The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

13-พระมหาจิรายุ จิรญาณเมธี-การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 Eฯ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by social study, 2023-05-31 03:24:53

13-พระมหาจิรายุ จิรญาณเมธี-การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 Eฯ

13-พระมหาจิรายุ จิรญาณเมธี-การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 Eฯ

ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหา ความรู้ 5E ในรายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (สำราญ-เฟี้ยฟาน) ชื่อผู้วิจัย พระมหาจิรายุ จิรญาณเมธี ปริญญา คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาสังคมศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์อนุสรณ์ นางทะราช ปีการศึกษา ๒๕๖๕ บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ ๑)เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ด้วยการ จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (สำราญ-เฟี้ยฟาน) ให้นักเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๐ ผ่านเกณฑ์และมี คะแนนไม่น้อย กว่าร้อยละ ๗๐ ขึ้นไป ๒)เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (สำราญ-เฟี้ยฟาน) ด้วยการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ให้นักเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๐ ผ่านเกณฑ์และมีคะแนนไม่น้อยกว่าร้อย ละ ๗๐ ขึ้นไป ๓)เพื่อ ศึกษาความพึงพอใจในการเรียนรู้ รายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (สำราญ-เฟี้ยฟาน) ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ 5Eกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการ วิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ จำนวน ๒๘ คน ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ ๒ ปี การศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (สำราญ-เฟี้ยฟาน) ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ๑. แผนการ จัดการเรียนรู้ ๒. แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เป็นแบบทดสอบปรนัย ๔ ตัวเลือก จำนวน ๒๐ ข้อ ๓. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบปรนัย ๔ ตัวเลือก จำนวน ๒๐ ข้อ ๔. แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย ( x̅ ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า ๑) ผลการวิเคราะห์การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์พบว่า นักเรียนทดสอบ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ผ่านเกณฑ์จำนวน ๒๘ คน จากนักเรียนทั้งหมด ๒๘ คน คิดเป็นร้อย ละ ๑๐๐ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยเฉลี่ย คือ ๑๖.๙๖ จากคะแนนเต็ม ๒๐ คิดเป็นร้อยละ ๘๔,๘๐ ๒) ผลจากการใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนพบว่านักเรียนทดสอบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนผ่านเกณฑ์จำนวน ๒๘ คน จากนักเรียนทั้งหมด ๒๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ ซึ่งสูงกว่า


ข เกณฑ์ที่กำหนดไว้ และมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยเท่ากับ ๒๓.๗๓ จากคะแนนเต็ม ๓๐ คะแนน คิดเป็นร้อยละ ๗๙.๑๐ ๓) ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E อยู่ในระดับ มาก ที่สุด (x̅= ๔.๗๓, S.D. = ๐.๕๖)


ค กิตติกรรมประกาศ การศึกษาค้นคว้าอิสระฉบับนี้สำเร็จลงได้ด้วยความอนุเคราะห์จากบุคคลหลายฝ่าย ซึ่ง ผู้วิจัยขอระบุนามไว้เพื่อแสดงความขอบคุณ ดังต่อไปนี้ ขอขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์อนุสรณ์ นางทะราช ที่ปรึกษางานการศึกษาค้นคว้า อิสระ ที่ได้เสียสละเวลาให้คำปรึกษา และตรวจแก้ไขข้อบกพร่องของงานการศึกษาค้นคว้าอิสระฉบับ นี้ให้มีความสมบูรณ์ ขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์อนุสรณ์ นางทะราช ประธานหลักสูตรสาขา สังคมศึกษา ขอบพระคุณ ผู้ทรงคุณวุฒิ อาจารย์วิรัตน์ ทองภู อาจารย์พันทิวาทับภูที และอาจารย์ กนกวรรณ ประจันตะเสน ผู้เชี่ยวชาญที่ได้สละเวลาตรวจสอบความถูกต้องของเครื่องมือการวิจัย ขอบคุณโรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (สำราญ-เฟี้ยฟาน) ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ที่ให้ ความสะดวกในการเก็บรวบรวมข้อมูล พร้อมกับ ช่วยเหลือในเรื่องของเอกสารข้อมูลในการทำงาน การศึกษาค้นคว้าอิสระ และ ประสบการณ์ในการทำการศึกษาค้นคว้าอิสระในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไป ด้วยดี ผู้วิจัยขอขอบพระคุณคณาจารย์นักวิชาการทุกท่านที่เป็นเจ้าของหนังสือและงานวิจัย ที่มี คุณค่า ซึ่งท่านได้เขียนไว้ให้ได้ศึกษาค้นคว้า เพื่อเป็นข้อมูลประกอบในการเขียนงานการศึกษา ค้นคว้า อิสระในครั้งนี้ และที่ขาดไม่ได้คือ คณะทีมงานผู้จัดทํางานการศึกษาค้นคว้าอิสระ ที่ได้ ช่วยเหลือ ร่วมมือและสนับสนุนการศึกษาค้นคว้าอิสระด้วยดีมาโดยตลอด รายงานการศึกษาค้นคว้าอิสระฉบับนี้ ผู้จัดทำงานวิจัยหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ ผู้สนใจตาม สมควร พร้อมทั้งขอยกคุณความดีนี้บูชาคุณบิดา มารดา ครู อาจารย์ทุกท่าน ที่ได้ พยายามอบรมสั่ง สอนให้ความรู้จนทำให้ผู้จัดทำงานวิจัย มีความรู้มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียนจนถึงปัจจุบัน ผู้จัดทําต้อง ขอบคุณไว้ ณ ที่ พระมหาจิรายุ จิรญาณเมธี ผู้วิจัย ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕


ง สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ค สารบัญ ง บทที่ ๑ บทนํา ๑.๑ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ๑ ๑.๒ วัตถุประสงค์การวิจัย ๒ ๑.๓ ขอบเขตการวิจัย ๓ ๑.๔ นิยามศัพท์เฉพาะ ๔ ๑.๕ ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย ๔ บทที่ ๒ แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๒.๑ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาชั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ๕ ๒.๒ ทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ ๑๐ ๒.๓ ทฤษฎีเกี่ยวกับการสืบเสาะหาความรู้ 5E ๑๔ ๒.๔ แนวคิดเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๑๙ ๒.๕ แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ ๒๐ ๒.๖ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๒๔ ๒.๗ กรอบแนวคิดการวิจัย ๒๖ บทที่ ๓ ระเบียบวิธีวิจัย ๓.๑ รูปแบบการวิจัย ๒๗ ๓.๒ ตัวแปรในการวิจัย ๒๗ ๓.๓ ประชากรกลุ่มเป้าหมาย ๒๗ ๓.๔ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๒๘ ๓.๕ การเก็บรวบรวมข้อมูล ๓๓ ๓.๖ การวิเคราะห์ข้อมูล ๓๔ ๓.๗ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ๓๔


จ สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๔.๑ ผลการศึกษาการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ๓๕ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ๔.๒ ผลการศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๓๖ ในการคิดวิเคราะห์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E บทที่ ๕ สรุปผลอภิปรายผลและข้อเสนอแนะ ๕.๑ สรุปผลการวิจัย ๔๐ ๕.๒ อภิปรายผลการวิจัย ๔๑ ๕.๓ ข้อเสนอแนะ ๔๒ บรรณานุกรม ๔๔ ภาคผนวก ภาคผนวก รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๔๘ ภาคผนวก ข แบบประเมินคุณภาพเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ ๕๐ ประวัติผู้วิจัย ๑๐๘


๑ บทที่ ๑ บทนำ ๑.๑ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ปัจจุบันเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องเจอปัญหาและความท้าทาย หลายอย่างที่ ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง หากมองในเรื่องของการศึกษาทักษะพื้นฐานที่ สำคัญ คือ ทักษะการอ่าน การเขียน ทักษะด้านตัวเลข และทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ คือ การมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะให้สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตในอนาคตซึ่งหนึ่งในทักษะนั้นคือ ทักษะ ด้านการคิดและการสื่อสาร แต่ปัญหาระบบการศึกษาที่พบส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับ การ พัฒนาทักษะด้านการคิดวิเคราะห์มากเกินไป แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะ ความคิด และขาดการฝึกฝนอย่างถูกวิธี การจัดการเรียนการสอนในระดับต่าง ๆ จึงควรพัฒนาการ ใช้ความคิด สร้างสรรค์เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาศักยภาพในตัวเอง และสามารถเผชิญกับการ เปลี่ยนแปลง เพื่อให้ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และเรียนรู้ปัญหาพัฒนาต่อยอดได้อย่างต่อเนื่อง สามารถนำ ไอเดียและความคิดแปลกใหม่ในการคิด บางครั้งเราอาจจะไม่สามารถสร้างทั้งหมด ขึ้นมาได้ด้วย ตัวเอง แต่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น จะเห็นได้ว่าทักษะการคิดก็เป็น อีกทักษะที่ สำคัญในศตวรรษที่ ๒๑” ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ประกอบด้วย ทักษะในการคิด วิเคราะห์ การคิด อย่างมีวิจารณญาณ และแก้ไขปัญหาได้, คิดอย่างสร้างสรรค์ คิดเชิงนวัตกรรม, ความร่วมมือ การ ทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ, ทักษะในการสื่อสาร และการรู้เท่าทันสื่อ, ความ เข้าใจความแตกต่าง ทางวัฒนธรรม, ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ และการรู้เท่าทันเทคโนโลยี, ทักษะ ทางอาชีพ และการ เรียนรู้และมีคุณธรรม มีเมตตา กรุณา มีระเบียบวินัย การพัฒนาทักษะคิดวิเคราะห์ เป็นกระบวนการทางสมองของมนุษย์ในการรับรู้เรียนรู้ที่ทำ ให้ สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของสิ่งที่ประทับใจหรือจินตนาการที่พึงพอใจของตน ให้มี ความคิด แยกแยะข้อมูล โดยอาศัยกระบวนการความคิด ทฤษฎีและหลักการคิดพิจารณาจึงเป็น ความสามารถ ของมนุษย์และเป็นปัจจัยจำเป็นในการส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ ใน ปัจจุบันมี นักจิตวิทยาหลายคนได้ทำการศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ พบว่ามนุษย์ทุกนมี ความสามารถในการคิดวิเคราะห์และสามารถพัฒนาส่งเสริมให้สูงขึ้นได้ด้วยการสอน ฝึกฝน การฝึกที่ ถูกวิธี และมีข้อเสนอแนะ ดังนั้นการคิดวิเคราะห์ จึงเป็นคุณลักษณะที่ควรได้รับการ เสริมสร้างและ พัฒนาให้สูงขึ้น เพื่อให้เด็กได้เจริญเติบโตเป็นผู้ที่มีความคิดที่แยกแยะสูง และพร้อม ที่จะสร้างสรรค์ ประโยชน์แก่ประเทศชาติต่อไป


๒ จากบริบทโรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (สำราญ-เฟี้ยฟาน) ตำบลสำราญ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ที่มีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการใช้โจทย์สถานการณ์และปัญหาปลายเปิดในการ ขับเคลื่อน กระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยที่ผู้เรียนแต่ละคนเป็นผู้นำเสนอวิธีการแก้ปัญหาของตน เกิดการ แลกเปลี่ยน เรียนรู้ร่วมกันในชั้นเรียน เพื่อเรียนรู้วิธีการคิดและวิธีการทำความเข้าใจทั้งของ ตนเอง และของผู้อื่น ร่วมกันนั้นแนวทางในการปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยใน ปัจจุบัน การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ และจากการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ ๓/๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ ในรายวิชาประวัติศาสตร์ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (สำราญ-เฟี้ยฟาน) ตำบลสำราญ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ผู้วิจัยพบว่านักเรียนยังไม่สามารถสร้างการคิด วิเคราะห์ใน การเรียนได้ดีเท่าที่ควร และจากการสังเกตการสอนในสถานศึกษาพบว่านักเรียนยังไม่มี วิธีความคิด ที่หลากหลายในการแก้ปัญหา โดยมองเห็นข้อดี ข้อจำกัด ในหลายมิติ เพื่อนำมาใช้กับ สถานการณ์ ปัจจุบันหรือที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ดีที่สุด การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ๕ ขั้นตอน นับเป็นการเรียนการสอน ที่ให้ ความสำคัญกับผู้เรียนหรือผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีการจัดการเรียนรู้ที่ฝึกให้ผู้เรียนรู้จักค้นคว้าหา ความรู้โดยใช้กระบวนการทางความคิดหาเหตุผล เพื่อทำให้ค้นพบความรู้หรือแนวทางแก้ปัญหาที่ ถูกต้องด้วยตนเอง จึงนับได้ว่าการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ ๕ ขั้นตอนนั้น เป็นการเรียนการ สอน ที่เน้นองค์ความรู้ทักษะ ความเชี่ยวชาญและสมรรถนะที่เกิดกับตัวผู้เรียน ซึ่งทำให้ผู้เรียน สามารถ นำไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตท่ามกลางการกระแสเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบันได้ ด้วยแนวคิดและความสำคัญที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ผู้วิจัยสนใจที่จะนำการจัดการเรียนรู้ โดย ใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E มาใช้ในการทำวิจัยเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (สำราญ-เฟี้ยฟาน) ตำบลสำราญ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ผู้วิจัยคาดหวังว่า การจัดการเรียนการเรียนรู้จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ของ นักเรียนให้ดียิ่งขึ้น โดยการพัฒนาการคิดวิเคราะห์ตลอดจนช่วยทำให้นักเรียนเกิดความสามารถ สร้าง ผลงานออกมาได้อย่างเต็มศักยภาพของแต่ละ บุคคล อีกทั้งยังเป็นแนวทางในการพัฒนาการ จัดการ เรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมให้สอดคล้องและ เหมาะสมกับ การศึกษาไทยต่อไป ๑.๒ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๑.๒.๑.เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ 5E รายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (สำราญ-เฟี้ยฟาน) ให้นักเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๐ ผ่านเกณฑ์และมีคะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๐ ขึ้นไป


๒ ๑.๒.๒.เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (สำราญ-เฟี้ยฟาน) ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 5E ให้นักเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๐ ผ่านเกณฑ์และมีคะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๐ ขึ้นไป ๑.๒.๓.เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (สำราญ-เฟี้ยฟาน) ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 5E ๑.๓ ขอบเขตของการวิจัย ๑.๓.๑ ขอบเขตด้านประชากรกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนที่กำลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (สำราญ-เฟี้ยฟาน) ตำบลสำราญ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น จำนวน ๒๘ คน ๑.๓.๒ ขอบเขตด้านเนื้อหา การวิจัย เรื่องการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ ๕E ในรายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ในครั้งนี้ผู้วิจัยได้จัดการเรียนรู้ ด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ ๓ แผน แผนที่ ๑ เรื่องเรื่องขั้นตอนวิธีการทางประวัติศาสตร์ แผนที่ ๒ เรื่องเรื่องการสืบค้นข้อมูลโดยวิธีการทางประวัติศาสตร์ แผนที่ ๓ เรื่องข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ตัวแปรที่ศึกษา - ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E - ตัวแปรตาม คือ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความพึงพอใจ ๑.๓.๓ ขอบเขตด้านสถานที่ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (สำราญ-เฟี้ยฟาน) ตำบลสำราญ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ๑.๓.๔ ขอบเขตด้านระยะเวลา ๑๗ พฤศจิกายน – ๑ มีนาคม ๒๕๖๕


