The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by social study, 2021-06-05 13:08:29

เอกสารประกอบการสอนวิชาเทคนิคการศึกษาระดับอุดมศึกษา

ผู้แต่ง ผศ.อนุสรณ์ นางทะราช

๓๖

๒. สารานุกรม (Encyclopedias) ความร้แู ละเร่ืองราว ให้ความรพู้ ื้นฐานในสาขาวิชา

- ท่วั ไป ท่ัวๆ ไป ต่างๆ โดยสงั เขป

- เฉพาะวิชา

๓. หนังสือรายปี (Yearbook) เรอ่ื งราวสาคัญๆ เรื่องราวเหตุการณแ์ ละสถิติที่

- สมพตั รสร เหตกุ ารณ์ที่ สาคญั ๆ ในด้านตา่ งๆ

- รายงานประจาปี น่าสนใจในรอบปนี ้ี

- เพิ่มเติมของสารานกุ รม น้นั ๆ

๔. หนงั สอื คมู่ ือ (Handbook, ความรู้ ข้อเท็จจริง ความรู้ ขอ้ เท็จจริงวธิ ปี ฏิบัติใน

Manuals) เร่ืองราวต่างๆ ประกอบดว้ ย

ตารางสถติ ิ

๕. สง่ิ พิมพ์รฐั บาล (Government ผลงานของทาง กฎหมายต่างๆ พระราชบญั ญตั ิ

Publications) ราชการ กฎหมาย กฎกระทรวง พระราชกาหนด

- ราชกจิ จานุเบกษา ราชกจิ จานเุ บกษาและประกาศ

- สิง่ พิมพ์ของหน่วยราชการต่างๆ ของทางราชการอื่นๆ ที่มีผลให้

บงั คับ

๖. แผนท่ี (Maps Atlases) สถานท่ี ประเทศ ตาแหนง่ ทต่ี งั้ ลกั ษณะ

เขต เมอื งรฐั แม่นา้ ระยะทาง เสน้ รุ้ง เสน้ แวง

ภเู ขา มหาสมุทรเกาะ

ประเภทของหนังสืออา้ งอิง ใชค้ น้ คว้าเกย่ี วกบั ข้อมูลทคี่ ้นหาได้

๗. อกั ขรานกุ รมภูมิศาสตร์ สถานที่ ชื่อเมือง ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ ดนิ ฟ้า

(Geographical Dictionaries) ภูเขา แมน่ ้า เกาะ อากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ

การคมนาคม เช้อื ชาติ

เผา่ พนั ธ์ุ ขนบธรรมเนียม

ประเพณคี วามเป็นอยู่

๘. อักขรานุกรมชีวประวัติ ประวตั ิบคุ คล ชวี ประวตั บิ คุ คลสาคญั

(Biographical Dictionaries) สถานภาพ การศึกษา

บคุ คลทั่วๆไป ตาแหนง่ หน้าที่การงาน ผลงาน

สาคญั และปเี กดิ -ปีตาย

- บุคคลเฉพาะกลุม่ อาชพี เชือ้

ชาติ ศาสนา เพศ

๙. นามานุกรม (Directories) ราช่อื บุคคล ที่อยู่ ช่ือ-นามสกลุ ของบคุ คล ชื่อ

สถานท่ีและ สถานท่ี ตาบลท่ตี ง้ั

หน่วยงานตา่ งๆ

๑๐. บรรณานกุ รม รายช่ือหนังสอื และ รายละเอยี ดทางบรรณานุกรม

(Bibliographies) สงิ่ พมิ พ์ตา่ งๆ ของหนังสือและส่งิ พมิ พ์ได้แก่

ช่ือผแู้ ตง่ ชือ่ หนงั สอื สถานท่ี

๓๗

๑๑. ดชั นี (Index) รายชอื่ บทความใน พิมพ์ สานักพิมพ์ ปีทพี่ มิ พ์
วารสารและ จานวนหน้า ราคา บรรณ
หนังสือพิมพ์ นิทัศน์สังเขป

ช่ือผูแ้ ต่ง ชื่อบทความ ช่ือ
วารสาร หรอื หนังสือพิมพ์
เลม่ ท่ี ปที ี่ วนั เดอื นปี เลข
หนา้ ทป่ี รากฏ

๕. หนังสอื พิมพ์

สว่ นประกอบของหนงั สือพิมพ์

๑. พาดหัวข่าว (Headlines)
เป็นส่วนที่สาคัญท่ีสุดของหนังสือพิมพ์ พิมพ์ไว้หน้าแรกคือการเลือกข่าวท่ีสาคัญและ

นา่ สนใจมากท่ีสุดมาย่อสรุปให้ส้ัน พิมพ์ด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ สะดุดตา เพ่ือเรียกร้องความ
สนใจของผู้อ่านและเพ่ือประหยัดเวลาของผู้อ่านที่ไม่มีเวลาพอที่จะอ่านได้ทุกข่าว พาดหัวข่าวจะ
ชว่ ยให้ผู้อ่านเลือกข่าวท่ีตนสนใจมากที่สุด หนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่จะพาดหัวข่าวเพียงหน่ึงหรือสอง
หวั ข่าวและไมเ่ กินสามขา่ ว โดยจัดขนาดตัวพมิ พ์ลดหล่ันกันลงมาตามระดับความสาคัญของขา่

๒. เนือ้ หา ประกอบด้วย
๒.๑ ข่าว (News) คือรายงานเหตุการณ์ สถานการณ์หรือเร่ืองราวที่น่าสนใจท่ี

เกดิ ข้นึ สดๆ และปัจจบุ นั ของคน ของประเทศ หรอื ของโลก ขา่ วมี ๒ ประเภทคือ
- ข่าวแข็ง (Hard news) ได้แก่ข่าวที่มีประโยชน์ เช่นข่าวเศรษฐกิจข่าว

การศกึ ษา วัฒนธรรมการบรหิ ารประเทศและความสมั พันธร์ ะหว่างประเทศ สว่ น
- ข่าวอ่อน(Soft news)ได้แก่ข่าวกีฬา ข่าวอุบัติเหตุ ข่าวอาชญากรรม ข่าว

ธุรกิจบนั เทิง ขา่ วสังคม
๒.๒ บทนา หรือ บทบรรณาธิการ เขียนโดยบรรณาธิการ เป็นบทความวิจารณ์ที่

แสดงความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั ข่าวหรอื เรอื่ งทีน่ ่าสนใจในขณะนน้ั
๒.๓ สารคดี คือ เรือ่ งทใี่ หค้ วามรู้ สาระต่างๆ หรอื เป็นวชิ าการ
๒.๔ คอลัมน์ประจา จะมีผู้เขียนประจา และมีชื่อตามความเหมาะสม เสนอเนื้อหา

เก่ยี วกับเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงทต่ี พี ิมพเ์ ปน็ ประจาในหนงั สือพิมพแ์ ตล่ ะฉบบั
๒.๕ บนั เทงิ คดี เช่น ลงนวนยิ ายเร่ืองยาวเป็นประจา

๓. ภาพประกอบ เป็นส่วนสาคัญท่ีทาให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจ และน่าสนใจในข่าวและ
คอลัมน์ต่างๆ มากยิ่งขึ้น ภาพประกอบการเสนอข่าวสดส่วนมากเป็นภาพ่ีถ่ายมาโดยตรง จาก
เหตุการณ์ หรือสถานที่ท่ปี รากฏเปน็ ขา่ ว อาจเปน็ ภาพสหี รือขาวดา

๔. โฆษณาประชาสัมพันธ์ เป็นโฆษณาแจ้งความของบริษัทห้างร้าน เช่นเดียวกับ
วารสารเป็นการช่วยลดคา่ ใช้จ่ายในการจัดทาหนงั สอื พิมพ์ ประชาสัมพันธ์ในหนังสือพิมพ์จะช่วย
ให้ผู้อ่านทราบว่าจะซ้ือสินค้าหรือบริการได้ที่ไหน รู้แหล่งที่จะหางานทา หนังสือพิมพ์ที่ดี

๓๘

จะต้องไม่มุ่งกอบโกยแต่ผลประโยชน์ และลงโฆษณาแจ้งความมากจนเกินไป ซ่ึงเป็นการเอา
เปรยี บผอู้ ืน่

๖. วารสาร

๖.๑ วารสารมี ๓ ประเภทคือ

๑. วารสารวิชาการ
๒. วารสารข่าวและวิจารณ์ข่าว
๓. วารสารทว่ั ไปหรือวารสารเพอื่ การบนั เทงิ

๖.๒ ส่วนประกอบของวารสาร

วารสารส่วนมากมีขนาดรูปเล่มต่างๆ กัน และมีขนาดกว้างใหญ่กว่าหนังสือธรรมดา
มีการจัดพิมพ์ออกมาอย่างต่อเน่ืองกันในระยะเวลาท่ีมีการกาหนดแน่นอน การจัดพิมพ์แบ่งเป็น
คอลัมนส์ ว่ นประกอบต่างๆ ของวารสารท่ีสาคญั มดี งั น้ี

๑) ปก ปกของวารสารส่วนมากเป็นปกอ่อน วารสารเพื่อการบันเทิงจะมีภาพพิมพ์
สีสันสวย งามเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้อ่า แต่วารสารวิชาการส่วนมากจะพิมพ์ลายสารบัญเร่ือง
แทนรูปภาพท่ีปกหน้าแทน และท่ีปกหน้าจะมีชื่อวารสาร ปีท่ี ฉบับ วัน เดือน ปี ท่ีออกไว้
ทกุ ฉบับ

๒) สารบญั อยูถ่ ัดจากปกหน้า หรอื อาจจะอยูด่ ้านหลงั ของปกหนา้ มีลกั ษณะ
คล้ายกับสารบัญของหนังสือ คือจะแจ้งวา่ มบี ทความหรือข้อเขียนอะไร อยู่ในฉบบั นนั้ บ้าง
และเร่ืองนั้นๆ เรมิ่ ตน้ ในหน้าใด ใครเป็นผูเ้ ขียน หน้าสารบัญนี้นอกจากจะแจ้งชื่อ วารสาร ปที ่ี
ฉบับท่ี วนั เดือน ปที ีอ่ อกเชน่ เดียวกับปกหน้าแล้ว ยังมีรายละเอียดอื่นๆ อกี เชน่
วตั ถปุ ระสงค์ของวารสาร กาหนดออก อัตราการบอกรับเปน็ สมาชิกรายปี สถานที่ติดต่อ หรอื
สานกั งาน รายชือ่ คณะบรรณาธกิ ารและคณะผจู้ ดั ทาอืน่ ๆ เป็นต้น

๓) เน้ือหา จดั เรียงลาดบั ตามท่ีแจ้งไว้ในสารบญั ถา้ เป็นวารสารเพ่อื การบนั เทิง
หรือวารสาร ทัว่ ไปเน้ือหามมักจะประกอบดว้ ยบทบรรณาธิการ นวนิยายซง่ึ ลงติดตอ่ กันไปทกุ ฉบับ
จนจบเรื่อง เร่ืองสั้น สารคดี นทิ าน และคอลัมน์ความรู้เบด็ เตล็ดต่างๆ สรุปข่าว แต่ถ้าเป็น
วารสารวชิ าการ ก็จะมบี ทบรรณาธิการ บทความในสาขาวชิ าต่างๆ ตามวตั ถุประสงค์ของ
วารสารนนั้ ๆ ซ่ึงเขียนโดยผทู้ รงคณุ วุฒิ ภายในบทความอาจมีเชิงอรรถและบรรณานกุ รม หรือ
เอกสารอ้างอิงบอกแหล่งค้นควา้ อ้างอิงประกอบการเรยี บเรียง วารสารวจิ ารณข์ า่ วจะเสนอข่าวและ
บทวิจารณเ์ ป็นสว่ นมาก

๔) ภาพประกอบ มคี วามสาคัญต่อวารสารหรือนิตยสารมาก โดยเฉพาะวารสาร
ประเภทเสนอ เรื่องราวโดยใช้ภาพประกอบในการอธิบายเน้ือหา ภาพประกอบในวารสารมีสว่ น
สาคัญต่อวารสารคือ ใช้ภาพประกอบการอธิบายเรอื่ งใหเ้ ข้าใจ ดงึ ดูดความสนใจใช้ภาพส่ือ
ความหมาย ช่วยในการจดั หน้าวารสาร

๕) โฆษณาประชาสัมพนั ธ์ วารสารเกือบทุกฉบับมีการโฆษณาแจ้งความสนิ คา้ หรือ
บรกิ ารของบริษัทห้างร้านต่างๆ แทรกไว้ในส่วนต่างๆของเล่มรวมทั้งท่ีปกหลังด้านนอกด้วยเพื่อนา
คา่ โฆษณาไปช่วยค่าใชจ้ ่ายในการจัดทาวารสาร วารสารทางวิชาการมักจะมีการลงโฆษณาน้อยกว่า

๓๙

วารสารทั่วไป และจะโฆษณาเฉพาะสิ่งท่ีเก่ียวข้องหรือให้ประโยชน์ต่อผู้อ่านในสาขาวิขาน้ันๆ
เทา่ นน้ั

๗. การระวงั รกั ษาหนงั สือ

๑. เมื่อต้องการหยิบหนังสือบนชั้น อย่าใช้น้ิวดึงส่วนบนของสันออกมาเลยเพราะจะทาให้
สันฉกี ขาดควรใชม้ อื จับกลางสนั หนังสือเล่มทต่ี อ้ งการดึงออกมา

๒. เกบ็ หนงั สือไว้ในท่ีไมเ่ ปียกชน้ื หรือร้อนอบอ้าวจนเกินไป
๓. ระมัดระวงั อย่าให้หนังสอื ตกจากท่สี ูง
๔. หนังสอื ทเี่ ป็นสมบตั ิของสว่ นรวมผใู้ ชไ้ ม่ควรขดี เขยี น หรอื ทาเครื่องหมายใดๆ ในหนังสือ
๕. เมื่อพบข้อความที่ควรจาควรจดบนั ทกึ ในสมุดสว่ นตวั ไม่ควรฉกี ตัดรูปหรอื ข้อความใดๆ
จากหนงั สอื
๖. ไม่นาหนังสือไปใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งอ่นื เช่น กนั แดด กันฝน หรือหนุนแทนหมอนเป็นตน้
ระวังอยา่ ทาหนงั สอื เปรอะเปื้อนเปียกช้ืน เพราะจะทาใหห้ นังสอื สกปรกกระดาษเป่ือยตัวอักษร
เลอะเลือน และความชน้ื อาจทาใหห้ นังสอื ข้นึ ราได้ ทาให้หนา้ หนังสือตดิ กันเปิดไมไ่ ด้
๗. วางหนังสือให้พ้นมือเด็ก เพราะเดก็ อาจฉีกหนังสอื เล่น หรือขีดเขยี นบนหนงั สอื ทาให้
หนังสือสกปรกได้ระมัด
๘. ระวังศตั รูที่จะทาอันตรายกบั หนงั สือ เช่น ปลวก แมลงสาบ มด เป็นตน้
๙. ไม่ควรวางหนังสอื ซอ้ นกนั เป็นต้ังสูง เพราะเล่มท่ีอยูต่ อนลา่ งจะถูกน้าหนกั ของหนังสอื
ตอนบนกดทบั ทาใหส้ นั หนังสอื ชารดุ ไดง้ า่ ย และหากตงั้ หนังสอื ลม้ ลงจะทาใหม้ ุมหนังสือหักและ
เสียทรง
๑๐. ไม่ควรเกบ็ หนงั สือไว้ในบริเวณท่มี แี ดดส่องถึงโดยตรง เพราะแสงแดดจะทาให้กระดาษ
แหง้ กราอบและหมึกพิมพส์ จี างลง
๑๑. ถา้ เหน็ วา่ หนงั สือเล่มใดนา่ สนใจทีจ่ ะเกบ็ ไว้อา่ นนาน ๆ ควรใช้วธิ ีถา่ ยเอกสาร ซ่ึง
ปัจจุบนั สามารถทาได้รวดเร็วและมคี ุณภาพดเี หมอื นต้นฉบับทุกประการ

หนงั สอื อ้างองิ

อาไพวรรณ ทัพเป็นไทย. การเขยี นรายงานและการใช้หอ้ งสมุด. กรุงเทพฯ : สานักพมิ พ์
ศนู ย์สง่ เสรมิ อาชวี ะ, ๒๕๔๐.

๔๐

กจิ กรรม/แบบฝกึ หดั ทา้ ยบทที่ ๓

ตอนท่ี ๑ คำสั่ง จงเตมิ คาลงในชอ่ งวา่ งตอ่ ไปนใ้ี หส้ มบูรณ์

๑. วัสดุส่ิงพมิ พท์ ีบ่ ันทึกความรคู้ วามฉลาด คือ.................................................................
๒. ประเทศไทยกาหนดหน้าหนงั สอื จานวน...............................................เรียกวา่ หนังสือ
๓. หนังสือมีอยู่.........ประเภท คือ...............................................................................
๔. หนงั สอื ทน่ี ามาอ้างเป็นสว่ นท่สี าคัญและหายาก เรียกว่า.................................................
๕. หนงั สือทอี่ อกเป็นรายสปั ดาห์หรอื เดือน ปี คือ............................................................

ตอนที่ ๒ คำสั่ง จงตอบคาถามตอ่ ไปน้ี ตามความเข้าใจของนิสติ ที่ได้เรียนมา ในบทน้ี

๑. จงอธิบายความหมาย และความสาคัญของหนังสือมา ?
๒. พจนานุกรม หมายถงึ หนงั สือประเภทใดและสาคญั อย่างไร จงอธิบายมา ?
๓. คาวา่ พิมพ์ลักษณ์(Imprint)คืออะไร อธิบายมา ?
๔. หนงั สอื อ้างอิง(Reference Book)คือหนังสืออะไร จงบอกมา ?
๕. หนงั สอื สมพัตสาร คอื หนังสอื อย่างไร จงอธิบายมาใหเ้ ข้าใจ ?

***********

บทที่ ๔

การวเิ คราะหห์ มวดหมู่หนงั สือ

๑. ความหมายการวเิ คราะหห์ มวดหมู่หนังสอื

การวิเคราะห์หมวดหมู่หนังสือ หมายถึง การจัดหมวดหมู่หรือแยกประเภทหนังสือ
ตามเนอ้ื เรือ่ งหรือลักษณะคาประพันธ์ แลว้ คดิ สัญลกั ษณ์ข้นึ แทนประเภทของหนงั สือ

๒. ลกั ษณะของการวิเคราะห์หมวดหมหู่ นงั สือ

๑. หนงั สอื ทมี่ เี นือ้ เรอื่ งอยา่ งเดยี วกันหรอื คล้ายคลงึ กันจะอยรู่ วมกัน
๒. หนงั สือท่ีมเี น้ือเรอื่ งสัมพนั ธ์กนั จะอยใู่ กล้ๆ กัน
๓. หนงั สือทม่ี ลี กั ษณะคาประพนั ธอ์ ย่างเดยี วกนั จะอยรู่ วมกันตามภาษาของคาประพันธ์นัน้ ๆ
๔ . ช่วยให้ผใู้ ชส้ ามารถค้นหาหนงั สือในห้องสมดุ ไดส้ ะดวกและรวดเร็ว
๕ . ให้จดั เก็บหนังสอื เขา้ ทีไ่ ด้ถูกตอ้ งและรวดเรว็
๖. ให้ทราบจานวนหนงั สอื แตล่ ะหมวดหมูใ่ นห้องสมุดว่ามีจานวนเท่าไร ควรจดั หา หนังสือ
สาขาวชิ าใดเพม่ิ เติมอกี
๗. หนงั สอื แต่ละเล่มจะมีสัญลกั ษณท์ ี่เข้าใจงา่ ยแทนเนอ้ื เร่ืองของหนังสือ สัญลักษณ์ท่ใี ชแ้ ทน
นน้ั อาจเป็นตัวเลขตวั อกั ษรหรอื ตวั อกั ษรผสมกบั ตวั เลขกไ็ ดโ้ ดยเขียนไวต้ อนลา่ งของสนั หนังสือ

๓. ระบบการวเิ คราะหห์ มวดหมหู่ นงั สอื

กาวิเคราะห์หมวดหมู่หนังสือมีหลายระบบ แต่ท่ีนิยมใช้กันแพร่หลายทั่วโลกรวมท้ังห้องสมุด
ในประเทศไทยดว้ ยมี ๒ ระบบคอื

๓.๑ ระบทศนิยมของดวิ อ้ี (Dewey Decimal Classification)
๓.๒ ระบบหอสมุดรัฐสภาอเมรกิ า (Library of Congres Classification)

๓.๑ การวเิ คราะห์หมวดหมหู่ นงั สือระบบทศนยิ มของดวิ อี้

การจดั หมวดหมู่หนังสอื ของดวิ อ้ี เกิดจากการวเิ คราะห์หนังสอื กอ่ นจากน้ันจงึ จะจัด
หนังสอื ลงในหมวดหมแู่ ต่กลุ่ม ซึง่ ดวิ อี้ได้คิดระบบนข้ี น้ึ มาใช้เรียกยอ่ ๆ วา่ ระบบ D.C หรอื D.D.C.
ระบบนตี้ ้ังชอื่ ตามผู้คดิ ค้นคือ นายเมลวิล ดิวอี้ (Melvil Dewey) ชาวอเมริกา จดั พิมพเ์ ปน็
รูปเล่มครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. ๑๘๗๖ และไดม้ ีการปรับปรุงแก้ไขเพ่ิมเตมิ เลขหมู่ให้ทันสมยั อยู่เสมอ
และจัดพิมพ์ใหม่ครง้ั ล่าสุดเม่ือปี พ.ศ. ๒๕๓๔ เปน็ การพิมพค์ รง้ั ที่ ๒๐ ระบบน้ีใช้ตวั เลขเปน็
สัญลกั ษณ์แทนชนิดของหนังสือโดยใชต้ ัวเลขสามหลักและยังสามารถใชจ้ ุดทศนิยมหลังเลขหลักร้อย
ช่วยในการแบง่ ยอ่ ยเนื้อหารายวิชาไดอ้ ีกดว้ ย ระบบนี้ใช้งา่ ย เขา้ ใจ และจาได้งา่ ย จงึ เป็นระบบ
การจดั หมวดหมู่ทน่ี ิยมใช้กันแพร่หลายในหอ้ งสมดุ โรงเรยี น ห้องสมุดประชาชนในทุกๆ ประเทศทั่ว
โลก รวมทั้งประเทศไทยเราด้วย

