การเคลื่อนที่ กระดูก เป็นหลักฐานการเคลื่อนที่ที่สำคัญที่สุด กระดูกสะโพกสามารถบอก ได้ว่ามันเดินกี่เท้า หากพบกระดูกสะโพกแบบนก จะเดินด้วยสองเท้า เหมาะกับการ วิ่งหรือการเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว หากพบกระดูกสะโพกแบบกิ้งก่าขนาดใหญ่ จะ เคลื่อนที่ช้า หรือแม้แต่กระดูกส่วนปีกสามารถบอกได้ว่ามันบินได้หรือไม่ได้ ถ้าบินได้ จะบินได้ไกลขนาดไหน บางครั้งสัตว์โบราณเหล่านี้มีปีกไว้สำหรับการบินโฉบเหยื่อ จากที่สูงลงมาที่ต่ำเท่านั้น รอยตีน เป็นหลักฐานแสดงถึงความเร็วของการเคลื่อนที่ สามารถวัด ระยะห่างของรอยตีนไดโนเสาร์ และวัดน้ำหนักจากแรงกดทับของตีน จะสามารถ บอกได้ว่ามันเคลื่อนที่อย่างไร และวิ่งได้เร็วเท่าไร การตาย กระดูก เป็นหลักฐานสำคัญของการตาย อาจเกิดร่องรอยที่กระดูกจากการ ต่อสู้ หรือการแตกหักที่มาจากอุบัติเหตุ บางครั้งโครงกระดูกของไดโนเสาร์สองตัวที่ อยู่ใกล้กันอาจบอกได้ว่ามันกำลังต่อสู้กันหรือล้มทับกันจนตาย ชั้นตะกอน เป็นแหล่งสะสมของแร่ธาตุ หากมีการตรวจหาแร่ธาตุภายในซาก ดึกดำบรรพ์สามารถบอกได้ว่ามันตายไปในก้นทะเลหรือแหล่งน้ำจืด บางครั้งอาจพบ การตายด้วยสาเหตุจากภูเขาไฟระเบิด นอกจากนี้นักบรรพชีวินวิทยายังมีการศึกษาอีกมากมาย เช่น พฤติกรรม การเจริญพันธุ์ การสืบพันธุ์ การต่อสู้ หรือแม้แต่สีสันของตัวมัน เป็นต้น ทำให้เราได้ รับรู้เรื่องราวใหม่ๆของไดโนเสาร์อยู่เสมอ สิ่งที่เราเห็นในภาพยนตร์ ไดโนเสาร์อาจจะ ไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ นักบรรพชีวินวิทยากำลังค้นหาความจริงของสิ่งมีชีวิตในอดีตที่สูญ พันธุ์ไปแล้วมากกว่า 65 ล้านปี
ประโยชน์ของการศึกษาซากดึกดำบรรพ์ 1.ได้ทราบถึงสายวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตตั้งแต่กำเนิดโลกจนถึงปัจจุบัน ทำให้เรา เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิต อีกทั้งยังทราบวิวัฒนาการของมนุษย์และถิ่น ฐานการอพยพของสิ่งมีชีวิตอีกด้วย 2.ได้ทราบถึงลำดับชั้นหินในการศึกษาการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก สามารถ นำมาเป็นข้อมูลที่ระวังภัยพิบัติทางธรรามชาติอย่างแผ่นดินไหว 3.ช่วยในการค้นหาทรัพยากรธรณีที่มีค่าใต้พื้นดินและมหาสมุทร ทั้งแร่ธาตุต่างๆ เพชร ทอง อัญมณี รวมไปถึงถ่านหินและน้ำมันที่เป็นเชื้อเพลิงปัจจัยหลักในการ พัฒนาประเทศ 4.ช่วยในการสร้างสรรค์จิตนาการในยุคไดโนเสาร์ ที่นำเรื่องราวต่างๆของพวกมันมา สร้างเป็นภาพยนตร์ หรือจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ ให้เกิดความบันเทิงใจและสร้างรายได้ ทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ
ประวัติความเป็นมาของแหล่งขุดค้นซากดึกดำบรรพ์ป่าโคกผาส้วม ในปี พ.ศ.2539 คณะนักสำรวจไทย-ฝรั่งเศสได้มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ที่ จังหวัดกาฬสินธุ์ คล้ายกับว่าหน้าดินถูกเปิดออกพร้อมกันทั่วภาคอีสาน ขณะนั้นเอง นายสกนธ์ จันทรุกขา(น้าโก๋)ไปทำงานที่กรุงเทพฯ ได้พาลูกชายมาอยู่กับแม่และย่าที่ อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี ในปี พ.ศ.2540 น้าโก๋ได้เดินทางกลับมา เยี่ยมครอบครัวอยู่บ่อยครั้ง ได้ยินข่าวลือจากชาวบ้านว่าพบกระดูกช้างจำนวนมากที่ ป่าโคกผาส้วม น้าโก๋จึงขับจักรยานยนต์เข้าไปดู พบเกล็ดปลาและเศษกระดูกมากมาย เล็กบ้างใหญ่บ้าง ส่วนใหญ่ชาวบ้านได้นำออกมาเกือบหมดแล้ว จากแหล่งขุดค้นใน อดีตพบว่าหน้าดินพังทลายลงไปเรื่อยๆและมีการเปลี่ยนทิศทางจากเดิม ในตอนนั้นเอง ดร.วราวุธ สุธีธร(อาจารย์หมู) อยู่ในคณะสำรวจไทย-ฝรั่งเศสได้ออกทีวี และสื่ออยู่บ่อยครั้ง น้าโก๋จึงนำเกล็ดปลาและเศษกระดูกติดตัวไปทำงานที่กรุงเทพ ด้วย และนำไปให้ ดร.วราวุธ สุธีธร ได้ดู ในขณะนั้น ดร.วราวุธ สุธีธร ทำงานที่กรม ทรัพยากรธรณี กรุงเทพฯ จึงได้สันนิษฐานว่าเป็นชิ้นส่วนของกระดูกไดโนเสาร์แต่ยัง ไม่แน่ใจ ดร.วราวุธ สุธีธร จึงขอแลกเบอร์โทรศัพท์ไว้ ต่อมาน้าโก๋ก็ได้กลับบ้านมา เยี่ยมครอบครัวอยู่เป็นประจำและนำซากดึกดำบรรพ์กลับไป ไม่ว่าจะเป็นกระดูกขา ขนาดใหญ่ กระดูกสันหลัง กระดูกส่วนหาง ให้ ดร.วราวุธ สุธีธร ได้ศึกษา บางครั้งก็ ส่งไปให้มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีได้ศึกษาซาก ดึกดำบรรพ์ด้วย ส่วนตัวน้าโก๋เองก็ศึกษาหาข้อมูลจากตำราและในสารคดีมาโดย ตลอด หากมีข้อสงสัยก็จะถาม ดร.วราวุธ สุธีธร ในเวลาต่อมาประมาณเดือน กุมภาพันธ์ของทุกปี ดร.วราวุธ สุธีธร จะมาพร้อมกับอิริพุดโตและภรรยา นักสำรวจ ชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในการบุกเบิกไดโนเสาร์ของไทย เพื่อมาศึกษาซากดึกดำ บรรพ์ที่ป่าโคกผาส้วมและจะโทรศัพท์ติดต่อน้าโก๋มาโดยตลอด ซากดึกดำบรรพ์ป่า โคกผาส้วมกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ถูกค้นพบโดย นายสกนธ์ จันทรุกขา -
โดยใช้เวลากว่า 20 ปี และยังเป็นที่ปรึกษากลุ่มอนุรักษ์ป่าโคกผาส้วมมาจนถึง ปัจจุบัน จึงเปรียบ เสมือนผู้บุกเบิกไดโนเสาร์จังหวัดอุบลราชธานี ในปี พ.ศ.2542 อาจารย์ยุทธ แม้นพิมพ์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ได้มีการศึกษาซากดึกดำบรรพ์ป่าโคกผาส้วม โดย การนำเอาซากดึกดำบรรพ์กลับไปยังมหาวิทยาลัย เพื่อทำการวิจัยและทำหลักสูตร การสอน โดยน้าโก๋แนะนำให้อ.ยุทธ แม้นพิมพ์ และ ดร.วราวุธ สุธีธร ได้รู้จักกัน จึง เริ่มมีการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับซากดึกดำบรรพ์ให้กับชุมชนและเยาวชนในท้องถิ่น ให้ได้รู้จักเรื่องราวของซากดึกดำบรรพ์มากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดกลุ่มเยาวชนรุ่นที่ 1 จากนั้นเป็นต้นมา ในปี พ.ศ.2550 กลุ่มเยาวชนศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี ได้ จัดโครงการพัฒนาแกนนำและการเรียนรู้สิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น นำโดยนางวิยะดา พร้อมสุข(พี่กระแต) ซึ่งเป็นคนในท้องถิ่นและเป็นแกนนำกลุ่มเยาวชน และมีอาจารย์ นันทพร โสตถิวัฒนานนท์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการฯและเป็นครูโรงเรียนเบ็ญ จะมะมหาราช จังหวัดอุบลราชธานี ได้นำเยาวชนในกลุ่มเครือข่ายศูนย์สิ่งแวดล้อม ศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นตัวแทนนักเรียนจากหลายโรงเรียนเข้ามาร่วม โครงการฯนี้ มีการเรียนรู้เรื่องซากดึกดำบรรพ์ป่าโคกผาส้วมและป่าไม้ชุมชน ทำให้ เกิดกลุ่มเยาวชนรุ่นที่ 2 ในปี พ.ศ.2552 กลุ่มเยาวชนมีแนวคิดร่วมกันในการอนุรักษ์ซากดึกดำบรรพ์ นำโดย นางวิยะดา พร้อมสุข(พี่กระแต) นายวิเชียร แก้วพรม(พี่เสือ) นางสาวดรุณี อุ่นศรี(กล้วย) และนายนันทวัฒน์ บุญกระสินธ์(เน็ท) ร่วมกันก่อตั้งกลุ่มอนุรักษ์ป่าโคกผาส้วมขึ้น เพื่อเป็นพลังในการอนุรักษ์ป่า และซากดึกดำบรรพ์อย่างจริงจัง โดยมีนายวิเชียร แก้วพรม(พี่เสือ)เป็นประธานกลุ่มฯ หลังจากนั้นมีการจัดค่ายเยาวชนหลายโครงการฯ โดยได้รับการสนับสนุน จากศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษาจังหวัดอุบลราชธานีและชุมชนบ้านทุ่งบุญ หลังจากนั้น ได้รับความสนใจจากเยาวชนและชุมชนในท้องถิ่นจึงมีจำนวนสมาชิกกลุ่มเพิ่มขึ้น
