รายงานศกึ ษาอสิ ระทางสังคมศึกษา
เรอื่ ง
การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคใ์ นรายวชิ าพระพุทธศาสนา
ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรยี นบา้ นดอนดู่ครุ ุราษฎรว์ ิทยา
ด้วยการจัดการเรยี นรู้แบบรว่ มมอื (STAD)
โดย
นายพงษ์เพชร วิชาชยั
รหสั 6105502005
งานวิจยั เลม่ น้ีเปน็ ส่วนหนงึ่ ของวชิ า (๒๐๓ ๔๒๐)
การศกึ ษาอสิ ระทางสังคมศกึ ษา ภาคเรยี นที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๔
ตามหลักสูตรครศุ าสตรบัณฑติ สาขาวชิ าสงั คมศกึ ษา คณะครุศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น
แบบอนมุ ตั ิผลงานวจิ ัย
ดว้ ยหลักสูตรครศุ าสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬา
ลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแก่น อนมุ ัติให้นับการวิจัย เร่ือง การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ใน
รายวิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดอนดู่คุรุราษฎร์วิทยาด้วย
การจัดการเรียนรูแ้ บบร่วมมอื (STAD)
ใหเ้ ป็นสว่ นหนึง่ ของการศึกษาภาคปฏิบัตขิ องรายวิชาการศกึ ษาอสิ ระทางสังคมศกึ ษา จานวน
๓ หน่วยกิต ตามวัตถุประสงค์หลักสูตรปริญญาตรีครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุ
ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ประจาภาคเรียนที่ ๒ ปี
การศกึ ษา ๒๕๖๔
ลงชอื่ .........................................ผู้วิจัย
(...................................................)
................/................../..............
คณะกรรมการประเมิน / อนมุ ตั กิ ารศกึ ษาอิสระทางสังคมศึกษา
ลงช่ือ.......................................อาจารย์/อาจารย์ทป่ี รึกษา
(................................................)
............./............../............
ลงช่อื .....................................อาจารย์/คณะกรรมการ
(................................................)
............../................/............
ลงช่อื .....................................อาจารย์/คณะกรรมการ
(................................................)
............../................/............
ลงชื่อ.....................................อาจารย์/คณะกรรมการ
(................................................)
............../................/............
ลงชอ่ื .....................................อาจารย์/คณะกรรมการ
(................................................)
............../.............../...........
ลงช่ือ.....................................อาจารย์/คณะกรรมการ
(................................................)
............../.............../...........
ลงช่ือ...................................... ประธานหลกั สตู ร/ประธานกรรมการ
(................................................)
............../................/............
ก
ช่อื งานวจิ ัย: การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรค์ในรายวชิ าพระพุทธศาสนาของนกั เรยี นชน้ั
ผ้วู จิ ยั : ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดอนดู่คุรุราษฎร์วิทยาด้วยการจัดการ
ปริญญา:
อาจารย์ที่ปรกึ ษา: เรยี นรู้แบบรว่ มมือ (STAD)
ปกี ารศึกษา:
นายพงษ์เพชร วชิ าชัย
ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา
ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์อนุสรณ์ นางทะราช
๒๕๖๔
บทคดั ยอ่
การวิจัยครั้งน้ี การวิจัยเชิงทดลอง (Experimenntal Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1) เพอื่ ศกึ ษาการพฒั นาความสามารถในการคดิ อยา่ งสร้างสรรค์รายวชิ าพระพทุ ธศาสนาของนักเรียน
ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรยี นบ้านดอนดูค่ ุรรุ าษฎรว์ ทิ ยา ด้วยการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ
(STAD) ให้นักเรยี นไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ย 70% ผา่ นเกณฑร์ ้อยละ 70 ข้ึนไป 2) เพ่ือพัฒนาการผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนรายวิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดอนดู่คุรุ
ราษฎร์วิทยา ด้วยการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ (STAD) ให้นักเรียนไม่น้อยกว่าร้อย 70%
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ข้ึนไป 3) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจในการเรียนรายวิชาพระพุทธศาสนาของ
นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นบา้ นดอนดู่คุรรุ าษฎรว์ ิทยา ด้วยการจัดการเรียนการสอนแบบ
ร่วมมือ (STAD) กลุ่มเป้าหมายทใี่ ชใ้ นการวิจยั คือ นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนบ้านดอนดู่
คุรรุ าษฎร์วทิ ยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จานวน ๗ คน เคร่ืองมือทใี่ ชใ้ นการวิจัย ได้แก่ ๑)
แผนการจัดการเรียนรู้ ๒) แบบทดสอบก่อนเรียนหลังเรียน เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4
ตัวเลือก มีทั้งหมด 3 ชุด ชุดละ 10 ข้อ ๓) แแบบสารวจความคิดสร้างสรรค์ เป็นแบบปรนัย ชนิด
เลือกตอบ 4 ตวั เลอื ก มที ั้งหมด 1 ชดุ 20 ขอ้ 4) แบบสารวจความพงึ พอใจ สถติ ิทใี่ ช้ในการวิเคราะห์
ขอ้ มลู ได้แก่ ค่าร้อยละ ( ) คา่ เฉลย่ี ( ̅) และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.)
ผลการวิจยั พบวา่
๑. ผลการหาความสามารถในการคิดอย่างสร้างสรรคร์ ายวิชาพระพุทธศาสนา จานวน 7 คน
มีนกั เรียนผ่านเกณฑ์จานวน 5 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 71.42 คะแนนสูงสุด 17 คะแนน คะแนนต่าสุด
13 คะแนน จากคะแนน 2๐ คะแนน คะแนนเฉล่ียเท่ากับ 14.68 คะแนน คิดเป็นร้อยละ ๗4.30
ซ่งึ ผ่านเกณฑท์ ่กี าหนดไว้ คือ นักเรยี นจานวนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ ๗๐ ของจานวนนักเรยี นท้งั หมด มีผล
การพฒั นาความสามารถในการคิดอย่างสร้างสรรค์ทางการเรยี นรอ้ ยละ ๗๐ ขึ้นไป
๒. ผลการหาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นรายวชิ าพระพุทธศาสนาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี
ที่ 3 ใหน้ ักเรียนไม่นอ้ ยกวา่ รอ้ ย 70% ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 70 ขน้ึ พบว่า การพฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียน จานวน 7 คน มีนักเรียนผ่านเกณฑ์จานวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 71.42 คะแนนสูงสุด ๒4
คะแนน คะแนนต่าสุด 20 คะแนน จากคะแนน ๓๐ คะแนน คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ ๒๑.71 คะแนน
คิดเป็นร้อยละ ๗2.42 ซึ่งผ่านเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ คือ นักเรียนจานวนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๐ ของ
จานวนนกั เรยี นทัง้ หมด มีผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นร้อยละ ๗๐ ขึ้นไป
ก
๓. ผลการศึกษาความพงึ พอใจในการเรียนรายวิชาพระพุทธศาสนาพบว่าโดยภาพรวมความ
พงึ พอใจของนักเรยี น แบบประเมนิ ความพงึ พอใจ อยใู่ นระดับมาก มคี ะแนนเฉลยี่ เทา่ กบั 4.29 และมี
S.D. 0.12
ข
กิตตกิ รรมประกาศ
การวิจัยเรื่อง เรื่อง เร่ืองการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในรายวิชาพระพุทธศาสนาของ
นักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรียนบ้านดอนดคู่ รุ รุ าษฎร์วทิ ยาด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
(STAD) เล่มนี้สาเร็จสมบูรณ์ได้ ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลือ ให้คาแนะนาอย่างดียิ่งจาก
อาจารย์อนุสรณ์ นางทะราช อาจารย์ที่ปรึกษาท่ีกรุณาให้คาปรึกษา ตลอดจนการตรวจแก้ไข
ข้อบกพร่องต่าง ๆ และให้กาลังใจในการศึกษามาโดยตลอด ผู้วิจัยขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
ขอขอบพระคุณในความกรุณาของผู้เช่ียวชาญทั้ง ๓ ท่าน 1. นางฐิดาพร แยบดี 2. นายธน
สิทธิ์ ธนศรีลังกูร และ 3. นายวีระศักดิ์ พฤกษเทเวศ ท่ีได้ให้ความอนุเคราะห์ในการตรวจสอบ
เคร่ืองมือสาหรับใช้ในงานวิจัยและให้คาปรึกษาเพื่อแก้ไขจนเครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยมีความถูกต้อง
สมบรู ณค์ รบถว้ น
ขอขอบพระคุณท่านรักษาการผู้อานวยการ คณะครู โรงเรียนบ้านดอนดู่คุรุราษฎร์วิทยา
โรงเรียน ท่ีอานวยความสะดวกในการเก็บรวบรวมข้อมูลในระหว่างการทาวิจัย ให้คาแนะนา และ
แกไ้ ขขอ้ บกพร่องให้งานวจิ ยั น้สี มบรู ณ์ยิง่ ขน้ึ
ขอขอบพระคุณคณาจารย์ นักวิชาการทุกท่านท่ีเป็นเจ้าของหนังสือและงานวิจัยท่ีมีคุณค่า
ซ่ึงท่านได้เขียนงานเอกสารไว้ให้ได้ศึกษาค้นคว้า เพื่อเป็นข้อมูลประกอบในการเขียนงานวิจัยใน
คร้ังนี้
ขอขอบคุณครอบครวั เพื่อน ๆ และผ้ทู ่มี ีส่วนเก่ยี วขอ้ งทกุ ท่าน ที่ให้ความช่วยเหลือสนับสนุน
ให้คาแนะนา และให้กาลังใจตลอดการทาวิจัยในคร้ังน้ี ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างย่ิงว่างานวิจัยเล่มนี้จะเป็น
ประโยชน์แก่ผทู้ สี่ นใจต่อไป
นายพงษเ์ พชร วิชาชัย
ผ้วู จิ ัย
ค
สารบญั หน้า
เรอ่ื ง ก
ข
บทคดั ย่อ ค
กิตติกรรมประกาศ จ
สารบัญ ฉ
สารบญั ตาราง
สารบัญภาพ ๑
บทที่ ๑ บทนา 3
3
๑.๑ ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา 4
๑.๒ วัตถปุ ระสงค์การวจิ ัย 5
๑.๓ ขอบเขตการวจิ ยั
๑.๔ นิยามศพั ท์เฉพาะ 6
๑.๕ ประโยชนท์ ไ่ี ด้รบั
บทท่ี ๒ แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 14
๒.๑ หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
17
(ฉบับปรับปรงุ พทุ ธศักราช ๒๕๖๐) 22
๒.๒ ทฤษฎีและแนวคดิ ที่เก่ยี วกบั การพัฒนาความสามารถในการคิดอยา่ ง 28
32
สรา้ งสรรค์
๒.๓ ทฤษฎเี ก่ยี วกบั การจัดการเรยี นร้แู บบ STAD 33
๒.๔ แบบวัดความพงึ พอใจ 33
๒.๕ งานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวข้อง 34
๒.๖ กรอบแนวคดิ งานวจิ ยั 34
บทท่ี ๓ ระเบียบวิธีวิจยั 35
๓.๑ รูปแบบการวจิ ัย 39
๓.๒ กลุม่ เปา้ หมาย 40
๓.๓ ตัวแปรในการวิจยั 40
๓.๔ เครื่องมอื ทีใ่ ช้ในการวิจัย
๓.๕ การสรา้ งและหาประสทิ ธิภาพของเครอ่ื งมอื วิจัย
๓.๖ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
3.7 การวิเคราะห์ข้อมลู
3.8 สถติ ิทีใ่ ช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล
ง
บทที่ ๔ ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู 43
4.๑ ผลการพฒั นาความสามารถในการคิดอยา่ งสรา้ งสรรคร์ ายวิชา 44
พระพุทธศาสนาของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบ้าน
ดอนดู่คุรุราษฎร์วิทยา ด้วยการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ 45
(STAD) ให้นักเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ข้ึน
ไป 46
4.๒ ผลการพัฒนาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนรายวิชาพระพุทธศาสนาของ 47
48
นกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นบา้ นดอนดูค่ ุรรุ าษฎรว์ ิทยา 50
51
ด้วยการจัดการเรยี นการสอนแบบร่วมมือ (STAD) ให้นักเรียนไม่ 54
56
น้อยกว่าร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ขึ้นไป 57
58
4.3 ผลการศึกษาความพึงพอใจในการเรยี นรายวชิ าพระพุทธศาสนาของ 74
นักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนบา้ นดอนดคู่ รุ ุราษฎร์วิทยา 79
ดว้ ยการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ (STAD) 107
118
4.4 ความรูท้ ่ีไดจ้ ากการวิจัย
บทที่ ๕ สรุป อภปิ รายผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ 120
122
5.1 สรปุ ผลการศึกษา 32
๕.๒ อภิปรายผลการวิจัย
๕.๓ ข้อเสนอแนะ
บรรณานุกรม
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก รายนามผ้เู ช่ียวชาญ
รายชอื่ ผู้เช่ยี วชาญ
ภาคผนวก ข แบบประเมินคณุ ภาพเคร่อื งมือโดยผูเ้ ชยี่ วชาญ
ภาคผนวก ค ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู
ภาคผนวก ง แผนการจดั การเรยี นรู้
ภาคผนวก จ ข้อสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น กอ่ นเรียน-หลงั เรียน
ภาคผนวก ฉ ตัวอย่างแบบประเมนิ ความพึงพอใจในการเรียนรายวชิ า
พระพทุ ธศาสนา
ภาคผนวก ช ภาพประกอบการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
ประวัตผิ ้วู จิ ยั
ภาพที่ ๒.1 กรอบแนวการวจิ ัย
จ
สารบญั ตาราง หน้า
ตารางที่ 43
44
ตารางท่ี 4.1 แสดงผลการหาความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ รายวิชา 45
พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที 3่ี
โรงเรียนบา้ นดอนดคู่ รุ ุราษฎร์วิทยา ด้วยการจัดการเรียนการสอน 75
แบบรว่ มมอื (STAD) 76
ตารางท่ี 4.2 ผลการพฒั นาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นรายวชิ าพระพทุ ธศาสนาก่อน 77
เรยี นและหลงั เรียน โดยใช้การจดั การจัดการเรียนด้วยรูปแบบ 78
รว่ มมอื (STAD) ระดบั ชั้น ประถมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรยี นบา้ นดอนดู่
คุรรุ าษฎรว์ ิทยา ตาบลบงึ เนียม อาเภอเมือง จงั หวัดขอนแก่น
ตารางท่ี 4.๓ ผลความพึงพอใจในการเรียน ทางการเรยี นรายวิชาพระพุทธศาสนา
โดยใชก้ ารจดั การจัดการเรียนดว้ ยรูปแบบ รว่ มมอื (STAD) ระดับช้นั
ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดอนดูค่ รุ รุ าษฎร์วทิ ยา ตาบลบึง
เนยี ม อาเภอเมอื ง จังหวัดขอนแกน่
ตารางท่ี ๔.๔ ผลการประเมินความเหมาะสมของแผนการจดั การเรียนรู้
เรือ่ ง หลกั ธรรมนาชีวติ ระดบั ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 3 ของโรงเรียน
บ้านดอนดคู่ ุรุราษฎรว์ ทิ ยา
ตารางที่ 4.5 ผลการประเมินความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบกับตัวช้ีวัด
ของแบบทดสอบการพัฒนาความสามารถในการคิดอย่างสรา้ งสรรค์
รายวชิ าพระพุทธศาสนาของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 3
จานวน 20 ขอ้
ตารางที่ 4.6 ผลการประเมินความสอดคลอ้ งระหวา่ งแบบทดสอบกับตวั ชีว้ ดั
ของแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น ก่อนเรยี นและหลงั เรียน
จานวน 30 ขอ้
ตารางที่ 4.7 ผลการประเมนิ ความเหมาะสมของความพึงพอใจของนักเรียน
ช้ันประถมศกึ ษาปที 3ี่ ทางการเรียนรายวชิ าพระพทุ ธศาสนา
จานวน 1๐ ข้อ
จ
บทท่ี 1
บทนา
1.1 ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ให้ความหมายของการศึกษาคือ กระบวนการ
เรียนรู้เพื่อความงอกงามของบุคคลโดยถ่ายทอดความรู้การอบรม การสืบสาน ทางวัฒนธรรม สร้าง
องค์ความรู้ท่ีเกิดจากสภาพแวดล้อม สังคม การเรียนรู้ ให้บุคคลเรียนรู้ตลอดชีวิต การศึกษาต้อง
เป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ คุณธรรม จริยธรรม
วัฒนธรรมการดารงชีวิตสามารถอยู่กับผู้อื่นอย่างมีความสุข มุ่งพัฒนาบุคคลให้มีคุณลักษณะท่ีพึง
ประสงค์สงั คมในยคุ ปัจจบุ ันนี้1 มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทาให้บุคคลในสังคมนั้น ๆ ต้องมี
การปรับตัวอย่างรวดเร็วตามไปด้วย เพื่อท่ีจะได้อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข และสามารถเผชิญกับ
ปัญหาต่างๆที่อาจเกิดข้ึนได้ทุกเม่ือในการดาเนินชีวิตประจาวัน การที่คนเราจะสามารถปรับตัวเพ่ือ
เผชญิ ปญั หาไดอ้ ยา่ งรวดเร็วนั้นต้องมีความเชื่อมั่นในตนเองเป็นพื้นฐานที่สาคัญ และความเชื่อม่ันใน
ตนเองจะเกิดขึ้นได้ ก็เน่ืองมาจากบุคคลผู้น้ันมีบุคลิกที่ดี รู้จักการเป็นผู้นา-ผู้ตามที่ดี มีความคิดริเริ่ม
สร้างสรรค์ กล้าคิด กล้าตัดสินใจ กล้าแสดงออกในทางท่ีเหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ ซึ่งลักษณะ
ดังกลา่ วน้ีเป็นส่วนส่งเสริมให้บคุ คลน้นั ไดร้ ับการยอมรบั จากสงั คม จนทาให้เกิดความมั่นใจในการท่ีจะ
เผชญิ กับปัญหา ฝ่าฟันอปุ สรรค ตลอดจนทาประโยชน์ในด้านต่างๆกลับคืนให้แก่สังคมได้อีกมากมาย
ทั้งนี้ ความมั่นใจในตนเอง เป็นส่ิงท่ีสามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ และการจะพัฒนาให้บุคคลมีความ
มน่ั ใจในตนเองควรจะเรม่ิ ต้งั แต่เด็กเพราะเป็นช่วงวัยของการเรียนรู้ และจดจา ซึ่งสามารถจะนาไปสู่
การพัฒนาดา้ นบุคลิกภาพไดอ้ ย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ในการจัดการด้านศึกษาของประเทศไทยจะมุ่งเน้นผลิตและพัฒนาบุคคลในสายสามัญท้ัง
ระดับประถมศึกษา2 และระดับอุดมศึกษาให้มีคุณภาพ มีความรู้ ทักษะในวิชาชีพเป็นสาคัญเพ่ือให้
ตรงกับความต้องการของประเทศ และสถานประกอบการ ซึ่งมีการพัฒนาในด้านเทคโนโลยีสภาวะ
๑ ไ พ ศ า ล ไ ก ร สิ ท ธ์ิ , ปั ญ ห า ก า ร ศึ ก ษ า ข้ั น พื้ น ฐ า น ข อ ง ไ ท ย ,
http:paisarnkr.blogspot.com201311blog-post_17.html สบื ค้นเมอื่ วันท่ี 8/12/64.
๒ ฉันทพัฒน์ อุตตะมา, การจัดการเรียนรู้แบบSTAD, https:sites.google.comsitekhunkrunong3-1
สืบคน้ เม่ือวันที่ 8/12/64.
