หน้าปกหนังสือส่วนใน
หน้าลิขสิทธิ์
คำนำ ป่าโคกผาส้วมเป็นหนึ่งในป่าชมชุนที่มีทรัพยากรที่หลากหลายและมีคุณค่ายิ่ง สมควรแก่การอนุรักษ์ไว้ ซึ่งมีมนต์เสน่ห์ที่น่าหลงใหลสำหรับนักท่องเที่ยงเชิง ธรรมชาติและเชิงอนุรักษ์ สำหรับผู้เขียนเองได้หลงใหลธรรมชาติแห่งนี้มานานหลายปี ได้เดินสัมผัสกับป่าไม้นานาพรรณ นั่งมองลิงที่อยู่รวมกันเป็นฝูงเพื่อความอยู่รอดของ เผาพันธุ์ รวมทั้งขุดกระดูกของไดโนเสาร์ที่บอกเล่าเรื่อยราวของมันในแต่ละชิ้น หนังสือเล่มนี้จะเป็นการแนะนำและการเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ที่ต้องการจะ สัมผัสมนต์เสน่ห์ของป่าโคกผาส้วม ผู้เขียนได้รวบรวมจากประสบการณ์ละความรู้ที่ ได้รับจากผู้ยิ่งใหญ่แห่งการอนุรักษ์หลายๆ ท่าน ที่ได้ปกป้องและรักษาป่าแห่งนี้ไว้ ทั้ง ชุมชน ครู อาจารย์ และนักอนุรักษ์ฯ นอกจากนี้ผู้เขียนมีวัตถุประสงค์เพื่อบันทึก เหตุการณ์และประสบการณ์ที่ได้รับจากการอนุรักษ์ไว้ในหนังสือ เพื่อไม่ให้เรื่องราว ดีๆ ที่เคยเกิดขึ้นหายไปกับตัวผู้เขียนเอง ทั้งนี้ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ที่อ่านหรือผู้ ที่สนใจจะได้รับประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้ไม่มากก็น้อย นันทวัฒน์ บุญกระสินธ์
คำนิยม ร่วมสิบปีหรือมากกว่านั้นที่ผมได้พบและร่วมงานกับกลุ่มเยาวชนจากกลุ่ม โรงเรียนในตัวจังหวัดอุบลฯ หลายครั้งทั้งในฐานะเป็นผู้พาชมและแนะนำสถานที่ที่พบ กระดูกและชิ้นส่วนของไดโนเสาร์และแทบทุกครั้งที่ผมจะพบเด็กหนุ่มวัยใสใส่แว่นตา ยิ้มง่ายอัธยาศัยดีมีความกระตือรือร้นที่ต้องการทราบความเป็นมาและแนวทางในการ ทำงานเกี่ยวกับการค้นหารวบรวมเก็บรักษาตัวอย่างของชิ้นส่วนต่างๆที่ค้นพบจาก แหล่งโคกผาส้วมด้วยความตั้งใจจริง เราได้ร่วมงานกันแทบทุกครั้งจากวันที่เขามาใน ฐานะนักเรียนมาทัศนศึกษาจนผันผ่านมาเป็นพี่เลี้ยงรุ่นน้องและผ่านเลยมาเป็นผู้ที่มี ส่วนสำคัญในการผลักดันและประสานงานจนเกิดเป็นกลุ่มอนุรักษ์ป่าโคกผาส้วมและ มีส่วนร่วมที่สำคัญอย่างมากในการเชื่อมประสานกับหน่วยงานต่างๆเพื่อก่อตั้ง พิพิธภัณฑ์ฯในนามตัวแทนกลุ่มอนุรักษ์ฯและอีกหลายโครงการในการอนุรักษ์ระบบ นิเวศโดยรวมของป่าโคกผาส้วมและวิถีชุมชนของชาวบ้านทุ่งบุญ ผมเคยกล่าวกับเขา ว่าผมเป็นเพียงผู้บุกเบิกแต่งานด้านนี้จะเป็นจริงและยั่งยืนได้ก็ด้วยคนรุ่นเขาผม พร้อมสนับสนุนโดยไม่มีข้อแม้อย่างเต็มที่และถือว่าเป็นการส่งไม้ต่อที่ไม่ผิดหวัง จาก ก้าวเล็กๆในวัยเด็กผู้มาจากต่างถิ่นสู่ก้าวที่ใหญ่ขึ้นกว้างไกลขึ้นของเขาในวันนี้ผมขอ แสดงความชื่นชมและยินดีอย่างจริงใจต่อเขา"นันทวัฒน์ บุญกระสินธ์" “สกนธ์ จันทรุกขา” ผู้บุกเบิกแหล่งซากดึกดำบรรพ์ป่าโคกผาส้วม
คำนิยม (พี่โต้ง)
กิตติกรรมประกาศ
สารบัญ ป่าโคกผาส้วม ห้วยท่าแตง ประโยชน์จากป่าโคกผาส้วม การอนุรักษ์ป่าโคกผาส้วม โมเดลการอนุรักษ์ป่าชุมชน การเพิ่ม การลด การฟื้นฟู ความสมดุล การจัดการป่าชุมชน การสำรวจป่าโคกผาส้วม ซากดึกดำบรรพ์ ธรณีวิทยาป่าโคกผาส้วม กระบวนการเกิดซากดึกดำบรรพ์ ซากดึกดำบรรพ์ป่าโคกผาส้วม ฉลามน้ำจืด ปลาโบราณ ไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ สไปรโนซอรัส จระเข้โบราณ สัตว์โบราณมีปีกบินได้ ไดโนเสาร์คอยาว เต่าฌบราณ,ตะพาบน้ำโบราณ กระดูกไดโนเสาร์ คอปโปรไลท์ ไม้กลายเป็นหิน รอยพิมพ์หอย การสำรวจและการอนุรักษ์ซากดึกดำบรรพ์ ประโยชน์ของการศึกษาซากดึกดำบรรพ์ ประวัติความเป็นมาของแหล่งขุดค้นป่าโคกผา ส้วม
สารบัญ (ต่อ) ลิงวัดป่าทุ่งบุญ การสำรวจและการอนุรักษ์ลิงวัดป่าทุ่งบุญ การสำรวจ การบันทึกข้อมูล การอนุรักษ์และการควบคุมประชากรลิง สายวิวัฒนาการของลิง กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติป่าโคกผาส้วม แผนที่ป่าโคกผาส้วม บรรณานุกรม
ป่าโคกผาส้วม ป่าโคกผาส้วม มีพื้นที่อยู่ในเขตตำบลนาคำ อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี ในที่ราบสูงแดนอีสาน มีพื้นที่ทั้งหมด 1,011 ไร่ ป่าส่วนใหญ่เป็นป่าเต็งรัง มีไม้นานาพรรณ มีเปลือกหนา ทนไฟ ทนแล้ง ระบบรากแข็งแรง ลักษณะพื้นที่ทั่วไปเป็นเนิน ดินสลับกันเป็นลูกเขา มีการพังทลายของหน้าดินเป็นบางแห่ง นอกจากมีทรัพยากรที่ สำคัญคือป่าไม้ ยังมีลิงจำนวนมากอาศัยอยู่ และยังมีซากดึกดำบรรพ์อายุหลายล้านปี อีกด้วย พื้นที่ของป่ามีความลาดจากทางทิศตะวันออกของป่าลงมาทางทิศตะวันตก ในช่วงฤดูน้ำหลาก น้ำฝนจะไหลผ่านผืนป่าลงมาสู่ห้วยท่าแตง ซึ่งเป็นธารน้ำไหลผ่าน ที่สำคัญของป่าโคกผาส้วม เป็นธารน้ำยาวไหลผ่านเขตขอบป่าทางทิศตะวันตก รอบบริเวณใกล้ธารน้ำนี้จะมีต้นไม้สูงใหญ่เจริญเติบโตได้ดี ส่วนทางทิศเหนือและทิศตะวันออก มีเส้นถนนตัดผ่านซึ่งเป็นขอบ บริเวณของป่าโคกผาส้วม และทาง ทิศใต้มีพื้นที่ติดกับไร่สวน ทางการเกษตรของชาวบ้าน ป่าโคกผาส้วมมีสถานะเป็นป่า สาธารณประโยชน์หรือป่าชุมชน ซึ่งเป็นป่าเสื่อมโทรมมาตั้งแต่เดิม มีความแห้งแล้ง หน้าดินถูกกัดเซาะ พรรณไม้ส่วนใหญ่ไม่สูง ลักษณะดินเป็นดินลูกรัง ทรายแป้งและดินเหนียว จึงเป็นพื้นที่ที่กักเก็บน้ำไม่ดี ในบริเวณทางเข้าป่าทางทิศ เหนือ มีสระกักเก็บน้ำของชุมชน จำนวน 2 สระติดกัน เรียกว่า “ชลประทานเหนือ” และยังมีที่กักเก็บน้ำตามธรรมชาติ ซึ่งอยู่ห่างจากชลประทานเหนือ ประมาณ 500 เมตร เข้ามาทางป่า เรียกว่า “ชลประทานใต้”
บางครั้งกลุ่มอนุรักษ์ฯเรียกกัน อีกชื่อหนึ่งว่า “หนองพันตอ” ซึ่งมี เอกลักษณ์ที่ โดดเด่นตามชื่อ คือ เมื่อฤดู แล้งจะมีตอไม้ผุดในหนองน้ำจำนวนมาก แนวขอบหนองน้ำมีหญ้าสูงเรียงรายอย่าง สวยงาม ป่าโคกผาส้วมนี้มีความสำคัญ ต่อชุมชนอย่างมากมีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญแก่การดำรงชีวิตจึงมีความสมควรแก่ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติป่าโคกผาส้วมนี้ไว้ ให้คงอยู่แก่ลูกหลายสืบไป ป่าชุมชน หมายถึง ผืนป่าที่มี ขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่เท่าใดก็ได้ แล้วแต่จะจัดหามาได้ แต่ถ้าเป็นขนาด ใหญ่ จะต้องไม่ใหญ่เกินที่ชุมชนนั้นๆ จะฟื้นฟูดูแลไหว ป่าชุมชนคล้ายกับป่า สงวน จะไม่รวมพื้นที่อยู่อาศัย เช่น หมู่บ้านหรือที่ทำกิน สภาพของป่าอาจ เป็นป่าธรรมชาติสมบูรณ์หรือป่าเสื่อมโทรมที่รกร้างว่างเปล่าก็ได้ ป่าชุมชนมีไว้ สำหรับใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์แก่ชุมชนนั้นๆ ป่าเสื่อมโทรม หมายถึง ป่าที่มีเขตพื้นส่วนใหญ่หรือทั้งหมดของป่า มีสภาพ เป็นป่าร้างเก่า หรือเป็นทุ่งหญ้า หรือเป็นป่าที่ไม่มีไม้มีค่าอยู่เลย หรือมีแต่น้อย และ ป่านั้นยากสำหรับการฟื้นฟูคืนดีได้ตามธรรมชาติ สาเหตุอาจมีหลายปัจจัย เช่น การทำลายของมนุษย์ การตัดไม้ การเผาป่า เป็นต้น เมื่อมีป่าเสื่อมโทรมเกิดขึ้น จะเกิดผลกระทบมากมายตามมา เช่น น้ำท่วม ดินถล่ม การพังทลายของหน้าดิน สัตว์และมนุษย์ไม่มีที่อยู่อาศัย เป็นต้น
