The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by social study, 2021-06-05 13:08:29

เอกสารประกอบการสอนวิชาเทคนิคการศึกษาระดับอุดมศึกษา

ผู้แต่ง ผศ.อนุสรณ์ นางทะราช

๙๑

การบันทกึ ทดี่ ีควรเขียนส้ัน ๆ ได้ความมาก อ่านเข้าใจง่าย มีเฉพาะเรื่องสาคัญ ๆ เช่น คานยิ าม
กฎ สรุป รายละเอียด ตังอย่างมีเพยี งเล็กน้อยพอเขา้ ใจ อย่าทาละเอียดเกินไปจะทาให้เกิดไขวเ้ ขว ควรมี
วธิ ขี องตนเองในการลาดับความสาคญั และส่วนเกีย่ วขอ้ งตา่ ง ๆ ทค่ี ดิ วา่ เขา้ ใจดีท่ีสดุ และถกู ตอ้ งทีส่ ุด

กระบวนการการอ่านและความไม่พร้อมในการอ่าน

นักวชิ าการการอ่านจานวนมากกล่าวไวต้ รงกันวา่ กระบวนการการอ่านมิใช่เพียงการมอง
เหน็ ตัวอักษรหรือข้อความน้ันตรงตามท่ผี เู้ ขียนตอ้ งการส่ือ การอา่ นเป็นกระบวนการทางสมอง มใิ ช่
เพียงการใช้ตามองสิ่งพิมพ์หรือข้อเขยี นเท่าน้ัน ความหมายก็มใิ ชอ่ ยู่ในตวั อักษร แต่อยู่ในความคดิ ของ
ผ้เู ขยี นกบั ความคิดของผู้อา่ น การอ่านจึงเป็นกระบวนการสรา้ งความหมายจากสารท่ผี ู้เขียนส่อื โดย
อาศยั ภาษา

จากเหตุผลขา้ งตน้ เราจึงเขาใจว่าเหตใุ ดคนเราแมจ้ ะสะกดคาหรือออกเสยี งไดถ้ ูกตอ้ ง
แตย่ งั อาจไม่เขา้ ใจความหมายของคาหรือความหมายของข้อความที่อา่ นน้ันได้อย่างสมบูรณ์ ในบาง
กรณีเม่ือเราอา่ นภาษาไทยของเราเอง เรายงั ต้องเปดิ พจนานุกรมเพอื่ หาคาอธบิ ายศัพท์อยู่เสมอๆ เช่น
ในการอ่านเอกสารโบราณและวรรณคดี แมแ้ ตก่ ารอา่ นภาษาสมยั ใหม่ ก็อาจจะต้องเปดิ หาคาอธบิ าย
บางคาในพจนานกุ รมเพราะศัพทเ์ หล่านน้ั บญั ญัตขิ ึน้ ใหม่ เน่ืองจากความร้หู รอื ความคิดนน้ั ไม่เคยมีคา
ไทยใช้มากอ่ น ดงั น้ันความรู้พน้ื ฐานเกี่ยวกบั เรื่องที่อา่ นและความพร้อมของตวั ผอู้ ่านเองท้งั ในด้าน
ร่างกายและจิตใจ จงึ มคี วามสาคัญในบางกรณจี ะสังเกตได้วา่ แมม้ ีหนังสอื หรือเอกสารสาหรบั อา่ นแล้ว
ผอู้ ่านกย็ ังไม่พรอ้ มที่จะอา่ น ทัง้ น้ีอาจจะเนื่องมาจากสาเหตุหลายประการ แตล่ ะคนจงึ ควรพิจารณา
ตนเองด้วยวา่ การท่ตี นไมพ่ ร้อมท่ีจะอ่านนนั้ เดาจากสาเหตตุ ่อไปนหี้ รือไม่

๑ . สาเหตุทางร่างกาย
๑.๑ ดวงตา สภาพรา่ งกายของคนเรามีสว่ นท่จี ะเป็นปัจจัยหรือเปน็ อุปสรรคของการ

อ่านได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตา ผู้ทมี่ ีดวงตาพกิ ารตอ้ งอาศยั การรบั สารด้วยการฟังหรอื การสมั ผสั
ส่วนผ้ทู ่ีมีดวงตามองเห็นได้ตามปกติ อาจจะมีอาการสายตาสนั้ สายตาเอยี ง สายตายาว หรอื เปน็
โรคตา เช่น ตาอักเสบ ตาแดง กลา้ มเนอ้ื ตาอักเสบ ตาเปน็ ต้อ เป็นตน้ หากสภาพผดิ ปกติเหล่านย้ี งั
แก้ไขได้กค็ วรรบี แกไ้ ขเสียกอ่ นท่จี ะสายเกินไป เพราะอาการผิดปกตใิ นดวงตาอย่างใดอย่างหนึง่ ย่อม
เปน็ อปุ สรรคของการอา่ น ทาใหเ้ กดิ ความไม่พร้อมในการอา่ นข้นึ ได้

๑.๒ สมอง โดยท่วั ๆ ไปมนษุ ย์เรามสี ภาพทางสมองไม่เท่ากนั เพราะน้าหนักของ
สมองและการลบั สมองตา่ งกัน การใช้สมองมากและการฝกึ คิดบ่อยๆ ชว่ ยใหก้ ล้ามเนื้อสมองขยายได้
มาก หากไม่ได้ฝึกหรือไม่ไดใ้ ชส้ มองนานๆ สมองย่อมไมเ่ จริญขึน้ และกลบั ฝอ่ ลงไป การคิดกเ็ ป็น
ทักษะสาคญั อยา่ งหนึง่ คนที่หมัน่ ใชค้ วามคิดแกป้ ญั หาต่างๆ จะคดิ ได้เร็ว และเม่ืออา่ นข้อความต่างๆ
ก็เข้าใจได้เร็วมาก เพราะคุ้นเคยกับเรื่องราวหรือปญั หาเหล่านนั้ มาแลว้ สมองและความคิดทขี่ าดการ
ฝกึ ฝนให้มสี มรรถภาพจึงก่อใหเ้ กดิ ความไม่พร้อมในการอ่าน

๑.๓ อาการไมส่ บายต่างๆ อาการผิดปกตทิ าทางกายของคนเราอาจจะเกดิ ขน้ึ
ช่วั คราวซง่ึ ตนเองสามารถบาบดั ได้ เช่น ปวดศรี ษะ ปวดท้อง เมื่อยคอ แต่ในบางกรณเี ป็นโรคเรือ้ รงั
ซงึ่ จะต้องพึ่งแพทย์อาการผิดปกตทิ างรา่ งกายไม่วา่ ประเภทใดย่อทาให้เกิดความไม่พร้อมในการอ่านได้
เชน่ กนั

๙๒

๒. สาเหตจุ ากส่ิงแวดลอ้ ม
สิง่ แวดล้อมในทน่ี ไี้ ด้แก่ แสง เสียง กลิ่น อณุ หภมู ิ และสถานท่ี เป็นตน้ หากส่ิง

เหล่าน้มี สี ภาพไมเ่ หมาะสมกบั การอา่ นก็จาเป็นจะตอ้ งหลีกเล่ยี งหรือปรับปรุงให้เหมาะสม เช่น การ
อ่านหนังสือในห้องท่ีแคบเกินไป อากาศถ่ายเทไมส่ ะดวก ทาใหอ้ ดึ อัด ในขณะเดียวกันแม้จะเป็นที่
กวา้ งแต่จอแจก็ไมเ่ หมาะสมกับการอ่านเชน่ กนั

๓. สาเหตทุ างจิตใจและอารมณ์
โดยปกตผิ ูท้ ่ีกาลงั มีจิตใจและสภาพอารมณ์ไมป่ กตเิ พราะมปี ญั หาหรือเร่ืองใดเรื่องหน่ึงมา

กระทบย่อมหงุดหงิด ขุน่ มวั หรือเศรา้ หมอง ไม่เบิกบาน สภาพดงั กล่าวนีเ้ ปน็ อปุ สรรคอนั สาคญั ย่งิ ต่อ
การอา่ นเพราะในขณะนั้นบุคคลน้ันจะขาดสมาธิและจิตใจไมร่ บั รู้เร่ืองที่กาลังอ่าน ความพรอ้ มในการ
อา่ นจงึ ไมม่ ี

๔. สาเหตุจากการขาดทกั ษะการอา่ น
ผูม้ ที กั ษะการอ่านหมายถงึ ผทู้ ร่ี ู้จกั คามาก เขา้ ใจลักษณะของภาษาท้ังภาษาพดู และ

ภาษาเขยี นได้ดี การอา่ นออกเสยี งไดแ้ ตไ่ ม่ทราบความหมายตามทีผ่ ู้เขียนประสงค์ยังนับวา่ อ่านไม่
แตกฉาน ภาษาทุกภาษามิได้มคี วามหมายตรงคาหรือหมายตามตัวอักษรเท่าน้ัน แต่ยังมีความหมาย
ลึกซ้งึ แอบแฝงอีกด้วย เชน่ ในสานวนโวหารที่ทาให้เกิดภาพพจน์ หากผู้อ่านไมค่ นุ้ กบั การใช้ภาษาทมี่ ี
ความหมายลกึ ซึ้งแอบแฝงดังกล่าว ก็จะอา่ นไม่เข้าใจ การอ่านในแต่ละสาขาวิชาต้องอาศยั ทกั ษะการ
เขา้ ใจภาษาเฉพาะของวิชานนั้ ๆ ด้วย เชน่ ภาษาธุรกิจ ภาษาคอมพวิ เตอร์ ภาษาของนักภาษาศาสตร์
และภาษาโฆษณา เปน็ ตน้ เพราะภาษาเฉพาะกจิ บางย่อมมีคาบัญญตั ิกนั ขน้ึ ใหม่ มีสานวนเฉพาะ มี
เคร่อื งหมายใหม่ๆ รวมทั้งคาที่ใชก้ ันทว่ั ไปซ่ึงบญั ญตั ิความหมายต่างจากความหมายเดมิ ทร่ี บั รู้กนั มาแลว้
ดว้ ย

ทกั ษะการอ่านแยกยอ่ ยของทักษะออกไปได้อีกหลายประเภท ผ้อู า่ นสามารถตรวจสอบดูว่า
ตนขาดทักษะใดโดยการพิจารณาประเภทย่อยของทักษะซง่ึ นักวชิ าการได้ศกึ ษาวิเคราะห์และอธบิ ายไว้
ดังตอ่ ไปน้ี

๔.๑ ทักษะการจาแนกลักษณะและรูปแบบการใชภ้ าษา เชน่ การจาแนกหน้าที่ของคา
ว่าคาน้เี ป็นประธาน เปน็ กริ ยิ า เปน็ กรรม หรอื เป็นคาเสรมิ ความ จาแนกวา่ ข้อความท่ีเขียนตดิ ๆ กนั
น้นั ควรจะเวน้ วรรคท่ีใดจงึ จะชว่ ยให้ความหมายชดั เจน ไม่ผดิ ความประสงคข์ องผเู้ ขยี น ตลอด จน
สามารถจาแนกรูปแบบและสานวนโวหารท่ีปรากฏในข้อความท่อี ่านนน้ั

๔.๒ ทักษะการลาดบั เนือ้ หา ผู้อา่ นต้องมีความชานาญที่จะเขา้ ใจลักษณะการจัด
ลาดับเนือ้ หาของข้อเขยี นนั้น เชน่ การจดั ลาดับจากสงิ่ เลก็ ไปหาส่ิงใหญ่ การลาดบั ตามเวลา การ
ลาดบั จากเหตไุ ปหาผล และการลาดับเนอื้ หาตามพน้ื ที่ การจดั ลาดับเช่นนี้ใชใ้ นการอ่านหนงั สือทวั่ ไป
โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งตาราในศาสตร์ตา่ งๆ และวรรณคดขี นาดยาว เพราะชว่ ยให้เราเข้าใจสัมพันธภ์ าพของ
เน้อื หาได้อย่างมีระบบ

๔.๓ ทักษะการพยากรณ์ ในการอ่านเรอื่ งใดกต็ าม ความคดิ ของผู้อา่ นมิไดอ้ ยู่ทว่ี ัสดกุ าร
อ่านตรงหนา้ เท่านั้น แตจ่ ะแล่นไปไกลเกนิ ตัวอักษรและคาดคะเนว่าจะได้อา่ นอะไรตอ่ ไป
ความสามารถในการคาดคะเนและการพยากรณ์น้ีเกิดจากการอา่ นมาก คืออ่านจนคิดแทนคนเขยี นได้
ในบางคราวความสามารถนชี้ ่วยใหก้ ารอ่านสนกุ ไมเ่ บ่ือ ไม่เหนื่อย เข้าใจเร่ืองราวไดง้ ่าย และจะเกดิ
ความคิดทสี่ ัมพันธก์ ันไปเรื่อยๆ อย่างไมข่ าดตอน

๙๓

เม่อื ผู้อ่านสารวจตนเองและพบว่ามีความไมพ่ ร้อมในการอา่ นดา้ นใดบ้าง แลว้ หา
ทางแก้ไขตลอดจนเพมิ่ ประสทิ ธิภาพในการอา่ นให้มีมากยิ่งข้นึ กจ็ ะประสบความสาเรจ็ ในการอา่ นอย่าง
แนน่ อน

ขั้นตอนการอา่ น

การอ่านหนังสือถือว่าเปน็ ศิลปะอย่างหน่งึ วธิ ีตา่ งๆ ในการอ่านหนงั สอื อาจเหมาะสมกับแต่ละ
บุคคล หนงั สือและวสั ดกุ ารอา่ นแตล่ ะชนดิ ตลอดจนโอกาสและความม่งุ หมายในการอา่ นแต่ละคร้งั
อย่างไรกต็ าม การอ่านหนงั สอื ควรจะดาเนนิ ตามขนั้ ตอนตอ่ ไปน้ี

๑. ขั้นก่อนอา่ น
๑.๑ รูจ้ ักประเภทของหนงั สอื เพราะหนังสือมหี ลายประเภท เช่น สารคดี บันเทิงคดี

และตาราวิชาการ
๑.๒ รจู้ ักส่วนประกอบของหนังสือ เชน่ คานา สารบัญ เน้ือหาหรอื ตวั บท

บรรณานุกรม อภธิ านศัพท์ ภาคผนวก และดัชนี ฯลฯ
๑.๓ เลอื กใชว้ ิธีอ่านที่เหมาะสม วธิ อี า่ นมีหลายวิธี เช่น การอา่ นผา่ นๆ หรอื การอ่าน

ครา่ วๆ ให้จบเลม่ การอา่ นตลอด และการอา่ นอยา่ งละเอียด
๑.๔ เตรียมอุปกรณ์การอ่าน เชน่ แว่นตา โคมไฟ สมดุ บนั ทึก ปากกา ดนิ สอ และไม้

บรรทัด
๒. ขนั้ การอ่าน
ขณะอา่ นถือว่ามคี วามสาคญั มาก ผู้อา่ นจะประสบความสาเร็จหรอื ความลม้ เหลวก็

ข้นึ อยู่กับ ขณะอ่านนีเ้ อง ในการอา่ นหนังสือท่ัวๆ ไป ผอู้ ่านควรปฏิบัติ ดงั นี้
๒.๑ ดา้ นอริ ิยาบถ
๒.๑.๑ น่งั ใหเ้ ตม็ เก้าอี้ พิงพนักในท่าสบาย ถ้าเกา้ อี้ไม่มพี นักกใ็ ห้น่ังอย่างมั่นคงตวั

ตรง เท้าแตะพนื้ ไดพ้ อดๆี ถ้าเก้าอสี้ งู ควรมมี ้านง่ั เล็กๆ สาหรับวางเทา้ หรอื พาดเท้าไว้บนไมร้ องทใี ต้
โตะ๊ (ถา้ มี) หากจาเป็นต้องใช้หมอนหนนุ หลังเพ่ือปรับท่าน่ังให้เหมาะสมก็ได้

๒.๑.๒ ไม่น่งั หลังงอ ถ้านั่งหลังงอก็ไม่ควรน่ังเชน่ นน้ั นานๆ
๒.๑.๓ ไม่กม้ คออ่านนานๆ ถ้ารูส้ ึกเมอ่ื ยควรบรหิ ารด้วยการโครงศีรษะเป็นวงจาก
ซ้ายไปขวา และจากขวาไปซ้าย หรอื อาจกม้ เงยหนา้ บ้างก็ได้
๒.๑.๔ ไม่นอนอ่านหนงั สอื โดยเฉพาะนอนคว่า เพราะจะทาใหเ้ ม่อื ยแขนท่ีค้ายนั
ปวดหลัง และปวดคอ
๒.๑.๕ ใช้สายตาใหเ้ หมาะสม กล่าวคือ

ก. ไม่อ่านทลี ะคา หรอื ทลี ะ ๒ – ๓ คา โดยไร้จุดหมาย
ข. อา่ นแบบกวาดสายตาให้สมั พนั ธ์กับความคิด คือให้หยุดสายตาเมอ่ื
จบวลี หรือขอ้ ความสน้ั ๆ ที่เป็นหนว่ ยของความคิดหนงึ่
ค. เมอื่ อา่ นคลอ่ งแลว้ สายตาอาจเลยไปเห็นประโยคหรือข้อความถัดไปโดย
อตั โนมัติ จนแทบไมต่ อ้ งเห็นทกุ คาก็เข้าใจเนอื้ หาได้
๒.๒ ดา้ นจิตใจ
๒.๒.๑ ต้องมสี มาธิ คือ พยายามควบคุมจิตใจไม่ให้ลอ่ งลอยไปเรื่องอนื่ ๆ แต่ให้จด
จอ่ อยู่เร่ืองที่กาลงั อา่ นโดยเฉพาะ

๙๔

๒.๒.๒ สรา้ งความสนใจเรอ่ื งทอี่ ่าน และอา่ นอยา่ งต่อเนื่อง ทาความเขา้ ใจก่อนจะ
อ่านบทหรือตอนต่อไป

๒.๓ ด้านการคดิ
๒.๓.๑ จับใจความสาคัญหรอื ความคิดสาคัญให้ได้ และสามารถแยกไดว้ า่ ข้อความ

ตอนใดเป็นใจความสาคัญ ข้อความตอนใดสาคัญรองลงมา ข้อความตอนใดเป็นข้อมูลความจริง ตอนใด
เป็นความคิดเหน็

๒.๓.๒ วิเคราะหแ์ ละพิจารณาจนเห็นความสมั พนั ธ์ของเนือ้ หาสาระแต่ละตอน
๒.๓.๓ ประมวลสาระและความคิดผู้เขียน พิจารณาเขา้ ใจความหมายทง้ั ระดบั ตื้น
และระดบั ลึก
๒.๓.๔ ถ้าข้อความตอนใดมคี วามสาคญั น่าสนใจ ควรทาเครอ่ื งหมายเปน็
ข้อสงั เกต หรือบนั ทึกไวต้ า่ งหากก็ได้ (ถนอมวงศ์ ลา้ ยอดมรรคผล, การพัฒนาสมรรถภาพในการอา่ น
๒๕๒๙, ๖๐๒ – ๖๐๓).

๓. ขนั้ อ่านจบแล้ว
ผู้อ่านควรปฏบิ ัตดิ งั นี้
๓.๑ สรปุ สว่ นสาคญั ไดว้ ่าใครทาอะไร ท่ีไหน เมอื่ ใด ทาอยา่ งไร เกดิ ผลอย่างไร รวมแล้ว

เรอ่ื งนี้กลา่ วถงึ เร่ืองอะไร มีใจความสาคญั หรือประเด็นสาคญั อยา่ งไร
๓.๒ ถ้ายังจบั ใจความสาคญั หรือประเด็นสาคญั ไม่ได้ ต้องอ่านซ้าๆ อกี ครั้งหนึ่ง จะ

อา่ นหมดทั้งเล่มหรือเฉพาะตอนทต่ี ้องการกส็ ุดแท้แต่กรณี
๓.๓ วเิ คราะห์วจิ ารณแ์ ละประเมินค่า ผู้อา่ นควรจะบอกได้ว่าหนงั สอื นั้นดีหรือไม่ดี

อยา่ งไร มีคณุ ค่าอะไรบา้ ง กลวิธีการเขยี นและสานวนภาษาเป็นอย่างไร อาจแสดงความคดิ เหน็
สนบั สนนุ คดั ค้าน ขดั แย้งหรือแสดงความคดิ เห็นเมเติมด้วยเหตุผลอันสมควร

การสร้างนิสัยรกั การอ่าน

การอา่ นหนังสือไดม้ ิใชท่ กั ษะที่เกิดขึน้ เองโดยธรรมชาติ แตต่ ้องเรยี นและฝึกฝน ต้องอ่าน
ให้มาก อ่านเรือ่ งราวตา่ งๆ ๑ ใหห้ ลากหลาย เม่ือพบคายากหรอื เร่ืองราวท่ีไม่มีประสบการณ์มาก่อน
ใหใ้ ช้หนังสือทช่ี ่วยการค้นควา้ เช่น พจนานุกรม นารานกุ รม หรอื หนังสือเล่มอน่ื ท่ีมแี นวเดยี วกันแต่
งา่ ยกวา่ ถ้าทาไดด้ ังนี้ กจ็ ะทาใหอ้ ่านไดค้ ล่องและแตกฉาน

การสรา้ งนสิ ยั รกั การอา่ น และการสร้างสงั คมการอ่านเป็นหนา้ ที่ของทกุ คน ทุกคนต้อง
พยายามฝกึ ฝนตนเองใหเ้ ป็นนักอา่ นทดี่ ี และชว่ ยส่งเสรมิ สนับสนนุ ชักชวนให้ผอู้ ่านเห็นความสาคัญของ
การอา่ น ใหเ้ กิดความเพลิดเพลนิ ในการอ่านเพือ่ พัฒนาคุณภาพชีวิต นักศึกษาต้องเปน็ ผูร้ ู้จกั อ่าน
ร้จู กั ใช้ข้อมลู ข่าวสาร และความรู้ท่ีไดจ้ ากการอ่าน นักศึกษาควรอ่านหนงั สือดีมีคณุ คา่ การอ่าน
เปน็ การป้อนขอ้ มลู อนั เป็นเสมอื นอาหารสมองใหแ้ ก่ตน การอ่านจึงเป็นการพัฒนาสติปญั ญาความรู้
โดยตรง

นิสติ นกั ศึกษาในระดบั มหาวิทยาลัยควรจะอ่านหนังสือเพิ่มขนึ้ จากการเล่าเรียนในห้องเรียน
เปน็ การหาความรูด้ ว้ ยตนเอง เพราะวตั ถปุ ระสงค์ที่แท้จริงของการเรยี นในระดับมหาวิทยาลยั คอื
การพัฒนาและทัศนคติท่ีถกู ต้องในการแสวงหาความรู้ใหเ้ พิ่มพนู อย่จู นตลอดชีวติ เพราะนอกจากเปน็
การชว่ ยตนใหป้ ระสบความสาเร็จในการศึกษาแล้วยังเป็นการพัฒนาคุณภาพชวี ิตรอบดา้ น รู้จักนา
ความรูไ้ ปใช้ประโยชนอ์ ย่างถูกต้องและมีคณุ ธรรม

๙๕

หนังสือและสงิ่ พมิ พ์ตา่ งๆ เป็นส่ือความรู้ สง่ เสริมความคดิ ทางวิทยาศาสตร์และช่วยพัฒนา
วัฒนธรรม ชว่ ยใหม้ นษุ ย์เข้าใจกัน และเข้าใจสิ่งแวดล้อมของตนเอง ช่วยให้เราได้ท่องเทีย่ วไปในโลก
กวา้ ง แล้วจงึ หาทางแก้ไขโดยปลูกฝังนสิ ยั รักการอ่านขึ้นในตนเองต่อไป

อุปสรรคของการอ่าน

๑. สภาพแวดลอ้ มไมด่ ี เช่น อย่ใู นทที่ ่ีไมส่ งบ สถานทยี่ งั ไม่เหมาะ อณุ หภมู ิไม่พอดีและแสง
สวา่ งไมพ่ อ เป็นต้น

๒. มอี ุปสรรคทางสขุ ภาพกาย เชน่ สายตาไม่ดีและความเจบ็ ไข้ตา่ งๆ อปุ สรรคทางสุขภาพ
ใจ เช่น มีเรอ่ื งกงั วล เครียดและขาดสมาธิ