สงั คมสภาวะเศรษฐกิจอยู่ตลอดเวลา มหี ลักการของเศรษฐกจิ พอเพียง ในศตวรรษท่ี 21” ท่ีมุ่งเน้นให้
นักเรยี นคิดเป็นเน้นปฏิบัติจัดการได้น้ันพิเคราะห์ในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างสมเหตุสมผลเน้นการเรียนรู้
ผ่านการปฏบิ ตั ทิ ผ่ี ูเ้ รยี นได้ศกึ ษาและใหผ้ ้เู รยี น สามารถจดั การเร่ืองตา่ ง ๆ ในชีวิตได้ โดยการเรียนมิใช่
จะเรียนเฉพาะอยู่ในตาราเท่าน้ัน นักเรียนยังจาเป็นต้องฝึกและให้นักเรียนมีคุณภาพที่ดีเพื่อท่ีจะ
ออกไปแข่งขันอยา่ งมีคุณภาพและสามารถอย่รู ว่ มกบั คนในสังคมอย่างมีความสุข
การจดั การเรียนร้แู บบ STAD หมายถึง รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือกันเป็น
การเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่ง ท่ีมีช่ือเต็มว่า Student Teams Achievement Divisions3 เป็นการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งกาหนดให้นักเรียนท่ีมีความสามารถแตกต่างกัน ทางานร่วมกันเป็น
กลุ่มๆ ละ 4-5 คน ซึ่งประกอบด้วย นักเรียนท่ีเรียนเก่ง 1 คน นักเรียนที่เรียนปานกลาง 2-3 คน
และนักเรียนท่ีเรียนอ่อน 1 คน โดยกาหนดให้สมาชิกของกลุ่มได้เรียนรู้ในเน้ือหาสาระที่ผู้สอน
จัดเตรียมไว้แลว้ และใหท้ าการทดสอบความรู้ทีไ่ ดร้ ับคะแนนท่ไี ด้จากการทดสอบของสมาชิกแต่ละคน
นาเอามาบวกเปน็ คะแนนรวมของทมี ผู้สอนจะต้องใช้วิธีเสริมแรง แนวทางการจัดการเรียนรู้ข้ันตอน
การสอนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD ที่ Slavin ได้เสนอไว้ ประกอบไปด้วย 5 ขั้นตอนหลักดังน้ี
1. การนาเสนอสิ่งท่ีต้องเรียน (Class Presentation) 2. การทางานเป็นกลุ่ม (Teams) 3. การ
ทดสอบย่อย (Quizzes) 4. คะแนนพัฒนาการของนักเรียนแต่ละคน (Individual Improvement
Score) 5. การรับรองผลงานของกลุ่ม (Team Recognition คือโรงเรียนมุ่งเน้นให้นักเรียนใช้
สติปญั ญาในการคดิ พินิจ
จากปัญหาที่กว่ามาผู้วิจัยจึงมีแนวคิดดังกล่าวที่ทาให้ผู้วิจัยสนใจท่ีจะศึกษาการพัฒนา
ความคดิ สร้างสรรค์ในรายวิชาพระพทุ ธศาสนาของนกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรยี นบ้านดอนดู่
คุรรุ าษฎร์วิทยา ด้วยการจดั การเรียนรู้แบบร่วมมอื (STAD) เพื่อช่วยในการพัฒนาให้เด็กมีความม่ันใจ
ในตัวเอง มคี วามกล้าแสดงออกในทางที่เหมาะสมน้ันมีมากมายหลายประเภท กิจกรรมทางด้านการ
การทางานรว่ มกัน และถอื วา่ เป็นการพัฒนาทักษะและการเรยี นรู้ก็เปน็ ประเภทหนง่ึ ทสี่ ามารถนามาใช้
ได้ง่าย เพราะทักษะและการเรียนรู้ท่ีบุคคลทั่วไปพึงมีพ้ืนฐานอยู่แล้ว และยังทาให้เกิดความสุข
สนกุ สนานในการเรยี นไดอ้ กี ดว้ ย ทัง้ จะยังสามรถนาไปปรบั และต่อยอดเพ่ือให้ผู้เรียนนาประสบการณ์
ไปปรบั ใช้ได้อย่างสมบรูณ์
๓ ฉันทพัฒน์ อุตตะมา, การจัดการเรียนรู้แบบSTAD, https:sites.google.comsitekhunkrunong3-1
สืบคน้ เม่อื วันที่ 8/12/64.
๓
1.2 วตั ถปุ ระสงค์งานวจิ ัย
1. เพือ่ พฒั นาความสามารถในการคิดอย่างสร้างสรรค์รายวิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียน
ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรยี นบา้ นดอนดูค่ รุ รุ าษฎร์วิทยา ด้วยการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ
(STAD) ใหน้ กั เรยี นไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 70 ผา่ นเกณฑร์ ้อยละ 70 ขน้ึ ไป
2. เพื่อพัฒนาการผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดอนดู่คุรุราษฎร์วิทยา ด้วยการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ
(STAD) ใหน้ กั เรยี นไม่น้อยกวา่ รอ้ ยละ 70 ผา่ นเกณฑร์ ้อยละ 70 ข้นึ ไป
3. เพือ่ ศึกษาความพึงพอใจในการเรียนรายวิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษา
ปีท่ี 3 โรงเรียนบ้านดอนดู่คุรุราษฎร์วิทยา ด้วยการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ (STAD)
1.3 ขอบเขตของการวิจัย
1.3.1 ขอบเขตเนื้อหา
ผ้วู ิจัยศึกษาความคิดสร้างสรรค์ในรายวิชารายวิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่3 โร ง เรียน บ้าน ดอ น ดู่คุรุราษฎร์วิทยา ตาบลบึง เนียม อาเภอ เมือ ง
จังหวัดขอนแก่น เนอ้ื หารายวิชาพระพุทธศาสนาของนกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบ้าน
ดอนดคู่ ุรรุ าษฎรว์ ทิ ยา ตาบลบงึ เนยี ม อาเภอเมือง จังหวัดขอนแกน่ เน้อื หาทง้ั หมดนามาจากการเรียน
การสอนในหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง หลักธรรมนาชีวิต จานวน 3 แผน แผนละ 60 นาที
และสารวจความพึงพอใจในรายวิชารายวิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3
โรงเรยี นบา้ นดอนดู่คุรุราษฎรว์ ิทยา ตาบลบึงเนียม อาเภอเมือง จังหวดั ขอนแก่น
ตัวแปรท่ตี อ้ งการศึกษา
1. ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ
(STAD)
2. ตัวแปรตาม คือ 1) ความสามารถในการคิกสร้างสรรค์ 2) ผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียน 3) ความพึงพอใจ
1.3.2 ขอบเขตกลมุ่ เป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมายท่ีจะใช้ในการศึกษาวิจัยในครั้งน้ีคือนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3
โรงเรียนบ้านดอนดู่คุรุราษฎร์วิทยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จานวน ๗ คน
1.3.3 ขอบเขตดา้ นสถานท่ี
โรงเรยี นบา้ นดอนดูค่ ุรุราษฎร์วิทยา ตาบลบงึ เนียม อาเภอเมอื ง จงั หวัดขอนแก่น
๔
1.3.4 ขอบขา่ ยระยะเวลา
การวิจัยในครั้งน้ี ผู้วิจัยได้ทาการใช้ระยะเวลาในการวิจัย คือ ต้ังแต่เดือน
พฤศจิกายน-เดือนมนี าคม
1.4 นิยามศพั ท์เฉพาะ
ความสามารถในการคดิ สร้างสรรค์ หมายถึง กระบวนการคิดของสมองซงึ่ มคี วามสามารถใน
การคดิ ได้หลากหลายและแปลกใหม่จากเดิม โดยสามารถนาไปประยุกต์หรือปรับให้เข้ากับทฤษฎีหรือ
หลักการได้อย่างรอบคอบและมีความถูกต้อง จนนาไปสู่การคิดค้นและสร้างส่ิงประดิษฐ์ท่ีแปลกใหม่
หรือรูปแบบความคิดใหม่ นอกจากลักษณะการคิดสร้างสรรค์ดังกล่าวนี้แล้ว ได้กล่าวถึงการจัดการ
เรียนรู้ที่มุ่งเน้นนักเรียนเป็นสาคัญโดยเน้นการผสมผสานความรู้และทักษะต่าง ๆ ว่ามีหลายรูปแบบ
เช่น 1. ความทึ่ง – แปลก (Surprise) 2. ความริเริ่มหรือความเป็นต้นกาเนิด (Originality) 3. ความ
งดงาม (Beauty) และ 4. ความเปน็ ประโยชน์ (Utility) ยังมสี ามารถมองความคิดสร้างสรรค์ในหลาย
ซ่ึงอาจจะมองในแง่ที่เป็นกระบวนการคิดมากกว่าเนื้อหาการคิด โดยที่สามารถใช้ลักษณะการคิด
สรา้ งสรรค์ในมติ ทิ ่ีกวา้ งข้นึ เช่นการมีความคิดสร้างสรรค์ในการทางาน การเรียน หรือกิจกรรมที่ต้อง
อาศัยความคิดสร้างสรรค์ด้วย โดยท่ีบุคคลสามารถเชื่อมโยงนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้ดี
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (STAD) หมายถึง รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบ
ร่วมมือกันเป็นการเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่ง ที่มีช่ือเต็มว่า Student Teams Achievement Divisions
เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซ่ึงกาหนดให้นักเรียนที่มีความสามารถแตกต่างกัน ทางาน
รว่ มกันเป็นกล่มุ ๆ ละ 4-5 คน ซ่ึงประกอบด้วย นักเรียนท่ีเรียนเก่ง 1 คน นักเรียนท่ีเรียนปานกลาง
2-3 คน และนักเรียนท่ีเรียนอ่อน 1 คน การสอนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD ซ่ึงมีข้ันตอนการ
จดั การเรียนรู้ ดังน้ี 1. ขั้นนาเสนอเนื้อหา โดยการทบทวนพ้ืนฐานความรู้เดิม จากนั้นครูสอนเนื้อหา
ใหมก่ ับนกั เรียนกลุ่มใหญ่ทง้ั ช้ัน 2. ข้นั ปฏบิ ัติกจิ กรรมกล่มุ โดยนักเรียนในกลุ่ม 4-5 คน ร่วมกันศึกษา
กลุ่มย่อยนักเรียนเก่งจะอธิบายให้นักเรียนอ่อนฟังและช่วยเหลือซ่ึงกันและกันในการทากิจกรรม 3.
ขั้นทดสอบย่อย นักเรยี นแตล่ ะคนจะทาแบบทดสอบด้วยตนเอง ไม่มีการช่วยเหลือกัน 4. คิดคะแนน
ความกา้ วหนา้ แต่ละคน และของกลุม่ ย่อย ครตู รวจผลการสอบของนักเรียน โดยคะแนนท่ีนักเรียนทา
ไดใ้ นการทดสอบจะถือเป็นคะแนนรายบุคคล แล้วนาคะแนนรายบุคคลไปแปลงเป็นคะแนนกลุ่ม 5.
ชมเชย ยกยอ่ ง บคุ คลหรอื กลุ่มท่ีมคี ะแนนยอดเย่ียม นักเรียนคนใดทาคะแนนได้ดีกว่าคร้ังก่อน จะได้
รบั คาชมเชยเปน็ รายบุคคล และกลุม่ ใดทาคะแนนไดด้ กี วา่ ครัง้ ก่อนจะได้รับคาชมเชยทง้ั กลุ่ม
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสามารถของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบ้านดอนดู่คุรุราษฎร์วิทยา ตาบลบึงเนียม อาเภอเมือง จังหวัด
ขอนแก่นจากการทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนรายวชิ าพระพุทธศาสนา ซึง่ เกดิ จากนักเรยี นได้รับ
๕
ประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวั ดและ
ประเมินผล การสร้างเคร่อื งมอื วดั ใหม้ คี ณุ ภาพนั้น ได้มีผู้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้
ดังน้ี ความสามารถหรือผลสาเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้ จาแนก
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไว้ตามลักษณะของวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนท่ีแตกต่างกัน ให้คา
จากดั ความผลสัมฤทธิท์ างการเรียนว่า คือคณุ ลกั ษณะ รวมถึงความรู้ ความสามารถของบุคคลอันเป็น
ผลมาจากการเรยี นการสอน หรอื มวลประสบการณท์ ั้งปวงทบี่ คุ คลได้รับจากการเรียนการสอน ทาให้
บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ของสมรรถภาพทางสมอง ดังน้ันจึงสรุปได้ว่า
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น หมายถงึ ผลท่ีเกิดจากกระบวนการเรียนการสอนท่ีจะทาให้นักเรียนเกิดการ
เปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรม และสามารถวัดได้โดยการแสดงออกมาท้ัง 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิต
พิสัย และด้านทักษะพิสัย การวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน การวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนมีความ
จาเปน็ ต่อการเรยี นการสอน หรอื การตัดสนิ ผลการเรียน เพราะเป็นการวัดระดับความสามารถในการ
เรียนรขู้ องบุคคลหลงั จากทไี่ ด้รับการฝึกฝน
แบบวัดผลสัมฤธ์ิรายวิชาพระพุทธศาสนา หมายถึง เครื่องมือท่ีผู้วิจัยจัดทาข้ึนเพ่ือใช้วัด
ความเขา้ ใจในรายวชิ าพระพทุ ธศาสนาของนกั เรียนประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดอนดู่คุรุราษฎร์
วทิ ยา ตาบลบึงเนียม อาเภอเมือง จังหวดั ขอนแก่น โดยจัดทาเป็นรูปแบบ แบบทดสอบทางการเรียน
รายวิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบ้านดอนดู่คุรุราษฎร์วิทยา
ตาบลบงึ เนยี ม อาเภอเมือง จังหวดั ขอนแก่นจานวน 1 ฉบับ เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย 4 ตัวเลือก
จานวน 10 ข้อ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน คือตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบผิดหรือไม่ตอบให้
0 คะแนน
1.5 ประโยชน์ท่ีได้รับ
1.5.1 ได้ทราบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี
3 โรงเรยี นบ้านดอนดู่คุรรุ าษฎรว์ ทิ ยา ตาบลบงึ เนียม อาเภอเมือง จงั หวดั ขอนแก่น
1.5.2 นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบ้านดอนดู่คุรุราษฎร์วิทยา ตาบลบึงเนียม
อาเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น จากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
STAD
1.5.3 ครูได้รูปแบบการเรียนการสอนแบบร่วมมือไปใช้ในการสอนในรายวิชาอ่ืน ๆ
1.5.4 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือรายวิชาหน้าที่
พระพทุ ธศาสนา
บทท่ี 2
แนวความคิด ทฤษฎี และงานวิจัยทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
การวิจัยเรื่อง การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในรายวิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดอนดู่คุรุราษฎร์วิทยาด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (STAD)
ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องเสนอตามลาดับหัวข้อ ดังต่อไปนี้
2.1 หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรงุ 2560)
2.2 แนวคิดและทฤษฎเี กยี่ วกับการคิดสร้างสรรค์
2.3 ทฤษฎเี กี่ยวกบั STAD
2.4 แบบความพึงพอใจ
2.5 งานวจิ ยั ท่เี ก่ียวข้อง
2.6 กรอบแนวคิด
2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง
2560)4
กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้ดาเนินการจัดทาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
เพื่อเปน็ แนวทางสาหรับการจัดกจิ กรรมการเรยี นรูใ้ นสถานศึกษาต่าง ๆ ซ่ึงมรี ายละเอียดดังน้ี
2.1.1 วสิ ัยทศั น์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนซึ่งเป็นกาลังของชาติให้เป็น
มนษุ ย์ท่ีมีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็น
พลเมืองโลก ยึดมัน่ ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มี
ความรูแ้ ละทักษะพ้นื ฐาน รวมทงั้ เจตคติ ที่จาเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษา
ตลอดชวี ิตโดยมุ่งเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาคัญบนพ้ืนฐานความเช่ือว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
ได้เตม็ ตามศกั ยภาพ
2.1.2 หลักการ
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน มีหลักการท่ีสาคญั ดังนี้
4 กระทรวงศึกษาธกิ าร, พระราชบัญญตั กิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ และแก้ไขเพมิ่ เติม ฉบับท่ี ๒
พ.ศ. ๒๕๔๕, (กรงุ เทพฯ : กระทรวงศึกษาธกิ าร, ๒๕๔๒), หน้า ๖.
๗
1) เป็นหลักสูตรการศึกษาเพ่ือความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการ
เรยี นรเู้ ปน็ เปา้ หมายสาหรบั พัฒนาเดก็ และเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐาน
ของความเปน็ ไทยควบคู่กบั ความเป็นสากล
2) เปน็ หลกั สตู รการศกึ ษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอ
ภาค และมีคณุ ภาพ
3) เป็นหลกั สตู รการศึกษาทสี่ นองการกระจายอานาจ ให้สังคมมีส่วนรว่ มในการจัดการศึกษา
ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพและความตอ้ งการ
4) เป็นหลักสูตรการศกึ ษาที่มีโครงสรา้ งยดื หยุ่นทัง้ ดา้ นสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัดการ
เรยี นรู้
5) เป็นหลกั สตู รการศึกษาท่ีเน้นผ้เู รยี นเป็นสาคัญ
6) เป็นหลักสูตรการศึกษาสาหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย
ครอบคลมุ ทกุ กลุม่ เป้าหมาย สามารถเทยี บโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ของท้องถ่นิ
2.1.3 จดุ หมาย
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุขมี
ศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ จึงกาหนดเป็นจุดหมายเพ่ือให้เกิดกับผู้เรียน เม่ือจบ
การศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน ดังน้ี
1) มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรมและค่านิยมที่พงึ ประสงค์ เหน็ คุณค่าของตนเอง มีวนิ ัยและปฏิบัติตน
ตามหลักธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรือศาสนาท่ตี นนับถือ ยึดหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง
2) มีความรู้ ความสามารถในการส่ือสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมี
ทักษะชีวิต
3) มสี ขุ ภาพกายและสขุ ภาพจติ ที่ดี มีสขุ นิสัย และรักการออกกาลังกาย
4) มีความรักชาติ มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดม่ันในวิถีชีวิตและการ
ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษัตรยิ ์ทรงเป็นประมุข
5) มีจติ สานกึ ในการอนุรกั ษว์ ฒั นธรรมและภมู ิปัญญาไทย การอนรุ กั ษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม
มจี ติ สาธารณะทมี่ งุ่ ทาประโยชน์
2.1.4 สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น
ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มี
คุณภาพตามมาตรฐานท่ีกาหนด ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสาคัญและคุณลักษณะอันพึง
ประสงค์ ดังนี้
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน มงุ่ ใหผ้ ู้เรยี นเกิดสมรรถนะสาคัญ 5 ประการ ดังนี้
1) ความสามารถในการสือ่ สาร เปน็ ความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้
ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล
ขา่ วสารและประสบการณ์อนั จะเป็นประโยชน์ตอ่ การพัฒนาตนเองและสังคมรวมทั้งการเจรจาต่อรอง
๘
เพือ่ ขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและ
ความถกู ตอ้ ง ตลอดจนการเลือกใช้วธิ กี ารสอ่ื สาร ท่ีมีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบท่ีเกิดขึ้นต่อ
ตนเองและสังคมและสรา้ งสง่ิ ทด่ี งี ามในสงั คม และอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คมอย่างมคี วามสุข
2) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด
อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนาไปสู่การสร้างองค์ความรู้
หรอื สารสนเทศเพอื่ การตัดสนิ ใจเก่ียวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ท่ี
เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ
ความสมั พนั ธแ์ ละการเปล่ียนแปลงของเหตกุ ารณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มา
ใชใ้ นการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมกี ารตัดสินใจท่มี ปี ระสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบท่ีเกิดข้ึน
ตอ่ ตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้
ในการดาเนินชวี ิตประจาวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง การทางาน และการอยู่
รว่ มกันในสังคมดว้ ยการสรา้ งเสรมิ ความสมั พันธอ์ ันดรี ะหว่างบุคคลการจัดการปัญหาและความขัดแย้ง
ตา่ ง ๆ อยา่ งเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการ
รู้จักหลีกเล่ียงพฤติกรรมไม่พึงประสงคท์ ส่ี ง่ ผลกระทบต่อตนเองและผู้อน่ื
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้าน
ต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่ือการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้
