ป่าไม้ของไทย ป่าไม้ในประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายอย่างมาก ทั้งเป็นสมบัติของชาติและเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่ายิ่ง โดยทั่วไปแล้วมีปัจจัย หลักที่เป็นตัวกำหนดชนิดของป่า คือ สภาพภูมิอากาศ สภาพภูมิประเทศ สภาพดิน และความเป็นมาของภูมิศาสตร์ ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนที่มีฝนตกชุกและมี แสงแดดจ้าตลอดปี แต่บางพื้นที่ก็มีสภาพแห้งแล้งอยู่บ้าง ทำให้มีพืชพรรณมากมาย หลายชนิด ป่าไม่ผลัดใบ (Evergreen Forest) ป่าประเภทนี้มีประมาณ 30% ของเนื้อที่ป่าทั้งประเทศ 1.1 ป่าดิบชื้น (Tropical Rain Forest) มีอยู่ทั่วไปในทุกภาคของประเทศ และมากที่สุดแถบชายฝั่งภาคตะวันออกและที่ภาคใต้ ตามความสูงตั้งแต่ 0 - 100 เมตรจากระดับน้ำทะเลซึ่งมีปริมาณน้ำฝนตกมากกว่าภาคอื่น ๆ ลักษณะทั่วไปมักเป็นป่ารกทึบ ประกอบด้วยพันธุ์ไม้มากมายหลายร้อยชนิด ต้นไม้ส่วน ใหญ่เป็นวงศ์ยาง ไม้ตะเคียน กะบาก อบเชย จำปาป่า ส่วนที่เป็นพืชชั้นล่างจะเป็นพวก ปาล์ม ไผ่ ระกำ หวาย บุกขอน เฟิร์น มอส กล้วยไม้ป่าและ เถาวัลย์ชนิดต่างๆ 1.2 ป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest) มีอยู่ทั่วไปตามภาคต่าง ๆ ของประเทศ ตามที่ราบเรียบหรือตามหุบเขา มีความสูงจาก ระดับน้ำทะเลประมาณ 500 เมตร และมีปริมาณน้ำฝนระหว่าง 1,000-1,500 ม.ม. พันธุ์ ไม้ที่สำคัญ เช่น ยางแดง มะค่าโมง เป็นต้น พื้นที่ป่าชั้นล่างจะค่อนข้างโล่งเตียน 1.3 ป่าดิบเขา (Hill Evergreen Forest) เป็นป่าที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 1,000 เมตรขึ้นไป ส่วนใหญ่อยู่บนเทือกเขาสูงทาง ภาคเหนือและบางแห่งในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พืชที่สำคัญได้แก่ไม้วงศ์ ก่อ เช่น ก่อสีเสียด ก่อตาหมูน้อย อบเชย กำลังเสือโคร่ง เป็นต้น บางทีก็มีสนเขาขึ้นปะปน อยู่ด้วย ส่วนไม้พื้นล่างเป็นพวกเฟิร์น กล้วยไม้ดินและมอส ป่าชนิดนี้มักอยู่บริเวณต้นน้ำลำ ธาร
1.4 ป่าสน (Coniferous Forest) มีกระจายอยู่เป็นหย่อม ๆ ตามภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่อุบลราชธานีมี อยู่ตามที่เขาและที่ราบบางแห่งที่มีระดับสูงจากน้ำทะเลตั้งแต่ 200 เมตรขึ้นไป บางครั้งพบ ขึ้นปนอยู่กับป่าแดงและป่าดิบเขา ป่าสนมักขึ้นในที่ดินไม่อุดมสมบูรณ์ เช่น สันเขาที่ ค่อนข้างแห้งแล้ง ประเทศไทยมีสนเขาเพียง 2 ชนิดเท่านั้น คือสนสองใบและสนสามใบ และพวกก่อต่าง ๆ ขึ้นปะปนอยู่ พืชชั้นล่างมีพวกหญ้าต่าง ๆ 1.5 ป่าพรุหรือป่าบึงน้ำจืด (Fresh Water Swamp Forest) ระบบนิเวศของป่าพรุนับว่ามีความแตกต่างจากแหล่งอื่นค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นระบบ ที่เป็นกึ่งป่าบกและกึ่งระบบของบึงน้ำ ป่าพรุในประเทศไทยซึ่งเป็นพรุเขตร้อนมีพลังงาน เพื่อการสร้างอินทรียวัตถุสูง และธาตุอาหารในดินก็มีมากพอสมควรแต่ปัญหาที่กำหนด ระดับการสร้างคือ สภาพดินที่เป็นกรดจัดและมีน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง การสร้างผลผลิตมูล ฐานทั้งหมดส่วนใหญ่เกิดขึ้นในไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ในระดับเรือนยอดชั้นบนสุด ดังนั้น ผลผลิตสดและใหม่ที่จะถ่ายทอดไปสู่สัตว์จึงขึ้นไปอยู่ในระดับสูง ด้วยเหตุนี้จึงมีสัตว์ที่หากิน ในชั้นเรือนยอดมากกว่าปกติในส่วนที่เป็นพื้นป่าเนื่องจากมีน้ำขังระยะยาวนานเป็นส่วน ใหญ่พืชที่อยู่ชิด ดินจึงมีน้อย นอกจากนี้เนื่องจากการสกัดกั้นพลังงานแสงจากเรือนยอดชั้น บนทำให้พืชคลุมดิน ขึ้นได้ยากและโตช้า ด้วยเหตุนี้ปริมาณสัตว์ที่เป็นผู้เสพอินทรียวัตถุที่ ผิวดินจึงมีค่อนข้างน้อยกว่าป่าชนิดอื่น ในส่วนของผู้ย่อยสลายนับได้ว่ามีการดำเนินไปได้ช้า มาก เห็นได้จากการทับถมของซากพืชที่หนาเกินกว่า 40 เซนติเมตรขึ้นไป สาเหตุที่ทำให้ ซากพืชสลายตัวยากเนื่องจากความเป็นกรดของน้ำ ที่ท่วมขังอยู่โดยตลอดซึ่งสกัดกั้นการ ย่อยสลายของจุลินทรีย์การขาดสัตว์ในดินและน้ำค่อนข้างนิ่งทำให้การคลุกเคล้าของซาก พืชกับดินแร่ ธาตุชั้นล่างเป็นไปโดยยาก อย่างไรก็ตามเนื่องจากพื้นที่พรุเป็นที่ลุ่มจึงเป็น แหล่งสะสมตะกอนจากป่าบก ข้างเคียงทำให้ปัญหาการติดขัดของการหมุนเวียนของธาตุ อาหารพืชหมดไป แต่ถ้าหากมีการทำลายป่าชนิดนี้ลงและเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่ ปลูกพืช ล้มลุก สภาพปัญหาเกี่ยวกับดินเปรี้ยวก็จะรุนแรงยิ่งขึ้น อาจกล่าวได้ว่าสังคมป่าพรุ เป็นระบบนิเวศที่ค่อนข้างเปราะบาง มีการเปลี่ยนแปลงและเสียหายได้ง่าย การพัฒนาใด ๆ ทั้งภายในและบริเวณโดยรอบต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
1.6 ป่าชายเลน (mangrove forest หรือ intertidal forest) ระบบนิเวศของป่าชายเลนจัดได้ว่าเป็นระบบที่เปิด ธาตุอาหารต่าง ๆ ที่หลั่งไหลเข้าสู่ระบบ นิเวศนี้ส่วนใหญ่ลงมากับสายน้ำจากระบบนิเวศที่อยู่ใน แหล่งต้นน้ำ โดยเฉพาะป่าบก เมือง พื้นที่เกษตรกรรม และแหล่งอุตสาหกรรม ธาตุอาหารเหล่านั้นถูกเปลี่ยนรูปเป็นผลผลิต อินทรียวัตถุพอกพูนในพืชและสัตว์ถูกเก็บเกี่ยวในรูปของเนื้อไม้ โดยเฉพาะถ่าน ไม้ฟืน เปลือกไม้ และสัตว์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ กุ้ง หอย ปู ปลา นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นำกลับไป ใช้และปลดปล่อยในระบบนิเวศอื่น ๆ ที่อยู่ในแผ่นดินต่อไป ธาตุอาหารบางอย่างอาจ วนเวียนกลับลงมาอีกแต่อีกไม่น้อยอาจไม่หวนกลับมา อย่างไรก็ตามระบบนิเวศป่าชายเลน มักเป็นผู้ได้มากกว่าผู้เสีย จึงมักคงความสมบูรณ์สูงตลอดไป ลักษณะโครงสร้างของป่าชาย เลนมีส่วนที่แตกต่างจากป่าบกอื่น ๆ อยู่มากคือ องค์ประกอบของผู้สร้างอินทรียวัตถุ (producers) มิได้มีเฉพาะพืชชั้นสูงเพียงอย่างเดียว แต่มีแพลงตอนพืชที่มีส่วนการผลิตต่อ ปีค่อนข้างสูงด้าย นอกจากนี้ยังมีสาหร่ายอีกหลายชนิดที่มีการผลิตอินทรียวัตถุได้เช่นกัน สนิท (2532) รายงานว่าป่าชายเลนที่จังหวัดสตูลมีผลผลิตสุทธิเฉลี่ยประมาณ 10.56- 23.46 กิโลกรัมคาร์บอนต่อเฮกแตร์ต่อวัน ส่วนการร่วงหล่นของซากพืชในป่าชนิดนี้อยู่ใน ระหว่าง 3.44 ถึง 9.31 ตันต่อเฮกแตร์ต่อปี และมวลชีวภาพยืนต้นประมาณ 20.06- 710.81 ตันต่อเฮกแตร์โดยน้ำหนักแห้ง ความแปรผันขึ้นกับแถบสังคมและสภาพท้องถิ่น ส่วนผลผลิตขั้นมูลฐานของแพลงตอนในน้ำใกล้ป่าชายเลนตกประมาณ 4.69 ตันคาร์บอน ต่อเฮกแตร์ต่อปี (Wium-Anderson, 1979) การผุสลายในป่าชายเลน (decomposition) ผู้สลายที่สำคัญในป่าชายเลนได้แก่ จุลินทรีย์(microorganism) เชื้อรา (fungi) นอกจากนี้ ยังมีผู้ช่วยย่อยสลายที่ทำให้อินทรียวัตถุกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้น น้อยอีกหลายชนิด โดยเฉพาะ แมลงและคัสเตซีน (crustacean) เช่น ปู หอย กุ้ง เพรียง เป็นต้น 1.7 ป่าชายหาด (Beach Forest) เป็นป่าที่มีอยู่ตามชายฝั่งทะเลที่เป็นดินกรวด ทรายและโขดหินพันธุ์ไม้จะต่างจากที่ที่น้ำ ท่วมถึง ถ้าชายฝั่งเป็นดินทรายก็มีสนทะเล พืชชั้นล่างก็จะมีพวกตีนนก และพันธ์ไม้เลื้อย อื่น ๆ อีกบางชนิด ถ้าเป็นกรวดหรือหิน พันธุ์ไม้ที่ขึ้นส่วนใหญ่ก็เป็นพวกกระทิง หูกวาง เป็นต้น
