The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by social study, 2021-06-05 13:08:29

เอกสารประกอบการสอนวิชาเทคนิคการศึกษาระดับอุดมศึกษา

ผู้แต่ง ผศ.อนุสรณ์ นางทะราช

คำนำ

หนังสือประกอบการสอนเล่มที่อยู่ในมือท่านขณะน้ี ผู้บรรยายประจาวิชาเทคนิค
การศึกษาระดับอุดมศึกษา จัดทาข้ึนเพื่อสนองตอบความต้องการเบ้ืองต้นแก่นิสิตท่ีศึกษาในวิชาน้ี
ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ท้ังภาคปกติและภาคพิเศษ และ
ทมี่ ีเรยี นในทุกสาขาวชิ าเอก

การศึกษาเล่าเรียนในรายวิชาน้ี มีจุดมงุ หมายหลัก ๆ อยู่ ๓ ประการ คือ
๑. เพ่ือให้นิสิต ผู้เรียนเกิดความตระหนัก เห็นความสาคัญในการศึกษาค้นคว้าในการ
เรยี นระดบั อดุ มศึกษา
๒. เพือ่ ให้นิสิตผู้เรียนนาความรู้ความเข้าใจไปใช้ในการเข้าหาแหล่งความรู้ค้นคว้าข้อมูล
ถูกวิธีและรวดเรว็
๓. เพ่ือให้นิสิตผู้เรียนได้รู้และเข้าใจในองค์ประกอบทางวิชาการในเรื่องของห้องสมุด
และขบวนการเรยี นการสอนในระดบั อดุ มศกึ ษา และศกึ ษาเลา่ เรียนอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
ในปจั จุบนั การศกึ ษามกั จะได้ยินคาว่ายึดผู้เรียนเป็นสาคัญ ไม่ว่าระดับใด เม่ือเป็นเช่นนั้น
ความจาเป็นในการศกึ ษาค้นคว้าด้วยตนเอง จึงเปน็ ปัจจัยสาคญั ในการศึกษา
ผู้รวบรวมหนังสือเล่มน้ี ด้วยความต้ังใจเพื่อประกอบในการบรรยายในรายวิชาและ
อานวยความสะดวกให้แก่ผู้เรียน หวังว่าเอกสารหนังสือเล่มนี้คงเป็นประโยชน์แก่ผู้เรียนไม่มากก็
น้อย ด้วยความเป็นจริงและความเข้าใจของผู้รวบรวมเองคิดว่ายังมีข้อบกพร่องท่ีจะต้องแก้ไขอีก
มาก อันนั้นเพราะเง่ือนของเวลาและประสบการณ์ จงึ ขออภัยมา ณ ท่นี ีด้ ้วย

ผศ.อนุสรณ์ นำงทะรำช
มิถุนายน ๒๕๖๓

สารบัญ ก

คานา ค
สารบญั
รายละเอียดรายวิชา/แผนการจัดการเรียนการสอน ๑
บทที่ ๑ มนษุ ยก์ ับการเรียนรู้ ๓

- การเรยี นรขู้ องมนุษย์ ๔
- องค์ประกอบท่สี าคญั ในการเรียนรู้ ๕
- มนุษย์กับการเรียนรู้ ๗
- ความหมายของการเรยี นรู้ ๘
- ธรรมชาติของการเรยี นรู้ ๑๔
- การเกิดการเรยี นรู้
- การเรยี นรูเ้ กดิ จากการวางเง่ือนไข ๑๘
- การศึกษาหาความรดู้ ้วยตนเอง ๑๘
บทท่ี ๒ ความรู้เก่ยี วกบั ห้องสมุด ๑๙
- ความรูเ้ บ้ืองตน้ เกย่ี วกบั หอ้ งสมดุ ๒๐
- วตั ถุประสงค์ของหอ้ งสมดุ ๒๓
- บทบาทและหน้าที่ของหอ้ งสมดุ ๒๓
- ประเภทของห้องสมุด
- องค์ประกอบของห้องสมุด ๒๖
- ปรชั ญาการปฏบิ ตั งิ านห้องสมุด ๒๖
บทที่ ๓ ความรเู้ กย่ี วกบั หนงั สอื ๒๗
- ความหมายและความสาคัญของหนังสือ ๓๐
- ประเภทของหนังสอื ๓๘
- สว่ นประกอบของหนังสือ ๓๙
- หนังสอื อา้ งอิง ๔๐
- หนังสือพมิ พ์
- วารสาร/นิตยสาร ๔๒
- การระวังรักษาหนงั สือ ๔๒
บทท่ี ๔ การวิเคราะห์หมวดหมูห่ นงั สือ ๔๒
- ความหมายการวิเคราะหห์ มวดหมหู่ นงั สอื
-ลักษณะของการวิเคราะห์หมวดหมู่หนังสอื ๔๕
- การจดั หมหู่ นังสือระบบทศนยิ มของดิวอี้
๔๗
- การจดั หมูห่ นังสือระบบหอสมุดรฐั สภาอเมริกา

- เลขหมหู่ นงั สอื /เลขเรียกหนังสือ

บทที่ ๕ - การจัดหนงั สือขึน้ ชั้น ๔๘
บทท่ี ๖ - การจัดหมู่วสั ดอุ ื่น ๆ ๔๙
- บัตรรายการ ๕๐
- ตบู้ ัตรรายการ ๕๘
๖๐
- การค้นด้วยอินเตอร์เนต็
การเขยี นรายงาน ๖๙
- ความหมายการเขยี นรายงาน ๖๙
- ประเภทของรายงาน ๗๐
- รูปแบบของรายงาน ๗๗
- การเขียนบรรณานกุ รม ๗๓
- การเขียนเชงิ อรรถ
การแสวงหาความรู้ ๘๗
- การอา่ น ความสาคัญการอ่าน ๘๘
- ประโยชนข์ องการอา่ น ๘๙
- วตั ถุประสงค์การอ่าน ๙๐
- การอ่านเพื่อการศึกษา ๘๑
๙๓
- กระบวนการอ่าน
- ขั้นตอนการอ่าน ๙๘

- การเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพในการอา่ น ๑๐๐
- การฟงั ความหมายการฟงั ๑๐๑
- การฝกึ ทกั ษะในการฟัง
๑๐๓
บทท่ี ๗ - ขัน้ ตอนในการฟงั ๑๐๕
- ขอ้ บกพร่องในการฟงั ๑๐๖
- วิธีปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องในการฟัง
การบันทกึ ขอ้ มูล ๑๑๐
- การบนั ทึกข้อมลู ย่อย

บทที่ ๘ - ระบบการอา่ นเพื่อบันทึก ๑๑๑
- การบนั ทึกย่อ ๑๑๑
- การเขยี น ๑๑๓
๑๑๔
-ความหมายและความสาคัญการเขียน ๑๑๕
-องคป์ ระกอบและลักษณะการเขยี น ๑๑๗
-การยอ่ ความและเรียงความ
๑๒๑
เทคนิคการสอบ ๑๒๔
- การเตรียมตวั สอบ ๑๒๔
- หลกั การทาข้อสอบ ๑๒๗
- หลักการทาข้อปรนัย ๑๒๗
๑๒๙
- หลักการทาข้อสอบอัตนยั ๑๓๐
- หลกั การสอบปากเปล่า ๑๓๒
- การวางแผนการสอบ
-ข้อปฏิบัติในการสอบมหาวิทยาลัยมหาจุฬา ฯ วทิ ยาเขตขอนแกน่ ๑๓๔
- ขอ้ เสนอแนะการสอบ

บรรณานกุ รม

 

มคอ.๓

รายละเอียดการบริหารจัดการรายวชิ า

วชิ าเทคนคิ การศกึ ษาระดับอดุ มศึกษา

ประจาภาคเรยี นที่ ๑/๒๕๖๓

ช่ือสถาบันอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วทิ ยาเขต/คณะ/ภาควชิ า วทิ ยาเขตขอนแก่น/คณะครุศาสตร/์ สาขาวิชาสังคมศึกษา

หมวดท่ี ๑ ขอ้ มลู โดยทว่ั ไป

๑. รหัสและชือ่ รายวชิ า

๐๐๐ ๑๐๗ เทคนิคการศกึ ษาระดับอดุ มศกึ ษา Technique of Higher Learning

๒. จานวนหนว่ ยกติ

(๒) หน่วยกติ (๒-๐-๔)

๓. หลกั สูตรและประเภทของรายวชิ า

หลกั สูตรครศุ าสตรบณั ฑติ สาขาวชิ าสังคมศกึ ษา

ประเภทรายวชิ า รายวิชาศึกษาท่วั ไป

๔. อาจารย์ผ้รู บั ผดิ ชอบรายวชิ าและอาจารย์ผู้สอน

ประธานหลกั สูตร ผู้ชว่ ยศาสตราจารยอ์ นุสรณ์ นามทะราช

อาจารย์ผู้รับผิดชอบรายวชิ า ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์อนุสรณ์ นามทะราช

อาจารย์ผู้สอน - ผู้ช่วยศาสตราจารยอ์ นสุ รณ์ นามทะราช

น.ธ.เอก,ป.ธ.๔,ค.บ.,ศษ.ม.(หลักสตู รและการสอน)

๐๙๓๓๕๗๙๔๓๑,๐๙๐๓๔๓๗๔๙๕,๐๘๑๖๐๑๐๕๒๙

Mail: [email protected], anusorn_mcukk@

- อาจารย์วิรัตน์ ทองภู

น.ธ.เอก,ป.ธ.๘,พธ.บ.(ภาษาอังกฤษ),พธ.ม.(การสอนสงั คมศึกษา)

๕. ภาคการศึกษา / ช้ันปที เี่ รยี น
ภาคการศึกษาที่ ๑/ช้นั ปีที่ ๑

๖. รายวิชาทีต่ ้องเรยี นมาก่อน (Pre-requisite) (ถา้ มี) ไม่มี
๗. รายวชิ าทตี่ ้องเรียนพร้อมกนั (Co-requisites) (ถา้ ม)ี ไม่มี

๘. สถานทเี่ รียน
สาขาวิชาสังคมศกึ ษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น

๙. วนั ที่จดั ทาหรือปรบั ปรุงรายละเอียดของรายวิชาครง้ั ล่าสดุ
๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓

วิชาเทคนคิ การศกึ ษาระดบั อดุ มศกึ ษา อนสุ รณ์ นามทะราช ๒

หมวดที่ ๒ จดุ ม่งุ หมายและวตั ถปุ ระสงค์

๑. จดุ มงุ่ หมายของรายวิชา
- เพือ่ ให้เกดิ ความตระหนักและเหน็ ความสาคัญการศึกษาระดับอดุ มศึกษา
- เพอ่ื ใหร้ แู้ ละเข้าใจวธิ ีการเขา้ หอ้ งสมุดเพื่อศึกษาค้นคว้าหนงั สือ
- เพ่ือให้เข้าใจการศกึ ษาระดับอุดมศึกษาซ่ึงจะต้องพึง่ พาตวั เองเปน็ หลกั
- เพ่อื ใหผ้ ศู้ ึกษาเขา้ ใจระบบการศึกษาระดบั อุดมศึกษาและกระบวนทางการศึกษา

๒. วัตถุประสงคใ์ นการพฒั นา/ปรับปรุงรายวิชา
หลงั จากนสิ ติ เรียนจบในรายวิชานี้แล้วสามารถแสดงพฤติกรรมต่อไปนี้
๒.๑ สามารถอธบิ ายความหมายความสาคัญและแนวทางการศึกษาระดบั อดุ มศกึ ษาได้
๒.๒ สามารถอธิบายและบอกวธิ กี ารเรียนระดับอุดมศึกษาใหแ้ ก่คนอ่นื ได้
๒.๓ นสิ ิตสามารถค้นหาหนังสอื ในหอ้ งสมุด โดยใชข้ น้ั ตอนและวิธีค้นหาในเวลาทีเ่ หมาะสมได้
๒.๔ นิสิตสามารถเขยี นรายงานและภาคนิพนธ์ได้ดีและถกู ต้อง
๒.๕ นสิ ติ สามารถเข้ารว่ มกจิ กรรมการเรียนตา่ ง ๆ ไดเ้ ปน็ อย่างดี
๒.๖ นสิ ิตสามารถเข้าหาแหลง่ ความรแู้ ละค้นควา้ ในห้องสมดุ สมา่ เสมอ
๒.๗ นิสิตศกึ ษาในระดับอดุ มศึกษาโดยยดึ ตัวเองเปน็ หลักการศึกษาที่ดี

หมวดท่ี ๓ ลกั ษณะและการดาเนนิ การ

๑. คาอธิบายรายวชิ า

ศึกษาเทคนิคการศึกษาระดบั อุดมศึกษา เนน้ การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การใชห้ ้องสมดุ การสืบคน้ ข้อมลู ทาง
อนิ เตอรเ์ น็ต วธิ ีแสวงหาความรู้ การเรยี นเปน็ กลุม่ ทกั ษะการเรยี นรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ การเขยี นรายงานและภาค
นิพนธ์

๒. จานวนช่วั โมงที่ใชต้ อ่ ภาคการศกึ ษา

บรรยาย สอนเสริม การฝึกปฏิบตั /ิ งาน การศึกษาดว้ ยตนเอง
ภาคสนาม/การฝึกงาน

บรรยาย ๓๒ ชัว่ โมงต่อภาค สอนเสริมตามความต้อง ไม่มีการฝกึ ปฏบิ ัตงิ าน การศึกษาดว้ ยตนเอง ๔

การศกึ ษา การของนิสิตเฉพาะราย ภาคสนาม ช่ัวโมงต่อสัปดาห์

๓. จานวนช่ัวโมงต่อสัปดาห์ที่อาจารย์ให้คาปรึกษาและแนะนาทางวิชาการแกน่ กั ศกึ ษาเป็นรายบคุ คล
- อาจารยป์ ระจารายวิชา ประกาศเวลาใหค้ าปรึกษาผา่ นเวปไซต์สาขาวิชา
- อาจารยจ์ ัดเวลาใหค้ าปรกึ ษาเปน็ รายบุคคล หรือ รายกลุ่มตามความตอ้ งการ ๑ ชัว่ โมงตอ่ สปั ดาห์ (เฉพาะ
รายทต่ี ้องการ)

หมวดที่ ๔ การพัฒนาการเรยี นรู้ของนสิ ิต

๑. การพฒั นาคุณลกั ษณะพิเศษของนสิ ิต

คุณลักษณะพิเศษ กลยทุ ธ์หรือกิจกรรมของนิสิต

ดา้ นบุคลิกภาพ การฝึกปฏิบัตกิ ารแสดงออกถึงภาวะความเปน็ ผู้ใฝ่เรียนใฝ่รู้ทั้ง

การปฏบิ ตั เิ ปน็ แบบอย่าง การแตง่ กาย การมีมนุษยสัมพนั ธ์ทดี่ ี

วิชาเทคนิคการศึกษาระดบั อุดมศึกษา อนสุ รณ์ นามทะราช ๓

และการวางตัวทีเ่ หมาะสมพฤตกิ รรม รว่ มในการทางาน

ดา้ นภาวะผนู้ า และความรบั ผิดชอบตลอดจนมวี นิ ยั ๑. กาหนดให้มรี ายวิชาซงึ่ นิสิตต้องทางานเป็นกลมุ่ และมีการ

ในตนเอง กาหนดหัวหน้ากลมุ่ ในการทารายงานตลอดจน กาหนดใหท้ ุกคน

มีส่วนร่วมในการนาเสนอรายงาน เพอ่ื เป็นการฝึกให้นิสติ ได้สรา้ ง

ภาวะผู้นาและการเป็นสมาชิกกลมุ่ ทีด่ ี

๒. มกี ิจกรรมนสิ ติ ท่ีมอบหมายให้นสิ ิตหมนุ เวียนกันเปน็ หวั หน้า

ในการดาเนนิ กิจกรรม เพือ่ ฝึกให้นิสิตมีความรับผดิ ชอบ

๓. มกี ตกิ าท่ีจะสร้างวนิ ยั ในตนเอง เชน่ การเข้าเรียนตรงเวลา

เรยี นอยา่ งสมา่ เสมอการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน เสริมความกล้าใน

การแสดงความคิดเห็น

จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณวิชาชพี มกี ารใหค้ วามร้แู กน่ สิ ิตเก่ียวกับการเรียนระดับอดุ มศึกษาและมี

จรรยาบรรณต่อการทาหน้าท่ีนสิ ติ ความเป็นผู้เรียนตามหลัก

พระพุทธศาสนา และกฎหมายระเบียบที่เก่ยี วขอ้ งกับนสิ ิต

๒. การกระจายความรบั ผดิ ชอบมาตรฐานการเรียนรู้จากหลกั สูตรสู่รายวิชา(Curriculum mapping)

๑.คุณธรรม จรยิ ธรรม ๒.ความรู้ ๓.ทักษะทางปัญญา ๔.ทักษะความ ๕.ทกั ษะการวิเคราะห์

สัมพนั ธร์ ะหวา่ ง ตวั เลขการสือ่ สาร

บุคคลและความ และการใช้เทคโนโลยี

รบั ผิดชอบ สารสนเทศ

๑ ๒๓ ๔ ๕๑ ๒๓๔ ๕ ๑๒๓๔๕ ๑ ๒ ๓ ๔๑ ๒ ๓๔

     

๒.๑ คณุ ธรรม จริยธรรม

๒.๑.๑ ผลการเรยี นรูด้ า้ นคณุ ธรรม ๒.๑.๒ กลยุทธ์วธิ ีการสอน ๒.๑.๓ กลยุทธ์วธิ กี ารประเมินผล

จรยิ ธรรม ๑) ใชก้ ารสอนแบบบรรยายดว้ ย ๑) พฤติกรรมการเขา้ เรยี น

พฒั นาให้ผู้เรียนมคี วามรบั ผดิ ชอบ มี การส่อื สารสองทาง เปิดโอกาสให้ และส่งงานที่ได้รบั มอบหมายตาม

วนิ ยั มีจรรยาบรรณในวิชาชพี นาหลักทาง นสิ ติ มกี ารต้งั คาถามและตอบคาถาม ขอบ เขตท่ใี ห้และตรงเวลา

ธรรมไป ประยกุ ต์ใชอ้ ย่าง ถูกต้อง หรือแสดงความคิดเห็นทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั ๒) มีการอา้ งองิ เอกสารที่ไดน้ า

เหมาะสมโดยมีคณุ ธรรม จริยธรรมตาม คณุ ธรรม จรยิ ธรรมในชนั้ เรยี น มาทารายงาน อย่างถูกต้องและ

คุณสมบตั ิของหลักสูตร ดังนี้ ลกั ษณะการสอด แทรกในเนื้อหา เหมาะสม

ความรบั ผดิ ชอบหลัก ๒) ยกตวั อย่างกรณศี ึกษาบคุ คล ๓) ประเมนิ ผลการวเิ คราะห์

๑) มศี ลี ธรรม จริยธรรมคณุ ธรรม ที่ ขาดความรับผดิ ชอบตอ่ หน้าทแ่ี ละ กรณีศึกษาประเมินผลการ

ซอื่ สตั ยส์ ุจรติ การประพฤติทีผ่ ิดจรรยาบรรณใน นาเสนอรายงานที่มอบหมาย

๓) เคารพสิทธิ ศักด์ิศรีความเป็น วชิ าชีพ ๔) ประเมนิ ผลจากพฤติกรรม

มนษุ ย์ และรบั ฟงั ความคิดเห็นของคนอืน่ ๓) อาจารยป์ ฏบิ ตั เิ ป็นตวั อย่าง ที่แสดงออกในช้ันเรยี นและใน

ความรับผิดชอบรอง ทางศลี ธรรม จริยธรรม โอกาสที่สาขาวชิ าหรือ

๒) มจี ิตสาธารณะ มคี วามเสีย สละ มหาวทิ ยาลยั จดั กิจกรรมต่าง ๆ ท่ี

มีวินยั เก่ียวขอ้ งกบั คุณธรรม จริยธรรม

๔) เหน็ คณุ ค่าศลิ ปวฒั นธรรมและ กรสมั มาคารวะต่อผอู้ าวโุ สหรือ

ภมู ิปญั ญาท้องถ่ิน คณาจารย์

วชิ าเทคนคิ การศกึ ษาระดับอุดมศึกษา อนสุ รณ์ นามทะราช ๔

๕) ประพฤติตนเป็นแบบอยา่ งที่ดี ๕) การตรวจสอบการมีวนิ ยั

ตอ่ สงั คม ชาติ ศาสนา ตอ่ การเรียน การตรงต่อเวลาใน

ชน้ั เรยี นและการสง่ งาน

มอบหมาย

๖) ประเมนิ รบั ฟังความคดิ เหน็

ของผู้อน่ื โดยนิสติ อื่น ๆ ในรายวชิ า

๗) การใช้ระบบนิสิตประเมิน

ตนเอง เพอ่ื พัฒนาและรู้ตนเอง

๒.๒ ความรู้

๒.๒.๑ ความรูท้ ่ีต้องได้รับ ๒.๒.๒ กลยุทธ์วธิ ีการสอน ๒.๒.๓ กลยุทธ์วิธีการประเมินผล

ความรบั ผิดชอบหลกั ๑) บรรยาย/อภปิ ราย/การทางาน ๑) มกี ารทาแบบฝกึ หัด ท้าย

๑) มอี งค์ความรู้ ความเขา้ ใจและ กลมุ่ การนาเสนอรายงาน โดยการมอบ ชัว่ โมง การสอบย่อย สอบ

เป็นระบบสามารถวเิ คราะหป์ ัญหา หมายงานให้ คน้ ควา้ แบบ งานการ ระหว่างภาค และสอบปลายภาค

๓) มคี วามรใู้ นศาสตร์ทีเ่ ป็นพนื้ ฐาน เรียนรแู้ บบบรู ณาการ เน้นผเู้ รียนเปน็ ๒) การตรวจผลงานรายบคุ คล

ของชวี ิตและสามารถนามาปรบั ใชใ้ นการ สาคญั (ศูนย์กลาง) จากงานท่ีมอบหมายคุณภาพและ
ดาเนนิ ชีวติ ได้
๒) มีการศึกษานอกสถานที่ทเ่ี กย่ี ว ผลของชน้ิ งาน
ความรับผดิ ชอบรอง
กับเรือ่ งทเ่ี รยี นการสอนรายวิชา ๓) การเข้าช้นั เรยี น สังเกต
๒) ใช้ความรู้มาอธิบายปรากฏการณ์ ๓) มีการให้ศกึ ษาจากหลักสูตรท่ี การทางานเป็นกล่มุ และ
ทีเ่ กิดข้ึนได้อย่างมเี หตผุ ล
เป็นหลักสตู รจรงิ เพอ่ื นาไปสู่การใช้ รายบคุ คล การมีสว่ นร่วมในงานท่ี
๔) มีความรอบรเู้ ท่าทนั การเปลย่ี น หลกั สตู รในอนาคต
แปลงทั้งของไทยและสากล มอบหมาย

๓) มีการศกึ ษานอกสถานที่ที่เก่ียว
๕) ความสามารถเข้าใจความกา้ วหน้า กับเรอื่ งคุณธรรมจรยิ ธรรม ในโรงเรียน
ของความร้ใู นปัจจุบันและงานวิจยั
ตา่ ง ๆ

๔) มกี ารเข้ากลมุ่ เพื่อการศึกษาค้น

ควา้ และแลกเปลีย่ นเรียนซึ่งกันและกัน

๕) การศกึ ษาโดยใชป้ ญั หา Problem

base learning และ Student Canter

เน้นผเู้ รียนเปน็ ศูนยก์ ลาง

๒.๓ ทกั ษะทางปญั ญา

๒.๓.๑ ทักษะทางปัญญาที่ตอ้ งพัฒนา ๒.๓.๒ กลยุทธ์วิธีการสอน ๒.๓.๓ กลยุทธ์วิธีการประเมินผล

ความรบั ผดิ ชอบหลกั ๑)เรยี นรกู้ รณีศึกษาและร่วมกนั ๑) มีการทาแบบฝึกหัด ทา้ ย

๑)สามารถสบื คน้ ข้อมูลวเิ คราะห์ ทาอภิปรายกลมุ่ ช่วั โมง การสอบย่อย สอบ

ความเข้าใจ และนาไปประยุกต์ใช้ได้ ๒)รายวิชาปฏิบตั ิ ผู้เรยี นต้อง ฝึก ระหวา่ งภาค และสอบปลายภาค

๒)สามารถคดิ วเิ คราะห์ อย่างเป็น ปฏิบตั ิเพอ่ื ใหเ้ กดิ การเรียนรู้ สามารถ ๒) การตรวจผลงานรายบคุ คล

ระบบและมีเหตผุ ล อ้างอิงได้ นาไปประยุกตใ์ ชไ้ ด้ จากงานที่มอบหมายคุณภาพและ

๓)สามารถประยกุ ต์ความรู้และ ๓)มกี ารศึกษาค้นคว้าในรูปรายงาน ผลของชน้ิ งาน

ทกั ษะเพ่ือแกป้ ัญหาไดอ้ ย่างเหมาะสม โครงงานและนาเสนอ ๓) การเขา้ ช้ันเรยี น สังเกต

๔) มคี วามม่งุ ม่ัน ใฝ่รู้ เพ่ือการ ๔) ศึกษาดงู าน เรยี นรู้จากสภาพ การทางานเปน็ กล่มุ และ

วชิ าเทคนิคการศกึ ษาระดับอุดมศึกษา อนสุ รณ์ นามทะราช ๕

เรียนรู้ตลอด และสามารถนาความรไู้ ปโยง จรงิ เพ่ือให้เกดิ ประสบการณ์ตรง รายบคุ คล การมีส่วนร่วมในงานที่

เชอ่ื มกับภูมปิ ญั ญาท้องถน่ิ ได้ ๔) การตอบคาถามจาก

ความรับผิดชอบรอง ปญั หาและการแสดงความคิดเหน็

๕)รายวิชาปฏบิ ตั ิ ผ้เู รยี นต้องฝึก วิเคราะหป์ ัญหาและการศึกษา

ปฏบิ ตั เิ พอ่ื ให้เกิดการเรยี นรู้สามารถนา ไป

ประยุกต์ใช้ได้

๒.๔ ทกั ษะความสัมพนั ธ์ระหวา่ งบุคคลและความรบั ผิดชอบ

๒.๔.๑ กลยุทธ์ทกั ษะความสัมพนั ธ์ ๒.๔.๒ กลยุทธ์วธิ ีการสอน ๒.๔.๓ กลยุทธ์วธิ กี ารประเมินผล

