รายงานการวิจัย เรื่อง ศึกษาบริบท รูปแบบศักยภาพเชิงพื้นที่การจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน สินค้าและบริการ GI ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. โชติมา วงศ์ไชยเกียรติ ได้รับทุนอุดหนุนจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566
รายงานการวิจัย เรื่อง ศึกษาบริบท รูปแบบศักยภาพเชิงพื้นที่การจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน สินค้า และบริการ GI ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. โชติมา วงศ์ไชยเกียรติ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้รับทุนอุดหนุนจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566
(1) บทคัดย่อ ชื่อรายงานการวิจัย : ศึกษาบริบท รูปแบบศักยภาพเชิงพื้นที่การจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน สินค้าและบริการ GI ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ชื่อผู้วิจัย : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. โชติมา วงศ์ไชยเกียรติ ปีที่ทำการวิจัย : 2566 .................................................................................................... การศึกษาเรื่องการจัดการโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปั้นดินเผาจังหวัดนครราชสีมา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบทและรูปแบบการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนสินค้าและบริการ GIของ อุตสาหกรรมผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา เพื่อ วิเคราะห์ประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนสินค้าและบริการ GI ของอุตสาหกรรมผลิต เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา และเพื่อประเมิน ศักยภาพการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนสินค้าและบริการ GI ของอุตสาหกรรมผลิต เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ผลการศึกษาพบว่า 1. การจัดการโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปั้นดินเผา จังหวัดนครราชสีมา พบว่าสถาน ประกอบการมีกิจกรรมการบริการลูกค้า การวางแผนเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งของอาคารโรงงาน มีกิจกรรม การจัดซื้อจัดหาวัตถุดิบ การเคลื่อนย้ายวัตถุดิบ การบรรจุหีบห่อ การขนของและการจัดส่ง โลจิสติกส์ ย้อนกลับ การกระจายสินค้า การจัดการช่องทางจัดจำหน่าย และกิจกรรมการแปรรูปเพื่อนำกลับมาใช้ ใหม่ ส่วนกิจกรรมโลจิสติกส์ที่สถานประกอบการมีการดำเนินการน้อย ได้แก่ กิจกรรมคลังสินค้าและการ เก็บสินค้าเข้าคลัง และการพยากรณ์และวางแผนอุปสงค์ 2. ประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปั้นดินเผา จังหวัดนครราชสีมา พบว่าสถานประกอบการผลิตเครื่องปั้นดินเผา จังหวัดนครราชสีมา มีประสิทธิภาพด้านคุณภาพอยู่ใน ระดับที่ได้เปรียบคู่แข่งขัน สำหรับประสิทธิภาพด้านเวลาพบว่าอยู่ในระดับได้เปรียบคู่แข่งขันยกเว้น
(2) ประเด็นที่อยู่ในระดับมีปัญหาได้แก่ระยะเวลาในการส่งคำสั่งซื้อภายในองค์การ ระยะเวลาในการถือครอง และการบรรจุภัณฑ์สินค้า รวมทั้งระยะเวลาในการเก็บสินค้าสำเร็จรูปเพื่อตอบสนองความต้องการของ ลูกค้า ส่วนประสิทธิภาพด้านต้นทุน พบว่ามีอยู่ในระดับได้เปรียบคู่แข่งขัน และอยู่ในระดับปกติเมื่อ เปรียบเทียบกับคู่แข่ง 3. ศักยภาพการจัดการโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปั้นดินเผาจังหวัดนครราชสีมา พบว่าสถานประกอบการมีศักยภาพในระดับน้อยทั้ง 5 ด้านเรียงจากมากไปหาน้อยได้ดังนี้ ด้าน ประสิทธิภาพและประสิทธิผลด้านโลจิสติกส์ ด้านระบบบริหารข้อมูลสารสนเทศและเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านความร่วมมือกันระหว่างองค์การ ด้านการกำหนดกลยุทธ์องค์การ และด้านการวางแผนและ ความสามารถในการปฏิบัติงาน ข้อเสนอแนะ 1. การนำผลการวิจัยไปใช้งานได้โดย สถานประกอบการควรวางระบบการจัดเก็บข้อมูลทั้งหมด เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพิจารณาวางแผนและปรับปรุงการประกอบการในอนาคต รวมทั้งนักวิจัย นักวิชาการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการให้ความรู้เรื่องการจัดการโลจิสติกส์ให้กับสถาน ประกอบการเพิ่มมากขึ้น 2. การวิจัยที่ต่อเนื่องจากผลการวิจัย ได้แก่ การพัฒนาการจัดการโลจิสติกส์ในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การลดต้นทุนการผลิต การจัดการขนส่งและการกระจายสินค้า การจัดการคลังสินค้า เป็นต้น โดยใช้ กระบวนการวิจัยแบบมีส่วนร่วมจากสถานประกอบการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการวิจัยตาม ข้อเสนอแนะและความต้องการของสถานประกอบการ ได้แก่ การศึกษาเอกลักษณ์ของเครื่องปั้นดินเผา และวัฒนธรรมพื้นถิ่นที่เกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผา จังหวัดนครราชสีมา เพื่อจัดทำรูปแบบการท่องเที่ยวเชิง อนุรักษ์วัฒนธรรม
(3) กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยเรื่องศึกษาบริบท รูปแบบศักยภาพเชิงพื้นที่การจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน สินค้าและบริการ GI ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา สำเร็จได้เนื่องจากบุคคลหลายท่านได้กรุณาช่วยเหลือให้ข้อมูลข้อเสนอแนะ คำปรึกษาแนะนำ และให้ความคิดเห็น ผู้เขียนขอกราบขอบพระคุณส่วนราชการจังหวัดนครราชสีมา ที่ให้ข้อมูลพื้นฐานเพื่อการวาง แผนการวิจัย รวมทั้งผู้ประกอบการผลิตเครื่องเครื่องปั้งดินเผา จังหวัดนครราชสีมา ที่ให้ข้อมูลที่ใช้เพื่อ วิเคราะห์และตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. โชติมา วงศ์ไชยเกียรติ กุมภาพันธ์2566
(4) สารบัญ หน้า บทคัดย่อ (1) กิตติกรรมประกาศ (3) สารบัญ (4) สารบัญตาราง (6) สารบัญภาพ (8) บทที่ 1 บทนำ 1 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 6 1.3 ขอบเขตของการวิจัย 7 1.4 นิยามศัพท์เฉพาะ 8 บทที่ 2 ผลงานวิจัยและงานเขียนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง 11 2.1 บริบท 11 2.2 เกี่ยวกับโลจิสติกส์ 13 2.3 เกี่ยบกับผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผา 45 2.4 เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน 48 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 53 2.6 ทฤษฎีและกรอบแนวความคิดของการวิจัย 56 บทที่ 3 วิธีการวิจัย 57 3.1 พื้นที่วิจัย 57 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 57 3.3 ขั้นตอนการวิจัย 58
(5) หน้า 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 61 บทที่ 4 ผลการวิจัย 69 4.1 การจัดการโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน 69 จังหวัดนครราชสีมา 4.2 ประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปั้นดินเผา 77 จังหวัดจังหวัดนครราชสีมา 4.3 ศักยภาพการจัดการโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปั้นดินเผา 82 จังหวัดนครราชสีมา บทที่ 5 สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ 90 5.1 สรุปผลการวิจัย 90 5.2 อภิปรายผล 95 5.2 ข้อเสนอแนะ 96 บรรณานุกรม 97 ภาคผนวก 100 ภาคผนวก ก รายชื่อสถานประกอบการผู้ให้ข้อมูล 101 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 106 ภาคผนวก ค ภาพกิจกรรม 132 ประวัติผู้วิจัย 135
(6) สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 2.1 จำนวนประชากรในพื้นที่ในตำบลด่านเกวียน 12 จังหวัดนครราชสีมา 2.2 การวัดผลการดาเนินงานโลจิสติกส์ทางด้านคุณภาพของ 32 Fill rate โดย Bowersox, et al. (2002) และ Frazelle (2002) 3.1 แผนกิจกรรมหลักที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ 60 รวมทั้งผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้รับ 4.1 ผลการประเมินประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ของ 77 อุตสาหกรรมผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน จังหวัดนครราชสีมา ด้านคุณภาพ 4.2 ผลการประเมินประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรม 79 ผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน จังหวัดนครราชสีมา ด้านเวลา 4.3 ผลการประเมินประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรม 80 ผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน จังหวัดนครราชสีมา ด้านต้นทุน 4.4 ผลการประเมินศักยภาพการจัดการโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมผลิต 82 เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน จังหวัดนครราชสีมา ด้านการกำหนดกลยุทธ์องค์การ 4.5 ผลการประเมินศักยภาพการจัดการโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมผลิต 84 เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน จังหวัดนครราชสีมา ด้านการวางแผนและ ความสามารถในการปฏิบัติงาน 4.6 ผลการประเมินศักยภาพการจัดการโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมผลิต 85 เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน จังหวัดนครราชสีมาด้านประสิทธิภาพ และประสิทธิผลด้านโลจิสติกส์
(7) สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 4.7 ผลการประเมินศักยภาพการจัดการโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมผลิต 87 เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน จังหวัดนครราชสีมาด้านระบบบริหาร ข้อมูลสารสนเทศ และเทคโนโลยีสารสนเทศ 4.8 ผลการประเมินศักยภาพการจัดการโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมผลิต 88 เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน จังหวัดนครราชสีมาด้านความร่วมมือ กันระหว่างองค์การ
(8) สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 2.1 ทฤษฎีและกรอบแนวคิดของการวิจัย 56
บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา เมื่อปี พ.ศ. 2563 ถึงปัจจุบัน ได้เกิดวิกฤตทางด้านสาธารณสุขครั้งยิ่งใหญ่ที่ทั้งโลกได้เกิด ความหวาดกลัว หวาดระแวง กับวิกฤตครั้งนี้เป็นอย่างมาก เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของ ไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า COVID 19 “ โควิด19 “ ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ มีความ รุนแรงเทียบเคียงโรคซาร์มากที่สุด ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปอดอักเสบรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้ องค์การ อนามัยโลก ยังไม่สามารถหาที่มาของเชื้ออย่างชัดเจนได้ แต่สันนิษฐานว่าอาจจะมาจากเนื้อสัตว์ป่าที่ ซื้อขายกันอยู่ และปัจจุบันเชื้อไวรัสนี้สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้แล้ว จากการถูกไอ จาม หรือ สัมผัสกับสารคัดหลั่งของคนที่ป่วย (โรงพยาบาลศรีนครินทร์, 2563) การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด19 กำลังส่งผลกระทบไปทั่วโลกเป็นวงกว้าง เริ่มต้นจากการมีผู้ติดเชื้อที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และแพร่กระจายไปทั่วโลก อันส่งผลให้เกิดผู้เจ็บป่วยและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นไวรัส ตัวนี้เองยังคงส่งผลกระทบไปถึงการชะงักงันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งการยกเลิกเที่ยวบิน การยกเลิกการจองโรงแรม การยกเลิกกิจกรรมการสั่งซื้อสินค้าต่าง ๆ ลามไป ถึงการชะลอการผลิตในภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกที่อยู่ภายใต้ระบบห่วงโซ่คุณค่าโลก (Global Value Chain) อันส่งผลต่อเนื่อง และส่งผลกระทบด้านการค้าและการลงทุนทั้งภายในประเทศและระหว่าง ประเทศ นอกจากนี้ยังรวมไปถึง การที่ประชาชนจะต้องเสียค่าใช้จ่ายกับการป้องกันการติดเชื้อ (เช่น ต้องซื้อหน้ากากหรือเจลล้างมือ) รวมไปถึง การที่คนจะต้องมีการกักตัวอยู่กับบ้านจนทำให้ขาดรายได้ จนลามมาถึงการเกิดความเครียดและปัญหาทางสุขภาพจิตตามมา นอกจากนี้ ในภาคการเงินเองการ แพร่ระบาดของไวรัวโควิด 19 ก็ส่งผลต่อการล่วงของตลาดหุ้นทั่วโลก รวมไปถึงอีกหลายประเทศเลือก ที่จะทำการ “ปิดประเทศ” อันทำให้เกิดการถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ดังนั้นจึงไม่สามารถ ปฏิเสธได้ว่า เศรษฐกิจโลกของเรากำลังเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจ (Global Economic Crisis) อีกทั้งในปัจจุบันธุรกิจมีการแข่งขันอย่างรุนแรง เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพทาง เศรษฐกิจสังคม เทคโนโลยีและการศึกษา อีกทั้งเศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับสภาวะแวดล้อมที่ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งภัยพิบัติจากธรรมชาติ ความเสี่ยงจากสถานการณ์การก่อการร้าย ใน ภูมิภาคต่าง ๆ รวมทั้งราคา น้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและอัตราเงินเฟ้อใน
