่ งท่ีมกั จะเกิดขนึ้ ในการสงั เกต
- นิสติ นกั ศกึ ษาหรอื ผวู้ ิจยั ไม่ฝึกฝนการสงั เกตใหเ้ ก่งพอ ทาใหไ้ ดข้ อ้ มลู ท่ีขาดความเช่ือม่นั
- ใชแ้ บบฟอรม์ บนั ทกึ การสงั เกตท่ีมีรายละเอียดหรอื ส่ิงท่ีตอ้ งกระทามากเกินไป
- ผสู้ งั เกตถกู รบกวนบ่อยๆ หรอื การเปล่ียนสภาวการณข์ องการสงั เกตไมไ่ ดบ้ อกกลา่ วกนั
ล่วงหนา้ หรอื ลกั ษณะของสภาวการณท์ ่ีจะเปล่ียนไปนน้ั ผสู้ งั เกตไมเ่ คยไดร้ บั การฝึกฝนมาเลย
- ขอรอ้ งผสู้ งั เกตใหด้ าเนินการจาแนกความแตกต่างระหว่างพฤตกิ รรมท่ีเกิดขนึ้ มากเกินไป จน
ผสู้ งั เกตกงั วลใจและจะตอ้ งระมดั ระวงั ในเรอ่ื งนี้ อนั อาจทาใหล้ ะเลยสาระสาคญั อ่ืนๆ
- ไม่ใชผ้ สู้ งั เกตหลายคน เพ่อื ตรวจสอบความเช่ือม่นั ของการจดั ลาดบั ท่ี
- ไม่จดั ใหผ้ สู้ งั เกตไดท้ างานอย่างมีอสิ ระจากผสู้ งั เกตคนอ่ืนๆ
- ไมว่ างระบบการจดั เก็บขอ้ มลู ทาใหข้ อ้ มลู ท่ีไดไ้ ม่ครบถว้ น ดยู าก
- ไมส่ มุ่ กลมุ่ ตวั อย่าง มาใชศ้ กึ ษาอย่างเหมาะสม
เทคนคิ การศกึ ษารายกรณี : การวิจยั เฉพาะกรณี หมายถงึ การศกึ ษากรณีใดกรณีหนง่ึ หรอื หนว่ ยใด
หน่วยหนง่ึ อย่างละเอียดเพ่อื ท่ีจะตอบคาถามลกึ ๆ วา่ ทาไมตอ้ งเป็นปรากฏการณอ์ ย่างนน้ั หรอื การ
ท่ีเกิดปรากฏการณอ์ ยา่ งนน้ั เป็นเพราะสาเหตใุ ด ธรรมชาติของการวิจยั เฉพาะกรณีเนน้ ลกั ษณะ
คาถามท่ีวา่ อย่างไร ทาไม เป็นการวิจยั ท่ีไมต่ อ้ งการควบคมุ สถานการณท์ ่ีศกึ ษาและเนน้ ศกึ ษา
เหตกุ ารณใ์ นปัจจบุ นั องคป์ ระกอบของแบบการวจิ ยั เฉพาะกรณีท่ีสาคญั ประกอบดว้ ย
1) คาถามวิจยั
2) จดุ ม่งุ หมายในการวจิ ยั
3) หนว่ ยของการวิเคราะห์
4) ความเช่ือมโยงเชงิ เหตผุ ลระหว่างขอ้ มลู กบั จดุ มงุ่ หมายของการวจิ ยั
5) เกณฑส์ าหรบั การตีความผลสรุป
คณุ ภาพของแบบการวจิ ยั เฉพาะกรณีจะพิจารณาท่ี 1) ความเท่ียงตรงซง่ึ ประกอบดว้ ย ความ
เท่ียงตรงเชงิ โครงสรา้ งและความเท่ียงตรงภายนอก และ 2) ความเช่ือม่นั เคร่อื งมือท่ีใชเ้ ก็บรวบรวม
ขอ้ มลู การวจิ ยั เฉพาะกรณีมีหลายชนดิ เช่น การสมั ภาษณ์ แบบสอบถาม การศกึ ษาระเบียบ
ประวตั ิและแบบทดสอบ เป็นตน้ ซง่ึ วธิ ีการสงั เกตถือวา่ เป็นหวั ใจสาคญั ของการวจิ ยั เฉพาะกรณี
วิธีการสงั เกตท่ีดีมีความจาเป็นท่ีจะตอ้ งกาหนดสถานการณเ์ พ่อื การสงั เกต เช่น การอภปิ รายกลมุ่
โดยไม่ตอ้ งมีผนู้ า แบบรวมกลมุ่ เพ่อื แกป้ ัญหา แบบการเล่นบทบาทสมมตุ ิ นอกจากนีน้ กั วิจยั เฉพาะ
กรณีอาจจะใชว้ ิธีอ่ืนๆ ประกอบการสงั เกตไดอ้ ีก เชน่ การศกึ ษาระเบียนสะสม สงั คมมติ ิ การ
จดั ลาดบั โดยอาจารยท์ ่ีปรกึ ษาและวธิ ีใชเ้ หตกุ ารณว์ ิกฤติ เป็นตน้
สมาชิกในกล่มุ
1.นางสาวญานิกา บวั ชยั รหสั นกั ศกึ ษา 62115267112
2.นางสาววรษิ ฐา เชียงไขแกว้ รหสั นกั ศกึ ษา 62115267202
3.นางสาวสวุ จั นี คาตง้ั หนา้ รหสั นกั ศกึ ษา 62115267212
4.นางสาวอินทริ า เหลาเเตว รหสั นกั ศกึ ษา 62115267105
5.นางสาวชลีกร โสภา รหสั นกั ศกึ ษา 6211526710
6.นางสาวอรวรรณ มณีวรรณ รหสั นกั ศกึ ษา 62115267116
การวิจยั เชงิ ทดลอง
การวิจยั เชิงทดลอง เป็นการวจิ ยั ท่ีเนน้ กระบวนการคน้ หาความเป็นจริง หลกั การทฤษฎี องคค์ วามรู้และ
เทคโนโลยใี หมๆ่ โดยมุ่งเนน้ การศึกษาความเปลี่ยนแปลงของตวั แปร ท่ีเก่ียวขอ้ งภายใตเ้ ง่ือนไขที่มีการควบคมุ
โดยกระบวนการวิจยั เพื่อศึกษาพฤติกรรมหรือสถานการณ์วา่ เป็นสาเหตุของการเปล่ียนแปลงน้นั หรือไม่ โดย
วธิ ีการเปรียบเทียบของความแตกต่าง ของตวั แปรท่ีเปล่ียนไปกบั พฤติกรรมที่เกิดข้ึน ในสภาพที่ถูกควบคุมและ
ทาการสรุปผลความจริงที่คน้ พบ และนาไปอธิบายพฤติกรรมต่างๆในเชิงเหตุผลได้
จึงเป็นการวิจยั จากสาเหตุไปหาผลวา่ ตวั แปรที่เกี่ยวขอ้ งน้นั เป็นสาเหตุทาใหเ้ กิดผลหรือไม่ และไดย้ อมรับ
วา่ เป็นการวิจยั ท่ีใหผ้ ลไดน้ ่าเชื่อถือมากท่ีสุด โดยเฉพาะหากนามาใชก้ บั การวิจยั ทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี สามารถนามาพฒั นาองคค์ วามรู้ใหม่ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี
วัตถุประสงค์ของการวจิ ยั เชิงทดลอง
1.เพือ่ คน้ หาขอ้ เทจ็ จริงของสาเหตุ ที่ทาให้เกิดพฤติกรรม
2.เพื่อศึกษาความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสาเหตแุ ละผลของตวั แปร
3.เพ่ือนนาผลการวจิ ยั ไปประยกุ ตใ์ ช้
4.เพื่อวเิ คราะห์หาขอ้ บกพร่องของระบบ และนาไปแกไ้ ขปรับปรุงใหม้ ีประสิทธิภาพดีมากยง่ิ ข้นึ
5.เพ่ือนาไปใชใ้ นการทดลอง
องค์ประกอบของการวจิ ัยเชิงทดลอง
กลุ่มทดลอง หมายถึง กลมุ่ ตวั อยา่ งที่ไดร้ ับการทดลองท่ีไดก้ าหนดไว้ 2 กลมุ่ ควบคมุ หมายถึงกลมุ่ ลกั ษณะ
ท่ีมีลกั ษณะเหมือนกลุ่มทดลอง ท้งั เร่ืองคณุ สมบตั ิและจานวนถกู ปลอ่ ย ใหเ้ ป็นไปตามสภาพปกติที่มีอยเู่ ดิม เพื่อ
ใชใ้ นการเปรียบเทียบพฤติกรรมต่างๆกบั กลุ่มที่ทดลอง
ตวั แปรทใี่ ช้ในการวจิ ัยเชิงทดลอง มี 4 ชนิดดว้ ยกนั คือ
1.ตวั แปรอิสระหรือตวั แปรตน้ คือตวั แปรท่ีคาดวา่ จะเป็นตน้ เหตุ หรือเป็นสาเหตทุ ี่ทาใหเ้ กิดการ
เปล่ียนแปลง จะเรียกอีกอยา่ งวา่ ตวั แปรทดลองกไ็ ด้ ใชต้ วั ยอ่ วา่ X
2.ตวั แปรตาม หมายถึงตวั แปรที่คาดวา่ จะเป็นผลจากตวั แปรอิสระหรือตวั แปรตน้ มีอิทธิพลมาจากการ
กระทาของตวั แปรอิสระ ใชต้ วั ยอ่ วา่ Y
3.ตวั แปรเชื่อมอยคู่ ือ ตวั แปรที่สอดแทรกเป็นตวั แปร ที่เกิดข้ึนจากพฤติกรรมใดๆในระหวา่ งการดาเนินการ
ทดลอง
4.ตวั แปรแทรกซอ้ นหรือตวั แปรภายนอกคือ ตวั แปรที่เกิดข้นึ ระหวา่ งกระบวนการ ดาเนินการทดลองที่อาจมี
อิทธิพลตอ่ การทดลอง เรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ ตวั แปรควบคมุ
ประโยชน์ของการวิจยั เชิงทดลอง
1.ทาใหท้ ราบถึงสาเหตทุ ี่แทจ้ ริง ของปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมต่างๆไดอ้ ยา่ งชดั เจน
2.เป็นการวิจยั ที่เหมาะสม สาหรับการวิจยั เชิงวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
3.สามารถนามาพฒั นาการศึกษาใหด้ ีมากยงิ่ ข้ึน ทาให้ทราบจุดออ่ นจุดแขง็ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี
4.มงุ่ พฒั นาและสร้างสรรคท์ ฤษฎีและองคค์ วามรู้ใหม่ๆ ทางดา้ นเทคโนโลยี เช่น นาโนเทคโนโลยี เป็นตน้
วธิ ีการดาเนินการวจิ ัยเชิงทดลอง
1.ทาการพิสูจน์วา่ ตวั แปรอิสระ เกิดข้ึนก่อนตวั แปรตาม
2.ตวั แปรอิสระกบั ตวั แปรตาม มีความสัมพนั ธใ์ นเชิงหลกั การ