ระหว่างบคุ คลและความรบั ผิดชอบทีต่ ้อง ๑)มีการมอบหมายงานให้ผู้เรียน ๑) มีการทาแบบฝกึ หดั ท้าย

พฒั นา ทางานเป็นกลุ่มเพ่ือเรยี นรู้ความรับ ช่ัวโมง การสอบย่อย สอบ

ความรบั ผดิ ชอบหลัก ผิดชอบ และการเปน็ สมาชิกที่ดขี อง ระหว่างภาค และสอบปลายภาค

๑)มีความรับผิดชอบต่อตนเองและ กลุม่ ๒) การตรวจผลงาน

สังคม ๒)กลยทุ ธ์การสอนทเ่ี น้นการสร้าง รายบคุ คลจากงานทม่ี อบหมาย

๒)เป็นสมาชิกท่ีดีของกลุ่มทั้งในฐานะ ความสัมพนั ธ์ที่เอ้ือต่อการเรยี นรู้ คณุ ภาพและผลของชนิ้ งาน

ผนู้ าและผู้ตาม ระหวา่ งผู้เรียน กบั ผ้เู รียน และผู้เรยี น ๓) การเขา้ ช้ันเรียน สงั เกต

๓)มมี นุษยสัมพนั ธ์ รูจ้ ักจดั การ กับผสู้ อน การทางานเป็นกลมุ่ และ

อารมณ์ และยอมรบั ความแตกตา่ ง ๓) จดั กจิ กรรมการเรียนการสอน รายบคุ คล การมีส่วนรว่ มในงานท่ี

ระหวา่ งบุคคล เพอื่ ให้ผเู้ รยี นเรียนรู้การปรับตัวเข้ากับ ๔) การตอบคาถามจาก

ความรับผิดชอบรอง สถานการณ์ การจัดการอารมณ์ การ ปญั หาและการแสดงความคิดเห็น

๔) มีความสามารถในการบริหาร มมี นุษยสัมพนั ธท์ ่ีดีกับบคุ ลอ่นื วิเคราะหป์ ัญหาและการศกึ ษา

จัดการ

๒.๕ ทกั ษะการวเิ คราะห์เชงิ ตัวเลข การสอ่ื สาร และการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ

๒.๕.๑ ทักษะการวิเคราะหเ์ ชิง ๕.๒ กลยทุ ธ์วิธีการสอน ๕.๓ กลยุทธ์วิธีการประเมินผล

ตวั เลขการสือ่ สาร และการใช้เทคโนโลยี ๑) การสอนทฤษฎี ๑) การจดั ทารายงาน และนา

สารสนเทศท่ตี ้องพัฒนา - ดว้ ยวิธบี รรยาย เน้อื หาสาระ เสนอดว้ ยสอ่ื เทคโนโลยี

ความรบั ผิดชอบหลัก ประกอบสือ่ การสอน PowerPoint ๒) การมสี ่วนร่วมในการ

๑)มีทกั ษะในการใช้ภาษา องั กฤษ - การสมั มนากลุ่มย่อย โดยการ อภิปราย และวธิ กี ารอภิปราย

และไทย เพ่ือการส่ือสารได้อย่างเหมาะสม ให้หันหน้าเข้าหากันปรึกษาและลง

๒)มที ักษะในการใช้ภาษาต่าง ความเห็นในตอบ

ประเทศ เพือ่ การสือ่ สารไดอ้ ยา่ งเหมาะสม - การเสนอรายงานรูปเล่ม ทง้ั

ความรับผดิ ชอบรอง รายกลุ่มและรายบคุ คล

๓)มที ักษะในการใชเ้ ทคโนโลยี - การเชญิ วิทยากรผู้ทรงคณุ วุฒิ

สารสนเทศ เพื่อการสืบคน้ และการนาเสนอ บรรยายเสริม

ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ๒) การสอนภาคปฏิบัติ

๔) มที กั ษะในการประยุกตใ์ ช้ความรู้ - การศึกษาเอกสารประกอบ

ทางคณิตศาสตร์ได้อยา่ งเหมาะสม การเรียนตา่ ง ๆ

- นิสติ ได้สัมพันธ์กับแนวค้นคว้า

การลงมือจริงของการแสวงหาความรู้

วชิ าเทคนคิ การศึกษาระดบั อุดมศึกษา อนสุ รณ์ นามทะราช ๖

- มอบหมายงานให้ศกึ ษาค้นควา้
ดว้ ยตนเอง จาก website ส่อื การสอน
e-learning และทารายงาน โดยเน้น
การนาตวั เลข หรือมีสถิตอิ ้างอิง จาก
แหล่งท่ีมาข้อมูลท่นี า่ เชื่อถือ

หมวดที่ ๕ แผนการสอนและการประเมินผล

๑. แผนการจัดการเรียนรู้

สัปดาห์ หัวข้อ/รายละเอยี ด จานวน กจิ กรรมการเรียนการ ผสู้ อน/บรรยาย
ท่ี ชวั่ โมง สอน/สื่อที่ใช้ (ถา้ มี)

๑ ช้แี จง -แนะนาการเรยี น

ก. แจง้ สงั เขปรายวชิ า -ซักถามขอ้ สงสัย

ข. แผนการจัดการเรยี นการสอน -บรรยาย/สอื่ ผศ.อนุสรณ์ นามทะราช
ค. การศึกษาและแหลง่ ค้นคว้า ๒ -ทดสอบก่อนเรียน อ.วิรัตน์ ทองภู

ง. แจง้ จุดประสงค์การเรยี น -รายละเอยี ดวิชา

บทท่ี ๑ มนุษย์กบั การเรียนรู้ -PowerPoint

๑.๑ การเรยี นร้ขู องมนุษย์ -ใช้ระบบออนไลน์

๒ บทที่ ๑ มนษุ ย์กบั การเรยี นรู้ (ตอ่ ) ๒ -บรรยาย/สอ่ื

๑.๒ มนษุ ยก์ ับความสามารถการเรยี นรู้ -ใบกิจกรรม ผศ.อนสุ รณ์ นามทะราช
๑.๓ การเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง -PowerPoint

๑.๔ การเกดิ การเรยี นรู้ -เอกสารวิชา

๑.๕ แหล่งความรแู้ ละแหล่งคน้ ควา้ -ใชร้ ะบบออนไลน์

๓ บทท่ี ๒ การใช้ห้องสมุด แนะนาการค้นคว้า

๒.๑ ความหมาย,วตั ถุประสงค์ห้องสมุด ศกึ ษากรณีศกึ ษา อ.นิรันดร เลิศวีรพล
๒.๒ พฒั นาการและห้องสมดุ ในอนาคต ๒ อภปิ ราย

๒.๓ วสั ดหุ อ้ งสมดุ และการจดั การห้องสมุด -PowerPoint

บทท่ี ๒ การใช้ห้องสมุด (ต่อ) -บรรยาย
๒ -ศกึ ษากรณีศึกษา
๒.๔ ระเบยี บ,วธิ ีใช้บริการห้องสมุด -อภิปราย ตวั อย่างการ อ.นิรนั ดร เลิศวีรพล
๔ ๒.๕ บัตรรายการ

๒.๖ เลขหม่หู นังสือ อินเทอร์เน็ต

๒.๗ คอมพิวเตอรเ์ พื่อการศึกษาค้นควา้ -PowerPoint

บทท่ี ๓ ความรูเ้ กีย่ วกับหนงั สือ -นาสือ่ ให้ใหศ้ ึกษาอธิบาย

๓.๑ ความหมาย ความสาคัญ -ศกึ ษากรณศี ึกษา อ.วริ ัตน์ ทองภู
๕ ๓.๒ วตั ถุประสงคแ์ ละประโยชน์ ๒ -อภิปรายรว่ มกนั

๓.๓ องค์ประกอบของหนงั สือ -ศกึ ษาจากเขา้ ห้องสมุด

๓.๔ การเลือกใช้หนังสอื -ใชร้ ะบบออนไลน์

วิชาเทคนคิ การศึกษาระดบั อุดมศกึ ษา อนสุ รณ์ นามทะราช ๗

สัปดาห์ หัวข้อ/รายละเอยี ด จานวน กจิ กรรมการเรียนการ ผสู้ อน/บรรยาย
ที่ ชว่ั โมง สอน/ส่ือที่ใช้ (ถา้ ม)ี อ.วริ ัตน์ ทองภู

บทที ๓ ความรูเ้ กี่ยวกับหนังสอื (ต่อ) -บรรยายประกอบสื่อ ผศ.อนสุ รณ์ นามทะราช
-ศกึ ษากรณีศึกษา
๓.๕ ประเภทหนงั สอื ๒ -ใบกิจกรรม
๖ ๓.๖ หนงั สอื อา้ งองิ -PowerPoint
-ใช้ระบบออนไลน์
๓.๖ หนงั สือพมิ พ์,วารสาร,สง่ิ พมิ พ์ต่าง ๆ
-บรรยาย/PowerPoint
๓.๗ วิธีอ่านและดูแลรักษาหนังสือ -ตวั แทนนสิ ติ วเิ คราะห์
๒ -จบั ประเด็นแล้วเขยี น
บทท่ี ๔ การแสวงหาความรู้ -อภิปราย
-ใชร้ ะบบออนไลน์
๔.๑ แหลง่ ความรูห้ รือศนู ย์ความรู้
๗ ๔.๒ การอ่าน

๔.๓ การฟงั

๔.๔ เทคนิควิธกี ารอ่าน

๔.๕ เทคนคิ วธิ กี ารฟงั

บทท่ี ๔ การแสวงหาความรู้ -เข้ากลุ่มค้นควา้
-นิสติ เข้าหอ้ งสมุด
๔.๖ การไตถ่ าม ๒ -นาขอ้ มลู มาวิเคราะห์
๘ ๔.๗ การจดบันทึก -ใชร้ ะบบออนไลน์ ผศ.อนสุ รณ์ นามทะราช

๔.๘ การศกึ ษาดูงานและการสัมมนา

๔.๙ เทคนิควธิ กี ารถามและการจดบันทกึ

๙ สอบวดั ผลระหวา่ งภาคเรียน ๒ ข้อสอบ ๘๐ ข้อ

บทที ๕ การเรียนเป็นกลุ่มและกจิ กรรม -บรรยายประกอบส่อื
๒ -ศึกษากรณีศึกษา
เสริมความรู้
๑๐ ๕.๑ ความหมาย,จุดมหุ มาย -อภปิ ราย อ.วิรตั น์ ทองภู
-ใช้ระบบออนไลน์
๕.๒ ประเภทของกล่มุ และประโยชน์

๕.๓ การแบ่งกลมุ่ กิจกรรมการเรยี นรู้

บทท่ี ๕ การเรียนเปน็ กลมุ่ และกิจกรรม -บรรยาย/PowerPoint

เสริมความรู้ -ศกึ ษากรณีศึกษา
๑๑ ๕.๔ ความสาคัญของกจิ กรรมเสรมิ ๒ -อภิปราย ตัวอย่างระบบ อ.วิรัตน์ ทองภู

๕.๕ ลกั ษณะของกิจกรรมการเรียนรู้ -ศกึ ษาปญั หาโครงงาน

๕.๖ กิจกรรมเสรมิ ความรู้ทั่วไป -ตอบแบบฝกึ หัด

บทท่ี ๖ การเขยี นรายงานและภาคนพิ นธ์ -นาเอกสารมาเสนอ

๖.๑ ความหมายและความสาคัญ -ศึกษากรณศี ึกษา
๑๒ ๖.๒ วตั ถุประสงค์การเขียนรายงาน ๒ -ตวั แทนอภิปราย ผศ.อนสุ รณ์ นามทะราช

๖.๓ ลกั ษณะและส่วนประกอบ

บทท่ี ๖ การเขยี นรายงานและภาคนิพนธ์ บรรยาย

๖.๔ ลาดับความสาคญั รายงาน ศกึ ษากรณีศกึ ษา ผศ.อนสุ รณ์ นามทะราช
๑๓ ๖.๕ ความหมายและวัตถปุ ระสงค์ ๒ นสิ ิตช่วยวเิ คราะหร์ ะบบ

๖.๖ ระเบยี บวิธกี ารเขียนภาคนิพนธ์ จากสถานการณจ์ ริง

วิชาเทคนิคการศกึ ษาระดบั อดุ มศึกษา อนสุ รณ์ นามทะราช ๘

สัปดาห์ หวั ข้อ/รายละเอียด จานวน กิจกรรมการเรยี นการ ผู้สอน/บรรยาย
ที่ ชวั่ โมง สอน/สื่อทีใ่ ช้ (ถา้ ม)ี อ.วิรตั น์ ทองภู
๑๔ -บรรยายประกอบสื่อ
บทท่ี ๗ ความรเู้ รื่องสารสนเทศและการ -อภิปราย ผศ.อนุสรณ์ นามทะราช
๑๕ เรียนรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑ -คอมพวิ เตอรใ์ นปจั จุบนั ผศ.อนสุ รณ์ นามทะราช
๑๖ -ใช้ระบบออนไลน์ อ.วริ ัตน์ ทองภู
๗.๑ ความหมายและจดุ ประสงค์ ๒
๗.๒ การศึกษาดูงานและหอ้ งโสตทศั น์ ๒ บรรยายประกอบสอื่
๗.๓ การใช้บริการค้นคว้าดว้ ยคอมพวิ เตอร์ ศกึ ษากรณีศึกษา
๗.๔ การใช้บรกิ ารตอบคาถาม อภปิ ราย
๗.๕ การเรยี นรูใ้ นศตวรรษท่ี ๒๑ คอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน
- บรรยาย
บทที่ ๘ เทคนคิ การสอบ - อภปิ ราย/ซักถาม
๘.๑ การเตรยี มตัวกอ่ นสอบ
๘.๒ หลกั การสอบข้อสอบปรนยั

๘.๓ หลักการสอบขอ้ สอบอัตนัย

๑. สรุปเนอื้ หาทั้งหมด ๒
๒ .แนะแนวข้อสอบและการเตรยี มตวั สอบ

๒. แผนการประเมนิ ผลการเรียนรู้

กิจกรรม ผลการเรยี นรู้ กิจกรรมการประเมนิ กาหนดการ สดั สว่ นการ
ประเมิน ประเมิน
๑ ความรู้และทักษะการวเิ คราะหห์ ลกั สูตรและ
๘/๑๕ ๓๐

การใช้หลักสูตร พร้อมการจัดสาระรายวชิ า -นาเสนอรายงานรูปเลม่

๒ ความรู้ ความเขา้ ใจ การสอบระหวา่ งภาค ๘ ๒๐
๑๑-๑๖ ๓๐
๓ ความรูก้ ารจัดสาระและการเขียนแผนการ -การสอบภาคทฤษฎีและ

จัดการเรยี นร้/ู การทาสอ่ื การสอน ภาคปฏบิ ตั ิ

๔ ความรับผดิ ชอบต่อการเรยี น การเขา้ ชนั้ เรยี น ทกุ ชวั่ โมง ๑๐
ทุกสัปดาห์ ๑๐
๕ ทักษะความสัมพันธ์ ระหวา่ งบุคคลและ การสังเกต/การทางานกลมุ่

ความรับผิดชอบ

หมวดที่ ๖ ทรพั ยากรประกอบการเรียนการสอน

๑. เอกสารและตาราหลัก
อนุสรณ์ นางทะราช. เทคนคิ การศกึ ษาระดบั อุดมศกึ ษา. ขอนแกน่ : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั

วทิ ยาเขตขอนแก่น, ๒๕๖๑.

๒ .เอกสารและข้อมลู สาคัญ
ชนะ เวชกุล. การเขยี นรายงานจากการค้นคว้า. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๙.
ชานาญ นศิ ารัตน์. การค้นคว้าและการเขียนรายงาน. กรงุ เทพฯ : กรมการศึกษานอกโรงเรยี น, ๒๕๓๐.
ชัยวัฒน์ อัตพัฒน์. ญาณวิทยา. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง, ๒๕๒๘.
ดนยั ไชยโยธา. หลกั การเรียนการสอนในสภาการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ :โอ.เอส พรนิ้ ติง้ เฮาส์, ๒๕๒๔.

วิชาเทคนคิ การศึกษาระดบั อุดมศกึ ษา อนุสรณ์ นามทะราช ๙

ทิพวรรณ หอมพูล และคณะ. เทคนคิ การคน้ หาข้อมลู การเขียนรายงานและการใช้ห้องสมดุ . กรุงเทพฯ :
ฟสิ กิ ส์เซ็นเตอร์, ๒๕๔๒.

ธาดาศักด์ิ วชิรปรชี าพงษ์. บรรณารักษ์ศาสตรเ์ บอื้ งต้น. กรงุ เทพฯ : โอ.เอสพริน้ ติง้ เฮาส์, ๒๕๒๔.
นรนิ ทร์ บญุ ชู . เทคนคิ การสอบไลใ่ หไ้ ด้คะแนนดี .กรุงเทพฯ : ขา่ วรามคาแหง , ๒๕๒๙.
.----------การสอนทักษะวธิ กี ารศกึ ษาค้นควา้ ด้วยตนเอง .กรุงเทพ ฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง ,

๒๕๓๑.
บุญธรรม กิจปรีชาบรสิ ุทธิ์. คมู่ ือการวิจัย การเขยี นรายงาน. กรงุ เทพฯ :มหาวิทยาลัยมหดิ ล, ๒๕๓๒.
ประชมุ เปยี่ มสมบูรณ์. การวิจยั ประเมินผล. กรงุ เทพฯ : การพิมพพ์ ระนคร, ๒๕๓๐.
พวา พนั ธุ์เมฆา. สารนิเทศการศกึ ษาค้นควา้ . กรงุ เทพฯ : พญาไทยการพิมพ์, ๒๕๓๕.
ไพฑรู ย์ สนิ ลารัตน์. การวจิ ัยทางการศึกษา, กรงุ เทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๐.
ภิญโญ สาธร .เรยี นอยา่ งไรจงึ จะเก่ง สอบอย่างไรจึงจะได้ .กรงุ เทพฯ : วฒั นพานชิ ,๒๕๒๘.
รัญจวน อนิ ทรกาแหง. การใชห้ อ้ งสมดุ . กรุงเทพฯ : วฒั นาพานชิ , ๒๕๑๘.
ลมลุ รตั นากร,ดร. การใช้ห้องสมดุ . กรงุ เทพมหานคร:วฒั นาพานิช, ๒๕๒๒
วัลลภ สวัสวิ ัลลภ. คมู่ ืองานเทคนิคและการฝกึ งานห้องสมุด. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อักษรไทย, ๒๕๓๒.
วิจติ ร บุญยชโรกุล. เทคโนโลยเี ทคนิคการศกึ ษา. กรุงเทพฯ : เอเชียการพิมพ์, ๒๕๒๙.
วาณี ฐาปนวงศ.์ หอ้ งสมุดและการศึกษาค้นคว้า. กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮาส์, ๒๕๒๙.
สโุ ขทยั ธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัย. พ้นื ฐานการศกึ ษา. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัย สโุ ขทยั ธรรมาธิราช, ๒๕๓๐.
สัมฤทธิ์ รัตนดารา .เรียนอย่างไรจงึ จะสาเรจ็ ไดป้ ริญญา .กรุงเทพฯ : ชมรมนักกฎหมายชาวบ้านแหง่ ประเทศ

ไทย ,๒๕๒๘ .
สปุ ราณี สนธริ ตั น .วิธีเพิ่มสมรรถภาพในการเรยี น .กรงุ เทพฯ : คณะสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์,

มปป.
สุวทิ ย์ มูลคาและอรทัย มูลคา .การเรยี นรูส้ ู่ครูมอื อาชีพ .กรงุ เทพฯ : ดวงกมลสมยั ,๒๕๔๔.
อารีย์ พันธ์มณี,รศ.ดร.. จิตวทิ ยาการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ: ต้นอ้อ๑๙๙๙ ,มปป.
อาไพวรรณ ทพั เปน็ ไทย. การเขียนรายงานและการใชห้ ้องสมดุ . กรงุ เทพฯ : ศนู ย์ส่งเสรมิ อาชวี ะ , ๒๕๔๐.

๓. เอกสารและขอ้ มลู สาคญั (ภาษาอังกฤษ)
Trmp J. and Delmas F. Miller. Secondary Curriculum Improvement : Proposals and

Procedures.Boston: Allyn and Bacon, ๑๙๖๘.
Taba, Hilda. Curriculum Development : Theory and Practice. New York: Harcourt Brace and

World, ๑๙๖๒.
Kenneth S. Goodman and Olive S. Niles, Reading Process and Program (Urbana, ILL.:

National Council of Teacher of English, 1970), pp.3-6
Jim D. Chughey and Johnson W. Arlee, Speech Communication (N.Y. : Macmillan

Publishing,1975) P.35.

๔. เอกสารและขอ้ มลู แนะนา
เวบ็ ไซด์ ที่เกีย่ วกบั หัวข้อในประมวลรายวชิ า เชน่ wikipedia คาอธิบายศัพท์
-www.ru.ac.th หอ้ งสมดุ อิเลกโทนิคส์

วิชาเทคนคิ การศึกษาระดบั อุดมศึกษา อนุสรณ์ นามทะราช ๑๐

หมวดท่ี ๗ การประเมนิ และปรับปรงุ การดาเนินการของรายวิชา

๑. กลยุทธ์การประเมินประสทิ ธิผลของรายวชิ าโดยนสิ ิต
๑.๑ ประเมนิ ผลการสอนโดยใช้ระบบออนไลน์
๑.๒ สอบถามความคิดเหน็ นสิ ติ ในสัปดาห์สุดท้ายของภาคเรยี น โดยมีแบบสอบถาม
๑.๓ ให้นิสติ แสดงความคดิ เห็นในการสอนในสัปดาห์สดุ ทา้ ย ดว้ ยการเขยี นบทความสง่
๑.๔ นสิ ิตสามารถลงแสดงความคิดเหน็ ในคอมพิวเตอรไ์ ด้ คอื อีเมลของอาจารย์

๒. กลยทุ ธ์การประเมนิ การสอน
ในการเก็บข้อมลู เพื่อประเมินการสอน ไดม้ กี ลยทุ ธ์ ดงั น้ี
- การสงั เกตการณก์ ารสอนของกจิ กรรมการสอนและการต้ังใจเรยี นของผูเ้ รียน
- การจดั การวัดผลการสอนดว้ ยแบบประเมนิ ผลทนี่ สิ ติ เป็นผ้ใู ห้ข้อมลู
- การทวนสอบผลประเมนิ การเรียนรู้
- จดั ประชมุ ระดมความคดิ เห็นจากคณาจารย์ผสู้ อนระดบั วทิ ยาลัย ในปลายภาคเรียน
- จดั ประชุมย่อยปรึกษาและเสนอแนะคณาจารยใ์ นระดับสาขาวิชาในภาคการเรียน
- ไดม้ ีการทาวจิ ยั เกีย่ วกับการใช้ PowerPoint

๓. การปรบั ปรุงการสอน
หลงั จากผลการประเมนิ การสอนในข้อ ๒ จงึ มีการปรับปรุงการสอน โดยการจัดกิจกรรมในการระดมสมอง และ

หาขอ้ มูลเพิม่ เติมในการปรับปรงุ การสอน ดังนี้
๓.๒ สมั มนาการจดั การเรียนการสอน
๓.๑ การวจิ ยั ในและนอกช้นั เรียน
๓.๓ นาผลการประเมินทกุ อย่างมาใช้ในการสะท้อนการสอนเพือ่ การปรบั ปรุงการเรยี นการสอนของรายวิชา
๓.๔ ศกึ ษาค้นคว้าเพิ่มเตมิ ความรใู้ หม่ ๆ เกย่ี วกบั การจัดการศึกษาระดบั อุดมศึกษามาใชใ้ นการสอน
๓.๕ กลุ่มสายอาจารย์ไดม้ กี ารจดั อบรมสมั มนา/อภปิ ราย/เสวนา เก่ียวกับการพัฒนาการเรียนการ

สอนทุกปีการศึกษา เพ่อื มาประกอบการพฒั นารายวิชาให้มสี าระและการสอนให้เหมะสมและนา่ สนใจตลอดเวลา
๓.๖ ในช่วงการเกิดโรคระบาด อาจจะมกี ารสอนผ่านทางออนไลน์ โดยใชโ้ ปรแกรม Meed

๔. การทวนสอบมาตรฐานผลสมั ฤทธิข์ องนักศกึ ษาในรายวชิ า
ในระหวา่ งกระบวนการสอนรายวชิ า มีการทวนสอบผลสมั ฤทธ์ใิ นรายหัวขอ้ ตามที่คาดหวังจากการเรียนรู้ใน

วชิ า ไดจ้ าก การสอบถามนสิ ติ หรือการส่มุ ตรวจผลงานของนิสติ รวมถงึ พิจารณาจากผลการทดสอบย่อย และหลังการ
ออกผลการเรยี นรายวชิ า มีการทบทวนสอบผลสมั ฤทธ์ิโดยรวมในวชิ าได้ดังน้ี

- การทวนสอบการใหค้ ะแนนจากการสมุ่ ตรวจผลงานของนิสติ โดยอาจารยอ์ ืน่ หรือผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ไมใ่ ช่
อาจารยป์ ระจาหลักสตู ร

- มกี ารตัง้ คณะกรรมการในสาขาวชิ า ตรวจสอบผลการประเมินการเรียนร้ขู องนสิ ติ โดยตรวจสอบขอ้ สอบ
รายงาน วธิ กี ารให้คะแนนสอบ และการให้คะแนนพฤติกรรม

- ใหน้ สิ ิตไดม้ โี อกาสตรวจสอบการใหค้ ะแนนทุกอยา่ งและการให้เกรดของรายวิชาตรวจสอบความ
ถกู ต้องก่อนการนาส่งฝ่ายทะเบยี นของมหาวทิ ยาลัย

๕. การดาเนนิ การทบทวนและการวางแผนปรับปรุงประสทิ ธิผลของรายวิชา
จากผลการประเมิน และทวนสอบผลสัมฤทธป์ิ ระสิทธผิ ลรายวิชา ไดม้ กี ารวางแผนการปรบั ปรุงการสอน และ

รายละเอียดวชิ า เพ่ือใหเ้ กดิ คุณภาพมากขน้ึ ดงั นี้
- ปรบั ปรุงรายวิชาทกุ ๓ ปี หรอื ตามข้อเสนอแนะและผลการทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธต์ิ ามข้อ ๔

วชิ าเทคนคิ การศกึ ษาระดบั อุดมศึกษา อนุสรณ์ นามทะราช ๑๑

- เปลีย่ นหรือสลับอาจารยผ์ ูส้ อน เพอ่ื ใหน้ สิ ติ มีมุมมองในเร่ืองการประยุกตค์ วามรู้นก้ี บั ปัญหาที่มา จาก
งานวิจยั ของอาจารยห์ รืออตุ สาหกรรมต่าง ๆ

- นาผลท่ีได้จากการสอบความความคิดเหน็ ของนสิ ติ เกี่ยวกับคะแนน มาประชมุ สัมมนา และสรุปผลเพ่ือ
พัฒนารายวชิ าก่อนการสอนในภาคการศึกษาหนา้ ต่อไป

ลงชอ่ื ……………………………………………….………….
(ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์อนุสรณ์ นามทะราช)
ผรู้ บั ผดิ ชอบรายวชิ า/บรรยาย
วนั ที่ ๑๐. /…พ.ค.. /๒๕๖๓.

ลงช่อื ……………………………………………….………….
(อาจารย์วริ ัตน์ ทองภู)
อาจารย์/บรรยาย

วันท่ี ๑๐. /…พ.ค.. /๒๕๖๓.

ลงชอ่ื …………………………………………..………….
(ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์อนุสรณ์ นามทะราช)

ประธานหลักสตู รครุศาสตรบณั ฑติ สาขาวิชาสงั คมศึกษา/พจิ ารณา
วนั ท่ี ๑๕. /…พฤษภาคม. /…๒๕๖๓.

****************

บทท่ี ๑

มนุษยก์ บั การเรียนรู้

๑. การเรียนรูข้ องมนษุ ย์

การเรียนรู้หรอื การรับรู้ของมนษุ ย์ มีการอธบิ ายในเชิงวชิ าการ ตามหลักจติ วิทยาการ
เรียนรกู้ วา้ งขวางมาก ในขณะเดียวกันสิง่ ที่จะนาเสนอตอ่ ไปนี้เปน็ เพยี งสิง่ หนงึ่ ของหลักการเรียนรู้
ของมนุษยเ์ ทา่ นั้น กลา่ วในสิง่ ทใ่ี กล้ตวั เข้ามาเพื่อใหเ้ ขา้ ใจกระจ่างและเห็นความตา่ งของการเรยี นรู้
ของมนุษย์แตล่ ะคน

มนษุ ยต์ ้องการเรียนรหู้ รือแสวงหาความรู้อย่ตู ลอดเวลา ตามท่นี ักการศึกษาทัง้ หลายได้
พดู เอาไว้วา่ “การศึกษาตลอดชีวติ ” เพราะฉะนั้น มนษุ ยต์ ้องมีการเรียนรู้และในขณะเดียวกันกต็ อ้ ง
การได้ความรู้อยูต่ ลอดเวลาเชน่ เดยี วกัน เพราะมนุษย์ต้องดน้ิ รนและสมั ผสั กบั สังคม และมีองค์
ประกอบหลายอยา่ งในสงั คมทม่ี นษุ ยต์ ้องเรยี นรู้อยู่ตลอดเวลา เพ่ือความอยูร่ อดในสงั คม

ซ่งึ ความรู้นน้ั ได้มาโดยอาศยั ปัจจยั ตามหลักการ การเรียนร้ขู องมนุษย์ใหญ่ๆ ๒ ประการคือ
๑. ได้มาเพราะประสบการณ์ โดยอาศัยธรรมชาติ- สง่ิ แวดลอ้ ม
๒. ไดม้ าเพราะแสวงหา โดยอาศัยวิทยาการต่าง ๆ มีการเปลยี่ นแปลงใหมต่ ลอดเวลา
ประสบการณ์ เป็นหลกั การหนึง่ ทท่ี าใหม้ นุษย์เกิดการเรียนรู้ เพราะมนุษย์ตงั้ แต่แรกเกิด
จนถงึ ตาย จะต้องมีสภาพอยู่กับคนอน่ื ในสงั คมและการปรบั ตวั เอง มีการดิ้นรนตอ่ สู้อยูต่ ลอดเวลา
เพราะฉะนั้น ตั้งแตย่ คุ โบราณดกึ ดาบรรพ์ อารยธรรมยงั ไมเ่ จรญิ มนุษย์ต้องอาศยั ธรรมชาตเิ ปน็ ที่พึ่ง
หรอื อยู่กับธรรมชาติ มนุษย์จึงอาศยั ประสบการณ์ที่ไดป้ ระสพกบั สง่ิ ตา่ ง ๆ หรือเผชญิ กับเหตุการณ์
เปน็ การเรียนรู้ ประสบการณ์น้ันทาใหม้ นษุ ย์ได้รับรู้แลว้ เกดิ การเรยี นรู้ ด้วยเหตนุ ี้เองมนุษยจ์ ึงเอา
ความรูน้ ัน้ มาแกป้ ัญหาและปรับปรุงสง่ิ นน้ั ๆ ดว้ ยตนเองใหด้ ีขึ้น
ประสบการณ์ของมนุษย์ มีส่วนทาให้มนุษย์รู้จักธรรมชาติที่จะทาคุณประโยชน์หรือโทษ
ให้กบั ตัวเอง เป็นเหตุปจั จยั หนงึ่ ท่ที าใหม้ นุษยม์ กี ารพัฒนา แก้ไขปัญหาให้มันดีข้ึนไปจากเดิมเมื่อเจอ
ปญั หาน้ันอีกคร้ังหน่งึ
ในขณะเดียวกนั ประสบการณ์ ก็ยังอาศยั ปจั จัยหลาย ๆ ดา้ นด้วยกัน เปน็ องค์ประกอบ
หลกั ท่ีจะทาให้มนุษย์มกี ารเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมไปในทางทด่ี ี ตามท่ีมนษุ ยเ์ กิดการเรยี นรู้จาก
ประสบการณ์ ปจั จัยหลกั ทวี่ ่าน้ันก็ คือ
๑. สภาพแวดล้อม
๒. พันธุกรรม
๓. วุฒภิ าวะ



การเรียนรู้ของมนุษย์ พอจะประมวลได้ว่า คือการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของบุคคลท่ีมี
ผลเนื่องมาจากการได้รบั ประสบการณท์ าให้บคุ คลทเี่ ผชิญกบั สถานการณเ์ ดิมตา่ งไปจากเดมิ
พฤตกิ รรมการเรียนรู้อาจเกดิ จากการลองผดิ ลองถูก เปน็ การวางเง่อื นไขหรือการหยง่ั รู้

สิง่ ทีเ่ กยี่ วขอ้ งกบั การเรียนร้ขู องบคุ คล คอื
- คณุ สมบัตกิ วา้ งๆ ของผเู้ รียน (วุฒิภาวะ)
- ส่ิงท่จี ะเรียนรู้
- วิธีการเรียนรู้
- การจงู ใจในการเรียนรู้

๒. การเรยี นรู้คอื อะไร

มผี ู้ใหค้ ากดั ความของคาวา่ “การเรยี นรู้” ไว้มากมายด้วยกัน อันทจ่ี รงิ ลกั ษณะเน้ือแท้อนั
เปน็ ธรรมชาตขิ องการเรยี นรู้ ว่าเป็นมาอย่างไร เกดิ ตรงไหน มีกระบวนการอย่างไร ยงั เป็นที่
ถกเถยี งกนั ชนิดที่วา่ ไม่มที างท่ีจะยุตลิ งไดง้ า่ ยๆ การเรยี นรมู้ ิใช่พฤติกรรมง่ายๆ อะไรอย่างหน่ึง
หากแต่ย่งุ ยากสลบั ซบั ซ้อนมาก

จะอย่างไรก็ตาม เมื่อพดู วา่ มีปัญญาอ่านหนังสือได้ เรากว็ ่ามปี ัญญาน้ันเรียนรู้ แมวเปิด
ประตู ออกไปกนิ อาหารนอกกรงได้ เรากว็ า่ มันมกี ารเรียนรู้ การพดู คางา่ ยคายากแม้แต่ศพั ท์พลกิ
แพลงต่างๆ นั่นกเ็ ปน็ การเรียนรู้ กน็ บั ว่ามีการเรียน ฯลฯ

จากตวั อย่างทีย่ กมาพอจะพบว่า เมื่อพูดถงึ การเรียนรู้ก็จะต้องมีการแสดงผลของการเรียนรู้
ออกมาใหป้ รากฏ ผลของการเรียนรู้นั้นเป็นอาการตอบสนองของร่างกาย เป็นพฤติกรรมท่ีสร้างข้ึน
ใหม่ หรือเป็นพฤตกิ รรมทีพ่ ฒั นาจากพฤติกรรมเก่า

เพราะฉะนนั้ การเรียนรู้จงึ พอทน่ี ยิ ามได้วา่ คือการสร้างหรือการเปลยี่ นพฤติกรรมของร่าย
กายจากการทร่ี า่ งกายไดส้ งั สนั ต์- สัมพันธ์- ปะทะกบั สิ่งแวดล้อม จะด้วยวิธีการท่ีจงใจจะให้เกดิ ข้นึ
เชน่ นั้น หรือเปน็ ไปโดยมไิ ด้จงใจกต็ าม

จะสังเกตได้อีกอย่างหน่งึ วา่ คาว่า“การเรยี นรู้” กับ “การศึกษา” มกั จะใชส้ บั สนกนั อยู่
บอ่ ยๆ การเรียนรนู้ น้ั กินความมากกว่าการศึกษามาก การเรียนรเู้ ป็นกระบวนการอยา่ งหน่ึง ซ่งึ
ร่างกายสร้างกิจกรรมข้นึ มาก หรอื กิจกรรมทรี่ ่างกายมีอยู่ แล้วถูกเปลี่ยนไปในรปู ลักษณะอน่ื

ลักษณะเดิมท่ีเป็นธรรมชาติของร่างกาย หรือจะพูดตามศัพท์ท่ีใช้กัน แต่ยังไม่รวบรัดดีพอ
ว่า “สัญชาตญาณ” ได้แก่ อาการท่ีหนังตาปิดทันทีเมื่อได้รับแสงจ้าโดยกะทันหัน หรือแมลงเม่า
บินเข้ากองไฟ เป็นต้น การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของร่างกายที่เป็นไปตามลักษณะอย่างนี้ ไม่จัด
เขา้ ในลักษณะของการเรยี นรู้

กลับมาพจิ ารณาถึงคาว่า การศกึ ษา อีกครั้ง คาวา่ การศึกษาน้ัน ใชก้ นั ในความหมายของ
การจดั ประสบการณใ์ นการเรียนรูใ้ หแ้ ก่ผู้เรียนอย่างมหี ลกั เกณฑ์ และมีแบบแผน โดยมุง่ หวงั ทีจ่ ะให้
ร่างกายมีพฤติกรรม หรือรา่ งกายได้เปล่ียนพฤติกรรมในรูปทดี่ งี าม อันเปน็ ท่ตี ้องการของสงั คม ก็
พอจะมองเห็นกันได้ว่า การศึกษาน้ันรวมวงแคบเข้ามาจากัดเฉพาะพฤตกิ รรมท่เี ป็นทยี่ อมรับว่าดีงาม
ร่างกายดืม่ เหลา้ เมายา สบู ฝ่นิ ก็ถอื วา่ เป็นการเรียนรู้ แตไ่ ม่ถอื ว่าเป็นการศึกษา เพราะไมใ่ ช่เร่อื งท่ี
สงั คมสง่ เสรมิ และยอมรบั วา่ เป็นส่ิงประสงค์ ดังนเี้ ป็นต้น



๓. องค์ประกอบทส่ี าคญั ในการเรยี นรู้

เมอื่ เราแยกแยะออกไปใหด้ แี ล้วกจ็ ะเห็นวา่ ในการเรยี นรขู้ องร่างกายนน้ั อย่างนอ้ ยๆ
ก็ต้องมีสิ่งสาคญั อยู่ ๓ สงิ่ ท่ปี ระกอบเกื้อหนุนกันอยู่ การเรียนรู้จะเกดิ ขน้ึ ตอ่ เม่ือรา่ งกายปะทะ
สัมพันธ์กับสิง่ แวดล้อม จงึ กล่าวได้ว่า ร่างกายและสิง่ แวดลอ้ ม กเ็ ป็นองค์ประกอบในการเรียนรทู้ ี่
มองเห็นคอ่ นข้างจะชัดเจน ขอใหเ้ ราพจิ ารณาต่อไปอีกนดิ หนึง่ ว่า อะไรท่เี ปน็ ส่งิ กระตนุ้ ให้รา่ งกาย
ปะทะกับสิง่ แวดล้อมจนเกิดเปน็ การเรียนรู้ขน้ึ มา ส่ิงน้ันก็คือ “แรงจูงใจ” กเ็ ป็นองคป์ ระกอบที่
สาคัญยิ่งประการหนง่ึ คนเราเมือ่ หวิ นา้ เมอ่ื เห็นน้าก็จะเดินเข้าไปหานา้ หรือไม่ก็จะแสดง
พฤติกรรมตา่ งๆ เพอ่ื จะไดก้ ินนา้ ธรรมดาคนที่ไมก่ ระหายน้า หรอื ไมม่ ีความกระหายเป็นแรงจงู ใจ
เม่ือมองเห็นน้าก็ไมเ่ กิดปฏิกิริยาตอบสนองท่ผี ิดปกติพอสังเกตได้

ทฤษฎกี ารสัมพนั ธ์เก่ียวโยงทฤษฎแี หง่ การเรยี นรู้ของ ธอร์นไดค์ เขาเปน็ นักศึกษาและ
นกั จติ วทิ ยาท่มี ชี ื่อเสยี งมากที่สุดผูห้ นึ่งของสหรัฐอเมรกิ า ไดว้ างทฤษฎแี ละกฎแห่งการเรียนเอาไว้
เปน็ ท่แี พร่หลายและยอมรับกันกวา้ งขวาง ทฤษฎขี องเขาช่ือวา่ “ทฤษฎีสัมพันธเ์ กี่ยวโยง”

ลักษณะธรรมชาติของการเรียนรู้ของเขาก็คือ การสัมพันธ์เช่ือมโยง โดยมีส่ิงเช่ือมโยง
เรียกว่า Bond ระหวา่ งอาการเรา้ และอาการตอบสนองของร่างกาย พูดง่ายๆ ก็คือ การเช่ือมโยง
ระหวา่ งสงิ่ เร้าและสิ่งตอบสนอง และเม่อื เขยี นเป็นไดอะแกรมกจ็ ะได้เปน็

ขอ้ ตอ่ ส่ิงตอบสนอง

สิง่ เรา้

เชอ่ื มโยง

๔. มนุษยก์ บั การเรยี นรู้

การเรียนรู้ คือ การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของบุคคลที่เป็นผลเนื่องมาจากการได้รับ
ประสบการณ์และทาใหบ้ ุคคลเผชิญกบั สถานการณเ์ ดิมต่างไปจากเดิม

พฤตกิ รรมการเรียนรู้อาจเกิดจากการลองผดิ ลองถูก จากการถกู วางเงื่อนไข หรือ จากการ
หย่งั วธิ ีการเรียนรู้และการจงู ใจในการเรียนรู้

การเรยี นรทู้ าใหบ้ คุ คลเกดิ จากการเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมโดยการเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมนี้
เปน็ ผลเนอ่ื งมากจากการทบี่ ุคคลได้รบั ประสบการณ์ และการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมดังกล่าวทาให้
บคุ คลเผชญิ กบั สถานการณ์เดิมตา่ งไปจากเดมิ การเรยี นรูเ้ ปน็ กระบวนการและมีลักษณะเฉพาะตัว

การถา่ ยโยงการเรยี นรู้เกิดขึ้นได้ในลกั ษณะที่ชว่ ยให้การเรียนรใู้ นส่ิงใหม่ๆ เป็นไปได้เร็วขึ้น
หรือในลักษณะท่ที าใหก้ ารเรียนรู้ในส่ิงใหมๆ่ ทาไดช้ า้ ลง



๕. ความหมายของการเรียนรู้

นกั จิตวิทยาหลายท่านไดใ้ ห้ความหมายของ “การเรียนรู้” ไว้ว่า “การเรียนรู้ คอื การ
เปล่ยี น แปลงพฤติกรรมของบุคคลอันมีผลเนอ่ื งมาจากการไดร้ บั ประสบการณ์ โดยการเปล่ยี นแปลง
น้ันเป็นเหตุทาใหบ้ คุ คลเผชิญกับสถานการณ์เดมิ แตกต่างไปจากเดิม”

ประสบการณ์ท่ีทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม หมายถึง ท้ังประสบการณ์ทางตรง
และประสบการณ์ทางอ้อม

ประสบการณ์ทางตรง คอื ประสบการณ์ทีบ่ คุ คลได้พบเห็นหรือได้สัมผสั ดว้ ยตนเอง เช่น
เด็กเลก็ ๆ ทีย่ ังไมเ่ คยรจู้ ักหรือเรียนรูค้ าวา่ “รอ้ น” เวลาท่คี ลานเข้าไปใกล้กานา้ ร้อนแลว้ ผใู้ หญ่บอก
วา่ ร้อน และหา้ มคลานเข้าไปหา เดก็ ย่อมไมเ่ ขา้ ใจและคงคลานเขา้ ไปอยู่อกี จนกวา่ จะได้มโี อกาส
ใช้มอื หรอื อวยั วะสว่ นใดสว่ นหน่งึ ของรา่ งกายไปสมั ผสั กาน้าที่ร้อนเข้าสกั ครั้งหน่ึงจึงจะรู้ว่า กาน้า
ท่วี า่ รอ้ นนนั้ เปน็ อย่างไร ต่อไปเมอ่ื เขาเห็นกาน้าอีก แลว้ ผใู้ หญ่บอกกาน้านัน้ ร้อน เขาก็จะไม่คลาน
เข้าไปจับกาน้านน้ั อกี เพราะเกดิ การเรยี นรู้คาว่ารอ้ นที่ผูใ้ หญ่บอกแลว้ เชน่ นก้ี ลา่ วได้วา่
ประสบการณ์ตรงมีผลทาให้เด็กเกดิ การเรียนรู้ เพราะมีการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมที่ทาให้เขาเผชญิ
กบั สถานการณ์เดมิ แตกต่างไปจากเดมิ

ในการมีประสบการณ์บางอย่างที่เป็นประสบการณ์ตรงของบุคคลอาจทาให้บุคคลมีการ
เปล่ียนแปลงพฤติกรรม แต่ไม่ถือว่าเป็นการเรียนรู้ ได้แก่ พฤติกรรมที่เปล่ียนแปลงไปเน่ืองจากสิ่ง
ต่อไปน้ี

๑. พฤติกรรมที่เปล่ยี นแปลงเนอ่ื งจากฤทธย์ิ า หรือสง่ิ เสพติดบางอย่าง เชน่ คนดม่ื สุราจน
เมามาย แลว้ มีอาการทรงตัวไมไ่ ด้ พูดเสียงอ้อแอ้ หรอื คนเสพยก์ ญั ชาแล้วมีอาการตาปรือ ชอบ
หัวเราะ เปน็ ตน้

๒. พฤตกิ รรมทเ่ี ปลย่ี นแปลงเน่ืองจากความเจบ็ ป่วยทางกายหรือทางใจ เช่น คนท่ีมีอาการ
ไข้ข้นึ สูงแล้วเพอ้ หรือคนวกิ ลจริตที่มีพฤติกรรมเปล่ียนแปลงไปจากเดิม

๓. พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงเน่ืองจากความเหน่ือยล้าของร่างกาย เช่น คนที่อดนอนแลว้ ไม่
สามารถทางานได้คล่องแคลว่ อยา่ งที่เคยทา หรือคนที่ทางานอยู่นานเกนิ ไป แล้วทางานผิดพลาดเป็น
ตน้

๔. พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงเน่ืองจากปฏิกิริยาสะท้อนต่างๆ เช่น การจาม การไอ การ
กระพริบตา เม่ือไดร้ ับแสงทันทที นั ใด การกระตกุ ของหนา้ แข้งเม่ือโดยเคาะตรงหัวเข่า เป็นตน้

ประสบการณ์ทางออ้ ม คือ ประสบการณท์ ่ีผู้เรยี นรู้มิไดพ้ บหรือสัมผัสด้วยตนเองโดยตรง
แต่อาจไดร้ ับประสบการณท์ างอ้อมจากสิง่ ต่อไปน้ี

๑. การอบรมสั่งสอน หรอื การบอกเล่าบุคคลเกดิ การเรียนรไู้ ด้จากการบอกเลา่ ของคนอนื่
หรอื จากการอบรมส่ังสอนของพอ่ แม่ ครู และผูใ้ หญ่ใกลช้ ิดท้งั ๆ ทยี่ ังไม่เคยมีประสบการณต์ รงมา
ก่อน เชน่ คร้งั แรกมเี ด็กหญงิ ตนหนง่ึ เดินไปในท่ีมดื และรกไปดว้ ยตน้ หญ้าที่ขนึ้ สงู โดยไม่เกดิ ความรู้สกึ
อยา่ งใดทง้ั สิน้ คงเดนิ ผา่ นทน่ี ั้นไปอย่างชา้ ๆ แล้วนามาเล่าใหพ้ ่อแม่ฟังวา่ วนั นไี้ ดเ้ ดินผ่านที่ดงั กลา่ ว
มา พ่อแมเ่ มื่อไดฟ้ ังกส็ ่งั สอนวา่ ตอ่ ไปไม่ควรไปเดินผ่านทางเช่นนน้ั อกี เพราะอาจมีอนั ตรายจาก
สัตวเ์ ลอ้ื ยคลาน หรืออาจถกู คนร้ายซุ่มกรทามดิ ีมริ ้าย ดว้ ยเคยมตี วั อย่างและเล่าถึงเหตุการณ์ที่พอ่



แมเ่ องอาจเคยพบหรือเคยได้ยนิ ตอ่ มาอกี ต่อหนึง่ ให้ฟงั ต่อมาเม่อื จะต้องผา่ นบรเิ วณเดิมอีกเด็กหญงิ
คนนนั้ ไดห้ าทางหลีกเล่ียงโดยใช้เส้นทางอน่ื หรอื รบี วิ่งอย่างรวดเร็ว ท้ังๆ ทีไมเ่ คยประสบกับ
อันตรายใดๆ ในการใชเ้ ส้นทางนด้ี ว้ ยตนเองมาก่อน เชน่ น้ี ถือไดว้ า่ พฤติกรรมของเด็กหญงิ ท่ี
เปลี่ยนแปลงไปจากเดมิ เป็นพฤตกิ รรมท่เี กิดจากการเรยี นรู้เพราะได้รับประสบการณ์ทางออ้ ม คือ
การอบรมส่งั สอนและการบอกเลา่

๒. การอา่ นหนังสือตา่ งๆ เชน่ หนังสอื ทางวิชาการ นวนยิ าย หนงั สือประเภท วารสาร
หรอื หนงั สือรายปักษ์ รายเดือน เป็นตน้

การอ่านหนงั สือทุกชนดิ ใหป้ ระสบการณ์ทางอ้อมแกบ่ ุคคลได้ทง้ั ส้นิ และช่วยให้บคุ คล
เกดิ การเรียนรูส้ ง่ิ ตา่ งๆ ทไี่ มจ่ าเปน็ ต้องพบเหน็ ดว้ ยตนเองโดยตรงได้หลายอยา่ ง ฉะนัน้ การเลอื ก
หนังสอื ท่ีดีและมปี ระโยชนใ์ ห้เด็กอา่ น จึงเปน็ ทางหนง่ึ ที่จะช่วยให้เดก็ เกิดการเรยี นรู้ทดี่ แี ละมีการ
เปลย่ี นแปลงพฤติกรรมไปในทางท่ีพึงประสงค์

๓. การรับรู้จากส่ือมวลชนต่างๆ ส่ือมวลชนท่ีมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของบุคคลในปัจจุบัน
ได้แก่ วทิ ยุ โทรทัศน์ หนังสือพมิ พ์ สง่ิ พมิ พ์ ทพี่ ิมพอ์ อกเผยแพร่แก่สาธารณชนและภาพยนตร์ ส่ิง
เหลา่ น้ลี ้วนเป็นประสบการณท์ างออ้ มท่ีจะช่วยให้บคุ คลเกิดการเรียนรู้ทั้งสิ้น

๖. ธรรมชาติของการเรียนรู้

การเรียนรูข้ องมนษุ ยน์ น้ั มีความเป็นตามธรรมชาตขิ องสิ่งมชี ีวติ ทั้งที่เกดิ ข้นึ มาแลว้ แตจ่ ะมคี วาม
แต่ต่างกนั ไป ตามศกั ยภาพตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวติ แต่ละชนิดนัน้ ๆ สว่ นมนษุ ย์ถือวา่ มีวิวัฒนาการ
หรอื การพัฒนาการทางดา้ นสมองและสตปิ ญั ญาดีกว่าสตั วห์ รอื สิง่ มีชีวติ ชนดิ อ่ืน ดงั นัน้ การดารง
เผ่าพนั ธุ์จงึ มีโอกาสและเจรญิ มาดกี ว่าส่ิงมีชวี ติ ชนดิ อ่ืน มลี ักษณะสาคัญดงั

๑. การเรียนรู้เป็นกระบวนการ แม้ว่าการเรียนรู้ของบุคคลอาจเกิดขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายใน
การเรยี นรวู้ า่ ตอ้ งการให้เกดิ
การเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมไปในทางใด อย่างไร และอาจเกดิ ขน้ึ โดยบงั เอญิ หรือมิได้มจี ุดมุ่งหมาย
ของการเรียนรู้ไวก้ ่อนก็ตาม การเกิดการเรียนรู้ของบุคคลจะมกี ระบวนการเรยี นรู้จากการไม่รู้ไปสู่
การเรยี นรู้ ๕ ขน้ั ตอน ดงั นี้ คอื

๑. มสี งิ่ เรา้ มากระตุ้นบคุ คล
๒. บุคคลสมั ผสั สิ่งเร้าด้วยประสาททั้ง ๕
๓. บคุ คลแปลความหมายหรอื รบั รสู้ ิ่งเร้า
๔. บคุ คลมีปฏกิ ริ ิยาตอบสนองอย่างใดอยา่ งหนึง่ ตอ่ สงิ่ เร้าตามทีร่ บั รู้
๕. บคุ คลประเมินผลท่ีเกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเรา้