๓. ขาดทักษะทางภาษา
๔. พ้ืนความรเู้ ดิมมีจากดั
๕. กงั วลเรือ่ งศัพทห์ รอื ข้อความบางตอนท่ีแปลกใหมใ่ นหนังสือมากเกนิ ไป จนขาดการ
รวบรวมความคดิ และไม่เข้าใจส่ิงทอี่ ่าน
๖. ไม่ทราบวา่ อ่านแล้วจะนาความร้นู นั้ ไปใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ย่างไร จงึ ไม่เห็นประโยชน์
ของหนังสือและทาให้ไม่ชอบอ่านหนังสอื

การปลกู ฝงั นสิ ยั รกั การอ่าน

การปลูกฝังนิสัยรักการอา่ น จาเป็นตอ้ งทากันต้ังแต่ยังเดก็ โดยผปู้ กครอง ผใู้ หญ่ในบ้าน
คร-ู อาจารย์ ตลอดจนสื่อมวลชนตา่ งๆ ช่วยกนั ส่งเสริม เมอ่ื เจริญวัยข้นึ แล้วกย็ ังต้องพยายามรกั ษา
นิสยั ท่ดี ีนไี้ ว้ เพอ่ื จะไดเ้ ปน็ นักอา่ นทมี่ คี วามสามารถต่อไป

ในวยั แรกเร่มิ อ่าน ผูใ้ หญ่อาจเร้าความสนใจเร่ืองราวในหนังสือโดยภาพ เล่าเรอ่ื งประกอบ
ภาพ อ่านนทิ านแล้วนามาเล่า ชวนสนทนาถงึ หนงั สือเล่มใดเล่มหนง่ึ สิ่งเหล่านจ้ี ะช่วยเดก็ ใหส้ นุกทจ่ี ะ
ไดช้ มภาพ ได้ฟังเรื่องเล่า ได้สนทนากนั ถงึ เร่ืองท่ไี ด้อ่านแล้วและการกระตุ้นใหเ้ กดิ ความรู้สกึ ปรารถนา
ทจี่ ะอ่านหนังสอื ต่อไป นอกจากน้ัน ในระยะแรกควรอ่านหนงั สอื ที่เหมาะกับวัยและรสนิยมของตนเอง
เพอ่ื จะได้เกิดความร้รู ักและพอใจทีจ่ ะอ่านหนังสอื ท่ีชอบเสียก่อน แล้วคอ่ ยขยายวงกว้างออกไปอา่ น
หนงั สอื ประเภทอื่นๆ ดว้ ย ในระยะที่ศกึ ษาสงู ข้นึ ตามลาดับนกั ศึกษาควรได้รับการปลูกฝงั ให้รกั การอ่าน
โดยตนเองต้องเปน็ ผ้พู ยายามปฏิบัตติ ่อไปน้ี

๑. เข้ารว่ มกจิ กรรมสง่ เสริมนสิ ัยรักการอ่าน เชน่ อ่านแลว้ นาเรอ่ื งมาเล่าต่อ ขณะที่อ่านควร
บนั ทึกช่ือหนงั สือ ชอ่ื ผู้แต่ง แนวคดิ สาคัญของเร่ือง และคณุ คา่ ฯลฯ ลงบตั รทุกครั้ง

๒. เขา้ ร่วมกจิ กรรมอา่ นออกเสียง อา่ นบทร้อยกรอง ร้อยแก้ว ความเรียง เชน่ อา่ นขา่ ว
ฯลฯ เพ่ือเพ่ิมทักษะการอ่านออกเสียงใหถ้ ูกต้อง โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งการเวน้ วรรคตอนและการอา่ น
คาควบกล้าขณะอ่านควรจะใชน้ า้ เสยี งมีชวี ติ ชีวาเปน็ ไปตามเน้อื หาท่ีอ่าน การอ่านหนังสอื ใหผ้ อู้ ่าน
หนงั สอื ไม่ออกและคนชราฟงั เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งท่ีได้ท้ังความสุข ความรู้ และทักษะการอ่าน

๓. สะสมข้อความดีๆ ที่อ่านพบไวใ้ ช้ในโอกาสทีเ่ หมาะสม ดว้ ยการบันทกึ ลงบัตรและเก็บ
สะสมบัตรไว้นาไปใช้ในโอกาสตอ่ ไป

๔. บนั ทึกผลการอ่านทุกครั้งท่อี ่าน นบั ต้ังแต่ทม่ี าของหนังสอื สาระสาคญั ของเรอ่ื ง ความ
คดิ เห็นของผอู้ า่ น ฯลฯ

๙๖

๕. อา่ นหนังสือให้มากและร้จู ักเลอื กหนงั สือที่มีคณุ คา่ เพิม่ พูนความรแู้ ละคุณธรรมของตนเอง
อยเู่ สมอ

๖. สร้างบรรยากาศการอา่ นใหเ้ ปน็ ท่นี า่ พึงพอใจ หาทีน่ ่ังท่สี บาย อากาศดี แสงสว่าง
พอเพยี งและไมม่ ีเสยี งรบกวน

๗. พยายามอา่ นหนังสือทุกวนั ทั้งหนังสอื ประเภททีช่ อบ และข่าวสารตา่ งๆ ใน
หนังสือพมิ พ์ท่ชี ่วยให้ผอู้ ่านทันโลก

๘. ฝึกฟังเพราะการฟงั เปน็ พื้นฐานของการอ่าน ถ้าฟงั การถกเถยี งวจิ ารณ์เรอื่ งที่เรากาลงั
อา่ น ก็จะช่วยใหเ้ ขา้ ใจและมีทศั นะต่อเร่ืองท่ีกาลังอ่านกว้างขวางข้ึน

๙. ประสบการณ์ในชวี ิตการเป็นพหสู ตู คือไดฟ้ ังมากเห็นมาก ก็มสี ่วนช่วยให้อ่านหนังสอื ได้
เข้าใจและลึกซึง้ นอกจากน้ีควรใชห้ นังสอื ใหเ้ ปน็ ประโยชน์ คอื นาความรู้ที่ได้ไปพฒั นาการทางานของ
แต่ละคนให้ดียง่ิ ข้นึ

๑๐. เมอื่ จติ ใจซมึ เซา ท้อแท้ เบือ่ หนา่ ย สมองทางานหนัก ควรอา่ นหนังสือประเภทขบขัน
หนงั สือประเภทท่ีใหค้ วามเพลิดเพลินทางปัญญาและอารมณ์ หนงั สือท่ีชี้ชวนดโู ลกในแนวใหม่ หรอื ให้
สัจธรรมจะชว่ ยขจดั ความร้สู ึกอนั ไม่พงึ ปรารถนาเหลา่ น้ันไปได้ และชว่ ยให้จติ ใจแช่มช่ืน
กระปรกี้ ระเปร่าเห็นความงามในชวี ิต ชว่ ยให้กาลงั ใจเข้มแขง็ และรสู้ กึ รักการอ่านเพราะตระหนกั ว่าการ
อ่านชว่ ยใหม้ ีความสุขได้

๑๑. เมอื่ ตอบคาถาม หรอื สนองความอยากรู้อยากเหน็ ของตนไม่ได้ดว้ ยวธิ ีอ่ืนๆ ที่
เหมาะสมควรอ่านหนงั สือเพื่อตอบคาถามเหล่านั้น เม่ืออ่านไปมากๆ ก็จะพบคาตอบ ทาใหเ้ ปน็ ผ้รู ัก
การอ่าน เพราะรู้วา่ เมื่ออ่านกจ็ ะต้องไปพบกบั คาตอบที่ตอ้ งการ

๑๒. เมอื่ อ่านหนังสอื และพัฒนาการอา่ นจนถงึ ขั้นแตกฉานก็จะเกดิ ความรู้สกึ รักท่ีจะอา่ น
หนงั สือใหม้ ากขน้ึ การอา่ นได้มากๆ ก็ต้องฝึกอ่านเร็ว อ่านไดเ้ รว็ ตอ้ งมีสมาธแิ น่วแนใ่ นการอา่ น ทง้ั
ตาและประสาทสมองต้องจดจอ่ อยู่กับส่ิงท่ีอ่าน เมอ่ื มีสมาธกิ จ็ ะอา่ นได้เร็วท้ังจะอ่านได้รู้เรื่องและจบั
ประเด็นได้ ก็จะยิง่ รู้สกึ รักที่จะอา่ นมากข้นึ เม่อื ถงึ ระดบั นี้หากผู้อา่ นไดใ้ ชค้ วามรู้ทไี่ ด้จากการอา่ นและ
ไตร่ตรองแล้วไปสนทนากบั ผอู้ ื่นหรือนาไปปฏบิ ัติ จะดว้ ยวธิ ตี ่างๆ เช่น การเขยี นบันทึก เขียน
บทความ การพูด เช่น เลา่ เร่ือง อภปิ ราย โตว้ าที หรอื ปาฐกถา เปน็ ตน้ กจ็ ะชว่ ยพัฒนาการอา่ นไป
ได้มากยง่ิ ขน้ึ

การเพิม่ ประสทิ ธภิ าพในการอ่าน

วตั ถุประสงค์และประโยชน์ของการอา่ นมีมากมาย ดงั ท่ไี ดก้ ลา่ วมาแลว้ นักศึกษาไมค่ วรคิดวา่
ตนจะอ่านเพยี งเพื่อคะแนนสอบเทา่ น้ัน ผ้อู ่านมากย่อมทรงคณุ ความรู้ ความคดิ เปน็ ประโยชน์ทงั้ ตอ่
ตนเองและสงั คม แตก่ ารทีจ่ ะอา่ นจนถึงระดับนน้ั ได้ ก็จะต้องมีวธิ เี พ่ิมประสทิ ธภิ าพการอ่านของตนโดย
อาศัยกศุ โลบายบางประการดังต่อไปน้ี

๑. อปุ สรรคสาคญั ของการพัฒนาการอา่ นก็คือการอ่านช้า อันได้แก่ อา่ นทล่ี ะคาใช้นิ้วจิ้ม
ตัวหนังสอื ท่ลี ะตัว อ่านข้ามหัวข้ามท้ายประโยค หากเปน็ เช่นน้ันความหดั อา่ นเรว็ คอื อ่านข้อความ
ทั้งประโยค ทงั้ บรรทัด หรือทั้งย่อหน้าแทนการอ่านทลี ะคา การอ่านชา้ ดังกลา่ ว นอกจากทาให้
เสียเวลาแลว้ ยงั ทาให้ไมเ่ ขา้ ใจความหมายของขอ้ ความอีกด้วย จงึ ควรหดั อา่ นเร็วและทาความเขา้ ใจไป
พร้อมๆ กัน ตามปกติการทอดสายตามองตวั หนงั สอื บนเสน้ บรรทดั แต่ละครั้งนน้ั มิใชเ่ ราจะเหน็ ชัดท่ี
เป็นอกั ษรหรือคาคาเดียว ถ้าสงั เกตจะพบว่าในการทอดสายตาเพียงครง้ั เดยี วเราอาจอ่านได้หลาย

๙๗

พยางค์หรืออาจจะท้ังประโยค (สงั เกตจากนักข่าวโทรทัศน์ได้วา่ ทาเชน่ นน้ั ถา้ มิเชน่ นั้นแล้วเขาจะตอ้ ง
กม้ หนา้ อยู่ตลอดเวลา) การฝกึ บรหิ ารทอดสายตาลงอ่านหนงั สอื เป็นเรือ่ งทีส่ าคัญมาก เพราะเปน็ ปจั จัย
ช่วยใหอ้ า่ นเรว็ วิธีการฝกึ ในช่วงแรกใหล้ องนับดวู า่ ในการอา่ นหนงั สือบนแต่ละบรรทัดน้ัน เรา
ทอดสายตาก่ีคร้งั จากนั้นจึงลองลดครงั้ ของการทอดสายตา แต่ขยายช่วงการทอดสายตาแต่ละคร้ัง
ใหก้ วา้ งขนึ้ อ่านได้จานวนคามากขึน้ เราจะค่อยๆ ฝึกจนจานวนการทอดสายตาลงอ่านแต่ละบรรทัด
น้อยลง จนสามารถกวาดสายตาไดเ้ ร็วและมชี ่วงกวา้ งไม่เฉพาะแตเ่ ป็นพยางค์หรือกล่มุ คาเท่านัน้ แต่จะ
กวาดไดเ้ ร็วในระหว่างบรรทัดด้วย

อย่างไรกต็ าม ผอู้ า่ นจะตอ้ งตระหนกั ว่าการอา่ นเรว็ น้นั มิได้เหมาะกบั การอ่าน วัสดกุ ารอ่าน
ทกุ ชนิดทกุ เรื่องเสมอไป หากเปน็ ขอ้ ความท่ีมวี รรณศิลป์ แสดงความคิดลึกซ้ึงหรือเปน็ เร่อื งทไี่ ม่คนุ้ เคยก็
ยงั คงต้องอา่ นช้าอยู่ เพ่ือให้ได้ประโยชนแ์ ทจ้ ริงตามความต้องการ

๒. ควรฝึกฝนใหส้ ามารถอ่านแตกฉานทงั้ หนังสือภาษาไทย และภาษาต่างประเทศตัง้ แต่
เรยี นอยใู่ นชน้ั มธั ยม ยง่ิ เม่ือเขา้ มหาวทิ ยาลัยแมใ้ นปีแรกก็ควรฝกึ ฝนให้สามารถอา่ นได้เรว็ และอ่านเป็น
เพราะในระดบั มหาวทิ ยาลยั นักศึกษาต้องอ่านหนงั สอื หลายเล่มในเวลาจากดั

๓. ต้องฝกึ ฝนให้เกิดทักษะในการจับความคิดรวบยอดของผู้แต่ง เข้าใจความหมายท่ีไม่
ปรากฏเปน็ ลายลักษณ์อักษร ดงั ท่เี รียกว่า “อา่ นระหวา่ งบรรทดั ” อ่านแลว้ ได้ความคิดใหมส่ ามารถ
ประเมนิ ค่าของข้อความท่ีอ่านได้ถูกต้อง

๔. ควรเรียนร้วู ิธีการใช้ห้องสมุด วิธีจดั ห้องสมดุ ในแตล่ ะสถาบนั โดยสงั เกตและศึกษา
ป้ายประกาศตา่ งๆ หนา้ ห้องสมุด ตบู้ ัตรชอื่ ผู้แตง่ ตูบ้ ตั รช่ือหนงั สือ มมุ หนงั สือใหม่และมุมวารสาร
ต่างๆ ฯลฯ การศึกษาและเอาใจใส่อยู่เสมอจะช่วยใหน้ กั ศึกษาไดร้ บั ความรูแ้ ปลกใหม่เพิ่มเติมขนึ้ อย่าง
มากและรวดเรว็

๕. ควรอา่ นหนงั สือหลายๆ ประเภท หลายๆ เล่ม ทั้งทีย่ ากและง่าย การอ่านหนังสือที่
มีเน้ือหาคลา้ ยคลงึ กัน แต่เขียนสาหรับคนพน้ื ความรู้ตา่ งกัน เปน็ การช่วยนักศึกษาทไ่ี ม่มีพนื้ เดิมใน
เรื่องน้นั ใหเ้ ข้าใจง่ายขนึ้

๖. ควรบนั ทกึ ลงบัตรข้อมลู เก็บสะสมความรู้ไวว้ า่ ได้อ่านหนังสือเร่ืองอะไร ใครแต่ง
สานกั พิมพ์ใด ปีท่ีพิมพ์ จานวนหนา้ แนวคิดของเรือ่ ง ข้อความท่ีประทบั ใจ ประเภทของหนงั สือ
แหลง่ ทีม่ า ประวตั ิผู้เขยี น และคุณค่าของหนงั สือเหลา่ นนั้ ฯลฯ เพอื่ สรปุ ผลของการศกึ ษาค้นคว้าแตล่ ะ
ครงั้ และเกบ็ ไว้ใชใ้ นโอกาสต่อไป

๗. ทกุ ครั้งท่ีอา่ นเมื่อพบคาใหม่ที่ไมเ่ ขา้ ใจ ไม่ควรละเลยควรจดลงบัตรไวเ้ พื่อคน้ หา
ความหมายต่อไป จะชว่ ยใหน้ ักศึกษารูจ้ ดั คาเพมิ่ เติม ไดร้ บั รู้ความแตกฉานยง่ิ ขึน้ อ่านหนังสอื แตกฉาน
ขน้ึ และสามารถถ่ายทอดความคดิ ของตนเองได้กว้างขวางย่ิงขึน้

๘. ไม่ควรละเลยกรฝกึ อา่ นในใจ เพราะการอ่านในใจจะไดเ้ น้ือหามากในเวลาอันรวดเร็ว
การอ่านก็จะมีประสิทธิภาพย่ิงขน้ึ

๙. ขณะท่ีอา่ นต้องอ่านอย่างใชค้ วามคิด และใชว้ จิ ารณญาณในการอ่าน
๑๐. ควรฝกึ อา่ นออกเสียงด้วย เชน่ อา่ นข่าว บทความ บทละคร เร่ืองส้ัน นวนยิ าย ฝกึ
ทานองเสนาะ อ่านแสดงความรูส่ กึ ใหผ้ ู้ฟังเขา้ ใจและเกิดความรสู้ กึ คลอ้ ยตาม ฯลฯ เพราะนักศึกษา
อาจจะต้องปฏิบตั ใิ นชีวติ จริง
๑๑. นักศึกษาควรเขา้ ร่วมกิจกรรมกบั ชมรมการอ่านตา่ งๆ เพ่ือเพ่ิมประสทิ ธิภาพในการ
อา่ นของตนเองพรอ้ มกบั ช่วยส่งเสรมิ การอ่านของหม่คู ณะและสังคมดว้ ย

๙๘

การจัดนิทรรศการเกยี่ วกบั หนังสอื เปน็ วิธชี ่วยกระตุน้ ให้ผู้อา่ นรกั การอ่าน เป็นการเพ่ิม
ประสทิ ธภิ าพในการอา่ นได้ การอา่ นนิทานแล้วนามาเลา่ การอ่านหนังสือให้ฟัง การชมภาพ การ
ไดอ้ ่านบทวจิ ารณ์ การฟังการสนทนา การฟังอภปิ รายหรอื โต้วาทเี ก่ยี วกบั หนังสือเลม่ ใดเล่มหนึ่งหรอื
หลายเล่มส่งิ นลี้ ้วนช่วยให้ผเู้ ขา้ ร่วมกจิ กรรมไดเ้ พิ่มประสิทธิภาพการอา่ นทั้งสิ้น

หากนิสิตนักศกึ ษาสนใจทากิจกรรมส่งเสรมิ การอ่านของตนเองหรือทากจิ กรรมเพื่อบาเพ็ญ
ประโยชนแ์ ก่ผอู้ ่ืน อาจขอคาแนะนาจากบรรณารักษ์ อาจารย์วิชาภาษาไทยและเจ้าหน้าท่ีงานบรกิ าร
นกั ศึกษาของมหาวิทยาลยั ก็ได้

๒. การฟงั

ความหมายของการฟงั

การฟงั เปน็ กระบวนการอย่างหน่งึ ของการรับสาร (Inputting) ซง่ึ นับวา่ เป็นทกั ษะที่สาคญั
ท่สี ุด เพราะในชีวิตประจาวันเรานนั้ จะใช้เวลาในการฟงั มากกว่าใช้เวลาในการพูด อ่านหรอื เขียน มี
ผู้สารวจวา่ เวลาทีเ่ ราใช้ในการตดิ ตอ่ สื่อสารในวันหนง่ึ ๆ เราใชเ้ วลาถงึ ๔๒% ในการฟัง แตเ่ ราก็
มกั จะจาเนื้อหาสาระได้เพียงครง่ึ หน่งึ เท่านนั้ เมื่อเราฟังจบหนง่ึ แสดงวา่ ทักษะในการฟังของคน
สว่ นมากนนั้ ไม่ดีพอ เพราะเหตวุ ่าเรามกั จะมองข้ามความสาคญั ของการฟังไปจนทาให้ไม่ค่อยได้ฝึกฝน
ในเรอ่ื งนี้

การฟงั นั้นต่างจากการได้ยนิ (Hearing) เป็นการรบั ร้อู ย่างหนงึ่ ของร่างกายโดยอาศยั โสต
ประสาทเปน็ เคร่ืองรบั รู้ แต่การฟงั (Listening) นัน้ เป็นพฤตกิ รรมทีเ่ กิดขึ้น และเป็นพฤติกรรมจาก
การทางานอย่างตั้งใจของระบบประสาท ซงึ่ จะตอ้ งประกอบด้วยการไดย้ นิ (Hearing) การรบั รู้ หรอื
สัญชาน (Perception) การจาได้ (Recognition) และความเขา้ ใจ (Commprehension)
หมายความวา่ ในการฟงั นน้ั ตอ้ งมที ้ังการรบั สารและตีความหมายของสารท่ีได้ยินนน้ั ด้วย การฟังจงึ
นับว่าเป็นศิลปะอยา่ งหน่ึง ที่ผฟู้ งั ต้องใชท้ กั ษะ ไหวพริบ และความคดิ เปน็ สาคญั

จดุ มุ่งหมายของการฟัง

จุดมงุ่ หมายของการฟงั ของคนเรานน้ั ยอ่ มมตี า่ งๆ กันไปสุดแต่ความต้องการของผ้ฟู ังแตล่ ะ
คน แต่ถ้าจะกลา่ วโดยทว่ั ไปอย่างกว้าง ๆ แล้ว ก็พอจะแบง่ จุดม่งุ หมายของการฟงั ได้ ๒ ประการคอื

๑. การฟังเพอื่ เพม่ิ พนู ความร้แู ละประสบการณ์ คือการฟงั ทผ่ี ู้ฟงั มีจุดมุ่งหมายท่ีจะหา
ความรู้ความเข้าใจ และประเมินคา่ เร่ืองที่ไดฟ้ ัง เชน่ การฟงั การบรรยายในชัน้ เรียน การฟงั การ
อภิปราย ปาฐกถา ฯลฯ ลักษณะการฟังแบบนเ้ี ป็นการฟังอยา่ งจริงจงั (Serious Listening) ผู้ฟงั
จะตอ้ งสามารถจบั ใจความสาคญั (Main Idea) และจดจารายละเอียดปลีกยอ่ ย (Supporting Idea)
ทส่ี าคัญได้ นอกจากนีผ้ ฟู้ ังยังต้องสามารถแยกแยะสงิ่ ท่เี ป็นข้อเท็จจริง (Fact) และข้อคิดเห็น
(Opinion) ของผพู้ ูดได้ ทั้งสามารถวิเคราะห์เน้ือหาสาระท่ีได้ฟงั อยา่ งมเี หตผุ ลและใชว้ จิ ารณญาณตัดสนิ
ประเมินค่าเรื่องท่ไี ด้ฟังนั้น (Jim D. Chughey and Johnson W. Arlee, Speech
Communication N.Y. : Macmillan Publishing,1975) P.35.