3.มีการเปล่ียนแปลงของตวั แปรตาม ซ่ึงเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของตวั แปรตน้
ข้อเสียของการดาเนินการวิจัยเชิงทดลอง
1.กลมุ่ ตวั อยา่ งส่งผลทาใหก้ ารวจิ ยั คลาดเคลื่อนไดห้ ากกลุม่ ตวั อยา่ งน้นั มีคุณลกั ษณะที่แตกตา่ งกนั มาก เช่น
ประเพณีและวฒั นธรรม
2.กระบวนการวิจยั หากขาดการควบคุมตวั แปรแทรกซอ้ นท่ีรัดกมุ อาจจะทาใหผ้ ลการทดลองไม่ไดเ้ ป็นผล
มาจากการทดลองที่แทจ้ ริง
3.หากขาดแบบแผนการทดลองที่ดี อาจจะทาใหเ้ กิดความผดิ พลาด
4.ไมส่ ามารถตรวจสอบสมมตุ ิฐานไดท้ ุกขอ้
5.หากเลือกสถิติไม่เหมาะสมกบั การทดลอง
6.การสรุปผลไม่ถกู ตอ้ ง จะทาใหข้ าดความเช่ือมน่ั
การควบคมุ ตวั แปรแทรกซ้อนในการวิจยั เชิงทดลอง
1.การวจิ ยั เชิงทดลองน้นั มกั มีตวั แปรแทรกซอ้ นเกิดข้ึนไดเ้ สมอ ผวู้ ิจยั จะตอ้ งพบกลุ่มตวั แปรต่างๆไม่ใหม้ ี
อิทธิพลตอ่ การเปล่ียนแปลงของตวั แปรตามอนั เน่ืองมาจากการศึกษาตวั แปรอิสระ ที่กาลงั ศึกษาอยเู่ พ่อื ทาให้
ทราบวา่ ตวั แปรตาม เป็นผลมาจากอิทธิพลของตวั แปรอิสระอยา่ งแทจ้ ริง ดงั น้นั การควบคมุ ตวั แปรแทรกซอ้ น
จึงตอ้ งใชห้ ลกั การควบคมุ ที่เรียกวา่ max-min-con principle เพอ่ื เพม่ิ ความแปรปรวนน้ี ให้เป็น
ระบบมากท่ีสุด
2.ลดความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อน
3.ควบคุมตวั แปรแทรกซอ้ น ที่ส่งผลอยา่ งมีระบบ
4.ใชส้ ถิติ ซ่ึงเทคนิคทางวิธีการสถิติ สามารถนามาควบคุมตวั แปรแทรกซอ้ นไดเ้ ป็นอยา่ งดี
5.การตดั ทิ้ง เป็นการกาจดั ตวั แปรที่คดิ วา่ มีส่วนร่วมกบั การทดลองออกไป จะสามารถคดั เลือกกลุ่มตวั อยา่ ง
ที่มีความน่าสนใจเหมือนกนั ได้ เป็นตน้
แบบแผนในการวิจยั เชิงทดลอง
1.แบบแผนการทดลองข้นั ต้น ซ่ึงเป็นพ้ืนฐานของการวิจยั เชิงทดลอง นามาใชใ้ นการวางแผนการทดลอง
โดยมงุ่ เนน้ การศึกษาการเปลี่ยนแปลงของตวั แปรตาม เน่ืองมาจากอิทธิพลของตวั แปรตน้
2.แบบแผนการทดลองจริง มุ่งเนน้ การวิจยั เชิงทดลองแบบเตม็ รูปแบบคือ มีการสุ่มกลุ่มตวั อยา่ งเพอื่ ให้เกิด
การกระจาย ของกลมุ่ ทดลองและกลุ่มควบคุม ใหค้ รอบคลมุ ประชากรท้งั หมด รวมถึงมีการควบคุมตวั แปรตน้
และมีการสร้างกลุ่ม เพื่อเปรียบเทียบผลการทดลอง
3.แบบแผนการทดลองกง่ึ การทดลอง เป็นแบบแผนการทดลองที่มุง่ เนน้ การดาเนินการเพื่อควบคมุ ตวั แปร
อิสระหรือตวั แปรตน้ กบั การควบคุมเพื่อเปรียบเทียบ ผลการทดลองโดยไม่มีการสุ่มให้กลุ่มทดลองแต่อยา่ ง
ใด
4.แบบแผนการทดลองอื่นๆ ซ่ึงแบบแผนการทดลองอื่นๆ ท่ีใชใ้ นการวิจยั เชิงทดลองเช่น One shot
repeated measured design, Latin square design เป็นตน้
การวิจัยเชิงทดลอง
สมาชกิ กลมุ่
นางสาวนรี ะนุช วรชนิ า รหสั นกั ศกึ ษา62115267215
นายอรงคเ์ ดช ศรชี มภู รหสั นกั ศกึ ษา62115267215
นางสาวสริ ขิ จร งานฉมงั รหสั นกั ศกึ ษา62115267216
สามชกิ กล่มุ 1
1. นายดนุนันท์ มาปนั รหัสนกั ศึกษา 62115267204
2. นายพงษศ์ ธร กษณะสาย รหสั นกั ศึกษา 62115267209
3. นางสาวผกาสนิ ี อ่นุ วิเศษ รหสั นกั ศึกษา 62115267210
ตัวอยา่ งการวจิ ัยเชิงปฏบิ ตั ิการ
บทท่ี 2
ทบทวนเอกสารและงานวิจยั ทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง
การวิจยั เรื่องการพัฒนาโปรแกรมฝกึ อบรมทักษะวิชาชีพด้านคหกรรมศาสตรส์ ำหรับผสู้ งู อายุ ผู้วจิ ยั ได้
ค้นควา้ เอกสารและงานวจิ ัยที่เก่ยี วข้องในหวั ขอ้ การฝึกอบรม ทฤษฎผี ู้สูงอายวุ ชิ าชพี คหกรรมศาสตร์ การสร้าง
โปรแกรมฝกึ อบรม การหาประสทิ ธภิ าพของโปรแกรมฝึกอบรม และการประเมินผล โปรแกรมการฝกึ อบรม มี
รายละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี
การฝึกอบรม
การฝกึ อบรม หมายถึง กระบวนการท่ีจัดขน้ึ เพอ่ื พัฒนาบุคคล ใหไ้ ด้เพิม่ พูนความรู้ ความเขา้ ใจ
ความสามารถ ทักษะและความชำนาญ มที ศั นคตทิ ่ีถูกต้อง เหมาะสมสำหรับการปฏบิ ัตงิ านหรือการ ประกอบ
อาชพี อยา่ งใดอยา่ งหนึง่ ในชว่ งเวลาใดเวลาหนึง่
1. จุดม่งุ หมายของการฝึกอบรม มี 4 จดุ มงุ่ หมายดังนี้
1.1 เพื่อเพมิ่ พูนความรู้ (Knowledge, K) ใหม้ ีความรู้ หลักการทฤษฎแี นวคิดในเร่ืองที่ อบรมเพ่ือ
นำไปใชใ้ นการทำงาน
1.2 เพอื่ เพิ่มพนู ความเข้าใจ (Understanding,U) เปน็ ลกั ษณะทีต่ ่อเน่ืองจากความรู้กลา่ วคือ เม่ือ
รูใ้ นหลักการและทฤษฎแี ลว้ สามารถตคี วาม แปลความหมาย ขยายความและอธิบายให้คน อื่นทราบได้
รวมทงั้ สามารถนำไปประยกุ ต์ได้
1.3 เพอ่ื เพมิ่ พนู ทักษะ (Skill,S) ทักษะ คือ ความชำนาญหรอื ความคล่องแคลว่ ในการ ปฏบิ ัติ
อย่างใดอย่างหน่งึ ไดโ้ ดยอัตโนมตั ิ เชน่ การใชเ้ ครอ่ื งมือตา่ งๆ การขับรถ การขจ่ี ักรยาน เป็นต้น
1.4 เพอ่ื เปลย่ี นเจตคติ (Attitude, A) เจตคติหรือทัศนคติ คอื ความรู้สึกที่ดหี รือไม่ดีต่อ สิ่งต่างๆ
การฝกึ อบรมมงุ่ ให้เกดิ หรือเพิ่มความรสู้ ึกท่ีดตี ่อองคก์ าร ต่อผูบ้ งั คบั บัญชาตอ่ เพ่ือนร่วมงาน และตอ่ งานทีม่ ี
หน้าทรี่ ับผิดชอบ เชน่ ความจงรกั ภักดตี ่อบรษิ ทั ความภาคภูมิใจตอ่ สถาบนั ความสามัคคีในหมู่คณะ
ความรบั ผิดชอบต่องาน ความเอาใจใส่ต่องาน ความกระตอื รอื ร้น เป็นตน้
สรุป จุดมงุ่ หมายของการฝึกอบรม คือ การมุง่ พฒั นาความรู้ ความเขา้ ใจในงาน การพัฒนาทกั ษะ
ใหม้ คี วามเช่ียวชาญช านาญมากข้นึ และการพฒั นาเจตคตใิ หม้ มี มุ มองความรูส้ กึ ท่ีดตี ่องาน เพอ่ื นร่วมงาน
สำหรับการวจิ ัยในครั้งนีม้ จี ุดมุ่งหมายสามข้อ เพื่อใหผ้ ้สู งู อายไุ ด้มคี วามรู้และเกดิ ทักษะในการทำงาน
ดา้ นคหกรรมศาสตร์ และมีความพึงพอใจตอ่ การเข้ารว่ มฝึกอบรม
2. หลักสตู รฝกึ อบรม
หลักสตู รฝึกอบรม หมายถึง ความร้แู ละประสบการณ์เรยี นรู้ท่ีจดั ใหแ้ ก่ผ้เู ข้ารับการ ฝกึ อบรมเพ่ือใหบ้ รรลุ
ถึงวัตถุประสงค์ตามที่ต้องการของโครงการส่วนทสี่ ำคญั ของหลักสูตรท่ีจะต้องพจิ ารณา ได้แก่ วัตถุประสงคข์ องการ
ฝึกอบรม เนื้อหาสาระที่จดั และควรระบุเปน็ รายหวั ข้อวิชาและระบุกจิ กรรมการเรียนการสอน ซงึ่ รวมถึงการใช้ส่อื
การเรียนการสอนและประเมินผล องค์ประกอบของหลกั สูตรฝกึ อบรม มีองคป์ ระกอบที่สำคญั 4 ประการ ดงั น้ี
(ณัฏฐพันธ์, 2543)
2.1 วัตถปุ ระสงค์ (Objective) หมายถึง เปา้ หมายทตี่ ้องการจากการสอน วัตถุประสงค์ เปน็ สว่ นทก่ี ำหนด
คณุ สมบัติหรือคุณลักษณะท่ีต้องการใหเ้ กิดขน้ึ แก่ผเู้ รียน โดยกำหนดว่าหลกั สูตรในแต่ละระดับ แตล่ ะกลุม่ วชิ าหรือ
แตล่ ะรายวิชาต้องการให้ผ้รู ับการอบรมมีความรู้ ทักษะและความสามารถด้านใด โดยมวี ตั ถุประสงค์ของหลักสตู ร