จะเห็นได้ว่า ในกระบวนการเรียนรู้นนั้ บคุ คลจะเกิดการเรียนรู้ไดม้ ากหรือน้อย
ผดิ หรอื ถกู ขึ้นอยู่กับการรับรู้ของบุคคลมาก เพราะดังที่ได้เคยกล่าวไวแ้ ล้วในหัวเร่อื งวา่ การรบั สิ่ง
เรา้ ของบุคคลนอกจากจะขน้ึ อยกู่ ับตวั สง่ิ เร้าและประสาทสมั ผสั ของผรู้ ับรแู้ ล้ว ยงั ขึ้นอยู่กับ
ประสบการณ์เดิม หรือ ความรู้เดมิ ของผู้รับรดู้ ้วย ดงั นนั้ การท่ีบคุ คลจะเกิดจากเรียนร้สู ง่ิ ใดสง่ิ
หนงึ่ มากน้อยเพียงใด จงึ ขึ้นอยู่กับพ้นื ฐานความรเู้ ดิมที่บุคคลมีต่อส่งิ ทีเ่ รยี นด้วย



ในการเรียนรู้ส่ิงใดก็ตามทีม่ ีการวางจุดมุง่ หมายของการเรยี นร้ไู ว้ การท่จี ะรวู้ า่ บุคคล
เกิดการเรียนรตู้ ามที่ต้องการหรอื ไม่ พจิ ารณาไดจ้ ากผลของการมปี ฏิกิรยิ าตอบสนองส่ิงเร้า
กลา่ วคอื ถ้าผลท่ีได้รับเปน็ ไปตามจดุ มุง่ หมายทว่ี างไวแ้ สดงวา่ เกิดการเรยี นรู้ แต่ถ้าผลที่ได้รบั ไม่
เปน็ ไปตามจดุ มุ่งหมาย แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปจากเดิมกไ็ ม่ถือว่าไดเ้ กิดการเรียนรู้
ตามที่ต้องการ จาเปน็ จะต้องเริ่มเรยี นใหม่ด้วยการรบั รสู้ งิ่ เร้าทม่ี ากระตนุ้ ในการเรยี นรใู้ ห้ถกู ต้องมาก
ขึน้ เพ่ือใหผ้ ลของปฏกิ ริ ิยาการตอบสนองเป็นไปตามจดุ หมายทตี่ ้องการมากขน้ึ

ในการเรียนรู้ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ถ้าพิจารณากันถึงกระการของการเรียนรู้แล้วจะพบว่า
ตอ้ งประกอบไปดว้ ยขั้นทั้ง ๕ น้ที ้งั สนิ้

๒. การเรยี นรไู้ มใ่ ชว่ ุฒภิ าวะ แตก่ ารเรยี นรู้อาศยั วฒุ ภิ าวะ จากท่ีไดเ้ คยกลา่ วไว้แลว้ วา่ วุฒิ
ภาวะ คอื ระดบั ความเจรญิ เติบโตสูงสุดของพฒั นาการทาง รา่ งกาย อารมณ์ สังคม และสตปิ ัญญา
ของบุคคลในแตล่ ะวัย ทเี่ ปน็ ไปตามธรรมชาติ ดังนั้น แม้บุคคลจะมกี ารเปล่ียนแปลงพฤติกรรม
บางอย่าง แต่ถา้ การเปลย่ี นแปลงนน้ั เป็นผลเน่ืองมาจากวฒุ ภิ าวะ เช่น เด็กเปลี่ยนจากนอนหงาย
มาเป็นนอนควา่ เปลย่ี นจากคบื เปน็ คลาน จากคลานเป็นยืน จากยืนเปน็ เดิน พฤติกรรมท่ี
เปล่ียนแปลงเหล่านี้ไมใ่ ช่การเรียนรู้

แม้การเรียนรู้จะไม่ใช่วุฒิภาวะ แต่การเรียนรู้บุคคลก็จาเป็นจะอาศัยวุฒิภาวะด้วย เพราะ
การที่บุคคลจะมคี วามสามารถในการรบั รู้หรือตอบสนองสงิ่ เร้าได้มากนอ้ ยเพียงไร ข้ึนอยู่กับว่าบุคคล
น้นั มีวฒุ ภิ าวะเพยี งพอหรือไม่

๓. การเรยี นรู้เกิดได้งา่ ย ถา้ สง่ิ ท่เี รยี นเปน็ สงิ่ ท่ีมีความหมายต่อผ้เู รยี น การเรยี นสิง่ ทีม่ ี
ความหมายต่อผเู้ รียนกค็ ือ การเรยี นในสง่ิ ทีผ่ ูเ้ รยี นตอ้ งการจะเรียน หรือสน
ใจจะเรียน เหมาะกับวัยและวุฒิภาวะของผู้เรียนและเกิดประโยชน์ต่อผู้เรียน การเรียนสิ่งที่มี
ความหมายต่อผู้เรียนย่อมทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีกว่าการเรียนในส่ิงที่ผู้เรียนไม่ต้องการ
หรอื ไม่สนใจ ซึ่งเป็นสง่ิ ทไ่ี ม่มีความหมายสาหรบั ผูเ้ รยี น

๔. การเรยี นรูแ้ ตกตา่ งกันตามตัวบคุ คลและตามวิธกี ารในการเรียน ในการเรียนรสู้ ิง่
เดียวกัน บคุ คลตา่ งกัน อาจเรยี นรไู้ ดไ้ ม่เทา่ กนั เพราะบุคคลอาจมีความพร้อมต่างกนั มี
ความสามารถในการเรยี นตา่ งกัน มอี ารมณ์ และความสนใจทจี่ ะเรยี นต่างกนั และมีความรเู้ ดิม
หรอื ประสบการณเ์ ดิมที่เก่ยี วขอ้ งกับส่ิงทีจ่ ะเรยี นตา่ งกัน ในการเรียนร้สู ง่ิ เดยี วกัน บุคคลตา่ งกัน ผล
ของการเรยี นรูอ้ าจมากน้อยต่างกันได้ และวิธเี รียนท่ีทาให้เกดิ การเรียนรู้ไดม้ ากสาหรับบุคคลหน่งึ
อาจไมใ่ ชว่ ิธเี รียนทีท่ าให้อีกบุคคลหนง่ึ เกดิ การเรยี นรไู้ ด้มากเทา่ บุคคลนั้นก็ได้

ธรรมชาติของการเรียนรู้ของมนุษย์ มาลี จฑุ า (๒๕๔๒) ได้จาแนกออกเปน็ ๔ ขั้นตอน
ดว้ ยกัน คือ

๑. ความต้องการ (Want) หมายถึง ผู้เรียนอยากทราบอะไร เมื่อผู้เรียนมีความต้องการ
อยากรู้อยากเหน็ ในสิง่ ใดก็ตามจะเปน็ สงิ่ ยว่ั ยุให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้ได้

๒. ส่ิงเร้าที่น่าสนใจ (Stimulus) ก่อนมนุษย์จะเรียนรู้ได้ต้องมีส่ิงเร้าที่น่าสนใจและน่า
สัมผสั ทาให้มนษุ ยด์ นิ้ รนขวนขวายและใฝ่ใจทจ่ี ะเรยี นรู้ในสง่ิ ทตี่ นเองสนใจนัน้



๓. การสนองตอบ (Response) เมื่อมสี งิ่ เร้ามนษุ ยจ์ ะสมั ผสั โดยใช้ประสาทสมั ผัสตา่ ง ๆ
เช่น ตาดู หูฟงั ลิ้นชมิ จมกู ดม ผิวหนงั สมั ผสั ทาใหม้ กี ารแปลความสัมผัสสงิ่ เรา้ เปน็ การรับรู้ จาได้ มี
การเปรยี บเทียบและคิดอย่างมเี หตผุ ล

๔. การได้รับรางวัล (Reward) ภายหลังจากการตอบสนองมนุษย์อาจเกิดความพึงพอใจ
และนาผลจากการเรียนรู้ไปพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งอาจนามาสู่รางวัลทางเศรษฐกิจ หรืออาจได้รับ
การยกย่อง ได้รบั เกยี รตยิ ศความภาคภูมใิ จในทางสังคมดว้ ย

๗. การเกิดการเรยี นรู้

นักจติ วทิ ยาท่ีศึกษาเกี่ยวกบั การเรียนรู้ของมนษุ ย์พยายามศึกษาคน้ ควา้ และทดลองกนั ไป
ตา่ งๆ นานา เพอ่ื พยายามหาคาตอบ เม่ือไดผ้ ลของการทดลองอยา่ งใดอยา่ งหนึ่งจนเป็นท่ีแนใ่ จแก่
ตนเองแล้ว นักจติ วทิ ยาแตล่ ะทา่ นกไ็ ด้นาผลท่ีได้นัน้ มาอธิบายการเกดิ การเรยี นรูข้ องมนุษย์
คาอธบิ ายการเกดิ การเรยี นรู้ของมนุษยน์ ้ีมีตา่ งๆ กัน และไดม้ นี ักจติ วทิ ยาอธบิ ายเก่ยี วกับเรอื่ งนไ้ี ว้
หลายท่าน อยา่ งไรกต็ าม ในการอธบิ ายวา่ การเรยี นรู้ของมนุษย์เกิดข้ึนได้อย่างไรนั้น อาจแบ่ง
แนวคิดหลักในการที่ใชอ้ ธิบายออกไดเ้ ปน็ ๒ แนวคดิ คอื

แนวคิดที่ ๑ อธิบายว่าการเรียนรู้ของมนุษย์เกิดจากการมีส่ิงเร้า แล้วมนุษย์มีปฏิกิริยา
สนองตอบต่อสิ่งเร้า จนเมื่อผลของปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าน้ันเป็นท่ีพอใจของมนุษย์ทาให้
มนุษยม์ องเห็นความสมั พนั ธร์ ะหว่างสง่ิ เร้า และปฏิกริ ิยาตอบสนอง จงึ เกิดการเรยี นรู้

แนวคิดท่ี ๒ อธิบายวา่ การเรียนรขู้ องมนุษย์เกิดจากการที่มนุษยใ์ ช้ความคิดและ
ประสบการณเ์ ดมิ เข้ามาช่วยในการตัดสนิ ใจ ก่อนทีจ่ ะมีปฏิกิรยิ าตอบสนองอยา่ งไรอย่างหน่ึงตอ่ สิ่ง
เรา้ น่นั คือ เมื่อมสี ง่ิ เรา้ ปฏกิ ริ ยิ าตอบสนองท่ีมนษุ ย์ต่อสงิ่ เรา้ ไม่ไดเ้ กิดข้นึ เพราะเพยี งมีสงิ่ เรา้ มาเรา้
อินทรีย์ (บคุ คล) เทา่ นนั้ แตม่ นุษยอ์ าศัยประสบการณ์เดมิ มาชว่ ยคิดด้วยวา่ ถา้ พบสง่ิ เร้าหรือ
ปัญหาใดปัญหาหนึง่ ควรจะมีปฏกิ ิรยิ าตอบสนองหรือวิธกี ารแก้ปญั หาน้นั ๆ อย่างไรจนเกดิ ความคิด
หรือเหน็ ลูท่ างอย่างแจม่ แจ้งที่เรียกวา่ การหย่งั เหน็ แลว้ มนษุ ย์จงึ จะมปี ฏิกริ ยิ าตอบสนองหรือ
แก้ปญั หานนั้ ๆ และถา้ ผลของปฏกิ ริ ิยาตอบสนองเป็นไปตามจุดมุง่ หมายท่ตี อ้ งการ การเรยี นรู้ก็จะ
เกดิ ขนึ้

แนวคิดทน่ี ักจิตวิทยาเสนอเพื่อพยายามอธบิ ายการเกิดการเรยี นรู้ของมนุษยน์ ้ี เรียกวา่
ทฤษฎีการเรียนรู้ และดังท่ีได้กล่าวแล้วว่ามนี ักจติ วทิ ยาท่ีศึกษาเก่ียวกับเรื่องของการเกดิ การเรียน
รูอ้ ยหู่ ลายท่านด้วยกนั โดยแต่ละทา่ นต่างกท็ าการทดลองและสรุปทฤษฎีของตนออกมาตามผลที่
ไดม้ าจากการทดลอง ดังนั้น เมื่อพูดถึงทฤษฎกี ารเรยี นรู้ จึงมอี ยูม่ ากมายหลายทฤษฎี อยา่ งไรก็
ตาม เจา้ ของทฤษฎกี ารเรยี นร้หู ลายทฤษฎใี ชแ้ นวคดิ หลักในการอธบิ ายเกิดการเรียนรู้คล้ายกัน แม้
จะมีการอธบิ ายลักษณะปลกี ย่อยหรือรายละเอยี ดของการเกดิ การเรียนรู้ตา่ งกันออกไป จนสามารถ
แยกออกไดเ้ ปน็ ๒ แนวคิดหลักดังกลา่ วแล้ว ฉะนนั้ จงึ อาจจะแบง่ นักจิตวทิ ยาออกตามแนวคิดท่ี
คล้ายคลงึ กนั ได้ ๒ กล่มุ คอื นกั จติ วิทยากลมุ่ นยิ มทฤษฎีพฤตกิ รรม และนักจิตวทิ ยากลมุ่ เกสตอลท์
นักจติ วทิ ยาคนสาคัญในกลุ่มนิยมทฤษฎีพฤติกรรมท่ตี ั้งทฤษฎีการเรียนรู้ ท่ีถือเป็นพ้นื ฐานของ
การศกึ ษาทฤษฎกี ารเรยี นรู้ทฤษฎีอน่ื ๆ ในกล่มุ เดยี วกัน คอื ธอรน์ ไดท์ ฟัฟลัฟ และสกินเนอร์



นกั จิตวทิ ยาคนสาคัญในกลุ่มเกสตอลทท์ ่ีต้ังทฤษฎกี ารเรยี นรู้ ทถ่ี ือเป็นพนื้ ฐานของ
การศกึ ษาทฤษฎีการเรียนรู้ทฤษฎอี นื่ ๆ ในกลุ่มเดียวกัน คือ โคห์เลอรค์ อฟก้า เวอรไ์ ธเมอรแ์ ละเลวิน

๘. การเรยี นรูเ้ กิดจากการวางเงื่อนไข

การเรยี นรู้ที่เกิดจากการวางเงื่อนไข เป็นการเรียนรู้ที่เกดิ ขนึ้ เมอื่ บุคคลมปี ฏิกิรยิ า
ตอบสนองต่อส่ิงเรา้ มากกว่า ๑ สิ่ง โดยทส่ี ิง่ เร้าหนง่ึ จะทาใหบ้ คุ คลแสดงปฏกิ ิรยิ าตอบสนองได้ทันที
ส่วนสงิ่ เรา้ อื่นๆ จะทาให้บุคคลแสดงปฏกิ ริ ิยาตอบสนองได้ก็ตอ่ เมอ่ื มกี ารวางเง่ือนไขกบั ส่ิงเร้านนั้
เชน่ กลน่ิ อาหารที่นาย ก.ชอบ กนิ สามารถทาให้นาย ก.มีปฏิกริ ยิ าตอบสนองได้ทุกคร้ัง เมื่อได้
กลน่ิ ขณะท่กี าลังหิว ถา้ นาย ก. หิวและกอ่ นทน่ี าย ก. จะได้กลิ่นอาหารท่ีตนชอบจะตอ้ งมีเสียงออด
ดังขนึ้ ทุกครง้ั เสียงออดอาจทาให้นาย ก. นา้ ลายไหลได้ทงั้ ๆ ที่ยังไม่ได้กลิน่ อาหารท่ีตนชอบ การนี้
จะเห็นไดว้ า่ กลิน่ อาหารที่นาย ก.ชอบทาใหน้ าย ก. เกิดปฏกิ ิรยิ าตอบคือรสู้ ึกนา้ ลายไหลด้วยความ
ยากกนิ ทนั ที สว่ นเสยี งออดนนั้ โดยปกติแลว้ จะไม่สามารถทาให้นาย ก.เกดิ อาการนา้ ลายไหลได้เลย
เมือ่ ไดย้ ิน แตเ่ นอื่ งจากเสียงออกท่ีดังขึน้ นนั้ มีการวางเง่ือนไขไวว้ า่ จะมีเสียงออดก่อนทุกครั้งทีน่ าย
ก. จะได้กลิน่ อาหาร ทาให้เสียงออดสามารถเปน็ สงิ่ เร้าที่ทาให้นาย ก. เกดิ ปฏิกริ ิยาตอบสนองคือ
รูส้ ึกน้าลายไหลได้

สง่ิ เรา้ ทีส่ ามารถทาให้บคุ คลแสดงปฏกิ ิริยาตอบสนองตามที่ต้องการไดท้ ันทนี ีเ้ รียกวา่ “สิ่ง
เร้าท่ไี มต่ ้องมีการวางเง่ือนไข” ส่วนสงิ่ เรา้ ทีจ่ ะทาให้บุคคลแสดงปฏิกริ ิยาตอบสนองความตอ้ งการได้
กต็ อ่ เมือ่ ต้องวางเงื่อนไขกับส่ิงเรา้ นัน้ ๆ กอ่ นเรียกว่า “สง่ิ เรา้ ทีต่ อ้ งมีการวางเงือ่ นไข”

นักจิตวิทยาคนสาคัญท่ีอธิบายว่า การเรียนรู้ของอินทรีย์เกิดจากการวางเง่ือนไข คือ
นักจิตวิทยาชาวรสั เซียทช่ี ื่อ ฟฟั ลฟั และนักจิตวทิ ยาชาวอเมรกิ ันทช่ี ่ือ สกนิ เนอร์

ฟฟั ลฟั อธิบายวา่ ปฏิกิรยิ าตอบสนองอยา่ งหนงึ่ มิได้เกิดจากส่ิงเร้าเพียงอย่างเดียว สิ่งเร้าอ่ืน
ย่อมก่อให้เกดิ ปฏิกิรยิ าตอบสนองอนั เดิมได้ ถ้ามีการวางเงื่อนไขท่ีถูกต้อง และเงื่อนไขนี้เองสามารถ
ทาใหอ้ นิ ทรีย์แสดงปฏิกริ ิยาตอบสนองท่ีแสดงว่าอนิ ทรียเ์ กิดการเรยี นรู้ได้

๙. การเรยี นร้ทู ี่เกิดจากการหย่งั เหน็

คาว่า “การหยั่งเห็น” หมายถึงการใช้สติปัญญา ประสบการณ์เดิมท่ีบุคคลที่มีอยู่มาใช้ใน
การพิจารณารับรู้ส่ิงเร้าหรือปัญหาท่ีเกิดขึ้น ในการเรียนรู้จนเกิดความเข้าใจและมองเห็น
ความสัมพันธร์ ะหว่างปฏกิ ริ ยิ าตอบสนองกับสิ่งเรา้ หรือปญั หาน้นั

ดงั นั้น การเรยี นร้ทู เี่ กิดจากการหยั่งเห็นจึงหมายถึงการเรยี นรู้ทเ่ี กิดจากการที่ผู้เรยี นจะต้อง
นาประสบการณ์หรือความรเู้ ดิมท่ตี นมีอยู่มาช่วยในการพจิ ารณาสิง่ เร้าหรือปัญหาที่ต้องการเรียนรู้จน
สามารถมองเหน็ ลทู่ างของการแกป้ ญั หาบ้างแลว้ จึงจะเร่ิมปฏกิ ริ ิยาตอบสนองตอ่ สิง่ เรา้ ที่เปน็ ปัญหา
น้นั ถ้าผลของการตอบสนองเปน็ ไปตามจดุ มุ่งหมายของการเรยี นรู้ กจ็ ะจาวธิ กี ารทีใ่ ช้ในการแก้
ปัญหาครั้งน้ีไปใช้ในครง้ั ต่อไป เม่ือตอ้ งการเผชิญกับปัญหาเดมิ อีก แตถ่ ้าผลของปฏิกริ ิยาตอบ สนอง



ไมเ่ ป็นไปตามจดุ มุ่งหมายของการเรยี นรู้ บคุ คลกจ็ ะนาประสบการณ์อ่ืนๆ ทม่ี ามาพจิ ารณาหาทาง
จนเกิดการหยงั่ เหน็ ใหมแ่ ลว้ จึงมปี ฏกิ ิริยาตอบสนองต่อสง่ิ เร้าอกี จนกว่าผลที่ได้จะเปน็ ที่พอใจ

การเรียนรทู้ ีเ่ กดิ จากการหย่ังเห็นนี้ แมบ้ างคร้งั บุคคลจะต้องมปี ฏกิ ิริยาตอบสนองต่อส่ิงเร้า
หลายๆ ปฏกิ ิริยา แตป่ ฏิกริ ยิ าการตอบสนองทุกปฏิกิริยาที่บุคคลแสดงออกไปนนั้ บุคคลได้มกี าร
คาดหมายไวก้ อ่ นทกุ ครงั้ ว่า ผลของปฏิกริ ิยาตอบสนองจะตอ้ งเปน็ อยา่ งนัน้ อยา่ งนี้ แม้จะดคู ล้ายกับ
เปน็ ปฏกิ ริ ยิ าการตอบสนองแบบลองผดิ ลองถกู ตามคาอธิบายของธอรน์ ไดท์ แตม่ คี วามแตกตา่ งกนั
ทว่ี ่า ในการลองผดิ ลองถูกที่ธอรน์ ไดทอ์ ธิบายนน้ั เปน็ ปฏกิ ิริยาการตอบสนองที่มิได้มีการพิจารณาถึง
ผลของปฏกิ ริ ิยาตอบสนองแต่ละอยา่ งที่เกิดข้ึนแต่อยา่ งใด เพยี งแต่เปน็ การแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง
เมอื่ พบส่งิ เร้าเทา่ น้ัน

๑๐. ส่ิงทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบั การเรียนรู้

ในการเรียนรูข้ องมนุษย์ แม้วา่ การเรยี นรู้อาจเกิดข้นึ จากการลองผิดลองถูก จากการถูก
วางเง่ือนไขหรือจากการหยั่งเหน็ ดังไดก้ ล่าวแล้วนนั้ การที่มนษุ ยห์ รือบุคคลจะเกดิ การเรียนรูไ้ ดม้ าก
นอ้ ยเพียงใดก็ต้องประกอบด้วยองคป์ ระกอบอย่างน้อยทส่ี ุดอกี ๔ ประการ คือ

๑. ลกั ษณะของผเู้ รยี นรู้เอง อันได้แก่ ความพรอ้ มและความต้องการทีจ่ ะเรยี นรู้
ความสามารถ ในการรบั รู้ อารมณ์ท่ีอยากจะเรยี นรู้ ความสามารถในการจาส่งิ ทเ่ี รียนรแู้ ล้ว ระดบั
เชาว์ปัญญา ทัศนคตติ ่อการเรียนรู้และสขุ ภาพจติ

๒. ลกั ษณะของสิง่ ทีจ่ ะเรยี นรู้
๓. วิธกี ารเรยี นรู้
๔. แรงจูงใจในการเรียนรู้
ในการเรยี นรู้สิง่ เดยี วกนั นกั ศึกษาคงเคยพบบ่อยๆ ว่า คนทนี่ ง่ั เรยี นอยดู่ ว้ ยกนั น้ันบางคนก็
เรียนร้ไู ด้เร็ว บางคนกเ็ รยี นรู้ไดช้ า้ ท้ังๆที่กม็ คี รสู อนคนเดียวกนั ใชห้ นงั สือเล่มเดียวกัน และมี
ความรเู้ ดมิ ท่ีเปน็ พน้ื ฐานของเรื่องท่เี รียนน้ันมาแล้วเหมอื นๆ กัน ทเี่ ป็นเช่นนีก้ ็เพราะคนเราต่างมี
ระดบั ความสามารถทางสมองในการทจี่ ะคดิ เพื่อให้เกิดการเรียนรใู้ นส่งิ เดียวกันไม่เหมือนกันนั่นเอง
ความแตกต่างในเร่ืองระดับความสามารถทางสมองในการเรียนรู้น้ีเอง นักจิตวิทยาเรียกว่า
เป็นความแตกต่างกันในเรื่องเชาวป์ ัญญา หรอื สตปิ ญั ญา
คาวา่ เชาว์ปัญญา โดยความหมายของมนั เองนั้น ได้มีนักจิตวิทยาให้คาจากัดความไว้หลาย
ทา่ น เชน่
บิเนต์ ให้ความหมายของคาว่า “เชาวป์ ญั ญา” ไว้ว่า หมายถึงความสามารถของบุคคลใน
การตดั สนิ ใจอยา่ งใดอย่างหนึง่ และรวมถึงความสามารถในการปรบั ตวั ให้เข้ากบั สง่ิ แวดลอ้ มดว้ ย
กู๊ด ให้ความหมายของคาวา่ “เชาวป์ ญั ญา” ไวว้ า่ หมายถงึ ความสามารถของบคุ คลในการ
รวบรวมประสบการณต์ ่างๆ เข้าเป็นอันหนงึ่ อนั เดียว และความสามารถของบคุ คลในการปรับตวั ให้
เข้ากบั สถานการณ์ใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
เวคชเลอร์ ให้ความหมายของคาว่า “เชาวป์ ญั ญา” ไวว้ ่า เป็นระดับความสามารถสูงสุดของ
แตล่ ะบคุ คลในอันท่ีจะกระทาสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีจุดหมายสมเหตุสมผลและสามารถปรับตัวให้อยู่ใน
สงั คมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

๑๐

จากตัวอย่างคาจากัดความของคาว่า เชาวป์ ญั ญา ดังท่ีกล่าวมาแล้วจะเหน็ ไดว้ ่าเม่ือพดู ถึง
เชาวป์ ัญญาของบุคคลจะหมายถงึ ความสามารถทางสมองมากกว่าความสามารถทางรา่ งกาย เพราะ
การตัดสนิ ใจกด็ ีการรวบรวมประสบการณต์ ่างๆ เข้าเปน็ อนั หน่ึงอนั เดยี วกันก็ดี หรอื การรู้จกั วางตน
ให้เหมาะสมกบั บคุ คล เวลา และสถานท่ี เพอ่ื สามารถปรับตัวให้เขา้ กับสิ่งแวดล้อมได้ดีนนั้
จาเป็นต้องอาศัยความคดิ และการพิจารณาจนตระหนักถึงความควร ความไมค่ วรในการกระทา
หรือการแสดงพฤตกิ รรมอยา่ งใดอย่างหนึง่ ออกมา

