The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้ว21102

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Anocha Utumsakulrat, 2021-11-07 08:17:19

แผนการจัดการเรียนรู้ว21102

แผนการจัดการเรียนรู้ว21102

1
a

หลกั สูตรรายวชิ า

(Course Development)

รหัสวิชา.... ว 21102...รายวิชา....วทิ ยาศาสตร.์ .2.......
จำนวน....1.5.... หน่วยกิต ....3..... คาบ/ สัปดาห์
ภาคเรียนท่ี ...2... ปกี ารศึกษา …2564…..

จัดทำโดย

.........นางสาวอโนชา...อุทุมสกลุ รตั น์.........

ตำแหนง่ ....ครูชำนาญการพเิ ศษ...........

กลมุ่ สาระการเรียนรู้.....วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี......

โรงเรียนสวุ รรณารามวทิ ยาคม แขวงศิริราช เขตบางกอกนอ้ ย กรงุ เทพมหานคร
สำนักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษามธั ยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1
สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

2

คำนำ

หลักสูตรรายวิชาฉบับน้ีจัดทำขึ้นเพ่ือเตรียมการในการจัดการเรียนรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์ 2 รหัสวิชา
ว 21102 โดยครูผู้สอนได้ทำการศึกษาและวิเคราะห์กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับ
ปรบั ปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ตามสาระและมาตรฐานการ
เรียนรู้ ตัวชว้ี ัด/ผลการเรียนรู้ และจัดทำคำอธิบายรายวิชา โครงสร้างรายวิชา กำหนดเวลาเรยี น น้ำหนักคะแนน
กำหนดทกั ษะกระบวนการในการเรียนการสอนตลอดจนการวัดและประเมินผลการเรียนการสอนของครู

ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างย่ิงว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้และยกระดับผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี นของผู้เรยี นโรงเรยี นสุวรรณารามวิทยาคม สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศกึ ษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร
เขต 1 ต่อไป

นางสาวอโนชา อุทมุ สกลุ รัตน์
ชื่อผ้จู ดั ทำ

3

1. หลกั การและจุดมงุ่ หมายของหลกั สูตรการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน 2551

หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน มุง่ พฒั นาผ้เู รียนทกุ คน ซึ่งเปน็ กำลงั ของชาติให้เป็นมนษุ ย์ทม่ี คี วาม
สมดุลท้ังด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดมน่ั ในการปกครองตาม
ระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมุข มีความร้แู ละทกั ษะพ้ืนฐาน รวมท้งั เจตคติ ที่จำเป็นต่อ
การศกึ ษาตอ่ การประกอบอาชพี และการศกึ ษาตลอดชวี ิต โดยมงุ่ เนน้ ผู้เรยี นเป็นสำคัญบนพนื้ ฐานความเช่ือว่า
ทุกคนสามารถเรยี นรู้และพฒั นาตนเองได้เตม็ ตามศกั ยภาพ

หลักการ
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน มหี ลกั การทส่ี ำคญั ดงั นี้
1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพ่ือความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ เป็น

เป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐานของความเป็นไทย
ควบคกู่ บั ความเปน็ สากล

2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาค และมี
คณุ ภาพ

3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ให้
สอดคลอ้ งกบั สภาพและความต้องการของท้องถิ่น

4. เป็น หลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นท้ังด้ าน สาระการเรียนรู้ เวลาและการจัด
การเรยี นรู้

5. เป็นหลักสตู รการศกึ ษาท่ีเน้นผ้เู รยี นเป็นสำคญั
6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุก
กล่มุ เป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรยี นรู้ และประสบการณ์

จดุ หมาย
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มุ่งพัฒ นาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญ ญ า มีความสุข

มีศกั ยภาพในการศกึ ษาตอ่ และประกอบอาชพี จึงกำหนดเป็นจดุ หมายเพ่อื ใหเ้ กิดกับผูเ้ รียน เมือ่ จบการศึกษาขั้น
พ้นื ฐาน ดงั น้ี