การสื่อสาร การทางาน การแกป้ ัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ถกู ตอ้ ง เหมาะสม และมคี ุณธรรม
2.1.5 คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์
เพอ่ื ใหส้ ามารถอยู่ร่วมกบั ผูอ้ ืน่ ในสงั คมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมอื งไทยและพลโลก ดงั น้ี
1) รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
2) ซอื่ สตั ยส์ จุ ริต
3) มีวนิ ยั
4) ใฝเ่ รยี นรู้
5) อยู่อย่างพอเพียง
6) มุ่งมั่นในการทางาน
7) รักความเป็นไทย
8) มจี ิตสาธารณะ
๘
นอกจากนี้ สถานศกึ ษาสามารถกาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้สอดคล้องตาม
บรบิ ท และจุดเนน้ ของตนเอง
2.1.6 มาตรฐานการเรียนรู้
การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคานึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและ พหุปัญญา
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน จึงกาหนดให้ผเู้ รียนเรยี นรู้ 8 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ ดงั น้ี
1) ภาษาไทย
2) คณติ ศาสตร์
3) วทิ ยาศาสตร์
4) สังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม
5) สขุ ศึกษาและพลศึกษา
6) ศลิ ปะ
7) การงานอาชีพและเทคโนโลยี
8) ภาษาต่างประเทศ
ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสาคัญของการ
พฒั นาคุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งท่ีผู้เรียนพึงรู้ ปฏิบัติได้ มีคุณธรรมจริยธรรม และ
ค่านิยม ทีพ่ งึ ประสงคเ์ ม่อื จบการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน นอกจากนน้ั มาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสาคัญ
ในการขับเคลื่อนพฒั นาการศกึ ษาท้ังระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการ
อะไร จะสอนอย่างไร และประเมินอย่างไร รวมท้ังเป็นเคร่ืองมือในการตรวจสอบเพ่ือการประกัน
คุณภาพการศึกษาโดยใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอก ซ่ึง
รวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นที่การศึกษา และการทดสอบระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพื่อ
ประกนั คุณภาพดังกล่าวเป็นส่งิ สาคัญท่ชี ่วยสะท้อนภาพการจดั การศึกษาว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มี
คณุ ภาพตามทม่ี าตรฐานการเรียนรกู้ าหนดเพยี งใด
2.1.7 ตวั ชี้วัด
ตัวช้ีวดั ระบุส่ิงทีน่ กั เรียนพงึ รู้และปฏิบัติได้ รวมทั้งคุณลักษณะของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้นซึ่ง
สะท้อนถึงมาตรฐานการเรยี นรู้ มคี วามเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม นาไปใช้ในการกาหนด
เนอ้ื หา จดั ทาหน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์สาคัญสาหรับการวัดประเมินผล
เพ่ือตรวจสอบคณุ ภาพผู้เรียน
1) ตัวชี้วัดชั้นปี เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนแต่ละชั้นปีในระดับการศึกษาภาคบังคับ
(ประถมศกึ ษาปที ี่ 1 – มัธยมศึกษาปที ี่ 3)
2) ตัวชี้วัดช่วงชั้น เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
(มัธยมศึกษาปที ี่ 4 – 6)
๙
2.1.8 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ
วัฒนธรรม
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมว่าด้วยการอยู่ร่วมกันในสังคม ที่มี
ความเชื่อมสัมพันธ์กัน และมีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย เพ่ือช่วยให้สามารถปรับตนเองกับ
บริบทสภาพแวดล้อม เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และค่านิยมที่
เหมาะสม โดยได้กาหนดสาระต่าง ๆ ไว้ ดงั นี้
ศาสนา ศีลธรรมและจริยธรรม แนวคิดพื้นฐานเก่ียวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หลักธรรม
ของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาท่ีตนนับถือ การนาหลักธรรมคาสอนไปปฏิบัติในการพัฒนาตนเอง
และการอยรู่ ่วมกนั อยา่ งสันติสุข เปน็ ผกู้ ระทาความดี มีค่านิยมที่ดีงาม พัฒนาตนเองอยู่เสมอ รวมทั้ง
บาเพญ็ ประโยชน์ตอ่ สงั คมและสว่ นรวม
หน้าท่พี ลเมอื ง วฒั นธรรม และการดาเนินชีวิต ระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบันการ
ปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมขุ ลกั ษณะและความสาคัญ การเป็น
พลเมอื งดี ความแตกตา่ งและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ค่านิยม ความเช่ือ ปลูกฝังค่านิยมด้าน
ประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริยท์ รงเปน็ ประมขุ สทิ ธิ หนา้ ที่ เสรีภาพการดาเนินชีวิตอย่างสันติสุข
ในสงั คมไทยและสังคมโลก
เศรษฐศาสตร์ การผลิต การแจกจ่าย และการบริโภคสินค้าและบริการ การบริหารจัดการ
ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจากัดอย่างมีประสิทธิภาพ การดารงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ และการนาหลัก
เศรษฐกจิ พอเพียงไปใช้ในชวี ติ ประจาวนั
ประวัติศาสตร์ เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์ พัฒนาการของ
มนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์และเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ผลกระทบท่ีเกิด
จากเหตุการณ์สาคัญในอดีต บุคคลสาคัญท่ีมีอิทธิพลต่อการเปล่ียนแปลงต่าง ๆ ในอดีตความเป็นมา
ของชาติไทย วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย แหล่งอารยธรรมท่ีสาคัญของโลก
ภูมศิ าสตร์ ลักษณะของโลกทางกายภาพ ลกั ษณะทางกายภาพ แหล่งทรัพยากร และภูมิอากาศ
ของประเทศไทย และภูมภิ าคต่าง ๆ ของโลก การใช้แผนทีแ่ ละเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ความสัมพันธ์
กนั ของสงิ่ ต่าง ๆ ในระบบธรรมชาติ ความสมั พันธ์ของมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และสิ่ง
ท่ีมนุษยส์ รา้ งขึ้น การนาเสนอข้อมูลภูมสิ ารสนเทศ การอนุรักษส์ ง่ิ แวดล้อมเพื่อการพฒั นาทยี่ ัง่ ยนื
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระท่ี 1 ศาสนา ศลี ธรรม จรยิ ธรรม
มาตรฐาน ส 1.1 รู้ และเข้าใจประวัติ ความสาคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนา
หรือศาสนาท่ีตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบัติตามหลักธรรม เพ่ืออยู่
ร่วมกนั อยา่ งสนั ติสขุ
มาตรฐาน ส 1.2 เข้าใจ ตระหนักและปฏิบัติตนเป็นศาสนิกชนท่ีดี และธารงรักษา
พระพทุ ธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนบั ถือ
๑๐
สาระท่ี 2 หนา้ ทีพ่ ลเมอื ง วฒั นธรรม และการดาเนนิ ชวี ิตในสังคม
มาตรฐาน ส 2.1 เข้าใจและปฏิบัติตนตามหน้าท่ีของการเป็นพลเมืองดี มีค่านิยมที่ดีงาม
และธารงรักษาประเพณีและวัฒนธรรมไทย ดารงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมไทย และ สังคมโลกอย่าง
สันติสขุ
มาตรฐาน ส 2.2 เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบัน ยึดมั่น ศรัทธา และ
ธารงรักษาไว้ซ่ึงการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมุข
สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์
มาตรฐาน ส.3.1 เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการบริโภค
การใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่จากัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า รวมท้ังเข้าใจหลักการของเศรษฐกิจ
พอเพยี ง เพอื่ การดารงชวี ิตอย่างมดี ลุ ยภาพ
มาตรฐาน ส.3.2 เขา้ ใจระบบ และสถาบันทางเศรษฐกจิ ตา่ ง ๆ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
และความจาเป็นของการร่วมมือกนั ทางเศรษฐกจิ ในสงั คมโลก
สาระท่ี 4 ประวัติศาสตร์
มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมาย ความสาคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
สามารถใชว้ ิธีการทางประวัตศิ าสตรม์ าวิเคราะหเ์ หตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ อยา่ งเป็นระบบ
มาตรฐาน ส 4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในด้าน
ความสัมพนั ธ์และการเปลยี่ นแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ตระหนักถึงความสาคัญและสามารถ
วเิ คราะห์ผลกระทบทีเ่ กิดข้นึ
มาตรฐาน ส 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรัก
ความภมู ใิ จและธารงความเปน็ ไทย
สาระที่ 5 ภูมศิ าสตร์ (ฉบับปรับปรุง พุทธศกั ราช 2560)
มาตรฐาน ส 5.1 เขา้ ใจลักษณะทางกายภาพของโลกและความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งซ่ึงมีผล
ตอ่ กัน ใช้แผนท่ี และเครอื่ งมอื ทางภมู ิศาสตร์ในการค้นหา วเิ คราะห์ และสรุปขอ้ มูล ตามกระบวนการ
ทางภูมศิ าสตร์ ตลอดจนใชภ้ ูมิสารสนเทศอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ
มาตรฐาน ส 5.2 เข้าใจปฏิสมั พันธ์ระหว่างมนษุ ยก์ ับส่ิงแวดล้อมทางกายภาพทก่ี ่อให้เกิดการ
สร้างสรรค์วถิ ีการดาเนินชีวิต มีจิตสานึกและมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมเพ่ือ
การพัฒนาท่ียง่ั ยืน
สาระที่ 1 ศาสนา ศลี ธรรม จริยธรรม
มาตรฐาน ส 1.1 รู้ และเข้าใจประวัติ ความสาคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนา
หรือศาสนาท่ีตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาท่ีถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบัติตามหลักธรรม เพื่ออยู่
รว่ มกันอยา่ งสันติสขุ
๑๑
ชน้ั ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ป.3 1 . อ ธิ บ า ย ค ว า ม ส า คั ญ ข อ ความสัมพันธ์ของพระพุทธศาสนากับการ
พระพุทธศาสนาหรือศาสนาท่ีตนนับถือ ดาเนนิ ชวี ิตประจาวัน เช่น การสวดมนต์ การ
ใน ฐาน ะ ที่เ ป็น ร าก ฐา น สาคัญ ขอ ง ทาบญุ ใสบ่ าตร การแสดงความเคารพ การใช้
ภาษา
วัฒนธรรมไทย พระพทุ ธศาสนามอี ทิ ธพิ ลต่อกาสร้างสรรค์
ผลงานทางวัฒนธรรมไทยอันเกิดจากความ
ศรัทธา เช่น วัด ภาพวาด พระพุทธรูป
วรรณคดี สถาปตั ยกรรมไทย
2. สรุปประวตั พิ ระพทุ ธตงั้ แต่การบาเพ็ญ สรุปพุทธประวตั ิ (ทบทวน)
เพียรจนถึงปรินิพพานหรือประวัติศาสน -การบาเพญ็ เพียร
-ผจญมาร
ดาที่ตนนับถือ -ตรัสรู้
-ปฐมเทศนา
-ปรินพิ พาน
3. ชื่นชมและบอกแบบอย่างการดาเนิน พุทธสาวก พุทธสาวิกา
ชีวิตและข้อคิดจากประวัติสาวก ชาดก -สามเณรสังกิจจะ
เล่าเร่ืองศาสนิกชนตัวอย่างตามท่ีตัวเอง ชาดก
กาหนด -อารามทสู กชาดก
-มหาวาณิชชาดก
ศาสนกิ ชนตวั อยา่ ง
-สมเด็จพระพฒุ าจารย์ (โต พฺรหมฺ รส)ี
-สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช
4. บอกความสาคัญของพระไตรปิฎก ความสาคัญของพระไตรปฎก เช่น เป็น
แหลง่ อา้ งองิ ของหลักธรรมคาสอน
หรอื คัมภีร์ของศาสนาท่ีตนนับถือ
๑๒
ชน้ั ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง
5. แสดงความเคารพต่อพระรัตนตรัย พระรัตนตรยั
และปฎิบัติตามหลักธรรมโอวาทใน 3 -ศรัทธา
พระพุทธศาสนาหรือหลักธรรมชอง โอสารท 3
ศาสนาทีต่ นนบั ถอื -ไม่ทาชว่ั
- เบญจศิล
-ทาดี
-เบญจธรรม
-สติ-สมั ปชัญญะ
-สงั คหวัตถุ 4
-ฆาราวาสธรรม 4
-อตั ถะ 3 (อตั ตัตถะ ปรตั ถะ อภุ ยัตถะ)
-กตัญญูกตเวทีต่อชมุ ชนและสิ่งแวดลอ้
-มงคง 38
พทุ ธศาสนสุภาษติ
-ททมาโร ปิโย โหนติ (ผู้ใหย้ อ่ มเป็นทร่ี กั )
6. เห็นคุณค่าและสวดมนต์ แผ่เมตตา มี สวดมนต์ไหว้พระ สรรเสริญคุณพระ
ส ติ เ ป็ น พ้ื น ฐ า น ข อ ง ส ม า ธิ ใ น รัตนตรัย และแผ่เมตตา
พระพุทธศาสนาหรือการพัฒนาจิตตาม -รูค้ วามหมายประโยชน์ของสติสมาธิ
แนวทางของศาสนาท่ีตนนับถือตามที่ -ร้ปู ระโยชน์ของการฝึกสมาธิ
กาหนด -ฝึกสมาธิเบ้อื งตน้ ดว้ ยการนับลมหายใจ
-ฝึกการยืน เดิน นง่ั และ นอนอย่างมีสติ
7. บอกชื่อความสาคัญและปฏิบัตืตนได้ ช่ือและความสาคัญในศาสนวัตถุ ศาสน
อย่างเหมาะสมศาสนวัตถุ ศาสนสถาน สถานและศาสนบุคคลในพระพุทธศาสนา
และศาสนบุคคลของศาสนาอน่ื ศาสนาอิสลาม คริสตศ์ าสนา ศาสนาฮนิ ดู
การปฏิบตั ิท่ีเหมาะสมต่อศาสนวัตถุ ศาสน
สถานและศาสนบคุ คลในศาสนาอ่ืนๆ
สารท่ี 2 มาตรฐาน ส 1.2 เข้าใจ ตระหนักและปฏิบัติตนเป็นศาสนิกชนท่ีดี และธารงรักษา
พระพทุ ธศาสนาหรือศาสนาทตี่ นนับถอื
ชนั้ ตวั ชีว้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ป.3 1. ปฏิบัติตนเหมาะสมต่อสาวก ศาสน ฝึกปฏิบตั มารยาทชาวพทุ ธ
สถาน ศาสนวัตถุของศาสนาท่ีตนนับถือ -การลุงข้นึ ยืนรบั
ไดอ้ ย่างถูกต้อง -การต้อนรบั
๑๓
ช้ัน ตวั ชวี้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง
-การรับสง่ิ ของแก่ พระภกิ ษุ
-มารยาทในการสนทนา
-การสารวมกริ ิยามารยาท
-การแต่งการที่เหมาสนเม่ืออยู่ในวัดและพุทธ
สถาน
-การดูแลรักษาศาสนวัตถุและศาสนสถาน
2. เห็นคุณค่าและปฏิบัติตนในศาสนพิธี ปฏบิ ตั ิตนในศาสนพิธี
พิธีกรรมและวันสาคัญทางศาสนาตามที่ -การอาราธนาศิล
กาหนดได้อย่างถูกต้อง -การสมาทานศิล
-เคร่อื งประกอบโตะ๊ หมู่บชู า
-การจดั โตะ๊ บชู า
3. แสดงตนปน็ พุทธมามกะหรือแสดงตน ความเป็นมาของการแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ
เป็นศาสนนิกชนของศาสนาทต่ี นนบั ถือ การแสดงตนเปน็ พทุ ธมามกะ
--ขั้นเตรียม
--ขนั้ พิธี
จากโครงสรา้ งเนือ้ หารายวิชาพระพุทธศาสนาและศาสนา ศลิ ธรรม จรยิ ธรรมของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 3 สรุปได้ว่า ในสาระที่ 1 ศาสนา ศิลธรรม จริยธรรม มาตรฐาน ส 1.1 รู้ และ
เขา้ ใจประวัติ ความสาคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาท่ีตนนับถือและศาสนา
อ่ืน มีศรทั ธาทีถ่ กู ตอ้ ง ยึดมน่ั และปฏบิ ัติตามหลักธรรม เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข แบ่งออกเป็น 7
ตวั ชว้ี ดั คือ 1. อธบิ ายความสาคัญของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือในฐานะที่เป็นรากฐาน
สาคญั ของวฒั นธรรมไทย 2. สรุปประวตั ิพระพทุ ธตงั้ แตก่ ารบาเพญ็ เพยี รจนถึงปรินิพพานหรือประวัติ
ศาสนดาที่ตนนับถือ 3. ช่ืนชมและบอกแบบอย่างการดาเนินชีวิตและข้อคิดจากประวัติสาวก ชาดก
เล่าเรือ่ งศาสนกิ ชนตวั อย่างตามท่ตี ัวเองกาหนด 4. บอกความสาคัญของพระไตรปิฎกหรือคัมภีร์ของ
ศาสนาท่ีตนนับถือ 5. แสดงความเคารพต่อพระรัตนตรัยและปฎิบัติตามหลักธรรมโอวาทใน 3
พระพุทธศาสนาหรือหลักธรรมชองศาสนาท่ีตนนับถือ 6. เห็นคุณค่าและสวดมนต์ แผ่เมตตา มีสติ
เป็นพื้นฐานของสมาธิในพระพุทธศานาหรือการพัฒนาจิตตามแนวทางของศาสนาท่ีตนนับถือตามที่
กาหนด 7.บอกชื่อความสาคัญและปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสมศาสนวัตถุ ศาสนสถาน และศาสน
บุคคลของศาสนาอื่น และ มาตรฐาน ส 1.2 เข้าใจ ตระหนักและปฏิบัติตนเป็นศาสนิกชนท่ีดี และ
ธารงรักษาพระพุทธศาสนาหรือศาสนาท่ีตนนับถือ 3 ตัวชี้วัด คือ 1. ปฏิบัติตนเหมาะสมต่อสาวก
ศาสนสถาน ศาสนวตั ถขุ องศาสนาที่ตนนับถือได้อย่างถูกต้อง 2 เห็นคุณค่าและปฏิบัติตนในศาสนพิธี
พธิ ีกรรมและวันสาคญั ทางศาสนาตามท่ีกาหนดได้อย่างถกู ต้อง 3 แสดงตนเป็นพุทธมามกะหรือแสดง
ตนเป็นศาสนนิกชนของศาสนาท่ีตนนบั ถอื และจะไดน้ าเนอ้ื หามาปรับใช้ให้ตรงกับแผนการสอนก่อนที่
จะนาไปสอนกบั นักเรยี น
๑๔
2.2 แนวคิดและทฤษฎีท่ีเกยี่ วกับการพัฒนาความสามารถในการคิดอย่างสรา้ งสรรค์
ได้รวบรวมแนวคิดเก่ียวกับความคิดสร้างสรรค์ของนักจิตวิทยาที่ได้กล่าวถึงทฤษฎีของ
ความคดิ สร้างสรรค์5 โดยแบ่งเปน็ กลุ่มใหญๆ่ ได้ 4 กลุ่ม
1. ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เชิงจิตวิเคราะห์6 นักจิตวิทยาทางจิตวิเคราะห์หลายคน เช่น
ฟรอยด์ และครสิ ไดเ้ สนอแนวคิดเกย่ี วกับการเกดิ ความคดิ สรา้ งสรรคว์ า่ ความคิดสร้างสรรค์เป็นผลมา
จากความขัดแย้งภายในจิตใต้สานึกระหว่างแรงขับทางเพศ (Libido) กับความรู้สึกรับผิดชอบทาง
สังคม (Social conscience) ส่วน คูไบ และรัค ซ่ึงเป็นนักจิตวิทยาแนวใหม่ กล่าวว่า ความคิด
สรา้ งสรรค์นั้นเกิดขึ้นระหว่างการรู้สติกับจิตใต้สานึก ซึ่งอยู่ในขอบเขตของจิตส่วนที่เรียกว่า จิตก่อน
สานึก
2. ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เชิงพฤติกรรมนิยม นักจิตวิทยากลุ่มนี้มีแนวความคิดเก่ียวกับ
เร่ืองความคิดสร้างสรรค์ว่า เป็นพฤติกรรมท่ีเกิดจากการเรียนรู้ โดยเน้นที่ความสาคัญของการ
เสริมแรง การตอบสนองทถี่ ูกตอ้ งกบั สิง่ เร้าเฉพาะหรอื สถานการณ์ นอกจากน้ียังเน้นความสัมพันธ์ทาง
ปัญญา คือการโยงความสัมพันธ์จากสิ่งเร้าหนึ่งไปยังส่ิงเร้าต่างๆ ทาให้เกิดความคิดใหม่ หรือส่ิงใหม่
เกดิ ขน้ึ
3. ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เชิงมนุษยนิยม นักจิตวิทยาในกลุ่มน้ีมีแนวคิดว่าความคิด
สร้างสรรค์เปน็ สง่ิ ทมี่ นุษย์มีตดิ ตวั มาตงั้ แต่เกิด ผู้ที่สามารถนาความคิดสร้างสรรค์ออกมาใช้ได้คือผู้ที่มี
สัจการแหง่ ตน คือรู้จักตนเอง พอใจตนเอง และใช้ตนเองเต็มตามศักยภาพของตนมนุษย์จะสามารถ
แสดงความคิดสร้างสรรค์ของตนเองมาได้อย่างเต็มท่ีน้ันข้ึนอยู่กับการสร้างสภาวะหรือบรรยากาศท่ี
เอื้ออานวย ได้กล่าวถึงบรรยากาศที่สาคัญในการสร้างสรรค์ว่า ประกอบด้วยความปลอดภัยในเชิง
จิตวิทยา ความม่ันคงของจิตใจ ความปรารถนาท่ีจะเล่นความคิดและการเปิดกว้างที่จะรับ
ประสบการณใ์ หม่
4. ทฤษฎีอูต้า (AUTA) ทฤษฎีน้ีเป็นรูปแบบของการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดข้ึนใน
ตวั บคุ คล เป็นแนวคิดสร้างสรรค์ที่ เดวิด (David) และ ซัลลิแวน (Sullivan) คิดค้นในปี ค.ศ. 1980
โดยอธิบายว่า ความคดิ สรา้ งสรรค์น้ันมอี ยู่ในมนษุ ย์ทุกคน และสามารถสง่ เสรมิ พฒั นาให้สูงข้ึนได้ ด้วย
การส่งเสรมิ กระบวนการคิดอยา่ งสร้างสรรค์ ตามการจัดลาดับของการพัฒนาแบบ อุต้า (AUTA) ซ่ึงมี
4 ลาดับขั้นตอน ดังน้ี
4.1) การตระหนกั (Awareness) คอื การตระหนักถึงความสาคัญของความคิด สร้างสรรค์ที่
มตี ่อตวั เอง สังคม ทั้งในปัจจุบนั และอนาคต และตระหนักถงึ ความคิดสรา้ งสรรค์ท่มี อี ย่ใู นตนเองดว้ ย
4.2) ความเขา้ ใจ (Understanding) คือ มคี วามร้คู วามเข้าใจอย่างลึกซ้ึงในเรื่องราว ต่าง ๆ
ท่ีเกี่ยวข้องกบั ความคดิ สร้างสรรค์ ได้แก่ a) บุคลิกภาพของบคุ คลทีม่ ีความคดิ สร้างสรรค์ b) ธรรมชาติ
5 กรมวชิ าการ, ความคดิ สรา้ งสรรค,์ (กรงุ เทพฯ: กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2557), หนา้ 28.
6 อารี พันธม์ ณี, คิดอยา่ งสร้างสรรค์, (ต้นออ้ แกรมมี จากดั . กรุงเทพฯ, 2556), หน้า 25.