ป่าผลัดใบ (Deciduous Forest) 2.1 ป่าเบญจพรรณ (Mixed Deciduous Forest) ป่าชนิดนี้มีอยู่ทั่วไปในภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคใต้ไม่ ปรากฏว่ามีอยู่ ป่าชนิดนี้มักจะมีไม้สักขึ้นอยู่ปะปนอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะทางภาคเหนือและ ทางภาคกลางบางแห่ง ส่วนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีป่าเบญจพรรณอยู่น้อย ลักษณะ ของป่าเบญจพรรณ โดยทั่วไปเป็นป่าโปร่งประกอบด้วยต้นไม้ขนาดกลางเป็นส่วนมาก พื้นที่ป่าไม่รกทึบมีไม้ไผ่ชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่มาก ในฤดูแล้งต้นไม้ทั้งหมดจะพากันผลัดใบและ มีไฟป่าไหม้อยู่ทั้งปีมีพันธุ์ไม้ขึ้นคละกันมากชนิด เช่น ไม้สัก แดง ประดู่ มะค่าโมง ชิงชัน ตะแบก เป็นต้น พืชชั้นล่างก็มีพวกหญ้า พวกกก ไม้ไผ่ชนิดต่าง ๆ เช่น ไผ่ป่า ไผ่รวก ไผ่ นวล เป็นต้น 2.2 ป่าเต็งรัง (Deciduous Dipterocarp Forest) ป่าชนิดนี้มีอยู่มากทางภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคใต้และ ชายทะเลด้านตะวันออกไม่ปรากฏว่ามีอยู่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนับว่ามีมากที่สุด คือ ประมาณ 70-80% ของป่าชนิดต่าง ๆ ที่มีอยู่ในภาคนี้ทั้งหมด ป่าชนิดนี้มีอยู่ทั่วไปทั้งที่ราบ และที่เขาสูง ดินมักเป็นทรายและลูกรัง ซึ่งจะมีสีค่อนข้างแดง ในบางแห่งจึงเรียกว่าป่าแดง ส่วนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีป่าขึ้นตามเนินที่เรียกว่าโคก จึงเรียกว่าป่าโคก ลักษณะ ป่าชนิดนี้เป็นป่าโปร่งมีต้นไม้ขนาดเล็กและขนาดกลางขึ้นอยู่กระจัด กระจาย พื้นป่าไม่รก ทึบ มีหญ้าชนิดต่าง ๆ และไม้ไผ่ขึ้นอยู่โดยทั่วไป พันธุ์ไม้ในป่านี้ได้แก่ เต็ง รัง พะยอม มะขามป้อม เป็นต้น 2.3 ป่าหญ้า (Savanna Forest) เป็น ป่าที่เกิดหลังจากที่ป่าชนิดอื่น ๆ ถูกทำลายไปหมด ดินเสื่อมโทรมต้นไม้ไม่อาจ เจริญเติบโตต่อไปได้พวกหญ้าจึงเข้ามาแทนที่พบได้ทุกภาคในประเทศ หญ้าที่ขึ้นส่วนใหญ่ เป็นหญ้าคา แฝกหอม เป็นต้น อาจมีต้นไม้ขึ้นบ้าง เช่น กระโดน กระถินป่า ประดู่ซึ่งเป็น พวกทนทานไฟป่าได้ดีมาก ที่มา : อุทิศ (2541)
ฤดูกาลของประเทศไทย ฤดูร้อน เริ่มต้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเปลี่ยนจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และเป็น ระยะที่ขั้วโลกเหนือหันเข้าหาดวงอาทิตย์โดยเฉพาะเดือนเมษายนบริเวณประเทศไทย มี ดวงอาทิตย์อยู่เกือบตรงศีรษะในเวลาเที่ยงวัน ทำให้ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์เต็มที่ สภาวะอากาศจึงร้อนอบอ้าวทั่วไป ในฤดูนี้แม้ว่าโดยทั่วไปจะมีอากาศร้อนและแห้งแล้ง แต่ บางครั้งอาจมีมวลอากาศเย็นจากประเทศจีน แผ่ลงมาปกคลุมถึงประเทศไทยตอนบน ทำให้ เกิดการปะทะกันของมวลอากาศเย็น กับมวลอากาศร้อนที่ปกคลุมอยู่เหนือประเทศไทย ซึ่ง ก่อให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรง หรืออาจมีลูกเห็บตกก่อให้เกิดความ เสียหายได้พายุฝนฟ้าคะนองที่เกิดขึ้นในฤดูนี้มักเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพายุฤดูร้อน ฤดูฝน เริ่มต้นประมาณกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม เมื่อมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทย และร่องความกดอากาศต่ำพาด ผ่านประเทศไทย ทำให้มีฝนชุกทั่วไป ร่องความกดอากาศต่ำนี้ปกติจะพาดผ่านภาคใต้ใน ระยะต้นเดือนพฤษภาคม แล้วจึงเลื่อนขึ้นไปทางเหนือตามลำดับ จนถึงช่วงประมาณปลาย เดือนมิถุนายน จะพาดผ่านอยู่บริเวณประเทศจีนตอนใต้ทำให้ฝนในประเทศไทยลดลงระยะ หนึ่ง และเรียกว่าฝนทิ้งช่วง ซึ่งอาจนานประมาณ 1 - 2 สัปดาห์หรือบางปีอาจเกิดขึ้นรุนแรง และมีฝนน้อยนานนับเดือน ในเดือนกรกฎาคมปกติร่องความกดอากาศต่ำ จะเลื่อนกลับลง มาจากทางตอนใต้ของประเทศจีน พาดผ่านบริเวณประเทศไทยอีกครั้ง ทำให้มีฝนชุก ต่อเนื่อง และปริมาณฝนเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป จนกระทั่งมรสุม ตะวันออกเฉียงเหนือ พัดเข้ามาปกคลุมประเทศไทย แทนที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ กลางเดือนตุลาคม ประเทศไทยตอนบนจะเริ่มมีอากาศเย็นและฝนลดลง โดยเฉพาะ ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เว้นแต่ภาคใต้ยังคงมีฝนชุกต่อไปจนถึงเดือน ธันวาคม และมักมีฝนหนักถึงหนักมากจนก่อให้เกิดอุทกภัย ฤดูหนาว เริ่มต้นประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ พัดปกคลุมประเทศไทยตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม ในช่วงกลางเดือนตุลาคมนาน 1-2 สัปดาห์ เป็นช่วงเปลี่ยนฤดูจากฤดูฝนเป็นฤดูหนาว อากาศแปรปรวน ไม่แน่นอน อาจเริ่มมีอากาศเย็น หรืออาจยังมีฝนฟ้าคะนอง โดยเฉพาะ บริเวณภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออกลงไปซึ่งจะหมดฝน และเริ่มมีอากาศเย็นช้า กว่าภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มา : กรมอุตุนิยมวิทยา (2557)
ธรณีวิทยาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ธรณีวิทยาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วยชั้นของกลุ่มหินโคราช ซึ่งเป็นชั้น หินสีแดงมหายุคมีโซโซอิก อยู่ในช่วง 251-66 ล้านปี เกิดสะสมตัวทั่วบริเวณของภาค อีสาน จึงเป็นเหตุผลที่พบซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์อยู่ในพื้นที่แถบนี้เท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นหินทรายแป้ง หินทราย หินโคลนและหินกรวดมน ความหนาของชั้นหิน อาจมีความหนาถึง 4,000 เมตร และภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งภาคไม่ปรากฏรอย เลื่อนแผ่นดินไหวที่ยังมีพลังอยู่เลย ที่มา : กรมธรณีวิทยา (2542)
กลุ่มหินโคราช ประกอบด้วย 9 หมวดหิน ดังนี้ยุคไทรแอดซิก (220 ล้านปี) 1.หมวดหินห้วยหินลาด หินดินดาน หินโคลน และหินทรายแป้ง 2.หมวดหินน้ำพอง หินทราย หินทรายแป้ง หินเคลย์และหินกรวดมน ยุคจูแรสซิก (150 ล้านปี) 3.หมวดหินภูกระดึง หินทราย หินทรายแป้ง หินเคลย์และหินกรวดมน ยุคครีเทเซียส (90-145 ล้านปี) 4.หมวดหินพระวิหาร หินทรายแสดงชั้นเฉียงระดับ หินทรายแป้งและหิน เคลย์ 5.หมวดหินเสาขัว หินทรายและหินทรายแป้ง 6.หมวดหินภูพาน หินทรายแสดงชั้นเฉียงระดับ หินทรายแป้งและหิน ทรายกรวดมน 7.หมวดหินโคกกรวด หินทราย หินทรายแป้ง หินเคลย์และหินกรวดมน 8.หมวดหินมหาสารคาม หินทราย หินทรายแป้ง หินเคลย์เกลือหินและแร่ ยิปซัม 9.หมวดหินภูทอก หินทราย หินทรายแป้งและหินเคลย์ มีโอกาสที่จะค้นพบซากดึกดำบรรพ์ได้ทุกหมวดหิน แต่การค้นพบนั้น มีโอกาสน้อยมาก เพราะกระบวนการเกิดซากดึกดำบรรพ์ต้องมีปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่ เหมาะสมเท่านั้น ทำให้การค้นพบซากดึกดำบรรพ์มักจะพบโดยบังเอิญเป็นส่วนมาก