แบง่ ออกเปน็ 4 ระดบั ต่อไปนี้
ระดับท่ี 1 วตั ถปุ ระสงค์ของหลักสตู ร เปน็ ความต้องการหรือเปา้ หมายรวมของแต่ละหลักสตู รซงึ่
จะครอบคลมุ วตั ถุประสงค์อืน่ วัตถุประสงค์ของหลักสูตรจะกำหนดความต้องการของแต่ละหลักสตู รวา่ ตอ้ งการจะ
ให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ ทักษะ และความสามารถอย่างไร เมอื่ ผ่านการอบรมในหลกั สตู รนน้ั แลว้
ระดับที่ 2 วัตถุประสงค์ของกลุ่มวชิ าหรอื หมวดวชิ า เปน็ เป้าหมายของกลุม่ วิชา ทม่ี ีเน้ือหา
ใกล้เคยี งกนั ท่ีต้องการใหผ้ เู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมมีความรู้ ทกั ษะและความสามารถอยา่ งไร หลงั ผ่านการเรยี นรูใ้ นกล่มุ
วิชานนั้ แลว้ ปกติกลุ่มวิชาจะประกอบดว้ ยรายวิชาต่างๆ ที่มีเน้อื หา และความเชอ่ื มโยงท่ีเกอื้ กลู กัน ทงั้ ในการทำ
ความเขา้ ใจและการนำมาประยุกตใ์ ช้ เชน่ หลักสตู รการพัฒนาผู้บรหิ าร จะประกอบดว้ ย กลุ่มวิชาการจัดการ การ
บญั ชี การเงิน การตลาด และการจดั การทรัพยากรมนุษย์ เปน็ ตน้
ระดับท่ี 3 วตั ถปุ ระสงค์ของรายวิชา มีจดุ มงุ่ หมายวา่ ตอ้ งการใหผ้ ู้เขา้ รบั การฝึกอบรมได้รับอะไร
จากการศึกษาวชิ านัน้ ตลอดจนกำหนดแนวทางใหผ้ ้สู อนทราบว่าเขาจะต้องสอน เน้อื หาอะไรในวิชานัน้ เช่น การ
ประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ิงานกฎหมายแรงงาน และการบรหิ ารความขดั แยง้ ในองค์การ เป็นตน้ วัตถุประสงคร์ ายวชิ า
เปน็ วัตถุประสงค์ท่มี เี ป้าหมายทีเ่ ฉพาะเจาะจงกว่าวัตถปุ ระสงค์ของกลมุ่ วชิ าและวตั ถุประสงค์ของหลกั สูตร
ระดับท่ี 4 วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม จะเก่ียวข้องกับพฤติกรรมที่สังเกต และสามารถวัดได้อย่าง
เปน็ รปู ธรรม วตั ถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรมช่วยใหท้ งั้ ผ้บู ริหารโครงการฝึกอบรม ผสู้ อน และผู้เข้ารบั การฝึกอบรมมี
ความเขา้ ใจร่วมกนั วา่ เม่ือส้นิ สุดการอบรมในโครงการฝึกอบรมหรอื แตล่ ะรายวิชาแลว้ ผู้เขา้ รับการอบรมจะมี
พฤติกรรมการแสดงออกอย่างไร มีการเปลย่ี นแปลงหรือพฒั นาการอย่างไร และสามารถทำอะไรได้ เชน่ เพ่ิม
ปรมิ าณและคุณภาพของผลผลติ ลดความผดิ พลาด และลดอุบัตเิ หตุในการปฏบิ ัติงาน เป็นตน้
2.2 เน้ือหา (Content) เปน็ เครอ่ื งกำหนดขอบเขตและความเข้มขน้ ของสาระความรู้ ทักษะและ
ประสบการณ์ ซ่ึงจะเปน็ แนวทางทีช่ ว่ ยใหผ้ จู้ ดั โครงการฝกึ อบรมทราบสาระและความสัมพันธ์ ระหว่างการเรยี นกับ
การนำความรู้ที่ไดร้ ับจากการฝกึ อบรมไปประยุกต์ในการทำงานรวมทงั้ ผูส้ อนก็จะทราบขอบเขตและแนวทางในการ
สอน
2.3 การเรยี นการสอน (Instructional activity) เปน็ เคร่อื งมอื ในการพฒั นาผเู้ ขา้ รับการฝกึ อบรมใหบ้ รรลุ
เปา้ หมายในการฝกึ อบรมตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ซงึ่ กล่าวได้วา่ การเรยี นการสอนเป็นหวั ใจสำคัญของ
หลกั สตู ร เนอื่ งจากเป็นองคป์ ระกอบของหลักสูตรทเ่ี ก่ียวข้องกับผเู้ ขา้ รับการ ฝึกอบรมและเปน็ เสมอื นพาหนะท่นี ำ
ผเู้ ขา้ รับการฝกึ อบรมให้เข้าถึงวตั ถุประสงค์ของหลักสูตร ปกตวิ ิธีการสอนจะประกอบดว้ ยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ
ส่อื การสอน หมายถงึ อปุ กรณ์ทีช่ ว่ ยให้การสอนดำเนินไปสู่เป้าหมายอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ และวธิ กี าร หมายถึง
เทคนคิ ท่ใี ช้ในการถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และทัศนคติให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
2.4 การประเมนิ ผล (Evaluation) การตรวจสอบผลการฝึกอบรมวา่ บรรลุวตั ถปุ ระสงค์ ของหลกั สตู ร
หรอื ไม่ ต้องปรับปรุงหรือแกไ้ ขอย่างไร เพ่ือให้ผลลพั ธท์ ่ีได้เป็นไปตามความต้องการทแี่ ท้จริงของหลกั สูตร
สรปุ องค์ประกอบของหลกั สูตรฝึกอบรม เปรียบเสมือนเครอื่ งมือหรือแผนการ ดำเนินงานของการ
ฝกึ อบรมท่จี ะต้องมเี พ่ือใหก้ ารฝกึ อบรมบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ และเป็นหลกั พืน้ ฐานท่ีจะใช้ในการสร้างหลักสูตรเพื่อให้
ไดห้ ลักสตู รที่สมบูรณ์
3. การสร้างหลักสตู รฝึกอบรม ประกอบด้วยขน้ั ตอนตา่ ง ๆ ดังนี้
3.1 การศกึ ษาความจำเป็นในการฝกึ อบรมเปน็ ข้ันตอนแรกของการฝกึ อบรมเพ่อื ค้นหา สภาพและ
วเิ คราะหป์ ญั หาท่ีเกิดข้นึ ว่าสามารถแก้ไขไดด้ ้วยการฝึกอบรมจริงหรอื ไม่ วนิ (2546) กลา่ ววา่ ความจำเปน็ ในการ
ฝกึ อบรม หมายถึง วัตถุประสงค์ท่จี ดั ให้มีการฝึกอบรม อาจสำรวจหรอื วเิ คราะห์สภาพ ปัญหา โดยจะต้องเกบ็
รวบรวมขอ้ มูลจากเอกสารต่างๆ การสอบถามแบบสมั ภาษณ์ ซง่ึ เป็นตวั ชี้โปรแกรมการฝึกอบรมทีพ่ ึงประสงค์
3.2 การกำหนดวัตถุประสงค์ในการฝึกอบรม การดำเนินการฝกึ อบรมใดก็ตาม จำเปน็ ต้องมีวตั ถปุ ระสงค์
หรอื เป้าหมาย เพ่อื ให้ประสบความสำเร็จตามเปา้ หมายที่กำหนดไว้ การกำหนดวัตถปุ ระสงคก์ ารฝึกอบรมต้องมี
การสำรวจหาความตอ้ งการในการฝกึ อบรม ทำให้ทราบถึงปัญหาการปฏิบตั ิงานท่ีเกิดขึน้ รวมทงั้ ความต้องการของ
บุคลากร เพื่อเปน็ แนวทางในการกำหนดวัตถปุ ระสงค์ของการฝกึ อบรม วภิ าพรรณ (2542) กลา่ วว่า การกำหนด
วตั ถุประสงค์ของหลักสตู ร เปน็ การกำหนดสงิ่ ทใ่ี หผ้ เู้ ข้ารับการฝึกอบรมไดเ้ ปลยี่ นแปลงว่าตอ้ งการให้เปลีย่ นแปลง
ในดา้ นใด อยา่ งไร เชน่ ดา้ นความรู้ ดา้ นทักษะ และดา้ นทศั นคติ ตัวอย่างเชน่ การกำหนดวัตถปุ ระสงค์เชงิ
พฤติกรรม (Behavioral Objectives) เปน็ การเขียนบรรยายถึงการกระทำท่ีผเู้ ข้ารับการอบรม จะสามารถแสดง
ออกมาให้ปรากฏ ไดห้ ลงั จากรบั การฝกึ อบรมแล้ว การกำหนดวตั ถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรมจะช่วยทำให้เห็นแนว
ทางการ คัดเลอื กเน้ือหาวชิ าเทคนิคและส่อื ที่ใชใ้ นการฝึกอบรม รวมทงั้ การประเมนิ ผล ชชู ยั (2540) ได้ กล่าวถงึ
องคป์ ระกอบของการเขยี นวัตถุประสงค์เชงิ พฤติกรรม ดังนี้
1) ต้องเปน็ สิ่งท่ผี เู้ รียนกระทำได้หลงั การฝึกอบรมแล้ว หรอื เป็นพฤติกรรมที่สังเกตได้ ดังนั้นคำที่
ควรเขียน เชน่ อธบิ าย สาธิต ยกตัวอย่าง เขียนคำนวณ แปล ระบุสาเหตุ ประกอบ สรา้ งค้นหา แก้ไข ออกแบบ
จับคู่ พรรณนา บรรยาย
2) กำหนดเงื่อนไข (Conditions) หรอื สถานการณท์ ่ผี ู้รบั การอบรมจะ แสดงออก เมอื่ รับการ