๑๕
ของกระบวนการคิดสร้างสรรค์ c) ความสามารถท่ีสร้างสรรค์ d) ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ e)
แบบทดสอบความคดิ สร้างสรรค์ f) วิธีฝกึ และปัจจัยท่ีทาให้เกิดความคดิ สรา้ งสรรค์
4.3) เทคนิควิธี (Techniques) คอื การรจู้ กั เทคนิควิธใี นการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ท้ังที่
เป็นเทคนิคส่วนบุคคลและเทคนิคที่เป็น มาตรฐาน ซึ่งสามารถทาได้ดังนี้ a) การระดมพลังสมอง
(Brainstorming) b) การเอาคณุ ลกั ษณะตา่ ง ๆ ออกมาแจกแจง หรือปรับลักษณะต่าง ๆ c) การจับคู่
ในลักษณะ 2 ด้าน แล้วจับคู่สลับกันหลาย ๆ คู่ ก็จะได้รูปแบบหลายรูปแบบ d) การใช้ความคิดริเร่ิม
หรอื การสรา้ งสิ่งใหม่ ๆ โดยอาศัยขอ้ มูลที่มีอยู่แล้ว e) การคิดโดยเอาสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องมาเก่ียวข้องกัน
หรือทาสิง่ ธรรมดาใหแ้ ปลกใหม่ โดยการใช้ คุณลักษณะของการเปรยี บเทียบมาใช้
5. ทฤษฎีส่วนประกอบ (Componentialtheory) ของการคิดสร้างสรรค์เป็นรูปแบบของ
ความเข้าใจเก่ียวกับสังคมและองค์ประกอบทางจิตวิทยาท่ีจา เป็นสาหรับบุคคลที่จะผลิตงานที่มี
ความคิดสรา้ งสรรค์ทฤษฎีให้ความหมายของการคิดสร้างสรรค์ในรูปการผลิตความคิดหรือผลลัพธ์ท่ีมี
ท้ังแปลกใหม่และเหมาะสมกับเป้าหมายบางอย่าง ทฤษฎีนี้ประกอบด้วยสี่องค์ประกอบท่ีจา เป็นสา
หรับการตอบสนองของการคดิ สรา้ งสรรคส์ ามองค์ประกอบอยู่ภายในของแต่ละบุคคล ซึ่งได้แก่ทักษะ
กระบวนการคิดสร้างสรรคท์ เ่ี ก่ยี วข้อง และแรงจูงใจที่แทจ้ รงิ ของงาน อีกหน่ึงองค์ประกอบเป็นส่วนท่ี
อยู่ภายนอกบคุ คล ซ่งึ ได้แก่ สภาพแวดล้อมทางสงั คมในการทบี่ ุคคลทา งาน ปจั จุบนั ทฤษฎีนี้เกี่ยวข้อง
กับองคก์ ารและนวตั กรรมทส่ี ร้างขึน้ โดยการนา ไปใช้กับส่ิงแวดล้อมของงาน การนิยามองค์ประกอบ
ของความคิดสร้างสรรค์ และองค์ประกอบนั้นมีอิทธิพลต่อกระบวนการคิดสร้างสรรค์ที่อธิบายการ
ปรบั เปล่ียนทฤษฎอี ย่ตู ลอดเวลาจากนั้นนา ไปเปรียบเทยี บกับทฤษฎคี วามคิดสรา้ งสรรคอ์ น่ื ๆ
6. ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytictheory) บุคคลที่สนับสนุนทฤษฎีนี้คือ ซิกมันด์
ฟรอยด์(Sigmund Freud) คาร์ล กุสตาฟ จุง (Carl GustavJung) อัลเฟรด แอดเลอร์ (Alfred
Adler) เออร์เนส ครีส(Ernst Kris) ออตโต แรงค์ (Otto Rank) และอี. เอฟ.แฮมเมอร์ (E. F.
Hammer) กลมุ่ จิตวิเคราะห์แนะวา่ ความคดิ สรา้ งสรรค์เกิดจากแรงขับของจิตไร้สา นึก ฟรอยด์กล่าว
ว่า “ความปรารถนาท่ีไมพ่ ึงพอใจเปน็ พลงั ผลกั ดันอยเู่ บอื้ งหลังการเพอ้ ฝนั 7 (fantasies)” มีการอธิบาย
เพ่ิมเติมว่า การคิดสร้างสรรค์ซ่ึงเป็นการคิดในระดับก่อนมีสติสา นึกและระดับจิตไร้สา นึกว่า มี
ความสามารถท่ีจะเปน็ จริงข้ึนมาไดอ้ ยา่ งไร ฟรอยด์ได้ให้ความหมายของการคิดสรา้ งสรรคว์ ่า หมายถึง
ความสามารถในการปรับการเพ้อฝันให้เป็นจริงผ่านรูปแบบของศิลปะ ซ่ึงกาหนดการคิดสร้างสรรค์
ด้วย
6.1) ของตัวมันเองเหง้า (root) ของการคิดสร้างสรรค์ส่วนใหญ่แล้วเป็นจิตไร้สา นึก และ
รวมกบั จิตสา นกึ ในรปู แบบของการวางแผนและผลิตผล เพือ่ ผลิตส่วนปลีกย่อยของการคิดสร้างสรรค์
นอกจากนนั้ การคดิ สรา้ งสรรคย์ ังมใี นดา้ นทางสงั คม โดยผ่านการใชข้ องผรู้ ว่ มงานและธรรมชาติของผู้
ดูฟรอยด์อ้างวา่ การคดิ สรา้ งสรรค์เปน็ กลไกปอ้ งกันตนตามธรรมชาติ ซึ่งพัฒนาข้ึนมาเพ่ือป้องกันโรค
7 ยศ สันตสมบัติ, ฟรอยด์และพัฒนาการของจิตวิเคราะห์ , (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์
มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, 2556), หน้า 47.
๑๖
ประสาทนา ไปสู่การพัฒนาให้ความบันเทิงและความพึงพอใจของประชาชน แม้ว่าศิลปินจะให้
ทางออกกับการเพ้อฝันและความรู้สึกที่ทา ให้สามารถได้รับสิ่งเหล่านี้ แทนท่ีจะก่อให้เกิดพิษข้ึน
ภายใน ซึ่งบุคคลสามารถท่ีจะโยกย้ายความรู้สึกได้
7.ทฤษฎีมนุษย์นิยมของการคิดสร้างสรรค์ (The Humanistic theory of creativity)
ผสู้ นับสนุนทฤษฎนี ี้ ไดแ้ ก่ เอบราแฮม ฮาโรลด์ มาสโลว์ (AbrahamHarold Maslow) คาร์ล แรนซัม
โรเจอร์ส (Carl RansomRogers) เอริค ฟรอมม์ (Erich Fromm)หลักการที่สาคัญของทฤษฎีนี้คือ8
มนุษย์มีความต้องการข้ันพ้ืนฐาน ความต้องการเหล่าน้ีจา เป็นต้องได้รับการตอบสนอง ก่อนท่ีจะ
เจริญก้าวหน้าขึ้นไป เมื่อความต้องการเหล่าน้ีได้รับการตอบสนอง บุคคลก็จะก้าวขึ้นสู่การบรรลุ
ศกั ยภาพของตน และตอนนจ้ี ะมีความเปน็ อสิ ระและสะดวกสบายเพียงพอที่จะแสดงลักษณะของการ
คิดสรา้ งสรรคท์ ฤษฎนี ี้ระบุวา่ สภาพแวดล้อมไม่ได้เป็นปัจจัยของการคิดสร้างสรรค์ เพราะถ้าบุคคลท่ี
สามารถตอบสนองความตอ้ งการข้ันพนื้ ฐานได้ บคุ คลผนู้ ้นั กส็ ามารถเลือกที่จะมกี ารคดิ สรา้ งสรรค์ การ
คิดสรา้ งสรรคเ์ ป็นศนู ย์กลางของกระบวนการเจรญิ เติบโตและการเรียนรู้ และการท่ีเป็นเช่นน้ี ช่วยให้
บุคคลมคี วามกา้ วหนา้ ในสงั คม ผทู้ ่ีเชื่อในทฤษฎนี ้เี ชื่อว่า การบรรลุศักยภาพของตน จะทา ให้บุคคลมี
ชีวิตท่ีมีความหมายและแยกออกจากการถูกควบคุมโดยสังคมและวัฒนธรรม กลายมาเป็นเอกัตต
บุคคลมากกว่าทจ่ี ะเป็นแต่เพียงบุคคลธรรมดา
7.1) มาสโลว์ ได้แบ่งการคิดสร้างสรรค์เป็น 3 แบบได้แก่ การคิดสร้างสรรค์แบบปฐมภูมิ
การคดิ สรา้ งสรรคแ์ บบทุตยิ ภูมิ และการคิดสรา้ งสรรคแ์ บบบูรณาการ ดงั นีก้ ารคดิ สร้างสรรค์
7.1.1) แบบปฐมภมู เิ ปน็ การคิดสร้างสรรค์เพ่ือหนีจากความเครียดในชีวิตประจา วันผลงาน
เหล่าน้ีเป็นศิลปะที่สร้างสรรค์ เช่น การวาดภาพการปั้น และการเขียน เป็นต้น ซึ่งเป็นรูปแบบ
ความคิดสรา้ งสรรคท์ เ่ี ปน็ ธรรมชาติมาก
7.1.2) การคิดสร้างสรรค์แบบทุติยภูมิเป็นระดับของการคิดเกี่ยวกับผลสัมฤทธ์ิในระดับสูง
กว่า มแี นวโน้มคิดออกและเกย่ี วขอ้ งมากกวา่ การคิดสร้างสรรคแ์ บบปฐมภมู ิ
7.1.3) การคดิ สร้างสรรค์แบบบรู ณาการ เกิดมาจากการรวมการคิดสร้างสรรค์แบบปฐมภูมิ
และการคิดสร้างสรรค์แบบทุติยภูมิ การคิดรูปแบบน้ีเช่ือว่า จะเป็นพื้นฐานสาคัญท่ีสุดของศิลปะที่
ยง่ิ ใหญ่ ปรชั ญา และการคน้ พบทางวทิ ยาศาสตรห์ รือความสาเรจ็
8.ทฤษฎีทางจิตมิติ การวัดการคิดสร้างสรรค์ด้วยจิตมิติ กลุ่มของกิลฟอร์ดได้บุกเบิกศึกษา
การคิดสร้างสรรค์ด้วยวิธีจิตมิติ โดยการสร้างแบบทดสอบวัดการคิดสร้างสรรค์ข้ึนหลายชุด ได้แก่
8.1) การกาหนดชื่อเร่ือง ผู้เข้าร่วมจะได้รับเนื้อเร่ืองและได้รับการขอให้เขียนชื่อเรื่องนั้น
8.2) การตอบอย่างรวดเร็วเป็นการทดสอบความสัมพันธ์ของคา คะแนนจะได้จากคาตอบท่ี
ไมธ่ รรมดา
8 กรรณิการ์ เฉกแสงรตั น, ทฤษฎีการเรียนรู้, (กรุงเทพ: มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง, 2560), หน้า 23.
๑๗
8.3) มโนทัศน์เก่ียวกับรูปภาพ ผู้เข้าร่วมจะได้รับภาพวัตถุต่าง ๆ และบุคคลต่าง ๆ และ
ผู้เข้าร่วมจะได้รับการขอให้ค้นหาคุณภาพหรือคุณสมบัติที่ร่วมกันของภาพ 2 ภาพ หรือมากกว่า
คะแนนจะได้จากคาตอบทไี่ ม่ธรรมดา
8.4) การใช้งานที่ผิดปรกติเป็นการค้นหาการใช้งานท่ีผิดปรกติสาหรับวัตถุธรรมดาใน
ชีวติ ประจาวัน เชน่ อิฐ ฯลฯ
8.5) ความเชอ่ื มโยงทเ่ี กาะเกย่ี วกัน ผู้เขา้ รว่ มจะถูกขอให้หาคา ระหว่างคา สองคาทีก่ าหนด
(เช่นมอื _____ โทร ฯลฯ)
8.6) ผลท่ีตามมาในระยะไกล ผู้เข้าร่วมจะได้รับการถามเพื่อให้ตอบถึงผลกระทบของ
เหตกุ ารณท์ ไี่ ม่คาดคิด (เชน่ ถา้ สูญเสียของแรงโนม้ ถ่วงแลว้ จะเป็นอย่างไร ฯลฯ)
โดยสรปุ แล้วเมื่อเราพจิ ารณาจากองคป์ ระกอบของทฤษฎคี วามคิดสร้างสรรค์ทั้งหมด อย่างท่ี
กล่าวมาแล้วท้ังหมด จะเห็นได้ว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นทักษะท่ีมีในตัวบุคคลทุกคนตามธรรมชาติ
และสามารถท่ีจะพัฒนาให้สูงขึ้นได้โดยอาศัยการตระหนักรู้ในตนเอง การเรียนรู้ที่เปิดกว้าง
มีส่ิงแวดล้อม และบรรยากาศที่เอ้ืออานวย ท่ีจะช่วยผลักดันให้บุคคลสามารถดึงศักยภาพเชิง
สร้างสรรคข์ องตนเอง ออกมาใช้ได้อยา่ งเต็มที่ในท่ีสุดนั่นเอง การคิดสร้างสรรค์เป็นกระบวนการคิดท่ี
นา ไปส่นู วตั กรรม การแก้ปัญหาหรือการสังเคราะห์ในเรื่องต่าง ๆ โดยมุมมองของการคิดสร้างสรรค์
ประกอบด้วย มุมมองของการรู้คิด มุมมองทางบุคลิกภาพและสังคม มุมมองทางประสาทชีววิทยา
มุมมองทางสุขภาพจิต และมุมมองของการคิดสร้างสรรค์และสติปัญญา ท้ังน้ีในการวัดควา มคิด
สร้างสรรค์สามารถวัดตามแนวคิดทฤษีต่าง ๆ ท่ีได้กล่าวมาร่วมแนวคิดความฉลาดทางการคิด
สร้างสรรค์ ทฤษฎีทางจิตมิติ ทฤษฎีทางบุคลิกภาพและสังคม โดยเคร่ืองมือท่ีใชว้ ดั จะข้ึนอยู่กับแนวคิด
ที่นา มาใช้ และการพฒั นาการคดิ สรา้ งสรรคส์ ามารถทา ได้ด้วยการกระตนุ้ และ
2.3 ทฤษฎเี ก่ียวกบั การจดั การเรียนรแู้ บบ STAD
STAD เป็นเทคนิคหนึ่งของการสอนแบบร่วมมือ9 (Cooperative learning) พัฒนาข้ึนโดย
Robert E. Slavin ผอู้ านวยการศกึ ษาโครงการระดับประถมศึกษา ศูนย์วิจัยประสิทธิภาพการเรียนรู้
ของผู้เรียนมีปัญหาทางด้านวิชาการแห่งมหาวิทยาลัยจอห์นฮอฟกินส์ สหรัฐอเมริกา และเป็น
ผเู้ ช่ียวชาญการสอนคณติ ศาสตร์ ได้พัฒนาเทคนิคข้ึนเพ่ือขจัดปัญหาทางการศึกษา ทฤษฎี/แนวคิดของ
Robert E. Slavin โดยมุ่งเน้นทักษะการคิด การเรียนท่ีเป็นระบบ เป็นทางเลือกหนึ่งสาหรับการเรียน
เปน็ กลมุ่ และเป็นวิธกี ารสร้างสัมพันธภาพระหวา่ งผเู้ รยี น ซึ่งเปน็ การเรยี นทีเ่ ปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้คิด
รว่ มกนั แลกเปลี่ยนประสบการณ์ความคิด เหตุผลซ่ึงกันและกันได้เรียนรู้สภาพอารมณ์ ความรู้สึกนึก
9 อทิติยา สวยรูป, การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วมมือ โดยใช้เทคนิค STAD. (กรุงเทพฯ.
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน. 2556), หนา้ 58.
๑๘
คดิ ของคนในกลมุ่ เพื่อเปน็ แนวคิดไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจาวัน ตามความเหมาะสมของแต่
ละบุคคลตลอดจนเพ่ือจะเรยี นรู้และรับผิดชอบงานของผู้อ่นื เสมือนงานของตนโดยมุ่งเน้นผลประโยชน์
และความสาเร็จของกลุ่ม การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ STAD เป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ท่ี
Robert Slavin และคณะจากมหาวิทยาลัย John Hopkins ได้ร่วมมือกันพัฒนาข้ึน เป็นการจัดการ
เรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบหน่ึงคล้ายกับเทคนิค TGT ที่แบ่งผู้เรียนท่ีมีความสามารถแตกต่างกัน
ออกเปน็ กลุ่มเพ่อื ทางานร่วมกัน กล่มุ ละประมาณ 4-5 คน โดยกาหนดใหส้ มาชิกของกลุ่มได้เรียนรู้ใน
เน้อื หาสาระที่ผสู้ อนจดั เตรยี มไว้แลว้ และใหท้ าการทดสอบความรู้ท่ไี ด้รับคะแนนที่ได้จากการทดสอบ
ของสมาชิกแต่ละคนนาเอามาบวกเป็นคะแนนรวมของทีม ผู้สอนจะต้องใช้วิธีเสริมแรง หลักการ
พน้ื ฐานของรูปแบบการเรียนแบบเป็นทีมของ Robert E. Slavin ประกอบด้วย 1) การให้รางวัลเป็น
ทีม (Team Rewards) ซึ่งเป็นวิธีการหน่ึงในการวางเงื่อนไขให้นักเรียนพ่ึงพากัน 2) การจัด
สภาพการณ์ให้เกิดความรับผิดชอบในส่วนบุคคลท่ีจะเรียนรู้ ( Individual Accountability)
ความสาเรจ็ ของทีมหรอื กลุ่มอยูท่ ี่การเรยี นรูข้ องสมาชิกแต่ละคนในทมี 3) การจัดให้มีโอกาสเท่าเทียม
กันทจี่ ะประสบความสาเร็จ (Equal Opportunities For Success) นักเรียนมีส่วนช่วยให้ทีมประสบ
ความสาเร็จด้วยการพยายามทาผลงานใหด้ ขี น้ึ กวา่ เดิมในรปู ของคะแนนปรบั ปรุง
แนวทางการจัดการเรียนรู้ขั้นตอนการสอนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD ได้เสนอไว้
ประกอบไปด้วย 5 ขัน้ ตอนหลักดังนี้
1. การนาเสนอส่ิงทีต่ อ้ งเรียน (Class Presentation) ครูเปน็ ผู้นาเสนอสง่ิ ทนี่ กั เรียนตอ้ งเรียน
ไม่ว่าจะเป็นมโนทัศน์ ทักษะและ/หรือกระบวนการ การนาเสนอส่ิงที่ต้องเรียนนี้อาจใช้การบรรยาย
การสาธิตประกอบการบรรยาย การใช้วีดิทัศน์หรือแม้แต่การให้นักเรียนลงมือปฏิบัติการทดลองตาม
หนังสือเรียน
2. การทางานเป็นกลุ่ม (Teams) ครูจะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มจะ
ประกอบด้วยนักเรียนประมาณ 4-5 คน ที่มีความสามารถแตกต่างกัน มีท้ังเพศหญิงและเพศชาย
3.การทดสอบย่อย (Quizzes) หลังจากท่ีนักเรียนแต่ละกลุ่มทางานเสร็จเรียบร้อยแล้วครูก็
ทาการทดสอบยอ่ ยนักเรียน โดยนักเรยี นต่างคนตา่ งทา เพ่อื เป็นการประเมินความร้ทู ี่ นักเรียนได้เรียน
มา สง่ิ นีจ้ ะเปน็ ตวั กระตนุ้ ความรบั ผดิ ชอบของนกั เรยี น
4.คะแนนพัฒนาการของนักเรียนแต่ละคน (Individual Improvement Score) คะแนน
พฒั นาการของนักเรียนจะเป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียนทางานหนักขึ้น ในการทดสอบแต่ละคร้ังครูจะมี
คะแนนพ้ืนฐาน (Base Score) ซึ่งเป็นคะแนนต่าสุดของนักเรียนในการทดสอบย่อยแต่ละครั้ง ซ่ึง
คะแนนพัฒนาการของนักเรยี นแต่ละคนได้จากความแตกต่างระหว่างคะแนนพ้ืนฐาน (คะแนนต่าสุด
ในการทดสอบ) กับคะแนนที่นักเรียนสอบได้ในการทดสอบย่อยนั้นๆ ส่วนคะแนนของกลุ่ม (Team
Score) ได้จากการรวมคะแนนพัฒนาการของนักเรียนทุกคนในกลมุ่ เข้าด้วยกนั
5.การรบั รองผลงานของกลมุ่ (Team Recognition) โดยการประกาศคะแนนของกลุ่มแต่ละ
กลุ่มให้ทราบพร้อมกับให้คาชมเชย หรือให้ประกาศนียบัตรหรือให้ รางวัลกับกลุ่มท่ีมีคะแนน
๑๙
พัฒนาการของกลุ่มสูงสุด โปรดจาไว้ว่า คะแนนพัฒนาการของนักเรียนแต่ละคนมีความสาคัญเท่า
เทียมกับคะแนนทน่ี ักเรยี นแตล่ ะคนไดร้ บั จากการทดสอบ
การเรียนรู้แบบร่วมมือกัน10 (Cooperative Learning) ทิศนา แขมมณี11 กล่าวถึงรูปแบบ
การเรียนการสอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ พัฒนาข้ึนโดยอาศัยหลักการเรียนรู้แบบร่วมมือของ
จอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson & Johnson, 1974: 213-24012) ซ่ึงชี้ให้เห็นว่า ผู้เรียนควร
ร่วมมอื กนั ในการเรียนรู้มากกวา่ การแขง่ ขันกนั เพราะการแขง่ ขันกอ่ นใหเ้ กดิ สภาพการณ์ของการแพ้-
ชนะ ตา่ งจากการร่วมมือกนั ซึง่ ก่อให้เกิดสภาพการณ์ของการชนะ-ชนะ อันเป็น สภาพการณ์ที่ดีกว่า
ทั้งทางด้านจิตใจและสติปัญญา หลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ 5 ประการประกอบด้วย 1.การเรียนรู้
ต้องอาศัยหลักการพ่ึงพากัน โดยถือว่าทุกคนมีความสาคัญเท่าเทียมกันและจะต้อง พึ่งพากันเพ่ือ
ความสาเรจ็ รว่ มกนั 2. การเรยี นรทู้ ด่ี ตี ้องอาศัยการหันหน้าเขา้ หากนั มีปฏิสมั พันธ์กัน เพือ่ แลกเปล่ียน
ความคิดเห็น ข้อมูล และการเรียนรู้ต่างๆ 3. การเรียนรู้ร่วมกันต้องอาศัยทักษะทางสังคม 4.การ
เรียนรู้ร่วมกันควรมีการวิเคราะห์กระบวนการกลุ่มท่ีใช้ในการทางาน 5.การเรียนรู้ร่วมกันจะต้องมี
ผลงานหรือผลสมั ฤทธิ์ทง้ั รายบุคคลและรายกลมุ่ ท่สี ามารถตรวจสอบและวดั ประเมินได้
ขั้นตอนการจดั การการเรียนรู้ด้วยเทคนิค STAD ทิศนา แขมมณีได้ลาดับข้ันตอนการจัดกิจกรรมการ
เรียนการสอนเทคนิค STAD ไวด้ ังน้ี (ทศิ นา แขมมณี. 2553: 266-267)13 ซ่ึงมีข้ันตอนการจัดการ
เรียนรู้ ดังนี้
1. ข้ันนาเสนอเนื้อหา โดยการทบทวนพื้นฐานความรู้เดิม จากนั้นครูสอนเน้ือหาใหม่กับ
นกั เรยี นกลุม่ ใหญ่ทงั้ ชน้ั
2. ขนั้ ปฏิบัติกิจกรรมกลุ่ม โดยนักเรียนในกลุ่ม 4-5 คน ร่วมกันศึกษากลุ่มย่อยนักเรียนเก่ง
จะอธบิ ายใหน้ กั เรยี นออ่ นฟงั และช่วยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั ในการทากจิ กรรม
3. ขนั้ ทดสอบย่อย นักเรียนแตล่ ะคนจะทาแบบทดสอบดว้ ยตนเอง ไมม่ ีการช่วยเหลือกัน
4. คิดคะแนนความก้าวหน้าแต่ละคน และของกลุ่มย่อย ครูตรวจผลการสอบของนักเรียน
โดยคะแนนท่ีนักเรียนทาได้ในการทดสอบจะถือเป็นคะแนนรายบุคคล แล้วนาคะแนนรายบุคคลไป
แปลงเป็นคะแนนกล่มุ
10 จริ นนั ท์ กญุ ชะโมรนิ ทร์, การเรยี นร้แู บบร่วมมือเทคนิค STAD ประกอบเกม, (กรงเทพฯ: สุวีริยาสา
สน.2558), หนา้ 14.