ธรณีวิทยาป่าโคกผาส้วม แหล่งขุดค้นป่าโคกผาส้วมตั้งอยู่ในป่าเต็งรัง มีสถานะเป็นป่าชุมชน มีพื้นที่ ทั้งหมด 1,011 ไร่ ที่เรียกว่า “ป่าโคกผาส้วม” มีพื้นที่บริเวณแหล่งขุดค้นซากดึกดำ บรรพ์ 3 จุดด้วยกัน ซึ่งโคกผาส้วมเป็นจุดที่พบซากดึกดำบรรพ์ได้จำนวนมากที่สุด อยู่บริเวณทางทิศใต้ของผืนป่า มีการพังทลายของหน้าดินเป็นหลุมลึกประมาณ 4-5 เมตร มีความกว้างประมาณ 200 เมตร ยาว 300 เมตร มีลักษณะการเรียงตัวกันของ ชั้นดินอย่างชัดเจน ประกอบด้วยชั้นดินทรายสีแดงแกมม่วง สลับกับชั้นดินโคลนสีเทา หรือสีขาว และชั้นดินทรายสีแดง ซึ่งเกิดจากการสะสมตัวของตะกอนบกของหมวด หินโคกกรวด ยุคครีเทเชียสตอนต้น มีอายุประมาณ 110 ล้านปี และชั้นบนสุด ปกคลุมไปด้วยดินศิลาแลงสีแดงและป่าไม้ของยุคปัจจุบัน พื้นหลุมมีต้นไม้เตี้ยๆ ปรากฏให้เห็นในบางพื้นที่ พื้นที่บริเวณแหล่งขุดค้น พบซากดึกดำบรรพ์คล้าย ฟัน ฉลามน้ำจืด เกล็ดปลากระดูกแข็ง ฟันจระเข้ กระดองเต่า ฟันและกระดูกของ ไดโนเสาร์ เป็นต้น ชั้นดินของแหล่งขุดค้นโคกผาส้วมมีการเรียงตัวของชั้นดินถึง 3 ชั้นอย่าง ชัดเจน หากนำเม็ดดินทั้ง 3 ชั้นผ่านด้วยตะแกรงร่อนเบอร์ 325 เมช เม็ดดินสามารถ ผ่านตะแกรงได้ทั้งหมด แสดงว่า เม็ดดินที่มีขนาดเล็กกว่า 0.044 มิลลิเมตร หากส่องด้วยกล้อง จุลทรรศน์ จะพบว่าเม็ดดินมี ขนาดเล็กกว่า 0.06 มิลิเมตร ซึ่ง ตรงกับขนาดของดินทรายแป้ง และดินเคลย์ตามมาตราของเวน เวิร์ท(Wentwoth scale) ดินเคลย์(Clay) คือ การสะสมตัวของตะกอนดินเหนียว
การจำลองชั้นดินแหล่งขุดค้นป่าโคกผาส้วม ชั้นบน มีความหนาประมาณ 1-2 เมตร เป็นดินทรายแป้งปนดินเคลย์สีขาว เป็นชั้นที่มีราก ของต้นไม้ในยุคปัจจุบันแทรกตัวลงมา ชั้นกลาง มีความหนาประมาณ 1.5-2.5 เมตร เป็นดินทรายแป้งปนดินเคลย์สีน้ำตาลแกมม่วง เป็นชั้นที่แสดงชุดของชั้นย่อย ชั้นเฉียง ตอนล่างสุดของชั้นนี้ เป็นชั้นที่พบซากดึกดำ บรรพ์ ชั้นล่าง มีความหนามากกว่า 1 เมตรขึ้นไป เป็นดินทรายแป้งปนดินเคลย์สีน้ำตาลแกมแดง เป็นชั้นล่างสุด อาจพบเศษชิ้นส่วนของซากดึกดำบรรพ์ตามพื้นดินหรือทางน้ำ ที่ถูก น้ำชะล้างหน้าดินลงมาจากชั้นบนลงมากองกันในบริเวณนี้ ดัดแปลงจาก : ยุทธ แม้นพิมพ์(2547)
สายวิวัฒนาการตามมาตราธรณีกาล โลกของเรากำเนิดเมื่อ 4,600 ล้านปีก่อน นักธรณีวิทยาได้ศึกษาอายุของชั้นหินโดยวิธี ทางวิทยาศาสตร์ เช่น การหาอายุจากแร่กัมมันตรังสีที่มีอยู่ในชั้นหิน ทำให้นัก ธรณีวิทยาได้ทราบว่าอายุของชั้นหินและซากดึกดำบรรพ์ที่พบในชั้นหินนั้นว่ามีอายุ ประมาณเท่าใด จากการศึกษาสามารถจัดแบ่งเหตุการณ์ของโลกด้วยช่วงเวลากับ สิ่งมีชีวิตที่เคยอาศัยอยู่บนโลกตามมาตราธรณีกาล หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สาย วิวัฒนาการตามมาตราธรณีกาล มหายุค ยุค ล้านปี สิ่งมีชีวิต/เหตุการณ์สำคัญ ซีโนโซอิก ควอเทอร์นารี 2.6-ปัจจุบัน ปรากฏมนุษย์สมัยใหม่ เทอร์เชียรี 66-2.6 ยุคสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ปรากฏบรรพ บุรุษของมนุษย์ มีโซโซอิก ครีเทเชียส 145-66 ปลายยุคนี้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ จูแรสซิก 201-145 นกปรากฏขึ้นครั้งแรก ไทรแอสซิก 251-201 เริ่มต้นยุคของไดโนเสาร์และ สัตว์เลื้อยคลาน พาลีโอโซอิก เพอร์เมียน 299-251 ปลายยุคนี้สิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์ไป 95 เปอร์เซ็นต์ คาร์บอนิ เฟอรัส 359-299 บรรพบุรุษของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและ สัตว์เลื้อยคลานปรากฏขึ้น ดีโวเนียน 416-359 ยุคของปลากระดูกแข็ง เริ่มมีแมลงและ สัตว์สะเทินบกสะเทินน้ำ ซิลูเรียน 444-416 ปรากฏพืชบนพื้นดิน ออร์โดวิเชียน 488-444 ปรากฏบรรพบุรุษของปลา แคมเบรียน 542-488 เริ่มยุคของสิ่งมีชีวิต พรีแคม เบรียน 4,600-542 กำเนิดโลก ปรากฏสิ่งมีชีวิตในโลก
ไดโนเสาร์ ไดโนเสาร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เคยอาศัยอยู่บนโลกในมายุคมีโซโซอิก ประมาณ 220-65 ล้านปีมีขนาดใหญ่ มีทั้งนักล่าและรักษ์สงบถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิต ที่น่ากลัวที่สุด ที่โลกเคยมีมา ไดโนเสาร์ถูกจัดอยู่ในประเภทสัตว์เลื้อยคลาน ที่มีกระดูกสะโพกที่ คล้ายกับกระดูกของกิ้งก่าและนก หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าสัตว์ที่หน้าแปลกประหลาด ในยุคนั้นคือไดโนเสาร์ทั้งหมด ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่บินได้หรืออยู่ในน้ำจะเรียกว่าสัตว์โบราณ ส่วนไดโนเสาร์จะอาศัยอยู่บนบกเท่านั้น ดัดแปลงจาก : Lambert D. The ultimate dinosaur books
ไดโนเสาร์ซอริสเชีย (Saurischia) จัดแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเทอโรพอดส์(Theropods) เดินสองเท้า แบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ กลุ่มซีลูโรซอร์ (Coelurosaur) กินเนื้อ มีขนาดเล็ก กลุ่มคาร์โนซอร์ (Carnosaur) กินเนื้อ มีขนาดใหญ่ กลุ่มซอโรพอดส์ (Sauropods) เป็นกลุ่มกินพืชคอยาว เดินสี่เท้า ขนาดใหญ่ ไดโนเสาร์ออร์นิธิสเซีย (Ornithichia) แบ่งเป็น 5 กลุ่ม คือ กลุ่มสเตโกซอร์(Stegosaur) เป็นไดโนเสาร์มีครีบ เดินสี่เท้า กลุ่มแองคิโลซอร์ (Ankylosaur) เป็นไดโนเสาร์หุ้มเกราะ เดินสี่เท้า กลุ่มพาคีเซปฟาโลซอร์ (Pachycephalosaur) เป็นไดโนเสาร์หัวแข็งเดินสองเท้า กลุ่มเซอราทอปเชียน (Ceratopsian) เป็นไดโนเสาร์มีเขา เดินสี่เท้า กลุ่มออนิโธพอดส์ (Ornithopods) เป็นไดโนเสาร์ปากเป็ดเดินสองเท้า ที่มา : Dinosaurs of the Cretaceous Period Laminated
ไดโนเสาร์ยุคสุดท้าย ที่แหล่งขุดค้นป่าโคกผาส้วม ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์หลายสายพันธุ์และ สัตว์โบราณในยุดไดโนเสาร์หลายชนิด นักบรรพชีวินวิทยาของไทยได้นำซากดึกดำ บรรพ์จากป่าโคกผาส้วมไปเปรียบเทียบกับซากดึกดำบรรพ์ในยุคอื่น จึงสันนิษฐานได้ ว่า ซากดึกดำบรรพ์ป่าโคกผาส้วมเป็นไดโนเสาร์ยุคสุดท้าย มีอายุราว 96 ล้านปี ใน ยุคครีเทเชียสตอนต้น ซึ่งเป็นยุคที่ไดโนเสาร์มีการสูญพันธุ์ การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ มีหลายทฤษฎีด้วยกัน แต่มีทฤษฎีหนึ่งที่ได้รับการยอมรับกันส่วนใหญ่ นั่นก็คือ ทฤษฎี อุกกาบาตชนโลก ซึ่งมีแนวคิดว่า ก่อนที่ไดโนเสาร์จะสูญพันธุ์นั้น มีไดโนเสาร์อาศัยอยู่ เป็นจำนวนมาก ได้มีอุกกาบาตขนาดใหญ่จากนอกโลก พุ่งเข้าชนโลก ผลของการตก ของอุกกาบาตในครั้งนั้น ส่งผลให้เกิดความเสียหาย จากการระเบิดอย่างรุนแรง มีความสั่นสะเทือนไปทั่ว โลกทำให้ภูเขาไฟเกิดการ ปะทุทำให้สิ่งมีชีวิตบางส่วน ตายลงในทันที ต่อมาไม่นานนักเกิดฝุ่นตะกอนจากภูเขาและไอน้ำจำนวนมากกระจายขึ้นสู่อากาศ บดบังแสงแดดเป็นแรมเดือนแรมปี ส่งผลให้พืชที่สังเคราะห์ด้วยแสง มีจำนวนลดลง อย่างรวดเร็ว ไดโนเสาร์จึงค่อยๆตายลงไปเป็นจำนวนมากหรือทั้งหมด เพราะ หลังจากยุคครีเทเชียส ไม่มีการค้นพบหลักฐานของการมีชีวิตของไดโนเสาร์อีกเลย มีเพียงสัตว์โบราณบางสายพันธุ์เท่านั้น ที่สามารถอยู่รอดในเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้ และ มีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน ที่มา : pixshark.com