๔๓

ความสาคัญของระบบทศนยิ มของดิวอ้ี
๑. เป็นระบบท่ีจัดขึ้นตามหลักทฤษฎี คือ กาหนดการแบ่งหมวดหมู่ความรู้ ในแต่ละหมู่
เปน็ กฎเกณฑแ์ นน่ อน โดยแบ่งวิชาความรู้ออกเปน็ ๑๐ หมวด แต่ละหมวดแบง่ เปน็ ๑๐ หมู่
แตล่ ะหมูแ่ บ่งออกเปน็ ๑๐ หมูย่ ่อย และอาจแบ่งให้ละเอยี ดไดอ้ กี โดยใช้จดุ ทศนิยมเข้าช่วย
๒. การแบ่งแต่ละหมวดหมู่เป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยเร่ิมต้นจากหนังสือที่มีเน้ือหาอย่าง
กว้างๆ ไปจนถึงเน้ือเรอื่ งทีเ่ ฉพาะเจาะจง
๓. มสี ่วนประกอบสาคญั ของส่วน คอื ส่วนที่เปน็ ตารางเลขหมู่ กบั สว่ นท่เี ป็นดรรชนี ซึ่ง
เรียกว่า ดรรชนีสัมพนั ธ์
๔. แบ่งตามลาดับหมวดใหญๆ่ ไปหาหมวดย่อยๆ

การแบ่งคร้ังท่ี ๑ แบ่งตามความรู้ตา่ งๆ ออกเปน็ ๑๐ หมวดใหญ่(Classes) ดังนี้
000 เบ็ดเตล็ด รวมท้งั สารานุกรม บรรณานกุ รม และบทบรรณารักษ์ศาสตร์
100 ปรัชญา จิตวิทยา
200 ศาสนา
300 สงั คมศาสตร์
400 ภาษาศาสตร์
500 วิทยาศาสตร์
600 วทิ ยาศาสตรป์ ระยกุ ต์ หรือเทคโนโลยี
700 ศลิ ปกรรม และการบนั เทงิ
800 วรรณกรรม
900 ประวัติศาสตร์ และภมู ศิ าสตร์

การแบง่ ครั้งที่ ๒ เป็นการแบง่ หมวดใหญ่ออกเปน็ ๑๐ หมวดยอ่ ย รวมเป็น ๑๐๐ หมวด
ยอ่ ย โดยใช้เลขสิบแทนสาขาวชิ า ตวั อยา่ งเช่น จากหมวดใหญ่ 300 แบ่งเป็น หมวดย่อยได้ ๑๐
หมวดดงั น้ี

300 สังคมศาสตร์
310 สถติ ิ
320 รฐั ศาสตร์
330 เศรษฐศาสตร์
340 กฎหมาย
350 รัฐประศาสนศาสตร์
360 สังคมศาสตร์
370 การศกึ ษา
380 การพาณชิ ย์
390 ขนบธรรมเนียมประเพณี
จะเห็นไดว้ ่า เลขหมวด ๓๐๐ เปน็ เลขหมสู่ าหรบั หนังสอื เก่ยี วกับสังคมศาสตร์ท่ัวไปกวา้ งๆ ไม่
เฉพาะเจาะจง ส่วน 310-390 นนั้ เปน็ เลขหมู่วิชายอ่ ยๆ ของหมวดสังคมศาสตร์
การแบ่งคร้ังที่ ๓ เปน็ การแบง่ หมวดยอ่ ยแต่ละหมวดออกเป็น ๑๐ หมู่ย่อย รวมเป็น
๑,๐๐๐ หมยู่ ่อย โดยใช้เลขหลักหนว่ ยย่อย 370 แบ่งเป็นหมยู่ อ่ ยดังน้ี
370 การศึกษา

๔๔

371 การสอน

372 ประถมศึกษา

373 มธั ยมศึกษา

374 การศกึ ษาผ้ใู หญ่

375 หลกั สตู ร

376 การศึกษาของสตรี

377 การศึกษาทางศาสนาและศีลธรรมจรรยา

378 วทิ ยาลยั และมหาวทิ ยาลัย

379 การศึกษาและรฐั

นอกจากนี้ ยังสามารถแบ่งเป็น ๑๐ หมู่ย่อยแล้วยังสามารถแบ่งรายละเอียดเป็นแขนงวิชาต่างๆ

ไดอ้ กี โดยการใช้จุดทศนยิ มเข้าช่วย ดงั ตัวอยา่ ง

371 การสอน

371.1 การสอนและผู้สอน

371.2 การบริหารการศกึ ษา

371.33 โสตทัศนวสั ดุเพือ่ การสอน

371.33523 ภาพยนตร์

เหน็ ได้วา่ การจดั หมวดหม่หู นังสอื ระบบทศนยิ มของดวิ อ้ี จะใชว้ ธิ แี บง่ หนงั สอื จากหมวดหมู่

ใหญ่กวา้ งๆ ไปหาหมวดหมู่ย่อยๆ ต่อไปได้อีกโดยใช้จุดทศนยิ มแบบไม่รจู้ บ ดังน้นั ในการคน้ หา

หนังสอื อาจไมจ่ าเปน็ ต้องจาให้ไดท้ ัง้ หมด แตค่ วรจาให้ไดเ้ ฉพาะหมวดใหญ่ ๑๐ หมวด ว่าแต่ละ

หมวดเกย่ี วกับสาขาวิชาอะไรและจาเลขหมู่ของหนงั สือบางเลม่ ทีผ่ อู้ า่ นใช้เปน็ ประจากเ็ พียงพอแลว้

๓.๒ การจดั หมหู่ นังสอื ระบบหอสมดุ รัฐสภาอเมรกิ า (Library of
Congress Classification)

การจดั หมู่หนังสอื ระบบหอสมุดรัฐสภาอเมริกา หรือเรียกย่อๆ วา่ ระบบ
L.C. ผคู้ ดิ ระบบนีค้ ือ ดร.เฮอร์เบริ ต์ พทุ นัม(Dr. Herbert Putnum) ซงึ่ เปน็ บรรณารักษ์หอสมุด
รัฐสภาอเมริกา เป็นผู้คิดค้นข้ึนใน ค.ศ. ๑๘๙๙ การจัดหมู่หนังสอื ระบบนนี้ ยิ มใชก้ ับห้องสมดุ ท่ีมี
ขนาดใหญ่ และห้องสมดุ เฉพาะ ในประเทศไทยปจั จุบันมีหอ้ งสมุดของมหาวิทยาลยั หลายแห่งทีใ่ ช้
ระบบนี้ เชน่ หอสมดุ กลางมหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ สานักวทิ ยบรกิ ารมหาวิทยาลัยขอนแก่น
เป็นต้น ระบบน้ีใชส้ ญั ลักษณเ์ ปน็ ตัวอกั ษรโรมนั ผสมกบั เลขอารบิค ตั้งแต่ A – Z (ยกเว้น I O
W X Y ) และ 1 – 9999

การแบง่ หมวดหมหู่ นงั สือระบบ L.C. แบง่ จากหมวดใหญ่ไปหาหมวดยอ่ ยดังน้ี
การแบง่ คร้ังที่ ๑ (Main Classes) แบง่ ออกเปน็ ๒๐ หมวดใหญ่ โดยใช้ตัวอักษรโรมนั
A – Z แทนเนอ้ื หาวชิ าของหนงั สอื แตล่ ะหมวดดังนี้

A ความรู้ทวั่ ไป
B ปรัชญา และศาสนา จติ วิทยา ตรรกวทิ ยา จรยิ ศาสตร์
C ประวตั ิศาสตร์ โบราณคดี จดหมายเหตุ พงศาวดาร
D ประวัตศิ าสตร์ทวั่ ไป ประวัติศาสตรข์ องประเทศตา่ งๆ
E – F ประวัติศาสตร์ และภมู ิศาสตร์การทอ่ งเท่ยี วของอเมริกา

๔๕

G ภมู ิศาสตรท์ ่วั ไป มานุษยวทิ ยา กีฬา และบนั เทิง
H สังคมศาสตร์
J รฐั ศาสตร์ การเมอื ง การปกครอง
K กฎหมาย
L การศกึ ษา
M ดนตรี
N ศลิ ปกรรม วจิ ิตรศลิ ป์
P ภาษา และวรรณคดี
Q วทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์
R แพทยศาสตร์
S เกษตรศาสตร์
T เทคโนโลยี
U ยทุ ธศาสตร์
V นาวกิ ศาสตร์
Z บรรณานกุ รมและบรรณารกั ษ์ศาสตร์
การแบง่ ครงั้ ที่ ๒ (Sub - Classes) เป็นการแบ่งในแต่ละหมวดใหญ่ออกเป็นหมวดย่อย
ซึ่งแบง่ ออกยอ่ ยได้มากนอ้ ยต่างกนั โดยใช้สญั ลักษณ์เป็นตวั อกั ษรโรมันตัวใหญส่ องตัวตัวแทนเน้ือหา
ของหนงั สือ (ยกเว้น หมวด E- F และหมวด Z จะใช้ตวั อักษรตัวเดียวผสมกบั ตวั เลข)
ตวั อยา่ งหมวด T แบ่งออกเป็น ๑๖ หมวดยอ่ ยดังน้ี

TA วิศวกรรมศาสตร์ท่ัวไป วศิ วกรรมโยธาทวั่ ไป
TC วศิ วกรรมศาสตร์
TD เทคโนโลยีสงิ่ แวดล้อม วศิ วกรรมสขุ าภบิ าล
TE วิศวกรรมทางหลวง ถนน และผวิ การจราจร
TF วิศวกรรมรถไฟ และการปฏิบัติการ
TG วศิ วกรรมสะพาน
TH การกอ่ สร้างอาคาร
TJ วิศวกรรมเคร่อื งกล และเครื่องจกั ร
TK วศิ วกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิคส์ วศิ วกรรมนิวเคลยี ร์
TL ยานพาหนะ การบิน ยานอวกาศ
TN วศิ วกรรมเหมืองแร่ โลหะการ
TP เคมีเทคนิค
TR การถา่ ยภาพ
TS โรงงาน
TT งานฝมี ือ
TX คหกรรมศาสตร์
การแบง่ ครง้ั ท่ี ๓ (Subdivision) จากหมวดยอ่ ยเป็นหมู่ย่อย โดยเติมเลขอารบคิ ตง้ั แต่
1-9999 เข้าไปอาจเติมเป็นจดุ ทศนยิ มกไ็ ด้ และถา้ ต้องการกระจายเลขหมู่ให้ย่อยลงไปอกี กใ็ ช้อักษร
ตง้ั แต่ A – Z

๔๖

ลักษณะท่ีดีของระบบ L.C.
๑. สัญลกั ษณ์ที่ใชแ้ ทนเนอื้ หาหนงั สอื อา่ นเขา้ ใจงา่ ย และไม่ยืดยาวเกินไป
๒. มีขอบเขตกวา้ งขวางครอบคลุมวิชาการตา่ งๆ ได้ทกุ แขนงวชิ า
๓. สามารถแบง่ หนังสอื ตามเน้อื เร่อื งอยา่ งกว้างๆ จนถงึ เนื้อเรือ่ งเฉพาะเจาะจงลงไป
๔. สามารพเพิ่มเติมหรือขยายเลขหมู่ได้อีก เมื่อวิชาความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้น (มีอักษรท่ียัง
ไมไ่ ด้ใช้ อีก 5 ตัว I O W X Y )
๕. เป็นระบบท่ที นั สมยั เพราะมกี ารปรับปรุงเพ่มิ เติมเลขหมอู่ ย่เู สมอ
๖. มีบัตรสาเรจ็ รูปจาหนา่ ย
๗. เหมาะสาหรบั ห้องสมุดขนาดใหญ่ หรือห้องสมุดเฉพาะ

๔. เลขหมหู่ นงั สอื และเรียกหนงั สอื

เลขหมู่หนังสือ (Classification Number) ในระบบทศนิยมของดิวอ้ี เลขหมู่

หนงั สอื หมายถงึ ตัวเลขที่เป็นสญั ลักษณ์แทนประเภทของหนังสอื เช่น
150 หมายถงึ หนังสอื ประเภทจิตวิทยา
370 หมายถึง หนงั สือประเภทการศกึ ษา
510 หมายถงึ หนงั สือประเภทคณิตศาสตร์

เลขเรยี กหมู่หนังสือ (Call Number) คอื สัญลักษณ์ท่ีหอ้ งสมุดกาหนดขึ้น ใช้แทนเนื้อหา
หนงั สือแตล่ ะเล่มเพ่ือบอกท่ีอยู่ของหนงั สือ จะเขยี นบอกไว้ทสี่ นั หนังสือ เลขเรียกหนังสือ
ประกอบดว้ ย เลขหม่หู นังสอื อยูส่ ว่ นบน และ อักษรตัวแรกของชื่อผูแ้ ตง่ อยสู่ ่วนลา่ งสาหรับ
หนังสือภาษาไทย และอักษรตวั แรกของช่ือสกุล สาหรบั หนังสอื ภาษาตา่ งประเทศและ
นอกจากน้อี าจปรากฏเลขผแู้ ตง่ และอกั ษรตวั แรกของชอื่ หนงั สอื ตลอดจร ฉ.1 , ฉ.2…… หรือ
C.1, C2… ถา้ เปน็ หนังสือมหี ลายฉบบั จะปรากฏอกั ษร ล.1,ล.2… หรอื V.1 , V.2… ถา้ หนังสือนนั้
มีหลายเล่มจบ

ตัวอย่างเลขเรียกหนงั สือ

หนงั สอื จติ วทิ ยาอตุ สาหกรรม ของ อานวย แสงสวา่ ง มีเลขเรียกหนงั สือ ดงั น้ี

158
อ.

หนงั สอื Element of Mechanism venton Levy Doughtic มีเลขเรียกหนงั สอื ดังน้ี

621.9
D

๔๗

มหี นงั สือบางประเภททนี่ ยิ มใช้ตวั อกั ษรย่อเป็นสญั ลกั ษณ์แทนเลขหมู่ เชน่
น หรือ นว แทนหนังสือนวนิยายภาษาไทย
F หรือ Fic ย่อมาจาก Fiction แทนหนงั สอื นวนิยายภาษาองั กฤษ
ร.ส. แทนหนังสือรวมเรื่องสัน้ ภาษาไทย
S.C. ย่อมาจาก Shot Story Collection แทนหนังสือรวมเรื่องส้ัน

ภาษาองั กฤษ

ตวั อยา่ ง
หนังสือนวนิยาย เร่ือง ทะเลอารมณข์ อง แกมกาญจน์ ศุภวรรณ มีเลขเรยี กหนงั สอื ดังน้ี




หนงั สือรวมเรื่องสนั้ ซอยเดียวกนั ของ วาณชิ จรงุ กจิ อนันต์ เลขเรียกหนงั สือ

ร.ส.


หนงั สอื อ้างอิง ห้องสมดุ จะเพม่ิ ตัวอักษร อ. หรือ R. หรือ Ref ไว้เหนอื เลขหมแู่ ละจะ
จัดเรียงแยก ไวต้ ่างหากจากหนงั สอื ทัว่ ไป ไม่อนญุ าตใหย้ ืมออกนอกห้องสมดุ จัดไวส้ าหรบั ใช้
คน้ ควา้ ภายในห้องสมดุ โดยเฉพาะ ตัวอย่างเชน่

อ. หรอื R
621.31 621.3
C


๕. การจดั เรียงหนังสอื บนชัน้

หนังสือของห้องสมุดจะปรากฏเลขหนังสือตรงสันหนังสือส่วนล่าง หรือถ้าเป็นหนังสือที่มีสัน
บาง จะเขียนเลขหนังสือไว้ท่ีปก ส่วนล่างชิดด้านซ้าย หนังสือบนชั้นจะจัดเรียงตามลาดับของเลข
เรียกหนังสือ โดยมีกฎเกณฑ์ดังน้ี

๑.โดยเรียงเล่มหนังสือตามลาดับเลขน้อยไปหาเลขมากจากซ้ายไปขวาและจากชั้นบนลงชั้น
ล่าง

๒. หนังสือทม่ี ีเลขหมู่ซ้ากัน ใหเ้ รียงลาดับอักษรตัวแรกของช่ือผ้แู ต่ง และถา้ ผแู้ ต่งคนเดยี วกนั
จะเรยี งตามลาดับตวั อักษรตัวแรกของหนงั สอื

๓. หนังสอื เร่อื งเดยี วกนั ผแู้ ตง่ คนเดยี วกัน ห้องสมดุ มหี ลายฉบับใหเ้ รยี งตามลาดบั ฉบบั ที่
(ฉ.) หรือ Copy (C)

๔๘

๔. หนังสือชุด(หนังสือเร่ืองเดียวกันมีหลายเล่มจบ) ให้เรียงตาลาดับเล่มที่(ล.)หรือ Volume
(V.)

๕. หนังสอื ชดุ เรอื่ งเดียวกนั ท่หี ้องสมุดมหี ลายชุดจะเรียงท่ีเล่มเดียวกันไว้ด้วยกนั
๖. หนงั สือนวนิยาย รวมเร่อื งสั้นจดั เรยี งบนช้ันแยกออกตามประเภท และในแต่ละประเภท
จดั เรยี งตามลาดบั อกั ษรช่ือผู้แตง่
๗. เรียงหนงั สือภาษาไทย แยกออกจากหนงั สอื ภาษาตา่ งประเทศ

๖. การจดั หม่วู สั ดุอ่ืนๆ

๑. วารสาร ห้องสมดุ จัดเก็บวารสารไวด้ งั น้ี

๑.๑ วารสารฉบบั ใหม่ คอื วารสารฉบบั ใหม่ล่าสุดท่ีตีพมิ พอ์ อกเผยแพร่และหอ้ งสมุด

ได้รับจะจดั เรียงไว้ตามลาดบั ตัวอกั ษรช่ือวารสาร เรียงจากซา้ ยไปขวา เชน่ เดียวกับ การจัดหนงั สอื

บนช้นั

๑.๒ วารสารฉบบั ลว่ งเวลา สาหรับวารสารวชิ าการห้องสมุดจะเกบ็ รวบรวมไว้จน

ครบปีแล้วเยบ็ รวมเล่ม หรือห้องสมุดบางแห่งอาจจดั เก็บไว้ในรูปของวัสดยุ ่อส่วนสาหรบั วารสารเยบ็

รวมเลม่ แลว้ จัดเกบ็ โดยเรียงตามลาดบั อักษรชอ่ื วารสาร

๒. หนังสอื พิมพ์ หอ้ งสมุดจะทาใส่ไว้ในไมห้ นีบหนงั สอื พิมพแ์ ละวางไว้บนที่วาง

หนังสือพิมพ์โดยเฉพาะ และเปลยี่ นฉบับใหม่ทุกวนั อาจจัดแบง่ เปน็ ๒ พวก คอื หนงั สือพิมพ์ฉบับ

วันนีแ้ ละหนงั สอื พมิ พ์ฉบบั เมื่อวาน ส่วนหนงั สือพิมพ์ฉบบั ล่วงเวลา แล้วหลายๆ วนั ห้องสมุดจะเก็บ

แยกไว้ตา่ งหาก

๓. จุลสารและกฤตภาคห้องสมุดจะจัดเก็บไว้ในแฟ้มตามลาดับตัวอักษรของหัวเร่ืองในตู้

จุลสาร (Vertical File) ซ่ึงเป็นตู้เหล็ก 4 ชิ้น ที่หน้าล้ินชักจะมีอักษรกากับไว้ให้ทราบว่าในแต่ละ

ลิน้ ชักมหี วั เรอ่ื งอะไรบ้าง

๔. โสตทศั นวัสดุ ห้องสมุดโดยท่ัวไปจัดโสตทศั นวสั ดไุ ว้ ๒ แบบคือ

๔.๑ จดั แบง่ หมวดหมตู่ ามเนือ้ หาเช่นเดยี วกบั หนงั สอื แลว้ จดั เรยี งตามลาดับตวั อกั ษร

ของสญั ลักษณ์ทีใ่ ช้แทนประเภทของวัสดุน้นั จากเลขหม่นู ้อยไปหาเลขหมู่มาก

๔.๒ แยกออกตามประเภทของวัสดุ แลว้ เรียงตามลาดบั ก่อนหลังของเลขทะเบยี น

จากนอ้ ยไปหามาก และจากซ้ายไปขวา พร้อมจัดทาบัตรรายการแจ้งเอาไวใ้ หผ้ ใู้ ชท้ ราบว่าเรอ่ื งที่

ตอ้ งการน้ันอยู่ในโสตทัศนวัสดปุ ระเภทใด มีหมายเลขทะเบยี นเท่าไร

อักษรย่อท่ใี ชแ้ ทนโสตทศั นวัสดุประเภทต่างๆ มีดงั น้ี

ประเภทของโสตทศั นวสั ดุ สัญลกั ษณ์

แผนท่ี MA (MAP)

ภาพ Pct (Picture)

ภาพโปสเตอร์ Pr (Poster)

ภาพยนตร์ F (Flim)

ภาพนงิ่ S (Slide)

ภาพเล่อื น FS (Flimmstrip)

แผ่นโปร่งใส TR (Transparency)

แถบบันทกึ เสียง CT (Cassettetape)

๔๙

วดี ทิ ศั น์ VC (Vediotape)
ไมโครฟิล์ม MIC (Microfilm)
แผน่ เสยี ง PD (Phonodisc)

๗. บตั รรายการ (Card Catalog)

ความหมายของบัตรรายการ หมายถึง บัตรขนาด ๓ X ๕ ช้บนั ทกึ รายการตา่ งๆ ทสี่ าคัญ
ของหนังสือแต่ละเลม่ และวัสดกุ ารศึกษาอืน่ ๆ ทีม่ ีอยูใ่ นห้องสมุด เพื่อชว่ ยให้ผู้ใชส้ ามารถคน้ หา
หนงั สอื และวัสดุอน่ื ๆ ท่ตี ้องการไดโ้ ดยสะดวกและรวดเร็ว ดา้ นล่างของบตั รห่างจากขอบลา่ ง ¼ น้วิ
เจาะรกู ลมมเี ส้นผา่ ศูนยก์ ลางประมาณ ¼ น้วิ สาหรบั ร้อยบัตรเขา้ ลนิ้ ชักตูบ้ ัตรบัตรรายการของ
หอ้ งสมดุ ท่ีอยู่ในตบู้ ัตรอาจแบ่งเปน็ ดังนี้

๑. บัตรรายการของหนังสอื
๒. บตั รโยงของจุลสารและกฤตภาค
๓. บตั รรายการของโสตทัศนวัสดุ
ประโยชน์ของบัตรรายการ
๑. ช่วยให้ผู้ใชส้ ามารถค้นหาวสั ดุทีต่ ้องการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
๒. บัตรรายการจะบอกตาแหน่งท่ีอยขู่ องหนังสอื แตล่ ะเล่ม หรือที่อยู่ของวัสดอุ ื่นๆ ใน
ห้องสมดุ
๓. บัตรรายการหนงั สอื คือ ตวั แทนหนงั สอื แตล่ ะเลม่ ทมี่ อี ยู่ในห้องสมดุ และ
บตั รรายการของวัสดุก็คือตัวแทนของวสั ดุแต่ละรายการท่มี ีอยูใ่ นห้องสมดุ
๔. บรรณารักษ์ใช้เป็นเครอื่ งมอื ในการปฏิบตั ิงาน เชน่ งานบรกิ ารตอบคาถาม งานจัดหา
งานบริการรวบรวมบรรณานุกรม เปน็ ต้น
๕. บัตรรายการของหนังสือช่วยให้ทราบรายละเอียดตา่ งๆ ของหนังสือแตล่ ะเล่มท่ีมอี ยู่ใน
หอ้ งสมุดก่อนเห็นตัวเลม่ จริง เชน่ ชอ่ื ผแู้ ตง่ ชือ่ เรื่อง คร้งั ที่พมิ พ์ สานกั พิมพ์ ปีท่ีพมิ พ์ จานวน
หนา้ ของหนังสือ ชื่อชดุ หนงั สอื เปน็ ต้น
๖. บัตรรายการของหนงั สือจะช่วยใหผ้ ู้ใชไ้ ดท้ ราบว่า

๖.๑ หอ้ งสมดุ มีหนังสอื ทีแ่ ตง่ แปล หนงั สือรวบรวมโดยบุคคลน้นั ๆหรือไม่ (ดูจากบตั รผู้
แตง่ )

๖.๒ ห้องสมุดมีหนงั สอื ชอื่ เรอ่ื งนัน้ ๆ หรือไม่ (ดูจากบตั รช่อื เร่ือง)
๖.๓ หอ้ งสมุดมีหนังสือเกีย่ วกับเรื่องนนั้ ๆ หรือไม่ (ดูจากบัตรเร่อื ง หรือบัตรหวั เร่อื ง)

๕๐

บัตรรายการของหนังสือ
บตั รรายการหนังสือมโี ครงร่าง รายการ และรายละเอยี ด ดงั นี้

เลขเรยี ก ชื่อผู้แต่ง……………………………………………
หนงั สอื ช่ือเรอื่ ง………………ครง้ั ที่พิมพ์…………

พมิ พลักษณ์………………………………………….
บรรณลกั ษณ…์ ………….(ช่ือชุด…………….)
หมายเหตุ
แนวสืบคน้ …………………………………….