ในเวลาต่อมาไม่นานนักกลุ่มอนุรักษ์ป่าโคกผาส้วมได้ติดต่อกับอาจารย์กาญจนา โป๊ะ ประนม(ครูอุ๋มอิ๋ม) ซึ่งเป็นครูประโรงเรียนสิริธรวิทยานุสรณ์ จังหวัดอุบลราชธานี ครูอุ๋มอิ๋มเองมีความสนใจศึกษาเรื่องธรณีวิทยาและซากดึกดำบรรพ์ จึงนัดพบกลุ่ม อนุรักษ์ป่าโคกผาส้วมและสนับสนุนความรู้ทางวิชาการ ในปี พ.ศ.2553 อาจารย์กาญจนา โป๊ะประนม ได้พาแกนนำกลุ่มอนุรักษ์ป่า โคกผาส้วมเข้าร่วมโครงการอบรมความรู้เกี่ยวกับบรรพชีวินวิทยาเบื้องต้น จัดโดย ศูนย์วิจัยและศึกษาบรรพชีวินวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ สำคัญของกลุ่มอนุรักษ์ป่าโคกผาส้วม ในการอบรมครั้งนั้นกลุ่มอนุรักษ์ป่าโคกผาส้วม ได้รับทั้งความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับซากดึกดำบรรพ์ อีกทั้งอาจารย์กาญจนา โป๊ะ ประนม ยังแนะนำให้รู้จักกับนักวิชาการและนักวิจัยหลายท่านของศูนย์วิจัยและ ศึกษาบรรพชีวินวิทยา นำโดย ดร.คมศร เลาห์ประเสริฐ (อ.อาท) นายอธิวัตน์ วัฒนะ พิทักษ์สกุล(พี่โต้ง) พี่ต้อ พี่ยุรี เป็นต้น ศูนย์วิจัยและศึกษาบรรพชีวินวิทยามีการ สนับสนุนทางวิชาการแก่กลุ่มอนุรักษ์ป่าโคกผาส้วมมาโดยตลอด หลังจากนั้นกลุ่ม อนุรักษ์ป่าโคกผาส้วมได้ถูกแนะนำให้รู้จักกับแวดวงนักวิชาการของหน่วยงานที่สำคัญ มาโดยตลอด เช่น นายศักดิ์ชัย จวนงาม(พี่ปอ)พิพิธภัณฑ์สิรินธร จังหวัดกาฬสินธุ์ ทั้งนี้นักวิชาการและอาจารย์หลายท่านได้เข้ามามีบทบาทเป็นที่ปรึกษากลุ่ม อนุรักษ์ป่าโคกผาส้วม โดยการสนับสนุนทั้งความรู้วิชาการและงบประมาณ ในการ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติป่าโคกผาส้วมและการอบรมเยาวชนรุ่นใหม่ๆอยู่เสมอ ในปี พ.ศ.2554 กรมธรณีวิทยา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม มีแนวคิดที่จะก่อตั้งอุทยานธรณีผาชัน-สามพันโบก ซึ่งจังหวัด อุบลราชธานีมีทรัพยากรธรณีที่สำคัญและมีชื่อเสียงมากมาย โดยเฉพาะผาแต้มและ สามพันโบก อุทยานธรณีผาชัน-สามพันโบก มีเขตพื้นที่รวมกัน 3 อำเภอนั่นคือ อำเภอโขงเจียม อำเภอโพธิ์ไทร และอำเภอศรีเมืองใหม่ จึงมีการจัดประชุมรับฟัง ความคิดเห็นในระดับอำเภอ กลุ่มอนุรักษ์ป่าโคกผาส้วมและที่ปรึกษากลุ่มก็ได้เข้าร่วม ในการประชุมครั้งนั้น โดยได้นำเสนอแหล่งขุดค้นซากดึกดำบรรพ์ป่าโคกผาส้วมเข้าไป รวมอยู่กับพื้นที่อุทยานธรณีผาชัน-สามพันโบกด้วยกัน ซึ่งที่ประชุมเองก็มีความ เห็นชอบร่วมกัน จากนั้นกลุ่มอนุรักษ์ป่าโคกผาส้วมจึงได้รับการสนับสนุนจาก-
องค์การบริหารส่วนตำบลนาคำ อำเภอศรีเมืองใหม่ ได้รับทั้งงบประมาณและสถาน ที่ตั้งสำนักงานกลุ่มอนุรักษ์ป่าโคกผาส้วม มีการอนุญาตใช้สถานที่ทำการองค์การ บริหารส่วนตำบลนาคำเป็นที่รองรับค่ายเยาวชน ถือว่าเป็นอาคารสำนักงานแห่งแรก ของกลุ่มอนุรักษ์ป่าโคกผาส้วม ในปี พ.ศ.2555 องค์การบริหารส่วนตำบลนาคำ ได้ประสานงานกับสมาชิก ผู้แทนราษฎรในท้องถิ่น เพื่อติดต่อกับผู้อำนวยการสำนักงานธรณีวิทยา เขต 2 จังหวัดขอนแก่น ท่านได้เดินทางมารับฟังความคิดเห็นและกลุ่มอนุรักษ์ป่าโคกผาส้วม เองก็ได้นำเสนอต่อที่ประชุม มีแนวทางร่วมกันในการวางแผนการก่อสร้าง พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี โดยกรมธรณีวิทยาเป็น ผู้สนับสนุนงบประมาณมากกว่า 2 ล้านบาท ในการเขียนแผนแม่บทและออกแบบ พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ โดยให้มีความสอดคล้องกับโครงการอุทยานธรณีผาชัน-สามพัน โบก มีแนวคิดที่จะให้พิพิธภัณฑ์เป็นศูนย์กลางต้อนรับนักท่องเที่ยว ก่อนที่ นักท่องเที่ยวจะไปเยี่ยมสามพันโบก หาดทราย สูง น้ำตกแสงจันทร์ ผาชัน หรือผาแต้ม เป็น ต้น พิพิธภัณฑ์นี้จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทาง ธรณีวิทยาและซากดึกดำบรรพ์ อยู่ในระหว่าง การรองบประมาณ ซึ่งงบประมาณก่อสร้างทั้ง โครงการมีมูลค่ารวม 250 ล้านบาท
ในปี พ.ศ.2556 ศูนย์วิจัยและศึกษาบรรพชีวินวิทยา มหาวิทยาลัย มหาสารคาม จัดโครงการหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน เป็นการเผยแพร่ความรู้ทาง วิชาการและยังสร้างนักอนุรักษ์ขึ้นมาใหม่อีกด้วย ได้รับการตอบรับที่ดีจากชุมชนทุก หมู่บ้านในเขตตำบลนาคำ อีกทั้งยังร่วมมือกับโรงเรียนศรีเมืองวิทยาคารจัดตั้งศูนย์ เรียนรู้ซากดึกดำบรรพ์ ที่โรงเรียนอีกด้วย โดยมีอาจารย์สำอาง สุขสำราญและอาจารย์มาฆะ ทองมูลเป็นผู้ให้ ความรู้และผู้ดูแลศูนย์ฯ ปัจจุบันแหล่งขุดค้นซากดึกดำบรรพ์ป่าโคกผาส้วมยังมีผู้ที่คอยศึกษาและ อนุรักษ์ซากดึกดำบรรพ์อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะกลุ่มอนุรักษ์ป่าโคกผาส้วม นักวิชาการ นักวิจัย หรือแม้แต่ชุมชนเอง อย่างไรก็ตามแหล่งขุดค้นซากดึกดำ บรรพ์แห่งนี้ ยังต้องการนักอนุรักษ์หน้า ใหม่ๆเข้ามาศึกษาอยู่เสมอ เพื่อให้แหล่ง ทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่าเหล่านี้คงอยู่ ตลอดไป
อุทยานธรณีผาชัน-สามพันโบก อุทยานธรณีหรือที่รู้จักในระบบสากลคือ “GEOPARK” เป็นโครงการที่ให้เกิดการ อนุรักษ์ทรัพยากรธรณีอย่างเป็นระบบ โดยให้ความสำคัญกับแหล่งธรณีที่สำคัญโดย กระบวนการแปรสภาพทางธรรมชาติทำให้เกิดความสวยงาม และมีความสำคัญต่อ การศึกษาวิจัย ซึ่งจังหวัดอุบลราชธานีมีแหล่งธรณีที่สำคัญและสวยงามมากมาย ซึ่งมี ทั้งแหล่งที่มีชื่อเสียงระดับประเทศและแหล่งที่มีความสวยงามแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักกัน มากนัก ความหลายหลายของแหล่งธรณีจังหวัดอุบลราชธานีมีจำนวนมาก โดยเฉพาะ พื้นที่บริเวณ 3 อำเภอประกอบด้วย อำเภอโขงเจียม อำเภอโพธิ์ไทร และอำเภอศรี เมืองใหม่ มีโครงการขนาดใหญ่แบ่งเป็นสามระยะ ทั้งโครงการอาจใช้งบประมาณ หลายพันล้านบาท โดยมีศูนย์กลางบริการนักท่องเที่ยวใกล้บริเวณสามพันโบก จัดแสดงให้ความรู้ต่างๆเกี่ยวกับธรณีวิทยา อาจรวมไปถึงรีสอร์ทและส่วน แสดงสัตว์น้ำในระยะที่สอง และยังมีอีกหลายโครงการเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์และสร้าง สิ่งอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆที่สำคัญ