2 ประเทศต่าง ๆ แนวโน้มการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นนั้นเนื่องมาจากกระแสโลกาภิวัตน์(Globalization) ที่มีการเปิดเสรีทางการค้ามากขึ้น ผลักดันให้ภาคธุรกิจต้องยกระดับความสามารถในการดำเนินธุรกิจ ในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ ทั้งการลดต้นทุนธุรกิจและสร้างมูลค่าเพิ่มใหม่เสนอลูกค้า ชุมชนตำบลด่านเกวียนก็เป็นอีกหนึ่งชุมชนที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากสถานการณ์ที่ ผ่านโดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ อาทิ นักท่องเที่ยวไม่เข้ามาใช้บริการ สินค้าจำหน่ายไม่ได้ ออเดอร์ที่ ลูกค้าสั่งไว้ถูกยกเลิก วัตถุดิบส่วนประกอบคู่ควบราคาสูงหาซื้อไม่มี เชื้อเพลิงพลังงานราคาสูง ดังนั้น การบริหารจัดการกระบวนการนำส่งสินค้าและบริการจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภคตลอดห่วงโซ่อุปทานหรือ การจัดการโลจิสติกส์ จึงเป็นเป้าหมายสำคัญที่ผู้ประกอบการสามารถใช้เป็นแหล่งที่มาของความ ได้เปรียบในการแข่งขัน ทั้งในระดับธุรกิจและระดับประเทศ ส่งผลให้ธุรกิจต้องแสวงหาแนวทางในการ ทำธุรกิจใหม่มาใช้ เพื่อให้สามารถอยู่รอดและเจริญเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว กลยุทธ์สำคัญที่ ธุรกิจนิยมนำมาใช้ เช่น กลยุทธ์ด้านการตลาด การเงิน การบัญชี การผลิตและการดำเนินงาน นอกจากนี้ ยังนำเทคนิค วิธีการและเทคโนโลยีการผลิต มาใช้เพื่อมุ่งลดต้นทุนและสร้างความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งเทคนิควิธีการที่ใช้เช่น การผลิตแบบทันเวลาพอดี (just in time) การบริหารคุณภาพโดยรวม (total quality management) และการจัดการโลจิสติกส์ (logistics management) เป็นต้น การจัดการโลจิสติกส์เป็นกระบวนการวางแผนการดำเนินงานเพื่อควบคุมประสิทธิภาพการ ไหลเวียนสินค้าและบริการ ที่ครอบคลุมตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การจัดการคลังสินค้า การบริหาร ต้นทุนการขนส่ง และห่วงโซ่แห่งคุณค่า ไปจนถึงจุดที่มีการใช้งานหรือถึงมือผู้บริโภค โลจิสติกส์เป็น ส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการขนส่งสินค้าซึ่งสามารถช่วยในการวางแผนสนับสนุน และการควบคุม การไหลของกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล รวมทั้งการเก็บรักษาสินค้าจาก จุดเริ่มต้นไปสู่จุดสุดท้าย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ การจัดการโลจิสติกส์เป็น การปฏิบัติการควบคุมเกี่ยวกับต้นทุนสินค้าจากต้นทางไปสู่ปลายทาง โดยการจัดการโลจิสติกส์ให้มี ประสิทธิภาพจำเป็นต้องเชื่อมโยงกระบวนการดำเนินธุรกิจทุกขั้นตอนเกี่ยวข้องกันเป็นห่วงโซ่หรือ เครือข่ายเพื่อให้เกิดการประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าและ บริการให้กับทุก ๆ หน่วยงานในระบบทราบ ทำให้หน่วยงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการจัดการโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพจะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วยต้นทุนที่ต่ำ ที่สุด
3 ปัจจัยสนับสนุนให้ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบโลจิสติกส์มากยิ่งขึ้น เนื่องมาจากแนวโน้มเศรษฐกิจการค้าโลก และปัจจัยทางเศรษฐกิจภายในประเทศ รัฐบาลจึงมุ่ง เสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันและมีระบบโครงสร้างพื้นฐานและบริการ โลจิสติกส์ที่เอื้อ ต่อภาคการผลิตและภาคบริการ แต่แม้ว่าตลอดระยะที่ผ่านมา หน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ของไทย ทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันวิชาการ และสื่อสารมวลชน ได้แสดงออกถึงความตื่นตัว และความพยายาม ร่วมกันในการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของไทย แต่จากการศึกษารวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ถึง สถานภาพของระบบโลจิสติกส์ไทยในปัจจุบันของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ (2560, 8) พบว่าการพัฒนาในหลายมิติทั้งในมิติเศรษฐกิจที่โครงสร้างเศรษฐกิจยังไม่ สามารถขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมได้อย่างเต็มที่ ผลิตภาพการผลิตของภาคบริการและภาคเกษตรยังอยู่ ในระดับต่ำ อีกทั้งประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ของไทยยังต่ำกว่าประเทศคู่ค้า รัฐบาลจึงมี นโยบายสนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งนำไปสู่การสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ สำหรับเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมหรือการสร้างชุมชนเศรษฐกิจใหม่ และให้ความสำคัญกับการจัดการ โลจิสติกส์อย่างต่อเนื่อง โดยยุทธศาสตร์หลัก ของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของ ประเทศไทย ปี พ.ศ. 2566-2570 ฉบับที่ 13 เน้นการส่งเสริมการเกษตรสร้างมูลค่า พัฒนาเศรษฐกิจ บนพื้นฐานผู้ประกอบการยุคใหม่ รวมทั้งยกระดับอุตสาหกรรมผลิตเละบริการแห่งอนาคต อีกทั้งยังมี ความสอดคล้องกับเป้าหมายที่ 9 ว่าด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยืดหยุ่นต่อการ เปลี่ยนแปลง ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมและยั่งยืน ส่งเสริมนวัตกรรม(สำนัก มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม, 2566) เช่น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ได้แก่ เครื่องปั้นเบญจรงค์ และ เครื่องปั้นดินเผา เป็นต้น ปัจจุบันการค้าเครื่องปั้นดินเผานั้นเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมหัตถกรรม ที่มีการ พัฒนาการผลิตให้เป็นมาตรฐานเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ อีกทั้งยังมีการพัฒนารูปแบบจนเป็นที่ยอมรับ ของลูกค้าต่างประเทศ การผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน มีการผลิตหลากหลายประเภทเช่น การ ผลิตในระบบครัวเรือน ระบบโรงงาน ซึ่งมีแหล่งที่ตั้งของโรงงานกระจายตามหมู่บ้านต่างๆ ภายใน ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา การดำเนินการเพื่อจัดจำหน่ายมี 2 ลักษณะคือ การจำหน่ายโดยตรงสำหรับนักท่องเที่ยวหรือผู้ที่สนใจ และการค้าขายผ่านบริษัทหรือพ่อค้าคนกลาง เป็นธุรกิจขนาดย่อม ซึ่งส่วนมากเจ้าของกิจการจะเป็นผู้ประกอบการด้วยตนเอง โดยพื้นที่บริเวณ
4 ตำบลด่านเกวียนบางพื้นที่ นอกเหนือจากเป็นแหล่งผลิตและจำหน่ายเครื่องปั้นดินเผาแล้ว ยังเป็น สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของภาคอีสานที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ถือเป็นพื้นที่สำคัญที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ และเข้าไปช่วยพัฒนาศักยภาพทางการผลิตและออกแบบ ผลิตภัณฑ์ของคนในพื้นที่ให้มีโอกาสสร้างมูลค่าทางการค้าได้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ที่ตั้งของผู้ประกอบการเครื่องปั้นดินเผา อยู่ในพื้นที่ของจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งกล่าวได้ ว่าเป็นเส้นทางที่เป็นประตูเข้าสู่ภาคอีสาน และอยู่ในพื้นที่เขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeastern Economic Corridor : NeEC) ซึ่งถือเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่ สำคัญแห่งหนึ่งของปะเทศ ดังนั้นการเชื่อมโยงจากอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผาสู่อุตสาหกรรมต่อเนื่องต่าง ๆ มี ความจำเป็นและความสำคัญ ให้สถานประกอบการมีการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทานที่ มีประสิทธิภาพ เพื่อให้การดำเนินการส่งมอบสินค้าจาก ต้นทางไปยังปลายทางเป็นไปอย่างลื่นไหล ถูกต้อง และมีต้นทุนที่ต่ำเพื่อลดความสูญเสียและเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันกับนานาชาติได้ ดัง ปรากฏในแผนปฏิบัติการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย พ.ศ. 2566-2570 จึงกำหนดทิศ ทางการพัฒนาที่มุ่งพัฒนาการกำหนดตำแหน่งทางยุธศาสตร์เพื่อการเชื่อมโยงในภูมิภาคและเป็น ประตูการค้าและยกระดับการบริการโซ่อุปทานให้เชื่อมโยงและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น (แผนปฏิบัติการ ด้านการพัฒนาโลจิสติกส์ของประเทศไทย, 2566) จังหวัดนครราชสีมาเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการพัฒนา เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน มีความเป็นมาจากหมู่บ้านทำเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ตำบล ด่านเกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีการถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นจากรุ่นสู่ รุ่นมานานกว่าร้อยปีนอกจากเป็นทั้งแหล่งผลิตและจำหน่ายเครื่องปั้นดินเผา ยังเป็นแหล่ง เรียนรู้ด้านงานหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผาที่สำคัญแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ในสมัยก่อนคนไทย อพยพเข้าไปตั้งรกรากบริเวณชุมชนด่านเกวียน พื้นที่ดังกล่าวเป็นถิ่นอาศัยของชาวข่า ซึ่งเป็น คนเชื้อสายมอญ ดังนั้น เมื่อมาอยู่รวมกันจึงเกิดการถ่ายทอดกรรมวิธีการทำเครื่องปั้นดินเผา ขึ้น ผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนด่านเกวียนมักจะใช้เวลาในช่วงที่ว่างจากการทำเกษตรกรรมมาผลิต เครื่องปั้นดินเผาชนิดต่างๆ ไว้ใช้ในครัวเรือน อาทิ โอ่ง กระถาง ไห ครก ฯลฯ รวมทั้งนำ บางส่วนที่ผลิตได้ขนขึ้นเกวียนไปค้าขาย หรือแลกเปลี่ยนสินค้ากับประเทศกัมพูชา ต่อมา ในช่วงปี พ.ศ. 2485 ผลจากนโยบายชาตินิยมของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่มุ่งเน้นให้เกิด
5 การสร้างรายได้จากสินค้าท้องถิ่น อันมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ได้แพร่เข้ามาในชุมชนด่านเกวียน จึงทำให้การผลิตมีวัตถุประสงค์เพื่อจำหน่ายมากยิ่งขึ้นจน ชุมชนด่านเกวียนกลายเป็นแหล่งค้าเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงในวงกว้าง การผลิต เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะเป็นงานปั้นเครื่องใช้ ห รือของตกแต่ง ต่าง ๆ มีผู้ประกอบการเพียงไม่กี่รายที่ผลิตเครื่องประดับจากดินเผา ประเภทสร้อยคอ ต่างหู เข็มกลัด และกำไลข้อมือ และการค้าในปัจจุบันเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนโดยส่วนมากเป็น การขายส่งผ่านพ่อค้าคนกลางไปจำหน่ายยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยพ่อค้าคนกลางจะ เดินทางมารับซื้อสินค้าถึงหน้าโรงผลิต ซึ่งผู้ประกอบการส่วนมาก เป็นชาวบ้านที่อาศัยใน พื้นที่ และใช้ครัวเรือนของตนเองเป็นแหล่งผลิตสินค้า และในขณะเดียวกันก็มีผู้ประกอบการ บางรายที่เปิดเป็นหน้าร้านจำหน่ายสินค้าแก่นักท่องเที่ยว และผู้ที่สนใจทั่วไป โดยย่านการค้า เครื่องปั้นดินเผาอาทิ บริเวณลานด่านเกวียน ด่านเกวียนพลาซ่า และตั้งเรียงกันริมฝั่งถนน สายนครราชสีมา-โชคชัย นอกจากการเป็นแหล่งผลิตและจำหน่ายเครื่องปั้นดินเผา ด่าน เกวียนยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของภาคอีสานที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรม ท้องถิ่น ถือเป็นพื้นที่สำคัญที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ และเข้าไปช่วยพัฒนาศักยภาพทางการ ผลิตและออกแบบผลิตภัณฑ์ของคนในพื้นที่ให้มีโอกาสและสร้างมูลค่าทางการค้าได้มาก ยิ่งขึ้น (ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับ แห่งชาติ (องค์การมหาชน)) ภาครัฐที่สำคัญกับพัฒนาศักยภาพทางการผลิตและออกแบบผลิตภัณฑ์ของคนในพื้นที่ให้มี โอกาสและสร้างมูลค่าทางการค้าได้มากยิ่งขึ้นระดับประเทศ อาทินายอนุชา บูรพชัยศรีโฆษกประจำ สำนักนายรัฐมนตรี เปิดเผยถึง การลงนามบันทึกความร่วมมือภาคีเครือข่าย (MOU) ในการพัฒนาการ จัดการโลจิสติกส์และ ซัพพลายเชน สินค้าและบริการ GI “เครื่องปั้นดินเผา” ที่สำเร็จแล้วนั้น จะส่งเสริมการพัฒนาชุมชน พัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการ ซึ่งจะรวมไปถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับ ภูมิภาค และวิถีชุมชน ก่อให้เกิดการพัฒนาด้านโลจิสติกส์การท่องเที่ยว พัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ รวมทั้งจะสนับสนุนภาคการผลิต และการจัดจำหน่ายสินค้าชุมชนสู่ระดับภูมิภาค ทั้งในประเทศและ ต่างประเทศ ซึ่งสุดท้ายประโยชน์จะเกิดที่ประชาชนในพื้นที่เป้าหมาย และสร้างรายได้มวลรวมที่เพิ่ม มากขึ้นให้กับจังหวัดนครราชสีมาอีกด้วย
6 แม้ทางภาครัฐบาลจะให้การส่งเสริมสนับสนุนการจัดการโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรม ผลิต เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน แต่ยังไม่พบแนวทางการจัดการโลจิสติกส์เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ของ แหล่งใดของประเทศไทย จึงเป็นที่น่าสนใจว่าสถานประกอบการอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผาด่าน เกวียน ของจังหวัดนครราชสีมา ควรจะมีการจัดการโลจิสติกส์อย่างไร และการจัดการโลจิสติกส์ที่ สถานประกอบการดำเนินการอยู่ในปัจจุบันมีประสิทธิภาพและมีศักยภาพหรือไม่ จากประเด็นคำถามที่กล่าวข้างต้นหากมีการศึกษาบริบทและรูปแบบการจัดการโลจิสติกส์ และซัพพลายเชนสินค้าและบริการ GI ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ตำบลด่าน เกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา แล้วนำสู่การวิเคราะห์ประสิทธิภาพและประเมินศักยภาพ การจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนสินค้าและบริการ G I ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปั้นดินเผา ด่านเกวียน ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา จะก่อให้เกิดการขับเคลื่อนในหมู่ ผู้ประกอบการในการปรับปรุงประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ในภาคผลิต ( business logistics improvement) สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาโลจิสติกส์ของประเทศไทย พ.ศ. 2566 - 2570 และเป็นไปตามเป้าหมายของกระทรวงอุตสาหกรรมในการเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ระหว่าง ประเทศ ต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทยลดลง และเป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติฉบับบที่13 ในหมุดหมายที่ 5 ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นประตูการค้าการลงทุน รวมไปถึง การสร้างความสามารถในการแข่งขัน (ยุทธศาสตร์หลัก) ได้แก่ การส่งเสริมให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมี เสถียรภาพและยั่งยืน ทางผู้วิจัยได้เล็งเห็นปัญหาที่ได้กล่าวข้างต้นเป็นเรื่องสำคัญจึงได้ทำการวิจัย 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.2.1 เพื่อศึกษาบริบทและรูปแบบการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนสินค้าและบริการ GIของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัด นครราชสีมา 1.2.2 เพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนสินค้าและบริการ GI ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัด นครราชสีมา 1.2.3 เพื่อประเมินศักยภาพการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนสินค้าและบริการ GI ของ อุตสาหกรรมผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา
7 1.3 ขอบเขตของการวิจัย 1.3.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา การศึกษาวิจัยเรื่อง ศึกษาบริบท รูปแบบศักยภาพเชิงพื้นที่การจัดการโลจิสติกส์ และซัพพลายเชน สินค้าและบริการ GI ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ตำบล ด่านเกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา มีขอบเขตของการศึกษาดังนี้ 1.3.1.1 การสืบค้นการจัดการโลจิสติกส์ประกอบด้วย การสืบค้นในกิจกรรม 15 ด้าน ได้แก่ 1) งานบริการลูกค้า 2) การวางแผนเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งของอาคารโรงงาน คลังสินค้า 3) การพยากรณ์และการวางแผนอุปสงค์ 4) การจัดซื้อจัดหา 5) การจัดการสินค้าคงคลัง 6) การจัดการวัตถุดิบ 7) การเคลื่อนย้ายวัตถุดิบ 8) การบรรจุหีบห่อ 9) การดำเนินการกับค้าสั่งซื้อของลูกค้า 10) การขนของและการจัดส่ง 11) โลจิสติกส์ย้อนกลับ 12) การจัดการกับช่องทางจัดจำหน่าย 13) การกระจายสินค้า 14) คลังสินค้าและการเก็บสินค้าเข้าคลัง 15) กิจกรรมการแปรรูปเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ 1.3.1.2 วิเคราะห์ประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ จำนวน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านคุณภาพ 2) ด้านเวลา 3) ด้านต้นทุน 1.3.1.3 ประเมินศักยภาพการจัดการโลจิสติกส์โดยใช้ดัชนีวัดศักยภาพทางด้าน
8 โลจิสติกส์ 5 ด้าน คือ 1) ด้านการกำหนดกลยุทธ์องค์กร 2) ด้านการวางแผนและความสามารถในการปฏิบัติงาน 3) ด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผลด้านโลจิสติกส์ 4) ด้านระบบบริหารข้อมูลสารสนเทศ และเทคโนโลยีสารสนเทศ 5) ด้านความร่วมมือกันระหว่างองค์กร 1.3.2 ขอบเขตด้านเวลา ดำเนินการศึกษาวิจัยเป็นเวลา 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 15 เดือนกุมภาพันธ์พ.ศ. 2566 ถึง วันที่ 15 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 1.3.3 ขอบเขตด้านพื้นที่ สถานที่ที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา โดยเจาะจงเฉพาะ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมผลิตเครื่องภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชค ชัย จังหวัดนครราชสีมา 1.4 นิยามศัพท์เฉพาะ 1.4.1 การจัดการโลจิสติกส์ หมายถึง การบริหารจัดการกระบวนการเคลื่อนย้ายของวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์ปั้นดินเผาด่านเกวียน จากสถานประกอบการไปยังลูกค้าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การศึกษาการจัดการโลจิสติกส์โดยการศึกษากิจกรรมโลจิสติกส์ระดับจุลภาคที่เป็นกลไกในการ ขับเคลื่อนขบวนการหรือกิจกรรมย่อยที่เกิดขึ้นในระดับองค์การจำนวน 15 ด้าน ได้แก่ด้านงานบริการ ลูกค้า การวางแผนเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งของอาคารโรงงาน คลังสินค้า การพยากรณ์และการวางแผน อุปสงค์ การจัดซื้อจัดหา การจัดการสินค้าคงคลัง การจัดการวัตถุดิบ การเคลื่อนย้ายวัตถุดิบ การ บรรจุหีบห่อ การดำเนินการกับคำสั่งซื้อของลูกค้า การขนของและการจัดส่ง โลจิสติกส์ย้อนกลับ การ จัดการกับช่องทางจัดจำหน่าย การกระจายสินค้า คลังสินค้าและการเก็บสินค้าเข้าคลัง และกิจกรรม การแปรรูปเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ 1.4.2 ประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ หมายถึง ระดับของการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน โดยพิจารณาการดำเนินงานด้านโลจิ สติกส์จำนวน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านคุณภาพ ด้านเวลา และด้านต้นทุน
9 1) ประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ด้านคุณภาพ หมายถึง ระดับของการดำเนินงาน ด้านโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนเกี่ยวกับการส่งมอบสินค้า และการให้ข้อมูลแก่ลูกค้าอย่างครบถ้วนและตรงเวลา ที่รวมถึงความสามารถในการจัดส่ง ความ แม่นยำของ ใบสั่งงาน สินค้าคงคลัง การพยากรณ์ความต้องการของลูกค้า ความเสียหายของสินค้า และการตีกลับของสินค้า 2) ประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ด้านเวลา หมายถึง ระดับของการดำเนินงาน ด้านโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนเกี่ยวกับระยะเวลาการ ดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ทั้งหมด (total lead-time) ที่นับรวมเวลาทั้งหมดตั้งแต่เวลาที่ลูกค้าซื้อ สินค้า จนกระทั่งสินค้าถูกส่งมอบไปถึงมือลูกค้า อันได้แก่ ระยะเวลาการตอบสนองคำสั่งซื้อจากลูกค้า ระยะเวลาการจัดซื้อ ระยะเวลาการส่งคำสั่งซื้อภายในองค์การ การจัดส่งสินค้า ระยะเวลาสินค้าใน คลังสินค้า ระยะเวลาการพยากรณ์ความต้องการของลูกค้า ระยะเวลาการเก็บสินค้า ระยะเวลาการ ถือครองและการบรรจุภัณฑ์ และระยะเวลาการรับสินค้าคืน 3) ประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ด้านต้นทุน หมายถึง ระดับของการดำเนินงาน ด้านโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนเกี่ยวกับการคิดต้นทุนที่ เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การให้บริการลูกค้า การขนส่ง การจัดเก็บสินค้า กระบวนการสั่งซื้อ ข้อมูลการสั่งซื้อ ปริมาณการสั่งซื้อ และการจัดเก็บสินค้าคงคลัง รวมไปถึงกิจกรรมสนับสนุนอื่น 1.4.3 ศักยภาพการจัดการโลจิสติกส์ หมายถึง ระดับของการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ของ อุตสาหกรรมผลิตเครื่องภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ประเมินโดยใช้ดัชนีวัดศักยภาพทางด้านโลจิ สติกส์ 5 ด้าน คือ ด้านการกำหนดกลยุทธ์องค์การ ด้านการวางแผนและความสามารถในการ ปฏิบัติงาน ด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผลด้านโลจิสติกส์ ด้านระบบบริหารข้อมูลสารสนเทศ และ เทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านความร่วมมือกันระหว่างองค์การ 1) ศักยภาพการจัดการโลจิสติกส์ด้านการกำหนดกลยุทธ์องค์การ หมายถึง ระดับของ การดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนเกี่ยวกับ การให้ความสำคัญของกลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์ การจัดตั้งคณะทำงานหรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแล กิจกรรมด้านโลจิสติกส์ การจัดทำข้อตกลงกับผู้ส่งมอบหลักและลูกค้าหลักเพื่อให้ได้รับประโยชน์ ร่วมกัน การประเมินความพึงพอใจและ การจัดการกับข้อร้องเรียนของลูกค้า รวมถึงการพัฒนาและ ประเมินพนักงาน
10 2) ศักยภาพการจัดการโลจิสติกส์ด้านการวางแผนและความสามารถในการปฏิบัติงาน หมายถึง ระดับของการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่อง ปั้นดินเผาด่านเกวียน เกี่ยวกับ การกำหนดแผนงานและการปรับแผนงานด้านโลจิสติกส์ การพยากรณ์ความต้องการของ ลูกค้าและแนวโน้มทางการตลาด การติดตามสถานะของสินค้าและวัสดุคงคลัง กระบวนการทำงานที่ เป็นมาตรฐาน และการพัฒนาหน่วยงานรับผิดชอบด้านโลจิสติกส์ 3) ศักยภาพการจัดการโลจิสติกส์ด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผลด้านโลจิสติกส์ หมายถึง ระดับของการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผา ด่านเกวียนเกี่ยวกับการพัฒนากิจกรรมด้านโลจิสติกส์ อัตราการหมุนเวียนสินค้าคงคลังและเงินสด ต้นทุนเกี่ยวกับโลจิสติกส์ การส่งมอบสินค้าให้ลูกค้า ประสิทธิภาพในการจัดส่งสินค้า และกิจกรรม เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย 4) ศักยภาพการจัดการโลจิสติกส์ด้านระบบบริหารข้อมูลสารสนเทศ และเทคโนโลยี สารสนเทศ หมายถึง ระดับของการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องภัณฑ์ เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนเกี่ยวกับการกำหนดรหัสมาตรฐานสำหรับสินค้าและกระบวนการการใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ในการจัดการข้อมูล และการพัฒนาบุคลากรด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 5) ศักยภาพการจัดการโลจิสติกส์ด้านความร่วมมือกันระหว่างองค์การ หมายถึง ระดับของการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน เกี่ยวกับการเห็นความสำคัญของการร่วมมือระหว่างธุรกิจประเภทเดียวกัน และระหว่างสถาบัน หรือ มหาวิทยาลัย ที่มีการดำเนินการวิจัยและพัฒนา 1.4.4 ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมผลิตเครื่องภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน หมายถึง สถานประกอบการอุตสาหกรรมผลิตเครื่องภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน จากกลุ่มผู้ผลิต เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนในตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา
11 บทที่ 2 ผลงานวิจัยและงานเขียนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยจึงทบทวนวรรณกรรม หัวเรื่องดังต่อไปนี้ได้แก่ 1) บริบทเกี่ยวกับพื้นที่ตำบลด่าน เกวียน เพื่อศึกษาบริบทและรูปแบบการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนสินค้าและบริการ GI ของ อุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน 2) เกี่ยวกับโลจิสติกส์ เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน เพื่อ วิเคราะห์ประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนสินค้าและบริการ GI ของอุตสาหกรรม เครื่องปั้นดินเด่านเกวียน 3)เกี่ยวกับการให้ข้อมูลเบื้องผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผด่านเกวียน 4) เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ให้รายละเอียดของความหมายและความเป็นมาของเครื่องปั้นดินเผาด่าน เกวียน การผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน และเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน จังหวัดนครราชสีมา และ 5) งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยแต่ละหัวข้อมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 2.1 บริบท ด่านเกวียน เป็นตำบลแห่งหนึ่งในอำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา โดยมีพื้นที่ความ รับผิดชอบอยู่ในองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น 2 หน่วยงาน คือ เทศบาลตำบลด่าน เกวียน และ องค์การบริหารส่วนตำบลด่านเกวียน อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอประมาณ 15 กิโลเมตร อาณาเขตติดต่อ ทิศเหนือ ติดต่อกับ ตำบลหนองระเวียง และ ตำบลหนอง บัวศาลา (อำเภอเมืองนคราชสีมา) ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ตำบลท่าจะหลุง ตำบลละลมใหม่พัฒนา (อำเภอโชคชัย) ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตำบลหนองบัวศาลา (อำเภอเมืองนครราชสีมา) ทิศใต้ติดต่อกับ ตำบลท่าอ่าง ตำบลละลมใหม่พัฒนา (อำเภอโชคชัย) การปกครอง หมู่บ้าน • หมู่ที่ 1 ด่านเกวียน (เขต ทต. และ อบต.) • หมู่ที่ 2 ด่านเกวียน (เขต ทต.) • หมู่ที่ 3 ป่าบง (เขต ทต.) • หมู่ที่ 4 โนนม่วง (เขต ทต. และ อบต.)
12 • หมู่ที่ 5 ตูม (เขต ทต. และ อบต.) • หมู่ที่ 6 หนองบอน (เขต ทต. และ อบต.) • หมู่ที่ 7 ด่านชัย (เขต ทต.) • หมู่ที่ 8 ใหม่หนองขาม (เขต ทต.) • หมู่ที่ 9 หนองไผ่ (เขต ทต. และ อบต.) • หมู่ที่ 10 หนองสระธาร (เขต ทต. และ อบต.) ข้อมูลประชากร มีประชากรทั้งสิ้น 9,330 คน แยกเป็น ชาย 4,561 คน หญิง 4,769 คน เฉลี่ย 914 คน / ตารางกิโลเมตร มีจำนวนครัวเรือน 3,330 ครัวเรือน ประชากรผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 7,175 คน เป็นชาย 3,424 คน หญิง 3,751 คน (ข้อมูล ณ มกราคม 2554 ) หมู่ที่ ตำบล ครัวเรือน จำนวนประชากร ชาย หญิง รวม 1 ด่านเกวียน 461 724 751 1,475 2 ด่านเกวียน 391 496 567 1,063 3 ด่านเกวียน 536 444 453 897 4 ด่านเกวียน 89 31 45 76 5 ด่านเกวียน 29 37 39 76 6 ด่านเกวียน 1 - - - 7 ด่านเกวียน 255 432 437 869 8 ด่านเกวียน 243 383 362 745 10 ด่านเกวียน 159 260 260 520 3 ท่าอ่าง 433 608 637 1,245 4 ท่าอ่าง 433 661 731 1,392 6 ท่าอ่าง 307 479 480 959 ทะเบียนบ้านกลาง 1 6 7 13 รวม 3,338 4,490 4,751 9,199 ตาราง 2.1. จำนวนประชากรในพื้นที่ตำบลด่านเกวียน จังหวัดนครราชสีมา
13 2.2 เกี่ยวกับโลจิสติกส์ 2.2.1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดการโลจิสติกส์ 2.2.1.1 ความหมายของการจัดการโลจิสติกส์ หากกล่าวถึงความหมายของการจัดการโลจิสติกส์นั้น มีผู้ให้ความหมายของการ จัดการโลจิสติกส์ไว้จำนวนหลายท่าน เช่น ในปี พ.ศ. 2544 กมลชนก สุทธิวาทมฤพุฒิ (2544, 2) ได้ ให้ความหมายไว้ว่าการจัดการโลจิสติกส์ หมายถึง การบริหารกระบวนการไหล (flow) ของสินค้าหรือ วัตถุดิบจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดที่มีการใช้สินค้าหรือวัตถุดิบนั้น และในบางกรณีก็ไปยังจุดที่ทาลาย สินค้านั้น ซึ่งสอดคล้องกับวิโรจน์ พุทธวิถี (2547, 4) กล่าวว่าการจัดการโลจิสติกส์หมายถึงการจัดส่ง สินค้าจากหน่วยธุรกิจ (business unit) หนึ่งไปยังอีกหน่วยหนึ่ง ซึ่งหน่วยธุรกิจที่รับสินค้าจะถูก กำหนดให้เป็นลูกค้าไว้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2548 โกศล ดีศีลธรรม (2548, 2) ได้ให้ความหมายของ การจัดการโลจิสติกส์ที่สั้นกระชับไว้ว่าหมายถึงการจัดการบริหารสินค้าที่ถูกผลิตจากจุดเริ่มต้นไป จนถึงจุดสุดท้าย คือลูกค้า ส่วนธนิต โสรัตน์ (2548, 302) กล่าวว่า การจัดการโลจิสติกส์หมายถึงการ ประสานการดำเนินงานในกิจกรรมต่าง ๆ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า หรือเป็นการ สร้างคุณค่าโดยการนำสินค้าจากต้นกำเนิดไปสู่สถานที่ที่มีความต้องการด้วยรูปแบบการขนส่งจังหวะ เวลาคุณภาพและปริมาณที่ถูกต้อง และที่สำคัญจะต้องมีต้นทุนการดำเนินงานที่สามารถแข่งขันได้ แต่คำนิยามที่นิยมใช้กันในปัจจุบันคือ คำนิยามที่บัญญัติขึ้นโดย Council of Supply Chain Management Professional ที่กล่าวว่า “Logistics Management is that part of the supply chain process that plans, implements and controls the efficient, effective flow and storage of goods, service and related information form the point-of-origin to the point-of-consumption in order to meet customers’ requirements.” หรือ “การบริหาร จัดการโลจิสติกส์เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการระบบห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งรวมเรื่องของการวางแผน การดำเนินการ การควบคุม การไหลเวียน และการจัดเก็บสินค้า บริการ และสารสนเ ทศ อย่างมี ประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล จากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดของการบริโภค เพื่อตอบสนองความต้องการ ของผู้บริโภค” สำหรับสานักมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (2550) ให้ ความหมายของโลจิสติกส์ในแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2550-2554 ไว้ว่า โลจิสติกส์ หมายถึง กระบวนการในการวางแผนดำเนินการและควบคุม