ปิโตรเลียม เป็นเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ มีการสันนิษฐานว่า เหตุการณ์ อุกกาบาตรพุ่งชนโลกที่เป็นสาเหตุให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ในครั้งนั้น เกิดฝุ่นตะกอน จำนวนมากทับถมแพลงก์ตอนพืชและ แพลงก์ตอนสัตว์ในทะเลทำให้เกิดเป็น ซากดึกดำบรรพ์ในรูปของน้ำมัน เชื้อเพลิง ทำให้ปัจจุบันมีการค้นพบบ่อ น้ำมันเป็นจำนวนมากในท้องทะเล และทะเลทรายซึ่งเคยเป็นมหาสมุทร มาก่อน มหาทวีปแพนเจีย จากเดิมโลกของเรามีเพียงทวีปเดียวนั่นคือ มหาทวีป แพนเจีย ก่อนที่จะมีการแยกตัวเมื่อราว 250 ล้านปีที่แล้ว ซึ่งเป็นพื้นแผ่นดินที่มี ไดโนเสาร์อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ก่อนเกิดเหตุการณ์สูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ ได้มีการ เคลื่อนที่ของเปลือกโลกใช้เวลาหลายล้านปี จนมาเป็น 7 ทวีปในปัจจุบัน และยังมี การเคลื่อนที่ของแผ่นทวีปเหล่านั้นอยู่ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้นักสำรวจค้นพบซากดึก ดำบรรพ์ไดโนเสาร์ในทุกทวีป เพราะไดโนเสาร์ บนบกคงไม่สามารถจะเดินทางข้ามมหาสมุทร ได้ และการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกยังทำ ให้เกิดทะเลทรายที่ตะวันออกกลาง และเทือก เขาเอเวอเรสต์ที่สวยงามอีกด้วย ที่มา : cnpc.com (2013) ที่มา : Kent C. Condie (1989)
กระบวนการเกิดซากดึกดำบรรพ์ สิ่งมีชีวิตที่ตายลงจะสามารถกลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ได้นั้น ต้องมีปัจจัยจาก สิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น ความชื้น อากาศ แร่ธาตุ เป็นต้น มักพบซากดึกดำบรรพ์ ในพื้นที่ที่เกิดจากการสะสมของตะกอนอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีโอกาสเกิดเป็นซากดึกดำ บรรพ์ได้เพียงแค่ 1 ส่วน ต่อ ล้านส่วนเท่านั้น ซากดึกดำบรรพ์หมายถึง ซากหรือร่อยรอยของสิ่งมีชีวิตในสมัยดึกดำบรรพ์ ที่อยู่ในชั้นเปลือกโลก หรือหลุดออกมาจากชั้นเปลือกโลก ทั้งนี้ ไม่รวมถึงโบราณวัตถุ กระบวนการเกิดซากดึกดำบรรพ์มีหลายลักษณะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมนั้นๆ ใน ปัจจุบันมีการอธิบายการเกิดซากดึกดำบรรพ์ 4 ลักษณะ ดังนี้ โครงร่างอ่อนไม่เปลี่ยนแปลง โครงร่างแข็งไม่เปลี่ยนแปลง โครงร่างแข็งเปลี่ยนแปลง ร่องรอยซากดึกดำบรรพ์ โครงร่างอ่อนไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งมีชีวิตที่มีส่วนของโครงร่างอ่อน เช่น มีเนื้อหนัง เยื้อหุ้ม เส้นขน เป็นต้น มีปัจจัย จากสิ่งแวดล้อมมาช่วยรักษาโครงร่างของสิ่งมีชีวิตนั้นไว้ทั้งตัว โดยไม่มีการย่อยสลาย หรือย่อยสลายน้อย ด้วยปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ในรูปของบ่อน้ำมัน ยางไม้ หรือน้ำแข็ง ในยุคปัจจุบันมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์เหล่านั้น เช่น ซากของลูกช้าง แมมมอธที่ถูกแช่แข็งด้วยน้ำแข็งมานานราว 30,000 ปี ใกล้กับกรุงมอสโค
ซากของแมลงในอำพัน แมลงที่ไปเกาะตามต้นไม้ถูกยางไม้โอบร่างของมันไว้ ที่เรียกว่าอำพัน และอำพันอาจถูกรักษาด้วยปัจจัยสิ่งแวดล้อมอีกครั้งหนึ่ง ในเวลา ต่อมากลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่มีอายุหลายสิบล้านปี โครงร่างแข็งไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งมีชีวิตที่มีส่วนโครงร่างแข็ง มักพบทั่วไปคือหอยมีเปลือกแข็ง มีการเปลี่ยนแปลง โดยธรรมชาติน้อยมาก ซึ่งจะเหลือไว้เพียงเปลือกหอยที่ประกอบไปด้วยแร่แคลเซียม ซิลิกา ซึ่งทนต่อการย่อยสลายตามธรรมชาติ เปลือกหอยนี้จะถูกฝังกลบด้วยตะกอน อย่างรวดเร็ว ถูกรักษาไว้ด้วยปัจจัยทาง สิ่งแวดล้อมเป็นเวลาหลายล้านปี มีการ เคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกแล้วยกตัว ขึ้นมาใหม่ ทำให้ยุคปัจจุบันมีการค้นพบ ซากดึกดำบรรพ์นี้ตามผนังถ้ำหรือเหมือง ถ่านหิน ที่มา : chenbin (2009) ที่มา : (ซ้าย) Elisabeth (2008) , (ขวา)Bolot Bochkarev (2012)
โครงร่างแข็งเปลี่ยนแปลง สิ่งมีชีวิตที่มีส่วนโครงร่างแข็งและมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น กระดูกของ ไดโนเสาร์ ฟันปลา ลำต้นของไม้ เป็นต้น (1) (2) (3) (4) ที่มา : Nathan Hale (2011) 1.ซากดึกดำบรรพ์มักเกิดจากซากสิ่งมีชีวิต ซึ่งตายอยู่ในแหล่งที่มีการสะสมของ ตะกอนอย่างรวดเร็ว เช่น แอ่งน้ำ บ่อ โคลน เป็นต้น 2.ส่วนที่เป็นเนื้อมักเน่าเปื่อยไปหลังจาก ตายลงไม่นาน แต่ส่วนที่คงทนกว่าคือ กระดูกและฟันจะถูกตะกอนดินโคลน ทับถมรักษาสภาพไว้ไม่ให้ผุพัง 3.ในระหว่างที่ตะกอนมีการสะสมตัวขึ้น เรื่อยๆ และอัดตัวกลายเป็นหินสารละลาย แร่ธาตุก็ซึมเข้าไปในรูพรุนของกระดูกแล้ว แข็งตัวทำให้เกิดซากแร่ซึมซึ่งมีรูปร่าง คล้ายกระดูกเหมือนจริงทุกประการ 4.มีการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกทำให้ เกิดชั้นหินที่ถูกยกตัวขึ้นมาบนผิวโลก แล้วถูกกัดเซาะโดยธรรมชาติหรือมีการ พังทลายของชั้นหินจนกระทั่งซากดึกดำ บรรพ์ปรากฏออกมา
ร่องรอยซากดึกดำบรรพ์ เป็นร่องรอยการกดทับของสิ่งมีชีวิตใน อดีต เช่น ร่องรอยการเคลื่อนที่ ร่องรอย จากซากพืชซากสัตว์ที่ถูกย่อยสลายตาม ธรรมชาติไปแล้ว ภายหลังมีตะกอนมา ทับถมบนรอยประทับ เมื่อกลายเป็นหิน จะเก็บรักษารอยประทับนั้นไว้ ซากดึกดำบรรพ์ป่าโคกผาส้วม จากการสำรวจของนักบรรพชีวินวิทยาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พบซากดึกดำบรรพ์ บริเวณป่าโคกผาส้วมเป็นจำนวนมากในหมวดหินโคกกรวด และพบซากดึกดำบรรพ์ ของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ทั้งบนบกและในน้ำจืด ทั้งยังพบซากดึกดำบรรพ์ของพืชอีก ด้วย ซากดึกดำบรรพ์เหล่านี้อยู่ในบริเวณเดียวกัน โดยลักษณะทั่วไปแล้วเป็นการทับ ถมของเศษซากจากสิ่งมีชีวิตมาอยู่ที่เดียวกัน นักบรรพชีวินวิทยาจึงสันนิษฐานว่า เมื่อย้อนไปในช่วงยุคครีเทเชียสก่อนที่ไดโนเสาร์จะมีการสูญพันธุ์ พื้นที่บริเวณป่าโคก ผาส้วมมีไดโนเสาร์และสัตว์โบราณอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยบริเวณป่าโคกผาส้วม ในอดีตจะเป็นพื้นที่ลุ่มๆดอนๆมีน้ำขัง มีบ่อโคลนทั่วบริเวณ และไม่ห่างกันมากนักมี ทะเลสาบน้ำจืดที่ไม่ลึกมากอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อมองไปรอบๆ จะพบพืชนานาพรรณ เตี้ยบ้างสูงบ้างแต่มีจำนวนไม่มากนัก เป็นประจำของทุกวันที่จะเห็นไดโนเสาร์นักล่าที่ ชอบกินปลา พาลูกมาหาอาหารบริเวณริมทะเลสาบน้ำจืด มีไดโนเสาร์กินพืชคอยาว เล็มยอดไม้อยู่ไม่ไกลนัก ซึ่งไม่ต่างจากฝูงไดโนเสาร์กินพืชอย่างอิกัวโนดอนกำลังเล็ม หญ้าและใบไม้อยู่อีกทั้งคอยเฝ้าระวังภัยให้แก่ฝูง ที่มา : วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์