๒. การฟังเพ่ือสงั คม(Social Listening) คอื การฟงั ท่ีผู้ฟังมีจุดมุ่งหมายทจ่ี ะหาความ
เพลิดเพลิน ความบันเทิง หรือเพ่ือท่ีจะรักษามารยาทอนั ดีงาม เชน่ การฟงั เพลง การฟงั ละคร การ

๙๙

ฟงั ในวงสนทนาซึ่งการฟงั ในวงสนทนานี้ บางครั้งผู้ฟังอาจไม่ต้งั ใจหรอื อยากฟงั ผู้พูดพดู นัก แต่ผฟู้ ังก็
จาเป็นต้องรับฟังสงิ่ ที่ผู้พูดเพือ่ รกั ษามารยาท

การไมม่ ีมารยาทในการฟัง นอกจากจะทาใหบ้ ุคลกิ ภาพของตนเองเสียไปแล้ว อนั เป็นการ
รบกวนบคุ คลอน่ื หรือทาให้ผู้อื่นเดอื ดรอ้ นราคาญไปดว้ ย

การฝกึ ทกั ษะการฟงั

ผ้ทู ีม่ ปี ระสทิ ธิภาพในการฟังนนั้ นอกจากจะตอ้ งเข้าใจขนั้ ตอนในการฟัง รู้จักปรับปรงุ
แก้ไขข้อบกพรอ่ งในการฟงั ของตนเองแลว้ ยังตอ้ งหมนั่ ฝกึ ฝนให้เกดิ ทกั ษะในการฟงั ดว้ ย วิธีการปลูกฝงั
ทกั ษะการฟงั

๑. ทาตัวให้มีความพร้อมที่จะรบั ฟัง พยายามศึกษาหวั ข้อเรื่องที่จะฟงั ก่อน เพื่อที่จะได้มี
พื้นความรูเ้ บื้อตน้ ในเรื่องทจ่ี ะฟัง ซ่ึงจะทาใหส้ ามารถเขา้ ใจเร่ืองท่ีฟงั น้ันง่ายและรวดเร็วข้ึน

๒. ฟังอย่างสุภาพและตง้ั ใจจริง การทีเ่ ราต้ังใจแน่วแน่ในการฟงั จะทาใหก้ ารฟงั ประสบ
ผลสัมฤทธ์ิ วิธีทจ่ี ะช่วยให้เราตงั้ ใจฟงั ได้อยา่ งแนว่ แน่ ก็คือในขณะทฟี่ งั ใหพ้ ยายามจบั และทบทวน
ใจความสาคญั ท่ผี ู้พดู พดู หรอื นกึ เดาความคดิ หลักต่อไป หรือพยายามคิดวเิ คราะหค์ วามหมายที่แท้จรงิ
ลึกซ้ึงที่ผพู้ ูดต้องการสื่อสารให้เราทราบ

๓. ต้องรจู้ ักสงั เกตอวจั นะภาษาหรอื ภาษาท่าทางของผ้พู ูด (Nonverbal
Communication ) เพราะการสื่อสารนั้นไม่ได้มีวจั นภาษาทเ่ี รียบเรียงเปน็ ถ้อยคา (Verbal
Communication) เปน็ ส่อื เท่าน้นั ในชีวติ ประจาวันเราสอ่ื สารกนั ดว้ ยอวัจนะภาษาก็มาก การทเี่ รา
ร้จู ักสงั เกตกิรยิ าทา่ ทาง นา้ เสียง สีหน้า สายตา ของผพู้ ูด จะทาให้เราเขา้ ใจสารและจดุ ประสงคข์ อง
ผู้พดู ยง่ิ ขึ้น เช่น ถา้ ผพู้ ดู พูดกบั เราว่า “เธอทาผมแลว้ แบบน้แี ลว้ สวยดนี ะ” ในขณะที่พูดสายตาของผู้
พูดแสดงความช่ืนชมใบหน้าย้ิมแยม้ แจม่ ใส อวจั นะภาษาเชน่ น้ี แสดงวา่ พดู กลา่ วชมดว้ ยความบรสิ ุทธ์ิ
ใจ แต่ในประโยคข้อความเดียวกันนี้ ถา้ ผพู้ ูดเนน้ เสยี งท่ีคาว่าสวยมากเกินไปแลว้ สหี นา้ และแววตา
แสดงความเยาะเยย้ ขบขัน ก็สือ่ ความหมายได้ว่าการพูดนั้นเปน็ การพูดประชด มิใช่การชมดว้ ยใจจรงิ

๔. ในขณะที่ฟงั ตอ้ งหมั่นฝกึ ฝนและปฏิบตั ใิ หไ้ ด้ตามขั้นตอนของการฟัง กล่าวคือ ตอ้ ง
พยายามทาความเขา้ ใจเรื่องที่ฟังใหต้ รงกับผู้พดู มากทีส่ ดุ โดยอาศัยประสบการณเ์ ดมิ ช่วย ตอ้ งร้จู ัก
ประมวลความคิดในขณะท่ีฟงั ด้วยการเลือกสรรข้อมลู ต้องตรงกับข้อเทจ็ จริง และรู้จักปฏิเสธขอ้ มูลท่ี
คลาดเคลอ่ื นสามารถใชว้ ิจารณญาณในการตดั สนิ คุณคา่ รู้จักเก็บจดจารวบรวมข้อมูลเพ่ือนาไปใช้
อา้ งองิ ได้ สามารถสรุปสาระและความคิดรวบยอดได้

๕. พยายามหาประโยชน์จากการฟัง ดงั ได้กลา่ วแลว้ ว่า การนาประโยชน์จากการฟังมาใช้ได้
นัน้ นบั เป็นหัวใจทส่ี าคัญในการฟัง ฉะน้ันผู้ฟังจะต้องนึกเสมอวา่ ทุกคร้งั ท่ีฟงั น้ันจะต้องไดป้ ระโยชน์หรอื
คณุ คา่ บ้างไมม่ ากก็น้อย หนา้ ที่ของเราก็คือหาประโยชน์จากสิง่ ท่ีได้ฟังให้มากทส่ี ุด แตม่ ิใช่หมายความวา่
เราจะรบั แตค่ วามคดิ ของคนอื่นเสียหมด ในขณะทเี่ รารบั ความคิดของคนอ่ืนน้ัน เราต้องหมน่ั ฝึกฝนให้
ตัวเราเกดิ ความคิดใหม่ท่เี ป็นของตนเองดว้ ย

๖. พยายามจดโนต้ ทุกคร้งั ในขณะที่ฟงั เพ่ือเปน็ เครอ่ื งช่วยเตอื นความจา แต่พึงระวงั วา่ อยา่
พะวงจดโนต๊ จนลมื ฟงั เร่ืองที่จด เพราะบางคนมักชอบจดโนต้ อย่างมรี ะบบระเบยี บเกนิ ไป ทาให้การจด
โน๊ตเป็นอุปสรรคตอ่ การฟังได้

๗. ปญั หาการจับใจความสาคัญ และสรุปความคิดรวบยอดไม่ได้น้นั เป็นปัญหาท่ีเกิดขึ้นกบั
เดก็ ไทยมาก เพราะการฝกึ ฝนทักษะในดา้ นนี้ของเด็กไทยเรามีน้อย วิธปี รับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องนี้จึง

๑๐๐

ตอ้ งอาศยั การฝึกฝนบอ่ ยๆ โดยกอ่ นทฟ่ี ังเนื้อหาสาระใดๆ นั้น นสิ ิตควรจะพิจารณาหวั ขอ้ เรื่องที่จะฟงั ท่ี
สาคญั ทง้ั หมด ในขณะท่ีฟงั ก็พยายามจดโนต้ ตามประเด็นสาคัญทีเ่ รากาหนด เช่น ต้ังคาถามไว้เมื่อฟัง
จบแลว้ ลองตอบคาถามที่เราตั้งไว้ ถ้าสามารถตอบไดก้ ็แสดงวา่ เราสามารถที่จะจับใจความสาคญั อนั เป็น
หลกั ของผู้พูดได้ และเมื่อเราสามารถจบั ความคิดหลักไดแ้ ล้ว รายละเอียดปลีกย่อยท่ผี ู้พูดกล่าวก็คอื
ความคิดสนบั สนนุ ทผี่ ู้พูดนามาสนับสนนุ เร่ืองที่กล่าว เพื่อใหผ้ ้ฟู งั เขา้ ใจแจ่มชัดขึ้นนน่ั เอง

ตัวอยา่ งเชน่ ถ้านสิ ิตจะฟงั การอภิปรายเรื่อง “การพัฒนาคุณธรรมทางใจแก่เยาวชน” สงิ่
ที่นสิ ติ ควรร้แู ละตั้งเป็นคาถามไวก้ ่อนการฟังอภิปรายก็คือ

๗.๑ เหตใุ ดจงึ ต้องพฒั นาคุณธรรมทางด้านจิตใจแกเ่ ยาวชน
๗.๒ มีวธิ ีการหรือการดาเนนิ งานอย่างไรในการพฒั นาน้ี
๗.๓ ใครคือผู้มบี ทบาทในการดาเนินงานคร้ังนี้
๗.๔ เมือ่ มีการพัฒนาคุณธรรมทางดา้ นจติ ใจแล้ว จะเกิดผลประโยชน์ต่อเยาวชนหรอื
สว่ นรวมหรือไมอ่ ย่างไร
การที่เราเตรียมตัวต้งั คาถามในสง่ิ ที่อยากรไู้ ว้ก่อนนนั้ จะทาให้เรามคี วามตั้งใจในการฟังมาก
ขึ้น และนอกจากจะจับใจความสาคัญแลว้ ก็จะสามารถสรุปความคิดรวบยอดจากเร่ืองท่ีฟังได้ด้วย
๘. การเปน็ คนใจแคบไม่ยอมรบั ฟังความคิดเห็นของคนอน่ื นั้น นับว่าเป็นขอ้ บกพร่องอย่าง
ย่ิง นักฟังทดี่ ตี ้องควรฝกึ หดั ท่ีจะสงบอารมณ์และทาใจกว้าง ยอมรับฟังความคดิ เห็นของผู้พดู การที่
ผ้ฟู งั มีข้อคดิ เห็นสว่ นตวั มคี วามลาเอยี งหรืออคตติ ่อส่งิ ท่ีพูดกลา่ วถึง แล้วก็โกรธและต่อตา้ นไม่ฟัง ทา
ใหบ้ างทีก็ขาดหรือพลาดท่จี ะพิจารณาหรือฟงั ว่าเขาพูดอะไร หมายถงึ อะไร เราควรควบคมุ ปฏกิ ริ ยิ า
ของเราพยายามฟงั ให้เข้าใจความคิดของผพู้ ดู โดยตลอด เพ่ือจะไดน้ ามาพจิ ารณาให้เทยี่ งแท้ในทุกๆ
ดา้ นแล้ว อะไรถกู ขนึ้ อยู่กบั เกณฑท์ ต่ี ้ังไว้ เกณฑ์อาจเป็นความเชอ่ื ตอ่ ๆกนั มาของสังคมหรอื ความคิด
ของคนๆ เดียวก็ได้ หากแต่ต้องประกอบไปด้วยเหตผุ ลทเ่ี หมาะสม
๙. ถา้ นิสติ ตดิ นสิ ัยชอบฟังแต่ข้อมลู ท่ีเปน็ ข้อเท็จจรงิ ไมช่ อบฟังขอ้ คดิ เห็นหรือรายละเอียด
ปลกี ย่อยทผ่ี ู้พูดพูด ก็ควรท่ีจะหัดฝึกฝนการฟังเสียใหมโ่ ดยฟงั คาพดู ทุกๆ อย่างทผี่ ้พู ูดกล่าว เพราะการ
ทีฟ่ ังอะไรเฉพาะอยา่ งนน้ั จะทาให้เราอาจจะพลาด หรอื ไม่เข้าใจความหมายทผี่ ู้พูดต้องการสอ่ื สารให้เรา
ทราบ ฉะนั้นอย่าแยกฟงั เฉพาะข้อเทจ็ จรงิ แต่ควรหัดแยกสิ่งทเ่ี ปน็ สาระสาคัญ สง่ิ ทเี่ ป็นหัวใจของการ
พดู นน้ั มาพิจารณา จึงจะเรยี กไดว้ า่ เปน็ นกั ฟังท่ีมีประสิทธิภาพ
๑๐. ขอ้ บกพร่องในเรอื่ งไมม่ ีมารยาทในการฟัง เปน็ จุดบกพร่องทแี่ ก้ไขง่าย ผู้ฟงั จะต้อง
รักษามารยาทในการฟัง เชน่ แสดงกิริยาท่สี งบเรยี บร้อยตั้งใจฟัง ฟังอย่างสุภาพ ไม่คุยกันในขณะทผ่ี ู้
พูด พดู ไม่ส่งเสียงดังรบกวนผ้อู น่ื หรอื ไม่ลุกเดินเข้าเดนิ ออกโดยไม่จาเปน็ ถ้าจาเปน็ จะต้องลกุ ขึน้ จาก
ทีน่ ง่ั กค็ วรทาความเคารพผู้พูดกอ่ น

ขน้ั ตอนในการฟงั

ลักษณะการฟงั ท่ีดี ตอ้ งมลี าดับข้ันตอนในการฟงั ดังน้ี
๑. การได้ยนิ (Hearing)
๒. การรบั รู้ (Perception)
๓. ความจาได้ (Recognition)
๔. ความเขา้ ใจ (Comprehension)
๕. การเลอื กสรร (Selection)

๑๐๑

๖. การปฏเิ สธขอ้ มลู คลาดเคล่อื น (Rejection)
๗. การประเมนิ ผล (Evaluation)
๘. การรวบรวม (Organization)
๙. การเกบ็ รักษาจดจาไว้ (Retention)
๑๐. การระลึกได้ (Recall)
๑๒. การอนุมาน (Inference)
๑๓. การสรุปสาระ (Summarization)
๑. การไดย้ ิน ข้นั แรกของการฟังนนั้ จะต้องมีโสตประสาทท่ีที่สามารถจะได้ยนิ เสสยี งท่ี ผู้
พูดพดู คนเรานัน้ ถ้าประสาทหูปกติทคุ นจะมีความสามารถในการยนิ เทา่ กนั หรอื ใกลเ้ คยี งกนั ทส่ี ุด การ
ได้ยนิ เป็นเพียงจดุ เรมิ่ ต้นของการฟังเทา่ น้ัน เช่น เม่ือนสิ ิตเข้าเรียน นสิ ติ ไดย้ ินเสยี งอาจารยผ์ ูส้ อนเร่มิ
บรรยายเนอื้ หาสาระ แต่นสิ ิตไม่ได้สนใจเพราะมัวคุยกับเพ่ือนอยู่ แสดงว่านิสติ ไดย้ ินเสียงอาจารย์พดู
เท่านน้ั แตไ่ มไ่ ด้ฟงั อาจารยส์ อน
๒. การรบั รู้ เป็นข้นั ตอนต่อจากการไดย้ นิ คอื เม่ือโสตประสาททางานแลว้ ก็จะสง่ สารท่ีได้
ยินน้ัน ไปสู่สมอง สมองจะรับรู้ว่าสงิ่ ท่ไี ด้ยินน้ันคืออะไร ก่อให้เกิดความรูส้ ึกอย่างไร บคุ คลที่มีวฒุ ิ
ภาวะความรแู้ ละประสบการณท์ ีต่ า่ งกนั ยอ่ มมีการรับรแู้ ตกต่างกันด้วย เชน่ ถ้าเราพดู ว่า “ความ
เจรญิ ทางดา้ นเทคโนโลยที าให้ค่านิยมของคนไทยเปลีย่ นแปลงไป จากท่ีเคยมีกันมาในอดีต”
ขอ้ ความท่ีเราพดู น้ถี ้าหากผพู้ ูดไปพูดกับเด็กในวัย ๔-๕ ขวบ เดก็ น้นั ก็จะไมส่ ามารถรบั รูข้อความและ
คาบางคาได้ เช่น เทคโนโลยี คา่ นิยม เปน็ ตน้ แต่ถ้าหากผู้พดู พูดกบั นิสิต นสิ ติ เป็นบุคคลที่มีวุฒภิ าวะ
ความรู้ และประสบการณม์ ากกวา่ เด็กในวัย ๔-๕ ขวบมาก จงึ ย่อมทจ่ี ะรบั รใู้ นขอ้ ความทผี่ ้พู ูดพูดได้
๓. ความจาได้ เมอ่ื ผ้ฟู ังได้ยนิ และรบั ร้ใู นสารนั้นแลว้ ขนั้ ตอ่ มาก็คอื การจดจาสง่ิ ทไ่ี ด้ยนิ นั้น
ได้ โดยนาประสบการณ์เดมิ มาเทยี บ หรือประสบการณใ์ หมอ่ าจทาให้นึกถงึ ประสบการณ์เดมิ ได้ เชน่
นักเรยี นฟังครสู อนวิชาหลกั ภาษาไทยเรือ่ คา เมือ่ นักเรียนได้ยินและรบั รวู้ ่าครูพดู ถงึ เรื่องคา นกั เรียนก็
สามารถนาความรู้เดมิ ในเรื่องพยางค์มาเปรยี บเทยี บกบั ความรู้ใหม่ในเรื่องคาได้ หรือความรใู้ หม่เรอ่ื งคา
ทาใหน้ กึ ถึงเรื่องทไ่ี ด้เรียนรไู้ ปแลว้
๔. ความเข้าใจ เมอื่ เรารบั สารและจาสารนัน้ ได้แลว้ ข้นั การฟังทสี่ าคญั ตอ่ มาคือ ผู้ฟงั ต้องทา
ความเข้าใจเน้ือหาสาระของสารนนั้ โดยใหเ้ ข้าใจตรงกับผ้สู ง่ สารใหม้ ากทสี่ ดุ การท่จี ะเขา้ ใจได้นัน้ ผู้ฟัง
ตอ้ งหดั คิดและตีความส่งิ ที่ได้ยิน โดยอาศยั ความรู้ ความคิด ประสบการณ์ และการสังเกต เป็นสิ่งที่
ช่วยในการตคี วาม
๕. การเลือกสรร เป็นข้ันตอนทผ่ี ้รู ับสารจะต้องวิเคราะห์ พินิจพิจารณาสารท่ไี ด้ฟงั อย่างมี
เหตุผลคือในขณะทฟี่ ัง ผฟู้ ังจะตอ้ งรู้จกั คิดตามสารที่ได้ฟงั และพจิ ารณาเลอื กสรรวา่ ข้อความทไ่ี ด้ฟงั น้นั
สว่ นใดเป็นใจความสาคญั เป็นความคิดหลัก ส่วนใดเปน็ ความคิดสนบั สนนุ หรอื รายละเอียดปลีกย่อย
หรือพิจารณาสิง่ ท่ผี พู้ ูดว่าส่ิงใดเปน็ ขอ้ เทจ็ จริงหรือสงิ่ ใดเป็นความคิดเหน็ ของผู้พูด
๖. การปฏิเสธข้อมูลท่ีคลาดเคลือ่ น ข้นั ตอนน้ีเกอื บจะเปน็ ข้ันตอนเดียวกันกับข้นั การ
เลือกสรร เพราะในขณะทฟี่ ังน้ัน เม่อื ผฟู้ ังได้พิจารณาเลือกสรรเนอื้ หาสาระที่สาคัญและมีคุณคา่ ไวแ้ ลว้
ผู้ฟังตอ้ งร้จู กั ตัดสิง่ ทไี่ รส้ าระหรอื ไม่มีความสาคัญได้ด้วย เพราะสมองของคนเรานนั้ ไมส่ ามารถทจ่ี ะ
จดจาทกุ สงิ่ ที่ได้ฟังได้ ฉะน้นั จึงจาเป็นทผี่ ้ฟู งั จะต้องรู้จักเลือกสรรและปฏิเสธข้อมลู บางอยา่ งทีไ่ ม่สาคัญ
เพือ่ ใหส้ มองได้จดจาแต่เฉพาะสง่ิ ทีส่ าคัญไวเ้ ทา่ น้ัน

๑๐๒

๗. การประเมนิ ผล ขัน้ ตอนในการฟังขนั้ น้ี เป็นขนั้ การตัดสนิ คุณค่า ผรู้ บั สารเมอื่ รับสาร
เขา้ ใจ สารนัน้ และรูจ้ ักคัดเลือกสารบางอยา่ ง ร้จู กั ดัดข้อมลู บางอยา่ งทค่ี ลาดเคลอ่ื น ผูฟ้ งั จะต้อง
ประเมินผล และประสบการณข์ องผฟู้ ังเปน็ สาคญั ผูฟ้ งั ที่มคี วามรู้ ความคดิ และประสบการณ์ท่ี
ตา่ งกัน มักจะประเมนิ ผลสง่ิ ทไี่ ด้ฟงั แตกตา่ งกัน

๘. การรวบรวม ผฟู้ ังทดี่ ีต้องรจู้ กั รวบรวมความคดิ และข้อมลู ตา่ งๆ ในขณะทฟ่ี งั แลว้ จัด
ระเบียบความคดิ และเน้อื หาท่ีได้ฟงั ไว้อยา่ งเป็นระบบ การจัดความคิดและข้อมลู เปน็ ระบบชว่ ยให้เรา
จดจาสิ่งทไี่ ด้ฟังน้ันงา่ ยข้นึ

๙. การเกบ็ รักษาจดจาไว้ ขัน้ ตอนในการฟังขน้ั นี้ผ้ฟู งั ไดค้ ัดเลือกประเมนิ ค่าและรวบรวม
ขอ้ มูล ไว้ ผู้ฟังจะต้องรู้จกั เก็บจดจาเนอ้ื หาสาระที่ไดเ้ ลือกสรรและประเมนิ คา่ แลว้ วา่ เป็นส่ิงท่ีมคี ณุ คา่ ไว้
เพ่ือทีจ่ ะไดน้ าไปใช้เปน็ ข้อมูลในการฟัง พดู อ่าน และเขยี น คร้ังตอ่ ๆ ไป ฉะน้นั ในขณะท่ีฟงั น้สี มาธิใน
การฟังจงึ เป็นสิ่งท่จี าเปน็ มาก เพราะการท่จี ะเก็บรักษาจดจาเนื้อหาสาระไดม้ ากเพยี งใดน้ัน
ย่อมขนึ้ อยกู่ ับความต้งั ใจในการฟังน่ันเอง

๑๐. การระลึกได้ ในการฟงั นน้ั เม่ือได้จดจาเนื้อหาสาระทส่ี าคญั ไว้แลว้ ผฟู้ ังตอ้ งสามารถ
ระลกึ ถึงขอ้ มูลท่จี ดจาไว้ได้ทันทีทต่ี ้องการจะใชข้ ้อมูลนน้ั ๆ อาทเิ ชน่ เมื่อเราฟังเน้อื หาสาระเรอ่ื งใด ก็
ตอ้ งจับใจความสาคัญของเรอื่ งนน้ั แล้วจดจาไว้ เมอ่ื ฟงั จบถ้าไมเ่ ข้าใจเนอ้ื หาสาระตอนใด กส็ ามารถที่
จะระลกึ ถึงข้อความหรอื ประเด็นท่ีไมเ่ ขา้ ใจตามผูพ้ ูด เพ่อื ให้ผพู้ ดู ตอบข้อสงสยั หรืออธิบายเพ่ิมเติมหรอื
เมอื่ ฟังแล้วกส็ ามารถระลึกเน้ือหาท่ีได้ฟงั ได้ เม่ือต้องการที่จะสรุปความหรอื ตอบคาถามข้อความในเร่ือง
ที่ได้ฟัง

๑๑. การอนมุ าน เปน็ ขน้ั ปฏิบตั ิทส่ี ืบเน่ืองกันมา กล่าวคือ เมื่อเกบ็ จดจาเนอ้ื หาสาระและ
ระลกึ ถงึ เนื้อหาเหลา่ นั้นได้ ก็ถงึ ขนั้ ท่ีสามารถจะจาเน้ือหาน้ันๆ มาใชเ้ ปน็ ขอ้ อา้ งได้ เชน่ ในขั้นระลกึ ได้
น้ัน เราเพยี งระลึกเน้ือหาท่ไี ด้ฟังได้ เมื่อต้องการทจี่ ะสรุปความหรอื ตอบคาถามในเร่ืองที่ได้ฟงั

๑๒. การสรปุ สาระ ขั้นสุดท้ายของการฟงั ผู้ฟังต้องสามารถสรปุ ความคิดรวบยอดและ
รายละเอยี ดที่สาคญั ได้อย่างครบถ้วน

ขัน้ ตอนในการฟงั ในแตล่ ะขนั้ นั้นเป็นพฤตกิ รรมทผี่ ู้ฟังต้องทาอย่างรวดเรว็ ซ่ึงน่ันหมายถึง
ต้องมีการฝึกทักษะในการฟังเสมอๆ ผู้ฟงั ทีส่ ามารถปฏบิ ัติได้ท้งั ๑๒ ขนั้ ตอนนจี้ งึ เรียกวา่ เปน็ ผฟู้ งั ท่ีมี
ประสิทธิภาพ

ข้อบกพรอ่ งในการฟัง

ผู้ที่จะเปน็ นกั ฟังที่ดีนั้น จะต้องรูจ้ กั สารวจข้อบกพร่องในการฟังของตนเอง เพื่อท่ีจะไดแ้ กไ้ ข
จดุ บกพร่องเหล่านั้น ข้อบกพรอ่ งในการฟังที่สาคัญทาให้เป็นอุปสรรคตอ่ การฟังนนั้ มีดงั น้ี

๑. ไมม่ ีสมาธใิ นการฟงั ผมู้ ขี อ้ บกพร่องในการฟังนั้นมักเปน็ บุคคลท่ไี มส่ ามารถปรับตวั ให้
เขา้ กับสิ่งแวดล้อมในขณะท่ีฟังได้ เช่น เมอื่ อุณหภูมขิ องอากาศร้อนหรอื เย็นมากเกินไป หรอื ขณะท่ี
ฟัง มีเสียงภายนอกรบกวน ก็ไม่สามารถทจี่ ะปรับตวั ใหเ้ ข้ากับสภาพแวดลอ้ ม และไม่สามารถสร้าง
สมาธใิ ห้กบั ตนเองหรอื พยายามเอาใจจดจ่อต่อเร่อื งท่ฟี ังได้