“โคกผาส้วม” คือ คำเรียกชื่อพื้นที่หนึ่งของบริเวณป่า ที่ผู้เฒ่าผู้แก่เรียกกันมานาน ที่มีลักษณะหน้าดินทลายลง เกิดเป็นหลุมกว้างขนาดใหญ่ ไม่มีไม้ปกคลุม โดยมี ความหมายในภาษาท้องถิ่น คำว่า “โคก” หมายถึง พื้นที่ที่ห่างไกล ทุรกันดาร มีความแห้งแล้ง รวมถึงไม่เจริญ คำว่า “ผา” หมายถึง พื้นที่ที่เป็นผาชัน ด้วยการ พังทลายลง จึงเกิดความสูงระหว่างพื้นด้านบนและด้าน ล่าง คำว่า “ส้วม” มี 2 ความหมาย คือ 1.เป็นภาษาลาวที่แปลว่าห้องนอนของหนุ่มสาว ซึ่งบริเวณนั้นมี การพังทลายของหน้าดินทำให้เกิดเป็นหลุม เป็นแอ่งสลับกันจำนวนมาก ซึ่งมีลักษณะ เป็นห้องๆ 2.หมายถึง ห้องน้ำ เมื่อฤดูฝนหลาก ทุกสิ่งทุกอย่างจะไหลตามกระแสน้ำ มารวมกันบริเวณที่เป็นแอ่งนี้คล้ายกับโถส้วม และต่อมาก็ได้เรียกพื้นที่ทั้งหมดของ ป่าว่าโคกผาส้วม จึงตั้งชื่อป่าว่า “ป่าโคกผาส้วม”จนมาถึงปัจจุบัน ป่าโคกผาส้วมในอดีต ป่าโคกผาส้วมไม่เคยมีเรื่องเล่าถึงความ อุดมสมบูรณ์ในอดีตว่ามากน้อย เพียงใด จึงคาดการณ์ว่า ช่วงที่มีมนุษย์ มาตั้งรกรากบริเวณนี้ ป่าโคกผาส้วมคงไม่แตกต่างจากปัจจุบันมากนัก อาจเป็นป่า เสื่อมโทรมมาก่อนหน้า มากกว่า 100 ปีมาแล้ว แต่มีการพูดถึงเรื่องราวของป่าเมื่อ ราว 50 ปีก่อน ว่าป่าโคกผาส้วมในอดีต เคยมีต้นไม้ใหญ่แต่จำนวนไม่มากนัก เคยมี สัตว์เล็กอาศัยอยู่ เช่น กระต่าย ลิง กระรอก สุนัขจิ้งจอก ตัวแลน งู เป็นต้น ผู้คนมักเข้าไปตัดไม้ทำฟืนและล่าสัตว์เล็กมาทำอาหารเป็นส่วนใหญ่ ด้วยที่ป่ามี ลักษณะเป็นลุ่มเป็นดอนจึงไม่เคยมีใครเข้าไปอาศัยอยู่เลย
หลังจากที่สัตว์เล็กเริ่มลดจำนวนลง สัตว์บางสายพันธุ์ก็เรื่อยหายไป ซึ่งมีเหตุการณ์หนึ่งที่ผู้คนได้พูดถึงโจรขโมยวัวควายของชาวบ้าน ด้วยเหตุที่ว่าไม่ค่อย มีใครเข้าไปในป่ามากนัก โจรขโมยวัวควายจึงได้โอกาสนำวัวควายที่ลักขโมยมา นำไปฆ่าบริเวณป่าโคกผาส้วม เพื่อแล่เป็นเนื้อให้ลับตาผู้คน ในเวลาต่อมาโจรขโมย ก็เริ่มลดน้อยลง หลังจากนั้นก็มีชาวบ้านนำสัตว์เลี้ยงไปกินหญ้าตามป่า ได้เจอกับโครง กระดูกมากมายใหญ่บ้างเล็กบ้างในบริเวณหลุมที่มีการพังทลายของหน้าดิน ชาวบ้าน บางคนก็นำไปประกอบทำวัตถุมงคลบ้าง นำมาบูชาบ้าง ผู้คนเชื่อว่านั่นคือ “สุสาน ช้าง” ด้วยเหตุที่ว่ามีโครงกระดูกของสัตว์จำนวนมาก และมีขนาดใหญ่ ในปัจจุบันก็ ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่า สุสานช้างในอดีต เป็นเพียงโครงกระดูกวัวควายที่โจรขโมย นำไปทั้งไว้หลังจากการปล้น หรือเป็นชิ้นส่วนของกระดูกไดโนเสาร์ขนาดใหญ่กันแน่ ห้วยท่าแตง ห้วยท่าแตงเป็นธารน้ำที่สำคัญ เสมือนสายน้ำที่เลี้ยงชีวิตคน สัตว์และ ผืนป่าโคกผาส้วม ช่วยสร้างระบบนิเวศ ให้เกิดความสมดุล พรรณไม้จึงเจริญ เติบโตได้ดีในบริเวณรอบๆ ห้วยท่าแตง และยังเป็นสายน้ำที่เป็นเส้นแบ่งอาณา เขตทางทิศตะวันตกของผืนป่าอีกด้วย จะมีน้ำไหลผ่านตลอดปี และน้ำจะน้อยช่วงฤดู ร้อน ห้วยท่าแตงมีต้นน้ำไหลมาจากพื้นที่สูงของตำบลหนามแท่ง อำเภอศรีเมืองใหม่ ที่มีลักษณะเป็นภูผาและป่าไม้ใหญ่ที่ติดกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม ไหลผ่าน หลายหมู่บ้าน ผ่านป่าโคกผาส้วมและบรรจบกับลำห้วยตุงลุง ก่อนที่จะไปลงสู่แม่น้ำมูลบริเวณเส้นรอยต่อเขตอำเภอพิบูลบังสาหารกับ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีความยาวของสายน้ำราว 50 กิโลเมตร ลักษณะทั่วไปของห้วยท่าแตงมีความลึกของร่องน้ำ 1-2 เมตร กว้าง 2-3 เมตร พื้นด้านล่างธารน้ำมีทั้งพลาญหิน หาดหินและหาดทราย
หลุมขยะกับป่าโคกผาส้วม ป่าโคกผาส้วมมีหลุมขยะเก่าขนาดใหญ่อยู่ 1 หลุม ทางมุมสุดของขอบป่าทางด้านทิศ ตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งหลายสิบปีก่อนมีการขุดหลุมขนาดใหญ่ไว้สำหรับรองรับขยะ จากชุมชนเมือง ส่งผลให้ระบบนิเวศบริเวณนั้นเสียหายอย่างมาก ด้วยมีขยะที่เน่าเสีย ส่งกลิ่นเหม็นแล้วยังมีขยะที่เป็นสารพิษ ช่วงฤดูฝนน้ำฝนจะชะล้างสารพิษเหล่านี้ ลงไปใต้ดิน แพร่กระจายไปทั่วบริเวณผืนป่า ปัจจุบันได้มีการยกเลิกสัญญาการทิ้ง ขยะในบริเวณดังกล่าวแล้ว และมี การฝังกลบหลุมขยะ ถมทับหน้าดิน อีกทั้งชุมชนเองก็ช่วยกันปลูกต้นไม้ ในบริเวณใกล้เคียง เพื่อช่วยลดสารพิษจากกองขยะและ รากของต้นไม้เองยังสามารถช่วยย่อยสลายขยะ เหล่านั้นได้ดี เหตุนี้เองการมีหลุมขยะเก่าอยู่จึง มีฝูงกาจำนวนหลายสิบตัวหากินสัตว์เล็กและ ซากขยะในบริเวณนั้น
ความหลากหลายทางชีวภาพกับวัดป่าไทย เมื่อในอดีตประเทศไทยได้มีความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด มีการขยาย พื้นที่ของชุมชนเมืองกว้างขึ้น จึงส่งผลให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อรองรับการ เจริญเติบโตของประเทศ ทำให้พื้นที่ป่าของประเทศส่วนใหญ่ก็เริ่มลดจำนวนลงอย่าง รวดเร็วส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรวม ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ความหลากหลาย ทางชีวภาพนั้นลดลงอย่างรวดเร็วตามไปด้วย แต่ปัจจุบันยังมีป่าขนาดเล็กตามวัดป่า ของไทยกระจายตัวอยู่ทั่วทุกภูมิภาค หรืออาจเรียกว่า “ป่ารุ่นสอง” ที่ได้รับการฟื้นฟู ฝืนป่าขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นแหล่งนิเวศที่ช่วยให้ประเทศไทยยังคงมีระบบนิเวศที่สมบูรณ์ อยู่ มีการศึกษาเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพในวัดป่าของภาคอีสาน พบว่า สิ่งมีชีวิต เช่น ผีเสื้อ นก ลิง นานาชนิด ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดของความหลากหลายทาง ชีวภาพ อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่วัดป่ามากกว่าพื้นที่นอกป่าถึงสองเท่า ในขณะเดียวกันนั้นประชาชนชาวไทยกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ นับถือศาสนาพุทธ ส่งผลให้วัดป่ามีจำนวนมาก กระจายทั่วทุกหมู่บ้านของประเทศไทย จึงมีการ กระจายตัวของสิ่งมีชีวิตได้ดี เช่น การเดินทาง หรือการอพยพของนก เพื่อหาอาหาร หรือการผสมพันธุ์ เกิดการกระจายตัวของเมล็ดพันธุ์และสายพันธุ์สัตว์ วัดป่าในภาคอีสานเองอาจมีทั้งป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ หรือป่าเต็งรัง ซึ่งเต็มไป ด้วยพืชนานาพรรณ ทั้งดอกและผล ซึ่งเป็นอาหารหลักของสัตว์นานาชนิด และใน พื้นที่วัดก็เป็นเขตอภัยทานห้ามฆ่า ล่าสัตว์ จึงเป็นที่เหมาะสมในการผสม พันธุ์หรือที่วางไข่ที่ดีของสัตว์ วัดป่า ไทยจึงมีความสำคัญต่อระบบนิเวศ โดยรวมของประเทศไทยที่ช่วยในการ รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ ของประเทศไทยไว้โดยคาดไม่ถึง