๓ ๑.๔ นิยามศัพท์เฉพาะ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ หมายถึง กระบวนการทางจิตที่ใช้ในการวิเคราะห์หรือ ประเมินข้อมูลข้อมูลดังกล่าวอาจเก็บรวบรวมจากการสังเกตการณ์ประสบการณ์การใช้เหตุผลหรือ จากการสื่อความการคิด วิเคราะห์มีพื้นฐานของมันเองทางคุณค่าแห่งพุทธปัญญาที่ล้ำลึกไปจากการ แบ่งเรื่องราวโดยรวมถึงความกระจ่างแจ้งความแม่นยำการมีพยานหลักฐานการครบถ้วนและการมี ความยุติธรรม แนวทางการพัฒนาการคิดวิเคราะห์ หมายถึง วิธีการคิดสามารถฝึกสมองให้มีทักษะการคิด วิเคราะห์ให้พัฒนาขึ้นสามารถสรุปคำตอบเป็นการรวบรวมประเด็นที่สำคัญเพื่อหาข้อสรุปเป็นคำตอบ หรือตอบปัญหาของสิ่งที่กำหนดให้การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์หมายถึงคะแนนที่ได้ จากการทำแบบทดสอบวัดความ สามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E หมายถึง รูปแบบของการเรียนรู้รูปแบบหนึ่ง ที่ เน้นให้นักเรียนมีประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้โดยการแสวงหาและศึกษาค้นคว้าเพื่อสร้างองค์ความรู้ ของตนเองโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งมีครูผู้สอนคอยอำนวยการและสนับสนุนทำให้ ผู้เรียนสามารถค้นพบความรู้หรือแนวทางแก้ปัญหาได้ตัวเองและสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันซึ่ง ถือว่าเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้นำความรู้หลักการแนวคิดค้นคว้าและลงมือการเรียนแบบ สืบหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ไปเชื่อมโยงกับประเด็นปัญหาที่ ผู้เรียนสนใจศึกษาปฏิบัติด้วยตนเอง ตามความสามารถและความถนัดของตนเองอย่างเป็นอิสระเสาะหาความรู้มี ๕ ขั้นตอน ๑) การสร้างความสนใจ (Engagement) ๒) การสำรวจและค้นหา (Exoloration) ๓) การอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) ๔) การขยายความรู้ (Elaboration) ๕) การประเมินผล ( Evaluation) ๑.๕ ประโยชน์ที่จะได้รับจากการวิจัย ๑.๕.๑. นักเรียนได้ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นขั้นตอนมีกระบวนการและสามารถ นำไปใช้ในการเรียนการสอนในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ๑.๕.๒. ครูได้แนวทาง ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ที่สามารถ นำไปใช้จัดการเรียนการสอนในระดับชั้นอื่นหรือรายวิชาอื่น ๆ เพื่อช่วยส่งเสริมและพัฒนาทักษะการ คิดวิเคราะห์ได้ต่อไป


๔ ๑.๕.๓. สถานศึกษาได้แนวทางในการ ศึกษาวิจัยนวัตกรรมการสอนที่พัฒนาความสามารถใน การคิดวิเคราะห์ด้วยนวัตกรรมการศึกษาโดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้


๕ บทที่ ๒ แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่องการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ในรายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (สำราญเฟี้ยฟาน) ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องเสนอตามลำดับห้อข้อ ดังต่อไปนี้ ๒.๑ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ๒.๒ ทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ ๒.๓ ทฤษฎีเกี่ยวกับการสืบเสาะหาความรู้ 5E ๒.๔ แนวคิดเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๒.๕ แนวคิดเกี่ยวกับการพึงพอใจ ๒.๖ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๒.๗ กรอบแนวคิด ๒.๑ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กระทรงศึกษาธิการ (๒๕๕๑) ได้ดำเนินการจัดทำหลักสูตรแกนกลางศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อเป็น แนวทางการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษาต่าง ๆ ๑ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ๒.๑.๑ วิสัยทัศน์ วิสัยทัศน์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนซึ่งเป็นกำลัง ของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกายความรู้คุณธรรมมีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทย และเป็นพลเมืองโลกยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขมีความรู้และทักษะพื้นฐานรวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและ การศึกษาตลอดชีวิตโดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนา ตนเองได้เต็มตามศักยภาพ ๑ กระทรวงศึกษาธิการ, หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑, กรุงเทพฯ : โรง พิมพ์ ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย, ๒๕๕๖.หน้า ๕


๖ ๒.๑.๒ หลักการ หลักการหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมีหลักการที่สำคัญดังนี้ ๑) เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติมีจุดหมายและมาตรฐาน การเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ทักษะเจตคติและคุณธรรมบนพื้นฐาน ของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล ๒) เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชนที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษา อย่างเสมอภาคและมีคุณภาพ ๓) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น ๔) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้เวลาและการ จัดการเรียนรู้ ๕) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ๖) เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบนอกระบบและตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายสามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้และประสบการณ์ ๒.๑.๓ จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดีมีปัญญามี ความสุขมีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพจึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อ จบการศึกษาขั้นพื้นฐานดังนี้ ๑) มีคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์เห็นคุณค่าของตนเองมีวินัยและ ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง ๒) มีความรู้ความสามารถในการสื่อสารการคิดการแก้ปัญหาการใช้เทคโนโลยีและมี ทักษะชีวิต ๓) มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีมีสุขนิสัยและรักการออกกาลังกาย ๔) มีความรักชาติมีจิตสํานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลกยึดมั่นในวิถีชีวิต และการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ๕) มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยการอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดล้อมมีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคมและอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมี ความสุข ๒.๑.๔ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งเน้นพัฒนา


๗ ผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอัน พึงประสงค์ดังนี้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ ๕ ประการ ดังนี้ ๑) ความสามารถในการสื่อสารเป็นความสามารถในการรับและส่งสารวัฒนธรรมใน การใช้ภาษาถ่ายทอดความคิดความรู้ความเข้าใจความรู้สึกและทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคมรวมทั้งการเจรจาต่อรอง เพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและ ความถูกต้องตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อ ตนเองและสังคม ๒) ความสามารถในการคิดเป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดเป็นระบบเพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม ๓) ความสามารถในการแก้ปัญหาเป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค ต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผลคุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศเข้าใจ ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคมแสวงหาความรู้ประยุกต์ความรู้มาใช้ใน การป้องกันและแก้ไขปัญหาและมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อ ตนเองสังคมและสิ่งแวดล้อม ๔) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิตเป็นความสามารถในการนกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันการเรียนรู้ด้วยตนเองการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องการทำงานและการอยู่ ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคลการจัดการปัญหาและความขัดแย้ง ต่าง ๆ อย่างเหมาะสมการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อมและการรู้จัก หลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น ๕) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยี ด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้ การสื่อสารการทำงานการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ถูกต้องเหมาะสมและมีคุณธรรม ๒.๑.๕ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึง ประสงค์เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุขในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ ๑) รักชาติศาสน์กษัตริย์ ๕) อยู่อย่างพอเพียง ๒) ชื่อสัตย์สุจริต ๖) มุ่งมั่นในการทำงาน


๘ ๓) มีวินัย ๗) รักความเป็นไทย ๔) ไฝ่เรียนรู้ ๘) มีจิตสาธารณะ นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้ สอดคล้องนอกจากนี้ตามบริบทและเป็นของตนเอง ๒.๑.๖ มาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุลต้องคำนึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุ ปัญญาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานจึงกำหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ดังนี้ ๑) ภาษาไทย ๕) สุขศึกษาและพลศึกษา ๒) คณิตศาสตร์ ๖) ศิลปะ ๓) วิทยาศาสตร์ ๗) การงานอาชีพและเทคโนโลยี ๔) สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ๘) ภาษาต่างประเทศ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนา คุณภาพผู้เรียนมาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ปฏิบัติได้มีคุณธรรมจริยธรรมแลค่านิยมที่พึง ประสงค์เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐานนอกจากนั้นมาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกลสำคัญในการ ขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบเพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการอะไรจะ สอนอย่างไรและประเมินอย่างไรรวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษา โดยใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอกซึ่งรวมถึงการทดสอบระดับ เขตพื้นที่การศึกษาและการทดสอบระดับชาติระบบการตรวจสอบเพื่อประกันคุณภาพดังกล่าวเป็นสิ่ง สำคัญที่ช่วยสะท้อนภาพการจัดการศึกษาว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ กำหนดเพียงใด ๒.๑.๗ ตัวชี้วัด ตัวชี้วัดระบุสิ่งที่นักเรียนพึงรู้และปฏิบัติได้รวมทั้งคุณลักษณะของผู้เรียนในแต่ละ ระดับชั้นซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานการเรียนรู้มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรมนำไปใช้ในการ กำหนดเนื้อหาจัดทำหน่วยการเรียนรู้จัดการเรียนการสอนและเป็นเกณฑ์สำคัญสำหรับการวัด ประเมินผลเพื่อตรวจสอบคุณภาพผู้เรียน ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ สาระที่ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน ๔.๑ เข้าใจความหมายความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์สามารถ ใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆอย่างเป็นระบบตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ แกนกลาง ๑. สืบค้นความเป็นมาของท้องถิ่นโดยใช้หลักฐานที่หลากหลาย


๙ -วิธีการค้นความเป็นมาของท้องถิ่นอย่างง่ายๆ -แหล่งข้อมูลและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ในท้องถิ่นที่เกิดขึ้นตามช่วงเวลา ต่างๆเช่นเครื่องมือเครื่องใช้อาวุธโบราณสถานโบราณวัตถุตำนานท้องถิ่นคำบอกเล่า ๒. รวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆเพื่อตอบคำถามทางประวัติศาสตร์อย่างมีเหตุผล -การตั้งคำถามทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับความเป็นมาของท้องถิ่น เช่นมีเหตุการณ์ ใดเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเพราะสาเหตุใดและมีผลกระทบอย่างไร ๓. อธิบายความแตกต่างระหว่างความจริงกับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องราวในท้องถิ่นเหตุการณ์ ใดเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเพราะสาเหตุใดและมีผลกระทบอย่างไร -ตัวอย่างเรื่องราวจากเอกสารต่างๆที่สามารถแสดงนัยของความคิดเห็นกับข้อมูลเช่น หนังสือพิมพ์บทความจากเอกสารต่าง ๆ เป็นต้น -ตัวอย่างข้อมูลจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในทองถิ่นที่แสดงความจริงกับ ข้อเท็จจริง -สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับข้อมูลในทองถิ่น มาตรฐานส ๔.๒ เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบันในด้านความสัมพันธ์ และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่องตระหนักถึงความสำคัญและสามารถวิเคราะห์ ผลกระทบที่เกิดขึ้น ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ๑. อธิบายพัฒนาการของอาณาจักรอยุธยาและธนบุรีโดยสังเขป -การสถาปนาอาณาจักรอยุธยาโดยสังเขป ๒. อธิบายปัจจัยที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและการปกครองของอาณาจักร อยุธยา -ปัจจัยที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและการปกครองสมัยอยุธยา ๓. บอกประวัติและผลงานของบุคคลสำคัญสมัยอยุธยาและธนบุรีที่นาภาคภูมิใจ -พัฒนชการของอาณาจักรอยุธยาการด้านการเมืองการปกครองและเศรษฐกิจ ๔. อธิบายภูมิปัญญาไทยที่สำคัญสมัยอยุธยาและธนบุรีที่น่าภาคภูมิใจและควรค่าแก่การ อนุรักษ์ไว้ -ผลงานของบุคคลสำคัญในสมัยอยุธยาเชนสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ สมเด็จพระบรม ไตรโลกนาถสมเด็จพระนเรศวรมหาราชสมเด็จพระนารายณ์มหาราชชาวบ้าน บางระจันเป็นต้น -ภูมิปัญญาไทยสมัยอยุธยาโดยสังเขปเขนศิลปกรรมการคาวรรณกรรม -การกอบกู้เอกราชและการสถาปนาอาณาจักรธนบุรีโดยสังเขป


๑๐ -พระราชประวัติและผลงานของพระเจ้าตากสินมหาราชโดยสังเขป สาระที่ ๔ ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน ส.๔.๑ เข้าใจความหมายความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์สามารถใช้วิธีการ ทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ มาตรฐาน ส.๔.๒ เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบันในด้านความสัมพันธ์และการ เปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่องตระหนักถึงความสำคัญและสามารถวิเคราะห์ผลกระทบที่ เกิดขึ้น มาตรฐาน ส.๔.๓ เข้าใจความเป็นมาของชาติไทยวัฒนธรรมภูมิปัญญาไทยมีความรักความภูมิใจและ ธำรงความเป็นไทย ๒.๒ แนวคิดเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ ๒.๒.๑ ความหมายของการคิดวิเคราะห์ มีนักการศึกษาและนักวิชาการหลายท่าน ได้ให้ความหมายหรือนิยามของการคิด วิเคราะห์ไว้อย่างหลากหลาย ดังนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒ (ราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๔๖ ๒๕๑,๑๐๗๑) ได้ระบุความหมายของคำว่า “คิด” หมายถึง ทำให้ปรากฏเป็นรูปหรือ ประกอบให้เป็นรูป หรือเป็นเรื่องขึ้น ในใจ ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง คาดคะเน คำนวณ มุ่ง จงใจตั้งใจ นึก และให้ความหมาย ของคำว่า “วิเคราะห์” หมายถึง ใคร่ครวญแยกออกเป็นส่วนๆ เพื่อศึกษาให้ ถ่องแท้ดังนั้น คำว่า คิด วิเคราะห์จึงมีความหมายโดยรวมว่า การใคร่ครวญ ไตร่ตรองคาดคะเน คำนวณด้วยความตั้งใจพิจารณา แยกออกเป็นส่วนๆ เพื่อศึกษาให้ถ่องแท้๒ บลูม (Bloom, 1956 : 6 - 9) กล่าวว่า การคิดวิเคราะห์เป็นความสามารถ ใน การ แยกแยะเพื่อหาส่วนย่อยของเหตุการณ์เรื่องราวหรือเนื้อหาต่างๆ ว่าประกอบด้วยอะไร มี ความสำคัญ อย่างไร มีอะไรเป็นสาเหตุ มีอะไรเป็นผลและที่เป็นอย่างนั้นด้วยหลักการอะไร๓ รัสเซล (Russel, 1956 : 181-182) ให้ความหมายว่า การคิดวิเคราะห์นั้นเป็น การ ๒ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒, (กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์ พับลิเคชั่นส์, ๒๕๔๖). ๓ Bloom, Taxonomy of Educational Objectives Book 1, (cognitive Domain,London: Longman Group Limited), 1956: 6 - 9.