๒. มีทศั นคตทิ ่ีไม่ดีต่อหวั ข้อท่ีฟัง ข้อบกพร่องในการฟงั มักเกิดจากผูฟ้ งั มีทัศนคตทิ ่ีไมด่ ตี ่อ
หัวขอ้ เรือ่ งทไ่ี ด้ฟังว่าเป็นเรื่องนา่ เบอื่ หน่ายไร้สาระ เช่น นสิ ิตที่ไม่ชอบเรียนวิชาภาษาไทยก็มักจะไม่
อยากฟงั คาบรรยายวิชาภาษาไทย เพราะทัศนคตเิ ดิมของตนเองที่ไมช่ อบและเบ่ือหนา่ ยวิชาน้ี

๑๐๓

๓. มที ัศนคตทิ ี่ไม่ดีต่อตวั ผู้พูด สง่ิ ทเ่ี ป็นอปุ สรรคตอ่ การฟังของผฟู้ ังนน้ั กค็ ือทัศนคติ ท่ีไมด่ ีที่
ผูฟ้ ังมตี ่อผพู้ ดู เชน่ ผูฟ้ ังอาจจะไม่ชอบกริ ิยา ท่าทาง การแต่งกาย นา้ เสียง คาพูดหรอื ลลี าการพูด
ของผู้พดู ทาให้แทนทจ่ี ะสนใจในเนื้อหาสาระท่ฟี ังกลบั ค่อยนงั่ นึกตาหนิผพู้ ูดแทน

๔. ไมช่ อบฟังเนอ้ื หาสาระท่ยี าก คนเราสว่ นมากมักจะไม่ชอบฟังหัวขอ้ หรือสาระที่ยากๆ
แตม่ กั จะชอบฟังเรื่องสนกุ สนาน เพลดิ เพลนิ เทา่ น้นั ซง่ึ นบั วา่ เป็นขอ้ บกพร่องอย่างหน่ึงในการฟัง

๕. เสแสรง้ ทาเปน็ ตัง้ ใจฟัง ผู้ฟงั สว่ นมากมักชอบปฏบิ ัติกนั เชน่ นี้ คือมกั จะแสรง้ ทาเป็น
ตง้ั ใจและเข้าใจเรื่องท่ีฟังทั้งๆ ท่คี วามจริงแล้วไม่ไดต้ ั้งใจฟงั เลย

๖. มักจะคดิ เรว็ เกนิ ไปในขณะที่ฟงั แทนทจี่ ะตั้งใจฟังแล้วรวบรวมประมวลความคิดสรปุ
ใจความ หรอื จดจารายละเอียดท่ีสาคญั กลับคิดเกินไปกว่าเรอ่ื งทผ่ี ู้พูดกาลงั พูด

๗. จบั ใจความสาคญั ไมเ่ ป็น ไมส่ ามารถท่จี ะแยกแยะได้ว่าอะไรคือความคิดหลักทผ่ี ู้พูด
ตอ้ งการเสนอ อะไรคือความคิดสนับสนุนทเี่ ปน็ รายละเอยี ดปลีกยอ่ ย และไม่สามารถท่ีจะสรปุ ความคดิ
รวบยอดได้

๘. เป็นคนใจแคบไมย่ อมรับฟงั ความคดิ เหน็ ของผู้อน่ื เมอ่ื ได้ฟังเร่ืองท่ไี ม่สอดคล้องกับ
ความคิดเหน็ ของตนเองจึงไม่พอใจ ไม่เปดิ ใจกว้างคดิ ในหลายๆ แง่ แต่จะคิดเฉพาะท่ีตนรู้เท่านัน้

๙. ชอบฟังแตข่ ้อมูลท่ีเป็นข้อเท็จจริง นกั ฟังประเภทน้มี ีลักษณะในการฟังดีพอควร
เข้าใจแยกแยะวา่ เรื่องท่ีฟังนน้ั สงิ่ ใดเปน็ ข้อเทจ็ จริง สิง่ ใดเป็นขอ้ คิดเห็นของผูพ้ ูดหรือรายละเอียด
ปลกี ย่อยตา่ งๆ แต่นักฟังประเภทน้จี ะชอบฟงั แต่ส่ิงที่เปน็ ข้อเท็จจริงเท่านน้ั

๑๐. ไม่มมี ารยาทในการฟงั ในขณะท่ฟี ังมักจะแสดงอากปั กิริยาที่ไม่เรยี บร้อยจนทาให้เปน็
อุปสรรคต่อการพูดและการฟัง

วิธีปรับปรงุ แก้ไขขอ้ บกพรอ่ งในการฟงั

๑. นิสติ ตอ้ งรูจ้ ักปรบั ตัวเองใหเ้ ข้ากับสิ่งแวดลอ้ ม พยายามตอ่ ตา้ นกับเสยี งที่ดงั รบกวน
หรอื ส่ิงทเี่ ปน็ เคร่ืองทาลายสมาธิในการฟงั เช่น ถา้ มผี ทู้ าเสยี งดงั ใกล้ๆ ห้องท่เี รากาลังฟังอยู่อาจจะปิด
ประตูห้อง หรือขยบั มานงั่ ใกล้ ๆ ผพู้ ดู และตงั้ สมาธทิ าใจให้สงบเพื่อฟังเร่ืองราวต่อไป

๒. นกั ศกึ ษาที่มีทศั นคตไิ ม่ดีต่อหวั ข้อหรือสาระท่ีฟงั กค็ วรทจี่ ะทาใจเสยี ใหม่ โดย
พยายามคิดพิจารณาทบทวนว่า “ผพู้ ูดพยายามพดู อะไรบ้างทเ่ี ราสามารถจะนาไปใช้เป็นประโยชนไ์ ด้”
คาวา่ “ใช้เปน็ ประโยชน์ได้” นส้ี าคัญมาก เพราะเป็นหัวใจของการฟังทเี ดยี ว ผฟู้ ังที่ดีต้องรู้จกั คดิ ค้น
หาขอ้ มูลท่ีได้ฟงั เพ่ือดงึ สาระทีม่ ีคณุ ค่ามาใช้เป็นประโยชน์แกต่ นเองและส่วนรวมได้ และถา้ จะกลา่ วไป
แล้ว “ความสนใจของคนเรานั้นย่อมขน้ึ อยกู่ ับสายตาหรอื ความคิดเห็นของผูเ้ ห็นผู้คิดนน่ั เอง” ฉะนัน้
นสิ ติ ควรจะมองอะไรในแง่ทีเ่ ปน็ ประโยชนไ์ ดม้ าก เพื่อประโยชน์ของตวั นสิ ติ เอง

๓. ถา้ นิสติ มีทัศนคติไม่ดีต่อผู้พดู ก็ควรท่ีจะเปลยี่ นความสนใจจากตัวผู้พูดมามุ่งสนใจแต่
เฉพาะเนอื้ หาสาระท่ผี ู้พดู สื่อสารให้เทา่ น้ัน ไมต่ ้องสนใจกิริยาท่าทาง การแต่งกาย นา้ เสยี ง หรอื คาพูด
ของผู้พูด

๔. การทจี่ ะเป็นนักฟังท่ีดนี น้ั จะตอ้ งพยายามฝึกหัดตนเองใหเ้ ป็นคนทใ่ี ฝห่ าความรู้มาก
ขนึ้ พยายามหดั ฟงั หัวข้อ หรือเนื้อหาสาระท่เี ราไม่เคยฟังมาก่อน แม้วา่ จะเปน็ เร่ืองยากเพียงใดก็
ตาม เพ่ือให้ตัวเราเองเป็นคนท่ีมีความรู้ความคดิ และประสบการณก์ ว้างขวางลึกซ้งึ ยิ่งข้ึน

๑๐๔

๕. ในการฟงั น้ัน ถ้านสิ ิตติดนสิ ัยที่เสแสรง้ ทาเป็นตั้งใจและเข้าใจเร่ืองทฟ่ี งั แลว้ กจ็ ะเป็น
ผลเสยี แกต่ นเอง ฉะนนั้ จึงควรหัดฝกึ ฝนตัวเองเสียใหมโ่ ดยบังคบั ตนให้สนใจเพ่งเล็งเฉพาะเร่อื งที่ฟังนั่น
คอื ควบคุมตนเองให้มสี มาธิในการฟงั วิธีปรบั ปรงุ ขอ้ บกพร่องขอ้ นีจ้ ึงต้องสัมพันธก์ บั วิธีการในขอ้ ท่ี ๑

๖. คนเรานั้นปกติแล้วความเร็วท่ีเราพดู อยู่ประมาณ ๑๒๕ – ๑๗๕ คาตอ่ นาที แต่
ความคดิ ของเราจะไปไดเ้ ร็วถึง ๔๐๐ คาต่อนาที จงึ ทาให้ผู้ฟังมักจะคดิ เร็วกวา่ ผพู้ ดู คดิ เกนิ หรือคดิ
นอกเร่ืองท่ผี ู้พูดพูด ทาให้บางครงั้ กลับมาฟังผู้พูดพูดไมท่ นั หรือทาให้ไมไ่ ด้ฟังข้อความบางอย่างเปน็ ผล
ให้สรปุ ความความผิดพลาดได้ ผูฟ้ งั จงึ ควรท่จี ะฟังและตดิ ตามเรอ่ื งท่ไี ด้ฟังไปทีละข้นั พยายาม
วเิ คราะหเ์ ร่อื งราวน้ันทีละประเดน็ อยา่ คดิ เกนิ กาลงั ฟงั อยู่

๗. หลีกเลยี่ ง ไม่ปฏิบัตสิ ง่ิ ที่ข้อบกพร่องในการฟังทุกประการ เพราะข้อบกพร่องเหล่านัน้
จะเปน็ สง่ิ ที่ทาใหก้ ารฟังของเราเปน็ ไปอย่างไมม่ ปี ระสทิ ธิภาพ

๘. รู้จกั ใช้วิจารณญาณในการฟัง คือร้จู กั ใช้สตปิ ญั ญาของตนสันนษิ ฐานเหตุผล โดยใช้
ความรคู้ วามคิด และประสบการณท์ ี่มชี ว่ ยไตร่ตรองพจิ ารณาถึงข้อเทจ็ จรงิ ทไ่ี ด้ฟงั วา่ มเี หตผุ ลที่เป็นไปได้
นา่ เชอ่ื ถือเพยี งใด มสี งิ่ ใดท่ีแอบแฝงอยู่เบ้ือหลัง หยงั่ ดูอุดมการณ์ เจตนาและความสจุ ริตใจของผู้พดู
พจิ ารณาเนื้อหาสาระวา่ ให้ความเจริญงอกงามและสรา้ งสรรคเ์ พยี งใด

๙. นักฟังทด่ี จี ะต้องการตอบสนองทง้ั เชิงวจั นะและอวจั นะต่อผู้พูด เพราะถา้ คิดในทางท่ี
กลบั กัน คือถ้าเราเปน็ ผู้พูดเรากต็ อ้ งการการตอบสนองจากผูฟ้ ัง เช่น การพยกั หนา้ การย้ิมแยม้
แจม่ ใส แสดงความพอใจในคาพดู ของเรา หรือคาถามต่างๆ ท่แี สดงถงึ ความสนใจ ฉะนน้ั ในฐานะที่
เราเปน็ ผู้ฟัง เราก็ควรพยายามตอบสนองผู้พดู บ้าง ลักษณะการตอบสนองนัน้ ควรเหมาะสมแก่
กาลเทศะและสถานการณ์ เช่น นกึ อยากจะถามผู้พดู ก็ถามโพล่งออกมากลางคันในขณะทผี่ ู้พูดพูดอยู่
ลกั ษณะเชน่ น้ีเป็นการตอบสนองท่ผี ดิ กาลเทศะ จึงไมพ่ ึงควรกระทา

นอกจากน้ันการตอบสนองของเราต้องกระทาอย่างรวดเรว็ และให้ผ้พู ดู รบั รกู้ ารตอบสนอง
นั้นอยา่ งชัดเจน ไม่คลมุ เครือหรอื ก่อให้เกดิ ความเข้าใจผดิ เช่น แสรง้ ทาเป็นเข้าใจพยักหน้าคลอ้ ย
ตามท่ีผู้พดู ทั้งๆ ทเี่ ราไม่ได้ตั้งใจฟังเลยวา่ ผพู้ ูดพูดอะไร ลกั ษณะการตอบสนองเช่นน้ีทาให้ผ้พู ูดเกดิ
ความเขา้ ใจผดิ ได้ แตเ่ ราก็ไมค่ วรมกี ารตอบสนองทีเ่ ป็นไปในทางลบ คอื ไม่เกิดผลดที งั้ แกผ่ ู้ฟังและผู้
พดู เชน่ อาจทาใหเ้ กดิ ความไม่พอใจหรือบาดหมางใจกนั

การตรวจสอบความก้าวหนา้ ในการฟัง

ในการฝึกทกั ษะการฟงั น้ัน ผ้ฝู กึ ควรตรวจสอบผลของกลวธิ ใี นการฝึกและทดสอบความ
ก้าวหนา้ ของตัวเองดว้ ยวา่ มีพัฒนาการในการฟังขน้ึ เพียงใด วิธกี ารทดสอบก็พจิ ารณาตัวเองเปน็ เวลาสัก
๑ สัปดาห์ หรอื มากกว่านน้ั ว่าเม่ือไดฝ้ ึกทักษะการฟังโดยสมา่ เสมอแล้ว ไดป้ ระสบผล
สาฤทธ์เิ พียงใด

อกี วิธีหนึ่งก็ใช้วิธีเปรยี บเทยี บตัวเราเองกบั ตวั อยา่ งผู้ฟังที่ดที ่สี ดุ ทีเ่ รารู้จัก ตรวจสอบดูว่า
ทาไมเขาจงึ เปน็ นักฟังที่ดี เขากับเราต่างกันทีต่ รงไหน เราสามารถท่ีจะนากลวิธขี องเขามาใช้ได้
หรือไม่ แลว้ ทดลองปฏบิ ตั ิสัก ๑ สัปดาห์หรือมากกวา่ นัน้ แล้วดูว่าเราจะก้าวหน้าข้ึนหรือไมโ่ ดย
พิจารณาเปรยี บเทียบเป็นวนั ๆ ไป

สิง่ สาคัญท่สี ดุ ในการฝกึ ทักษะก็คอื ผ้ฝู ึกจะตอ้ งเขา้ ใจว่าการฟังทด่ี นี ้นั ต้องอาศยั ทักษะต่างๆ
ประกอบกันดว้ ย ทง้ั ทักษะการพูด การอา่ น การเขียน การคดิ และต้องอาศัยความอดทนหมนั่ ฝึกฝน

๑๐๕

เสมอจนเป็นนสิ ยั และเม่ือเรามคี วามต้ังใจจรงิ เรากจ็ ะประสบผลสาเรจ็ เปน็ “นกั ฟังทีม่ ีประสทิ ธิภาพ”
ในทสี่ ุด

หนงั สืออา้ งองิ

ดนัย ไชยโยธา. หลักการเรียนการสอนในสภาการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ:โอ.เอส พริน้ ต้ิงเฮาส์,๒๕๒๔.
ฐติ ิรัตน์ ลดาวลั ย,์ ม.ล. การใช้ภาษาไทย. พิมพค์ รัง้ ที่ ๒ . กรุงเทพมหานคร : ภาควชิ าศลิ ปศาสตร์:

มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ , ๒๕๓๐.
เถกงิ กจิ แก้วเสน่ห์. อา่ นอ่างไรอ่านให้ดี. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๓๘.
สมบัติ จาปาเงนิ และสาเนยี ง มณกี าญจน.์ หลกั นกั อา่ น. กรงุ เทพฯ: ตอ้ อ้อ, ๒๕๓๙.

กจิ กรรม/แบบฝึกหดั ทา้ ยบทท่ี ๖

ตอนที่ ๑ คำสั่ง จงเตมิ คาลงในช่องวา่ งต่อไปนใี้ หส้ มบรู ณ์
๑. การอา่ นเพ่ือทาตามคาแนะนาในข้อความหรือหนังสือเรียกว่าอา่ นเพ่อื ...............................

๑๐๖

๒. กระบวนการรบั สาร(Inputting)อย่างหนึ่งคอื ...........................................................
๓. ขน้ั แรกของการฟังเรยี กว่า.........................................................................................
๔. การทาเปน็ ต้งั ใจฟังแล้วเวลาถามไม่รู้อะไร เรียกวา่ .............................................................
๕. คนเราปกติพูดอยูป่ ระมาณ...............คาต่อนาที แตค่ วามคิดไปเร็วถึง........................คาตอ่

นาท.ี ................................

ตอนที่ ๒ คำส่งั จงตอบคาถามต่อไปนี้ ตามความเข้าใจของนิสติ ท่ไี ด้เรยี นมา ในบทนี้

๑. คนเราทกุ วนั ฟังเพ่ืออะไร จงอธบิ ายมาใหเ้ ขา้ ใจ ?
๒. การฟังเพื่อศึกษาคน้ ควา้ หมายความว่าอย่าไร จงอธบิ าย ?
๓. มวี ิธกี ารฟงั เพอ่ื ให้เข้าใจอย่างไร บอกมาพรอ้ มอธิบาย ?
๔. ถา้ เรามีข้อบกพร่องในการฟัง มีวิธีอะไรในการแก้ไข อธิบาย ?

*************

บทท่ี ๗

การบันทกึ ขอ้ มูล

๑. การทาบันทกึ

คือบนั ทกึ จากการอา่ นครั้งแรก ยงั มิใชบ่ ันทึกถาวร สาหรบั ช่วยจา บันทกึ ย่อยยังอาจมี
ข้อสรปุ ที่ผิดพลาดได้ บันทึกย่อยมปี ระโยชน์ในแง่ท่ีบนั ทึก ความคดิ และความเข้าใจครั้งแรกของเรา
เปน็ การป้องกันมิใหป้ ฏิกริ ยิ าครั้งแรกนี้เลือนหายไป
บนั ทึกน้ีอาจเป็นส่ิงรบกวนกระแสความคดิ และรบกวนความคลอ่ งตัวในการกวาดสายตา ในการอ่าน
คร้ังต่อๆ ไปได้ ถา้ หากผอู้ า่ นไม่รวู้ ิธที เ่ี หมาะสม ผอู้ ่านที่ไม่ตอ้ งการกระแสความคิดและความ
เพลดิ เพลนิ ชะงักลง มักไม่ทาบนั ทกึ ย่อย แตท่ าบนั ทึกย่อเม่ืออ่านจบทเี่ ดยี ว สาหรบั นักศกึ ษาทีย่ ัง
ไม่ชดั เจนด้านการอา่ น การทาบนั ทกึ รวบยอดเพยี งครั้งเดียวยงั ยากอยู่จงึ ควรฝึกไปตามลาดับกอ่ น

การบนั ทกึ ยอ่ ยทาได้ดังน้ี๑
ในกรณที ี่อา่ นหนงั สือของผู้อ่นื นสิ ติ พึงมีมารยาทในการรักษาสมบัติของผู้อื่นโดยการไมข่ ีด
เขยี นลงไปบนหนังสือ แตล่ ะคนควรมีสมดุ หรือบตั รบนั ทึกของตนเอง ในกรณที ่ีอา่ นหนังสอื ของตนเอง
ไมค่ วรจะเสียดายทจี่ ะเขยี นสิ่งทมี่ ีประโยชน์ลงไปเท่าที่จาเป็น โดยปฏบิ ตั ิดงั นี้
๑.๑ ใชท้ ่วี า่ งดา้ นซ้ายหรอื ด้านขวาของหนา้ หนังสอื หรือเอกสารสาหรบั บนั ทึกคา วลสี าคญั ๆ
หรือหัวขอ้ สั้นๆ ซ่ึงครอบคลุมข้อความในย่อหน้าหรือกล่มุ ยอ่ หน้า นิสติ อาจบนั ทึกคาถามสน้ั ๆ ใส่
เคร่ืองหมายคาถามหรือเขียนบันทึกความคดิ ตลอดจนชอื่ บคุ คล สถานทีแ่ ละแหล่งข้อมูลท่ีเก่ยี วข้อง
๑.๒ ใชท้ ี่ว่างด้านบนสาหรบั เขียนสรปุ แนวความคิดจากหนา้ น้นั หรอื จากหน้าทผ่ี า่ นมา
๑.๓ ใช้ทีว่ า่ งด้านล่างสาหรับคาถามท่ียังหาคาตออบไม่พบ หรอื เขยี นข้อคิดเห็นของ
บุคคลอ่นื ๆ ที่ได้อา่ นได้ฟังมา
การทีผ่ อู้ ่านจะบนั ทึกย่อย ต้องอ่านและคดิ ให้เข้าใจเนอ้ื ความสว่ นใหญ่เสียกอ่ น มิฉะนนั้ บันทกึ
อาจมแี ต่คาถาม และบันทึกผิดพลาด สรปุ ไม่ตรงเป้าหมายทแ่ี ท้จรงิ ของผู้เขียน เมอ่ื กลับ มาอ่าน
บันทกึ เพ่ือทบทวนก็อาจได้ข้อมูลและความคดิ ท่บี ิดเบอื นไว้โดยไม่เจตนา ผ้อู า่ นจึงต้องทดสอบตัวเอง
ขณะอ่านตามแนวทางต่อไปน้ี๒
ก. รวู้ า่ เรื่องท่ีอา่ นนั้นเปน็ เร่ืองเกี่ยวกบั อะไร (ตามความหมายโดยตรงและความหมายโดยนยั )
ข. อ่านไปไดป้ ระโยชนอ์ ยา่ งไร หรอื อ่านไปเพื่ออะไร
ค. สว่ นขยายหรอื ตัวอยา่ งต่างๆ ช่วยให้เข้าใจเร่ืองราวได้ดีขึ้นหรือไม่

๑ hjhjghjgjyj


๑๑๑

ง. ขอ้ มูลเปน็ ความจริงหรือเทจ็ ความคิดดีมีเหตุผลถกู ตอ้ งหรือไม่ จะเหน็ ได้ว่าผอู้ ่านต้องอ่าน
อยา่ งต้ังใจจึงจะสามารถทอสอบตัวเองได้ ผทู้ ไี่ ม่ชานาญการอาจจะต้องอา่ นข้อความอย่างนอ้ ย ๒
ครง้ั จึงจะทาบันทกึ ย่อยเพ่ือรวบรวมขอ้ มูลและความคิดสาหรบั ทาบนั ทึกย่อลงบตั รต่อไป

จ. ถา้ อ่านแลว้ ยงั ไม่มีสาระใดๆ เปน็ เหตใุ ห้ต้องปฏิบตั ิตามข้อแนะนาดังกล่าว ก็ไมต่ ้องทา
เพราะขอ้ เขยี นบางชิ้นอาจต้องอ่านไปจนจบตอนกอ่ นจะเกิดความคิดคาถามหรอื สรุปได้ การแบ่งพน้ื ที่น้ี
ก็เพื่อให้เจา้ ของบนั ทึกไมส่ ับสนปนเปว่าบนั ทกึ สว่ นใดมมี าอยา่ งไร นอกจากน้นั เม่ือกลับมาอ่าน
ทบทวนผอู้ า่ นอาจเลือกอ่านเฉพาะส่วนท่ีต้องการได้ทนั ที

๒. ระบบการอ่านเพื่อบันทึก

ระบบการอ่านเพื่อบันทกึ ย่อยมีแนวทางดงั ต่อไปนี้
๒.๑ ในการอา่ นคร้งั แรก ให้พลกิ ดสู ิง่ ท่จี ะอ่านอย่างคร่าวๆ ก่อนวา่ นา่ จะได้ประโยชน์ตรง

ตามวตั ถปุ ระสงคห์ รอื ไม่ จะต้องอ่านทัง้ เลม่ หรือเพยี งบางส่วน เมื่อพอทราบวา่ จะอา่ นเท่าใด กใ็ ห้
อา่ นตอนนาและตอนสรปุ ของเนือ้ หานัน้ เพื่อให้ไดแ้ นวคิดคร่าวๆ ก่อน