1. มีคุณธรรมจริยธรรม และค่านิยมท่ีพึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตาม
หลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาทตี่ นนับถอื ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

2. มคี วามรู้ ความสามารถในการส่ือสาร การคิด การแก้ปญั หา การใชเ้ ทคโนโลยี และมีทกั ษะชวี ติ
3. มสี ุขภาพกายและสุขภาพจติ ท่ีดี มีสขุ นสิ ัย และรักการออกกำลังกาย
4. มีความรกั ชาติ มีจติ สำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดม่นั ในวิถชี ีวติ และการปกครองตาม
ระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ

4

5. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิต
สาธารณะทม่ี ุ่งทำประโยชน์และสรา้ งสง่ิ ที่ดีงามในสังคม และอยรู่ ว่ มกนั ในสังคมอยา่ งมีความสขุ

2. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น

หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน มุ่งให้ผูเ้ รียนเกิดสมรรถนะสำคญั 5 ประการ ดงั นี้
1. ความสามารถในการส่ือสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา
ถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพ่ือแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสารและ
ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ตอ่ การพัฒนาตนเองและสงั คม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหา
ความขัดแย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้
วิธกี ารสอื่ สาร ท่ีมีประสิทธภิ าพโดยคำนงึ ถึงผลกระทบท่ีมีต่อตนเองและสงั คม
2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่าง
สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคดิ เป็นระบบ เพอ่ื นำไปสู่การสรา้ งองคค์ วามรูห้ รือสารสนเทศเพ่ือ
การตดั สนิ ใจเก่ยี วกับตนเองและสังคมไดอ้ ย่างเหมาะสม
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เปน็ ความสามารถในการแกป้ ัญหาและอุปสรรคต่างๆ ทเ่ี ผชิญได้อยา่ ง
ถูกต้องเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการ
เปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา
และมีการตัดสนิ ใจท่มี ีประสิทธิภาพโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบท่เี กดิ ขึ้นตอ่ ตนเอง สังคมและส่ิงแวดล้อม
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต เปน็ ความสามารถในการนำกระบวนการตา่ งๆ ไปใช้ในการดำเนิน
ชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการ
สร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหวา่ งบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ อย่างเหมาะสม การปรับตวั ให้
ทนั กับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรจู้ ักหลีกเลี่ยงพฤตกิ รรมไม่พึงประสงค์ทส่ี ง่ ผลกระทบ
ต่อตนเองและผูอ้ ่นื
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่างๆ และมี
ทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การ
แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม

3. คุณลักษณะอันพึงประสงค์

หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน มุ่งพฒั นาผูเ้ รียนให้มคี ณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ เพ่อื ใหส้ ามารถ
อยูร่ ่วมกบั ผอู้ นื่ ในสังคมได้อย่างมีความสขุ ในฐานะเปน็ พลเมืองไทยและพลโลก ดงั นี้

1. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
2. ซ่ือสัตยส์ จุ ริต
3. มีวินัย
4. ใฝ่เรยี นรู้
5. อยู่อยา่ งพอเพยี ง

5

6. มุ่งมน่ั ในการทำงาน
7. รกั ความเปน็ ไทย
8. มจี ติ สาธารณะ

4. วสิ ยั ทัศน์ของโรงเรยี น

โรงเรยี นสุวรรณารามวทิ ยาคม เปน็ โรงเรียนสง่ เสริมทักษะการคดิ เพอ่ื พัฒนาผู้เรียนใหม้ คี วามรู้
คูค่ ุณธรรม บนพื้นฐานความเปน็ ไทยและหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง
พนั ธกจิ

1) จัดการเรียนการสอนเพือ่ พัฒนาคณุ ภาพผเู้ รยี น
2) พัฒนาครแู ละบุคลากรทางการศึกษา
3) การบริหารจัดการสถานศกึ ษา
4) พัฒนาชมุ ชน สงั คม ธำรงสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์

เปา้ ประสงค์
1) ผเู้ รียนมีคุณสมบัติตามมาตรฐานนักเรยี นโรงเรยี นสุวรรณารามวทิ ยาคม 10 ข้อ ได้แก่ ทดแทนบุญคุณ