๑๑ คิดเพื่อแก้ปัญหาชนิดหนึ่ง โดยผู้คิดจะต้องพิจารณาตัดสินเรื่องราวต่าง ๆ ว่าเห็นด้วยหรือไม่ เห็นด้วย การคิดวิเคราะห์จึงเป็นกระบวนการประเมินหรือหรือการจัดหมวดหมู่โดยอาศัยเกณฑ์ที่ เคยยอมรับกัน มาก่อน แล้วสรุปหรือพิจารณาตัดสิน๔ ทิศนา แขมมณี (๒๕๕๕ : ๔๐๓) ระบุว่า การคิดวิเคราะห์ หมายถึง การคิดที่ต้องใช้ คำตอบ แยกแยะข้อมูลและความบนหน้าหนึ่งคือการเรียนรู้ในระดับ ผู้เรียนสามารถบอกได้ว่านะไรเป็น สาเหตุ เหตุผล หรือแรงจูงใจ ที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ใด ปรากฏการณ์หนึ่ง ๕ ชาติ แจ่มนุช (๒๕๔๕ : ๕๔) ได้ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ ว่าเป็นการคิดที่ สามารถแยกสิ่งสำเร็จรูป ได้แก่ วัตถุสิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว หรือบรรดาเรื่องราว เนื้อเรื่องหรือ สิ่ง ต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อย ๆ ตามหลักเกณฑ์หรือหลักการที่กำหนดให้ เพื่อค้นหาความจริงหรือ ความสำคัญที่แฝงอยู่ภายใน๖ สุวิทย์ มูลค่า (๒๕๔๙ : ๙) สรุปว่า การคิดวิเคราะห์ คือ ความสามารถในการจำแนก แยกแยะองค์ประกอบต่างๆ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นวัตถุ สิ่งของ เรื่องราวหรือเหตุการณ์ และหา ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้นเพื่อค้นหาสภาพความเป็นจริงหรือ สิ่งสำคัญของ สิ่งที่กำหนดให้๗ เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ๒๕๕๓ : ๒) ได้ให้ความหมายการคิดวิเคราะห์ หมายถึง การ จำแนก แยกแยะ องค์ประกอบของสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกเป็นส่วนๆ เพื่อค้นหาว่าทำมาจากอะไร ประกอบขึ้นมาได้อย่างไร เชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างไร๘ สุวัฒน์ วิวัฒนานนท์ (๒๕๕๐ : ๔๕) ระบุว่าการคิดวิเคราะห์ หมายถึง การคิดโดย พิจารณา จำแนก แยกแยะ ไตร่ตรอง ใคร่ครวญ แจกแจงส่วนประกอบของการจัดหมวดหมู่ในเรื่องราว หรือ สถานการณ์โดยใช้ความรู้ ความคิดในการแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปที่เป็นไปได้๙ ๒.๒.๒ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการวิเคราะห์ ๔ Russel, The biotechnology revolution: an international perspective,Brighto, Susex: Wheat sheaf, 1956, : 181-182. ๕ ทิศนา แขมมณี, การคิดและการสอนเพื่อพัฒนากระบวนการคิด, (กรุงเทพฯ : สำนักงานพัฒนา คุณภาพ วิชาการ, ๒๕๔๕), หน้า ๔๐๑. ๖ ชาติ แจ่มนุช, สอนอย่างไรให้คิดเป็น, (กรุงเทพฯ : เสี่ยงเซียง, ๒๕๔๕), หน้า ๕๔. ๗ วิทย์ มูลคำ, ครบเครื่องเรื่องการคิด, (พิมพ์ครั้งที่ ๗), (กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัดภาพพิมพ์, ๒๕๔๙), หน้า ๙. ๘ กรียงศักดิ์เจริญ วงศ์ศักดิ์, การคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical Thinking), (พิมพ์ครั้งที่ ๖), (กรุงเทพฯ : ซัคเซสมีเดีย, ๒๕๕๓), หน้า ๒. ๙ สุวัฒน์ วิวัฒนานนท์, ทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน, นนทบุรี : ซีซีนอลลีทจ์ลิงค์, ๒๕๕๐), หน้า ๔๕.


๑๒ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการวิเคราะห์ผู้วิจัยทำการศึกษาค้นคว้าเพื่อให้ สอดคล้อง กับงานวิจัย ดังนี้ ๑. ทฤษฎีการคิดของบลูม (Bloom's taxonomy) ในปี ค.ศ.1956 บลูมและคณะ (Bloom & other, 1956) ได้พัฒนากรอบ ทฤษฎีที่ ใช้เป็นเครื่องมือการจัดประเภทพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกทางปัญญาและการ คิดอันเป็นผล มาจากประสบการณ์การศึกษา เรียกว่า Bloom's taxonomy ซึ่งกำหนดไว้ ๓ ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย (cognitive domain) ด้านจิตพิสัย (affective domain) และด้านทักษะทาง กาย (psychomotor domain) ในการออกแบบหลักสูตร จัดการเรียนรู้และการวัดประเมินผลการ เรียนรู้ก็ได้อาศัยกรอบ ทฤษฎีดังกล่าวนี้ ซึ่งพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยถูกนำไปใช้มากที่สุดพุทธิพิสัย (cognitive domain) เป็น พฤติกรรมด้านสมองเกี่ยวกับสติปัญญา ความคิด ความสามารถในการ คิดเรื่องราวต่างๆ อย่างมี ประสิทธิภาพซึ่งพฤติกรรมทางพุทธิพิสัย 5 ระดับ (สำนักทดสอบทาง การศึกษา, ๒๕๕๒ : ๑-๑๒) ได้แก่ ๑.ความรู้ (knowledge) ความสามารถในการจดจำแนกประสบการณ์ต่างๆ และระลึก เรื่องราวนั้นๆ ออกมาได้ถูกต้องแม่นยำ ๒.ความเข้าใจ (comprehension) ความสามารถบ่งบอกใจความสำคัญของเรื่องราวโดย การ แปลความหลัก ตีความได้ สรุปใจความสำคัญได้ ๓.การนำความรู้ไปประยุกต์ (application) ความสามารถในการนำหลักการกฎเกณฑ์ และ วิธีดำเนินการต่างๆของเรื่องที่ได้รู้มา นำไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่ได้ ๔.การวิเคราะห์ (analysis) ความสามารถในการแยกแยะเรื่องราวที่สมบูรณ์ให้กระจาย ออกเป็นส่วนย่อย ๆ ได้อย่างชัดเจน ๕.การสังเคราะห์ (synthesis) ความสามารถในการผสมผสานส่วนย่อยเข้าเป็นเรื่องราว เดียวกันโดยปรับปรุงของเก่าให้ดีขึ้นและมีคุณภาพสูงขึ้น ๖.การประเมินค่า (evaluation) ความสามารถในการวินิจฉัยหรือตัดสินกระทำสิ่งหนึ่งสิ่ง โคลง ไปการประเมินเกี่ยวข้องกับการใช้เกณฑ์คือมาตรฐานในการวัดที่กำหนด โดยบลูมและคณะได้เสนอกรอบการคิดออกเป็น 5 ระดับ คือ พัฒนาความคิดระดับต่ำ ( lower orderthinking skills) และการพัฒนาความคิดระดับสูง (higher orderthinking skills) มี รายละเอียด ดังนี้ ๑. พัฒนาความคิดระดับต่ำ (lower order thinking skills) ประกอบด้วย ระดับ ๑ : ความรู้ (knowledge) ระดับ ๒ : ความเข้าใจ (comprehension) ระดับ ๓ : นำไปใช้/การประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์ใหม่(application) ๒. การพัฒนาความคิดระดับสูง (higher order thinking skills) ประกอบด้วย


๑๓ ระดับ ๔ : การวิเคราะห์ (analysis) ระบุความสัมพันธ์และเหตุจูงใจ ระดับ ๕ : การสังเคราะห์ (Synthesis) การเชื่อมโยงข้อเท็จจริงโดยเหตุผลหรือ รูปแบบใหม่ ระดับ ๖ : การประเมิน (evaluation) ใช้เกณฑ์และสถานการณ์เพื่อวินิจฉัยและ การตัดสิน ผล การที่บุคคลจะมีทักษะในการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ จะต้องสามารถวิเคราะห์เข้าใจ ใน สถานการณ์ใหม่หรือข้อความจริงใหม่ได้ ดังนั้นการจะให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ในระดับใดหรือ หลาย ระดับนั้น ขึ้นอยู่กับเนื้อหาสาระที่เป็นองค์ความรู้ อาจต้องผสานข้อมูลความรู้ในลักษณะ รูปแบบต่างๆ เช่น การจัดจำพวก การแปล การตีความ การประยุกต์ การวิเคราะห์ ส่วนย่อย และ ความสัมพันธ์เพื่อ การสร้างความรู้ ความเข้าใจ การนำไปใช้สู่การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และการ ประเมินผลตาม จุดมุ่งหมายการศึกษาของ บลูม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการวิเคราะห์ จะส่งผลให้นักเรียน สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับ สถานการณ์ใหม่ในเชิงสร้างสรรค์ เพราะเป็นการ พัฒนาความสามารถใน ระดับการมีเหตุผลและเป็น การเรียนรู้ที่คงทนของแต่ละบุคคลแม้จะจ่า รายละเอียดของความรู้ไม่ได้ นักเรียนจึงต้องเรียนรู้วิธีการวิเคราะห์และภายใต้สภาวะใดที่ต้องนำ ความสามารถด้านการวิเคราะห์มา ใช้ (Bloom ; et al., 1971) กล่าวว่าทักษะการคิดวิเคราะห์มี ๓ ลักษณะ คือ ๑. การคิดวิเคราะห์ความสำคัญ (analysis of element) หมายถึง การแยกแยะสิ่งที กำหนด ได้ว่าอะไรสำคัญหรือจำเป็นหรือมีบทบาทมากที่สุด สิ่งใดเป็นเหตุ สิ่งใดเป็นผล ซึ่งการคิด วิเคราะห์ ความสำคัญนี้จะประกอบไปด้วย "การวิเคราะห์ชนิด" เป็นการวินิจฉัยว่าสิ่งนั้นหรือ เหตุการณ์นั้น จัดเป็นชนิดหรือลักษณะใด เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น “วิเคราะห์สิ่งสำคัญ” เป็น การวินิจฉัยว่าสิ่งใด สำคัญหรือไม่สำคัญ การค้นหาสาระสำคัญ ข้อความหลัก ข้อสรุปจุดเด่นหรือจุด ด้อย ของสิ่งต่างๆ และ “วิเคราะห์เลศนัย” เป็นการมุ่งค้นหาสิ่งแอบแฝงหรืออยู่เบื้องหลังของสิ่งที่ เห็น อาจไม่ได้บ่งบอกตรงๆ แต่มีร่องรอยของความเป็นจริงซ้อนอยู่ ๒. การคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (analysis of relationship) หมายถึง การค้นหา ความสัมพันธ์ย่อย ๆ ของเรื่องราวหรือเหตุการณ์นั้น ๆ มีความเกี่ยวพัน สอดคล้องหรือขัดแย้งกัน อย่างไร ได้แก่ วิเคราะห์ชนิดของความสัมพันธ์ วิเคราะห์ขนาดของความสัมพันธ์วิเคราะห์ขั้นตอน ความสัมพันธ์ วิเคราะห์จุดประสงค์ของความสัมพันธ์ วิเคราะห์สาเหตุของความสัมพันธ์ และ วิเคราะห์ แบบความสัมพันธ์ในรูปอุปมาอุปไมย ๓. การคิดวิเคราะห์เชิงหลักการ (analysis of organizational principles) หมายถึง การ ค้นหาโครงสร้างระบบ และสิ่งของเรื่องราวและการทำงานต่างๆ ว่า สิ่งเหล่านั้นรวมกันจนดำรง สภาพ เช่นนั้นได้เนื่องด้วยอะไร โดยยึดอะไรเป็นหลัก เป็นแกนกลางมีหลักการอย่างไร มีเทคนิค หรือยึดถือคติ ใด มีสิ่งใดเป็นตัวเชื่อมโยง ยึดถือหลักการใด การวิเคราะห์หลักการเป็นการวิเคราะห์ ที่ถือว่ามี


๑๔ ความสำคัญที่สุด การจะวิเคราะห์ได้ดี จะต้องมีความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์ องค์ประกอบและ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ได้ดีเสียก่อน เพราะผลจากความสามารถในการวิเคราะห์ องค์ประกอบและ วิเคราะห์ความสัมพันธ์จะทำให้สามารถสรุปเป็นหลักการได้ประกอบด้วย “วิเคราะห์โครงสร้าง” เป็น การค้นหาโครงสร้างของสิ่ง “วิเคราะห์หลักการ” เป็นการแยกแยะเพื่อ ค้นหาความจริงของสิ่งต่างๆ แล้วสรุปหลักการเป็นคำตอบได้ ๒.๓ ทฤษฎีเกี่ยวกับการสืบเสาะหาความรู้ 5E ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้นักการศึกษาหลาย ท่านได้ ให้ความหมายของการจดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ ดังนี้ ลอว์สัน (Lawson 1995: 424, อ้างถึงใน สุนีย์ เหมะประสิทธิ์, ๒๕๔๔ ๑๐๓) กล่าวถึง วัฏจักร การสืบเสาะหาความรู้ว่า เป็นรูปแบบของกระบวนการเรียนรู้ที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษาได้ คิดค้นขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้วิธีการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์๑๐ (Inquiry Approach) ที่ต้องอาศัย ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการค้นพบความรู้หรือ ประสบการณ์การเรียนรู้อย่างมี ความหมายด้วยตนเอง นันทิยา บุญเคลือบ (๒๕๔๐. ๑๑-๑๔) กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้ด้วยวัฏจักรการสืบ เสาะหา ความรู้ว่า เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกันไปในลักษณะของวัฏจักร (Cycle) ใน การเรียนการ สอนแต่ละครั้งหรือแต่ละแนวคิดจะเริ่มต้นจากขั้นการนำเข้าสู่บทเรียนและจบลงโดย การประเมินผล ผล ที่ได้จะถูกนำาไปใช้เป็นพื้นฐานในการเรียนการสอนครั้งต่อไป นอกจากนี้การน่า ความรู้หรือแบบจำลอง ไปใช้อธิบายหรือประยุกต์ใช้กับเหตุการณ์หรือเรื่องอื่นๆ จะนำไปสู่ข้อโต้แย้ง หรือข้อจํากัด ซึ่งจะ ก่อให้เกิดประเด็นหรือคำถาม หรือปัญหาที่จะต้องสำรวจตรวจสอบต่อไป ทำให้ เกิดเป็นกระบวนการที่ ต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ ๑๑ เจมส์แบงค์ (James A Bank 1976, อ้างถึงใน นิรดา ปัตนวงศ์, ๒๕๕๒ ๕๑) ได้เสนอ ขั้นตอน ของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้คือครูจะต้องเป็นผู้จัดสถานการณ์ให้นักเรียนเกิดความ สงสัยตั้ง ปัญหาตั้งข้อสมมติฐาน นิยามความหมายรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล ทดสอบสมมติฐาน และขั้น สุดท้ายคือการสร้างข้อสรุปจากข้อมูลที่ตรวจสอบมาแล้วทั้งหมดและอาจจะเริ่มสืบสอบ ปัญหาใหม่ ต่อไปโดยเน้นขั้นตอนต่างๆ ที่ครูนำมาใช้สรุปที่จะได้นำไปสู่ปัญหาหรือข้อสงสัยใหม่ได้ เสมอ ๑๐ Lawson, AE, Science Teaching and Development of Thinkin, (California: Allyn and Bacon, 1994). ๑๑ นันทิยา บุญเคลือบ, การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ตามแนวคิด Constructivism, (วารสาร สสวท, ๙๖, ๒๕๔๐), หน้า ๑๑-๑๕.


๑๕ นอกจากนั้นได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการนา วิธีแบบสืบเสาะหาความรู้มาใช้ในวิชา สังคมศาสตร์ว่า “เพื่อให้บุคคลมีการตัดสินใจที่ดีขึ้นกว่าเดิม” โอดม และเคลลี (Odom and Kelly, 2001: 615-635) กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้แบบวัฏ จักร การสืบเสาะหาความรู้ว่าเป็นรูปแบบการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ในการ ร้างความรู้ ทั้งด้านมโนมติวิธีการรวมถึงทักษะกระบวนการ โดยผ่านกระบวนการที่เป็นขั้นตอน อย่างต่อเนื่อง สมบัติ การจนารักพงศ์ และคณะ (๒๕๔๙, ๓) กล่าวถึงความหมายของการจัดการเรียนรู้ แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ (5E) ว่า คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบ เสาะหา ความรู้ (Inquiry Cycle) ที่ประกอบด้วย ๕ ขั้นตอน ได้แก่ขั้นสร้างความสนใจ (engagement) ขั้น สำรวจและค้นหา (exploration) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (explanation) ขั้น ขยายความรู้ (elaboration) และขั้นประเมิน (evaluation) โดยคำย่อว่า 5E มาจาก E ที่เป็น อักษรตัวแรกของคํา ภาษาอังกฤษในแต่ละขั้นนั่นเอง๑๒ สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ คือการจัดการเรียนสอนที่ เปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ แสวงหาความรู้ด้วยตัวเองอย่างเป็นระบบซึ่ง เป็น กระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นวัฏจักรที่มีการสืบเสาะหาความรู้ไปเรื่อย ๆ โดยครูมี หน้าที่จัด ประสบการณ์กระตุ้นส่งเสริม สนับสนุนในด้านต่างๆให้แก่ผู้เรียน ซึ่งเป็นการจัดการเรียนรู้ ที่เน้นผู้เรียน เป็นสำคัญวิธีหนึ่ง ในปี ค.ศ. 1992 นักการศึกษากลุ่ม BSCS (Biological Science Curriculum Study) ได้ แบ่ง ขั้น ตอนของการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ออกเป็น ๕ ขั้น ตอน หรือ เรียกว่า 5E ดังนี้ ๑. การนําเข้าสู่บทเรียน (Engagement) ขั้นนี้มีลักษณะของการแนะนำบทเรียน เพื่อให้ ผู้เรียน ทำการเชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์เดิมกับสิ่งที่ได้พบขณะนั้น และวางแผนสำหรับ กิจกรรมในขั้น ต่อไป ครูต้องสร้างความสนใจและสร้างความอยากรู้อยากเห็นในหัวข้อที่จะศึกษา อาจจะใช้คําถามยก สถานการณ์ปัญหาต่างๆ ที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ และต้องการแสวงหา ความรู้หรือคําตอบ ๒. การสำรวจ (Exploration) เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงใจการ จัด ความสัมพันธ์ระหว่างหัวข้อที่กำลังศึกษากับแนวความคิดที่มีอยู่กิจกรรมในขั้นนี้ผู้เรียนต้องสืบ เสาะหา ความรู้รวบรวมข้อมูล ทดสอบแนวความคิด บันทึกความคิด ทำการทดลองด้วยตนเอง ครู จะทำหน้าที่ เป็นเพียงผู้แนะนำหรือผู้เริ่มต้นในกรณีที่นักเรียนไม่สามารถหาจุดเริ่มได้ สิ่งสำคัญคือ ครูควรจะให้ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการพัฒนาความสามารถในการคิดแบบใหม่ ๑๒ สมบัติ กาญจนารักพงศ์ และคณะ, เทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบ 5E ที่เน้นพัฒนาทักษะ การ คิดขั้นสูง : กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม, (กรุงเทพมหานคร : ธารอักษร, ๒๕๔๙), หน้า ๓.