ดังน้ันอาจกล่าวได้ว่า เชาวป์ ญั ญาของบุคคลก็คือ ระดับความสามารถทางสมองของบุคคล
ในการเรยี นรู้สง่ิ ต่างๆ ท่ีแวดล้อมตน อยูน่ ั่นเอง

ความสามารถของบคุ คลท่เี รียกว่าเชาวป์ ัญญานี้ เป็นสิ่งท่ตี ิดตัวบคุ คลมาโดยกาเนดิ เพราะ
เป็นสิ่งท่ไี ดร้ บั การถา่ ยทอดมาจากบรรพบุรุษหรือท่ีเรยี กวา่ กรรมพนั ธุ์ ฉะนัน้ ความสามารถในการ
เรยี นรู้หรือเชาว์ปญั ญา จงึ หมายถงึ ความสามารถท่มี ีอยู่แล้วของบคุ คลและถ้าต้องการร้วู ่าคนสองคน
มคี วามสามารถดงั กลา่ วตา่ งกันหรือไม่ หรอื ตา่ งกนั อยา่ งไรน้นั จะตอ้ งใหเ้ ขาท้ังสองไดม้ ีโอกาสที่จะ
แสวงหา หรือได้รบั ความรู้ในลักษณะโอกาส หรือสง่ิ แวดล้อมชนดิ เดยี วกัน แล้วพจิ ารณาดูวา่ ใน
สภาพแวดลอ้ มที่เหมือนกันต้ังแต่เร่มิ ต้น บุคคลสองคนสามารถเรยี นรสู้ ิ่งทตี่ ้องการให้รู้ได้มากหรือ
นอ้ ยกว่ากนั ที่กลา่ วเชน่ นกี้ ็เพราะบางครง้ั คนที่มีความสามารถในการเรียนรดู้ ีกว่า อาจไมม่ ีโอกาสดี
เทา่ คนที่มคี วามสามารถในการเรยี นรนู้ อ้ ยกวา่ แตเ่ ม่ือวดั ความรกู้ นั แล้วอาจปรากฏวา่ คนหลงั เปน็ ผู้
มคี วามรู้มากกว่าก็ได้ ที่ยกตัวอยา่ ง เช่นนาย ก. เปน็ เดก็ กรุงเทพฯ ที่มโี อกาสเข้าเรียนหนังสอื ใน
โรงเรียนมชี อื่ แหง่ หนง่ึ ของกรงุ เทพฯ นาย ข. เป็นเด็กชาวนาทอ่ี ยนู่ อกตวั จังหวัดศรีสะเกษ และไมม่ ี
โอกาสเรยี นหนงั สือเลย ถา้ ถามนาย ก. และนาย ข. เกย่ี วกับเรือ่ งในตาราเรยี น หรอื ความรเู้ ก่ียวกบั
วิทยาการสมยั ใหม่ จะพบวา่ นาย ก. มีความรูท้ จ่ี ะตอบคาถามในเร่ืองเหลา่ นดี้ ีกวา่ นาย ข. แนน่ อน
แตจ่ ะสรปุ เอาว่า นาย ก. ฉลาดกว่านาย ข.หรอื นาย ก. มรี ะดับความสามารถมนการเรียนรู้สูงกว่า
นาย ข. ไม่ได้ เพราะส่งิ แวดลอ้ มที่นาย ก. และนาย ข. ไดร้ ับน้นั ตา่ งกนั มาก คาถามก็ไม่ยุตธิ รรม
สาหรบั นาย ข. และถ้าเปลีย่ นคาถามไปถามในเรื่องการทาไร่ ไถนานาย ก. กจ็ ะตอบสนู้ าย ข. ไม่ได้
แน่ ๆ เช่นกัน ดังนนั้ ในกรณีจงึ ยงั แยกไมไ่ ดว้ ่าระหวา่ งนาย ก. และนาย ข. ใครจะมีเชาวป์ ัญญา
หรอื ระดบั ความสามารถในการเรยี นรสู้ ูงกวา่ กัน เพยี งแต่บอกไดว้ า่ ใครมีความรู้เร่ืองใดมากกว่ากนั
เท่าน้นั นั่นคือ แมเ้ ชาว์ปญั ญาจะเปน็ ส่งิ ที่ไดร้ บั การถา่ ยทอดมาจากบรรพบรุ ุษหรือเป็นพนั ธุกรรม
แตก่ ารท่บี ุคคลแสดงความรู้ความคิด และความสามารถออกมาต่างกันน้นั เป็นผลมาจากทง้ั
พนั ธุกรรมและสง่ิ แวดลอ้ ม

๑๑. การพัฒนาของเชาว์ปญั ญา

นักจิตวทิ ยาได้พยายามศึกษาว่า มนุษยเ์ ราจะมีความสามารถในการเรยี นร้เู ปลย่ี นแปลงไป
อย่างไรบ้างในแต่ละวัย และเมื่อใดความสามารถนี้จะมีสงู สดุ จากการศึกษาอยา่ งกว้างขวางของ
นักจติ วทิ ยาหลายๆ ทา่ น ได้คาตอบต่างๆ กัน เช่น

๑. บิเนต์ นักจิตวิทยาชาวฝร่ังเศสพบว่า บุคคลจะมีความสามารถในการเรียนรู้สูงสุดเมื่อ
อายุ ๑๔ ปี

๑๑

๒. โจนและคอนลาด นักจิตวิทยาชาวอเมริกันพบว่า ความสามารถในการเรียนรู้ของ
บุคคลจะเพมิ่ สูงสดุ เมอื่ อายุ ๑๕ ปี

๓. ธอร์นไดท์ นักจิตวิทยาชาวอเมรกิ ันพบว่า ความสามารถในการเรียนรู้จะเพ่ิมข้ึนเร่ือยๆ
และสูงสดุ เมือ่ อายุประมาณ ๒๐ ปี

๔. เวคชเลอร์ นักจิตวิทยาชาวเยอรมันพบว่า บุคคลมีความสามารถในการเรียนรู้ของ
บุคคลเพม่ิ ขนึ้ เรอ่ื ยๆ และสูงสดุ เมือ่ อายปุ ระมาณ ๑๘ ปี

จากการศึกษาของนกั จติ วิทยาดังกลา่ วจะเหน็ ได้ว่า ความสามารถสูงสุดในการเรยี นรขู้ อง
บคุ คลน้ันอยรู่ ะหวา่ งอายุประมาณ ๑๔-๒๐ ปี ดังน้นั ในระยะแรกของชีวติ ของบุคคลคือ ต้ังแต่แรก
เกิดจนถึงอายุ ๒๐ ปี ถ้าเขาไดม้ ีโอกาสอยู่ในสภาพแวดล้อมทเ่ี อ้ืออานวยต่อการเรยี นรู้ของเขา
อย่างเต็มที่ บุคคลกจ็ ะมโี อกาสใชค้ วามสามารถทางสมองท่ีเขามีอยู่เพื่อการเรียนรู้ในส่งิ ที่เขาต้องการ
เรียนร้ไู ด้อย่างเตม็ ท่ีด้วย อย่างไรกต็ ามในสภาพของความเปน็ จรงิ น้ัน เรามักพบว่า มีบุคคลจานวน
มากท่ีด้อยความรู้ เพราะเขาไม่มีโอกาสทจ่ี ะได้ใชค้ วามสามารถทางสมองทเ่ี ขามีอยู่ไดอ้ ย่างเต็มที่
เทา่ ที่ควร

โดยปกตคิ วามแตกตา่ งของบุคคลนนั้ เนอื่ งมาจากสาเหตุใหญ่ ๒ ประการ คือ บคุ คลมี
พนั ธกุ รรมตา่ งกนั และมสี ่งิ แวดลอ้ มต่างกัน ความสามารถในการเรียนรู้หรือเชาว์ปญั ญาของบุคคล
เป็นสิ่งหนึง่ ท่ไี ด้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบรุ ษุ หรือพันธุกรรม ดังนั้น เชาว์ปญั ญาจึงเปน็ สาเหตุ
ทางพนั ธกุ รรมอยา่ งหนง่ึ ที่มีอิทธิพลทาให้บุคคลมีความแตกตา่ งกนั ทั้งนี้ เพราะเมอ่ื บุคคลมี
ความสามารถในการเรียนรู้ท่ีตดิ มาแต่กาเนดิ ไม่เท่ากัน เขากจ็ ะสามารถเรยี นรู้วิ่งตา่ งๆ ได้ไม่เท่ากนั
มีความคิดหรือเหตุผลในการแกป้ ญั หาตา่ งๆ ไมเ่ หมือนกันมีความเข้าใจในเหตกุ ารณ์หรือ
สภาพแวดลอ้ มตา่ งๆ กัน และความแตกตา่ งเหล่านเ้ี องย่อมมอี ิทธพิ ลสาคญั ที่ทาใหบ้ ุคคลแสดง
พฤติกรรมออกมาตา่ งกนั เชน่ บางคนสามารถแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ ได้ดี มีความเขา้ ใจทา่ ทีหรอื
ความคิดของคนอนื่ ได้อยา่ งรวดเรว็ รูจ้ กั วา่ เมื่อใดควรทาสิ่งใดใหเ้ หมาะสมกบั บุคคล เหมาะกบั โอกาส
เหมาะกบั เวลา และเหมาะกับสถานที่ ฯลฯ บุคคลเช่นน้ีย่อมแสดงพฤติกรรมทง้ั หลายออกมาใน
ลักษณะท่ีเป็นชื่นชอบของบุคคลรอบขา้ ง ตรงกันขา้ มกับบางคนที่มีความสามารถในการเรียนรนู้ อ้ ย
หรอื เรียกกนั ทั่วไปว่า มคี วามคิดน้อย จะแกป้ ัญหาเฉพาะไม่คอ่ ยได้ ไม่ค่อยเขา้ ใจท่าทีหรือความคิด
ทบี่ ุคคลอนื่ แสดงออก กบั ไม่คอ่ ยรูว้ า่ ควรจะทาอย่างไร เมื่อใด ในลักษณะไหน จงึ มักแสดง
พฤติกรรมออกมาในลักษณะที่เปน็ ท่ขี ดั ตาหรือเปน็ ทรี่ าคาญสาหรบั บคุ คลขา้ งเคียงหรือบุคคลอนื่ อยู่
เสมอ เปน็ ตน้ และจากพฤติกรรมท่ตี ่างกนั อนั เน่ืองมาจากคมุ พฤติกรรมขณะเกดิ อารมณแ์ ละ
ความสามารถในการปรบั ตัวใหส้ ามารถในการควบคุมพฤติกรรมขณะเกดิ อารมณ์แลความสามารถใน
การปรบั ตัวให้สามารถอยู่ในสังคมได้ อย่างมีความสขุ มากน้อยเพียงใดดว้ ย

๑๒. การจูงใจทีส่ าคัญ

การจงู ใจท่ีสาคัญในทัศนะของ ฟรอยด์ นนั่ คือ ความกลัว หรือความกระวนกระวายใจ
ความกลวั จะจูงให้ร่างกายหลบหลีกอาการกระทาหรือตอ้ งการกระทาหรอื ตอ้ งการกระทากิจกรรม
อย่างใดอย่างหนงึ่ ลงไป เพื่อใหพ้ ้นจากความกลัว และความกระวนกระวายใจอนั นัน้ แนวความคิด

๑๒

ใหม่ที่ ฟรอยด์ได้ใหไ้ ว้ซ่งึ ก่อให้เกดิ ประโยชน์อยา่ งใหญ่หลวง ในการค้นคว้าเร่ืองการเรียนรูใ้ ห้
กว้างขวางยิง่ ขึ้นต่อไป

๑๓. สรุปและขอ้ คดิ เห็นเก่ียวกับการเรยี นรู้

เปน็ ท่ยี อมรบั กันท่วั ไปวา่ พฤตกิ รรมของรา่ งกายส่วนมากน้ัน เป็นพฤตกิ รรมที่เกิดจากการ
เรยี นรูโ้ ดยเฉพาะอย่างย่ิงมนุษย์ เปน็ สัตว์ชนั้ สงู กจ็ รงิ แต่โดยท่มี นษุ ย์ไม่อาจเป็นตวั ของตัวเองได้
ตงั้ แต่แรกเกดิ เหมือนสัตว์ประเภทอ่นื เชน่ เต่า ปู ปลา และ นก เปน็ ต้น ( ซ่ึงพ่อแมจ่ ะอุม้ ชูเพียงไม่
แก่วนั ก็จะปล่อยให้ดาเนนิ ชีวิตไปเองเอง มนุษย์เรานัน้ จะต้องเลีย้ งดทู ะนุถนอมนับแรมปี) การ
ปะทะสังสนั ทน์ หรอื การเรยี นรจู้ ากสงั คม จงึ นบั เปน็ เร่ืองท่ีสาคัญยิ่งฯ

ในเมื่อการเรียนรู้เป็นหัวใจของจิตวิทยา การค้นคว้าทดลองเพื่อขุดค้นความจริงเก่ียวกับ
ธรรมชาติ และความเปน็ มาในเรอ่ื งเกย่ี วกบั การเรยี นรู้ จึงเป็นไปอย่างกวา้ งขวางโดยเฉพาะภายหลัง
จากทวี่ ิธศี กึ ษาทางจติ วิทยามีหลกั เกณฑม์ ีหอ้ งทดลองเป็นหลักฐานการคน้ ควา้ กย็ ง่ิ กว้างข้นึ

นกั จติ วิทยาเพ่ิมปรมิ าณมากขึ้น วิธีการทดลองกพ็ สิ ดารมากขึ้น เร่ืองของการเรียนรู้ก็ยิ่งทา
ความสบั สนใหแ้ กผ่ ูศ้ ึกษาในภายหลังมากขน้ึ ตามไปด้วย ปญั หาเกย่ี วกบั การเรียนรู้ก็เกิดมากขึ้น เริ่ม
ต้ังแต่ปัญหาหลังที่ว่า การเรียนรู้คืออะไรกันแน่ การเรียนรู้มีแยกออกหลายชนิด เช่น การวาง
เง่ือนไข การเชอ่ื มโยงของส่ิงเร้าและการตอบสนอง การทดลองผิดๆ ถูกๆ ผลสุดท้าย ผู้เริ่มศึกษา
จิตวทิ ยาแหง่ การเรียนรู้ก็ยอ่ มถามตัวเองว่า จาเป็นนักหรือท่ีต้องรู้เรื่องการเรียนรู้ ในเม่ือคานี้ยังตก
ลงกนั ไม่ได้

พอจะสรุปได้ว่า คาว่าการเรียนรู้นั้นเป็นท่ียอมรับกันว่าเก่ียวกับเร่ืองของการเปลี่ยนแปลง
ของการกระทา พูดง่ายๆ ว่า ผลจากการกระทาที่มองเห็น เป็นความคิดหลังของการตั้งต้นศึกษา
เกี่ยวกับการเรียนรู้ ทฤษฎีต่างๆ ที่ต้ังขึ้นไว้นั้นก็เอามาจากผลการเปล่ียนแปลงของพฤติกรรมเป็น
สาคัญ การทดลองท่ีได้ผลให้ถูกผู้ทดลองมีการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมนั้น เราถือว่าเป็นการเรียนรู้
ก็แหละว่า อันการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของร่างกายนั้นใช่ว่าจะเกิดจากการที่ร่างกายได้เรียนรู้
แล้วแต่อยา่ งเดยี วก็หาไมป่ จั จัยอื่นๆ ทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ อาการเปล่ยี นแปลงของพฤติกรรมก็มีอีก อาทิ เช่น
พัฒนาการ ความเหน่ือยเพลียบางประการ อย่างไรก็ตาม เร่ืองของการเรียนรู้นั้นเม่ือแบ่งออกมา
เป็นพวกใหญๆ่ ก็ไดเ้ พียง ๓ พวก คือ

๑. การเรียนรู้จากการวางเงอ่ื นไขหรือการปรบั ภาวะ
๒. การเรยี นรู้จากความสัมพนั ธ์ระหว่างส่ิงเร้าและสงิ่ แวดล้อม
๓. การเรยี นรูต้ ามแนวคิดของจติ วทิ ยาเกสตัลท์

๑๔. การศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง

การศกึ ษาหาความร้ดู ว้ ยตนเอง ความหมายว่าการท่ีบคุ คลคน้ คว้าหรือแสวงหาปจั จัย
ทางดา้ นความรู้ ตามจุดประสงคท์ ่ีวางไวห้ รือความต้องการของตนเอง ที่จะทาให้ตนเองเกดิ การ
เรยี นรูด้ ้วยวธิ ีการของตนเอง ซึง่ ความรู้ท่ีไดน้ ้นั อาจแสวงหาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ทมี่ ีอยู่ซึ่งอาจเป็น

๑๓

หนงั สอื เอกสาร วารสาร ตามหอ้ งสมดุ ขา่ วสาร สารสนเทศตา่ งๆ หรือสถานที่อื่นๆ ทที่ าใหเ้ กิด
การเรียนรู้ อาจจะฟงั ถามผู้รู้กไ็ ด้

๔.๑ ประเภทและวธิ กี ารหาความรู้

การศึกษาคน้ ควา้ หาความร้ดู ้วยตนเอง เป็นวธิ ีการแสงหาความรทู้ ี่จาเป็นและ
สาคัญเพราะคนจะเกิดการเรียนรทู้ ีแ่ ทจ้ รงิ ต้องอาศยั ตนเองเป็นสาคญั ผู้ทต่ี อ้ งการหาความรนู้ ้นั มี
แนวทางในการหาความรู้ มีแนวทางใหญ่ ๆ อยู่ ๒ อย่างคือ

๑) การศกึ ษาค้นควา้ หาความรู้ด้วยตนเอง
๒) การศกึ ษาค้นคว้าหาความรทู้ ีเ่ ป็นวชิ าการในระดับการศึกษา

๑) การศกึ ษาค้นควา้ หาความรูด้ ้วยตนเอง

การที่บคุ คลมีความสนใจ อยากรหู้ รืออยากศึกษาในเรอ่ื งอะไรก็จะศึกษาหาความรู้
เองซึ่งเกิดจากความรู้สึกของตนเองเป็นเบ้ือต้น ท่ีจะเป็นเหตุไปสู่การศึกษาหาความรู้ การศึกษา
หาความรู้อยา่ งนอ้ี าจจะไมเ่ ป็นทางการหรอื รูปแบบท่ชี ดั เจน ในขณะเดียวกันจุดประสงค์และวิธีการ
หรือแหล่งขอ้ มูลอาจจะเปน็ วธิ ีเดยี วกันซ่งึ มีปัจจยั พ้ืนฐานของการศึกษาค้นคว้า ดว้ ยตนเอง คอื

- ตอ้ งเปน็ คนกระตอื รอื รน้ ในการแสวงหาความรู้
- เป็นคนสนใจความรู้หรอื วิชาการใหม่ๆ อยเู่ สมอ
- เป็นคนไม่ล้าสมยั ในองคค์ วามรู้ใหม่ๆ
- เป็นคนปรับตวั กบั เหตกุ ารณใ์ หมอ่ ยเู่ สมอ
- โดยธรรมชาติของคนท่เี ปน็ นักคิด นักเขยี น
- และเป็นผมู้ คี วามหวังในชวี ติ ถงึ ความเปน็ อยูท่ ีด่ ีขนึ้ ในอนาคต

เพราะฉะน้ัน การที่บุคคลใดจะเป็นคนที่จะค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองต้องอาศัย
เหตุปัจจัยและความจาเป็นตามที่กล่าว โดยอาศัยวิธีการคล้ายกันกับการศึกษาท่ีเป็นทางการหรือ
รปู แบบกไ็ ด้

๒) การศกึ ษาค้นควา้ หาความรทู้ ่ีเปน็ วชิ าการในระบบ

การศึกษาหาความรู้ ตามความหมายของหัวข้อน้ี ถอื วา่ เปน็ สิ่งทผี่ เู้ รยี นระดับ
อดุ มศึกษาต้องเข้าใจและตระหนกั เพราะนัน้ หมายถึงความสาเรจ็ ของการศกึ ษาเลา่ เรียน และอาจ
หมายถงึ เกรดคะแนนดว้ ย เมอื่ ขบวนการเรยี นการสอนเกิดข้ึนหรือการเขา้ มาส่รู ั้วมหาวิทยาลัย
เปน็ นิสิตสมบรู ณ์แล้ว ถอื ว่าองคป์ ระกอบการเรียนการค้นคว้าได้เริ่มแล้ว เพราะฉะนัน้ ผู้เรยี นตอ้ งรู้
และเขา้ ใจขบวนการศึกษาคน้ ควา้ ซึง่ การศกึ ษาค้นควา้ ดว้ ยตนเองเป็นปจั จัยสาคัญ โดยวธิ กี ารศึกษา
คน้ ควา้ โดยสรปุ แล้วอาจจะทาได้ ๒ วิธีใหญๆ่ คือ

๑. การศกึ ษาคน้ คว้าและรวบรวมข้อมลู ทั้งหมดดว้ ยตนเอง เพียงลาพัง
๒. การศึกษาค้นคว้าร่วมกันเป็นกลุ่ม เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ หรืออาจจะแบ่ง
หวั ข้อแยกกันไปศึกษาค้นคว้าแล้วนาขอ้ มูลมาร่วมกันภายหลงั
พอจะสรุปไดว้ ่า การศึกษาค้นคว้าดว้ ยตนเองน้ี ตามปกตมิ ักจะใชป้ ระกอบหรือ
รว่ มกับการเรียนการสอน เช่น การอภปิ ราย,การอธิบาย, การร่วมกิจกรรมงาน, การจัดนทิ รรศการ

๑๔

เป็นต้นโดยท่ผี ู้ท่ีจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน ทาขึ้นภายในขอบเขตของการเรียนการสอน ตาม
จดุ ประสงคข์ องรายวชิ า ในสถานศกึ ษาน้นั ๆ

๔.๒ วตั ถุประสงคก์ ารศกึ ษาด้วยตนเอง

๑. เพ่อื ให้ผ้เู รยี นรูจ้ ักการศกึ ษาค้นคว้าแสวงหาความรดู้ ว้ ยตนเอง
๒. เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนรู้จักหาประโยชนจ์ ากหอ้ งสมดุ หรือแหล่งขอ้ มลู อ่นื ๆ ที่มีในท้องถิน่
๓. เพ่ือใหผ้ เู้ รยี นรูจ้ กั รวบรวมเรียบเรียงขอ้ มูลทส่ี าคัญ ตรงตามข้อกาหนดใน
การศกึ ษา
๔. เพื่อสรา้ งเสรมิ ลกั ษณะนิสยั ในการค้นคว้าหาความร้ดู ว้ ยตนเอง และรับผดิ ชอบ
ตอ่ งานที่ไดร้ ับมอบหมาย
๕. เพอื่ ให้ผเู้ รยี นเหน็ ความสาคัญของตนเองและรจู้ กั ตรงต่อเวลา

๔.๓ การเตรยี มตวั เพื่อศกึ ษาด้วยตนเอง

การเตรียมตัวเพ่ือการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ถือว่าเปน็ การวางแผนการอยา่ ง
หน่ึงในการทีจ่ ะศึกษาค้นควา้ ดว้ ยตนเองของแต่ละคน เพ่ือใหก้ ารศึกษาเลา่ เรียนของตนเอง เป็นไป
อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพตามที่ตงั้ ใจเอาไว้ ส่ิงที่ควรคานึงในการเตรียมตัวในการศึกษาด้วยตนเอง มี
ดังนี้

๑. การสารวจความพร้อมของรา่ งกายตวั เอง
๒. การจัดเวลาใหพ้ อเหมาะ
๓. การจดั เลือกสถานที่
๔. ความตงั้ ใจ สนใจอย่างมปี ระสิทธิภาพของตวั เอง
๕. จดั ตารางเวลา วางแผนเวลาในการศกึ ษา

***********************

๑๕

หนงั สอื อา้ งองิ

มาลินี จุฑะรพ. จติ วทิ ยาการเรยี นการสอน. พมิ พ์คร้งั ที่ ๑. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์คุรสุ ภา. ๒๕๓๗.
กุลทรพั ย์ เกษมแมน่ กจิ . หนังสอื เรยี นภาษาไทย รายวชิ า ท.๐๘๑ การศกึ ษาค้นควา้ เบ้อื งตน้ .

พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๔ กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช . ๒๕๒๔.
ชตุ ิมา สัจจานนั ทรแ์ ละพันทิพา มีแตม้ . หอ้ งสมุดและการศกึ ษาค้นควา้ . กรุงเทพฯ: โรงพิมพค์ ุรุ

สภา, ๒๕๓๐.
จาลอง ดษิ ยวณชิ . จติ เวชศาสตร์. พิมพ์คร้งั ที่ ๒, กรงุ เทพฯ : พระสิงหก์ ารพิมพ์ . ๒๕๒๒
ฝน แสงสิงแก้ว. เรอ่ื งของสุขภาพจติ . กรุงเทพฯ. โรงพมิ พช์ วนพมิ พ์, ๒๕๒๑.

***********************

๑๖

กิจกรรม/แบบฝึกหัดทา้ ยบทท่ี ๑

ตอนที่ ๑ คำสัง่ จงเติมคาลงในช่องวา่ งตอ่ ไปนีใ้ ห้สมบูรณ์

๑. มนุษยเ์ กิดการเรยี นร้ไู ด้...........ทาง คือ..........................................................................................
๒. พฤตกิ รรมของมนษุ ย์เปลย่ี นไปเพราะเกดิ การ...............................................................................
๓. การหย่งั เหน็ ถือว่าเปน็ การ............................................................................................อยา่ งหนึ่ง
๔. การทมี่ นุษยอ์ ยากรู้ อยากเห็น เพราะ............................................................................................
๕. นกั จิตวทิ ยาชาวอเมริกา ทพี่ บวา่ การเรียนรูข้ องคนเพิม่ ข้ึนเร่อื ย ๆ คอื ........................................