รายละเอยี ดทบี ันทึกไว้ในบัตรรายการไดแ้ ก่
๑. เลขเรียกหนังสือ (Call Number) เป็นสว่ นท่ีอยทู่ างมุมดา้ นซา้ ยของบัตรรายการ

ประกอบด้วยเลขหมู่หนังสือ และอักษรตัวแรกของชอ่ื ผู้แต่ง หรืออักษรตวั แรกของนามสกุลผู้แต่ง
กรณเี ปน็ ชาวต่างประเทศ อาจมเี ลขประจาตวั ผู้แต่ง อักษรตวั แรกของช่ือเร่ืองประกอบดว้ ยก็ได้
เลขหมหู่ นังสอื ท่ีปรากฏเป็นเคร่ืองช้บี อกใหท้ ราบว่าหนังสือแตล่ ะเล่มอยู่ในหมวดวิชาใด เลขเรียก
หนังสือจะเป็นตัวชบ้ี อกใหผ้ ใู้ ช้ทราบวา่ หนังสอื อยู่บนช้นั หรือตหู้ นังสอื ใดในห้องสมุด

๒. ช่อื ผแู้ ตง่ (Author) หมายถงึ ผูท้ ่เี ขยี นหนงั สือเลม่ น้ัน อาจเปน็ ชื่อบุคคลหรือช่อื สถาบัน
ผู้รบั ผดิ ชอบในการจดั ทาหนังสือเล่มนน้ั ก็ได้ ถ้าเปน็ ชือ่ บุคคลจะลงช่ือ นามสกุล เตม็ ท้ังหมดตามที่
ปรากฏในหนงั สอื โดยตัดคานาหน้า และตาแหน่งท้งั หมดออก (ยกเวน้ ผู้แตง่ ที่มนี ามราชศักดิ์ตั้งแต่
ชัน้ หมอ่ มหลวงขนึ้ ไปถึงพระองคเ์ จา้ )

หนังสอื ท่ีจัดทาโดยสถาบัน องคก์ าร สมาคม บรษิ ทั ให้ลงชื่อของสถาบันน้ันๆ ในรายการ
หลักตรงชอื่ ผูแ้ ตง่ แล้วใสเ่ ครื่องหมายจุลภาค ตามดว้ ยสถานะของหน่วยงาน เชน่ เทคโนโลยรี าช
มงคล, สถาบัน.

๓. ชื่อเรื่อง (Title) ใช้ชอ่ื เรื่องตามท่ีปรากฏในหนา้ ปกในของหนังสือ
๔. ครั้งทีพ่ มิ พ์ (Edition) จะลงรายการในบัตรเฉพาะหนังสอื ท่พี ิมพ์ตั้งแตค่ รั้งทสี่ องเป็นตน้
ไป
๕. พมิ พลักษณ์ (Imprint) คือรายละเอยี ดเก่ียวกับการพมิ พ์ ไดแ้ ก่ สถานท่พี ิมพ์
สานกั พมิ พ์ หรือโรงพิมพ์ และปีท่ีพมิ พ์
๖. บรรณลกั ษณ์ (Collation) คอื รายการท่ีแสดงลักษณะของหนงั สือได้แก่ จานวนหน้า
หรือจานวนเลม่ (ถ้าเป็นหนังสือหลายเลม่ จบ)

๕๑

๗. ชอื่ ชดุ หนงั สือ (Series) คือหนงั สือทจ่ี ดั พมิ พ์ออกมาเป็นลาดับต่อเนื่องกนั ไปใน
สาขาวชิ าเดียวกนั หรอื เกย่ี วข้องกนั ภายใตช้ ่ือชดุ เดยี วกัน ซึ่งจะปรากฏช่ือชุดอยบู่ นหนา้ ปกในของ
หนงั สือ เช่น หนังสอื ในชดุ ของ Schaum’ s Outline Series เปน็ ตน้

๘ . หมายเหตุ (Notes) คือรายละเอยี ดอ่ืนๆ เกีย่ วกบั หนังสือทมี่ ีประโยชนก์ ับผู้ใช้
ห้องสมุด เช่น บรรณานกุ รม ดชั นี สารบัญหนังสือทม่ี ีหลายเรือ่ งรวมอยู่ในเลม่ เดียวกันเป็นต้น

9. แนวสบื ค้น (Tracing) คือรายการท่ีเป็นหลักฐานแสดงใหท้ ราบว่า หนงั สือเล่มนัน้ ๆ
มบี ตั รรายการกบ่ี ตั ร เปน็ บัตรชนิดใดบา้ ง

ชนดิ บัตรรายการของหนังสือ
บัตรรายการมีท้ังหมด 6 ชนิด
๑ . บตั รผแู้ ต่ง บตั รยนื พนื้ บตั รหลกั
๒. บัตรช่ือเรอ่ื ง
๓. บัตรหัวเรื่อง
๔. บัตรแจ้งหมู่หนงั สอื
๕. บตั รโยง
๕.๑ บัตรโยง ดูท่ี
๕.๒ บตั รโยง ดเู พม่ิ เติม
๖. บัตรเพม่ิ
๖.๑ บัตรผแู้ ต่งรว่ ม
๖.๒ บัตรผู้แปล
๖.๓ บัตรช่อื ชดุ

ตวั อยา่ งของบัตรรายการชนดิ ตา่ งๆ
๑. บตั รผูแ้ ต่ง (หนังสอื ภาษาไทย)


๑ 796.325 อทุ ัย สงวนพงศ์
๓ อ แบบฝึกวอลเลยบ์ อลมากกวา่ 1,500 แบบ
๔ กรงุ เทพฯ, โรงพมิ พ์มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร,์
๕ 2536.
๖ 304 หนา้ . ภาพประกอบ.
๗ 1 วอลเลย์บอล. 2 ชือ่ เรื่อง


๑๐

๑. เลขเรยี กหนงั สอื
๒. ช่ือผ้แู ตง่
๓. ช่อื หนังสือ
๔. สถานท่พี ิมพ์
๕. สานักพมิ พ์ หรือโรงพมิ พ์

๕๒

๖. ปีทพี่ มิ พ์ หรอื ปลี ิขสิทธ์ิ
๗. จานวนหนา้ ของหนังสือ
๘. บอกให้ทราบวา่ หนงั สือเลม่ นี้มภี าพประกอบ
๙. หัวเรอ่ื ง
๑๐. แนวสบื คน้
๒. บตั รชือ่ เร่ือง (Title Card) คือบัตรรายการทีม่ ชี ื่อของหนังสือปรากฏอยู่บรรทัดแรก
เหนือรายการผู้แต่ง ส่วนรายการอ่นื ๆ เหมอื นบัตรผแู้ ต่งแต่ไม่มีแนวสืบคน้
ตวั อย่างบัตรช่ือเรอื่ ง (หนงั สอื ภาษาไทย)

แบบฝึกวอลเลยบ์ อลมากกว่า 1,500 แบบ.
796.325 อุทัย สงวนพงศ์.
อ แบบฝกึ วอลเลยบ์ อลมากกว่า 1,500 แบบ

กรงุ เทพฯ, โรงพมิ พ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,
2536.

304 หนา้ . ภาพประกอบ

๓. บัตรหวั เร่ือง (Subject Card) คอื บตั รที่มีหัวเรอื่ งอยบู่ รรทดั แรก รายการอนื่ ๆ เหมอื นกบั
บัตรผแู้ ต่งแตไ่ ม่มแี นวสบื คน้ หัวเรอื่ งภาษาไทยอาจพมิ พ์ด้วยตัวอักษรสีแดง หรือสดี าแลว้ ขีดเส้นใต้
สว่ นหวั เรื่องภาษาอังกฤษจะพิมพ์ด้วยอักษรสีแดงหรือสดี าก็ได้ และใชต้ วั พมิ พใ์ หญ่ท้งั หมดเพื่อ
สงั เกตได้งา่ ย และแตกตา่ งจากชือ่ เร่อื ง ดงั ตวั อยา่ ง

ตัวอย่างบัตรหัวเรอ่ื ง (หนังสอื ภาษาไทย)

วอลเลยบ์ อล

796.325 อทุ ยั สงวนพงศ์.

อ แบบฝึกวอลเลย์บอลมากกว่า 1,500 แบบ

กรุงเทพฯ, โรงพมิ พ์มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์,

2536.

304 หนา้ , ภาพประกอบ.

๔. บตั รแจ้งหมู่หนงั สือ (Shelflist Card) คือบตั รที่มรี ายการต่างๆ เหมือนบตั รผแู้ ตง่ แต่ไม่มี
แนวสบื ค้น และเพ่ิมเลขทะเบียนหนงั สือเพ่ือแสดงใหท้ ราบว่าหนังสอื เลม่ น้นั เข้าห้องสมุดเป็นเล่มที่

๕๓

เท่าใด และมีจานวนกีเ่ ล่ม บัตรประเภทน้ีจะเรียงตามลาดับเลขเรยี กหนงั สือ ซ่งึ จะแตกต่างจาก
การเรียงบัตรรายการชนดิ อน่ื ๆ และจะใช้เปน็ คูม่ ือในการปฏบิ ัตงิ านของบรรณารกั ษไ์ ด้อีกด้วย
ตัวอยา่ งบัตรแจ้งหมู่หนังสือ (หนังสอื ภาษาไทย)

796.325 อุทัย สงวนพงศ์.
อ แบบฝกึ วอลเลย์บอลมากกว่า 1,500 แบบ.

กรุงเทพฯ , โรงพิมพม์ หาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,
35200 2536.
35201 ฉ.2 304 หน้า. ภาพประกอบ
35202 ฉ.3

๕. บตั รโยง (Cross Reference Card) แบง่ ได้ 2 ประเภทคือ
๕.๑ บตั รโยง“ดทู ”่ี หรือ “See” ใช้สาหรบั โยงชอ่ื ผู้แตง่ หรือหวั เร่ืองทไ่ี ม่ใช้

บัตรรายการไปยังชอ่ื ทใี่ ชใ้ นบัตรรายการ
ตัวอย่างบตั รโยงผ้แู ต่ง

กุลทรพั ย์ ร่งุ ฤดี
ดูที่
กุลทรัพย์ เกษแมน่ กจิ

ตวั อยา่ งบัตรหัวเร่ือง

การประปา
ดทู ่ี ประปา

๕๔

๕.๒ บตั รโยง “ดูเพ่ิมเติม” หรอื “See Also” คือบตั รทีโ่ ยงใหไ้ ปดหู ัวเร่ืองอน่ื ที่มี
ความเกย่ี วข้องสัมพนั ธ์กนั ซึ่งโดยทว่ั ไปแลว้ จะโยงจากหวั เรื่องที่กวา้ งไปสหู่ วั เรือ่ งทเ่ี ฉพาะเจาะจง
กว่าหรือแคบกว่า ดังตัวอยา่ ง
ตวั อยา่ งบัตรโยงเพ่ิมเติม

จิตรกรรม
ดเู พิ่มเติม
จิตกรรมไทย
จติ รกรรมของเด็ก
จติ รกรรมศาสนา
จติ รกรรมฝาผนงั

๖. บัตรเพมิ่ (Added Card) คอื บตั รที่จัดทาเพมิ่ เติมขึ้น เพื่ออานวยความสะดวกแกผ่ ู้ใช้
บัตรรายการในการคน้ หาหนังสอื ทีต่ อ้ งการรายการตา่ งๆ ในบัตรเพมิ่ จะเหมือนบัตรผู้แต่งแต่ไม่มี
แนวสืบคน้ และเพ่ิมรายการทีเ่ กย่ี วข้อง ซึ่งอาจเป็นชอื่ บุคคล หรอื ช่ือชุดไวใ้ นบรรทดั แรกของบัตร
ตัวอย่างบตั รเพ่ิมชนิดต่างๆ

๖.๑ บตั รผแู้ ตง่ รว่ มหนังสอื ท่มี ีผู้แต่งมากกวา่ หนงึ่ คนแตไ่ มเ่ กนิ สามคน ห้องสมดุ อาจทา
บตั รเพิม่ ให้กบั ผู้แต่งร่วมคนที่สองและสาม ซงึ่ จะปรากฏอยู่บนบรรทัดแรกของบัตร

ตัวอยา่ งบัตรผู้แต่งร่วม

พิมล เรยี นวฒั นา , ผ้แู ตง่ รว่ ม
504 อดุ ม ศรีโยธา.
อ เคมีท่วั ไป เลม่ 1 โดยอุดม ศรีโยธา และ

พมิ ล เรยี นวฒั นา. กรุงเทพ, อกั ษรเจริญทัศน์,
2521.

566 หนา้ . ภาพประกอบ.

๕๕

๖.๒ บัตรผู้แปล จะมชี อื่ ผแู้ ปลปรากฏอยูบ่ รรทัดแรกของบตั ร ใชบ้ ตั รนเี้ มื่อผู้ใช้
หอ้ งสมุดจาชอื่ ผู้แปลหนงั สอื เล่มทตี่ ้องการได้ แตจ่ าชือ่ ผู้แต่ง ละชือ่ เรือ่ งของหนังสอื ไม่ได้

ตัวอย่างบตั รผแู้ ปล

ชญั ญา ชยากร, ผูแ้ ปล
378.1 แพคสนั , วิลเลยี่ ม ซี.
พ เขียนเอกสารรายงานอยา่ งมืออาชีพ แปลจาก

Write it Now โดย ชญั ญา ชยากร กรุงเทพฯ,
บริษทั ซเี อ็ดยูเคช่ัน จากดั (มหาชน)
2527.

206 หนา้ . ภาพประกอบ

๖.๓ บตั รชอื่ ชดุ จะมีชื่อชุดปรากฏอยูบ่ รรทดั แรกของบตั ร ใช้บตั รน้ีเมอื่ ผู้ใช้ห้องสมุดจา
ช่อื ชุดไดห้ รอื เมื่อต้องการทราบวา่ หนังสอื ในชุดเดยี วกันนน้ั หอ้ งสมุดมีอย่กู ่เี ล่ม เลม่ ใดบ้าง
ตวั อย่างบัตรชื่อชุด

หนังสอื ในชุดวิทยาการคอมพิวเตอร์
510 วนิดา เหมะกุล.
ว คณติ ศาสตร์. กรงุ เทพฯ,

บริษทั ซเี อ็ดยเู คชั่น จากัด, 2535.
414 หนา้ . (หนังสือในชดุ วทิ ยาการคอมพิวเตอร์)

นอกจากน้ีหอ้ งสมุดอาจจัดทาบัตรเพ่ิมชนิดอน่ื ๆ ไวอ้ ีกก็ได้ เช่น บัตรบรรณาธิการ
(Editor) บตั รผู้รวบรวม (Compiler) บตั รผู้เขียนภาพประกอบ(Illustrstor)

บัตรเพม่ิ ชนิดต่างๆ เหลา่ น้ี จะมรี ายการเหมือนบตั รผแู้ ต่ง แตไ่ ม่มีแนวสืบค้นและจะเพ่ิมชื่อ
ของบุคคลดังกลา่ วไวบ้ นบรรทัดแรกของบัตร คนั่ ดว้ ยคอมมา่ แลว้ บอกวา่ เปน็ ใคร เชน่ บรรณาธิการ
ผรู้ วบรวม หรอื ผู้เขียนภาพประกอบ

สรุปหลกั การพิมพบ์ ัตรรายการ
๑. เลขหมู่ พิมพ์บรรทัดที่ 2 จากสว่ นบนของบัตร (ปดั แคร่เคร่ืองพิมพ์ดีดภาษาไทย

๒ ครง้ั )หรอื บรรทัดที่ ๔ ของเคร่อื งพิมพ์ดีดภาษาองั กฤษ เริม่ ระยะท่ี ๒ จากขอบซา้ ยของบัตร
๒. อักษรย่อผ้แู ตง่ ขนึ้ บรรทดั ใหม่พมิ พ์ให้ตรงกับเลขหมู่ตวั แรก

๕๖

๓. ชือ่ ผู้แตง่ พมิ พ์บรรทดั เดยี วกับเลขหมู่ เรมิ่ ระยะ ๙ ถ้าบรรทดั เดียวไม่พอขึ้น
บรรทดั ใหม่ ตรงระยะท่ี ๑๓ จบรายการแล้วใส่ .

๔. ชอ่ื เร่อื ง พิมพ์บรรทัดต่อจากผู้แต่งระยะ ๑๑ ถ้าบรรทดั เดยี วไม่พอ ขึ้นบรรทดั
ใหมร่ ะยะท่ี ๙ จบรายการแล้วใส่.