ในบางครั้งมีไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่มาเฝ้ารอจังหวะที่ลูกไดโนเสาร์กิน พืชเผลอไม่ระวังตัวเพื่อล่าเป็นอาหาร ในทะเลสาบน้ำจืดก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยปลา โบราณจำนวนมาก มีสัตว์นักล่าอย่างฉลามน้ำจืดและจระเข้ มากินปลาและกินเต่าใน บริเวณนั้น บนท้องฟ้าเองมีสัตว์โบราณมีปีกบินผ่านหรือหาอาหารบริเวณริมทะเลสาบ เช่นกัน ด้วยวัฏจักรของสิ่งมีชีวิตเกิดการล่าและล้มตายไปเรื่อยๆ ซากของมันจมลงใน บ่อโคลน ทะเลสาบน้ำจืดจากที่เคยมีอยู่ก็ค่อยๆลดหายไป เกิดการพัดพาเอาเศษซาก ของสิ่งมีชีวิตและตะกอนมาทับถมกันเกิดเป็นชั้นตะกอนอย่างรวดเร็ว ในเวลาต่อมา การเคลื่อนที่ของเปลือกโลกเป็นไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งมีการยกตัวของเปลือกโลก และบริเวณที่ทะเลสาบน้ำจืดเคยอยู่ ก็เคลื่อนที่มาบริเวณป่าโคกผาส้วมในยุคปัจจุบัน พอดี หน้าดินเกิดการพังทลายทำให้ซากดึกดำบรรพ์เหล่านั้นโผล่ขึ้นพื้นดินและได้ สัมผัสกับอากาศและแสงแดดอีกครั้ง ในรอบ 96 ล้านปีโดยประมาณ ที่มา : 100 ปี ดาราศาสตร์โลก (2543)
ฉลามน้ำจืด(ไฮโบดอนท์) พบซากดึกดำบรรพ์คล้ายฉลามน้ำจืดที่ถูกค้นพบในป่าโคกผาส้วมนี้มีความโดดเด่น อย่างมาก ถูกค้นพบถึง 5 สายพันธุ์ด้วยกัน ในบางครั้งนักบรรพชีวินวิทยาจะเรียก แหล่งขุดค้นป่าโคกผาส้วมนี้ว่า “สุสานฉลาม” สันนิษฐานว่าฉลามน้ำจืดเป็นปลา ขนาดเล็กมีความยาวประมาณ 1-1.5 เมตร เป็นปลาเนื้ออ่อน มีกระดูกแข็ง จึงค้นพบเพียงฟันและเงี่ยงหลังของฉลามเท่านั้น ส่วนอื่นๆถูกย่อยสลายไปตาม ธรรมชาติตั้งแต่ครั้งในอดีต เป็นสัตว์นักน่ากินปลาเป็นอาหาร ซากดึกดำบรรพ์ฟัน ฉลามเหล่านี้ ถูกค้นพบ 6 ลักษณะด้วยกัน ซึ่งมีการวิจัยแล้วพบว่า ความแตกต่าง ของลักษณะฟันอาจเป็นความแตกต่างของสายพันธุ์นั่นเอง เฮเทอโรไทโคดัส สติเมนไน ที่มา : Reconstruction copyright Frederik Spindler
ไฮโบดัส aequitridentatus อโครลิโซดัส khorattensis ไทยโอดัส รุจาอิ Khoratodus foreyi
รูปร่างของฉลามโบราณอาจมีลักษณะคล้ายกับฉลามในยุคปัจจุบัน แต่ ลักษณะของฟันฉลามในยุคปัจจุบันจะมีปลายแหลมและมีการเรียงตัวกันที่แตกต่าง จากฉลามโบราณ ฟันฉลามโบราณสามารถผลัดฟันได้กว่า 1,000 ซีกในช่วงอายุของ มัน การผลัดฟันของฉลามนั้นฟันชุดใหม่จะดันชุดฟันเก่าจากด้านในปากเคลื่อนที่ ออกมาสู่ด้านนอกและหลุดออกไป ห าก ฟั น ฉ ล าม ถู กผลั ด อ อ ก ต า ม ธรรมชาติจะไม่มีรากฟัน แต่ถ้ามีรากฟันติดมา กับฟันด้วย หมายความว่าฉลามตัวนั้นอาจได้รับ บาดเจ็บจากการต่อสู้หรือตายโดยที่ฟันยังติดอยู่ กับปากฉลามอยู่ เงี่ยงฉลาม หรือ ก้านครีบ ซึ่งอยู่ปลายด้านบนของครีบฉลาม ก้านครีบของ ฉลามมีเพียง 2 ชิ้นต่อฉลาม 1 ตัว อยู่ในครีบหน้า 1 และครีบหลังอีก 1 สันนิษฐานว่า ก้านครีบฉลามอาจเป็นวงปีที่บอกอายุของฉลามตัวนั้นได้ ที่มา : world-of-sharks.com
ปลาโบราณ (ปลาเลปิโดเทส) พบซากดึกดำบรรพ์คล้ายปลาเลปิโดเทสในป่าโคกผาส้วมนั้นมีสภาพไม่สมบูรณ์แต่พบ เป็นจำนวนมากที่สุด ซึ่งมีหลายลักษณะด้วยกัน สันนิษฐานว่า ปลาเลปิโดเทสมี หน้าตาคล้ายปลาในยุคปัจจุบัน แต่เป็นปลากระดูแข็ง มีเกร็ดแข็ง ความยาวของลำตัว อาจยาวถึง 40-50 เซนติเมตร ซึ่งเกล็ดปลามีขนาดตั้งแต่ 0.6-1.8 เซนติเมตร มีฟันซี่ เล็กแหลม เป็นหลักฐานว่าใช้ครูดพืชกินเป็นอาหาร ในป่าโคกผาส้วมมีการค้นพบเศษ ซากดึกดำบรรพ์ของปลาเลปิโดเทสถึง 9 ลักษณะด้วยกัน เกล็ดกะโหลก ลักษณะคล้ายเกล็ดปลาแต่มี ความหนากว่าและมีรอยหยักๆ เกล็ดตัวปลา เกล็ดปลาแบบคอสมอยด์ รูปร่างคล้ายพัด, เกล็ดปลาแบบกานอยด์ รูปร่าง คล้ายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ที่มา : López-Arbarello, A. (2012)
เกล็ดครีบปลา เกล็ดปลาที่ลักษณะรูปสี่เหลี่ยม และมีรอยเส้นตรงไปในทิศทาง เดียวกัน เกล็ดก้นปลา ลักษณะคล้ายรูปสามเหลี่ยม สองชั้น มีมุมรูปตัว Y อยู่บริเวณ ตรงกลางของเกล็ดปลา เกล็ดหลังปลา เกล็ดแบบพลาคอย์มีลักษณะที่ มีสันแหลมชันไปทางด้านหลัง เกล็ดหลังปลาจะอยู่บริเวณ กลางหลังปลาเป็นแนวยาวจาก หัวไปถึงหางปลา เกล็ด เส้นประสาท ลักษณะรูปสี่เหลี่ยม มีรู เส้นประสาทที่เห็นได้ชัดเชน บริเวณตรงกลางของเกล็ด เกล็ดจะเรียงตัวเป็นเส้นยาวข้าง ลำตัว เกล็ดหางปลา ลักษณะปลายแหลมจะอยู่ บริเวณปลายสุดของลำตัวก่อน จะถึงครีบหลัง
กระดูกปลา ลักษณะเป็นทรงกระบอกมี ความเว้าเข้าไปข้างในทั้งสอง ด้าน กระดูกปลานี้จะเรียงตัว จากส่วนหัวไปถึงส่วนหาง ฟันปลา มีขนาดเล็กมีลักษณะปลาย แหลมคม ไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ (คาร์โนซอร์) พบซากดึกดำบรรพ์คล้ายฟันของไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ ซึ่งซากดึกดำบรรพ์มี หลักฐานไม่มากพอที่จะระบุสายพันธุ์ไดโนเสาร์ชนิดนี้ได้ชัดเจน แต่จากการสันนิษฐาน เบื้องต้นพบว่า ฟันที่พบมีลักษณะคล้ายกับฟัน ไทรันโนซอรัส เรกซ์ หรือที่เรารู้จักกัน ดีในชื่อ “T. rex” ซึ่งเป็นไดโนเสาร์กินเนื้อที่ดุร้าย ขนาดลำตัวอาจมีความยาวได้ถึง 12-15 เมตร กรามและลำคอมีพลังมหาศาล ใช้สำหลับกระชากและสะบัดเนื้อได้ อย่างรุนแรง ฟันของมันคล้ายกับใบมีดหั่นสเต็ก ด้วยสายตาของมันมองภาพได้แบบ สามมิติเหมือนมนุษย์ มันจึงจู่โจม เหยื่อได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ อาจอยู่ บนสุดของห่วงโซ่อาหาร ที่มา : iStockphoto (2010)
ลักษณะคล้ายรูปใบมีด ด้าน หนึ่งของปลายฟันจะมีใบเลื่อย คล้ายกับมีดหั่นสเต็ก ลักษณะคล้ายรูปปลายธนูทั้ง สองด้านของฟันจะมีใบเลื่อย คล้ายกับมีดหั่นสเต็ก ลักษณะใบเลื่อย
สไปรโนซอรัส พบซากดึกดำบรรพ์คล้ายฟันของสไปรโนซอรัส ที่อยู่ในกลุ่มคาร์โนซอร์ เป็นไดโนเสาร์ กินเนื้อขนาดใหญ่ อาจมีขนาดของลำตัวยาวถึง 12-13 เมตร ซึ่งมีลักษณะที่โดดเด่น คือมีหัวยาวคล้ายกับหัวจระเข้ มีฟันที่แหลมคมคล้ายกับสว่าน มีแผงหลังลำตัวคล้าย กับใบเรือ แผงรูปใบเรือนี้อาจสูงถึง 2 เมตร ติดกับกระดูกสันหลัง และช่วยให้มันปรับ อุณหภูมิในร่างกายได้ดี เป็นไดโนเสาร์ที่ปราดเปรียว ขาหลังแข็งแรง หาเหยื่อได้อย่าง ว่องไว มักจะอยู่บริเวณที่มีลุ่มน้ำหรือหนองน้ำ ชอบกินปลาเป็นอาหาร ฟันของสไปโนซอรัสมีลักษณะคล้ายกับฟันของจระเข้มาก แต่มีขนาดทรงกรวยและมี ขนาดใหญ่กว่าฟันจระเข้ โดยมีเส้น จากปลายฟันลงมาถึงรากฟัน จำนวนหลายเส้น เหมาะสมในการตัดหรือฉีกเนื้อของ เหยื่อ ฟันของสไปโนซอรัสมี ข้อสังเกตคือ บริเวณส่วนสันของฟัน จะมีเส้นสันฟัน ที่มีขนาดใหญ่กว่า เส้นอื่นรากยาวลงมาถึงรากฟัน 5)
