The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

๓-นางสาวขวัญใจ ยอดตา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by social study, 2022-05-18 02:36:01

๓-นางสาวขวัญใจ ยอดตา

๓-นางสาวขวัญใจ ยอดตา

รายงานการศึกษาอสิ ระทางสังคมศึกษา
เร่อื ง

การพัฒนาความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์
โดยใชร้ ปู แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ในรายวิชาประวตั ศิ าสตร์
ของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ ๕ โรงเรยี นบ้านสองคอนศิรคิ ุรุราษฎร์

ต้าบลบา้ นขาม อา้ เภอน้าพอง จงั หวัดขอนแก่น

โดย
นางสาวขวัญใจ ยอดตา
รหัส ๖๑๐๕๕๐๒๐๐๑

งานวิจยั เลม่ นี้เปน็ ส่วนหนง่ึ ของรายวชิ า ( 203 420)
การศกึ ษาอิสระทางสงั คมศกึ ษา ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564
ตามหลกั สตู รครศุ าสตรบณั ฑิต สาขาวชิ าสังคมศกึ ษา คณะครศุ าสตร์
มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแกน่

แบบอนุมตั ผิ ลงานวิจยั

ดว้ ยหลกั สูตรครุศาสตรบัณฑติ สาขาวชิ าสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น อนุมัติให้นับการวิจัยเรอ่ื ง การพัฒนาความสามารถในการ
คิดวิเคราะห์โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ในรายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี ๕ โรงเรียนบ้านสองคอนศิริคุรุราษฎร์ ต้าบลบ้านขาม อ้าเภอน้าพอง จังหวัด
ขอนแก่น

ให้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาภาคปฏิบัติของรายวิชาการศึกษาอิสระทางสังคมศึกษา
จ้านวน 3 หน่วยกิต ตามวัตถุประสงค์หลักสูตรปริญญาตรี ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา
คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแกน่ ประจ้าภาคเรียนท่ี 2
ปกี ารศกึ ษา 2564

ลงชอ่ื .............................................ผ้วู จิ ัย
(...............................................)
............./................/..............

คณะกรรมการประเมิน/อนุมตั ิ การศึกษาอสิ ระทางสังคมศึกษา

ลงชอ่ื .............................................อาจารย์ทป่ี รึกษา/กรรมการ
(....................................................)
............./................/................

ลงช่ือ.............................................กรรมการ/อาจารย์
(.....................................................)
............./................/................



ลงชื่อ.............................................กรรมการ/อาจารย์
(....................................................)
............./................/................

ลงชอ่ื .............................................กรรมการ/อาจารย์
(....................................................)
............./................/................

ลงชื่อ.............................................กรรมการ/อาจารย์
(....................................................)
............./................/................

ลงชื่อ.............................................ประธานกรรมการ/ประธานหลกั สูตร
(....................................................)
............./................/................



ชอื่ งานวิจัย : การพฒั นาความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหา

ผ้วู ิจัย ความรู้ 5E ในรายวิชาประวตั ศิ าสตร์ ของนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๕
ปรญิ ญา โรงเรียนบา้ นสองคอนศริ ิครุ รุ าษฎร์ ตา้ บลบา้ นขาม อ้าเภอนา้ พอง
อาจารย์ทปี่ รกึ ษา จังหวดั ขอนแก่น
ปีการศกึ ษา
: นางสาวขวัญใจ ยอดตา
: คณะครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศกึ ษา

: อาจารย์พันทวิ า ทบั ภมู ี
: ๒๕๖๔

บทคดั ย่อ

การวิจัยคร้ังน้ีมีจุดประสงค์เพื่อ 1)เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ด้วยการ
จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5
โรงเรยี นบ้านสองคอนศิรคิ รุ ุราษฎร์ ใหน้ กั เรยี นไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 70 ผา่ นเกณฑ์และมคี ะแนนไม่นอ้ ย
กว่าร้อยละ 70 ข้ึนไป 2)เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น รายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชน้ั
ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 โรงเรียนบ้านสองคอนศริ ิคุรรุ าษฎร์ ดว้ ยการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้
5E ให้นักเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์และมีคะแนนไม่นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 70 ขึ้นไป 3)เพ่ือ
ศึกษาความพงึ พอใจในการเรยี นรู้ รายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 5 โรงเรียน
บ้านสองคอนศริ ิคุรรุ าษฎร์ ดว้ ยการจดั การเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ 5E กลมุ่ เป้าหมายทใี่ ช้ในการ
วิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 จ้านวน 28 คน ที่ก้าลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนท่ี 2 ปี
การศกึ ษา 2564 โรงเรียนบา้ นสองคอนศริ คิ ุรรุ าษฎร์ ต้าบลบ้านขาม อ้าเภอน้าพอง จังหวัดขอนแกน่
เคร่ืองมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจัย ประกอบด้วย 1. แผนการจดั การเรยี นรู้ 2. แบบทดสอบวดั ความสามารถใน
การคิดวิเคราะห์ เป็นแบบทดสอบปรนัย 4 ตัวเลือก จ้านวน 20 ข้อ 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบปรนัย 4 ตัวเลือก จ้านวน 30 ข้อ 4. แบบสอบถามความพึงพอใจ

สถิติท่ใี ช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มลู ไดแ้ ก่ ค่าร้อยละ (%) คา่ เฉลย่ี ̅ สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
ผลการวิจยั พบวา่
1) ผลการวิเคราะห์การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์พบว่า นักเรียนทดสอบ

ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ผา่ นเกณฑ์ จ้านวน ๒๘ คน จากนักเรยี นทั้งหมด ๒๘ คน คดิ เปน็ รอ้ ย
ละ ๑๐๐ ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ที่ก้าหนดไว้ และมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยเฉลี่ย คือ ๑๖.๙๖
จากคะแนนเตม็ ๒๐ คิดเป็นร้อยละ ๘๔.๘0

2) ผลจากการใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนพบว่านักเรียนทดสอบผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนผา่ นเกณฑจ์ ้านวน ๒๘ คน จากนักเรียนทั้งหมด ๒๘ คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ ๑๐๐ ซึง่ สงู กว่า
เกณฑ์ท่ีก้าหนดไว้ และมีคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเฉล่ียเท่ากับ ๒๓.๗๓ จากคะแนนเต็ม ๓๐
คะแนน คดิ เป็นร้อยละ ๗๙.๑๐



3) ผลการวิเคราะหค์ วามพงึ พอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้
5E พบว่า นักเรยี นมีความพงึ พอใจต่อการเรยี นรโู้ ดยใช้รปู แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E อยูใ่ นระดบั มาก
ที่สุด ( ̅ = ๔.๗๓, S.D.= ๐.๔๖)



กติ ตกิ รรมประกาศ

การศึกษาค้นคว้าอิสระฉบับนี้ส้าเร็จลงไดด้ ว้ ยความอนุเคราะห์จากบคุ คลหลายฝา่ ย ซงึ่

ผวู้ ิจยั ขอระบนุ ามไว้เพ่อื แสดงความขอบคุณ ดังต่อไปน้ี
ขอขอบพระคุณ อาจารย์พันทิวา ทับภูมี ที่ปรึกษางานการศึกษาค้นคว้าอิสระ ที่ได้

เสียสละเวลาให้ค้าปรึกษา และตรวจแก้ไขข้อบกพร่องของงานการศึกษาค้นคว้าอิสระฉบับนี้ให้มี
ความสมบูรณ์ ขอบพระคุณ ผศ.อนุสรณ์ นางทะราช ประธานหลักสูตรสาขาสังคมศึกษา
ขอบพระคุณ ผู้ทรงคุณวุฒิ อาจารย์บุญส่ง นาแสวง อาจารย์วิรัตน์ ทองภู และอาจารย์สริญญา

มารศรี ผู้เชี่ยวชาญท่ีได้สละเวลาตรวจสอบความถูกต้องของเคร่ืองมือการวิจัย ขอบคุณโรงเรียน
บ้านสองคอนศิริคุรุราษฎร์ อ้าเภอน้าพอง จังหวัดขอนแก่น ท่ีให้ความสะดวกในการเก็บรวบรวม

ข้อมูล พร้อมกับ ช่วยเหลือในเร่ืองของเอกสารข้อมูลในการท้างานการศึกษาค้นคว้าอิสระ และ
ประสบการณใ์ นการทา้ การศกึ ษาคน้ คว้าอสิ ระในครง้ั น้สี า้ เรจ็ ลลุ ว่ งไปด้วยดี

ผู้วิจัยขอขอบพระคุณคณาจารย์นักวิชาการทุกท่านที่เป็นเจ้าของหนงั สือและงานวจิ ยั

ทีี่มี คุณค่า ซ่งึ ท่านไดเ้ ขยี นไวใ้ ห้ได้ศึกษาค้นคว้า เพอื่ เปน็ ขอ้ มูลประกอบในการเขียนงานการศึกษา
ค้นคว้า อิสระในครั้งนี้ และท่ีขาดไม่ได้คือ คณะทีมงานผู้จัดท้างานการศึกษาค้นคว้าอิสระ ท่ีได้

ช่วยเหลอื รว่ มมือและสนบั สนนุ การศึกษาคน้ คว้าอิสระดว้ ยดมี าโดยตลอด
รายงานการศึกษาค้นคว้าอิสระฉบับน้ี ผู้จัดท้างานวิจัยหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่

ผู้สนใจตามสมควร พร้อมทั้งขอยกคุณความดีน้ีบูชาคุณบิดา มารดา ครู อาจารย์ทุกท่าน ท่ีได้

พยายาม อบรม ส่งั สอนใหค้ วามรู้จนท้าใหผ้ ู้จัดท้างานวจิ ัย มคี วามร้มู โี อกาสไดศ้ ึกษาเล่าเรยี นจนถึง
ปัจจบุ นั ผู้จดั ทา้ ต้องขอบคณุ ไว้ ณ ท่ีน้ี

นางสาวขวญั ใจ ยอดตา
ผูว้ จิ ยั

สารบญั ง

เรอ่ื ง หน้า
บทคดั ยอ่ ก

กติ ตกิ รรมประกาศ ง
สารบญั ฉ

สารบัญตาราง
สารบัญภาพ 1
บทท่ี 1 บทนา้ ๔
4
1.1 ความเปน็ มาและความส้าคัญของปัญหา ๕
1.2 วัตถปุ ระสงค์การวจิ ัย ๗

1.3 ขอบเขตการวจิ ยั ๘
1.4 นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ 1๕
1.5 ประโยชนท์ ี่ไดร้ ับจากการวจิ ัย 2๒
2๗
บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วข้อง ๒๙
2.1 หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ๓๓
3๖
2.2 ทฤษฎีและแนวคดิ เกี่ยวกับการคดิ วเิ คราะห์
2.3 ทฤษฎีเก่ียวกับการสืบเสาะหาความรู้ 5E 3๗
2.4 แนวคดิ เกีย่ วกับผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น 3๗
3๘
2.5 แนวคดิ เกยี่ วกับความพึงพอใจ 3๘
2.6 งานวจิ ยั ท่ีเกีย่ วขอ้ ง ๔๓
4๔
2.7 กรอบแนวคดิ การวิจัย 4๔
บทที่ 3 ระเบียบวธิ วี จิ ยั
4๕
3.1 รปู แบบการวิจัย
4๖
3.2 ตวั แปรในการวจิ ัย
3.3 กลุ่มเปา้ หมาย

3.4 เคร่ืองมือที่ใช้ในการวจิ ยั
3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล
3.6 การวเิ คราะหข์ ้อมลู

๓.๗ สถติ ทิ ่ีใช้ในการวิจยั
บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู

4.1 ผลการศึกษาการพัฒนาความสามารถในการคดิ วิเคราะห์
โดยใช้การจัดการเรียนร้แู บบสืบเสาะหาความรู้ 5E

4.2 ผลการศึกษาการพฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

ในการคดิ วเิ คราะหโ์ ดยใชก้ ารจัดการเรยี นร้แู บบสบื เสาะหาความรู้ 5E



สารบัญ (ต่อ)

เร่ือง หน้า

บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู

4.3 ผลการศึกษาความพึงพอใจการจดั การเรียนรูแ้ บบสบื เสาะหาความรู้ 5E 4๗

4.4 ความร้ทู ่ีได้จากการวิจยั ๔๙

บทท่ี 5 สรปุ ผล อภิปรายผลและขอ้ เสนอแนะ

5.1 สรุปผลการวจิ ัย ๕๐

5.2 อภปิ รายผลการวิจัย ๕๑

5.3 ข้อเสนอแนะ ๕๒

บรรณานุกรม ๕๔

ภาคผนวก

ภาคผนวก ก รายนามผู้เช่ยี วชาญตรวจสอบเคร่ืองมือที่ใชใ้ นการวิจัย ๕๘

ภาคผนวก ข แบบประเมินคุณภาพเครอ่ื งมือโดยผู้เชย่ี วชาญ ๖๐

ภาคผนวก ค ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล 8๖

ภาคผนวก ง เครื่องมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย ๙๐

ประวัตผิ ู้วจิ ยั 1๒๔

สารบญั ตาราง ฉ

ตารางที่ หนา้
ตารางที่ ๔.๑ ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ด้วยการจัดการเรียนรู้ ๔๖

ด้วยการจดั การเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ 5E รายวชิ าประวัติศาสตร์ ๔๗
ของนกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี ๕ โรงเรียนบ้านสองคอนศิริครุ รุ าษฎร์
๔๗
อ้าเภอนา้ พอง จังหวดั ขอนแกน่
ตารางที่ ๔.๒ ผลการศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นโดยใช้การจดั การเรยี นรู้

แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รายวชิ าประวตั ศิ าสตร์ ของนักเรยี น

ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๕ โรงเรียนบา้ นสองคอนศริ คิ ุรรุ าษฎร์
อา้ เภอนา้ พอง จงั หวัดขอนแก่น

ตารางที่ ๔.๓ ผลวเิ คราะห์ความพงึ พอใจท่ีมตี อ่ การจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้
แบบสบื เสาะหาความรู้ 5E รายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรยี น
ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๕ โรงเรยี นบ้านสองคอนศริ ิคุรุราษฎร์

อ้าเภอน้าพอง จังหวดั ขอนแก่น

สารบัญภาพ ช

ภาพท่ี หน้า
ภาพท่ี 2.1 กรอบแนวคิดการวิจยั ๓๖



บทที่ ๑

บทนา้

๑.๑ ความเปน็ มาและความส้าคญั ของปญั หา

ปัจจุบันเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ท้าให้ต้องเจอปัญหาและความท้าทาย
หลายอยา่ งท่ี ตอ้ งปรับตัวให้ทันกับการเปล่ยี นแปลง หากมองในเรื่องของการศึกษาทักษะพืน้ ฐานที่
ส้าคญั คอื ทกั ษะการอ่าน การเขียน ทักษะดา้ นตวั เลข และทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 คือ
การมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะให้สอดคล้องกับการด้าเนินชีวิตในอนาคต ซึ่งหนึ่งในทักษะนั้นคือ
ทกั ษะด้านการคดิ และการสือ่ สาร แต่ปญั หาระบบการศกึ ษาทีพ่ บส่วนใหญ่มกั จะให้ความสา้ คัญกับ
การพัฒนาทักษะด้านการคิดวิเคราะห์มากเกินไป แต่ไม่ได้ให้ความส้าคัญกับการพัฒนาทักษะ
ความคดิ และขาดการฝกึ ฝนอย่างถูกวิธี การจัดการเรยี นการสอนในระดบั ต่าง ๆ จงึ ควรพฒั นาการ
ใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาศักยภาพในตัวเอง และสามารถเผชิญกับการ
เปลีย่ นแปลง เพ่ือใหป้ รับตัวใหเ้ ข้ากบั สถานการณ์ และเรยี นรปู้ ัญหาพัฒนาต่อยอดไดอ้ ยา่ งต่อเน่ือง
สามารถน้าไอเดียและความคิดแปลกใหม่ในการคิด บางคร้ังเราอาจจะไม่สามารถสร้างทั้งหมด
ขน้ึ มาได้ดว้ ยตัวเอง แต่จ้าเปน็ ต้องได้รับความชว่ ยเหลือจากคนอื่น จะเห็นได้ว่าทักษะการคิดก็เป็น
อีกทักษะท่ีส้าคัญในศตวรรษที่ 21๑ ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ประกอบด้วย ทักษะในการคิด
วิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และแก้ไขปัญหาได้, คิดอย่างสร้างสรรค์ คิดเชิงนวัตกรรม,
ความร่วมมือ การท้างานเป็นทีม และภาวะผู้น้า, ทักษะในการส่ือสาร และการรู้เท่าทันสื่อ, ความ
เข้าใจความแตกต่างทางวฒั นธรรม, ทักษะการใช้คอมพวิ เตอร์ และการรู้เท่าทันเทคโนโลยี,ทักษะ
ทางอาชีพ และการเรียนรู้และมีคณุ ธรรม มีเมตตา กรุณา มรี ะเบียบวนิ ัย

การพฒั นาทักษะคิดวิเคราะห์ เปน็ กระบวนการทางสมองของมนุษย์ในการรบั ร้เู รียนรู้ที่ท้า
ให้สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของสิ่งท่ีประทับใจหรือจินตนาการท่ีพึงพอใจของตน ให้มี
ความคิดแยกแยะข้อมูล โดยอาศัยกระบวนการความคิด ทฤษฎีและหลักการคิดพิจารณาจึงเป็น
ความสามารถของมนุษย์และเป็นปัจจัยจ้าเป็นในการส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ ใน
ปัจจุบนั มีนักจติ วทิ ยาหลายคนไดท้ า้ การศกึ ษาคน้ คว้าวิจยั เก่ียวกับการคิดวิเคราะห์ พบว่ามนษุ ย์ทุก

๑ วิจารณ์ พานชิ , วิถสี ร้างการเรียนร้เู พือ่ ศษิ ย์ ในศตวรรษท่ี 21, (กรงุ เทพฯ : มูลนิธสิ ดศรี-สฤษด์ิวงศ์
, 2555).



คนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์และสามารถพัฒนาส่งเสริมให้สูงข้ึนได้ด้วยการสอน ฝึกฝน
การฝึกที่ถูกวิธี และมีข้อเสนอแนะ ดังน้ันการคิดวิเคราะห์ จึงเป็นคุณลักษณะท่ีควรได้รับการ
เสรมิ สรา้ งและพฒั นาให้สงู ขนึ้ เพอ่ื ให้เดก็ ไดเ้ จรญิ เติบโตเปน็ ผู้ท่ีมีความคิดที่แยกแยะสงู และพรอ้ ม
ที่จะสรา้ งสรรคป์ ระโยชนแ์ ก่ประเทศชาติต่อไป

รูปแบบการเรยี นการสอน เป็นลกั ษณะการเรยี นการสอนท่ีครอบคลุมองค์ประกอบส้าคัญ
ซึ่งได้รับการจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ตามหลักปรัชญา ทฤษฎีหลักการ แนวคิดหรือความเชอ่ื ต่างๆ
โดยประกอบด้วย กระบวนการหรือขั้นตอนส้าคัญในการเรียนการสอนรวมทั้งวิธีสอนและเทคนคิ
การสอนต่างๆ ท่ีสามารถชว่ ยใหส้ ภาพการเรียนการสอนนัน้ เป็นไปตามทฤษฎี หลกั การหรอื แนวคดิ
ท่ียึดถือและได้รับการพิสูจน์ ทดสอบ หรือยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ สามารถใช้เป็น แบบแผนใน
การเรียนการสอนให้บรรลุวัตถุประสงค์เฉพาะของรูปแบบน้ันๆ รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหา
ความรู้เป็นรูปแบบการเรียนที่พานักเรียนไปสู่การพิจารณาข้อโต้แย้งและข้อสงสัยต่างๆ ซ่ึงการ
เรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ท้ัง 5 ขั้นตอนน้ัน มีขั้นตอนในการด้าเนนิ การดังนี้ 1) การสร้างความ
สนใจ (Engagement) โดยผู้สอนควรสร้างความสนใจ สร้างความอยากรู้อยากเห็น มีการต้ัง
ค้าถามกระตนุ้ ให้ผู้เรยี นคิดดึงเอาค้าตอบท่ียังไมค่ รอบคลุมส่ิงท่ีผู้เรียนรหู้ รอื แนวคิดหรือเนอื้ หา 2)
การส้ารวจและค้นหา (Exploration) ส่งเสริมให้ผู้เรียนท้างานร่วมกัน การส้ารวจ ตรวจสอบ
สังเกตและฟังการโต้ตอบกันระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน ท้าการซักถามเพ่ือน้าไปสู่การส้ารวจ
ตรวจสอบของผเู้ รียน และให้เวลาผเู้ รียนในการคิดขอ้ สงสัยตลอดจนปญั หาต่าง ๆ และทา้ หน้าท่ีให้
ค้าปรึกษาแก่ผู้เรียน 3) การอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) โดยผู้สอนส่งเสริมให้ผู้เรียน
อธิบายแนวคดิ หรือใหค้ า้ จา้ กัดความ ด้วยคา้ พดู ของผู้เรียนเอง ให้ผเู้ รยี นแสดงหลักฐาน ให้เหตุผล
และอธิบายให้กระจ่าง ให้ผู้เรียนอธิบาย ให้ค้าจ้ากัดความและช้ีบอกส่วนต่าง ๆ ในแผนภาพให้
ผู้เรียนใช้ประสบการณ์เดิมของตนเป็นพื้นฐานในการอธิบายแนวคิด 4) การขยายความรู้
(Elaboration) โดยผู้สอนคาดหวังใหผ้ ู้เรียนได้ใช้ประโยชนจ์ ากการช้ีบอก ส่วนประกอบต่าง ๆ ใน
แผนภาพค้าจ้ากัดความและอธิบายส่ิงที่เรยี นรู้มาแล้ว ส่งเสริมให้ผู้เรียนนา้ ส่ิงท่ีผู้เรียนได้เรยี นร้ไู ป
ประยกุ ตใ์ ชห้ รอื ขยายความร้แู ละทกั ษะในสถานการณ์ใหม่ ใหผ้ ู้เรียนอธิบายอย่างมคี วามหมาย ให้
ผเู้ รยี นอ้างอิงขอ้ มูลทีม่ อี ย่พู ร้อมทง้ั แสดง หลักฐานและถามค้าถามผเู้ รียนวา่ ได้เรียนรูอ้ ะไรบ้าง หรือ
ได้แนวคิดอะไร 5) การประเมินผล (Evaluation) โดยผู้สอนสังเกตผู้เรียนในการน้าแนวคิดและ
ทักษะใหม่ไปประยุกต์ใช้ประเมิน ความรู้และทักษะผู้เรียน หาหลักฐานท่ีแสดงว่าผู้เรียนเปลี่ยน



ความคิดหรือพฤติกรรม ให้ผู้เรียนประเมินการเรียนรู้และ ทักษะกระบวนการกลุ่ม ถามค้าถาม
ปลายเปิด๒

จากบริบทของโรงเรียนบ้านสองคอนศิริคุรุราษฎร์ ต้าบลบ้านขาม อ้าเภอน้าพอง จังหวัด
ขอนแกน่ ทม่ี กี ารจัดการเรยี นรู้ทเ่ี น้นการใช้โจทยส์ ถานการณ์และปญั หาปลายเปดิ ในการขบั เคล่ือน
กระบวนการเรียนรู้ของผเู้ รยี น โดยท่ผี ู้เรียนแตล่ ะคนเปน็ ผู้นา้ เสนอวิธกี ารแก้ปญั หาของตน เกิดการ
แลกเปล่ียน เรียนรรู้ ว่ มกนั ในชน้ั เรียน เพือ่ เรียนรวู้ ิธกี ารคิดและวธิ ีการท้าความเข้าใจท้งั ของตนเอง
และของผู้อ่ืน ร่วมกันนั้นแนวทางในการปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยในปัจจุบัน
การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ และจากการสังเกตพฤติกรรมของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปที ี่
5 ปีการศึกษา 2564 ในรายวิชาประวัติศาสตร์ โรงเรียนบ้านสองคอนศิริคุรุราษฎร์ ต้าบลบ้าน
ขาม อ้าเภอน้าพอง จังหวัดขอนแก่น ผู้วิจัยพบว่านักเรียนยังไม่สามารถสร้างการคิดวิเคราะห์ใน
การเรยี นไดด้ ีเทา่ ที่ควร และจากการสงั เกตการสอนในสถานศกึ ษาพบวา่ นกั เรยี นยงั ไม่มวี ิธีความคิด
ท่หี ลากหลายในการแกป้ ญั หา โดยมองเหน็ ขอ้ ดี ข้อจา้ กดั ในหลายมิติ เพ่ือน้ามาใชก้ บั สถานการณ์
ปัจจบุ ันหรอื ท่ีกา้ ลังจะเกดิ ขึ้นได้ดีทสี่ ดุ

การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน นับเป็นการเรียนการสอน ท่ีให้
ความส้าคัญกับผู้เรียนหรือผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีการจัดการเรียนรู้ที่ฝึกให้ผู้เรียนรู้จักค้นคว้าหา
ความรโู้ ดยใชก้ ระบวนการทางความคิดหาเหตุผล เพ่อื ท้าใหค้ ้นพบความรู้หรือแนวทางแก้ปัญหาที่
ถูกต้องด้วยตนเอง จึงนับได้ว่าการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ันตอนนั้น เป็นการเรียนการ
สอนที่เน้นองค์ความรู้ทักษะ ความเชี่ยวชาญและสมรรถนะที่เกิดกับตัวผู้เรียน ซ่ึงท้าให้ผู้เรียน
สามารถนา้ ไปใช้ประโยชน์ในการด้าเนนิ ชีวิตท่ามกลางการกระแสเปลย่ี นแปลงในยุคปัจจบุ ันได้

ด้วยแนวคิดและความส้าคัญท่ีกล่าวมาข้างต้น ท้าให้ผู้วิจัยสนใจที่จะน้าการจัดการเรียนรู้
โดย ใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E มาใช้ในการท้าวิจัยเพ่ือพัฒนาการคิดวิเคราะห์ของนักเรยี น
ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนบ้านสองคอนศิริคุรุราษฎร์ ต้าบลบ้านขาม อ้าเภอน้าพอง จังหวัด
ขอนแก่น ผู้วิจัยคาดหวังว่า การจัดการเรียนการเรียนรู้จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ของ
นักเรียนให้ดีย่ิงข้ึน โดยการพัฒนาการคิดวิเคราะห์ตลอดจนช่วยท้าให้นักเรียนเกิดความสามารถ
สรา้ งผลงานออกมาได้อย่างเต็มศกั ยภาพของแต่ละ บุคคล อีกทั้งยังเป็นแนวทางในการพัฒนาการ
จัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมให้สอดคล้องและ
เหมาะสมกับการศึกษาไทยต่อไป

๒ นรรชั ต์ ฝันเชยี ร, รปู แบบการเรยี นดว้ ยกระบวนการสืบเสาะหาความร้แู บบ 5E ในศตวรรษที่ 21
Applying the 5E Knowledge-Bases Inquisitive Learning Management for the 21st Century,
2562.



1.2 วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย

1.เพ่ือพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา
ความรู้ 5E รายวชิ าประวัตศิ าสตร์ ของนกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรียนบา้ นสองคอนศริ ิคุรุ
ราษฎร์ ให้นกั เรียนไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์และมีคะแนนไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 70 ขึน้ ไป

2.เพื่อพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น รายวชิ าประวัตศิ าสตร์ ของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษา
ปีที่ 5 โรงเรียนบ้านสองคอนศิริคุรุราษฎร์ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ให้
นกั เรียนไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 70 ผา่ นเกณฑ์และมคี ะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ 70 ขนึ้ ไป

3.เพ่ือศึกษาความพึงพอใจในการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านสองคอนศิริคุรุราษฎร์ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา
ความรู้ 5E

1.3 ขอบเขตการวจิ ัย

1.3.1 กลมุ่ เป้าหมาย
เป็นนักเรียนที่ก้าลังศึกษาในระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนที่ 2 ปี

การศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านสองคอนศิริคุรุราษฎร์ ต้าบลบ้านขาม อ้าเภอน้าพอง จังหวัด
ขอนแก่น

1.3.2 ตวั แปรทที่ า้ การวจิ ัย
ตัวแปรต้น การจดั การเรียนร้แู บบสบื เสาะหาความรู้ 5E
ตัวแปรตาม ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความ

พึงพอใจ
1.3.3 เน้ือหาทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย
ผู้วิจัยได้น้ารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E มาประยุกต์ใช้ใน

รายวิชา สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 สาระการเรียนรู้ที่ 4
ประวัติศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๑ เรื่อง วิธีทางประวัติศาสตร์ ตามหลักสูตรของโรงเรียนบ้าน
สองคอนศิรคิ รุ ุราษฎร์ ต้าบลบ้านขาม อา้ เภอน้าพอง จังหวดั ขอนแก่น ในหน่วยการจัดการเรยี นรู้ท่ี
๑ เรือ่ ง วธิ ที างประวตั ศิ าสตร์ จ้านวน ๓ แผน ใช้เวลา ๓ ชั่วโมง

1.3.4 ขอบเขตด้านสถานท่ี
โรงเรียนบ้านสองคอนศิริคุรุราษฎร์ ต้าบลบ้านขาม อ้าเภอน้าพอง จังหวัด

ขอนแก่น
1.3.5 ระยะเวลาในการวิจัย
ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564



1.4 นิยามศพั ท์เฉพาะ

1.4.1 ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ หมายถึง กระบวนการทางจิตที่ใช้ในการ
วิเคราะห์หรือประเมินข้อมูล ข้อมูลดังกล่าวอาจเก็บรวบรวมจากการสังเกตการณ์ ประสบการณ์
การใช้เหตุผล หรือจากการสื่อความ การคิดวิเคราะห์มีพื้นฐานของมันเองทางคุณค่าแห่งพุทธิ
ปัญญาที่ล้าลึกไปจากการแบ่งเรื่องราวโดยรวมถึง ความกระจ่างแจ้ง ความแม่นย้า การมี
พยานหลักฐาน การครบถ้วนและการมีความยุติธรรม (วิทวัฒน์ ขันติยะมาน และอมลววณ วีระ
ธรรมโม 2549 อา้ งถึงใน กลั ยา ค้ามณี, 2553)

แนวทางการพัฒนาการคิดวิเคราะห์ คือ วิธีการคิดสามารถฝึกสมองให้มีทักษะการคิด
วเิ คราะหใ์ ห้พฒั นาขน้ึ สามารถฝึกตามขน้ั ตอนได้ดังนี้

1. กา้ หนดสิ่งท่ตี อ้ งการวิเคราะห์ เปน็ การก้าหนดวตั ถุ ส่ิงของ เรอื่ งราวหรือเหตกุ ารณ์ต่าง
ๆ ข้ึนมา เพ่อื เปน็ ตน้ เร่อื งท่ีจะใช้วิเคราะห์

2. ก้าหนดปัญหาหรือวัตถุประสงค์ เป็นการก้าหนดประเด็นสงสัยจากปัญหาหรือสิ่งที่
วิเคราะห์ อาจจะก้าหนดเป็นค้าถามหรือก้าหนดวัตถุประสงค์การวิเคราะห์ เพื่อค้นหาความจริง
สาเหตหุ รอื ความส้าคญั

3. กา้ หนดหลกั การหรอื กฎเกณฑ์ เพอ่ื ใช้แยกสว่ นประกอบของสิ่งที่ก้าหนดให้ เช่นเกณฑ์
ในการจ้าแนกส่งิ ท่ีมีความเหมอื นกนั หรือแตกตา่ งกนั

4. ก้าหนดการพิจารณาแยกแยะ เป็นการก้าหนดการพินิจพิเคราะห์ แยกแยะ และ
กระจายส่ิงท่ีก้าหนดให้ออกเป็นส่วนย่อย ๆ โดยอาจใช้เทคนิคค้าถาม 5 W 1 H ประกอบด้วย
What(อะไร) Where (ทีไ่ หน) When (เม่ือไร) Why (ท้าไม) Who (ใคร) และ How (อย่างไร)

5. สรุปค้าตอบ เป็นการรวบรวมประเด็นท่ีส้าคัญเพ่ือหาข้อสรุปเป็นค้าตอบหรือตอบ
ปัญหาของส่งิ ท่ีกา้ หนดให้

การพัฒนาความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ หมายถงึ คะแนนทไ่ี ด้จากการทา้ แบบทดสอบ
วัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ ๕ โรงเรียนบ้านสองคอนศริ ิ
ครุ รุ าษฎร์ อ้าเภอนา้ พอง จังหวดั ขอนแก่น

1.4.2 การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E หมายถึง รูปแบบของการเรียนรู้
รูปแบบหน่ึง ที่เน้นให้นกั เรียนมีประสบการณ์ตรงในการเรยี นรู้ โดยการแสวงหาและศึกษาคน้ คว้า
เพอื่ สร้างองคค์ วามรขู้ องตนเอง โดยใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ซึง่ มีครูผู้สอนคอยอา้ นวยการ
และสนับสนุน ท้าให้ผู้เรียนสามารถค้นพบความรู้หรือแนวทางแก้ปัญหาได้ตัวเอง และสามารถ
น้ามาใช้ในชวี ิตประจา้ วัน ซ่งึ ถอื ว่าเป็นกิจกรรมท่เี ปดิ โอกาสให้ผู้เรยี นไดน้ า้ ความรู้ หลักการ แนวคดิ
หรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตรไ์ ปเช่ือมโยงกบั ประเด็นปญั หาท่ีผู้เรียนสนใจศึกษา ค้นคว้า และลงมือ
ปฏิบัติ ด้วยตนเอง ตามความสามารถและความถนัดของตนเองอย่างเป็นอิสระ การเรียนแบบสบื
เสาะหาความรู้มี 5 ขั้นตอน (ทฤษฎีคอนสตรคั ติวิสต์ Constructivism) ดังน้ี



1) การสร้างความสนใจ (Engagement) โดยผู้สอนควรสร้างความสนใจ สรา้ งความอยาก
รู้อยากเห็น มีการตั้ง ค้าถามกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดดึงเอาค้าตอบที่ยังไม่ครอบคลุมส่ิงที่ผู้เรียนรหู้ รอื
แนวคดิ หรอื เนอื้ หา

2) การส้ารวจและค้นหา (Exploration) ส่งเสริมให้ผู้เรียนท้างานร่วมกัน การส้ารวจ
ตรวจสอบ สังเกตและฟังการโต้ตอบกันระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน ท้าการซักถามเพ่ือน้าไปสู่การ
ส้ารวจตรวจสอบของผู้เรียน และให้เวลาผู้เรียนในการคิดข้อสงสัยตลอดจนปัญหาต่าง ๆ และท้า
หนา้ ท่ีให้คา้ ปรกึ ษาแกผ่ ู้เรยี น

3) การอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) โดยผู้สอนส่งเสริมให้ผู้เรียนอธบิ ายแนวคิด
หรือให้ค้าจ้ากัดความ ด้วยค้าพูดของผู้เรียนเอง ให้ผู้เรียนแสดงหลักฐาน ให้เหตุผลและอธิบายให้
กระจ่าง ให้ผู้เรียนอธิบาย ให้ค้าจ้ากัดความและ ชี้บอกส่วนต่าง ๆ ในแผนภาพให้ผู้เรียนใช้
ประสบการณเ์ ดิมของตนเปน็ พื้นฐานในการอธิบายแนวคิด

4) การขยายความรู้ (Elaboration) โดยผู้สอนคาดหวังให้ผู้เรียนไดใ้ ช้ประโยชนจ์ ากการ
ช้ีบอก ส่วนประกอบต่าง ๆ ในแผนภาพค้าจ้ากัดความและอธิบายสิ่งที่เรียนรู้มาแล้ว ส่งเสริมให้
ผู้เรียนน้าส่ิงท่ีผู้เรียนได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้หรือ ขยายความรู้และทักษะในสถานการณ์ใหม่ ให้
ผู้เรียนอธิบายอย่างมีความหมาย ให้ผู้เรียนอ้างอิงข้อมูลท่ีมีอยู่พร้อมท้ังแสดง หลักฐานและถาม
ค้าถามผู้เรยี นวา่ ได้เรียนรู้อะไรบ้าง หรอื ได้แนวคิดอะไร

5) การประเมินผล (Evaluation) โดยผู้สอนสงั เกตผูเ้ รียนในการนา้ แนวคิดและทกั ษะใหม่
ไปประยุกตใ์ ช้ประเมิน ความร้แู ละทักษะผู้เรยี น หาหลักฐานท่ีแสดงว่าผู้เรยี นเปล่ยี นความคิดหรือ
พฤติกรรม ให้ผู้เรยี นประเมินการเรียนรแู้ ละ ทักษะกระบวนการกลุ่ม ถามคา้ ถามปลายเปดิ

1.4.3 แบบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้ในการวัด
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนในหน่วยการเรียนรู้ท่ี ๑ เรื่อง วิธีการทาง
ประวัติศาสตร์ รายวิชาประวัติศาสตร์ เป็นแบบทดสอบปรนยั ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ้านวน
20 ข้อ โดยมเี กณฑก์ ารให้คะแนนเม่ือตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบผดิ ให้ 0 คะแนน

1.4.4 ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน หมายถงึ ความสามารถของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี
5 โรงเรียนบา้ นสองคอนศริ ิคุรุราษฎร์ จากการทา้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวชิ า
ประวัติศาสตร์ โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นเปน็ เครอื่ งมือในการเก็บขอ้ มูล โดยให้
นกั เรียนไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ 70 ผา่ นเกณฑ์และมคี ะแนนไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 70 ขนึ้ ไป

1.4.5 แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้ในการวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนของนักเรียนในหน่วยการเรียนรู้ที่ ๑ เรื่อง วิธีการทาประวัติศาสตร์ รายวิชา
ประวัตศิ าสตร์ เปน็ แบบทดสอบปรนัย ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตัวเลอื ก จ้านวน 30 ขอ้ โดยมเี กณฑ์การ
ใหค้ ะแนนเมื่อตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบผิดให้ 0 คะแนน

1.4.6 ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E หมายถึง ความ
พึงพอใจที่นักเรยี นมีต่อการจัดการเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้ 5E วัดจากแบบประเมินความพงึ



พอใจซ่ึงเป็นแบบมาตราประมาณค่า 5 ระดับ ได้แก่ มากท่ีสุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยท่ีสุด
จ้านวน 10 ข้อ

1.5 ประโยชนท์ ่ีได้รับจากการวิจยั

๑. นักเรียนได้ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นขั้นตอน มีกระบวนการ และสามารถ
นา้ ไปใชใ้ นการเรียนการสอนในชวี ติ ประจา้ วนั ไดอ้ ยา่ งถูกต้องและเหมาะสม

๒. ครูได้แนวทางในการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ที่สามารถ
นา้ ไปใช้ จดั การเรยี นการสอนในระดับช้นั อืน่ หรือรายวิชาอืน่ ๆ เพ่ือช่วยส่งเสริมและพฒั นาทักษะ
การคิดวิเคราะหไ์ ด้ตอ่ ไป

๓. สถานศึกษาได้แนวทางในการศึกษาวิจัยนวัตกรรมการสอนที่พัฒนาความสามารถใน
การคิดวเิ คราะหด์ ว้ ยนวัตกรรมการศึกษา โดยใชร้ ปู แบบสบื เสาะหาความรู้ 5E



บทท่ี ๒

แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจัยทเี่ ก่ียวขอ้ ง

การวจิ ยั เรื่องการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะหโ์ ดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้
5E ในรายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๕ โรงเรียนบ้านสองคอนศิริคุรุ
ราษฎร์ ต้าบลบา้ นขาม อ้าเภอน้าพอง จังหวัดขอนแก่น ผูว้ จิ ยั ไดศ้ กึ ษาแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัย
ที่เกย่ี วขอ้ งเสนอตามล้าดับหัวขอ้ ดังต่อไปนี้

2.1 หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
2.2 ทฤษฎีและแนวคิดเก่ยี วกบั การคดิ วเิ คราะห์
2.3 ทฤษฎีเกย่ี วกับการสืบเสาะหาความรู้ 5E
2.4 แนวคดิ เกย่ี วกับผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
2.5 แนวคดิ เกย่ี วกับความพงึ พอใจ
2.6 งานวจิ ัยทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
2.7 กรอบแนวคิด

2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551

กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้ด้าเนินการจัดท้าหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น
พ้นื ฐานเพือ่ เป็นแนวทางส้าหรบั การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในสถานศึกษาต่าง ๆ๑ ซง่ึ มรี ายละเอียด
ดังนี้

2.1.1 วิสัยทศั น์
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐานมุง่ พฒั นาผ้เู รียนทกุ คนซึ่งเปน็ กา้ ลังของ

ชาตใิ ห้เปน็ มนุษย์ท่มี ีความสมดุลท้งั ด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มจี ติ ส้านึกในความเปน็ พลเมือง
ไทยและเป็นพลเมือง โลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์
ทรงเป็นประมขุ มคี วามรู้และทกั ษะ พ้นื ฐาน รวมทง้ั เจตคติ ทีจ่ า้ เปน็ ต่อการศกึ ษาตอ่ การประกอบ
อาชีพและการศกึ ษาตลอดชีวิตโดยมุ่งเน้นผู้เรียน เปน็ ส้าคญั บนพ้นื ฐานความเช่ือว่าทกุ คนสามารถ
เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เตม็ ตามศกั ยภาพ

๑ กระทรวงศึกษาธกิ าร, หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐานพุทธศักราช 2551, (กรงุ เทพฯ :
โรงพิมพ์ ชุมนมุ สหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย, 2556), หนา้ 5.