๕. คร้งั ที่พมิ พ์ ถ้ามลี งตอ่ จากชือ่ เร่ืองโดยเว้น ๒ ระยะจบแลว้ ใส่.
๖. พมิ พลักษณ์ พิมพ์ต่อจากคร้งั ที่พมิ พ์ เวน้ ๒ ระยะ ลงเมืองหรือจงั หวดั ที่พิมพ์

แลว้ ใส่ , เว้น ๑ ระยะ แล้วลงชือ่ สานักพิมพห์ รือโรงพมิ พใ์ ส่ , เว้นระยะปีท่ีพิมพ์แลว้ ใส่
๗. บรรณลกั ษณ์ ขน้ึ บรรทัดใหม่พมิ พร์ ะยะที่ ๑๑ พมิ พจ์ านวนเล่มหรือจานวนหน้า

แลว้ ใส่ . ถ้ามภี าพประกอบเว้น ๒ ระยะลงว่า ภาพประกอบ แล้วใส่ .
๘. ชือ่ ชดุ ถา้ มพี ิมพไ์ วใ้ นวงเลบ็ ห่างจากบรรณลกั ษณ์ ๒ ระยะ
๙. โนต้ ขึ้นบรรทัดใหม่ (ห่างจากบรรณลักษณ์ 1 ½ บรรทัด) ลงในระยะที่ ๑๑ ถ้า

บรรทัด เดยี วไม่พอขึ้นบรรทัดใหม่ทร่ี ะยะ ๙
๑๐. สารบัญเร่มิ ระยะท่ี ๑๑ พมิ พ์คาวา่ สารบัญ ใสจ่ ุดและขดี (.-) แลว้ ลงรายการ

ของสารบัญถา้ ไม่พอขึน้ บรรทัดใหม่ระยะที่ ๙
๑๑. แนวสบื คน้ ข้ึนบรรทัดใหม่ระยะที่ ๑๑ ถ้าไม่พอขน้ึ บรรทัดต่อไประยะที่ ๙ ใชเ้ ลข

เรียงลาดบั แต่ละรายการใช้. คน่ั และเวน้ ๒ ระยะ
๑๒. บัตรโยง ใช้ระยะท่ี ๑๑, ๑๓ และ ๙

๘. ต้บู ตั รรายการ (Catalog Card)

บตั รรายการชนดิ ต่างๆ ของห้องสมุดเมื่อพมิ พเ์ รยี บร้อยแลว้ จะจดั เรียงไว้ในลิน้ ชกั ตู้
บัตรรายการ ตบู้ ัตรรายการมีหลายขนาด เชน่ ขนาด ๓๐ ลน้ิ ชัก หรือ ๖๐ ลิน้ ชัก ส่งิ ท่ผี ู้ใช้
หอ้ งสมุดควรทราบเกี่ยวกับตู้บัตรรายการมีดังนี้

๑. ป้ายหน้าลนิ้ ชกั บตั รรายการ มีส่ิงทีแ่ จ้งใหท้ ราบดังน้ี
- เลขท่ีลน้ิ ชกั เปน็ ตวั เลขทแี่ สดงถงึ ลาดับทีข่ องลิ้นชกั ตั้งแต่ลนิ้ ชักทหี่ นงึ่ จนถึงลน้ิ ชกั

สดุ ท้ายของตูบ้ ัตร เพื่อความสะดวกเม่ือผู้ใช้นาลน้ิ ชักท่ดี งึ ออกมาใช้แล้วกลับเข้าที่เดมิ ได้ถูกตอ้ ง ไม่
สลับทกี่ ันทาได้รวดเร็วไมเ่ สยี เวลา

- ตัวอักษรหน้าลน้ิ ชัก บอกลาดับตวั อักษรหรือสว่ นของคา หรอื ข้อความจาก ก – ฮ
สาหรบั ตู้บตั รหนงั สอื ภาษาไทย และ A – Z สาหรับหนงั สอื ภาษาองั กฤษ เพ่ือบอกให้ผู้ใชท้ ราบวา่
ในลนิ้ ชักน้ันมบี ัตรรายการทข่ี ึ้นต้นดว้ ยอักษร หรือคา หรือข้อความใด ถึง อกั ษร หรือคา หรอื
ข้อความ ทาใหผ้ ใู้ ชไ้ ดร้ บั ความสะดวก และค้นหาหนงั สือทีต้องการได้เร็วยิ่งขึน้

- ชนิดของบตั รรายการ บอกใหผ้ ูใ้ ช้ทราบว่าในล้นิ ชกั นั้นเปน็ บัตรรายการชนดิ ใด
๒. บตั รแบง่ ตอน (Giude cards) เปน็ บัตรแขง็ ต่างสจี ากบตั รรายการชนิดตา่ งๆ มสี ่วน
หนงึ่ สูงกว่าบตั รธรรมดาสาหรับใช้เขียนตัวอักษร คา หรือข้อความเพื่อแจ้งใหผ้ ู้ใช้ทราบว่าต่อจาก
บัตรแบ่งตอนนั้นไปเป็นบัตรรายการทข่ี ึน้ ต้นดว้ ยอกั ษร หรือข้อความใด เพื่อความสะดวกในการ
คน้ หาบตั รรายการทต่ี ้องการได้รวดเรว็ และงา่ ยข้ึน บตั รนจ้ี ะเรยี งค่นั อยกู่ บั บัตรรายการแต่ละตอน

๕๗

บตั รแบง่ ตอน กุ้ง
เลขทีล่ น้ิ ชัก กีฬา

ตวั อกั ษรหนา้ ลิน้ ชัก

ลนิ้ ชักบัตรรายการ

การเรียงบตั รรายการ

บัตรรายการทุกชนิดจะจัดเรยี งไว้ในตบู้ ตั รรายการ โดยแยกบัตรภาษาไทยและ
ภาษาองั กฤษออกจากกนั ห้องสมดุ มีวิธเี รยี งบัตรรายการที่นยิ มใชก้ ัน ๓ แบบคอื

๑. การเรยี งบัตรแบบพจนานุกรม (Dictionary Catalog) คอื การนาบัตรรายการทกุ ชนิดมา
เรียงรวมกัน โดยเรียงตามลาดับอักษรของข้อความในบรรทัดแรกของบัตรรายการจาก ก – ฮ
สาหรับบัตรภาษาไทย และจาก A – Z สาหรบั บตั รภาษาองั กฤษ (ยกเว้นบตั รแจง้ หมู่หนังสอื ซึ่ง
เรยี งตามเลขหมู่หนังสอื ) การเรยี งบัตรแบบนเ้ี หมาะสาหรับห้องสมุดเล็ก และขนากลางท่ีมีหนงั สอื อยู่
จานวนไม่มากนกั เช่น หอ้ งสมุดโรงเรยี น หอ้ งสมุดประชาชน เปน็ ต้น

๒. การเรยี งบตั รแบบแยกตามชนดิ ของบัตร(Divided Catalog) เรยี งได้ ๓ วธิ คี อื
๒.๑ เรียงบตั รผูแ้ ต่งและบัตรช่อื เรอื่ งไว้ด้วยกนั รวมท้ังบตั รเพ่มิ ช่ือบุคคลและบัตรชื่อชดุ

ดว้ ย ส่วนบัตรหัวเร่อื งแยกเรยี งไว้ต่างหาก
๒.๒ เรียงบัตรและบตั รช่ือเรือ่ งไวด้ ว้ ยกัน สว่ นบตั รผแู้ ตง่ แยกเรยี งไวต้ า่ งหาก
๒.๓ เรยี งบัตรแต่ละชนดิ แยกออกจากกนั คือ บัตรผแู้ ต่ง บัตรช่อื เร่ือง และบตั รหวั

เร่อื ง การเรียงบัตรวธิ ีนี้เหมาะสาหรับหอ้ งสมุดขนาดใหญท่ ่ีมีหนงั สือจานวนมาก
๓. การเรยี งบัตรตามเลขหมู่หนงั สือ (Classified Catalog) คอื การเรยี งบัตรไวต้ ามลาดับ

ของเลขหมูห่ นงั สอื จากเลขน้อยไปหาเลขมาก ถ้าเลขซา้ กนั จะเรียงตามลาดับอักษรของชื่อผู้แต่งอกี
ทีหนึง่ เชน่ เดยี วกบั การเรียงหนงั สือบนชัน้ การเรยี งบัตรแบบนีจ้ ะทาให้หนังสอื เน้ือหาวิชา
เดยี วกันหรือใกล้เคียงกันจะมีบัตรรายการเรียงไว้ใกล้ๆ กันมปี ระโยชน์มากสาหรบั ผู้ใชท้ ่ีตอ้ งการ
คน้ คว้าวจิ ัยเฉพาะเรื่องเปน็ ประจา เช่น หอ้ งสมุดเฉพาะและหอ้ งสมุดมหาวิทยาลยั สะดวกต่อ
บรรณารกั ษ์ในการใชเ้ ปน็ ขอ้ มูลของหนังสือในแตล่ ะหมวดท่ีมีอยู่ในห้องสมดุ ว่ามีมากน้อยเท่าไร
พอเพยี งหรือเหมาะสมต่อการใหแ้ ละการใชบ้ ริการแล้วหรือยัง และใชเ้ ปน็ เคร่ืองช่วยตัดสนิ ใจในการ
จดั ซอื้ หนงั สือเขา้ ห้องสมดุ ในคราวต่อไป

๕๘

๙. การคน้ ดว้ ยอนิ เตอร์เนต็

อนิ เตอร์เน็ต คือ เครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ทมี่ ีขนาดใหญท่ ีส่ ุดในโลก ทมี่ กี ารเชือ่ มตอ่ กบั
เคร่อื งคอมพิวเตอร์ท่วั ๆไป และเครือข่ายทัว่ โลกเข้าด้วยกัน โดยทสี่ มาชิกอนิ เตอร์เน็ต สามารถ
ติดตอ่ ส่อื สารกัน สามารถแลกเปลี่ยนความรกู้ ัน และยังสามารถคน้ หาข้อมลู ตา่ ง ๆนานาได้ท่ัวโลก

อนิ เตอร์เน็ตกาเนดิ ขนึ้ มาจากความคิดเชงิ ยทุ ธศาสตรท์ างการทหาร ในช่วงปี พ.ศ.
๒๕๑๒ เนอ่ื งจากสงครามเยน็ ระหวา่ ง สหรัฐอเมริกากับรัสเซียก่อตัวอยา่ งเงียบ ๆ ทาง
กระทรวงกลาโหมของสหรฐั ฯ คดิ ว่าการสอ่ื สารของคอมพวิ เตอร์เป็นหัวใจหลัก ถ้าคอมพิวเตอร์จุดใด
จุดหน่ึงเกิดปญั หาข้ึนมา การสือ่ สารกจ็ ะถกู ตดั ขาด ซ่ึงจะทาให้เสียเปรียบทางเชิงยุทธศาสตรเ์ ปน็
อย่างมาก ทางกระทรวงกลาโหมจึงมอบงบประมาณมาพฒั นาเครือข่ายคอมพวิ เตอรแ์ บใหมข่ ้ึนมา ซึง่
จะตอ้ งมีคุณสมบตั ทิ าทานต่อการถกู ทาลาย กลา่ วคือ เมื่อคอมพวิ เตอร์จุดใดจุดหนึ่งท่ถี ูกทาลายไป
คอมพิวเตอร์สว่ นอื่น ๆก็จะสามารถหาเสน้ ทางใหม่เพื่อการสื่อสารกันได้ โครงการคอมพิวเตอร์นี้ชือ่
ว่า ARPANET ( Advanced Research Projects Network )

ในระยะแรกของ ARPANET ประกอบดว้ ยเครื่องคอมพิวเตอร์ ๔ เครือ่ ง คือ คอมพวิ เตอร์ของ
มหาวิทยาลยั ยูทาห์ มหาวทิ ยาลัยแคลฟิ อรเ์ นยี ทีซ่ านตาบาบารา มหาวิทยาลยั แคลิฟอร์เนยี ท่ี
ลอสแองเจลิส และสถาบันวจิ ยั ของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด หลังจากมกี ารทดสอบการใชง้ าน
ARPANET ไปไดร้ ะยะหน่งึ ซ่ึงผลทดสอบเป็นที่น่าพอใจ กระทรวงกลาโหมของสหรฐั ฯ จึงมกี ารขยาย
เครือข่าย ARPANET ออกไป โดยเช่ือมต่อกับคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลยั และสถาบนั วิจัยต่าง ๆ
รวม ๕๐ แหง่ โดยใชโ้ ปรโตคอล ท่ีมีชอื่ วา่ ( Network Control Protocol ) แตต่ อ่ มาเมื่อมีการ
ขยายเครือขา่ ย ARPANET ออกไปอีก พบว่าโปรโตคอล NCP นม้ี ขี ้อจากัดอยู่มาก จงึ มีการพัฒนา
โปรโตคอลตัวใหม่ขนึ้ มาซงึ่ มชี ื่อว่า TCP/IP (Transmission Control Protocol ) ซ่ึงจดุ เด่นของ
โปรโตคอลนคี้ อื การทาให้เคร่ืองคอมพิวเตอรแ์ ต่ละแบบสามารถสื่อสารกันได้ เมื่อมผี ู้พัฒนา
ระบบปฏบิ ัติการ UNIX ไดน้ าเอาโปรโตคอลน้เี ขา้ เปน็ ส่วนหนึ่งของระบบปฏิบตั ิการด้วย และจากจุด
น้เี องทาใหเ้ ครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ ARPANET เติบโตข้ึนมาจาก ๕๐๐ เครือ่ ง ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ มา
เป็น ๑,๐๐๐ เครื่องในปถี ัดมา

ในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ มูลนิธทิ างวิทยาศาสตรแ์ หง่ สหรฐั อเมริกา (National Science
Foundation ) ไดส้ ร้างเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ขน้ึ อกี ระบบเรียกว่า NSFNET ประกอบด้วยซปุ เปอร์
คอมพิวเตอร์ ๕ เคร่ือง เชือ่ มตอ่ โดยใช้โปรโตคอล TCP/IP ในการสื่อสาร เพื่อใชใ้ นงานวิจัยและ
การศกึ ษา ทาให้มเี ครือข่ายขอเขา้ เช่ือมต่อด้วยมากมาย รวมทง้ั ARPANET , UUNET ฯลฯ จนในปี
พ.ศ. ๒๕๓๒ มคี อมพวิ เตอรท์ ี่เช่ือมกนั อยูป่ ระมาณ ๑๐๐,๐๐๐ เครื่อง มผี ลทาให้ NSFNET ซึง่ ไม่
แสวงผลกาไรและมงี บประมาณคอ่ นขา้ งจากดั จาเป็นต้องผลักภาระการดาเนินงานเครือข่ายน้ีไปให้
บริษัท Advance Network and Service (ANS) ซงึ่ เปน็ องคก์ รธรุ กจิ ที่รว่ มทุนกนั ระหว่าง MCI,
IBM และมหาวิทยาลัยมิชแิ กน และมกี ารเปลี่ยนชื่อจาก NSFNET มาเป็น INTERNET จนถงึ ปัจจบุ ัน
โดยมผี ู้ใชอ้ นิ เตอรเ์ นต็ ท่วั โลกมากกว่า ๑๐๐ ลา้ นคน และมีการคาดการณว์ ่าจะมีผ้ใู ช้อนิ เตอรเ์ นต็ เพม่ิ
ประมาณ ๒ เทา่ ทกุ ๑๐๐ วนั

๕๙

๙.๑ ความสาคัญบรกิ ารทีใ่ นอินเตอรเ์ น็ต

ดว้ ยเหตทุ ี่อนิ เตอร์เนต็ เช่อื มโยงกบั เครือขา่ ยคอมพิวเตอรท์ ่วั โลก ซ่ึงมีสารนิเทศทีม่ ี

ประโยชนส์ อ่ื สารอย่ใู นระบบจานวนมาก ปจั จบุ นั มีอยปู่ ระมาณ ๑,๕๐๐ ล้าน URL ดังนัน้

อินเตอรเ์ น็ตจงึ ทาหนา้ ทค่ี ล้ายกับห้องสมุดขนาดใหญท่ ีม่ ีขอ้ มลู ข่าวสารที่ทนั สมยั กว่าห้องสมดุ ท่วั ๆ

ไป และเพ่ิมข้นึ ในอัตราที่รวดเร็วทาให้มกี ารพฒั นาบรกิ ารต่าง ๆ บางบริการเกิดข้นึ กอ่ นท่ี

อินเตอรเ์ น็ตจะแพรห่ ลาย บางบริการเกดิ ขึน้ ได้ไมน่ านนกั แตเ่ ป็นทน่ี ยิ มใชก้ นั อย่างมากมาย

ผู้ใช้หอ้ งสมดุ จงึ จาเป็นอยา่ งย่ิงทีจ่ ะต้องเรียนรู้การใช้อนิ เตอร์เนต็ โดยสามารถใช้ได้หลายวิธี

เช่น จากร้านค้าทค่ี ิดค่าชิอนิ เตอร์เนต็ เป็นชว่ั โมง หรอื ไปซื้อช่ัวโมงอนิ เตอรเ์ นต็ จากธุรกจิ เอกชนท่มี ี

จาหนา่ ยอยู่ทวั่ ไป สว่ นผทู้ อี่ ยู่ในสถาบนั การศึกษาสามารถใช้ได้โดยการขอ Login และ Password

จากศนู ย์คอมพวิ เตอร์ของแต่ละหนว่ ยงานทสี่ งั กัดอยู่ บริการท่ีสาคัญทีท่ ่านสามารถใชจ้ าก

อนิ เตอรเ์ น็ตได้ คือ

๑. จดหมายอเิ ล็กทรอนิกส์ (Electronic mail ) หรอื E-mail เป็นการรับส่งข้อความผา่ น

เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์กบั ผอู้ ่ืนในอินเตอร์เน็ต หรอื ข้ามไป

ยังเครือขา่ ยอืน่ ท่วั โลก

๒. ถา่ ยโอนแฟ้มข้อมลู (Files Transfer Protocal) หรอื FTP เปน็ บรกิ ารสาคัญอีกประเภท

หนึง่ ที่เปิดให้ผู้ใช้ภายนอกสามารถถา่ ยโอนข้อมูลได้โดยไม่คิดมูลคา่ แฟ้มท่ีถา่ ยโอนได้ มีทั้งขอ้ มูล

ทวั่ ไป ข่าวประจาวนั บทความ รวมทั้งโปรแกรมในระบบปฏิบตั กิ ารต่าง ๆ เชน่ ยูนิกซ์พีซี หรอื แมค

อนิ ทอช

๓. กลมุ่ ข่าว (USE Net news ) เปน็ การรวมตวั ของกลุ่มผใู้ ช้อินเตอร์เนต็ ทวั่ โลกเพ่ือการ

แลกเปลยี่ นความคิดเหน็ ในหัวข้อต่าง ๆ ผ่านเครือข่ายซง่ึ รจู้ ักกันในชื่อ Use Net ระบบข่าวของ

Use Net จะมลี ักษณะคล้ายกับกระดานขา่ วบบี เี อส ผ้อู า่ นขา่ วจงึ สามารถรับข่าวเดียวกันในเวลา

เดียวกัน นอกจากอ่านขา่ วแล้วยงั สามารถทาการส่งขา่ ว หรือเสนอความคดิ เห็นของตนเองไดด้ ว้ ย

โดยจะแยกกลุ่มตามหวั ข้อตา่ ง ๆ เชน่ กีฬา คอมพวิ เตอร์ วฒั นธรรม ฯลฯ คาดว่ามปี ระมาณ ๕,๐๐๐

กลมุ่

๔. สนทนาทางเครือขา่ ย ( Talk , IRC ) เป็นการบริการอยา่ งหน่ึงในอนิ เตอร์เนต็ ที่นิยมใช้

อย่างแพรห่ ลายโดยการพมิ พ์ขอ้ ความส่งถงึ กนั คลา้ ยกับการสนทนาทางโทรศัพท์ ขอ้ ความท่ีพิมพผ์ า่ น

แป้นพมิ พ์จะไปปรากฏบนหนา้ จอของค่สู นทนา

๕. Word Wide Web (WWW) เปน็ บรกิ ารข้อมูลข่าวสารแนวใหมบ่ นอินเตอรเ์ นต็ ท่ีไดร้ ับ

ความนิยมสูงสดุ ในปจั จุบัน เนื่องจากงา่ ยต่อการใช้งาน และไดผ้ นวกบริการข้อมูลอนื่ ๆ รวมไว้ดว้ ย

โดยมีขัน้ ตอนดังน้ี เชน่ Use Net FTP เป็นตน้ ความสามารถพเิ ศษของอนิ เตอรเ์ นต็ คือ ใหบ้ ริการ

ทั้งตวั อกั ษรและภาพ โดยมขี ั้นตอนดังน้ี

๑) เขา้ โปรแกรม Window

๒) Connection ไปยงั ศูนย์คอมพวิ เตอรท์ ่ีทา่ นเป็นสมาชกิ

๓) พมิ พ์ Use Name และ Password ของตน

๔) คลกิ ไปที่ไอคอน Internet Explorer หรอื Netscape เพอ่ื เข้าสู่อนิ เตอร์เน็ต

๕) จากนนั้ หน้าจอก็จะขน้ึ http://www. จากนน้ั กพ็ มิ พช์ อื่ เว็บไซต์ท่ีต้องการใช้

งาน

๖๐
๙.๒ ขน้ั ตอนและวธิ กี ารคน้ ด้วย www. Google.com

๑. เขา้ โปรแกรม คลิก ที่ ปุ่ม Start ซง่ึ เป็นปุ่มปฏบิ ตั ิการคาสง่ั ดังรปู

๒. เลอื กที่ Internet Explorer.lnk ดงั รูป แล้ว ดับเบิ้ล คลกิ

๓.จะปรากฏดงั ภาพ เขา้ ไปท่ี URL : http://www. ท่เี ปน็ ท่อี ยู่ของ เว็บไซต์ ดัง
ภาพ

๖๑

๔. เขา้ ไปเลอื ก URL : เลือก http:// www.google.com ดงั ภาพ
๕. จะปรากฏ http:// www.google.com ดังภาพ

๖๒

ค้นหาโดย Google

๖. ให้พิมพ์ คา ประโยค ช่ือเรอ่ื งทีเ่ ราต้องการคน้ หา
ตัวอยา่ ง จะค้นหา “งานวจิ ัย ” กพ็ มิ พ์คาว่า งานวิจัย ในกรอบ ส่เี หล่ียมที่อย่บู นชอ่ ง

พิมพ์คาว่าา าานว่ิัย

แล้ว่ คลิก ท่ี ค้นหาโดย Google

๗. จากนน้ั ก็เลอื กตามรายการทแ่ี สดงไว้ จะมคี าวา่ งานวจิ ัย อยู่ทุกรายการ ก็ให้

๖๓

ดบั เบล้ิ คลกิ เขา้ ไปดตู ามรายการทเ่ี ราสนใจ พร้อมทง้ั มเี วบ็ ไซตท์ เ่ี ปน็ รายละเอยี ดของเรอ่ื งแสดงไว้
ด้วย ดังภาพ

ค้นหาโดย Google
เลือกตามรายการท่นี าาสนใั แล้ว่
คลิกเข้าไป

๑๐. เว็บไซตท์ ี่ควรรู้

http:// Icweb .log.gov เป็นเว็บไซตห์ อ้ งสมดุ คองเกรส เป็นห้องสมดุ ที่สาคญั ของ

๖๔

สหรัฐอเมรกิ า และเปน็ แหลง่ รวบรวมขอ้ มลู ท่ใี หญ่ทส่ี ดุ แห่งหนง่ึ ของโลก มีเร่ืองราวประวตั ิศาสตรท์ ี่
นา่ สนใจของสหรัฐอเมริกา มีการนาเสนอขอ้ มลู อ้างองิ ต่าง ๆ ในรปู ของเอกสาร ภาพแห่งความทรง
จา ภาพยนตร์ และเทปบนั ทกึ เสยี ง ถา้ ตอ้ งการค้นหาขอ้ มลู ต่าง ๆ ทีร่ วบรวมไวใ้ นห้องสมุดอนื่ ทงั้ ใน
และนอกสหรัฐอเมริกา โดยมีการนาเสนอข้อมลู ในหลายรปู แบบกวา่ ๔๗๐ ภาษา

www.sjmercury.com เว็บไซตโ์ ลกข่าวสาร เปน็ แหล่งข่าวทน่ี ่าสนใจในอินเตอร์เนต็ มีการ
นาเสนอข่าวต่างๆ ทเ่ี กดิ ข้ึนในเอเชียและวงการธุรกิจท่วั โลก ข้อแนะนาทางกฎหมาย ขา่ วสารจาก
หนา้ หนังสือพิมพ์กวา่ ๑๕ ฉบับ

ผู้ใช้หอ้ งสมุดยงั สามารถสืบค้นสารนเิ ทศผา่ นสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศได้ โดย
พมิ พช์ ่อื เว็บไซต์ของสถาบนั น้ัน ๆ

http:// www.mcu.ac.th มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย

http:// www.chula.ac.th จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั

http:// www.tu.ac.th มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์

http:// www.ku.ac.th มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์

http:// www.chiangmai.ac.th มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่

http:// www.mahidol.ac.th มหาวิทยาลัยมหดิ ล

http:// www.ru.ac.th มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง

http:// www.stou.ac.th มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

http:// www.kku.ac.th มหาวิทยาลยั ขอนแก่น

นอกจากน้ใี นอนิ เตอร์เน็ตยังมีเว็บไซตป์ ระเภท Search Engine ท่ีรวบรวมข้อมูลของเว็บไซต์

ตา่ ง ๆท่ัวโลกไว้ แลว้ ทาหน้าท่ีช่วยค้นหาข้อมลู ทผ่ี ใู้ ช้ต้องการอยา่ งรวดเรว็ เชน่

http:// www.yahoo.com

http:// www.excite.com

http:// www.infoseek.com

http:// www.lycos.com

***********************

หนงั สอื อา้ งองิ

ชนะ เวชกลุ . การเขยี นรายงานจากการคน้ ควา้ . กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๙.
ทิพวรรณ หอมพูล และคณะ. เทคนคิ การคน้ หาข้อมลู การเขียนรายงานและการใช้

ห้องสมุด. กรุงเทพฯ : ฟิสกิ สเ์ ซ็นเตอร์, ๒๕๔๒.
ธาดาศักด์ิ วชิรปรชั าพงษ์. หลกั บรรณารักษ์ศาสตร์เบ้อื ต้น. พิมพค์ รง้ั ท่ี ๒. มหาวทิ ยาลัย

ศรีนครินทรวิโรฒ บางเขน. กรงุ เทพ ฯ, ๒๕๔๐.
อาไพวรรณ ทพั เปน็ ไทย. การเขียนรายงานและการใชห้ อ้ งสมดุ . กรงุ เทพฯ : ศูนย์สง่ เสรมิ

อาชวี ะ, ๒๕๔๐.