บิดามารดา มาโรงเรียนเช้า เข้าห้องเรียนเสมอ พบเจอครูเคารพ คบหาเพ่ือนดี สามัคคีหมู่คณะ ละเลิกส่ิงช่ัว
ประพฤตติ วั ดี มนี ำ้ ใจ ให้เกยี รติกัน และมีคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลกั สตู ร

2) ผูเ้ รียนมีสว่ นรว่ มในการสืบสาน อนุรักษ์ ประเพณี และวัฒนธรรมไทย
3) ผู้เรยี นนำหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งมาใชใ้ นการดำเนนิ ชวี ติ
4) ผู้เรียนมีความเป็นเลิศทางวิชาการ ส่ือสารได้อย่างน้อย 2 ภาษา ล้ำหน้าทางความคิด ผลิตผลงาน
สร้างสรรค์ และร่วมกนั รับผดิ ชอบสงั คม
5) ผู้เรียนมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง จิตใจร่าเรงิ แจ่มใส มีสุขภาพจติ ที่ดี ปลอดจากสิ่งเสพติด อบายมุข
และโรคเอดส์
6) ครูออกแบบและจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลและพัฒนาการทางสติปัญญา
ตามศักยภาพ
7) ครูและบคุ ลากรมีความรู้และจรยิ ธรรม มีศักยภาพในหน้าทีข่ องตน
8) สถานศึกษามีสภาพแวดล้อมและการบรกิ ารทเี่ อ้ือต่อการเรียนรู้
9) สถานศึกษามกี ารบริหารจัดการด้วยระบบคุณภาพ
10) มีการประสานงานกับคณะกรรมการสถานศึกษาฯ สมาคมศิษย์เก่า เครือข่ายผู้ปกครอง และ
หน่วยงานอื่นๆทเ่ี กย่ี วข้อง เน้นการมสี ่วนร่วมของผู้เกีย่ วขอ้ งทกุ ฝ่ายในการพฒั นาโรงเรียน

6

5. การกำหนดโครงการสอน/คำอธบิ ายรายวชิ า

โครงการสอนรายวชิ า
รหสั วิชา ว21102 รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ 2
จำนวน 1.5 หนว่ ยกติ 3 คาบ/ สปั ดาห์ ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564

สาระ/มาตรฐาน/ตวั ชีว้ ดั (แกนกลาง)
สาระท่ี 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ

มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ
สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร
การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี

มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวติ ประจำวนั ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลักษณะการ
เคลื่อนทแ่ี บบตา่ ง ๆ ของวัตถุ รวมท้ังนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์

มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน
ปฏิสัมพันธ์ระหวา่ งสสารและพลังงาน พลังงานในชวี ิตประจำวัน ธรรมชาติของคลืน่ ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับ
เสยี ง แสง และคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้ารวมท้ังนำความร้ไู ปใช้ประโยชน์
สาระที่ 3 วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ

มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลง
ภายในโลกและบนผิวโลกธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปล่ียนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผลต่อ
ส่งิ มชี วี ติ และสิง่ แวดล้อม

คำอธบิ ายรายวชิ า (ดรู ายละเอยี ดจากหลักสูตร)
ศกึ ษาวิเคราะห์ความร้อนกับการเปล่ยี นแปลงของสสาร การถา่ ยโอนความรอ้ น ลมฟ้าอากาศรอบตวั

มนุษย์กับการเปล่ียนแปลงลมฟ้าอากาศ ทั้งน้ีโดยใช้ โดยใช้การสืบเสาะหาความรู้ การสำรวจตรวจสอบทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 การสืบค้นข้อมูลและการอภิปรายและ
วเิ คราะห์สาเหตุหรือปัจจัยที่ส่งผลต่อ ปัญหาหรือความต้องการ รวบรวม วเิ คราะห์ข้อมูลและแนวคิดท่ีเก่ียวข้อง
กับปัญหา ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา โดยวิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเลือกข้อมูลที่จำเป็นนำเสนอแนว
ทางการแก้ปัญหาให้ผู้อื่นเข้าใจ วางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา ทดสอบ ประเมินผล และระบุข้อบกพร่อง ท่ี
เกิดขึ้น พร้อมทั้งหำแนวทางการปรับปรุงแก้ไข เพ่ือแก้ปัญหา และใช้เทคโนโลยีได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และ
ปลอดภัย