ตอนที่ ๒ คำสงั่ จงตอบคาถามต่อไปน้ี ตามความเขา้ ใจของนสิ ติ ท่ีได้เรยี นมา ในบทน้ี

๑. ทาไม มนุษย์ต้องการเรียนร้แู ละอยากได้ความรู้ จงอธิบายและให้เหตผุ ล ?
๒. อะไร ท่ีระบวุ ่า มนุษย์เกิดการเรยี นรู้ และอาศยั ปจั จัยอะไรในการเรยี นรู้ ?
๓. ในทศั นะท่านอะไร คือสิ่งท่ีแสดงใหเ้ ห็นวา่ ท่านมีความรรู้ ะดับอุดมศึกษาหรือปริญญาตรี ?
๔. การเรยี นรอู้ ุดมศึกษากับการเรียนระดับมัธยมศึกษา ตา่ งหรือเหมือนกนั หรือไม่อย่างไร ให้

เหตผุ ล ?

**********************

บทที่ ๒

ความรู้เก่ยี วกับห้องสมุด

๑. ความรู้เบือ้ งต้นเกี่ยวกบั หอ้ งสมุด

หอ้ งสมุด คือ สถานทร่ี วบรวมสรรพวิทยาการตา่ งๆ ได้แก่ หนงั สือ วารสาร สง่ิ พิมพ์
ต่างๆ รวมท้งั โสตทัศนวสั ดุทุกประเภท นามาจดั เกบ็ ตามระบบสากล โดยมบี รรณารักษ์เป็นผู้
ใหบ้ ริการและคาแนะนาแก่ผู้ใช้ (นวลจนั ทร์ รัตนากร: ๒๕๓๙)

ห้องสมุด คือ แหล่งรวบรวมวสั ดุทใี่ ช้เพ่อื การศึกษาคน้ คว้าทุกประเภท ท้ังวสั ดุประเภท
สิง่ ตพี มิ พ์ และวัสดไุ ม่ตีพิมพ์ อันได้แก่ หนงั สอื วารสารท่ัวไป หนังสอื พิมพ์ เอกสารอนื่ ๆ ตน้ ฉบบั
ตัวเขยี น โสตทัศนวัสดุต่างๆ เชน่ แผนที่ รูปภาพ ลูกโลก แผ่นเสียง แถบบนั ทกึ เสียง แถบ
บนั ทกึ ภาพ ภาพน่ิง ภาพเลื่อน วัสดยุ ่อสว่ น ภาพยนตร์ เป็นต้น โดยมกี ารจดั ระบบระเบยี บเอาไว้
เพ่ือใหบ้ ริการแก่ผูใ้ ชใ้ นอนั ทจี่ ะสง่ เสริมการเรียนรู้และความจรรโลงใจ ตามความสนใจและความ
ตอ้ งการของแตล่ ะบุคคลโดยมีเจา้ หน้าท่ีซึง่ มีความรทู้ างบรรณารักษศาสตรเ์ ป็นผู้ดาเนนิ การและ
บริการ เพ่ือใหผ้ ใู้ ช้ไดร้ ับความสะดวกและเกิดประโยชน์สูงสุด (อาไพวรรณ ทัพเปน็ ไทย: ๒๕๔๐)

ในปัจจุบันและอนาคตห้องสมุดเป็นสถานทีซ่ ่ึงรวบรวม ข่าวสาร ความรู้ ขอ้ มูลเอาไว้ใน
รปู แบบต่างๆ โดยการนาเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้ เช่น เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์
และเทคโนโลยที างการสื่อสารเข้ามาใช้บันทึก จดั เกบ็ สบื คน้ ข้อมลู ตลอดจนใชใ้ นการดาเนินงาน
ห้องสมุดทั้งในการบันทึก จัดเก็บ สืบคน้ ข้อมูลตลอดจนใช้ในการดาเนนิ งานห้องสมุดทง้ั ในดา้ น
เทคนคิ บรหิ าร และบริการ ท้งั นเี้ พอ่ื อานวยความสะดวกแกผ่ ้ใู ช้ให้สามารถเข้าถงึ ข้อมูลไดอ้ ยา่ ง
รวดเร็ว และถูกต้องตรงกับความต้องการ อีกทงั้ ยงั เป็นการประหยัดเนอ้ื ทใี่ นการจดั เก็บสอ่ื ความรู้
ต่างๆ เอาไว้ไดเ้ ปน็ จานวนมากในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ ฐานข้อมลู ซี-รอม

๒. วตั ถปุ ระสงคข์ องห้องสมดุ

หอ้ งสมดุ โดยท่วั ไปมีวตั ถปุ ระสงค์ ๕ ประการคอื
๑. เพือ่ การศึกษา (Education) ในการศึกษาทุกระดับช้ันนบั ตั้งแต่อนุบาล
ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา ผู้ศึกษาจาเป็นตอ้ งใชว้ สั ดอุ ุปกรณ์ต่างๆ ในห้องสมดุ
ค้นคว้าประกอบคาสอนของครอู าจารยจ์ งึ เกิดความรเู้ พ่มิ เติมกว้างขวางและสมบูรณย์ ิ่งข้ึน หรือผู้ท่ี
มไิ ด้ศึกษาข้ันสงู สดุ กส็ ามารถใชห้ ้องสมดุ เป็นแหลง่ ศึกษาคน้ คว้าได้ต่อไปจนตลอดชวี ติ

๑๙

๒. เพื่อข่าวสารและความรู้ (Information) ห้องสมุดเป็นแหลง่ วิทยาการสาหรับศึกษา
ค้นควา้ วชิ าการใหมๆ่ และติดตามขา่ วความเคลอื่ นไหวทงั้ ภายในและภายนอกประเทศท่ัวโลก ผู้ใช้
หอ้ งสมดุ จะมคี วามรู้ทันเหตุการณข์ องโลกซึ่งเปลี่ยนแปลงอยูต่ ลอดเวลา

๓. เพ่ือการค้นคว้าและวิจยั (Research) หอ้ งสมดุ เปน็ แหล่งสะสมสารนเิ ทศตา่ งๆ เอา
ไวอยา่ งพรอ้ มมูลทจี่ ะใชใ้ นการค้นควา้ วิจัยซึ่งเปน็ การแสวงหาความร้ใู หมๆ่ เพือ่ ความเจรญิ ก้าวหน้า
ทางวิชาการในสาขาตา่ งๆ

๔. เพ่ือความจรรโลงใจ (Inspiration) การอา่ นหนังสือนอกจากจะได้รับความร้แู ลว้ ยงั
สามารถก่อใหเ้ กิดความสขุ ทางใจเกดิ ความชนื่ ชมและประทับใจในความคิดทด่ี ีงามของผูอ้ ื่น ความ
ไพเราะงดงามในศิลปะ ได้คติชวี ติ ซ่งึ กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ข้ึนกบั ตวั เองสงั คมและประเทศชาติ

๕. เพื่อนันทนาการหรือพักผ่อนหย่อนใจ (Recreation) การอ่านหนังสือเป็นการพักผ่อน
หย่อนใจที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะผู้อ่านจะได้รับท้ังความเพลิดเพลินและความรู้ เป็นการใช้เวลาว่างให้
เป็นประโยชนอ์ กี ทั้งเปน็ การปลกู ฝงั นิสัยรกั การอา่ นด้วย

๓. บทบาทและหน้าทขี่ องหอ้ งสมดุ

๑. ห้องสมุดเปน็ สถานท่เี พ่ือการสงวนรักษาและถ่ายทอดวฒั นธรรม หอ้ งสมุดจะเป็น
แหล่งรวบรวมสรรพวิชาตา่ งๆ เช่น หนงั สอื ประเภทศาสนา ปรชั ญา วรรณคดี และศลิ ปะทาให้
ผู้อ่านซาบซึง้ ในคุณงามความดี คุณค่าของความงามของศลิ ปะต่างๆ เปน็ ศนู ย์กลางให้ทราบความ
เปล่ยี นแปลง และความเคล่ือนไหวของวัฒนธรรมของชาติต่างๆ ซ่ึงก่อให้เกิดวจิ ารณญาณทจี่ ะ
พิจารณาวา่ ควรจะดดั แปลงวัฒนธรรมตา่ งชาติ ใหเ้ ขา้ กบั วัฒนธรรมไทยหรือไม่

๒. ห้องสมุดเป็นสถานทีเ่ พื่อการศึกษาคน้ คว้าและวจิ ยั หอ้ งสมุดจะต้องเป็นผ้จู ัดหา
และรวบ รวมสรรพวทิ ยาการตา่ งๆ ไว้ใหเ้ พยี งพอต่อความต้องการแก่ผูใ้ ชบ้ ริการ ห้องสมุดจึงมี
ส่วนสนบั สนนุ การจัด การศึกษาของสงั คมทัง้ ในระบบและนอกระบบ

๓. หอ้ งสมดุ เป็นสถานท่ีสร้างเสรมิ ความคดิ สร้างสรรค์และความจรรโลงใจ หอ้ งสมดุ
สามารถ ท่จี ะพฒั นาคนใหม้ ีความรคู้ วามสามารถยิ่งขึ้น สามารถผลิตและจาหนา่ ยส่ิงพิมพ์และวสั ดุ
ครภุ ณั ฑ์ตา่ งๆ เป็นการเพิ่มพนู รายได้ให้แกต่ ัวเองผู้อ่านได้เกิดแนวคิดสามารถเลือกอาชพี ท่ี
เหมาะสมกบั ความสามารถความถนดั ของตน ซึ่งจะก่อให้เกดิ ผลดีในการประกอบอาชพี ต่อไป

๔. ห้องสมดุ เป็นสถานทีเ่ พ่ือปลกู ฝังนสิ ัยรักการอ่านและการเรยี นรู้ตลอดชีวิต หอ้ งสมดุ
จะตอ้ งเป็นผูด้ าเนนิ การและจัดหากิจกรรมต่างๆ เพ่ือดึงดูดหรอื จูงใจใหป้ ระชาชนหรือเยาวชนให้
เกดิ นิสยั รักการอา่ นข้ึน เชน่ การจดั กิจกรรมเล่านิทาน ละครห่นุ การแขง่ ขนั ทายปัญหาตอบ
ปญั หา ฯลฯ

๕. ห้องสมุดเปน็ สถานท่ีสง่ เสริมการใชเ้ วลาวา่ งให้เป็นประโยชน์ ห้องสมุดสามารถทา
ใหผ้ ใู้ ช้บรกิ ารผ่อนคลายความตึงเครียดจากภาระหนา้ ท่ีการงาน การเรยี น คลายความกงั วล
คลายความทุกข์ ให้หันมาจับหนังสือโดยรู้จักการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ข้ึนโดยวิธีแสวงหา
ความร้จู ากหนงั ส่ือตา่ งๆ ภายในห้องสมุด ที่มีไวใ้ หบ้ ริการ

๒๐

๖. หอ้ งสมุดเป็นสถานท่สี ง่ เสริมความเป็นประชาธปิ ไตย ภายในห้องสมดุ จะมีระเบียบ
ขอ้ บังคบั คาแนะนาในการปฏบิ ัตติ นแก่ผู้ใชห้ อ้ งสมุด ดงั นัน้ ประชาชนที่มาใช้ก็จะเกิดความคิด
ในการรักษาประชาธิปไตย

๔. ประเภทของห้องสมดุ

ในทางวิชาการแบง่ ประเภทของห้องสมดุ ออกเป็น ๕ ประเภทใหญ่ คอื
๔.๑ หอ้ งสมดุ ประชาชน (Public library)
๔.๒ หอ้ งสมุดแห่งชาติ (Nation library)
๔.๓ ห้องสมดุ โรงเรยี น (School library)
๔.๔ หอ้ งสมุดมหาวทิ ยาลยั และวิทยาลยั (University and college library)
๔.๕ หอ้ งสมุดเฉพาะ (Special library)

๔.๑ หอ้ งสมุดประชาชน (Public library)
คอื ห้องสมุดท่จี ดั ต้ังขึน้ เพ่ือให้บริการด้านหนงั สือ และวัตถุทางการศกึ ษาต่างๆ

แกป่ ระชาชนทุกเพศทุกวัย และทกุ ระดับการศึกษา หอ้ งสมุดประชาชนจะให้บริการแก่ประชาชนไม่
คิดมูลคา่

๔.๑.๑ วตั ถปุ ระสงค์ของหอ้ งสมดุ ประชาชน
๑. เพ่อื เปน็ แหลง่ ให้การศกึ ษานอกโรงเรยี นแกป่ ระชาชนทัว่ ไป
๒. เพื่อเป็นศนู ย์รวมข่าวสารและความรตู้ า่ งๆ ที่ทันสมัย
๓. เพ่ือสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนรักการอ่านและการศึกษา

คน้ ควา้ ด้วยตนเอง
๔. เพ่ือให้ความรู้และความจริงทั่วๆ ไป แก่ประชาชนด้วยการจัด

กจิ กรรมต่างๆ ตามโอกาส ทเ่ี หมาะสม
๔.๑.๒ กจิ กรรมที่สาคัญของห้องสมดุ ประชาชน
๑. บรกิ ารตอบคาถามและช่วยการคน้ ควา้
๒. การจัดนิทรรศการ
๓. การเลา่ นิทาน
๔. การสนทนาเรอื่ งหนงั สอื
๕. การจดั อภปิ รายและบรรยาย
๖. จัดตง้ั ชมรมห้องสมุดหรอื ชมรมอา่ นหนังสือ

๔.๑.๓ ห้องสมุดประชาชนสังกัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร
แบง่ ออกได้ ๓ ประเภท
๑. หอ้ งสมดุ ประชาชนจงั หวดั
๒. หอ้ งสมุดประชาชนอาเภอ
๓. หอ้ งสมุดเคลอ่ื นที่ (Book Mobile)

๒๑

๔.๑.๔ หอ้ งสมดุ ประชาชนสงั กดั กรุงเทพมหานคร
- ห้องสมดุ ประชาชนสวนลุมพนิ ี
- ห้องสมดุ ประชาชนสังขก์ ระจาย
- หอ้ งสมดุ ประชาชนซอยพระนาง
- หอ้ งสมุดประชาชนบางเขน
- ห้องสมดุ ประชาชนปทุมวนั
- ห้องสมดุ ประชาชนบางขุนเทียน
- ห้องสมุดประชาชนวัดอนงคาราม
- ห้องสมุดประชาชนวดั รัชฎาธษิ ฐานวรวิหารตล่ิงชัน

๔.๑.๕ หอ้ งสมดุ ประชาชนของธนาคารพาณิชย์
โดยเปน็ การจดั ตง้ั หอ้ งสมดุ ประชาชนเพ่ือบริการสังคมและเพ่อื

ประชาสมั พันธ์บริการของธนาคารใหเ้ ป็นท่ีรจู้ ักแพรห่ ลายยิง่ ข้ึน ได้แก่ ห้องสมดุ ประชาชนกรงุ เทพ
จากดั

๔.๑.๖ หอ้ งสมดุ ประชาชนของรฐั บาลตา่ งประเทศ
โดยไดร้ บั ความสนับสนนุ จากรัฐบาลต่างประเทศได้แก่
- ห้องสมดุ โรงเรียนสถานสอนภาษา A.U.A เรยี กว่าห้องสมุด A.U.A.
- ห้อองสมุดปริตชิ เคานซ์ ิล ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร

๔.๑.๗ หอ้ งสมดุ ประชาชนเสยี ค่าบารงุ
ไดแ้ ก่ หอ้ งสมุดนลิ สนั เฮย์ (Nellson Hay library)

๔.๒ หอ้ งสมุดแห่งชาติ (National library)
หอ้ งสมดุ ท่ปี ระเทศเป็นผจู้ ดั ต้ังขน้ึ และดาเนินการ เป็นหอสมุดที่มหี นา้ ทีร่ วบรวม

สง่ิ พมิ พท์ ่ีพิมพ์ขึ้นมาภายในประเทศ เพ่ือนรุ ักษ์สิ่งพิมพ์เหล่านัน้ ใหค้ งถาวรสบื ไป จะได้ใชเ้ ปน็ ที่
ศึกษาคน้ คว้าของประชาชนหอสมดุ แหง่ ชาตจิ ะได้รับสิง่ พมิ พท์ ุกเล่มที่พมิ พ์ขนึ้ ภายในประเทศตาม
กฎหมาย

วัตถปุ ระสงคข์ องหอ้ งสมุดแห่งชาติ
๑. เพ่ือรวบรวมหนังสือ สิ่งพิมพ์ ตลอดจนเอกสารที่สาคัญทุกชนิด ท้ังท่ีผลิต

ในประเทศและจาก ต่างประเทศ
๒. เพื่อใหบ้ ริการศกึ ษาค้นควา้ และวจิ ยั แก่ประชาชนทั่วไป
๓. จัดทาบรรณานกุ รมแหง่ ชาตแิ ละบรรณานกุ รมทุกชนดิ

๔.๓ หอ้ งสมดุ โรงเรียน (School library )
หอ้ งสมุดท่จี ัดตั้งข้นึ ในโรงเรียนหรือสถานศึกษาทตี่ ่ากว่าระดับอดุ มศึกษามี

วตั ถปุ ระสงคป์ ระการสาคัญเพ่ือให้เป็นศูนย์กลางของการเรยี นของนักเรยี น และการสอนของครู
จดั หาวัสดตุ ามหลกั สตู รเพ่ือให้บรกิ ารแก่นักเรยี นและครู

วตั ถปุ ระสงคข์ องหอ้ งสมุดโรงเรยี น
๑. เพ่ือสง่ เสริมสนบั สนนุ กรเรียนการสอนของนักเรียนและครูตามหลักสตู ร
๒. เพือ่ เปน็ ศนู ย์การแนะแนวการอา่ น

๒๒

๓. เพ่ือสง่ เสริมให้นกั เรียนรจู้ กั ศึกษาค้นควา้ ด้วยตนเองและฝึกใหม้ นี ิสยั รักการอ่าน
๔. เพอ่ื ฝกึ ใหน้ ักเรยี นมีประสบการณ์ในการใช้ห้องสมดุ
๔.๔ ห้องสมุดมหาวิทยาลยั และวิทยาลยั (University and college library)
ห้องสมดุ ทจ่ี ัดตง้ั ขนึ้ และดาเนนิ การโดยมหาวิทยาลัย อันเปน็ สถาบันระดบั สงู ซงึ่ มี
หน้าทร่ี ับผิดชอบในการผลติ กาลังคนระดบั ปริญญาในสาขาวชิ าชพี ตา่ ง ๆ เพอ่ื เป็นกาลังในการสรา้ ง
คนไปใชใ้ นการบริการและพฒั นาประเทศใหเ้ จรญิ ก้าวหน้า
วัตถุประสงค์ของหอ้ งสมุดมหาวิทยาลัยและวิทยาลัย

๑. เพ่ือเป็นศูนย์รวมทางวิชาการแขนงต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา
ค้นคว้าและวจิ ยั แก่นิสิตและอาจารย์

๒. เพื่อเปน็ ศนู ย์กลางในการบริการตอบคาถามและช่วยค้น แกน่ สิ ิตและอาจารย์
๓. เพื่อส่งเสริมการเรียนการสอนในระดับมหาวิทยาลยั ใหบ้ รรลุวตั ถปุ ระสงค์
๔. เพ่อื ช่วยให้อาจารยแ์ ละนสิ ิตไดร้ ับความเพลดิ เพลนิ จากการอา่ นหรือ
โสตทศั นวัสดุ
๔.๕ ห้องสมุดเฉพาะ (Special library)
ห้องสมดุ ท่ีจดั ต้ังข้ึนในหนว่ ยงานของราชการหรอื องคก์ าร สถาบัน สมาคม บรษิ ัท
ธนาคารรฐั วสิ าหกจิ ประกอบดว้ ยหนังสือเฉพาะวชิ า หรอื หนังสอื ท่เี ก่ียวข้องกบั วิชาน้ันๆ รวมท้งั
เอกสารและวัสดกุ ารศึกษา เฉพาะในบางวชิ าบางเร่ืองเท่าน้ัน
วตั ถปุ ระสงคข์ องห้องสมุดเฉพาะ
๑. เพื่อเปน็ แหลง่ บรกิ ารข้อสนเทศที่สาคญั ของหนว่ ยงานนน้ั ๆ
๒. เพอ่ื บริการแก่เจา้ หน้าทีข่ องหนว่ ยงานนน้ั ได้ศึกษาคน้ คว้าเพ่ือปรับปรุงตน
ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพมี ความรเู้ ท่าทันต่อเหตุการณ์อยเู่ สมอ
๓. เพ่ือใหบ้ ริการแก่ทุกๆ คนทมี่ าใช้บรกิ ารห้องสมดุ แผนกตอบคาถามและชว่ ยคน้
๔. เปน็ แหลง่ กลางรวบรวมประวตั ริ ายงานและสถิตติ ่างๆ ของสถาบนั หรอื องค์การ
นัน้

๕. องคป์ ระกอบของหอ้ งสมดุ

๕.๑ อาคารสถานที่
๕.๒ วัสดคุ รภุ ัณฑ์หอ้ งสมุด
๕.๓ บคุ ลากร
๕.๔ งบประมาณ
๕.๕ วัสดุเพ่ือการศึกษา
๕.๑ อาคารสถานท่ี การจดั ดาเนินงานห้องสมดุ จะตอ้ งมีสถานท่ีที่จะใช้ดาเนินงานได้อย่าง
สะดวกมีพื้นที่สาหรบั บรกิ าร อยา่ งเพยี งพอผใู้ ช้บรกิ าร
๕.๒ วัสดุครุภัณฑ์ห้องสมุด ห้องสมุดที่จาเป็นจะต้องใช้ในการดาเนินการที่ได้มาตรฐาน
และทันสมยั เพ่ืออานวยความสะดวก สบายให้กบั เจ้าหน้าทผ่ี ้ปู ฏิบัตงิ านและผใู้ ชบ้ รกิ าร

๒๓

๕.๓ บุคลากร ห้องสมุดจะต้องมีบรรณารักษ์ผู้มีคุณวุฒิทางบรรณารักษ์ศาสตร์ และ
เจา้ หนา้ ท่ีผ้ปู ฏบิ ตั ิงานใน จานวนท่ีเพยี งพอทาหน้าท่ีให้บริการไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ

๕.๔ งบประมาณ ห้องสมุดจะต้องมีเงนิ งบประมาณในการดาเนนิ งานอย่างเพยี งพอ
เพอ่ื ใหเ้ ปน็ ค่าใชจ้ ่ายในการ ดาเนินงานของหอ้ งสมุด เชน่ ค่าใช้จา่ ยในการจัดซื้อสิง่ ตีพมิ พ์ วัสดุไม่
ตีพิมพ์ เงนิ เดอื น สาหรบั เจ้าหนา้ ทผี่ ู้ปฏบิ ัตงิ านของห้องสมุด

๕.๕ วสั ดเุ พ่ือการศึกษา ห้องสมดุ จะต้องมวี สั ดุเพือ่ การศึกษา และค้นคว้าวจิ ยั ทั้ง
ประเภท สิง่ ตีพิมพแ์ ละไม่ตพี ิมพ์เปน็ จานวนมากพอสมควรได้สดั ส่วนที่เหมาะสมกบั ผใู้ ช้บริการตาม
มาตรฐานของห้องสมุดโดยทวั่ ไป ทไี่ ด้กาหนดไว้

ปรัชญาการปฏิบตั ิงาน (Practical Philosophy) แรงกานาธาน (Ranganathan)
นกั ปราชญท์ างบรรณารักษ์ศาสตร์ชาวอินเดยี ไดก้ ล่าวถึง ปรชั ญาทางบรรณารักษศ์ าสตรไ์ ว้ ๕
ประการคือ

๑ Book are for use หนงั สอื มีไว้ใชป้ ระโยชนห์ นังสือทุกเล่มในห้องสมดุ จะให้
ประโยชน์แกผ่ อู้ ่านไม่ว่าจะเป็นการใหค้ วามรู้ ความคิด จรรโลงใจ หรอื ความบนั เทงิ

๒ Every reader his books. ผู้อ่านแต่ละคนมีหนังสือท่ีตนจะอ่านห้องสมุดจะต้อง
จดั หาและจัดหนงั สือใหผ้ ูอ้ ่านไดอ้ ่านหนงั สือท่ตี นต้องการ

๓ Every book its reader. หนังสือทุกเลม่ จะมีผ้อู ่าน ห้องสมดุ จะตอ้ งช่วยให้หนังสือ
ทกุ เล่ม และวสั ดทุ กุ ช้นิ ในห้องสมดุ ใหเ้ กดิ ประโยชน์แก่ผู้ ใช้มากท่สี ุด

๔ Save the time of the reader. ประหยัดเวลาของผู้อ่านพยายามหาวิธีการ
ต่างๆ ทจ่ี ะช่วยใหผ้ อู้ ่านใช้ไดพ้ บกับหนังสือทตี่ ้องการได้อยา่ งสะดวกและรวดเรว็

๕ Library is a growing organization. ห้องสมุดเป็นส่ิงที่เจริญเติบโตได้ห้องสมุด
จะต้องจัดหาหนังสือและวัสดุเพิม่ ข้นึ อยเู่ สมอ จึงเป็นสิ่งทีเ่ จรญิ เติบโตไดเ้ สมือนชวี ติ .



๒๔

หนังสอื อ้างอิง

ธาดาศกั ด์ิ วชริ ปรีชาพงษ์. หลกั บรรณารกั ษศ์ าสตรเ์ บ้อื งต้น. พิมพค์ ร้ังท่ี ๒. กรุงเทพฯ :
มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ บางเขน; ๒๕๓๔.

นวลจันทร์ รตั นาการ . การใช้หอ้ งสมุด. พมิ พ์ครั้งท่ี ๒. กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร์, ๒๕๓๕.
อาไพวรรณ ทพั เปน็ ไทย. การเขียนรายงานและการใช้หอ้ งสมุด. กรงุ เทพฯ: สถาบัน

เทคโนโลยรี าชมงคล. ๒๕๔๐.

๒๕

กิจกรรม/แบบฝึกหัดทา้ ยบทท่ี ๒

ตอนที่ ๑ คำสง่ั จงเติมคาลงในช่องวา่ งตอ่ ไปนใ้ี หส้ มบรู ณ์
๑. การอ่านก่อให้เกิดความสขุ ทางใจเกิดความชื่นชมและประทับใจ เรยี กว่าอ่านเพ่ือ
....................................................................................................................
๒. ห้องสมุดเพอื่ การค้นควา้ วจิ ัยคอื คือหอ้ งสมดุ ...........................................................
๓. วตั ถุประสงค์เพ่ือเสรมิ หลักสูตรคอื ห้องสมุด...............................................................
๔. หอสมดุ แห่งชาติมีหน้าท่รี วบรวม..............................................................................
๕. หอ้ งสมดุ ท่ียมื ออกไมไ่ ด.้ ........................................................................................