11 ทศิ นา แขมมณี, ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพ่ือการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ, พิมพ์
คร้งั ท่ี 2 (ฉบับพมิ พ์เพิม่ เตมิ ), กรงุ เทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2545, หน้า 46.
12 Johnson, D.W. and R.T. JohnsonCareless of Learning : Cooperative in the Classroom,
Edina : Edwards Brothers, (1975 a).
๒๐
5. ชมเชย ยกย่อง บุคคลหรือกลุ่มทม่ี ีคะแนนยอดเย่ยี ม นกั เรียนคนใดทาคะแนนได้ดีกว่าครั้ง
ก่อน จะได้รับคาชมเชยเป็นรายบุคคล และกลุ่มใดทาคะแนนได้ดีกว่าครั้งก่อนจะได้รับคาชมเชยทั้ง
กลุม่
เทคนคิ การเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ STAD
การเรยี นแบบร่วมมือแบบแรกท่ีได้รับการพัฒนาขึ้นท่ี Johns Hopkins University เรียกช่ือ
เป็นภาษาอังกฤษว่า Student Teams Achievement Divisions (STAD)
กิจกรรมการเรยี นแบบ STAD
1. ส่วนประกอบของกิจกรรมการเรียนแบบ STAD (Student Teams Achievement
Divisions) มีส่วนประกอบพื้นฐานที่สาคัญอยู่ 2 ส่วน คือ 1) กลุ่มหรือทีม (Student Teams) 2)
กลุ่มสมั ฤทธ์ิ (Achievement Divisions)
สว่ นประกอบทง้ั สองส่วนมีความสาคัญตอ่ การจัดการเรยี นการสอน ดงั น้ี
1. กลุ่มหรือทีม (Student Teams) กลุ่มนักเรียนในกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ STAD
นัน้ ในแต่ละกลุ่มหรือทีม จะมีสมาชกิ 4-5 คน ซง่ึ ประกอบดว้ ยนกั เรยี นทีม่ ีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง
ปานกลางและต่า นกั เรียนท่มี ีผิวขาว ผิวดา ตา่ งชาติและต่างเพศ สมาชิกในแต่ละกลุ่มหรือทีมจะต้อง
รว่ มมือกนั ให้ความชว่ ยเหลือซึ่งกันและกันในด้านการเรียน เพื่อท่ีจะให้แต่ละคนมีความรู้ความเข้าใจ
ในเนอ้ื หาท่ีเรียน ในแต่ละกลุ่มหรือทีมจะต้องเตรียมสมาชิกประมาณสัปดาห์ละ 2 คร้ัง คะแนนท่ีแต่
ละคนทาได้จะถูกแปลงให้เป็นคะแนนของแต่ละกลุ่ม โดยใช้ระบบผลสัมฤทธิ์ จากนั้นนาคะแนนท่ี
ได้มารวมกันเพ่ือเป็นคะแนนของกลุ่มหรือข่าว หรือทีม ในแต่ละสัปดาห์จะมีการประกาศผลทีมที่ได้
คะแนนสูงสดุ ในลกั ษณะของจดหมายข่าว (Newsletter) สมาชิกภายในกลุ่มหรือทีมจะร่วมมือกันใน
การทางานเพอื่ ท่จี ะแข่งขนั กบั กลุ่มหรอื ทมี อน่ื
2. ระบบกลุ่มสัมฤทธิ์ (Achievement Divisions)ระบบกลุ่มสัมฤทธ์ิเป็นวิธีทางท่ีจะช่วยให้
เดก็ ทกุ ระดับความสามารถทางการเรยี นสามารถที่จะทาคะแนนได้สูงสุดเต็มความสามารถของตนเอง
ระบบกลมุ่ สมั ฤทธิ์จะเรม่ิ จากการนาคะแนนทดสอบของครัง้ ท่ผี ่านมาของนกั เรียนทุกคน มาเรียงลาดับ
จากคะแนนมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด นักเรียนท่ีได้คะแนนสูงสุด 6 คนแรก จะถือได้ว่าเป็นกลุ่ม
ผลสมั ฤทธทิ์ ี่ 1 (Divisions 1) นักเรียนท่ีได้คะแนนรองลงไปอีก 6 คน จะถือว่าเป็นกลุ่มสัมฤทธ์ิที่ 2
(Divisions2) เชน่ นไ้ี ปเรอ่ื ยๆ ระบบกลมุ่ สมั ฤทธน์ิ ้จี ะใช้สาหรบั คะแนนการทดสอบท่ีนักเรียนแต่ละคน
ได้รับจากการทดสอบแต่ละคร้ังให้เป็นคะแนนของกลุ่มหรือทีมของตน โดยการแปลงคะแนนนี้จะ
พิจารณาของนักเรียนในแต่ละกลุ่มสัมฤทธิ์ (Achievement Divisions) โดยนักเรียนได้คะแนนสูงสุด
ในแต่ละกลุม่ สมั ฤทธิจ์ ะไดร้ บั คะแนนสาหรับกลมุ่ หรอื ทีมของตนอยู่ 8 คะแนน นักเรียนท่ไี ด้เป็นอันดับ
สองของแตล่ ะกลุม่ สมั ฤทธจิ์ ะได้คะแนนสาหรับกลุ่มหรือทีมของตนเท่ากับ 6 คะแนน ส่วนนักเรียนท่ี
ได้คะแนนเป็นอันดับ 3 ของแต่ละกลุ่มสัมฤทธิ์ จะได้คะแนนสาหรับกลุ่มหรือทีมของตนเท่ากับ 4
๒๑
คะแนน และนักเรียนท่ีได้อันดับท่ี 4, 5 และ 6 ของแต่ละกลุ่มสัมฤทธ์ิ จะได้รับคะแนนสาหรับกลุ่ม
หรือทีมของตน เท่ากับ 2 คะแนน การแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มสัมฤทธิ์นี้ นักเรียนที่ มีผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี นสูงกแ็ ขง่ ขันกับนกั เรยี นท่ีมผี ลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นสูงเชน่ เดียวกนั นักเรียนที่มีผลสัมฤทธ์ิ
ระดับปานกลางแข่งกับนักเรียนที่มีผลสัมฤทธ์ิระดับปานกลาง ส่วนนักเรียนท่ีมีผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนต่าก็จะแข่งขันอยู่ในระดับเดียวกันเท่าน้ัน วิธีการเช่นนี้จะพบว่า นักเรียนท่ีมีความสามารถ
ใกลเ้ คียงกันจะแข่งขันกันเท่านั้น การแข่งขันจะไม่ใช่การแข่งขันระหว่างนักเรียนทุกคนในห้องเรียน
เดียวกัน ดังนน้ั การนาระบบผลสมั ฤทธ์ิเขา้ มาใช้ในการเรียนการสอนจึงเป็นวิธีการหนึ่งที่จะกระตุ้นให้
นักเรยี นแต่ละระดับความสามารถ ได้กระทากิจกรรมเต็มที่ตามความสามารถของตนในการทดสอบ
นัน้ บางครั้งสมาชกิ ท่อี ย่ใู นกลมุ่ ผลสัมฤทธต์ิ า่ มีคะแนนที่สามารถอยู่ในกลุ่มผลสัมฤทธิ์ท่ีสูงกว่าได้ เช่น
นักเรียนทไ่ี ด้อันดับที่ต้นๆ ของกลุ่มสัมฤทธิ์ท่ี 2 อาจจะได้คะแนนมากกว่านักเรียนท่ีได้อันดับท้าย ๆ
ของกลุ่มสัมฤทธ์ิที่ 1 เป็นต้น ถ้ามีเหตุการณ์เช่นน้ีเกิดข้ึนสัมฤทธ์ิในการสอบครั้งต่อไปจะต้องถูกจัด
ใหม่ โดยการนาคะแนนทไ่ี ดจ้ ากการสอบคร้ังล่าสุดมาเรียงลาดับจากคะแนนมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด
แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มสัมฤทธิ์โดยใช้วิธีการและหลักการเช่นเดิม จะเห็นได้ว่ากลุ่ม สัมฤทธิ์น้ีมี
โอกาสเปล่ียนแปลงได้ตลอดเวลาเพ่ือที่จะให้นักเรียนที่มีความสามารถเท่ากันหรือใกล้เคียงกันได้
แข่งขันซง่ึ กนั และกัน
2. เง่ือนไขท่ีจาเป็นสาหรับการเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบ STAD ส่ิงที่ครูต้อง
ตระหนักถงึ เพื่อเพมิ่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรยี นที่ได้รับการสอนโดยใชก้ ิจกรรมการเรียนแบบ
STAD มีดงั น้ี
2.1 เป้าหมายของกลุ่ม (Group Goal) เง่ือนไขนี้เป็นส่ิงจาเป็นอย่างยิ่งสาหรับผู้เรียน ท้ังนี้
เพราะกลมุ่ จาเป็นต้องใหส้ มาชิกทกุ คนในกลุ่มได้ทราบเป้าหมายของกลุ่มในการร่วมมือกันทางาน ถ้า
ปราศจากเงือ่ นไขขอ้ นง้ี านจะสาเรจ็ ไมไ่ ดเ้ ลย
2.2 ความรบั ผิดชอบต่อตนเอง (Individual Accountability) สมาชกิ ในกลุ่มทุกคนจะต้องมี
ความรับผิดชอบต่อตนเองเท่าๆ กับรับผิดชอบกลุ่ม กล่าวคือ กลุ่มจะได้รับการชมเชยหรือได้รับ
คะแนน ตอ้ งเป็นผลสืบเนอ่ื งมาจากคะแนนรายบุคคลของสมาชกิ ในกล่มุ ซ่ึงจะนาไปแปลงเป็นคะแนน
ของกลุ่มโดยใช้ระบบกลุ่ม “สัมฤทธิ์” นั่นเอง การเรียนของนักเรียนท่ีเรียนโดยการทากิจกรรมการ
เรียนการสอนแบบ STAD กล่าวคือ เป้าหมายของกลุ่มให้นักเรียนเกิดแรงจูงใจท่ีจะช่วยเหลือสมาชิก
คนอ่ืนๆ ในกลุ่ม ให้เรียนรู้ได้เหมือนตน ถ้าปราศจากเป้าหมายของกลุ่ม นักเรียนก็จะทางานผิด
จุดประสงค์ท่ีตั้งไว้ ดังนั้นนักเรียนจึงต้องทราบเป้าหมายของกลุ่มเพื่อความสาเร็จในการเรียน ย่ิงไป
กวา่ นนั้ เป้าหมายของกลุม่ อาจจะชว่ ยให้นกั เรียนผ่านพ้นความลงั เล ไมแ่ นใ่ จในการท่ีจะตั้งคาถาม ถาม
ครู ซึ่งถ้าปราศจากข้อนี้นักเรียนจะไม่กล้าถาม ในการเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบ STAD นั้น
สมาชกิ ในกลมุ่ ทกุ คนตอ้ งปฏิบัตติ ามหลกั การพื้นฐาน 5 ประการดงั ต่อไปน้ี
1. การพึง่ พาอาศยั ซึ่งกนั และกันเชงิ บวก (Positive Interdependent) นกั เรยี นจะรูส้ กึ วา่ ตน
จาเปน็ จะต้องอาศยั ผ้อู ่นื ในการที่จะทางานกลมุ่ ให้สาเร็จ กล่าวคือ “ร่วมเป็นรว่ มตาย” วิธีการที่จะทา
๒๒
ใหเ้ กิดความรสู้ กึ แบบนี้ อาจจะทาได้โดยใหม้ ีจดุ มุ่งหมายร่วมกัน เช่น ถ้านักเรียนทาคะแนนกลุ่มได้สูง
แต่ละคนจะได้รับรางวัลร่วมกันประเด็นที่สาคัญคือ สมาชิกทุกคนในกลุ่มจะต้องทางานกลุ่มให้เป็น
ผลสาเร็จ ซ่ึงความสาเร็จนี้จะข้ึนอยู่กับความร่วมมือร่วมใจของสมาชิกทุกคน จะไม่มีการยอมรับ
ความสาคัญหรอื ความสามารถของบุคคลเพียงคนเดียว
2. การติดต่อสัมพันธ์โดยตรง (Face to Face Promotive Interaction) เนื่องจากการ
พ่ึงพาอาศัยซ่ึงกันและกันเชิงบวก มิใช่จะทาให้เกิดผลอย่างปาฏิหาริย์ แต่ผลที่เกิดข้ึนจากการพ่ึงพา
อาศัยซ่ึงกันและกันน้ัน จะต้องมีการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน โดยเปิดโอกาสให้
สมาชกิ ได้เสนอแนวคดิ ใหม่ ๆ เพื่อเลือกสิ่งท่ีดี สงิ่ ทถ่ี ูกต้องและเหมาะสม
3. การรับผิดชอบงานของกลุ่ม (Individual Accountability at Group Work) การเรียน
โดยใชก้ จิ กรรมการเรยี นแบบ STAD จะถือวา่ ไมส่ าเรจ็ จนกวา่ สมาชิกทกุ คนในกลุ่มจะได้เรียนรู้เรื่องใน
บทเรียนได้ทุกคน เพราะฉะน้ันจึงจาเป็นต้องวัดผลการเรียนของแต่ละคน เพื่อให้สมาชิกในกลุ่มได้
ช่วยเหลือเพอื่ นที่เรียนไม่เก่ง บางทีครูอาจจะใช้วิธีทดสอบสมาชิกในกลุ่มเป็นรายบุคคลหรือสุ่มเรียก
บุคคลใดบุคคลหนึ่งในกลุ่มเป็นผู้ตอบ ซึ่งกลุ่มจะต้องช่วยกันเรียนรู้และช่วยกันทางาน มีความ
รับผิดชอบงานของตนเป็นพื้นฐานซึ่งทุกคนจะต้องเข้าใจ และรู้แจ้งในงานท่ีตนรับผิดชอบอันจะ
กอ่ ให้เกดิ ผลสาเร็จตามมา
4. ทักษะในความสัมพันธ์กับกลุ่มเล็กและผู้อื่น (Social Skills) นักเรียนทุกคนไม่ได้มา
โรงเรียนพร้อมกับทักษะในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อ่ืน เพราะฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของครูที่จะช่วย
นักเรยี นในการสื่อสารการเปน็ ผนู้ า การไวใ้ จผอู้ ื่น การตดั สนิ ใจ การแกป้ ัญหาความขดั แย้ง
5. กระบวนการกลุ่ม (Group Processing) กระบวนการกลุ่ม หมายถึง การให้นักเรียนมี
เวลาและใช้กระบวนการในการวิเคราะห์ว่ากลุ่มทางานได้เพียงใด และสามารถใช้ทักษะสังคมและ
มนุษยส์ มั พนั ธ์ไดอ้ ย่างเหมาะสมกบั กระบวนการกลุม่ นี้ช่วยใหส้ มาชกิ ในกลมุ่ ทางานไดผ้ ล
สาเหตุท่วี ิธกี ารเรยี นโดยใชก้ จิ กรรมการเรียนแบบ STAD ได้ผล
1. นกั เรียนท่ีเก่งเขา้ ใจคาสอนของครไู ด้ดี จะเปลยี่ นคาสอนของครูเป็นภาษาพูดของ
นกั เรยี น อธบิ ายให้เพ่ือนฟงั ไดแ้ ละทาให้เพ่ือนเข้าใจได้ดีขึน้
2. นกั เรยี นที่ทาหน้าทอี่ ธิบายบทเรียนใหเ้ พ่ือนฟงั จะเขา้ ใจบทเรียนได้ดีขึ้นซ่ึงครูทุก
คนทราบขอ้ นดี้ ี คอื ยิ่งสอนยง่ิ เขา้ ใจในบทเรยี นที่ตนสอนไดด้ ยี ิ่งข้ึน
3. การสอนเพื่อนที่จะเป็นการสอนแบบตัวต่อตัว ทาให้นักเรียนได้รับการเอาใจใส่
และมคี วามสนใจมากย่ิงขึน้
4. นักเรยี นทุกคนต่างก็พยายามช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะคะแนนของสมาชิก
ในกลุ่มทกุ คน จะถกู นาไปแปลงเปน็ คะแนนของกลุ่มโดยใช้ระบบกลมุ่ สมั ฤทธิ์
5. นักเรยี นทุกคนเข้าใจดีว่า คะแนนของตนมีส่วนช่วยเพิ่มหรือลดคะแนนของกลุ่ม
ดังนนั้ ทกุ คนต้องพยายามอย่างเต็มท่ี จะคอยอาศัยเพ่ือนอยา่ งเดียวไมไ่ ด้
๒๓
6. นักเรียนมีโอกาสฝึกทักษะทางสังคม มีเพื่อนร่วมกลุ่มและเรียนรู้วิธีการทางาน
เปน็ กลมุ่ ซ่ึงจะเปน็ ประโยชน์มาก เมือ่ เขา้ สรู่ ะบบการทางานอนั แทจ้ ริง
7. นกั เรียนไดม้ โี อกาสเรียนรูก้ ระบวนการกลมุ่ เพราะในการปฏิบัติงานรว่ มกันนั้น ก็
ต้องมีการทบทวนกระบวนการทางานของกลุ่ม เพื่อให้ประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานหรือคะแนน
ของกลมุ่ ดีข้นึ
8. นักเรียนเก่งจะมบี ทบาททางสังคมในช้ันมากข้ึน เขาจะรู้สึกว่าเขาไม่ได้เรียนหรือ
หลบไปทอ่ งหนังสือเฉพาะตน เพราะเขาต้องมีหน้าที่ต่อสังคมด้วย
9. ในการตอบคาถามในห้องเรียน หากตอบผิดเพื่อนจะหัวเราะ แต่เม่ือทางานเป็น
กลุ่มนักเรียนจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถ้าหากตอบผิดก็ถือว่าผิดทั้งกลุ่ม คนอ่ืน ๆ อาจจะให้ความ
ช่วยเหลือบ้าง ทาให้นกั เรยี นในกลุม่ มคี วามผูกพันกนั มากขนึ้
สรปุ ไดว้ ่า การจดั การเรยี นรแู้ บบ STAD เปน็ รปู แบบในการจดั การเรยี นการสอนแบบร่วมมือ
กันเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่ง เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซ่ึงกาหนดให้นักเรียนที่มี
ความสามารถแตกตา่ งกัน ทางานร่วมกันเปน็ กลมุ่ ๆ ละ 4-5 คน ซึ่งประกอบด้วย นักเรียนท่ีเรียนเก่ง
1 คน นักเรียนที่เรียนปานกลาง 2-3 คน และนักเรียนท่ีเรียนอ่อน 1 คน และยังเป็นรูปแบบการ
ทางานร่วมกันเป็นรูปแบบท่ีสามารถปรับคนเข้าด้วยกัน และง่ายต่อตัวครูผู้สอน ส่วนประกอบของ
กิจกรรมการเรียนแบบ STAD มีส่วนประกอบพื้นฐานท่ีสาคัญอยู่ 2 ส่วน คือ 1) กลุ่มหรือทีม
(Student Teams) 2) กลุ่มสัมฤทธิ์ (Achievement Divisions)และมีกระบวนการ 5 ขั้นตอน การ
สอนแบบนี้จะทาให้เด็กท่ีเรียนเก่งช่วยประคองเด็กท่ีเรียนอ่อนได้และจะสามารถตอบโจทย์ต่อ
ครผู ้สู อนคอื เพอ่ื เพิ่มผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนกั เรียน
2.4 แบบความพงึ พอใจ
มผี ลต่อความสาเร็จของงานและองค์การรวมท้ังความสุขของผู้ทางานด้วย องค์การใดก็ตาม
หากบุคคลในองค์การไม่มีความพึงพอใจในการทางาน ก็จะเป็นมูลเหตุหนึ่งท่ีทาให้ผลงานและการ
ปฏิบัติงานต่า คุณภาพของงานลดลงเมื่อมีการงาน ลาออกจากงาน หรืออาจก่อให้เกิดปัญหา
อาชญากรรม และปัญหาทางวินัยได้อีกด้วย แต่ในทางตรงกันข้าม หากองค์การมีบุคคลที่มีความพึง
พอใจในการทางานสูง มีผลทางบวกต่อการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ความพึงพอใจในการงานยังเป็น
เครือ่ งมือหมายถึงแสดงประสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน และภาวะผู้นาของผู้บริหารองค์การ ดังน้ัน
ถ้าหากหน่วยงานใดเห็นความสาคัญของการสร้างความพึงพอใจให้เกิดข้ึนกับคนในหน่วยงานของตน
และมคี วามเข้าใจในปจั จยั หรือองคป์ ระกอบท่ีส่งผลต่อความพงึ พอใจในการทางาน อีกทั้งตระหนักอยู่
เสมอว่า ความร้สู กึ พึงพอใจน้ันสามารถเปล่ียนได้ตลอดเวลาตามสภาพการณ์หรือตามเวลา (Davis &
Newstrom, 1985, pp. 109-110 ; อ้างถงึ ใน ศริ วิ รรณ วรโพด, 2551, หน้า 15) นอกจากน้ียัง
มผี ใู้ ห้ความหมายของความพึงพอใจไว้หลายประการดังนี้
๒๔
ศริ วิ รรณ วรโพด14 ได้สรุปความพงึ พอใจในการปฏิบัติงานไว้วา่ หมายถงึ ความรู้สึกชอบของ
คนที่มีต่องาน เมอ่ื ความรู้สกึ ชอบของคนไดร้ บั การตอบสนองจากองค์การก็จะทาให้เกิดความพึงพอใจ
ในการทางานมาก ซึง่ สง่ ผลต่อความสาเร็จในการปฏิบตั ิงาน
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์15 ได้ให้ความหมายว่า ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานเป็น
ความรู้สึกรวมของบุคคลท่ีมีต่อการทางานในทางบวกและเกิดความสุข ในการปฏิบัติงานกับได้รับ
ผลตอบแทนผลท่ีเป็นความพึงพอใจจากการทางานจะทาให้บุคคลเกิดความรู้สึกกระตือรือร้น ทุ่มเท
พลงั กายพลังใจมีความมงุ่ ม่ันที่จะทางานมีขวัญและกาลังใจซึ่งส่ิงเหล่าน้ีจะส่งผลต่อประสิทธิภาพและ
ประสทิ ธิผลตลอดจนความสาเร็จขององค์การ
อานวย แสงสว่าง16 ได้ใหค้ วามหมายเก่ยี วกับว่า ความพึงพอใจใน การปฏิบัติงาน หมายถึง
การแสดงความรสู้ กึ ของผทู้ างานท่ีแสดงออกในทางบวกที่ดีต่อองค์การบุคคลผู้ร่วมงาน และงานท่ีทา
ได้แก่ การแสดงความยนิ ดี ชน่ื ชม การคดิ สร้างสรรค์ การรว่ มมือรว่ มแรง การมีความสุขในการทางาน
เป็นตน้
ปาริชาติ สังข์ขาว17 ได้ให้ความหมายว่า ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานว่าเป็นความรู้สึก
หรือความคิดของบุคคลในทางท่ีดี ท่ีมีต่องานท่ีทาอยู่และปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ โดยเกิดจาก
องค์ประกอบหลายประการ เป็นความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อหน่วยงานสภาพการทางานการบังคับ
บัญชา เงินเดอื น และสวัสดิการ ความมั่นคงปลอดภัยในการทางาน และถ้าบุคคลใดมีความพึงพอใจ
ในการปฏบิ ัติงานมากกจ็ ะทุม่ เทแรงกายแรงใจและปัญญาให้กับงานมากกว่าผู้ท่ีมีความพึงพอใจในงาน
นอ้ ย
ปภาวดี ดลุ ยจินดา18 ได้ใหค้ วามหมายของความพงึ พอใจในการปฏิบัติงานหมายถึง ทัศนคติ
ในทางบวกต่องาน ความพอใจในงาน ช่วยให้ตนทางานรู้สึกว่าชีวิตการทางานมีคุณภาพกับช่วย
ป้องกันมิใหค้ นทางานเกดิ ความร้สู กึ หา่ งเหินกับงาน
สรุปไดว้ า่ ความพงึ พอใจ หมายถงึ ความรสู้ ึกของบุคคลที่มคี วามชอบหรือพอใจในงานท่ีทาใน
ด้านต่าง ๆ โดยมีปัจจัยที่เก่ียวข้องเป็นเคร่ืองบ่งชี้ถึงสภาพปัญหาท่ีเกิดข้ึน ซึ่งได้เพศ อายุการศึกษา
เงนิ เดือนและระยะเวลาในการทางานนอกจากนัน้ ยังมีปจั จยั อน่ื ๆ ทีม่ ีอทิ ธิพลต่อความพึงพอใจในการ
14 ศิริวรรณ วรโพด, ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา
ฉะเชงิ เทรา เขต 2. (ราชภฏั ราชนครินทร์, 2551), หนา้ 16.