อบรมไปแล้ว คำทคี่ วรเขยี นในวตั ถปุ ระสงค์ เช่น การจำแนกประเภท เพอ่ื แกไ้ ข ปัญหา เพ่ือประเมิน เพื่อกำหนด
รปู แบบ เพื่อจำแนกแยกแยะ
3) เกณฑ์ (Criteria) เป็นมาตรฐานหรอื ขอบเขตการปฏบิ ตั งิ าน โดยระบุถงึ จำนวนที่ทำไดเ้ วลาท่ี
ควรใชใ้ นการทำงาน
3.3 การกำหนดเนื้อหาสาระการฝกึ อบรมทบ่ี รรจไุ วใ้ นหลักสูตร มีการจดั ลำดบั เนื้อหา ชว่ ยใหผ้ ้เู ขา้ รับการ
อบรมไดร้ บั ความรู้ตามลำดับก่อนหลัง ชว่ ยให้สามารถเรยี นได้สะดวกและเกดิ ผลการเรียนรู้สงู สุด วภิ าพรรณ
(2542) กล่าวว่า การกำหนดเนื้อหาวิชา หมายถงึ สาระความรู้ และประสบการณ์ท่จี ัดมาให้เปน็ ไปตามลำดบั
ข้นั ตอนซึ่งควรมีลักษณะสอดคลอ้ งกับวัตถุประสงค์ เชอื่ ถือได้ ทันสมัย ถูกตอ้ งและสอดคล้องกับสภาพการทำงาน
จริง ชูชยั (2540) กลา่ วถงึ การจดั ลำดับข้ันตอน การเสนอเนือ้ หาควรยดึ แนวทางดังนี้
1) เรมิ่ ดว้ ยการระบถุ ึงวตั ถุประสงค์ของหลักสูตร
2) ให้ภาพกวา้ งๆ ของหลกั สูตร ก่อนท่ีจะเจาะลึกลงในรายละเอยี ด
3) จัดลำดับสงิ่ ที่ง่ายไปสู่สิ่งทย่ี ากจากความรู้พ้ืนฐานไปส่คู วามรู้ท่สี ลบั ซบั ซอ้ น
4) เร่มิ จากส่งิ ท่ีเปน็ หลักการทั่วไป ไปสสู่ งิ่ ท่ีเป็นกฎเกณฑเ์ ฉพาะ
5) คำนึงถึงความจำเปน็ ก่อนหลงั หรือความเป็นเหตเุ ป็นผลกัน
6) ใช้ประสบการณ์ของผู้รบั การอบรมใหเ้ ป็นประโยชน์เม่ือต้องการเสนอ ความรู้ใหม่ ควรนำสิง่ ใหม่ไป
สมั พันธ์เกี่ยวโยงกบั ความรูเ้ ก่าหรือประสบการณเ์ ดมิ เพื่อให้เกดิ การเรียนรู้ โดยเรว็ รวมถงึ จำนวนผเู้ ข้ารับการ
ฝกึ อบรม
3.4 การกำหนดวิธดี ำเนินการฝึกอบรม หมายถงึ กำหนดวิธีการที่จะใหผ้ เู้ ขา้ รบั การ อบรมเกิดความรู้
ความเขา้ ใจ มีทกั ษะและทัศนคตทิ ่ีสอดคล้องกบั วตั ถปุ ระสงค์ เทคนิคการฝกึ อบรม เปน็ เครื่องมือท่ีช่วยให้เกิดการ
เรยี นรู้ สง่ิ ทคี่ วรคำนงึ ถึงในการกำหนดวธิ ีฝกึ อบรม คือ เน้อื หาหรอื หวั ข้อ วชิ า เนอื้ หาทีเ่ ปน็ นามธรรมเขา้ ใจยาก
ควรใช้เทคนิคท่ีทำให้ผู้เข้ารบั อบรมเกิดความเขา้ ใจได้ง่ายขึ้น แทนที่จะใช้วิธีบรรยาย ประสบการณเ์ ดิมของ
ผเู้ ข้าร่วม เช่น การศึกษา ประสบการณท์ ำงานหากมคี วามแตกตา่ งกนั จะทำใหเ้ รียนรู้ได้ไม่เท่ากัน จึงต้องเลือกใช้
เทคนคิ ทท่ี ำให้ผู้เข้าอบรมเขา้ ใจได้ตรงกนั อกี ส่ิงที่ควรคำนงึ ถงึ คือ วัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม ควรระบุให้
ชัดเจนว่าใชเ้ ทคนคิ หรอื วิชาการฝึกอบรมแบบใด อาจจำแนกได้ดงั น้ี
1) เทคนิคการฝกึ อบรมท่ใี ชบ้ อกเล่าเน้ือหา บอกแนวคิดหรือให้หลกั การต่างๆ แก่ผเู้ ขา้ รับการ
ฝึกอบรม ไดแ้ ก่ การบรรยาย การอภิปราย การสมั มา การศึกษาเฉพาะกรณี
2) เทคนิคการฝกึ อบรมทผ่ี ้เู ข้ารับการฝึกอบรมไดล้ งมือกระทำดว้ ย ไดแ้ ก่ การ ระดมสมอง การ
ทดลองเรยี นงาน การสอนแนะ การฝึกปฏบิ ัตงิ าน เทคนิคเหลา่ นี้ทำให้ผู้เขา้ รับการ ฝึกอบรมเกิดความสนใจในการ
ฝึกอบรม วทิ ยากรจะต้องสรุปแนวคดิ และหลักการที่ไดจ้ ากการทำกจิ กรรมในตอนจบกจิ กรรม และอภปิ รายให้
แนวทางทีจ่ ะนำไปใชใ้ นชวี ติ
3) เทคนิคการฝกึ อบรมทีผ่ ู้อบรมไดแ้ สดงบทบาทต่างๆ ได้แก่ สถานการณ์ จำลอง การแสดง
บทบาทสมมุติ การสาธติ การทัศนศึกษา การจัดกิจกรรม เทคนคิ การฝกึ อบรม จำพวกน้ีกจ็ ะต้องสรุปแนวคิดและ
หลกั การตลอดจนแนวทางทีจ่ ะนำไปใชเ้ ดยี วเชน่ กนั
3.5 การวดั และประเมนิ ผลการฝึกอบรม เป็นข้ันตอนสดุ ท้ายท่มี คี วามสำคญั ในการ ฝกึ อบรมที่ทำให้ทราบ
ผลโครงการวา่ มีประสิทธภิ าพเพยี งใดบรรลุวตั ถปุ ระสงค์ของโครงการหรอื ไม่มีการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมในทางที่ดี
ข้ึนหรอื ไม่ เพื่อใหก้ ารฝึกอบรมมีประสทิ ธิภาพ
สรปุ การสร้างหลกั สูตรฝกึ อบรม คอื การกำหนดสาระสำคญั วิธกี าร และเนอื้ หาใน การฝึกอบรมโดย
คำนึงถึงผเู้ ข้ารับการฝึกอบรม และสงิ่ ที่จะนำมาช่วยพัฒนาผู้เขา้ รบั การฝกึ อบรมให้มีความรู้ ความสามารถตาม
วัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม เชน่ คำนึงถงึ ปัญหา ความตอ้ งการของผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมแล้วนำมาวเิ คราะหเ์ พื่อ
กำหนดเนอ้ื หาวิชา วิธดี ำเนนิ การ และกิจกรรมการฝกึ อบรมทจี่ ะทำใหผ้ ูเ้ ข้ารบั การฝกึ อบรมมีความรู้ ความเข้าใจ มี
ทักษะ และมที ศั นคตทิ ดี่ ีขึน้ ซ่ึงในการวจิ ยั คร้ังนผ้ี ู้วิจัย ไดใ้ ช้วธิ ฝี ึกอบรมแบบการบรรยายและสาธิตประกอบการ
ฝึกอบรม เนื่องจากเป็นภาคปฏบิ ัตเิ พอื่ ชว่ ยให้ ผ้สู ูงอายทุ เี่ ข้ารับการฝึกอบรมเข้าใจมากข้ึน
4. วธิ ีการประเมิน
เป็นการประเมินผลทไ่ี ดจ้ ากการอบรมสิน้ สดุ ลงแล้ว ในการประเมนิ อาจเปน็ การประเมนิ ปจั จัยนำเขา้ ของ
โครงการ กระบวนการหรืออาจเป็นการประเมนิ ผลทเ่ี กิดข้นึ จากโครงการ จึงมผี ู้ใชค้ ำ 2 คำ คอื การประเมนิ การ
ฝึกอบรม และการประเมนิ ผลงาน
4.1 การประเมินการฝึกอบรม สามารถประเมนิ ได้โดยแยกเปน็ ประเภทตามลักษณะของการรวบรวม
ขอ้ มูล คือ ข้อมลู เบื้องต้น ได้แก่ การสังเกต การสัมภาษณ์ การสอบถาม การสอบถาม การพิจารณาผลงาน ข้อมูล
ขั้นท่ีสอง ได้แก่ การสมั ภาษณ์ ผู้ทมี่ ขี อ้ มูลหรอื คัดลอกจากแหล่งใดแหล่งหนง่ึ ซึง่ เครื่องมือทใี่ ชใ้ นการประเมินการ
ฝึกอบรม ไดแ้ ก่ การบนั ทึกข้อมูล การสังเกตพฤติกรรม แบบสอบถาม แบบประเมินคา่ แบบประเมนิ ผลงาน
พฤติกรรม แบบสมั ภาษณ์ แบบทดสอบความรู้ ผลสมั ฤทธ์ิ แบบสังเกตพฤติกรรม การปฏิบัตงิ านแบบวดั ทัศนคติ
แบบวดั บคุ ลิกภาพ
4.2 การประเมินกระบวนการฝึกอบรมมเี ครื่องมือ คือ การจดบนั ทึกข้อมลู เปน็ การบันทึกขอ้ มูลตา่ งๆ ที่
ตอ้ งการจะประเมิน มีการบนั ทึก เช่น วัน เวลา สถานที่ หัวขอ้ บรรยาย กจิ กรรม สภาพการอบรม ปัญหา อปุ สรรค
สาเหตุ การสังเกตพฤติกรรม คอื การทผี่ ู้ประเมิน สังเกตหรือเฝา้ ดู พฤติกรรม แบบรวมๆ หรอื สังเกตพฤติกรรม
ย่อยก็ได้ ผสู้ ังเกตควรสงั เกตหลายๆ ครัง้ ในช่วงเวลาสัน้ ๆ ท่ีตรงกนั บนั ทกึ สภาพพฤติกรรมท่ีเห็นแล้วจึงบันทึก
พฤติกรรมทส่ี ังเกตบ่อย กบั พฤติกรรมท่ีไม่ค่อยพบบ่อย
4.3 การประเมนิ ผลการฝึกอบรม เปน็ การประเมนิ ผลที่ได้จากการอบรมส้นิ สุดลงแลว้ เครื่องมือทใี่ ช้
จำแนกตามส่ิงท่ีต้องการประเมินไดเ้ ปน็ 4 ประเภท คือ
1) การวัดทดสอบความรู้ และผลสัมฤทธิ์ของการอบรม เคร่ืองมือท่ใี ช้ ได้แก่ แบบทดสอบความรู้
ความจำความเขา้ ใจ
2) การวัดปฏิกิริยาของผเู้ ข้ารับการอบรม เป็นการประเมินความรูส้ ึก ความคิดเหน็ ของผ้เู ข้ารับ
การอบรมตอ่ การจัดอบรม