14 ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการไหล การจัดเก็บวัตถุดิบ สินค้าคงคลังในกระบวนการสินค้า สำเร็จรูป และสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง จากจุดเริ่มต้นไปยังจุดที่มีการใช้งาน โดยมีเป้าหมายเพื่อ สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ในที่นี้หมายถึง การนำสินค้าจากแหล่งที่ถูกต้องในรูปแบบ จังหวะเวลา คุณภาพ ปริมาณที่ถูกต้อง ด้วยต้นทุนที่พอเหมาะไปสู่สถานที่ที่ถูกต้อง โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อลดต้นทุนที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่า (cost efficiency) ความสามารถในการรับรอง เวลาและคุณภาพ สินค้า/บริการ (reliability and security) และความสามารถในการตอบสนองความต้องการของ ลูกค้าได้ทันเวลา (responsiveness) การบริหารจัดการกระบวนการเคลื่อนย้ายของวัตถุดิบ สินค้า จากจุดผลิตไปยังสถานที่ ซึ่งมีความต้องการสินค้าหรือบริการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หรือเรียกว่าการจัดการ โลจิสติกส์มี ความจำเป็นต่อหน่วยงานทั้งในส่วนของภาคราชการและภาคเอกชน ภาคการผลิตและภาคบริการ กล่าวคือมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพในการประกอบการขององค์การทุกประเภท เนื่องจากการ บริหารจัดการกิจกรรมด้านโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพ จะทำให้สามารถลดความสูญเสียในภาคการ ผลิต สามารถลดเวลาที่ใช้ในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้มักพบคำที่มีใช้บ่อยและมีความหมายใกล้เคียงกันนั่นคือ คำว่า การจัดการ ห่วงโซ่อุปทาน หรือการจัดการซัพพลายเชน (supply chain management) ที่เป็นการจัดลำดับของ กระบวนการทั้งหมดที่มีต่อการสร้างความพอใจให้กับลูกค้า โดยเริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการจัดซื้อ (procurement) การผลิต (manufacturing) การจัดเก็บ (storage) เทคโนโลยีสารสนเทศ (information technology) การจัดจำหน่าย (distribution) และการขนส่ง (transportation) ซึ่งกระบวนการ ทั้งหมดนี้จะจัดระบบให้ประสานกันอย่างคล่องตัว นอกจากนี้ การจัดการโซ่อุปทานไม่ได้ครอบคลุม เฉพาะหน่วยงานต่าง ๆ ภายในองค์การเท่านั้น แต่ที่สำคัญจะสร้างความสัมพันธ์เชื่อมต่อกับองค์การ อื่น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ผู้จัดหาวัตถุดิบ/สินค้า (suppliers) บริษัทผู้ผลิต (manufactures) บริษัทผู้จำหน่าย (distribution) รวมถึงลูกค้าของบริษัท จึงเป็นการเชื่อมโยงกระบวนการดำเนินธุรกิจ ทุกขั้นตอนที่เกี่ยวข้องด้วยกันเป็นห่วงโซ่หรือเครือข่ายให้เกิดการประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสินค้า/บริการ สร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า แต่ละหน่วยงานจึงมี ความเกี่ยวเนื่องกันเหมือนห่วงโซ่ ในห่วงโซ่อุปทานนั้นข้อมูลต่าง ๆ จะมีการแชร์หรือแจ้งและแบ่งสรร ให้ทุกแผนก ทุกหน่วยงานในระบบรับทราบและใช้งาน ทำให้หน่วยงานแต่ละหน่วยงานสามารถ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ (วิทยา สหฤดารง, 2545, 220)
15 การจัดการโลจิสติกส์จึงเป็นกระบวนการเคลื่อนย้ายสินค้าตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบไป จนกระทั่งผลิตสินค้าเสร็จ และส่งถึงมือผู้บริโภคขั้นสุดท้ายหรือคือการไหลเวียนของวัตถุดิบข้อมูลการ จ่ายเงินและการบริการจากแหล่งวัตถุดิบจนถึงโรงงานคลังสินค้าและผู้บริโภคขั้นสุดท้ายโดยรวมถึง องค์การที่เกี่ยวข้องและกระบวนการ 2.2.1.2 ความสำคัญและบทบาทของการจัดการโลจิสติกส์ จากการแข่งขันที่รุนแรงจากอัตราดอกเบี้ยและต้นทุนด้านพลังงานเพิ่มสูงขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง โลจิสติกส์จึงได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้นจากเหตุผลดังต่อไปนี้ (กมลชนก สุทธิวาท นฤพุฒิ, 2544, 4-5) 1) การแข่งขันระดับโลกจากต่างประเทศที่มากขึ้นเป็นเหตุให้องค์การต่าง ๆ ต้องปรับตัวเพื่อสร้างความแตกต่างทั้งในตัวองค์การเองและตัวสินค้า โลจิสติกส์จะเป็นตัวตัดสิน เนื่องจากองค์การภายในประเทศจะต้องเพิ่มความน่าเชื่อถือและมีการตอบสนองที่รวดเร็วต่อตลาดที่ อยู่ใกล้เคียงมากกว่าคู่แข่งขันที่อยู่ไกลออกไปในต่างประเทศ 2) องค์การที่มีการซื้อขายระหว่างประเทศพบว่าโซ่อุปทาน (supply chain) ระหว่างองค์การกับคู่ค้าจะมีความยาวเพิ่มขึ้น มีต้นทุนสูงขึ้น และมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น การบริหารโลจิสติกส์ที่ยอดเยี่ยมจึงมีความจำเป็นเพื่อสร้างโอกาสในการแข่งขันอย่างเต็มที่ทั่วโลก 3) สถานการณ์ในปัจจุบันนี้เป็นช่วงเวลาของเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งช่วยให้ องค์การต่าง ๆ สามารถติดตามธุรกรรมที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมต่าง ๆ เช่นการสั่งซื้อ การจัดเก็บสินค้า และวัตถุดิบ เมื่อนำมารวมกับการทำแบบจำลองด้านคุณภาพ (quantitative model) ด้วย คอมพิวเตอร์ทำให้สารสนเทศมีความสามารถในการจัดการกระบวนการไหลของข้อมูล และสินค้าที่ ประหยัดสูงสุดรวมทั้งวิธีการเคลื่อนย้ายที่ดีที่สุดได้ ปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้โลจิสติกส์ได้รับความสนใจมาก ยิ่งขึ้น การยอมกับในแนวคิดเชิงระบบ (system approach) และแนวคิดต้นทุนรวม อิทธิพลของ โลจิสติกส์ต่อผลกำไร และโลจิสติกส์สามารถนำมาใช้เป็นอาวุธในการกำหนดกลยุทธ์เพื่อแข่งขันใน อนาคต 4) อำนาจของช่องทางการจัดจำหน่าย การเปลี่ยนขั้นอำนาจจากผู้ผลิตไปยัง ผู้ค้าปลีก ผู้ค้าส่งและผู้แทนจำหน่ายได้สร้างผลกระทบอย่างมากต่อโลจิสติกส์เมื่อการแข่งขันเพิ่มมาก ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค ทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้จัดส่งสินค้า
16 วัตถุดิบ และผู้ผลิตสินค้า ซึ่งในที่สุดจะส่งผลให้เหลืออยู่แค่ผู้นำในตลาดเท่านั้น ทำให้การแข่งขันมี ความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นและส่งผลให้มีการเสนอสินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น ในหลาย ๆ กรณีทำให้ ผู้บริโภคมองผู้นำเหล่านี้ว่าเป็นสิ่งทดแทนในตราสินค้าอื่น นอกจากนี้ความจงรักภักดีต่อตราสินค้าที่ ลดลงนั้นทำให้อำนาจของผู้ผลิตลดลง และทำให้อำนาจของผู้ค้าปลีกสูงขึ้นเนื่องจากการขายจะถูก กำหนดโดยสินค้าที่มีวางขายและไม่ได้มาจากตราสินค้าที่ผู้ผลิตเสนอ ประโยชน์ของการจัดการโลจิสติกส์ ที่มีประสิทธิภาพก็คือการดำเนินการให้ทุกองค์การ ต่างได้รับผลประโยชน์อย่างเท่ากันและไม่ควรผลักภาระต้นทุนไปให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทำให้ต้นทุนรวม ขององค์การลดลง เพิ่มผลผลิตในกระบวนการผลิตเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด และช่วยลดเวลารวมทั้ง ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จากการดำเนินการพัฒนาการจัดการโลจิสติกส์เป็นเรื่องของการใช้ความรู้ประยุกต์ เพราะธุรกิจที่ต่างกันการจัดการโลจิสติกส์ก็ต่างกันด้วย ตลอดจนการให้ความรู้และการกระจายความรู้ ตั้งแต่ผู้บริหารจนถึงผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งโลจิสติกส์มีบทบาทดังต่อไปนี้ 1. บทบาทของโลจิสติกส์ต่อระบบเศรษฐกิจ โลจิสติกส์เป็นกุญแจสำคัญใน ระบบเศรษฐกิจในสองแนวทาง คือโลจิสติกส์เป็นรายจ่ายที่สำคัญสำหรับธุรกิจต่าง ๆ และจะส่งผล กระทบและได้รับผลกระทบจากกิจกรรมอื่นในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งการปรับปรุงประสิทธิผลของ กระบวนการด้านโลจิสติกส์จะส่งผลโดยตรงต่อการปรับปรุงสภาพเศรษฐกิจโดยรวมให้ดีขึ้น นอกจากนี้ โลจิสติกส์ได้รองรับการเปลี่ยนแปลงและกระบวนการของธุรกรรมทางเศรษฐกิจ และได้กลายเป็น กิจกรรมสำคัญในด้านการสนับสนุนการขายเสมือนหนึ่งเป็นสินค้าและบริการด้วย เพื่อให้เข้าใจใน บทบาทดังกล่าวโดยใช้มุมมองจากทั้งระบบ ซึ่งหากสินค้าไม่มาตรงตามกำหนด ลูกค้าก็ไม่สามารถซื้อ สินค้าดังกล่าวได้ กล่าวคือ หากกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งที่อยู่ภายในโซ่อุปทานมีปัญหาจะส่งผลกระทบ ทั้งหมด (กมลชนก สุทธิวาทมฤพุฒิ, 2544, 7) 2. บทบาทของโลจิสติกส์ในองค์การต่าง ๆ ประสิทธิภาพของการจัดการ ด้านโลจิสติกส์ได้รับการยอมรับในฐานะที่เป็นโอกาสที่จะปรับปรุงความสามารถในการทำกำไรและ การแข่งขัน องค์การหลายองค์การสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างโดยเด่น ซึ่งองค์การแรก ๆ ที่ได้รับ แนวคิดด้านการตลาดมาให้นี้ได้นำมาซึ่งการใช้ลูกค้าเป็นตัวขับเคลื่อน (customer driven) แนวโน้ม การมุ่งให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้าสามารถใช้ได้จนถึงปัจจุบันประกอบด้วยโลจิสติกส์สนับสนุน การตลาดจากระบบปรัชญา (วิโรจน์ พุทธวิถี, 2547, 223)
17 2.2.1.3 กิจกรรมโลจิสติกส์ กิจกรรมโลจิสติกส์สามารถแบ่งออกเป็น 2 ระดับด้วยกัน คือระดับจุลภาค (micro level) และระดับมหาภาค (macro level) ซึ่งทั้งสองระดับมีความสัมพันธ์กันคือ กิจกรรมโลจิสติกส์ระดับจุลภาค เป็นปัจจัย (input) ของโลจิสติกส์ระดับมหภาค และเป็นกลไกในการขับเคลื่อนขบวนการหรือกิจกรรมย่อย ที่เกิดขึ้นในระดับองค์การ ในขณะที่โลจิสติกส์มหภาคจะเป็นการจัดการขบวนการหรือกิจกรรมภาพรวมที่ เกิดขึ้นในระดับองค์การอุตสาหกรรมและระดับประเทศ เป็นต้น โดยทุกกิจกรรมจะเกี่ยวข้องกับการ เคลื่อนย้ายของวัตถุดิบสินค้า ข้อมูลและบริการ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดของการบริโภคขั้นสุดท้าย เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งกิจกรรมโลจิสติกส์ระดับจุลภาคประกอบด้วย 13 กิจกรรม ดังต่อไปนี้ (Stock and Lambert, 2001) 1) การบริการลูกค้า (customer service) เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการ ให้บริการแก่ลูกค้าตั้งแต่การส่งสินค้าที่ถูกต้อง ถูกสถานที่ ตรงเวลาและตามเงื่อนไขที่กำหนด แต่ต้องมี ต้นทุนต่ำที่สุด เพื่อสร้างความพอใจสูงสุด 2) การพยากรณ์ความต้องการสินค้า (demand forecasting) เป็นกิจกรรมที่ เกี่ยวข้องกับการพยากรณ์ความต้องการของลูกค้าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งถือได้ว่าเป็นกิจกรรมที่มี ความสำคัญเพราะเป็นกิจกรรมที่จะสร้างผลกำไรหรือทำให้บริษัทขาดทุนในการดำเนินการจัดเตรียม สินค้าให้ลูกค้าในปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการ หรือมีสินค้าในคลังมากเกินไป 3) การจัดการสินค้าคงคลัง (inventory management) เป็นกิจกรรมที่ เกี่ยวข้องกับการบริหารสินค้าคงคลัง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบการเงินที่เกิดจากการ ถือครองสินค้าของบริษัทซึ่งสินค้าคงคลังเหล่านั้นถือว่าเป็นต้นทุนของบริษัท 4) การสื่อสาร (logistics communication) เป็นกิจกรรมการสื่อสารภายใน บริษัท ผู้จำหน่ายวัตถุดิบ และลูกค้า หรือทั้งระบบโซ่อุปทาน เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการ ของลูกค้าที่รวดเร็ว และถูกต้อง รวมทั้งการควบคุมสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ เช่น การนำระบบ การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็คทรอนิค (EDI) เข้ามาใช้ 5) การจัดการวัตถุดิบ (material handing) เป็นกิจกรรมการขนถ่ายสินค้า ทั้งวัตถุดิบ และสินค้าระหว่างการผลิต และสินค้าสำเร็จรูป โดยจะต้องพยายามลดการขนถ่าย ลด ระยะทางการขนส่งลดจำนวนสินค้าระหว่างการผลิต ลดคอขวด (bottle neck) และลดของเสียต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน
18 6) กระบวนการการสั่งซื้อสินค้า (order processing) จะเกี่ยวข้องกับ กิจกรรมการจัดการคำสั่งซื้อสินค้าของลูกค้าที่มีเข้ามาโดยจะต้องพยายามดำเนินการให้รวดเร็วที่สุด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งสามารถนำระบบคอมพิวเตอร์ และการจัดการธุรกิจเชิง อิเล็กทรอนิกส์เข้ามาช่วยในการจัดการ 7) การบริหารคลังสินค้า (warehousing and storage) เป็นกิจกรรม การ บริหารคลังสินค้า อาทิ การจัดพื้นที่ในคลังสินค้า ระดับของสินค้าคงคลัง อุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ จำเป็นในการดำเนินกิจกรรมภายในคลังสินค้า เป็นต้น 8) การบรรจุภัณฑ์ (packaging) คือกิจกรรมการจัดการเรื่องของบรรจุภัณฑ์ของ สินค้า ทั้งนี้ในแง่ของการตลาด คือการบ่งบอกถึงรายละเอียดของสินค้า การสร้างการรับรู้ เป็นต้น และในแง่ของการจัดการโลจิสติกส์ อาทิ การป้องตัวสินค้าไม่เกิดความเสียหาย การจัดวางสินค้าใน คลังสินค้า หรือบนชั้นจำหน่ายให้สามารถจัดการได้ง่าย เป็นต้น 9) การเลือกที่ตั้งโรงงานและคลังสินค้า (plant and warehouse site selection) เกี่ยวกับกิจกรรมการเลือกที่ตั้งของโรงงานและคลังสินค้า โดยจะต้องให้ความสำคัญกับ ความใกล้-ไกล ของแหล่งวัตถุดิบและลูกค้า เพื่อสะดวกในการเข้าถึง มีระยะทางการขนส่งไม่ไกล เกินไป และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ 10) การจัดซื้อวัตถุดิบ (procurement) เกี่ยวกับกิจกรรมการจัดซื้อและ จัดหาวัตถุดิบ และบริการ ทั้งในส่วนของการเลือกผู้จำหน่ายวัตถุดิบและบริการ ช่วงเวลาในการสั่งซื้อ วัตถุดิบปริมาณ และการสร้างความสัมพันธ์กับผู้จำหน่ายวัตถุดิบเหล่านั้น 11) การจัดการโลจิสติกส์ย้อนกลับ (reverse logistics) เกี่ยวข้องกับกิจกรรม การจัดการสินค้าที่ถูกส่งคืน และสินค้าที่เสียหาย 12) การขนส่ง (traffic and transportation) เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการขนส่ง จากแหล่งผลิตไปจนถึงลูกค้าคนสุดท้ายอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยต้องนำส่งสินค้าในปริมาณที่ ถูกต้องตามที่กำหนด และมีสภาพสมบูรณ์ พร้อมทั้งต้องตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ด้วย 13) การสนับสนุนด้านอะไหล่และบริการ (parts and service support) เป็นกิจกรรมการสนับสนุนการผลิต ทั้งในส่วนของเครื่องมือ อะไหล่และการให้บริการที่มีความพร้อม และรวดเร็ว เมื่อเครื่องจักรเกิดชำรุดเสียหาย เพื่อไม่ให้สายการผลิตต้องหยุดชะงัก
19 สำหรับแนวคิดของการจำแนกกิจกรรมของการจัดการโลจิสติกส์ของสภา อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (2550, 11-12) จำแนกกิจกรรมโลจิสติกส์ไว้จำนวน 15 กิจกรรมคือ 1) งานบริการลูกค้า 2) การวางแผนเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งของอาคารโรงงาน คลังสินค้า 3) การพยากรณ์ และการวางแผนอุปสงค์ 4) การจัดซื้อจัดหา 5) การจัดการสินค้าคงคลัง 6) การจัดการวัตถุดิบ 7) การ เคลื่อนย้ายวัตถุดิบ 8) การบรรจุหีบห่อ 9) การดำเนินการกับคำสั่งซื้อของลูกค้า 10) การขนของและ การจัดส่ง 11) โลจิสติกส์ย้อนกลับ 12) การจัดการกับช่องทางจัดจำหน่าย 13) การกระจายสินค้า 14) คลังสินค้าและการเก็บสินค้าเข้าคลัง 15) กิจกรรมการแปรรูปเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ แต่หาก พิจารณาแล้วการจัดการโลจิสติกส์ประกอบด้วยกิจกรรม 4 ด้าน ได้แก่ การจัดการกระจายสินค้า (distribution management) การจัดการสินค้าคงคลัง (inventory management) การจัดการขนส่ง (transportation management) และการจัดการสารสนเทศ (information management) 2.2.1.4 การจัดการกระจายสินค้า การจัดการการกระจายสินค้า ในการจัดการโลจิสติกส์มีองค์ประกอบสำคัญ ซึ่งสนับสนุนกิจกรรมการตลาด ส่วนผสมทางการตลาด คือ สินค้า (product) ราคา (price) และ การส่งเสริมการขาย (promotion) ธุรกิจต้องออกแบบช่องทางการกระจายสินค้าในมุมมองด้าน การตลาด โดยการออกแบบสถานที่ให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันและช่องทางการกระจายสินค้า ที่มีประสิทธิภาพสูงจะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ทั้งระบบได้ดี ซึ่งการออกแบบเชิงกลยุทธ์ด้านช่องทาง การกระจายสินค้า (channel of distribution) มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ คือ การสร้างระดับ การบริการให้ลูกค้าสูงที่สุดและลดต้นทุนการดำเนินงานร่วมของทั้งโซ่อุปทานให้ต่ำที่สุด เมื่อออกแบบ และกำหนดช่องทางการกระจายสินค้าอย่างได้เปรียบคู่แข่งขันแล้ว การวางแผนและควบคุมการ ดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุดก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ดังนั้นการออกแบบเชิงกลยุทธ์ที่ดีมี กระบวนการ 3 ขั้นตอนที่ใช้ในการพัฒนากลยุทธ์ของช่องทางการกระจายสินค้าที่มีประสิทธิผล (สาธิต พะเนียงทอง, 2548, 153-161) ขั้นตอนที่ 1 การประเมินสถานการณ์ปัจจุบันและการเก็บรวบรวมข้อมูล วิธีการที่มีประสิทธิภาพในการเริ่มต้นของกลยุทธ์ช่องทางการกระจายสินค้า คือ การตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมาเพื่อควบคุมดูแลกิจการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ ตรวจสอบข้อแนะนำต่าง ๆ อนุมัติ ข้อแนะนำและแผนการลงมือปฏิบัติงานในขั้นสุดท้าย ในการสรุปกลยุทธ์ในขั้นสุดท้ายจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ผู้ถือหุ้นต้องเข้ามามีส่วนร่วม นอกจากนี้จะต้องส่งตัวแทนจากฝ่ายต่าง ๆ ของบริษัทเข้าร่วมด้วย
20 ได้แก่ ฝ่ายการตลาด ฝ่ายขาย ฝ่ายผลิต ฝ่ายโลจิสติกส์ ฝ่ายการเงิน ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ และ ฝ่ายกฎหมาย โครงการจะสามารถเริ่มต้นได้ ก็ต่อเมื่อมีการแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมดูแล และมี ทีมงานโครงการที่ได้รับมอบหมายหน้าที่เป็นที่เรียบร้อย หลักพื้นฐานของความสำเร็จของโครงการอยู่ ที่การประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน ขั้นตอนที่ 2 การสร้างสถานการณ์จำลองการประเมินผลและการวิเคราะห์ ด้วย What-If ในขั้นตอนที่ 2 ทีมงานโครงการจะร่วมกันทำงานในการพัฒนาอนุกรมคำถาม What-If ของสถานการณ์จำลองที่มีทั้งที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ ความเสี่ยงและผลประโยชน์ที่จะได้รับการ กระจายสินค้า หรือจากการผสมผสานของช่องทางที่มีอยู่เดิม จะต้องได้รับการประเมินบนพื้นฐานของ ข้อเท็จจริงที่ได้รวบรวมไว้ในขั้นตอนที่ 1 ผังการตัดสินใจแบบต้นไม้ ( decision trees) และ แบบจำลอง What-If จะถูกใช้ในการประเมินคุณค่าของกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่มีความเป็นไปได้ โดยอยู่บน พื้นฐานของยอดขายของแต่ละช่องทางการกระจายสินค้า การตอบโต้จากคู่แข่งการเปลี่ยนแปลง ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการ และการตอบสนองจากพันธมิตรการค้า แม้กระบวนการอาจเริ่มจากการ ตั้งสมมติฐานว่า บริษัทควรเพิ่มช่องทางการกระจายสินค้าใหม่ ทีมงานก็ควรที่จะพิจารณาประโยชน์ที่ ได้รับจากการลดจำนวนและความซับซ้อนของช่องทางการะกระจายสินค้าและการปรับปรุง การ จัดการช่องทางการกระจายสินค้าที่มีอยู่เดิมไปพร้อม ๆ กันด้วย ขั้นตอนที่ 3 การสร้างกลยุทธ์และแผนดำเนินการการเลือกกลยุทธ์ช่องทาง การกระจายสินค้าใหม่ต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงทั้งหมดของบริษัท เพราะการ ตัดสินใจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ช่องทางการกระจายสินค้าจะมีผลกระทบจากผู้มีส่วนร่วมกับ การตัดสินใจ ที่นอกเหนือจากผู้บริหารระดับสูงแล้ว ได้แก่ ผู้บริหารที่ดูแลการผลิตงานโลจิสติกส์ การเงิน ระบบสารสนเทศ ฝ่ายขาย ฝ่ายการตลาดฝ่ายวิจัยและพัฒนา และฝ่ายกฎหมาย ดังนั้น ใน การทบทวนกรณีศึกษาทางธุรกิจของสภาวะการจำลองทางธุรกิจแต่ละสภาวะต้องได้รับความเข้าใจ และการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงในเรื่องของโอกาส ความเป็นไปได้ของความสำเร็จ สมมติฐาน หลักและความจำเป็นของการลงทุน ด้วยข้อมูลเหล่านี้ บริษัทควรเลือกกลยุทธ์ในขั้นสุดท้ายด้วยความ เข้าใจ ในลำดับความสำคัญเช่นเดียวกันกับการเตรียมแผนดำเนินการ 1) หลักการของช่องทางการกระจายสินค้า ช่องทางการกระจายสินค้า (channel of distribution) หมายถึง เส้นทางที่ผลิตภัณฑ์หรือกรรมสิทธิ์ของผลิตภัณฑ์เคลื่อนย้ายไป
21 ยังตลาด ช่องทางการกระจายสินค้าประกอบด้วยผู้ผลิต คนกลาง ผู้บริโภค การกระจายสินค้าจาก ผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคมี 2 ประเภท คือ (วิโรจน์ พุทธวิถี, 2547, 189-190) - ผู้ใช้สินค้าอุปโภคบริโภค (consumer products) หมายถึง ผู้ใช้ครัวเรือน ผู้ใช้ที่ซื้อผลประกอบกิจการอย่างไม่ใช่ส่วนสำคัญในกิจการนั้น ผู้ใช้ที่ซื้อตามความพึงพอใจไม่ได้ เชื่อมโยงกับธุรกิจหรือการหารายได้จากสินค้าที่ซื้อนั้น สินค้าที่ผู้ใช้กลุ่มนี้ซื้อ เช่น เครื่องใช้ในครัวเรือน อาหาร อุปกรณ์กีฬา เครื่องรับโทรทัศน์ เป็นต้น การตัดสินใจซื้อจะเกิดจากความต้องการของผู้บริโภค เป็นหลัก - ผู้ใช้สินค้าอุตสาหกรรม (industrial products) หมายถึง ผู้ใช้สินค้าเพื่อ นำไปใช้ในทางธุรกิจการประกอบการอุตสาหกรรม การแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงกว่าหรือใช้ ประกอบกับการดำเนินงานของธุรกิจ เช่น น้ำมันดีเซลในธุรกิจขนส่ง เหล็กเส้น กระดาษใช้ใน สำนักงานทั่วไป หรือในธุรกิจการพิมพ์ เครื่องจักรและอะไหล่ และวัตถุดิบในการผลิตต่าง ๆ เป็นต้น สินค้ากลุ่มนี้ผู้ใช้จะตัดสินใจซื้อโดยพิจารณาเงื่อนไขทางธุรกิจเป็นหลัก โดยซื้อสินค้าที่มีความ จำเป็นต้องใช้ มีคุณสมบัติทางวิศวกรรมที่ได้มาตรฐาน มีการเปรียบเทียบและต่อรองราคา และ เงื่อนไขการชำระเงินอย่างเข้มงวด 2) ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจออกแบบช่องทางการกระจายสินค้า ได้แก่ - การบริหารการกระจายตัวสินค้า เป็นการพัฒนาและดำเนินงานระบบการ เคลื่อนย้ายผลิตภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพ การเคลื่อนย้ายสินค้าจึงประด้วยการเคลื่อนย้ายสินค้า สำเร็จรูปจากแหล่งผลิตไปยังลูกค้าขั้นสุดท้าย การเคลื่อนย้ายวัตถุดิบและปัจจัยการผลิตจากแหล่ง เสนอขายมายังแหล่งการผลิต - สถานที่หรือทำเลที่ตั้งของกิจการ สำหรับบางธุรกิจทำเลที่ตั้งเป็นเรื่องสำคัญ มาก เช่น ธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อ แต่ถ้าเป็นการขายสินค้าทางไปรษณีย์หรือโรงงานที่เกี่ยวกับการ คลังสินค้าเป็นกิจกรรมของการกระจายตัวสินค้า ที่ประกอบด้วยการเก็บรักษาการจัดหมวดหมู่ การ แบ่งแยก และการเตรียมผลิตภัณฑ์เพื่อการขนส่ง - ทำเลที่ตั้งคลังสินค้าและการคลังสินค้า ทำเลที่ตั้งคลังสินค้า เป็นงานที่ เกี่ยวข้องกับการเลือกสถานที่ตั้งของคลังสินค้าว่าควรจะเก็บสินค้าไว้ที่ไหน ส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับการ คลังสินค้าเป็นกิจกรรมของการกระจายตัวสินค้า ที่ประกอบด้วยการเก็บรักษาการการจัดหมวดหมู่ การแบ่งแยก และการเตรียมผลิตภัณฑ์เพื่อการขนส่ง
22 - ความสามารถเข้าถึงลูกค้า เป็นโอกาสที่จะนำสินค้าส่งไปยังลูกค้าได้ง่ายมี ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง คือ ระยะทาง สาธารณูปโภค ด้านการจราจร และกฎระเบียบภาครัฐ อาจต้อง พิจารณาพฤติกรรมการเดินทางของลูกค้าแต่ละแห่งที่ไม่เหมือนกันในทางภูมิประเทศ - ความสามารถในการเข้าถึงผู้ขายวัตถุดิบและปัจจัยการผลิต เป็นโอกาสที่จะ ได้วัตถุดิบรวดเร็ว ราคาเหมาะสมหรือราคาถูก และทันต่อความต้องการเสมอ นั่นคือ ถ้าไม่พิจารณา ปัจจัยอื่นแล้ว ที่ตั้งที่ดีควรอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบให้มากที่สุด - การขนส่งเป็นปัจจัยที่เป็นข้อจำกัดและมีอิทธิพลสูงต่อการตัดสินใจเพราะ เป็นปัจจัยที่กำหนดราคาและความสามารถของการกระจายสินค้าโดยตรง การเลือกช่องทางจึง ตัดสินใจบนข้อจำกัดด้านการขนส่งเป็นหลัก แต่ปัจจุบันระบบโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งประเทศไทย อยู่ในระดับที่ดี การขนส่งในต่างจังหวัดมีความสะดวก จะมีปัญหาอยู่แต่เฉพาะด้านการขนส่งทางถนน ในเขตกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ที่มีปัญหาการจราจรติดขัด (วิโรจน์ พุทธวิถี, 2547, 11) 2.2.1.5 การจัดการสินค้าคงคลัง สินค้าคงคลัง คือ วัสดุที่อยู่ในกระบวนการทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด หรือเพื่อวัตถุประสงค์ใด สินค้าคงคลังจะเป็นส่วนหนึ่งของการไหลเวียนของวัสดุในโซ่อุปทาน ตำแหน่ง ใดที่มีวัสดุจัดได้ว่าเป็นสินค้าคงคลัง ในมุมมองของสถานะของสินค้าคงคลังที่ถูกแปรรูปหรือใช้งานใน กระบวนการทั้งหมด สถานะเหล่านี้จะใช้วิธีการจัดการสินค้าคงคลัง (inventory management) การ จัดเก็บและการกำหนดสถานที่ต่างกัน ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 4 กลุ่มหลัก คือ 1) วัตถุดิบสำหรับการผลิต (raw material) วัสดุที่ถูกจัดว่าเป็นวัตถุดิบ คือ วัสดุที่จะถูกประกอบเป็นส่วนหนึ่งไปกับสินค้า แล้ววัสดุนั้นยังไม่ผ่านขั้นตอนใด ๆ ในกระบวนการก็จะ จัดเป็นวัตถุดิบทั้งหมด 2) งานระหว่างทำ (work-in-process) คือ วัสดุที่ถูกแปรรูปจากวัตถุดิบ แล้วแต่ยังไม่เสร็จเป็นสินค้าสำเร็จรูปที่จะสามารถส่งมอบหรือจำหน่ายให้ลูกค้าได้ หรือสินค้าที่ผลิต เสร็จแล้วแต่รอการตรวจคุณภาพขั้นสุดท้ายก็จัดเป็นงานระหว่างทำ 3) สินค้าสำเร็จรูป (finish goods) คือ สินค้าที่ผ่านขั้นตอนครบทุกอย่างแล้ว พร้อมส่งให้ลูกค้าได้ 4) วัสดุประกอบการผลิต คือ วัสดุที่ถูกเก็บไว้เพื่อใช้ประกอบในกิจกรรมการ ผลิตวัสดุประกอบการผลิต ไม่ประกอบไปกับสินค้าสำเร็จรูป แต่จะถูกใช้หมดในกิจกรรมการผลิต