จระเข้โบราณ เป็ นสายพั น ธุ์สัตว์เลื้อยคลาน ที่ มีการ เปลี่ยนแปลงทางวิวัฒนาการน้อยมาก รูปร่างมันคล้ายกับจระเข้ในยุคปัจจุบัน แต่มี ขนาดใหญ่กว่า อยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ เป็นสัตว์นักล่า ชอบกินปลาเป็นอาหาร พบซากดึกดำบรรพ์ของฟันจระเข้โบราณที่ อยู่ในยุคเดียวกันกับไดโนเสาร์ ฟันของมัน คล้ายกับสไปโนซอรัส แต่มีขนาดเล็กกว่า มี เส้นสันของฟันบริเวณข้างฟัน ที่มา : dinoanimals.pl (2013)
พบซากดึกดำบรรพ์คล้ายกับเกล็ดจระเข้ ซึ่งจระเข้มีเกล็ดที่แข็งเพื่อปกป้อง ร่างกายของมัน ลักษณะของเกล็ดที่พบ มีรูปร่างคล้ายวงรีเล็กๆ ผิวมันวาว ที่ติดอยู่ กับหนังจระเข้ที่มีลักษณะค่อนข้างแข็ง สัตว์โบราณมีปีกบินได้ (เทอโรซอร์) พบซากดึกดำบรรพ์คล้ายฟันของสัตว์มีปีก สันนิษฐานว่าเป็นฟันของสัตว์โบราณมีปีก บินได้เหมือนนก ในกลุ่มของเทอโรซอร์ เป็นสัตว์เลื้อยคลานบินได้ ที่อยู่ในยุค ไดโนเสาร์จะไม่ถือว่าเป็นไดโนเสาร์ มี จะงอยปากเรียวยาว มีฟันแหลมเรียงเป็นแถว มีคอยาวนิ่ม มีปีกกว้างและเป็นแผ่น หนังบางๆ มันชอบโฉบจับปลาตามแหล่งน้ำ ขนาดลำตัวของมันอาจมีหลายขนาด ตั้งแต่ 17-150 เซนติเมตร เกล็ดจระเข้ ขากรรไกรจระเข้ ที่มา : Marsh, O. C. (1876)
อิกัวโนดอน พบซากดึกดำบรรพ์คล้ายฟันอิกัวโนดอน เป็นไดโนเสาร์กินพืชเดินสี่ขา ในกลุ่ม ออร์นิโทพอด สามารถยกขาหน้าได้ ขนาดลำตัวอาจมีความยาวถึง 6-10 เมตร ฟันรูปใบไม้มีไว้สำหรับการใช้ครูด ใบไม้และบดเคี้ยวใบไม้หรือผลไม้เป็นอาหาร คล้ายกับฟันของอิกัวน่าในยุคปัจจุบัน มี นิสัยรักสงบอยู่รวมกันเป็นฝูง เท้าหน้ามีเล็บหัวแม่มือที่คมเหมือนตะปูมีไว้สำหรับการ ต่อสู้ ที่มา : dinopedia.wikia.com (2013)
ไดโนเสาร์คอยาว เป็นไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ กินพืช อยู่ใน กลุ่มซอโรพอด ไดโนเสาร์คอยาวมีหลาย สายพันธุ์ด้วยกัน แต่ในประเทศไทยก็มี การค้นพบฟันไดโนเสาร์ลักษณะนี้มาก่อน จึงสันนิษฐานว่า คล้ายสายพันธุ์ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน มีความ ยาวประมาณ 15-20 เมตร อยู่รวมกันเป็นกลุ่มฟัน มีลักษณะคล้ายหอก ไว้สำหรับในการครูดใบไม้ การที่มันมีคอยาวเหมือนยีราฟในยุคปัจจุบัน ทำ ให้มันกินยอดใบของต้นไม้สูงได้และระวังภัยได้ดี ที่มา : sauropedia.wordpress.com (2011)
เต่าโบราณ,ตะพาบน้ำโบราณ เป็นสัตว์เลื้อยคลานเลือดเย็น กินพืชและสัตว์เล็กเป็นอาหาร มีการเคลื่อนที่ด้วยสี่เท้า คล้ายไดโนเสาร์ อยู่ในน้ำได้นาน ว่ายน้ำได้ มีกระดองเป็นเกราะป้องกันภัย ซึ่ง กระดองจะติดกับกระดูกสันหลังของมัน อาจมีกระดูกถึง 50 ชิ้น มีกระดูกข้างละ 11 ชิ้น มีการค้นพบเศษกระดอกและกระดูกต้นคอของเต่าในแหล่งขุดค้นโคกผาส้วม
กระดูกไดโนเสาร์ มีการค้นพบกระดูกต่างๆของไดโนเสาร์หรือสัตว์โบราณจำนวนมาก และมีหลาย ลักษณะด้วยกัน แต่ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นกระดูกของไดโนเสาร์สายพันธุ์ใด แต่พอจะระบุได้บางชิ้น ว่ากระดูกเหล่านั้นเป็นส่วนใดของไดโนเสาร์ กระดูกส่วนหาง กระดูกข้อต่อ กระดูกขาล่าง
ชิ้นส่วนที่ไม่สามารถ ระบุได้ กระดูกนิ้ว กระดูกซี่โครง ส่วนหนึ่งของกะโหลก
ชิ้นส่วนที่ไม่สามารถ ระบุได้ โด ย ทั่ วไป แ ล้ วโค ร งส ร้างข อ งก ระ ดู ก จะ มี 2 ส่ ว น ด้ ว ย กั น คื อ 1.เนื้อกระดูก จะมีลักษณะเรียบ มี ลายเส้นไปทิศทางเดียวกัน มีความเข็ง และหนาเพื่อปกป้องส่วนด้านใน 2.ไข กระดูก มีลักษ ณ ะคล้ายรูพ รุน มี โครงสร้างค่อนข้างเปราะ เป็นแหล่ง สะสมของไขกระดูกซึ่งมีส่วนในการ สร้างเม็ดเลือดให้กับสิ่งมีชีวิตและมีส่วน ในการสร้างภูมิคุ้มกันร่ายกาย ดัดแปลงจาก : ปริญญา สากิยลักษณ์
คอปโปรไลท์(Coprolite) เป็นมูลของไดโนเสาร์หรือสัตว์โบราณใน อ ดี ต ที่ ก ล าย เป็ น ซ าก ดึ ก ด ำบ รร พ์ มีความสำคัญในการศึกษาว่า ไดโนเสาร์ใน ยุคนั้นกินอะไรเป็นอาหาร โดยลักษณะ ทั่วไปจะมีรูปร่างกลมมน สีขาวและดำ มีเศษซากสัตว์ภายใน เช่นเศษเกล็ดปลา เศษกระดูก ใบไม้ ก้อนกรวด เป็นต้น ไม้กลายเป็นหิน เป็นซากดึกดำบรรพ์ของพืชในยุค ไดโนเสาร์ มีลักษณะเป็นเส้นเนื้อเยื่อของ ลำต้น เรียงตัวกันอย่างชัดเจน ค้นพบ เพียงเศษเล็กๆเท่านั้น จึงไม่สามารถระบุ สายพันธุ์ของพืชชนิดนั้นได้ รอยพิมพ์หอย เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่มีลักษณะคล้ายกับ รอยพิมพ์ของหอยที่ได้ฝากร่องรอยไว้ ซึ่ง ยังไม่มีการศึกษาอย่างจริงจังว่าเป็นรอย พิมพ์ของหอยชนิดใด ที่มา : Barbara W (2007)
ดินและแร่ที่แปลกตา ซีลดีคลีท เป็นก้อนดินที่มีแร่ของซิลิกาอยู่ ลักษณะมีมวลเบา มีรูพรุนคล้ายกับ กระดูกของไดโนเสาร์ มีสีมะขามขาว ขุ่น แข็งเปราะ เกิดจากการหลอม ละลายไม่สมบูรณ์ มักพบใกล้กับภูเขา ไฟ ในแหล่งขุดค้นโคกผาส้วมพบดิน ชนิดนี้เป็นจำนวนมาก ดินมาว เป็นที่มีลักษณะเป็นก้อนดินสีขาวนวล สีคล้ายกับกระดูกไดโนเสาร์ แต่ไม่มีรู พรุน เมื่อหักดินออกจะมีผงดินเหมือน แป้งเนียน มีแร่ที่เอาไว้สำหรับทำ ปูนซีเมนต์
การสำรวจและการอนุรักษ์ซากดึกดำบรรพ์ป่าโคกผาส้วม ซากดึกดำบรรพ์ก็คือ ก้อนดิน ก้อนหินนี่เอง นักสำรวจควรมีความตระหนักถึงคุณค่า ของซากดึกดำบรรพ์ ที่มีไว้สำหรับการศึกษาสิ่งมีชีวิตที่เคยมีอยู่บนโลกในอดีต นักสำรวจควรทำความเข้าใจกับกระบวนการสำรวจและการอนุรักษ์ซากดึกดำบรรพ์ เพื่อให้ก้อนดินและก้อนหินก้อนนั้น ได้มีชีวิตและเรื่องราวให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป การเตรียมตัวก่อนการสำรวจ การสำรวจ การขุดค้นและการเก็บซากดึกดำบรรพ์จากแหล่งขุดค้น การดูแลและการเก็บรักษา การบันทึกลงทะเบียนซากดึกดำบรรพ์ การจัดแสดงและเผยแพร่ข้อมูล การเตรียมตัวก่อนการสำรวจ ความรู้ นักสำรวจจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับธรณีวิทยาเบื้องต้น ไม่ว่าจะเป็นชั้นดินหรือชั้น หินเพื่อจะได้ไม่เสียเวลาในการค้นหาซากดึกดำบรรพ์ และความรู้เกี่ยวกับบรรพชีวิน วิทยาเกี่ยวกับลักษณะทั่วไปของซากดึกดำบรรพ์ เช่น ฟันของไดโนเสาร์ หากเจอ ปลายฟันโผล่ออกมาจากพื้นดิน ควรใช้ความระมัดระวังในการขุดค้น นักสำรวจควร จิตนาการว่ามีโคลนฟันหรือกระดูกกรามติดอยู่กับฟันที่ซ่อนอยู่ภายในดินเสมอ เพื่อไม่ให้การขุดค้นส่งผลเสียหายต่อซากดึกดำบรรพ์ที่พบ