วัดป่าทุ่งบุญกับการอนุรักษ์ วัดป่าทุ่งบุญตั้งเป็นวัดเมื่อ พ.ศ.2481 ตั้งอยู่ในบ้านทุ่งบุญ หมู่ที่ 9 ตำบล นาคำ ห่างจากที่ว่าการอำเภอศรีเมืองใหม่เพียง 500 เมตร วัดมีพื้นที่ประมาณ 14 ไร่ และติดกับพื้นที่ป่าดอนหอมีพื้นที่ประมาณ 87 ไร่ สภาพทั่วไปเป็นเขตอนุรักษ์ป่าไม้ นานาพรรณ และมีสัตว์นานาชนิด เช่น นก ผีเสือ ลิง เป็นพื้นที่ร่มรื่นด้วยป่าไม้สูงใหญ่ จำนวนมาก มีศาลดอนปู่ตาตั้งอยู่ใกล้วัด เป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้าน มีการ ประกอบพิธีที่สำคัญ เช่น ไหว้ดอนเจ้าปู่ บูชาเจ้าป่าเจ้าเขา ผีบ้านผีเรือน เป็นต้น มีผู้ เฒ่าผู้แก่หรือผู้อาวุโสในหมู่บ้าน ทำหน้าที่เป็นพ่อจ้ำ(ผู้ประกอบพิธี) บวงสรวงเจ้าที่ซึ่ง สถิตในเขตป่าอนุรักษ์และป่าโคกผาส้วม เพื่อแก้บนหรือขอขมาโทษ ในกรณีประพฤติ มิชอบ โดยเป็นความเชื่อและประเพณีคนอีสานมาช้า นาน ในบริเวณวัดจะมีฝูงลิงออกมาจากป่าโคกผาส้วม เพื่อมาหาอาหารเป็นประจำทุกวัน บางครั้งก็มีคนแวะ เวียนมาทำบุญและให้อาหารแก่ฝูงลิงเป็นครั้งคราว ในแง่ของการอนุรักษ์ ป่าโคกผาส้วมนั้น วัดป่าทุ่งบุญ มีความสำคัญอย่างหนึ่งใน การศึกษาระบบนิเวศในวัดป่า เพื่อให้เข้าใจถึงพรรณไม้โครงสร้าง ซึ่งพรรณไม้โครงสร้างนั้น มีความสำคัญในการ ฟื้นฟูป่าให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ได้อีกครั้ง “พรรณไม้โครงสร้าง” คือ พืชพรรณไม้ที่มี จำนวนมากในบริเวณนั้นและสามารถมาเจริญเติบโตได้ดีในสภาวะแวดล้อมนั้นๆ ซึ่งป่าโคกผาส้วมเองก็มีพื้นที่ใกล้กับวัดป่าทุ่งบุญ มีสภาวะแวดล้อมใกล้เคียงกันทั้ง ดิน น้ำ อุณหภูมิ หากเข้าใจว่าพรรณไม้โครงสร้างนั้นคือพืชพรรณไม้ใดบ้าง-
ก็จะสามารถนำมาปลูกป่าเป็นการ เลียนแบบระบบนิเวศให้คล้ายวัด ป่าทุ่งบุญ เพื่อฟื้นฟูป่าโคกผาส้วม ให้มีระบบนิเวศในลักษณะเดียวกัน หากเลียนแบบได้ก็จะเกิดความ อุดมสมบูรณ์ในป่าโคกผาส้วม เช่นเดียวกันกับวัดป่าทุ่งบุญได้ ประโยชน์จากป่าโคกผาส้วม 1.เป็นแหล่งโอโซนขนาดใหญ่ของชุมชน ด้วยวัฏจักรของก๊าซออกซิเจนมีการ หมุนเวียนในรูปของน้ำสู่ต้นไม้และสังเคราะห์ออกมาเป็นก๊าซออกซิเจนจากป่าโคกผา ส้วม รวมทั้งต้นไม้ยังช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดีอีกด้วย ส่งผลให้ชุมชน ใกล้เคียงได้สัมผัสกับอากาศที่บริสุทธิ์ 2.เป็นแหล่งอุ้มน้ำ ผืนป่าจะช่วยอุ้มน้ำในฤดูฝนหลาก ช่วยลดภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม ดินทลาย และยังมีแอ่งน้ำไว้เป็นสายน้ำของสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงอีกด้วย 3.เป็นแหล่งอาศัยพักพิงของสัตว์นานาชนิดให้อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ เกิดการอนุรักษ์สายพันธุ์สัตว์และพืชนานาพรรณที่มีคุณค่า ให้คนรุ่นหลังได้เห็นและ สัมผัสกับธรรมชาติได้ใกล้ชิด 4.เป็นแหล่งทรัพยากรป่าไม้ที่มีอยู่อย่างไม่จำกัด ด้วยสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นตาม ธรรมชาติไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ พืชผล หน่อ ดอก เห็ดสมุนไพรนานาชนิด เป็นอาหาร สำหรับคนและสัตว์ได้ นอกจากนี้ยังสามารถเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว ควาย ได้หากินหญ้า สามารถประหยัดต้นทุนของเกษตรกรได้อีกด้วย 5.เป็นแหล่งท่องเชิงอนุรักษ์ชั้นดี ป่า โคกผาส้วมมีทรัพยากรมากมาย เช่น ป่าไม้ ฝูง ลิง ซากดึกดำบรรพ์ สามารถพัฒนาให้เป็น แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ สร้างรายได้แก่ ชุมชน
การอนุรักษ์ป่าโคกผาส้วม หากกล่าวถึงการอนุรักษ์ป่า คนส่วนใหญ่มักจะคิดในแง่ลบว่า ชุมชนที่อยู่ใกล้กับป่านั้น เป็นผู้ทำลาย ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด อย่างสิ้นเชิง บางครั้งป่าก็อาจเสื่อม โทรมเพราะชั้นดินที่เปลี่ยนแปลงไป ตามธรรมชาติ ความเข้าใจผิดเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดปัญหากับผู้ที่อยู่ในพื้นที่มานาน การอนุรักษ์นั้นไม่ใช่เพียงแค่การเก็บรักษาหรือไม่ให้ใช้ทรัพยากรเท่านั้น แต่เป็นการ ใช้ทรัพยากรป่าไม้อย่างคุ้มค่า รวมถึงการดูแลฟื้นฟูทรัพยากรให้ได้ใช้อย่างไม่มีที่ สิ้นสุด การอนุรักษ์ป่าอาจไม่เกิดผลสำเร็จได้ หากไม่มีการจัดการป่าชุมชน ซึ่งสองคำ นี้ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก จึงควรทำความเข้าใจความหมายของสองคำนี้ เสียก่อน เพื่อให้นักอนุรักษ์และชุมชนเข้าใจความหมายไปในทิศทางเดียวกัน การอนุรักษ์ป่าชุมชน หมายถึง การใช้ทรัพยากรป่าไม้และสิ่งแวดล้อมอย่าง ฉลาด โดยใช้น้อยแต่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยคำนึงถึงระยะเวลาที่ใช้ มีการดูแล ฟื้นฟูเพื่อให้ใช้ได้นานหรือไม่มีที่สิ้นสุด และการใช้ทรัพยากรนั้นต้องเกิดความเสียหาย ต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด รวมทั้งมีการกระจายทรัพยากรให้ทั่วถึง เห็นแก่ประโยชน์ ส่วนรวมมากกว่าประโยชนส่วนตน ทั้งนี้ป่าในสภาพปัจจุบัน มีความเสื่อมโทรม จึงรวมความหมายไปถึงการพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมด้วย การจัดการป่าชุมชน หมายถึง วิธีการที่ชุมชนมีแนวทางร่วมกัน มีการ วางแผน การจัดโครงสร้าง การชี้นำ และการควบคุม โดยวิธีเหล่านั้นต้องเกิด ประสิทธิภาพสูงสุด เช่น การใช้ทรัพยากรป่าไม้อย่างคุ้มค่าที่สุด ใช้งบประมาณน้อย ที่สุด ใช้ทรัพยากรป่าไม้ได้นานที่สุด ใช้เรี่ยวแรงในการฟื้นฟูป่าน้อยที่สุด เป็นต้น รวม ไปถึงวิธีการที่ทำให้ระบบนิเวศอยู่ในสภาวะสมดุล ไม่ใช้ทรัพยากรป่าไม้มากเกินกว่า ทรัพยากรป่าไม้ที่มาทดแทน
นักอนุรักษ์ธรรมชาติหมายถึง ผู้คิด ผู้ดูแล ผู้ฟื้นฟู หรือ ผู้ใช้ ทรัพยากรธรรมชาติ โดยตระหนักถึงคุณค่าทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่ายิ่ง โมเดลการอนุรักษ์ป่าชุมชน โมเดลนี้เป็นแนวทางหนึ่งในการอนุรักษ์ป่า ชุมชน เพื่อให้สภาวะแวดล้อมของป่าสมดุล โดยคำนึงถึงการจัดการป่าชุมชนให้เกิด ประสิทธิภาพสูงสุด โดยเป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยาก และสามารถใช้ทรัพยากรป่าไม้อย่างไม่มีที่ สิ้นสุด การเพิ่ม การเพิ่มเป็นการอนุรักษ์ป่าทางตรง ในเมื่อมีการใช้ทรัพยากรป่าไม้อย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องมีการเพิ่มทรัพยากรมาทดแทนให้เท่ากับการใช้หรือมากกว่า ป่าโคกผา ส้วมมีการใช้ทรัพยากรป่า เช่น ไม้ พืชผล หน่อ และเห็ด เป็นหลัก การเพิ่มโดยการ ปลูกต้นไม้มาทดแทนเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยสร้างระบบนิเวศให้เกิดความสมดุลได้ดี โดยการปลูกต้นไม้นั้นควรคำนึงถึงการจัดการให้เกิดประสิทธิภาพและความ เป็นธรรมชาติด้วย โดยไม่จำเป็นต้องเสียเรี่ยวแรงมากหรือเสียเงินโดยใช่เหตุ พรรณไม้โครงสร้าง พื้นที่เหมาะสม การสนับสนุนจากชุมชนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง การปลูก
พรรณไม้โครงสร้าง ต้นกล้าที่นักอนุรักษ์จะนำมาปลูกทดแทนนั้นเป็นพรรณไม้ใดก็ได้แล้วแต่การ สรรหามาได้ แต่มีวิธีหนึ่งในการเลือกพรรณไม้ที่เกิดความสูญเสียต่อต้นกล้าที่ปลูก น้อยที่สุด คือ พรรณไม้โครงสร้าง พรรณไม้โครงสร้างนั้นมีอยู่เดิมในท้องถิ่น โดยการ สังเกตพรรณไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาวะแวดล้อมเดียวกันกับป่า เช่น ดิน น้ำ อุณหภูมิ มีความใกล้เคียงกัน อาจเป็นสถานที่ใกล้กับป่าชุมชน เช่น ธารน้ำ วัดป่า หรือพื้นที่ในป่าเองที่มีต้นไม้สูงกว่าต้นอื่นๆอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะพรรณไม้เหล่านี้ จะสามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาวะแวดล้อมเดียวกัน พรรณไม้โครงสร้างอาจแบ่งได้ 2 ประเภท เพื่อง่ายต่อการฟื้นฟูป่าและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด คือ 1.ไม้เบิกนำ ควรเป็นพรรณไม้ที่เจริญเติบโตเร็ว มีใบให้ร่มเงาได้ดี เป็นพรรณ ไม้อยู่ในพื้นที่เป็นอันดับต้นๆ มีดอกผลได้ตั้งแต่อายุ 1-2 ปี ไม้เบิกนำนี้จะช่วยสร้าง ความชุ่มชื้นให้แก่พื้นดินและสร้างร่มเงาให้ไม้อื่นๆได้ 2.ไม้เสถียร เป็นพรรณไม้ที่เติบโตช้า ช่วงแรกๆ ต้องอาศัยร่มเงาของไม้เบิก นำ หากมีอายุมากจะเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ มีดอกผลสำหรับให้สัตว์กินเป็นอาหารและ ช่วยกระจายเมล็ดพันธุ์ได้ทั่วป่า หากนักอนุรักษ์ปลูกพรรณไม้โครงสร้างเหล่านี้แล้ว ก็จะสามารถฟื้นฟูป่า ชุมชนได้อย่างรวดเร็วกว่าการให้ธรรมชาติฟื้นฟูด้วยตัวเอง