๑๖ ๓. การอธิบาย (Explanation) ในขั้นตอนนี้เป็นการนำความรู้ที่ได้รวบรวมจากขั้นที่ ๒ มา เป็น พื้นฐานในการศึกษาหัวข้อ ที่กำลังเรียนอยู่โดยให้ผู้เรียนอธิบายสิ่งที่ได้จากการสำรวจ พยายาม หา เหตุผลความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ มาตอบคําถามที่เกิดขึ้น กิจกรรมอาจจะประกอบไปด้วยการเก็บ รวบรวมข้อมูลจากการอ่าน และนำข้อมูลมาอภิปรายร่วมกันครูควรกระตุ้นให้ผู้เรียนได้อธิบาย ว่า เขามี ความเข้าใจต่อเรื่องที่กำลังศึกษาถูกต้องและชัดเจนเพียงใด ครูอาจใช้คำถามช่วยให้ นักเรียนเกิด ความคิดและอธิบายเหตุผลของความคิดนั้น ๔. การลงข้อสรุป (Elaboration) ขั้นตอนนี้จะเน้นให้ผู้เรียนนำความรู้หรือข้อมูลจากขั้นที่ ๒ และขั้นที่ ๓ มาทดสอบ ทดลองและประยุกต์ใช้กับสถานการณ์อื่นๆ ที่แตกต่างออกไป ทา ให้ เกิดการ เรียนรู้มโนมติที่กว้างและแม่นยำมากขึ้น กิจกรรมส่วนใหญ่เป็นการอภิปรายภายในกลุ่ม เพื่อลงข้อสรุป ให้เห็นถึงความเข้าใจ ทักษะกระบวนการและความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ต่างๆ ที่ เกิดขึ้นอาจมีการ กล่าวถึงมโนมติที่คลาดเคลื่อน ยกตัวอย่างให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งจะทำให้ผู้เรียน ได้ปรับความคิดของตน ให้ถูกต้องในขั้นนี้จะช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่จะศึกษาได้ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ๕. การประเมินผล (Evaluation) เป็นขั้นตอนที่ครูเปิดโอกาสให้ผู้เรียนตรวจสอบ แนวความคิด ที่ได้เรียนรู้มาแล้วว่าถูกต้องและได้รับการยอมรับเพียงใด ให้ผู้เรียนได้แสดงออก เกี่ยวกับสิ่งที่ได้เรียนรู้ ให้เสริมสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองและกลุ่มเพื่อน ข้อสรุปที่ได้จะนำไปใช้เป็น พื้นฐานในการศึกษาต่อไป การประเมินผลอาจจะอยู่ในรูปแบบการเขียนรายงาน การตอบคำถาม การแสดงสาธิตทักษะและ ขั้นตอนการทดลอง หรืออาจเป็นการนำเสนอโครงการที่ทำเสร็จสมบูรณ์ แล้วก็ได้ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการ ประเมินผลบนฐานของกิจกรรมทางด้านพุทธพิสัย และทักษะพิสัย สมนึก พวงกลิ่น (๒๕๓๐: ๖) อธิบายขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ไว้ ๕ ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ ๑ ขั้นสังกับแนวหน้าคือขั้นเตรียมความพร้อมด้านการเรียนให้กับนักเรียน โดยการ ดึงเอา ความรู้และประสบการณ์เดิมของนักเรียนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะสอนให้มาสัมพันธ์กัน รวมทั้ง การปูพื้น ความรู้ใหม่ที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้เนื้อหาสาระใหม่ให้กับนักเรียน และการจูงใจให้ พร้อมที่จะเรียน ขั้นที่ ๒ ขั้นสังเกต คือขั้นที่ครูนำเนื้อเรื่องหรือข้อความมาฝึกให้นักเรียนได้สังเกต และ วิเคราะห์ องค์ประกอบของเนื้อเรื่อง เพื่อหาสังกัปหรือความหมายสรุปรวมของเนื้อเรื่อง ขั้นที่ ๓ ชั้นอธิบาย คือวันที่ครูกระตุ้นให้นักเรียนหาคำอธิบายหรือหาเหตุผลว่าเหตุใด นักเรียนจึงได้ ข้อสรุปสังกัป หรือความหมายสรุปรวมของเนื้อเรื่องว่าอย่างนั้น ขั้นที่ ๔ ขั้นท่านายนายคือขั้นที่ครูส่งเสริมให้นักเรียนหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล นั่น คือคิดทบทวนว่ามีเหตุผลพอหรือไม่ที่สรุปสังกับของเนื้อเรื่องว่าเป็นอย่างนั้น เพื่อเป็นการ ทดสอบดูว่า คำอธิบายในขั้นที่ ๓ ถูกต้องมากน้อยเพียงใด


๑๗ ขั้นที่ ๕ ขั้นควบคุมและคิดสร้างสรรค์คือขั้นที่เมื่อนักเรียนได้สั่งกับออกมาแล้ว ครูจะเร้าให้ นักเรียนคิดว่าจะนำเอาความรู้ใหม่(สังกัป)ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางใดได้บ้าง๑๓ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (๒๕๕๑, ๑๐๒-๑๐๕) ได้เสนอขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหา ความรู้ โดยใช้วงจรการเรียนรู้ 5E (5E leaming cycle) เป็น ๕ ขั้นตอน ดังนี้ ๑.ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) เป็นขั้นที่กระตุ้น ให้นักเรียนมีแรงจูงใจในการเรียน บทเรียน โดยการใช้คำถามของครูและนักเรียนเป็นผู้ระบุปัญหาที่สนใจศึกษา ๒. ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) เป็นขั้นที่นักเรียนต้องกำหนดแนวทางในการเก็บ รวบรวมข้อมูลเพื่อตั้งสมมติฐานโดยจินตนาการวิธีการแก้ปัญหาแล้วเลือกวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด เพื่อ วางแผนแนวทางในการแก้ปัญหา ๓. ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) เป็นขั้นที่นักเรียนนำข้อมูลจากการสำรวจมา วิเคราะห์แปลผล สรุปผลและนำเสนอผลที่ได้ โดยนักเรียนจะสร้างสรรค์ผลผลิตตามขั้นตอนที่ได้ วางแผนไว้ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างครูกับนักเรียนและนักเรียนกับนักเรียนด้วยกัน ๔.ขั้นอธิบายความรู้ (Elaboration) เป็นขั้นที่นักเรียนนำความรู้ที่ได้ไปเชื่อมโยงกับความรู้ เติม หรือแนวคิดที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมไปอธิบายเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความรู้ที่กว้างขึ้น โดยนักเรียน จะ สร้างสรรค์ผลผลิตตามขั้นตอนที่ได้วางแผนไว้ ๕.ขั้นประเมินผล (Evaluation) เป็นขั้นสุดท้าย โดยนักเรียนจะประเมินการเรียนรู้ของ ตนเอง ในด้านกระบวนการปฏิบัติและผลงานของกลุ่ม ซึ่งนักเรียนต้องปรับปรุงกระบวนการ ออกแบบขั้นตอน การปฏิบัติจนถึงผลงานของกลุ่ม แล้วอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งอาจ เกิดปัญหาใหม่หรือ สามารถนา ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่ได้๑๔ จากการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหา ความรู้ ของนักการศึกษาดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ เป็นการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้จะช่วย พัฒนา ความสามารถในการคิดวิเคราะห์การตั้งคำถาม การคิดหาคำตอบ การแสดงความคิดเห็น และการ ค้นคว้าหาความรู้ให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียนผู้วิจัยจึงสนใจที่จะนำขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตาม แนวทาง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (๒๕๔๙, ๑๐-๑๑) และ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (๒๕๕๑.๑๐๒-๑๐๕) ที่มีความสอดคล้องกันมาเป็นขั้นตอนในการวิจัย ซึ่งประกอบด้วย ๕ ขั้นตอน ดังนี้ ๑๓ สมนึก พวงกลิ่น, การศึกษาเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณและ สมรรถภาพ การอานเร็วของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๓ โดยใชวิธีการสอนแบบสืบสวนสอบสวนกับการ สอบตามคู่มือครู, ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, ๒๕๓๐, หน้า ๖. ๑๔ พิมพันธ์ เดชะคุปต์, การสอนคิดด้วยโครงงาน : การเรียนการสอนแบบบูรณาการ, (กรุงเทพฯ : โรง พิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๑), หน้า ๑๐๒-๑๐๕.


๑๘ ๑. การสร้างความสนใจ (Engage) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการเรียนรู้ที่จะ นำเข้าสู่บทเรียน จุดประสงค์ที่สำคัญของขั้นตอนนี้คือ ทำให้ผู้เรียนสนใจใคร่รู้ในกิจกรรมที่จะ นำเข้าสู่ บทเรียน ควรจะเชื่อมโยงประสบการณ์การเรียนรู้เดิมกับปัจจุบันและควรเป็นกิจกรรมที่ คาดว่ากำลังจะ เกิดขึ้นซึ่งทำให้ผู้เรียนสนใจจดจ่อที่จะศึกษาความคิดรวบยอด กระบวนการ หรือ ทักษะและเริ่มคิด เชื่อมโยงความคิดรวบยอด กระบวนการ หรือทักษะกับประสบการณ์เดิมบทบาท ของครูจะต้องกระตุ้น ให้ผู้เรียนสนใจ ใจจดจ่อกับการเรียนการสอน โดยการตั้งคําถาม กำหนด ปัญหา สร้างเหตุการณ์ที่ ขัดแย้ง และสถานการณ์ที่เป็นปัญหา ซึ่งเป็น ๒-๓ วิธีที่จะดึงดูดความ สนใจของผู้เรียน และกำหนด จุดประสงค์การเรียนรู้ผลสำเร็จของการจัดกิจกรรมสร้างความสนใจ คือ ทำให้ผู้เรียนสงสัยอยากรู้อยาก เห็น และต้องการศึกษาความรู้อย่างลึกซึ้ง ๒. การสำรวจและค้นหา (Explore) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ทำให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ ร่วมกัน ในการสร้างและพัฒนาความคิดรวบยอด กระบวนการ และทักษะ โดยการให้เวลาและ โอกาสแก่ผู้เรียน ในการทำกิจกรรมการสำรวจและค้นหาสิ่งที่ผู้เรียนต้องการเรียนรู้ตามความคิดเห็น ของผู้เรียนแต่ละคน หลังจากนั้นเรียนแต่ละคนได้อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับ ความคิดรวบยอด กระบวนการ และทักษะในระหว่างที่ผู้เรียนทำกิจกรรมสำรวจและค้นหาเป็น โอกาสที่ผู้เรียนจะได้ตรวจสอบหรือเก็บ ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดรวบยอดของผู้เรียนที่ยังไม่ถูกต้อง และยังไม่สมบูรณ์โดยการให้ผู้เรียนอธิบาย และยกตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับความคิดของผู้เรียน ครู ควรระลึกอยู่เสมอเกี่ยวกับความรู้เดิมของผู้เรียน จะช่วยครูในการวางแผนการสอนครั้งต่อไป และ จําแนกแยกแยะจัดกลุ่มความรู้ความสามารถของ ผู้เรียนตามประเด็นปัญหาผลจากการที่ผู้เรียนมีใจ จดจ่อในการทา กิจกรรม ผู้เรียนควรจะสามารถ เชื่อมโยงการสังเกต การจำแนกตัวแปรและคำถาม เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นได้ ๓. การอธิบายและลงข้อสรุป (Explain) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ให้ผู้เรียนได้พัฒนา ความสามารถในการอธิบายความคิดรวบยอด ที่ได้จากการสำรวจและค้นหา ครูควรให้โอกาสแก่ ผู้เรียน ได้อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับทักษะหรือพฤติกรรมการเรียนรู้การอธิบายนั้น ต้องการให้ ผู้เรียนได้ใช้ข้อสรุปร่วมกันในการเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนรู้ในช่วงเวลาที่เหมาะสมนั้นครูควร ชี้แนะผู้เรียน เกี่ยวกับการสรุปและการอธิบายรายละเอียด แต่อย่างไรก็ตามครูควรระลึกอยู่เสมอว่า กิจกรรมเหล่านี้ ยังคงเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางนั้นคือผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถในการอธิบาย ด้วยตัวผู้เรียนเอง บทบาทของครูเพียงแต่ชี้แนะผ่านทางกิจกรรม เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสอย่างเต็มที่ ในการพัฒนาความรู้ ความเข้าใจในความคิดรวบยอดให้ชัดเจน ในที่สุดผู้เรียนควรจะอธิบาย ความคิดรวบยอดได้อย่างเข้าใจ โดยเชื่อมโยงประสบการณ์ความรู้เดิมและสิ่งที่เรียนรู้เข้าด้วยกัน ๔. การขยายความรู้ (Elaborate) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ให้ผู้เรียนได้ยืนยันและขยาย หรือ เพิ่มเติมความรู้ความเข้าใจในความคิดรวบยอดให้กว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้นและยังเปิดโอกาส ให้ผู้เรียน ได้ฝึกทักษะและปฏิบัติตามที่ผู้เรียนต้องการ ในกรณีที่ผู้เรียนไม่เข้าใจหรือยังสับสนอยู่ หรืออาจจะเข้าใจ


๑๙ เฉพาะข้อสรุปที่ได้จากการปฏิบัติการสํารวจและค้นหาเท่านั้น ควรให้ประสบการณ์ใหม่ผู้เรียนจะได้ พัฒนาความรู้ความเข้าใจในความคิดรวบยอดให้กว้างขวางและลึกซึ้ง ยิ่งขึ้น ผู้เรียนจะได้รับความ รู้ เพิ่มเติมในสิ่งที่เขาสนใจ และได้ฝึกกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้ ชำนาญมากขึ้นเป้าหมายที่สำคัญ ของขั้นนี้คือครูควรชี้แนะให้เรียนได้นำไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวันจะทำให้ผู้เรียนเกิดความคิดรวบ ยอด กระบวนการและทักษะมากขึ้น ๕. การประเมินผล (Evaluate) ขั้นตอนนี้ผู้เรียนจะได้รับข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับการ อธิบาย ความรู้ความเข้าใจของตนเอง ระหว่างการเรียนการสอน ในขั้นนี้รูปแบบของการสอน ครู จะต้องกระตุ้น หรือส่งเสริมให้ผู้เรียนประเมินความรู้ความเข้าใจและความสามารถของตนเอง และ ยังเปิดโอกาสให้ครู ได้ประเมินความรู้ความเข้าใจและพัฒนาทักษะของผู้เรียนด้วย จากการศึกษากระบวนการแนวคิดทฤษฎี ข้างต้นขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ ๕๕ เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยผู้วิจัยเห็นว่าจะนำ ขั้นตอนกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ๕๕ ที่มี ๕ ขั้นตอนมาใช้ คือ การสร้าง ความสนใจ การสำรวจและค้นหา การอธิบายและลงข้อสรุป การ ขยายความรู้และการประเมินผล ๒.๔ แนวคิดเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๒.๔.๑ ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระทรวงศึกษาธิการ๑๕ ได้บัญญัติความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ในหนังสือ ประมวลศัพท์บัญญัติการศึกษาว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จหรือความสามารถ ใน การกระทำใดๆ ที่ต้องอาศัยทักษะหรือมิฉะนั้นก็ต้องอาศัยความรอบรู้ในวิชาใดวิชาหนึ่ง โดยเฉพาะ ไพศาล หวังพานิช๑๖ ได้ให้ความหมายไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะ และ ความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอน เป็นการแลกเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และ ประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกิดจากการฝึกฝน อบรม หรือการเรียนรู้การสอน และการวัดผล สัมฤทธิ์เป็น การตรวจสอบความสามารถหรือความสัมฤทธิ์ผลของบุคคลว่าเรียนรู้แล้วเท่าใด มี ความสามารถชนิดใด ชวาล แพรัตนกุล๑๗ ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน เป็นสมรรถภาพของสมองในด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับจากประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ๑๕ กระทรวงศึกษาธิการ, เอกสารประกอบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ แนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้(กรุงเทพฯ : ชุมชนสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, ๒๕๕๒), หน้า ๕. ๑๖ ไพศาล หวังพานิช, การวัดผลการศึกษา, ( กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๕๙), หน้า ๑๑. ๑๗ วาล แพร่ตนกุล, เทคนิคการวัดผล, (กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๕๒), หน้า ๖.