15 ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์, จิตวิทยาบริหารงานบุคคล, (กรุงเทพฯ: ศูนย์สื่อเสริมกรุงเทพฯ, 2544),
หน้า 22.
16 อานวย แสงสว่าง, ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานการบริหารงานบุคคล, (กรุงเทพฯ: สถาบัน
เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าพระนครเหนอื , 2544), หนา้ 88.
17 ปาริชาติ สงั ข์ขาว, ความพึงพอใจของนักศกึ ษาที่มตี ่อการใช้บรกิ ารห้องสมุดมหาวิทยาลัยศรีประทุม
การศึกษาค้นควา้ อสิ ระ บรหิ ารธุรกิจบัณฑิต. (กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร, 25๔๐), หนา้ 9.
18 ปภาวดี ดุลยจินดา, ความพึงพอใจต่อการให้บริการของสานักวิทยาบริการ มหาวิทยาลัยนครพนม,
(มหาวิทยาลัยมาสารคาม: มหาสารคาม, 2540), หนา้ 528.
๒๕
ปฏิบัติงาน รวมท้งั การบริหารจดั การ กระบวนการทางาน ปริมาณงาน ความสัมพันธ์กับบุคคลในร้าน
คา่ ตอบแทน ความสาเรจ็ ในการทางาน ความมั่นคงในการทางาน และความก้าวหน้าในการทางาน ซึ่ง
ความพอใจดังกล่าวมาน้ีต้องเป็นไปในทางบวก ความพึงพอใจของแต่ละบุคคล อาจเปล่ียนแปลงได้
เสมอตามกาลเวลา และสภาพแวดล้อมที่เปล่ียนแปลงไป ฉะน้ันผู้บริหารในองค์การจึงควรได้ทาการ
ตรวจสอบความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรในหน่วยงานเพ่ือจะได้ ทาการแก้ไขปรับปรุง
องคป์ ระกอบต่างๆ ในการปฏิบัตงิ านใหเ้ อ้อื หรือสนองความต้องการของบุคลากรตลอดไปทั้งนี้ เพ่ือให้
งานสาเรจ็ ตามความม่งุ หวงั ขององคก์ าร
2.4.1.ความหมายของความพึงพอใจ
ชารณิ ี (2535) ไดเ้ สนอทฤษฎกี ารแสวงหาความพึงพอใจไว้วา่ 19 บุคคลพอใจจะกระทาสิ่งใด ๆ
ทใี่ หม้ ีความสขุ และจะหลกี เลย่ี งไมก่ ระทาในส่ิงทเ่ี ขาจะได้รับความทุกข์หรือความยากลาบาก โดยอาจ
แบง่ ประเภทความพอใจกรณีน้ไี ด้ 3 ประเภท คอื
1) ความพอใจด้านจิตวิทยา (psychological hedonism) เป็นทรรศนะของความพึงพอใจ
วา่ มนุษยโ์ ดยธรรมชาตจิ ะมคี วามแสวงหาความสขุ ส่วนตวั หรือหลกี เล่ียงจากความทกุ ข์ใด ๆ
2) ความพอใจเก่ยี วกับตนเอง (egoistic hedonism) เป็นทรรศนะของความพอใจว่ามนุษย์
จะพยายามแสวงหาความสุขส่วนตัว แตไ่ มจ่ าเป็นวา่ การแสวงหาความสขุ ตอ้ งเป็นธรรมชาติของมนุษย์
เสมอไป
3) ความพอใจเก่ียวกับจริยธรรม (ethical hedonism) ทรรศนะนี้ถือว่ามนุษย์แสวงหา
ความสขุ เพือ่ ผลประโยชนข์ องมวลมนุษย์หรือสังคมท่ีตนเป็นสมาชิกอยู่และเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ผู้
หนง่ึ ดว้ ยความพึงพอใจ (Satisfaction)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน (2542) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า20 พึง
พอใจ หมายถงึ รัก ชอบใจ และพงึ ใจ หมายถงึ พอใจ ชอบใจ
นักวิชาการ ได้มผี ู้ให้ความหมายของความพงึ พอใจไว้หลายความหมาย พอสรุปไดด้ งั นี้
ทวีพงษ์ หินคา21 ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจว่าเป็นความชอบของบุคคลท่ีมีต่อสิ่ง
หนึ่งส่ิงใด ซ่งึ สามารถลดความตึงเครียดและตอบสนองตามความต้องการของบุคคลได้ ทาให้เกิดความ
พึงพอใจต่อสิ่งน้ัน
ธนยี า ปญั ญาแกว้ 22 ได้ใหค้ วามหมายว่า สิ่งท่ที าให้เกิดความพึงพอใจจะเก่ียวกันกับลักษณะ
ของงาน ปจั จยั เหลา่ นี้นาไปสคู่ วามพอใจในงานทที่ า ไดแ้ ก่ความสาเร็จ การยกย่อง ลักษณะงาน ความ
19 ชาริณี, ทฤษฎกี ารแสวงหาความพงึ พอใจ. (พมิ พ์ครงั้ ที่2. กรุงเทพฯ: สวุ รี ยิ าสาสน์ , 2535) หนา้ 85.
20 ราชบณั ฑิตยสถาน, พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตสถาน, (กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์พับลิเคช่ันส์, 2542)
หนา้ 59.
21 ทวีพงษ์ หินคา, ความพึงพอใจของประชาชนต่อการบริหารงานสุขาภิบาลริมใต้จังหวัดเชียงใหม่,
คณะรฐั ศาสตร, สาขาการเมืองและการปกครอง, (บณั ฑิตวทิ ยาลัย: มหาวิทยาลยั เชียงใหม่, 2541), หน้า 8.
๒๖
รับผิดชอบ และความก้าวหน้า เม่ือปัจจัยเหลา่ นีอ้ ยู่ตา่ กวา่ จะทาให้เกดิ ความไม่พอใจงานที่ทา ถ้าหาก
วา่ งานใหค้ วามก้าวหนา้ ความทา้ ท้าย ความรับผดิ ชอบ ความสาเร็จและการยกย่องแก่ผู้ปฏิบัติงานแล้ว
พวกเขาจะพอใจและมแี รงจงู ใจในการทางานเปน็ อย่างมาก
วิทย์ เท่ยี งบูรณธรรม23 ให้ความหมายของความพึงพอใจว่าหมายถึงความพอใจ การทาให้
พอใจ ความสาแก่ใจ ความหนาใจ ความจุใจ ความแน่ใจการชดเชย การไถ่บาปการแก้แค้น สิ่งที่
ชดเชย
วริ ุฬ พรรณเทวี24 ให้ความหมายไวว้ ่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกภายในจิตใจของมนุษย์ท่ี
ไมเ่ หมือนกัน ซึง่ ข้นึ อยูก่ บั แตล่ ะบคุ คลว่าจะคาดหมายกับสิง่ หนึ่ง สิง่ ใดอยา่ งไร ถ้าคาดหวังหรือมีความ
ต้ังใจมากและได้รับการตอบสนองด้วยดี จะมีความพึงพอใจมากแต่ในทางตรงกันข้ามอาจผิดหวัง
หรอื ไมพ่ งึ พอใจเป็นอย่างยิง่ เม่ือไม่ได้รบั การตอบสนองตามที่คาดหวงั ไว้ ทัง้ นี้ขึ้นอย่กู ับส่ิงท่ีตนตั้งใจไว้
ว่าจะมมี ากหรอื น้อย
กาญจนา อรณุ สุขรุจ2ี 5 กล่าวว่า ความพงึ พอใจของมนุษย์ เป็นการแสดงออกทางพฤติกรรมท่ี
เป็นนามธรรม ไม่สามารถมองเห็นเป็นรูปร่างได้ การท่ีเราจะทราบว่า บุคคลมีความพึงพอใจหรือไม่
สามารถสังเกตโดยการแสดงออกที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน และต้องมีสิ่งเร้าท่ีตรงต่อความต้องการของ
บคุ คล จึงจะทาให้บุคคลเกิดความพึงพอใจ ดังนั้นการสร้างส่ิงเร้าจึงเป็นแรงจูงใจของบุคคลน้ันให้เกิด
ความพึงพอใจในงานนัน้
เสรี วงษมณฑา26 กลา่ วว่า ความพึงพอใจเปน็ ความรูสึกนิยมชมชอบในผลิตภัณฑ์ใดมากกว่า
ผลติ ภัณฑ์ตวั อื่น ๆ แลว้ นาไปสูการตัดสนิ ใจซอ้ื ผลิตภัณฑ์ตวั นนั้
วิสิฐ โสภณอุดมสิน27 กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นความรูสึกในทางบวกความรูสึกที่ดี
ทป่ี ระทับใจต่อสิ่งเรา้ ต่าง ๆ ไมว่าจะเปน็ สินคา้ และบริการ ราคา การจัดจาหน่ายและการส่งเสริมทาง
การตลาด
ศิริวรรณ เสรีรัตน28 กล่าวว่า ความพึงพอใจ คือ ความสามารถของผลิตภัณฑ์ท่ีจะสามารถ
สร้างความพอใจกับลูกค้าเป้าหมายสุวัฒนา ใบเจริญ กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง สภาวะจิตท่ี
22 ธนียา ปัญญาแก้ว, ความพึงพอใจของประชาชน, คณะรัฐศาสตร สาขาการเมืองและการปกครอง,
(บณั ฑิตวทิ ยาลัย: มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่, 2541), หน้า 12.
23 วทิ ย์ เท่ยี งบูรณธรรม, ทัศนคตเิ ก่ยี วกบั การจัดการ, ปริญญาตรีบริหารธุระกิจบัณฑิต สาขาการจัดการ,
(บัณฑติ วิทยาลยั , มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2541), หนา้ 754.
24 วิรุฬ พรรณเทวี, พฤติกรรมของความพึงพอใจ, ปริญญาตรีบริหารธุระกิจบัณฑิต, สาขาการจัดการ
(บณั ฑติ วทิ ยาลัย: มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ, 2542), หนา้ 11.
25 กาญจนา อรุณสุขรุจี, ปัจจัยท่ีมีผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวชาวไทย, ปริญญาตรีบริหาร
ธรุ ะกิจบัณฑิต สาขาบริหารธุรกิจ, (บัณฑติ วทิ ยาลยั : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2546), หน้า 5.
26 เสรี วงษมณฑา, กลยุทธ์การตลาด, การวางแผนตลาด. (กรุงเทพฯ: ธีระฟิล์ม และไซแท็กซ์, 2541),
หน้า 189.
27 วิสิฐ โสภณอดุ มสิน, ความพงึ พอใจในทางบวก, (พระนครศรีอยุธยา: คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภัฎ
พระนครศรอี ยธุ ยา, 2552), หน้า 11.
๒๗
ปราศจากความเครียด ทั้งน้ีเพราะธรรมชาติของมนุษย์ต้องมีองค์การ ถ้าความต้องการน้ันไดรับการ
ตอบสนองทั้งหมดหรอื บางส่วน ความเครียดก็จะน้อยลง ความพึงพอใจกจ็ ะเกิดขึ้นและในทางกลับกัน
ถ้าความต้องการนั้นไมไดรบั การตอบสนอง ความเครยี ดและความไมพงึ พอใจก็จะเกิดขึ้น
สรุปความหมายของความพึงพอใจไดว้ า่ ความรู้สึกภายในจิตใจของมนุษย์ที่ไม่เหมือนกัน ซ่ึง
ขน้ึ อยู่กบั แตล่ ะบุคคลว่าจะคาดหมายกับ ส่ิงใดไว้อย่างไร ถ้าคาดหวังหรือมีความตั้งใจมากและได้รับ
การตอบสนองด้วยดี จะมีความพึงพอใจมาก แต่ในทางตรงกันข้ามอาจผิดหวังหรือไม่พึงพอใจเป็น
อย่างย่ิง เม่ือไม่ได้รับการตอบสนองตามที่คาดหวังไว้ ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตนต้ังใจไว้ว่าจะมีมากหรือ
น้อยท้ังน้ีความพึงพอใจถือว่าเป็นความชอบของบุคคลท่ีมีต่อสิ่งใดส่ิงหนึ่ง ซึ่งสามารถลดความตึง
เครียดและตอบสนองตามความต้องการของคนนั้นได้ ทาให้เกิดความพึงพอใจต่อสิ่งน้ันทั้งหยังเป็น
ความรู้สึกของบุคคลในทางบวกในทางความคิดทั้งทัศนคติ ความชอบ ความสบายใจ ความสุขใจต่อ
สภาพแวดล้อมส่ิงนั้นๆในด้านต่างๆทั้งการแสดงออกในด้านจิตใจบุคคลิก ลักษณะท่าทาง หรือเป็น
ความรสู้ กึ ที่พอใจต่อส่งิ ทท่ี าให้เกดิ ความสุขท้งั กายและใจ และเป็นความรู้สกึ ทีบ่ รรลุถึงความต้องการ
2.4.2 การวัดความพงึ พอใจ
ภณดิ า ชยั ปญั ญา29 ไดก้ ลา่ วไว้วา่ การวดั ความพงึ พอใจน้นั สามารถทาได้หลายวิธี ดังตอ่ ไปน้ี
1. การใชแ้ บบสอบถาม โดยผู้ออกแบบสอบถาม เพ่ือต้องการทราบความคิดเห็นซ่ึงสามารถ
กระทาได้ในลักษณะกาหนดคาตอบให้เลือก หรือตอบคาถามอิสระ คาถามดังกล่าว อาจถามความ
พอใจในด้านต่าง ๆ
2. การสัมภาษณ์ เป็นวิธกี ารวดั ความพงึ พอใจทางตรง ซึ่งต้องอาศัยเทคนิคและวิธีการที่ดีจะ
ได้ข้อมูลท่ีเป็นจริง
3. การสังเกต เป็นวธิ วี ัดความพงึ พอใจ โดยการสังเกตพฤติกรรมของบคุ คลเป้าหมาย ไม่ว่าจะ
แสดงออกจากการพูดจา กริยา ท่าทาง วิธีน้ีต้องอาศัยการกระทาอย่างจริงจัง และสังเกต อย่างมี
ระเบยี บแบบแผน
แนง่ น้อย พงษ์สามารถ30 มคี วามเห็นว่าความพึงพอใจคือท่าท่วั ๆ ไปทีเ่ ป็นผลมาจากท่าทีท่ีมี
ต่อสิง่ ต่าง ๆ 3 ประการคือ
1. ปจั จัยเกย่ี วกบั กจิ กรรม
2. ปจั จัยเกยี่ วกบั บคุ คล
3. ลกั ษณะความสัมพนั ธร์ ะหว่างกลุ่ม
28 ศิริวรรณ เสรีรัตน, พัฒนาทักษะการคิดตามแนวปฎิรูปการศึกษา, (กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจากัด
9119 เทคนคิ พรน้ิ ติ้ง, 2554), หนา้ 728.
29 ภณิดา ชัยปญั ญา, การวดั ความพึงพอใจ, (กรงุ เทพฯ: แสงอกั ษร, 2541), หน้า 88.
30 แนง่ น้อย พงษ์สามารถ, ความพึงพอใจของนักท่องเท่ียวชาวไทยที่มีต่อโรงแรมขนาด 3 ดาวในเขต
กรุงเทพมหานคร, (กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยกรุงเทพ, 2551), หนา้ 5.
๒๘
พิทักษ์ ตรุษทิบ31 กล่าวว่าความพึงพอใจเป็นเพียงปฏิกิริยาดานความรู้สึกต่อส่ิงเร้าหรือส่ิง
กระตุน้ ทแ่ี สดงออกมาในลักษณะของผลลพั ธส์ ดุ ทายของกระบวนการประเมินโดยบ่งบอกทิศทางของ
ผลการประเมินว่าเป็นไปในลักษณะทิศทางบวกหรือทิศทางลบ หรือไม่มีปฏิกิริยาคือเฉยๆต่อส่ิงเร้า
หรือสิง่ ทีม่ ากระตุ้น
สมพร ตงั้ สระสม32 ได้ใหค้ าจากัดความพึงพอใจว่าความพึงพอใจเป็นทัศนคติของผู้บริการที่
ตอบสนองตอ่ ประสบการณ์ที่ไดร้ บั จากบรกิ าร
บญุ ศกั ดิ์ รามล ไดกลา่ วไวว้ ่า การวัดความพึงพอใจน้ัน สามารถทาไดหลายวิธี ดังต่อไปนี้ 1.