2.1.2 หลกั การ
หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน มีหลกั การทสี่ า้ คัญ ดงั น้ี
1) เป็นหลกั สตู รการศึกษาเพือ่ ความเป็นเอกภาพของชาติ มีจดุ หมายและ

มาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายส้าหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และ
คุณธรรมบนพ้นื ฐาน ของความเป็นไทย ควบคู่กับความเป็นสากล

2) เป็นหลักสตู รการศกึ ษาเพอ่ื ปวงชน ท่ีประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รบั
การศึกษาอยา่ งเสมอภาค และมีคณุ ภาพ

3) เปน็ หลักสตู รการศกึ ษาท่ีสนองการกระจายอา้ นาจ ใหส้ ังคมมีส่วนร่วมในการ
จดั การศึกษาใหส้ อดคล้องกับสภาพและความต้องการของทอ้ งถ่นิ

4) เปน็ หลกั สูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหย่นุ ท้งั ดา้ นสาระการเรยี นรู้ เวลา
และการจดั การเรยี นรู้

5) เปน็ หลักสูตรการศึกษาทีเ่ น้นผูเ้ รยี นเป็นส้าคญั
6) เป็นหลักสตู รการศึกษาส้าหรบั การศึกษาในระบบ นอกระบบ และตาม
อธั ยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่ม เป้าหมาย สามารถเทยี บโอนผลการเรยี นรู้ และประสบการณ์
2.1.3 จุดหมาย
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน มุ่งพฒั นาผ้เู รียนใหเ้ ป็นคนดี มีปัญญา มี
ความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ จึงก้าหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับ
ผู้เรยี น เมอื่ จบการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน ดงั นี้
1) มีคุณธรรม จริยธรรมและค่านยิ มทพ่ี ึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินยั และปฏบิ ตั ิ
ตน ตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาท่ีตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพยี ง
2) มีความรู้ ความสามารถในการส่ือสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมี
ทกั ษะชวี ติ
3) มีสขุ ภาพกายและสขุ ภาพจิตทดี่ ี มสี ุขนสิ ัย และรกั การออกก าลงั กาย
4) มีความรักชาติ มีจิตส้านึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและ
การปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั ริยท์ รงเปน็ ประมขุ
5) มีจิตส้านึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา
สิ่งแวดล้อม มี จิตสาธารณะท่ีมุ่งท้าประโยชนแ์ ละสร้างส่ิงท่ีดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคม
อยา่ งมคี วามสขุ
2.1.4 สมรรถนะส้าคัญของผู้เรียน
ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มุ่งเน้นพัฒนา
ผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานท่ีก้าหนด ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะส้าคัญและ

๑๐

คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ดังนี้ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน มุ่งให้ผู้เรียนเกิด

สมรรถนะสา้ คัญ 5 ประการ ดังนี้

1) ความสามารถในการส่ือสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มี

วัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเอง

เพ่ือแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและ ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและ

สังคมรวมท้ังการเจรจาต่อรองเพ่ือขจัดและลด ปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับ

ข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการ เลือกใช้วิธีการสื่อสาร ท่ีมี

ประสทิ ธิภาพโดยคา้ นึงถงึ ผลกระทบท่เี กิดขนึ้ ต่อตนเองและสงั คม

2) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิด

สังเคราะห์ การคดิ อยา่ งสร้างสรรค์ การคดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณ และการคดิ เปน็ ระบบ เพอ่ื นา้ ไปสู่

การสร้างองค์ความรู้หรือ สารสนเทศเพอื่ การตัดสินใจเก่ียวกบั ตนเองและสังคมไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

3) ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและ

อุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพืน้ ฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมลู

สารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และ การเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหา

ความรู้ ประยุกต์ความรมู้ าใช้ในการป้องกันและแกไ้ ข ปัญหา และมีการตัดสินใจท่ีมีประสิทธิภาพ

โดยคา้ นงึ ถงึ ผลกระทบท่ีเกิดข้นึ ต่อตนเอง สงั คมและสิ่งแวดลอ้ ม

4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการน ากระบวนการ

ต่าง ๆ ไปใช้ในการ ด้าเนินชีวิตประจ้าวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง การ

ท้างาน และการอยู่รว่ มกันในสังคมดว้ ยการสร้างเสรมิ ความสัมพันธ์อันดีระหว่างบคุ คลการจดั การ

ปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม

และสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไมพ่ ึง ประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและ

ผูอ้ ่ืน

5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้

เทคโนโลยีด้านตา่ ง ๆ และมที ักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่อื การพัฒนาตนเองและสงั คม ใน

ด้านการเรียนรู้ การส่ือสาร การท้างาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมี

คณุ ธรรม

2.1.5 คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึง

ประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและ

พลโลก ดงั น้ี

1) รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ 5) อยู่อยา่ งพอเพยี ง

2) ซ่ือสัตยส์ จุ รติ 6) มุ่งม่นั ในการทา้ งาน

3) มีวนิ ัย 7) รกั ความเป็นไทย

๑๑

4) ใฝเ่ รียนรู้ 8) มจี ติ สาธารณะ

นอกจากน้ี สถานศึกษาสามารถก้าหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้สอดคล้อง

ตามบริบท และจดุ เนน้ ของตนเอง

2.1.6 มาตรฐานการเรยี นรู้

การพฒั นาผเู้ รยี นให้เกิดความสมดุล ต้องคา้ นงึ ถงึ หลักพฒั นาการทางสมองและ พหุ

ปญั ญา หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน จงึ กา้ หนดใหผ้ ้เู รยี นเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรยี นรู้

ดังนี้

1) ภาษาไทย 5) สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา

2) คณิตศาสตร์ 6) ศลิ ปะ

3) วทิ ยาศาสตร์ 7) การงานอาชพี และเทคโนโลยี

4) สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม 8) ภาษาต่างประเทศ

ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรูไ้ ด้ก้าหนดมาตรฐานการเรยี นรู้เป็นเป้าหมายส้าคัญของการ

พัฒนาคุณภาพผ้เู รยี น มาตรฐานการเรียนรูร้ ะบุส่ิงท่ีผเู้ รยี นพงึ รู้ ปฏิบัตไิ ด้ มคี ณุ ธรรมจรยิ ธรรม และ

คา่ นิยม ที่ พงึ ประสงค์เมอ่ื จบการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน นอกจากนน้ั มาตรฐานการเรียนรู้ยงั เปน็ กลไกล

สา้ คญั ในการขับเคลื่อน พฒั นาการศกึ ษาทัง้ ระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรูจ้ ะสะท้อนให้ทราบ

ว่าต้องการอะไร จะสอนอย่างไร และ ประเมินอย่างไร รวมท้ังเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเพื่อ

การประกันคุณภาพการศึกษาโดยใช้ระบบการ ประเมินคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพ

ภายนอก ซึ่งรวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นท่ีการศึกษา และ การทดสอบระดับชาติ ระบบการ

ตรวจสอบเพื่อ ประกันคุณภาพดังกล่าวเป็นสิ่งส้าคัญท่ีช่วยสะท้อนภาพการจัด การศึกษาว่า

สามารถพฒั นาผู้เรยี นให้มคี ณุ ภาพตามท่มี าตรฐานการเรียนรกู้ ้าหนดเพยี งใด

2.1.7 ตวั ช้ีวัด

ตัวชี้วดั ระบุสิง่ ท่ีนักเรยี นพึงรู้และปฏบิ ตั ไิ ด้ รวมทง้ั คุณลกั ษณะของผเู้ รยี นในแต่ละ

ระดับชั้นซง่ึ สะท้อนถงึ มาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม นา้ ไปใช้

ในการก้าหนดเน้ือหา จัดท้าหน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์ส้าคัญส้าหรับ

การวัดประเมินผลเพอื่ ตรวจสอบ คุณภาพผู้เรียน

ตัวช้วี ดั และสาระการเรยี นรขู้ องชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 5

สาระที่ 4 ประวตั ศิ าสตร์

มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมาย ความส้าคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์

สามารถใช้วธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์มาวเิ คราะห์เหตกุ ารณ์ตา่ งๆ อยา่ งเป็นระบบ

ตวั ช้ีวัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง

1. สบื คน้ ความเปน็ มาของทอ้ งถนิ่ โดยใช้หลกั ฐานทห่ี ลากหลาย

- วิธกี ารสืบคน้ ความเป็นมาของท้องถิ่นอยา่ งงา่ ยๆ

๑๒

- แหล่งข้อมูลและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ในท้องถ่ินที่เกิดขึ้นตาม
ช่วงเวลาตา่ งๆ เชน่ เครื่องมอื เครอ่ื งใช้ อาวธุ โบราณสถาน โบราณวตั ถุ ตา้ นานท้องถ่นิ คา้ บอกเลา่

2.รวมข้อมลู จากแหลง่ ต่างๆ เพ่อื ตอบคา้ ถามทางประวัตศิ าสตรอ์ ย่างมเี หตุผล
- การต้ังค้าถามทางประวัติศาสตร์เก่ียวกับความเป็นมาของท้องถ่ิน เช่น มี

เหตกุ ารณ์ใดเกิดขนึ้ ในช่วงเวลาใดเพราะสาเหตใุ ดและมีผลกระทบอย่างไร
3.อธบิ ายความแตกตางระหวางความจรงิ กบั ขอเทจ็ จริงเกี่ยวกับเรอ่ื งราวในทองถน่ิ
- ตัวอยางเรื่องราวจากเอกสารตางๆ ท่ีสามารถแสดงนัยของความคิดเห็นกับ

ข้อมูล เชน่ หนังสอื พมิ พ บทความจากเอกสารตาง ๆ เปนตน
- ตัวอยางขอมูลจากหลักฐานทางประวัติศาสตร ในทองถิ่นที่แสดงความจริงกบั

ข้อเท็จจริง
- สรปุ ประเดน็ ส้าคัญเกีย่ วกบั ขอมลู ในทองถนิ่

มาตรฐาน ส ๔.๒ เขาใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปจจุบัน ในดานความ
สัมพันธและการเปล่ียนแปลงของเหตุการณอยางตอเน่ือง ตระหนักถึงความส้าคัญและสามารถวิ
เคราะหผลกระทบทเี่ กดิ ข้นึ

ตัวชี้วดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง
๑. อธิบายอิทธิพลของอารยธรรมอินเดียและจีนท่ีมีตอไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต
โดยสงั เขป

- การเขามาของอารยธรรมอินเดียและจีนในดินแดนไทยและภูมิภาคเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใตโดยสังเขป

- อิทธิพลของอารยธรรมอินเดียและจีนที่มีตอไทย และคนในภูมิภาคเอเชีย
ตะวนั ออกเฉียงใต เชน ศาสนาและความเชอื่ ภาษา การแตงกาย อาหาร

2. อภปิ รายอิทธพิ ลของวัฒนธรรมตางชาติทม่ี ีตอสงั คมไทยปจจบุ นั โดยสงั เขป
- การเขามาของวฒั นธรรมตางชาติในสังคมไทย เชน อาหาร ภาษา การแตงกาย

ดนตรี โดยระบลุ กั ษณะ สาเหตแุ ละผล
- อิทธพิ ลท่ีหลากหลายในกระแสของวฒั นธรรมตางชาตติ อสงั คมไทยในปจจุบัน

มาตรฐาน ส ๔.๓ เขาใจความเปนมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปญญาไทย มีความรัก
ความภมู ใิ จและธ้ารงความเปนไทย

๑. อธิบายพฒั นาการของอาณาจกั รอยุธยาและธนบุรโี ดยสังเขป
- การสถาปนาอาณาจกั รอยธุ ยา โดยสังเขป

๒. อธบิ ายปจจัยท่สี งเสรมิ ความเจริญรุงเรอื งทางเศรษฐกจิ และการปกครองของอาณาจักร
อยุธยา

- ปจจัยท่ีสงเสริมความเจริญรุ งเรืองทางเศรษฐกิจ และการปกครองของ
อาณาจกั รอยธุ ยา

๑๓

๓. บอกประวตั แิ ละผลงานของบุคคลส้าคัญสมยั อยุธยาและธนบุรที ี่นาภาคภูมใิ จ
- พฒั นาการของอาณาจักรอยุธยาการดานการเมอื ง การปกครอง และเศรษฐกิจ

โดยสังเขป
๔. อธบิ ายภูมปิ ญญาไทยที่ส้าคญั สมยั อยุธยาและธนบุรี ท่นี าภาคภูมใิ จและควรคาแกการ

อนรุ กั ษไว้
- ผลงานของบุคคลส้าคัญในสมัยอยุธยาเชน สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ สมเด็จ

พระบรมไตรโลกนาถ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช สมเดจ็ พระนารายณมหาราชชาวบานบางระจัน
เปนตน้

- ภมู ปิ ญญาไทยสมยั อยุธยาโดยสงั เขป เชน ศิลปกรรม การคา วรรณกรรม
- การกอบกูเอกราชและการสถาปนาอาณาจกั รธนบรุ ี โดยสังเขป
- พระราชประวัติ และผลงานของพระเจาตากสินมหาราช โดยสังเขป
- ภมู ิปญญาไทยสมยั ธนบุรีโดยสังเขป เชน ศลิ ปกรรม การคา วรรณกรรม
2.1.8 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ
วัฒนธรรม
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรมว่าด้วยการอยูร่ ว่ มกนั ในสังคม ท่ีมี
ความเชอ่ื มสัมพนั ธก์ ัน และมีความแตกต่างกนั อย่างหลากหลาย เพ่ือช่วยใหส้ ามารถปรับตนเองกับ
บริบทสภาพแวดล้อม เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และค่านิยมท่ี
เหมาะสม โดยไดก้ า้ หนดสาระตา่ ง ๆ ไว้ ดังนี้
ศาสนา ศีลธรรมและจริยธรรม แนวคิดพ้ืนฐานเก่ียวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม
หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาท่ีตนนับถือ การน้าหลักธรรมค้าสอนไปปฏิบัติในการ
พัฒนาตนเอง และการอยู่ รว่ มกนั อย่างสนั ตสิ ขุ เปน็ ผกู้ ระท้าความดี มีคา่ นิยมทดี่ งี าม พัฒนาตนเอง
อยู่เสมอ รวมทัง้ บา้ เพญ็ ประโยชน์ต่อ สังคมและส่วนรวม
หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการด้าเนินชีวิต ระบบการเมืองการปกครองในสังคม
ปัจจุบันการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลักษณะและ
ความสา้ คัญ การเปน็ พลเมือง ดี ความแตกต่างและความหลากหลายทางวฒั นธรรม ค่านยิ ม ความ
เชอื่ ปลกู ฝงั คา่ นิยมด้านประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมุข สทิ ธิ หนา้ ท่ี เสรีภาพ
การด้าเนนิ ชีวิตอยา่ งสนั ตสิ ุขในสงั คมไทยและสงั คมโลก
เศรษฐศาสตร์ การผลติ การแจกจ่าย และการบรโิ ภคสินค้าและบริการ การบรหิ ารจัดการ
ทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่างจ้ากัดอย่างมีประสิทธิภาพ การด้ารงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ และการน้าหลัก
เศรษฐกิจ พอเพียงไปใช้ในชวี ติ ประจ้าวนั
ประวัติศาสตร์ เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์ พัฒนาการ
ของ มนุษยชาตจิ ากอดตี ถงึ ปจั จุบนั ความสมั พนั ธ์และเปลย่ี นแปลงของเหตกุ ารณ์ต่าง ๆ ผลกระทบ

๑๔

ทีเ่ กดิ จาก เหตุการณ์สา้ คัญในอดีต บุคคลส้าคัญทีม่ อี ิทธิพลตอ่ การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในอดีตความ
เป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรมและภูมิปญั ญาไทย แหล่งอารยธรรมท่ีส้าคัญของโลก

ภูมิศาสตร์ ลักษณะของโลกทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ แหล่งทรัพยากร และ
ภูมิอากาศของประเทศไทย และภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก การใช้แผนท่ีและเครือ่ งมอื ทางภูมศิ าสตร์
ความสัมพันธก์ ันของ สิ่งต่าง ๆ ในระบบธรรมชาติ ความสัมพันธข์ องมนษุ ยก์ ับสภาพแวดล้อมทาง
ธรรมชาติ และส่ิงที่มนุษย์สรา้ งขึ้น การน าเสนอข้อมูลภูมิสารสนเทศ การอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อมเพื่อ
การพฒั นาท่ยี ั่งยืน

สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ สาระที่ 1 ศาสนา ศลี ธรรม จรยิ ธรรม
มาตรฐาน ส 1.1 รู้และเขา้ ใจประวตั ิ ความส้าคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนา
หรอื ศาสนาท่ีตนนับถือและศาสนาอ่ืน มีศรัทธาทถ่ี ูกต้อง ยดึ ม่ัน และปฏิบตั ิตามหลักธรรม เพื่ออยู่
รว่ มกนั อย่าง สนั ติสุข
มาตรฐาน ส 1.2 เข้าใจ ตระหนักและปฏิบัติตนเป็นศาสนิกชนท่ีดี และธ้ารงรักษา
พระพุทธศาสนาหรอื ศาสนาท่ีตนนบั ถือ
สาระท่ี 2 หน้าท่ีพลเมือง วฒั นธรรม และการดา้ เนินชีวิตในสังคม
มาตรฐาน ส 2.1 เข้าใจและปฏิบัติตนตามหน้าที่ของการเปน็ พลเมอื งดี มคี า่ นยิ มท่ีดีงาม
และธา้ รงรักษาประเพณแี ละวัฒนธรรมไทย ดา้ รงชวี ติ อยูร่ ่วมกนั ในสังคมไทย และ สงั คมโลกอย่าง
สนั ตสิ ุข
มาตรฐาน ส 2.2 เข้าใจระบบการเมอื งการปกครองในสังคมปัจจุบัน ยึดมั่น ศรัทธา และ
ธ้ารงรกั ษาไวซ้ ึง่ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมขุ
สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์
มาตรฐาน ส.3.1 เข้าใจและสามารถบรหิ ารจดั การทรัพยากรในการผลิตและการบริโภค
การใชท้ รัพยากรทีม่ อี ย่จู ้ากัดไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพและคุ้มคา่ รวมทงั้ เขา้ ใจหลกั การของเศรษฐกิจ
พอเพยี ง เพื่อ การด้ารงชีวติ อยา่ งมดี ลุ ยภาพ
มาตรฐาน ส.3.2 เข้าใจระบบ และสถาบันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความสัมพันธ์ทาง
เศรษฐกิจ และความจ้าเป็นของการรว่ มมอื กนั ทางเศรษฐกจิ ในสังคมโลก
สาระที่ 4 ประวตั ิศาสตร์
มาตรฐาน ส 4.1 เขา้ ใจความหมาย ความส้าคญั ของเวลาและยุคสมัยทางประวตั ศิ าสตร์
สามารถใช้วธิ กี ารทางประวัตศิ าสตร์มาวิเคราะห์เหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ อยา่ งเปน็ ระบบ
มาตรฐาน ส 4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในด้าน
ความสัมพันธ์และการเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเน่ือง ตระหนักถึงความส้าคัญและ
สามารถ วเิ คราะห์ ผลกระทบทเ่ี กิดข้ึน
มาตรฐาน ส 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรัก
ความภูมใิ จและธ้ารงความเปน็ ไทย

๑๕

สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พุทธศกั ราช 2560)
มาตรฐาน ส 5.1 เขา้ ใจลกั ษณะทางกายภาพของโลกและความสมั พนั ธ์ของสรรพสิ่งซ่ึงมี
ผลต่อกัน ใช้แผนที่ และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ในการค้นหา วิเคราะห์ และสรุปข้อมูล ตาม
กระบวนการทาง ภูมิศาสตร์ ตลอดจนใชภ้ ูมิสารสนเทศอย่างมปี ระสิทธิภาพ
มาตรฐาน ส 5.2 เขา้ ใจปฏิสมั พันธ์ระหว่างมนุษย์กับส่ิงแวดล้อมทางกายภาพท่ีก่อให้เกิด
การสร้างสรรค์วิถีการด้าเนินชีวิต มีจิตส้านึกและมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากร และ
สิง่ แวดลอ้ มเพ่ือการพัฒนาท่ียง่ั ยืน

2.2 ทฤษฎีและแนวคดิ ท่เี กีย่ วกับการคิดวิเคราะห์

2.2.1 ความหมายของการคดิ วเิ คราะห์
มีนักการศึกษาและนักวิชาการหลายท่าน ไดใ้ ห้ความหมายหรือนยิ ามของการคิด

วิเคราะหไ์ ว้อยา่ งหลากหลาย ดังน้ี
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2542 (ราชบัณฑิตยสถาน

2546: 251,1071) ได้ระบุความหมายของค้าว่า “คิด” หมายถึง ท้าให้ปรากฏเป็นรูปหรือ
ประกอบให้เป็นรูปหรือเป็นเร่ืองขึ้น ในใจ ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง คาดคะเน ค้านวณ มุ่ง จงใจต้ังใจ
นกึ และใหค้ วามหมายของค้าวา่ “วิเคราะห์” หมายถงึ ใคร่ครวญแยกออกเปน็ ส่วนๆ เพือ่ ศกึ ษาให้
ถ่องแท้ดังนั้น ค้าว่า คิดวิเคราะห์จึงมีความหมายโดยรวมว่า การใคร่ครวญ ไตร่ตรองคาดคะเน
คา้ นวณดว้ ยความต้งั ใจพจิ ารณาแยกออกเปน็ ส่วนๆ เพื่อศกึ ษาให้ถอ่ งแท้๒

บลูม (Bloom, 1956 : 6 – 9) กล่าวว่า การคิดวิเคราะห์เป็นความสามารถ ใน
การแยกแยะเพ่ือหาส่วนย่อยของเหตุการณ์เรื่องราวหรือเนื้อหาต่างๆ ว่าประกอบด้วยอะไร มี
ความสา้ คัญอย่างไร มอี ะไรเปน็ สาเหตุ มีอะไรเป็นผลและทเ่ี ปน็ อย่างนนั้ ดว้ ยหลกั การอะไร๓

รัสเซล (Russel, 1956 : 181-182) ให้ความหมายว่า การคิดวิเคราะห์น้ันเป็น
การคิดเพื่อแก้ปัญหาชนิดหน่ึง โดยผู้คิดจะต้องพิจารณาตัดสินเรื่องราวต่าง ๆ ว่าเห็นด้วยหรือไม่
เห็นด้วย การคิดวิเคราะห์จึงเป็นกระบวนการประเมินหรือหรือการจัดหมวดหมู่โดยอาศัยเกณฑท์ ี่
เคยยอมรับกันมากอ่ น แล้วสรปุ หรอื พจิ ารณาตัดสิน๔

๒ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542, (กรุงเทพฯ: นานมีบุคส์
พบั ลเิ คชั่นส์, 2546).