แผนและวิธีการ นักสำรวจควรวางแผนก่อนการสำรวจ ว่าจะเริ่มสำรวจจากจุดใดก่อน อาจจะมี การศึกษาแผนที่หรือถามผู้รู้ว่าซากดึกดำบรรพ์มักพบบ่อยในจุดใด ควรมีวัตถุประสงค์ ในการสำรวจ อาจสำรวจเพียงแค่เดินผ่าน หรือสำรวจเพื่อขุดค้น นักสำรวจควรคิดไว้ ล่วงหน้า หากพบซากดึกดำบรรพ์จะมีวิธีขุดขึ้นมาอย่างไร หรือหากไม่มีอุปกรณ์ก็ควร ถมดินกลบคืน เพื่อให้ดินเก็บรักษาซากดึกดำบรรพ์ไว้ก่อนการสำรวจครั้งต่อไป และการสำรวจควรมีการบันทึกข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์ในการศึกษาและเป็นข้อมูล ซากดึกดำบรรพ์ชิ้นนั้น อุปกรณ์ นักสำรวจควรเตรียมอุปกรณ์ติดตัวไปด้วย เพราะอุปกรณ์ที่จำเป็นจะช่วยให้ซากดึก ดำบรรพ์ที่ค้นพบอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่เกิดการเสียหาย การเดินทาง และการ วางแผน การเก็บ รายละเอียด ของซากดึกดำ บรรพ์ การสกัดดิน หรือหินที่ พบซากดึก ดำบรรพ์ การเก็บซาก ดึกดำบรรพ์ ขนาดเล็ก การเก็บซาก ดึกดำบรรพ์ ขนาดกลาง/ ใหญ่ แผนที่ เข็มทิศ คู่มือการ สำรวจ แว่นขยาย ไม้บรรทัดพกพา กล้องถ่ายภาพ แปรงปัด มีแซะหรือ มีดสกัด ค้อนสกัด ถุงซิป พลาสติก หลายขนาด สำลี ผ้าก๊อต ปูนปลาสเตอร์ กาวร้อน
การสำรวจ การเดินสำรวจ เป็นการสำรวจเพียง เบื้องต้น เพื่อศึกษาเรียนรู้จากแหล่งขุด ค้นป่าโคกผาส้วม นักสำรวจควรเป็นคน ช่างสังเกต เพราะการเดินสำรวจอาจไม่มี ความละเอียดที่เพียงพอ จึงต้องใช้ทักษะ การส่องสายตาค้นหาซากดึกดำบรรพ์ที่ อาจโผล่ขึ้นมาจากผิวดิน เหมาะสมกับ การสำรวจที่มีคนจำนวนไม่มาก การสำรวจอย่างเป็นระบบ นักสำรวจจำเป็นต้องมีความความรอบคอบอย่างมาก และมีการวางแผนในการสำรวจที่ดี การสำรวจที่เป็นระบบนั้น จำเป็นต้องใช้แผนที่ใน การวางแผนการสำรวจ เพื่อแบ่งเขตพื้นที่หรือแบ่งพื้นที่เป็นตาราง ในการสำรวจให้ กระจายนักสำรวจไปในแต่ละพื้นที่ อาจมีกองกลางที่อำนวยความสะดวก เช่น น้ำดื่ม อาหาร หรืออุปกรณ์ในการสำรวจ เป็นต้น การสำรวจโดยวิธีนี้อาจใช้เวลานานและใช้ นักสำรวจจำนวนหลายคน แต่เป็นวิธีการสำรวจที่มีความละเอียดมากยิ่งขึ้น การสำรวจของนักวิจัยหรือนัก บรรพชีวินวิทยานั้น ให้ ความสำคัญกับแผนผังและ แผนที่ในการสำรวจเป็นอย่าง มาก หากพบซากดึกดำบรรพ์ ที่สมบูรณ์
การสำรวจจอย่างเป็นระบบจะช่วยให้นักสำรวจมีข้อมูลในการสำรวจที่ เพียงพอและสามารถสร้างแผนผังของตำแหน่งซากดึกดำบรรพ์ได้อย่างชัดเจนเป็น ภาพสามมิติ มีการเขียนรหัสไว้ในแต่ละชิ้น เมื่อมีการเคลื่อนย้ายจะสามารถนำมา ประกอบกันได้ในตำแหน่งเดิม ซึ่งการสำรวจด้วยวิธีนี้ จะช่วย ในการเก็บข้อมูลที่เป็นหลักฐาน การตายของไดโนเสาร์ที่มี ความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตที่ตาย อยู่รอบข้าง ได้เป็นอย่างดี ข้อสังเกตซากดึกดำบรรพ์ ฟันของซากดึกดำบรรพ์ที่พบโดยทั่วไปจะมี ลักษณะแปลกตาอยู่แล้ว จึงจะจำแนกได้ง่าย แต่หากเป็นเศษกระดูกของไดโนเสาร์ จะจำแนกได้ยากเพราะมีลักษณะคล้ายกับก้อนดิน ด้วยลักษณะของกระดูกทั่วไปจะมี รูเล็กๆที่อาจมองไม่เห็นด้วย ตาเปล่า นักสำรวจมักจะ ใช้ลิ้นแตะกับพื้นผิวของวัตถุ หากวัตถุนั้นดูดลิ้นหรือติด กับลิ้น นั่นแสดงว่าวัตถุนั้น คือกระดูกไดโนเสาร์นั่นเอง ส่วนการหักเศษวัตถุเพื่อให้ เห็นว่าภายในมีลักษณะที่เป็น รูพรุนของกระดูกหรือไม่ นั่นเป็นวิธีสุดท้ายที่นักสำรวจควรจะทำหรือไม่ควรทำเลย เพราะเป็นการทำลายทรัพย์ สินของชาติและยังเป็นหลักฐานที่สำคัญของประวัติ สิ่งมีชีวิตที่เคยอาศัยอยู่บนโลก ที่มา : วราวุธ สุธีธร (2550)
ซากดึกดำบรรพ์ที่มีขนาดเล็ก ซากดึกดำบรรพ์ป่าโคกผาส้วมส่วนใหญ่แล้วมีขนาดเล็ก เช่น เกล็ดปลา ฟันฉลาม เศษกระดูกไดโนเสาร์ เป็นต้น นักสำรวจสามารถหยิบด้วยมือเปล่าได้เลย โดยใส่ไว้ใน ถุงซิปพลาสติก โดยแยกประเภทของซากดึกดำบรรพ์และพื้นที่จากการแบ่งเขตของ การสำรวจ แล้วเขียนข้อมูล ระบุไว้หน้าถุง เช่น วัน/เดือน/ ปีประเภทซากดึกดำบรรพ์ ตำแหน่งที่ค้นพ บ ผู้สำรวจ เป็นต้น ซากดึกดำบรรพ์ขนาดกลาง ซากดึกดำบรรพ์ขนาดกลางที่พบในป่าโคกผาส้วม มักจะเป็น ฟันหรือกระดูก ไดโนเสาร์ ที่มีลักษณะมีชิ้นส่วนโผล่ออกมาจากผิวดิน และมีการแตกหักของชิ้นส่วน เดียวกัน นักสำรวจควรใช้ความระมัดระวังโดยใช้แปรงปัดและมีดแซะหน้าดินออกให้ เห็นส่วนอื่นๆของซากดึกดำ บรรพ์อย่างชัดเจน จากนั้นใช้ กาวร้อนประกบรอยร้าวของ ซากดึกดำบรรพ์ไว้ ไม่ให้แตก ออกจากกัน
บางครั้งหากมีการ แตกหักของซากดึกดำบรรพ์ มากจะนำดินติดมาด้วยเพื่อ ไม่ให้ซากดึกดำบรรพ์ชิ้นนั้น แตกออกจากกัน จากนั้นใส่ ถุงซิปขนาดใหญ่กว่าซากดึก ดำบรรพ์รองด้วยสำลีเพื่อ ป้องกันการกระแทกจากการ เดินทางกลับ และตามด้วยการจดบันทึกข้อมูลที่จำเป็น ซากดึกดำบรรพ์ขนาดใหญ่ นักสำรวจที่ค้นพบซากดึกดำบรรพ์และสันนิษฐานว่ามีขนาดใหญ่เกิดการแตกหักของ ซากดึกดำบรรพ์ได้ง่าย นักสำรวจควรใช้ความระมัดระวังเปิดหน้าดินด้วยมีดแซะหรือ ค้อนสกัดบริเวณรอบๆ ไม่ควรใกล้กับซากดึกดำบรรพ์มากนัก จากนั้นให้นำดินมาปก หน้าซากดึกดำบรรพ์พันด้วยผ้าก๊อตและผสมปูนปลาสเตอร์โบกลงไปให้ทั่วๆซากดึก ดำบรรพ์ที่หุ้มดิน เมื่อปูนแห้งสนิทให้ใช้มีดแซะแล้วหงายขึ้นอาจใช้กิ่งไม้เป็นคาน เพื่อให้ดินติดกันเป็นก้อน วิธีการเช่นนี้ช่วยในการสร้างความแข็งแรงในการค้นย้าย ซากดึกดำบรรพ์ เพื่อ นำไปสกัดดินออกใน ห้องปฏิบัติการต่อไป
การค้นพบซากดึกดำบรรพ์ประเภทอื่นๆ หากนักสำรวจค้นพบเศษซากดึก ดำบรรพ์อื่นๆ และพิจารณาแล้วว่าไม่มีประโยชน์ในการศึกษา เช่น เกิดการแตกหัก จนไม่สามารถระบุประเภทหรือชนิดได้เลย ให้นักสำรวจฝังกลบซากดึกดำบรรพ์นั้นไว้ ที่เดิม แต่ถ้านักสำรวจพบซากดึกดำบรรพ์โดยบังเอิญแต่ไม่มีอุปกรณ์ที่เพียงพอต่อการ ขุดค้น ให้นักสำรวจกลบด้วยดินและทำสัญลักษณ์ระบุตำแหน่งไว้ และนำอุปกรณ์มา ขุดค้นภายหลัง และหากนักสำรวจค้นพบซากดึกดำบรรพ์ขนาดใหญ่หรือมีความ แปลกใหม่ ที่เสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายจากการขุดค้น นักสำรวจควรประสานงาน กับผู้เชี่ยวชาญเพื่อเป็นการป้องกันการเกิดความเสียหายกับซากดึกดำบรรพ์ชิ้นนั้น การดูแลและการเก็บรักษา หลังจากที่นักสำรวจได้เก็บซากดึกดำบรรพ์ออกมาจากแหล่งขุดค้นป่าโคกผาส้วมแล้ว จะนำซากดึกดำบรรพ์มาทำความสะอาดเพิ่มเติม อาจจะใช้อุปกรณ์ที่หาได้ทั่วไปทำ ความสะอาดเศษดินที่ติดมา ด้วยแปรงปัดหรือมีดแซะ ใช้กาวร้อนผสานรอยร้าว ไม่ควรใช้น้ำทำความสะอาด เพราะซากดึกดำบรรพ์ไม่เหมาะกับความชื้นอาจจะทำให้ ซากดึกดำบรรพ์เสื่อมสภาพแล้วแตกหักได้โดยง่าย บางครั้งการทำให้เกิดเป็นศิลปะ อาจมีเนื้อดินเป็นพื้นหลังด้วยก็ได้เพื่อแสดงลักษณะดินที่แหล่งค้นพบ โดยไม่จำเป็นต้องนำดินออกทั้งหมด นักบรรพชีวินวิทยาจะมีห้องปฏิบัติการ มีการ จัดการอย่างเป็นระบบ จะใช้สารเคมีและ เครื่องปากกาสกัดแบบเป่าลม เพื่อให้เห็น ผิวซากดึกดำบรรพ์ได้อย่างชัดเจน จะใช้ ความระมัดระวังอย่างมาก