ซึ่งอุทยานธรณีผาชัน-สามพันโบก ประกอบด้วยแหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยา 7 แหล่ง แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรณีวิทยา 20 แหล่ง และแหล่งโบราณคดี 6 แหล่ง โดยมีแหล่งธรณีวิทยาที่สำคัญดังนี้ สามพันโบก โบก คือ ภาษาพื้นบ้านที่เรียกหลุมหรือ บ่อหรือกุมภลักษณ์นั่นเอง ในหินทราย แสดงชั้นเฉียงระดับสวยงาม บ่งบอกการ สะสมตัวในสภาพแวดล้อมทางน้ำ ประสานสายและโค้งตวัด โดยกระแสน้ำพัดพากรวดทรายมาหมุนวนกัดกร่อนในแอ่ง เล็กๆ บนผิวหน้าของชั้นหินจนเกิดเป็นโพรงโค้งเว้า เสาเฉลียงยักษ์ ประติมากรรมธรรมชาติรูปดอกเห็ด ที่แปลกตาขนาดใหญ่ เกิดจาก กระแสน้ำและกระแสลมพัดพา กรวดทรายชั้นหินที่แข็งและอ่อน ของหมวดหินภูพาน ซึ่งการกัด กร่อนที่แตกต่างทำให้ชั้นหินที่แข็ง กว่าถูกกัดกร่อนได้น้อยกว่าชั้นหิน ส่วนล่าง จนคล้ายกับว่ามีใครมาวางแผ่นหินไว้ด้านบนของเสาหิน
สามหมื่นรู ผาชัน ลักษณะรูพรุนยาว 200 เมตร เป็น รูปต่างๆตามจิตนาการที่มีความ สวยงามอย่างมาก โดยเกิดจาก กระแสน้ำพัดพากรวดทรายกัดกร่อน ชั้นเฉียงของชั้นหินเป็นเวลานาน น้ำตกแสงจันทร์ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าน้ำตกลงรู โดยมี ลักษณะเป็นชั้นหิน 2 ชั้น ชั้นบนคาดว่า จะเกิดกระบวนการคล้าย กุมภลักษณ์ จึงเกิดเป็นรูที่กระแสน้ำไหลผ่านลงไป เป็นน้ำตก โดยความโดดเด่นคือเมื่อ แสงแดดส่องผ่านกุมภลักษณ์กระทบกับกระแสน้ำที่กำลังไหลผ่านจะมีความสวยงาม อย่างมาก และยิ่งหากเป็นกลางคืนที่มีแสงจันทร์ส่องลงมากระทบกระแสน้ำ จะทำให้ เกิดความสวยงามมากกว่าที่เห็นตอนกลางวัน พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ ป่าโคกผาส้วม เป็นโครงการที่สอดคล้องกับอุทยานธรณี ซึ่งจะมีความสำคัญซึ่งเป็นศูนย์กลางการ ต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของ อุทยานธรณีผาชัน-สามพันโบก จังหวัดอุบลราชธานี
โดยมีจัดแสดงความรู้ที่สำคัญของธรณีวิทยาและยังเป็นที่จัดแสดงซากดึกดำ บรรพ์อย่างไดโนเสาร์ของจังหวัดอุบลราชธานีอีกด้วย โดยงบประมาณทั้งโครงการ จำนวนกว่า 250 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดสรรงบประมาณ ในโครงการ พิพิธภัณฑ์นี้ประกอบด้วย อาคารขนาดใหญ่จัดแสดงความรู้ทางธรณีวิทยาและซากดึกดำบรรพ์ มีสิ่ง อำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวและผู้เยี่ยมชม อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการ สร้างสรรค์ให้เกิดการเรียนรู้ อย่างเช่น ตู้จัดแสดงการจำลองไดโนเสาร์ภาพ 3 มิติ และโรงหนัง 4 มิติ ที่เพิ่มอรรถรสในการรับชมภาพยนตร์ด้วยระบบที่สั่นและเป่าลม ได้ และยังมีอาคารที่จัดแสดงภูมิปัญญาท้องถิ่นและมีที่จำหน่ายสินค้าท้องถิ่นอีกด้วย นอกจากการรับความรู้ในการรับชมแล้วยังมีอาคารที่พักสำหรับนักวิจัย เยาวชนและ นักท่องเที่ยว ที่ต้องการเข้าค่ายรับความรู้จากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ และมีเส้นทางการ เรียนรู้ทางธรรมชาติวิทยาไปจนถึงแหล่งขุดค้นซากดึกดำบรรพ์ป่าโคกผาส้วม มีการ ออกแบบที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ของไทยและยังคำนึงถึงผลกระทบจากการก่อสร้าง โดยเลี่ยงพื้นที่ที่มีต้นไม้ใหญ่และให้เป็นธรรมชาติเดิมมากที่สุด พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยัง ไม่ได้รับการตั้งชื่อที่เป็นทางการ อาจเรียกว่า พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ หรือพิพิธภัณฑ์ อุทยานธรณีผาชัน-สามพันโบก ก็ได้ โครงการนี้เป็นโครงการที่ได้ทำประชาคมหรือ ประชามติจากชุมชนแล้ว และยังเป็น ความหวังสูงสุดของกลุ่มอนุรักษ์ป่าโคก ผาส้วมและชุมชน ที่ต้องการให้เกิด การอนุรักษ์อย่างจริงจังและยังเป็น แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่สำคัญของ อีสานใต้อีกด้วย โครงการนี้จะช่วย กระตุ้นการท่องเที่ยวทำให้เกิดรายได้ เข้าสู่ชุมชนและความหวังต่อไปคือเป็น แหล่งท่องเที่ยวที่รู้จักกันในระดับโลก อีกด้วย
ลิงวัดทุ่งบุญ ลิงวัดป่าทุ่งบุญเป็นสายพันธุ์ลิงที่อาศัยอยู่ใน ท้องถิ่นนี้มาตั้งแต่บรรพบุรุษ มีป่าโคกผาส้วม และวัดป่าทุ่งบุญเป็นที่พักพาอาศัย ลิงวัดป่าทุ่ง บุญมีทั้งหมด 3 ฝูง และฝูงใหญ่ที่สุดอาจมี สมาชิกถึง 200 ตัว กิจวัตรประจำวันของมันจะ ออกเดินหาอาหาร เส้นทางวัดป่าทุ่งบุญทุกเช้า และเย็น ด้วยวัดป่าทุ่งบุญมีระบบนิเวศที่สมบูรณ์ มีทั้งไม้ผล ไม้ดอกนานาพรรณ มีแมลงหรือสัตว์ เล็กต่างๆที่ลิงจะพอกินเป็นอาหารได้ โดยพฤติกรรมของลิงทั่วไปจะอยู่รวมกันเป็นฝูง ใหญ่เพื่อความอยู่รอดของสายพันธุ์ มันจึงไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคนนัก ลิงเป็นสาย พันธุ์ที่ใกล้เคียงกับคน มีความแสนรู้อยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ ลิงวัดป่าทุ่งบุญเป็นญาติกับ ลิงพนา ที่อำเภอพนา จังหวัดอำนาจเจริญ ระยะทางห่างราว 60 กิโลเมตร สันนิษฐานว่าลิงเหล่านี้ได้แยกฝูงกันตั้งแต่อดีต และเดินทางมาหาแหล่งอาหารที่ สมบูรณ์ ลักษณะทั่วไป ลิงวัดป่าทุ่งบุญเป็นสายพันธุ์ลิงแสม มีขนสีเทาถึงน้ำตาลขึ้นอยู่กับแหล่งที่อยู่อาศัย ขนใต้ท้องมีสีขาว หางยาวกว่าลำตัว ขนบนกลางหัวมีลักษณะตั้งชันเป็นทรงผมแหลม เหมือนหัวจุก หากลิงมีอายุมากขึ้นขนบนหัวจะเรียบลงคล้ายกับทรงผมคนโบราณ เป็นลิงที่มีลำตัวขนาดใหญ่ ตัวผู้จะมีเคราและหนวด โดยทั่วไปจะมีน้ำหนัก 3.5-6.5 กิโลกรัม ตัวผู้จะใหญ่กว่าตัวเมีย ผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุ 3.5-4.5 ปีขึ้นไป ตัวเมียตั้งท้อง นาน 5-6 เดือน ออกลูกได้ครั้งละ 1 ตัว