๒.๒ อา่ นหวั ข้อใหญ่และหวั ขอ้ ย่อยทั้งหมดอยา่ งรวดเร็ว เพ่อื ให้ทราบลาดบั การคิด หากอ่าน
ทั้งเลม่ ใหด้ ทู ่ีสารบัญก่อน หากเป็นข้อความท่ีไม่มีหวั ข้อย่อยใหอ้ ่านประโยคต้นและประโยคท้ายของแต่
ละยอ่ หนา้ ซ่ึงมักจะเปน็ ประโยคในความสาคญั และประโยคสรปุ อย่แู ลว้ หรอื อ่านย่อหน้าแรกหรือย่อ
หนา้ สดุ ท้ายของกลมุ่ ย่อหน้า แลว้ แตค่ วามยาวและลกั ษณะโครงสรา้ งของขอ้ ความนัน้

๒.๓ เรม่ิ อา่ นแต่ต้นใหม่ อา่ นอย่างศึกษา และบนั ทกึ ยอ่ ยไวด้ งั แนวทางดงั ต่อไปนี้
๒.๓.๑ หากขดี เขียนในหนังสอื ใหใ้ ช้ดินสอเบาๆ
๒.๓.๒ ขีดเสน้ ใต้หรือทาเครื่องหมายอย่างใดอยา่ งหนึง่ ทคี่ าและข้อความท่ผี ู้เขียนยา้

เป็นพิเศษ แต่อาจมิได้พมิ พ์ด้วยตวั เอนหรือทาเครอื่ งหมายที่พิเศษไวห้ รือทา เครื่องหมายท่ผี ู้อ่านคิดว่า
สาคัญ

๒.๓.๓ หากมีการลาดับเร่ืองราวตามเวลา ลาดับตามพวกหรือประเภท ลาดบั ตาม
พืน้ ท่ี หรอื ลาดับตามเหตแุ ละผล โดยทีผ่ เู้ ขียนมิไดล้ าดบั ไว้ใหเ้ รยี บร้อย ผู้อ่านต้องลงหมายเลขกากบั เอง
และโยงเหตุผลเข้าดว้ ยกันให้เหมาะสม

๒.๓.๔ ทาบนั ทึกยอ่ ยตามขอ้ สามต่อไปนี้

๓. การทาบนั ทึกยอ่

ในการอา่ นเพ่ือจดุ ประสงคอ์ นื่ ๆ น้นั ผ้อู ่านอาจทาแตเ่ พียงบันทึกยอ่ ยเพ่ือชว่ ยให้อา่ น
เข้าใจและกันลืมเท่าน้นั แต่หากอา่ นเพ่ือการศึกษาการบันทกึ ย่อยยังไมน่ ับเป็นจดุ ส้ินสุดของการอ่าน
อยา่ งสมบูรณ์ ผู้ศกึ ษาควรบนั ทกึ ย่อลงบัตรไวใ้ ห้เรียบร้อยทุกครั้ง ไม่วา่ จะอ่านก่คี ร้ังก็ตาม เพราะเมอ่ื
อ่านใหม่ย่อมไดค้ วามคิดใหม่ ความร้ใู หมเ่ พ่ิมข้นึ กวา่ เดิม ขอ้ วเิ คราะห์วิจารณก์ ็มักจะลึกซ้ึงข้ึนตามวัย
และความเจนจัดของชวี ิต

๓.๑ ระบบการอา่ นและการทาบนั ทึกยอ่ ลงบตั ร
๓.๑.๑ ขนาดของบัตรทีใ่ ช้บนั ทึกนน้ั ขน้ึ อยู่กบั ความสะดวกของแต่ละบุคคล เช่น

ขนาด ๓” x ๕” , ๔” x ๖” หรอื ๕” x ๘” ก็ได้ แตเ่ ม่ือเลือกขนาดใดแล้วควรใชข้ นาดนนั้ ตลอดไป
เพ่ือสะดวกในการเกบ็ ใส่กล่อง เรามกั จะพบว่านักวชิ าการมักจะมบี ัตรติดตัวไว้เสมอ เพื่อความรวดเรว็ ใน
การบันทกึ หากไมจ่ ดทนั ทเี ม่ือเวลาลว่ งไปอาจจะไมไ่ ด้บนั ทึกเลย หรือไม่ก็ลืมรายละเอยี ดบางประการ
บัตรเหลา่ น้ีจะถูกเก็บสะสมไว้เรือ่ ยๆ ในกล่องโดยเรยี งลาดับประเภทหนังสอื และเรยี งย่อยตามลาดบั

๑๑๒

อักษร ชื่อผู้แต่งในลักษณะเดียวกบั บัตรรายการในห้องสมุด บตั รเหลา่ นจ้ี ะเป็นเสมือนคลังความรูท้ ่ี
จะรื้อฟน้ื ขึ้นมาและอา่ นเพ่มิ เตมิ ได้ทนั ที เปน็ การแบ่งเบาภาระสมองไปในตวั ด้วย

๓.๑.๒ กอ่ นการบนั ทึกย่อ ให้เขียนบรรณลกั ษณ์ (รายละเอยี ดเก่ียวกับหนังสือ)
ไว้ตอนบนของบัตร เพ่อื ความสะดวกในการเกบ็ บตั รและคน้ บัตรมาบันทกึ เพ่ิมเติมหรือดาเนนิ การอน่ื ๆ
ใหเ้ ขียนเลขหมหู่ นงั สือและห้องสมุดหรือแหล่งที่อ่านหนังสือเล่มนนั้ ที่มุมลา่ งดา้ นซา้ ยของบัตร ส่วนมุม
บนใช้เลขหวั หนังสอื หมวดวชิ าของเร่ืองอา่ น

๓.๑.๓ เม่อื อ่านข้อความทส่ี มบูรณจ์ บตอนหน่งึ ไม่ว่าจะสนั้ หรอื ยาวก็ตาม ให้
สรุปแนวคดิ ต่างๆ จากบนั ทึกย่อยเป็นข้อความหรือเปน็ ข้อๆ ก็ได้ เขียนไว้ในบัตรถัดลงมาจากบรรณ
ลักษณ์

๓.๑.๔ การสรปุ แตล่ ะครง้ั ให้บนั ทึกตามเนอ้ื หาของเร่ืองก่อนแลว้ จงึ บันทึก
ความรแู้ ละความเหน็ สนบั สนุน เพิม่ เตมิ หรอื คัดค้านอย่างมเี หตผุ ล นักอ่านบางคนจะใชป้ ากกาต่างสี
เพื่อบันทกึ หลังการอา่ นแต่ละครั้ง เพือ่ ความเดน่ ชัดและรวดเร็วในการสงั เกตพฒั นาการความคดิ ของตน

๓.๑.๕ บันทึกความหมายหรือคุณค่าสาหรบั ตนเอง
๓.๑.๖ บนั ทกึ วา่ อาจมีประโยชน์ต่อผอู้ ่านอื่นๆ อย่างไรบ้าง
๓.๑.๗ หากมกี ารเปรยี บเทียบหรือเกยี่ วโยงความสมั พันธร์ ะหว่างข้อมูลและความคดิ
(เหตุการณ์ สิง่ ของ บุคคล ประเด็นต่างๆ ) โดยผู้เขียนมไิ ด้ทาแผนภูมิให้ชัดเจน ผ้อู า่ นอาจสร้างแผนภมู ิ
ข้ึนใหม่ใหต้ นเองเข้าใจ และอาจใช้อธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจไดด้ ้วย การสรา้ งแผนภมู ินับว่าเปน็ การสรปุ รวบ
ยอดที่สมบูรณ์ครอบคลุมเนื้อหาสาระทั้งหมด หากพยายามสร้างแผนภมู ิ แต่ปรากฏวา่ ไมส่ มบรู ณ์
ผ้อู ่านจะได้รวู้ า่ ตนเองอา่ นไม่ละเอยี ดพอ หรือไมเ่ ขา้ ใจเรื่องราวอย่างแทจ้ รงิ โดยอาจพลาดประเดน็
หรือตอนสาคัญบางประการไป เม่ือเปน็ ดังน้นั ก็จาเปน็ ต้องอ่านทบทวนใหม่และสร้างแผนภมู ิทีส่ มบูรณ์
ขึ้นได้

๓.๑.๘ อา่ นบันทกึ เม่ือจดเสร็จแล้วตอ้ งอ่านและตรวจสอบอีกครงั้ ถ้ายังคลุม
เครือตนเองอ่านไม่เข้าใจและไม่ตรงกับขอ้ เทจ็ จริง ตอ้ งอ่านซา้ อีก

๓.๑.๙ ถ้ามีโอกาสควรนาเรอื่ งท่ีอา่ นนั้นไปสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพ่อื น
เพื่อค้นหาข้อมลู เพิม่ เตมิ และทดสอบความถกู ต้อง

ตวั อย่างบัตรบนั ทึกยอ่

คมนาคม : ขนส่งทางถนน
วชิ าการและการวางแผน , กอง กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม , รายงาน

การศึกษาวเิ คราะห์และเปรยี บเทยี บผลการสารวจประมาณการขนส่ง
ทางถนน ปี 2524 – 2529.. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ , 2524. 99
หนา้ . ภาพประกอบ กราฟ ตาราง.
……………………………………………………….……………………………………………………………………………………
………………………….……………………………………
“………………………………..” (หนา้ ..…)……………………………………………………….
…………………………………………..
หอสมุดกลาง มธ.
เลขหมู่

๑๑๓

วรรณคดไี ทย
องั คาร กลั ยาณพงศ์, กวนี พิ รธ์. กรุงเทพฯ : มูลนธิ เิ สฐียรโกเศศ – นาคะประทปี

, 2522 205 หนา้

๔. การเขยี น แม่นยา
จดไว้
หาความรเู้ ร่งให้ ตนดุจ ห้องสมดุ
ลมื ย่อมแก้ดว้ ยจา ชอบใชช้ าญเขียน
จามากนักจักทา
การจดจ่งึ ต้องให้

จากโครงสี่สุภาพนี้ แสดงใหท้ ราบถงึ ความสาคัญของการเขียนได้เปน็ อยา่ งดี การเขียนจงึ เปน็ อีก
ทกั ษะหนึ่งทางภาษาที่ต้องอาศยั การฝึกฝนบ่อย ๆ จนเกดิ ความเชี่ยวชาญ การมีความรู้เบื้องต้นเกีย่ วกบั
การเขียนกจ็ ะทาให้เกิดความเข้าใจและลงมือเขียนไดง้ ่ายขนึ้ เพราะได้ทราบแนวทางการเขียนก่อนท่จี ะ
ลงมอื ปฏบิ ตั ิจริง

๑. ความหมายของการเขยี น

การเขียน หมายถึง การถา่ ยทอดความรสู้ กึ นึกคดิ และความต้องการของบุคคลออกมาเปน็
สญั ลักษณ์ คือ ตวั อักษร เพ่ือสอื่ ความหมายใหผ้ ้อู นื่ เข้าใจจากความขา้ งตน้ ทาให้มองเห็นความหมายของ
การเขยี นว่า มคี วามจาเป็นอย่างยิง่ ตอ่ การสอื่ สารในชวี ิตประจาวนั เชน่ นักเรียน ใชก้ ารเขยี นบนั ทึก
ความรู้ ทาแบบฝกึ หัดและตอบขอ้ สอบบคุ คลทว่ั ไป ใชก้ ารเขียนจดหมาย ทาสัญญา พินัยกรรมและคา้
ประกัน เปน็ ต้น พ่อค้า ใชก้ ารเขยี นเพ่ือโฆษณาสนิ คา้ ทาบัญชี ใบส่งั ของ ทาใบเสรจ็ รับเงิน แพทย์ ใช้
บนั ทึกประวตั ิคนไขเ้ ขยี นใบส่งั ยาและอื่นๆ เปน็ ต้น

๒. ความสาคญั ของการเขยี นและประโยชน์ทไี่ ดร้ ับ

นอกจากมีความจาเปน็ ดังกลา่ วแลว้ อาจกล่าวถึงความสาคัญของการเขียนโดยสรปุ ได้
ดงั นี้

๑. เป็นเคร่ืองมือส่อื สารอยา่ งหนง่ึ ของมนษุ ย์ ท่ีต้องการถา่ ยทอดความคิดความเข้าใจ และ
ประสบการณ์ของตนเองออกเสนอผอู้ า่ น

๒. เป็นการเก็บบันทกึ รวบรวมข้อมูล ที่ตนไดม้ ีประสบการณ์มาก่อน
๓. เป็นการระบายอารมณ์อย่างหน่ึง ในเรอ่ื งท่ีผูเ้ ขยี นเกดิ ความรสู้ ึกประทบั ใจหรอื มี
ประสบการณ์
๔. เปน็ เคร่อื งถ่ายทอดมรดกวฒั นธรรม เชน่ ถา่ ยทอดสมยั หนึ่งไปสู่อกี สมยั หน่งึ เป็นตน้
๕. เป็นเครื่องมือพฒั นาสตปิ ัญญา เน่อื งจากการเรียนร้ทู กุ อย่างต้องอาศัยการเขียนเป็น
เคร่ืองมือสาหรบั บันทึกสิ่งท่ีได้ฟงั และได้อ่านและนาไปสู่การพัฒนาสืบไป

๖. เป็นการสนองความต้องการของมนุษย์ตามจดุ ประสงค์ท่ีแต่ละคนปรารถนา เช่น เพือ่
ตอ้ งการทาใหร้ เู้ ร่ืองราว ทาให้รกั ทาใหโ้ กรธและสร้างหรือทาลายความสามัคคีของคนในชาติ

๗. เปน็ การแสดงออกซึ่งภูมปิ ญั ญาของผเู้ ขียน
๘. เปน็ อาชพี อยา่ งหนง่ึ

๑๑๔

๙. เป็นการพฒั นาความสามารถและบุคลกิ ภาพ ทาให้บุคคลมีความเช่อื มนั่ ในตวั เองในการ
แสดงความรู้สกึ และแนวคดิ

๑๐. เป็นการพัฒนาความคิดสรา้ งสรรค์ และใช้เวลาวา่ งให้เป็นประโยชนต์ อ่ ตนเองและสังคม

๓. จุดมงุ่ หมายของการเขยี น

เน่ืองจากการเขยี นมคี วามสาคัญต่อบคุ คลมากตามท่กี ลา่ วมาแล้ว ดังนน้ั การเขยี นจงึ มี
จดุ มุ่งหมายต่างๆหลายประการดงั นี้

๑. เพ่ือคดั ลายมือ
๒. เพ่ือฝึกทักษะ
๓. เพ่ือสะกดคาถูกตอ้ ง

๔. เพอื่ ใหร้ ู้จักเลือกภาษา ในการเขียนทเ่ี หมาะสมกับบุคคลและโอกาส
๕. เพื่อใหส้ ามารถรวบรวมและลาดับความคิด แลว้ จดบนั ทกึ สรปุ และย่อใจความเรอื่ งที่อ่าน
หรอื ฟงั ได้
๖. เพ่ือถา่ ยทอดให้มจี นิ ตนาการ ทาใหเ้ กิดความคิดสรา้ งสรรค์และความรูส้ กึ นึกคิดทีด่ ี
๗. เพื่อให้สงั เกต จดจาและเลือกเฟ้นถอ้ ยคา สานวนโวหารให้ถูกต้องตามหลักภาษาและสื่อ
ความให้ตรงตามทตี่ ้องการ
๘. เพื่อใหม้ ีทักษะการเขียนประเภทต่างๆ สามารถนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้
๙. เพ่อื ใชเ้ วลาวา่ งให้เปน็ ประโยชน์
๑๐. เพอ่ื ใหเ้ หน็ ความสาคญั และคณุ ค่าของการเขียนว่ามีประโยชน์ อย่างแท้จริง

๔. องค์ประกอบของการเขียน

การเขียนเป็นการส่ือสารท่มี ีองค์ประกอบ ๔ ประการคือ
๑. ผู้เขยี น (ผสู้ ่งสาร)
๒. ภาษา (สาร)
๓. เคร่อื งมือทาให้เกดิ สาร (เช่น อักษร ดนิ สอ สมดุ ฯลฯ)
๔. ผู้อา่ น (ผู้รบั สาร)

๕.. ลักษณะผเู้ ขยี น

ผู้เขียนนับเปน็ องค์ประกอบท่สี าคญั โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความคิดของผ้เู ขยี นเปน็ จดุ กาเนิด
ท่ีทาให้เกดิ การเขยี นขน้ึ ดังน้ันจงึ กลา่ วถึง ลกั ษณะของผ้เู ขียน ได้ดงั น้ี

๑. มีความคิดรเิ ร่มิ สร้างสรรค์ และจินตนาการ
๒. มคี วามรอบรู้ เพราะความรเู้ ปรยี บเสมือนวัตถดุ บิ

๓. เลือกเนื้อหาและใช้ภาษาไดถ้ ูกตอ้ ง และเหมาะสมตามหลกั การใช้ภาษา
๔. หลกี เลี่ยงการแสดงความคิดเหน็ ทจี่ ะทาให้ผอู้ ื่นหรือตัวเองเดือดร้อน
๕. ลกั ษณะทา่ ทาง ผู้เขยี นนอกจากมีความคดิ ความรู้ และความสามารถบุคลิกลกั ษณะ
ท่าทางในการนง่ั การวางมอื การจบั ปากกาดินสอผเู้ ขียนต้องเข้าใจและปฏบิ ัติให้ถกู ต้องเพอ่ื สขุ ภาพของ
ผเู้ ขียนเอง

๖. ลายมอื ของผู้เขียน เขยี นใหถ้ ูกต้อง เปน็ ระเบยี บ สะอาดและชดั เจน

๑๑๕

๗. จรรยาบรรณผู้เขียน หมายถงึ มารยาท เช่น การให้เกยี รตนิ ักเขียนโดยลงช่อื เจา้ ของ
ผลงานท่เี ราลอกหรือเอาแนวคดิ ของเขามาทุกคร้งั

6. ภาษาท่ีใช้ในการเขียน

ภาษาไทยมีลักษณะการใชแ้ ตกต่างกัน ซึ่งมอี งค์ประกอบหลายประการเช่น ฐานะทาง
เศรษฐกจิ ฐานะทางสงั คมชาตวิ ฒุ ิ วยั วุฒิ หรอื ประสบการณ์ แตโ่ ดยทั่วไปไดจ้ าแนกภาษาไทย เป็น ๓
ระดบั คือ ภาษาปากภาษากึ่งแบบแผนและภาษาแบบแผน ภาษาไทยทัง้ ๓ ระดบั นี้เปน็ ท้ังภาษาพดู และ
ภาษาเขยี น ในทน่ี จี้ ะกลา่ วเฉพาะภาษาทีใ่ ชส้ าหรบั เขยี น ดงั น้ี

ภาษาปาก สว่ นใหญเ่ ปน็ ภาษาพูดมากกวา่ เขยี น เช่น ภาษาท้องถ่ิน ภาษาแสลง เมือ่
กล่าวถึงภาษาปากทใ่ี ช้เขยี น จงึ หมายถึง การเขยี นท่ีใชส้ านวนพดู กบั บุคคลที่คุ้นเคย เช่น

๑. บทลอ้ คอื บทเขยี นที่พูดยั่วเย้าเลน่ เฉพาะเปน็ กลมุ่ ท่สี นทิ กัน
๒. นิทาน เรื่องสั้น บทละคร ข้อเขียนในนวนยิ าย
๓. บนั ทกึ ส่วนตัว

๔. จดหมายส่วนตัว ถึงเพอ่ื นทส่ี นิท
๕. เขยี นรายงานข่าว สังคม กีฬา ธุรกจิ และบนั เทิง
ภาษากึง่ แบบแผน เป็นท้งั ภาษาพดู และภาษาเขยี นในการเขียนทใี่ ชภ้ าษากง่ึ แบบแผน
หมายถงึ การใชภ้ าษาเขียนสาหรบั บคุ คลท่ีไมค่ ุ้นเคยกนั มาก่อนและเปน็ พธิ ีรตี องภาษากึ่งแบบแผนทีใ่ ช้
กนั โดยท่ัวไปมดี ังนี้
๑. บทความต่างๆ ขา่ วทัว่ ไป ในสื่อมวลชน
๒. จดหมายธุรการ เป็นจดหมายส่วนตวั ที่ไม่คนุ้ เคย
๓. ประกาศ เช่น ประกาศของหา้ งรา้ น องค์การ ฯลฯ
๔. ขอ้ เขียนในวารสาร นิตยสาร
๕. นวนยิ าย เรอื่ งส้นั
๖. บทละคร บทวจิ ารณ์
ภาษาแบบแผน เป็นภาษาท่มี ีความมุง่ หมาย สาหรบั เขยี นเฉพาะเรื่อง เชน่ เรยี งความ
จดหมายราชการ เป็นตน้ ภาษาแบบแผนจึงเปน็ ภาษาท่ีใชเ้ ขียนมากกวา่ พดู ถ้าจะพูดเปน็ การเขยี น
สาหรบั พูดอยา่ งมีพิธีรตี อง เช่น สุนทรพจน์ โอวาท เป็นต้น อาจแบ่งเป็น 2 แบบดงั น้ี เขยี นเพ่อื พูด เชน่
๑. โอวาท ปาฐกถา สนุ ทรพจน์
๒. คาปราศรัย ของบคุ คลสาคญั ในโอกาสต่างๆ
๓. คากล่าวที่เปน็ พิธกี าร เช่น ข้อเขยี น กลา่ วเปดิ ปิดการประชมุ ฯลฯ เป็นต้น
๔. เอกสารประกอบการเขียน เชน่ บทความท่ีนามาอา้ งองิ เขยี นเพื่อใช้อ่าน ดงั นี้

• บทความ
• วรรณกรรมประเภทสารคดี
• บทวจิ ารณ์
• คานาหนังสือ
• แบบเรยี น
• หนงั สือตารา
• ขอ้ เขยี นเกีย่ วกบั วชิ าการสาขาต่างๆ
• การรายงานทางราชการ

๑๑๖

• ประกาศแจง้ ความทางราชการ
• จดหมายราชการ
• หนงั สอื อา้ งองิ เชน่ พจนานกุ รม สารานกุ รม เป็นต้น
ความร้เู ก่ียวกับระดบั ของภาษานมี้ ีความสาคญั ต่อการเขยี นมากเพราะจะเป็นแนวทางให้
ผเู้ ขียนเลือกใช้ระดับภาษาอย่างเหมาะสมกบั บุคคล จุดมงุ่ หมาย สถานที่ เวลา สถานการณ์ และ
สิง่ แวดล้อม การเลอื กใชร้ ะดบั ภาษาอย่างเหมาะสมจะทาให้เกดิ ประสทิ ธิภาพต่อการส่ือสารทัง้ ดา้ นการ
พดู และการเขยี น

๗. ยอ่ ความ

การย่อความ คอื การเก็บเน้ือความหรือใจความสาคญั ในเรื่องใดเรื่องหนง่ึ อย่างถูกต้อง
ครบบรบิ ูรณต์ ามตัวเรอ่ื งแลว้ นามาเรียบเรยี งใหม่ เป็นข้อความสั้น กะทัดรดั โดยไม่ใหค้ วามหมายเปลย่ี น
แปลงไปจากเดิม

วธิ ียอ่ ความ
๑. อ่านเร่ืองทตี่ อ้ งการยอ่ อย่างละเอียด ด้วยความเป็นกลางหลาย ๆ รอบ ว่าผู้เขยี น

ต้องการเน้นหรอื เสนอเร่อื งอะไร มีความสาคัญอะไรบ้าง
๒. อ่านพิจารณา จบั ใจความสาคัญออกมาบันทึกดว้ ยภาษาทรี่ ดั กุม

๓. นาใจความทัง้ หมดมาเรยี บเรยี งใหม่ ให้เน้อื ความสาคญั กันตามลาดบั
๔. ทบทวนข้อความเรียบเรียงอีกครงั้ ดูความบกพร่องอย่างถีถ่ ว้ นวา่ ความหมายของ

เรื่องตกไปหรือเปลย่ี นไปจากเดิมหรอื ไม่
๕. บทความท่ีนามาย่อ ตอ้ มีการชแ้ี จงท่ีมาของข้อความท่นี ามาย่อ

๘. การเขยี นเรียงความ

การเรียงความ เป็นการนาความคิดเร่อื งใดเรื่องหน่ึง ท่ีผูเ้ ขียนสนใจนามาเรียบเรยี งอย่าง
ชัดเจนใหน้ ่าสนใจโดยอาศยั ข้อเท็จจริง ประกอบความคดิ เห็นของผู้เขยี นใหผ้ ู้อา่ นไดเ้ ข้าใจตามทผ่ี ู้เขยี น
ต้องการขัน้ ตอนการเตรียมการเขยี นเรยี งความ