ตอนที่ ๒ คำสั่ง จงตอบคาถามต่อไปนี้ ตามความเข้าใจของนสิ ติ ท่ีได้เรยี นมา ในบทน้ี
๑. จงอธิบายความหมาย และความสาคัญของหอ้ งสมุด มาให้เข้าใจ ?
๒. หอ้ งสมุดมีวัตถปุ ระสงค์เหมอื นกนั ๕ ประการ อยากทราบว่า มีอะไรบา้ ง ?
๓. หอ้ งสมุดอะไรทม่ี ีกฎหมายเฉพาะและทาหน้าทีส่ าคัญกว่าห้องสมุดประเภทอืน่ เพราะอะไร
๔. ในบรกิ ารหอ้ งสมุดทง้ั หมด มบี รกิ ารอะไรทส่ี าคัญทีส่ ุด เพราะอะไร ?
๕. ห้องนอกจากเรยี กว่าหอสมุดแลว้ มชี ่ืออย่างอืน่ อกี หรือไม่ บอกมาให้ทราบ ?

*************

บทท่ี ๓

ความรู้เกี่ยวกบั หนงั สอื

๑. ความหมายและสาคญั ของหนังสือ

วัสดุในห้องสมุดมีอยู่หลายประเภท ท่ีบรรณารักษ์จัดหามาเพื่อให้ผู้ใช้ห้องสมุดได้ใช้และเป็น
การสนองตอบความตอ้ งการ และเพื่อให้วตั ถปุ ระสงค์ของห้องสมุดเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ซึ่งใน
ปัจจุบันความเจริญทางด้านเทคโนโลยเี ข้ามามีบทบาทในวงการห้องสมุดอยา่ งมาก แต่โดยหลกั ทาง
วชิ าการวัสดขุ องหอ้ งสมุดก็พอจะแยกออกเป็นพวกใหญ่ ๆ ได้ ๒ พวก คือ

๑. วัสดุตีพิมพ์ (Printed materials) วัสดุตีพิมพ์ที่อยู่ในห้องในสภาพปัจจุบันพอจะ
สรุปได้ คอื - หนังสอื - วารสาร หรอื นิตยสาร - หนังสอื พมิ พ์ - จลุ สารหรอื อนุสาร - กฤตภาค

๒. วัสดไุ ม่ตพี มิ พ์ หรือ โสตทัศนวัสดุ
หนังสือ (Book) คอื วสั ดสุ ิง่ พิมพช์ นิดหน่งึ ที่บันทกึ ความรู้ ความคิด ประสบการณ์

ความเชอ่ื และการกระทาของมนษุ ย์ จดั พิมพเ์ ปน็ รูปเล่มท่ีสมบูรณ์ ยเู นสโกได้กาหนดไว้ว่าหนังสอื
นนั้ ต้องมีความหนาตง้ั แต่ ๔๘ หนา้ ข้นึ ไป สว่ นไทยไดก้ าหนดว่าหนังสือจะต้องมีต้ังแต่ ๖๐ หน้าขึ้น
ไป

ในจานวนวัสดตุ ีพมิ พ์ ๕ ประเภท หนังสอื ถือวา่ มีจานวนมากทส่ี ุด และมี
หลากหลายลักษณะหรอื ขนาดของรูปเล่ม ด้วยกนั

หนังสือ คอื อปุ กรณ์ หรือ เคร่ืองมือของความฉลาด เฮนส์ (Haines :๑๙๕๐)
หน้า ๑๕

หนังสอื คือ บนั ทึกความรู้ ความคิด ความเช้ือถือ ประสบการณ์ และการกระทา
ของมนษุ ยท์ ่ีมีมาแลว้ (ชุตมิ า สัจจานันท์: ๒๕๒๘)หนา้ ๔๓

เพราะฉะนน้ั ความหมายและความสาคญั ของหนังสอื พอสรปุ ได้ หนงั สอื คอื
สง่ิ พิมพท์ ีร่ วบรวมสรรพความรู้ ความคิดประสบการณ์ของผปู้ ระพันธโ์ ดยใช้ภาษาและสัญลักษณ์
อย่างใดอยา่ งหน่ึงเปน็ สือ่ ใหผ้ ู้อา่ นได้เข้าใจ และเรยี บเรียงเข้าเป็นรูปเลน่ มีความหนาพอประมาณ
ซงึ่ ขนาดก็มตี ่างกนั ไป เช่น ขนาด ๘ หน้ายก ขนาด ๑๖ หนา้ ยก และมรี ูปแบบสเ่ี หล่ียมผนื ผ้าบ้าง
และส่เี หลย่ี มจัตุรัส บา้ งหรือรูปแบบอนื่ ๆ ก็ได้

๒. ประเภทของหนังสอื

หนังสืออาจแบง่ ออกเปน็ ประเภทต่าง ๆ ได้หลายวิธี สุดแต่จะยึดหลักเกณฑ์อะไร ที่นิยมคือ
การแบ่งตามเนือ้ หาและวิธเี ขยี น ซึง่ มอี ยู่ ๒ ประเภท

๑. หนงั สือสารคดี

๒๗

๒. หนงั สือบนั เทิงคดี

๓. สว่ นประกอบของหนังสอื

หนงั สือ่ แต่ละเลม่ ประกอบด้วยสว่ นต่างๆ ดังน้ี
๓.๑ ใบหุ้มปก (Book Jacket or Dust Jacket) ใบหมุ้ ปก คือ กระดาษท่ใี ช้ห่อปกนอก
ของหนังสือที่เปน็ ปกแข็ง ใชก้ ระดาษตพี ิมพ์มีสีสันสวยงามเพือ่ ดึงดดู ความสนใจ มชี ่ือหนังสอื และ
ชือ่ ผแู้ ต่งปรากฏอยู่ ประโยชน์ของใบหุม้ ปก คอื ช่วยปอ้ งกันไม่ใหป้ กหนังสือสกปรก และช่วยรักษา
ปกใหใ้ หม่อยเู่ สมอและให้รายละเอยี ดบางอย่างทเ่ี ป็นประโยชน์แกผ่ ้อู ่าน เช่น อาจมีประวัตสิ น้ั ๆ
ของผูแ้ ต่งและผลงาน รวมทั้งมเี รือ่ งย่อหรอื คาวจิ ารณ์เกี่ยวกับหนงั สือเล่มนนั้
๓.๒ ปกหนังสือ (Cover or Binding) ปกหนังสือมที งั้ ปกหนา้ และปกหลัง โดยมีสันหนังสือ
เป็นส่วนช่วยยึดให้ปกหน้าและปกหลังเข้าด้วยกัน ปกหนังสือมีทั้งชนิดที่เป็นปกแข็งซึ่งทามาจาก
กระดาษแข็งหุ้มด้วยผ้าแรกซีน หรอื หุ้มด้วยผ้า หรือหุ้มด้วยหนัง และชนิดปกอ่อน ซ่ึงทาดว้ ยกระดาษ
หนาหรอื บางตามท่ผี ู้ผลติ จะกาหนด ปกหน้าตามปกติจะปรากฏช่อื หนงั สือ ช่ือผแู้ ตง่ และ ช่อื สานักพมิ พ์
หนังสอื่ ที่มีสนั หนาจะพิมพส์ นั หนังสอื ตามรายละเอยี ดเช่นกับปกหน้า ถา้ เป็นหนงั สือของหอ้ งสมดุ
จะมีเลขเรียกหนังสอื กากับไว้ท่สี นั ดว้ ย แตถ่ ้าเป็นหนังสอื สันบางเลขเรยี กหนา้ หนงั สือของห้องสมดุ
จะเขียนไวต้ รงปกหน้าประโยชน์ของปกหนังสอื คือช่วยรักษารปู เล่มของหนงั สือใหค้ งทน และหยิบ
จบั ได้สะดวก
๓.๓ ใบรองปก หรือ ใบยึดปก (End Paper) ใบรองปกส่วนมากเป็นกระดาษขาวว่าง
เปลา่ มีทั้งดา้ นหน้าและดา้ นหลงั ทาหนา้ ทช่ี ว่ ยยดึ ปกกบั ตัวเล่มหนังสอื ให้ติดกัน
๓.๔ หน้าช่อื เรอ่ื ง (Half – Title Paper) หน้าชอื่ เรอื่ งอยู่ถัดจากใบรองปก หน้านีจ้ ะ
บอกแต่เพยี งชื่อหนังสอื ไว้อยา่ งเดียวหรือถ้าเป็นหนังสือชุดก็จะบอกชื่อชดุ (Series) เอาไว้ดว้ ย
ปจั จุบนั หนังสือสว่ นมากไมม่ ีหน้าชือ่ เรือ่ ง เนื่องดว้ ยเหตุผลทางเศรษฐกิจ
๓.๕ หนา้ ภาพพิเศษ หรือ หนา้ ภาพนา (Hrontis Piece) เปน็ หนา้ ทม่ี ีภาพสาคญั ซ่งึ
เกย่ี วขอ้ งกบั เนื้อหาของหนงั สือเลม่ นนั้ ลกั ษณะเปน็ ภาพขนาดใหญเ่ ตม็ หนา้ กระดาษ ถ้าเปน็ หนังสอื
ชวี ประวัตอิ าจเปน็ ภาพบคุ คลสาคัญ หรือภาพของผลงานช้ินเดน่ ๆ ทางดา้ นศิลปกรรมของหนังสือ
ทางดา้ นศิลปะ ส่วนหนงั สอื ทั่วๆ ไปจะไมม่ ีหน้าท่ี

๓.๖ หน้าปกใน (Title) หนา้ ปกในถอื วา่ เปน็ หน้าทส่ี าคัญทีส่ ดุ ของหนังสอื เพราะจะ
ให้รายละเอยี ดเกี่ยวกบั หนังสือเลม่ นน้ั ๆ อยา่ งสมบูรณ์ดังนี้

๑) ชือ่ เรื่อง(Title)ชื่อเร่ืองของหนังสือทป่ี รากฏในหน้าปกในนี้ถอื วา่ เป็นชื่อเร่อื ง
ของหนงั สือที่ถูกต้องสมบูรณ์ท่สี ุดหนังสอื บางเล่มช่ือทีป่ กนอกกับหน้าปกในไมเ่ หมอื นกัน เพราะ
อาจมีชื่อย่อหรือช่ือรองซ่ึงเป็นขอ้ ความท่ีอธบิ ายช่ือเร่อื ง หรือ ช่วยขยายความหมายของช่ือเรอื่ งให้
ชดั เจนย่งิ ขึ้น

๒) บอกชอ่ื และนามสกุลของผูแ้ ต่งหนงั สอื และผู้แต่งรว่ มคนอื่นๆ หากหนังสอื เล่ม
น้นั มผี ้แู ตง่ หลายคนและบอกชอื่ ผู้รวบรวม ช่อื ผ้แู ปลผ้วู าดภาพประกอบ หรือบรรณาธกิ ารสาหรบั
หนงั สือบางเล่ม

๒๘

๓) คร้งั ทพ่ี ิมพ์ (Edition) จะแจง้ ครง้ั ท่ีพิมพ์เอาไวต้ ั้งแต่มีการพิมพ์ครั้งท่ี ๒ เป็น
ต้นไป (ถ้าเป็นพมิ พ์ครัง้ แรกจะไม่แจง้ เอาไว้) และถ้ามกี ารแก้ไขเพิม่ เตมิ ก็จะบอกเอาไวด้ ้วย เช่น
พิมพค์ ร้ังท่ี ๓ แก้ไขเพม่ิ เติม

๔) พมิ พล์ ักษณ์ (Imprint)ได้แก่สถานท่ีพิมพ์ (ชือ่ เมือง)ชอ่ื สานักพิมพ์ หรอื ผู้
จัดพมิ พแ์ ละปีทีพ่ ิมพ์สว่ นประกอบตา่ งๆ ของหนังสอื ในหน้าปกในนี้ บรรณารกั ษ์จะนาไปใชใ้ นการ
ทาบตั รรายการ และผูใ้ ชจ้ ะนาไปเขยี นบรรณานกุ รม

๓.๗ หน้าลิขสิทธิ์ (Copy ring Page) หนา้ ลิขสิทธ์จิ ะอยูด่ า้ นหลงั ของหน้าปกในเป็น
หนา้ ทบี่ อกให้ทราบถึงมจี ดลขิ สิทธจิ์ านวนคร้ังทีจ่ ดลิขสทิ ธ์ิ โดยใครเป็นเจ้าของลิขสิทธ์ขิ องหนังสือ
เล่มนน้ั หากมกี ารคดั ลอก ตัดตอน ดัดแปลง สว่ นใดส่วนหนึ่งหรอื แปล หรอื พมิ พ์ซ้าจะต้อง ขอ
อนุญาตจากเจา้ ของลขิ สทิ ธ์ิเสียกอ่ น มฉิ ะน้ันจะถือว่าเปน็ การละเมิดลขิ สิทธ์ิ เจ้าของลขิ สิทธิ์อาจ
เปน็ ผู้เขยี น หรอื สานกั พมิ พ์ซึ่งไดซ้ ื้อลขิ สทิ ธิข์ องหนงั สอื เล่มนัน้ จากผเู้ ขียนก็ได้

๓.๘ หนา้ คาอุทศิ (Dedication Page) หน้าคาอุทิศจะอย่กู ่อนถงึ หน้าคานา เปน็ ขอ้
เขียนท่ผี ูแ้ ตง่ กลา่ วคาแสดงถงึ ความกตญั ญแู ดผ่ ูม้ ีอุปการคุณ บคุ คลทีร่ กั ใคร่ให้กาลังแรงใจในการ
เขยี นหนงั สอื เลม่ นั้นได้สาเร็จ สว่ นมากจะเป็นบิดา มารดา สามี ภรรยา ลกู ครูอาจารย์ ทงั้ ทยี่ ังมี
ชวี ิตอยูห่ รอื ตายไปแล้ว

๓.๙ หนา้ คานา (Perface or Foreward or Introduction)หน้าคานาเป็นสว่ น
แรกของหนังสือทผ่ี ู้อา่ นจะต้องอ่านอย่างละเอยี ดก่อนทีจ่ ะอ่านเนอ้ื หาของหนังสือจรงิ ๆ เพราะคา
นาจะทาให้ผู้อา่ นทราบถึงแนวทางของเนอ้ื หา ขอบเขตของหนงั สอื ที่เสนอในเล่ม บางครัง้ คานา
อาจเป็นส่วนที่ผู้เขียนแจง้ ใหผ้ ู้อา่ นได้ทราบถงึ สาเหตุและวัตถปุ ระสงค์ในการแต่งหนงั สือเลม่ น้ัน
รวมท้งั ขอบคุณผู้ที่มีสว่ นชว่ ยเหลือสนบั สนุน

๓.๑๐ หน้าสารบัญ (Contents or Table of Contents) หน้าสารบัญของ
หนังสือบางคร้งั เขยี นว่า สารบาญ จะอยู่ต่อจากหนา้ คานาเป็นหน้าที่บอกให้ผู้อา่ นทราบว่าหนงั สอื
เลม่ น้ันมีสาระขอบเขตไว้อย่างไร พรอ้ มท้งั มีเลขหน้ากากบั แจ้งไว้ทางด้านขวามือบอกให้ทราบวา่
เริ่มตน้ จากหน้าใด สารบญั ของหนงั สอื จะช่วยใหผ้ อู้ า่ นทราบวา่ หนงั สือเล่มน้นั มขี อบเขตกวา้ งขวาง
เพียงใด มเี รื่องทีต่ นต้องการศึกษาค้นควา้ หรอื ไม่ อยู่ท่ีหน้าใด สารบญั จึงช่วยให้ผ้อู ่านค้นหา
เรอื่ งราวทตี่ ้องการไดส้ ะดวกรวดเร็ว

๓.๑๑ รายช่ือแผนท่ี ตารางและภาพประกอบ (List of Maps, Table and
Illustration)
หนังสือที่มแี ผนที่ ตาราง หรอื ภาพประกอบอย่เู ป็นจานวนมาก และมีสว่ นสาคัญตอ่ เนื้อหา เช่น
หนงั สอื ภูมิศาสตร์ หนังสือประวตั ศิ าสตร์ หนังสือสถิติและวจิ ัย หนงั สือศิลปะ เป็นตน้ ผูเ้ ขยี นจะ
จัดทาบัญชรี ายชือ่ ของแผนท่ี ตาราง หรอื ภาพประกอบ พร้อมท้ังเลขหนา้ กากบั ไวเ้ พือ่ ช่วยให้ผูอ้ า่ น
ค้นหาสิง่ ทต่ี ้องการได้สะดวกรวดเร็วเชน่ เดียวกับสารบญั

๓.๑๒ เน้ือเรื่อง (Text or Body of the book) เน้ือเรื่องเป็นส่วนสาคัญที่สุด
ของหนงั สอื ผู้เขียนมกั แบ่งเนือ้ เรอื่ งของหนงั สือออกเป็นบทหรือเป็นตอน ซ่ึงจะเร่ิมตั้งแต่บทที่หนึ่ง
ไปจนถึงบทสุดทา้ ยตามทป่ี รากฏในสารบญั มเี ลขกากบั หนา้ เรียงลาดับติดต่อกันไปโดยตลอด

๒๙

๓.๑๓ เชิงอรรถ (Note or Foot note) เชิงอรรถเป็นหลกั ฐานการอ้างอิงข้อความ
ทนี่ ามาจากท่อี น่ื เพือ่ ประกอบการเขยี นอาจพิมพ์ไว้ทีส่ ่วนลา่ งของหน้ากระดาษท่ีข้อความนั้น
ปรากฏอยู่ หรือใส่ไว้ในวงเลบ็ แทรกอยู่กบั เนื้อหาหรืออาจรวบรวมไว้ท้ายบทหรือทา้ ยเลม่ เลยก็ได้
แลว้ แต่ความถนดั และความเหมาะสมของผู้ประพนั ธแ์ ละงานเขียนช้ินน้นั เชิงอรรถมี 3 ประเภท
คอื

๑) เชงิ อรรถอ้างอิง (Citation footnote) คือเชงิ อรรถแหล่งทม่ี าของ
ข้อความที นามา เรยี บเรยี งในเนื้อเรอื่ ง

๒) เชิงอรรถเสรมิ ความ (Contents footnote) คือเชิงอรรถที่อธบิ าย
เร่ืองราวข้อเทจ็ จริงเพ่ิมเติมในบางตอนใหช้ ัดเจนยงิ่ ขน้ึ หรืออาจเป็นการอธบิ ายคาศัพท์ที่มี
ความสมั พันธก์ ันกบั เนื้อเรือ่ ง

๓) เชิงอรรถโยง (Cross reference footnote) คือเชงิ อรรถทแี่ จง้ ให้
ผ้อู า่ นไปดู เพมิ่ เติมขอ้ ความ หรอื เร่ืองราวทเ่ี ก่ยี วข้องกนั ในหน้าอนื่ หรอื บทอ่นื ของ หนงั สือ เล่ม
เดียวกนั ซ่ึงมรี ายละเอยี ดอยแู่ ล้วและไมต่ ้องการกลา่ วซ้าอีก หรือ แนะนาผู้ อา่ นให้ไปดูเพิ่มเติมจาก
หนังสือเลม่ อืน่ ๆ ก็ได้

๓.๑๔ บรรณานกุ รม(Bibliography) คือ รายช่ือหนังสือและวัสดทุ กุ ประเภทที่
ผเู้ ขยี นใช้เป็นแหลง่ ข้อมูลศึกษาคน้ ควา้ และอา้ งอิงในการเขียนหนังสอื เลม่ นน้ั อาจอยู่ท้ายเลม่
หรือท้ายบทของแต่ละบทก็ได้ บางแหง่ เรยี กวา่ เอกสารอ้างอิง บรรณานุกรมจะเรียงลาดับตวั อักษร
ตัวแรกของชอื่ ผู้แตง่ ตั้งแต่ อักษร ก. เป็นตน้ ไป จนถงึ ฮ. ในบรรณานกุ รมภาษาไทย สว่ นถา้ เปน็
บรรณานุกรมหนังสือภาษาตา่ ง ประเทศจะเรียงตามลาดับตัวอักษรตัวแรกของนามสกลุ ผูแ้ ตง่
ประโยชนข์ องบรรณานุกรม คือ เป็นหลกั ฐานอา้ งองิ วา่ ผู้เขยี นไดม้ ีความเพียรพยายามในการศึกษา
คน้ คว้าในการเขยี นหนังสือเล่มน้ันมาเปน็ อย่างดี ทาให้มีความนา่ เชือ่ ถือเร่ืองราวต่างในหนงั สอื อกี
ทั้งยังเปน็ การให้เกียรติแกเ่ จา้ ของหนังสือทีผ่ เู้ ขยี นได้ใช้คน้ คว้ารายละเอยี ดเพิ่มเติมจากรายชอื่
หนังสือและวสั ดอุ น่ื ๆ ทีป่ รากฏอยู่ในบรรณานุกรมนนั้

๓.๑๕ ดชั นี (Index) ดัชนีหรือดรรชนี คอื บัญชคี า หรือหวั ขอ้ ยอ่ ยๆ ทสี่ าคัญท่ี
กลา่ วถงึ ในหนงั สือเล่มน้ัน นามาจดั เรยี งตามลาดับตวั อักษรพรอ้ มท้งั บอกเลขหนา้ ทม่ี ีคานัน้ ๆ
ปรากฏอยู่ มปี ระโยชน์ คอื ชว่ ยให้ผู้อ่านคน้ หาข้อความหรือคาเหล่าน้ันได้สะดวกรวดเร็ว ดชั นี
จะอยทู่ ้ายเลม่ แตถ่ ้าเป็นหนังสอื ชดุ ที่มหี ลายเลม่ จบ ดัชนีของหนังสือชุดนจ้ี ะรวมไว้ในเลม่ สดุ ท้าย
ของชดุ เชน่ หนงั สือประเภทสารานุกรม โดยทัว่ ไปอาจแบง่ ดัชนอี อกได้เป็น ๔ ชนดิ คือ

๑) ดัชนหี ัวเรื่อง (Subject Index) คือ ดชั นีที่จดั เรยี งตามลาดบั ตัวอักษร
เฉพาะหวั เร่ืองหรือ หวั ขอ้ ย่อยท่ปี รากฏในหนังสอื หวั เรือ่ งอาจเป็นชื่อบุคคล ชอื่ สถานที่ หรือ เร่ือง
ย่อยๆ ท่สี าคญั ก็ได้

๒) ดัชนผี แู้ ต่ง (Author Index) คอื ดชั นีทจ่ี ัดเรียงลาดับตัวอักษรของช่ือผแู้ ต่ง
หนังสอ่ื ท่ี ปรากฏในหนังสือเล่มน้ัน

๓) ดชั นเี ร่อื ง (Title Index) คอื ดชั นีทจี่ ดั เรยี งตามลาดับตวั อักษรของชื่อ
หนังสือทป่ี รากฏในหนังสือเล่มน้ัน

๓๐

๔) ดัชนีทั่วไป (General Index) คือ ดชั นีท่รี วมเอาหวั เร่ือง ชอื่ ผแู้ ตง่ และชื่อ
เร่อื ง จดั เรยี งคละกนั ไปตามลาดบั ตวั อักษร หนังสอื ทางวิชาการสว่ นมากจะมีดชั นีทั่วไปปรากฏอยู่
ดา้ นหลงั ของเล่มหนงั สอื จะมเี พยี งบางเล่มเทา่ นั้นที่มีดชั นีประเภทอื่นๆ

๓.๑๖ ภาคผนวก (Appendix) ภาคผนวก คือ สว่ นประกอบนอกเหนือจากเนอ้ื หา
ที่เพ่มิ เติมเข้ามา เพื่อเสริมเนื้อหาของหนงั สือให้สมบูรณ์ชัดเจนยง่ิ ขึ้น อาจเปน็ การนาเอาเรอ่ื งตา่ งๆ
ที่นา่ สนใจและเป็นความรพู้ ิเศษท่เี กย่ี วข้องกับเนือ้ หาของหนงั สือมาพิมพ์รวมไวด้ ว้ ยโดยผอู้ ่านไม่
ต้องเสยี เวลาไปค้นหาหนงั สอื เลม่ อืน่ มาอ่านเพมิ่ เติม ภาคผนวกจะอยู่ตอนท้ายเล่มต่อจาก
บรรณานุกรม

๓.๑๗ อภิธานศพั ท์ (Glossary) อภธิ านศัพท์หรือคาอธบิ ายศัพท์ คอื บญั ชีคาศัพท์
เฉพาะท่ใี ชใ้ นเลม่ หนงั สือวชิ าการบางสาขาทมี่ ีคาศัพทเ์ ฉพาะซ่งึ มีความหมายแตกต่างไปจาก
ความหมายปกติ หรือคาศัพท์ยาก ซึ่งผอู้ า่ นท่วั ไปอาจไมเ่ ข้าใจและมีอยู่จานวนมากในเลม่ ผแู้ ต่งจะ
นาคาศัพทท์ ี่ใช้มาจัดเรยี งตามลาดบั ตวั อักษรพร้อมท้งั อธิบายความหมายไว้ตอนทา้ ยเล่ม เพือ่ ช่วย
ให้ผูอ้ า่ นค้นหาความหมายของศัพท์เหล่านั้นไดโ้ ดยสะดวกตามความต้องการ และสามารถเขา้ ใจ
เน้ือหาของหนงั สือเลม่ นนั้ ได้ดียิง่ ข้นึ

๔. หนงั สอื อา้ งองิ (Reference Book)

๔.๑ หนังสอื อา้ งองิ หมายถงึ หนังสือท่รี วบรวมขอ้ เท็จจรงิ หรือความรู้ในเรื่อง

ต่างๆ สาหรบั ใชค้ น้ คว้าอา้ งอิงเพียงตอนใดตอนหน่งึ ในเล่ม หรอื ในชดุ เท่านัน้ โดยไมจ่ าเป็นตอ้ ง
อา่ นตลอด ทั้งเลม่ หนงั สืออ้างองิ จะจัดเรียงตามลาดับอกั ษร หรอื ตามลาดบั ปี ตามลาดบั
เหตกุ ารณ์ทีเ่ กดิ ขึ้น และมดี รรชนโี ดยละเอยี ดสาหรบั คน้ เร่ืองราวท่ีต้องการอยู่ท้ายเลม่ หรือเล่ม
สุดท้ายของชดุ พร้อมทั้งมีการโยงขอ้ ความไปยังเน้ือความอ่ืนๆ ท่เี ก่ยี วข้องกนั ไวใ้ ห้อีกด้วย เพอ่ื สะดก
ในการค้นคว้าหอ้ งสมุดจะจัดแยกหนังสืออา้ งอิงออกจากหนงั สอื ธรรมดา และไมอ่ นุญาตให้ยมื
ออกนอกห้องสมุด