๓ Bloom, Taxonomy of Educational Objectives Book 1, (cognitive Domain, London :
Longman Group Limited), 1956 : 6 – 9.

๔ Russel, The biotechnology revolution: an international perspective,Brighto,
Susex: Wheat sheaf, 1956, : 181-182.

๑๖

วัตสัน และเกรเซอร์ (Watson & Glaser,1964 : 11) ได้ให้ความหมายของการ
คิดวิเคราะห์ว่าเป็นส่ิงที่เกิดจากส่วนประกอบของทัศนคติ ความรู้และทักษะ โดยทัศนคติเป็นการ
แสดงออกทางจิตใจต้องการสืบคน้ จากปญั หาที่มอี ยู่ ความรู้จะเก่ยี วกบั การใช้เหตผุ ลในการประเมิน
สถานการณ์ การสรุปความเที่ยงตรงและการเข้าใจในความเป็นนามธรรม ส่วนทักษะจะประยกุ ต์
รวมอยใู่ นทศั นคตแิ ละความรู้๕

กู๊ด (Good, 1973 : 680) ระบุวา่ การคดิ วิเคราะห์ หมายถงึ การคดิ อยา่ งรอบคอบ
ตามหลกั ของการประเมนิ และมีหลักฐานอ้างองิ เพื่อหาข้อสรุปที่นา่ จะเป็นไปได้ ตลอดจนพิจารณา
องค์ประกอบท่เี กี่ยวข้องท้ังหมด และใชก้ ระบวนการตรรกวิทยาไดอ้ ย่างถูกต้อง สมเหตสุ มผล๖

ดิวอ้ี (Dewey, 1993) กล่าวว่า การคิดวิเคราะห์ หมายถึงการคิดพิจารณาอย่าง
รอบคอบและจริงจังเกี่ยวกบั ความเชือ่ ใดๆ หรือความรูใ้ นรูปแบบต่างๆ บนพ้ืนฐานของสงิ่ สนบั สนุน
การคิดพิจารณานั้นและหมายถึงการพินิจพิจารณาข้อสรุปท่ีเป็นเป้าหมายของการคิดน้ันซึ่ง
กวา้ งไกลกวา่ สภาวะท่ีความคิดนน้ั ปรากฏอยู่๗

ไซเนอร์ (Zeichner, 1991) ระบุว่าการคิดวิเคราะห์เป็นความคิดที่จะต้องใช้
เหตุผลในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ หรือวิเคราะห์ความคิดของตนเองด้วย แล้วพยายามตอบโต้
ความคดิ น้นั ด้วยการสะท้อนแงม่ มุ ต่างๆ ของความคิดน้นั ๆ ออกมา๘

อลั ฟาโรแ่ ละลีเฟบเร่ (Alfaro & LeFevre, 1995 : 177) อธบิ ายความหมายของ
การวิเคราะห์วา่ การคิดวิเคราะห์เป็นกระบวนการทางปญั ญาท่ีบุคคลจะใช้เพื่อใหเ้ กิดความเข้าใจ
ธรรมชาตขิ องบางส่งิ บางอย่างไดด้ ีขึน้ โดยการแยกสว่ นรวมหรือภาพรวมของสงิ่ น้นั อยา่ งระมดั ระวงั
ใหไ้ ด้เปน็ ส่วนยอ่ ย๙

สเติร์นเบิร์ก (Sternberg, 1999 : 507) ได้อธิบายว่า การคิดวิเคราะห์เป็น
กระบวนการทที่ า้ ให้องคป์ ระกอบทีเ่ ป็นภาพรวมที่ซับซอ้ น แตกเป็นองค์ประกอบย่อยๆ ได้๑๐

มาร์ซาโน (Marzano, 5 : 58) กล่าวว่าการคิดวิเคราะห์ ต้องใช้เหตุผล คิดอย่าง
ลึกซึ้งและหลากหลาย มีการคิดโดยพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนและต้องมีเหตุผลสามารถระบุ
ความเหมือนหรอื ความแตกต่าง สามารถจดั ล้าดับ จัดหมวดหมู่ หรอื จัดประเภทของความรู้ของสิ่ง

๕ Watson & Glaser, Wattson Glaser critical thinking appraisal manual, (New York :
Harcourt, Brace and World, 1964) : 11

๖ Good, Dictionry of education (3rd ed), (New York: McGraw-Hill, 1973) : 680
๗ Dewey, Dictionary of education, (New York, Philosophical Library, 1993)
๘ Zeichner, Reflections on reflective teaching, (In B. R, 1991).
๙ Alfaro & LeFevre, Critical Thinking in Nursing, Philadelphia, (W.B.Sounders, 1995) :
177
๑๐ Sternberg, Thinking Styles, Cambridge, (Cambridge University Press, 1999) : 507

๑๗

ต่าง ๆ ได้ ระบุเหตุผลของการเกิดข้อผิดพลาดของข้อมูล สามารถตีความหรือบอกหลักเกณฑ์
พื้นฐานของความรู้ ระบุ เจาะจง หรือสรุปอยา่ งมีเหตผุ ล จนสามารถเกิดเปน็ ความรู้ใหมไ่ ด้๑๑

ทศิ นา แขมมณี (2545 : 401) ระบุว่า การคดิ วิเคราะห์ หมายถงึ การคดิ ทต่ี อ้ งใชค้ า้ ตอบ
แยกแยะข้อมลู และหาความสัมพนั ธข์ องข้อมูลทแี่ ยกแยะน้ันหรืออกี นยั หน่ึงคอื การเรียนรู้ในระดับที่
ผู้เรียนสามารถบอกได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ เหตุผล หรือแรงจูงใจ ท่ีอยู่เบ้ืองหลังปรากฏการณ์ใด
ปรากฏการณห์ นึ่ง๑๒

ชาติ แจ่มนุช (2545 : 54) ได้ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ ว่าเป็นการคิดท่ี
สามารถแยกสง่ิ ส้าเร็จรูป ไดแ้ ก่ วตั ถสุ ิ่งของต่าง ๆ ทอี่ ยู่รอบตวั หรอื บรรดาเร่ืองราว เนอื้ เรอ่ื งหรือ
ส่ิงต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อย ๆ ตามหลักเกณฑ์หรือหลักการท่ีก้าหนดให้ เพื่อค้นหาความจริงหรอื
ความส้าคัญท่ีแฝงอยู่ภายใน๑๓

สุวิทย์ มูลค้า (2549 : 9) สรุปว่า การคิดวิเคราะห์ คือ ความสามารถในการจ้าแนก
แยกแยะองค์ประกอบต่างๆ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งซ่ึงอาจจะเป็นวัตถุ สิ่งของ เรื่องราวหรือเหตุการณ์
และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างองค์ประกอบเหล่านน้ั เพอ่ื ค้นหาสภาพ ความเป็นจริงหรอื
สิ่งส้าคญั ของสง่ิ ที่ก้าหนดให้๑๔

เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์(2553 : 2) ได้ให้ความหมายการคิดวิเคราะห์ หมายถึง การ
จ้าแนก แยกแยะ องค์ประกอบของส่ิงใดส่ิงหน่ึงออกเป็นส่วนๆ เพ่ือค้นหาว่าท้ามาจากอะไร
ประกอบข้นึ มาได้อยา่ งไร เชือ่ มโยงสมั พนั ธ์กันอย่างไร๑๕

สุวฒั น์ วิวัฒนานนท์ (2550 : 45) ระบวุ า่ การคดิ วเิ คราะห์ หมายถึง การคดิ โดยพิจารณา
จ้าแนก แยกแยะ ไตร่ตรอง ใคร่ครวญ แจกแจงส่วนประกอบของการจดั หมวดหมู่ในเร่อื งราวหรอื
สถานการณ์โดยใช้ความรู้ ความคิดในการแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล เพื่อน้าไปสูข่ อ้ สรปุ ท่ีเปน็ ไปได้๑๖

ส้านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2548) กล่าวว่า กระบวนการคิดวิเคราะห์เป็น
กระบวนการทใี่ ช้ในการจ้าแนกแยกแยะส่งิ ที่เหน็ สง่ิ ท่พี บ สงิ่ ทไ่ี ด้ยนิ สิง่ ท่ีสัมผสั ส่งิ ท่ชี ิมรส หรือ ส่ิง

๑๑ Marzano, Designing a New Taxonomy of Educational Objectives, (California :
Corwin Press, Inc, 2001) : 58.

๑๒ ทิศนา แขมมณี, การคิดและการสอนเพ่ือพฒั นากระบวนการคิด, (กรงุ เทพฯ : สา้ นกั งานพฒั นา
คุณภาพวิชาการ, 2545), หน้า 401.

๑๓ ชาติ แจม่ นชุ , สอนอย่างไรใหค้ ดิ เป็น, (กรงุ เทพฯ : เลย่ี งเชยี ง, 2545), หน้า 54.
๑๔ สุวทิ ย์ มูลคา้ , ครบเครอ่ื งเร่อื งการคิด, (พมิ พค์ ร้ังที่ 7), (กรงุ เทพฯ : หา้ งหุ้นสว่ นจา้ กัดภาพพิมพ์,
2549), หนา้ 9.
๑๕ เกรียงศักดเิ์ จรญิ วงศ์ศักด์ิ, การคิดเชงิ วิเคราะห์ (Analytical Thinking), (พมิ พค์ ร้ังท่ี 6).
(กรงุ เทพฯ : ซคั เซสมเี ดยี , 2553), หน้า 2.
๑๖ สุวัฒน์ วิวัฒนานนท์, ทักษะการอา่ น คดิ วิเคราะห์และเขียน, (นนทบรุ ี : ซีซนี อลลิทจ์ลงิ ค์, 2550),
หน้า 45.

๑๘

ที่ดมกล่ิน แล้วแยกออกด้วยความคิดที่มาของสิ่งต่าง ๆ ที่ได้เรียนรู้ว่าคืออะไร มีองค์ประกอบ
อยา่ งไร เชอื่ มโยงสมั พนั ธ์กันอยา่ งไร๑๗

ส้านักงานวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2549) ได้สรุปความหมายของการคิด
วิเคราะห์ คือ การระบุเร่ืองหรือปัญหา การจ้าแนกแยกแยะ เปรียบเทียบข้อมูลหรือเพื่อจัดกลุ่ม
อย่างเป็นระบบ ระบุเหตุผลหรือเชื่อม โยงความสัมพันธ์ของข้อมูลและตรวจสอบข้อมูล หรือหา
ขอ้ มูลเพ่มิ เติมเพอ่ื ใหเ้ พียงพอในการตัดสนิ ใจ แก้ปัญหา คดิ สรา้ งสรรค์๑๘

ปรีดาวรรณ อ่อนนางใย (2555 : 4) ความสามารถทางการคิดวิเคราะห์ หมายถึงการ
พิจารณา แยกแยะส่วนย่อยๆ ของเรื่องราวหรือเน้ือเรื่องต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลบนพื้นฐานความรู้
เดิม และพิจารณาได้ว่าส่วนย่อย ๆ ที่ส้าคัญนั้นแต่ละเหตุการณ์เก่ียวพันธ์กันอย่างไรบ้าง อะไรท่ี
เปน็ สาเหตุ อะไรท่ีเป็นผล และเกย่ี วพันโดยอาศยั หลักการใด ซงึ่ จะทา้ ให้เราได้๑๙

สุนทรี วัฒนพันธุ์ (2555 : 11) การคิดวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการจ้าแนก
การให้รายละเอียด ให้เหตุผลและจับประเด็นเชื่อมโยงความสัมพันธ์ตุการณ์ระหวา่ งเรียนกบั หลกั
คณุ ธรรม จริยธรรม โดยใชก้ ระบวนการคิด น้าไปใช้ในสถานการณใ์ หม่๒๐

วรรณา โรจนะบรุ านนท์ (2557 : 5) การคดิ วิเคราะห์ หมายถึง การคดิ ระดบั สงู ทีเ่ กิด ขึน้
ดว้ ยกระบวนการท่ซี ับซ้อน เปน็ ความสามารถในการคิดท่ใี ช้เหตุผลในการแก้ปญั หาสามารถจ้าแนก
แยกแยะองค์ประกอบต่างๆ ออกเป็นส่วนย่อย ๆ หรือเป็นหมวดหมูไ่ ด้ โดยพิจารณาอย่ารอบคอบ
ถึงสภาพการณ์หรอื ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ วา่ มขี อ้ เทจ็ จริงเพยี งใดในการตดั สินใจ๒๑

จากความหมายของการคิดวิเคราะห์ท่ีผู้วิจัยศึกษาข้างต้นกล่าวไว้ข้างต้นส่วนใหญ่จะ
เป็นไปในแนวเดียวกัน ผู้วิจัยจึงสรุปความหมายว่า “การคิดวิเคราะห์” หมายถึง การคิดที่มีความ
ซับซ้อนอย่างลึกซ้ึงละเอียดถ่ีถ้วนในการพิจารณาส่ิงต่างๆ ซึ่งอาจเป็นข้อมูล เรื่องราวหรือ

๑๗ ส้านักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา, มาตรฐานการศกึ ษาของชาติ, (กรุงเทพฯ: ส้านักงานเลขาธกิ าร
สภาการศกึ ษา, 2548).

๑๘ ส้านักงานวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, แนวทางการจัดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาทักษะการคิด
วเิ คราะห์, (กรงุ เทพฯ : ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, 2549).

๑๙ ปรีดาวรรณ อ่อนนางใย, การสร้างแบบทดสอบวดัความสามารถทางการคิดวิเคราะห์ส้าหรับ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 6 ส้านักการศึกษากรงุเทพมหานคร, (วิทยานพิ นธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต
(สาขาวิชาการวัดผลการศึกษา), มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ, 2555).

๒๐ สุนทรี วฒั นพันธ์ุ, การพัฒนารูปแบบการสอนวิทยาศาสตร์ท่ีสง่ เสรมิ การคดิ วเิ คราะห์ของนักเรียน
ระดบั มธยั มศกึ ษา, (วทิ ยานิพนธ์ปริญญาครศุ าสตรดษุ ฎีบัณฑิต (สาขาวิชาหลกั สูตรและการสอน), มหาวทิ ยาลัย
ราชภฏั วไลยอลงกรณ์, 2555 ).

๒๑ วรรณา โรจนะบุรานนท์, การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ส้าหรับนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปี ที่ 1-3 ของโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา,
( วิ ท ย า นิ พ น ป ริ ญ ญ า ก า ร ศึก ษ า ศ า ส ต ร ม ห า บัณ ฑิ ต ( ส า ข า วิ จั ย แ ล ะป ร ะ เ มิน ผ ล กา ร ศึกษ า) ,
มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์, 2557).

๑๙

สถานการณ์ ประกอบดว้ ยความสามารถในการจา้ แนกแยกแยะองค์ประกอบออกเป็นสว่ นยอ่ ย โดย
สามารถให้รายละเอียดด้วยการให้เหตุผลท่ีถูกต้องจากพื้นฐานความรู้หรือหลักการ ระบุได้ว่า
องค์ประกอบหรือส่วนย่อยน้ันๆ มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างไร ระบุได้ว่าส่ิงใดเป็นเหตุส่ิงใด
เป็นผล น้าไปสู่ข้อสรุปหรือการตัดสินใจที่ถูกต้องเพื่อแก้ปัญหาหรือสถานการณ์ การคาดการณ์
ท้านายค้าตอบลว่ งหน้า นา้ ไปประยกุ ตใ์ ช้ในสถานการณ์ตา่ งๆ หรือเกิดเป็นความร้ใู หม่

2.2.2 แนวคดิ และทฤษฎีเก่ยี วกบั การคดิ วเิ คราะห์
แนวคิดและทฤษฎีเก่ียวกับการคิดวิเคราะห์ ผู้วิจัยท้าการศึกษาค้นคว้าเพื่อให้

สอดคล้องกับงานวิจยั ดงั น้ี
1. ทฤษฎีการคดิ ของบลูม (Bloom's taxonomy)
ในปี ค.ศ.1956 บลูมและคณะ (Bloom & other,1956) ได้พัฒนากรอบ

ทฤษฎีทีใ่ ช้เป็นเคร่ืองมือการจัดประเภทพฤติกรรมที่เกย่ี วข้องกับการแสดงออกทางปัญญาและการ
คิดอันเป็นผลมาจากประสบการณ์การศึกษา เรียกว่า Bloom’s taxonomy ซ่ึงก้าหนดไว้ 3 ด้าน
คือ ด้านพุทธิพิสัย (cognitive domain) ด้านจิตพิสัย (affective domain) และด้านทักษะทาง
กาย (psychomotor domain) ในการออกแบบหลกั สตู ร จดั การเรียนร้แู ละการวดั ประเมนิ ผลการ
เรียนรู้ก็ได้อาศัยกรอบทฤษฎีดังกล่าวน้ี ซึ่งพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยถูกน้าไปใช้มากที่สุดพุทธิพิสยั
(cognitive domain) เป็นพฤติกรรมด้านสมองเก่ียวกับสติปัญญา ความคิด ความสามารถในการ
คิดเร่ืองราวต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพซ่ึงพฤติกรรมทางพุทธิพิสัย 6 ระดับ (ส้านักทดสอบทาง
การศกึ ษา, 2552 : 11-12) ได้แก่

1.ความรู้ (knowledge) ความสามารถในการจดจ้าแนกประสบการณ์ต่างๆและระลึก
เร่ืองราวนัน้ ๆ ออกมาไดถ้ ูกต้องแม่นย้า

2.ความเข้าใจ (comprehension) ความสามารถบ่งบอกใจความส้าคัญของเรื่องราวโดย
การแปลความหลัก ตคี วามได้ สรปุ ใจความส้าคญั ได้

3.การน้าความรู้ไปประยุกต์ (application) ความสามารถในการน้าหลักการกฎเกณฑ์
และวธิ ีดา้ เนนิ การตา่ งๆของเรื่องที่ไดร้ มู้ า น้าไปใชแ้ กป้ ญั หาในสถานการณใ์ หม่ได้

4.การวิเคราะห์ (analysis) ความสามารถในการแยกแยะเรื่องราวท่ีสมบูรณ์ให้กระจาย
ออกเปน็ สว่ นย่อยๆ ไดอ้ ยา่ งชดั เจน

5.การสังเคราะห์ (synthesis) ความสามารถในการผสมผสานส่วนย่อยเข้าเป็นเรื่องราว
เดยี วกนั โดยปรับปรุงของเกา่ ใหด้ ขี นึ้ และมีคุณภาพสงู ข้ึน

6.การประเมนิ ค่า (evaluation) ความสามารถในการวินิจฉยั หรือตัดสินกระท้าสิ่งหนึ่งส่ิง
ใดลงไปการประเมินเก่ียวข้องกบั การใช้เกณฑค์ อื มาตรฐานในการวดั ทกี่ ้าหนด
โดยบลูมและคณะได้เสนอกรอบการคิดออกเป็น 2 ระดับ คือ พัฒนาความคิดระดับต่้า (lower
orderthinking skills) และการพัฒนาความคิดระดับสูง ( higher orderthinking skills) มี
รายละเอยี ดดงั นี้