3) ประเมนิ ผลงาน เปน็ การประเมินผลงานทผี่ ้เู ขา้ อบรมทำขนึ้ ควรระบุ ลกั ษณะของผลงานว่ามี
รปู รา่ งลักษณะอยา่ งไร คณุ ภาพมาตรฐานวิธีการใช้เปน็ อย่างไร โดยผู้ประเมินกำหนดเกณฑ์ขึ้นมาก่อน
4) ประเมนิ ทกั ษะ เปน็ การประเมนิ ทักษะของผูเ้ ข้าอบรม เช่น การอบรมการ แก้เครอ่ื งยนต์
ทักษะ ก็คือ การแก้เคร่อื งยนตไ์ ด้ หรืออบรมการใช้คอมพิวเตอร์ ทกั ษะ กค็ ือ ความสามารถในการใชค้ อมพิวเตอร์
ไดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคล่ว เปน็ ต้น
สรปุ วธิ ปี ระเมนิ ผลฝกึ อบรมสำหรบั งานวิจยั ในครัง้ นี้ การประเมินความรู้ ความสามารถของ
ผสู้ ูงอายุ หลงั จากไดร้ บั การฝึกอบรมซงึ่ จะประเมนิ ผล ความรใู้ นเรอื่ งท่ีฝึกอบรมจาก แบบทดสอบ ทักษะในการ
ปฏิบตั ิงานจากคะแนนการวัดทักษะการปฏบิ ตั ิงาน แบบ Rubric Scale และ ประเมินความพงึ พอใจในการ
ฝกึ อบรมโดยใช้แบบสอบถามความพงึ พอใจแบบมาตราสว่ นประมาณค่า
5. หลักการจัดฝกึ อบรมใหก้ ับผใู้ หญ่ ลักษณะการเรียนรขู้ องผู้ใหญท่ ร่ี วบรวมไว้มีดงั นี้ (จงกลน,ี
2542)
5.1 ผู้ใหญไ่ มต่ ้องการถกู ปฏบิ ัตเิ หมือนกับตนเองเป็นเด็ก เพราะผใู้ หญ่สามารถท่ีจะ รับผดิ ชอบได้ เคารพ
ตนเองและก าหนดวิถีของตนเอง
5.2 ผูใ้ หญม่ ปี ระสบการณม์ ากมายหลายอยา่ งทีส่ ามารถจะนำเอามาใชไ้ ด้ในการอบรม ผู้ใหญ่มักจะไม่
สนใจเรียนรูเ้ ก่ียวกับเรื่องทม่ี ีเนือ้ หามากๆ หรือการทจี่ ะตอ้ งจดจำขอ้ เท็จจริงหรือตัวเลขท่ี มากมายหรือการพูดถงึ
ทฤษฎเี พยี งอยา่ งเดยี ว แต่ผูใ้ หญ่จะตอ้ งแสวงหาสงิ่ ทแี่ ท้จริงและคุณค่าในด้านอ่นื ๆ ดว้ ย
5.3 ผ้ใู หญ่จะเรียนรู้ได้ดีทส่ี ุดในสภาพการณท์ ี่นา่ รน่ื รมย์
5.4 ผู้ใหญ่จะเรยี นรไู้ ดเ้ รว็ กว่าหากได้มีสว่ นร่วมในกจิ กรรมในการอบรม โดยเฉพาะหากมีการทำจรงิ ปฏบิ ตั ิ
จริงแทนที่จะเปน็ การน่งั ฟงั การบรรยายเพียงอย่างเดียว
5.5 ผู้ใหญจ่ ะเรียนรไู้ ด้ดี เมอ่ื อยใู่ นสภาพท่พี ร้อมและพอใจท่ีจะเรยี น
5.6 ผู้ใหญ่จะเรียนรู้ได้เรว็ ท่สี ุดโดยหลกั “ความเก่ียวพันธ์กัน” ซ่ึงหมายถึง ทุกขอ้ เทจ็ จริง ทกุ แนวคดิ และ
ความคดิ รวบยอดทั้งหลายน้ันจะสามารถเรียนรู้ได้ดที ี่สดุ เมื่อสิง่ เหลา่ นเ้ี กี่ยวโยงกับส่ิงท่ีเคยร้หู รือมีประสบการณ์
มาแลว้
5.7 การเปิดโอกาสให้ผใู้ หญไ่ ด้ค้นพบตัวเอง เรยี นรู้ดว้ ยตนเอง จะเป็นกจิ กรรมท่แี ต่ละคนสามารถ
รบั ผดิ ชอบด้วยตัวเอง ในสดั ส่วนเวลาของตนเอง โดยมีผู้เชย่ี วชาญหรอื ผ้รู คู้ อยแนะนำ ซึ่งการเรยี นโดยวิธีน้ผี ู้ใหญจ่ ะ
เรยี นไดด้ ี
5.8 ผู้ใหญแ่ ต่ละคนเรยี นรู้ได้เรว็ หรอื ช้าในอัตราก้าวกระโดดทแี่ ตกต่างกัน และในสถานการณ์ท่แี ตกต่างกนั
ซึ่งมีปัจจัยทางด้านจติ วิทยาและทางด้านรา่ งกายเป็นตวั กำหนดขดี ความสามารถทางด้านการเรยี นรู้
5.9 สำหรบั ผู้ใหญแ่ ลว้ การเรียนรู้ คอื กระบวนการเรยี นรู้ตลอดชวี ติ ซงึ่ สามารถเรยี นรู้ ไดโ้ ดยไมม่ ีทส่ี ิน้ สดุ
ผูใ้ หญจ่ งึ มีความรู้มาก ซึ่งจะมีความหมายวา่ บางคนอาจจะมีประสบการณ์มากกวา่ วิทยากรหรือผู้สอน หรอื อาจจะ
มคี วามรูใ้ นบางเร่ืองมากกวา่ ผู้สอนก็ได้ รวมท้งั อาจจะมีความรู้มากกว่า ผเู้ ขา้ รว่ มอบรมในกลุ่มเดยี วกนั
5.10 ผูใ้ หญ่ชอบเรยี นรจู้ ากประสบการณ์ตรง ขณะที่การใช้ภาษาทา่ ทางและส่ือ ทศั นปู กรณ์ท่ีหลากหลาย
จะมีผลตอ่ การเรียนรู้มากกวา่ ส่อื ทเี่ ป็นภาษาเขยี น
5.11 ถึงแม้ว่าผ้ใู หญจ่ ะมีความรูส้ กึ ทางด้านเกยี รติภมู ิและศักดศิ์ รีค่อนขา้ งมาก แต่ผู้ใหญ่กย็ งั มคี วามพอใจ
และความอบอุ่นใจที่ได้รบั การยกย่องเช่นเดียวกบั เด็ก
5.12 กระบวนการเรียนรู้ของผใู้ หญจ่ ะได้ผลดีมากท่ีสดุ เม่อื การเรยี นรู้นั้นๆ สามารถนำไปประยุกตใ์ ชใ้ น
งานปัจจุบันได้
5.13 กระบวนการอบรมใหผ้ ใู้ หญ่ ควรเรม่ิ ตน้ จากภาพรวมก่อน ตอ่ จากนัน้ จงึ ระบุทลี ะสว่ นทีละข้ันตอน
จากน้นั จึงตามดว้ ยการแสดงให้เหน็ ภาพรวมอีกครัง้
5.14 นอกจากความสามารถของผู้ใหญ่แตล่ ะคนจะแตกต่างกนั แล้ว ความตอ้ งการที่แท้จริงของแต่ละคนก็
จะแตกต่างกนั ด้วย ท้ังในเร่ืองของทักษะเฉพาะ ความรู้ เทคนิค ทัศนคติ และประสบการณ์
5.15 อตั ราการหลงลมื ของผใู้ หญ่ อาจเกิดขน้ึ อยา่ งรวดเร็วและในทนั ทหี ลงั การอบรมได้
5.16 ทกุ สงิ่ ทุกอย่างอาจงา่ ยต่อการเรยี นรู้และการยอมรบั ของผู้ใหญ่ ถ้าหากการกระทำนั้นหรอื สิ่งนน้ั ไม่
ขัดกบั สิ่งที่ไดเ้ คยเรยี นรู้ หรอื เคยมปี ระสบการณ์มาก่อน
6. เทคนคิ ฝกึ อบรม
เป็นกจิ กรรมที่สำคญั ต่อการจัดฝกึ อบรมเป็นอยา่ งมากเพราะการอบรม เพ่ือเพม่ิ พนู สรรถภาพและ
ประสทิ ธภิ าพของบุคคล ในด้านความรู้ความเขา้ ใจ ทักษะและทัศนคติของผู้เขา้ รบั การฝึกอบรมอนั จะทำให้
สามารถนำสงิ่ ท่ีฝึกอบรมใหน้ ้ันไปปรับใช้ได้กับการปฏิบัติงานจรงิ ซ่งึ การสรา้ งภาวะการเรียนร้เู พ่อื เพ่มิ พูนส่งิ ตา่ งๆ
ดงั กลา่ วนน้ั ส่วนหน่ึงขน้ึ อยู่กับการประยุกต์ และเลือกใช้เทคนคิ และวิธกี ารฝึกอบรมรวมถึงสื่อการสอนทเ่ี หมาะสม
และสอดคลอ้ งกับวตั ถุประสงค์ของการฝึกอบรม เนื้อหาสาระในหลักสตู ร ผเู้ ขา้ รับการฝกึ อบรม ความรแู้ ละ
ความสามารถของผูเ้ ป็นวิทยากรในการเลือกเทคนิคทจ่ี ะถ่ายทอด สถานที่ ส่ิงอำนวยความสะดวก เคร่ืองมือ
เครือ่ งใช้ และวัสดุ อปุ กรณ์ รวมทั้งโสตทศั นูปกรณ์ ภายในระยะเวลาท่ีกำหนดให้ในแตล่ ะโครงการฝึกอบรม
ตลอดจน คา่ ใช้จา่ ย ฯลฯ เป็นต้น
6.1 ประเภทของเทคนคิ ในการฝึกอบรม สมคิด (2544) ได้แบ่งเทคนิคการฝึกอบรม ดังนี้
6.1.1 การบรรยาย (Lecture) เปน็ เทคนิควธิ ที ใี่ ชใ้ นการถา่ ยทอดความคดิ เหน็ ความรู้ตลอดจน
ข้อมลู ข้อเท็จจรงิ ใหแ้ กผ่ ู้ฟงั เปน็ เทคนิคท่แี พรห่ ลายและสามารถใชป้ ระกอบกบั เทคนคิ อ่ืนๆ ได้ แตม่ ีจุดด้อยตรงที่
ลกั ษณะของการบรรยายจะเป็นระบบส่อื สารทางเดียว ยง่ิ ถ้ามีเวลาจำกดั โอกาสที่จะให้ผู้ฟังได้มีส่วนรว่ มในการ
ซักถามหรอื แสดงความคิดเห็นเก่ียวกับเรอ่ื งท่บี รรยายจะไม่มีผู้บรรยายไม่สามารถประเมินได้วา่ เมอ่ื จบการบรรยาย
แล้วผฟู้ ังมคี วามรู้ ความเข้าใจ ในส่ิงที่บรรยายมากน้อยเพยี งใด ความสำเรจ็ ของการบรรยายจะข้ึนอย่กู บั
ความสามารถและประสบการณข์ อง ผู้บรรยาย กล่าวคือ ผู้บรรยายบางคนสามารถบรรยายเรอ่ื งทยี่ ากต่อการทำ
ความเข้าใจใหผ้ ฟู้ ังเกิดความ สนใจเกดิ ความกระจ่างเกดิ เป็นรูปธรรม นำไปสู่การปฏบิ ตั ิไดอ้ ยา่ งถูกต้อง สรปุ การ
บรรยายทีม่ ีการซักถามเป็นเทคนิคการฝึกอบรมท่ีเหมาะกับการ ฝกึ อบรม ท่มี วี ตั ถปุ ระสงคท์ ่ีต้องการให้ความรู้