23 สินค้าคงคลังถูกจัดเป็น 4 กลุ่มหลัก ๆ ที่มีผลต่อต้นทุน และประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ผู้ประกอบการจำนวนมากที่มีต้นทุนจากสินค้าคงคลัง ในสัดส่วนที่สูง เมื่อเทียบกับต้นทุนรวม นอกจากนั้นผู้ประกอบการบางรายอาจมีสินค้าคงคลังประเภทเศษหรือของเสียจากการผลิตเกิดขึ้น มากด้วยการจัดการสินค้าคงคลังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อบริษัทด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ - การมีสต็อกสินค้าพร้อมที่จะจำหน่ายให้แก่ลูกค้า เป็นปัจจัยสำคัญของการ ให้บริการที่ดีแก่ลูกค้า ทั้งนี้เพราะการให้บริการลูกค้าซึ่งกำลังมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นเป็นปัจจัย สำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถแข่งขันในตลาดได้ ดังนั้นการจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิผล จึง กลายเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จของธุรกิจสำหรับทุกอุตสาหกรรม - บริษัทส่วนใหญ่ยังต้องให้ความสำคัญกับการจัดการเงินทุนที่มีประสิทธิผล ซึ่งการลงทุนในสินค้าคงคลังถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญ - เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ ต้องการทำงานด้วยความยืดหยุ่นในการตอบสนอง ต่อความต้องการของลูกค้า ดังนั้น การจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิผลจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การมีสินค้าพร้อมที่จะจำหน่ายแก่ลูกค้าที่สูงกว่า ด้วยการใช้เงินทุนหมุนเวียนที่น้อยกว่า และมีความ ยืดหยุ่นในการปฏิบัติงานเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันที่ได้สร้างสิ่งท้าทายแต่ก็ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า แก่บริษัทที่มีการจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิผล โดยปกติโซ่คุณค่า (value chain) ของบริษัทหนึ่ง ๆ จะประกอบด้วยกระบวนการแปรรูปวัตถุดิบให้เป็นสินค้าสำเร็จรูป โดยอาศัยเครือข่ายของหน่วยงานต่าง ๆ เช่นหน่วยงานผลิต คลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า ซึ่งสินค้าคงคลังที่อยู่ภายในโซ่คุณค่าของบริษัท อาจอยู่ในรูปต่าง ๆ ดังนี้ 1) สินค้าคงคลังที่อยู่ในรูปของวัตถุดิบ (raw material inventory) 2) สินค้าคงคลังที่อยู่ในรูปของสินค้าที่อยู่ระหว่างการผลิต (work-inprocess inventory) - สินค้าคงคลังที่อยู่ในรูปของสินค้าสำเร็จรูป (finished good inventory) โดยปกติแล้วสินค้าคงคลังที่อยู่ในรูปต่าง ๆ เหล่านี้ มีกลไกในการจัดการ สินค้าคงคลังที่แตกต่างกัน สิ่งที่ท้าทายในการนำกลไกการจัดการสินค้าคงคลังที่เหมาะสมสำหรับ แต่ละขั้นตอนของโซ่คุณค่า คือ การยกระดับการให้บริการแก่ลูกค้า โดยคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ตลอดทั้งโซ่คุณค่า แม้ว่าการทำเช่นนี้จะเป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่ผลประโยชน์ที่จะได้รับก็อาจมีค่ามหาศาล การลดปริมาณสินค้าคงคลังเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ อาจทาให้บริษัทมีเงินทุนที่มั่นคงที่สามารถน ำไป
24 ลงทุนในด้านอื่น ๆ ของบริษัทได้ ซึ่งสินค้าคงคลังก็เป็นประเด็นปัญหาสำหรับผู้ถือหุ้นเช่นกัน ดังนั้น บริษัทจึงควรนำเงินทุนที่ได้จากการลดปริมาณสินค้าคงคลังไปลงทุนในสิ่งที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าหุ้นของ บริษัทหรือเป็นเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น การใช้เทคนิคการจัดการที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ๆ ทำให้การจัดการสินค้า คงคลังในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะมีความซับซ้อนมากขึ้น มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ การจะนำการจัดการสินค้าคงคลังแบบร่วมสมัยไปปฏิบัตินั้น บริษัทจำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติ ที่เกี่ยวกับสินค้าคงคลังให้เป็นสากลเสียก่อน ในอดีตการจัดการสินค้าคงคลังที่ดีเยี่ยม หมายถึง การลด ปริมาณสินค้าคงคลัง เพื่อลดค่าใช้จ่ายของบริษัท ซึ่งมีประโยชน์เมื่อมองในระดับของหน่วยงาน แต่ทำ ให้บริษัทสูญเสียโอกาสที่จะทาให้การจัดการสินค้าคงคลังมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อมองในภาพรวมของ ทั้งบริษัท หรือแม้กระทั่งภาพรวมของโซ่อุปทานการพยายามเพื่อให้สินค้าคงคลังมีปริมาณลดลงช่วย ให้บริษัทสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของค่าใช้จ่ายและการให้บริการในธุรกิจของบริษัทลดลง ในบาง สถานการณ์บริษัทอาจมีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มปริมาณสินค้าคงคลัง เพื่อจะทำให้ต้นทุนรวมของ สินค้าเมื่อส่งถึงมือลูกค้ามีค่าต่ำที่สุด ดังนั้นบริษัทจึงจำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญและมีทักษะเพียงพอ ที่จะทำให้เกิดการหักล้างกันพอดีของผลเสียทางด้านโลจิสติกส์หรือโซ่อุปทาน ซึ่งสินค้าคงคลังก็ถือ เป็นหนึ่งในนั้น แนวคิดของการจัดการสินค้าคงคลังสามารถแบ่งประเภทของสินค้าคงคลัง ตาม ขั้นตอนของกระบวนการผลิตสินค้าได้ 3 ประเภทดังที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ วัตถุดิบ สินค้าที่อยู่ในระหว่าง การผลิต หรือสินค้ากึ่งสำเร็จรูป อย่างไรก็ตามสามารถแบ่งประเภทของสินค้าคงคลังตามลักษณะหน้าที่ ของสินค้าคงคลังที่อยู่ในกระบวนการทางธุรกิจ ได้ 7 ประการ ดังนี้ (ดนยา ฉันธะเลิศวิไล, 2542, 9) 1. ปริมาณสินค้าคงคลังที่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวันและถูก เพิ่มเป็นกิจวัตรตามปกติ (cycle stock) 2. ปริมาณสินค้าคงคลังที่เพียงพอสำหรับป้องกันความไม่แน่นอนของ อุปสงค์และระยะเวลา (lead time) ของการส่งมอบสินค้าหรือวัตดุดิบหรือทั้งสองอย่าง (safety stock) 3. ปริมาณสินค้าคงคลังที่ถูกผลิตขึ้นในระหว่างสินค้าสำเร็จรูป/สินค้า คงคลังกำลังถูกส่งไปเก็บเข้าสต็อก หรือจุดที่ต้องจัดส่ง (in-process stock in-transit stock) 4. ปริมาณสินค้าคงคลังที่ต้องจัดเก็บเพื่อให้เพียงพอกับยอดขายที
25 เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งของแต่ละปี (seasonal stock) 5. ปริมาณสินค้าคงคลังที่จำเป็นสาหรับกิจกรรมส่งเสริมการตลาดหรือ การโฆษณา (promotion stock) 6. ปริมาณสินค้าคงคลังที่เก็บไว้สำหรับป้องกันการขึ้นราคาหรือการขาด แคลนสินค้า (speculative stock) 7. ปริมาณสินค้าคงคลังที่ไม่สามารถใช้หรือขายได้อีกต่อไปในตลาด ปัจจุบัน (dead stock) 2.2.1.6 การจัดการขนส่ง การขนส่งมีหน้าที่หลักในการเคลื่อนย้ายสินค้าภายในโซ่อุปทาน การขนส่งได้ กลายเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อความสำเร็จสูงสุดของโซ่อุปทานโดยรวม การขนส่งได้สร้างมูลค่า ทางเศรษฐกิจด้วยการอำนวยความสะดวกทางด้านเวลาและสถานที่ คือ การสร้างความมั่นใจให้กับ บริษัทได้ว่าจะมีสินค้าเพียงพอที่จะจัดจำหน่าย ณ สถานที่ และเวลาที่ลูกค้าต้องการ การจัดการขนส่ง มีจุดมุ่งหมายที่จะเคลื่อนย้ายสินค้าจากแหล่งกำหนดสินค้าไปยังลูกค้าผู้ใช้สินค้าอย่างรวดเร็วด้วย ต้นทุนที่ต่ำที่สุด และมีความสม่ำเสมอมากที่สุดความสามารถในการขนส่งจะสร้างความมั่นใจในด้าน เวลาและสถานที่ด้วยต้นทุนที่ได้เปรียบคู่แข่ง และเป็นปัจจัยพื้นฐานของความสามารถในการแข่งขัน ในตลาดของบริษัท การจัดการขนส่ง หมายถึง การเคลื่อนย้ายสินค้าคงคลังจากแหล่งผลิตที่ จุด หนึ่งไปยังจุดมุ่งหมายปลายทางที่อีกจุดหนึ่งในโซ่อุปทาน ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ประการ คือ 1) การเก็บรวบรวมสินค้า เริ่มจากการรับสินค้าแหล่งที่มาซึ่งอาจเป็น โรงงานผลิตสินค้าอาจจะมีหลากหลายเนื่องจากมีรูปแบบ น้ำหนัก ขนาด และการบรรจุหีบห่อต่าง ๆ กัน โดยปกติการเก็บรวบรวมสินค้าจะถูกจัดการในเชิงภูมิภาค หลังจากมีการรวบรวมสินค้าแล้วสินค้า เหล่านี้ จะถูกนำไปรวบรวมที่คลังสินค้าส่วนกลาง 2) การขนส่ง จากจุดรวมสินค้าในภูมิภาคสินค้าจะถูกส่งไปที่จุดหมาย ปลายทางที่กำหนด เมื่อถึงจุดรวมสินค้า สินค้าเหล่านี้จะถูกแยกออกจากกันเพื่อดำเนินการจัดส่งต่อไป 3) การจัดส่ง การจัดส่งเป็นกิจกรรมที่ตรงกันข้ามกับการรวบรวมสินค้าซึ่ง ได้รับการจัดการเป็นสัดส่วนในเชิงภูมิภาค และถือว่าเป็นส่วนที่ต้องติดต่อโดยตรงกับลูกค้าปลายทาง
26 4) การรวมและแยกสินค้า สินค้าจะถูกรวบรวมก่อนที่จะบรรทุกลงบน ยานพาหนะขนส่ง สินค้าเหล่านี้อาจถูกรวบรวมในรูปของตู้สินค้า หรือการเปลี่ยนวิธีการขนส่งไปเป็น วิธีอื่นโดยไม่ต้องบรรจุหีบห่อใหม่ ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความต้องการบริการขนส่ง ได้แก่ ชนิดของการขนส่ง (transportation type) เงื่อนไขพิเศษและเงื่อนไขทางเทคนิคของสินค้าก่อให้เกิดความต้องการด้าน บริการที่แตกต่างกันออกไป จุดหมายปลายทาง (destination) โครงข่ายหรือตลาดที่บริษัทขนส่ง ให้บริการ ระยะเวลาในการดำเนินการ (throughput time) คือ ความรวดเร็วในการขนส่งแต่ละวิธี ซึ่งขึ้นอยู่กับความเร็วของพาหนะที่ใช้และความถี่ของการให้บริการ และความยืดหยุ่น (flexibility) ความยืดหยุ่นของเวลาออกและเวลาถึง โครงสร้างของระบบการขนส่ง สามารถแบ่งออกได้ 3 กลุ่มหลัก คือ 1) การขนส่งขาเข้า (inbound transportation) เป็นการขนส่งสินค้าเข้า สู่โรงงานผลิต โดยสินค้าที่ขนส่งเข้ามามักจะเป็นวัตถุดิบ ส่วนประกอบ และวัสดุประกอบการผลิตใน ภาคอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่การขนส่งขาเข้าจะดำเนินการโดยผู้ขายวัตถุดิบ อาจมีบางส่วนที่ผู้ซื้อ ดำเนินการเอง ขึ้นอยู่กับข้อตกลง ซึ่งต้นทุนการขนส่งขาเข้าเป็นปัจจัยสำคัญเท่ากับต้นทุนการขนส่ง ขาออกที่จะต้องพิจารณาเพื่อการกำหนดทำเลที่ตั้งของโรงงานผลิต คลังสินค้า หรือศูนย์กระจายสินค้า ในระบบโลจิสติกส์ทั้งระบบ 2) การขนส่งขาออก (outbound transportation) เป็นการขนส่งสินค้า ขาออกจากโรงงานผลิต เมื่อโรงงานผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปเพื่อจัดจำหน่ายแล้วจะต้องขนส่งไปยัง ลูกค้าซึ่งอาจเป็นผู้บริโภคโดยตรง ตัวแทนจำหน่าย หรือผู้ผลิตในขั้นตอนต่อไป การขนส่งทั้งหมดนี้จัด อยู่ในการขนส่งขาออกจากโรงงาน ส่วนมากแล้วในภาคอุตสาหกรรมจะเป็นภาระของผู้ผลิตเองแต่ ผู้ผลิตอาจใช้บริษัทรับจ้างขนส่ง การจะพิจารณาว่าการขนส่งส่วนใดเป็นขาเข้าหรือขาออกให้พิจารณา ตามกิจกรรมของตนเองเป็นหลัก 3) การขนส่งระหว่างประเทศ (international transportation) เป็น ระบบของการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ระหว่างภูมิภาคของโลก ระหว่างทวีปหรือระหว่าง เศรษฐกิจต่าง ๆ ระบบการขนส่งแบบนี้เป็นการขนส่งในระยะทางไกล ๆ โดยอาศัยผู้ให้บริการในระดับ สากล เช่น ทางเรือเดินสมุทร ทางอากาศยาน ทางรถไฟ เป็นต้น แต่ก็มีการขนส่งชายแดนที่เป็น ประเทศหรือเขตเศรษฐกิจติดกันที่ยังคงใช้รถบรรทุกอยู่มาก ในระบบขนส่งนี้จะใช้เวลานาน โดยจะ
27 เชื่อมโยงการขนส่งจะสิ้นสุดลงที่ท่าเรือ ด่านผ่านแดน ท่าอากาศยานที่มีด่านศุลกากร การขนส่ง ระหว่างประเทศจะดำเนินการจากระบบเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ วิธีการขนส่งประกอบด้วย 5 วิธี คือ 1) การขนส่งทางรถยนต์ (motor transportation) ใช้รถยนต์บรรทุก สินค้าและขนส่งระหว่างตำแหน่งต่าง ๆ ที่มีแผ่นดินเชื่อมต่อกัน 2) การขนส่งทางราง (rail transportation) เป็นการขนส่งผ่านระบบราง ที่มีอุปกรณ์หลักคือ ขบวนรถไฟ ระบบนี้มีข้อจำกัดในด้านสถานที่ตั้งของตำแหน่งสถานีที่มีเฉพาะเท่าที่ ภาครัฐของประเทศนั้น ๆ สร้างไว้เท่านั้น แต่เป็นระบบที่มีต้นทุนต่ากว่าทางรถยนต์ นิยมใช้กับสินค้า ประเภทปูนซีเมนต์ ปิโตรเคมี ไม้แผ่น หินทราย หรือสินค้าทั่วไปที่ขนส่งทางไกลและวางแผนเวลาและ ปริมาณการขนส่งได้แน่นอนไม่ต้องการความเร็วสูง 3) การขนส่งทางน้ำ (water transportation) เป็นการขนส่งที่ประหยัด ที่สุดเพราะขนส่งได้ครั้งละมาก ๆ กำลังของเรือมีอัตราการบริโภคเชื้อเพลิงต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับ น้ำหนักบรรทุก จึงเป็นระบบการขนส่งหลักของการขนส่งระหว่างประเทศ 4) การขนส่งทางอากาศ (air transportation) ปัจจุบันเกือบทั้งหมดเป็น การขนส่งโดยเครื่องบิน เป็นการขนส่งทั้งผู้โดยสารและสินค้า การขนส่งระยะทางไกลทางอากาศแม้ จะมีความเร็วสูง แต่ก็มีอัตราค่าขนส่งแพงที่สุดเมื่อเทียบกับการขนส่งระบบอื่น ๆ สำหรับปริมาณการ ขนส่งทางอากาศทั่วโลกเมื่อเทียบกับการขนส่งทั้งหมดในหน่วย ตัน/ไมล์ แล้วไม่เกินร้อยละ 2 เนื่องจากอัตราราคาสูง จึงทำให้ถูกใช้เฉพาะสินค้าราคาแพงที่มีน้ำหนักและปริมาตรน้อย หรือสินค้า เร่งด่วน 5) การขนส่งทางท่อ (pipeline transportation) เป็นการขนส่งซึ่งใช้กับ ของเหลวและมีการกำหนดสถานที่ตั้งของสถานที่ส่งและรับแน่นอน ใช้ในการขนส่งปิโตรเลียม น้ำประปา น้ำทิ้ง ก๊าซธรรมชาติ การขนส่งก๊าซหุงต้มไปยังบ้านเรือนหรือการขนส่งที่สร้างขึ้นเฉพาะ 2.1.1.7 การจัดการสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การรวบรวมการ จัดเก็บข้อมูลการประมวลผล การพิมพ์ การสร้างรายงาน การสื่อสารข้อมูล การสื่อสารระหว่างคนกับ เครื่องจักรในระบบ เช่น การเชื่อมระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมเครื่องจักรกับระบบข้อมูลการบริหาร เพื่อรวบรวมข้อมูลอัตราการผลิตแบบทันที หรืออัตราการเสียของเครื่องจักร เป็นต้น การใช้อุปกรณ์
28 ติดตามตำแหน่งรถบรรทุก และการใช้อุปกรณ์ติดตามตำแหน่งสินค้าแบบรายชิ้น เป็นต้น เทคโนโลยี สารสนเทศช่วยให้เกิดธุรกิจในรูปของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นรูปแบบของธุรกิจที่ใช้ระบบ อิเล็กทรอนิกส์และระบบเครือข่ายเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการและบริหารองค์การรูปแบบการใช้ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ระบบเครือข่ายและเทคโนโลยีสารสนเทศในองค์การแบบอิเล็กทรอนิกส์สามารถ แบ่งเป็น 4 ส่วน ได้แก่ ระบบลูกค้าสัมพันธ์ การติดต่อกับแหล่งวัตถุดิบ การส่งข้อมูลและรับข้อมูล และการค้นหาข้อมูลข่าวสาร 2.2.2 การส่งเสริมจากภาครัฐ รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับการจัดการโลจิสติกส์อย่างต่อเนื่อง พิจารณาได้จาก การมีแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2550-2554 (สำนัก มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม, 2550) ที่มีวิสัยทัศน์ มีระบบ โลจิสติกส์ที่ได้ มาตรฐานสากลเพื่อสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางธุรกิจและการค้าของภูมิภาคอินโดจีน และมี วัตถุประสงค์เพื่อ 1) ลดต้นทุนโลจิสติกส์ (cost efficiency) เพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจในการ ตอบสนองความต้องการของลูกค้า (responsiveness) และเพิ่มความปลอดภัยและความเชื่อถือใน กระบวนการนำส่งสินค้าและบริการ (reliability and security) 2)สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ประเด็นแนวทางกาพัฒนาภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของ ประเทศไทย ปี พ.ศ. 2566-2570 ได้แก่ แนวทางการพัฒนาที่1 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก โดยมี การสร้างเครือข่ายการเชื่อมโยงการขนส่งและระบบโลจิสติกส์ระหว่างท่าเรือ รถไฟ ถนน และท่า อากาศยานอย่างครอบคลุม เชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจพื้นที่อุตสาหกรรม และชายแดนสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีการบริหารการจัดการโครงสร้างพื้นฐานและศูนย์บริการโลจิสติกส์ โดยส่งเสริมให้ภาคเอกชนมี ส่วนร่วมในการเป็นผู้ให้บริการ อีกทั้งยังส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ให้บริการพื้นฐานและหน่วยงานรัฐ ใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลในการพัฒนาและปรับปรุงบริการที่เกี่ยวข้องกับ กิจกรรมโลจิสติกส์ แนวทางการพัฒนาที่ 2 การยกระดับมาตรฐานและเพิ่มมูลค่าโซ่อุปทาน ในการยกระดับ มาตรฐานและเพิ่มมูลค่าในห่วงโซ่อุปทานนั้น ได้มีการพัฒนาการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน
29 ภาคการเกษตร ส่งเสริมให้เกษตรกรลดความสูญเสียในกิจกรรมโลจิสติกส์ อาทิเช่น การพัฒนาให้มี กระบวนการคัดแยกและตัดแต่ง สนับสนุนการพัฒนาระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เหมาะสมต่อการ เติบโตของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม โดยมีการสนับสนุนช่องทางตลาดใหม่ๆ สนับสุนแหล่งเงินทุน เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการไทยในการขนส่งระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่ง อุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผา ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา มีอาณาเขตอยู่ ภายใต้กรอบแนวคิดการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (North Economic Corridor : NeEC) ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพและโอกาสในการวางแผนการขับเคลื่อน ไม่ว่าจะ เป็นด้านนวัตกรรม เทคโนโลยีหรือด้านอุตสาหกรรม แนวทางการพัฒนาที่ 3 การพัฒนาพิธีการศุลกากรกระบวนการนำเข้า - ส่งออกที่ เกี่ยวข้อง และการอำนวยความสะดวกในการขนส่งระหว่างประเทศ มีการพัฒนาเชื่อมโยงข้อมูลและ ใช้ประโยชน์จากระบบ NSW ผลักดันให้มีการเชื่อมโยงอิเล็กทรอนิกส์ผ่าน ASEAN single window (ASW) และส่งเริมการใช้ประโยชน์จาก NSW ทั้งในรูปแบบธุรกิจกับธุรกิจด้วยกัน (Business-to - Business : B2B ) รูปแบบธุรกิจและผู้บริโภค (Business-to-customer : B2C) และรูปแบบธุรกิจใน ลักษณะ (Business-to-Businesses -to-Customer : B2B2C) และยังพัฒนาการอำนวยความสะดวก การขนส่งสินค้าผ่านแดนและข้ามแดน ณ ประตูการค้าที่สำคัญ เเร่งพัฒนาความร่วมมือและแก้ไข อุปสรรคการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ปรับปรุงและพัฒนากฏหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการ ขนส่งและโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ แนวทางการพัฒนาที่ 4 การพัฒนาศักยภาพผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย (Logistics Service Providers : LSPs) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพผู้ให้บริการโลจิสติกส์ เพื่อยกระดับผู้ให้บริการโล จิสติกส์ไทยสู่เวทีสากล ผลักดันผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทยพัฒนาโมเดลธุรกิจ (Business Model) ที่ ทันสมัยสนับสนุนผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทยสร้างเครือข่ายความร่วมมือและลงทุนดำเนิธุรกิจทั้งในและ ภูมิภาค โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม แนวทางการพัฒนาที่ 5 การการส่งเสริมวิจัยและพัฒนานวัตกรรม การพัฒนาบุคลากร และการติดตามผลด้านโลจิสติกส์ส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการ พัฒนาโลจิสติกส์ เพื่อพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์โดยการสนับสนุการดำเนินการร่วมกันทั้งภาครัฐ และเอกชน เพื่อพัฒนาทักษะและสร้างทักษะใหม่ รวมไปถึงการติดตามและการประเมินผลการพัฒนา
30 ด้านโลจิสติกส์ เพื่อที่จะผลักดันให้หน่วยงานเจ้าของข้อมูลพัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้อง กับโลจิสติกส์เพื่อเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน โดยในแนวทางการพัฒนาที่ 2 การยกระดับมาตรฐานและเพิ่มมูลค่าโซ่อุปทานนั้น ได้ กล่าวถึงการสนับสนุนช่องทางตลาดใหม่ๆ สนับสุนแหล่งเงินทุน เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการไทยในการ ขนส่งระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผา ตำบลด่าน เกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา มีอาณาเขตอยู่ภายใต้กรอบแนวคิดการพัฒนาพื้นที่ เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (North Economic Corridor : NeEC) ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ที่มี ศักยภาพและโอกาสในการวางแผนการขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็นด้านนวัตกรรม เทคโนโลยีหรือด้าน อุตสาหกรรม โดยในปี พ.ศ.2547 หมู่บ้านเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน เป็น 1 ใน 4 ของประเทศที่ได้รับ การคัดเลือกเป็นหมู่บ้าน OTOP ต้นแบบ (Knowledge Based Village Cluster) จากกรมการพัฒนา ชุมชน กระทรวงมหาดไทย และยังได้คัดเลือกเป็นหมู่บ้าน OTOP (OTOP Tourism village) และ เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป้นสินค้า GI แล้วเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2563 จากกรม ทรัพย์สินทางปัญญา (แผนพัฒนาท้องถิ่น พ.ศ.2566 – 2570 :10) ทั้งนี้เมื่อวันที่ 30 มกราคม 66 ที่ โรงแรมเซ็นทารา โคราช นายชรินทร์ ทองสุข รอง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เดินทางมาเป็นประธานในพิธีกิจกรรมลงนามความร่วมมือ (MOU) ในการพัฒนาการจัดการโลจิสติกส์ และ ซัพพลายเชนสินค้าและบริการ GI “เครื่องปั้นดินเผา” เพื่อให้ เกิดการฟื้นตัวของวิถีชุมชน สร้างรายได้ให้ชุมชน เกิดการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา ท่องเที่ยวในพื้นที่มากขึ้น”โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานรรต ใจสำราญ รอง อธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ร่วมกับ กองทัพภาคที่ 2จังหวัดนครราชสีมา สถาบัน ทิวา (TVA Institute) รวมทั้งเครือข่าย 17 องค์กร เข้าร่วมอย่างพร้อมเพียง โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.โชติมา ไชยวงศ์เกียรติ ในนามผู้รับผิดชอบโครงการฯ กล่าวว่า “กิจกรรมที่จัดขึ้น มุ่งเน้นส่งเสริมอัตลักษณ์ของชุมชนเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการรวมถึง การท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับภูมิศาสตร์และวิถีชุมชน ก่อให้เกิดการพัฒนาด้านโลจิสติกส์การท่องเที่ยว สามารถสร้างเศรษฐกิจภายในจังหวัดนครราชสีมาทั้งในภาคการท่องเที่ยว การผลิต การจัดจำหน่าย สินค้าชุมชนสู่ระดับภูมิภาคทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ โดยได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่าย เป็นอย่างดี ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่เป้าหมายและสร้างรายได้มวลรวมที่ เพิ่มมากขึ้นให้กับจังหวัดนครราชสีมาต่อไป (สำนักงานพัฒนาชุมชน จังหวัดนครราชสีมา,2566)
31 2.2.3 การวัดประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ การวัดประสิทธิภาพและผลการของการจัดการโลจิสติกส์มีตัวชี้วัดผลการดำเนินงาน จำนวนมากที่นำมาประยุกต์ใช้ ซึ่งสามารถจัดกลุ่มของตัวชี้วัดต่าง ๆ เหล่านั้นได้หลายลักษณะ เช่น การวัดผลการดำเนินงานควรจะทำการวิเคราะห์ครอบคุลมถึงความสำเร็จของงานใน 2 ด้านคือ ประสิทธิภาพและประสิทธิผล (Mentzer and Konrad, 1991) นอกจากนี้มีการกำหนดมิติในการ วัดผลการดำเนินงานของโลจิสติกส์เป็น 4 ด้านคือ Effectiveness, Equity, Productivity และ Profitability (Equity Mentzer and Firman, 1994) อย่างไรก็ตาม การวัดผลการดำเนินงานของโล จิสติกส์ทั้ง 4 มิตินี้ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการวัดผลการดำเนินงานของ โลจิสติกส์ใน 2 ด้าน คือ Effectiveness และ Efficiency ในส่วนของ Keebler et al. (1999) ได้จัดประเภทตัวชี้วัดเป็น 4 มิติ คือ ตัวชี้วัดในมิติทางด้านเวลา ตัวชี้วัดในมิติทางด้านต้นทุน ตัวชี้วัดในมิติทางด้านคุณภาพ และตัวชี้วัด ในมิติทางด้านอื่น ๆ แม้จะมีแนวคิดที่หลากหลายแต่พบว่า นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ส่วนใหญ่ แล้วจะให้ความสำคัญกับการวัดผลการดำเนินงานด้านคุณภาพมาเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ การ วัดผลการดำเนินงานด้านเวลา และด้านต้นทุน ซึ่งทั้งสามมิตินี้จึงถือได้ว่าเป็นมิติของการวัดผลการ ดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ที่จะขาดไม่ได้เลย หรือกล่าวได้ว่าในการวัดผลการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ จำเป็นที่จะต้องมีการวัดผลการดำเนินงานในมิติด้านคุณภาพ เวลา และต้นทุนเสมอ (สภา อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ม.ป.ป., 3) 2.1.3.1 ด้านคุณภาพ การวัดประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ด้านคุณภาพตามแนวคิดของ Bowersox (Bowersox et al., 2002, 559) เป็นการพิจารณาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการและ ความพึงพอใจของลูกค้า ตัวชี้วัดที่ใช้ในการวัดผลการดำเนินงานโลจิสติกส์ในมิติคุณภาพส่วนมากใช้ ตัวชี้วัดผลการดำเนินงานโลจิสติกส์ทางด้านคุณภาพดังที่ถูกระบุมากที่สุดเป็นอันดับแรก คือ Fill rate และรองลงมาคือ Processing Accuracy ส่วนตัวชี้วัดผลการดำเนินงานทางด้านคุณภาพของ ช่องทางโลจิสติกส์อื่น ๆ ที่มีการนำมาใช้ก็มีอาทิเช่น Customer Satisfaction, Forecasting Accuracy, Planning Accuracy, Perfect Order Fulfillment แ ละ Damage Frequency ก า ร วัดผลการดำเนินงานโลจิสติกส์ทางด้านคุณภาพที่ถูกระบุมากที่สุดคือ Fill rate ซึ่งสามารถวัดได้ใน หลายมุมมองตามที่ Bowersox et al. (2002) และ Frazelle (2002) ดังแสดงตามตาราง 2.3
32 ตาราง 2.2 การวัดผลการดำเนินงานโลจิสติกส์ทางด้านคุณภาพของ Fill rate โดย Bowersox et al. (2002) และ Frazelle (2002) Measures Bowersox et al. (2002) Frazelle (2002) Unit/Item Fill rate No. of items ordered by customers Unit shipped No. of items delivered to customers Units requested Line Fill rate No. of purchase order lines ordered by customers Lines shipped complete No. of purchase order lines delivered to customers Lines requested Order Fill rate No. of customer orders Orders shipped complete No. of orders delivered complet Orders requested Value Fill rate Total dollar value of customer orders N/A Total dollar value delivered to customers ที่มา : สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ปรับปรุงจาก Frazelle Edward, ”Supply chain strategy.” NY : McGraw-Hill Companies, 2002 แม้ Bowersox et al. (2002) และ Frazelle (2002) มีความแตกต่างกัน แต่ มีหลักการในการวัดที่เหมือนกันคือการเปรียบเทียบอัตราส่วนของคำสั่งซื้อที่สามารถดำเนินการได้และ คำสั่งซื้อทั้งหมดที่ได้รับจากลูกค้า ซึ่งการวัดประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ด้านคุณภาพ ที่ พิจารณาจากคำสั่งซื้อและการส่งมอบสินค้าให้รู้ค้านี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สภา อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ม.ป.ป., 32-34) ได้กำหนดให้การวัดประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ ด้านคุณภาพนี้โดยการวัดความนาเชื่อถือ (reliability) อันได้แก่ความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับการส่งมอบ สินค้าและข้อมูล โดยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ด้านการส่งมอบตรงเวลา (on-time) และด้านการ ส่งมอบครบจำนวน (in-full) ซึ่งการวัดประสิทธิภาพการจัดการโลิจิสติกส์ด้านคุณภาพนี้โดยการวัด ความน่าเชื่อถือ มีดัชนีที่ใช้วัดดังนี้ 1) อัตราความสามารถการจัดส่งสินค้า (Delivery In Full and On-Time
33 (DIFOT) of Customer Service and Support Rate) เป็นดัชนีที่ใช้วัดความสามารถในการจัดส่ง สินค้าให้แก่ลูกค้าครบจำนวนและตรงเวลาตามที่ได้ตกลงกันไว้โดยสามารถคำนวณหาได้ดังนี้ DIFOT Rate (CS and Support) = ร้อยละของการจัดส่งครบตามจำนวน x ร้อยละของการจัดส่งตรงตามเวลา 2) อัตราความสามารถในการจัดสินค้าของผู้ผลิต (Supplier In Full and OnTime Rate) เป็นดัชนีชี้วัดความสามารถของผู้ผลิตในการตอบสนองคำสั่งซื้อของบริษัทตามที่ได้ตกลง กันไว้โดยมีการส่งสินค้าครบตามจำนวนและตรงเวลา โดยคำนวณหาได้ดังนี้ Supplier IFOT Rate = ร้อยละของการจัดส่งเต็มจำนวนจากผู้ผลิต x ร้อยละของการจัดส่งตรงตามเวลาของผู้ผลิต 3) อัตราความแม่นยำของใบสั่งงาน (Order Accuracy Rate) เป็นดัชนีชี้วัด ความแม่นยำของใบสั่งงานจากฝ่ายขาย หรือฝ่ายการตลาดที่ถูกส่งไปยังแผนกอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องภายใน องค์การ โดยคำนวณหาได้ดังนี้ Order Accuracy Rate = 1 - จำนวนใบสั่งงานที่ผิดพลาด จำนวนใบสั่งงานทั้งหมด 4) อัตราความสามารถในการจัดส่งสินค้าของแผนกขนส่ง (Delivery In Full and On-Time (DIFOT) of Transportation) เป็นดัชนีวัดความสามารถในการจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าได้ ตามสภาพ ครบตามจำนวนและตรงเวลาตามที่ได้มีการตกลงกันไว้โดยสามารถคำนวณหาได้ดังนี้ DIFOT Rate (Transportation) = ร้อยละของการจัดส่งเต็มจำนวนของแผนกขนส่ง x ร้อยละของการจัดส่งตรงตามเวลาของแผนกขนส่ง 5) อัตราความแม่นยำของสินค้าคงคลัง (Inventory Accuracy Rate) เป็น ดัชนีชี้วัดความแม่นยำของสินค้าคงคลังที่แสดงความแตกต่างระหว่างจำนวนสินค้าคงคลังที่ได้บันทึกไว้ กับจำนวนสินค้าคงคลังที่ได้จากการนับจริง โดยคำนวณได้ดังนี้