๒๐

1. พฒั นาความคิดระดบั ต่้า (lower order thinking skills) ประกอบดว้ ย
ระดับ 1 : ความรู้ (knowledge)
ระดับ 2 : ความเขา้ ใจ (comprehension)
ระดบั 3 : นา้ ไปใช/้ การประยุกต์ใช้ความรใู้ นสถานการณใ์ หม่(application)

2. การพฒั นาความคิดระดับสูง (higher order thinking skills) ประกอบดว้ ย
ระดบั 4 : การวิเคราะห์ (analysis) ระบุความสมั พันธแ์ ละเหตุจูงใจ
ระดับ 5 : การสังเคราะห์ (synthesis) การเช่ือมโยงข้อเท็จจริงโดยเหตุผลหรือ

รปู แบบใหม่
ระดับ 6 : การประเมิน (evaluation) ใชเ้ กณฑแ์ ละสถานการณ์เพอื่ วินจิ ฉัยและ

การตดั สนิ ผล
การที่บุคคลจะมีทักษะในการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ จะต้องสามารถวิเคราะห์เข้าใจ
ในสถานการณ์ใหม่หรือข้อความจรงิ ใหม่ได้ ดังน้ันการจะให้นกั เรยี นเกิดการเรียนรู้ในระดับใดหรอื
หลายระดับนั้น ขึ้นอยู่กับเน้ือหาสาระที่เป็นองค์ความรู้ อาจต้องผสานข้อมูลความรู้ในลักษณะ
รูปแบบต่างๆ เช่น การจดั จา้ พวก การแปล การตคี วาม การประยุกต์ การวเิ คราะห์ สว่ นย่อย และ
ความสมั พันธ์เพื่อการสร้างความรู้ ความเขา้ ใจ การน้าไปใชส้ กู่ ารวิเคราะห์ การสงั เคราะห์และการ
ประเมินผลตามจุดมุ่งหมายการศึกษาของ บลูม โดยเฉพาะอย่างยิง่ ความสามารถในการวเิ คราะห์
จะส่งผลใหน้ ักเรยี นสามารถน้าไปประยกุ ต์ใชก้ ับ สถานการณ์ใหม่ในเชงิ สร้างสรรค์ เพราะเปน็ การ
พัฒนาความสามารถในระดับการมีเหตุผลและเป็น การเรียนรู้ที่คงทนของแต่ละบุคคลแม้จะจ้า
รายละเอียดของความรู้ไมไ่ ด้ นักเรียนจึงต้องเรียนรู้วิธกี ารวิเคราะห์และภายใต้สภาวะใดท่ีตอ้ งน้า
ความสามารถด้านการวิเคราะห์มาใช้ (Bloom ; et al.,1971) กลา่ วว่าทักษะการคิดวิเคราะห์มี 3
ลกั ษณะ คือ
1. การคิดวิเคราะห์ความส้าคัญ (analysis of element) หมายถึง การแยกแยะส่ิงที่
ก้าหนดได้ว่าอะไรส้าคัญหรือจ้าเป็นหรือมีบทบาทมากท่ีสุด ส่ิงใดเป็นเหตุ ส่ิงใดเป็นผล ซึ่งการคดิ
วิเคราะห์ความส้าคัญน้ีจะประกอบไปด้วย “การวิเคราะห์ชนิด” เป็นการวินิจฉัยว่าสิ่งนั้นหรือ
เหตุการณ์นั้น จัดเป็นชนิดหรือลักษณะใด เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น “วิเคราะห์สิ่งส้าคัญ” เป็น
การวนิ ิจฉยั วา่ สง่ิ ใดส้าคัญหรอื ไม่สา้ คัญ การค้นหาสาระสา้ คัญ ข้อความหลกั ขอ้ สรุปจดุ เดน่ หรอื จุด
ด้อย ของสงิ่ ตา่ งๆ และ “วิเคราะหเ์ ลศนัย” เป็นการม่งุ คน้ หาส่งิ แอบแฝงหรืออยู่เบือ้ งหลังของส่ิงที่
เหน็ อาจไม่ได้บ่งบอกตรงๆ แตม่ ีรอ่ งรอยของความเปน็ จรงิ ซ้อนอยู่
2. การคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (analysis of relationship) หมายถึง การค้นหา
ความสัมพันธ์ย่อยๆ ของเรื่องราวหรือเหตุการณ์นั้น ๆ มีความเกี่ยวพัน สอดคล้องหรือขัดแย้งกัน
อย่างไร ได้แก่ วิเคราะห์ชนิดของความสัมพันธ์ วิเคราะหข์ นาดของความสัมพนั ธ์วิเคราะหข์ ั้นตอน
ความสัมพันธ์ วิเคราะห์จุดประสงค์ของความสัมพันธ์ วิเคราะห์สาเหตุของความสัมพันธ์ และ
วิเคราะหแ์ บบความสัมพนั ธใ์ นรปู อุปมาอุปไมย

๒๑

3. การคิดวิเคราะห์เชงิ หลักการ (analysis of organizational principles) หมายถงึ การ
ค้นหาโครงสร้างระบบ และสิ่งของเร่ืองราวและการท้างานต่างๆ ว่า ส่ิงเหล่านั้นรวมกันจนด้ารง
สภาพเช่นนั้นได้เน่ืองด้วยอะไร โดยยึดอะไรเป็นหลัก เป็นแกนกลางมีหลักการอย่างไร มีเทคนิค
หรอื ยึดถือคตใิ ด มสี ิ่งใดเปน็ ตัวเช่ือมโยง ยึดถือหลักการใด การวเิ คราะหห์ ลกั การเปน็ การวิเคราะห์
ท่ีถือว่ามีความส้าคัญท่ีสุด การจะวิเคราะห์ได้ดี จะต้องมีความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์
องคป์ ระกอบและวเิ คราะห์ความสัมพันธไ์ ด้ดีเสียก่อน เพราะผลจากความสามารถในการวเิ คราะห์
องค์ประกอบและวิเคราะห์ความสัมพันธ์จะท้าให้สามารถสรุปเป็นหลักการได้ประกอบด้วย
“วเิ คราะหโ์ ครงสรา้ ง” เป็นการค้นหาโครงสร้างของสิ่ง “วิเคราะห์หลักการ” เปน็ การแยกแยะเพ่ือ
ค้นหาความจรงิ ของส่งิ ต่างๆ แล้วสรปุ หลกั การเปน็ ค้าตอบได้

2.แนวคิดของไซนเ์ นอรแ์ ละลิสตนั (Zeichner & Liston)
ไซน์เนอร์และลิสตัน (Zeichner & Liston, 1987) อธิบายว่า การคิดวิเคราะห์ใน

ศาสตร์ของการสอน สามารถเกิดขึ้นจากระดับง่ายไประดับยาก โดยผลลัพธ์ของการคิดวิเคราะห์
แบง่ ได้ 3 ระดบั ดังน้ี

ระดับท่ี 1 ความสามารถในการให้รายละเอียด เม่ือเก่ียวข้องกับทฤษฎีการสอน
(technical rationality) จึงเป็นการประยกุ ตค์ วามร้ทู ีม่ ีประสิทธิภาพซง่ึ เปน็ ความรใู้ นเรอื่ งนั้นๆ ท้า
ใหส้ ้าเร็จตามเปา้ หมายและวตั ถุประสงค์ ผลเป็นทีย่ อมรับอย่างมีประสิทธภิ าพและเกิดประสิทธิผล
ท้ังเปา้ หมายในบริบทของชนั้ เรียน โรงเรียน ชุมชนและสงั คม จะถกู น้ามาจดั กระท้าในฐานะของส่ิง
ทเี่ ปน็ ปญั หา ซึ่งในระดบั น้เี ปน็ เรอ่ื งของความสามารถในการอธิบายโดยใช้เหตุผลในศาสตร์ทางการ
สอนมาประกอบค้าอธิบายได้

ระดับที่ 2 ความสามารถในการให้เหตุผล เพื่อใช้ในการพิสูจน์สมมติฐานตามหลักทฤษฎี
(Reflectivity) เกี่ยวข้องกับการกระท้าที่น้าไปสู่การปฏิบัติเพื่อหามุมมองอ่ืนๆโดย สามารถน้ามา
อธิบายข้อสันนิษฐานได้อย่างชัดเจน และแสดงถึงการน้ามุมมองท่ีหลากหลายและใหม่ไปปฏิบัติ
และสามารถประเมนิ ผลลัพธข์ องการกระท้าเพือ่ การบรรลุตามเป้าหมายทางการศึกษา

ระดบั ที่ 3 ความสามารถในการเช่อื มโยงเหตุผลในแนวทางปฏบิ ัติ จะเกดิ ระหวา่ งวธิ สี อนท่ี
เกิดขึ้นใหม่หรือวิธีสอนเดิมในมุมมองใหม่ที่สอดคล้องกับหลักคุณธรรมและจรรยาบรรณ (critical
reflection) เป็นความสามารถในการอธิบายถึงการกระท้าที่น้าไปสู่การปฏิบัติโดยมุมมองของ
ความสัมพันธ์กับเกณฑ์ด้านจริยธรรมและจรรยาบรรณ เน้นท่ีเป้าหมายการศึกษา ด้วย
ประสบการณ์และกิจกรรมทนี่ ้าไปเกี่ยวข้องกับชีวิตประจา้ วันจะต้องพิจารณาในแง่ความเป็นธรรม
ความเสมอภาค การประสบความส้าเร็จอย่างสงู เพ่อื สนองตอ่ ความต้องการจ้าเป็นของมนุษย์ และ
ความพึงพอใจของมนุษย์ ซึ่งในระดับนี้ทั้งการสอนและบริบท โดยรอบจะถูกน้ามาพิจารณาคล้าย
กบั ส่ิงทเี่ ปน็ ปญั หา โดยพจิ ารณาเลอื กแนวทางที่เป็นไปไดจ้ าก แนวทางท้งั หลายท่ีมอี ยู่

๒๒

การคิดวิเคราะห์ในความหมายนี้จึงเป็นความคิดท่ีจะต้องใช้เหตุผลเพื่อน้ามาวิ เคราะห์ข้อ มูล
วิเคราะหค์ วามคิดของตนเอง แลว้ สะท้อนแง่มมุ ตา่ งๆ ของความคดิ นน้ั ๆออกมา จะต้องสามารถน้า
ความคิดทไ่ี ด้จากการวเิ คราะหน์ ้นั ไปใชเ้ พอ่ื ใหเ้ หน็ เป็นรปู ธรรมได้

2.3 ทฤษฎเี กีย่ วกับการสบื เสาะหาความรู้ 5E

ความหมายของการจัดการเรียนีร้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความีร้นักการศึกษาหลาย
ทา่ นไดใ้ ห้ความหมายของการจดกั ารเรียนรแู้ บบวฏั จักรการสืบเสาะหาความรู้ ดงั น้ี

ลอว์สัน (Lawson 1995: 424, อ้างถึงใน สุนีย์ เหมะประสิทธ์ิ, 2544: 103) กล่าวถึง
วัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ว่า เป็นรูปแบบของกระบวนการเรียนรู้ท่ีนักวิทยาศาสตร์ศึกษ าได้
คิดค้นข้ึน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้วิธีการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ๒๒ (Inquiry
Approach) ท่ีต้องอาศัยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการค้นพบความรู้หรือ
ประสบการณ์การเรยี นรอู้ ยา่ งมีความหมายด้วยตนเอง

นันทิยา บุญเคลือบ (2540: 11-14) กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้ด้วยวัฏจักรการสืบ
เสาะหาความรูว้ ่า เป็นกระบวนการท่เี กิดขนึ้ อย่างต่อเนื่องกันไปในลักษณะของวัฏจกั ร (Cycle) ใน
การเรียนการสอนแต่ละครัง้ หรือแต่ละแนวคิดจะเร่ิมต้นจากขั้นการน้าเขา้ สู่บทเรยี นและจบลงโดย
การประเมินผล ผลทไ่ี ดจ้ ะถกู น้าไปใชเ้ ปน็ พื้นฐานในการเรยี นการสอนครง้ั ตอ่ ไป นอกจากน้ีการน้า
ความรหู้ รอื แบบจ้าลองไปใช้อธบิ ายหรอื ประยุกตใ์ ชก้ ับเหตกุ ารณ์หรอื เรือ่ งอน่ื ๆ จะน้าไปสขู่ อ้ โต้แย้ง
หรือขอ้ จา้ กดั ซ่งึ จะก่อใหเ้ กดิ ประเด็นหรือคา้ ถาม หรอื ปญั หาท่จี ะต้องส้ารวจตรวจสอบต่อไป ท้าให้
เกิดเป็นกระบวนการทตี่ ่อเนือ่ งกันไปเรอื่ ยๆ๒๓

เจมส์แบงค์ (James A Bank 1976, อ้างถึงใน นิรดา ปัตนวงศ์, 2552: 51) ได้เสนอ
ข้นั ตอนของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้คอื ครูจะต้องเป็นผู้จัดสถานการณใ์ ห้นกั เรยี นเกิดความ
สงสัยต้ังปัญหาต้งั ขอ้ สมมติฐาน นิยามความหมายรวบรวมและวเิ คราะห์ข้อมูล ทดสอบสมมติฐาน
และขั้นสุดท้ายคือการสร้างข้อสรุปจากข้อมูลที่ตรวจสอบมาแล้วทั้งหมดและอาจจะเริ่มสืบสอบ
ปัญหาใหม่ต่อไปโดยเน้นขั้นตอนต่างๆ ที่ครูน้ามาใช้สรุปท่ีจะได้น้าไปสู่ปัญหาหรอื ข้อสงสัยใหม่ได้
เสมอ นอกจากน้ันได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการนา วิธีแบบสืบเสาะหาความรู้มาใช้ในวิชา
สงั คมศาสตร์ว่า “เพื่อใหบ้ ุคคลมีการตัดสินใจท่ีดขี ้นึ กว่าเดมิ ”

โอดม และเคลล่ี (Odom and Kelly, 2001: 615-635) กล่าวถงึ การจดั การเรยี นรู้แบบวฏั
จักรการสืบเสาะหาความรู้วา่ เป็นรูปแบบการสอนท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รบั ประสบการณ์ในการ

๒๒ Lawson, A.E. Science Teaching and Development of Thinkin, (California: Allyn
and Bacon, 1994).

๒๓ นนั ทิยา บญุ เคลือบ, การเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ตามแนวคดิ Constructivism, (วารสาร
สสวท, 96, 2540), หนา้ 11-15.

๒๓

สร้างความรู้ท้ังด้านมโนมติวิธีการรวมถึงทักษะกระบวนการ โดยผ่านกระบวนการที่เป็นขั้นตอน
อย่างตอ่ เน่ือง

สมบัติ การจนารักพงค์ และคณะ (2549: 3) กล่าวถึงความหมายของการจัดการเรยี นรู้
แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ (5E) ว่า คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบ
เสาะหาความรู้(Inquiry Cycle) ท่ีประกอบด้วย 5 ข้ันตอน ได้แก่ขั้นสร้างความสน ใจ
(engagement) ขั้นส้ารวจและค้นหา (exploration) ขั้นอธิบายและลงขอ้ สรุป (explanation) ขัน้
ขยายความรู้ (elaboration) และข้ันประเมิน (evaluation) โดยค้าย่อว่า 5E มาจาก E ที่เป็น
อกั ษรตวั แรกของค้าภาษาอังกฤษในแต่ละขนั้ นัน่ เอง๒๔

สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรแู้ บบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ คือการจัดการเรียนสอนท่ี
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ แสวงหาความรูด้ ้วยตัวเองอย่างเป็นระบบซ่งึ
เป็นกระบวนการท่ีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นวัฏจักรท่ีมีการสืบเสาะหาความรู้ไปเรื่อยๆ โดยครูมี
หนา้ ท่จี ดั ประสบการณ์กระตนุ้ ส่งเสริม สนบั สนุนในด้านตา่ งๆใหแ้ ก่ผ้เู รียน ซึง่ เป็นการจัดการเรยี นรู้
ท่เี น้นผเู้ รียนเป็นสา้ คัญวธิ ีหน่งึ

ในปี ค.ศ. 1992 นกั การศึกษากล่มุ BSCS (Biological Science Curriculum Study) ได้
แบ่งข้ัน ตอนของการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ออกเป็น 5 ขั้น ตอน หรือ
เรยี กว่า 5E ดงั นี้

1. การน้าเข้าสู่บทเรียน (Engagement) ขั้นนี้มีลักษณะของการแนะน้าบทเรียน เพ่ือให้
ผู้เรียนท้าการเช่ือมโยงระหว่างประสบการณ์เดิมกับสิ่งที่ได้พบขณะน้ัน และวางแผนส้าหรับ
กิจกรรมในขั้นต่อไป ครูต้องสร้างความสนใจและสร้างความอยากรู้อยากเห็นในหัวข้อท่ีจะศึกษา
อาจจะใช้ค้าถามยกสถานการณ์ปัญหาต่างๆ ที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ และต้องการแสวงหา
ความรู้หรอื ค้าตอบ

2. การส้ารวจ (Exploration) เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรยี นได้รับประสบการณ์ตรงใจการ
จัดความสัมพันธ์ระหว่างหัวข้อที่ก้าลังศึกษากับแนวความคิดที่มีอยู่กิจกรรมในขั้นนี้ผู้เรียนต้องสบื
เสาะหาความรู้รวบรวมข้อมูล ทดสอบแนวความคิด บันทึกความคิด ทา้ การทดลองด้วยตนเอง ครู
จะท้าหน้าท่ีเป็นเพียงผู้แนะน้าหรอื ผู้เริ่มต้นในกรณีที่นักเรียนไม่สามารถหาจุดเร่ิมได้ ส่ิงส้าคัญคือ
ครคู วรจะใหผ้ ้เู รียนมีส่วนรว่ มในการพัฒนาความสามารถในการคดิ แบบใหม่

3. การอธิบาย (Explanation) ในข้ันตอนน้ีเปน็ การน้าความร้ทู ีไ่ ดร้ วบรวมจากขัน้ ที่ 2 มา
เป็นพ้นื ฐานในการศึกษาหวั ข้อ ท่ีกา้ ลังเรยี นอยู่โดยใหผ้ เู้ รียนอธิบายสงิ่ ที่ได้จากการส้ารวจ พยายาม
หาเหตุผลความสัมพันธ์ของส่ิงต่างๆ มาตอบค้าถามท่ีเกิดข้ึน กิจกรรมอาจจะประกอบไปด้วยการ

๒๔ สมบตั ิ กาญจนารักพงค และคณะ, เทคนคิ การจัดกิจกรรมการเรยี นรูแบบ 5E ที่เนน้ พัฒนาทักษะ
การคดิ ขั้นสูง : กลุมสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม (กรุงเทพมหานคร : ธารอกั ษร, 2549), หนา้ 3.