ทกั ษะความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบุคคล การยอมรบั ของผูท้ ่ีมี สว่ นร่วม การเปล่ียนทัศนคติ ทกั ษะการแกป้ ัญหา แตไ่ ม่
เหมาะสำหรับความรทู้ ่ีได้จากการอบรมเพ่ือเสริมสรา้ งประสบการณ์ในแนวใหม่
6.1.2 การอภิปราย (Discussion) คอื การทก่ี ลุ่มคนท่ีมคี วามสนใจในปญั หาหรือเรอื่ งเดียวกนั
ตอ้ งการท่ีจะแลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ เพื่อหาข้อสรปุ ร่วมกนั ดว้ ยวธิ กี ารวิเคราะห์ และพิจารณาโดยอาศยั ความ
คดิ เห็นรว่ มกัน
ขอ้ ดี
1) การอภิปรายชว่ ยเปล่ยี นบรรยากาศในการฟังของผ้ฟู งั หรอื ผเู้ ข้ารับการอบรม โดยได้
สัมผสั กับแนวคิดและวิธกี ารพูดของผู้อภปิ รายในลกั ษณะหลากหลาย โดยเฉพาะการพูดโต้แย้งในการอภปิ รายเป็น
คณะ
2) การอภปิ รายเป็นคณะชว่ ยสร้างแนวคดิ ใหแ้ กผ่ ้ฟู งั ในทรรศนะที่ต่างกัน ทำใหเ้ กิดความ
รอบคอบในการตัดสนิ ใจเลอื กแนวทางที่ดที สี่ ุด สว่ นการอภิปรายแบบชมุ นมุ ปาฐกถา ผู้ฟงั จะรับความรู้จาก
ผู้ทรงคณุ วฒุ ิเฉพาะทาง ทำให้รจู้ ริง ไดป้ ระโยชนเ์ ต็มท่ี
3) การอภปิ รายเป็นการแสวงหาขอ้ สรุปและแนวทางในการ แกป้ ัญหาของผทู้ ี่มคี วาม
สนใจรว่ มกันในลกั ษณะที่มีความเปน็ ไปได้ของการนำไปใช้ เพราะความคดิ เหน็ ของผ้ทู รงคุณวุฒทิ ่ีมาอภิปรายบาง
เรือ่ งผูฟ้ ังรบั ได้ บางเรื่องต้องปรบั เปล่ยี นใหเ้ หมาะสมซง่ึ สามารถทำได้ในช่วงของคาบการอภิปราย (Forumperiod)
4) การอภิปรายทงั้ สองแบบสามารถใช้ไดก้ บั คนกลมุ่ ใหญ่
ขอ้ จำกดั
1) ผดู้ ำเนินการอภิปรายจะต้องเป็นผมู้ ีความสามารถและประสบการณเ์ กีย่ วกบั การ
อภปิ ราย จงึ จะสามารถควบคุมการอภปิ รายใหด้ ำเนินไปสู่เป้าหมาย และเวลาของการอภิปรายทก่ี ำหนดไว้
2) การพจิ ารณาเลือกเชิญผู้อภิปรายมคี วามสำคัญมากหากได้ผู้มีความรู้และ
ประสบการณ์สูงจะทำให้การอภปิ รายเกดิ ผลดีและให้ประโยชน์แกผ่ ้ฟู ัง
3) ผู้ฟังแมจ้ ะมีส่วนรว่ มในคาบของการอภิปราย แต่จัดว่ายงั มีสว่ นรว่ มน้อยบางครั้ง
บรรยากาศไม่ส่งเสรมิ ทำใหผ้ ู้ฟงั ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเท่าท่ีควร
6.1.3 การสาธติ (Demonstration) การที่วทิ ยากรแสดงและลงมือกระทำให้ผู้เข้ารบั การ
ฝกึ อบรมหรือผชู้ มดถู งึ กระบวนการขนั้ ตอนหรือการปฏิบัตอิ ยา่ งใดอย่างหนงึ่ ซ่ึงวิทยากรไม่ เพยี งแต่บอกหรืออธิบาย
วิธกี ารกระทำให้ผฟู้ งั และผู้ชมเทา่ น้นั แต่ยังจะตอ้ งกระทำให้ดูอยา่ งชดั เจนทุกขั้นตอน ซึ่งจะทำใหผ้ ู้เขา้ รับการ
ฝึกอบรมเกดิ ความเข้าใจมคี วามเชอ่ื ม่นั ยิง่ ขึน้ ท้ังต่อตวั วทิ ยากรและเนื้อหา ทเี่ รียนรจู้ ากการสาธิต (กรมปศุสัตว์
กองฝึกอบรม, 2538)
ข้อดี คือ เกิดความรู้ความเขา้ ใจเรว็ และมคี วามนา่ เชื่อถือสูง เพ่ิมทักษะของผเู้ ขา้ รบั การ
ฝึกอบรมได้ดี ไม่เบือ่ หน่าย สามารถปฏิบัติไดห้ ลายครง้ั นอกจากน้อี าภรณ์(2546) กล่าววา่ จุดเด่นของการสาธิต
คือ
1) ผูเ้ รียนสามารถเห็นจริงในงานท่จี ะทำการฝกึ ว่ามีข้ันตอนในการทำงานอย่างไรบ้าง
2) ทำใหผ้ ู้เรยี นสามารถทำความเข้าใจในข้นั ตอนการทำงานทไ่ี มส่ ามารถทำใหเ้ ข้าใจด้วย
วธิ ีการอน่ื ๆ
3) สามารถฝึกใช้ทกั ษะเบื้องต้นไดด้ ีกวา่ วิธีอืน่ ๆ
4) ผู้เรียนสามารถทำความเข้าใจได้อย่างรวดเรว็ เนื่องจากได้เห็นจริง จงึ ทำให้ไม่เสยี เวลา
ในการบรรยายมากมายใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจ
ข้อจำกดั คือ ต้องใชเ้ วลาเตรียมการมาก เหมาะกบั การฝกึ อบรมกลุ่มเลก็ ๆ วทิ ยากรตอ้ ง
มีความชำนาญจริงๆ และต้องไมพ่ ลาด ข้นั ตอนการดำเนนิ การสาธิต
1) ขั้นการเตรยี ม
1.1) กำหนดจุดประสงคใ์ นการสาธติ ให้ชดั เจน
1.2) จดั ลำดับเนื้อหาตามขนั้ ตอนให้เหมาะสม
1.3) เตรยี มกิจกรรมการเรยี นการสอน สิ่งที่จะให้นักเรียนปฏิบตั ิ ตลอดจน
คำถามทใี่ ชใ้ ห้รอบคอบ
1.4) เตรียมสอื่ การเรียนการสอนและเอกสารประกอบให้พร้อม
1.5) กำหนดเวลาในการสาธิตใหพ้ อเหมาะ
1.6) ก าหนดวธิ ีการวดั ผลประเมินผลทชี่ ัดเจน
1.7) เตรียมสภาพห้องเรียนให้เหมาะสมเพอ่ื ใหน้ กั เรยี นมองเหน็ การสาธติ ได้
ท่ัวถงึ
1.8) ทดลองสาธติ เพื่อให้แน่ใจว่าไมเ่ กิดการติดขัด
2) ขัน้ การสาธิต
2.1) บอกจุดประสงคก์ ารสาธิตให้ผูเ้ ข้าอบรมทราบ
2.2) บอกกจิ กรรมที่นกั เรยี นจะตอ้ งปฏิบตั ิ เช่น นกั เรยี นจะตอ้ ง จดบนั ทึก
สงั เกตกระบวนการ สรุปขั้นตอน ตอบคำถาม เป็นต้น
2.3) ดำเนนิ การสาธติ ตามล าดับข้ันตอนทเี่ ตรียมไว้ ประกอบกบั การอธิบาย
อย่างชดั เจน
3) ขัน้ สรปุ ประเมนิ ผล
3.1) ผ้สู อนเปน็ ผู้สรปุ ความสำคัญ ขน้ั ตอนของสิ่งท่ีสาธติ นั้นดว้ ยตนเอง
3.2) ให้ผูเ้ รยี นเป็นผูส้ รุป เพ่อื ประเมินว่าผู้เรยี นเขา้ ใจเน้อื เร่ือง ขั้นตอนการ
สาธิตมากนอ้ ยเพียงใด เช่น ใหต้ อบคำถาม ให้เขยี นรายงาน ให้แสดงการสาธติ ให้ดู ฯลฯ
3.3) ผู้สอนอาจใช้วิธกี ารต่างๆ เพอ่ื ประเมนิ วา่ ผู้เรยี นมีความเขา้ ใจเนื้อเรือ่ ง
ข้ันตอนการสาธิตมากน้อยเพียงใด เช่น ให้ตอบคำถาม ใหเ้ ขียนรายงาน ให้แสดงการสาธติ ใหด้ ู ฯลฯ
3.4) ผสู้ อนควรเปิดโอกาสให้ผูเ้ รยี นได้ซกั ถามหรือแสดงความ คิดเหน็ ภายหลงั
การสาธติ แลว้
6.1.4 การสอน (Coaching) เป็นการแนะนำให้รู้วิธปี ฏบิ ตั ิงานให้ถูกต้องโดยปกติ จะเปน็ การสอน
หรืออบรมในระหวา่ งการปฏบิ ตั ิงาน อาจสอนเปน็ รายบคุ คลหรอื สอนเปน็ กลุ่มเลก็ ๆ ซ่งึ ผู้สอนต้องมปี ระสบการณ์
และทักษะในเร่อื งท่สี อนจรงิ ๆ วธิ กี าร คอื หวั หนา้ งานสอนการทำงานมี
ขอ้ ดี คือ เน้นเนอื้ หาตามความเหมาะสมของแตล่ ะคน
ขอ้ จำกดั คือ คณุ ค่าข้ึนกับผ้สู อนงานซ่งึ ส่วนใหญ่คือหัวหน้างาน
6.1.5 การระดมสมอง (Brainstorming) เป็นการประชุมกล่มุ เล็กไม่เกนิ 15 คน เปิดโอกาสใหท้ กุ
คนแสดงความคดิ เห็นอยา่ งเสรีโดยปราศจากข้อจำกดั หรือกฎใดๆ ในหัวข้อใดหวั ข้อหนงึ่ หรอื ปัญหาใดปัญหาหนง่ึ
โดยไมค่ ำนงึ วา่ จะถูกหรือผิด ดีหรอื ไม่ดี ความคิดหรือข้อเสนอทกุ อย่างจะถูกจดไวแ้ ล้วนำไปกลนั่ กรองอกี ช้นั หนึ่ง
ดัง้ นน้ั พอเรม่ิ ประชุมต้องมกี ารเลอื กประธานและเลขานุการของกลมุ่ เสยี ก่อน วธิ กี าร คอื ผู้เข้ารับการฝึกอบรมทุก
คนเสนอความคดิ เหน็ แล้วชว่ ยกันสรุป
6.1.6 การประชมุ กลุ่มยอ่ ย (Buzz session) เปน็ การแบ่งผู้เข้ารับการฝึกอบรม เป็นกลุ่มย่อยจาก
กลุม่ ใหญ่ กลุ่มย่อยละ 2-6 คน เพอ่ื พิจารณาประเดน็ ปญั หาอาจเปน็ ปญั หาเดยี วกัน หรือตา่ งกนั ในช่วงเวลาท่ี