ลูกลิงจะเกาะติดกับแม่จนกระทั่งหย่านมเมื่อได้อายุ 14 เดือน โตเต็มที่เมื่อ อายุราว 3-4 ปี เป็นลิงที่มีนิสัยซุกซนอยากรู้อยากเห็น ปีนต้นไม้คล่องแคล่วว่องไว ว่ายน้ำเป็น กินผลไม้ เมล็ดพืชและสัตว์เล็ก เป็นอาหาร เวลากินอาหารชอบเก็บอาหารไว้ในข้าง แก้มและดันออกมากินทีละน้อย เชื่องเหมือนลิงกัง สามารถนำมาฝึกได้ สถานะตามกฎหมายเป็นสัตว์ป่า คุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ ป่า พุทธศักราช 2535 การสื่อสาร ลิงมีเสียงเพื่อใช้ในการสื่อสารมากมายในหลาย สถานการณ์เสียงแบบทั่วไปของลิงหางยาวมีสองลักษณะคือ เสียงห้าว “ครา” ทุกตัว จะทำเสียงนี้จากเบาไปจนถึงตื่นเต้นอย่างมากเพื่อเตือนภัย และเสียงร้องชัดเจน “คู” ซึ่งแสดงความเป็นมิตรและหลีกเลี่ยงความก้าวร้าวระหว่างลิงด้วยกัน พฤติกรรมทางสังคม อยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่อาจมีถึง 200 ตัว โดยมี จ่าฝูงอย่างน้อย 1 ตัว มักจะเป็นตัวใหญ่และ แข็งแรงที่สุด ทำหน้าที่ปกป้องและนำทางฝูง บางครั้งอาจมีกลุ่มย่อยๆภายในฝูง ซึ่งตัวผู้ 1 ตัวจะมีตัวเมีย 2-3 ตัว ลิงที่วัดป่าทุ่งบุญจะ เป็นศัตรูกับสนุข บางครั้งมีการต่อสู้ โดยลิงจะ อุ้มสุนัขขึ้นต้นไม้แล้วโยนลงมา ได้รับความ บาดเจ็บเล็กน้อยแต่ไม่ถึงตาย ส่วนกับมนุษย์จะไม่ดุร้าย แต่ระมัดระวังการเข้าใกล้ เพราะยังมีสัญชาตญาณสัตว์ป่าอยู่
การสำรวจและการอนุรักษ์ลิงวัดป่าทุ่งบุญ ลิงวัดป่าทุ่งบุญเป็นสมบัติจากธรรมชาติที่มอบให้แก่มนุษย์ บางพื้นที่ลิงเป็นสิ่งถึงดูด เม็ดเงินเข้าสู่ชุมชนได้ จากนักท่องเที่ยวที่มาให้อาหารหรือมาเยี่ยมชม บางครั้งลิงก็ อาจสร้างความวุ่นวายให้แก่ชุมชน สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของชุมชน ทั้งบ้านเรือน สัตว์เลี้ยงหรือพืชไร่ทางการเกษตร กลายเป็นคำถามที่ว่า ลิงบุกรุกพื้นที่ ของมนุษย์ หรือมนุษย์บุกรุกพื้นที่ของลิง บางครั้งปัญหาเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิด การสูญพันธุ์ของลิงได้ จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาพฤติกรรมลิงให้เกิดความเข้าใจ เพื่อให้การอนุรักษ์ลิงวัดป่าทุ่งบุญเป็นไปด้วยความเหมาะสม เช่น การควบคุม ประชากรลิง หรือแม้แต่การปลูกแหล่ง อาหารในป่าโคกผาส้วมเพิ่มขึ้น เพื่อลิง จะได้มีแหล่งอาหารเพียงพอและอยู่ใน พื้นที่ของมัน หากสามารถทำสิ่งเหล่านี้ ได้ ลิงกับมนุษย์ก็จะสามารถอยู่ร่วมกัน ได้อย่างสงบสุขตลอดไป การสำรวจ การบันทึกข้อมูล การอนุรักษ์และการควบคุมประชากรลิง
การสำรวจ การสำรวจมีความสำคัญมากในการอนุรักษ์ ซึ่งเป็นข้อมูลขั้นต้นที่นักอนุรักษ์ควรจะมี ไว้เป็นพื้นฐานคือสถิติประชากรลิง ว่ามีสภาพอย่างไร จำนวนเพิ่มขึ้นหรือลดลง มาจากสาเหตุใด สามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปหาแนวทางหรือวิธีการที่เหมาะสมที่สุดใน การอนุรักษ์ทรัพยากรลิง นักสำรวจนั้นจำเป็นต้องมีไหวพริบและความแม่นยำในการ สังเกตและจดบันทึกข้อมูล อย่างคำ ที่ว่า “ซนเหมือนลิง” ลิงจะไม่อยู่นิ่ง ให้นักสำรวจสังเกตได้ง่ายๆ นัก สำรวจอาจเกิดความสับสนกับข้อมูล การสำรวจได้ การสำรวจลิงจะใช้ วิธีการสำรวจแบบใดนั้นขึ้นอยู่กับ วัตถุประสงค์ว่าต้องการจะทราบ ข้อมูลอะไร เช่น ประชากรลิงและ เพศ อาหารในท้องถิ่นที่ลิงชอบกิน พฤติกรรมการเลี้ยงลูกของแม่ลิง การนอนของลิง เป็นต้น โดยทั่วไปแล้วนักสำรวจจะนิยมใช้ 2 วิธี คือ การจัดกองผลไม้เป็นการสำรวจโดยไม่คำนึงถึงพฤติกรรมประจำวัน วิธีนี้ใช้ นับประชากรลิง หรือข้อมูลอื่นๆที่ต้องการ โดยนักสำรวจเตรียมผลไม้ที่ลิงชื่นชอบ เช่น มะละกอ มะม่วง ลำไย หรือเมล็ดพืชก็ได้ ที่หาง่ายตามฤดูกาล อาจจะใช้กล้วย และข้าวเปลือกรวมกัน กล้วยจะดึงดูดให้ลิงเข้ามากินอาหาร ส่วนข้าวเปลือกลิงจะใช้ เวลาแกะกินนาน ทำให้นักสำรวจมีเวลาสังเกต ได้เพียงพอ ให้นำผลไม้มากองเรียงกันให้ลิงเห็น ได้ทุกกอง ห่างกันพอสมควรเพื่อไม่ให้ลิงเดิน ออกไปกินกองผลไม้กองอื่น กองผลไม้จะมีกี่กอง ขึ้นอยู่กับจำนวนลิงในฝูงโดยสังเกตด้วยสายตา
วิธีการสำรวจแบบจัดกองผลไม้นั้น เป็นวิธีที่ช่วยให้ลิงแบ่งจำนวนมากินผลไม้ในแต่ละ กอง และพฤติกรรมการกินของมันจะทำให้ลิงอยู่นิ่งๆ และนักสำรวจควรอยู่ประจำ กองผลไม้อย่างน้อย 1 คนต่อ 1 กอง เพื่อนักสำรวจจะสามารถนับประชากรลิง หรือ บันทึกข้อมูลอื่นๆที่สำคัญได้อย่างแม่นยำ การเดินตาม เป็นการสำรวจแบบคำนึงถึงพฤติกรรมประจำวัน เช่น การเดินทางหาอาหารในแต่ละวัน การนอนของลิง อาหารในท้องถิ่นที่ลิงชอบกิน การเอาตัวรอดเมื่อเจอภัยร้าย เป็นต้น นักสำรวจควรมีเวลามากพอที่จะสังเกต พฤติกรรมต่างๆภายในฝูง โดยไม่ทำให้เป็นที่ สังเกตหรือทำให้ลิงมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง ไป นักสำรวจควรใส่ชุดให้มีสีกลมกลืนกับ ธรรมชาติ ใช้กล้องส่องทางไกลเป็นอุปกรณ์ช่วย เพื่อไม่ให้เข้าใกล้ลิงมากเกินไปจนมันเกิดความ ระแวง นักสำรวจควรใช้ความระมัดระวังอย่าง มาก ไม่ควรเข้าใกล้ลิงจนเกินไป เพราะลิงคิดว่า เราจะไปแย่งอาหาร มันอาจทำอันตรายนักสำรวจให้บาดเจ็บได้ นักสำรวจอาจใช้ อุปกรณ์ช่วยในการสำรวจ เพื่อให้นักสำรวจได้สังเกตลิงในระยะที่ปลอดภัยและยัง ช่วยในการจดจำข้อมูลได้ด้วย
การบันทึกข้อมูล เป็นการเก็บข้อมูลที่มีความสำคัญต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรลิง โดยมีการเก็บข้อมูล อย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำไปรวบรวมเป็นสถิติหาค่าความสัมพันธ์แล้วจะเห็นได้ชัดเจนว่า ประชากรลิงมีแนวโน้มสูงขึ้นหรือลดลง ตัวเมียมากกว่าเท่าไหร่ หรือปีนี้มีการกำเนิด ลิงกี่ตัว เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้ได้มาจากการสำรวจ อาจมีการสำรวจปีละครั้งหรือสอง ปีครั้ง แล้วนำมาเก็บรวบรวมเป็นข้อมูลทางสถิติ ทั้งนี้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการอนุรักษ์ ทรัพยากรลิงอันดับแรกคือ จำนวนประชากรลิง ส่วน เพศ อายุ อาหาร อาจเป็นเรื่องที่ รองลงมา การสำรวจครั้งหนึ่ง อาจเสียทั้งงบประมาณเพื่อ ซื้ออาหารลิงหรือใช้นักสำรวจ จำนวนหลายคนเพื่อให้มีการ สำรวจได้ทั่วถึง การสำรวจครั้ง หนึ่งนั้นจำเป็นต้องเก็บข้อมูล ได้มากที่สุด เพื่อจะได้ไม่เสียเวลาในการเก็บข้อมูลใหม่ นักสำรวจสามารถสร้างแบบ บันทึกการสำรวจด้วยตัวเอง ให้มีความเหมาะสมและควรมีข้อมูลที่จำเป็น ควร คำนึงถึงผู้ใช้ไม่ให้มีความซับซ้อนหรือยุ่งยากจนเกินไป เพราะการสำรวจที่ใช้เวลาน้อย แต่ได้ข้อมูลที่แม่นยำและได้ข้อมูลจำนวนมากนั่นคือแบบบันทึกการสำรวจที่ดี อุปกรณ์ในการสำรวจ : สมุดบันทึก , กล้องส่องทางไกล , กล้องถ่ายภาพ