๒๔

เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากการอ่าน และน้าข้อมูลมาอภิปรายรว่ มกันครูควรกระตนุ้ ให้ผู้เรียนไดอ้ ธิบาย
ว่า เขามีความเข้าใจต่อเรื่องที่ก้าลังศึกษาถูกต้องและชัดเจนเพียงใด ครูอาจใช้ค้าถามช่วยให้
นักเรยี นเกิดความคดิ และอธิบายเหตุผลของความคดิ นนั้

4. การลงขอ้ สรุป (Elaboration) ขน้ั ตอนน้จี ะเนน้ ใหผ้ เู้ รยี นน้าความร้หู รือข้อมูลจากขั้นที่
2 และข้ันท่ี 3 มาทดสอบ ทดลองและประยุกต์ใช้กบสถานการณ์อื่นๆ ที่แตกต่างออกไป ทา ให้
เกิดการเรียนรู้มโนมติท่ีกว้างและแม่นย้ามากขึ้น กิจกรรมส่วนใหญ่เป็นการอภิปรายภายในกลุ่ม
เพื่อลงข้อสรุปให้เห็นถึงความเข้าใจ ทักษะกระบวนการและความสัมพนั ธร์ ะหว่างความรู้ต่างๆ ที่
เกิดขึ้นอาจมีการกล่าวถึงมโนมติที่คลาดเคล่ือน ยกตัวอย่างให้เห็นอย่างชัดเจน ซ่ึงจะท้าให้ผู้เรยี น
ได้ปรับความคิดของตนให้ถูกต้องในขั้นนจ้ี ะช่วยเสรมิ สรา้ งความรู้ความเข้าใจในเร่อื งท่ีจะศึกษาได้
ชดั เจนมากยิ่งขึ้น

5. การประเมินผล (Evaluation) เป็นข้ันตอนที่ครูเปิดโอกาสให้ผู้เรียนตรวจสอบ
แนวความคิดท่ีได้เรียนรู้มาแล้วว่าถูกต้องและได้รับการยอมรับเพียงใด ให้ผู้เรียนได้แสดงออก
เก่ยี วกบั ส่งิ ทไี่ ด้เรยี นรู้ให้เสรมิ สรา้ งองค์ความรูด้ ้วยตนเองและกลุม่ เพ่ือน ขอ้ สรปุ ทีไ่ ดจ้ ะน้าไปใช้เป็น
พ้ืนฐานในการศึกษาต่อไป การประเมินผลอาจจะอยู่ในรูปแบบการเขียนรายงาน การตอบค้าถาม
การแสดงสาธิตทกั ษะและข้ันตอนการทดลอง หรืออาจเป็นการน้าเสนอโครงการที่ท้าเสร็จสมบูรณ์
แลว้ ก็ไดซ้ ึง่ สงิ่ เหลา่ นเ้ี ปน็ การประเมินผลบนฐานของกิจกรรมทางดา้ นพทุ ธพิสยั และทกั ษะพสิ ยั

สมนึก พวงกลิน่ (2530: 6) อธบิ ายขั้นตอนการจดั การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ไว้ 5
ขน้ั ตอน ดงั นี้

ขั้นที่ 1 ขั้นสังกัปแนวหน้าคือขั้นเตรียมความพรอ้ มด้านการเรยี นให้กับนักเรียน โดยการ
ดึงเอาความรแู้ ละประสบการณ์เดมิ ของนักเรียนท่ีเก่ียวข้องกบั ส่ิงท่ีจะสอนใหม้ าสมั พันธ์กนั รวมทงั้
การปูพื้นความรู้ใหม่ที่จ้าเป็นส้าหรับการเรียนรู้เนื้อหาสาระใหม่ให้กับนักเรียน และการจูงใจให้
พร้อมท่ีจะเรยี น

ขั้นที่ 2 ขั้นสังเกต คือขั้นที่ครูน้าเน้ือเร่ืองหรือข้อความมาฝึกให้นักเรียนได้สังเกต และ
วิเคราะหอ์ งคป์ ระกอบของเน้ือเร่ือง เพอ่ื หาสงั กัปหรือความหมายสรุปรวมของเนอื้ เร่ือง

ขั้นที่ 3 ข้ันอธิบาย คือขั้นท่ีครูกระตุ้นให้นักเรียนหาค้าอธิบายหรือหาเหตุผลว่าเหตุใด
นกั เรยี นจงึ ไดข้ อ้ สรุปสงั กปั หรอื ความหมายสรปุ รวมของเนอื้ เรอ่ื งว่าอย่างน้นั

ข้ันท่ี 4 ขั้นท้านายนายคือข้ันที่ครูส่งเสรมิ ให้นักเรียนหาความสัมพันธ์ระหวา่ งเหตุและผล
น่ันคือคิดทบทวนว่ามีเหตุผลพอหรือไม่ท่ีสรุปสังกัปของเน้ือเรื่องว่าเป็นอย่างนั้น เพื่อเป็นการ
ทดสอบดูวา่ คา้ อธิบายในขน้ั ท่ี 3 ถูกต้องมากนอ้ ยเพยี งใด

๒๕

ขนั้ ที่ 5 ข้ันควบคมุ และคดิ สร้างสรรคค์ อื ข้ันท่ีเม่อื นกั เรยี นได้สังกปั ออกมาแล้ว ครจู ะเรา้ ให้
นกั เรยี นคิดว่าจะน้าเอาความร้ใู หม่(สงั กัป)ไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ในทางใดได้บ้าง๒๕

พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2551: 102-105) ได้เสนอขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้แบบสืบ
เสาะหาความรู้ โดยใช้วงจรการเรียนรู้ 5E (5E learning cycle) เปน็ 5 ข้นั ตอน ดงั น้ี

1.ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement) เปน็ ข้นั ทกี่ ระตนุ้ ให้นกั เรยี นมแี รงจงู ใจในการเรยี น
บทเรยี น โดยการใชค้ ้าถามของครแู ละนกั เรยี นเปน็ ผรู้ ะบุปัญหาที่สนใจศกึ ษา

2. ขั้นส้ารวจและค้นหา (Exploration) เป็นขั้นท่ีนักเรียนต้องก้าหนดแนวทางในการเกบ็
รวบรวมข้อมูลเพื่อต้งั สมมติฐานโดยจินตนาการวิธกี ารแกป้ ญั หาแล้วเลือกวิธีการแก้ปญั หาท่ีดีที่สุด
เพือ่ วางแผนแนวทางในการแก้ปญั หา

3. ข้ันอธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation) เป็นข้นั ทีน่ ักเรียนนา้ ข้อมลู จากการส้ารวจมา
วิเคราะห์แปลผล สรุปผลและน้าเสนอผลที่ได้ โดยนักเรียนจะสร้างสรรค์ผลผลิตตามข้ันตอนท่ีได้
วางแผนไว้ท้าใหเ้ กดิ การแลกเปลย่ี นระหว่างครกู บั นักเรียนและนกั เรียนกับนักเรยี นด้วยกนั

4.ข้ันอธบิ ายความรู้ (Elaboration) เปน็ ขั้นที่นกั เรียนน้าความรทู้ ไ่ี ด้ไปเชือ่ มโยงกับความรู้
เดิมหรือแนวคิดที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมไปอธิบายเหตุการณ์ที่ท้าให้เกิดความรู้ที่กว้างข้ึน โดยนักเรียน
จะสร้างสรรค์ผลผลติ ตามขั้นตอนท่ีได้วางแผนไว้

5.ขั้นประเมินผล (Evaluation) เป็นข้ันสุดท้าย โดยนักเรียนจะประเมินการเรียนรู้ของ
ตนเองในด้านกระบวนการปฏิบัติและผลงานของกลุ่ม ซึ่งนักเรียนต้องปรับปรุงกระบวนการ
ออกแบบข้ันตอนการปฏิบัติจนถึงผลงานของกลุ่ม แล้วอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซ่ึงอาจ
เกดิ ปัญหาใหมห่ รอื สามารถนา ไปประยุกตใ์ ชใ้ นสถานการณ์ใหมไ่ ด้๒๖

จากการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับข้ันตอนของการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหา
ความรู้ของนักการศึกษาดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการจัดการเรียนรู้แบบวฏั จักรการสืบเสาะหาความรู้
เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นส้าคัญ โดยขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้จะช่วย
พัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์การต้ังค้าถาม การคิดหาค้าตอบ การแสดงความคิดเห็น
และการค้นคว้าหาความรู้ให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียนผู้วิจัยจึงสนใจที่จะน้าขั้นตอนการจัดการ เรียนรู้ตาม
แนวทางสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2549: 10-11) และ พิมพันธ์
เดชะคุปต์ (2551:102-105) ทมี่ ีความสอดคล้องกันมาเปน็ ขนั้ ตอนในการวจิ ัย ซ่ึงประกอบด้วย
5 ขัน้ ตอน ดงั น้ี

๒๕ สมนึก พวงกลนิ่ , การศกึ ษาเปรียบเทยี บความสามารถในการอานอยางมีวิจารณญาณและ
สมรรถภาพการอานเร็วของนกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปท่ี 3 โดยใชวิธีการสอนแบบสืบสวนสอบสวนกบั การ
สอนตามคูมอื ครู, ปริญญาการศกึ ษามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ ประสานมิตร, ๒๕๓๐, หนา้ ๖.

๒๖ พิมพันธ์ เดชะคุปต์, การสอนคดิ ด้วยโครงงาน : การเรียนการสอนแบบบรู ณาการ, (กรุงเทพฯ :
โรงพิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, ๒๕๕๑), หน้า 102-105.

๒๖

1. การสรา้ งความสนใจ (Engage) ข้นั ตอนนเี้ ปน็ ขน้ั ตอนแรกของกระบวนการเรียนรู้ท่ีจะ
น้าเข้าสู่บทเรียน จุดประสงค์ที่ส้าคัญของข้ันตอนนี้คือ ท้าให้ผู้เรียนสนใจใคร่รู้ในกิจกรรมท่ีจะ
น้าเข้าสู่บทเรียน ควรจะเช่ือมโยงประสบการณ์การเรียนรู้เดิมกับปัจจุบันและควรเป็นกิจกรรมที่
คาดว่าก้าลังจะเกิดข้ันซ่ึงท้าให้ผู้เรียนสนใจจดจ่อที่จะศึกษาความคิดรวบยอด กระบวนการ หรือ
ทักษะและเรม่ิ คิดเชอื่ มโยงความคิดรวบยอด กระบวนการ หรอื ทักษะกบั ประสบการณ์เดมิ บทบาท
ของครูจะต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจ ใจจดจ่อกับการเรียนการสอน โดยการต้ังค้าถาม ก้าหนด
ปัญหา สร้างเหตุการณ์ที่ขัดแย้ง และสถานการณ์ท่ีเป็นปัญหา ซ่ึงเป็น 2-3 วิธีท่ีจะดึงดูดความ
สนใจของผู้เรียน และก้าหนดจุดประสงค์การเรียนรูผ้ ลส้าเร็จของการจัดกิจกรรมสรา้ งความสนใจ
คือ ทา้ ให้ผ้เู รยี นสงสัยอยากร้อู ยากเหน็ และต้องการศึกษาความรู้อยา่ งลึกซ้งึ

2. การส้ารวจและค้นหา (Explore) ขั้นตอนนี้เป็นข้ันตอนที่ท้าให้ผู้เรียนมีประสบการณ์
ร่วมกันในการสร้างและพัฒนาความคิดรวบยอด กระบวนการ และทักษะ โดยการให้เวลาและ
โอกาสแก่ผูเ้ รียนในการทา้ กจิ กรรมการส้ารวจและคน้ หาสงิ่ ท่ผี เู้ รียนตอ้ งการเรียนร้ตู ามความคิดเห็น
ของผู้เรียนแต่ละคนหลังจากนั้นเรียนแต่ละคนได้อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเก่ียวกับ
ความคิดรวบยอด กระบวนการ และทักษะในระหว่างท่ีผู้เรียนท้ากิจกรรมส้ารวจและค้นหาเป็น
โอกาสท่ีผู้เรียนจะได้ตรวจสอบหรือเก็บข้อมูลเก่ียวกับความคิดรวบยอดของผู้เรียนที่ยังไม่ถูกต้อง
และยังไม่สมบูรณ์โดยการให้ผู้เรียนอธิบายและยกตัวอย่างท่ีเกี่ยวข้องกับความคิดของผู้เรียน ครู
ควรระลึกอยู่เสมอเก่ียวกบั ความรู้เดิมของผู้เรยี นจะช่วยครูในการวางแผนการสอนครั้งต่อไป และ
จา้ แนกแยกแยะจัดกลุ่มความรูค้ วามสามารถของผู้เรยี นตามประเด็นปญั หาผลจากการทผ่ี ู้เรยี นมีใจ
จดจอ่ ในการทา กจิ กรรม ผูเ้ รยี นควรจะสามารถเช่ือมโยงการสังเกต การจ้าแนกตวั แปรและค้าถาม
เก่ยี วกับเหตุการณ์นัน้ ได้

3. การอธิบายและลงข้อสรุป (Explain) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนท่ีให้ผู้เรียนได้พัฒนา
ความสามารถในการอธิบายความคิดรวบยอด ที่ได้จากการส้ารวจและค้นหา ครูควรให้โอกาสแก่
ผู้เรียนได้อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเหน็ เกี่ยวกับทักษะหรือพฤติกรรมการเรยี นรกู้ ารอธบิ ายน้นั
ต้องการให้ผู้เรียนได้ใช้ข้อสรุปร่วมกันในการเชื่อมโยงส่ิงที่เรียนรใู้ นช่วงเวลาที่เหมาะสมนน้ั ครคู วร
ช้แี นะผเู้ รียนเกยี่ วกับการสรปุ และการอธิบายรายละเอียด แตอ่ ยา่ งไรก็ตามครูควรระลกึ อยู่เสมอว่า
กิจกรรมเหล่านี้ยังคงเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางนัน้ คือผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถในการอธิบาย
ดว้ ยตวั ผู้เรยี นเอง บทบาทของครเู พียงแต่ชีแ้ นะผ่านทางกิจกรรม เพ่อื ใหผ้ ้เู รียนมโี อกาสอย่างเต็มท่ี
ในการพัฒนาความรู้ความเข้าใจในความคิดรวบยอดให้ชัดเจน ในที่สุดผู้เรียนควรจะอธิบาย
ความคดิ รวบยอดไดอ้ ยา่ งเขา้ ใจโดยเชื่อมโยงประสบการณ์ความรู้เดมิ และส่ิงทเ่ี รียนรูเ้ ขา้ ด้วยกนั

4. การขยายความรู้ (Elaborate) ข้ันตอนนี้เป็นข้ันตอนท่ีให้ผู้เรียนได้ยืนยันและขยาย
หรอื เพ่มิ เติมความรู้ความเข้าใจในความคิดรวบยอดใหก้ ว้างขวางและลกึ ซึ่งยงิ่ ขึ้นและยงั เปิดโอกาส
ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะและปฏิบัติตามท่ีผู้เรียนต้องการ ในกรณีท่ีผู้เรียนไม่เข้าใจหรือยังสับสนอยู่
หรืออาจจะเข้าใจเฉพาะข้อสรุปท่ีได้จากการปฏิบัติการส้ารวจและค้นหาเท่านั้น ควรให้

๒๗

ประสบการณใ์ หมผ่ เู้ รียนจะได้พัฒนาความร้คู วามเขา้ ใจในความคดิ รวบยอดใหก้ วา้ งขวางและลึกซึ้ง
ย่ิงขึ้น ผู้เรียนจะได้รับความรู้เพิ่มเติมในส่ิงที่เขาสนใจ และได้ฝึกกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้
ช้านาญมากขึ้นเป้าหมายท่ีส้าคัญของข้ันนี้คือครูควรชี้แนะให้เรียนไดน้าไปประยุกต์ใช้ใน
ชีวิตประจ้าวันจะท้าใหผ้ ู้เรียนเกดิ ความคดิ รวบยอด กระบวนการและทักษะมากข้ึน

5. การประเมินผล (Evaluate) ขั้นตอนนี้ผู้เรียนจะได้รับข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับการ
อธิบายความรู้ความเข้าใจของตนเอง ระหว่างการเรียนการสอน ในข้ันน้ีรูปแบบของการสอน ครู
จะตอ้ งกระตุน้ หรอื สง่ เสริมให้ผ้เู รียนประเมนิ ความรู้ความเข้าใจและความสามารถของตนเอง และ
ยังเปดิ โอกาสใหค้ รูไดป้ ระเมินความรู้ความเขา้ ใจและพฒั นาทกั ษะของผู้เรียนดว้ ย

จากการศึกษากระบวนการแนวคิดทฤษฎีข้างต้นขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้แบบสืบ
เสาะหาความรู้ 5E เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นส้าคัญ โดยผู้วิจัยเห็นว่าจะน้า
ข้ันตอนกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ที่มี ๕ ข้ันตอนมาใช้ คือ การสร้าง
ความสนใจ การสา้ รวจและค้นหา การอธบิ ายและลงขอ้ สรปุ การขยายความรูแ้ ละการประเมินผล

๒.๔ แนวคดิ เกยี่ วกบั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น

๒.๔.๑ ความหมายของผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
กระทรวงศึกษาธิการ๒๗ ได้บัญญัติความหมายของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไว้ในหนังสือ
ประมวลศัพท์บัญญัติการศกึ ษาวา่ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน หมายถึง ความสา้ เร็จหรือความสามารถ
ในการกระท้าใดๆ ที่ต้องอาศัยทักษะหรือมิฉะนั้นก็ต้องอาศัยความรอบรู้ในวิชาใดวิชาหนึ่ง
โดยเฉพาะ
ไพศาล หวังพานชิ ๒๘ ได้ให้ความหมายไวว้ า่ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น หมายถึง คุณลักษณะ
และความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอน เป็นการแลกเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
และประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกิดจากการฝึกฝน อบรม หรือการเรียนรู้การสอน และการวัดผล
สัมฤทธ์ิเป็นการตรวจสอบความสามารถหรือความสัมฤทธ์ิผลของบุคคลว่าเรียนรู้แล้วเท่าใด มี
ความสามารถชนิดใด
ชวาล แพรัตนกลุ ๒๙ ไดใ้ ห้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้วา่ ผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียน เป็นสมรรถภาพของสมองในด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับจากประสบการณ์ทั้งทางตรงและ

๒๗ กระทรวงศึกษาธิการ, เอกสารประกอบหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช
๒๕๕๑ แนวปฏิบัติการวดั และประเมินผลการเรียนร้,ู ( กรงุ เทพฯ : ชมุ ชนสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย,
๒๕๕๒), หน้า ๕.

๒๘ ไพศาล หวงั พานิช, การวดั ผลการศึกษา, ( กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ , ๒๕๕๙), หนา้ ๑๑.
๒๙ ชวาล แพรตั นกลุ , เทคนิคการวดั ผล, (กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๕๒), หน้า ๖.

๒๘

ทางออ้ มจากครู ซ่งึ สามารถวัดได้จากการตอบแบบสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิ ผูต้ อบได้คะแนนมากคอื ผู้ท่ีมี
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสงู สว่ นผตู้ อบได้คะแนนนอ้ ย ถือว่าได้มผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นต่้า
อารมณ์ เพชรชื่น๓๐ ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไว้ว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
หมายถึง ผลที่เกิดข้ึนจากการเรียนการสอน การฝึกฝนหรือประสบการณ์ต่าง ๆ ทั้งที่โรงเรียนท่ี
บา้ น และสงิ่ แวดลอ้ มอืน่ ๆ

จากการศึกษาความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สามารถสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ ความเขา้ ใจ ทักษะ และทศั นคติของนักเรยี นอันเกิดจากการเรียนรู้
เรอื่ งใดเรื่องหนงึ่ ซึ่งอาจวดั ได้จากการทดสอบหรอื วิธีการอนื่ ในระหว่างหรอื หลงั การจดั กิจกรรมการ
เรียนการสอนออกมาเป็นคะแนนจากการได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วอันเป็น
กระบวนการต่าง ๆ ท่ีผู้สอนก้าหนดข้ึน นอกจากผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนจะบอกคุณภาพของ
นักเรยี นแลว้ ยงั แสดงให้เห็นคณุ ค่าของหลักสูตร

๒.๔.๒ ความสา้ คัญของการวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น
สมหวงั พิธิยานุวฒั น์๓๑ กล่าวถงึ ความส้าคัญของการวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น ดงั นี้
๑. เพ่อื วินจิ ฉัยความรคู้ วามสามารถ ทกั ษะและกระบวนการ เจตคติ คุณธรรม จรยิ ธรรม
ค่านิยมของผู้เรียนและเพื่อส่งเสริมผู้เรียนให้พัฒนาความรู้ความสามารถและทักษะได้เต็มตาม
ศกั ยภาพ
๒. เพือ่ ใชเ้ ป็นขอ้ มูลป้อนกลับให้แกต่ ัวผู้เรียนเองวา่ บรรลุตามมาตรฐานการเรยี นรเู้ พยี งใด
๓. เพ่อื ใชเ้ ป็นขอ้ มลู สรุปผลการเรียนรแู้ ละเปรียบเทียบถงึ ระดบั พฒั นาการการเรยี นรู้
ภัทรา นิคมานนท์๓๒ ได้จ้าแนกความส้าคัญของการวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นเพื่อพฒั นา
นักเรียนให้มีคณุ ภาพเกดิ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมดา้ นสตปิ ัญญาหรือการเปลย่ี นแปลงพฤติกรรม
ด้านพุทธพิสัย ความสามารถแบง่ ออกเป็น ๖ ระดับ ไดแ้ ก่
๑. ความรู้ ความจ้า คอื การระลึกถึงเรอ่ื งราวทเ่ี คยมปี ระสบการณ์มากอ่ น จะโดยวธิ ีใดก็
ตาม เชน่ จากการเรียนในห้องเรียน ฟังวิทยุ ดูโทรทศั น์ เปน็ ต้น พฤติกรรมด้านความรู้ ความจ้า ยงั
จ้าแนกได้อีก ๓ ลักษณะใหญ่ๆ คือ ความรู้เฉพาะเร่ือง ความรู้ในการด้าเนินการและความรู้จาก
ความคิดรวบยอด
๒. ความเข้าใจ คอื ความสามารถในการขั้นสติปญั ญาท่ีเป็นผลมาจากการนา้ ความรู้และ

๓๐ อารมณ์ เพชรชน่ื , เทคนคิ การวดั และประเมนิ ผลการศึกษาระดบั ประถมศึกษา, ( กรงุ เทพฯ :
มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ, ๒๕๕๗), หน้า ๑๓.

๓๑ สมหวัง พิธยิ านุวฒั น์, วทิ ยากรการประเมนิ ทางการศกึ ษา, ( กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย
, ๒๕๕๖), หนา้ ๒๔.

๓๒ ภัทรา นิคมานนท์, การประเมนิ ผลการเรยี น, ( กรงุ เทพฯ : ทพิ ยวิสุทธ์, ๒๕๕๓), หน้า ๑๘.