๔.๒ ความสาคัญของหนงั สืออ้างอิง

ลักษณะทว่ั ๆ ไปของหนงั สืออ้างองิ มีดงั นี้
๑) เป็นหนังสือท่ีใชต้ อบคาถาม ม่งุ ให้ความรู้ และให้ข้อเทจ็ จรงิ
๒) เขียน หรือรวบรวมขนึ้ โดยผทู้ รงคณุ วฒุ ิหลายๆ ทา่ น ซ่งึ แตล่ ะท่านจะเปน็ ผู้
ทมี่ คี วามรู้ความเชย่ี วชาญในเรอ่ื งราวนั้นๆ โดยเฉพาะ
๓) รวบรวมความรู้ในสาขาวชิ าต่างๆ มีขอบเขตกวา้ งขวางจงึ เป็นแหลง่ ความรู้
พน้ื ฐานสาหรบั การศึกษาคน้ ควา้ หาความรู้ในระดับสงู ต่อไป
๔) จัดเรียงเน้ือหาไว้อย่างมีระเบยี บ เพื่อให้ค้นหาเรื่องราวทต่ี ้องการไดส้ ะดวก
และรวดเร็ว
๕) โดยทัว่ ๆ ไปแลว้ จะมีรปู เลม่ ใหญก่ ว่าหนังสอื ท่วั ๆ ไป อาจจัดพิมพเ์ ปน็ ชดุ ๆ
ละหลายเล่ม

๓๑

๖) ผ้ใู ช้ไม่จาเป็นต้องอ่านตลอดทง้ั เล่ม ต้องการทราบเรือ่ งหรือหาคาตอบใน
ตอนใดกอ็ ่านเฉพาะตนน้ัน

๗) ใหบ้ รกิ ารค้นควา้ อ้างอิงเฉพาะภายในห้องสมดุ เท่านั้น ไม่อนุญาตให้ยืมออก
นอกห้องสมดุ เพราะผใู้ ช้เฉพาะตอนเทา่ นั้น อีกทั้งมีรปู เล่มขนาดใหญ่มีนา้ หนกั มาก บางเร่อื ง
อาจเป็นชดุ ถ้าหายไปเล่มใดเลม่ หน่งึ จะทาให้ความสมบรู ณข์ องเนอ้ื หาขาดหายไปและมรี าคาแพง
การให้ยมื ออกนอกหอ้ งสมดุ อาจเปน็ ภาระสาหรบั ผ้ใู ชบ้ ริการถ้าหากเกิดมกี ารชารุดเสียขึ้น

๔.๓ ลกั ษณะของหนังสืออ้างอิง

๑) หนังสอื อ้างอิงของหอ้ งสมดุ ถา้ เปน็ หนงั สือภาษาไทยจะปรากฏตัวอกั ษร อ.
(อา้ งองิ ) และหนังสอื อา้ งองิ ภาษาอังกฤษจะปรากฏตวั อกั ษร R. หรือ Ref. (Reference) อยู่
เหนอื เลขเรยี กหนังสอื ทุกเล่ม เกบ็ ไว้แยกส่วนจากหนังสือทุกเลม่ เก็บไวแ้ ยกส่วนจากหนงั สอื
ทั่วไป

๒) มีลกั ษณะพิเศษอ่นื ๆ ทชี่ ว่ ยอานวยความสะดวกในการคน้ หาเร่อื งราว เช่น
ก. อกั ษรนาเล่ม (Volume Guide) คือตวั เลข ตัวอกั ษร หรอื สว่ นของคาซ่งึ

ปรากฏอย่ทู สี่ นั ของหนังสืออ้างองิ ทเ่ี ป็นชุดมหี ลายเลม่ จบ จะช่วยใหใ้ ชท้ ราบว่าเร่อื งที่ตอ้ งการ นนั้ มี
อยู่ในเล่มใด

ข. ดชั นรี ิมหน้ากระดาษ (Thumb Index) คอื การเจาะหนา้ กระดาษส่วนรมิ
ดา้ นที่เปดิ เปน็ รปู คร่ึงวงกลมมตี วั อักษรกากบั ไว้ตามลาดบั เพือ่ ชว่ ยให้เปดิ หา คาทต่ี ้องการได้
โดยสะดวกและรวดเรว็

ค. อกั ษรนาหนา้ (Guide Word หรือ Running Head คือคาที่
ปรากฏอยมู่ ุม บนของหน้ากระดาษทุกหนา้ เพอ่ื แนะหรือนาทางให้ผใู้ ชท้ ราบวา่ มีคาท่ตี ้องการอยู่ใน
หนา้ น้นั ๆ หรือไม่ เชน่ หนงั สืออา้ งองิ ประเภทพจนานกุ รมและสารนุกรม

ง. สว่ นโยง (Cross Reference) มี ๒ ชนดิ คือ
- ส่วนโยงดูท่ี(See) คือโยงให้ไปอ่านเรื่องหรือหัวข้อทต่ี ้องการจากหวั เรอื่ ง
อนื่ ในเล่ม
- สว่ นโยงดเู พม่ิ เติม (See Also) คอื โยงใหไ้ ปอา่ นเร่อื งอืน่ ๆ ท่ีเก่ยี วข้องกัน
เพ่ิมเติม เพ่ือใหไ้ ดร้ ับความรู้กว้างขวางยิง่ ขึน้
จ. ดชั นี (Index) คือการนาคา หรอื ข้อความสาคัญที่ปรากฏในเล่มมา
จดั เรียงตามลาดบั อกั ษร โดยมีเลขหนา้ กากับไวบ้ อกให้ทราบวา่ คาหรอื ข้อความน้นั ๆ มีรายละเอยี ด
ปรากฏอย่หู นา้ ใดของหนงั สือชว่ ยประหยดั เวลาในการค้นหาเร่ืองราวต่างๆ ตามปกติดชั นี จะอยู่
ทา้ ยเล่มของหนังสือ หรืออาจจะเป็นดชั นีรวมอยูเ่ ล่มสดุ ทา้ ยของหนงั สือชุด
ฆ. การเรียบเรียง หนงั สอื อา้ งองิ จะมีการเรียบเรียงเน้อื หาไวอ้ ยา่ งมีระเบยี บ
เชน่

- เรยี งตามลาดับอกั ษรแบบพจนานุกรม โดยไม่คานงึ ถงึ วา่ คาหรือเร่ือง
น้นั ๆ จะเปน็ ช่อื ชุด สถานที่ ความรู้ตา่ งๆ เชน่ สารานกุ รมไทยฉบับราชบัณฑติ ยสถาน

- เรียงตามลาดับอักษรเฉพาะประเภท กลุ่ม เช่น ชอื่ บุคคล ชือ่ วชิ า
ช่ือสถานที่ เช่น ๗๖ จงั หวัดในประเทศไทย ใครเป็นใครในประเทศไทย

๓๒

- เรยี งไวต้ ามลาดับปี พ.ศ. ลาดบั เหตุการณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ เช่น อกั ขรานกุ รม
ชีวประวัติสยามจดหมายเหตุ

- เรียงตามสถานที่ทางภมู ศิ าสตร์ เช่น หนังสือแผนที่ หนังสอื นาเทีย่ ว
- เรยี งตามหมวดหมู่ความรู้ เช่น บรรณานกุ รม ซงึ่ จะให้รายชื่อของ
หนังสือใน สาขาวิชาต่าง ๆ เอาไวโ้ ดยแยกเป็นหมวดหมู่

๔.๔ ประเภทของหนงั สืออ้างองิ

หนงั สืออ้างองิ แบง่ ออกเปน็ ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ
๑. ประเภทท่ีใหค้ วามรู้ ใหข้ ้อมลู ให้คาตอบทผ่ี ใู้ ช้ต้องการได้ทันที ได้แก่
พจนานุกรม สารานุกรม หนังสอื รายปี อักขรานกุ รมชีวประวัติ หนังสอื อา้ งอิงทางภูมิศาสตร์ นา
มากรม หนังสือคู่มือ สงิ่ พิมพ์รัฐบาล
๒. ประเภททแ่ี จง้ ให้ผ้ใู ชท้ ราบว่าเร่ืองราวทตี่ ้องการจะหาได้จากทใ่ี ด เช่น
บรรณานกุ รม ดรรชนี วารสาร

๔.๕ พจนานุกรม (Dictionary)

พจนานุกรม คือหนงั สือทรี่ วบรวมคาต่างๆ เอาไวแ้ ล้วจัดเรยี งตามลาดับ
อักษรให้ความรู้เก่ยี วกบั คานั้นๆ ในดา้ น การสะกด การออกเสียง ความหมายของคา ชนิด
ของคา ประวัตทิ ่ีมาของคา คาที่มคี วามหมายเหมือนกนั และตรงขา้ มกัน วธิ ีการนาเอาคาไปใช้
ในความหมายต่างๆ พรอ้ มทั้งยกตัวอย่างการใช้คาในรปู ของประโยค ตัวย่อ คาแสลง
เคร่อื งหมายและสัญลักษณ์ต่างๆ

พจนานกุ รมแบ่งออกไดเ้ ปน็ ๒ ประเภทคือ

๑. พจนานุกรมท่วั ไปหรือพจนานกุ รมทางดา้ นภาษา เชน่
- พจนานกุ รมภาษาเดยี ว คอื พจนานุกรมรวบรวมคาศัพทภ์ าษาใด

ภาษาหนง่ึ แลว้ ใหค้ า อธบิ ายเป็นภาษาเดิม เชน่ ไทย – ไทย หรือ อังกฤษ – อังกฤษ
- พจนากรมสองภาษา คือ พจนานุกรมที่ให้คาภาษาหนึง่ แล้วให้

คาอธิบายเป็นอีกภาษาหน่งึ เชน่ ไทย – องั กฤษ หรอื องั กฤษ – ไทย
- พจนานุกรมหลายภาษา คือ พจนานุกรมทใี่ หค้ าศพั ท์ในภาษาหน่ึง

แล้วใหค้ าอธิบาย เป็นภาษาอื่นๆ ตัง้ แตส่ องภาษาขนึ้ ไป เช่น ไทย – องั กฤษ – ฝร่งั เศสหรอื ไทย –
อังกฤษ – ฝร่ังเศส-เยอรมัน

๒. พจนานุกรมเฉพาะวิชา คือ พจนานุกรมท่ีรวบรวมคาศพั ทใ์ นสาขาวชิ าหน่งึ
โดยเฉพาะเทา่ น้นั เช่น พจนานกุ รมศัพท์คอมพวิ เตอร์ พจนานกุ รมศัพทว์ ศิ วกรรมศาสตร์ เปน็ ต้น

๔.๖ สารานุกรม(Encyclopedias)

สารานุกรม หมายถงึ หนงั สอื ท่ีรวบรวมความรู้ทกุ สาขาวิชาไว้โดยสงั เขป
เขยี นโดยผู้เชยี่ วชาญแตล่ ะสาขาวิชา อาจจดั เรยี งไวต้ ามลาดบั ตัวอกั ษรหรอื แบ่งเป็นหมวดหมวู่ ชิ า
มีทงั้ แบบเล่มเดยี วจบและหลายเลม่ จบ มีดรรชนีค้นเรื่อง

๓๓

ลกั ษณะเฉพาะของสารานุกรม
๑. ถ้าเป็นหนังสือชุดหลายเลม่ จบแต่ละเล่มจะแจง้ ไว้ที่สันวา่ จากอักษรใดถึง
อักษรใด หรือเป็นหมวดหมูใ่ นกลมุ่ ใดเพ่อื ใช้คน้ คว้าได้โดยสะดวก
๒. สารานกุ รมมหี ลายระดับ มตี ้งั แต่สาหรับเดก็ และยาวชน ระดบั กลาง
สาหรับนักศึกษา ไปจนถึงระดบั ผมู้ คี วามรู้สูงๆ ใช้ค้นควา้ ภาษาทใี่ ชใ้ นการเขยี นจึงยากงา่ ย
ตา่ งกนั ผูใ้ ช้สามารถทราบได้ว่าเป็นสารานกุ รมระดับใดน้ันไดจ้ ากการอา่ นคานา
๓. มชี ือ่ เต็มหรืออกั ษรย่อของผเู้ ขียนบทความกากบั ไว้ท่ีท้ายเร่ืองทุกเรอ่ื ง
เพ่อื แสดงถงึ ความเช่อื มน่ั ในตัวบคุ คลท่มี ีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรอ่ื งนัน้ ๆ
๔. บทความเรอ่ื งมีภาพ แผนภมู ิ แผนประกอบ โดยเฉพาะถ้าเป็น
สารานุกรมสาหรบั เดก็ จะมีภาพประกอบมากกวา่ สารานุกรมสาหรับผู้ใหญ่
๕. สารานุกรมภาษาตา่ งประเทศจะมีบรรณานุกรม ซ่ึงเปน็ รายชอื่ หนังสือ
หรอื เอกสาร ที่ใชค้ ้นคว้าในการเรยี บเรยี งบทความเรือ่ งน้ันๆ อยู่ท้ายบทความแตล่ ะเร่ือง ทา
ให้ผอู้ ่านเกดิ ความน่าเช่อื ถอื และนาไปใชค้ ้นคว้าเพ่ิมเติมไดอ้ ีก
๖. มีดรรชนชี ่วยค้นเร่อื งย่อๆ ในเล่ม ถ้าเป็นสารานกุ รมเลม่ เดยี วจบดรรชนี
คน้ เรือ่ งจะอยู่ท้ายเล่มหากเป็นชุดหรอื หลายเล่มจบดรรชนีรวมอยเู่ ล่มสุดท้ายของชุด
๗. มีเคร่ืองช่วยคน้ เร่ืองราวภายในเล่ม เชน่ มีอกั ษรนาท่ีสนั หนังสือ มสี ่วน
ของคาบนหัวกระดาษ และมสี ว่ นโยง

สารานกุ รมแบง่ ออกเปน็ ๒ ประเภทคอื

๑. สารานุกรมทวั่ ไป คือสารานุกรมท่ีรวบรวมเอกเร่ืองราวท่วั ไป หรอื บทความ
ทุกสาขาวิชาไว้ในเล่มเดยี วกัน หรอื ชดุ เดยี วกนั เชน่ สารานกุ รมไปสาหรบั เยาวชน

๒. สารานุกรมเฉพาะวิชา คือ สารานกุ รมทรี่ วบรวมบทความหรือความรใู้ น
สาขาวชิ าใดวชิ า หนงึ่ ไว้โดยเฉพาะ เชน่ สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์

๔.๗ หนงั สอื รายปี (Yearbooks)

หนงั สือรายปี คอื หนังสอื อ้างองิ ท่รี วบรวมเรื่องราว ขา่ วเหตุการณ์ตา่ งๆ
ที่เกดิ ขึ้นในรอบปีทผี่ ่านมา ให้ข้อเท็จจริงส้นั ๆ โดยไมม่ ีการวจิ ารณอ์ าจมีตัวเลขและสถติ ิตา่ งๆ
ประกอบในบางเรือง และในบางเรอ่ื งอาจรวมความรู้ย้อนหลงั หลายๆ ปีเพื่อใชใ้ นการ
เปรยี บเทียบ เนื้อหาอาจแจกตามหมวดเร่อื ง หรอื สาขาวิชากไ็ ด้ จดั พิมพข์ ึ้นเปน็ ประจาทกุ ปี

หนังสอื รายปีแบง่ ออกเปน็ ๓ ประเภทคอื
๑. หนงั สอื รายปีฉบบั เพม่ิ เติมของสารานกุ รม เพ่ือเปน็ การเสรมิ ความรู้
ตา่ งๆ ในสารานุกรมให้ทันสมัย โดยการสรปุ ความกา้ วหน้าทางวทิ ยาการใหม่ๆ หรอื เหตุการณ์
ตา่ งๆ ท่ผี า่ นมาในรอบปี ลกั ษณะของเน้ือหาและการเรียบเรยี งเหมอื นกบั สารานุกรมชุดเดิม
๒. สมพตั สาร (Almanacs) คือ หนงั สือรายปีทรี่ วบรวมเรอ่ื งราว ความรู้
และสถติ ิต่างๆ ท่ี นา่ สนใจในรอบปีทผ่ี ่านมา อาจรวมเรื่องราวและสถิติย้อนหลงั หลายๆ ปไี ว้ดว้ ย
การคน้ หาหวั ข้อท่ตี ้องการใชด้ ัชนีช่วยเพราะไม่ไดเ้ รียบเรยี งเรื่องตา่ งๆ ตามลาดบั อักษรเช่น สยาม
จด หมายเหตุ

๓๔

๓. รายงานประจาปหี รือสรปุ ผลงาน เปน็ หนงั สอื สรปุ ผลงานในรอบปที ่ีผ่าน
มาของหนว่ ยงาน ราชการ รฐั วิสาหกจิ ได้จัดพมิ พข์ ้นึ เพื่อเปน็ การเผยแพร่ความรู้และข่าวความ
เคล่ือนไหวของหนว่ ยงาน เปน็ การประชาสัมพันธ์ให้บุคคลในหนว่ ยงานและระชาชนคนทั่วไปได้
ทราบ และใช้ประกอบการศึกษาคน้ คว้าวจิ ยั ไดเ้ ป็นอย่างดี มที ้งั ทเี่ ปน็ รูปเล่ม หนังสอื วารสาร
เอกสาร ใบปลิว เชน่ รายงานประจาปีของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

๔.๙ หนงั สอื คู่มือ (Handbooks Manual)

หนังสอื คมู่ ือ คอื หนังสอื ทรี่ วบรวมความร้แู ละข้อเท็จจรงิ อย่างสัน้ ๆ
เฉพาะด้านเอาไว้เพื่อให้ผูอ้ า่ นเข้าใจได้ง่ายย่งิ ข้ึนมี ๓ ประเภทคอื

๑. คู่มอื ทช่ี ่วยในการปฏบิ ัติงาน เชน่ คมู่ ือปฏิบัติงานหอ้ งสมดุ
๒. คมู่ ือท่ใี ห้ความรเู ฉพาะเรื่องใดเร่ืองหน่งึ เชน่ คู่มอื การสอบ
๓. คมู่ ือทร่ี วบรวมความรแู้ ปลกๆ ทั่วๆ ไป ท่ยี ากแก่การคน้ ควา้ และควร
จดจา เชน่ ส่งิ แรกในเมืองไทย

๔.๑๐ สิ่งพิมพ์รัฐบาล (Government Publications)

ส่งิ พิมพ์รฐั บาล คอื หนังสือหรอื สิ่งพมิ พ์ตา่ งๆ ทจี่ ัดพมิ พ์ข้ึนโดยหนว่ ยงาน
ราชการต่างๆ ตลอดจนรฐั วิสาหกจิ เพื่อเผยแพร่ความรแู้ ละขา่ วความเคล่อื นไหวของหน่วยงาน
นนั้ ๆ ใหป้ ระชาชนโดยทว่ั ไปไดท้ ราบ อาจรวมถงึ รายงานประจาปีของหนว่ ยงานตา่ งๆ ก็ถอื ได้ว่า
เปน็ ส่ิงพมิ พ์รฐั บาลอย่างหนึง่ แตส่ ่งิ พมิ พข์ องรฐั บาลท่ีมีความสาคญั มากท่ีสุดคือ ราชกจิ จา
นเุ บกษา

๔.๑๑ แผนที่ (Maps ,Atlases)

แผนที่เป็นหนงั สือทแี่ สดงถงึ ที่ต้งั และให้ทราบรายละเอียดเก่ยี วกบั สถาน
ทต่ี ัง้ ของประเทศ เขต เมอื ง รัฐ แมน่ า้ ภเู ขา มหาสมุทร เกาะ สถานท่สี าคญั ๆ แสดงเสน้ ทาง
คมนาคม มที ง้ั แผนทโ่ี ลก แผนท่เี ฉพาะทวปี เฉพาะประเทศ หนงั สอื แผนทจ่ี ะมดี รรชนีทา้ ยเลม่
ช่วยในการค้นหาสิง่ ทต่ี ้องการ

๔.๑๓ อกั ขรานุกรมชวี ประวัติ (Biographich Dictionaries)

เปน็ หนงั สอื ทร่ี วมชีวประวตั บิ ุคคลสาคญั ใหร้ ายละเอียดเกยี่ วกับปเี กิด (บอกปี
ตายไว้ด้วยหากถงึ แก่กรรมแล้ว) ภูมลิ าเนา สถานภาพสว่ นตัว การศกึ ษา อาชีพ ตาแหนง่ หนา้ ท่ี
และผลงานสาคญั ๆ จัดเรียงลาดับไวต้ ามรายชื่อเจา้ ของชวี ประวัติ

อกั รานกุ รมชีวประวตั ิมี ๓ ประเภทคอื

๑. อักขรานุกรมชีวประวตั ิของบุคคลท่ัวไปโดยไม่จากดั เชื้อชาติ ศาสนา
อาชพี เชน่ ประวัติบคุ คลสาคัญของโลก

๒. อักขรานกุ รมชวี ประวตั ขิ องบคุ คลชาตใิ ดชาติหนงึ่ เชน่ ครเู ปน็ ใครใน
ประเทศไทย

๓. อักขรานกุ รมชวี ประวัตขิ องบคุ คลสาคัญเฉพาะกลมุ่ อาชีพ อาทเิ ช่น
นกั การเมือง นกั วิทยาศาสตร์ ตัวอยา่ งหนังสอื ประวตั ิครู

๓๕

๔.๑๔ นามานุกรม (Dirrectories)

เปน็ หนังสือที่รวบรวมรายชอ่ื บุคคลจดั เรยี งไว้ตามลาดับอักษรช่ือในบางเล่ม
นอกจากจะมีชื่อบคุ คลแล้วยังมชี ่อื สถานท่ีและข้อมูลอื่นๆ อาจเป็นสมาคม องค์กร หา้ งร้าน บริษทั
เป็นตน้ เชน่ สมดุ รายนามผใู้ ช้โทรศพั ท์ ทาเนียบวดั ในประเทศไทย

๔.๑๔ ดัชนี (Indexes)

ดัชนีหรอื ดรรชนี เปน็ บญั ชีคาทร่ี วบรวมรายชือ่ ต่างๆ ได้แก่ ช่ือบุคคล ชอื่

หนังสือ ช่อื สถานที่ หัวข้อเรอื่ งยอ่ ยๆ และชื่ออืน่ ๆ ทส่ี าคญั ซึง่ มอี ยู่ในหนงั สอื เล่มนนั้ ๆ นามา

จัดเรียงตามลาดบั อกั ษรพร้อมบอกเลขหนา้ ทปี่ รากฏคาน้นั ๆ อยู่ ดชั นีจงึ เปน็ เครอื่ งมอื ชว่ ยค้นหา

เรื่องยอ่ ยๆ ทต่ี ้องการได้สะดวกและรวดเรว็

ดัชนีแบง่ เปน็ ๓ ประเภทคือ

๑. ดัชนหี นงั สือ คอื ดชั นีซ่งึ เปน็ ส่วนหนงึ่ ของหนังสือมักปรากฏอยู่ท้าย

เลม่ หรอื ถ้าเป็นหนังสอื ชุดมีหลายเล่มจบ ดชั นีจะแยกเป็นเล่มตา่ งหากซ่ึงโดยท่ัวไปแลว้ จะอยู่เลม่

สดุ ท้ายของชดุ

๒. ดัชนวี ารสาร (periodical Index) คือ หนังสอื ท่ีรวบรวมรายชื่อ

บทความทางวิชาการในวารสารตา่ งๆ จัดพิมพ์ออกเปน็ ระยะๆ ติดต่อกัน เม่ือครบระยะเวลาหนึง่

อาจเป็นสามเดือน หกเดือน หรือหน่งึ ปีก็จดั ทาฉบบั รวมเลม่ เรยี กวา่ Cumulative Index ซึง่ ใน

แต่ละรายการใหร้ ายละเอียดดงั น้ี

- ชื่อผ้เู ขยี นบทความ ชือ่ บทความ ช่อื วารสาร ปที ่ีหรอื เล่มท่ี ฉบับที่

ของวารสาร หนา้ ทมี บี ทความน้นั ๆ ดงั น้ันดรรชนวี ารสารจงึ ถือไดว้ ่าเป็นเคร่ืองมือท่ีชว่ ยอานวย

ความสะดวกในการคน้ หาบทความต่างๆ จากวารสารได้อยา่ ง สะดวกและรวดเร็ว ดรรชนวี ารสาร

มที ง้ั ดรรชนี วารสารท่ัวไป ดรรชนวี ารสารเฉพาะวชิ า ดรรชนขี องวารสารช่ือใดชอื่ หน่ึง

ดรรชนวี ารสารท่ีห้องสมุดแต่ละแหง่ จดั ทาขึน้ เอง และดรรชนวี ารสาร การศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ.

๒๕๓๑ – ๒๕๓๗ เป็นต้น

๓. ดชั นหี นังสอื พิมพ์ (Newspaper Index) คือ หนังสอื ที่รวบรวมข่าว

หรือบทความทนี่ ่าสนใจและสาคญั ๆ จากหนงั สอื พิมพโ์ ดยให้รายละเอยี ดเกี่ยวกบั ชอ่ื ผูเ้ ขียนขา่ ว

หรอื ช่อื บทความ ช่ือหนังสือพิมพ์ วันเดือนปที ่ีพมิ พ์ หน้าหรอื คอลัมน์ท่ีปรากฏขา่ วหรือบทความ

นั้น

๔.๑๕ ประโยชนข์ องหนังสืออา้ งองิ

ประเภทของหนังสืออ้างอิง ใช้คน้ คว้าเก่ยี วกับ ขอ้ มูลทค่ี ้นหาได้

๑ พจนานกุ รม (Dictionary) คา การอา่ นออกเสยี งชนดิ ของคา

- พจนานุกรมทางภาษา การสะกดความหมายของคา

- พจนานุกรมเฉพาะวชิ า คาที่มีความหมาย เหมือนกัน

ตรงขา้ มกนั ตวั อย่างการใช้คา


Click to View FlipBook Version