กำหนด มวี ิทยากรคอยช่วยเหลือทกุ กลมุ่ แต่ละกลุม่ ต้องเลือกประธานและ เลขานุการของกลุ่มเพ่ือดำเนนิ การแล้ว
นำความคิดเหน็ ของกลุม่ เสนอตอ่ ทีป่ ระชมุ ใหญ่ วธิ ีการ คือกลมุ่ ชว่ ยกนั วเิ คราะหป์ ญั หาท่ีไดร้ ับมอบหมายข้อดี
ขอ้ จำกดั
6.1.7 การแสดงบทบาทสมมติ (Role playing) เปน็ เทคนิคที่นำเอาเรือ่ งท่ีเป็นกรณตี วั อย่างมา
เสนอในรูปแบบการแสดงบทบาท ใหผ้ เู้ ขา้ รบั การอบรมได้เหน็ ภาพชดั เจน ไดส้ ัมผสั กับประสบการณ์และความรูส้ ึก
ท่ีแทจ้ รงิ เกย่ี วกับปัญหาที่เปน็ กรณีตัวอย่าง การแสดงบทบาทสมมติช่วยให้ผู้เข้ารับการอบรมไดร้ บั ทราบข้อมลู และ
เรอื่ งราวที่ตรงกับเน้ือเร่ืองท่ีใชใ้ นการศึกษาแนวเดยี วกนั ซึ่งต่างจากกรณศี ึกษาทผ่ี ู้เขา้ รบั การอบรมอ่านเนื้อหาแลว้
ต้องจินตนาการและตคี วามหมายของปัญหาในบางครัง้ อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจไขว้เขวได้ นอกจากนี้หลังการ
แสดงบทบาทสมมตแิ ลว้ ผ้เู ข้ารับการอบรม สามารถวเิ คราะหป์ ญั หาได้ พร้อมกันทงั้ กลุ่มใหญ่หรอื กลมุ่ ย่อยได้ ทำ
ใหไ้ ด้ข้อสรุปเพื่อการแก้ปัญหาการแสดงบทบาทสมมติ ผูใ้ หก้ ารฝึกอบรมจะต้องเตรยี มเรื่อง เนอ้ื หา และบทบาท
ของตวั ละครไว้ ลว่ งหน้า ส่วนผแู้ สดงบทบาทจะใช้วิธอี าสาสมัครจากสมาชิกผเู้ ข้าอบรม เพ่ือให้การแสดงบทบาทได้
สมจริง และในการแสดงผใู้ หก้ ารอบรมเปน็ เพียงแต่ให้ข้อมูลพร้อมทั้งชีแ้ จงได้เข้าใจเนอื้ เรื่องและบทบาทของตน ผู้
แสดงจะแสดงออกตามความรู้สึกนึกคิดของตนในบทท่ีไดร้ บั มอบหมาย สมาชิกที่ไดเ้ ขา้ รับการ อบรมท่เี ปน็ ผู้ดูจะ
ได้รับการบอกเล่าเรื่องราวและปญั หาอย่างย่อๆ ส่วนรายละเอยี ดให้สงั เกตจาก พฤตกิ รรมของผ้แู สดง หลักการ
แสดงบทบาท ผู้เข้ารับการอบรมจะอภปิ รายโดยใชป้ ระสบการณ์เรียนรู้ มาวิเคราะหป์ ัญหาจากพฤตกิ รรมทีแ่ สดง
บทบาทสมมติ พร้อมทัง้ แสดงแนวทางในการแก้ปญั หา
ข้อดี
1) การใช้บทบาทสมมตชิ ว่ ยกระตุน้ ใหส้ มาชิกผู้เขา้ รบั การอบรมเกดิ ความสนใจ
เรอ่ื งที่อบรม
2) ส่งเสริมใหผ้ ูเ้ ขา้ รบั การอบรมได้แสดงออกดว้ ยการปฏิบัตจิ รงิ ทำให้
ประสิทธิภาพของการเรยี นรูเ้ พมิ่ ขึน้
3) เปิดโอกาสใหผ้ ู้เขา้ รับการอบรมได้ทดลองแสดงบทบาทตาม แนวคิด และ
สามารถแสดงบทบาทซ้ำได้ เพื่อใหเ้ กิดความเข้าใจและหาข้อสรปุ ได้
4) เป็นเทคนิคทีส่ ามารถใชไ้ ด้ทัง้ ในกรณีทม่ี ีการวางแผนลว่ งหน้าและ ไม่ได้
วางแผนลว่ งหน้า
5) สง่ เสรมิ ความคิดริเร่มิ ของผู้เขา้ รบั การอบรม
ขอ้ จำกัด
1) การใชเ้ ทคนิคนผี้ ใู้ ห้การอบรมอาจมีความย่งุ ยากเกีย่ วกับการ เตรียมการ
ลว่ งหนา้
2) การแสดงบทบาทสมมติต้องใช้เวลามาก ซึง่ มีผลต่อระยะเวลา การฝึกอบรม
3) การหาอาสาสมคั ร เพอื่ แสดงบทบาทเป็นอุปสรรค เพราะบางคนไม่กล้า
แสดงออก
4) ผู้ให้การฝึกอบรมต้องเปน็ ผู้มคี วามสามารถในการเชอื่ มโยง ความคดิ ของ
สมาชิกทีเ่ ข้าอบรมไปสู่ข้อสรปุ ได้
6.1.8 การสมั มนา (Seminar) เปน็ การประชมุ ของผูท้ ่ีปฏบิ ัตอิ ย่างเดยี วกนั หรือคลา้ ยกันแล้วพบ
ปญั หาเหมอื นๆ กัน เพ่ือรว่ มกันแสดงความคิดเหน็ หาแนวทางปฏิบตั ใิ นการแก้ปัญหา ทุกคนทีไ่ ปรว่ มการสัมมนา
ต้องช่วยกันพดู ชว่ ยกนั แสดงความคิดเหน็ ปกตจิ ะบรรยายใหค้ วามร้พู ืน้ ฐาน ก่อนแล้วแบ่งกลุ่มยอ่ ย จากน้ันนำผล
การอภิปรายของกลุ่มยอ่ ยเสนอทป่ี ระชุมใหญ่ วธิ ีการ คือ ทุกคน รว่ มกันอภิปรายเสนอความคดิ มีข้อดี คือ เปน็
การแลกเปลีย่ นความรู้ประสบการณ์ ผู้เขา้ รับการ ฝึกอบรมมโี อกาสมีส่วนรว่ มมาก ผลสรปุ ของการสมั มนานำไป
เป็นแนวทางแก้ปัญหาไดด้ ีสว่ นข้อจำกัด คอื ท่ีปรกึ ษากลมุ่ หรือสมาชิกบางคนอาจครอบงำความคิดของผอู้ ื่นได้
เพราะวยั วฒุ หิ รือคุณวฒุ หิ รอื ตำแหนง่ หน้าทกี่ ารงาน ถ้าเวลาจำกดั รีบสรปุ ผลอาจได้ขอ้ สรุปที่ไม่น่าพอใจ
6.1.9 การศึกษาดูงานนอกสถานท่ี (Field Trip) เป็นการนำผ้เู ขา้ รบั การฝึกอบรม ไปศึกษายัง
สถานทีอ่ ืน่ นอกสถานที่ฝกึ อบรม เพอื่ ใหพ้ บเหน็ ของจริงซึ่งผู้จัดตอ้ งเตรียมการเปน็ อยา่ งดี วธิ ีการ คือ นำผเู้ ข้ารบั
การฝกึ อบรมไปศกึ ษาดูงานนอกสถานที่ ข้อดี คือ เพมิ่ ความรคู้ วามเขา้ ใจได้เห็น การปฏบิ ัติจรงิ สรา้ งความสนใจ
และความกระตือรือรน้ สร้างความสัมพนั ธร์ ะหว่างผเู้ ข้ารบั การฝกึ อบรม สว่ นขอ้ จำกดั คือ ต้องใช้เวลาและเสยี
ค่าใช้จา่ ยมาก ต้องไดร้ บั ความร่วมมือจากทกุ ฝ่ายโดยเฉพาะเจา้ ของ สถานที่ที่จะไปศกึ ษา
6.1.10 การประชมุ เชิงปฏบิ ตั ิการ (Workshop) เป็นรปู แบบของการฝกึ อบรมที่ สง่ เสรมิ ใหผ้ ้เู ขา้
รับการอบรมเกิดการเรยี นร้ทู ั้งด้านทฤษฎแี ละปฏบิ ัติ สามารถนำสงิ่ ทีไ่ ดร้ บั ไปปฏบิ ตั ิงานใน สถานการณจ์ ริงท่ีผู้เข้า
อบรมปฏบิ ตั ิอยู่ ลักษณะของการประชมุ เชงิ ปฏิบตั ิการจะแบ่งออกเปน็ 2 สว่ น คอื
1) เป็นการให้ความรู้ของวทิ ยากรเพ่ือเพ่ิมพูนความรคู้ วามเขา้ ใจ ให้แก่ผูเ้ ขา้ รบั การอบรม
ใหส้ ามารถแกไ้ ขข้อขัดขอ้ งในการทำงาน กำหนดแนวทางในการปฏิบตั แิ ละปรับปรงุ งาน
2) เปน็ การปฏบิ ัติการของผู้เข้ารับการอบรมทจี่ ะหารือ อภปิ ราย ให้ไดแ้ นวทางแก้ปญั หา
หรอื วิธกี ารปฏบิ ัติงาน โดยอาจจะดำเนินการทัง้ กลุ่มใหญห่ รอื แบง่ เป็นกลมุ่ ย่อย ซึ่งการดำเนนิ การของส่วนทีส่ อง
จะอาศยั หลกั วชิ าการหรือหลักการท่ีวทิ ยากรได้บรรยายหรืออภิปรายมาใช้ ประกอบเปน็ แนวทาง
ขอ้ ดี
1) การประชมุ ปฏบิ ัติการส่งเสริมการมีส่วนรว่ มของผเู้ ข้ารบั การอบรมทกุ คน
2) ผู้เข้าอบรมมีอสิ ระในการคิดและปฏบิ ตั ิงานกลมุ่
3) ผู้เข้ารบั การอบรมสามารถนำผลการประชุมปฏบิ ัติการไปใชใ้ นการดำเนนิ งาน และ
ปฏิบตั งิ านในหน่วยงานของตน
ขอ้ จำกดั
1) จะต้องใชเ้ จ้าหน้าท่ีจำนวนมากเพอื่ อำนวยความสะดวกต่อผเู้ ขา้ รบั การอบรมในแต่ละ
กลุ่ม รวมทั้งการจัดวิทยากรประจำกลุม่
2) ต้องใช้เวลามากโดยเฉพาะเวลาสำหรบั การปฏิบตั งิ านกลุ่ม
6.2 การเลอื กใช้เทคนิคการฝึกอบรม การเลอื กใชเ้ ทคนิคการฝึกอบรมให้เหมาะกบั โครงการฝกึ อบรมใน
แต่ละครงั้ น้นั เป็นเรอื่ งทส่ี ำคัญเป็นอย่างย่งิ เพราะการใช้เทคนิคการฝึกอบรมที่ เหมาะสมนน้ั สามารถช่วยให้เกิด
การเรียนและการเปลี่ยนแปลงดา้ นตา่ งๆ ซงึ่ ได้แก่ ความรู้ ทักษะ และทัศนคตขิ องผู้เขา้ รับการฝึกอบรมได้ตาม
วัตถุประสงค์ สถานการณ์และปัจจัยอ่ืนๆ ของโครงการฝกึ อบรมน้นั ๆ ดงั นี้