๖๕

กจิ กรรม/แบบฝกึ หัดทา้ ยบทท่ี ๔

ตอนที่ ๑ คำส่งั จงเติมคาลงในช่องวา่ งต่อไปนใ้ี ห้สมบูรณ์

๑. การวิเคราะหห์ มวดหมหู่ นังสอื หมายถึง................................................................................
๒. ระบบจัดหมู่ท่ใี ชต้ วั เลขเป็นสัญญลกั ษณ์ ผคู้ ดิ คน้ คือ............................................................
๓. การแบ่งหมวดหนงั สอื หมวดท่ี ๒๐๐ ว่าดว้ ย.......................................................................
๔. อกั ษรโรมนั ทยี่ กเว้นไมจ่ ดั หมวดในการจัดแบบห้องสมุดรัฐสภาอเมริกาคือ...........................
๕. บตั รทมี่ ีหวั เรอื่ งอยบู่ รรทัดแรกคือบตั ร..................................................................................

ตอนท่ี ๒ คำสั่ง จงตอบคาถามตอ่ ไปน้ี ตามความเข้าใจของนสิ ติ ทไ่ี ดเ้ รยี นมา ในบทน้ี

๑. ทาไมตอ้ มีการจดั หมวดหนงั สือ อธบิ ายมาให้เขา้ ใจ ?
๒. การจดั หมวดหนังสือแบบทศนยิ มของดิวอี้ คืออย่างไร ?
๓. เลขเรยี กหนงั สือ(Call Number) คืออะไร จงอธิบายมาใหเ่ ข้าใจ ?
๔. การจดั หมวดหมู่หนังสือนอกจากแบบทศนิยมของดวิ อแี้ ล้วมีอกี หรือไม่ มีคอื อะไร บอกมา

พรอ้ ม อธิบาย ประกอบ ?

*************

บทท่ี ๕

การเขียนรายงาน

๑. ความหมายการเขียนรายงาน

การเขียนรายงานทางวชิ าการ หมายถึง รายงานซึง่ เป็นผลของการศึกษาค้นคว้าหา
ความรู้ในเรอ่ื งใดเรื่องหนึ่งแล้วรวบรวมความรู้ที่ได้นน้ั นามาเขียนเรียงใหม่อย่างมรี ะเบียบแบบ
แผนซ่งึ อาจทาเป็นรายบุคคลหรือเป็นรายงานกล่มุ ก็ได้ รายงานอาจจะเป็นรายงานที่ไม่ยาวนัก
หรอื รายงานละเอยี ดพสิ ดารก็แล้วแต่จุดประสงค์ของผูร้ ายงาน (ทิพวรรณ หอมพลู, คณะ :
๒๕๔๒ ,๑๔๒.)

๒. วตั ถปุ ระสงค์ของการทารายงาน

๑. เพื่อฝกึ ใหน้ ิสติ มีโอกาสและสามารถศึกษาด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยให้เห็นแนวทางหลาย
แนวทางในการศกึ ษาวชิ าหนงึ่ ๆ

๒. เพื่อให้นสิ ติ ได้ศึกษาอย่างกวา้ งขวางและลึกซึง้ ยิง่ ข้ึนเพราะได้ศึกษามาจากตาราหลายๆ
เลม่

๓. เพอื่ ส่งเสรมิ ให้นักศึกษารู้จักคดิ อย่างมีระบบ มีเหตุผลและร้จู ักประมาณผลที่ได้จาก
ขอ้ มูลที่ค้นคว้ามา

๔. เพอ่ื สง่ เสริมใหน้ ักศึกษาเกิดความสามารถในการใชภ้ าษา รวบรวมและเรียบเรยี งความ
รู้ ความคิดอย่างเปน็ ระบบ

๕. เพื่อสง่ เสรมิ ใหน้ ักศึกษามีความสามัคคีในหมูค่ ณะ
๖. เพือ่ ให้นักศกึ ษารจู้ กั ยอมรบั ฟังความคดิ เห็นซ่งึ กนั และกนั
๗. เพอื่ เป็นส่วนหนง่ึ ในการประเมินการศึกษาของนกั ศกึ ษาในแต่ละวชิ า

๓. ประเภทของรายงาน

๑. รายงานทว่ั ไป เป็นรายงานแสดงผลงานเป็นรายงานทีเ่ จา้ หนา้ ผูร้ บั ผิดชอบเสนอตอ่
ผบู้ งั คับบญั ชา เชน่ รายงานการประชุม รายงานข้อเท็จจรงิ รายงานความก้าวหนา้ ของรายงานที่
ปฏบิ ัตอิ ยู่

๒. รายงานทางวิชาการ เป็นรายงานท่ผี ู้คน้ คว้าไดเ้ รียบเรยี งขน้ึ ตามความคดิ เหน็ หรือจาก
การ ศึกษาค้นควา้ เรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ

๒.๑ รายงาน (Report) เปน็ รายงานท่ีผูค้ ้นคว้าไดเ้ รยี บเรยี งขึ้นตามความคิดเห็นหรือ
จากการศึกษาค้นคว้าวชิ าใดวิชาหนึ่ง

๗๐

๒.๒ ภาคนพิ นธ์ (Lerm Paper/Research Paper) เปน็ รายงานค้นคว้าประจาภาค
๒.๓ ปริญญานพิ นธ์ (Thesis / Dissertation) เปน็ รายงานผลการวิจยั อนั เปน็ สว่ น
หนึง่ ของ การศึกษาตามหลักสูตรปรญิ ญามหาบณั ฑติ ทีเ่ รียกวา่ วิทยานิพนธ์ (Thesis) หรอื
หลักสูตรปริญญาดษุ ฎบี ณั ฑิต ทเี่ รียกว่า ดษุ ฎนี ิพนธ์ (Dissertation)

๔. รปู แบบของรายงานวชิ าการ

โดยท่วั ไปรายงานจะประกอบดว้ ยสว่ นสาคัญ ๓ สว่ น
๔.๑ ส่วนประกอบตอนตน้ หรือส่วนหนา้
๔.๒ สว่ นประกอบเนอื้ หาหรือสว่ นกลาง
๔.๓ สว่ นประกอบตอนทา้ ย

๔.๑ สว่ นประกอบตอนตน้ หรือส่วนหน้า คือสว่ นทอ่ี ย่ขู า้ งหนา้ เล่ม ไดแ้ ก่ ปก
นอก หน้าปกใน คานา สารบัญ รายละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี

๔.๑.๑ ปกนอก ปกนอกของรายงานมที ้ังปกหนา้ และปกหลัง เชน่ เดียวกบั
หนังสือ ใช้ปกทเ่ี ปน็ กระดาษแขง็ พอสมควร จะใชส้ ใี ดก็ได้ ทีป่ กนอกด้านหน้าจะมชี ่อื เรอ่ื งของ
รายงาน และถดั ลงมามชี ื่อผู้รายงาน หรือกล่มุ ผูเ้ ขียนรายงาน ชอ่ื เรอื่ งของรายงานให้หา่ งจาก
ขอบบนกระดาษลงมาประมาณ ๒ น้ิว และใหช้ อ่ื เรอ่ื งอยู่กลางพอดี บรรทัดทส่ี องรองลงมาเขียน
คาว่า “โดย” และบรรทดั ท่ี ๓ เขยี นชื่อ และนามสกลุ ของผูเ้ ขยี นรายงาน ถา้ มีผู้เขียนรว่ มกัน
หลายคนให้เขียนเรียงลาดับกันลงมา

๔.๑.๒ หน้าปกใน หนา้ ปกในของรายงานคอื หนา้ ท่อี ย่ถู ัดจากปกนอก
นบั เป็นหนา้ ทส่ี าคัญของรายงาน ซงึ่ จะต้องเขียนอยา่ งมรี ะเบียบ แบง่ เปน็ ๓ สว่ นคือ

- ส่วนบน เขยี นชือ่ รายงานเหมือปนปกนอก ห่างจากขอบบน
ของหนา้ กระดาษ ๒น้ิว เช่นเดยี วกับปกนอก และเขยี นให้อย่กู ลางหนา้ กระดาษ

- สว่ นกลาง เขียนช่อื และนามสกลุ ผ้เู ขียนรายงาน จะมคี าว่า“โดย”
นาหน้าช่ือหรอื ไมม่ ีกไ็ ด้

- สว่ นล่าง อยู่ตอนล่างของหน้าปกใน เช่น
รายงานการค้นคว้าประกอบวิชา………………………(ใส่เลขรหสั และชื่อวชิ า)
ภาควชิ า………………… คณะ…………………มหาวทิ ยาลัย…………………….
ภาคเรียน…………………….. ปีการศึกษา ……………………….

๔.๑.๓ คานา อยหู่ น้าถดั จากหนา้ ปกใน ผ้เู ขยี นรายงานเป็นผู้เขียน อาจ
กลา่ วถงึ วัตถปุ ระสงค์ของเขตของรายงาน และคาขอบคุณผู้ท่ีใหค้ วามชว่ ยเหลอื ในการรวบรวม
ข้อมลู หรือการเขยี นรายงาน (ถ้ามี) เมือ่ เขียนคานาจบ เขยี นช่อื ผเู้ ขยี นรายงานไว้สดุ ท้าย
และวนั เดอื นปี ที่เขยี นรายงานอยขู่ า้ งใตช้ ่อื

๔.๑.๔ สารบัญ อยู่ถัดจากหนา้ ปกใน เขียนคาว่าสารบัญ ไวก้ ลางหนา้ ห่าง
จากขอบบนลงมา ๒ นว้ิ หนา้ นี้ไมต่ ้องมีเลขหนา้ ข้อความในสารบญั เริม่ ต้นจากคานาและ
หวั ข้อสาคญั ๆ ของรายงาน เรยี งกันตามลาดับเร่ือง และท้ายสุดเปน็ “บรรณานุกรม” ที่ใช้

๗๑

ประกอบการเรยี บเรียง ข้อความ ในสารบัญเขยี นหา่ งจากขอบซ้ายของหน้ากระดาษประมาณ
๑.๕ น้ิว และด้านขวาของกระดาษ มเี ลขหน้าแจ้งว่าแต่ละหัวข้อเริ่มจากหนา้ ใด

๔.๑.๕ สารบัญตาราง ถ้ามสี ่วนประกอบของรายงาน จะต้องมหี มายเลขกากับ
และมีช่อื ทก่ี ะทดั รดั เข้าใจง่าย แสดงความหมายของตัวเลขขอ้ ความจริงที่ปรากฏในตารางนั้น มี
ลกั ษณะการจดั ทาเช่นเดยี วกับสารบัญเรื่อง เพียงแต่เปลี่ยนคาวา่ บทที่ เป็น ตารางที่

๔.๑.๖ สารบญั ภาพประกอบ เปน็ ส่งิ ประกอบช่วยเสรมิ คาอธบิ ายเน้ือเรอ่ื งให้
เข้าใจง่ายและสมบรู ณ์ขนึ้ ถ้ามี ใหจ้ ัดลาดับไวต้ ่อจากสารบัญตาราง การจัดแบบใหม้ ีลักษณะ
เชน่ เดยี วกบั สารบัญตาราง เพียงแตเ่ ปลยี่ นคาวา่ ตารางที่ มาเปน็ ภาพท่ี เทา่ นัน้

๔.๒ ส่วนประกอบเน้ือเรอ่ื งหรือส่วนกลาง

ส่วนเน้อื เรอ่ื งจัดเปน็ สว่ นสาคญั ทส่ี ุดที่ผเู้ ขียนรายงานจะต้องเรียบเรยี งเองโดย
อาศัยขอ้ มลู จากเอกสารอ้างอิง การเรยี บเรยี งเน้อื เร่ืองนี้มีวธิ คี ลา้ ยกบั การเขยี นเรยี งความ คอื
ตอ้ งแบง่ เปน็ ๓ ส่วน สาคัญคอื สว่ นนา ส่วนตัวเร่อื ง และส่วนลงทา้ ย การเรียงลาดับหัวข้อ
เป็นไปตาม ลาดบั โดยพยายามเขยี นให้มีความแจ่มแจง้ ตัง้ แต่ตน้ จนจบ การเรยี บเรยี งเน้ือหาน้ี
ต้องทาอยา่ งมหี ลกั เกณฑ์ มีการอา้ งองิ หลกั วชิ าที่คน้ ควา้ รวบรวมมาไว้ และมีการแสดงความ
คิดเห็นแทรกไวด้ ว้ ย พงึ ระวังไวเ้ สมอว่าอย่าเขียนเน้ือเร่ืองอยา่ งลอยๆ โดยไม่มีทีม่ าหรืออ้างอิง
เพราะถ้าทาอย่างนั้น หมายความว่า เนื้อหาในสว่ นนั้นเปน็ เนือ้ หาทเ่ี ปน็ องค์ความร้ขู องตวั ผู้ทา
รายงานเอง หรือถ้าเป็นการเอามาจากเนื้อหาของหนังสืออนื่ มองว่าเปน็ การลอกมาเปน็ ของ
ตัวเองเป็นการไม่เหมาะสม

วธิ ีเขียนเนือ้ เรื่องของรายงานนั้น ในการเขียนเนอ้ื เรื่องจะแบ่งออกตามประเภท
ดงั นี้

๑. รายงานที่ไม่หนักไปทางค้นควา้ ตวั หลักทีส่ รุปแนน่ อนไม่ได้ ควรเขียนให้
ผอู้ า่ นเข้าใจแจ่มแจง้ และมีหลักเกณฑว์ ่าได้ ศึกษา เรือ่ ง นั้นอย่างกว้างขวาง

๒. รายงานท่ีเนอ้ื หาหนกั ไปทางค้นคว้า
๒.๑ บทนา
๒.๒ เอกสารทเ่ี กย่ี วข้องกับเรอ่ื งนัน้ เท่าทค่ี ้นควา้ มา
๒.๓ วิธคี ้นคว้าที่ผูเ้ ขียนใช้
๒.๔ ผลของการคน้ ควา้
๒.๕ ข้อเสนอแนะ

๓. รายงานเกีย่ วกบั กรสงั เกตการณ์
๓.๑ ความมุ่งหมายของการสงั เกตการณ์
๓.๒ ส่งิ ทีจะไปสังเกตการณ์
๓.๓ สงิ่ ทีไ่ ด้รับจากการสงั เกตการณ์
๓.๔ ความคดิ เหน็
๓.๕ ขอ้ เสนอแนะ
๔. รายงานการทดลอง
๔.๑ ความม่งุ หมายที่จะทดลอง

๗๒

๔.๒ เครือ่ งมือและวธิ ีท่จี ะทดลอง
๔.๓ ผลของการทดลอง
๔.๔ ข้อเสนอแนะ
ในการคน้ ควา้ และการเขยี นรายงานย่อมจะต้องมีข้อความท่ียกมาจากเอกสารตา่ งๆ
ประกอบ โดยมรรยาทจึงควรจะอ้างถึงท่ีมาของเรื่องนนั้
ส่วนท่เี ป็นเน้ือหาน้อี าจจะประกอบด้วย ข้อเท็จจริง การวเิ คราะห์ข้อเท็จจริง
ขอ้ คิดเหน็ หรอื ข้อเสนอแนะก็อาจจะเขยี นไว้ด้วยก็ได้ ตอ่ จากสว่ นเนอ้ื เรื่องก็เป็นบทสรปุ การ
สรุปน้อี าจจะเป็นการสรปุ ประเด็นสาคัญๆ ของเรื่อง
การเรียบเรียงเนอื้ หาอยา่ งมหี ลักวชิ าการ และน่าจะเช่ือถือนนั้ มสี ว่ นประกอบที่
สาคญั อยู่ ๒ สว่ นคือ
๑. อัญญประภาษ หมายถึง ข้อความสาคัญทีค่ ดั ลอกมาจากหนังสืออ้างองิ นามา
แทรกลงไวใ้ นเนอื้ หาของรายงานตอนใดตอนหนึง่ เพ่ือเพ่ิมความหนักแนน่ ให้แก่เน้ือหาของ
รายงาน
๒. เชิงอรรถ หมายถึง ขอ้ ความที่อยู่ตอนล่างของเน้ือหาในแตล่ ะหนา้ เพื่อบอกที่มา
ของเนื้อหาทีย่ กมาอ้างอิงไวเ้ ป็นอัญญประภาษ ว่านามาจากแหล่งใด โดยเขยี นไว้หนา้
เดียวกับอญั ญประภาษ นอกจากนี้เชิงอรรถอาจจะเปน็ การอธบิ ายความหมายของศัพท์หรือ
สานวนท่ีปรากฏในเนอ้ื หาของรายงานกไ็ ด้
๓. ตารางและภาพประกอบ ถ้ามีการระบุไวใ้ นสว่ นตอนตน้ ของรายงานใหแ้ สดงไว้
ในสว่ นประกอบของเน่อื งเร่อื งด้วย และควรจะกล่าวไว้ให้สัมพันธต์ ่อเน่ืองกับเน้ือเรื่อง จะชว่ ย
ไมใ่ ห้ผ้อู ่านสบั สน และเขา้ ใจข้อเทจ็ จริงที่กล่าวไว้ในเน้ือเรอื่ ง

๔.๓ ส่วนประกอบตอนทา้ ย สว่ นนไ้ี ด้แก่

- การเขยี นบรรณานุกรม การเขียนบรรณานกุ รม ควรเรียงลาดับดังน้ี
๑. ถา้ มีหนงั สอื ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เขียนของภาษาไทยก่อน

๒. ชอ่ื ผู้แต่งเรียงตามลาดับตัวอักษร ก- ฮ ไม่ต้องมีคานาหน้า ถ้ามีผแู้ ตง่
หลายคนใช้ชอ่ื คนแรก

๓. ลาดบั ต่อมาเป็น ชอื่ เรอื่ ง สานกั พิมพ์ ปที ่ีพมิ พ์ และอน่ื ๆ
- ภาคผนวก คือ ขอ้ ความท่นี ามาเพิ่มเตมิ ในตอนทา้ ยของรายงาน เพื่อชว่ ย
ส่งเสรมิ ใหผ้ ู้อ่านเข้าใจแจม่ แจ้งย่งิ ขึ้น ภาคผนวกอาจจะมีหรอื ไม่มีก็ได้ แลว้ แตค่ วามเหมาะสม
ของเนื้อเรื่อง
- ดรรชนี คือ หวั ขอ้ ย่อย หรือบญั ชีคาท่นี ามาจากเนอ้ื เร่ืองในหนังสือ โดย
จดั เรียงตามลาดบั ตงั้ แต่ ก - ฮ และบอกเลขหน้าท่ีคานานน้ั ปรากฏอย่ใู นเนื้อเรื่อง ดรรชนจี ะชว่ ย
ให้ผอู้ า่ นคน้ หาคาหรือหัวข้อย่อยได้อยา่ งรวดเร็ว

๕. การเข้ารูปเล่ม

๗๓

การเข้ารปู เล่มเป็นขั้นสุดทา้ ยของการทารายงาน จะต้องเรียงลาดบั สว่ นประกอบตา่ งๆ
อยา่ งมากข้นั ตอน โดยเร่ิมจาก ปกหนา้ – ในรองปก – ปกใน – คานา – สารบญั – เนอื้ เร่ือง –
บรรณานุกรม – ใบรองปก – ปกหลัง

๕.๑ ขั้นตอนในการทารายงาน

๑. การเลอื กหัวขอ้ ทจี่ ะทารายงาน
๒. การสารวจแหลง่ ความร้อู ยา่ งคร่าวๆ เพื่อวางแนวโครงเรื่อง
๓. การวางโครงเร่ืองคร่าวๆ เบ้ือตน้
๔. การคัดเลือกแหล่งความรทู้ ต่ี ้องการใช้
๕. การคน้ หาแหลง่ ขอ้ มลู
๖. การอา่ นและจดบนั ทกึ
๗. การเรียบเรียงบนั ทกึ และทาโครงเร่ืองจริง
๘. การเขียน การแกไ้ ข และพมิ พข์ ้นั สดุ ทา้ ย
๙. การเขียนบรรณานกุ รมและเชิงอรรถ
๑. การเลือกหัวข้อเรือ่ งท่ีจะทารายงาน อาจารยเ์ ปน็ ผ้กู าหนดหวั เรอ่ื งให้แตใ่ นบาง
กรณผี ู้สอนอาจจะให้นิสติ นักศึกษาเปน็ ผู้กาหนดหวั ขอ้ เร่ืองเอง โดยมีหลกั ทีจ่ ะคานงึ ถึงดงั น้ี
๑.๑ เลอื กหวั ขอ้ ทนี่ า่ สนใจ
๑.๒ เลอื กหวั เร่ืองที่เรามีความรอู้ ยบู่ ้าง
๑.๓ เลือกหวั เรื่องท่ีไม่ใชเ่ ปน็ พืน้ ฐานเกินไป
๑.๔ เลือกหวั เรอ่ื งที่ไม่กว้างเกนิ ไป
๑.๕ เลือกเร่ืองท่ีมีหนังสือและเอกสารทีจ่ ะทารายงานได้
การเลอื กหัวข้อเร่ืองและการกาหนดขอบเขตของเรื่อง