การใช้แบบสอบถาม โดยผู้ออกแบบสอบถาม ตองการทราบความคิดเห็นซ่ึงสามารถกระทาไดใน
ลักษณะกาหนดคาตอบให้เลือก หรือตอบคาถามอิสระ คาถามดังกล่าว อาจถามความพอใจในด้าน
ตา่ ง ๆ เพ่ือให้ผู้ตอบทุกคนมาเป็นแบบแผนเดียวกัน มักใช้ในกรณีท่ีต้องการกลุ่มตัวอย่างมาก ๆ วิธีน้ี
นบั เปน็ วธิ ีนิยมใช้กนั มากท่สี ดุ ในการวดั ทศั นคติ รูปแบบของแบบสอบถามจะใช้มาตรวัดทัศนคติ ซ่ึงท่ี
นิยมใช้ในปจั จุบนั วธิ หี น่งึ คอื มาตราสว่ นแบบลิเคิรท์ ประกอบขอ้ ความท่ีแสดงถึงทัศนคติของบุคคลที่
มีตอ่ ส่ิงเรา้ อยา่ งใดอย่างหนง่ึ ทมี่ ีคาตอบที่แสดงถึงระดับความรูสึก5 คาตอบ เช่น มากท่ีสุด มาก ปาน
กลาง น้อย น้อยที่สุด
จากความหมายดงั กล่าว พอสรปุ ไดวา ความพึงพอใจ หมายถึง ความรูสึก ความนิยม ชมชอบ
ความประทับใจ เม่ือมีส่ิงใดมาตอบสนองความต้องการไดตามระดับความพึงพอใจที่เกิดขึ้น
มากหรือน้อยท้ังการแสดงออกและเชงิ วิชาการ เช่น การใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ การสังเกต
ความพึงพอใจเป็นเพยี งปฏิกิรยิ าด้านความรู้สึกต่อส่ิงเร้าหรือสิ่งกระตุ้นที่แสดงออกมาในลักษณะของ
ผลลัพธส์ ุดทายของกระบวนการประเมินโดยบ่งบอกทิศทางของผลการประเมินว่าเป็นไปในลักษณะ
ทิศทางบวกหรอื ทิศทางลบ หรือไม่มีปฏิกิรยิ าคือเฉยๆตอ่ ส่งิ เร้าหรอื สงิ่ ท่มี ากระตุ้น
2.5. งานวิจัยทเี่ กี่ยวข้อง
วรัญญา นิลรตั น์33 ศกึ ษาเร่ืองผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ร่วมกับ
กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) เรื่อง อัตราส่วนตรีโกณมิติที่มีต่อผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนของนักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยธนบุรี ด้วยการจัด การ
จัดการเรยี นรูแ้ บบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา
31 พิทักษ์ ตรุษทิบ, ความพึงพอใจของต่อประชาชนและกระบวนการให้บริการของกรุงเทพมหานคร,
(กรงุ เทพฯ: สถาบันบณั ฑิตพัฒนบรหิ ารศาสตร, 2551), หน้า 5.
32 สมพร ต้ังสะสม, ความพึงพอใจของลูกค้าในการรับบริการของธนาคารกรุงไทยจากัด, สาขาการ
วเิ คราะหแ์ ละวางแผนทางสงคม, (คณะพัฒนาสงั คม: สถาบนั บณั ฑิตพฒั นบรหิ ารศาสตร์, 2551), หนา้ 8.
33 วรัญญา นิลรัตน, ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการ
แกป้ ญั หาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) เรอื่ ง อตั ราสว่ นตรีโกณมิติทม่ี ตี อ่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรียน
ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 5โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี, (โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี สานักงานเขต
พ้ืนทก่ี ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน: กระทรวงศึกษาธิการ, 2553),
หนา้ 40.
๒๙
(Polya) ผลวิจัยพบว่า ผลการเรียนรู้เร่ือง อัตราส่วนตรีโกณมิติท่ีมีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ
นกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 คิดเปน็ รอ้ ยละ 94.67 สงู กว่าเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ คือ ร้อยละ 70 ของ
คะแนนเตม็ 2) ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องนกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 ดว้ ยการการจัดการเรยี นรู้แบบ
รว่ มมอื โดยใชเ้ ทคนิค STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) ความคิด
สรา้ งสรรคห์ ลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) ความเข้าใจท่ีคงทน
เรื่อง ส่งิ แวดล้อมรอบตัว ของนกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 5
อศิ รา รุ่งอภญิ ญา34 ศกึ ษาเรอ่ื งการพฒั นาผลสัมฤทธิ์การทางเรียนเรื่องชนิดของประโยคของ
นักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี2ที่จดั การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD รว่ มกับแบบฝึกหัด ผลการวิจัย
พบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเร่ืองชนิดของประโยค ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2ท่ีจัดการ
เรียนรูแ้ บบรว่ มมือเทคนิค STAD รว่ มกับแบบฝกึ หลงั เรียนสงู กวา่ กอ่ นเรียนอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิติท่ี
ระดับ 0.052. ความคิดเห็นของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
ด้วยเทคนิคSTAD ร่วมกับแบบฝึก อยู่ในระดับเห็นด้วยมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.29 และส่วน
เบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.73
วโิ รจน์ เจษฎาลกั ษณ์35 ศึกษาเรอื่ ง การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคเ์ พ่ือสรา้ งผลการปฏบิ ัติงาน
เชิงนวัตกรรมของบุคลากรสายสนับสนุนการสอนมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ผลการวิจัยพบว่า
การสร้างแรงจูงใจในคุณลักษณะของงาน ในภาพรวมอยู่ในระดับมากการพัฒนาศักยภาพในการ
ปฏิบัตงิ าน ในภาพรวมอยใู่ นระดับมาก ความคิดสร้างสรรค์ในการปฏิบัติงาน ในภาพรวมอยู่ในระดับ
มาก ผลการปฏิบตั ิงานเชิงนวตั กรรม ในภาพรวมอย่ใู นระดบั มากการสรา้ งแรงจูงใจในคุณลักษณะของ
งานส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์ในการปฏิบัติงาน ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาการพัฒนา
ศกั ยภาพในการปฏิบัติงานส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์ในการปฏิบัติงานในภาพรวมอยู่ในระดับมาก
ความคิดสร้างสรรคใ์ นการปฏบิ ัติงานสง่ ผลต่อผลการปฏิบัติงานเชิงนวัตกรรม ในภาพรวมอยู่ในระดับ
มาก
จิราภรณ์ แป้นสขุ 36 ศกึ ษาเร่ือง การจดั การเรยี นร้แู บบรว่ มมือเทคนคิ STAD รว่ มกับบทเรียน
บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศของ นักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสตรีทุ่งสง ผลวิจัยพบว่าผลการวิจัยพบว่า 1. บทเรียนบนเครือข่าย
34 อิศรา รุ่งอภิญญา, การพัฒนาผลสัมฤธิ์การทางเรียนเรื่องชนิดของประโยคของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปที ่ี2ทีจ่ ัดการเรยี นรแู้ บบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับแบบฝึกหัด, (มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2558),
หนา้ 66.
35 วโิ รจน์ เจษฎาลกั ษณ์, การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์เพ่ือสร้างผลการปฏิบัติงานเชิงนวัตกรรมของ
บุคลากรสายสนับสนุนการสอนมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั กาญจนบุรี, (สาขามนษุ ยศาสตร์: คณะสังคมศาสตร์, 2558),
หนา้ 87.
36 จิราภรณ์ แป้นสุข, การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับบทเรียนบนเครือข่าย
อนิ เทอรเ์ นต็ ท่ีมีต่อผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวชิ าเทคโนโลยีสารสนเทศของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน
สตรีทุ่งสง, (เทคโนโลยี และสื่อสารการศึกษา, พษิ ณุโลก: มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2558), หน้า 48.
๓๐
อินเทอร์เน็ตรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพตาม
เกณฑ์ คือ 80.33/80.11 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ที่ได้รับการสอนแบบร่วมมือเทคนิค
STAD ร่วมกบั บทเรยี นบนเครอื ขา่ ยอินเทอร์เน็ต มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ
หลงั เรยี นสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติที่ระดับ .05 3. นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 มี
ความพึงพอใจต่อการสอนแบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
รายวิชาเทคโนโลยสี ารสนเทศ ในระดับมากที่สดุ
สิรินทร์ ลัดดากลม บุญเชิดชู37 ศึกษาเร่ือง การพัฒนาความสามารถด้านการคิดสร้างสรรค์
ของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยโดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบกากับตนเอง
ผลการวจิ ยั พบว่า 1)ผลของการจดั กระบวนการจดั การเรยี นรู้แบบกากับตนเองในการพัฒนาความคิด
สร้างสรรค์ของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย พบว่า คะแนนทดสอบหลังการจัดกระบวนการ
จัดการเรียนรู้แบบกากับตนเองในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษา
ปฐมวัยสูงกว่าก่อนการจัดกระบวนการจัดการเรียนรู้โดยมีนัยทางสถิติท่ี ระดับ .05 2)ระดับทักษะ
การปฏบิ ัติงานทส่ี ะท้อนความคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยอยู่ในระดับมาก
โดยด้านความคิดริเร่ิมมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือด้านความคิดละเอียดลออ ความคิดคล่องแคล่ว
และดา้ นความคิดยดื หยุ่น ตามลาดบั 3)พฤตกิ รรมการเรียนร้ขู องนกั ศึกษา ทีไ่ ด้รบั การจัดกระบวนการ
จัดการเรียนรู้แบบกากับตนเองค่าฐานนิยม ระดับ 1 สองด้าน ได้แก่ ด้านความคิดคล่องแคล่ว และ
ด้านความคิดยืดหยุ่น แปลความหมายของพฤติกรรมการเรียนรู้ได้ว่า พฤติกรรมที่แสดงให้เห็นถึง
ความคิดสรา้ งสรรคด์ ้านความคิดคล่องแคล่ว/ความคิดยืดหยุ่น แต่ยังไม่เด่นชัด ค่าฐานนิยม ระดับ 2
สองดา้ น ได้แก่ ดา้ นความคิดริเริ่ม และด้านความคิดละเอียดลออแปลความหมายของพฤติกรรมการ
เรียนรู้ไดว้ า่ พฤติกรรมทแ่ี สดงออกถงึ ความคิดรเิ รม่ิ /ความคดิ ละเอียดลอออย่างเด่นชัด 4)ระดับความ
พึงพอใจของนักศึกษาท่ีมีต่อคุณภาพด้านกระบวนการจัดการเรียนการสอน ด้านการออกแบบและ
บรรลภุ าระงาน และดา้ นบรรยากาศการเรียนรู้อยใู่ นระดบั มากถงึ มากทส่ี ุด
กฤษณี สงสวัสด์ิ38 ศึกษาเร่ือง การวิจัยเร่ือง การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชา
สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนไชยาวิทยา โดยใช้
กจิ กรรมการเรียนรูแบบร่วมมือรูปแบบเอสทีเอดี ผลการวิจัยพบว่า 1) การสร้างกิจกรรมการเรียนรู
แบบร่วมมือรูปแบบเอสทีเอดี ไดจากการวิเคราะห์ข้อมูลศึกษาจุดมุ่งหมายของหลักสูตร แผนการ
จัดการเรยี นรู และตัวชวี้ ัดรวมถงึ ขอบขา่ ยของรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ส 21103
37 สิรินทร์ ลัดดากลม บุญเชิดชู, การพัฒนาความสามารถด้านการคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษา
สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยโดยใชก้ ระบวนการจดั การเรียนรู้แบบกากับตนเอง, (มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร: นครปฐม,
2559), หนา้ 13.
38 กฤษณี สงสวสั ด์ิ, การพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นรายวชิ าสงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรมของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 โรงเรียนไชยาวิทยา โดยใชกิจกรรมการเรียนรูแบบร่วมมือรูปแบบเอสทีเอดี,
(มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สรุ าษฎรธ์ านี, 2561), หนา้ 56.
๓๑
ของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนไชยาวิทยาโดยใช้กิจกรรมการเรียนรูแบบร่วมมือรูปแบบ
เอสทเี อดี พบว่า แผนการจดั การเรยี นรูมีองค์ประกอบและกิจกรรมการเรียนรูมีความเหมาะสมอยูใน
ระดับมากท่ีสุด และแผนการจัดเรียนรูมีความเหมาะอยู่ในระดับมากที่สุดทุกแผน 2) ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปี 1 โรงเรียนไชยาวิทยา กอ่ นและหลงั เรียนโดยกิจกรรมการ
เรยี นรูแบบร่วมมือมือรูปแบบเอสทีเอดี เร่ืองภูมิศาสตร์ทวีปเอเชียภูมิศาสตร์ทวีปออสเตรเลียและโอ
เซียเนีย พบว่า คะแนนก่อนเรียน (̅ = 24.81, S.D. = 6.665) ส่วนค่าคะแนนเฉลี่ยหลัง
เรียน ( ̅ =48.03, S.D. = 4.622) เม่ือเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยแล้วพบว่า คะแนน
หลงั เรียนสงู กวา่ ก่อนเรียนอย่างมีนยั สาคัญทางสถติ ทิ ่ีระดับ 0.01 แสดงว่า ผลสัมฤทธ์ิจากการเรียนรู
วิธกี ารสอนแบบการเรียนแบบร่วมมือมือรูปแบบเอสทีเอดี เรื่องภูมิศาสตร์ทวีปเอเชียภูมิศาสตร์ทวีป
ออสเตรเลยี และโอเซียเนียหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2) ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนใน
การเรยี นโดยใชกจิ กรรมการเรยี นรูแบบรว่ มมอื รูปแบบเอสทเี อดี เรอื่ งภมู ศิ าสตร์ทวปี เอเชีย ภูมิศาสตร์
ทวีปออสเตรเลียและโอเซียเนีย พบวา่ ผลการประเมินอยู่ในระดับความพงึ พอใจอยู่ในระดับมาก (̅=
4.10, S.D. = 0.289)
อดิศร ขาวสะอาด39 การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการอ่านจับใจความและคุณลักษณะจิต
สาธารณะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนวลนรดิศวิทยาคม รัชมังคลาภิเษกที่จัดการ
เรยี นรแู้ บบร่วมมอื ดว้ ยเทคนิค STAD ผลวิจัยพบวา่ 1)ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรียน หลังได้รับ
การจัดการเรยี นรู้วิชาภาษาไทยพ้ืนฐาน (ท22102) เรอื่ งการอ่านจบั ใจความสาคัญระดับมัธยมศึกษา
ปีที่ 2 โรงเรยี นนวลนรดศิ วทิ ยาคม รัชมงั คลาภเิ ษก ที่จดั การเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD สูง
กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 2)คุณลักษณะจิตสาธารณะของนักเรียนหลัง
ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD ท่ีมีเนื้อหาส่งเสริมคุณลักษณะเรื่องจิต
สาธารณะ มีคณุ ลกั ษณะด้านจิตสาธารณะสงู กวา่ ก่อนเรียน อยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถิติทีร่ ะดบั .05
39 กฤษณี สงสวัสดิ์, การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความและคุณลักษณะจิตสาธารณะของ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนวลนรดิศวิทยาคม รัชมังคลาภิเษกที่จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย
เทคนิค STAD, (สาขาวชิ าการสอนภาษาไทย: มหาวทิ ยาลัยศิลปากร, 2556), หนา้ 44.
๓๒
2.6 กรอบแนวคดิ การวิจยั
การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค์ในรายวชิ าพระพุทธศาสนาของนกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 3
โรงเรียนบ้านดอนดู่คุรุราษฎร์วิทยา ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (STAD) จึงได้กาหนดกรอบ
แนวคดิ การวิจัย ดังนี้
ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม
การจดั การเรียนร้แู บบร่วมมอื (STAD) 1. การพัฒนาความสามารถในการคิด
ไดล้ าดับขน้ั ตอนการจัดกิจกรรมการเรยี น สร้างสรรค์ มี 4 อย่างประกอบดว้ ย
การสอนเทคนิค STAD ไว้ดังนี้
1) ความท่งึ – แปลก (Surprise)
1) ข้ันนาเสนอเน้อื หา 2) ความริเร่ิมหรือความเป็นต้น
กาเนิด (Originality)
2) ขั้นปฏบิ ัติกิจกรรมกล่มุ 3) ความงดงาม (Beauty) และ
4) ความเปน็ ประโยชน์ (Utility)
3) ขั้นทดสอบย่อย 2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
3. ความพึงพอใจ
4) คิดคะแนนความกา้ วหนา้ แต่ละ
คน
5) ชมเชย ยกยอ่ ง
ภาพที่ ๒.1 กรอบแนวคิดการวิจัย
บทท่ี 3
ระเบยี บวธิ ีวิจยั
การวิจัยการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในรายวิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรียนบ้านดอนดู่คุรุราษฎร์วิทยาด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (STAD) มี
รูปแบบและลาดับข้นั ตอนในการดาเนนิ การวจิ ยั ดงั นี้
3.1 กลุม่ เปา้ หมาย
3.2 รปู แบบการวิจยั
3.3 ตัวแปรในการวจิ ัย
3.4 เคร่ืองมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย
3.5 การสรา้ งและหาประสทิ ธิภาพของเครื่องมอื วิจัย
3.6 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
3.7 การวิเคราะห์ขอ้ มลู
3.8 สถิตทิ ่ีใช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู
3.1 รปู แบบของการวจิ ยั
วจิ ัยเรื่องการวจิ ัยการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ในรายวิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบ้านดอนดู่คุรุราษฎร์วิทยา ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (STAD)
เป็นรูปแบบการวิจัยเชิงทดลอง (Experimenntal Research) โดยใช้เคร่ืองมือ คือ แผนการจัดการ
เรียนรู้ จานวน 3 แผน แบบวัดผลสัมฤทธ์ิเรียนหลังเรียน แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ แบบสอบถาม
ความพึงพอใจ
3.2. กลมุ่ เปา้ หมาย
กลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ในการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ เป็นนักเรียนที่กาลังศึกษาอยู่ในระดับชั้น
ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรียนบา้ นดอนดูค่ ุรุราษฎร์วิทยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จานวน ๗
คน
๓๔
3.3. ตวั แปรในการวจิ ยั
ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรดู้ ้วยการจัดการเรียนการสอนแบบรว่ มมอื (STAD)
ตวั แปรตาม คอื 1) ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ 2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 3) ความ
พงึ พอใจ
3.4 เครอ่ื งมอื ท่ีใชใ้ นการวิจยั
การวจิ ยั ครง้ั นี้ ผวู้ ิจยั ได้ใชเ้ ครือ่ งมอื ในการรวบรวมขอ้ มูล โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังน้ี
3.4.1 แผนการจดั การเรยี นรู้
แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การพัฒนาความสามารถในการคิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการ
จดั การเรยี นรูแ้ บบร่วมมอื (STAD) ในรายวิชาพระพุทธศาสนาของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ของ
โรงเรยี นบา้ นดอนดูค่ รุ ุราษฎร์วทิ ยา กลุม่ สาระการเรยี นรสู้ ังคม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม รายวิชา
ส13101พระพุทธศาสนา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เร่ือง หลักธรรมนาชีวิต
จานวน 3 แผน แผน 3 ละ 60 นาที ดงั น้ี
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 1 เรอ่ื ง พระไตรปิฎก จานวน 1 คาบ
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 2 เร่ือง พระรัตนตรัย จานวน 1 คาบ
แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 3 เร่อื ง หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา จานวน 1 คาบ
3.4.2 แบบวัดผลสมั ฤทธ์ิเรยี นหลังเรยี น
แบบวัดผลสัมฤทธิ์เรียนหลงั เรียน เปน็ แบบปรนยั ชนิดเลอื กตอบ 4 ตัวเลือก มีทั้งหมด 3 ชุด
ชุดละ 10 ข้อ เป็นแบบทดสอบท่ีใช้ทดสอบนักเรียนทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน คือ แผนการ
จัดการเรียนรู้ท่ี 1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 และ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 ในหน่วย
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 3 เรอื่ ง หลกั ธรรมนาชวี ติ
3.4.3 แบบวัดความคิดสร้างสรรค์
แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก มีท้ังหมด 1 ชุด 20
ข้อ เป็นแบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ที่ใช้สารวจนักเรียนที่เรียนในรายวิชาพระพุทธศาสนา
กลุ่มสาระการเรียนรสู้ ังคม ศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม รายวชิ า พระพุทธศาสนา ชั้นประถมศึกษาปี
ท่ี 3 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 เรอื่ ง หลกั ธรรมนาชีวติ
3.4.4 แบบสอบถามความพงึ พอใจ
แบบสอบถามความพึงพอใจ ผู้ออกแบบสอบถาม เพ่ือต้องการทราบความคิดเห็นของ
นักเรียนในการเรียนรายวิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนบ้าน
ดอนดู่คุรุราษฎร์วิทยา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม รายวิชา
พระพุทธศาสนา หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 3 เรอื่ ง หลักธรรมนาชีวติ
๓๕
3.5 การสรา้ งและหาประสทิ ธภิ าพของเครอื่ งมอื วิจยั
ผวู้ จิ ยั ได้ดาเนนิ การสรา้ งและหาประสทิ ธิภาพของเครอ่ื งมือในการวจิ ยั ดังนี้
3.5.1 แผนการจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้รปู แบบการคดิ อยา่ งสร้างสรรค์ด้วยการจัดการเรียนรู้
แบบรว่ มมอื (STAD) โดยมีลาดบั ขั้นตอนดงั น้ี
(1) ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551
(ฉบับปรบั ปรงุ 60) และหลกั สูตรสถานศกึ ษาโรงเรียนบ้านดอนดู่คุรุราษฎร์วิทยากลุ่มสาระการเรียนรู้
สังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรมและคู่มอื การจดั การเรยี นรู้
(2) กาหนดเนือ้ หาสาระการเรยี นร้เู พือ่ ใหไ้ ดเ้ นอ้ื หาสาระสาหรับการวิจัย
(3) ศึกษาทฤษฎเี อกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่ม
สาระการเรียนร้สู ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ใช้รูปแบบการคิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการจัดการ
เรยี นรแู้ บบรว่ มมือ (STAD)
(4) สร้างแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
รายวิชา ส13101พระพทุ ธศาสนา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง หลักธรรมนา
ชีวิต จานวน 3 แผน แผนละ 60 นาที ใช้รูปแบบการคิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ
รว่ มมอื (STAD)40 โดยมขี นั้ ตอนดังน้ี
ขนั้ ที่ 1 กาหนดปัญหาผู้สอนสรา้ งสถานการณต์ ่าง ๆ เพื่อกระตุ้นผู้เรียน โดยอาจ
เปน็ การแนะนาแนวทาง ยกตัวอย่างสถานการณ์ หรือถามคาถามท่ีให้คิดต่อ เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดความ
สนใจและมองเห็นปัญหา มโี อกาสเลือกเฟ้นและเสนอปัญหาที่หลากหลาย และสามารถแบ่งกลุ่มตาม
ความสนใจ ซึ่งก่อนที่จะกาหนดปัญหานั้น ครูผู้สอนควรทดสอบความรู้พื้นฐานของผู้เรียนเสียก่อน
เพื่อใชเ้ ปน็ ขอ้ มูลในการกาหนดปญั หา ซงึ่ ตอ้ งเหมาะสมกบั ความรพู้ น้ื ฐานท่ีผู้เรียน
ขั้นท่ี 2 ทาความเข้าใจกับปัญหา ผู้สอนจะกระตุ้นผู้เรียนด้วยคาถามหรือการ
เสริมแรง เพ่ือให้ผู้เรียนทาความเข้าใจกับปัญหาที่อยากรู้ โดยเน้นให้เกิดการระดมสมอง เพื่อหา
แนวทางและวิธกี ารในการหาคาตอบ โดยมคี รูผู้สอนคอยดูแลตรวจสอบเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความถกู ตอ้ ง
ขนั้ ที่ 3 ดาเนินการศกึ ษาค้นคว้าผู้เรียนจะต้องดาเนินการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็น
ระบบรว่ มกนั โดยมกี ารกาหนดกติกา วางเปา้ หมาย และดาเนินกจิ กรรมตามระยะเวลาท่ีกาหนด โดย
มคี รผู สู้ อนคอยให้คาชี้แนะและอานวยความสะดวก
ขน้ั ท่ี 4 สังเคราะหค์ วามรู้ ผูเ้ รียนแต่ละคนสังเคราะหค์ วามรู้ท่ีได้จากการค้นคว้าโดย
มีการนาเสนอกันภายในกลุ่ม เพื่อหาข้อสรุป ทบทวนและตรวจสอบความถูกต้อง ครูผู้สอน
ถามคาถามโดยกระตุน้ ใหผ้ ้เู รียนมีการแลกเปลีย่ นความคดิ เหน็ และเกิดความคิดรวบยอด
40 เกรยี งศักด์ิ เจริญวงศศ์ ักดิ์, การคดิ เชิงสร้างสรรค์, (กรงุ เทพฯ: ซัคเซสมีเดยี , 2556), หน้า 63.