ตัวอย่างพรรณไม้โครงสร้าง ต้นยางเหียง(ซาด) ต้นพลวง(กุง) ต้นเต็ง ต้นมะพอก(พอก) ต้นจิก ต้นตะคร้อ(ค้อ) ต้นหว้า ต้นตะแบก(เปือย) ต้นรกฟ้า(เชือก) ต้นแดง
พื้นที่เหมาะสม หากกล่าวถึงพืช แน่นอนว่ามีไม่กี่ปัจจัยที่ช่วยให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้ดี เช่น ดิน น้ำ อุณหภูมิและแสงแดด การเลือกพื้นที่ในป่าชุมชนเองก็ต้องมีความเข้าใจกับ พื้นที่ป่าเป็นอย่างดี เช่น พื้นที่ตรงไหนมีทางน้ำไหลผ่านช่วงฤดูฝนหลาก พื้นที่ไหน เป็นพื้นจุดน้ำขัง พื้นที่ตรงไหนมีลักษณะแข็งคล้ายก้อนหิน ควรเลือกพื้นที่ที่มีความ เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของต้นกล้า ป่าโคกผาส้วมเองมีพื้นที่ที่เหมาะสมหลาย จุดด้วยกัน เช่น พื้นที่ติดกับห้วยท่าแตงตลอดสาย หรือบริเวณขอบหนองพันตอที่มีน้ำ ขังตลอดปี หรือจะเป็นพื้นที่ที่ใกล้กับทางน้ำไหลช่วงฤดูฝนหลาก เพื่อให้ต้นกล้าได้รับ น้ำอย่างเพียงพอ แต่ก็ไม่มากเกินกว่าที่จะทำให้รากต้นกล้าเน่าตายได้ ควรคำนึงถึง การพัฒนาในอนาคต ที่จะไม่ขวางทางเท้า ทางรถ หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ การสนับสนุนจากชุมชนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก่อนที่นักอนุรักษ์จะลงมือปลูกต้นกล้า ควรสร้างความเข้าใจและกล่าวถึงแนวทางใน การอนุรักษ์ป่ากับชุมชนเสียก่อน เพื่อเป็นการขอความสนับสนุนจากชุมชน เพื่อให้ ช่วยรักษาต้นกล้าที่ปลูกหรือเลี่ยงการเลี้ยงสัตว์ในบริเวณนั้นที่จะเป็นผลให้เกิดความ เสียหายแก่ต้นกล้า เป็นความโชคดีของคนไทยที่มีวัฒนธรรมอันดีงาม ชุมชนเองก็มีน้ำใจซึ่งกัน และกัน ช่วยเหลือกันเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และนอกจากนั้นยังมีองค์กรของรัฐที่ สนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น กรมป่าไม้ สำนักงานการเกษตร องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ที่จะช่วยเหลือทั้งความรู้วิชาการ งบประมาณ หรือพรรณไม้ ทำให้นักอนุรักษ์หรือชุมชนเอง ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปกับการอนุรักษ์ ป่าชุมชนของตน
การปลูก การปลูกต้นไม้เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายและไม่ยาก นักอนุรักษ์ควรคำนึงถึงอุปสรรคในการ ปลูก การเจริญเติบโตของต้นกล้าและการดูแล ควรเลือกวิธีที่เหมาะสมที่ไม่ยาก เกินไปและไม่เสียงบประมาณจำนวนมาก แต่ต้นกล้าสามารถเจริญเติบโตได้ดี การปลูกต้นไม้ในป่านั้นอาจ แตกต่างจากการปลูกต้นกล้าพืชไร่ เพราะธรรมชาติของป่ามีการ กระจายตัวของพืชพรรณไม้ เราควร เลียนแบบธรรมชาติโดยการสุ่มปลูก หรือการปลูกแบบสะเปะสะปะ นั่นเอง ให้พรรณไม้มีความหลากหลายและกระจายตัวอย่างเป็นธรรมชาติ การปลูกก็ ควรเตรียมหลุม ขุดหลุมให้กว้างกว่าต้นกล้าเพียงเล็กน้อย ใส่เศษกิ่งไม้ ใบไม้ใบหญ้าที่ มีอยู่ตามธรรมชาติลงไปปูก้นหลุมเพื่อเป็นปุ๋ยสำหรับต้นกล้า แล้วถมดินให้แน่นพอ ทำร่องน้ำเป็นวงกลมรอบต้นกล้าและคลุมหน้าดินด้วยเศษใบไม้อีกครั้งจะช่วยรักษา ความชุ่มชื้นหน้าดินได้ อาจมีหลักค้ำยันด้วยไม้ไผ่ เพื่อไม่ให้ต้นกล้าล้มหากมีลมแรง
การลด การลดเป็นการอนุรักษ์ที่ดีที่สุด เป็นการใช้ทรัพยากรป่าไม้เพียงน้อยนิดแต่ใช้ให้เกิด ประโยชน์สูงสุด นั่นจะเป็นการอนุรักษ์ป่าไม้ได้อย่างยั่งยืน ควรคำนึงถึงว่าใช้ ทรัพยากรเท่าไหร่ จึงจะไม่ส่งผลให้ทรัพยากรขาดสมดุล เพียงเท่านี้ก็จะสามารถใช้ ทรัพยากรป่าไม้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด การใช้ทรัพยากรทางเลือกเป็นการเลี่ยงการ ทำลายระบบนิเวศอย่างหนึ่ง ผู้ใช้ควรใช้อย่างฉลาดเพื่อให้สามารถใช้ทรัพยากรไปได้ ตลอด หากกล่าวถึงการลดการใช้ ควรเข้าใจถึงประโยชน์ของการใช้ทรัพยากร ซึ่งป่า โคกผาส้วมเอง มีการใช้ทรัพยากรดังนี้ ไม้ หน่อ ผล ดอกและสมุนไพร สัตว์เล็ก การเลี้ยงสัตว์ และ ดิน ไม้ จากเดิมป่าโคกผาส้วมมีการตัดต้นไม้ใหญ่ทั้ง ต้น เพื่อนำไปสร้างที่อยู่อาศัยและการทำฟืน ในเวลาต่อมาก็หันมาตัดเพียงกิ่งไม้ ไปทำฝืน เท่านั้น นั่นก็คือการลดการใช้ทรัพยากรป่าไม้ นั่นเอง แต่หากจะกล่าวถึงระยะยาว การตัด เพียงกิ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้นไม้ไม่มี การเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ แต่หาก จำเป็นต้องใช้ ก็ควรเพิ่มทรัพยากรให้เท่าเดิม หรือมากกว่าเดิม
น้ำมันยาง ในอดีตก่อนที่จะมีน้ำมันก๊าดหรือก๊าซหุงต้มในแบบปัจจุบัน มีการ ใช้กระบองเป็นเชื้อเพลิงติดไฟสำหรับเตาถ่านหรือไปทำเป็นคบเพลิง มีวิธีการทำคือ เจาะกลางต้นยางเป็นแอ่งเล็กๆเพื่อเอาน้ำมันยางไปเคลือบเศษไม้เพื่อทำเป็นกระบอง เป็นเชื้อเพลิงติดไฟเตาถ่าน ด้วยวิธีนี้คือการเจอะลำต้นถึงท่อลำเลียงน้ำของต้นไม้ อาจทำให้ต้นไม้มีการเจริญเติบโตไม่ดีและอาจส่งผลให้โครงสร้างของต้นไม้ขนาดใหญ่ ไม่แข็งแรงล้มตายง่าย แต่ปัจจุบันมีการใช้ทรัพยากรทดแทน จึงไม่ค่อยเห็นการเอา น้ำมันยางจากต้นยางในปัจจุบัน หน่อ ผล ดอกและสมุนไพร ไข่มดแดง แมลง หน่อไม้ เห็ดปลวก ดอกกระเจียว มะค้อ ผักหนาม ลูกหมาก พืชนานาพรรณ ล้วนแต่เป็นอาหารที่มีราคา แถมยังมีคุณค่าทางโภชนาการ สูงอีกด้วย การใช้ทรัพยากรเหล่านี้เหมือน เป็นดอกเบี้ยของป่า ที่มีการใช้เท่าใดก็ได้ โดยไม่ส่งผลต่อระบบนิเวศ เพราะหากมีการ เก็บอาหารป่าคงเก็บไม่หมดทั่วทั้งป่า แน่นอน ยังมีคงเหลือให้เป็นอาหารของสัตว์ และพันธุ์พืชต่อไปได้ แต่หากกล่าวถึงการ เก็บนั้น บางพื้นที่กระทำโดยวิธีที่ผิดอาจจะ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ได้
การเผาป่า ไฟป่าอาจเกิดขึ้นโดยธรรมชาติในช่วงที่ดินมีความแห้งแล้งจัด ในช่วงฤดูหนาว และฤดูร้อน แต่มีวิธีหนึ่งคือการเผาป่า การเผาป่าไม่ได้หมายถึงการ เผาป่าทั้งหมด แต่เป็นการเผาบางส่วนของหน้าดิน โดยธรรมชาติแล้วป่าจะฟื้นฟู ตัวเองตามธรรมชาติ หากถูกทำลายลงด้วยไฟป่า ป่าก็จะฟื้นฟูตัวเองอย่างรวดเร็ว อาหารบางชนิดจะขึ้นได้ดี เช่น เห็ด หน่อไม้ ดอกกระเจียว แต่การเผาป่านั้นส่งผลต่อ ระบบนิเวศระยะยาว เพราะไฟป่าจะไปทำลายหน้าดินทำให้แร่ธาตุบางอย่างสลายไป และทำให้หน้าดินแห้งเสียความชุ่มชื้น ไฟป่าบางส่วนอาจไหม้ลามไปถึงต้นไม้ ต้นกล้า ทำให้ต้นไม้ไม่มีการเจริญที่ดี จะส่งผลต่อระบบนิเวศของป่าโดยรวม สัตว์เล็ก สัตว์ในป่าโคกผาส้วมในอดีตไม่เคยพบว่ามีสัตว์ป่าขนาดใหญ่มาก่อน มีเพียงสัตว์เล็ก เช่น กิ้งก่า ไข่มดแดง กระแต และยังมี กุ้ง หอย ปู ปลา ในห้วยท่าแตง การลดการล่า สัตว์ขนาดเล็กอาจไม่มีผลต่อระบบนิเวศมากนัก แต่หากถูกล่าจนหมดไม่เหลือให้แพร่ พันธุ์ต่อไปได้ อาจจะส่งผลระยะยาวต่อระบบนิเวศภายในป่า เนื่องจากสัตว์เล็กนั้น เป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรสัตว์โดยธรรมชาติ สัตว์จะอยู่คู่กับป่า สัตว์นั้นจะคอยดูแล ระบบนิเวศภายในป่าให้เกิดความสมดุลได้ เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ป่าอุดมสมบูรณ์ ทำให้ป่ามีความหลากหลายทางชีวภาพมากยิ่งขึ้น หากอนุรักษ์พันธุ์สัตว์เล็กเหล่านี้ได้ ก็จะมีอาหารในป่าอยู่เสมอ ที่มา : ครอบครัวข่าวสาม ( 2556)