๒๐ จากครู ซึ่งสามารถวัดได้จากการตอบแบบสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ผู้ตอบได้คะแนนมากคือผู้ที่มี ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูง ส่วนผู้ตอบได้คะแนนน้อย ถือว่าได้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ อารมณ์ เพชรชื่น ได้ให้ ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นจากการ เรียนการสอน การฝึกฝนหรือประสบการณ์ต่าง ๆ ทั้งที่โรงเรียนที่ บ้าน และสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ จากการศึกษาความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สามารถสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการ เรียน หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และทัศนคติของนักเรียนอันเกิดจากการเรียนรู้ เรื่องใดเรื่อง หนึ่ง งอาจวัดได้จากการทดสอบหรือวิธีการอื่นในระหว่างหรือหลังการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอน ออกมาเป็นคะแนนจากการได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วอันเป็น กระบวนการต่าง ๆ ที่ ผู้สอนกำหนดขึ้น นอกจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะบอกคุณภาพของ นักเรียนแล้วยังแสดงให้เห็น คุณค่าของหลักสูตร ๒.๕ แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ ๒.๕.๑ ความหมายของความพึงพอใจ กาญจนา อรุณสอนศรี๑๘ ได้กล่าวไว้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง การแสดงออกทาง พฤติกรรม ของมนุษย์เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้และไม่สามารถมองเห็นเป็นรูปร่างได้ การที่เราจะทราบ ว่าบุคคลมีความ พึงพอใจหรือไม่ สามารถทราบได้จากการสังเกตพฤติกรรม สีหน้า กริยาท่าทางของ บุคคลนิท เหลือง บุตรนาค ได้ให้ความหมาย ความพึงพอใจ หมายถึง ท่าที่ความรู้สึกความ คิดเห็นที่มีผลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ภายหลังจากที่ได้รับประสบการณ์ในสิ่งนั้นมาแล้วในลักษณะทางบวก คือ พอใจ นิยม ชอบ สนับสนุน หรือมีเจตคติที่ดีต่อบุคคล เมื่อรับตอบสนองความต้องการในทาง เดียวกัน หากได้รับการตอบสนอง ความต้องการจะเกิดความไม่พอใจเกิดขึ้น คณิต ดวงหัสดี๑๙ ให้ความหมายไว้ว่า เป็นความรู้สึกชอบ หรือพอใจของบุคคลที่มีต่อการ ทำงานและองค์ประกอบหรือสิ่งจูงใจอื่นๆ ถ้างานที่ทำหรือองค์ประกอบเหล่านั้นตอบสนองความ การ ของบุคคลนั้น จะเกิดความพึงพอใจในงานขึ้นจะอุทิศเวลาแรงกายแรงใจรวมทั้ง สติปัญญาให้แก่งานของ ตนในวาวัตถุประสงอย่างคุณภาพ ๑๘ กาญจนา อรุณสอนศรี, ความพึงพอใจของสมาชิกสหกรณ์ต่อการดำเนินงานของสหกรณ์ การเกษตร ไชยปราการจํากัด อำเภอชัยปราการ จังหวัดเชียงใหม่, วิทยานิพนธ์, เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๕๖), หน้า ๑๒. ๑๙ คณิต ดวงหัสดี, สุขภาพจิตกับความพึงพอใจในงานของข้าราชการตำรวจชั้นประทวนในเขต เมือง และเขตชนบทของจังหวัดขอนแก่น, วิทยานิพนธ์, (ขอนแก่น : มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ๒๕๕๗), หน้า ๒๘.


๒๑ จากการศึกษาความหมายของความพึงพอใจข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกที่เป็นการยอมรับความรู้สึก ความรู้สึกที่ยินดีกับการยอมรับ ความรู้สึก น ความรู้สึกที่ยินดีกับ การปฏิบัติงาน การให้บริการ และการรับบริการในทุกจานการณ์ทุก สถานที่ ๒.๕.๒ การวัดความพึงพอใจ ภณิดา ชัยปัญญา ได้ให้ทรรศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ความพึงพอใจเป็นนามธรรมเป็นการ แสดงออกค่อนข้างซับซ้อน จึงเป็นการยากที่จะวัดได้โดยตรงแต่เราสามารถที่จะวัดได้โดยอ้อม โดย วัด ความคิดเห็นของบุคคลเหล่านั้นแทน ฉะนั้นการวัดความพึงพอใจก็มีขออบเขตที่จำกัดด้วย อาจ ความคลาดเคลื่อน นาบุคคลเหล่านั้นแสดงความคิดเห็นไปตรงกับความรู้สึกที่แท้จริง ความคลาดเคลื่อน เหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดาของการวัดโดยทั่ว ๆ ไปและได้กล่าวว่า การวัด ความพึงพอใจนั้น สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้ ๑. การใช้แบบสอบถาม โดยผู้ออกแบบสอบถาม ต้องการทราบความคิดเห็นซึ่งสามารถที่ จะ กระทำได้ในลักษณะกำหนดคำตอบให้เลือกหรือตอบคำถามอิสระ คำถามดังกล่าวอาจถามความ พอใจ ในด้านต่างๆ เพื่อให้ผู้ตอบทุกคนมาเป็นแบบแผนเดียวกัน มักใช้ในกรณีที่ต้องการข้อมูลกลุ่ม ตัวอย่าง มากๆ วิธีนี้นับเป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุดในการวัดทัศนคติ รูปแบบของแบบสอบถามจะ ใช้มาตรการ วัดทัศนคติ ซึ่งที่นิยมใช้ในปัจจุบันวิธีหนึ่ง คือ มาตราส่วนแบบลิเคิร์ท ประกอบด้วยข้อความที่แสดงถึง ทัศนคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งเร้าอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีคำตอบที่แสดงถึงระดับ ความรู้สึก ๕ คำตอบ เช่น มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด ๒. การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการที่ผู้วิจัยจะต้องออกไปสอบถามโดยการพูดคุย โดยมีการ เตรียม แผนงานล่วงหน้า เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริงมากที่สุด ๓. การสังเกต เป็นวิธีวัดความพึงพอใจ โดยการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมายไม่ว่า จะ แสดงออกจากการพูดจา กริยา ท่าทาง วิธีนี้ต้องอาศัยการกระทำอย่างจริงจังและสังเกตอย่างมี ระเบียบ แบบแผน วิธีนี้เป็นวิธีการศึกษาที่เก่าแก่และยังเป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน จากการศึกษาการวัดความพึงพอใจข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การวัดความพึงพอใจเป็น การ บอกถึงความขอบของบุคคลที่มีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งสามารถวัดได้หลายวิธีการสัมภาษณ์ การใช้ แบบสอบถามความคิดเห็น การใช้แบบสำรวจความรู้สึก ๒.๕.๓ การสร้างแบบสอบถามวัดความพึงพอใจ พิสณุ ฟองศรี๒๐ กล่าวถึง แบบสอบถามความพึงพอใจจะมีโครงสร้างสำคัญ ๓ ส่วน คือ ส่วนที่ เป็นคำชี้แจง ส่วนที่เป็นข้อมูลผู้ตอบ และส่วนที่เป็นเนื้อหา แบบสอบถามเป็น ๓ แบบ คือ ๒๐ พิสณุ ฟองศรี, การสร้างและพัฒนาเครื่องมือวิจัย, (กรุงเทพฯ : ต้นแก้ว, ๒๕๕๗), หน้า ๕๘.


๒๒ ๑. แบบปลายเปิด เป็นแบบที่ไม่กำหนดตายตัว ผู้ตอบตอบได้อย่างเสรีโดยจะเว้นช่องว่าง มาให้ ข้อดีคืออาจได้มุมมองใหม่ๆ ข้อเสียคือในทางปฏิบัติผู้ตอบจำไม่ค่อยตอบหรือตอบไม่เข้า ประเด็น และ วิเคราะห์ยาก ๒. แบบปลายปิด เป็นแบบที่ให้เลือกตอบหรือเติมคำสั้นๆ หรือให้เรียงลำดับความสำคัญ เป็น ต้น ข้อดีคือได้ข้อมูลเป็นระบบ วิเคราะห์ง่าย แต่จะไม่ได้มุมมองใหม่ๆ จากกรอบที่กำหนด สาโรช ไสยสมบัติ๒๑ ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับเกี่ยวกับหลักการสร้างแบบสอบถามวัดความ พึง พอใจโดยแบ่งกล่าวเป็นส่วนๆ ดังนี้ ๑. เกี่ยวกับการสร้างค่าถาม ควรยึดเกณฑ์ดังนี้ ๑) คำถามที่ใช้ต้องชัดเจน แม่นยำ ไม่มีความหมายคลุมเครือ ศัพท์ที่ใช้ควรเข้าใจง่าย ๒) เรียงคำถามตามหลักเหตุผล คำถามใดควรถามก่อนหลัง จัดไว้ให้เหมาะสม เรียงลำดับ เป็นลูกโซ่และคำถามที่ดีควรถามคำถามประเด็นเดียว ๓) คำถามต้องสั้น กะทัดรัด ไม่เยิ่นเย้อ ตัดคำฟุ่มเฟือยหรือไม่จำเป็นทิ้ง ๔) คำถามควรเป็นคำถามที่ดึงดูดความสนใจ ไม่เบื่อหน่ายแก่ผู้ตอบ ๕) คำถามคำนึงถึงวัย ความสามารถ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ ตลอดจนการใช้ กราบ นะผู้สอนด้วย ๖) ข้อคำถามให้ตรงกับข้อปัญหาของการวิจัย ๗) หลีกเลี่ยงคำถามที่ทำให้ผู้ตอบอึดอัดใจ เช่น อายุ เพศ การหย่าร้าง เป็นต้น ๘) การใช้คําถามไม่ทำให้ต้องคิดมาก ในกรณีข้อความเนื้อยาวอาจจะแบ่งเป็นคำถาม ย่อยๆ ควรแจ้งให้ทราบว่าคําตอบไม่มีผิดหรือถูก ๙) หลีกเลี่ยงค้าประเภทนามธรรม เช่น รวย จนตี สวย เพราะค่าเหล่านี้การตีความ ของ บุคคลจะแตกต่างกันมาก ๑๐) คําถามต้องไม่แคบเกินไป หรือมีขอบเขตจำกัด หรือไม่เป็นปรัชญามากเกินไป จาก การศึกษาการสร้างแบบสอบถามวัดความพึงพอใจข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การ สร้างแบบสอบถามที่ดี จะต้องผ่านกระบวนการที่ดีและถูกต้องตั้งแต่การศึกษาหลักเกณฑ์ในการ สร้างแบบสอบถาม การสร้าง คำถาม การกำหนดรูปแบบ จึงจะได้แบบสอบถามที่ดีมีคุณค่า ดังนั้น แบบสอบถามจึงเป็นเครื่องมือที่ ประกอบด้วยคำถามต่างๆ ที่ต้องการให้ผู้ตอบเกี่ยวกับความรู้สึก ความคิดเห็นเรื่องต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะ เป็นด้านจิตใจ ๒๑ สาโรช ไสยสมบัติ, การวัดความพึงพอใจ, (กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพาณิช, ๒๕๕๓), หน้า ๔๖.


๒๓ ๒.๕.๔ ทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ ลูธันส์๒๒ กล่าวว่า การที่จะเกิดแรงจูงใจขึ้นในบุคคลจะประกอบด้วยขั้นตอนและ องค์ประกอบ ต่างๆ ซึ่งแรงจูงใจที่เกิดขึ้นในตัวบุคคลจะประกอบด้วย องค์ประกอบที่สำคัญ ๓ ส่วน คือ ๑. ความต้องการ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายเกิดความไม่สมดุล เช่น เมื่อร่างกายขาดน้ำ อาหาร ความต้องการทางเพศ หรือไม่ได้รับจากเพื่อนหรือหมู่คณะ ๒. แรงขับหรือแรงกระตุ้น เป็นพลังกระตุ้นที่เกิดขึ้นภายในร่างกายเพื่อระงับความ ต้องการเป็น การกระตุ้นทำให้เกิดพฤติกรรมเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย สิ่งนี้ถือเป็นหัวใจของ กระบวนการการจูงใจ ๓. เป้าหมาย เป็นสิ่งที่มาสนองความต้องการและลดแรงขับอันเป็นจุดสิ้นสุดของ กระบวนการ จูงใจ อุกกฤษฏ์ ทรงชัยสงวน๒๓ ได้รวบรวมกลุ่มทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจในรูปแบบของ แรงจูงใจ เป็น ๔ กลุ่ม ดังนี้ ๑. ทฤษฎีการจูงใจของมาสโลว์ ทฤษฎีนี้เขาได้เสนอความต้องการในด้านต่างๆ กันของ มนุษย์ เรียงลำดับจากความต้องการขั้นพื้นฐาน เพื่อการอยู่รอดไปจนถึงความต้องการทางสังคม ความต้องการ ยอมรับนับถือจากกลุ่มว่าตนมีคุณค่าและการพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าขึ้น มาสโลว์ถือว่าการเรียงลำดับ ความต้องการนั้นมีความสำคัญ โดยมนุษย์จะมีความต้องการในระดับสูงๆ ได้ก็ ต่อเมื่อความต้องการขั้น พื้นฐานได้รับการตอบสนองแล้ว ๒. ทฤษฎีการจูงใจการบำรุงรักษาขิง เฮอร์เบิร์ท ได้กล่าวถึงปัจจัยการจูงใจซึ่งเป็น ตัวกระตุ้นให้ ผู้ปฏิบัติงานด้านความพึงพอใจ ได้แก่ โอกาส ความสำเร็จ การยอมรับ ความ รับผิดชอบ ความ เจริญก้าวหน้า และปัจจัยการบำรุงรักษาซึ่งเป็นตัวขัดขวางความพึงพอใจ ได้แก่ นโยบายองค์การ สถานภาพทางาน ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ฃ ๓. ทฤษฎีแรงจูงใจของแมคคลีแลนด์ ซึ่งแบ่งความต้องการของมนุษย์ เป็น ๓ ประเภท คือ ความต้องการความสำเร็จ ความต้องการมีอำานาจ ความต้องการความสัมพันธ์โดยความ ต้องการ ความสำเร็จที่เรียกว่าแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์นั้น ถ้าบุคคลใดมีสูงจะมีความปรารถนาที่จะทำสิ่ง หนึ่งให้ลุล่วง ไปด้วยดี และแข่งขันกันมาตรฐานอันดีเยี่ยม ๔. ทฤษฎีการคาดหวังของวรูม ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับแรงจูงใจในการทำงานของบุคคล จะ ประเมินความเป็นไปได้ของผลที่จะบังเกิดขึ้นแล้ว จึงดำเนินการปฏิบัติที่ตนคาดหวังไว้ การจูงใจ ขึ้นอยู่ ๒๒ Luthans, F, Organizational behavior, (New York : MaGraw Hill, inc, 1995) : ๘๕. ๒๓ อุกกฤษฎ์ทรงชัยสงวน, ความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการบริหารจัดการโครงการพัฒนา สถานี ตำรวจเพื่อประชาชนของตำรวจภูธร อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น, วิทยานิพนธ์, ( ขอนแก่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น , ๒๕๕๓), หน้า ๓๗.