๒๙

ประสบการณจ์ ากข้นั ทห่ี นง่ึ มาผสมผสานจนกลายเปน็ ความรชู้ นดิ ใหม่ แบง่ ออกเปน็ ๓ ลกั ษณะ คอื
การแปลความ ตีความ และการขยายความ

๓. การน้าไปใช้ คอื ความสามารถในการนา้ ความรู้ ความเขา้ ใจในเรือ่ งทเ่ี รยี นรู้มาแล้วไป
แกป้ ญั หาทแ่ี ปลกใหม่หรอื สถานการณ์ใหม่ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

๔. การวิเคราะห์ คือความสามารถในการนา้ องค์ประกอบย่อยต่างๆ ได้ ท้าให้มองเหน็
ความสัมพันธ์กันได้อย่างชัดเจน สามารถค้นหาความจริงทซี่ ่อนแขวงอยู่ในเรื่องน้ันๆ โดยวิเคราะห์
๓ ลักษณะ ไดแ้ ก่ การวเิ คราะหค์ วามสา้ คัญ การวิเคราะห์ความสัมพนั ธ์ และการวิเคราะห์ข้อความ

๕. การสงั เคราะห์ คอื ความสามารถในการน้าองค์ประกอบยอ่ ยต่างๆ ตัง้ แต่ ๒ สงิ่ ข้ึนไป
มารวมเป็นเรื่องราวเดียวกันเพื่อให้เห็นโครงสร้างที่ชัดเจน ซึ่งเป็นผลลัพธ์ใหม่ มีคุณค่าต่อการ
สังเคราะห์ ๓ ประการ คือการสังเคราะห์ข้อความ การสังเคราะห์แผนงาน และการสังเคราะห์
ความสัมพันธ์

๖. การประเมนิ คา่ คือความสามารถในการตัดสินเก่ียวกบั คณุ ค่าของเนอ้ื หาและวธิ กี าร
ตา่ งๆโดยมีการสรุปอยา่ งมหี ลักเกณฑว์ า่ เหมาะสม มคี ุณคา่ ดี เลว การประเมินค่าต้องอาศยั เกณฑ์
ประกอบการตัดสินใจ การประเมินค่ามี ๒ ระดับ คอื การตดั สนิ ใจโดยอาศัยข้อเท็จจริง และการ
ตัดสนิ ใจโดยอาศัยเกณฑภ์ ายนอกเป็นเกณฑท์ ี่ไมไ่ ดป้ รากฏตามเน้อื หานนั้ ๆ

จากการศึกษาความส้าคญั ของผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน สามารถสรปุ ไดว้ า่ ความส้าคญั ของ
การวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน เป็นการวัดพฤติกรรมด้านความรู้ ความสามารถของผู้เรียนในด้าน
ความรู้ ความจ้า ความเข้าใจ การน้าไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า และ
เปรยี บเทยี บถึงระดับพัฒนาการของการเรียนรูข้ องผเู้ รียน

๒.๕ แนวคดิ เกย่ี วกับความพงึ พอใจ

๒.๕.๑ ความหมายของความพึงพอใจ
กาญจนา อรุณสอนศรี๓๓ ได้กล่าวไว้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง การแสดงออกทาง
พฤตกิ รรมของมนุษยเ์ ปน็ ส่งิ ท่ีจับต้องไม่ได้และไม่สามารถมองเห็นเป็นรูปร่างได้ การท่เี ราจะทราบ
วา่ บคุ คลมีความพงึ พอใจหรือไม่ สามารถทราบได้จากการสงั เกตพฤติกรรม สหี นา้ กรยิ าท่าทางของ
บุคคล

๓๓ กาญจนา อรณุ สอนศร,ี ความพงึ พอใจของสมาชกิ สหกรณ์ต่อการด้าเนนิ งานของสหกรณ์
การเกษตรไชยปราการจา้ กดั อา้ เภอชยั ปราการ จงั หวดั เชียงใหม่, วทิ ยานิพนธ์, (เชยี งใหม่ :
มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่, ๒๕๕๖), หนา้ ๑๒.

๓๐

สนิท เหลืองบุตรนาค๓๔ ได้ให้ความหมาย ความพึงพอใจ หมายถึง ท่าที่ความรู้สึกความ
คิดเห็นท่ีมีผลต่อสงิ่ ใดสิ่งหนงึ่ ภายหลังจากที่ได้รับประสบการณ์ในสิง่ น้นั มาแล้วในลักษณะทางบวก
คือ พอใจ นิยม ชอบ สนับสนุนหรือมีเจตคติที่ดีต่อบุคคล เมื่อรับตอบสนองความต้องการในทาง
เดยี วกัน หากได้รับการตอบสนองความตอ้ งการจะเกิดความไมพ่ อใจเกดิ ข้นึ

คณิต ดวงหัสดี๓๕ ให้ความหมายไว้วา่ เป็นความรู้สึกชอบ หรือพอใจของบุคคลท่ีมตี ่อการ
ท้างานและองค์ประกอบหรือสิ่งจูงใจอื่นๆ ถ้างานที่ท้าหรือองค์ประกอบเหล่าน้นั ตอบสนองความ
ต้องการของบุคคลได้บุคคลน้ัน จะเกิดความพึงพอใจในงานข้ึนจะอุทิศเวลาแรงกายแรงใจรวมทั้ง
สติปญั ญาให้แกง่ านของตนใหบ้ รรลุวัตถุประสงคอ์ ย่างมีคุณภาพ

จากการศึกษาความหมายของความพึงพอใจข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ
หมายถงึ ความรสู้ ึกท่เี ปน็ การยอมรับความรสู้ ึกชอบ ความร้สู กึ ท่ียนิ ดีกับการยอมรับ ความรสู้ กึ ชอบ
ความรู้สึกที่ยินดีกับการปฏิบัติงาน ทั้งการให้บริการ และการรับบริการในทุกสถานการณ์ทุก
สถานท่ี

๒.๕.๒ การวัดความพึงพอใจ
ภณิดา ชัยปัญญา ได้ให้ทรรศนะเก่ียวกับเร่ืองนี้ว่า ความพึงพอใจเป็นนามธรรมเป็นการ
แสดงออกคอ่ นข้างซับซ้อน จงึ เป็นการยากท่จี ะวดั ได้โดยตรงแต่เราสามารถที่จะวัดได้โดยอ้อม โดย
วัดความคดิ เหน็ ของบุคคลเหล่านน้ั แทน ฉะนน้ั การวดั ความพึงพอใจกม็ ีขออบเขตท่ีจา้ กัดดว้ ย อาจ
มีความคลาดเคล่ือนขึ้นถ้าบุคคลเหล่านั้นแสดงความคิดเห็นไม่ตรงกับความรู้สึกที่แท้จริง ซ่ึง
ความคลาดเคล่ือนเหลา่ นี้ย่อมเกิดขึน้ ไดเ้ ป็นธรรมดาของการวัดโดยทว่ั ๆ ไปและไดก้ ลา่ ววา่ การวดั
ความพึงพอใจนน้ั สามารถท้าไดห้ ลายวิธี ดังนี้
๑. การใช้แบบสอบถาม โดยผ้อู อกแบบสอบถาม ต้องการทราบความคิดเหน็ ซ่ึงสามารถท่ี
จะกระทา้ ไดใ้ นลกั ษณะก้าหนดคา้ ตอบให้เลอื กหรอื ตอบค้าถามอสิ ระ คา้ ถามดงั กลา่ วอาจถามความ
พอใจในด้านต่างๆ เพอ่ื ใหผ้ ตู้ อบทุกคนมาเปน็ แบบแผนเดยี วกนั มกั ใชใ้ นกรณีท่ีต้องการข้อมูลกลุ่ม
ตวั อยา่ งมากๆ วิธนี ้ีนับเป็นวิธีท่นี ยิ มใชก้ ันมากท่ีสุดในการวัดทัศนคติ รูปแบบของแบบสอบถามจะ
ใช้มาตรการวัดทัศนคติ ซ่ึงที่นิยมใช้ในปัจจุบันวิธีหน่ึง คือ มาตราส่วนแบบลิเคิร์ท ประกอบด้วย

๓๔ สนิท เหลืองบตุ รนาค, ความพึงพอใจของนักศึกษาโรงการฝกึ อบรมครบู ุคลากรทางการศกึ ษา
ประจา้ การระดบั ปริญญาตรี ครศุ าสตรบัณฑติ วชิ าเอกเกษตรศาสตร์ ทมี่ ีผลตอ่ การเรียนวิชาขยายพันธุพ์ ืช
ของสหวิทยาลัยในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ, วิทยานพิ นธ,์ (กรงุ เทพ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร,์ ๒๕๕๙),
หน้า ๑๘.

๓๕ คณติ ดวงหสั ดี, สุขภาพจติ กับความพงึ พอใจในงานของข้าราชการตา้ รวจช้ันประทวนในเขต
เมืองและเขตชนบทของจังหวัดขอนแกน่ , วิทยานพิ นธ์, ( ขอนแกน่ : มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ , ๒๕๕๗), หนา้
๒๘.

๓๑

ข้อความที่แสดงถึงทัศนคติของบุคคลท่ีมีต่อสิ่งเร้าอย่างใดอย่างหน่ึงที่มีค้าตอบที่แสดงถึงระดับ
ความร้สู กึ ๕ ค้าตอบ เชน่ มากทส่ี ุด มาก ปานกลาง น้อย นอ้ ยทส่ี ุด

๒. การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการท่ีผู้วิจัยจะต้องออกไปสอบถามโดยการพูดคุย โดยมีการ
เตรยี มแผนงานล่วงหน้า เพอื่ ใหไ้ ด้ขอ้ มลู ที่เป็นจรงิ มากที่สุด

๓. การสงั เกต เปน็ วธิ วี ัดความพงึ พอใจ โดยการสังเกตพฤตกิ รรมของบุคคลเป้าหมายไม่ว่า
จะแสดงออกจากการพูดจา กรยิ า ทา่ ทาง วธิ นี ต้ี ้องอาศยั การกระทา้ อย่างจริงจังและสงั เกตอย่างมี
ระเบียบ แบบแผน วธิ นี เ้ี ป็นวธิ กี ารศึกษาทเ่ี ก่าแกแ่ ละยังเป็นทีน่ ิยมใชอ้ ย่างแพรห่ ลายจนถงึ ปัจจุบนั

จากการศึกษาการวัดความพึงพอใจข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การวัดความพึงพอใจเป็น
การบอกถึงความขอบของบุคคลท่ีมีต่อสิ่งหนึง่ สิง่ ใด ซึ่งสามารถวัดได้หลายวธิ ีการสมั ภาษณ์ การใช้
แบบสอบถามความคดิ เห็น การใชแ้ บบสา้ รวจความร้สู ึก

๒.๕.๓ การสร้างแบบสอบถามวดั ความพงึ พอใจ
พิสณุ ฟองศรี๓๖ กล่าวถึง แบบสอบถามความพึงพอใจจะมีโครงสร้างส้าคัญ ๓ ส่วน คือ
ส่วนทเ่ี ปน็ คา้ ช้แี จง ส่วนทีเ่ ปน็ ขอ้ มูลผ้ตู อบ และสว่ นทเี่ ป็นเนอ้ื หา แบบสอบถามเป็น ๓ แบบ คือ
๑. แบบปลายเปิด เป็นแบบทไี่ ม่ก้าหนดตายตวั ผตู้ อบตอบได้อย่างเสรโี ดยจะเวน้ ช่องว่าง
มาให้ ข้อดีคืออาจได้มุมมองใหม่ๆ ข้อเสียคือในทางปฏิบัติผู้ตอบจ้าไม่ค่อยตอบหรือตอบไม่เข้า
ประเด็น และวิเคราะห์ยาก
๒. แบบปลายปิด เป็นแบบท่ีให้เลือกตอบหรือเติมค้าสั้นๆ หรือให้เรียงล้าดับความสา้ คัญ
เป็นตน้ ข้อดคี อื ได้ขอ้ มูลเป็นระบบ วิเคราะหง์ ่าย แตจ่ ะไม่ไดม้ มุ มองใหม่ๆ จากกรอบที่กา้ หนด
สาโรช ไสยสมบัติ๓๗ ไดเ้ สนอแนวคิดเกย่ี วกบั เกี่ยวกบั หลักการสร้างแบบสอบถามวัดความ
พงึ พอใจโดยแบ่งกลา่ วเปน็ สว่ นๆ ดงั น้ี
๑. เกยี่ วกับการสรา้ งคา้ ถาม ควรยดึ เกณฑ์ดังนี้

๑) ค้าถามที่ใช้ต้องชดั เจน แมน่ ยา้ ไม่มคี วามหมายคลุมเครือ ศพั ท์ที่ใช้ควรเขา้ ใจงา่ ย
๒) เรียงค้าถามตามหลักเหตุผล ค้าถามใดควรถามก่อนหลัง จดั ไวใ้ หเ้ หมาะสม
เรียงลา้ ดับเป็นลกู โซ่และคา้ ถามท่ดี คี วรถามค้าถามประเด็นเดยี ว
๓) คา้ ถามตอ้ งสน้ั กะทดั รดั ไม่เย่ินเยอ้ ตดั คา้ ฟมุ่ เฟ่ือยหรือไม่จา้ เปน็ ท้ิง
๔) คา้ ถามควรเปน็ คา้ ถามท่ีดึงดูดความสนใจ ไม่เบ่ือหนา่ ยแกผ่ ตู้ อบ
๕) ค้าถามค้านงึ ถงึ วัย ความสามารถ ระดบั การศึกษา ประสบการณ์ ตลอดจนการใช้
ภาษาของผูต้ อบด้วย
๖) ข้อค้าถามให้ตรงกบั ขอ้ ปญั หาของการวจิ ยั

๓๖ พิสณุ ฟองศร,ี การสร้างและพฒั นาเครอื่ งมือวิจยั , (กรงุ เทพฯ : ต้นแก้ว, ๒๕๕๗), หน้า ๕๘.
๓๗ สาโรช ไสยสมบตั ,ิ การวัดความพงึ พอใจ, (กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพาณชิ , ๒๕๕๓), หนา้ ๔๖.

๓๒

๗) หลีกเลยี่ งคา้ ถามทีท่ า้ ให้ผตู้ อบอดึ อัดใจ เช่น อายุ เพศ การหย่าร้าง เปน็ ตน้
๘) การใช้ค้าถามไม่ท้าให้ต้องคิดมาก ในกรณขี อ้ ความเนื้อยาวอาจจะแบง่ เป็นค้าถาม
ยอ่ ยๆ ควรแจ้งใหท้ ราบวา่ ค้าตอบไม่มผี ดิ หรือถกู
๙) หลีกเลี่ยงค้าประเภทนามธรรม เช่น รวย จน ดี สวย เพราะค้าเหล่านี้การตีความ
ของบคุ คลจะแตกตา่ งกันมาก
๑๐) คา้ ถามต้องไม่แคบเกนิ ไป หรือมีขอบเขตจา้ กดั หรือไม่เปน็ ปรชั ญามากเกินไป
จากการศึกษาการสร้างแบบสอบถามวัดความพึงพอใจข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การ
สร้างแบบสอบถามที่ดีจะต้องผ่านกระบวนการที่ดีและถูกต้องต้ังแต่การศึกษาหลักเกณฑ์ในการ
สร้างแบบสอบถาม การสร้างค้าถาม การก้าหนดรูปแบบ จึงจะได้แบบสอบถามที่ดีมคี ุณค่า ดังนั้น
แบบสอบถามจึงเป็นเครื่องมือท่ีประกอบด้วยค้าถามต่างๆ ท่ีต้องการให้ผู้ตอบเก่ียวกับความรู้สึก
ความคดิ เหน็ เรอื่ งต่างๆ ซงึ่ ส่วนใหญ่จะเป็นด้านจิตใจ
๒.๕.๔ ทฤษฎเี กี่ยวกับความพึงพอใจ
ลูธันส์๓๘ กล่าวว่า การที่จะเกิดแรงจูงใจข้ึนในบุคคลจะประกอบด้วยขั้นตอนและ
องคป์ ระกอบตา่ งๆ ซ่งึ แรงจูงใจท่ีเกิดขึน้ ในตัวบุคคลจะประกอบดว้ ย องคป์ ระกอบทส่ี ้าคัญ ๓ ส่วน
คอื
๑. ความต้องการ เปน็ สิ่งท่ีเกิดขนึ้ เมอื่ ร่างกายเกดิ ความไมส่ มดุล เช่น เมอื่ รา่ งกายขาดน้า
อาหาร ความต้องการทางเพศ หรอื ไม่ไดร้ บั จากเพ่ือนหรือหมู่คณะ
๒. แรงขับหรือแรงกระตนุ้ เป็นพลงั กระตุ้นท่เี กิดข้นึ ภายในร่างกายเพอ่ื ระงับความ
ต้องการเป็นการกระตุ้นท้าให้เกิดพฤติกรรมเพื่อน้าไปสู่เป้าหมาย ส่ิงน้ีถือเป็นหัวใจของ
กระบวนการการจูงใจ
๓. เปา้ หมาย เปน็ สิง่ ที่มาสนองความต้องการและลดแรงขับอนั เปน็ จุดสน้ิ สดุ ของ
กระบวนการจูงใจ
อุกกฤษฎ์ ทรงชัยสงวน๓๙ ได้รวบรวมกลุ่มทฤษฎีเก่ียวกับความพึงพอใจในรูปแบบของ
แรงจูงใจเป็น ๔ กล่มุ ดังน้ี
๑. ทฤษฎีการจงู ใจของมาสโลว์ ทฤษฎีนเี้ ขาได้เสนอความตอ้ งการในด้านต่างๆ กนั ของ
มนษุ ย์เรยี งล้าดับจากความตอ้ งการขนั้ พื้นฐาน เพ่ือการอย่รู อดไปจนถงึ ความต้องการทางสังคม
ความตอ้ งการยอมรบั นับถอื จากกลมุ่ ว่าตนมคี ุณค่าและการพฒั นาตนเองใหก้ ้าวหน้าข้นึ มาสโลว์

๓๘ Luthans, F, Organizational behavior, (New York : MaGraw Hill, inc, 1995) : ๘๕.
๓๙ อุกกฤษฎ์ ทรงชัยสงวน, ความพึงพอใจของประชาชนท่ีมีต่อการบริหารจัดการโครงการพฒั นา
สถานีต้ารวจเพ่ือประชาชนของต้ารวจภูธร อ้าเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น, วิทยานิพนธ์, ( ขอนแก่น :
มหาวิทยาลยั ขอนแก่น, ๒๕๕๓), หนา้ ๓๗.

๓๓

ถือว่าการเรยี งล้าดับความต้องการนัน้ มคี วามส้าคัญ โดยมนษุ ยจ์ ะมีความต้องการในระดบั สูงๆ ไดก้ ็
ต่อเมื่อความต้องการข้ันพ้นื ฐานไดร้ ับการตอบสนองแล้ว

๒. ทฤษฎกี ารจูงใจการบ้ารงุ รกั ษาขิง เฮอรเ์ บริ ท์ ได้กล่าวถงึ ปัจจยั การจูงใจซ่งึ เปน็
ตัวกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานด้านความพึงพอใจ ได้แก่ โอกาส ความส้าเร็จ การยอมรับ ความ
รับผิดชอบ ความเจริญก้าวหน้า และปัจจัยการบ้ารุงรักษาซึ่งเป็นตัวขัดขวางความพงึ พอใจ ได้แก่
นโยบายองค์การ สถานภาพท้างาน ความสมั พนั ธร์ ะหว่างบคุ คล

๓. ทฤษฎแี รงจูงใจของแมคคลีแลนด์ ซ่งึ แบง่ ความตอ้ งการของมนษุ ย์ เป็น ๓ ประเภท
คือ ความต้องการความส้าเร็จ ความต้องการมีอ้านาจ ความต้องการความสัมพันธ์โดยความ
ตอ้ งการความสา้ เรจ็ ทีเ่ รยี กว่าแรงจงู ใจใฝ่สัมฤทธิน์ ั้น ถา้ บคุ คลใดมีสงู จะมีความปรารถนาท่จี ะท้าส่ิง
หนึ่งใหล้ ลุ ว่ งไปดว้ ยดี และแขง่ ขันกนั มาตรฐานอันดีเยีย่ ม

๔. ทฤษฎีการคาดหวงั ของวรมู ไดเ้ สนอแนวคดิ เกย่ี วกับแรงจูงใจในการท้างานของบคุ คล
จะประเมินความเป็นไปได้ของผลทจ่ี ะบังเกดิ ขึ้นแลว้ จึงด้าเนนิ การปฏิบตั ิท่ีตนคาดหวังไว้ การจูงใจ
ขึ้นอยู่กับการคาดหวังของมนุษย์ต่อผลที่เกิดขึ้น ทฤษฎีการคาดหวังของวรูมนี้ ท้านายว่าบุคคลจะ
ร่วมกจิ กรรมท่เี ขาตาดหวังว่าจะไดร้ บั รางวลั หรอื สิ่งตา่ งๆ ทปี่ รารถนา

จากการศึกษาทฤษฎีความพึงพอใจข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า มนุษย์มักจะปฏิบัติตน
เพื่อให้ได้มาซ่ึงความพึงพอใจซึ่งเป็นความรู้สึกของบุคคลในทางบวก ความชอบ ความสบายใจ
ความสุขใจต่อสภาพแวดล้อมในด้านต่างๆ หรือเป็นความรู้สึกที่พอใจต่อส่ิงท่ีท้าให้เกิดความชอบ
ความสบายใจและเปน็ ความร้สู ึกที่บรรลุถึงความต้องการ

2.6 งานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง

อชิระ อุตมาน, สิทธิพล อาจอินทร์ (๒๕๕๕)๔๐ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ
คิดวิเคราะห์ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ 5E
ผลการวิจัยพบว่า 1. นักเรียนที่เรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ 5E มีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนเฉล่ีย 23.96 คิดเปน็ รอ้ ยละ 79.87 และมีจา้ นวนนักเรียนทีผ่ ่านเกณฑ์จ้านวน 26
คน คิดเป็นร้อยละ 81.25 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ที่ก้าหนดไว้ 2. นักเรียนที่เรียนรู้โดยใช้รูปแบบการ
จัดการเรียนรู้แบบ 5E มีคะแนนการคิดวิเคราะห์เฉล่ีย 23.65 คิดเป็นร้อยละ 78.83 และมี
จ้านวนนักเรยี นทีผ่ า่ นเกณฑ์จา้ นวน 26 คน คิดเป็นร้อยละ 81.25 ซง่ึ สงู กวา่ เกณฑท์ กี่ ้าหนดไว้

๔๐ อชริ ะ อตุ มาน, สทิ ธพิ ล อาจอนิ ทร์, การพฒั นาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นและการคิดวิเคราะหข์ อง
นักเรยี น ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 5 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรยี นรู้แบบ 5E, วารสาร, (ขอนแกน่ :
มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น, ๒๕๕๕).