๑) จากดั โดยแขนงวชิ า คือ กาหนดขอบเขตของเร่อื งใหแ้ คบลงมาเฉพาะตอน
ใดตอนหนึ่งในแขนงวชิ านั้นๆ เชน่ “ภาษาไทย” อาจกาหนดให้แคบลงเป็น “การใชภ้ าษาไทยใน
อาชีพ”

๒) จากดั โดยบคุ คล คือกาหนดขอบเขตของหัวเรอ่ื งโดยยึดบุคคล เชน่
การศึกษาเร่ือง “เยาวชนทต่ี ิดยาเสพตดิ ในกรุงเทพมหานคร”

๓) จากัดโดยสถานที่ คือกาหนดขอบเขตหัวเรื่องโดยยดึ สถานที่ เช่น รางาน
เรอื่ ง “แรงงานเด็กในโรงงานขนาดยอ่ ม”

๔) จากดั โดยทางภมู ศิ าสตรเ์ ป็นหลัก คอื ศกึ ษาเรื่อง “แรงงานเด็กในโรงงาน
ขนาดยอ่ มใน จังหวดั นครปฐม”

๕) จากัดโดยระยะเวลา คือ กาหนดขอบเขตหวั เรอื่ ง โดยอาศยั ระยะเวลาเป็นหลัก
เช่น “อัตราคนว่างงานตงั้ แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๓๘ - ปจั จุบนั ”

๒. การสารวจแหล่งความรู้อย่างครา่ วๆ เพอื่ วางแนวโครงเรอ่ื ง
- โดยใช้เครอ่ื งมือช่วยกนั ในห้องสมุด เชน่ บตั รรายการ บัตรดรรชนวี ารสาร กฤตภาค

จุลสาร
- หนงั สือเอกสารตารา หนังสืออา้ งองิ สื่อ โสตฯ บรรณานุกรม ฐานข้อมลู

๗๔

- รายงานประจาปี คมู่ อื เอกสาร ส่งิ พมิ พ์รฐั บาล
๓. การวางโครงเร่ืองครา่ วๆ ข้ันตน้ โครงเรื่อง คอื โครงสรา้ งของรายงาน กเ็ ขยี นโครง
เร่อื งจะชว่ ยให้การเขยี นรายงานเป็นไปตามลาดบั ข้ัน ทาให้การจดั ลาดับหวั ขอ้ เหมาะสมและ
สอดคลอ้ งกนั
๔. การคัดเลอื กแหลง่ ความรู้ท่ีต้องการ เมื่อวางโครงเร่ืองครา่ วๆ ได้แลว้ ความคิดตา่ ง ๆ
เกีย่ วกบั หัวเรอื่ งท่ีจะเรียบเรียงเปน็ ราย งานนัน้ จะชัดเจนข้ึน ซ่ึงในขนั้ ตอนนี้คดั เลือกเนื้อหาใน
แหล่งความรูท้ ่เี ตรยี มสารวจไวใ้ นข้อ ๒.
๕. การคน้ หาแหล่งขอ้ มูล เมอื่ คดั เลอื กแหลง่ ขอ้ มูลได้ตามต้องการแล้วกเ็ ร่ิมศึกษาค้นควา้
เพอ่ื เก็บรายละเอยี ดของเนื้อหาและสาระของหวั เร่ืองนน้ั เพอื่ นาไปบนั ทึก
๖. การอา่ นและการจดบนั ทกึ ทาได้ ๓ วธิ ีคอื

๑. บนั ทึกยอ่ คือ บนั ทึกเอาแตใ่ จความสาคัญของเนื้อเรื่องที่เกีย่ วข้องไว้
๒. บันทกึ แบบถอดความ คือ การถอดเอาใจความจากต้นฉบับเดิม โดยใช้สานวนของ
ตน เอง เชน่ ถอดความจากภาษาต่างประเทศ
๓. บันทึกแบบคดั ลอกข้อความ คอื การบนั ทึกทกุ ถ้อยคาใหเ้ หมือนต้นฉบับทุก
ประการ ท้งั ข้อความและสะกดการันต์
๗. การเรียบเรียงบนั ทึกและทาโครงเร่ืองจรงิ โครงเร่อื งจรงิ เปน็ สารบญั หรือขอบเขตของ
รายงานเปน็ ขั้นการลงมือเรียบเรียงเนอ้ื หาโดยใช้ โครงเรื่องทีเ่ ตรียมไว้ในขอ้ 6. มาประกอบเพ่ือ
เรียบเรยี งเปน็ โครงเรอื่ งใหม่ ซ่ึงโครงเรอื่ งจริง สาหรบั ใช้เขียนรายงาน
๘. การเขียน การแก้ไข และพิมพ์ขน้ั สุดท้าย การเขียนรายงานควรเขยี นด้วยสานวน
ของตนเองให้มากทสี่ ุด โดยอาศยั ข้อมลู จากการบนั ทึกท่จี ดมา การเขียนรายงานนน้ั ควรเขียน
ด้วยประโยคสน้ั ๆ ตรงไปตรงมาและไดใ้ จความ ภาษาและตวั สะกดต้องถกู ต้องตาม
พจนานุกรม ภาษาทใ่ี ชค้ วรใชภ้ าษาราชการ ไม่ควรใชภ้ าษาถิ่น ภาษาพดู หรือภาษาตลาด
ในการเขียนรายงาน ถา้ คัดลอกขอ้ ความของผู้อนื่ มาท้ังหมดให้ปฏิบัติดังนี้
ถ้าขา้ ความทค่ี ัดลอกมาน้นั เกนิ ๔ บรรทัด ให้เขียนต่อกับขอ้ ความ โดยนาเอาขอ้ ความ
ท่คี ดั ลอกนน้ั ใส่ไว้ในเคร่อื งหมาย “---------------” ท้ายเคร่ืองหมายใส่เลขเชงิ อรรถกากับไว้เหนือ
ข้อความตวั สดุ ท้าย เชน่

ครรชติ มาลยั วงศ์ ได้กลา่ วไว้ว่า “----------------------------------------------------
--------------------------------------”

๘.๑ การตรวจทานและแกไ้ ขรายงาน
ในการตรวจทานแกไ้ ขรายงาน ใหพ้ จิ ารณาดูในหัวขอ้ ต่อไปน้ี

๑. บทนา เขยี นตอ่ เนื่องกันสน้ั นา่ สนใจและเข้าส่ปู ระเด็นหรอื ไม่
๒. วตั ถุประสงค์ของรายงานชดั เจนหรือไม่
๓. เน้อื เรอื่ งมีความสมั พันธห์ รอื ไม่
๔. บทสรปุ มีข้อเท็จจริงที่นามาเสนอนนั้ มีสว่ นสนบั สนุนบทสรปุ หรอื ไม่
๕. ตรวจดูภาษามีตัวสะกดการนั ต์ผดิ หรือไม่ ใช้คาพดู ฟุมเฟือยหรือใชป้ ระโยชน์
ทีไ่ มส่ มบูรณ์

๗๕

๖. เอกสารทน่ี ามาอ้างอิงนนั้ เก่าหรอื ลา้ สมยั ไปหรอื ไม่
๗. ทว่ งทานองการเขียนเปน็ อยา่ งไร
๘.๒ การพมิ พร์ ายงาน
๑. ใช้กระดาษพิมพ์รายงาน ขนาด ๘.๕ X ๑๑ นว้ิ หรือ A๔ พมิ พ์เพียงหน้า
เดยี ว
๒. เวน้ ขอบบนและขอบซา้ ย ๑.๕ น้ิว เว้นขอบลา่ งและขอบขวา ๑ น้วิ
๓. การใช้ตัวเลขให้ใชแ้ บบใดแบบหนง่ึ ตลอดทั้งเลม่
๔. การพิมพ์หวั เรื่องรายงานและสารบัญให้เวน้ จากขอบบน ๒ นิ้ว

๕. ยอ่ หนา้ เวน้ ระยะเข้ามา ๑๐ ตัวอักษร
๖. เว้นชอ่ งว่างระหวา่ งบรรทดั ๑ ชว่ งบรรทัดพิมพค์ ู่
๗. สว่ นประกอบตอนต้น ให้ลาดบั หน้า โดยใช้ตัวอักษร ก ข ค ถา้ เปน็
ภาษาองั กฤษให้ใช้ ตวั เลขโรมนั I II III
๘ . สว่ นประกอบเนอื้ เรือ่ ง ใหล้ าดับเลขหน้าโดยใช้เลขหนา้ ๑,๒,๓..
ตามลาดบั การพิมพ์ หรือ เขียนเลขหน้าใหเ้ ว้นระยะห่างระหว่างกระดาษสว่ นบน ๑ นว้ิ
๙ . เมื่อเริม่ บทใหมใ่ ห้ขึ้นหนา้ ใหมเ่ สมอ โดยพิมพ์คาว่า“บทท”ี่ โดยให้หา่ งจาก
ขอบบน ๒ น้ิว “ชอื่ บท” ให้อยกู่ ลางหน้ากระดาษ และไมต่ ้องขีดเสน้ ใต้
๑๐. ควรพมิ พ์รายงานดว้ ยเครอ่ื งคอมพิวเตอร์

ข้ันตอนการทารายงาน
ลาดบั ขน้ั ตอนการทารายงานสามารถเขียนเปน็ แผนภูมิได้ดังน้ี

การเรียบเรียงเน้ือหาและการเขียนรายการอ้างองิ

การเขียนบรรณานุกรม

๗๖

การเลือกหัวข้อเร่ืองรายงาน

การรวบรวมสารนิเทศ

การวางโครงเร่ือง

การจดบันทกึ ข้อมูล

การรวบรวมและเรียบเรียงส่วนประกอบต่าง ๆของ
รายงาน

การเข้าเล่มหรือการเยบ็ เล่ม
รายงาน

๖. การเขียนบรรณานกุ รม

คอื การรวบรวมรายช่ือหนงั สือ เอกสาร และวสั ดุสารนเิ ทศที่ผเู้ ขยี นรายงานศึกษา
ค้นควา้ เนื้อหามาเรียบเรยี งการเขียนรายงาน แตร่ ายการประกอบด้วย ช่อื ผแู้ ต่ง ช่ือเร่ือง ครงั้
ทพี่ มิ พ์ ช่อื ชดุ และลาดบั ที่ สถานทีพ่ มิ พ์ สานักพิมพ์/โรงพมิ พ์ และปที ี่พิมพ์ โดยนามา
จัดเรยี งตามตัวอักษรของผแู้ ต่งไว้ตอนท้ายเล่มรายงาน

บรรณานุกรม คือ รายช่อื หนังสอื วารสาร เอกสารตา่ งๆ รวมทัง้ โสตทัศนวัสดุทุก
ประเภทที่นามาใชอ้ า้ งอิงในการเขียนรายงาน ภาคนิพนธ์ และปริญญานิพนธ์ ตลอดจนบท
นพิ นธท์ กุ ชนิด เพื่อเป็นหลักฐานแสดงวา่ การเขยี นบทนิพนธ์น้นั ๆ ไดม้ กี ารศกึ ษาค้นควา้ จากตารา
ทเ่ี ชอ่ื ถือได้ และถา้ ผู้อ่านตอ้ งการค้นควา้ เพม่ิ เติมก็จะทราบแหลง่ ท่ีจะศึกษาความร้เู หล่าน้นั ได้
ทนั ที เช่น ช่อื ผูแ้ ตง่ ชอ่ื เร่ือง ครั้งท่ีพิมพ์ ช่อื ชดุ หนังสือ และลาดบั ท่ี สถานที่พมิ พ์หรือโรงพิมพ์
และปีท่ีพมิ พ์

๖.๑ หลักเกณฑก์ ารเขยี นบรรณานกุ รม

๑. ให้เขียนคาว่า “บรรณานุกรม”โดยไมต่ ้องขีดเส้นใตไ้ ว้กลางหน้ากระดาษ ห่าง
ประมาณ ๒ น้วิ

๒. บรรณานุกรมแตล่ ะรายการให้เขียนชดิ ขอบซา้ ยของหน้ากระดาษ หากเขียนไม่
จบในบรรทัดเดียวให้ข้นึ บรรทัดใหม่ โดยยอ่ หนา้ เข้ามาประมาณ ๗ ตวั อกั ษร

๓. ใหเ้ รยี งรายช่ือท่จี ะเขียนบรรณานุกรมตามลาดบั อกั ษรชอ่ื ผแู้ ต่ง (ก - ฮ)

๗๗

๔. รายงานทีเ่ ป็นภาษาไทย ถ้าในบรรณานุกรมมภี าษาต่างประเทศปะปนอยู่ ให้
จดั เรียงเอกสารภาษาไทยไว้เปน็ ส่วนแรก ส่วนภาษาอังกฤษไวส้ ่วนหลัง ซ่ึงจัดเรียงตามลาดับb
อกั ษรชื่อสกลุ ของผแู้ ต่ง ถา้ เป็นรายงานภาษาอังกฤษและอ้างหนงั สอื ไทย การจดั ภาษาไทย ตอ่
จากชดุ ภาษาอังกฤษ

๕. ในบรรณานกุ รมมเี อกสารอา้ งอิงหลายประเภทและมจี านวนมาก ใหแ้ บ่งตาม
ประเภทของ

๖. เอกสาร คือ หนงั สือ บทความในวารสาร หนงั สือพิมพ์ สารานกุ รม วิทยานิพนธ์
จลุ สาร เอกสารอดั สาเนา และการสัมภาษณ์

๗. ถ้าเป็นการเขียนรายงานสน้ั ๆ มหี นงั สอื น้อยเล่ม การเรยี งลาดับไม่ย่งุ ยาก ควร
ใชค้ าวา่ หนังสอื อเุ ทศ หรือหนังสอื อา้ งอิง (ในกรณีที่เอกสารอ้างอิงไม่ถึง ๕ เล่ม) แต่ถ้ามี
เอกสารต้ังแต่ ๕ เล่มขน้ึ ไป จึงใช้คาวา่ “บรรณานุกรม”

๘. การลงรายการสิ่งพิมพ์ของผูแ้ ตง่ คนเดียวกัน ในคร้งั ต่อไปไมต่ อ้ งเขยี นช่ือผแู้ ต่งซ้า
อีก ใหใ้ ช้ สัญญประกาศ (------------------) ยาวประมาณ ๗ ช่วงอกั ษรแทน

๙. บรรณานกุ รมแต่ละรายการตอ้ งข้นึ บรรทัดใหมท่ ุกคร้ัง โดยเวน้ ระยะ ๑
บรรทัด

๖.๒ การลงรายการบรรณานุกรม

๑) บรรณานกุ รมหนังสือ
ชอ่ื ผู้แต่ง. ชือ่ เรอื่ ง. จานวนเลม่ . ครัง้ ที่พมิ พ์. ชือ่ ชดุ หนงั สอื และลาดบั ท่ี.

สถานที่พมิ พ์ : สานกั พมิ พห์ รอื โรงพิมพ์, ปที ีพ่ ิมพ์, จานวนหน้า.

คกึ ฤทธ์ิ ปราโมช, ม.ร.ว. หลายชวี ติ . พระนคร : ชัยฤทธ์ิ, 2499. 176 หนา้
เตมิ วภิ าคยพ์ จนกจิ . ประวัตศิ าสตร์อีสาน 2 เล่ม. พิมพ์ครง้ั ที่ 2. พระนคร :

สมาคมสังคมศาสตร์แหง่ ประเทศไทย, 2513.
นราธปิ ประพนั ธ์พงศ์, กรมพระ (พระองค์เจ้าวรวรรณากร). พงศาวดารไทยใหญ่.

2 เล่ม. กรุงเทพฯ : องคก์ ารคา้ ของครุสภา. 2505

รายละเอยี ดแตล่ ะรายการมดี ังน้ี

๑. ชอ่ื ผูแ้ ต่ง แบ่งเป็น ๒ ประเภทคอื
- ผแู้ ต่งที่เป็นบุคคล
- ผู้แตง่ ที่เปน็ สถาบัน
ผ้แู ต่งท่ีเปน็ บคุ คล

คนไทยใช้ชือ่ ข้ึนตน้ ตามดว้ นชอ่ื สกุล ชาวต่างประเทศใช้ชอ่ื สกุลขึน้ ต้นตามด้วย
ช่อื ตน้ และชอ่ื รองโดยไมต่ ้องมีคานาหน้านามคอื นาย นาง นางสาว Mr. Miss Mrs.
ยกเว้น คานานามท่ีเป็นนามแฝง หรอื นามบรรดาศักด์ิที่เป็นชื่อเฉพาะเชน่ นายตารวจ ณ เมอื งใต้
นายราคาญ. นายวรการบัญชา. นายนรนิ ทรธเิ บศร์(อิน) บคุ คลธรรมดาท่ีมียศ ตาแหนง่
หนา้ ทก่ี ารงานในราชการ เช่น ศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์

๗๘

นายแพทย์ ดร. ยศทางทหารทงั้ หมด (ยกเวน้ คาวา่ จอมพล) และอักษรยอ่ ชอื่ แสดงวฒุ ิ
ปรญิ ญาบตั รต่อจากชอ่ื ก็ไม่ตอ้ งมี เชน่ กศ.บ. เปน็ ต้น การลงช่อื ผูแ้ ตง่ มรี ายละเอยี ดดงั นี้

๑) บุคคลธรรมดา ลงบรรณานกุ รม
สปิ ปนนท์ เกตุทตั .
วศษิ ฐ เดชกญุ ชร.
Kenedy , John F.

๒) ผ้แู ตง่ ที่มีราชทินนาม ให้ลงราชทินนามหลังชือ่ ทใี่ ช้เป็นทางการ คั่นด้วย
เคร่อื งหมาย

จลุ ภาค (,) เช่น
ธรรมศกั ด์ิมนตรี, เจ้าพระยา
อนมุ านราชธน, พระยา
พนิ ิจชนคดี, พระ
สาเร็จวรรณกจิ , หลวง
คงฤทธศิ์ ึกษากร, ขุน
Arnold, Sir Enwin.
๓) ผู้ทม่ี ฐี านันดรศักด์ิ และพระนามของพระเจา้ แผน่ ดนิ ให้ลงแบบราชทนิ
นาม
มงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาสมเด็จพระ.
วชิราลงกรณ์, เจา้ ฟูาชาย.
พทิ ยาลาภพฤฒยิ ากร , กนมหมนื่ .
จลุ จกั รพงศ์, พระองค์เจ้า.
พนู พศิ มยั ดสิ กลุ , ม.จ.
เสนยี ์ ปราโมช, ม.ร.ว.
ต้ยุ ชมุ สาย, ม.ล.
Oxford, Robert Harley, Earl of.
๔) ผ้แู ตง่ เปน็ ภกิ ษุ และภิกษมุ สี มณศกั ดิ์ ต้ังแต่สมเด็จพระราชาคณะข้ึนไป
เช่น
ปรมานุชิตชิโนรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระ.
พระอรยิ วงศาตญาณ, สมเด็จพระสังฆราช.
พระพุทธโฆษาจารย์ (โต), สมเดจ็ .

พระราชาคณะชัน้ ต่าลงมา เชน่
พระกววี รญาณ (จานง)
พระพรหมมนุ ี (พมิ พ์).
พระเทพสุทธเิ มธี (พุทธทาสภิกขุ).

พระสงฆ์ท่ัวไป ให้ลงเฉพาะฉายานามสงฆ์ก่อน เช่น
ภรู ทิ ัตตเถระ, ภกิ ขุ.
วรี ะปัญโญ, ภิกขุ.

๗๙

ปัญญานนั ทะ, ภิกขุ.
ญาณสมั ปนั โน, ภกิ ขุ.

ถ้าเป็นพระสงฆ์ที่สกึ แลว้ ใหล้ งนามแบบฆราวาส แมว้ า่ หนงั สอื เลม่ นนั้ จะแตง่ เม่ือครง้ั

ยงั เป็นพระสงฆ์ และลงนามพระสงฆ์ในหนังสือกต็ าม เชน่

สุวโิ ว, ภิกขุ ลงบรรณานุกรม สชุ พี ปัญญานภุ าพ

พระราชชัยกวี (พุทธทาส อินทปญั ญา) คาบรรยายเก่ยี วกับพทุ ธศาสนา. พระนคร

: ไทยวฒั นาพานิช. 2510. 192 หน้า

๕) ผูแ้ ต่งเปน็ สตรีท่ีได้รับพระราชทานเครือ่ งราชอิสริยาภรณช์ ั้นสงู ใหล้ งคา
นาหนา้ นามตามหลงั ช่ือ สกุล โดยใช้เคร่อื งหมายจลุ ภาคค่นั เช่น

รัญจวน อนิ ทรกาแหง, คุณ.
อบุ ล หุวนันท์, คุณหญิง.
จินตนา ยศสนุ ทร, คุณหญงิ .
จงกล กติ ติขจร, ทา่ นผหู้ ญิง.
รัญจวน อนิ ทรกาแหง, คณุ หญิง. การใชห้ ้องสมุด (หส.๐๑๑). กรุงเทพฯ :
วัฒนาพานชิ . ๒๕๔๐. ๒๔๔ หน้า
๖) ผู้แต่งใช้นามแฝง ให้ลงนามแฝงก่อน แลว้ ลงนามจริงในวงเล็บ ถ้าไม่
สามารถหานามจรงิ ไดใ้ หล้ งนามแฝงก่อน แล้วลงคาว่านามแฝง ไว้ในวงเล็บ เช่น ดอกไม้สด
(ม.ล.บบุ ผา นิมานเหมนิ ทร์). อชุ เชนี (นามแฝง).

ดอกไม้สด (ม.ล.บบุ ผา นิมานเหมนิ ทร์). ผู้ดี. พระนคร : คลงั วิทยา, 2496,
356 หน้า

๗) กรณีที่ผแู้ ตง่ เปน็ ผรู้ วบรวม หรือเปน็ บรรณาธิการ หรือผจู้ ัดพิมพ์ เชน่
สลุ ักษณ์ ศวิ ลกั ษณ์ (ผ้จู ัดพมิ พ์).
วทิ ยาการ เชยี งกลุ (บรรณาธิการ).
มาลยั ชูพินจิ (ผู้รวบรวม).