๒๔ กับการคาดหวังของมนุษย์ต่อผลที่เกิดขึ้น ทฤษฎีการคาดหวังของวรูมนี้ ทำนายว่าบุคคลจะ ร่วมกิจกรรม ที่เขาคาดหวังว่าจะได้รับรางวัลหรือสิ่งต่างๆ ที่ปรารถนา จากการศึกษาทฤษฎีความพึงพอใจข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า มนุษย์มักจะปฏิบัติตน เพื่อให้ ได้มาซึ่งความพึงพอใจซึ่งเป็นความรู้สึกของบุคคลในทางบวก ความชอบ ความสบายใจ ความสุขใจต่อ สภาพแวดล้อมในด้านต่างๆ หรือเป็นความรู้สึกที่พอใจต่อสิ่งที่ทำให้เกิดความชอบ ความสบายใจและ เป็นความรู้สึกที่บรรลุถึงความต้องการ ๒.๖ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง อชิระ อุตมาน, สิทธิพลอาจอินทร์ (๒๕๕๕)๒๔ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและคิด วิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ SE ผลการ วิจัย พบว่า ๑. นักเรียนที่เรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ 5E มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ย ๒๓.๙๖ คิดเป็นร้อยละ ๗๙.๘๗ และมีจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์จำนวน ๒๖ คนคิดเป็นร้อยละ ๘๑ . ๒๕ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ๒.นักเรียนที่เรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ 5E มีคะแนน การคิดวิเคราะห์เฉลี่ย ๒๓.๖๕ คิดเป็นร้อยละ ๗๘.๔๓ และมีจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์จำนวน ๒๖ คนคิดเป็นร้อยละ ๘๓.๒๕ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ พุทธิพงษ์ศุภมัสดุอังกูล (๒๕๕๔)๒๕ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถใน การคิดวิเคราะห์เรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ ด้วยการจัดการเรียนรู้ แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ (5E) ผลการ วิจัยพบว่า ๑. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องภัยพิบัติทาง ธรรมชาติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหา ความรู้ (5E) สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๕๐ ๒. ความสามารถในการคิด วิเคราะห์เรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ (5E) อยู่ในระดับสูง ๓. ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการ เรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ (5E) เห็นด้วยในระดับมาก ๒๔ อชิระ อุตมาน, สิทธิพล อาจอินทร์, การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการคิดวิเคราะห์ของ นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ 5E, วารสาร, ขอนแก่น : มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ๒๕๕๕). ๒๕ พุทธิพงษ์ ศุภมัสดุอังกูล, การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการคิด วิเคราะห์ เรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการ สืบเสาะหา ความรู้ (5E), วารสาร, มหาวิทยาลัยศิลปากร : ๒๕๕๘).


๒๕ เดือนเพ็ญ ตุ่นคำ และ ลัดดา ศิลาน้อย (๒๕๕๘)๒๖ การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รายวิชา ส๓๑๑๐๑ สังคมศึกษาของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๔ ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ที่ได้รับการสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ 5E มีจำนวนนักเรียนร้อยละ ๗๖.๖๗ ได้คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคิดเป็นร้อยละ ๗๗. ๒๕ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ราตรีดิสถาพร (๒๕๖๑)๒๗ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์เรื่องวิธีทาง ประวัติศาสตร์ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ด้วยตั้งกราฟิกของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๕ ผลการ วิจัยพบว่าหลังจากได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ด้วยตั้งกราฟิกนักเรียนสามารถเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์เรื่องวิธีทางป ระ วัติศาสตร์มีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๖.๓ จากคะแนนเต็ม ปฏิภาณสร้างคำ, ธัชชัยจิตรนันท์ (๒๕๖๒)๒๘ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยประชาธิปไตยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โดยการจัดการ เรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ขั้น (5E) ผลการวิจัยพบว่า ๑. แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ไทยสมัยประชาธิปไตย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ๕ ขั้น (5E) มี ประสิทธิภาพ (E๑ /E๒) เท่ากับ ๘๓.๐๐/๘๐.๘๑ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ๒. ค่าดัชนีประสิทธิผล ของแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยประชาธิปไตยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ๕ ขั้น (5E) มีค่าเท่ากับ ๐.๕๗๔๙ หรือคิดเป็นร้อยละ ๕๗.๔๙ ๓. ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้เรื่องพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยประชาธิปไตย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ๕ ขั้น (5E) มีความพึงพอใจโดย รวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x=̅๔. ๕๒) อนุรักษ์สวัสดี (๒๕๖๒)๒๙ การพัฒนาการคิดวิเคราะห์การเรียนรู้โดยใช้การสืบเสาะหาความรู้ ในรายวิชาสังคมศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ผลการวิจัยพบว่า ๑) การคิดวิเคราะห์ของ ๒๖ ดือนเพ็ญ ตุ่นค่า และ ลัดดา ศิลาน้อย, การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้วิธีการสอนแบบ สืบ เสาะหาความรู้ 5E รายวิชา ๓๑๑๐๑ สังคมศึกษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔, วารสาร, (ขอนแก่น : มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ๒๕๕๘). ๒๗ ราตรี ดิสถาพร, การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องวิธีทางประวัติศาสตร์ ด้วย การจัดการเรียนรู้แบบพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ด้วยผังกราฟิก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ ๒๕๖๑. ๒๘ ปฏิภาณ สร้างคำ และธัชชัย จิตรนันท์, การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พัฒนาการทาง ประวัติศาสตร์ไทยสมัยประชาธิปไตย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ๕ ชั้น (5E), ๒๕๖๒. ๒๙ อนุรักษ์ สวัสดี, การพัฒนาการคิดวิเคราะห์การเรียนรู้โดยใช้การสืบเสาะหาความรู้ในรายวิชา สังคม ศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔, วิทยานิพนธ์, มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต : ๒๕๖๒).


๒๖ นักเรียนรายบุคคลมีคะแนนไม่ต่ำกว่า ร้อยละ ๘๐ ผ่านเกณฑ์จำนวน ๒๙ คนคิดเป็นร้อยละ ๙๖.๖๗ และนักเรียนที่มีคะแนนไม่ผ่านเกณฑ์จำนวน ๑ คนคิดเป็นร้อยละ ๓.๓๓ ๒) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา สังคมศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .๐๕ ๓) ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้การสืบเสาะหาความรู้ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (Mean=๔.๓๙, S.D. =๐.๖๘) ๒.๗ กรอบแนวคิดการวิจัย การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ 5E รายวิชา ประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทนรัฐวิทยา ๘๔ (สำราญ-เฟี้ย ฟาน) ตำบลสำราญ อำเภอใอง จังหวัดขอนแก่น การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดทฤษฎีและเอกสาร ที่เกี่ยวข้อง จึงได้กำหนดกรอบแนวคิดการวิจัย ดังนี้ ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ภาพประกอบ ๑ กรอบแนวคิดในการวิจัย การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบ เสาะหาความรู้ ๕ ขั้นตอน แผนที่ ๑ เรื่องเรื่องขั้นตอนวิธีการทาง ประวัติศาสตร์ แผนที่ ๒ เรื่องเรื่องการสืบค้นข้อมูลโดย วิธีการทางประวัติศาสตร์ แผนที่ ๓ เรื่องข้อมูลหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน - ความพึงพอใจ


๒๗ บทที่ ๓ ระเบียบวิธีวิจัย การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ในรายวิชา ประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (สำราญ-เฟี้ยฟาน) ตำบล สำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ผู้วิจัยมีวิธีการดำเนินการวิจัย ดังนี้ ๓.๑ รูปแบบการวิจัย ๓.๒ ตัวแปรการวิจัย ๓.๓ ประชากรกลุ่มเป้าหมาย ๓.๔ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๓.๕ การเก็บรวบรวมข้อมูล ๓.๖ การวิเคราะห์ข้อมูล ๓.๗ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ๓.๑ รูปแบบการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยใช้รูปแบบ สืบ เสาะหาความรู้ 5E รายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (สำราญ-เฟี้ยฟาน) ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ในการดำเนินการวิจัยในครั้งนี้ใช้การ วิจัยเชิง ทดลอง (Experimental Research) โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบความสามารถ ใน การคิดวิเคราะห์ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๓.๒ ตัวแปรการวิจัย ตัวแปรต้น คือ แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ตัวแปรตาม คือ ๑) ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ๒) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๓) ความพึงพอใจ ๓.๓ ประชากรกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนที่กำลังศึกษาในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ ภาคเรียนที่ ๒ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จำนวน ๒๘ คน


๒๘ ๓.๔ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๓.๔.๑ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๑. แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๓ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ จำนวน ๓ แผน ๑) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑ เรื่อง ขั้นตอนวิธีการทางประวัติศาสตร์ จำนวน ๑ ชั่วโมง ๒) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๒ เรื่อง การสืบค้นข้อมูลโดยวิธีการทางประวัติศาสตร์ จำนวน ๑ ชั่วโมง ๓) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๓ เรื่อง ข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์ จำนวน ๑ ชั่วโมง ๒. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน ๓๐ ข้อ เป็นแบบปรนัย ๓. แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ จำนวน ๒๐ ข้อ เป็นแบบปรนัย ๔. แบบสอบถามความพึงพอใจของของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ (สำราญ-เฟี้ยฟาน) ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ๕๕ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม จำนวน ๑๐ ข้อ ๓.๔.๒ การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๓.๔.๒.๑.แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E หน่วยการเรียนรู้ที่ ๑ เรื่อง วิธีการ ทางประวัติศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๕ จำนวน ๓ แผน โดยมีขั้นตอนการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E เรื่อง วิธีการทาง ประวัติศาสตร์ ดังนี้ ขั้นที่ ๑ ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ และ หลักสูตรสถานศึกษา เพื่อวิเคราะห์ในส่วนของหลักการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล ขั้นที่ ๒ ศึกษาหลักการ วิธีสอน ด้วยการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E จาก เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ขั้นที่ ๓ สร้างแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ โดยใช้การ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E จำนวน ๓ แผน ๓ คาบเรียน โดยองค์ประกอบของแผนการ จัดการ เรียนรู้ประกอบด้วย ๓) มาตรฐานการเรียนรู้ ๒) ตัวชี้วัด ๓) ข้อสรุปทั่วไป ๔) จุดประสงค์การเรียนรู้ ๕) สาระการเรียนรู้ ๖) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๗) การวัดและประเมินผล ๘) กระบวนการจัดการเรียนรู้ ๙) สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ ๑๐) แหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม ๑๑) ภาคผนวก ประกอบด้วย ใบความรู้ ใบงาน แบบ ประเมินจากภาระงาน ชิ้นงาน และสื่อการเรียนรู้


๒๙ ขั้นที่ ๔ นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนออาจารย์ที่ปรึกษา ตรวจสอบ และ เสนอแนะเพื่อปรับปรุงแก้ไข โดยได้มีการปรับแก้กระบวนการจัดการเรียนรู้ให้ถูกต้องตาม ขั้นตอนใน การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E และเพิ่มเติมสาระการเรียนรู้ให้ครบถ้วน ขั้นที่ ๕ นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นและได้ปรับปรุงแล้วนำเสนอ ผู้เชี่ยวชาญ ตามความเหมาะสม เสนอผู้เชี่ยวชาญจำนวน ๓ คน ประกอบด้วยด้านเนื้อหา ด้านการ จัดการเรียนรู้ และด้านการวัดและประเมินผล พิจารณาตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา โดยหา ดัชนีความ สอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์การเรียนรู้ (IOC) โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา ดังนี้ +๑ หมายถึง แน่ใจว่าข้อคำถามของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมี ความ สอดคล้องกับจุดประสงค์ ๐ หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อคําถามของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมี ความ สอดคล้องกับจุดประสงค์ -๑ หมายถึง แน่ใจว่าข้อคําถามของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่ สอดคล้องกับจุดประสงค์ ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ จาก การตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด ๓ ท่าน ได้แก่ ๑) อาจารย์วิรัตน์ ทองภู๒) อาจารย์พันทิวา ทับ ภูมี๓) อาจารย์กนกวรรณ ประจันตะเสน โดยมีค่า IOC อยู่ระหว่าง ๐.๖๗ - ๑.๐๐ ขั้นที่ ๖ ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ โดย ได้ มีการปรับแก้จำนวนชั่วโมงของแต่ละแผนให้เท่ากัน คือ ๑ ชั่วโมง ปรับแก้กระบวนการจัดการ เรียนรู้ให้ มีความสมบูรณ์ และเพิ่มเติมสื่อ/แหล่งการเรียนรู้ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ขั้นที่ ๗ นำแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ โดยใช้การ เรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ไปใช้จริงกับกลุ่มเป้าหมาย ๓.๔.๒.๒. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ ซึ่งมีเนื้อหาประกอบด้วย เรื่องขั้นตอนวิธีการ ทางประวัติศาสตร์ การสืบค้นข้อมูลโดยวิธีการทางประวัติศาสตร์ และข้อมูล หลักฐานทางประวัติศาสตร์ เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิด ๔ ตัวเลือก มีทั้งหมด ๓๐ ข้อ มี ขั้นตอนการดำาเนินงาน ดังนี้ ขั้นที่ ๑ ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เพื่อ วิเคราะห์ในส่วนของการวัดและประเมินผล และสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนขั้นที่ ๒ วิเคราะห์หลักสูตรตามมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด วิเคราะห์เนื้อหา ผล การเรียนรู้ที่คาดหวัง ขั้นที่ ๓ ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับการสร้างเครื่องมือวัดและประเมินผล ขั้นที่ ๔ สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง วิธีการทาง