๓๔

พทุ ธพิ งษ์ ศุภมสั ดุอังกูล (๒๕๕๘)๔๑ การพฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถ
ในการคิดวิเคราะห์เรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการจัดการ
เรยี นรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ (5E) ผลการวจิ ยั พบว่า 1. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรอ่ื ง
ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบวัฏ
จักรการสืบเสาะหาความรู้ (5E) สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 2.
ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ เร่อื งภัยพิบตั ิทางธรรมชาติ ของนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 5 ที่
เรียนด้วยการจดั การเรยี นรแู้ บบวัฏจกั รการสืบเสาะหาความรู้ (5E) อยู่ในระดับสงู 3. ความคดิ เห็น
ของนักเรยี นทีม่ ตี ่อการจัดการเรยี นรแู้ บบวัฏจักรการสบื เสาะหาความรู้ (5E) เหน็ ดว้ ยในระดบั มาก

เดือนเพ็ญ ตุ่นค้า และ ลัดดา ศิลาน้อย (2558)๔๒ การศกึ ษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดย
ใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รายวิชา ส31101 สังคมศึกษา ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 4 ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ที่
ได้รับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E มีจ้านวนนักเรียนร้อยละ 76.67 ได้คะแนนผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน คิดเป็นร้อยละ 77.25 ซึ่งสงู กว่าเกณฑ์ที่กา้ หนดไว้

ราตรี ดสิ ถาพร (๒๕๖๑)๔๓ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวตั ิศาสตร์ เร่ืองวิธี
ทางประวัติศาสตร์ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ด้วยผังกราฟิก ของ
นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 ผลการวจิ ัยพบว่า หลงั จากได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยชดุ กจิ กรรม
การเรียนรู้แบบพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ด้วยผังกราฟิก นักเรียนสามารถเรียนรู้วิชา
ประวัติศาสตร์ เรือ่ งวธิ ีทางประวตั ศิ าสตร์มคี ะแนนเฉลีย่ เพมิ่ ขึ้นร้อยละ 26.3 จากคะแนนเต็ม

ปฏิภาณ สร้างค้า, ธัชชัย จิตรนันท์ (๒๕๖๒)๔๔ การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยประชาธิปไตย ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โดยการจัดการเรียนรู้
แบบสืบเสาะหาความรู้5 ข้ัน (5E) ผลการวิจัยพบว่า 1. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการ

๔๑ พทุ ธิพงษ์ ศภุ มัสดอุ งั กูล, การพัฒนาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนและความสามารถในการคดิ
วเิ คราะหเ์ รอื่ งภัยพบิ ัตทิ างธรรมชาตขิ องนักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๕ ดว้ ยการจดั การเรยี นรู้แบบวัฏจักรการ
สบื เสาะหาความรู้ (5E), วารสาร, (มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร : ๒๕๕๘).

๔๒ เดือนเพญ็ ตนุ่ คา้ และ ลดั ดา ศิลาน้อย, การศกึ ษาผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นโดยใช้วธิ ีการสอนแบบ
สืบเสาะหาความรู้ 5E รายวชิ า ส31101 สังคมศึกษา ของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี ๔, วารสาร,
(ขอนแก่น : มหาวิทยาลัยขอนแกน่ , 2558).

๔๓ ราตรี ดิสถาพร, การพัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นวิชาประวตั ิศาสตร์ เรอ่ื งวิธที างประวตั ศิ าสตร์
ดว้ ยการจัดการเรียนร้แู บบพัฒนาทกั ษะการคดิ วิเคราะห์ด้วยผงั กราฟกิ ของนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปที ี่ 5,
๒๕๖๑.

๔๔ ปฏิภาณ สรา้ งคา้ และธชั ชยั จติ รนันท์, การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน เรอ่ื ง พัฒนาการทาง
ประวตั ศิ าสตร์ไทยสมัยประชาธปิ ไตย ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 โดยการจดั การเรยี นรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ 5
ขนั้ (5E), ๒๕๖๒.

๓๕

ทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยประชาธิปไตย ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบ
เสาะหาความรู้ 5 ข้ัน (5E) มีประสิทธิภาพ (E1/E2)เท่ากับ 83.00/80.81 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ท่ี
ก้าหนดไว้ 2. ค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
ไทยสมัยประชาธิปไตย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ัน
(5E) มีค่าเท่ากับ 0.5749 หรือคิดเป็นร้อยละ 57.49 3. ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้
เรื่อง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยประชาธิปไตยช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โดยการจัดการ
เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ัน (5E) มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( ̅=
4.52)

อนุรักษ์ สวัสดี (๒๕๖๒)๔๕ การพัฒนาการคิดวิเคราะห์การเรียนรู้โดยใช้การสืบเสาะหา
ความรู้ในรายวิชาสังคมศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ผลการวิจัย พบว่า 1) การคิด
วิเคราะหข์ องนกั เรียนรายบุคคลมีคะแนนไม่ต่้ากวา่ ร้อยละ 80 ผา่ นเกณฑจ์ ้านวน 29 คน คดิ เป็น
ร้อยละ 96.67 และนักเรียนท่ีมีคะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ จ้านวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 3.๓3 2)
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียน สูงกว่าก่อน
เรยี นอย่างมีนยั สา้ คัญทางสถิติที่ระดบั .05 3) ผลการศึกษาระดับ ความพึงพอใจต่อการเรยี นรโู้ ดย
ใช้การสืบเสาะหาความรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (Mean=
4.39, S.D. =0.68)

๔๕ อนรุ ักษ์ สวสั ดี, การพฒั นาการคิดวเิ คราะห์การเรียนรู้โดยใช้การสบื เสาะหาความรใู้ นรายวิชา
สังคมศึกษาของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี ๔, วทิ ยานิพนธ์, (มหาวิทยาลยั ธุรกจิ บัรฑติ : ๒๕๖๒).

๓๖

2.7 กรอบแนวคดิ การวจิ ยั

การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา

ความรู้ 5E รายวิชา ประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ โรงเรียนบ้านสองคอนศิริ

คุรุราษฎร์ อา้ เภอนา้ พอง จังหวดั ขอนแก่น การวิจัยคร้ังนผ้ี วู้ ิจัยได้ศึกษาแนวคิดทฤษฎีและเอกสาร

ทเี่ กยี่ วขอ้ ง จึงไดก้ า้ หนดกรอบแนวคิดการวิจยั ดังน้ี

ตัวแปรตน้ ตวั แปรตาม

กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ันตอน ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ วิทวัฒน์ ขันติยะ
เป็นรูปแบบหน่ึงของการสืบเสาะหาความรู้ มาน และอมลววณ วีระธรรมโม (2549 อ้างถึงใน
(ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ Constructivism)
คือ กัลยา ค้ามณี, 2553) กล่าวว่ากระบวนการคิด
1. การสรา้ งความสนใจ (Engagement) วิเคราะห์ประกอบด้วย 5 ข้นั ตอน ดงั น้ี

2. การสา้ รวจและค้นหา (Exploration) - ขนั้ ที่ 1 ก้าหนดสง่ิ ท่ตี ้องการวิเคราะห์
3. การอธบิ าย (Explanation) - ขั้นท่ี 2 กา้ หนดปัญหาหรอื วัตถุประสงค์ต้องการ
4. การขยายความร้(ู Elaboration) - ขน้ั ที่ 3 กา้ หนดหลกั การหรอื กฎเกณฑ์
5. การประเมนิ ผล(Evaluation)
- ขัน้ ที่ 4 พจิ ารณาแยกแยะ
- ขั้นท่ี 5 สรปุ ค้าตอบ

ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน
ความพึงพอใจ

ภาพที่ ๒.๑ กรอบแนวคดิ การวจิ ัย

๓๗

บทท่ี ๓

ระเบยี บวธิ ีวจิ ยั

การพัฒนาความสามารถในการคิดวเิ คราะห์โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รายวิชา
ประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ โรงเรียนบ้านสองคอนศิริคุรุราษฎร์ อ้าเภอนา้
พอง จังหวดั ขอนแก่น ผวู้ ิจัยมวี ิธกี ารด้าเนนิ การวิจัย ดังนี้

๓.๑ รูปแบบการวจิ ัย
๓.๒ ตัวแปรในการวิจัย
๓.๓ กลุ่มเปา้ หมาย
๓.๔ เครอื่ งมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ยั
๓.๕ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
๓.๖ การวเิ คราะห์ขอ้ มลู
๓.๗ สถิติท่ีใชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมูล

๓.๑ รปู แบบการวจิ ยั

การวิจัยคร้ังน้ี ผู้วิจัยได้ศึกษาการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยใช้รูปแบบ
สบื เสาะหาความรู้ 5E รายวชิ าประวตั ิศาสตร์ ของนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี ๕ โรงเรยี นบ้านสอง
คอน ศิริคุรุราษฎร์ อ้าเภอน้าพอง จังหวัดขอนแก่น ในการด้าเนินการวิจัยในคร้ังน้ีใช้การวิจัยเชิง
ทดลอง (Experimental Research) โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบความสามารถใน
การคิดวเิ คราะห์ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน

๓.๒ ตวั แปรในการวจิ ัย

ตัวแปรตน้ คอื การจดั การเรียนรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ 5E
ตวั แปรตาม คอื ๑) ความสามารถในการคิดวิเคราะห์

๒) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
๓) ความพงึ พอใจ

๓๘

๓.๓ กลุม่ เปา้ หมาย

กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนท่ีก้าลังศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๕
ภาคเรียนท่ี ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๔ โรงเรียนบ้านสองคอนศิริคุรุราษฎร์ อ้าเภอน้าพอง จังหวัด
ขอนแกน่

๓.๔ เครอ่ื งมอื ท่ใี ชใ้ นการวจิ ัย

๓.๔.๑ เครอื่ งมือท่ใี ช้ในการวจิ ัย
๑. แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๑ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ กลุ่มสาระการเรยี นรสู้ ังคม
ศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ส้าหรบั นักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๕ จ้านวน ๓ แผน

๑) แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๑ เร่ือง ขั้นตอนวิธีการทางประวัติศาสตร์ จ้านวน ๑
ช่ัวโมง

๒) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๒ เร่ือง การสืบค้นข้อมูลโดยวิธีการทางประวัติศาสตร์
จา้ นวน ๑ ชั่วโมง

๓) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๓ เรื่อง ข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์ จ้านวน ๑
ชว่ั โมง

๒. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน จา้ นวน ๓๐ ข้อ เปน็ แบบปรนัย
๓. แบบทดสอบวัดความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ จ้านวน ๒๐ ข้อ เปน็ แบบปรนยั
๔. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ โรงเรียนบ้านสอง
คอนศิริคุรุราษฎร์ ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้
5E กลุ่มสาระการเรียนรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม จา้ นวน ๑๐ ข้อ
๓.๔.๒ การสรา้ งและหาประสิทธิภาพของเครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นการวิจยั
๓.๔.๒.๑.แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E หน่วยการเรียนรู้ที่ ๑ เร่ือง
วธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์ กล่มุ สาระการเรยี นร้สู งั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ส้าหรบั นกั เรียน
ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๕ จา้ นวน ๓ แผน
โดยมีขั้นตอนการสร้างแผนการจัดการเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E เรื่อง วิธีการทาง
ประวัติศาสตร์ ดังนี้

ขั้นท่ี 1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 และ
หลักสตู รสถานศกึ ษา เพ่ือวเิ คราะหใ์ นส่วนของหลักการจดั การเรยี นรู้ การวัดและประเมนิ ผล

ขั้นท่ี 2 ศึกษาหลักการ วิธีสอน ด้วยการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E จาก
เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กี่ยวขอ้ ง

ขั้นท่ี 3 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ โดยใช้การ
เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E จ้านวน 3 แผน 3 คาบเรียน โดยองค์ประกอบของแผนการ
จัดการเรียนรู้ประกอบด้วย 1) มาตรฐานการเรียนรู้ 2) ตัวช้ีวัด 3) ข้อสรุปท่ัวไป 4) จุดประสงค์

๓๙

การเรียนรู้ 5) สาระการเรียนรู้ 6) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 7) การวัดและประเมินผล 8)
กระบวนการจัดการเรียนรู้ 9) สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 10) แหล่งเรียนรู้เพ่ิมเติม 11) ภาคผนวก
ประกอบดว้ ย ใบความรู้ ใบงาน แบบประเมินจากภาระงาน/ชิ้นงาน และส่ือการเรยี นรู้

ขั้นท่ี 4 น้าแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีสร้างขึ้นเสนออาจารย์ที่ปรึกษา ตรวจสอบ
และเสนอแนะเพื่อปรับปรุงแก้ไข โดยได้มีการปรับแก้กระบวนการจัดการเรียนรู้ให้ถูกต้องตาม
ขั้นตอนในการเรียนรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ 5E และเพ่มิ เติมสาระการเรยี นรู้ใหค้ รบถว้ น

ขั้นที่ 5 น้าแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีสร้างขึ้นและได้ปรับปรุงแล้วน้าเสนอ
ผ้เู ช่ยี วชาญตามความเหมาะสม เสนอผเู้ ชีย่ วชาญจา้ นวน 3 คน ประกอบดว้ ยด้านเนอ้ื หา ด้านการ
จัดการเรยี นรู้ และด้านการวดั และประเมนิ ผล พจิ ารณาตรวจสอบความเทย่ี งตรงเชิงเน้ือหา โดยหา
ดชั นคี วามสอดคลอ้ งระหวา่ งขอ้ ค้าถามกับจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ (IOC) โดยให้ผู้เชีย่ วชาญพจิ ารณา
ดงั นี้

+1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อค้าถามของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนมี
ความสอดคล้องกบั จุดประสงค์

0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อค้าถามของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนมี
ความสอดคล้องกับจดุ ประสงค์

-1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อค้าถามของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่
สอดคล้องกับจดุ ประสงค์

ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์
จากการตรวจสอบของผเู้ ชีย่ วชาญทง้ั หมด 3 ทา่ น ได้แก่ 1) อาจารยบ์ ุญส่ง นาแสวง 2) อาจารย์วิ
รัตน์ ทองภู 3) อาจารย์สริญญา มารศรี โดยมคี ่า IOC อยรู่ ะหวา่ ง 0.67 - 1.00

ข้นั ท่ี 6 ปรบั ปรงุ แก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ ตามค้าแนะน้าของผู้เช่ียวชาญ โดย
ได้มีการปรับแก้จ้านวนช่ัวโมงของแต่ละแผนให้เท่ากัน คือ 1 ช่ัวโมง ปรับแก้กระบวนการจัดการ
เรยี นรู้ใหม้ ีความสมบูรณ์ และเพิ่มเตมิ สอ่ื /แหลง่ การเรยี นรูใ้ ห้ครบถว้ นสมบูรณ์

ขั้นที่ 7 น้าแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ โดยใช้การ
เรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ 5E ไปใช้จริงกับกล่มุ เป้าหมาย

๓.๔.๒.๒. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง วิธีการทางประวัติศาสตร์ ซ่ึงมีเน้ือหาประกอบดว้ ย
เรื่องขั้นตอนวิธีการทางประวัติศาสตร์ การสืบค้นข้อมูลโดยวิธีการทางประวัติศาสตร์ และข้อมูล
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก มีท้ังหมด 30 ข้อ มี
ขน้ั ตอนการด้าเนนิ งาน ดังน้ี

ขน้ั ที่ 1 ศึกษาหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 เพือ่
วิเคราะห์ในส่วนของการวดั และประเมินผล และสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น

๔๐

ข้ันที่ 2 วิเคราะหห์ ลักสูตรตามมาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ช้ีวัด วิเคราะห์เนื้อหา ผล
การเรยี นร้ทู คี่ าดหวัง

ขนั้ ท่ี 3 ศึกษาเอกสารเกยี่ วกับการสรา้ งเครื่องมอื วดั และประเมินผล
ขั้นที่ 4 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง วิธีการทาง
ประวัติศาสตร์ โดยผู้วิจัยสร้างแบบทดสอบ แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จ้านวน 40 ข้อ ซ่ึงมีเนื้อหา
ประกอบด้วย เรอ่ื งขั้นตอนวธิ กี ารทางประวัตศิ าสตร์ การสบื คน้ ข้อมูลโดยวธิ ีการทางประวัติศาสตร์
และข้อมูลหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์
ขั้นท่ี 5 น้าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง วิธีการทาง
ประวตั ิศาสตร์ ทีส่ รา้ งขึ้นใหอ้ าจารยท์ ่ีปรึกษา ตรวจสอบความถกู ต้องและปรบั ปรงุ แก้ไข
ขั้นท่ี 6 น้าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึน เสนอ
ผู้เชี่ยวชาญจ้านวน 3 คน ประกอบด้วยด้านเนื้อหา ด้านการจัดการเรียนรู้ และด้านการวัดและ
ประเมินผล พิจารณาตรวจสอบความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา โดยหาดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อ
คา้ ถามกับจดุ ประสงค์การเรียนรู้ (IOC) โดยให้ผเู้ ชีย่ วชาญพจิ ารณา ดงั น้ี
+1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อค้าถามของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมี
ความสอดคล้องกบั จดุ ประสงค์
0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อค้าถามของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนมี
ความสอดคล้องกบั จดุ ประสงค์
-1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อค้าถามของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไม่
สอดคล้องกับจุดประสงค์
ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง วิธีการ
ทางประวัติศาสตร์ จากการตรวจสอบของผเู้ ชี่ยวชาญทงั้ หมด 3 ท่าน ได้แก่ 1) อาจารยบ์ ญุ สง่ นา
แสวง 2) อาจารย์วริ ัตน์ ทองภู 3) อาจารย์สริญญา มารศรี ซง่ึ มคี า่ ระหวา่ ง 0.67 - 1.00
ขั้นท่ี 7 น้าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง วิธีการทาง
ประวัติศาสตร์ มาปรับปรุงแกไ้ ขตามค้าแนะน้าของผ้เู ช่ียวชาญ โดยได้มีการปรบั แก้ขอ้ ค้าถามและ
ตัวเลือกให้มีความถูกต้องและมีความเหมาะสมในด้านของภาษา และเลือกแบบทดสอบให้เหลือ
30 ขอ้ และน้าไปทดสอบกับกลุม่ นกั เรียนท่ีไม่ใช่กล่มุ เป้าหมาย โรงเรยี นบา้ นสองคอนศิรคิ ุรรุ าษฎร์
เพือ่ หาเฉลี่ยความยากง่าย (P) และค่าอ้านาจจา้ แนก (r)
ข้ันที่ ๘ น้าผลคะแนนมาวเิ คราะห์หาค่าความยากง่าย (P) และค่าอ้านาจจา้ แนก
(r) ของข้อสอบแต่ละข้อ แล้วคัดเลือกเอาข้อค้าถามท่ีมีความยากงา่ ยระหว่าง ๐.๕๗ - ๐.๗๕ และ
ค่าอ้านาจจ้าแนก อยู่ระหว่าง ๐.๒๑ - ๐.๓๖ และมีค่าความเชื่อม่ันของข้อสอบ (KR20) เท่ากับ
๑.๐๔
ขั้นท่ี ๙ จัดท้าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง วิธีการทาง
ประวัติศาสตร์ ให้สมบรู ณ์ และนา้ ไปใชก้ บั กลมุ่ เป้าหมาย


Click to View FlipBook Version