วทิ ยาการ ชยี งกุล (บรรณาธกิ าร). บทกวีและเรื่องสน้ั ดีเดน่ ของสมาคมภาษา
และหนงั สือแห่งประเทศไทย. กรงุ เพฯ : วงศป์ าล, 2522, 136 หนา้

๘) หนังสอื แปลท่ีมีชอ่ื ท้ังผู้แตง่ เดิม ชื่อเรือ่ งเดิม และชื่อผู้แปล ให้ลงดงั นี้

รอบบนิ ส์, ฮาโรลด์. จาพราก. แปลจาก Never Leave Me โดยกฤษณ์
วราง

กูร. กรงุ เทพฯ : พ.ี พี. , ๒๕๒๒, ๓๖๕ หน้า

๘๐

๙) ผแู้ ตง่ ๒ คน ใหล้ งชอื่ ผู้แตง่ ท่ีระบชุ ่อื เป็นคนแรกก่อน เช่อื มดว้ ยคาว่าและ แล้ว
จึงลงชือ่ ผแู้ ตง่ คนทสี่ อง เช่นสวัสดิ์ เร่อื งวเิ ศษและอานวย เรืองประยูร. Thomson, Don, and
Smith , George.

ทวี มขุ ธระโกษา และ ชลัช สัยะวณชิ . บรรณารกั ษศาสตร์. พมิ พค์ รั้งที่ . พระ
นคร: โรงพิมพ์สุนทรกจิ การพมิ พ์, ๒๕๑๔, ๔๗๘ หนา้

๑๐) ผ้แู ตง่ ๓ คน ใหล้ งชื่อผแู้ ต่งคนแรก แลว้ ค่ันด้วยเครอ่ื งหมายจลุ ภาค ลงช่ือผู้
แตง่ คนทสี่ องเช่ือมด้วยคาว่า และ แล้วลงชอื่ ผู้แตง่ คนทสี่ าม เชน่

ศริ วิ รรณ เสรรี ตั น์, ปริญ ลักษติ านนท์ และศุภร เสรรี ัตน์. การบริหารหาร
ตลาดยคุ

ใหม่. กรงุ เทพฯ : พฒั นศึกษา, ๒๕๓๓.
๑๑) ผแู้ ตง่ มากกว่า ๓ คน ให้ลงชือ่ ผแู้ ต่งคนแรกก่อน แล้วตามดว้ ยคาว่า และคณะ
หรอื และคนอ่ืนๆ เลอื กใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น

สมุ น อมรวิวัฒน์ และคนอน่ื ๆ. การอบรมเลีย้ งดเู ดก็ ตามวิถไี ทย. กรุงเทพฯ :
โครงการเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, ๒๕๓๔.

ผูแ้ ต่งทเ่ี ป็นสถาบัน
๑) หนว่ ยราชการ ให้ลงช่ือกระทรวงผูร้ ับผดิ ชอบ สง่ิ พิมพ์ภาษาตางประเทศ ให้ลงชอ่ื

ประเทศหรือรฐั หรือเมืองนากอ่ น แลว้ ตามด้วยช่อื กระทรวง เช่น
มหาดไทย, กระทรวง. ในกรณมี ีหน่วยงานยอ่ ยรบั ผดิ ชอบ หรือเปน็ เอกสารของ

คณะกรรมการเฉพาะกรณี ใหล้ งชือ่ หน่วยงานใหญ่ก่อน เช่น
การฝกึ หัดครู, กรม. หลกั สตู รการฝกึ หดั ครู. กรุงเทพฯ : สภาการฝกึ หดั ครู,

๒๕๑๙.
๒) สถาบนั การศึกษา สาหรับภาษาต่างประเทศใชช้ อื่ รัฐ ชอ่ื เมอื งขนึ้ ก่อน แล้วตาม

ดว้ ยมหาวิทยาลัย เช่น
London. University. Columbus. Colorado. University.

ถา้ เปน็ มหาวิทยาลยั ของรัฐใดรฐั หนึง่ ให้ลงชอ่ื เมืองตามหลัง เชน่
Ohio. State University. Columbus.
เชียงใหม่, มหาวทิ ยาลยั คณะมนุษยศาสตร์. วิชาบรรณรกั ษศาสตรเ์ บื้อต้น.
เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๑๔, ๑๒๙ หนา้

๓) สถาบันอ่ืนๆ เช่น รัฐวสิ าหกจิ สมาคม สโมสร โรงพยาบาล ธนาคาร บรษิ ทั
เอกชน มลู นิธิ สถาบันทางศาสนา เชน่

หอ้ งสมุดแหง่ ประเทศไทย, สมาคม. หัวเร่อื งสาหรับหนงั สอื ภาษาไทย. พมิ พ์คร้ังท่ี
๒ กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์กรงุ เทพการพิมพ์, ๑๕๒๐, ๒๖๗ หนา้ .

๒) บรรณานกุ รมของวารสาร

๘๑

ชื่อผเู้ ขียนบทความ “ชือ่ บทความ” ชอ่ื วารสาร ปที ่ี ฉบับที่ (เดือน ปี) เลข
หนา้ . เชน่
ยทุ ธนา มหจั ฉริยวงศ์. “ระบบบาบดั นา้ เสยี ชุมชน” วารสารวชิ าการพระจองเกล้าพระนคร

เหนือ. ปที ่ี ๕ ฉบับที่ ๔ (สิงหาคม ๒๕๓๘) ๕๐ – ๕๕.

๓) บรรณานกุ รมหนังสอื พมิ พ์

ช่อื ผเู้ ขียนบทความ. “ช่อื บทความ.” ชอ่ื หนงั สือพมิ พ์. (ฉบบั ที่) : หน้าทตี่ พี ิมพ์
บทความ ; วัน/เดือน/ปี. เชน่

กรงุ สพี่ ระยา. “ตั้งหลกั ไดแ้ ลว้ .” เดลินิวส.์ ๑๗๕๔๓ : ๒๔ ; ตลุ าคม ๒๕๔๐.

๔)บรรณานกุ รมของสารานุกรม

ชอ่ื ผู้เขยี นบทความ. “ช่อื บทความ.” ชอ่ื สารานุกรม เล่มท่ี (ปที พี่ ิมพ์) : เลขหน้า. เชน่
ชยั มกุ ตะพนั ธ์. “คอนกรีต.” สารานกุ รมไทยฉบบั ราชบณั ฑิตยสถานเลม่ ๕

(๒๕๑๖). หนา้
๑๐๒๐ – ๑๐๒๑

๕)บรรณานกุ รมบทวิจารณห์ นังสอื ในวารสาร

ชือ่ ผู้เขยี นบทวิจารณ์. วิจารณ์เรอ่ื ง ชอื่ หนังสอื ทวี่ จิ ารณ์, โดยผ้แู ต่งหนังสือ. วารสาร ปที ี่
เดอื นปี : เลขหน้า เช่น
เกศินี หงสนันท์. วจิ ารณเ์ รอื่ ง การวัดในการจัดงานบคุ คล, โดยสวสั ดิ์ สคุ นธรงั ษ.ี

วารสารพัฒนบรหิ ารศาสตร์ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๓๗ : ๓๗๙ – ๓๘๑.

๖)บรรณานกุ รมวทิ ยานพิ นธ์

ช่อื ผ้เู ขียนวิทยานพิ นธ์. “ชื่อวิทยานพิ นธ์.” วิทยานิพนธร์ ะดบั ใด ชือ่ แผนกวชิ าหรอื
ภาควิชา คณะ มหาวิทยาลัย, ปที ่พี ิมพ์. เช่น

ทพิ วรรณ หอมพลู . “ เปรยี บเทยี บการอ่านจบั ใจความบทรอ้ ยกรองโดยใชก้ ิจกรรมและ
เกม

กบั การสอนตามคมู่ ือครู.” ปริญญามหาบัณฑิต ภาควชิ ามนุษยศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ ประสานมิตร, ๒๕๓๖.

๗)บรรณานกุ รมของการสมั ภาษณ์

จติ ตศักดิ์ วงศท์ องดี และสมพิศ มงคล. เป็นผใู้ หส้ ัมภาษณ์ บญุ เรอื น แสงทอง,
เป็นผู้สมั ภาษณ์ท่ีหอ้ งสมุดประชาชนอาเภอวิเศษชยั ชาญ จงั หวัดอา่ งทอง
เม่ือวันท่ี ๙ สิงหาคม ๒๕๓๗

๘)รูปแบบของบรรณานุกรมของโสตทศั นวสั ดุ

๑. วัสดุประเภท ภาพยนตร์ ภาพเล่ือน ภาพน่ิง และเทปโทรทัศน์ ลงรายการ ตาม
รปู แบบดงั น้ี

ชื่อเรือ่ ง./ (ประเภทของวัสดุ).// สถานทผ่ี ลติ : ผผู้ ลติ หรือผู้จัดทา,/ ปที ผ่ี ลิตหรอื จดั ทา.
เช่น

๘๒

เช้อื เพลงิ ใหม่. (ภาพยนต์). กรุงเทพฯ : เอราวัณภาพยนต์, ๒๕๐๐.
Not at Random. (film). Paris : Unesco Radio & Visual Information,
1974.
ผสู้ มั ภาษณ์. ตาแหนง่ (ถ้ามี). สมั ภาษณ์, วัน เดอื น ปี. เชน่
นรนิ ทร์ เนาวประทปี . ผู้จดั การสานักพิมพ์ฟสิ ิกสเ์ ซน็ ต์เตอร์. สมั ภาษณ์, ๒๘

ตลุ าคม๒๕๔๐.

๗. การเขียนเชงิ อรรถ (Footnote)

เชงิ อรรถ (Footnote) หมายถงึ ข้อความท่ีลงไวต้ อนทา้ ยของหนา้ กระดาษ บอก
ท่มี าของข้อความ เพื่อให้เนือ้ หาในเรื่องมีคาอธิบายและ เรื่อง ราวต่างๆ ที่ไม่ได้อยูใ่ นประเด็น
โดยตรง และในขณะเดียวกันกช็ ่วยใหผ้ ้อู า่ นได้ทราบ แหล่ง ทม่ี าของหลกั ฐาน ข้อคดิ เห็นและ
เร่ืองราวท่อี าจเป็นประโยชน์

๗.๑ จดุ มงุ หมายของเชิงอรรถ

๑. เพ่ืออธิบายคณุ ภาพของแหลง่ ท่มี าของข้อความทย่ี กมา
๒. เพ่ือการวิจารณ์ในทนั ที หรือขยายข้อความเพิ่มเติมตามทป่ี รากฏในเนือ้ หา
๓. เพื่อเป็นการโยงเร่อื ง ทาใหผ้ ู้อ่านตดิ ตามอา่ นเร่ืองที่แนะนาให้อา่ น เปน็ การ
เพ่มิ เน้ือหา ใหส้ มบูรณ์ยง่ิ ขึ้น
๔. เพือ่ การรับรองหลักฐานเดมิ ของข้อความท่ยี กมาประกอบ และสามารถตรวจ
สอบได้

๗.๒ ประเภทของเชิงอรรถ

การเขยี นเชงิ อรรถใหเ้ ขียนไปในขณะเดียวกันท่ีเขียนเนื้อความของรายงาน
เชิงอรรถมี ๓ ประเภท

๑. เชงิ อรรถอา้ งอิง คือ เชงิ อรรถที่แจง้ ให้ทราบวา่ ข้อความท่ยี กมาน้นั อยูใ่ นหนังสือ
หรือส่ิงพมิ พ์เลม่ ใด สาหรบั ให้ผู้อ่านตรวจสอบดู หรือคน้ มาอ่านเพิ่มเตมิ ได้ เช่น สมพงษ์ เกษม
สนิ , สง่ิ น้ีได้อ้างอิงมาแล้ว, หน้า ๑๒๔.

๒. เชิงอรรถเสริมความ คอื เชิงอรรถอธบิ ายคาหรอื ข้อความเพิ่มเติมจากเนื้อเรื่อง
ในตอนน้นั

๓. เชงิ อรรถโยง คอื เชิงอรรถท่โี ยงให้ผู้อา่ นดเู พ่มิ เติมเรือ่ งราวตอนนั้นจากหนา้ อ่นื ใน
เรือ่ งเดยี วกนั

๗.๓ หลักเกณฑ์การเขยี นเชงิ อรรถ

๑. ใหเ้ ขียนเชงิ อรรถแยกจากเน้ือหา โดยลงไว้ตอนล่างของหน้าทมี่ ีขอ้ ความอ้างอิง
โดย มเี สน้ ขดี ขวางคัน่ ระหว่างเนื้อหากบั เชิงอรรถ ห่างจากบรรทดั สดุ ทายของเนื้อหาสองบรรทัด
พิมพค์ จู่ ากริมขอบซา้ ยประมาณคร่ึงหน้า ตัวเชงิ อรรถจะอยู่ใต้เส้นขวางหนง่ึ บรรทดั พิมพ์คู่

๒. ระหว่างเชงิ อรรถให้หา่ งกนั หนึง่ บรรทดั พิมพ์คู่

๘๓

๓. การใชห้ มายเลขกากบั
๓.๑ ตวั เลขในเชงิ อรรถใหเ้ ขียนไว้ตรงทา้ ยส่วนบนของข้อความ
๓.๒ ตัวเลขท่ีกากบั เชิงอรรถให้ยกระดบั เหนือตัวอักษรครงึ่ บรรทดั พิมพ์ใน

ตาแหน่งตัวอักษรท่ี ๘ นบั จากริมขอบซ้ายให้แล้วพิมพ์ตอ่ ไปโดยไม่เวน้ วรรค
๔. การเรยี งลาดบั หมายเลข ให้เริ่มตน้ นบั หน่ึงใหม่เสมอเม่ือข้ึนหนา้ ใหม่ โดย

เลือกใชต้ วั เลขไทย หรือเลขอารบคิ อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงตลอดทง้ั เล่ม และอา้ งให้ตรงกันกับ
หมายเลขท่ีกากับไว้ในเนือ้ หา

๕. ชงิ อรรถทีย่ าวเกินหนงึ่ บรรทัดให้ข้นึ บรรทัดใหม่ชิดริมขอบซา้ ย
๖. ทกุ เชงิ อรรถตอ้ งนาไปลงไว้ในเอกสาร้างองิ ท้ายเล่มด้วยi
๗. การลงชื่อผู้แตง่ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษใหล้ งชอ่ื ตวั แลว้ ตามดว้ ยนามสกุล
ปกติ
๘. ถ้าผแู้ ตง่ มากกวา่ หน่ึงคน ให้ลงช่ือตามท่ีปรากฏในหนา้ ปกในตามลาดบั ดงั น้ี

๘.๑ ผู้แต่งสองคนให้ใช้คาว่า “และ” ในภาษาไทย หรือ “and” ใน
ภาษาอังกฤษ คัน่ ระหวา่ งผแู้ ต่งสองคน เชน่ วิทยา วชั ระวทิ ยากุล และสมชาย ประสทิ ธิ์จู
ตระกลู . คณิตศาสตร์ดสิ ครติ เชิง ประยุกต์. ๒๕๓๖. หน้า ๓๓๘ – ๓๔๐.

๘.๒ ผแู้ ตง่ สามคนใหใ้ ช้เครื่องหมาย (,) จุลภาคค่ันระหว่างชือ่ ผแู้ ตง่ คนแรกและ
คนทสี่ องใช้คาวา่ “และ” หรอื “and” คนั่ ระหวา่ งช่ือผแู้ ต่งคนทีส่ องและคนท่ีสาม เชน่ บุญเลิศ
เอ่ยี มทัศนา, ยืน ภูว่ รวรรณ และสมนึก คีรีโต. โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ภาษาซ.ี ๒๕๓๔. หนา้
๕๙.

๘.๓ ผแู้ ตง่ มากกวา่ สามคน ใหใ้ ช้ชื่อคนแรกแล้วตามด้วยคาว่า “และคนอน่ื ๆ”
ภาษาไทย หรอื “and others” ในภาษาองั กฤษ เชน่ วีรยทุ ธ์ เลิศนที และคน อ่นื ๆ . รวม
การใชง้ าน FoxPro ๒.๕ ฉบับสมบรู ณ์ ๒๕๓๗. หนา้ ๓๕๐ – ๓๕๕.

๙. กานลงเลขหน้าทใ่ี ชอ้ ้างองิ ในภาษาไทยใหเ้ ขยี นคาวา่ “หนา้ ” สว่ นใน
ภาษาอังกฤษ ใหใ้ ช้ “P.” ไวห้ น้าตวั เลขก่อนเสมอ และถ้าอ้างองิ ถึงมากกว่าหนึ่งหนา้ ใหใ้ ช้
เครื่องหมายยตั ิภังคค์ ่ัน เชน่ หน้า ๙. P.9 หนา้ ๑๑ – ๑๕ P.11 – 15

๑๐. ถา้ ไม่ปรากฏปีทพ่ี ิมพใ์ ห้ใช้ ม.ป.ป. ในภาษาไทย และ “n.d.” ใน
ภาษาอังกฤษ

๑๑. ถ้าไมม่ เี ลขหนา้ ให้ใช้ “ไม่มีเลขหน้า” ในภาษาไทย และ “Ungaged” ใน
ภาษาองั กฤษ

๗.๔ รปู แบบของการเขียนเชงิ อรรถ
๑)หนงั สือภาษาไทย

ช่อื /นามสกลุ . // ชอื่ หนงั สือ. // ปที ่ีพมิ พ์. // เลขหนา้ . เชน่
ธาดาศกั ด์ิ วชิรปรชี าพงศ์. ห้องสมุดและการศกึ ษาคน้ คว้า. ๒๕๓๔. หน้า ๑๙.

๘๔

๒)หนังสือภาษาอังกฤษ
Christopher Maynard. Airplanes. 1993. P. 19.
๓)วารสาร
ชื่อผูเ้ ขยี นบทความ. // “ชอ่ื บทความ,” ชอ่ื วารสาร. // ปีท,ี่ ฉบบั ท่ี (เดอื น ปี) เลข
หนา้ เช่น
รุจกา ล.สุภาพันธ์. “พซี ีออดิโอกบั การสรา้ งเสียงเพื่องานสรา้ งสรรค์,” Computer
Review.
ปที ่ี ๑๒ ฉบบั ๑๓๗ (มกราคม ๒๕๓๙) หนา้ ๑๐๔– ๑๒๐.

๔) หนังสอื พิมพ์
ช่ือผู้เขียนบทความ. // “ชือ่ บทความ” ช่อื หนังสือพิมพ์. // วัน เดือน ปี. // เลข
หนา้ .
ทองแถม นาถจานง. “ใครคน้ พบทวีปอเมริกา” สยามรัฐ. พฤหสั บดีท่ี ๒๖
มกราคม

๒๕๓๙ หนา้ ๕

หนงั สอื อ้างองิ

ชนะ เวชกลุ . การเขยี นรายงานจากการค้นควา้ . กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร,์ ๒๕๒๙.
ทพิ วรรณ หอมพลู และคณะ. เทคนคิ การคน้ หาข้อมูลการเขยี นรายงานและการใช้หอ้ งสมุด.

กรุงเทพฯ : ฟิสกิ ส์เซ็นเตอร์, ๒๕๔๒.
อาไพวรรณ ทัพเป็นไทย. การเขยี นรายงานและการใช้หอ้ งสมดุ . กรุงเทพฯ : ศูนย์สง่ เสรมิ

อาชวี ะ, ๒๕๔๐.
ธาดาศักดิ์ วชริ ปรชั าพงษ์. หลักบรรณารักษศ์ าสตร์เบื้อตน้ . พมิ พค์ รัง้ ท่ี ๒. มหาวิทยาลัยศรี

นครนิ ทรวโิ รฒ บางเขน. กรงุ เทพ ฯ, ๒๕๔๐.

กจิ กรรม/แบบฝึกหัดทา้ ยบทที่ ๒

๘๕

ตอนที่ ๑ คำส่งั จงเติมคาลงในช่องวา่ งต่อไปนี้ให้สมบรู ณ์

๑. รายงานซง่ึ เป็นผลจากการคน้ ควา้ หาความรู้ แล้วรวบรวมเปน็ ผลงาน หมายถึง.................
๒. ผลงานท่เี ป็นผลจากการวิจัย ทาในระดบั ปรญิ ญาโทคือ..............................................
๓. การรวบรวมชื่อหนังสือ เอกสารและวสั ดุ เขยี นตามระบบเรยี กวา่ ..................................
๔. ขอ้ ความท่ีลงไวต้ อนท้ายของหน้ากระดาษบอกทีม่ าของขอ้ ความ หมายถึง.......................
๕. การเขียนบรรณานกุ รม ถา้ ไม่ทราบ ปีที่พมิ พใ์ ห้ใส่......................................................

ตอนที่ ๒ คำสงั่ จงตอบคาถามตอ่ ไปนี้ ตามความเขา้ ใจของนสิ ิตท่ไี ด้เรียนมา ในบทน้ี

๑. การเขียนรายงานในการศึกษาน้ัน เพ่ืออะไร ?
๒. รายงานมกี ่ปี ระเภท แต่ละประเภทคอื อะไร บอกมาพร้อมอธิบาย ?
๓. การเขียนบรรณานุกรม มีหลกั เกณฑ์และวธิ เี ฉพาะของแต่ละสถานบนั ท่ีทราบมามีอะไรบา้ ง

บอกมาหนง่ึ พร้องอธิบาย ?
๔. จงบอกรายละเอยี ดของการเขียนเชงิ อรรถมาใหเ้ ข้าใจและที่ตอ้ งเขยี นเชงิ อรรถเพราะอะไร

อธิบายมา?