แบบบันทึกการสำรวจลิง แบบบันทึกการสำรวจลิง บริเวณที่สำรวจ.....................................................................เวลา................. ว/ด/ป……..…….….. วิธีการสำรวจโดย.............................................................................................................. ............. ตัวที่ เพศ รอยตำหนิ พฤติกรรม 1 (ผู้) (เมีย) 2 (ผู้) (เมีย) 3 (ผู้) (เมีย) 4 (ผู้) (เมีย) 5 (ผู้) (เมีย) 6 (ผู้) (เมีย) 7 (ผู้) (เมีย) 8 (ผู้) (เมีย) 9 (ผู้) (เมีย) 10 (ผู้) (เมีย) รอยตำหนิ: เป็นรอยแผลเป็นหรือการบาดเจ็บต่างๆที่ไม่ใช่แผลสดหรือการบาดเจ็บ หายโดยปกติได้ เช่น ขาล่างหักด้านซ้าย แผลเป็นที่คิ้วด้านขวา เป็นต้น เพื่อเป็นแสดง ตัวตนของลิงตัวนั้น พฤติกรรม : อาการบาดเจ็บ ความดุร้าย ความว่องไว อาหารที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ เป็นต้น ลักษณะทั่วไป : ขนาดตัว สีขน อายุโดยประมาณ เป็นต้น
การรวบรวมข้อมูลทางสถิติ หากกราฟแสดงผลว่ามีลิงตัวผู้มีจำนวนมากกว่าตัว เมียแสดงว่าในปีนั้นจะมีการขยายพันธุ์ของลิงได้ น้อย มักจะเกิดพฤติกรรมแย่งชิงตัวเมีย ส่งผลให้มี การต่อสู้และได้รับความบาดเจ็บอาจถึงตายได้ ทำ ให้ประชากรลิงอยู่ในขั้นวิกฤตใกล้สูญพันธุ์ หากมี ลิงตัวเมียมีจำนวนมากกว่าตัวผู้ 2-3 เท่า นั้น หมายความว่า จะมีการขยายของจำนวนลิง ได้ดีและเหมาะสมสามารถทดแทนลิงที่เสียไป ได้ หากมีลิงตัวเมียมีจำนวนมากกว่าตัวผู้เกิน กว่า 3 เท่า นั่นแสดงว่าจะมีประชากรลิงล้น เกินไปอาจเกิดการแยกกลุ่มและแย่งแหล่งหา อาหารกันได้ และหากมีลิงมากกว่า 1 ฝูง และมี สม าชิก ใน ฝู งม าก กว่า 20 0 ตั ว จำเป็นต้องควบคุมประชากรอย่างเร่งด่วนหรือหาแหล่งอาหารเพิ่มเติมเพื่อรองรับฝูง ลิง
การอนุรักษ์และการควบคุมประชากรลิง ลิ งเป็ น ท รั พ ย าก ร ธ ร ร ม ช าติ ที่ มี ค่ า จำเป็นต้องมีการอนุรักษ์ทรัพยากรลิงให้มี ความเหมาะสม ประชากรลิงไม่ควรมี จำนวนมากเกินกว่าแหล่งอาหารตาม ธรรมชาติ เพราะจะส่งผลให้ลิงจำเป็นต้อง เข้ามาหาอาหารในพื้นที่ของมนุษย์จนสร้าง ความเดือดร้อนให้แก่ชุมชน หรือลิงไม่ควร มีจำนวนน้อยเกินไปกว่าการที่จะส่งผลให้ลิงเกิดการสูญพันธุ์ได้ โดยทั่วไปแล้วลิงก็ มีวัฏจักรชีวิตเช่นเดียวกันกับสัตว์อื่นๆ มีการให้กำเนิดลูกลิงตัวใหม่มาทดแทนลิงแก่ที่ ตายไป โดยธรรมชาติแล้วประชากรลิงจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแหล่งอาหาร หากมี ป่าที่สมบูรณ์เต็มไปด้วยพืชผลนานาพรรณ ลิงก็จะมีแหล่งอาหารที่เพียงพอและยัง สามารถขยายพันธุ์ได้ดี ความขัดแย้งของคนกับลิงก็จะหมดไป ดังนั้นการอนุรักษ์ ทรัพยากรลิงวัดป่าทุ่งบุญจึงมีอยู่ 2 แนวทางที่จะให้เกิดความเหมาะสมและความ สมดุลทางธรรมชาติ แนวทางที่ 1 เพิ่มแหล่งอาหารในธรรมชาติการเลือกพื้นที่ที่อยู่อาศัยของลิงเป็นสิ่ง ที่สำคัญ เพื่อรองรับการเจริญเติมโตทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตมีการขยาย เมืองไม่ต่างจากลิงมีการขยายอาณาเขต ซึ่งป่าโคกผาส้วมเองก็เป็นพื้นที่ที่มีเหมาะสม สำหรับการขยายอาณาเขตของลิง เป็นเขตพื้นที่ป่ากว่า 1,011 ไร่ มีทั้งลำน้ำและ พรรณไม้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของลิง ไม่มีแหล่งที่อยู่อาศัยของชุมชนตั้งอยู่เลย และสามารถปลูกพืชผลไม้ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของลิงได้อีกด้วย
เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นของคนกับลิง พืชพรรณไม้ อาจใช้เวลาในการเจริญเติบโตหลายปี นักอนุรักษ์ควรมีพรรณไม้ที่เจริญเติบโตเร็ว และมีมากกว่า 10 ชนิด เพื่อให้เกิดความหลากหลายของแหล่งอาหาร ควรมีการ สำรวจพฤติกรรมของลิง ว่ามันชอบกินผลไม้อะไรในท้องถิ่น เพื่อนำพรรณไม้เหล่านั้น นำมาทำกล้าไม้และยังเป็นพรรณไม้ โครงสร้างของป่าโคกผาส้วมได้อีก ด้วย เพียงเท่านี้นักอนุรักษ์ก็จะ สามารถสร้างแหล่งอาหารของลิงได้ เพื่อรองรับฝูงลิงที่จะมาอาศัยอยู่ใน อนาคต แนวทางที่ 2 การควบคุมประชากรลิง โดยการนำข้อมูลประชากรลิงทางสถิติมา วิเคราะห์ว่ามีแนวโน้มในอนาคตอย่างไร จำเป็นต้องมีการควบคุมทั้งเพิ่มจำนวนหรือ ลดจำนวนลงหรือไม่ เพื่อให้สายพันธุ์ลิงสามารถอยู่รอดในธรรมชาติได้ และไม่มี จำนวนมากเกินไปจนสร้างความเดือนร้อนให้แก่ชุมชน การเพิ่มแหล่งอาหารเป็น แนวทางที่เพิ่มประชากรลิงได้ดีที่สุด หากมีแหล่งอาหารที่สมบูรณ์และเพียงพอ ลิงก็ จะสามารถขยายพันธุ์ได้ดีตามธรรมชาติ แต่หากมีแนวโน้มการเพิ่มจำนวนที่มาก เกินไป ควรทำหมันลิงในตัวเมียเพื่อควบคุมการกำเนิดลูก อาจคัดเลือกสายพันธุ์โดยการทำหมันตัวที่อ่อนแอหรือไม่สมบูรณ์ โดยการ วิเคราะห์จากข้อมูลทางสถิติให้มีประชากรลิงตัวเมียที่สามารถกำเนิดลูกได้ 1-2 ตัว ต่อตัวผู้1 ตัว ทั้งนี้การควบคุมประชากรลิงจำเป็นต้องมีข้อมูลจำนวนประชากรลิงที่ แม่นยำ และเห็นแนวโน้มที่ชัดเจน ซึ่งอาจมองไม่เห็นแนวโน้มภายใน 1-2 ปี
การสูญเสียของประชากรลิง โดยทั่วไปแล้วตามธรรมชาติของลิงสามารถมีอายุได้มากว่า 15 ปี ในบางครั้งเกิดการ เจ็บป่วย ติดเชื้อโรค หรือสัตว์มีพิษทำร้ายทำให้เกิดการสูญเสียที่ผิดไปจากธรรมชาติ ในปัจจุบันการสูญเสียของลิงเกิดขึ้น ด้วยฝีมือของมนุษย์ทั้งเจตนาและไม่ เจตนา เช่น ถนนที่มีรถยนต์วิ่งผ่าน สัตว์เลี้ยงนักล่าอย่างสุนัข หรือแม้แต่ สายไฟที่ลิงไม่รู้ว่ามันคืออะไร ลิงกับภัยธรรมชาติ การสูญเสียจากภัยธรรมชาติ ลิงก็ไม่ต่างจากมนุษย์ บางปีเกิดพายุฝนกระหน่ำ ร้อน จัดหรือหนาวจัด ทำให้ลิงล้มตายจากภัยธรรมชาติ ซึ่งบางครั้งสัญชาตญาณการเอาตัว รอดของมันทำให้มันสามารถมีชีวิตอยู่รอดถึงยุคปัจจุบันได้ พฤติกรรมการเกาะกลุ่ม โอบกอดกันของลิงสามารถสร้างความอบอุ่นให้แก่กันละกันได้ หรือแม้แต่การที่ลิง สามารถพยากรณ์อากาศในแต่ละวัน หากวันนั้นจะเกิดฝนตกมันจะไม่เดินทางออก จากแหล่งที่พักอาศัย ลิงกับความเสียหาย การรุกล้ำอาณาเขตของคนกับลิงก่อให้เกิดความวุ่นวายและความเสียหายต่อ ทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นการขโมยกินพืชไร่พืชสวน บ้างก็ขโมยไข่ไก่ หรือแม้แต่การรื้อ ข้าวของในครัว แต่มีวิธีหนึ่งที่สามารถป้องกันลิงเข้ามาก่อกวนภายในอาณาเขตของ คนได้ นั่นก็คือการเอารูปปั้นจำลองหรือตุ๊กตาสัตว์นักล่าที่ลิงกลัวมาวางไว้บริเวณหน้า ประตู หน้าต่าง หรือข้างสวน ลิงมันกลัวทั้งเสือ จระเข้ งูเหลือมยักษ์ หรือลิงกอลิลา ลิง มันจะมีสัญชาตญาณมาตั้งแต่เกิดว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งมีชีวิตที่อันตรายและมันควร เดินออกห่าง