6.2.1 วัตถุประสงคข์ องโครงการฝึกอบรม การเลอื กเทคนิคการฝกึ อบรม จะต้องคำนงึ ถงึ
วตั ถปุ ระสงค์ของโครงการฝึกอบรมว่า ตอ้ งการใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงความรู้ หรอื ทักษะ หรอื เจตคติ หรอื ทงั้ 3
ดา้ นไปพร้อมๆ กัน ถ้าต้องการใหเ้ กดิ ความรู้เฉพาะอยา่ งยง่ิ ความรู้ระดบั ความจำความเข้าใจ และมผี เู้ ข้ารบั การ
อบรมจำนวนมาก อาจจะใชเ้ ทคนคิ การบรรยายได้ แตถ่ ้าจะตอ้ งการใหผ้ เู้ ข้าฝกึ อบรมจำไดแ้ มน่ ยำและจำได้นาน
และเข้าใจได้อยา่ งลึกซึง้ มากยิ่งขนึ้ น้ัน อาจจะต้องใช้ กิจกรรม หรือโสตทัศนปู กรณต์ า่ งๆ ประกอบการบรรยายด้วย
น่าจะเป็นประโยชน์ได้อยา่ งมากและ นา่ จะเปน็ การส่งเสริมให้ผเู้ ขา้ รับการฝกึ อบรมไดม้ ีโอกาสใช้ประสาทสมั ผสั ทุก
ดา้ นซ่ึงจะช่วยให้การฝึกอบรมในแตล่ ะคร้ังได้รบั ความสำเร็จตามวตั ถุประสงค์ได้
6.2.2 ต้องสอดคล้องกบั เนื้อหาสาระในหลักสูตร เพราะเนื้อหาสาระน้ันจะต้องมีความยากง่าย
พอเหมาะกับความรู้ความสามารถและต้องมีความต่อเน่ืองกับพื้นฐานเดิมของผู้เขา้ รบั การฝกึ อบรมอีกด้วย โดย
ปกติแล้วเพ่ือหาสาระของหลักสูตรใหส้ อดคล้องกับวตั ถปุ ระสงค์ของโครงการ ฝึกอบรมแล้วมกั จะแบง่ เน้ือหาออก
ไดเ้ ป็นเนอื้ หาประเภทข้อเท็จจรงิ ความรทู้ ั่วไป แนวคิดและหลกั การ การแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์
ความสามารถ ทักษะและทศั นคติ ซึ่งในทำนองเดยี วกนั ก็ไม่อาจแยก เน้ือหาสาระของวิชาใดวชิ าหนงึ่ ออกจาก
กจิ กรรมวิธกี ารหรอื เทคนิคการฝึกอบรมไดแ้ ต่อยา่ งใด
6.2.3 ในการใชเ้ ทคนิคการฝึกอบรมต้องคำนึงถงึ ผูเ้ ข้ารบั การฝึกอบรมเป็นสำคญั อนั ได้แก่ ระดับ
ของความรู้ความสามารถ ระดับการศกึ ษา อายุ เพศ และจำนวนผเู้ ขา้ รบั การฝกึ อบรมด้วย ผเู้ ข้ารบั การอบรมทีม่ ี
ระดับความสามารถและความฉลาดสงู มากๆ ชอบที่จะเรยี นรู้ และเรยี นไดด้ ี ในบรรยากาศของความเป็น
ประชาธปิ ไตยและเปน็ กนั เองมาก แตม่ ุ่งท่ีจะเรยี นโดยกระบวนการกลมุ่ น้อย และเนน้ การเรียนรตู้ ามลำพังมากกว่า
จงึ เหน็ ไดว้ ่า เทคนิคการฝกึ อบรมทจ่ี ะนำมาใชน้ ้ันตอ้ งเปดิ โอกาสให้ ผเู้ ข้าฝึกอบรมท่ีมคี วามฉลาดมากมีอสิ รภาพที่
จะเรียนรู้ในบรรยากาศทีเ่ ปน็ ประชาธิปไตย การฝกึ อบรมน้ันๆ ก็ตอ้ งเอ้ืออำนวยให้บุคคลเหลา่ นไ้ี ดเ้ รียนรู้ตามลำพงั
ให้มากกวา่ ผมู้ ีความสามารถและความเฉลยี ว ฉลาดไม่ค่อยมากนกั เป็นต้น ผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมทีม่ คี วามสามารถ
และมีความฉลาดพอสมควรนั้น คอ่ นขา้ งจะได้รบั ผลประโยชนแ์ ละเรยี นรู้ได้ดีในบรรยากาศของการเปน็
ประชาธปิ ไตยหรือมสี ว่ นรว่ มในกระบวนการเรยี นรู้ให้มากท่ีสดุ เท่าทจ่ี ะทำได้ ดังนัน้ การฝึกอบรมควรจะเป็น
ประสบการณ์ที่นา่ รื่นรมย์ และมีเสรีภาพสว่ นผู้เขา้ รบั การฝกึ อบรมทีม่ คี วามรู้ความสามารถและความเฉลยี วฉลาด
นอ้ ย ชอบทีจ่ ะเรียนร้แู ละเรยี นร้ไู ดด้ ีโดยการใชเ้ ทคนคิ การฝึกอบรมประเภทท่ีครูหรอื วิทยากรเป็นศูนย์กลาง
มากกว่า วิธีการเรียนรู้อ่ืนๆ นอกจากดา้ นความรู้ความสามารถและความเฉลยี วฉลาดของผ้เู ขา้ รับการฝกึ อบรม แล้ว
ตอ้ งคำนึงถึงระดบั การศึกษาหรอื ประสบการณเ์ ดิมของเขาด้วย กล่าวคอื เทคนิคทใ่ี ชต้ ้องไม่ยงุ่ ยาก สลับซับซ้อน
มากจนเกนิ แก่การทำความเข้าใจ ใหแ้ ก่ผูเ้ ขา้ รบั การอบรมท่ีมีระดบั การศึกษาไมส่ งู นัก และหากใชเ้ ทคนิคการ
ฝกึ อบรมทง่ี ่ายจนเกนิ ไปกับผู้เข้ารบั การฝึกอบรมทม่ี รี ะดบั การศกึ ษาสงู ๆ กจ็ ะทำให้เกดิ ความเบื่อหนา่ ยและไม่
ก่อให้เกดิ ผลดตี อ่ การเรยี นร้แู ต่อยา่ งใด ในทำนองเดียวกันอายหุ รือวัยของผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมก็มคี วามสำคญั ที่
ตอ้ งคำนึงถึง เพราะธรรมชาติของการเรยี นรู้ของเด็กแตกตา่ งจากธรรมชาติ ของการเรียนรขู้ องผูใ้ หญ่ วิธีการ
กจิ กรรม โสตทัศนปู กรณ์ และเทคนคิ การฝึกอบรมกจ็ ะต้องแตกตา่ งไปดว้ ย ในการใช้เทคนิคการฝกึ อบรมและการ
จดั กิจกรรมนั้นจะต้องใหส้ อดคลอ้ งกับความแตกต่างดงั กล่าว ไม่วา่ จะเปน็ ความตอ้ งการที่จะรู้ถงึ เหตุผลทวี่ ่าทำไม
จะตอ้ งเรยี นรู้ การมีความเขา้ ใจในตนเองบทบาทของ ประสบการณ์ ความร้เู พื่อจะเรียนรู้ แนวโน้มของการเรียนรู้
และรวมถึงแรงจูงใจทจ่ี ะต้องการจะเรียนรู้อีกด้วย
6.2.4 ตอ้ งคำนงึ ถงึ จำนวนผู้เข้ารบั การฝกึ อบรมสำหรบั จำนวนผเู้ ขา้ รบั การ ฝึกอบรมก็มี
ความสำคญั ต่อการเลือกใชเ้ ทคนิคการฝึกอบรมถ้าจำนวนคนมมี ากคงจะตอ้ งใชเ้ ทคนิค ประเภทบรรยาย การ
อภปิ รายเปน็ คณะ เพราะคงจะไมส่ ามารถใช้เทคนคิ การฝกึ อบรมประเภทที่เปดิ โอกาสให้ผู้เข้ารับการอบรมได้
กระทำหรือเรยี นโดยอาศัยกระบวนการกลมุ่ แต่อยา่ งใด
6.2.5 ความร้คู วามสามรถของวทิ ยากร เพราะถ้าวทิ ยากรขาดความรู้ ความสามารถและทกั ษะใน
การใช้เทคนิคการฝึกอบรมบางประเภท จะสง่ ผลให้การฝกึ อบรมไมส่ ามารถ บรรลุวัตถปุ ระสงค์ได้ ซ่ึงอรพรรณ
(2537) ได้กลา่ วถงึ คุณลักษณะของวทิ ยากรท่ีดี ไว้ดังน้ี
1) วิทยากรควรมีความร้คู วามสามารถและทกั ษะในสาขาวิชาที่ บรรยายเปน็ อย่างดี และ
เป็นผทู้ ส่ี ามารถให้ข้อคิดและข้อเสนอแนะท่เี ปน็ ประโยชน์แก่ผูเ้ ขา้ รับการ ฝกึ อบรม
2) วทิ ยากรควรมีประสบการณ์ตรงจากการปฏิบัติงานในหนา้ ที่ และสามารถนำเสนอ
ประสบการณ์ดงั กล่าว เพื่อประโยชนแ์ กผ่ ูเ้ ขา้ รบั การฝกึ อบรม
3) วทิ ยากรควรเปน็ ผู้ที่มที ักษะและความสามารถพิเศษในการ นำเสนอเร่ืองราวตา่ งๆ
ให้นา่ สนใจ น่าติดตาม เชน่ มีความสามารถในการเลา่ เร่ือง มีความสามารถใน การวาดภาพประกอบการบรรยาย
หรือการวา่ กลอนสดในเรื่องที่บรรยาย เป็นต้น
4) วทิ ยากรทดี่ ีตอ้ งมีความสามารถในการใชส้ ่ือตา่ งๆ ประกอบการ บรรยาย ซ่ึงจะชว่ ย
ทำให้เรื่องราวที่นำเสนอนา่ สนใจ จดจำไดน้ าน และชว่ ยให้เรอื่ งยากๆ เขา้ ใจได้ง่ายข้ึน
5) วิทยากรควรมจี ติ วทิ ยาในการฝกึ อบรม คือ มีความเข้าใจ ความรสู้ ึกของผูเ้ ขา้ รับการ
ฝกึ อบรม เข้าใจลักษณะการเรียนรู้ของผใู้ หญ่ และเขา้ ใจพฤตกิ รรมกลุ่ม
6) วิทยากรควรมีมนุษย์สมั พันธ์ท่ดี ี มหี น้าตาย้มิ แย้มแจ่มใส จงึ จช่วยใหผ้ เู้ ข้ารับการ
ฝกึ อบรมรู้สึกสบายใจ และมีความกระตือรอื รน้ ท่ีจะร่วมกจิ กรรมต่างๆ ด้วยความสมัครใจ
7) วิทยากรควรเปน็ คนใจกวา้ งและมีเหตุผล ในการรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของผ้เู ข้ารบั การ
ฝึกอบรม ควรกระทำโดยใหเ้ กียรตแิ ละจริงใจ