๓๖
ขน้ั ท่ี 5 สรุปและประเมนิ ค่าของคาตอบ ผู้เรียนแต่ละกลุ่มนาข้อสรุปท่ีได้มาสร้าง
เปน็ องคค์ วามรใู้ หม่ และเลือกวิธีท่ีจะนาเสนอสู่ภายนอก โดยผ่านความเห็นชอบจากครูผู้สอนในการ
ตรวจสอบความถกู ต้อง และความเหมาะสมในการนาเสนอ
ข้ันที่ 6 นาเสนอและประเมินผลงาน ผู้เรียนแต่ละกลุ่มนาองค์ความรู้ท่ีได้ไป
นาเสนอตามวิธีการท่ีได้กาหนดไว้ เพ่ือเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ โดยครูผู้สอนประเมินผลการเรียนรู้
จากการดาเนนิ งานของผูเ้ รียนตามสภาพจรงิ
(5) นาแผนการจัดการเรียนรู้เสนอต่ออาจารย์ท่ีปรึกษาวิจัยเพื่อตรวจสอบความ
ถกู ต้องของเน้อื หาและปรบั ปรุงตามคาแนะนาของอาจารยท์ ป่ี รกึ ษาวจิ ัย
(6) นาแผนการจดั การเรยี นรู้ที่แกไ้ ขตามคาแนะนาของอาจารย์ท่ีปรึกษาเสนอต่อ
ผ้เู ช่ยี วชาญ 3 ทา่ น ได้แก่ 1) นางฐิดาพร แยบดี 2) นายธนสิทธ์ิ ธนศรีลังกูร และ 3) นายวีระศักด์ิ
พฤกษเทเวศ ตรวจสอบความถูกตอ้ งของการใช้ภาษา การเลือกใช้ส่ือการเรียนรู้ ความเหมาะสมด้าน
เวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล สอดคล้องและครอบคลุมตามจุดประสงค์
การเรียนรู้และความเหมาะสมในการนาไปใช้ โดยให้ประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการ
เรยี นรู้ โดยใช้แบบประเมนิ แผนการจดั การเรยี นรู้ทผ่ี ู้วิจัยสร้างข้ึน ซึ่งเป็นรูปแบบมาตรประมาณค่า 5
ระดับ และได้คะแนนการประเมนิ เฉลยี่ 3.51 ข้ึนไป
(7) นาแบบประเมินก่อนเรียนหลังเรียนหาคะแนนเฉลี่ยรายข้อ และคะแนนเฉล่ียทั้งฉบับ
แลว้ แปลความหมายข้อมูล โดยใช้เกณฑ์การพิจารณาระดับคะแนนการประเมินของ (ผศ.สุรพงษ์ คง
สัตย์ (2551) แปลความหมายจากการหาค่า IOC ของผู้เช่ียวชาญจากการให้ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบ
แบบสอบถามการวิจัย IOC คือ ค่าความเที่ยงตรงของแบบสอบถาม หรือค่าสอดคล้องระหว่างข้อ
คาถามกับวตั ถุประสงค์ การตรวจสอบโดยใหเ้ กณฑ์ในการตรวจพิจารณาขอ้ คาถาม ดงั น้ี
ใหค้ ะแนน +1 ถา้ แน่ใจวา่ ขอ้ คาถามวัดไดต้ รงตามวัตถุประสงค์
ให้คะแนน 0 ถ้าไมแ่ น่ใจว่าขอ้ คาถามวัดได้ตรงตามวัตถปุ ระสงค์
ใหค้ ะแนน -1 ถ้าแน่ใจว่าข้อคาถามวดั ไดไ้ มต่ รงตามวตั ถุประสงค์
แลว้ นาผลคะแนนทไี่ ดจ้ ากผเู้ ช่ียวชาญมาคานวณหาคา่ IOC ตามสตู ร
เกณฑ์
1) ข้อคาถามทมี่ ีค่า IOC ต้ังแต่ 0.50-1.00 มีคา่ ความเทีย่ งตรง ใชไ้ ด้
2) ขอ้ คาถามที่มีค่า IOC ต่ากว่า 0.50 ตอ้ งปรับปรุง ยังใช้ไมไ่ ด้
(8) นาแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีได้รับจากการตรวจพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญไปดาเนินการ
แกไ้ ขและปรับปรงุ ตามข้อเสนอแนะของผเู้ ช่ยี วชาญใหถ้ กู ต้องเหมาะสม
9) นาแผนการจัดการเรียนรู้ทไ่ี ด้รับการปรับปรงุ แก้ไขเรียบร้อยแล้วดาเนินการจัดกิจกรรม
การเรยี นการสอนกบั นักเรยี นกลุม่ เปา้ หมาย คือ นักเรยี นท่กี าลังศึกษาในระดับชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 3
ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564 โรงเรยี นบ้านดอนดูค่ รุ ุราษฎรว์ ทิ ยาจานวน 7 คน
จากขน้ั ตอนการสร้างแผนการจดั การเรียนรู้สามารถสรุปได้ ดงั นี้
๓๗
1. ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับ
ปรับปรุง60) และหลักสตู รสถานศึกษาโรงเรียนบา้ นดอนดคู่ ุรุราษฎรว์ ิทยา
2. กาหนดเนื้อหาสาระการเรียนรู้เพ่ือให้ได้เนื้อหาสาระสาหรับการวิจัย
3. ศึกษาทฤษฎีเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้
4. สร้างแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม การ
จดั การเรยี นรูด้ ้วยการจัดการเรยี นการสอนแบบร่วมมอื (STAD) จานวน 3 แผนการจดั การเรยี นรู้
5. นาแผนการจัดการเรียนรู้เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของ
เนอ้ื หาและปรับปรุงตามคาแนะนาของอาจารย์ที่ปรกึ ษาวจิ ัย
6. นาแผนการจัดการเรยี นรูท้ ี่แก้ไขตามคาแนะนาของอาจารย์ท่ีปรึกษาเสนอต่อผู้เช่ียวชาญ
เพอ่ื ตรวจสอบความถูกต้อง
7. นาแผนการจัดการเรียนรู้ทไ่ี ด้รับจากการตรวจพิจารณาจากผู้เช่ยี วชาญไปดาเนินการแก้ไข
และปรบั ปรุงตามข้อเสนอแนะ
3.5.2 แบบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน
แบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เปน็ แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 10 ข้อ
มที ้งั หมด 3 ชดุ ซ่งึ มีวิธกี ารจัดทาตามขั้นตอนดงั น้ี
1) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง60)
มาตรฐาน การเรียนรู้ ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรู้สาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมวงจร หน่วย
การเรียนรู้ที่ 3 สาระที่ 1 วชิ าพระพุทธศาสนา เรอ่ื ง หลกั ธรรมนาชวี ติ ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 3
2) วิเคราะหส์ าระการเรยี นรู้ควบคู่กับจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ เพื่อให้การสร้างข้อสอบในแต่ละ
ขอ้ สอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์ทีไ่ ด้ต้งั ไว้
3) จัดทาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 เป็นแบบปรนัย ชนิด
เลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวน 10 ข้อ ทั้งหมด 3 ชดุ
4) นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท่ีจัดทาข้ึนเสนอต่ออาจารย์ท่ีปรึกษาเพื่อ
ตรวจสอบความถูกต้องและปรับปรุงแกไ้ ขตามคาแนะนา
5) นาแบบทดสอบท่ีปรับปรุงแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จานวน 3 ท่าน เพ่ือตรวจสอบ
คุณภาพโดยใช้การวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่างข้อคาถามกับจุดประสงค์เชิง
พฤติกรรม โดยผูเ้ ชย่ี วชาญพจิ ารณาขอ้ สอบแต่ละขอ้ โดยกาหนดระดับความคดิ เหน็ ดงั น้ี
+1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อคาถามวัดความรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อนั้น
0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อคาถามวัดความรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อน้ัน
-1 หมายถงึ แนใ่ จวา่ ข้อคาถามไม่ไดว้ ดั ความรู้ตามจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรขู้ ้อนน้ั
จากนั้นนาคะแนนท่ีผู้เช่ียวชาญลงความเห็นมาหาค่า IOC ของข้อสอบ ดังน้ี
เม่ือ IOC แทน ดชั นคี วามสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์
Σ แทน ผลรวมของคะแนนความคดิ เห็นของผู้เช่ียวชาญท้ังหมด
๓๘
N แทน จานวนผเู้ ช่ียวชาญทั้งหมด
6) พจิ ารณาข้อสอบที่มคี า่ ดชั นีความสอดคลอ้ ง (IOC) ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป
7) นาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนไปใช้กบั กล่มุ เปา้ หมาย
3.5.3 แบบวดั ความคิดสร้างสรรค์
แบบวดั ความคดิ สรา้ งสรรค์ เป็นแบบปรนัย ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ข้อ ซึ่งมี
วธิ ีการจดั ทาตามขั้นตอนดังนี้
1) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง60)
มาตรฐาน การเรียนรู้ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้สาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมวงจร หน่วย
การเรยี นรทู้ ่ี 3 สาระที่ 1 วชิ าพระพทุ ธศาสนา เรอ่ื ง หลักธรรมนาชีวิต ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3
2) วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ควบคู่กับจุดประสงค์การเรียนรู้ เพ่ือให้การสร้างข้อสอบในแต่
ละข้อสอดคล้องกับจุดประสงคท์ ่ีได้ต้ังไว้
3) จดั ทาแบบทดสอบแบบวดั ความคิดสร้างสรรค์ หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 เป็นแบบปรนัย ชนิด
เลอื กตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 20 ขอ้
4) นาแบบทดสอบแบบวัดความคิดสร้างสรรค์ ท่ีจัดทาขึ้นเสนอต่ออาจารย์ท่ีปรึกษาเพื่อ
ตรวจสอบความถูกต้องและปรบั ปรุงแกไ้ ขตามคาแนะนา
5) นาแบบทดสอบท่ีปรบั ปรงุ แลว้ เสนอตอ่ ผ้เู ช่ยี วชาญ จานวน 3 ท่าน เพ่ือตรวจสอบคุณภาพ
โดยใช้การวิเคราะหค์ ่าดัชนคี วามสอดคล้อง (IOC) ระหวา่ งขอ้ คาถามกับจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม โดย
ผเู้ ช่ียวชาญพิจารณาข้อสอบแตล่ ะข้อ โดยกาหนดระดบั ความคดิ เห็น ดงั นี้
+1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อคาถามวัดความรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อน้ัน
0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อคาถามวัดความรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อน้ัน
-1 หมายถงึ แน่ใจว่าขอ้ คาถามไมไ่ ดว้ ดั ความรูต้ ามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ข้อนั้น
จากนั้นนาคะแนนท่ีผู้เช่ียวชาญลงความเห็นมาหาค่า IOC ของข้อสอบ ดังนี้
IOC =
เมอื่ IOC แทน ดชั นคี วามสอดคลอ้ งระหว่างขอ้ สอบกบั จดุ ประสงค์
Σ แทน ผลรวมของคะแนนความคดิ เห็นของผ้เู ชี่ยวชาญทง้ั หมด
N แทน จานวนผเู้ ชย่ี วชาญท้ังหมด
6) พจิ ารณาขอ้ สอบทม่ี คี ่าดชั นคี วามสอดคลอ้ ง (IOC) ตั้งแต่ 0.50 ขนึ้ ไป
7) นาแบบทดสอบวดั ความคิดสรา้ งสรรค์ทางการเรยี นไปใชก้ บั กลมุ่ เป้าหมาย
3.5.4 แบบสอบถามความพึงพอใจ
แบบสอบถามความพึงพอใจเพ่ือต้องการทราบความคิดเห็น โดยทาแบบสารวจเป็นแบบ
ระดบั ความคิดเหน็ จานวน 10 ขอ้ ซึง่ มีวธิ กี ารจดั ทาตามขั้นตอนดังน้ี
๓๙
1) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง60)
มาตรฐาน การเรียนรู้ ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรู้สาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมวงจร หน่วย
การเรียนรู้ท่ี 3 สาระท่ี 1 วิชาพระพุทธศาสนา เร่ือง หลักธรรมนาชีวิต ช้ันประถมศึกษาปีที่ 3
2) วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ควบคู่กับจุดประสงค์การเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้
เพอื่ ใหก้ ารสรา้ งแบบสารวจสอดคลอ้ งกับจดุ ประสงค์ทไี่ ด้ตัง้ ไว้
3) จดั ทาแบบสารวจเป็นแบบระดับความคิดเหน็ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 เป็นแบบระดับความ
คิดเห็น จานวน 10 ข้อ 4) นาแบบสารวจเป็นแบบระดับความคิดเห็นท่ีจัดทาขึ้นเสนอต่ออาจารย์ท่ี
ปรกึ ษาเพือ่ ตรวจสอบความถกู ตอ้ งและปรับปรงุ แกไ้ ขตามคาแนะนา
5) นาแบบทดสอบท่ีปรบั ปรุงแลว้ เสนอตอ่ ผ้เู ชี่ยวชาญ จานวน 3 ทา่ น เพื่อตรวจสอบคุณภาพ
โดยใช้การวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่างข้อคาถามกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
โดยผเู้ ชยี่ วชาญพจิ ารณาขอ้ สอบแตล่ ะขอ้ โดยกาหนดระดบั ความคดิ เห็น ดังนี้
+1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อคาถามวัดความรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อนั้น
0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อคาถามวัดความรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ข้อน้ัน
-1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อคาถามไมไ่ ด้วัดความรู้ตามจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ข้อนนั้
จากนั้นนาคะแนนที่ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นมาหาค่า IOC ของข้อสอบ ดังน้ี
IOC =
เม่อื IOC แทน ดชั นีความสอดคล้องระหวา่ งแบบสารวจขอ้ สอบกับจดุ ประสงค์
Σ แทน ผลรวมของคะแนนความคดิ เห็นของผู้เชี่ยวชาญท้ังหมด
N แทน จานวนผเู้ ชี่ยวชาญท้ังหมด
6) พจิ ารณาข้อสอบท่ีมีค่าดชั นคี วามสอดคลอ้ ง (IOC) ต้งั แต่ 0.50 ขึ้นไป
7) นาแบบสารวจเปน็ แบบระดับความคดิ เหน็ ไปใช้กับกลุม่ เปา้ หมาย
3.6 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
การเกบ็ รวบรวมข้อมูลคร้งั น้ี ผู้วิจยั เป็นผู้เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลดว้ ยตนเองโดยมีลาดบั ขนั้ ตอน
ดังนี้
3.6.1 ชแี้ จงและทาความเข้าใจกับผูเ้ รยี นเกี่ยวกับการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนโดยการ
จัดการเรียนรูด้ ว้ ยการจดั การเรียนการสอนแบบร่วมมือ (STAD)
3.6.2 ดาเนินการทดลองการจัดการเรียนรู้ ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยการพัฒนา
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน STAD ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3
โรงเรียนบ้านดอนดคู่ ุรุราษฎร์วิทยาในรายวิชา ส13101 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3 เรอ่ื งหลกั ธรรมนาชีวิต
จานวน 3 แผน 3 แผนละ 60 นาที ดังน้ี
๔๐
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 1 เรอ่ื งพระไตรปฎิ ก จานวน 1 คาบ
แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 2 เร่ืองพระรตั นตรัย จานวน 1 คาบ
แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 3 เรือ่ งหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา จานวน 1 คาบ
3.6.3 ผวู้ ิจยั เกบ็ รวบรวมข้อมลู จากการดาเนนิ กจิ กรรมตามแผนการจดั การเรยี นรู้
3.6.4 สังเกตและบันทึกพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ จากแบบสังเกตการณ์จัดกิจกรรม
จัดการ เรยี นรู้ของครู แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน แบบบันทึกผลหลังการ
จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผลงานนักเรียน แบบวัดความสามารถการคิดวิเคราะห์ แบบการพัฒนา
ความคิดสร้างสรรค์ แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนและแบบประเมินความพึงพอใจในการจัดการ
เรียนการสอน
3.6.5 ผ้วู จิ ยั นาผลจากการเก็บขอ้ มูลไปวเิ คราะห์ แปลผล และสรุปผลในการทาวจิ ยั
3.7 การวิเคราะหข์ ้อมลู
การวจิ ัยเรื่อง การพฒั นาความสามารถในการคดิ อย่างสร้างสรรค์ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ
ร่วมมือ (STAD) ผ้วู จิ ัยไดด้ าเนินการดงั นี้
3.7.1 วิเคราะห์ขอ้ มูลเชงิ ปรมิ าณ
1) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบทดสองก่อนเรียนและหลังเรียน โดยนามาหาค่าร้อยละ
และค่าเฉล่ีย เพ่ือใช้สรุปผลการศึกษา ด้านความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของกลุ่มเป้าหมาย
กาหนดเกณฑ์ผา่ น คือ นกั เรยี นมี ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ร้อยละ 70 และมีจานวนนักเรียน
ท่ผี า่ นเกณฑร์ อ้ ยละ 70 ขึน้ ไป
2) วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยนามาหา ค่าร้อยละ
และค่าเฉลี่ย เพื่อใช้สรุปผลการศึกษาด้านผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียน ของกลุ่มเป้าหมาย
กาหนดเกณฑ์ผ่าน คือ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนร้อยละ 70 และมีจานวน นักเรียนที่ผ่าน
เกณฑ์ร้อยละ 70 ขึน้ ไป
3.7.2 วิเคราะหข์ ้อมูลเชงิ คณุ ภาพ จากแบบสารวจความพึงพอใจ โดยผู้วิจัยได้วิเคราะห์
ขอ้ มลู จากการเก็บรวบรวมมาวิเคราะห์ในเชิงคุณภาพ โดยเป็นการ วิเคราะห์และสรุปเป็นข้อแล้ว
นามา วิเคราะห์ และสรุปผล โดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเพ่ือหาแนวทางการแก้ไข
ปรบั ปรงุ พัฒนาให้การจดั การเรียนรมู้ ีและการวิจัยใน คร้งั ต่อไปมปี ระสิทธิภาพยง่ิ ขึ้น
3.8 สถติ ิท่ใี ชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมลู
3.8.1 สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยใช้สถิติพื้นฐานในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่
ร้อยละ ค่าเฉลย่ี และคา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน
1) รอ้ ยละ (Percentage)
2) คา่ เฉลยี่ ( ̅: Mean) โดยใช้สูตร