เพราะอาจทำให้ผิวของซากดึกดำบรรพ์หลุดออกมาได้ นักสำรวจจำเป็นต้อง มีกระบวนการจัดการที่ดีเช่นเดียวกัน ควรมีข้อมูลจากการสำรวจคู่กับซากดึกดำบรรพ์ เสมอ เพื่อไม่ให้เกิดการสลับกันของข้อมูลที่ได้จากการสำรวจมา หลังจากการทำ ความสะอาดซากดึกดำบรรพ์เรียบร้อยแล้ว ก็จะนำซากดึกดำบรรพ์ใส่กล่องพลาสติก ใส มีฝาปิด รองพื้นด้วยสำลีเพื่อป้องกันการแตกหักและป้องกันความชื้น ระบุข้อมูลไว้ ใต้กล่อง ควรเก็บไว้ในที่ร่ม ไม่มีความชื้น เพื่อไม่ให้ซากดึกดำบรรพ์แปรสภาพไป อาจ ใส่ไว้ในตู้กระจกที่มีกุญแจ เพื่อป้องกันการสูญหายอีกทั้งยังเป็นตู้จัดแสดงได้อีกด้วย ผู้ดูแลควรตรวจเช็คความเสียหายของ ซากดึกดำบรรพ์เป็นประจำ หากมีการ ชำรุดให้นำออกมาซ่อมแซมเพิ่มเติม ทั้งนี้ ยังมีกฎหมายที่คุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ อยู่ นักอนุรักษ์ซากดึกดำบรรพ์ควร ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญสม่ำเสมอ โดยแหล่งขุดค้นป่าโคกผาส้วมเองก็มี แบบฟอร์มสำหรับบันทึกข้อมูลรูปพรรณสัณฐานของซากดึกดำบรรพ์อยู่ เพื่อนำไป ลงทะเบียนกับกรมทรัพยากรธรณีวิทยา เป็นการแจ้งเจตนารมณ์กับหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องว่าไม่มีการหาผลประโยชน์จากซากดึกดำบรรพ์แต่อย่างใด เป็นเพียงการ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น หาก ขาดการอนุรักษ์ซากดึกดำบรรพ์ป่าโคกผา ส้วมไป มันก็เป็นเพียงเศษซากก้อนดินที่ สลายไปเป็นผงดินโดยธรรมชาติเท่านั้น
การบันทึกลงทะเบียนซากดึกดำบรรพ์ รูปแบบการบันทึกรูปพรรณสัณฐานซากดึกดำบรรพ์มีด้วยกันหลายรูปแบบ โดยป่าโคกผาส้วมเองมีข้อตกลงร่วมกันจากชุมชน โดยออกแบบการบันทึกให้เป็น รูปแบบที่เข้าใจง่าย ไม่มีความซับซ้อน แต่มีข้อมูลที่จำเป็นครบถ้วน สามารถเขียนได้ โดยง่ายทั้งเยาวชนและผู้ใหญ่ แบบบันทึกรูปพรรณสัณฐานซากดึกดำบรรพ์มี ความสำคัญเพื่อเป็นการป้องกันการสูญหายและยังช่วยให้ผู้ที่ศึกษาหรือวิจัยได้รับ ข้อมูลที่เพียงพอเสมือนไปขุดค้นที่แหล่งซากดึกดำบรรพ์ด้วยตนเอง ทั้งนี้แบบบันทึก จะมีรหัสที่ตรงกับซากดึกดำบรรพ์ มีทั้งฉบับข้อมูลที่ครบถ้วนและฉบับย่อใส่ไว้ใน กล่องซากดึกดำบรรพ์ เพื่อง่ายต่อการค้นหาข้อมูล KPS : โคกผาส้วม 57 : ปี 011 : ชิ้นที่ 11
หลังจากมีการบันทึกเรียบร้อยแล้ว ให้นำมารวมรวมเรียงตามรหัสนำไปถ่าย เอกสารไว้ 1 ชุด ให้นำฉบับสำเนาส่งไปยังหน่วยงานกรมทรัพยากรธรณี เขต 2 จังหวัดขอนแก่น หรือ พิพิธภัณฑ์สิรินธร จังหวัดกาฬสินธุ์ หรือกลุ่มอนุรักษ์ป่าโคกผา ส้วมที่อยู่ในชุมชน ให้เป็นผู้แทนส่งเอกสารแทน แล้วรอการตอบรับของหน่วยงานว่า เอกสารถึงที่หน่วยงานแล้ว ก็จะสามารถจัดแสดงให้ผู้เยี่ยมชมได้รับความรู้และเห็น ร่องรอยสิ่งมีชีวิตที่เคยอาศัยอยู่บนโลกได้อย่างใกล้ชิด การจัดแสดงและเผยแพร่ข้อมูล การจัดแสดงควรคำนึงถึงข้อมูลที่ถูกต้อง มีความน่าสนใจ และซากดึกดำบรรพ์อยู่ อย่างปลอดภัยไม่เกิดความเสียหาย อาจจะมีการจัดเรียงซากดึกดำบรรพ์ตามชนิด หรือลักษณะให้เป็นหมวดหมู่ มีข้อมูลอธิบายซากดึกดำบรรพ์ชิ้นนั้น โดยการหาข้อมูล จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพิ่มสีสันโดยการใส่รูปภาพหรือรูปการ์ตูนให้เกิดความ น่าสนใจ เก็บซากดึกดำบรรพ์ไว้ในตู้กระจกให้ มองเห็นง่าย ไม่โดนแสงแดดโดยตรงหรือมี ความชื้นมากเกินไป และมีกุญแจเพื่อป้องกัน การสูญหาย สถานที่จัดแสดงควรง่ายต่อการ เข้าเยี่ยมชมของผู้มาเยือน อาจจะเป็นสถานที่ การศึกษาหรือวัดในชุมชนก็ได้ หากมีการ ร่วมมือกันจากชุมชนและหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องอาจเกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ ที่สำคัญ สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนไม่มากก็น้อย
การเปรียบเทียบรูปพรรณสัณฐานและการวิจัย ซากดึกดำบรรพ์ที่ถูกค้นพบและมีความแปลกใหม่ นักวิจัยหรือนักบรรพชีวินวิทยาที่ ต้องการจะศึกษา จะเรียกซากดึกดำบรรพ์ชิ้นนั้นว่า “ตัวอย่าง” จะนำซากดึกดำ บรรพ์ไปเปรียบเทียบสัณฐานรูปพรรณกับงานวิจัยอื่นๆ ว่าตัวอย่างนั้นคือสิ่งมีชีวิต สายพันธุ์ใด หากค้นงานวิจัยในประเทศแล้วไม่เคยค้นพบมาก่อน นักบรรพชีวินวิทยา จะนำตัวอย่างไปตรวจหาอายุด้วยสารกัมมันตรังสี ว่าอยู่ในช่วงยุคใดและมีความ ใกล้เคียงกับสายพันธุ์ใด แล้วนำตัวอย่างนั้นไปถ่ายภาพด้วยกล้องที่มีความละเอียดสูง ทำเป็นข้อมูลการวิจัยขนาดย่อที่เรียกว่า “เปเปอร์ งานวิจัย” เป็นฉบับภาษาอังกฤษ แล้วนำเปเปอร์งานวิจัยนี้ส่งไปยังหน่วยงานต่างๆที่ศึกษาซากดึกดำบรรพ์ใน ต่างประเทศทั่วโลก หากหน่วยงานต่างๆเปรียบเทียบสัณฐานรูปพรรณของซากดึกดำ บรรพ์ชิ้นนั้นแล้ว พบว่าไม่มีรูปพรรณเหมือนซากดึกดำบรรพ์ชิ้นใดเลย ก็จะได้รับการ ตอบกลับว่า เป็นซากสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ของโลก ผู้ค้นพบหรือผู้มีความสำคัญการใน ศึกษา จะได้รับเกียรติในการตั้งชื่อสายพันธุ์ใหม่ การศึกษาของนักบรรพชีวินวิทยา ในประเทศไทย ค้นพบไดโนเสาร์สายพันธุ์ ใหม่ของโลกหลายชนิดด้วยกัน อาจมีความ คล้ายคลึงกันกับไดโนเสาร์ที่มีการค้นพบใน โลก แต่ไม่เหมือนกันทุกประการด้วยสาย วิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปตาม สิ่งแวดล้อมนั้น ไดโนเสาร์ไทยคนทั่วไปรู้จักกันดีนั่นก็คือ สยามโมซอรัส สุธีธรนี , ภู เวียงโกซอรัส สิรินธรเน , สยามโมไทรันนัส อิสานเอนซิส เป็นต้น ป่าโคกผาส้วมเองก็ มีซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์และสัตว์สายพันธุ์ใหม่เช่นเดียวกัน
การศึกษาซากดึกดำบรรพ์แล้วมีการค้นพบสายพันธุ์ใหม่ๆ จะช่วยให้เรา เข้าใจสายวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบนโลกมากยิ่งขึ้น เมื่อเราเข้าใจการเปลี่ยนแปลง ในอดีตแล้ว เราจะสามารถเข้าใจสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคตได้ ในยุคอดีตที่มี ไดโนเสาร์ครองโลกก็คงไม่ต่างจากยุคมนุษย์ครองโลกในตอนนี้ แล้วเราจะทำอย่างไร ให้สายพันธุ์มนุษย์คงอยู่ต่อไปไม่สูญพันธุ์ การตีความหลักฐานจากซากดึกดำบรรพ์ ซากดึกดำบรรพ์เสมือนเป็นหลักฐานสำคัญของการตายหรือการใช้ชีวิตของไดโนเสาร์ ในอดีต นักบรรพชีวินวิทยาจะตีความจากซากดึกดำบรรพ์หรือร่องรอยต่างๆที่พบ ให้กลายเป็นเรื่องราวต่างๆได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์หรือไม่ต่างจากการพิสูจน์ หลักฐานนั่นเอง การกิน ฟัน เป็นหลักฐานการกินที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด เพราะฟันโดยธรรมชาติแล้วจะ มีรูปแบบที่เอาไว้ใช้งานต่างกัน หากเป็นนักล่ากินเนื้อ จะมีความที่แหลมคมรูปใบมีด และมีลักษณะคล้ายกับใบเลื่อย มันมีไว้ใช้ตัดและฉีกเหยื่อ ขนาดของฟันสามารถบอก ได้ว่าเหยื่อที่มันล่ามีขนาดใหญ่เท่าใด หากเป็นฟันปลายแหลมแต่มีขนาดเล็กเรียงกัน มันจะใช้สำหรับครูดใบไม้ได้ดีและถ้าเป็นฟันที่มีลักษณะเหลี่ยมไม่แหลมคมมันมีไว้ สำหรับบดเคี้ยวหญ้าหรือใบไม้ กระดูก เป็นหลักฐานการกินที่สำคัญรองลงมา หากมีกระดูกคอยาวมันมักจะ กินยอดไม้คล้ายกับยีราฟ หากมีกระดูกต้นคอใหญ่ มันมีไว้สะบัดหรือกระชากเนื้อของ เหยื่อ มูลไดโนเสาร์เป็นหลักฐานที่ไม่ชัดเจนว่าเป็นของใคร แต่พอจะบอกได้ว่ามัน กินอะไรลงไป มักพบบ่อยคือเกล็ดปลากระดูกแข็ง มันชอบล่าตามแหล่งน้ำ มีการ กลืน ปลาเข้าไปทั้งตัว บางครั้งพบก้อนกรวดที่ไดโนเสาร์จะกลืนเข้าไปเพื่อช่วยย่อย ในระบบขับถ่ายได้ดี