ลิงกับชุมชน ด้วยสายวิวัฒนาการของลิงใกล้เคียงกับ มนุษย์ทำให้มันมีนิสัยหรือพฤติกรรม คล้ายๆมนุษย์ เช่น ความอยากรู้อยาก เห็น การดูแลซึ่งกันและกัน หรือแม้แต่ การยิ้มที่แสดงออกว่ามันมีความสุข ทำให้ ชุมชนเองมีความเอ็นดูและเห็นถึงความ น่ารักซุกซนของมัน ชุมชนวัดป่าทุ่งบุญก็มี ประเพณีเลี้ยงโต๊ะจีนลิงพร้อมๆกับงานบุญบ้านขอขมาศาลดอนปู่ตาในทุกๆปี ลิงก็จะ เพลิดเพลินไปกับผลไม้นานาชนิดที่หอมหวาน ส่วนคนก็จะได้ร่วมสืบสานประเพณี ร่วมกันทำบุญและยังได้ลิ้มรสอาหารคาวหวานแสนอร่อยร่วมกัน ถือว่าเป็นประเพณี ร่วมกันของชุมชนกับลิง ที่เห็นคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติไม่ต่างกัน นอกจากนี้ยัง มีความเชื่อกันว่า ลิงคือลูกหรือทหารของศาลดอนปู่ตา ที่จะรักษาเจ้าปู่และป่าให้มี ทรัพยากรได้ใช้ ได้กินได้ตลอดไป ลิงกับป่า โดยทั่วไปแล้วสัตว์หลายชนิดจะช่วยทำให้ระบบนิเวศของป่ากลับมาสมบูรณ์ได้ ไม่ว่า จะเป็นกวาง ควายป่า นก ผีเสื้อหรือแม้แต่ลิงเอง ที่มีนิสัยกินทิ้งกินขว้าง มันจะนำ เมล็ดพันธุ์ของผลไม้ที่มันกิน กระจายไปตามทางเดินของมัน หรือแม้แต่เมล็ดพันธุ์ใน มูลของมันก็จะมีทั้งปุ๋ยชั้นดีสำหรับการเจริญเติบโตของต้นไม้ การกระจายเมล็ดพันธุ์ ของลิงนั้น จะช่วยให้ระบบนิเวศในป่ามีความหลากหลายมากขึ้น เป็นการที่ธรรมชาติ ดูแลธรรมชาติ คล้ายกับว่าลิงปลูกป่านั่นเอง
สายวิวัฒนาการของลิง ลิงเป็นสายพันธุ์ที่มีวิวัฒนาการของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีการกลายพันธุ์จนเกิดสาย พันธุ์ใหม่ โดยลิงกับมนุษย์เริ่มแยกสายพันธุ์ออกจากกันเมื่อประมาณ 2-3 ล้านปีที่ แล้ว ซึ่งมนุษย์เกิดวิวัฒนาการจากลิงเล็กมาเป็นลิงใหญ่ ซึ่งมีการศึกษาอันดับวานร หรือไพรเมต มีการจัดกลุ่มลิงมีหางและลิงไม่มีหางซึ่งรวมมนุษย์อยู่ด้วย ด้วยสายวิวัฒนาการเดียวกันกับมนุษย์ ลิงจึงมี ลักษณะคล้ายคลึงกันกับคน ทั้งมีความฉลาด โครงสร้างกระดูก พฤติกรรมทางสังคม หรือ แม้แต่การแสดงออกทางอารมณ์ ก็มีความ คลายคลึงกันอย่างมาก การใช้มือและเท้าของ ลิงสามารถทำได้เหมือนคน มีการจับสิ่งของ เป็นเครื่องมือกะเทาะเปลือกผลไม้ หรือใช้กิ่งไม้สอยผลไม้ มีสมองในการจดจำวิธีการ จนเกิดการสะสมความรู้ เป็นสัตว์ที่เอาตัวรอดได้ดีเหมือนคน พฤติกรรมทางสังคมยัง มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้กันและกันได้ การปกครองยังมีการแบ่ง ชนชั้น มีจ่าฝูงหรือสมาชิกฝูงทำให้ ฝูงลิงเกิดความมีระเบียบเรียบร้อย บางครั้งลิงก็มีภาษากายที่ไว้ สื่อสารกัน ปัจจุบันลิงก็มีการเรียนรู้และมีการจดจำวิธีการมาจากมนุษย์ ทำให้เกิดการ สื่อสารระหว่างคนและลิงได้ วิวัฒนาการของลิงยังไม่มีที่สิ้นสุด การที่มนุษย์ได้ศึกษา พฤติกรรมของลิงทำให้คนเราสามารถเข้าใจสิ่งที่เป็นธรรมชาติของตัวเราได้ดียิ่งขึ้น ที่มา : วารสาร Science (2007)
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติป่าโคกผาส้วม กฎหมายตามพระราชบัญญัติ หรือ พ.ร.บ. แต่ละฉบับนั้นประกอบด้วยกันหลาย มาตรา ผู้เขียนจึงได้นำเนื้อหาบางส่วนของกฎหมายมาให้ทำความเข้าใจในเบื้องต้น เท่านั้น ผู้อ่านควรถือ พ.ร.บ. ฉบับสมบูรณ์เป็นหลัก เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดกับ เนื้อหาเหล่านี้ พระราชบัญญัติคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ.2551 ซากดึกดำบรรพ์ หมายความว่า ซากหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตในสมัยดึกดำ บรรพ์ที่อยู่ในชั้นเปลือกโลก หรือที่หลุดออกมาหรือที่นำออกมาจากชั้นเปลือกโลก ทั้งนี้ ไม่รวมถึงโบราณวัตถุ กฎหมายเกี่ยวกับแหล่งซากดึกดำบรรพ์ 1.เพื่อใช้ประโยชน์ในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประวัติโลก บรรพชีวินวิทยาหรือ การลำดับชั้นหิน โดยให้อธิบดีด้วยความเห็นชอบจากคณะกรรมการ กำหนดพื้นที่ เป็นเขตสำรวจและการศึกษาเกี่ยวกับแหล่งซากดึกดำบรรพ์ เมื่อได้ประกาศเป็นเขต สำรวจและการศึกษาเกี่ยวกับแหล่งซากดึกดำบรรพ์แล้ว ให้เจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้มีสิทธิในที่ดินโดยชอบ ได้รับค่าตอบแทนเนื่องจากไม่อาจดำเนินงานหรือใช้ ประโยชน์ในที่ดินตามภาวะปกติ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการ กำหนด (ตาม มาตรา 12) ที่มา : Datalife (2009)
2.ห้ามมิให้ผู้ใดขุดค้นในเขตสำรวจและการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับแหล่งซากดึก ดำบรรพ์ หรือเคลื่อนย้าย นำออกไป ทำให้เสียหาย หรือทำลาย เว้นแต่จะได้รับ อนุญาต (ตามมาตรา 17) 3.เพื่อเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมการศึกษาและเผยแพร่แหล่งซากดึกดำ บรรพ์ที่ขึ้นทะเบียนเป็นที่อยู่ในที่ดินของรัฐ ให้บุคคลใดเข้าไปดำเนินการในแหล่งซาก ดึกดำบรรพ์ได้โดยที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่รับผิดชอบก่อน (ตามมาตรา 24) กฎหมายเกี่ยวกับซากดึกดำบรรพ์ 1.ผู้ใดพบเห็นสิ่งอันมีเหตุผลควรเชื่อได้ว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์ให้แจ้งเจ้า พนักงานท้องถิ่นหรือกรมทรัพยากรธรณีวิทยาภายใน 7 วัน ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมี คำสั่งห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือเข้าไปในส่วนใดๆของบริเวณที่มีการค้นพบ และจัดทำ เครื่องหมายแสดงการห้ามนั้นไว้ในที่เปิดเผยและเห็นได้ง่าย ณ บริเวณดังกล่าว และ รายงานต่อ กรมทรัพยากรธรณีวิทยา เว้นแต่บริเวณนั้นได้มีการรายงานแล้ว (ตามมาตรา 25) 2.ในกรณีที่ซากดึกดำบรรพ์ที่ขึ้นทะเบียนนั้นอยู่ในความครอบครองของ เอกชนให้บุคคลดังกล่าวส่งมอบซากดึกดำบรรพ์นั้นให้แก่กรมทรัพยากรธรณีวิทยา (ตามมาตรา 26) ซึ่งปัจจุบันกรมทรัพยากรธรณีวิทยาเปิดการรับแจ้งการพบซากดึก ดำบรรพ์ หากซากดึกดำบรรพ์ชิ้นนั้นไม่มีประโยชน์ในการศึกษาและวิจัย กรม ทรัพยากรธรณีวิทยาจะอนุญาตให้เอกชนเป็นผู้เก็บรักษาแทนแต่ซากดึกดำบรรพ์ชิ้น นั้นยังเป็นของกรมทรัพยากรธรณีวิทยาอยู่ โดยให้บุคคลที่ถือครองขั้นทะเบียนซากดึก ดำบรรพ์และขอรับใบอนุญาตกับกรมทรัพยากรธรณีวิทยา