๓๐ ประวัติศาสตร์ โดยผู้วิจัยสร้างแบบทดสอบ แบบปรนัย ๔ ตัวเลือก จำนวน ๔๐ ข้อ ซึ่งมีเนื้อหา ประกอบด้วย เรื่องขั้นตอนวิธีการทางประวัติศาสตร์ การสืบค้นข้อมูลโดยวิธีการทางประวัติศาสตร์ และ ข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ขั้นที่ ๕ นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง วิธีการทาง ที่สร้างขึ้นให้ อาจารย์ที่ปรึกษา ตรวจสอบความถูกต้องและปรับปรุงแก้ไข ประวัติศาสตร์ ขั้นที่ ๖ นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เสนอ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน ๓ คน ประกอบด้วยด้านเนื้อหา ด้านการจัดการเรียนรู้ และด้านการวัดและ ประเมินผล พิจารณาตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา โดยหาดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อ คำถาม กับจุดประสงค์การเรียนรู้ (IOC) โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา ดังนี้ +๑ หมายถึง แน่ใจว่าข้อคำถามของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมี ความ สอดคล้องกับจุดประสงค์ ๐ หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อคำถามของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมี ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ -๑ หมายถึง แน่ใจว่าข้อคำถามของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่ สอดคล้องกับจุดประสงค์ ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง วิธีการทาง ประวัติศาสตร์ จากการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด ๓ ท่าน ได้แก่ ๑) อาจารย์วิรัตน์ ทองภู๒) อาจารย์พันทิวา ทับภูมี๓) อาจารย์กนกวรรณ ประจันตะเสน ซึ่งมีค่าระหว่าง ๐.๖๗ - ๑.๐๐ ขั้นที่ ๗ นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง วิธีการทาง ประวัติศาสตร์ มาปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ โดยได้มีการปรับแก้ข้อคำถามและ ตัวเลือกให้มีความ ถูกต้องและมีความเหมาะสมในด้านของภาษา และเลือกแบบทดสอบให้เหลือ ๓๐ ข้อ และนำไปทดสอบ กับกลุ่มนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย โรงเรียนไทรัฐวิทยา ๘๔ เพื่อหาเฉลี่ยความยากง่าย (P) และค่า อำนาจจําแนก (r) ขั้นที่ ๘ น่าผลคะแนนมาวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (P) และค่าอานาจจําแนก (r) ของข้อสอบแต่ละข้อ แล้วคัดเลือกเอาข้อคําถามที่มีความยากง่ายระหว่าง ๐.๕๗ - ๑.๗๕ และ ค่าอ้า นาจจําแนก อยู่ระหว่าง 0.๒๑ - 0.๓๖ และมีค่าความเชื่อมั่นของข้อสอบ (KR๒o) เท่ากับ ๑.๔ ขั้นที่ ๙ จัดทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง วิธีการทาง ประวัติศาสตร์ ให้สมบูรณ์ และนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ๓.๔.๒.๓. แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เรื่อง วิธีการทาง ประวัติศาสตร์ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ ซึ่ง มีเนื้อหา ประกอบด้วย เรื่องขั้นตอนวิธีการทางประวัติศาสตร์ การสืบค้นข้อมูลโดยวิธีการทาง ประวัติศาสตร์ และ


๓๑ ข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิด ๔ ตัวเลือก มีทั้งหมด ๒๐ ข้อ มี ขั้นตอนการดำเนินงาน ดังนี้ ขั้นที่ ๑ ศึกษาหลักสูตรนานากรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๕ เพื่อ วิเคราะห์ในส่วนของการวัดและประเมินผล และสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิด วิเคราะห์ ขั้นที่ ๒ วิเคราะห์หลักสูตรตามมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด วิเคราะห์เนื้อหา ผล การเรียนรู้ คาดหวัง ขั้นที่ ๓ ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับการสร้างเครื่องมือวัดและประเมินผล ขั้นที่ ๔ สร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เรื่อง วิธีการทาง ประวัติศาสตร์ โดยผู้วิจัยสร้างแบบทดสอบ แบบปรนัย ๔ ตัวเลือก จำนวน ๓๐ ข้อ ซึ่งมีเนื้อหา ประกอบด้วย เรื่องขั้นตอนวิธีการทางประวัติศาสตร์ การสืบค้นข้อมูลโดยวิธีการทางประวัติศาสตร์และ ข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ขั้นที่ ๕ นำแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เรื่อง วิธีการทาง ประวัติศาสตร์ ที่สร้างขึ้นให้อาจารย์ที่ปรึกษา ตรวจสอบความถูกต้องและปรับปรุงแก้ไข ขั้นที่ ๖ นำแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เสนอ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน ๓ คน ประกอบด้วยด้านเนื้อหา ด้านการจัดการเรียนรู้ และด้านการวัด และ ประเมินผล พิจารณาตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา โดยหาดัชนีความสอดคล้องระหว่าง ข้อคำถาม กับจุดประสงค์การเรียนรู้ (IOC) โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา ดังนี้ +๑ หมายถึง แน่ใจว่าข้อคำถามของแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิด วิเคราะห์ มีความสอดคล้องกับจุดประสงค์ ๐ หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อคำถามของแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิด วิเคราะห์ มีความสอดคล้องกับจุดประสงค์ -๑ หมายถึง แน่ใจว่าข้อคำถามของแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์ ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์ จากการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด ๓ ท่าน ได้แก่ ๑) อาจารย์วิรัตน์ ทองภู๒) อาจารย์พันทิวา ทับภูมี๓) อาจารย์กนกวรรณ ประจันตะเสน ซึ่งมีค่าระหว่าง ๐.๖๗ - ๑.๐๐ ขั้นที่ ๗ นำแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เรื่อง วิธีการทาง ประวัติศาสตร์ มาปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ โดยได้มีการปรับแก้ข้อคำถามและ ตัวเลือกให้มีความถูกต้องและมีความเหมาะสมในด้านของภาษาและเลือกแบบทดสอบให้เหลือ ๒๐ ข้อ และนำไปทดสอบกับกลุ่มนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ เพื่อหาเฉลี่ยความยาก ง่าย (P) และค่าอำนาจจำแนก (r)


๓๒ ขั้นที่ ๘ นำผลคะแนนมาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยความยากง่าย (P) และค่าอำนาจ จำแนก (r) ของข้อสอบแต่ละข้อ แล้วคัดเลือกเอาข้อคำถามที่มีความยากง่ายระหว่าง ๐.๖๑- ๐.๘๒ และ ค่าอำนาจจำแนก อยู่ระหว่าง ๐.๒๑ - ๑.๔๓ และมีค่าความเชื่อมั่นของข้อสอบ (KR๒๐) เท่ากับ 0.๓๐ ขั้นที่ ๙ จัดทำแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ให้สมบูรณ์ และ นำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ๓.๔.๒.๔. แบบสอบถามความพึงพอใจการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E แบบสอบถามความพึงพอใจการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E มี ทั้งหมด ๑๐ ข้อ มีขั้นตอนการดำเนินงาน ดังนี้ ขั้นที่ ๑ ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวิธีการสร้าง แบบสอบถามความพึงพอใจ เพื่อเป็นกรอบในการสร้างคำถาม ขั้นที่ ๒ สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ โดยใช้ข้อคำถามแบบมาตราส่วน ประมาณค่า ๕ ระดับ ดังนี้ ๔.๕๑ - ๕.๐๐ หมายถึง มีความพึงพอใจมากที่สุด ๓.๕๑ - ๔.๕๐ หมายถึง มีความพึงพอใจมาก ๒.๕๑ - ๓.๕๐ หมายถึง มีความพึงพอใจปานกลาง ๑.๕๑ - ๒.๕๐ หมายถึง มีความพึงพอใจน้อย ๑.๐๐ - ๑.๕๐ หมายถึง มีความพึงพอใจน้อยที่สุด ขั้นที่ ๓ นำแบบสอบถามความพึงพอใจ ที่สร้างขึ้นให้อาจารย์ที่ปรึกษา ตรวจสอบ ความถูกต้องและปรับปรุง ขั้นที่ ๔ นำแบบสอบถามความพึงพอใจ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เสนอผู้เชี่ยวชาญจำนวน ๓ คน พิจารณาตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา โดยหาดัชนีความสอดคล้องระหว่าง ข้อคำถามกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ (IDC) โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา ดังนี้ +๑ หมายถึง แน่ใจว่าข้อคำถามของแบบสอบถามความพึงพอใจ มีความ สอดคล้อง ๐ หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อคำถามของแบบสอบถามความพึงพอใจ มีความ สอดคล้อง -๑ หมายถึง แน่ใจว่าข้อคำถามของแบบสอบถามความพึงพอใจ ไม่ สอดคล้อง ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบสอบถามความพึงพอใจ จากการตรวจสอบของ ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด ๓ ท่าน ได้แก่ ๑) อาจารย์วิรัตน์ ทองภู๒) อาจารย์พันทิวา ทับภูมี๓) อาจารย์ กนกวรรณ ประจันตะเสน ซึ่งมีค่าระหว่าง 0.50 - 0.00


๓๓ ขั้นที่ ๕ มาแบบสอบถามความพึงพอใจ มาปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของ ผู้เชี่ยวชาญ โดยได้มีการปรับแก้ข้อคำถามและตัวเลือกให้มีความถูกต้องและมีความเหมาะสมใน ด้าน ของภาษา ขั้นที่ ๖ นำแบบสอบถามความพึงพอใจ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจำนวน ๑๐ ข้อไปใช้กับ กลุ่มเป้าหมาย ๓.๕ การเก็บรวบรวมข้อมูล การดำเนินการทดลองผู้วิจัยได้ทำการทดลอง และเก็บข้อมูลในภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ รวม ๓ สัปดาห์โดยผู้วิจัยแบ่งออกเป็น ๓ ขั้นตอน ๓.๕.๑ ขั้นเตรียมก่อนการทดลอง ๑) ดำเนินการสร้างเครื่องมือการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยใช้ รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รายวิชาประวัติศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ ๑. แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน ๓ แผน คือ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑ ขั้นตอนวิธีการทางประวัติศาสตร์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๒ การสืบค้นข้อมูลโดยวิธีการทาง ประวัติศาสตร์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๓ ข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ๑.๒ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ จำนวน ๒๐ ข้อ ๑.๓ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน ๒๐ ข้อ ๑.๔ แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ ๓.๕.๒ ชั้นสอน ๑) ผู้วิจัยชี้แจงเกี่ยวกับวัตถุประสงค์และความพร้อมให้กับนักเรียนก่อนการ ทดลอง ใช้แผนการจัดการเรียนรู้ ๒) ครูผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ประกอบด้วยการเข้าสู่บทเรียน แนะนำ เนื้อหา แนะนำแหล่งข้อมูล และมอบหมายงานให้กับนักเรียน ๓) ขั้นตรวจสอบใบงานเป็นการตรวจสอบว่าผู้เรียนได้ปฏิบัติครบถ้วน พร้อมให้ นักเรียนออกมาน่าเสนอใบงานที่ได้รับมอบหมาย ๔) ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลการทำงาน ครูและนักเรียนช่วยกันสรุปบท เรียน หลังจากผู้วิจัยได้ดำเนินการสอนครบทุกแผนการจัดการเรียนรู้ หลังจากผู้วิจัยได้ดำาเนินการสอนครบทุกแผนการจัดการเรียนรู้ ให้นักเรียนทำแบบทดสอบ วัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน ๒๐ ข้อ แบบทดสอบวัด


๓๔ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ๒๐ ข้อ และให้ผู้เรียนทำแบบประเมินความพึง พอใจที่มีต่อการเรียน รายวิชาประวัติศาสตร์ จำนวน ๑๐ ข้อ ๓.๖ การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ ๓.๖.๑. วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบทดสอบ วัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยนำมาหาค่า ร้อยละและค่าเฉลี่ยเพื่อเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดให้คือนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ ๗๐ ของคะแนนเต็ม ๒๐ คะแนน ๓.๖.๒. วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยนำมาหาค่าร้อยสะและ ค่าเฉลี่ยเพื่อเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดให้คือนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ ๗๐ ของคะแนนเต็ม ๒๐ คะแบบ ๓.๖.๓. วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนโดยหาค่าเฉลี่ยและค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานเพื่อใช้สรุปผลของความพึงพอใจของนักเรียน ๓.๗ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ใช้สถิติในการหาข้อมูลในการวิจัย ดังนี้ ๓.๗.๑ การหาค่าร้อยละ ( % ) ๓.๗.๒ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ( x ) ๓.๗.๓ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)


๓๕ บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่อง การวิจัยเรื่องการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยใช้รูปแบบสืบ เสาะหาความรู้ 5E ในรายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น สามารถนำเสนอผลการ วิเคราะห์ข้อมูลได้ ดังนี้ ๔.๑ ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหา ความรู้ 5E ในรายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ๔.๒ ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในการคิดวิเคราะห์โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบสืบ เสาะหาความรู้ 5E ในรายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ๔.๓ ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ SE ในรายวิชา ประวัติศาสตร์ ๔.๔ องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัย ๔.๑ ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 5E ในรายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ผู้วิจัยได้ทำการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 5E หลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนครบทั้ง ๓ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบ ปรนัย จำนวน ๒๐ ข้อ โดยใช้เกณฑ์การผ่านร้อยละ ๗๐ ของคะแนนเต็มและจำนวนนักเรียนที่ผ่าน เกณฑ์ไม่ น้อยกว่าร้อยละ ๗๐ ของนักเรียนทั้งหมด ผลการวิเคราะห์ข้อมูลของคะแนนวัด ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ ดังแสดงในตารางที่ ๔.๑ ตารางที่ ๔.๑ แสดงผลการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ด้วยการจัดการเรียนรู้ แบบ สืบเสาะหาความรู้ 5E รายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น


๓๖ จำนวน นักเรียน ทั้งหมด (คน) คะแนน จำนวนนักเรียนที่ ผ่านเกณฑ์ จำนวนนักเรียนที่ ไม่ผ่านเกณฑ์ คะแนน เต็ม ผ่าน เกณฑ์ ( x ) S.D. ร้อย ละ จำนวน คน ร้อย ละ จำนวน คน ร้อย ละ ๒๘ ๒๐ ๑๔ ๑๖.๙๖ ๑.๑๘ ๘๔.๘ ๒๘ ๑๐๐ ๐ ๐ จากตารางที่ ๔.๑ ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ด้วยการจัดการเรียนรู้ แบบสืบ เสาะหาความรู้ 5E รายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พบว่า มีนักเรียนที่ทดสอความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ผ่านเกณฑ์ จำนวน ๒๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ที่กำหนดไว้ และมีคะแนน ความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยเฉลี่ยคือ ๑๖.๙๖ จากคะแนนเต็ม ๒๐ คะแนน คิดเป็นร้อยละ ๘๕.๘ ๔.๒ ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในการคิดวิเคราะห์โดยใช้การจัดการ เรียนรู้ แบบสิบเสาะหาความรู้ 5E ในรายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/ ๑ โรงเรียนบ้านไทยรัฐวิทยา ๘๔ ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนครบทั้ง ๓ แผนการจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยได้ให้ นักเรียนทำ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งรูปแบบข้อสอบเป็นข้อสอบปรนัยชนิด เลือกตอบ ๔ ตัวเลือก จำนวน ๓๐ ข้อ โดยใช้เกณฑ์การผ่านร้อยละ ๗๐ ของคะแนนเต็มและ จำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ไม่ น้อยกว่าร้อยละ ๗๐ ของนักเรียนทั้งหมด ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดังแสดงใน ตารางที่ ๔.๒ ตารางที่ ๔.๒ ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหา ความรู้ 5E รายวิชา ประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนบ้านไทยรัฐวิทยา ๘๔ ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น


๓๗ จำนวน นักเรียน ทั้งหมด (คน) คะแนน จำนวนนักเรียนที่ ผ่านเกณฑ์ จำนวนนักเรียนที่ ไม่ผ่านเกณฑ์ คะแนน เต็ม ผ่าน เกณฑ์ ( x ) S.D. ร้อยละ จำนวน คน ร้อย ละ จำนวน คน ร้อย ละ ๒๘ ๓๐ ๒๑ ๒๓.๗๓ ๑.๖๖ ๗๙.๑๐ ๒๘ ๑๐๐ ๐ ๐ จากตารางที่ ๔.๒ ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ 5E รายวิชา ประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ตำบล สำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พบว่า มีนักเรียนทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนผ่านเกณฑ์ จำนวน ๒๘ คน จากนักเรียนทั้งหมด ๒๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ ซึ่งสูงกว่า เกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยมี คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยเท่ากับ ๒๓.๗๓ จากคะแนนเต็ม ๓๐ คะแนน คิดเป็นร้อยละ ๗๙.๑๐ ๔.๓ ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐ วิทยา ๘๔ ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ต่อการจัดการ เรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 5E ในรายวิชาประวัติศาสตร์ จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ครบทั้ง ๓ แผน ผู้วิจัยให้นักเรียนทำแบบประเมินความพึง พอใจ ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E โดยมีคำถามทั้งสิ้นจำนวน ๑๐ ข้อ ดัง ตารางที่ ๔.๓ ตารางที่ ๔.๓ แสดงผลวิเคราะห์ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ แบบสืบ เสาะหาความรู้ 5E รายวิชา ประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ข้อที่ รายการที่ประเมิน ( x ) S.D. แปลผล ๑ คำแนะนำในการจัดกิจกรรมชัดเจนและเข้าใจง่าย ๔.๗๗ ๐.๔๓ มากที่สุด ๒ เนื้อหาเหมาะสมกับนักเรียน ๔.๕๐ ๐.๕๑ มากที่สุด ๓ การนำเสนอเนื้อหามีลำดับขั้นตอนที่เหมาะสม ๔.๗๓ ๐.๔๕ มากที่สุด ๔ เปิดโอกาสให้นักเรียนศึกษาด้วยตนเอง ๔.๘๑ ๐.๔๐ มากที่สุด ๕ นักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการเรียน ระดับชั้นที่สูงขึ้น ๔.๖๙ ๐.๕๕ มากที่สุด