*************

บทท่ี ๖

การแสวงหาความรู้

๑. การอา่ น

ความสาคัญของการอา่ น

ชีวิตคนส่วนใหญ่เม่ือไดเ้ ล่าเรียนแล้วก็มักจะมโี อกาสได้อา่ นวสั ดุการอ่านต่างๆ อาจจะอา่ นเพ่ือ
ความรู้ อา่ นเพื่อความเข้าใจ และอ่านเพื่อความบนั เทิง นิสิตกต็ อ้ งอ่านเชน่ เดียวกนั นสิ ิตนกั ศึกษาท่ี
แท้จรงิ ไมค่ วรอา่ นเฉยๆ แตค่ วรจดขอ้ มูลความรู้ไว้ด้วย

ขอ้ มูลความรู้ที่นิสิตตอ้ งคน้ คว้า บันทกึ และสะสมเพอื่ นาไปใช้ตอ่ นั้น สว่ นใหญ่จะบนั ทึกเปน็
ภาษาเขียน วชิ าใดทมี่ ีประวัติอันยาวนานผ้มู คี วามรู้ได้พฒั นาความรู้นนั้ มามาก ข้อมลู ท่ีเกี่ยวกับเร่ือง
นนั้ ๆ ก็มมี ากขนึ้ เช่นเดยี วกนั นิสิตนักศกึ ษาท่ีศกึ ษาวิชานัน้ ๆ จาเปน็ จะตอ้ งอา่ นให้มาก เพ่อื จะเขา้ ใจ
คาอธิบายของครอู าจารย์ และยังตอ้ งศึกษาคน้ คว้าเพ่ิมเติมด้วยตนเองเป็นพิเศษจึงจะสอดคล้องกับ
หลกั การศึกษาในระบบหน่วยกติ ที่วา่ “หนว่ ยกิตหนึง่ หมายความวา่ นสิ ิตเขา้ เรียนในห้องเรยี น ๑
ช่วั โมง และตอ้ งไปศึกษาคน้ ควา้ หาความรู้เพิ่มเติมอกี ๒ ช่ัวโมง”

การท่ีมหาวิทยาลัยตา่ ง ๆ เหน็ ความสาคัญของการอ่านนี้ จึงมีห้องสมดุ หรือหอ้ งอ่านหนังสือ
หลายแห่ง นอกจากวัสดุการอ่านในห้องสมดุ เรายังเห็นวัสดุการอา่ นได้ทุกหนทุกแห่ง เช่น ปา้ ยประกาศ
เกีย่ วกบั กาหนดการต่างๆ ป้ายแนะนาบคุ คลสาคัญ ปา้ ยเขียนขอ้ ความเกย่ี วกับการเมือง เศรษฐกิจ
และสงั คม ป้ายหาเสียงหรอื เชิญชวน บางแหง่ ก็เขยี นบทกวี บางแห่งกต็ ิดภาพหรือติดข้อความท่ตี ดั จาก
หนังสือพมิ พ์ เปน็ ตน้

ในยคุ ปัจจบุ นั นก้ี ารอ่านเพือ่ หาข่าวสารขอ้ มลู คอื “ปัจจยั ท่ี ๕” ของคนในเมืองหรอื ในสังคม
เมอื งไปเสยี แลว้ ถา้ วันใดไม่ได้อา่ นหนังสอื พิมพ์เลย เขาอาจรูส้ ึกวา่ ชีวิตเขาขาดสิ่งสาคัญไป เพราะการ
อ่านเป็นส่วนสาคัญยิง่ สาหรบั การตดั สนิ ใจในเร่ืองราวตา่ งๆ แม้แต่ในเรอ่ื งการซ้ือสินคา้ และเคร่ือง
บริโภคยังตอ้ งอาศัยการอ่าน

นิสิตนกั ศกึ ษาระดับมหาวทิ ยาลัย ไมว่ า่ จะอ่านด้วยวัตถุประสงค์อนั ใดก็ตาม ผลท่คี วรไดจ้ าก
การอา่ นกค็ ือสาระคาตอบ ความรู้และความคดิ ใหม่ๆ แล้วนาผลเหล่านน้ั มาใชเ้ พื่อชว่ ยการศกึ ษา
ตนเองและชว่ ยเหลือสังคม นสิ ติ จงึ ควรฝกึ ฝนทกั ษะการอ่านจนเปน็ คนอ่านคลอ่ ง อ่านเกง่ และมี
นิสยั รักการอา่ น ตลอดจนร้จู ักเลอื กสง่ิ ทมี่ ปี ระโยชนต์ อ่ การศึกษาของตน ตอ่ จากการทากิจกรรมทัง้ ใน
หลักสตู รและนอกสตู ร และตอ่ การต่อบาเพญ็ ประโยชน์ตอ่ สังคมระดับต่างๆ

๘๘

ประโยชน์ของการอา่ น

ในการอ่านหนงั สือหรือเอกสารใดๆ ก็ตาม ยอ่ มได้ประโยชน์ ๓ ประการคอื

๑. ความรู้

๒. ความเข้าใจ

๓. ความเพลิดเพลิน

๑. ความรู้

ความอยากรู้อยากเห็นเปน็ ปกตวิ ิสัยของมนุษย์ทว่ั ไป วธิ ีการสาคัญวธิ หี นึ่งทช่ี ่วยให้

มนษุ ยม์ ีความรู้เรอ่ื งทตี่ นไม่เคยร้มู ากอ่ น คือการอ่าน เชน่ เมื่อเราไมม่ ีความรเู้ รอื่ งหุ้นและการเล่นหุ้น

เราจะอา่ นตาราดา้ นธุรกจิ การเงนิ ศกึ ษาหาความร้ปู ระกอบจากการอ่านหนังสือพมิ พ์/และนติ ยสาร

ตลอดจนอ่านขอ้ มูลจากโทรทัศน์ เรากส็ ามารถมีความรเู้ ร่ืองหนุ้ ได้ เมอ่ื มีความรเู้ ช่นนี้ เราก็ได้

ประโยชนจ์ ากการอา่ นคือได้ทั้งความรู้เรื่องหุ้นและยังรเู้ รื่องเศรษฐกจิ การเมือง และสงั คมดว้ ย

ความร้ทู ไี่ ดจ้ ากกการอ่านน้ัน อาจเป็นความรู้ทั่วไป ความรู้เฉพาะด้าน หรือข้อมลู ทางวชิ าการ ซึ่ง

อาจเปน็ ข้อความ แผนภูมิ หรอื ตารงสถติ ิ ก็ได้

๒. ความเขา้ ใจ

ในขณะทีเ่ ราอ่านหนงั สือหรอื ตาราเรียน เราอาจสงสยั ความคดิ หรอื ไม่เขา้ ใจ

ความหมายของคาเฉพาะบางคาซ่งึ ปรากฏในหนงั สือตาราเลม่ น้นั เมอ่ื เกดิ ความสงสยั เราจะพยายาม

อ่านต่อไปอยา่ งไม่ลดละเพ่ือหาคาอธิบายแกข้ ้อสงสยั เพ่ือจะได้เขา้ ใจเรื่องนัน้ ๆ เชน่ เมอื่ เราอา่ นพบ

สตู ร SQ3R ในหนงั สือเล่มหนึง่ เราไม่เขา้ ใจวา่ สูตรนี้หมายถงึ อะไรและประสงค์จะเข้าใจสตู รนี้ จงึ ได้

ตดิ ตามอ่านต่อไปจนพบคาอธบิ ายวา่ “SQ3R” เป็นคายอ่ มาจากภาษาองั กฤษอนั ได้แก่

S มาจากคาว่า Survey = การสารวจ

Q มาจากคาวา่ Question = การตง้ั คาถาม

R มาจากคาว่า Reading = การอา่ น

R มาจากคาว่า Recalling = การคิดถึง

R มาจากคาว่า Reviewing = การทบทวน

เมอ่ื ไดพ้ บเช่นนี้ เราก็เขา้ ใจ และความสงสัยของเรากห็ มดไป แสดงวา่ เราได้ประโยชนจ์ าก

การอา่ นคอื ความเขา้ ใจ การที่เราเขา้ ใจความรู้ความคดิ ที่ยากไดน้ ัน้ ต้องอาศยั พนื้ ฐานความเขา้ ใจ

ความรูแ้ ละความคิดในระดับท่ีงา่ ยกวา่ ก่อน แลว้ นาความรู้เดมิ นั้นมาประยุกต์เขา้ กับความรู้ใหมท่ ี่ไดร้ บั

หลงั จากอา่ นทบทวนหลายคร้ังและใชว้ จิ ารณญาณประกอบการอ่านทุกคร้ังกจ็ ะเกิดความเข้าใจท่ี

กระจา่ งชดั เจนและล่มุ ลกึ ได้

๓. ความเพลิดเพลนิ

คากลา่ วทีว่ ่า“หนงั สอื คือเพ่ือนท่ีซ่ือสตั ย์” หมายความว่าเม่อื อ่านหนงั สือที่แต่งดี นา่

อ่าน เนอื้ หานา่ สนใจ ผูอ้ า่ นย่อมมีความสขุ ความเพลดิ เพลิน อ่านไดน้ าน เกิดอารมณ์คล้อยตาม

อารมณ์ของเรอื่ งนน้ั ๆ เปรยี บได้กับการสนทนาอยา่ งถูกใจกับเพื่อนรักคนหนง่ึ โดยท่ัวไปแลว้ หนงั สอื

ประเภทนวนยิ าย เรื่องส้ัน และบทละครใหค้ วามเพลดิ เพลนิ จากภาษาวรรณศลิ ป์ กลวธิ ีการแต่ง และ

เน้อื หาสาระของเรื่อง นอกจากน้ันยงั อาจเพลิดเพลนิ เม่ือคดิ คล้อยตามหรือขัดแย้งกับผู้เขียนได้ด้วย

แม้ว่าผอู้ ่านหนงั สือเพ่ือความบนั เทงิ อาจจะม่งุ เฉพาะความเพลดิ เพลินใจเท่านั้น และในขณะ

อา่ นอาจไม่ใชว่ ญิ ญาณและไม่ตอ้ งอ่านทบทวนเหมือนการอ่านเพือ่ ความเข้าใจเทา่ นนั้ แต่การอา่ นเพ่ือ

ความบันเทงิ นี้มคี ณุ คา่ สงู ทางดา้ นจิตใจ ชว่ ยให้เกดิ ความสุข คลายความเครียด ให้ข้อคิด และ

๘๙

ยกระดบั จติ ใจผอู้ า่ นไดด้ ้วย ส่วนจะได้รบั ประโยชน์ดังกล่าวมากหรอื น้อย ก็ขน้ึ อยกู่ ับหนังสือท่ีอา่ น
ความสามารถในการอา่ นและวตั ถุประสงค์ของผู้อา่ นด้วย

วัตถปุ ระสงค์ของการอา่ น

ในชวี ิตประจาวนั มนุษย์จะต้องอ่านหนงั สือด้วยวตั ถปุ ระสงค์ต่างๆ กนั สดุ แต่อาชีพและความ
สนใจของแตล่ ะคน เช่น นสิ ติ นกั ศกึ ษาอ่านเพื่อศึกษาท่ีตนเรียนหรืออา่ นเพื่อความรู้ นกั ท่องเที่ยว อ่าน
เพือ่ การเตรียมตวั ท่องเท่ยี ว หรอื เดนิ ทาง เป็นต้น ดงั นนั้ จึงสรปุ วตั ถุประสงค์ของการอา่ นได้ ๔ ประการ
คือ

๑. อ่านเพ่ือการเขยี น คือ หลังจากอ่านแลว้ ผ้อู ่านนาขอ้ มลู หรือแนวคดิ จากเรอ่ื งท่ีอ่านนนั้
มาเขียนแสดงความคดิ เห็นทารายงาน หรือเขียนเชิงสร้างสรรค์ แตก่ อ่ นจะนาข้อมูลหรือความคิดของ
ผูอ้ ื่นไปใช้ ผอู้ า่ นพึงวิเคราะห์ความถูกต้องของข้อมูล คัดเลือกข้อมลู ทเ่ี หมาะสม และนาไปใช้เขยี น
หรอื อ้างองิ อยา่ งถกู ต้อง และมมี ารยาท

๒. อา่ นเพื่อหาคาตอบ เม่ือเราตอ้ งการตอบคาถามวา่ “เรยี นอยา่ งไรจึงจะสาเร็จภายใน ๔
ป”ี เราจะคดิ อ่านหนังสือที่กลา่ วถึงวธิ กี ารเรยี นให้ไดร้ ับความสาเร็จ เชน่ หนังสือคมู่ ือแนะวิธีการเรียนซ่งึ
มหาวิทยาลัยได้จัดพมิ พ์ให้นักศึกษาช้นั ปที ่ี ๑อ่านในการอ่านเพ่ือวตั ถุประสงคข์ ้อนีห้ ากผู้อา่ นรแู้ หล่ง
คน้ คว้าจากเอกสารประเภทต่างๆ ก็จะเปน็ ผ้รู อบรแู้ ละเพ่มิ พูนความรู้อย่างไม่หยุดยัง้

๓. อา่ นเพื่อปฏิบัตติ าม เป็นการอา่ นเพ่ือทาตามคาแนะนาในข้อความหรอื หนังสือที่อา่ น
เชน่ อา่ นหนังสือแนะนาการทาบก่ิงกุหลาบ ซง่ึ อธบิ ายวิธีทาบกง่ิ กุหลาบเป็นข้นั ตอนโดยละเอยี ดตั้งแต่
ต้นจนเสร็จ หากปฏบิ ัตติ ามจริงๆ ผู้อ่านจะต้องอา่ นอยา่ งต่อเน่ืองและต้องทาความเขา้ ใจทุกขนั้ ตอน
และฝกึ ฝนจนสามารถทาบก่ิงกหุ ลาบสาเรจ็ ถกู ต้องตามทบ่ี ่งไวใ้ นหนังสือ

๔. อา่ นเพื่อสะสมความรู้ การอ่านตามวตั ถุประสงค์ข้อนจี้ าเป็นอยา่ งยงิ่ สาหรบั นิสิต
นกั ศึกษาเม่ืออ่านหนังสือตาราเรียนเลม่ ใดเลม่ หนึ่งหรือหนังสอื หรอื วสั ดุการอา่ นใดๆ ก็ตาม ควรเก็บ
รวบรวมประเดน็ สาคัญและน่าสนใจไว้ โดยการบันทึกโน้ตข้อมูลเพอ่ื ค้นควา้ ในโอกาสต่อไปโดยไม่ต้อง
อา่ นทง้ั หมดอีกครัง้ หนึ่ง เพราะได้คดั เลือกข้อมูลความรู้ทตี่ ้องการไว้แล้ว ข้อมูลน้ีจะนามาใชไ้ ดท้ นั ที
เม่อื จะทารายงาน เขียนบทความทาวิจยั สนทนากับผู้อ่ืนและทากิจกรรมๆ (ธรรมศาสตร์,
มหาวทิ ยาลยั . คมู่ อื แนะวธิ กี ารเรยี น: ๒๕๒๗,๑๔).

การอา่ นเพือ่ การศึกษา

การอ่านเพ่ือการศกึ ษาถอื ว่าเป็นการอ่านที่ผสู้ นใจในหนังสือนี้ควรใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะเปน็
แนวทางท่เี ก่ียวนิสิโดยตรง สมบัติ จาปาเงินและสาเนียง มณีกาญจน์ (๒๕๓๕) กลา่ วไว้วา่ การศึกษาไม่
วา่ ระดับใดตัง้ แต่ตน้ จนถึงระดับสูง ควรมหี ลกั การอ่านในใจ คอื

๑. อ่านเพ่อื ศึกษาเพือ่ ใหท้ ราบเรื่องราวของเรื่องนน้ั ๆ เป็นสว่ นรวมก่อน
๒. อ่านเพ่ือจบั ใจความสาคัญของเร่ืองนน้ั ๆ ใหไ้ ด้
๓. อา่ นรายละเอียดที่เกีย่ วขอ้ งกบั ใจความสาคัญแล้วประมวลความคิดไว้
๔. ทบทวนและประเมนิ ผลดวู ่าทา่ นเข้าใจไดต้ ลอดได้ถูกต้องหรอื ไม่เพยี งใด
การอา่ นเพ่ือการศึกษาทเ่ี ป็นตารบั ตาราทางวชิ าการของนิสิตนักศกึ ษา จะต้องรู้วิธีการอ่านอยา่ ง
ทีว่ ่าอ่านตาราเป็น ไมใ่ ชเ่ พยี งแค่อา่ นได้ มบี างคนสอบตกหรอื ได้คะแนนไม่ดีทั้ง ๆ ท่ีดูหนังสอื ต้ัง ๔-๕

๙๐

เท่ยี ว นับเปน็ ความบกพร่องในการปฏบิ ัติการอ่านอันไม่ถูกวิธีการ ซงึ่ การอ่านทีไ่ ม่ถกู มีข้อนาเสนอพอ
ประมวลได้ดังนี้

๑. อา่ นจับใจความสาคัญหรือความคดิ สาคญั ของเรอ่ื งไม่ได้ เข้าใจสบสนว่า ใจความสาคัญรองเปน็
ความสาคัญมาก หรอื เขา้ ใจรายละเอยี ดว่าเปน็ ใจความสาคัญ

๒. มองไม่เห็นความสมั พนั ธ์ตอ่ เน่ืองระหวา่ งใจความสาคัญตอนหนึ่งกบั อกี ตอนหนึ่ง ทาใหไ้ มอ่ าจ
ประมวลความคิดจากเรื่องได้ตลอดอย่างถ่องแท้

๓. ไมเ่ ข้าใจความหมายของถ้อยคาศัพท์หรือข้อความบางตอนที่อ่าน ทาให้เกิดเข้าใจผดิ พลาดใน
ตอนนั้นและอาจผิดพลาดลุกลามไปถึงสว่ นอ่ืน ๆ ด้วย

๔. จากขอ้ ๓ เมอ่ื ทาการบันทกึ ย่อ จะเรียงลาดับใจความสาคัญพลาด อาจเน้นสิง่ ท่ีไม่ควรเน้น ซึง่
จะไม่ให้ประโยชนเ์ ทา่ ท่ีควร

ข้อเสนอแนะสาหรับการอ่านที่ถูกต้องและเป็นแนวทางในการอา่ นเพื่อการศึกษา มีท้งั หมด ๔
ขนั้ ตอน คือ

๑. ขนั้ ตอนที่ ๑ อา่ นผ่าน ๆ การลงมืออ่านตาราวิชาการควรเปดิ สารบญั ว่ามีอะไรบ้าง ใจความ
สาคญั ของเร่อื งจะอยทู่ ีส่ ารบัญ เมอ่ื อ่านสารบัญท่วั แล้วควรดคู านาหรอื บทนาเพื่อหาความคิด ความ
ประสงค์สาคัญของผ้แู ต่ง หลังจากนนั้ ดูแต่ละบท เลือกอา่ นเฉพาะหวั ข้อใหญ่ หวั ข้อย่อย ถ้าไม่มีให้อ่าน
ผ่าน ๆ แตล่ ะยอ่ หนา้ เพอ่ื หาใจความสาคัญหรือความคิดสาคญั ของผแู้ ต่งให้ได้

๒. ข้นั ตอนท่ี ๒ อา่ นตลอด เมื่อผ่านข้นั ตอนท่ี ๑ ควรอ่านตลอดทนั ที จะทาให้เหน็ รายละเอียด
ชัดเจน โดยเฉพาะท่ปี ระกอบใจความสาคัญของเรื่อง ขณะอ่านไมค่ วรหยดุ บอ่ ย ๆ เพอื่ อ่านซ้าขอ้ ความ
ยาก ท่ไี ม่ชัดเจนหรอื หาศัพท์ ทาการบันทึก ควรอา่ นให้ตลอดติดตอ่ กันไปจนจบตอนหรือบท ถ้าไม่
จาเป็นจริง ๆ อยา่ หยุดอ่านกลางคนั หรืออ่านเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะทาให้มองไม่เหน็ การเชอ่ื มโยง
ระหวา่ งใจความสาคญั การหยดุ หาศพั ท์ไม่ควรทาเพราะบางทใี นตอนถดั ไปอาจมเี รอื่ งอธิบายความหมาย
คาศัพท์นนั้ อยู่ การหยุดจดบันทึกยงั ไมค่ วรทาในขนั้ ตอนน้ี จนกว่าจะอ่านเร่อื งใหเ้ ขา้ ใจตลอดเสยี ก่อน

เมือ่ ผอู้ า่ นตารบั ตาราบางคนนยิ มขีดเสน้ ใต้ข้อความที่เหน็ ว่าควรจดจาเอาไว้ เพื่อให้เห็นเดน่ ชดั มี
ข้อคิดวา่ หนังสือนนั้ ต้องเป็นของตวั เองไม่ใชย่ มื จากผู้อื่นหรอื ห้องสมุด เพราะการทาเชน่ นนั้ กับหนงั สอื ที่
มใิ ชข่ องตนเอง ผู้เปน็ เจ้าของหรือผคู้ รอบครองคงไม่พอใจเป็นแน่ อีกประการหน่ึง การขีดเสน้ ใตน้ ตี้ ้องให้
แนใ่ จว่าใจความตอนน้นั สาคัญจริง ๆ อย่าขีดเส้นพรา่ เพรอื่ มากเกินไปจนไมเ่ ป็นการเน้นอะไรเลย

๓. ขัน้ ตอนที่ ๓ อา่ นตรวจสอบและอ่านซา้ ตอนทไี่ มไ่ ดอ้ า่ น ในขนั้ นี้ควรทาใจให้สงบแลว้ อา่ นหัวขอ้
เรอ่ื งหรอื ประโยคต้นของย่อหนา้ จากนั้นใหน้ ึกถงึ เรอ่ื งในหวั ขอ้ หรือย่อหน้าน้ันในใจวา่ มีอะไรบา้ ง ถ้า
สามารถจดจาไดก้ ็ผ่านย่อหน้าหรอื หัวขอ้ นัน้ ไปไมต่ ้องอ่านซ้า เลอื กอ่านเฉพาะตอนท่ยี ังไม่เข้าใจและทา
เครอ่ื งหมายไว้ เรื่องราวหรือกฎเกณฑ์บางอย่างอาจต้องใชเ้ วลาอยู่บ้าง เพราะอาจมีคายาก ศัพท์ทาง
วชิ าการคาที่มีนัยประวัติ ผอู้ า่ นจะตอ้ งพยายามทาความเขา้ ใจให้ถูกต้อง ต้องอ่านดว้ ยความพยายาม ใช้
ความพินจิ พิจารณาจนกวา่ จะเข้าใจแจ่มแจ้ง ในขน้ั น้ีอาจพจิ ารณาไปถึงการวจิ ารณว์ า่ ผู้เขียนมีความนกึ
คิด วธิ ีการเขียนอยา่ งไร เราชอบตอนไหนไมช่ อบตอนไหน เพราะเหตุใด
ถา้ เขยี นเองจะลาดับความอย่างไร ถา้ ไมด่ ีจะแก้ไขอยา่ งไร เปน็ การชว่ ยให้เกดิ ความคิดแตกฉานออกไป

๔. ข้นั ท่ี ๔ ทาบนั ทกึ ควรทาเมื่ออ่านถึงขน้ั ท่ี ๓ แล้ว ไมค่ วรใจร้อนรีบทาต้งั แต่ข้ันที่ ๑ หรือขนั้ ที่
๒ อาจจะเข้าใจเรื่องไม่ไดถ้ ่องแท้ ทาเรื่องทต่ี นเองก็ยังไมเ่ ข้าใจเร่อื งที่อา่ นโดยตลอด บางทกี ็ลอกข้อความ
ลงไปทัง้ ดุ้นโดยตนเองไมเ่ ข้าใจอะไรเป็นการเสียเวลาเปล่า


Click to View FlipBook Version