34 Inventory Accuracy Rate = 100 – สินค้าคงคลังที่ได้บันทึกไว้– จำนวนสินค้าคงคลังที่ได้จากการนับจริง จำนวนสินค้าคงคลังที่ได้จากการนับจริง 6) อัตราความแม่นยำการพยากรณ์ความต้องการของลูกค้า (Forecast Accuracy Rate) เป็นดัชนีชี้วัดความแม่นยำในการพยากรณ์ความต้องการของลูกค้า โดยคำนวณจาก ปริมาณ ผลต่างของปริมาณการสั่งซื้อสินค้าจริง กับปริมาณสินค้าที่ได้พยากรณ์ไว้ได้ดังนี้ Forecast Accuracy Rate = ปริมาณสินค้าที่ลูกค้าสั่งซื้อจริง ปริมาณสินค้าที่บริษัทได้พยากรณ์ตามความต้องการของลูกค้า 7) อัตราจำนวนสินค้าสำเร็จรูปขาดมือ (Inventory Out of Stock Rate) เป็นดัชนีชี้วัดถึงความถี่หรือจำนวนครั้งที่บริษัทไม่สามารถส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าได้อันเนื่องมาจาก สินค้าสำเร็จรูปมีไม่เพียงพอ ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการบริหารสินค้าสำเร็จรูปของบริษัท โดย คำนวณได้ดังนี้ Inventory Out of Stock Rate = จำนวนครั้งของการขาดสินค้าสำเร็จรูปในคลังในการส่งมอบให้แก่ลูกค้า x 100% จำนวนคำสั่งซื้อทั้งหมด 8) อัตราความเสียหายของสินค้า (Damage Rate) เป็นดัชนีที่ใช้วัดอัตรา ความเสียหายที่เกิดกับสินค้านับตั้งแต่ผลิตเสร็จ จัดเก็บจนกระทั่งการจัดเตรียมสินค้าเพื่อจัดส่ง โดย คิดตามจำนวนครั้งที่เกิดความเสียหาย โดยคำนวณหาได้ดังนี้ Damage Rate = จำนวนคำสั่งซื้อที่พบว่าเกิดความเสียหายต่อสินค้า x 100% จำนวนคำสั่งซื้อทั้งหมด
35 9) อัตราการถูกตีกลับของสินค้า (Rate of Returned Goods) เป็นดัชนี ชี้วัดสัดส่วนการถูกตีกลับของสินค้าจากลูกค้า หลังจากได้ทำการจัดส่งสินค้าเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคำนวณ ตามคำสั่งซื้อ ได้ดังนี้ Rate of Returned Goods = จำนวนครั้งของการถูกตีกลับของสินค้า x 100% จำนวนครั้งของการจัดส่งสินค้าไปยังลูกค้า สำหรับผลรวมประสิทธิภาพด้านคุณภาพ เป็นการคิดจากความสามารถในการจัดส่ง สินค้าครบตามจำนวนและตรงเวลาให้แก่ลูกค้า (Delivery In Full and On-Time) โดยเป็นการวัด ความสามารถในการจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าได้ตามสภาพและระยะเวลาที่มีการตกลงกันไว้ ที่มีวิธีการ คำนวณดังนี้ ความสามารถในการจัดส่งสินค้าครบตามจำนวนและตรงเวลาให้แก่ลูกค้า = ร้อยละของการจัดส่งเต็มจำนวนของแผนกขนส่ง ร้อยละของการจัดส่งตรงตามเวลาของแผนกขนส่ง 2.2.3.2 ด้านเวลา การวัดประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ด้านเวลาสามารถพิจารณาได้ หลากหลายค่าพิจารณาดังนี้ 1) ระยะเวลาเฉลี่ยการตอบสนองคำสั่งซื้อจากลูกค้า (average order cycle time) เป็นดัชนีที่ใช้วัดระยะเวลาในการตอบสนองคำสั่งซื้อจากลูกค้าโดยนับตั้งแต่บริษัทยืนยันรับคำ สั่งซื้อจากลูกค้าผลิต จนกระทั่งส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้า โดยคำนวณหาได้ดังนี้ ระยะเวลาเฉลี่ยการตอบสนองคำสั่งซื้อจากลูกค้า = ระยะเวลาเฉลี่ย นับตั้งแต่บริษัทยืนยันรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าผลิต จนกระทั่งบริษัททำการส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้า 2) ระยะเวลาเฉลี่ยการจัดซื้อ (average procurement cycle time) เป็น ดัชนีที่ใช้วัดระยะเวลาในการจัดซื้อวัตถุดิบหรือสินค้าโดยนับตั้งแต่บริษัทได้รับการยืนยันรับคำสั่งซื้อ จาก Supplier จนกระทั่ง Supplier ส่งมอบวัตถุดิบหรือสินค้าให้กับบริษัท โดยคำนวณหาได้ดังนี้
36 ระยะเวลาเฉลี่ยการจัดซื้อ = ระยะเวลาเฉลี่ยนับตั้งแต่บริษัทได้รับการยืนยันรับคำสั่งซื้อวัตถุดิบหรือ สินค้าจาก Supplier จนกระทั่ง Supplier ได้ทำการส่งมอบวัตถุดิบ หรือสินค้าที่สั่งซื้อดังกล่าวให้กับบริษัท 3) ระยะเวลาเฉลี่ยการส่งคำสั่งซื้อภายในองค์การ (average order processing cycle time) เป็นดัชนีที่ใช้วัดระยะเวลาเฉลี่ยที่ฝ่ายการตลาดส่งคำสั่งซื้อไปยังแผนกต่าง ๆ ภายในองค์การ โดยนับตั้งแต่ระยะเวลาที่ฝ่ายการตลาดได้รับยืนยันคำสั่งซื้อจากลูกค้าจนกระทั่งฝ่ายการตลาดได้ส่งคำสั่ง ซื้อไปยังแผนกต่าง ๆ ภายในองค์การ โดยคำนวณหาได้ดังนี้ ระยะเวลาเฉลี่ยการส่งคำสั่งซื้อภายในองค์การ = ระยะเวลาเฉลี่ยนับตั้งแต่ฝ่ายการตลาดได้รับยืนยัน คำสั่งซื้อจากลูกค้าจนกระทั่งฝ่ายการตลาดได้ส่ง ข้อมูลคำสั่งซื้อไปยังแผนกต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องภายใน องค์การ 4) ระยะเวลาเฉลี่ยการจัดส่งสินค้า (average delivery cycle time) เป็น ดัชนีที่ใช้วัดระยะเวลาในการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าโดยนับตั้งแต่การจัดส่งสินค้าขึ้นรถ และขนส่ง สินค้าไปยังสถานที่ของลูกค้า จนกระทั่งลูกค้าได้รับสินค้า โดยคำนวณหาได้ดังนี้ ระยะเวลาเฉลี่ยการจัดส่งสินค้า = ระยะเวลาเฉลี่ยนับตั้งแต่การจัดส่งสินค้าขึ้นรถ และทำการขนส่ง สินค้าไปยังสถานที่ของลูกค้า จนกระทั่งลูกค้าได้รับสินค้า 5) ระยะเวลาเฉลี่ยสินค้าสำเร็จรูปในคลังสินค้า (average inventory cycle time) เป็นดัชนีที่ใช้วัดระยะเวลาเฉลี่ยที่สินค้าสำเร็จรูปอยู่ในคลังสินค้าโดยเริ่มนับเวลาตั้งแต่สินค้า สำเร็จรูปถูกจัดเก็บในคลังสินค้า จนกระทั่งสินค้าสำเร็จรูปดังกล่าวถูกเบิกออกจากคลังสินค้าเพื่อจัดส่ง ไปให้กับลูกค้า โดยคำนวณหาได้ดังนี้ ระยะเวลาเฉลี่ยสินค้าสำเร็จรูปในคลังสินค้า = ระยะเวลาเฉลี่ยที่สินค้าสำเร็จรูปอยู่ในคลังสินค้าโดย เริ่มนับเวลาตั้งแต่สินค้าสำเร็จรูปถูกจัดเก็บในคลังสินค้า จนกระทั่งสินค้าสำเร็จรูปดังกล่าวถูกเบิกออกจาก คลังสินค้าเพื่อจัดส่งไปให้กับลูกค้า
37 6) ระยะเวลาเฉลี่ยการพยากรณ์ความต้องการของลูกค้า (average forecast period) เป็นดัชนีที่ทำให้ทราบถึงช่วงเวลาส่วนใหญ่ที่บริษัทใช้ในการพยากรณ์ความต้องการของ ลูกค้า แต่ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับลักษณะการประกอบธุรกิจของแต่ละบริษัท 7) ระยะเวลาเฉลี่ยการเก็บสินค้าสำเร็จรูปอย่างเพียงพอเพื่อตอบสนองความ ต้องการของลูกค้า (average inventory day) เป็นดัชนีที่ใช้วัดระยะเวลาเฉลี่ยที่บริษัททำการสำรอง หรือจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปมีปริมาณเพียงพอต่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ระยะเวลาเฉลี่ยการเก็บสินค้าสำเร็จรูปไว้อย่างเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า = ระยะเวลาเฉลี่ยที่บริษัททำการสำรองหรือจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปมีปริมาณเพียงพอ ต่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้า 8) ระยะเวลาเฉลี่ยการถือครองและการบรรจุภัณฑ์สินค้า (average material handling and packaging) เป็นดัชนีที่ใช้วัดระยะเวลาเฉลี่ยการถือครองสินค้าและการ เตรียมส่งสินค้าโดยเริ่มนับเวลาตั้งแต่เสร็จสิ้นกระบวนการผลิต การจัดเก็บ ตลอดจนการจัดเตรียม สินค้าเพื่อส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้า ระยะเวลาเฉลี่ยการถือครองสินค้าและการเตรียมส่งสินค้า = ระยะเวลาเฉลี่ยการถือครองสินค้าและ การเตรียมส่งสินค้าโดยเริ่มนับเวลาตั้งแต่เสร็จสิ้นกระบวนการผลิต การจัดเก็บ จนถึงการจัดเตรียม สินค้าเพื่อส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้า 9) ระยะเวลาเฉลี่ยการรับสินค้าคืนจากลูกค้า (average cycle time for customer return) เป็นดัชนีที่ใช้วัดระยะเวลาเฉลี่ยในการรับคืนสินค้าจากลูกค้าโดยเริ่มนับ ระยะเวลาตั้งแต่ลูกค้าแจ้งให้บริษัททำการรับสินค้าคืน จนกระทั่งบริษัททำการรับสินค้าคืนหรือได้รับ สินค้าคืนกลับมายังบริษัท ระยะเวลาเฉลี่ยการรับสินค้าคืนจากลูกค้า = ระยะเวลาเฉลี่ยที่บริษัททำการรับคืนสินค้าจากลูกค้าโดย เริ่มนับระยะเวลาตั้งแต่ลูกค้าแจ้งให้บริษัททำการรับ สินค้าคืน จนกระทั่งบริษัททำการรับสินค้าคืนหรือได้รับ สินค้าคืนกลับมายังบริษัท
38 การคำนวณหาค่าประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ด้านเวลาจากดัชนีชี้วัดด้านเวลา ที่ใช้ข้อมูลระยะเวลาของการเคลื่อนย้ายสินค้าและข้อมูลที่เกิดขึ้นในแต่ละกิจกรรมโลจิสติกส์ซึ่งการวัด ระยะเวลาการเคลื่อนย้ายของสินค้าจะไม่รวมระยะเวลาที่สินค่าอยูในช่วงของกระบวนการผลิต ส่วน ระยะเวลาการเคลื่อนย้ายของข้อมูลจะเริ่มนับตั้งแต่การรับข้อมูลและสิ้นสุดที่การส่งมอบข้อมูลให้แก่ ลูกค้าหรือแผนกต่อไป (สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ม.ป.ป., 29-31) มีดัชนีที่ใช้วัด ประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ด้านเวลาดังนี้ 1) ระยะเวลาเฉลี่ยการตอบสนองคำสั่งซื้อจากลูกค้า (Average Order Cycle Time) เปนดัชนี ที่ใช้วัดระยะเวลาในการตอบสนองคำสั่งซื้อจากลูกค้าโดยนับตั้งแต่บริษัทยืนยันรับคำ สั่งซื้อจากลูกค้าผลิต จนกระทั่งส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้า โดยคำนวณหาได้ดังนี้ ระยะเวลาเฉลี่ยการตอบสนองคำสั่งซื้อจากลูกค้า = ระยะเวลาเฉลี่ยนับตั้งแต่บริษัทยืนยันรับคำสั่งซื้อ จากลูกค้าผลิต จนกระทั่งบริษัททำการส่งมอบ สินค้าให้กับลูกค้า 2) ระยะเวลาเฉลี่ยการจัดซื้อ (Average Procurement Cycle Time) เป็น ดัชนีที่ใช้วัดระยะเวลาในการจัดซื้อวัตถุดิบหรือสินค้าโดยนับตั้งแต่บริษัทได้รับการยืนยันรับ คำสั่งซื้อ จาก Supplier จนกระทั่ง Supplier ส่งมอบวัตถุดิบหรือสินค้าให้กับบริษัท โดยคำนวณหาได้ดังนี้ ระยะเวลาเฉลี่ยการจัดซื้อ = ระยะเวลาเฉลี่ยนับตั้งแต่บริษัทได้รับการยืนยันรับคำสั่งซื้อวัตถุดิบหรือ สินค้าจาก Supplier จนกระทั่ง Supplier ได้ทำการส่งมอบวัตถุดิบ หรือสินค้าที่สั่งซื้อดังกล่าวให้กับบริษัท 3) ระยะเวลาเฉลี่ยการส่งคำสั่งซื้อภายในองค์การ (Average Order Processing Cycle Time) เป็นดัชนีที่ใช้วัดระยะเวลาเฉลี่ยที่ฝ่ายการตลาดส่งคำสั่งซื้อไปยังแผนก ต่าง ๆ ภายในองค์กร โดยนับตั้งแต่ระยะเวลาที่ฝ่ายการตลาดได้รับยืนยันคำสั่งซื้อจากลูกค้า จนกระทั่งฝ่ายการตลาดได้ส่งคำสั่งซื้อไปยังแผนกต่าง ๆ ภายในองค์การ โดยคำนวณหาได้ดังนี้ ระยะเวลาเฉลี่ยการส่งคำสั่งซื้อภายในองค์การ = ระยะเวลาเฉลี่ยนับตั้งแต่ฝ่ายการตลาดได้รับยืนยัน คำสั่งซื้อจากลูกค้า จนกระทั่งฝ่ายการตลาดได้ ส่งข้อมูลค้าสั่งซื้อไปยังแผนกต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ภายในองค์กร
39 4) ระยะเวลาเฉลี่ยการจัดส่งสินค้า (Average Delivery Cycle Time) เป็น ดัชนีที่ใช้วัดระยะเวลาในการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าโดยนับตั้งแต่การจัดส่งสินค้าขึ้นรถ และขนส่ง สินค้าไปยังสถานที่ของลูกค้า จนกระทั่งลูกค้าได้รับสินค้า โดยคำนวณหาได้ดังนี้ ระยะเวลาเฉลี่ยการจัดส่งสินค้า = ระยะเวลาเฉลี่ยนับตั้งแต่การจัดส่งสินค้าขึ้นรถ และทำการขนส่ง สินค้าไปยังสถานที่ของลูกค้า จนกระทั่งลูกค้าได้รับสินค้า 5) ระยะเวลาเฉลี่ยสินค้าสำเร็จรูปในคลังสินค้า (Average Inventory Cycle Time) เป็นดัชนีที่ใช้วัดระยะเวลาเฉลี่ยที่สินค้าสำเร็จรูปอยูในคลังสินค้าโดยเริ่มนับเวลา ตั้งแต่สินค้า สำเร็จรูปถูกจัดเก็บในคลังสินค้า จนกระทั่งสินค้าสำเร็จรูปดังกล่าวถูกเบิกออกจากคลังสินค้าเพื่อจัดส่ง ไปให้กับลูกค้า โดยคำนวณหาได้ดังนี้ ระยะเวลาเฉลี่ยสินค้าสำเร็จรูปในคลังสินค้า = ระยะเวลาเฉลี่ยที่สินค้าสำเร็จรูปอยูในคลังสินค้าโดย เริ่มนับเวลาตั้งแตสินค้าสำเร็จรูปถูกจัดเก็บใน คลังสินค้าจนกระทั่งสินค้าสำเร็จรูปดังกล่าวถูกเบิก ออกจากคลังสินค้าเพื่อจัดส่งไปให้กับลูกค้า 6) ระยะเวลาเฉลี่ยการพยากรณ์ความต้องการของลูกค้า (Average Forecast Period) เป็นดัชนีที่ทำให้ทราบถึงช่วงเวลาส่วนใหญ่ที่บริษัทใช้ในการพยากรณ์ความต้องการของ ลูกค้า แต่ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับลักษณะการประกอบธุรกิจของแต่ละบริษัท 7) ระยะเวลาเฉลี่ยการเก็บสินค้าสำเร็จรูปอย่างเพียงพอเพื่อตอบสนองความ ต้องการของลูกค้า (Average Inventory Day) เป็นดัชนีที่ใช้วัดระยะเวลาเฉลี่ยที่บริษัททำการสำรอง หรือจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปมีปริมาณเพียงพอต่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ระยะเวลาเฉลี่ยการเก็บสินค้าสำเร็จรูปไว้อย่างเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า = ระยะเวลาเฉลี่ยที่บริษัททำการสำรองหรือจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปมีปริมาณเพียงพอ ต่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้า
40 8) ระยะเวลาเฉลี่ยการถือครองและการบรรจุภัณฑ์สินค้า (Average Material Handling and Packaging) เป็นดัชนีที่ใช้วัดระยะเวลาเฉลี่ยการถือครองสินค้าและการเตรียมส่งสินค้าโดย เริ่มนับเวลาตั้งแต่เสร็จสิ้นกระบวนการผลิต การจัดเก็บ ตลอดจนการจัดเตรียมสินค้าเพื่อส่งมอบสินค้า ให้แก่ลูกค้า ระยะเวลาเฉลี่ยการถือครองสินค้าและการเตรียมส่งสินค้า = ระยะเวลาเฉลี่ยการถือครอง สินค้าและการเตรียมส่งสินค้าโดยเริ่ม นับเวลาตั้งแต่เสร็จสิ้นกระบวนการผลิต การจัดเก็บ จนถึงการจัดเตรียมสินค้า เพื่อส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้า 9) ระยะเวลาเฉลี่ยการรับสินค้าคืนจากลูกค้า (Average Cycle Time for Customer Return) เป็นดัชนีที่ใช้วัดระยะเวลาเฉลี่ยในการรับคืนสินค้าจากลูกค้าโดยเริ่มนับ ระยะเวลาตั้งแต่ลูกค้าแจ้งให้บริษัททำการรับสินค้าคืนจนกระทั่งบริษัททำการรับสินค้าคืนหรือได้รับ สินค้าคืนกลับมายังบริษัท ระยะเวลาเฉลี่ยการรับสินค้าคืนจากลูกค้า = ระยะเวลาเฉลี่ยที่บริษัททำการรับคืนสินค้าจากลูกค้า โดยเริ่มนับระยะเวลาตั้งแต่ลูกค้าแจ้งให้บริษัททำ การรับสินค้าคืน จนกระทั่งบริษัททำการรับสินค้าคืน หรือได้รับสินค้าคืนกลับมายังบริษัท สำหรับผลรวมประสิทธิภาพด้านเวลาเป็นการคิดจากระยะเวลาการ ดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ทั้งหมด (total lead-time) ที่นับรวมเวลาทั้งหมดตั้งแต่เวลาที่ลูกค้าซื้อ สินค้า จนกระทั่งสินค้าถูกส่งมอบไปถึงมือลูกค้า ที่มีวิธีการคำนวณดังนี้ ระยะเวลาการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ = ระยะเวลาเฉลี่ยนับตั้งแต่บริษัทยืนยันรับคำสั่งซื้อจาก ลูกค้าผลิตจนกระทั่งบริษัททำการส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้า