๑. กาหนดหัวเรอ่ื ง ผูเ้ ขยี นควรเลือกหัวขอ้ ท่ีตนสนใจและมีความรู้ในเร่ืองนนั้ มากที่สดุ
๒. การเลอื กหัวข้อไมค่ วรเลอื กเรื่องท่กี ว้างเกินไป ควรกาหนดขอบเขตเน้อื เรอ่ื งความมุง่
หมาย ในการเขียนให้เฉพาะเจาะจง

๓. การรวบรวมข้อมูลในการวางโครงเร่ือง วธิ ที ี่ดที ่สี ดุ ในการ รวบรวมขอ้ มลู คือการ
เขียนลงในกระดาษไว้ก่อน เพื่อง่ายต่อการวางโครงเร่ืองเพราะจะได้รู้วา่ สว่ นใดท่ีเกนิ ความเป็นจรงิ สว่ น
ใดท่ขี าดสว่ นใดท่คี วรแยกหรือรวมกนั การรวมรวบขอ้ มลู นคี้ ือ

- บันทึกข้อมลู ที่ได้มาจากแหล่งต่างๆ ไวใ้ นกระดาษเอาไว้กอ่ นทง้ั หมด
- คดั เอาเฉพาะท่ีจาเปน็ และสอดคล้องกับหัวขอ้ เรื่องอย่างแท้จริงเท่าน้ันแลว้ จัดลาดบั
ขอ้ มลู เหล่านนั้ อยา่ งมีเหตุผล อธิบายว่าทาไมจงึ จดั เช่นนัน้
๔. การรวบรวมข้อมูลเพ่ือเรียงความทางวชิ าการ เนอื้ เรือ่ งทางวชิ าการนน้ั จะต้องเพ่งเลง็
พิเศษในหัวข้อต่อไปน้ี
- การเกบ็ ข้อมลู จากการอา่ นอย่างกว้างขวาง
- การบนั ทกึ ข้อมูลจากเอกสารและแหล่งความรูอ้ ย่างมรี ะเบียบ
- การอา้ งองิ ในการเรียบเรยี ง เช่น การเขียนเชงิ อรรถ การเขียนบรรณานุกรม เปน็ ต้น

๑๑๗

- การเนน้ เร่อื งข้อเทจ็ จริง หลักฐานอ้างอิง ทฤษฎี และหลกั การต่างๆ
- การใช้ศพั ท์วิชาการ ใช้ประโยคส้ันกระชบั เพื่อความกระจ่าง ตลอดจนการใชภ้ าษาแบบ
แผนและเขยี นแบบอธบิ ายเป็นสว่ นใหญ่
- ข้อคิดเกย่ี วกบั ผ้อู า่ นและมารยาทในการเขียน หากเขยี นดว้ ยลายมือจะต้องชัดเจนอา่ น
สะดวก หากเขยี นไม่ชัดเจน จะเปน็ อปุ สรรคตอ่ ความเขา้ ใจสาร ผเู้ ขียนจะต้องเข้าใจบุคคลแตล่ ะประเภท
ซงึ่ จะเปน็ ผู้อ่านดว้ ย

องค์ประกอบของเรียงความ มีองค์ประกอบ ๓ สว่ นดว้ ยกนั คือ
๑. คานา (การเปิดเรื่อง)
๒. เนอ้ื เร่ือง หรอื เนอ้ื ความ
๓. บทลงทา้ ย (การปิดเรื่อง หรือ บทสรปู )
ข้นั ตอนการเขยี นเรยี งความ
๑. กาหนดความมุ่งหมาย ของเรียงความเร่ืองนัน้
๒. เลือกแบบการเขยี น หรอื โวหารการเขยี นให้สอดคล้องกบั ความมุ่งหมายสาคัญ
๓. หารายละเอียดประกอบ และขยายความประเด็นตา่ งๆ ของโครงเรอื่ ง
๔. กาหนดภาคคานา ภาคเนื้อเร่อื ง และภาคสรปุ

• ภาคคานาควร มลี ักษณะดงั ต่อไปนี้
- ทาให้ผอู้ ่านสนใจ
- แนะหรือบอกความมุ่งหมายหรือแนวของเร่ือง
- ไม่ตั้งตน้ ไกลเกนิ ไป และมแี นวนาเขา้ สูเ่ ร่ือง
- ไม่ยาวเกนิ ไป

• ภาคเน้ือเรื่อง เปน็ ภาคสาคญั ประกอบด้วย
- ข้อมลู ในโครงเรอ่ื ง ซง่ึ เรยี งตามลาดับเวลา ตามพื้นที่ ตามเหตผุ ล หรือตาม

ความสาคญั
- ประกอบดว้ ยย่อหนา้ แต่ละย่อหน้า ท่ีสอื่ ความคิดอยา่ งมปี ระสิทธผิ ล เหมาะสม

ตามความสาคัญของเนื้อเรือ่ ง
- มคี วามสัมพนั ธร์ ะหวา่ งแต่ละประโยค แต่ละย่อหนา้
- มีรายละเอยี ดที่ชดั เจน ขยายความ ประกอบความ และสนับสนุนขอ้ มลู สาคัญให้

ชดั เจนเหมาะสมสอดคล้องกัน
• ภาคจบหรือภาคสรุป การจบมักใช้ ๒ วิธี คอื
- จบดว้ ย การยอ่ คือนาเอาใจความสาคัญ ทีเ่ ป็นสาระอยา่ งแทจ้ รงิ มากล่าวใน

ตอนท้าย ให้ผอู้ า่ นประทบั ใจเปน็ การทบทวนอีกครั้ง
- จบด้วยการสรุปใหต้ รงความม่งุ หมายสาคัญของเรือ่ ง ใชว้ ิธี สรปุ ความ เป็นประโยค

บอกเลา่ หรอื ประโยคคาถาม เปน็ ภาษิต หรอื เป็นคาประพันธท์ ่ีสอดคล้องกบั เนื้อเรื่องก็ไดภ้ าคจบน้ีควร
แยกเปน็ ย่อหน้าหนึ่ง และต้องสรุปความหมายสาคญั เอาไวใ้ นหน้านี้

๙. การจดบนั ทกึ ข้อมลู

วิธีจดบนั ทึกรายการการประชมุ ทาได้หลายวิธีขน้ึ อยู่กบั การประชุมและ องคป์ ระกอบของ
การประชุมผบู้ ันทึกมักจะเปน็ บคุ คลเดียวกับ เลขานุการหรือผชู้ ่วยเลขานกุ าร จะต้องไหวพรบิ และ
ปฏิภาณในการบนั ทึก เพราะอาจจะมกี ารอภิปราย หรอื กรรมการบางคนอาจพูดวกวน ยืดยาวผจู้ ด

๑๑๘

บนั ทกึ จึงต้องตัดสนิ ใจว่าควรบันทึกตอนไหนอยา่ งไร โดยท่ัวไปบันทึกกันอยู่ ๓ วธิ ี คอื
๑. บันทึกอย่างละเอยี ด คือ บันทกึ ทุกคาพูดของผู้เข้าประชุมพรอ้ มมติของทีป่ ระชุม
๒. บันทึกยอ่ จดเฉพาะประเดน็ ทส่ี าคญั ของผู้เขา้ ประชุม พร้อมมติของทป่ี ระชมุ
๓. บันทึกแตม่ ติของที่ประชุม คือบนั ทึกเฉพาะเหตผุ ลกับมตขิ องทปี่ ระชมุ พรอ้ มทง้ั ข้อตกลง

และคาสั่ง

----------------------------------------------

หนังสืออา้ งองิ

ดนยั ไชยโยธา. หลักการเรยี นการสอนในสภาการศึกษา. กรงุ เทพฯ :โอ.เอส พริ้นติ้งเฮาส์,๒๕๒๔.
ฐิติรัตน์ ลดาวัลย,์ ม.ล. การใช้ภาษาไทย. พิมพ์ครั้งท่ี ๒ . กรุงเทพมหานคร: ภาควิชาศลิ ปศาสตร์:

มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ , ๒๕๓๐.
เถกิงกจิ แก้วเสน่ห์. อา่ นอ่างไรอา่ นให้ด.ี กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ , ๒๕๓๘.
นรินทร์ บุญชู . เทคนคิ การสอบไลใ่ ห้ได้คะแนนด.ี กรงุ เทพฯ : ข่าวรามคาแหง, ๒๕๒๙.
ชนะ เวชกุล. การเขยี นรายงานจากการค้นคว้า. กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๙.
ชานาญ นศิ ารัตน์. การค้นคว้าและการเขยี นรายงาน. กรุงเทพฯ : กรมการศึกษานอกโรงเรยี น,

๒๕๓๐.
สมบตั ิ จาปาเงินและสาเนียง มณีกาญจน.์ หลกั นกั อา่ น. กรุงเทพฯ: ตอ้ อ้อ, ๒๕๓๙.สุปราณี สนธริ ตั น.
วิธีเพม่ิ สมรรถภาพในการเรียน. กรงุ เทพฯ : คณะสงั คมศาสตร์

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร,์ มปป.

๑๑๙

กิจกรรม/แบบฝึกหดั ทา้ ยบทที่ ๗

ตอนที่ ๑ คำสัง่ จงเติมคาลงในชอ่ งว่างตอ่ ไปนใี้ ห้สมบรู ณ์
๑. การเขียนด้วยข้อความสน้ั ๆ จากการอ่านคร้ังแรกคือ......................................................
๒. การถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดออกมาเปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษรเรียกวา่ ................................
๓. จากการศึกษาคน้ ควา้ เพื่อป้องกันการลืมต้อง.................................................................
๔. มารยาทการให้เกยี รตเิ จ้าของผลงานเรียกวา่ เปน็ ...............................................................
๕. การบนั ทกึ ขอ้ มลู ทุกคาพดู เรยี กว่าบันทกึ อย่าง............................................................

ตอนท่ี ๒ คำสง่ั จงตอบคาถามต่อไปน้ี ตามความเข้าใจของนสิ ิตที่ไดเ้ รียนมา ในบทน้ี
๑. จงอธิบายความหมาย และความสาคัญการเขียนบนั ทึก มาให้เขา้ ใจ ?
๒. การเขียนมจี ุดม่งุ หมายอย่างไร มีอะไรบา้ ง ?
๓. ลักษณะท่ีดีของผู้เขยี นมีอย่างไรบา้ ง อธิบายมาใหเ้ ขา้ ใจ ?
๔. การเขียนทเ่ี ป็นการเกบ็ เน้ือหาสาคญั เรียกว่าอะไร มีอะไรบ้าง ?

*************

บทท่ี ๘

เทคนคิ การสอบ

เมอ่ื เข้ามาเป็นนิสติ นกั ศกึ ษาในมหาวทิ ยาลัย ไม่ว่าสถานศกึ ษาใดหรือในระดับการศกึ ษาใดก็
ตาม ส่ิงสดุ ท้ายในการการศึกษาเลา่ เรยี นจะต้องมีการวัดประเมินผล และกิจกรรมในการวดั ผลประเมนิ ผลนัน้
ประการหนงึ่ ถือวา่ เป็นวดั ค่าทางการเรียนการศึกษาวา่ ผลของการเรียนการศึกษาน้นั อย่ใู นระดบั ใด กิจกรรม
ทีใ่ ช้ในการวัดผลประเมินผลคือ การสอบ ดังน้ันการทจี่ ะสอบให้ประสบความสาเรจ็ จะต้องมเี ทคนิควธิ ีในการ
สอบ สิ่งท่จี ะต้องรูเ้ พื่อการสอบมอี ยู่ ๒ ประการด้วยกัน

ประการแรก คือ ความรเู้ น้อื หาของเรอ่ื งท่จี ะสอบ ท่ไี ดจ้ ากการศกึ ษาเลา่ เรยี นและการค้นคว้ามา
ทัง้ ภาคการศึกษาทเ่ี รียน ดว้ ยความเขา้ ใจและรเู้ ร่ืองดใี นเน้ือหาน้ัน ๆ

ประการทสี่ องคือ รเู้ ทคนิควธิ ที าข้อสอบ (Kesselman-Turkel,๑๙๘๑ อา้ งในการสอบและ
วิธีการค้นคว้า, นรินทร์ บญุ ชู; ๒๕๓๑) จึงกล่าวไดว้ ่า การสอบจะได้คะแนนดีน้ัน ไม่ไดข้ นึ้ อย่กู ับความรู้
ทางด้านเน้ือหาวิชาการแต่เพียงอยา่ งเดียว ยงั ต้องอาศัยเทคนิคการสอบประกอบดว้ ย ดังนัน้ เทคนคิ การสอบ
จงึ เป็นเร่อื งสาคัญทนี่ สิ ิตจาเป็นจะตอ้ งมคี วามรู้ความเข้าใจอยา่ งดีพอ จงึ จะสามารถสอบผา่ นและตรงตาม
จดุ ประสงค์ ของการวัดผลประเมนิ ผลได้ เพราะฉะน้นั ในฐานะนสิ ติ ศึกษาในรายวชิ าเทคนคิ การศึกษา
อุดมศึกษา จึงขอเสนอแนววธิ เี พื่อเปน็ แนวในการสอบ เพ่ือนิสิตจะสอบไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพและผ่านใน
รายวชิ าทศี่ กึ ษาได้อยา่ งไมม่ ีปัญหา

การเตรียมตวั กอ่ นสอบ

๑. ความพร้อมในการสอบ นิสิตจะต้องมีความพรอ้ มทางดา้ นร่างกาย จติ ใจและความพรอ้ ม
ทางดา้ นวชิ าการ

๑.๑ ทางด้านร่างกาย มีรา่ งกายแข็งแรง อนามัยสมบูรณ์
๑.๒ ทางดา้ นจิตใจ มีจิตใจปลอดโปรง่ แจ่มใส รา่ เริงเบิกบาน ไมม่ ีความกังวลใจ
๑.๓ ทางดา้ นวิชาการ มคี วามรู้ ความเข้าใจ และจาเนอ้ื หาของเรื่องท่คี วรจดจาไดด้ ี

๒. ทาตารางทบทวนวชิ าการ กอ่ นการสอบไล่ประมาณ 2 สัปดาห์ ควรทาตารางทบทวนวชิ าตา่ ง
ๆ ทจ่ี ะต้องสอบ โดยเรมิ่ ทบทวนวชิ าท่จี ะสอบหลังสุดกอ่ น เรยี งย้อนหลงั มาตามลาดบั ของตารางการสอบ
ทบทวนจากบันทึกย่อท่ที าไว้อย่างเป็นระเบยี บดีแล้วของเราเอง บนั ทึกยอ่ ท่ีดนี ัน้ เรอ่ื งต้องตอ่ เน่ืองอยู่ในแผ่น
เดียวกันเพื่อว่าเมอื่ กวาดสายตาดจู ะเหน็ เร่ืองราวทัง้ หมดได้อยา่ งชดั เจน การดหู นังสือนอกเหนือจากบันทกึ
ของเราแล้วก็ยังมีความสาคัญอกี ประการหน่ึงนน้ั หมายถึงมีเวลา หรอื คุณภาพของการดูหนังสือของนิสติ เอง

๑๒๒

การดหู นังสอื ไมค่ วรหักโหม ปฏิบตั เิ หมอื นท่เี ราเคยอ่านหนงั สอื ประจา มีการพักผ่อน การนอนเป็นปกติ โดย
คานงึ ถึงสุขภาพ ต้องพยายามรักษาอยา่ ให้ตนเองต้องเจ็บปุวย ซึ่งเป็นปัญหาอุปสรรคสาคัญในการสอบใน
ขณะเดยี วกันถา้ นสิ ิตมีเวลาจากดั หรอื ระยะเวลาในการ เตรียมดูหนงั สอื มนี ้อยขัน้ ตอนต่อไปนอ้ี าจชว่ ยใน
การศกึ ษาอยา่ งเรว็ โดยใช้เวลาสน้ั ๆ คอื (นรนิ ทร์ บญุ ช,ู ๒๕๒๙: ๘)

๑. ยอมรับความจรงิ ในเวลาจากัดท่มี ีอยู่ นิสติ ไมอ่ าจจะศึกษาทกุ อย่างในบนั ทึกยอ่ จากชน้ั เรียน
และตาราท้ังหมด จะต้องตัดใจทงิ้ ตาราไป ถา้ รู้สกึ ว่าผสู้ อนมักจะออกข้อสอบโดยใช้เน้ือหาจากการเรยี นใน
ชั้นเรยี นเปน็ หลกั

๒. อา่ นบนั ทึกย่อจากการเรยี นใหห้ มด ถ้ามีบันทึกย่อจากตาราใหอ้ ่านดว้ ยและทาเคร่ือง
หมายความคิดท่ีสาคญั ไว้ทั้งหมด ถา้ มตี าราตน้ แบบทบทวนใชเ้ ป็นคู่มอื ในการทบทวนใหด้ ีที่สุด จดุ ประสงค์
ทสี่ าคญั คือ เพื่อพยายามเดาใหถ้ กู ต้องทส่ี ุดว่า สว่ นใดที่น่าจะปรากฏในข้อสอบ

๓. เขยี นความคิดท่ีเลอื กแลว้ บนแผ่นกระดาษ โดยใชก้ ระดาษเพียงหน้าเดียวเพ่อื ท่จี ะสามารถ
แทรกแผ่นคาตอบท่ตี รงกับจดุ ประสงค์สาคัญทศ่ี ึกษา

๔. เตรียมแผน่ คาตอบ หรอื วลสี าหรับข้อความทจ่ี ะจาให้ได้ ท่องจาโดยตรวจสอบตนเองไปมา
ซ้า ๆ

๕. กลบั ไปอา่ นใหมอ่ ีกรอบหนึง่ ถ้าหากมเี วลาเหลอื พอ ทบทวนบนั ทึกย่อ อยา่ ใช้เวลาในการ
เรยี นเรื่องใหม่ ๆ พยายามที่จะทาความเข้าใจเรื่องทีเ่ คยเรยี นไปแลว้ ให้มากทสี่ ุดในประเด็นต่าง ๆ เท่าทจี่ ะ
ทาได้ (Langan, 1980 : 20-21 อ้างใน นรินทร์ บุญชู, ๒๕๒๙)

เรเกอร์ (Raygor, 1980 : 11) ได้กลา่ วถงึ แผนการศกึ ษาเพื่อเตรียมตัวสอบ ไว้ว่า
๑. การเตรยี มตัวสอบแต่ละครั้ง มักจะขึน้ อยู่กับองคป์ ระกอบหลายดา้ น ซ่ึงผเู้ ข้าสอบจะต้อง

คานงึ ถึง คือ เวลา วตั ถุประสงค์ และความคิด ทน่ี สิ ิตคาดว่าผสู้ อนจะนามาออกข้อสอบ
๒. ถา้ การสอบเนน้ ในเรื่องข้อเทจ็ จริง และรายละเอยี ด วิธเี ตรียมตัว คอื ใชบ้ ัตรและเทคนิคการ

จาตา่ ง ๆ และทบทวนวัสดกุ ารอ่าน
๓. ถา้ การสอบเน้นในเรอ่ื งแก้ปญั หา นสิ ิตควรจะเรยี นรู้แนวความคิดท่ัว ๆ ไป ทีจ่ าเปน็ ตอ่ การ

แกป้ ัญหา ฝกึ ทาการแกป้ ัญหา โดยพิจารณาจากเร่ืองในเล่มหรอื แหลง่ ข้อมูลอนื่ ๆ และถามผสู้ อนก็ได้ถ้ามี
ปญั หายุ่งยาก

๔. ถา้ การสอบเน้นในเรือ่ งการประเมินหรอื ตีความ เชน่ แนวความคดิ ผลงานทางศิลปะ หรอื
วรรณคดี นสิ ิตควรจะทาความคุ้นเคยกบั วัสดุทน่ี ามาประเมินคา่ สร้างคาถามประเภทประเมินคา่ หรือวจิ ารณ์
แล้วฝกึ ตอบ อา่ นผลงานของนกั วจิ ารณค์ นอ่ืน ๆ ในเร่อื งต่าง ๆ ที่ตรงกบั ที่เราต้องการ

๕. ถ้าการสอบเก่ียวข้องกับการนาทฤษฎไี ปใช้ในสภาพการณ์ใหม่ ๆ ก็ควรจะทดสอบตัวเองโดย
การตงั้ คาถาม และฝึกตอบโดยประยุกตห์ ลักการตา่ ง ๆ

๓. ศึกษาแนวข้อสอบเก่า การร้แู นวข้อสอบวิชานน้ั ๆ จะเปน็ ประโยชน์ต่อการสอบอย่างมาก จะ
ชว่ ยให้การดหู นังสือได้อย่างตรงเปูาหมาย การหาขอ้ มลู เหลา่ นีไ้ ด้ ด้วยการถามผูส้ อนถึงขอบขา่ ยเน้ือหาที่จะ
สอบ ประเภทของขอ้ สอบหรือถามเพื่อนหรอื ร่นุ พี่ท่เี คยเรียนในรายวชิ านนั้ เกี่ยวกบั แนวขอ้ สอบหากสามารถ
หาแนวขอ้ สอบเกา่ ๆ มาฝึกหักทาได้กย็ ง่ิ ดี จะทาให้เกดิ ความคุ้นเคยกับข้อสอบ ไมต่ ื่นเม่ือต้องทาข้อสอบจริง
ๆ (นรนิ ทร์ บุญช,ู ๒๕๒๙: ๘)

๑๒๓

การดูข้อสอบเกา่ จะทาใหผ้ เู้ รยี นทราบเร่ืองที่สาคัญได้หลาย ๆ ประการ ดังนี้
(สุปราณี สนธิรัตน, มปป: ๙๙)

๑. ผสู้ อนออกข้อสอบเหมือนกันทุกปหี รือไม่
๒. ขอ้ สอบไดจ้ ากตารา คาบรรยาย หรืออปุ กรณก์ ารสอน หรือแหลง่ ความรู้ทผ่ี ู้เรยี นเคยอ่าน
หรอื ไม่
๓. คาถามประเภทใดท่ีผสู้ อนชอบออก
๔. เนอ้ื หาทีผ่ ู้สอนชอบเนน้ เปน็ พเิ ศษเกีย่ วกบั เรอ่ื งใด
๕. มเี น้ือหาบางเร่ืองที่ผสู้ อนคดิ ว่าสาคญั แตผ่ ูเ้ รียนไมไ่ ด้คานงึ ถึง
๖. ผู้สอนคาดหวังว่า ผเู้ รยี นจะสามารถอธิบายรายละเอยี ดลึกซ้งึ หรอื ต้องการเพียงแตจ่ ะทราบ
วา่ ผเู้ รียนเขา้ ใจความคดิ รวบยอดขั้นพน้ื ฐาน

๔. ลองตง้ั คาถามและเตรียมคาตอบ โดยอาศัยขอบขา่ ยโครงสร้างของกระบวนวชิ าเปน็ หลักในการ
พิจารณาตงั้ คาถาม ใหค้ รอบคลุมเนอ้ื หาท้ังหมด และเตรียมคาตอบสาหรบั ข้อคาถามเหลา่ น้ัน เป็นการเก็ง
ข้อสอบ ซ่ึงนอกจากจะเป็นการฝกึ การคิดแล้ว ยงั ได้ประโยชนใ์ นแง่การทบทวนเน้อื หาวิชาอย่างมีระบบ
(นรินทร์ บุญชู, ๒๕๒๙: ๘)

๕. การเตรียมตวั ก่อนการสอบ ๑ วนั อ่านคูม่ ือการสอบให้เข้าใจ โดยเฉพาะระเบียบวา่ ด้วยการ
สอบ คาแนะนาในการสอบไล่ ดตู ารางสอบของตนเองให้แนช่ ัดวา่ วชิ าใดสอบวนั เวลาและสถานทีส่ อบ
เตรียบอุปกรณก์ ารสอบให้พร้อม เชน่ ปากกา ดนิ สอ ยางลบ ให้มีจานวนเพยี งพออยา่ งน้อยอย่างละ ๒ อนั
เพื่อปูองกันไม่ให้เสยี เวลาในการสอบโดยไม่จาเป็น ในกรณีหมึกหมด ดนิ สอหักและสาหรบั นิสิตมหาวทิ ยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตขอนแกน่ นสิ ติ จะต้องมบี ัตรประจาตวั นิสติ ตดิ ตัวไวใ้ นขณะสอบ ให้
กรรมการคมุ สอบตรวจ