การเลี้ยงสัตว์ การเลี้ยงสัตว์เป็นการใช้ทรัพยากรจากป่าน้อยมากหรืออาจไม่ได้ใช้เลย สัตว์ที่เลี้ยง บริเวณป่าโคกผาส้วมส่วนใหญ่แล้วมีเพียง วัว ควาย เท่านั้น โดยผู้เลี้ยงจะนำวัว ควาย มาเดินกินหญ้าบริเวณป่า สัตว์เลี้ยงเปรียบเสมือนสัตว์ป่าที่ช่วยดูแลระบบนิเวศของป่า การกินหญ้ากินผล โดยธรรมชาติของสัตว์กลีบคู่นี้ มันกินที่ไหน ก็จะปล่อยมูลที่นั่น ช่วยทั้งสร้างปุ๋ยให้แก่ผืนดินและยังช่วยกระจายเมล็ดพันธุ์พืชให้แก่ป่าอีกด้วย ผู้เลี้ยง สัตว์ทั้งได้ประโยชน์จากป่าโดยการประหยัด ค่าอาหารสัตว์แถมยังเป็นนักอนุรักษ์ป่าโดย ไม่รู้ตัวอีกด้วย แต่หากกล่าวถึงการเลี้ยง ภายในป่า ข้อควรระวังก็คือการไม่ให้สัตว์ เลี้ยงไปเดินย่ำบริเวณต้นกล้าไม้มากนัก อาจ ทำให้ต้นกล้าที่เกิดใหม่เหล่านั้นหักตายได้ ดิน จากสิทธิป่าชุมชน ไม่ได้ลิดรอนสิทธิในการทำการเกษตรในเขตพื้นที่ป่าชุมชน โดยมี เพียงการกล่าวถึงการให้ใช้ทรัพยากรป่าไม้อย่างคุ้มค่าและยั่งยืน ชุมชนอาจเลือกพื้นที่ ทำการเกษตรในพื้นที่ป่าชุมชนก็ได้ แล้วแต่ว่าชุมชนนั้นจะมีข้อตกลงและมีกติกากัน อย่างไร แต่ช่องว่างทางกฎหมายนี้อำนวยประโยชน์ให้แก่บุคคลบางกลุ่ม ที่หา ประโยชน์จากช่องว่างทางกฎหมายเหล่านี้ โดยการรุกล้ำอาณาเขตของพื้นป่า เพื่อทำ การเกษตรหาประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม ทั้งนี้ก็ไม่ได้ผิดกฎหมายแต่หาก ชุมชนยินยอม เพราะ พ.ร.บ.ป่าชุมชน บอกถึงสิทธิประโยชน์ว่าชุมชนมีสิทธิในการใช้ ทรัพยากรทุกคน
แต่การลดใช้พื้นที่ป่าเพื่อทำการเกษตรก็จะเป็นการอนุรักษ์วิธีหนึ่ง เพราะ การเกษตรเชิงเดียว เช่น ต้นยูคาลิปตัส จะเป็นพืชที่ทำลายหน้าดินได้เนื่องจากดูดซับ แร่ธาตุได้ดีกว่าพืชชนิดอื่น แต่หากเป็นพืชตระกูลถั่วหรือมันสำปะหลัง จะช่วยรักษา หน้าดินไม่ให้พังทลายและยังช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นให้แก่หน้าดินอีกด้วย ทั้งนี้ หากเกษตรกรปลูกพืชตระกูลถั่วแซมต้นไม้ใหญ่ในป่า ก็จะสามารถสร้างรายได้พิเศษ แถมยังช่วยฟื้นฟูหน้าดินของป่าได้อีกด้วย การฟื้นฟู การฟื้นฟูนั้นเป็นการรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่มีแต่เดิมอยู่แล้วให้กลับมาอยู่ใน สภาพที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยทั่วไปธรรมชาติจะมีการเจริญเติบโตและการฟื้นตัว ด้วยตัวของมันเองโดยที่ไม่ต้องทำอะไร เลย แต่อาจเป็นไปค่อยข้างช้า การ ฟื้นฟูโดยฝีมือมนุษย์ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ ช่วยให้ ระบบ นิเวศของป่าชุมชน กลับมาอุดมสมบูรณ์ได้อีกครั้ง โดยที่ ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานเท่าการฟื้น ตัวโดยธรรมชาติ พืชอุ้มหน้าดิน หญ้าแฝกเป็นพืชชนิดหนึ่งที่ช่วยอุ้มหน้าดิน มีแรกแก้วลึก เจริญเติบโต เร็ว ทนต่อสภาพอากาศได้เป็นอย่างดี เป็นพืชที่พ่ออยู่หัวเคยตรัสไว้ ช่วยป้องกันการ พังทลายของหน้าดินและยังอุ้มน้ำไว้ให้ไม้ใหญ่ดูดซึมไปเลี้ยงลำต้นเจริญงอกงามได้ดี อาจปลูกแซมต้นไม้ในป่าโคกผาส้วม หรือปลูกเป็นแนวตามทางน้ำไหลช่วงฤดูฝน หลากก็ได้
ฝายชะลอน้ำ ป่าโคกผาส้วมเป็นป่า เสื่อมโทรม โดยพื้นที่ส่วนใหญ่จะมี ร่องรอยการพังทลายของหน้าดิน ในช่วงฤดูฝนหลากน้ำจะไหลมาจาก ทางทิศวันออกของป่ามายังทางทิศ ตะวันตก จะสังเกตเห็นร่องน้ำ มากมายหลายสายทั่วบริเวณป่า โคกผาส้วม ด้วยดินของป่ามี ลักษณะที่เป็นดินเหนียว ดินทรายแป้ง ทำให้มีการดูดซึมน้ำไม่ดี การทำฝายชะลอน้ำด้วยวัสดุธรรมชาตินั้น จะช่วยชะลอน้ำให้ไหลช้าลงทำให้ มีเวลาพอที่จะดูดซึมน้ำลงไปในดินได้ ยังช่วยป้องกันน้ำไม่ให้พังทลายหน้าดินอีกด้วย การใช้วัสดุธรรมชาติจะช่วยให้ประหยัดงบประมาณในการอนุรักษ์ป่าไม้ วัสดุธรรมชาติ เช่น ก้อนดิน ก้อนหิน กิ่งไม้ ใบไม้ใบหญ้า เป็นวัสดุที่มีอยู่ทั่วไป นำมา ทำเป็นโครงสร้างให้แข็งแรง เป็นแนวยาวขวางทางน้ำหลาก แต่ก็ควรมีช่องว่างให้น้ำ ผ่านได้ เพราะหากขวางทางน้ำ โดยตรงนั้น แรงน้ำจะทำให้ฝายชะลอ น้ำเสียหายได้ง่าย การตั้งฝายชะลอ อาจทำเป็นชั้นๆตามความสูงของหน้า ดินก็ได้ ซึ่งเป็นการชะลอน้ำทั้งสาย นั่นเอง
บ่อพักน้ำ เป็นการขุดดินให้ เป็นหลุมขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็ได้ ให้มีบริเวณใกล้หรือติดกับทางน้ำช่วง ฤดูฝนหลาก บ่อพักน้ำจะช่วยกักเก็บ น้ำได้ระยะหนึ่ง ทำให้มีเวลาพอให้ น้ำซึมลงสู่ใต้ดินแถมยังเป็นบ่อน้ำเล็ก ของสัตว์ป่าอีกด้วย การบวชป่า เป็นวิธีการอนุรักษ์อย่างหนึ่ง ที่นักอนุรักษ์ จะนำผ้าขาวหรือผ้าเหลืองมาพันรอบต้นไม้ เพื่อแสดง ถึงการขออภัยทานแก่ต้นไม้ต้นนั้น ให้เป็นทานแก่พุทธ ศาสนา หรือเป็นการขอร้องไม่ให้ตัดทำลายต้นไม้ต้นนั้น นั่นเอง การกำหนดเขตป่า เป็นการตีกรอบอาณาหรือเป็นเส้นแบ่งอาณาเขตแยกออกเป็นส่วนๆ เพื่อให้ การอนุรักษ์และการฟื้นฟูของป่านั้นเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถใช้ ทรัพยากรป่าไม้ได้อย่างเดิม โดยไม่ส่งผลต่อระบบนิเวศของป่าโดยรวม เขตเลี้ยงสัตว์ เป็นพื้นที่ไว้สำหรับเลี้ยงสัตว์ โดยคำนึงพื้นที่โล่งบริเวณกว้างมีป่าหญ้าอยู่มาก เขตนี้ จะช่วยให้เกษตรกรได้นำสัตว์มากินหญ้าลดต้นทุนอาหารสัตว์และยังช่วยป้องกันไม่ให้ สัตว์ไปรุกล้ำเขตที่มีต้นกล้า พรรณไม้ หรือพืชผลทางการเกษตรได้
เขตหาอาหารป่าและเขตเกษตรกรรม เป็นเขตที่ชุมชนสามารถเข้ามาหาของป่าหรืออาหารป่าที่เกิดตามฤดูกาลได้ โดยคำนึงถึงพื้นที่ที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่มากนัก มีหน่อไม้ เห็ด ดอกกระเจียวเกิดขึ้นเป็น จำนวนมากของทุกปี และยังเป็นเขตที่เกษตรกรสามารถได้ปลูกพืชเศรษฐกิจได้ จะช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้แก่หน้าดินอีกด้วย ทั้งนี้เขตหาอาหารป่า อาจเป็นพื้นที่ เดียวกันกับเขตเลี้ยงสัตว์ก็ได้ เขตฟื้นฟูป่า เป็นเขตที่เหมาะต่อการฟื้นฟูป่า มีทางน้ำไหล มีลักษณะหน้าดินที่ดีเพื่อปลูกพรรณไม้ โครงสร้างได้ ควรมีพื้นที่อยู่ใกล้หรือติดกับเขตป่าสงวนเพื่อให้ระบบนิเวศของป่าได้ ปรับภาพสมดุลได้เต็มที่ เขตนี้จะไม่อนุญาตให้ปลูกพืชเศรษฐกิจหรือเลี้ยงสัตว์เลย เพราะอาจทำให้ต้นกล้าพรรณไม้โครงสร้างเสียหายหรือเจริญเติบโตได้อย่างไม่เต็มที่ เขตป่าสงวน เป็นเขตที่มีต้นไม้มีอยู่หนาแน่น มีทั้งไม้ใหญ่และไม้เล็ก ไม้ผลไม้ดอกอยู่เป็นจำนวน มาก เขตนี้เป็นเขตที่ต้องการให้ธรรมชาติฟื้นฟูตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยมีกิจกรรมของ มนุษย์น้อยที่สุด เพื่อให้ต้นไม้และสัตว์ป่าเล็กใหญ่ ได้อาศัยพึ่งพากันและกันได้อย่าง สงบ โดยไม่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ หาของป่า หรือทำการเกษตรใดๆ แนวกันไฟ เป็นเส้นแบ่งอาณาเขตของการกำหนดเขตป่า มีลักษณะคล้ายทางเท้าหรืออาจใหญ่ กว่า ช่วยให้เกิดสัญลักษณ์เส้นแบ่งอาณาเขตอย่างชัดเจน และเป็นเส้นที่ป้องกันการ ลุกลามของไฟป่าได้อีกด้วย ทั้งนี้การกำหนดเขตป่าจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของชุมชนให้มีความ เหมาะสม ทั้งการใช้ทรัพยากรป่าไม้และการเพิ่มจำนวนป่าไม้ให้เกิดความสมดุล อาจมีการปรับเปลี่ยนได้ในอนาคต เพื่อการใช้ทรัพยากรป่าไม้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หมายเหตุ รูปจำลองการกำหนดเขตป่าโคกผาส้วมนี้ เป็นการจำลองให้เห็นถึงการกำหนดเขตป่า ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ยังไม่มีข้อสรุปหรือข้อตกลงของชุมชนป่าโคกผาส้วมแต่อย่างใด เป็นการ จำลองภาพตัวอย่างเท่านั้น
ความสมดุล จากโมเดลการอนุรักษ์ป่าชุมชน หากชุมชนสามารถทำ ให้เกิดความสมดุลของโมเดลได้ นั่นคือ มีการเพิ่ม ทรัพยากรมาทดแทนที่ใช้ไปเท่ากันหรือมากกว่าเดิม มีการลดใช้ทรัพยากรป่าไม้หรือใช้ให้เกิดประโยชน์ สูงสุด มีระยะเวลาให้ป่าไม้ได้ฟื้นตัวด้วยตนเอง ทั้ง 3 อย่างนี้ควรอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่มากเกินไปจน ไม่ได้ใช้ หรือไม่น้อยเกินไปจนขาดแคลน เท่านี้ป่าชุมชนก็จะสามารถมีทรัพยากรป่าไม้ ให้ชุมชนได้ใช้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด การจัดการป่าชุมชน เป็นวิธีการที่ชุมชนมีแนวทางร่วมกัน มีการวางแผน การจัดโครงสร้าง การชี้นำ และการควบคุม โดยวิธีเหล่านั้นต้องเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เช่น การใช้ ทรัพยากรป่าไม้อย่างคุ้มค่าที่สุด ใช้งบประมาณน้อยที่สุด ใช้ทรัพยากรป่าไม้ได้นาน ที่สุด การจัดการป่าชุมชนมีองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้ การวางแผน การจัดโครงสร้าง การชี้นำ การควบคุม
การวางแผน เป็นแนวทางการอนุรักษ์ป่าที่ชุมชนร่วมกันวางแผนไว้ โดยมีกลุ่มชาวบ้านหรือผู้นำ ชุมชนมาร่วมประชุมกัน เพื่อเสนอแนวทางการอนุรักษ์ป่าชุมชน ว่าจะทำอะไร ด้วย วิธีใด ที่ชุมชนจะสามารถใช้ทรัพยากรป่าไม้ของตนให้คุ้มค่าและยาวนานที่สุด การประชุมอาจไม่ได้ข้อสรุปเพียงครั้งเดียว ควรมีเลขานุการในการประชุมเพื่อจด บันทึกแนวทางการอนุรักษ์ในแต่ละครั้ง แล้วจึงมาสรุปแนวทางการอนุรักษ์ป่า ร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง ชุมชนควรมีส่วนร่วม ในการเสนอแนวทาง ควรเป็นแนวทางที่ เห็นพ้องกันทุกคน อาจมีองค์การ ปกครองท้องถิ่น หรือนักวิชาการ หรือ นักอนุรักษ์มาร่วมประชุมเพื่อเสนอ แนวทางก็ได้ ทั้งนี้การประชุมอาจไม่ราบรื่นหากผู้ร่วมประชุมไม่มีความรู้ในด้านการ อนุรักษ์ป่าไม้อยู่เลย ควรมีเอกสารหรือคู่มือให้ทำความเข้าใจก่อนร่วมประชุม แผนอาจมีแผนระยะสั้นหรือแผนระยะยาวก็ได้ ไม่จำเป็นต้องลงมืออนุรักษ์ป่าไม้เพียง ครั้งเดียว เท่านี้ก็จะได้แผนการของการจัดการป่าไม้แล้ว การจัดโครงสร้าง เป็นแผนผังที่ชุมชนมีการเสนอผู้รับผิดชอบและหน้าที่ที่สำคัญในการอนุรักษ์ป่าชุมชน โดยคำนึงถึงผู้ที่สามารถทำหน้าที่นี้ได้โดยได้รับการช่วยเหลือจากชุมชนในการทำ กิจกรรมในแต่ละครั้ง การจัดโครงสร้างองค์กรอาจมีหลายลักษณะ เช่น การจัด โครงสร้างองค์กรตามบทบาทหน้าที่ การจัดโครงสร้างองค์กรตามเขตพื้นที่ป่า เป็นต้น
การจัดโครงสร้างองค์กรที่ดีควรคำนึงถึงความสะดวก เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน จนเกินไป อาจมีการสับเปลี่ยนผู้รับผิดชอบกับตำแหน่งหน้าที่ในแต่ละปีก็ได้ ตำแหน่ง แต่ละฝ่ายไม่จำเป็นต้องมีผู้รับผิดชอบทุกคนในชุมชนก็ได้ เป็นเพียงตัวหลักในการ วางแผนทำแต่ละกิจกรรม แล้วค่อยชักชวนชุมชนมาร่วมทำกิจกรรมในการอนุรักษ์ เป็นครั้งคราวขึ้นอยู่กับแผนการที่ชุมชนร่วมวางไว้ การชี้นำ เป็นหน้าที่ของผู้นำหรือหัวหน้าแต่ละฝ่าย มีการบอกแนวทางของแผนการอนุรักษ์ป่า ให้แก่ชุมชนได้รับทราบ ว่ามีแผนการอย่างไร ทำอย่างไร ด้วยวิธีใด เวลาใด ที่ไหน เพื่อให้แผนการอนุรักษ์ป่าชุมชนที่วางไว้ตั้งแต่เริ่มต้นสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี รวมถึงการ สร้างความตระหนักของคุณค่าทรัพยากรป่าไม้ให้แก่คนรุ่นใหม่ในชุมชนด้วย ซึ่งผู้ชี้นำ จะต้องขอความร่วมมือจากชุมชน หรือเยาวชนเข้ามาร่วมกิจกรรม และสรรหา งบประมาณด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เพราะแผนการแต่ละอย่างนั้นจะดำเนินงานไปด้วย ความลำบากหากขาดการสนับสนุนจากชุมชน
การควบคุม เป็นการเฝ้าระวังไม่ให้แผนการอนุรักษ์ป่าชุมชนเกิดความผิดพลาด มีการให้ความ ช่วยเหลือหากแผนการมีอุปสรรค และการควบคุมอาจรวมไปถึงกฎกติกาที่ชุมชนตก ลงร่วมกัน เช่น ห้ามเลี้ยงสัตว์ในเขตป่าฟื้นฟู หากใครฝ่าฝืน อาจกล่าวตักเตือนหรือ ปรับเงินก็ได้ กฎกติกาของชุมชนนั้นไม่ควรมีมากจนเกินไป กฎควรมีความยืดหยุ่นอยู่ เสมอ ให้ใช้จิตใจของตนเป็นกฎของตัวเอง เพื่อชุมชนจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมี ความสุข การสร้างแผนที่ แผนที่เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการจัดการป่าไม้ชุมชน เป็นการจำลองพื้นที่ขนาดใหญ่ ให้มีขนาดเล็กลง เพื่อง่ายต่อการวางแผนการอนุรักษ์ป่าไม้ แผนที่มีหลายประเภท ด้วยกันขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน เช่น แผนที่ทางภูมิศาสตร์ แผนที่ธรณี แผนที่รัฐศาสตร์ เป็นต้น แผนที่ป่าชุมชนควรเป็นแผนที่ทางกายภาพทั่วๆไป ใช้สี แสดงความหนาแน่นของป่า ใช้เส้นเป็นการจำลองทางเท้าและระยะขอบ ควรมี อัตราส่วนและทิศทางประกอบแผนที่ด้วย อาจมีสัญลักษณ์เป็นตัวแทนจุดเด่นๆหรือ สิ่งก่อสร้าง และมีคำอธิบายใต้แผนที่ แผนที่จะมีความเป็นมาตรฐานก็ขึ้นอยู่กับ เครื่องมือที่ใช้ในการทำแผนที่ แต่ปัจจุบันมีการเผยแพร่ภาพดาวเทียม ทางอินเตอร์เน็ต เช่น Google Map กรมธรณีกรมแผนที่ทหาร เป็นต้น ซึ่ง มีเส้นทางเท้า เส้นถนน สายน้ำ แสดงอัตราส่วนของแผนที่ และทิศทาง อย่างชัดเจน ที่มา : Google Map
การสร้างแผนที่ก็จะไม่เป็นเรื่องยากอีกต่อไป โดยผู้สร้างแผนที่นำแผนที่ ต้นแบบมาดัดแปลงอีกเล็กน้อย โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ตัดต่อภาพ แล้วเพิ่ม สัญลักษณ์และคำอธิบายลงไป เส้นชั้นความสูง ในแผนที่ทางภูมิศาสตร์นั้นจะมีเส้นเป็นวงรอบหลายๆเส้น วนมาบรรจบกันเป็นชั้นๆ เป็นเส้นที่แสดงชั้นความสูงของ เนิน ภู ลูกเขา ภูเขา เป็น ต้น จะมีเส้นทึบที่มีตัวเลขกำกับแสดงถึงความสูงจากระดับน้ำทะเลเป็นหน่วยเมตร แต่ละเส้นจะมีความสูงห่างกัน 20 เมตร และมีสัญลักษณ์ X ที่แสดงถึงยอด เขาลูกนั้น หากเส้นมีลักษณะเป็นตัวยูโค้งเข้ายอดเขามาก ในบริเวณนั้นจะเป็นหุบเขา หากเส้นมีลักษณะเป็นตัวยูโค้งเข้ายอดเขาน้อย ในบริเวณนั้นจะเป็นซอกเขา หากเส้น มีลักษณะเป็นตัวยูโค้งออกจากยอดเขา ในบริเวณนั้นจะเป็นสันเขา เส้นชั้นความสูง หากมีความถี่และชิดกันมากในบริเวณนั้นจะมีความชันมาก เส้นชั้นความสูงในแผนที่ ทางภูมิศาสตร์นั้นสามารถนำจำลองภาพเขาที่แสดงความสูงและความชันของเขาลูก นั้นได้