๓๘ ๖ กิจกรรมส่งเสริมให้นักเรียนได้ฝึกการคิดวิเคราะห์ ๔.๖๙ ๐.๔๗ มากที่สุด ๗ เนื้อหาที่สอนมีความเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน ๔.๘๕ ๐.๓๗ มากที่สุด ๘ วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำกิจกรรมมีความเหมาะสม ๔.๗๗ ๐.๔๓ มากที่สุด ๙ รูปแบบการสอนหน้าสนใจ ภาพประกอบสวยงาม ๔.๗๗ ๐.๔๓ มากที่สุด ๑๐ จำนวนข้อคำถามท้ายกิจกรรมมีความเหมาะสม ๔.๖๙ ๐.๕๕ มากที่สุด เฉลี่ยรวม ๔.๗๓ ๐.๔๖ มากที่สุด จากตารางที่ ๔.๓ ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียน ไทยรัฐวิทยา ๘๔ ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ต่อการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหา ความรู้ 5E ในรายวิชาประวัติศาสตร์ โดยรวม พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ใน ระดับมากที่สุด ( x = ๔.๗๓,S.D.=๐.๔๖) เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า ข้อที่นักเรียนมีความพึงพอใจ มากที่สุดคือ เนื้อหาที่สอนมี ความเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันมีความสอดคล้องกับจุดประสงค์และ เนื้อหาวิชา มีความพึงพอใจอยู่ใน ระดับมากที่สุด ( x =๔.๘๕,S.D.=๐.๓๗) รองลงมาคือ เปิดโอกาส ให้นักเรียนศึกษาด้วยตนเอง มีความพึง พอใจมากที่สุด ( x ๔.๘๑,S.D.=๐.๔๐), คำแนะนำในการ จัดกิจกรรมชัดเจนและเข้าใจง่ายและวัสดุและ อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำกิจกรรมมีความเหมาะสมและรูปแบบการสอนน่าสนใจภาพประกอบสวยงาม มี ความพึงพอใจมากที่สุด ( x =๔.๗๗, S.D.=๐.๔๓), การนำเสนอเนื้อหามีลำดับขั้นตอนที่เหมาะสม มีความ พึงพอใจมากที่สุด ( x =๔.๗๓,S.D.=๐.๔๕), นักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการเรียนในระดับชั้นที่ สูงขึ้นและกิจกรรมส่งเสริมให้ นักเรียนได้ฝึกการคิดวิเคราะห์และจำนวนข้อคำถามท้ายกิจกรรมมีความ เหมาะสม มีความพึงพอใจ มากที่สุด ( x =๔.๖๙,S.D.=๐.๕๕) และข้อที่มีความพึงพอใจน้อยที่สุด คือ เนื้อหาเหมาะสมกับ นักเรียน มีความพึงพอใจมากที่สุด ( x =๔.๕๐,S.D. ๐.๕๑) ตามลำดับ ๔.๔ องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัย จากการศึกษาเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหา ความรู้ 5E ในรายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ผู้วิจัยได้สรุปเป็นองค์ความรู้ คือ การ จัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 5E เป็นอีกทฤษฎีหนึ่งที่จะใช้ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ เนื่องจากการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 5E เป็นเทคนิคอย่างหนึ่งในการจัดการเรียนรู้ โดยให้นักเรียนเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วย ตนเอง กระตุ้นให้นักเรียนมีความอยากรู้อยากเห็น เสาะ แสวงหาความรู้ และพยายามค้นหาคําตอบด้วย


๓๙ ตนเองโดยนักเรียนจะได้ฝึกคิด ฝึกสังเกต ฝึก นำเสนอ ฝึกวิเคราะห์วิจารณ์ ฝึกสร้างองค์ความรู้ และ ส่งเสริมให้นักเรียนคิดและเรียนรู้ด้วยตนเอง รวมทั้งร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเองได้


๔๐ บทที่ ๕ สรุปผล อภิปรายผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเรื่องการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยใช้รูปแบบ สืบ เสาะหาความรู้ 5E ในรายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เป็นวิจัยเชิงทดลอง โดยมีวัตถุประสงค์ใน การวิจัย คือ ๑)เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ 5E รายวิชา ประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ให้นักเรียนไม่น้อยกว่า ร้อยละ ๗๐ ผ่านเกณฑ์และมีคะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๐ ขึ้นไป ๒)เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ด้วยการจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ให้นักเรียนไม่ น้อยกว่าร้อยละ ๗๐ ผ่านเกณฑ์และมีคะแนนไม่น้อย กว่าร้อยละ ๗๐ ขึ้นไป ๓) เพื่อศึกษาความพึง พอใจในการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๘๔ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ผลการวิจัยที่ได้ นำไปสู่การ สรุปผลการวิจัย การอภิปรายผลการวิจัยและข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัย มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ ๕.๑ สรุปผลการวิจัย ๕.๒ อภิปรายผลการวิจัย ๕.๓ ข้อเสนอแนะ ๕.๑ สรุปผลการวิจัย จากการนำรูปแบบการวิจัยเชิงทดลองมาใช้เพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์โดยใช้การจัดการ เรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รายวิชา ประวัติศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนไทยรัฐ วิทยา ๘๔ ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยได้ทำการทดลองการ จัดการเรียนรู้ทั้งหมด ๓ แผนและผลการวิจัยแบ่งออกเป็น ๓ ข้อดังนี้ ๕.๑.๑ ผลการวิเคราะห์การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ พบว่า มีนักเรียน ทดสอบ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ผ่านเกณฑ์ จำนวน ๒๘ คน จากนักเรียนทั้งหมด ๒๘ คน คิดเป็นร้อย ละ ๑๐๐ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยเฉลี่ย คือ ๑๖.๙๖ จาก คะแนนเต็ม ๒๐ คิดเป็นร้อยละ ๔๔.๘๐ ๕.๑.๒ ผลจากการใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า มีนักเรียนทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์จำนวน ๒๘ คน จากนักเรียนทั้งหมด ๒๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐


๔๑ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยเท่ากับ ๒๓.๗๓ จาก คะแนนเต็ม ๓๐ คะแนน คิดเป็นร้อยละ ๗๙.๑๐ ๕.๑.๓ ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหา ความรู้ 5E พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E อยู่ใน ระดับ มากที่สุด ( x = ๔.๗๓, SD = 0.๔๖) ๕.๒ อภิปรายผลการวิจัย การวิจัยเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการคิดวิเคราะห์ในเรื่องวิธีการทาง ประวัติศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมของผู้เรียน ที่ได้รับการ จัดการ เรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ 5E ซึ่งอภิปรายผลได้ดังนี้ ๕.๒.๑. ผลการวิเคราะห์การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่าผู้เรียน มี คะแนนการคิดวิเคราะห์เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม นักเรียนมีคะแนนการคิดวิเคราะห์ร้อยละ ๘๔,๘๐ มีจำนวนนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อย ละ ๑๐๐ ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ตั้งไว้ ซึ่งผลการวิจัยในครั้งนี้ สอดคล้องกับ งานวิจัยของ อนุรักษ์ สวัสดี (๒๕๖๒) ได้ศึกษาการพัฒนาการคิดวิเคราะห์การเรียนรู้โดยใช้การสืบ เสาะหาความรู้ใน รายวิชาสังคมศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ผลการวิจัย พบว่า ๑) การ คิดวิเคราะห์ของ นักเรียนรายบุคคลมีคะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ ผ่านเกณฑ์จำนวน ๒๙ คน คิด เป็นร้อยละ ๙๖.๖๗ และนักเรียนที่มีคะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ จำนวน ๑ คน คิดเป็นร้อยละ ๓,๓๓ ๒) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสังคมศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ หลังเรียน สูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ที่ระดับ .๐๕ ๓) ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดย ใช้การสืบเสาะหาความรู้ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (Mean= ๔.๓๙, S.D. =o.๖๘) ๕.๒.๒. ผลจากการใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลการวิจัยพบว่าผู้เรียนมี คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนร้อยละ ๗๙.๐๐ และมีจำนวนนักเรียน ผ่านเกณฑ์ร้อย ละ ๑๐๐ ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ตั้งไว้เนื่องจากผู้เรียนที่ได้รับการ จัดการเรียนรู้แบบ 5E มีบรรยากาศการเรียนการสอนเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อให้ผู้เรียนอยาก สืบ เสาะหาความรู้ครูผู้สอน และผู้เรียนต่างมีบทบาทในการสร้างบรรยากาศ ครูเป็นผู้ริเริ่มสร้าง บรรยากาศ ผู้เรียนเป็นผู้ตอบสนอง และเพิ่มสีสันให้กับบรรยากาศการเรียนการสอนให้เป็นไปใน รูปแบบต่าง ๆ เมื่อผู้เรียนเกิดปัญหาสงสัย ใคร่รู้นำ ไปสู่การศึกษาค้นคว้าหรือสำรวจตรวจสอบต่อไปะทำให้เกิดกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ที่ ต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ เรียกว่ารูปแบบการจัดการ เรียนรู้แบบ 5E ส่งผลให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนสูงขึ้น เนื่องจากเป็นกระบวนการที่เน้นให้ ผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้โอกาสผู้เรียนได้แสดงความคิด เพื่อ


๔๒ ขยายความรู้ที่ได้เรียนอย่างเต็มที่ ดังนั้น รูปแบการจัดการเรียนรู้แบบ 5E จึงมีส่วนสำคัญที่สามารถ พัฒนาผู้เรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ราตรี ดิสถาพร (๒๕๖๓) การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องวิธีทางประวัติศาสตร์ด้วยการจัดการเรียนรู้ แบบพัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์ด้วยผังกราฟิก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ ผลการวิจัยพบว่า หลังจากได้รับการ จัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ด้วยผัง กราฟิก นักเรียน สามารถเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์ เรื่องวิธีทางประวัติศาสตร์มีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อย ละ ๒๖.๓ จากคะแนนเต็ม ๕.๒.๓.ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหา ความรู้ 5E พบว่าโดยรวมนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E อยู่ ในระดับ มากที่สุด ( x = ๔.๗๓, S.D. = ๐.๕๔๖) อาจจะเป็นเพราะการจัดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหา ความรู้ 5E เป็นเทคนิคอย่างหนึ่งในการจัดการเรียนรู้ โดยให้นักเรียนเป็นผู้ค้นคว้าหา ความรู้ด้วยตนเอง สอดคล้องกับสนิท เหลืองบุตรนาค ๒๕๕๙ ได้ให้ความหมาย ความพึงพอใจ หมายถึง ท่าทีความรู้สึก ความคิดเห็นที่มีผลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ภายหลังจากที่ได้รับประสบการณ์ในสิ่ง นั้นมาแล้วในลักษณะ ทางบวกคือ พอใจ นิยม ชอบ สนับสนุนหรือมีเจตคติที่ดีต่อบุคคล เมื่อรับ ตอบสนองความต้องการ ในทางเดียวกัน หากได้รับการตอบสนองความต้องการจะเกิดความไม่ พอใจเกิดขึ้นสอดคล้องกับคณิต ดวงหัสดี ๒๕๕๗ ให้ความหมายไว้ว่า เป็นความรู้สึกชอบ หรือ พอใจของบุคคลที่มีต่อการทำงานและ องค์ประกอบหรือสิ่งจูงใจอื่นๆ ถ้างานที่ทำหรือองค์ประกอบ เหล่านั้นตอบสนองความต้องการของ บุคคลได้บุคคลนั้น จะเกิดความพึงพอใจในงานขึ้นจะอุทิศ เวลาแรงกายแรงใจรวมทั้งสติปัญญาให้แก่ งานของตนให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีคุณภาพ ๕.๓ ข้อเสนอแนะ ๕.๓.๑ ข้อเสนอแนะของการน่าผลการวิจัยไปใช้ ๑) ควรมีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ไป ประยุกต์ กับวิชาอื่นๆ เพื่อฝึกให้นักเรียนได้รู้จักการเรียนรู้ด้วยตนเอง ๒) ควรนำข่าวสารที่เป็นจริงและข่าวที่เป็นเท็จที่เป็นเหตุการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้น ใน ชีวิตประจำวันเช่น หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต เป็นต้น มาใช้ประกอบการทำกิจกรรมใน ชั้น เรียน เพื่อเป็นการปลูกจิตสำนึกในการฝึกคิดวิเคราะห์ ๕.๓.๒ ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป ๑) ควรมีการเปรียบเทียบการสอนโดยใช้รูปแบบอื่น เพื่อให้ทราบข้อแตกต่างใน การ พัฒนาทักษะความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และมีการเปรียบเทียบในแต่ละด้านของการคิด วิเคราะห์ ๒) ควรสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ไป


๔๓ บูรณาการกับการเรียนการสอนในรายวิชาอื่นๆ ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีที่มีความทันสมัยเพื่อดึงดูด ความสนิทในการเรียนรู้ขยะผู้เรียน


๔๔ บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ, หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑, กรุงเทพฯ : โรง พิมพ์ ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย, ๒๕๕๖.หน้า ๕ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒, (กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์ พับลิเคชั่นส์, ๒๕๔๖). Bloom, Taxonomy of Educational Objectives Book 1, (cognitive Domain, London: Longman Group Limited), 1956: 6 - 9. Russel, The biotechnology revolution: an international perspective,Brighto, Susex: Wheat sheaf, 1956, : 181-182. ทิศนา แขมมณี, การคิดและการสอนเพื่อพัฒนากระบวนการคิด, (กรุงเทพฯ : สำนักงานพัฒนา คุณภาพวิชาการ, ๒๕๔๕), หน้า ๔๐๑. ชาติ แจ่มนุช, สอนอย่างไรให้คิดเป็น, (กรุงเทพฯ : เสี่ยงเซียง, ๒๕๔๕), หน้า ๕๔. วิทย์ มูลคำ, ครบเครื่องเรื่องการคิด, (พิมพ์ครั้งที่ ๗), (กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัดภาพพิมพ์, ๒๕๔๙), หน้า ๙. กรียงศักดิ์เจริญ วงศ์ศักดิ์, การคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical Thinking), (พิมพ์ครั้งที่ ๖), (กรุงเทพฯ : ซัคเซสมีเดีย, ๒๕๕๓), หน้า ๒. สุวัฒน์ วิวัฒนานนท์, ทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน, นนทบุรี : ซีซีนอลลีทจ์ลิงค์, ๒๕๕๐), หน้า ๔๕. Lawson, AE, Science Teaching and Development of Thinkin, (California: Allyn and Bacon, 1994). นันทิยา บุญเคลือบ, การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ตามแนวคิด Constructivism, (วารสาร สสวท, ๙๖, ๒๕๔๐), หน้า ๑๑-๑๕. สมบัติ กาญจนารักพงศ์ และคณะ, เทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบ 5E ที่เน้นพัฒนาทักษะ การ คิดขั้นสูง : กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม, (กรุงเทพมหานคร : ธารอักษร, ๒๕๔๙), หน้า ๓. สมนึก พวงกลิ่น, การศึกษาเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณและ สมรรถภาพการอานเร็วของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๓ โดยใชวิธีการสอนแบบสืบสวน สอบสวนกับการ สอบตามคู่มือครู, ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ โรฒ ประสานมิตร, ๒๕๓๐, หน้า ๖. พิมพันธ์ เดชะคุปต์, การสอนคิดด้วยโครงงาน : การเรียนการสอนแบบบูรณาการ, (กรุงเทพฯ : โรง


Click to View FlipBook Version