หลักการทาขอ้ สอบ

วนั สอบควรไปถงึ ห้องสอบก่อนเวลาสอบอยา่ งนอ้ ย ๑๐ นาที เพื่อทาธรุ ะสว่ นตัว ทาความคนุ้ เคย
กับสถานท่ี ทาจติ ใจใหส้ ดชนื่ ผ่องใส ไมต่ ื่นเตน้ คดิ วา่ การสอบเปน็ เร่อื งธรรมดาของการเรียน อยา่ กังวลใจ
กับข้อคาถามทผี่ ู้อื่นพูดคุยกนั หนา้ หอ้ งสอบ และหากสามารถหลกี เล่ียงการพูดคุยกบั เพ่ือก่อนเข้าห้องสอบก็
จะเปน็ การดี จะได้ไมต่ ้องกงั วลใจเก่ียวกับเนอื้ หาวชิ าทคี่ ยุ กัน

เมื่อไดร้ ับข้อสอบแลว้ สารวจข้อสอบวา่ มคี รบทุกหนา้ ทกุ ข้อหรือไม่ หากมขี ้อบกพร่องจะไดร้ ีบขอ
เปล่ียนทันที โดยไมเ่ สยี เวลาในการสอบ เขียนช่ือสกลุ รหัสประจาตัวและตรวจทาน ในกรณีท่เี ป็นคาตอบ
แบบปรนัยต้องใหค้ วามสนใจตรวจทานเป็นพิเศษ เพื่อปอู งกันความผิดพลาดอันจะเกิดจากการเขียนผิดท่ใี ด
ที่หนึง่ เม่ือทาสว่ นนี้เรียบร้อยแล้วจึงจะลงมือทาข้อสอบ

๑๒๔

หลกั การทาข้อสอบแบบปรนยั

ข้อสอบแบบปรนัยเป็นขอ้ สอบทม่ี ุ่งวัดความรู้ ความเขา้ ใจและการนาไปใช้ ขอ้ สอบแบบนี้จะมีข้อ
คาถามครอบคลมุ เน้ือหาทัง้ หมด การจะสอบขอ้ สอบแบบน้ีได้ดีจะต้องมีความรู้แม่นยาในเน้ือหา ลักษณะ
ของคาถามจะถามเกีย่ วกบั คาจากัดความ ความหมายของเร่ืองและรายละเอยี ดของเร่ือง การตอบ ขอ้ สอบ
แบบปรนยั มีหลักในการทาดังนี้

๑. อ่านคาสัง่ อยา่ งรอบคอบ อา่ นคาส่งั หรอื คาชแ้ี จงท่ีมีอยู่ทุกแห่งให้ดี ก่อนมือลงทาขอ้ สอบ
๒. ทาข้อสอบท่ีงา่ ย ๆ เสียก่อน ข้อไหนไม่ได้ให้ผา่ นไปก่อน แตท่ าเคร่ืองหมายไว้ใหเ้ ห็น

ชดั เจน เพอื่ กลับมาทาใหม่ภายหลงั เมอ่ื มีเวลาพอ
๓. ขดี เสน้ ใตค้ าที่บ่งบอกลักษณะเฉพาะ เช่น ไม่ มกั จะ เทา่ นัน้ เสมอ ๆ ทัง้ หมด เหมือนกนั

ต่างกัน ก่อนท่ีจะตอ้ ง เพื่อให้แน่ใจว่าตอบตรงประเด็นคาถาม
๔. หากไมท่ ราบว่าคาตอบใดถูกต้อง ถ้าข้อสอบไม่มีเง่อื นไขว่าทาผิดตดิ ลบ ข้อสอบข้อนน้ั จา เป็น

จะตอ้ งใชว้ ิธกี ารเดา โดยการเดาจากความคดิ วา่ ใกล้เคยี งที่สดุ อยา่ ใชว้ ธิ หี ลับตาจ้มิ เป็นอันขาด เพราะจะไม่
เกดิ ประโยชนอ์ ะไรกบั ผู้สอบ อยา่ ปล่อยทง้ิ ไว้เฉย ๆ เพราะโอกาสถูกยังมีบ้าง และคาตอบที่
แวบเขา้ มาในสมองเป็นคาตอบท่นี ่าเชื่อถือ

ขอ้ แนะนาเฉพาะในการตอบข้อสอบแบบมตี ัวเลอื ก (Multiple choice) แลนแกน(Langan,
1980) ได้ใหแ้ นวทางในการทาขอ้ สอบไว้ดังนี้

๑. จาไวว้ ่านิสิตอาจจะไม่พบคาตอบท่สี มบรู ณ์ สาหรบั คาถามทุก ๆ คาถาม แต่ตอ้ งตอบ ๑
คาตอบที่เหน็ ว่าดีท่ีสุด

๒. ขดี ฆ่าคาตอบท่แี นใ่ จวา่ ไมถ่ ูกท้ิง การเอาคาตอบท่ไี มต่ ้องการออกไปจะช่วยให้ไดม้ ่งุ ความสนใจ
ในขอ้ ท่นี ่าจะมเี หตผุ ลถูกต้องทส่ี ุด โดยการตดั ข้อท่คี ิดวา่ จะไม่เลอื กออก ไมเ่ อามาคดิ รวมกับข้อ
ท่จี ะเลอื กหรือถกู

๓. พยายามลดอตั ราการเดาคาตอบใหน้ ้อยทส่ี ดุ โดยการทาดังน้ี
๓.๑ อา่ นคาถามและคาตอบ ต่อไปอ่านคาถามซา้ และคาตอบท่อี าจจะถูกต้องในอนั ดบั ต่อไป

เรอื่ ย ๆ จนกระท่ังไดอ้ ่านคาถามและคาตอบท่ีอาจถกู ต้องครบทุกข้อ พยายามแยกแยะแตล่ ะ
ส่วนออก จนกวา่ จะแน่ใจวา่ มีคาตอบท่สี มเหตสุ มผลกับคาถาม

๓.๒ พยายามอย่ามองหาคาตอบ เม่ือกลบั มาท่ีข้อยากอีก อา่ นคาถามหาคาตอบของตนเองก่อน
แลว้ มองหาตวั เลอื กในแบบทดสอบซึ่งเหมะสมที่สดุ

๔. ตอ้ งสังเกตถ้อยคาบางคา ซึง่ อาจจะเปน็ สัญญาณให้พบคาตอบท่ถี ูกต้องได้
๔.๑ คาตอบยาว ๆ ที่สดุ มกั จะเปน็ คาตอบทถ่ี ูกตอ้ ง ตวั อย่าง
“เหตผุ ลสาคญั ทีน่ สิ ิตที่เตรียมตวั มาดี แต่ทาข้อสอบไม่ได้ดีเน่ืองจาก”
๑. มาสาย
๒. ไม่มีหนงั สืออ่าน
๓. ลมื ทจี่ ะจาวลีสาคญั ๆ
๔. ไมไ่ ดศ้ ึกษาทบทวนเพียงพอ

๑๒๕

๕. ไมอ่ ่านคาสง่ั ทั้งหมด ก่อนเร่ิมทาข้อสอบ
คาตอบที่ถูกต้อง คือ ข้อ ๕ เป็นคาตอบทยี่ าวทส่ี ดุ
๔.๒ คาตอบท่สี มบูรณ์ทีส่ ดุ และรวมเน้อื หาท่ีสดุ มักจะถูกต้อง ยกตวั อย่าง

“ถ้านสิ ิตอดั ความรู้อย่างเร่งรีบเพ่ือการสอบ ในข้อใดทีค่ วรจะให้ความเอาใจใสม่ ากทสี่ ุด”
๑. วเิ คราะหข์ ้อสอบของผู้สอนในปที ่ผี า่ นมา
๒. ความคิดสาคัญในชน้ั เรยี นและในตารา โดยรวบรวมพวกคาศพั ท์สาคัญคาจากดั
ความและตัวอยา่ งท่ีใหค้ วามเขา้ ใจ
๓. ตารา
๔. บนั ทกึ ที่จดจากชั้นเรียน
๕. บันทกึ ยอ่ ทีท่ าจากตารา

คาตอบทถ่ี กู ต้องอยู่ทข่ี ้อ ๒ ซงึ่ มเี น้ือหาสมบรู ณค์ รอบคลุมมากท่ีสดุ
๔.๓ คาตอบทอ่ี ยู่ในตอนกลางเรอื่ ง โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งคาตอบที่มีคามากที่สดุ มกั จะถูกต้อง
ตัวอย่าง

“นิสติ หลายคนมีปัญหาเกย่ี วกับการสอบแบบปรนยั เพราะเหตุใด”
๑. เดาเมื่อไม่แน่ใจ
๒. หมดเวลาในการสอบ
๓. คิดว่าข้อสอบปรนยั งา่ ยกว่าแบบอัตนัย และไม่สนใจศกึ ษาเพียงพอ
๔. ลมื ตรวจทานคาตอบ
๕. ปลอ่ ยปัญหาข้อยากไว้จนหมดเวลา
คาตอบที่ถูกตอ้ งทสี่ ดุ คอื ข้อ ๓ เปน็ คาตอบท่ีอยูก่ ลาง มีข้อความมาก
๔.๔ ถา้ มี ๒ คาตอบที่ความหมายตรงกันข้ามกัน คาตอบอนั หนง่ึ จะเปน็ ข้อถกู ต้อง เช่น
“ก่อนเริ่มการสอบ นสิ ิตควรทาอย่างไร”
๑. นัง่ ในทท่ี ่ีเงยี บสงบ
๒. เข้ารวมกลุม่ กบั เพื่อน และพูดคยุ เก่ียวกบั การสอน
๓. ทบทวนจากตาราจนวนิ าทสี ดุ ทา้ ย
๔. อ่านหนังสือเบาๆ และพักผ่อน
๕. ศึกษาบันทกึ ย่อ ท่ีนิสติ ไมม่ เี วลาศกึ ษามาก่อน
คาตอบทถี่ กู คอื ขอ้ ๑ สังเกตได้ว่า ขอ้ ๑ และข้อ ๒ ขอ้ ความตรงกันขา้ ม
๔.๕ คาตอบทม่ี ีคาขยายประเภท โดยทว่ั ๆ ไป มากที่สดุ บางครง้ั บ่อย ๆ บางโอกาส เสมอ ๆ
มักจะถกู ต้อง ดงั ตัวอย่าง
“ในคาตอบประเภทหลายตัวเลือก คาตอบท่สี มบูรณ์ทส่ี ุด และครอบคลุมท่ีสดุ มักจะ”
๑. ไม่ถูกตอ้ ง
๒. ถูกต้องบ่อย ๆ
๓. อาจจะถูกต้อง
๔. ทกุ ข้อที่กลา่ วมา

๑๒๖

๕. ไมใ่ ช่ข้อความที่กลา่ วมาทงั้ หมด
คาตอบทีถ่ กู ตอ้ ง คอื ข้อ ๒ ซ่งึ ปรากฏคาขยายคอื บอ่ ย ๆ
๔.๖ ใส่ใจกบั คาต่อไปน้ี ซึ่งมักจะส่อื ความหมายว่าเปน็ คาตอบท่ีไม่ถูกตอ้ ง คือคาตอบ ๒
คาตอบ มีความหมายใกล้เคียงกนั ทั้งสองคาตอบจะไม่ถูกต้อง ดงั ตวั อยา่ ง

“เพื่อให้การใช้เวลาในการสอบได้อยา่ งเต็มท่ี นสิ ิตควรจะทาอย่างไร”
๑. ทาคาถามข้อยากก่อน
๒. ทงิ้ คาถามง่าย ๆ ไวต้ อนสดุ ท้าย
๓. เหลือเวลาไว้ทบทวน
๔. วางแผนการใชเ้ วลาทาข้อสอบ
๕. ทาส่วนที่เปน็ คาถามยาว ๆ ไว้ตอนสุดทา้ ย
คาตอบท่ีถูกตอ้ ง คือ ข้อ ๔ สงั เกตว่า ข้อ ๑ มคี วามหมายเหมือน ๆ กนั ไม่ถูกตอ้ งท้ังคู่

หลกั การทาข้อสอบอัตนยั

ข้อสอบแบบอตั นัย เปน็ ข้อสอบยอดนิยมหรืออาจารย์ผสู้ อนใน มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลง กรณ
ราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแกน่ มกั ออกเปน็ ข้อสอบปลายภาค และดว้ ยยคุ สมัยใหม่การสอบมักจะเป็นการ
วเิ คราะห์ วจิ ารณ์และตอบดว้ ยการแสดงความคิดเหน็ และตอบดว้ ยเหตุด้วยผลมากขน้ึ ดังนั้นจงึ ใสใ่ จข้อ
คาแนะนาดงั ต่อไปน้ี

๑. อา่ นคาสงั่ อย่าน้อย ๒ เทย่ี ว ขีดเส้นใต้คาส่ังท่ีสาคัญ เชน่ เลอื กตอบ ทาทกุ ข้อ เวลาทใ่ี ห้
สาหรับการสอบ

๒. อ่านคาถามทุกขอ้ ก่อนลงมือทาข้อสอบ เดาคาตอบส้ัน ๆ เป็นวลที ่แี วบเข้ามาในสมองเขียน
ไว้ข้างๆ ข้อน้ัน ๆ

๓. กอ่ นตอบคาถามแต่ละขอ้ อ่านคาถามใหล้ ะเอียดมีขอ้ คาถามอะไรบ้าง แบ่งออกเปน็ ก่ี
ประเดน็ ขดี เส้นใต้ประเด็นคาถามหรือเขยี นเลขกากับไว้ ทาเค้าโครงคาตอบ ตอบใหต้ รงประเด็น

๔. แบง่ เวลาให้เหมาะสมกับจานวนข้อสอบ และคะแนนแต่ละข้อเหลือเวลาไว้ข้อละ ๒-๕
นาที สาหรบั การอ่านทบทวน

๕. ตอบข้อที่ง่ายทสี่ ุดกอ่ น ซ่ึงเปน็ ข้อทีน่ ิสิตรดู้ ีท่สี ุดจะทาใหเ้ กดิ มคี วามมั่นใจ รูส้ ึกว่าตนเองมี
ความสามารถ ทาใหม้ ีกาลงั ใจในการสอบ

๖. เขียนใหอ้ า่ นออกงา่ ยที่สดุ ไม่เขียนหวัด ลายมอื เปน็ สิ่งสาคัญสาหรบั การสอบแบบอัตนยั
ไม่ย่งิ หย่อนไปกว่าความรู้ นิสิตจานวนมากท่เี สียคะแนนไปอยา่ งนา่ เสยี ดาย เนื่องจากเขียนหวดั จนเกินไป
ทาใหผ้ ูต้ รวจข้อสอบอา่ นไม่ออกหรือไม่กอ็ ่านยากทาใหเ้ สียเวลาในการอา่ น เป็นเหตุใหท้ าใหน้ สิ ิตได้คะแนน
น้อย

๗. ภาษาเขยี นการตอบข้อสอบ ไมค่ วรใชอ้ ักษรยอ่ ถ้าจาเปน็ ต้องใชค้ วรเป็นคาทีร่ ู้จักใช้กันทวั่ ไป
๘. การตอบข้อสอบแบบอตั นัย ควรเริ่มต้นด้วยประโยคสรุปสาระสาคัญของคาตอบแล้วขยาย
ความคดิ ให้มาก เขียนใหน้ ้อย เขยี นเพียงประเดน็ สาคัญจะไดค้ ะแนนดีกว่าเขยี นอย่างน้าท่วมทุ่ง(นรินทร์ บุญ
ช,ู ๒๕๒๙ : ๘)

๑๒๗

๙. ในการเขยี นตอบข้อสอบนน้ั สานวนท่ีเขียนต้องแสดงวา่ นสิ ติ มีความรู้และความเข้าใจใน
ประเดน็ ท่ีถาม โดยเป็นสานวนของผ้ตู อบเอง ใหค้ ิดวา่ ผู้สอนหรอื ผู้ออกข้อสอบไม่รู้ จงึ ถามอย่างนน้ั

หลักการเตรียมสอบปากเปลา่ (Oral exam)

การสอบปากเปล่ากเ็ หมือนกนั กับการสอบแบบอ่ืน ๆ นิสิตจะต้องเตรียมการสอบอยา่ งดี ทั้งนี้
เพาะจะต้องมีความสามารถท่ีจะพดู อยา่ งคล่องแคล่ว ชดั เจน และมเี วลาเลก็ นอ้ ยในการรวบรวม
ความคดิ ของตนเอง บางคร้งั การสอบปากเปล่าจะยอมใหน้ สิ ิตเลอื กหวั ข้อและเตรยี มตวั ล่วงหน้า
เคสเซลแมน-เทอเคลิ (Kesseman-Turkel, 1981 : 92-96 อา้ งใน นรนิ ทร์ บุญชู, ๒๕๓๑: ๑๖๖) ไดแ้ นะนา
ข้นั ตอนที่จะเตรียมการเพอ่ื สบปากเปล่าไวด้ งั นี้

๑. เลอื กหวั ขอ้ เร่ืองที่ค่อนข้างจากัด ในการสอบสมั ภาษณจ์ ะได้สามารถอภิปรายไดอ้ ยา่ งลกึ ซ้งึ
ในเรื่องใดเรื่องหน่งึ ถ้าเลือกหัวขอ้ กวา้ ง ๆ จะอภปิ รายไดเ้ พียงผิวเผนิ เท่านน้ั ดงั นน้ั ตอ้ งเรียนร้ทู ่ีจะ
เลอื กหวั ข้อ ซึง่ สามารถทจ่ี ะกล่าวถงึ รายละเอยี ดของเรื่องไดภ้ ายในเวลาทจ่ี ากดั

๒. พยายามคดิ เร่ืองให้ไดอ้ ย่างนอ้ ย ๓ ประเด็น จากหวั ข้อท่ตี ้ังไว้ การกาหนดประเดน็ แยก จะ
ทาให้เรอื่ งที่พูดนา่ สนใจขึน้ ฝึกการคิดจาแนกอยา่ งน้อย ๓ ประเดน็ ทุกครัง้ ท่ีเตรยี มตวั สอบ

๓. การพูดในที่ชุมชนจาเป็นตอ้ งฝกึ การสอบปากเปลา่ เป็นวิธกี ารพูดในชุมชนอกี รูปแบบหน่ึง
ดงั นัน้ การเตรียมตัวฝกึ ฝนเปน็ สง่ิ จาเป็น เพราะอาจเข้าไปรว่ มกิจกรรมของกล่มุ หรือชุมชนหรอื เวทีท่มี ีคนมา
ชุมนมุ มากมาย จะทาใหเ้ กิดอาการประหมา่ ได้ ย่ิงฝึกฝนมากเท่าไรกจ็ ะรสู้ ึกสบายและยิ่งม่ันใจขนึ้ ในการสอบ
ปากเปล่า

๔. พยายามสรา้ งความประทับใจ นสิ ติ สามารถสร้างความประทบั ใจให้กับกรรมการคุมสอบได้
ด้วยการแต่งกายทเี่ หมาะสม สุภาพ สะอาด เรยี บร้อย ถ้าต้องการยนื พดู ต้องยืนดว้ ยความม่ันใจ ยืนขาตรง
มนั่ คง สบสายตากบั ผู้ฟัง ถา้ มีทา่ นยนื ใหว้ างโนต้ ยอ่ บนท่าน ถา้ เสยี งแหบไม่ต้องวิตกกังวลใด ๆ ทง้ั สนิ้
พยายามส่งสายตาผู้ให้คะแนน เพื่อแสดงวา่ นิสติ มีความมัน่ ใจทาให้ผกู้ าลงั สอบนิสิตได้ตระหนกั วา่ นิสติ ร้จู รงิ
ตามท่ีพดู ในลกั ษณะน้ีไม่ควรใช้บนั ทกึ ยอ่ เด็ดขาด

๕. อยา่ พดู ไร้สาระ การตอบต้องตอบใหก้ ระชบั เปล่งเสียงสาเนียงภาษาท่ีถูกต้อง การเน้นวลีตา่ ง
ๆ ชดั เจน

๖. การตอบคาถาม กรรมการสอบอาจจะเลือกคาถามที่ค่อนขา้ งสบสน ทัง้ นเี้ พือ่ จะได้ทดสอบผู้
เขา้ สอบวา่ มีความเขา้ ใจคาถาม และเลือกคาตอบอยา่ งฉลาดหรือไม่ นสิ ิตอาจจะถามคาถาม ขอให้กรรมการ
ทวนคาถามใหม่ได้ถ้าไม่ชดั เจนพอ บางคร้ังคาถามมคี าตอบมากมายท่สี ามารถนามาตอบได้ อาจจะเลือกบาง
ประเดน็ มาตอบได้ โดยเลอื กตอบสว่ นท่ีรูเ้ ร่อื งดีทส่ี ุด พดู ให้ตรงประเด็นที่ต้องการพูด

๗. ถ้าไมท่ ราบคาตอบไม่ต้องกลัว กล่าวออกตัวไดว้ า่ มันอาจจะเป็นเร่ืองสาคญั ท่ใี ชเ้ วลามาก
อาจจะไม่ไดร้ ายละเอียดมากพอถา้ พดู ขณะกาลังสอบอยู่

๘. ออกจากห้องสอบสัมภาษณป์ ากเปล่าอย่างเรียบร้อย และควบคุมอารมณ์ให้ดีทส่ี ดุ แม้การ
สอบปากเปลา่ นั้นจะไม่สัมฤทธิ์ผลก็ตาม ยืนตรง ย้ิม และกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพก่อนออกจากหองสอบ

๑๒๘

การวางแผนการทาข้อสอบ

ในการทาข้อสอบจะพบวา่ บางคร้งั หลงั สอบ ผเู้ ข้าสอบทาอะไรผดิ เนือ่ งจากความประมาท
ดงั นั้นก่อนทาข้อสอบควรอา่ นคาถามอย่างระมดั ระวงั กะเวลาใหพ้ อดี พจิ ารณาคะแนนของแต่ละข้อและ
ตอบคาถามท่จี ะไดค้ ะแนนในแตล่ ะมากที่สดุ อยา่ เสยี เวลาทาขอ้ ใดข้อหนง่ึ โดยเฉพาะการวางแผนทาข้อสอบ
จะช่วยทาให้ผู้สอบมีความม่ันใจ และกลา้ ทจี่ ะทาข้อสอบได้อย่างมเี หตผุ ล และสามารถใช้เป็นเคร่ือง
พยากรณ์ไดว้ า่ วิธนี ี้จะทาใหผ้ ู้สอบได้คะแนนมากขน้ึ

สปุ าณี สนธริ ัตน์ (มปป : ๑๑๒) กลา่ วถงึ สง่ิ ที่ผสู้ อบทาผิดเป็นประจา และควรพจิ ารณาแกไ้ ข
เก่ียวกับการทาข้อสอบ คือ

๑. อา่ นและตอบคาถามผดิ ๆ
๒. เสยี เวลาใหก้ บั คาถามท่ีไมเ่ ข้าใจ
๓. เสียเวลาตอบคาถามซึ่งเปน็ สิ่งท่ีคอ่ นข้างเหน็ ชดั และรู้กนั ท่วั ไป
๔. หมดเวลาก่อนที่จะสามารถตอบคาถามได้ท้งั หมด
๕. เสยี คะแนนเพราะวา่ เปล่ียนแปลงคาตอบในนาทสี ุดท้าย
๖. มีความลาบากในการตอบคาถามซ่ึงต้องการใหแ้ สดงความคิดเห็น
๗. เกดิ ความกลวั การสอบเมือ่ เห็นข้อสอบมากหรือยากเกินกวา่ ท่คี าดไว้
สัมฤทธิ์ รตั นดารา (๒๕๒๘ : ๕๙-๖๒ อา้ งใน นรินทร์ บญุ ช,ู ๒๕๓๑ : ๑๖๘) กล่าวถงึ สาเหตุที่
นกั ศึกษาสอบตก มดี ังนี้
๑. ไม่มีแผนการเรยี นที่ดี
๒. ไม่ซอ่ื สัตย์ต่อตนเอง การหลอกตวั เองอย่เู สมอ เช่น อา้ งว่าไมพ่ ร้อมบ้าง มีเวลาอกี นานกวา่ จะ
สอบ วชิ าน้งี า่ ยเกนิ ไป วชิ านั้นยากเกินไป ฯลฯ
๓. เตรยี มตวั สอบไม่พร้อม มีปญั หาและอุปสรรคสว่ นตัวกอ่ นสอบ ทาใหเ้ สยี กาลังใจ
๔. ไม่รอบคอบในการตอบขอ้ สอบ เชน่