การสำรวจป่าโคกผาส้วม การสำรวจอาจมีทั้งสำรวจด้วยตาเปล่าหรือมีเครื่องมือสำรวจเพื่อเก็บข้อมูลก็ได้ นัก สำรวจจะได้รับความรู้ และเข้าใจกระบวนการทำงานของระบบนิเวศภายในป่า อีกทั้ง จะได้รับความเพลิดเพลินไปกับการสำรวจอีกด้วย นักสำรวจที่ดีควรเป็นคนช่างสังเกต ใส่ใจกับรายละเอียดและสิ่งแวดล้อมรอบตัว ป่าโคกผาส้วมมีทั้งไม้นานาพรรณ สัตว์ เล็กสัตว์ใหญ่จำนวนมาก ภายในป่ามีการพึ่งพาอาศัยกันเหมือนกับชุมชนๆหนึ่ง มี ความสัมพันธ์กันของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ มีระบบห่วงโซ่อาหาร การสำรวจอาจมี การเก็บบันทึกข้อมูลแล้วรวบรวมไว้ เพื่อเป็นข้อมูลในการอนุรักษ์ป่าชุมชน อีกทั้งได้รู้ ถึงพัฒนาการของป่าไม้ ว่ามีการเจริญเติบโตมากน้อยเพียงใด การเจริญเติบโตของ ต้นไม้โดยธรรมชาติแล้ว จะมีพัฒนาการไปอย่างช้าๆ จึงมีการสำรวจเพียง 1-2 ปีต่อ ครั้ง เพื่อให้เห็นความแตกต่างของป่าไม้อย่างชัดเจน นักสำรวจอาจเป็นคนในพื้นที่เอง หากไม่ใช่ก็ควรมีผู้นำทางเพื่อ ความปลอดภัย มีเครื่องแต่ง กายที่กระชับสามารถเดินสำรวจ ได้อย่างกระฉับกระเฉง อาจมีน้ำ ดื่มหรืออาหารติดตัวไปด้วย และ นักสำรวจไม่ควรทิ้งร่องรอยที่ ส่งผลเสียต่อระบบนิเวศ เช่น ขยะ เศษอาหาร หรือแม้แต่การหักกิ่ง ไม้ เด็ดดอกไม้ เหยียบต้นกล้า เป็นต้น
แบบบันทึกการสำรวจป่าไม้ เป็นเครื่องมือและกิจกรรมหนึ่งที่ช่วยให้นักสำรวจและนักอนุรักษ์ได้บันทึกข้อมูลจาก สิ่งรอบตัวและยังเกิดกระบวนการเรียนรู้เรื่องป่าไม้ ที่มีประโยชน์ต่อการฟื้นฟูและ อนุรักษ์ป่าไม้ แบบบันทึกการสำรวจมีหลายลักษณะด้วยกันขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ของนักสำรวจเอง การสำรวจจำเป็นต้องใช้ประสาทสัมผัส ด้วยการสังเกตด้วยตา การ สังเกตด้วยการฟังเสียง การสังเกตด้วยการสัมผัส การสังเกตด้วยการดมกลิ่น และนำ การสังเกตเหล่านั้นมาบันทึกข้อมูลที่จำเป็นด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ โดยมี กิจกรรมและแบบบันทึกการสำรวจมาเป็นตัวอย่าง ดังนี้ กิจกรรมการสำรวจทางกายภาพและสิ่งแวดล้อมทั่วไป วิธีการ เป็นกิจกรรมสำรวจทางกายภาพและสิ่งแวดล้อมทั่วไป โดยให้นักสำรวจไปหา ข้อมูลจากบริเวณพื้นที่ของป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่แตกต่างกัน 2 พื้นที่ จากนั้นให้ นำข้อมูลจากการสำรวจมาเปรียบเทียบเพื่อหาความแตกต่าง ทั้งนี้นักสำรวจจะทราบ ถึงพรรณไม้ที่พบในบริเวณนั้นๆว่ามีการเจริญเติบโตได้แตกต่างกันด้วยปัจจัยทาง กายภาพและสิ่งแวดล้อมทั่วไปอย่างไร อุปกรณ์ เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิ , แบบบันทึกการสำรวจ , ดินสอ
แบบบันทึกการสำรวจทางกายภาพและสิ่งแวดล้อมทั่วไป แบบบันทึกการสำรวจทางกายภาพและสิ่งแวดล้อมทั่วไป ปัจจัยทางกายภาพ บริเวณที่สำรวจ............................................................. ว/ด/ป……………… 1.แสงแดดส่องถึงพื้น 2.อุณหภูมิ 3.ดิน 3.1สีของดิน 3.2ความชื้นของดิน 3.3ชนิดของดิน มาก ปานกลาง น้อย ...................... องศาเซลเซียส สีดำ สีขาว สีน้ำตาล มาก ปานกลาง น้อย ดินร่วน ดินเหนียว ดินทราย ลักษณะทั่วไปของป่า คำอธิบาย สัตว์ 1.รูปร่างของต้นไม้ 2.สีของใบ 3.ความหนาแน่นของพืช 4.ชนิดพืช .................................................................... .................................................................... .................................................................... .................................................................... ……………………………………………………………. ……………………………………………………………. ……………………………………………………………. .................................................................... .................................................................... ……………………………………………………………. ……………………………………………………………. ……………………………………………………………. ……………………………………………………………. ……………………………………………………………. ……………………………………………………………. ...................................... ...................................... ...................................... ...................................... ...................................... ...................................... ...................................... ...................................... ...................................... ...................................... ...................................... ...................................... ...................................... ระดับความสูงของต้นไม้ (สูง) (ปานกลาง) (เตี้ย) (นก,แมลง,สัตว์ขนาดเล็ก)
ตารางเปรียบเทียบลักษณะทางกายภาพและสิ่งแวดล้อมทั่วไป เปรียบเทียบลักษณะทางกายภาพและสิ่งแวดล้อมทั่วไป ปัจจัยทางกายภาพ บริเวณ…………………………………… บริเวณ…………………………………… 1.แสงแดดส่องถึงพื้น 2.อุณหภูมิ 3.ดิน 3.1สีของดิน 3.2ความชื้นของดิน 3.3ชนิดของดิน …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. ลักษณะทั่วไปของป่า ระดับความสูงของ ต้นไม้………………… ระดับความสูงของ ต้นไม้………………… 1.รูปร่างของต้นไม้ 2.สีของใบ 3.ความหนาแน่นของ พืช 4.ชนิดพืช …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. สัตว์ …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. …………………………………….. ……………………………………..
แบบบันทึกการสำรวจด้วยการฟังเสียง วิธีการ เป็นการสำรวจที่นักสำรวจได้ฝึกใช้ประสาทสัมผัสด้วยการได้ยินเสียงและการ คาดคะเน อีกทั้งนักสำรวจจะได้รับความเพลินเพลินและซึมซับบรรยากาศของ ธรรมชาติดได้อีกด้วย โดยการหลับตาฟังเสียงธรรมชาติ แล้ววาดแผนที่เสียงโดยใช้ สัญลักษณ์แทนการจำลองของต้นเสียงทุกๆสิ่งที่อยู่รอบตัว โดยมีนักสำรวจอยู่จุด ศูนย์กลาง อาจมีผู้เชี่ยวชาญหรือคนในท้องถิ่นคอยอธิบายว่าต้นเสียงนั้นมาจากเสียง สัตว์ชนิดใด อุปกรณ์แบบบันทึกการสำรวจ , ดินสอ แบบบันทึกการสำรวจด้วยการฟังเสียง เครื่องหมายสัญญาลักษณ์ ........................... แทนเสียง ........................... ........................... แทนเสียง ........................... ........................... แทนเสียง ........................... ........................... แทนเสียง ........................... ........................... แทนเสียง ........................... ........................... แทนเสียง ........................... ........................... แทนเสียง ........................... ........................... แทนเสียง ........................... บริเวณที่สำรวจ......................................................................................... ว/ด/ป……..………………..