3.ห้ามมิให้ผู้ใดทำการค้าซากดึกดำบรรพ์ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดี ในกรณีที่ซากดึกดำบรรพ์ เสียหาย ชำรุด หรือมีการโอนย้าย หรือย้ายสถานที่เก็บ รักษา ต้องแจ้งหนังสือต่ออธิบดี ห้ามมิให้ซ่อมแซม เปลี่ยนแปลง ทำลาย ซึ่งซากดึก ดำบรรพ์ที่ขึ้นทะเบียน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดี (ตามมาตรา 28 29 30) บทกำหนดโทษ 1.ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 17 หรือมาตรา 28 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 2.ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 30 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท แต่หากเป็น ซากดึกดำบรรพ์ที่ขึ้นทะเบียนแล้ว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 "สัตว์ป่า" หมายความว่า สัตว์ทุกชนิดไม่ว่าสัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์ปีกแมลงหรือแมง ซึ่ง โดยสภาพธรรมชาติย่อมเกิดและดำรงชีวิตอยู่ในป่าหรือในน้ำและให้หมายความ รวมถึงไข่ของสัตว์ป่าเหล่านั้นทุกชนิดด้วย แต่ไม่หมายความรวมถึงสัตว์พาหนะที่ได้ จดทะเบียนทำตั๋วรูปพรรณตามกฎหมายว่าด้วยสัตว์พาหนะแล้ว และสัตว์พาหนะที่ ได้มาจากการสืบพันธุ์ของสัตว์พาหนะดังกล่าว "สัตว์ป่าสงวน" หมายความว่า สัตว์ป่าที่หายากตามบัญชีท้าย พระราชบัญญัตินี้และตามที่จะกำหนดโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา "สัตว์ป่าคุ้มครอง" หมายความว่า สัตว์ป่าตามที่กฎกระทรวงกำหนดให้เป็น สัตว์ป่าคุ้มครอง "ล่า" หมายความว่า เก็บ ดัก จับ ยิง ฆ่า หรือทำอันตรายด้วยประการอื่นใด แก่สัตว์ป่าที่ไม่มีเจ้าของและอยู่เป็นอิสระ และหมายความรวมถึงการไล่การ ต้อน การเรียก หรือการล่อเพื่อการกระทำดังกล่าวด้วย
"ซากของสัตว์ป่า" หมายความว่า ร่างกายหรือส่วนของร่างของสัตว์ป่าที่ตาย แล้วหรือเนื้อของสัตว์ป่า ไม่ว่าจะได้ปิ้ง ย่าง รม ตากแห้ง หมักหรือทำอย่างอื่นเพื่อ ไม่ให้เน่าเปื่อย และไม่ว่าจะชำแหละ แยกออก หรืออยู่ในร่างของสัตว์ป่านั้นและ หมายความรวมถึง เขา หนัง กระดูก ฟัน งา ขนาย นอ ขน เกล็ด เล็บ กระดอง เปลือก หรือส่วนต่าง ๆ ของสัตว์ป่าที่แยกออกจากร่างของ สัตว์ป่าไม่ว่าจะยังมีชีวิตหรือตายแล้ว "เพาะพันธุ์" หมายความว่า ขยายพันธุ์สัตว์ป่าที่นำมาเลี้ยงไว้โดยวิธีผสม พันธุ์สัตว์ป่า และหมายความรวมถึงขยายพันธุ์สัตว์ป่าโดยวิธีผสมเทียมหรือการย้าย ฝากตัวอ่อนด้วย "ค้า" หมายความว่า ซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน จำหน่าย จ่าย แจกหรือโอน กรรมสิทธิ์ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในทางการค้า และหมายความรวมถึงมีหรือแสดงไว้ เพื่อขายด้วย การล่า การเพาะพันธุ์ การครอบครอง และการค้าซึ่งสัตว์ป่าซากของสัตว์ป่า และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากซากของสัตว์ป่า 1.ห้ามมิให้ผู้ใดล่า หรือพยายามล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครอง เว้นแต่ เป็นการกระทำโดยทางราชการที่ได้รับการยกเว้นตามมาตรา 26 (ตามมาตรา 16) 2.ห้ามมิให้ผู้ใด เพาะพันธุ์ หรือมีไว้ในครอบครอง หรือค้า ซึ่งสัตว์ป่าสงวน หรือสัตว์ป่าคุ้มครอง หรือซากของสัตว์ป่าสงวนหรือซากของสัตว์ป่าคุ้มครอง หรือ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากซากของสัตว์ป่า เว้นแต่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดที่กำหนดตาม มาตรา 17 ที่ได้มาจากการเพาะพันธุ์ที่มีใบอนุญาต และต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดี (ตามมาตรา 18 19 20) 3.ห้ามมิให้ผู้ใดยิงสัตว์ป่าในเวลาระหว่างพระอาทิตย์ตก และพระอาทิตย์ขึ้น(ตามมาตรา 22)
4.บทบัญญัติมาตรา 16 มาตรา 18 มาตรา 19 มิให้ใช้บังคับแก่การกระทำ เพื่อประโยชน์ในการสำรวจ การศึกษาและวิจัยทางวิชาการ การคุ้มครองสัตว์ป่า การ เพาะพันธุ์หรือเพื่อกิจการสวนสัตว์สาธารณะ ซึ่งกระทำโดยราชการ และโดยได้รับ อนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีและต้องปฏิบัติตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด โดย ความเห็นชอบของคณะกรรมการ (ตามมาตรา 26) บทกำหนดโทษ 1.ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 16 มาตรา 19 มาตรา 20 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ ปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 2.ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 18 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกิน สามหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ (ร่าง)พระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ร.บ.ป่าชุมชนเป็นเพียงฉบับร่างยังไม่ได้รับการอนุมัติจากสภาฯที่จะบรรจุ ลงในราชกิจจานุเบกษา จึงไม่มีผลการบังคับใช้ทางกฎหมายใดๆ เป็นความร่วมมือ ของประชาชนและผู้ที่มีส่วนร่วม ร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชนนี้ขึ้น เนื่องจากป่าไม้ใน ประเทศไทยส่วนใหญ่รัฐบาลได้ประกาศเป็น เขตป่าอนุรักษ์เกือบหมดแล้ว จึงทำให้ชุมชนรอบข้างไม่มีสิทธิในการเข้าใช้ทรัพยากรจากเขตป่าอนุรักษ์ได้เลย ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนที่จะมีส่วนร่วมกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ จากป่านั้น การร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชนจะช่วยในการรักษาสิทธิประโยชน์ในการ ใช้ทรัพยากรป่าไม้ของชุมชน โดยมีนโยบายในกระบวนการฟื้นฟูป่าไม้กระบวนการ สร้างเครือข่ายการพัฒนาชุมชนบนพื้นฐานทรัพยากร และการสร้างนักวิทยาศาสตร์ จากป่าเพื่อการพัฒนาชุมชน ทั้งนี้รวมไปถึงการที่ชุมชนสามารถใช้ทรัพยากรป่าไม้ ของตนได้อย่างยั่งยืน ด้วยงบประมาณจากรัฐและการอนุรักษ์ป่าของชุมชนนั่นเอง
ผู้มอบหนังสือเป็นวิทยาทานแก่โรงเรียน
บรรณานุกรม G. CUNT,V. SUTEETHORN,S. KAMHA,E. BUFFETAUT. (1990). Hybodont sharks from the lower Cretaceous Khok Kruat Formation of Thailand, and hybodont diversity during the Early Cretaceous. Department of Biology, Mahasarakham University. รตยา จันทรเทียร. (24 ตุลาคม 2544). (ร่าง) พ.ร.บ.ป่าไม้ชุมชน. มูลนิธิสืบนา คะเสถียร. เข้าถึงได้จาก http://www.seub.or.th/index.php?option=com_ contact&view=contact&id=1&Itemid=29 (วันที่ค้นข้อมูล: 20 พฤษภาคม 2558) กลุ่มสำรวจทรัพยากรป่าไม้. (2545). คู่มือการสำรวจทรัพยากรป่าไม้. สำนักฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่อนุรักษ์ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช. 46 น. ยุทธ แม้นพิมพ์. (2547). การศึกษาบรรพชีวินวิทยาโคกผาส้วม อำเภอศรีเมือง ใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี. คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี. 88 น. David Lambert. (2548). พาตะลุยแดนไดโนเสาร์. (แปลจากเรื่อง DK Guide to Dinosaurs โดย วราวุธ สุธีธร) (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพมหานคร : นานมีบุ๊คส์. 64 น. วราวุธ สุธีธร. (2550). ไดโนเสาร์ของไทย (พิมพ์ครั้งที่ 3). สำนักวิจัยซากดึกดำ บรรพ์และพิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณีวิทยา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม. 120 น. จูซึงฮี. (2554). 100 เรื่องไดโนเสาร์. (แปลจากเรื่อง Dinosaurs picture album 100 โดย ปุณิกา ธรรมโชติ) (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์บุ๊คเซน เตอร์. 107 น. สตีเฟน เอลเลียต, เดวิด บราเครสลีย์, สุทธาธร ไชยเรืองศรี.(2551). งานวิจัย เพื่อการฟื้นฟูระบบนิเวศป่าเขตร้อน(ฉบับภาษาไทย). หน่วยวิจัยการฟื้นฟูป่า ภาควิชา ชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 139 น. วัฒนา ต้นเสถียร. (2551). ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับซากดึกดำบรรพ์: สำนักงาน คุ้มครองซากดึกดำบรรพ์กรมทรัพยากรธรณีวิทยา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม. 128 น.
สำนักงานคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์. (2551). พระราชบัญญัติคุ้มครองซากดึกดำ บรรพ์ พ.ศ.2551. กรมทรัพยากรธรณีวิทยา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. 133 น. สมศักดิ์ สุขวงศ์ และคณะฯ. (ม.ป.ป.). ป่าชุมชนอีสาน. กรมส่งเสริมคุณภาพ สิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม. 70 น. สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช(สสส.). (2552). คู่มือค่ายวิทยาศาสตร์เพื่อการ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่ง ประเทศไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย. 32 น. ศิริยะ ศรีพนมยม. (2553). วัดป่า : แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งความหลากหลายทาง ชีวภาพที่ซ่อนเร้น. คณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอม เกล้าธนบุรี. ธัญยธรณ์ อริยะธันย์ธาดา ลินด์เนอร์. (2555). ลิงหางยาว 1 ใน 4 ชนิดพันธุ์ลิง ในประเทศไทย. เข้าถึงได้จาก http://www.stou.ac.th/study/sumrit/2- 58%28500%29/page2-2-58%28500%29.html (วันที่ค้นข้อมูล: 27 พฤษภาคม 2558) คณะทำงานจัดตั้งอุทยานธรณีประเทศไทย. (2556). เอกสารประกอบการ ประชุมสัมมนา การจัดตั้งอุทยาธรณีผาชัน-สามพันโบก : กรมทรัพยากรธรณีวิทยา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเทศไทย. 107 น. กองการศึกษาและวิจัย .(2557). อุตุนิยมวิทยาทั่วไป. กรมอุตุนิยมวิทยา. เข้าถึง ได้จาก http://www.tmd.go.th/info/info.php?FileID=53 (วันที่ค้นข้อมูล: 9 พฤษภาคม 2558) คมศร เลาห์ประเสริฐ และคณะฯ. (ม.ป.ป.). หุบเขาไดโนเสาร์ มหัสจรรย์แห่ง อีสาน. ศูนย์วิจัยและศึกษาบรรพชีวินวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, กรมทรัพยากร ธรณีวิทยา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. วราวุธ สุธีธร และคณะฯ. (ม.ป.ป.). วิวัฒนาการและตวามหลากหลายทาง ชีวภาพช่วงมหายุคมีโซโซอิกในประเทศไทย. ศูนย์วิจัยและศึกษาบรรพชีวินวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, กรมทรัพยากรธรณีวิทยา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม.
รัตนา สาริวงศ์จันทร์. (ม.ป.ป.). ลิงแสม. สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16. เข้าถึง ได้จาก http://www.dnp.go.th/fca16/file/mnc6avg03bc0yjs.pdf (วันที่ค้นข้อมูล: 5 พฤษภาคม 2558) มูลนิธิสืบนาคะเสถียร. (ม.ป.ป.). ป่าไม้ในเมืองไทย. เข้าถึงได้จาก http://www.seub.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=182 :2009-11-19-09-26-37&catid=47:2009-11-03-07-40-22&Itemid=70 (วันที่ค้น ข้อมูล: 5 พฤษภาคม 2558)
เกิดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2534 ภูมิลำเนา อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ประวัติการศึกษา พ.ศ.2556 ระดับปริญญาตรี หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาการจัดการ (บธ.บ.) มหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ.2560 ระดับปริญญาโท หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขา การบริหารทรัพยากรมนุษย์(บธ.ม.) มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ประวัติการทำงาน พ.ศ.2559 นักพัฒนาธุรกิจชุมชน บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีอุบลราชธานี (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด พ.ศ.2562 เจ้าหน้าที่พัฒนาธุรกิจชุมชนอาวุโส ถึง โครงการพัฒนาชุมชน สำนักงานกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ปัจจุบัน บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ประวัติผู้เขียน นายนันทวัฒน์ บุญกระสินธ์ (เน็ท)
ประวัติการอนุรักษ์(โดยย่อ) ❖ เข้าร่วมกลุ่มเครือข่ายเยาวชนศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. 2551 ❖ ร่วมก่อตั้งกลุ่มอนุรักษ์ป่าโคกผาส้วม อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ.2552 ❖ เข้าร่วมโครงการอบรมความรู้เกี่ยวกับบรรพชีวินวิทยาเบื้องต้น ศูนย์วิจัยและ ศึกษาบรรพชีวินวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม พ.ศ.2553 ❖ เข้าร่วมนำเสนอในที่ประชุมการรับฟังความคิดเห็นการก่อตั้งอุทยานธรณีผาชันสามพันโบก จังหวัดอุบลราชธานีกรมธรณีวิทยา พ.ศ.2554 ❖ เข้าร่วมนำเสนอในที่ประชุมการรับฟังความคิดเห็นการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ อำเภอศรีเมืองใหม่จังหวัดอุบลราชธานีกรมธรณีวิทยา พ.ศ.2555 ทั้งนี้ ผู้เขียนจะปฏิบัติงานอนุรักษ์เพียงผู้เดียวไม่ได้เลย หากขาดการช่วยเหลือและการ สนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษ์ป่าโคกผาส้วม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชุมชน ผู้เขียนจึงขอ ยกย่องและเชิดชูบุคคลที่มีส่วนสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติป่าโคกผาส้วม ดังนี้ นายสกนธ์ จันทรุกขา ดร.วราวุธ สุธีธร นางวิยะดา พร้อมสุข นายวิเชียร แก้วพรม นายประพิศ ประสพสุข อาจารย์สำอาง สุขสำราญ อาจารย์มาฆะ ทองมูล พระอาจารย์อารมณ์ สีลสํวโร กรมทรัพยากรธรณีวิทยา ศูนย์วิจัยและศึกษาบรรพชีวินวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม อาจารย์นันทพร โสตถิวัฒนานนท์ อาจารย์กาญจนา โป๊ะประนม ดร.คมศร เลาห์ประเสริฐ นายอธิวัตน์ วัฒนะพิทักษ์สกุล นายศักดิ์ชัย จวนงาม อาจารย์ยุทธ แม้นพิมพ์ ชุมชนหมู่บ้านทุ่งบุญและหมู่บ้านใกล้เคียง องค์การบริหารส่วนตำบลนาคำ โรงเรียนศรีเมืองวิทยาคาร