๔.๑ ตอบไม่ตรงตามประเด็นทถี่ าม
๔.๒ ตอบไม่ตรงคาถาม
๔.๓ ตรวจดคู าถามไมล่ ะเอยี ดถี่ถ้วน ทาข้อสอบไม่หมด หรือตอนทถี่ าม
๕. เขยี นหนังสอื หวดั มากจนกรรมการตรวจข้อสอบอ่านไมอ่ อก
๖. แบง่ เวลาไม่ถูกตอ้ ง ทาใหท้ าคาตอบไม่ครบทุกข้อ

ขอ้ ปฏิบัติในการสอบมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแกน่

๑๒๙

มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ได้มกี ารออกข้อปฏบิ ัติในการสอบไวเ้ ปน็ ข้อที่นสิ ิตท่ี
เขา้ ศกึ ษาในมหาวทิ ยาลยั ต้องปฏิบัติตามอยา่ งเครง่ ขดั และไดม้ บี ทลงโทษไว้ดว้ ย ถือว่าเป็นแนวปฏิบตั ใิ นการ
สอบแตล่ ะคร้งั ซง่ึ มหาวทิ ยาลยั ได้ออกเป็นประกาศของมหาวิทยาลยั เม่อื วนั ที่ ๒๖ มกราคม
พ.ศ.๒๕๔๓ เร่ืองขอ้ ปฏิบัติในการสอบ คือ

๑. ข้อปฏบิ ตั ิสาหรับนสิ ติ
๑.๑ ห้ามเข้าห้องสอบกอ่ นได้รับอนญุ าต
๑.๒ หา้ มนาเครอื่ งมือสอื่ สารทกุ ชนดิ เข้าไปในหอ้ งสอบ
๑.๓ ห้ามนายาม กระเป๋า หรือเอกสารทุกชนิดเข้าห้องสอบ
๑.๔ ตอ้ งนาบัตรประจาตงั นสิ ติ ท่ีออกใหโ้ ดยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยราช

วทิ ยาลัย มาแสดงตอ่ คณะกรรมการผู้คมุ ห้องสอบทกุ ครัง้ ที่เขา้ หอ้ งสอบในแตล่ ะรายวชิ า นสิ ติ ทีไ่ มน่ าบตั รมา
แสดงในรายวิชาใด จะไม่ไดร้ บั อนญุ าตให้เข้าห้องสอบในรายวชิ านั้น และให้ถอื เปน็ การขาดสอบในรายวชิ า
น้นั เว้นแต่จะไดร้ ับพจิ ารณาอนมุ ัตจิ ากคณบดี หรือผู้อานวยการวิทยาลัยสงฆห์ รือผู้อานวยการกองทะเบยี น
และวดั ผลเป็นกรณีพิเศษเทา่ น้นั

๑.๕. หา้ มคุยกนั ในขณะสอบ
๑.๖ ในการสอบตอ้ งนุ่งหม่ หรือแต่งกายใหเ้ รยี บรอ้ ยและแสดงกิริยาสภุ าพ
๑.๗ ต้องเตรียมอปุ กรณก์ ารสอบมาใหพ้ ร้อม ห้ามยมื กันใช้ในขณะสอบ
๑.๘ ในกรณีที่นิสิตมาช้าเกนิ กวา่ ๓๐ นาที ไมม่ ีสิทธิเ์ ขา้ สอบในรายวิชาน้ัน กรณีท่ีนสิ ิตมาช้า
ไม่เกิน ๓๐ นาท่ี จากเวลาทเ่ี ร่ิมสอบในรายวชิ านัน้ ๆ ต้องเขียนคาอนุญาตเขา้ สอบย่ืนตอ่ คณบดหี รอื
ผู้อานวยการกองทะเบยี นและวัดผล
๒. ข้อปฏบิ ตั ิสาหรับกรรมการผูค้ มุ ห้องสอบ
ในฐานะผเู้ ข้าสอบการรู้จกั ว่ากรรมการจะดาเนินการอยา่ งไรก็ถือว่าเปน็ เรื่องดี เพราะจะทาให้
เราปฏบิ ตั ิถูกตามไปดว้ ยตัดปัญหาการไม่รวู้ า่ กรรมการจะทาอยา่ งไรกับการสอบในแต่ละครั้ง ซึง่ มีข้อปฏิบัติ
สาหรับกรรมการผู้คุมหอ้ งสอบไว้วา่
๒.๑ กรรมการผ้คู มุ หอ้ งสอบต้องมารบั ข้อสอบจากเจา้ หน้าทท่ี ี่กองทะเบียนและวดั ผลหรือฝาุ ย
ทะเบยี นและวดั ผลของวิทยาเขต ก่อนเวลาสอบ ๑๕ นาที ถ้ามาคุมสอบไม่ไดต้ ้องแจ้งให้กองทะเบยี นและ
วดั ผลหรือฝาุ ยทะเบียนและวดั ผลของวทิ ยาเขตทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๑ วัน
๒.๒ กรณนี ิสติ ชาวต่างประเทศ ไม่สันทดั ภาษาไทย อาจารย์ผู้ออกข้อสอบไมไ่ ด้แปลเป็น
ภาษาอังกฤษไว้ล่วงหนา้ ให้หวั หน้าภาค หรอื หัวหน้าสาขาวิชาทต่ี นสงั กัดประสานงานอาจารยป์ ระจารายวิชา
จัดเตรยี มแปลเปน็ ภาษาอังกฤษ
๒.๓ ถา้ มคี าผดิ หรอื ข้อความอนื่ ใดท่ีอาจกอ่ ให้เกิดความสบสนแก่นิสติ กรรมการผ้คู มุ หอ้ งสอบ
ต้องเขียนคาแกไ้ ขไวบ้ นกระดานใหช้ ดั เจน
๒.๔ ใหก้ รรมการผคู้ มุ หอ้ งสอบมีอานาจตักเตอื นนิสิตใหอ้ ยู่ในความสงบเรยี บร้อยทท่ี าการสอบ
เสรจ็ ให้ส่งใบตอบกบั กรรมการผคู้ ุมห้องสอบและลงลายมอื ช่ือกากบั ไวเ้ ป็นหลกั ฐานแล้วใหอ้ อกจากห้องสอบ
ทนั ทแี ละต้องไม่ทาการใด ๆ อันเปน็ การรบกวนแก่ผกู้ าลงั ทาการสอบอยู่

๑๓๐

๒.๕ เพื่อปอู งกันความบกพร่องและการฝุาฝืนข้อปฏิบัติในการสอบใหก้ รรมการผู้คมุ ห้องสอบลง
ลายมือช่อื กากบั พร้อมวนั เดือนปที ่ีสอบไวบ้ นใบตอบด้านขวามือ จะลงลายมือชื่อก่อนสอบหรือขณะสอบให้
ขึ้นอยกู่ ับความเหมาะสม

๒.๖ ให้กรรมการผคู้ มุ ห้องสอบ เป็นผ้คู ุมเวลาสอบดว้ ยตนเอง โดยถือเวลาที่กาหนดไวใ้ นตาราง
สอบของแต่ละรายวชิ าเปน็ เกณฑ์ เมื่อหมดเวลาสอบกรรมการผู้คุมห้องสอบต้องเก็บใบตอบจดั เรียงลาดบั
เลขท่จี ากน้อยไปหามาก อยา่ ใหใ้ บตอบตกหลน่ แลว้ รอกรรมการจเรมารบั ใบตอบและนาข้อสอบรายวชิ า
ต่อไปมามอบให้ (ถา้ มี)

๓. การลงโทษนสิ ิตที่กระทาการฝุาฝืนในการสอบ
ให้คณะกรรมการผู้คมุ ห้องสอบแจง้ การฝุาฝนื ข้อปฏบิ ัตใิ นการสอบต่อคณะกรรมการกลาง

เพอ่ื ใหค้ ณะหรือวทิ ยาลยั ตน้ สังกัดพิจารณาโทษตามข้อ ๙ แห่งขอ้ บงั คับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ใน
พระบรมราชปู ถมั ภ์ ว่าด้วยการศกึ ษาปริญญาตรี พ.ศ.๒๕๓๐ หรือข้อ ๖.๑ แหง่ ข้อบงั คับมหาวิทยาลัยมหา
จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย ว่าด้วยการศกึ ษาระดับปริญญาตรี พ.ศ. ๒๕๔๒ แลว้ แต่กรณี

จากขอ้ ปฏบิ ัตแิ ละแนวการดาเนินการสอบของผคู้ ุมสอบ พรอ้ มทง้ั บังคบั ในการลงโทษผู้ กระทา
ผิดข้อปฏบิ ตั ิ จะเห็นวา่ เปน็ บทลงโทษาท่ีหนักพอสมควร ซ่ึงข้อปฏบิ ัตหิ รือบทลงโทษเหล่าน้ี มหาวทิ ยาลยั
มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย โดยเฉพาะวทิ ยาเขตขอนแก่นถอื ปฏบิ ตั ิอย่างเคร่งครดั จะด้วยเหตผุ ลหรอื
ความคิดเหน็ อย่างไรกต็ าม มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น ยงิ่ แล้วเป็น
มหาวิทยาลัยท่ีเนน้ เร่ืองความถูกต้องของสังคมหรือด้วยการพูดถงึ คณุ ธรรมจรยิ ธรรม เรายิง่ ตอ้ งคานงึ มาก
เป็นพิเศษและการไม่ทาตามระเบียบถือว่าเป็นคนไมเ่ คารพกติกาของสังคมนัน้ ในสาขาวิชาที่นิสิตศกึ ษาน้ี
จะต้องเป็นแบบอย่างได้

ขอ้ เสนอแนะตอนท้าย

การสอบใหผ้ า่ นเปน็ สิง่ ไมย่ าก เพราะเป็นภาระหน้าที่หลกั ของนิสิตท่ีเขา้ มาศึกษาเล่าเรยี นอยู่
แลว้ แตก่ ารสอบให้ได้เกรดคะแนนสงู ๆ เป็นเรื่องท่ตี ้องใช้ความพยายามมากขน้ึ ซง่ึ นอกจากจะมีความรูด้ ี
ความเขา้ ใจดี ความจาดีแล้ว ยังตอ้ งรูจ้ ักวธิ กี ารสอบท่ดี ดี ้วย การสอบให้ได้เกรดสูงน้นั ไม่ใช่ดหู นงั สอื คนื เดียว
เพื่อสอบในวันรุง่ ข้นึ แต่ต้องเตรียมตัวตงั้ แตต่ น้ เทอมและเรียนอย่างจริงจงั สม่าเสมอ สะสมความรู้ไว้อย่าง
ต่อเนื่อง มีการประเมนิ ผลการเรยี นของตนเองเปน็ ระยะๆ จนสามารถใหค้ วามมั่นใจแกต่ นเองไดว้ ่ามีความรู้
ความสามารถถงึ ขน้ั แลว้ การเรียนใหม้ คี วามร้นู ้นั ผเู้ รียนจะรู้ตัวเองดวี ่าตนเองอยู่ในระดบั ใด ถา้ หากเรียน
อย่างถูกหลกั และมีความเขา้ ใจในโครงสรา้ งเนอื้ หาวิชาท่ศี ึกษา การสอบจงึ เปน็ การแข่งขันตนเอง ซงึ่ ผเู้ รยี นท่ี
มีเทคนิคการสอบจะสามารถกาหนดเกรดคะแนนของตนเองไดก้ ่อนทีจ่ ะมีการประกาศผลด้วยซ้าไป และอกี
อยา่ งบางรายวชิ าจะมคี ะแนนในการเรยี นหรือเก็บคะแนนระหวา่ งภาคจะมากอยู่แลว้ ดว้ ยการสอบเก็บ
คะแนนหรือการเกบ็ จากกิจกรรมตา่ ง ๆ ในระหว่างเรยี น เพราะการเรยี นสมยั ใหม่จะเนน้ ที่การแลกเปล่ียน
เรียนรูร้ ว่ มกนั และการแสวงหาความรู้ ดังน้นั บางรายวชิ าอาจจะเก็บคะแนนจากกจิ กรรมดังกลา่ วไว้มาก
พอทจ่ี ะตดั สินได้ในระดับหนึ่งวา่ ผ้เู รยี นจะไดเ้ กรดคะแนนอยใู่ นระดบั ใด ดังน้ันจึงขอให้นิสติ ต้ังใจเรยี นตงั้ แต่
ตน้ เทรอมของการเรียนในแต่ภาคการศึกษานน้ั ๆ และติดตามกิจกรรมทผ่ี ้สู อนส่งั ให้ทาอย่างต่อเนื่อง การ
เรยี นของนสิ ิตกจ็ ะประสบกับความสาเร็จและสอบได้เกรดคะแนนตามท่ีปรารถนา

๑๓๑

------------------------------------------------------------------------------------------

หนังสอื อา้ งอิง

นรนิ ทร์ บุญชู . เทคนิคการสอบไล่ให้ไดค้ ะแนนดี. กรงุ เทพฯ : ขา่ วรามคาแหง , ๒๕๒๙.
----------. การสอนทกั ษะวธิ ีการศกึ ษาค้นคว้าด้วยตนเอง. กรงุ เทพ ฯ : มหาวิทยาลัย

รามคาแหง, ๒๕๓๑.
ภิญโญ สาธร. เรียนอยา่ งไรจงึ จะเก่ง สอบอยา่ งไรจงึ จะได.้ กรุงเทพฯ : วัฒนพานิช, ๒๕๒๘.
สมั ฤทธ์ิ รตั นดารา. เรยี นอย่างไรจึงจะสาเรจ็ ได้ปรญิ ญา. กรุงเทพฯ : ชมรมนักกฎหมายชาวบา้ นแหง่

ประเทศไทย, ๒๕๒๘.
สปุ ราณี สนธริ ตั น. วธิ ีเพม่ิ สมรรถภาพในการเรยี น. กรงุ เทพฯ : คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั

เกษตรศาสตร,์ มปป.



กจิ กรรม/แบบฝึกหดั ทา้ ยบทท่ี ๘

ตอนท่ี ๑ คำสั่ง จงเติมคาลงในช่องว่างต่อไปนใี้ หส้ มบูรณ์

๑๓๒

๑. การทบทวนตาราก่อนสอบควรทาก่อนสอบประมาณ.................................................................
๒. การสอบนอกจากอาศัยความรู้ความเข้าใจแล้วยังตอ้ งอาศยั ........................................................
๓. การสอบปรนยั อย่างแรกท่ีตอ้ งทาคอื .....................................................................................
๔. ถา้ พบข้อสอบที่ยากตอบไมไ่ ด้เราควรดาเนนิ การสอบด้วยการ.....................................................
๕. การสอบขอ้ สอบอตั นัยอันดบั แรกตอ้ ง................................................................................

ตอนที่ ๒ คำสงั่ จงตอบคาถามต่อไปน้ี ตามความเขา้ ใจของนสิ ิตทีไ่ ด้เรียนมา ในบทนี้
๑. มวี ิธีการขั้นตอนในการเตรียมสอบเพื่อให้ประสบความสาเรจ็ อยา่ งไร อธิบายมา ?
๒. ถา้ เราดหู นังสอื ไม่ทัน มีวธิ ีการเตรยี มตัวในการสอบอย่างไร อธิบาย ?
๓. ในขน้ั การสอบ ควรปฏิบัติตัวอย่างไรในการสอน อธิบายมาให้เข้าใจ ?
๔. มหี ลักการและวิธีการอยา่ งไรในการทาข้อสอบที่เป็นอตั นัย ?

*************

บรรณานกุ รม

กอบแกว้ โชตกิ ญุ ชรและคณะ. การเขยี นรายงานและการใช้ห้องสมุด. กรุงเทพฯ : แมค็ ,๒๕๔๔.
จาลอง ดษิ ยวณิช. จติ เวชศาสตร์. พมิ พค์ รงั้ ที่ ๒, กรุงเทพฯ : พระสิงห์การพิมพ์ . ๒๕๒๒
ชนะ เวชกลุ . การเขียนรายงานจากการค้นควา้ . กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร์, ๒๕๒๙.
ชานาญ นศิ ารตั น์. การค้นควา้ และการเขียนรายงาน. กรุงเทพฯ : กรมการศึกษานอกโรงเรยี น,

๒๕๓๐.
ชัยวฒั น์ อตั พฒั น์. ญาณวทิ ยา. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง, ๒๕๒๘.
ชตุ ิมา สจั จานันทรแ์ ละพนั ทพิ า มแี ต้ม. ห้องสมดุ และการศกึ ษาค้นคว้า. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ครุ ุ

สภา, ๒๕๓๐.
ดนยั ไชยโยธา. หลักการเรยี นการสอนในสภาการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : โอ.เอส พร้ินตงิ้ เฮาส์,

๒๕๒๔.
ทนิ ประภา จีรพันธ.ุ เทคนิคการสือ่ ความหมาย. กรุงเทพฯ : พฒั นาการวชิ าการ ๒๕๓๕. ๒๕๓๘.
ทพิ วรรณ หอมพูลและคณะ. เทคนิคการคน้ หาขอ้ มลู การเขียนรายงานและการใช้ห้องสมดุ .

กรงุ เทพฯ : ฟสิ กิ สเ์ ซน็ เตอร์, ๒๕๔๒.
ธาดาศักด์ิ วชริ ปรชี าพงษ์. บรรณารักษศ์ าสตรเ์ บื้องตน้ . กรงุ เทพฯ : โอ.เอสพร้นิ ตงิ้ เฮาส์, ๒๕๒๔.
ธนู ทดแทนคุณ. การเขยี นรายงานทางวิชาชพี . กรุงเทพ ฯ: โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๗.
ฐิติรัตน์ ลดาวัลย,์ ม.ล. การใชภ้ าษาไทย. พมิ พ์ครง้ั ท่ี ๒ . กรงุ เทพมหานคร: ภาควิชาศลิ ปศาสตร์:

มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ , ๒๕๓๐.
เถกิงกิจ แกว้ เสนห่ .์ อา่ นอ่างไรอา่ นใหด้ .ี กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช, ๒๕๓๘.
นรนิ ทร์ บุญชู . เทคนิคการสอบไล่ให้ได้คะแนนดี. กรุงเทพฯ : ข่าวรามคาแหง, ๒๕๒๙.
----------. การสอนทกั ษะวิธีการศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง. กรุงเทพ ฯ : มหาวทิ ยาลัย

รามคาแหง, ๒๕๓๑.
นวลจันทร์ รตั นากร . การใชห้ อ้ งสมดุ . พิมพค์ ร้งั ที่ 2. กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร์, ๒๕๓๕.
บุญธรรม กิจปรชี าบริสทุ ธิ์. คมู่ อื การวจิ ัย การเขยี นรายงาน. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั มหิดล,

๒๕๓๒.
ประชมุ เปย่ี มสมบูรณ์. การวิจัยประเมินผล. กรุงเทพฯ : การพมิ พ์พระนคร, ๒๕๓๐.
ปรชี า ช้างขวัญยนื และคณะ. เทคนคิ การเขยี นและผลติ ตารา. กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณ์

มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๒.
พวา พันธเุ์ มฆา. สารนเิ ทศการศกึ ษาคน้ ควา้ . กรงุ เทพฯ : พญาไทยการพมิ พ์, ๒๕๓๕.
ไพฑูรย์ สนิ ลารตั น์. การวจิ ัยทางการศกึ ษา, กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๓๐.
ภิญโญ สาธร. เรียนอย่างไรจึงจะเก่ง สอบอยา่ งไรจงึ จะได.้ กรงุ เทพฯ : วัฒนพานชิ , ๒๕๒๘.
ฝน แสงสงิ แกว้ . เร่อื งของสุขภาพจิต. กรงุ เทพฯ. โรงพิมพ์ชวนพมิ พ์, ๒๕๒๑.
รญั จวน อนิ ทรกาแหง. การใช้ห้องสมดุ . กรุงเทพฯ : วฒั นาพานชิ , ๒๕๑๘.
วีรวรรณ วรรณโท. งานหอ้ งสมดุ . กรุงเทพฯ : บรรณกิจ ๑๙๙๑,๒๕๔๕.
ลมุล รัตนากร,ดร. การใชห้ ้องสมดุ . กรงุ เทพมหานคร:วฒั นาพานิช, ๒๕๒๒

๑๓๕

วราวุธ ผลานนั ต.์ งานวารสารและหนังสอื พิมพ์ในหอ้ งสมุด. กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร,์ ๒๕๓๖.
วัลลภ สวัสวิ ลั ลภ. คมู่ อื งานเทคนิคและการฝกึ งานหอ้ งสมุด. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์อกั ษรไทย,

๒๕๓๒.
--------------------- เทคนคิ การคน้ ควา้ และเรยี บเรียงรายงานและผลงานทางวิชาการอย่างมี

ประสทิ ธิภาพ. กรงเทพฯ : บรรณกิจ, ๒๕๓๘
วิจติ ร บุญยชโรกลุ . เทคโนโลยเี ทคนคิ การศึกษา. กรงุ เทพฯ : เอเชียการพมิ พ์, ๒๕๒๙.
วาณี ฐาปนวงศ์. หอ้ งสมุดและการศึกษาค้นควา้ . กรงุ เทพฯ : โอ.เอส.พรนิ้ ตงิ้ เฮาส์, ๒๕๒๙.
มาลนิ ี จฑุ ะรพ. จติ วทิ ยาการเรยี นการสอน. พิมพ์ครัง้ ที่ ๑.กรุงเทพฯ: โรงพิมพค์ ุรสุ ภา. ๒๕๓๗.
สโุ ขทัยธรรมาธิราช, มหาวทิ ยาลัย. พื้นฐานการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิ

ราช, ๒๕๓๐.
สัมฤทธ์ิ รัตนดารา. เรยี นอย่างไรจงึ จะสาเร็จได้ปริญญา. กรงุ เทพฯ : ชมรมนักกฎหมายชาวบ้าน

แห่งประเทศไทย, ๒๕๒๘.
สมบตั ิ จาปาเงินและสาเนยี ง มณกี าญจน.์ หลกั นกั อา่ น. กรุงเทพฯ: ตอ้ อ้อ, ๒๕๓๙.
สมพิศ คูศรพี ิทกั ษ.์ ระบบห้องสมุดอตั โนมตั แิ ละเครอื ขา่ ยห้องสมุดทางวิชาการในประเทศไทย.

กรงุ เทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชัน่ , ๒๕๓๙.
สกุ ัญญา กลุ นิติ. หอ้ งสมุดและสารสนเทศ เพ่อื การศึกษาคน้ ควา้ . กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์,

๒๕๔๙.
สุกานดา ดโี พธก์ิ ลางและคณะ. ทรพั ยากรสนเทศเพอื่ การศึกษาค้นควา้ . พิมพค์ รงั้ ท่ี ๓.

กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยธรุ กิจบัณฑติ ย,์ มปป.
สุปราณี สนธริ ัตน. วธิ เี พมิ่ สมรรถภาพในการเรียน. กรุงเทพฯ : คณะสังคมศาสตร์

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร,์ มปป.
สวุ ทิ ย์ มูลคาและอรทัย มูลคา. การเรียนรู้สคู่ รมู อื อาชีพ. กรงุ เทพฯ : ดวงกมลสมัย, ๒๕๔๔.
อารยี ์ พันธ์มณี,รศ.ดร.. จิตวทิ ยาการเรยี นการสอน. กรุงเทพฯ: ตน้ อ้อ๑๙๙๙, มปป.
อาไพวรรณ ทพั เปน็ ไทย. การเขียนรายงานและการใช้ห้องสมุด. กรงุ เทพฯ : ศนู ยส์ ง่ เสริม

อาชีวะ, ๒๕๔๐.
เออ้ื มพร ทศั นประสทิ ธผิ ล. สารนิเทศเพ่ือการศึกษาคน้ คว้า. กรงุ เทพฯ : สวุ ีรยิ าสาสน,์ ๒๕๔๒.
Kenneth S. Goodman and Olive S. Niles, Reading Process and Program
(Urbana, ILL.:

National Council of Teacher of English, 1970), pp.3-6
Jim D. Chughey and Johnson W. Arlee, Speech Communication (N.Y. : Macmillan

Publishing,1975) P.35.


Click to View FlipBook Version