แบบบันทึกการสำรวจความหนาแน่นของพรรณไม้ วิธีการ เป็นการสำรวจร่วมกันเป็นกลุ่ม โดยให้นักสำรวจเลือกพื้นที่ที่ต้องการจะหา ความหนาแน่นของพรรณไม้ นักสำรวจอาจแบ่งเป็น 2 กลุ่ม เพื่อหาความหนาแน่น ของพรรณไม้ในบริเวณป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์แตกต่างกันก็ได้ เพื่อนำมา เปรียบเทียบการเจริญเติบโตของพรรณไม้ด้วยปัจจัยทางกายภาพ ให้นักสำรวจเตรียม เชือกฟางยาว 10 เมตร จำนวน 4 เส้น และให้ทำสัญลักษณ์ห่างกัน 1 เมตร เมื่อ เดินทางไปถึงบริเวณที่ต้องการสำรวจให้ตรึงเชือกเป็นมุมฉากโดยเริ่มการสำรวจไม้ ใหญ่ในพื้นที่ขนาด 10x10 เมตร ลูกไม้ในพื้นที่ขนาด 5x5 เมตร และกล้าไม้ในพื้นที่ ขนาด 1x1 ตามลำดับ การบันทึก ข้อมูลพรรณไม้สามารถจำแนก ขนาดไม้ต่างๆ ได้ ดังนี้ 1.ไม้ใหญ่ หมายถึงต้นไม้ ที่มีความสูงมากกว่า 1.30 และมี เส้นรอบวงตั้งแต่30 เซนติเมตร ขึ้นไป 2.ลูกไม้ หมายถึงต้นไม้ที่มีความสูงตั้งแต่ 1.30 เมตร และมีเส้นรอบวงน้อย กว่า 30 เซนติเมตร 3.กล้าไม้ หมายถึงต้นไม้ที่มีความสูงน้อยกว่า 1.30 เมตร อุปกรณ์เชือกฟางยาว 10 เมตร จำนวน 4 เส้น , ตลับเมตร , เทอร์โมมิเตอร์ , แบบ บันทึกการสำรวจ , ดินสอ
แบบบันทึกการสำรวจความหนาแน่นของพรรณไม้ แบบบันทึกการสำรวจความหนาแน่นของพรรณไม้ บริเวณที่สำรวจ......................................................................................... ว/ด/ป……..……………….. ชนิดไม้ใหญ่ (พื้นที่ 10x10 เมตร) ขนาด เส้นรอบวง (เซนติเมตร) ชนิดไม้ใหญ่ (พื้นที่ 10x10 เมตร) ขนาด เส้นรอบวง (เซนติเมตร) 1. 6. 2. 7. 3. 8. 4. 9. 5. 10. ไม้ใหญ่ (พื้นที่ 10x10 เมตร) จำนวน ต้น จำนวน ชนิด ลูกไม้ (พื้นที่ 5x5 เมตร) จำนวน ต้น จำนวน ชนิด กล้าไม้ (พื้นที่ 1x1 เมตร) จำนวน ต้น จำนวน ชนิด ความ หนาแน่น ไม้ใหญ่ จำนวนไม้ใหญ่ x 16 จำนวน ต้น/ไร่ ลูกไม้ จำนวนไม้ใหญ่ x 64 จำนวน ต้น/ไร่ กล้าไม้ จำนวนไม้ใหญ่ x 1600 จำนวน ต้น/ไร่ ปัจจัยทางกายภาพ แสงแดดส่องถึงพื้น (เปอร์เซ็นต์) ความชื้นดิน มาก ปานกลาง น้อย อุณหภูมิ (องศาเซลเซียส) ดิน ดินร่วน ดินเหนียว ดินทราย
แบบบันทึกการสำรวจผีเสื้อกลางวันและผีเสื้อกลางคืน วิธีการ เป็นวิธีการสำรวจสัตว์ดัชนีวัดความอุดมสมบูรณ์ของป่าอย่างหนึ่ง ซึ่งการ สำรวจมีทั้งกลางวันและกลางคืนขึ้นอยู่กับชนิดของผีเสื้อที่ต้องการสำรวจ ผีเสื้อจะมี จำนวนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อมในบริเวณนั้น หาก เป็นผีเสื้อกลางวันจะมีสีสันที่สวยงาม นักสำรวจมักจะใช้สวิงจับผีเสื้อเพื่อบันทึกข้อมูล รายละเอียดของผีเสื้อแล้วถ่ายรูปเก็บไว้จากนั้นก็ ปล่อยผีเสื้อไป หากเป็นผีเสื้อกลางคืนจะมีสีสัน ไม่มากนัก นักสำรวจจะนำหลอดไฟมาติดตั้งส่อง ไปยังผ้าขาวผืนใหญ่ที่ขึงไว้ แสงไฟจะช่วยล่อ ผีเสื้อให้มาเกาะบนผ้าขาว นักสำรวจจะบันทึก ข้อมูลรายละเอียดของผีเสื้อแล้วถ่ายรูปเก็บไว้ หากเป็นบริเวณที่ไม่มีกระแสไฟเข้าถึง ให้นัก สำรวจเตรียมอุปกรณ์ติดตั้งหลอดไฟเข้ากับ แบตเตอรี่ อุปกรณ์แว่นขยาย , กล้องถ่ายภาพ , แบบบันทึก , ดินสอ (อุปกรณ์การสำรวจผีเสื้อ กลางวัน : สวิงจับผีเสื้อ) (อุปกรณ์การสำรวจผีเสื้อกลางคืน : หลอดไฟ , แบตเตอรี่ , ผ้าขาวผืนใหญ่)
แบบบันทึกการสำรวจผีเสื้อกลางวัน/ผีเสื้อกลางคืน แบบบันทึกการสำรวจผีเสื้อกลางวัน/ผีเสื้อกลางคืน บริเวณที่สำรวจ......................................................................................... ว/ด/ป……..……………….. ชนิดผีเสื้อ อธิบายลักษณะทั่วไป อธิบายพฤติกรรม ภาพวาด ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม อุณหภูมิ (องศาเซลเซียส) ความหนาแน่นของพืช มาก ปานกลาง น้อย การเก็บตัวอย่างพรรณไม้ พรรณไม้ในป่ามีจำนวนหลายชนิด ทำให้นักสำรวจไม่สามารถชี้ชัดหรือจำแนกได้ว่า ป่าผืนนั้นมีจำนวนพรรณไม้กี่ชนิด ผู้สำรวจจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์และเวลา อย่างมาก ที่จะมีความสามารถจำแนกหรือชี้ชัดพรรณพืชชนิดนั้นได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ การเก็บตัวอย่างพรรณไม้ทำให้นักสำรวจสามารถเก็บข้อมูลของพรรณไม้ได้ อย่างถูกต้อง
โดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญหรือคนในท้องถิ่นนั่นเอง เพื่อนำพรรณไม้มาให้ ผู้เชี่ยวชาญได้วิเคราะห์ว่าเป็นชนิดใด โดยมีกิจกรรมการสำรวจพรรณไม้และเก็บ ตัวอย่าง ดังนี้ วิธีการ นักสำรวจควรวางแผนการเดินป่าในการสำรวจแต่ละครั้ง โดยมีเส้นทางการ เดินป่าที่หลากหลาย เพื่อจะได้พบพรรณไม้แปลกใหม่มากยิ่งขึ้น พรรณไม้แต่ละชนิด นั้นจะเจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน นักสำรวจอาจวางแผนการสำรวจ ไปยังบริเวณใกล้แหล่งน้ำ ที่แห้งแล้ง และป่ารกทึบ เป็นต้น อุปกรณ์กรรไกรตัดกิ่งไม้ , ถุงพลาสติกขนาดใหญ่ , ป้ายติดพรรณไม้ , กล้อง ถ่ายภาพ , สมุดบันทึก วิธีการการเก็บตัวอย่างพรรณไม้ นักสำรวจจำเป็นต้องเก็บตัวอย่างพรรณไม้ทั้งใบ ก้านกิ่ง ผลและดอก ไม่ควรเด็ดมาเป็นใบๆ การเก็บดอกและผลไม่ควรเก็บส่วนที่ล่วง ลงจากต้นแล้ว ให้เก็บทั้งก้าน ที่มีส่วนของใบและดอกหรือผลติดมาด้วย ส่วนไม้ล้มลุก ขนาดเล็ก เช่น หญ้า เฟิร์น ให้เก็บมาทั้งต้นที่มีรากติดมาด้วย หากเป็นต้นไผ่ให้ตัด ส่วนที่มีตาซึ่งแตกแขนง ถ้าสามารถเก็บดอกและผลของต้นไผ่มาได้ ก็จะสามารถ จำแนกชนิดได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างของพรรณไม้ควรเก็บส่วนต่างๆของต้นมา 2-3 ชิ้น เก็บ ไว้ในถุงให้ติดป้ายระบุรหัสตัวอย่างและตำแหน่งที่พบไว้ ที่มา : ก่อนกานดา (2541)
การอัดแห้งพรรณไม้ นำกระดาษหนังสือพิมพ์พับเป็นคู่ๆ นำพรรณไม้ตัวอย่างที่มีป้ายกำกับรหัสไว้มาวาง บนกระดาษหนังสือพิมพ์ อาจมีการพับส่วนของก้านหรือใบ จัดขนาดให้พอดีกับ ขนาดของกระดาษ ไม่ควรให้ใบไม้ซ้อนกันมากนัก จัดใบให้หงายไปในทิศทางเดียวกัน ไม่คว่ำบ้างหงายบ้าง นำกระดาษหนังสือพิมพ์มาวางทับอีกชั้นหนึ่ง ระหว่างตัวอย่าง หนึ่งชิ้นให้ใช้กระดาษลูกฟูก(กระดาษลัง)ทับระหว่างชั้น เพื่อให้มีการระบายความชื้น ได้ดี ให้นำแผงไม้รองชั้นบนและล่างแล้วรัดด้วยเชือกหรือเข็มขัดให้แน่น นำไปตาก แดดโดยให้วางเป็นแนวตั้ง หากมีแดดดีจะใช้เวลาประมาณ 3 วัน นักสำรวจอาจ รวบรวมพรรณไม้อัดแห้งเหล่านี้ไว้ในแฟ้มและขอให้ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์และระบุชื่อ พรรณไม้เหล่านั้น เพียงเท่านี้นักสำรวจหรือนักอนุรักษ์ก็จะได้แฟ้มเก็บรวบรวมข้อมูล และตัวอย่างพรรณไม้ในป่าได้ แผงอัดพรรณไม้ พรรณไม้อัดแห้ง ดัดแปลงจาก : ก่อนกานดา (2541) ที่มา : ประนอม จันทรโณทัย(2538)
พรรณไม้และสัตว์ดัชนี เป็นสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่หายากหรืออยู่ในป่าที่มีอุดมสมบูรณ์ หากพบเจอในป่าที่ ใดสามารถระบุได้ว่า ป่านั้นมีความอุดมสมบูรณ์อย่างมาก บางครั้งการที่ป่ามีจำนวน พรรณพืชหรือชนิดสัตว์จำนวนมากก็สามารถเป็นดัชนีชีวัดความอุดมสมบูรณ์ของป่า ได้ ขึ้นอยู่กับการเปรียบเทียบของป่า 2 แห่ง หากป่าแห่งหนึ่งมีจำนวนพรรณพืชหรือ ชนิดสัตว์มากกว่า ก็สามารถระบุได้ว่ามี ความอุดมสมบูรณ์ของป่ามากกว่านั่นเอง สัตว์ดัชนีที่เป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะผีเสื้อและนก เพราะสัตว์กลุ่ม นี้เป็นสัตว์ที่มีการอพยพและมีการแพร่ พันธุ์ได้ง่าย ไม่เหมือนสัตว์เดินเท้าอื่นๆ ซึ่งมีความหวาดกลัวมนุษย์ทำให้มีการ กระจายตัวในผืนป่าอื่นๆเป็นไปได้ยาก วงปี เป็นปรากฏการณ์ของเนื้อไม้ ต้นไม้ใบเลี้ยงคู่เมื่อโตเต็มวัยจะมีการขยายลำต้นให้ใหญ่ ขึ้นเพื่อพยุงลำต้น ท่อลำเลียงน้ำจะถูกดันไปข้างในเป็นแกนไม้ และเซลล์ก็จะสิ้นอายุ ไป ในปีหนึ่งๆจะมีฤดูฝนมากช่วงต้นปีทำให้เซลล์มีขนาดใหญ่ ผนังบาง สีค่อนข้างจาง และปลายปี จะเป็นฤดูแล้งทำให้เซลล์มีขนาดเล็ก ผนังหนา สีค่อนข้างเข้มกว่า เมื่อ เกิดเนื้อไม้ทั้ง 2 ฤดู ก็จะครบ 1 พอดี กลางลำต้นก็จะเกิดเป็นเส้นวงกลมเป็นชั้นๆ ทำ ให้เราทราบถึงอายุของต้นไม้ต้นนั้น วงปียังสามารถบอกเหตุการณ์ในอดีตได้ด้วย โดย ปกติวงปีจะมีขนาดสม่ำเสมอ หากมีวงปีไม่ครบวงนั่นแสดงว่าปีนั้นมีไฟป่าหรือมีโรค ระบาด หากปีนั้นมีวงปี 2 วงขั้นไป นั่นแสดงว่าปีนั้นมีน้ำมากและน้อยสลับกัน 2 ครั้ง