เพ่ือให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถสื่อสารสง่ิ ทเ่ี รียนรู้ มคี วามสามารถในการตัดสนิ ใจ
การแก้ปัญหา การนำความรไู้ ปใช้ในชีวติ ประจำวัน มีจิตวทิ ยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คณุ ธรรม และค่านยิ มที่เหมาะสม

7

มาตรฐานการเรียนรู้ (ดรู ายละเอยี ดจากหลกั สตู ร)
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ

สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร
การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี

มาตรฐาน ว 2.2 เขา้ ใจธรรมชาติของแรงในชวี ิตประจำวัน ผลของแรงท่ีกระทำต่อวัตถุ ลักษณะการ
เคล่ือนทีแ่ บบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมท้ังนำความรู้ไปใช้ประโยชน์

มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน
ปฏิสัมพันธร์ ะหวา่ งสสารและพลังงาน พลังงานในชวี ิตประจำวัน ธรรมชาติของคลืน่ ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ
เสียง แสง และคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้ารวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์

มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลง
ภายในโลกและบนผิวโลกธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผลต่อ
สงิ่ มีชวี ิตและสงิ่ แวดลอ้ ม

ตัวชี้วัด หรอื ผลการเรียนรู้
ว 2.1 ม.1/9 ม.1/10
ว 2.2 ม.1/1
ว 2.3 ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.1/5 ม.1/6 ม.1/7
ว 3.2 ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.1/5 ม.1/6 ม.1/7
รวมตัวชวี้ ัด 17 ตวั ชี้วัด

6. ตารางโครงสร้างรายวชิ า

ลำดับ ชอ่ื หนว่ ยการ ตัวชี้วัดหรอื สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั
(ชั่วโมง) คะแนน
ท่ี เรียน ผลการเรียนรู้

1 พลังงานความ ว 2.1 ม.1/9 ม.1/10 พลงั งานความรอ้ นกับการเปลีย่ น 33 30

ร้อน ว 2.2 ม.1/1 สถานะของสสารความสมั พันธ์

ว 2.3 ม.1/1 ระหวา่ งความดันอากาศกับความ

ว 2.3 ม.1/2 สูงจากพ้ืนโลก

ว 2.3 ม.1/3 คำนวณปรมิ าณความร้อนทท่ี ำให้

ว 2.3 ม.1/4 สสารเปลี่ยนอณุ หภมู แิ ละ

ว 2.3 ม.1/5 เปล่ียนสถานะ โดยใช้สมการQ

ว 2.3 ม.1/6 = mcΔt และ Q = mL

ว 2.3 ม.1/7 การขยายตวั หรอื หดตัวของสสาร

การนำความร้อน การพาความ

8

รอ้ น การแผ่รงั สีความร้อน

สอบกลางภาค 1 20
30
2 กระบวนการ ว 3.2 ม.1/1 การแบ่งชั้นบรรยากาศ และ 27
20
เปลีย่ นแปลง ว 3.2 ม.1/2 เปรยี บเทยี บประโยชน์ของ -
100
ลมฟา้ อากาศ ว 3.2 ม.1/3 บรรยากาศแต่ละชนั้

ว 3.2 ม.1/4 ปจั จยั ท่มี ีผลต่อการเปล่ยี นแปลง

ว 3.2 ม.1/5 องค์ประกอบของลมฟ้าอากาศ

ว 3.2 ม.1/6 เปรยี บเทียบกระบวนการเกดิ พายุ

ว 3.2 ม.1/7 ฝนฟ้าคะนองและพายุหมนุ เขต

รอ้ น

การพยากรณอ์ ากาศ

สอบปลายภาค 1

จิตพิสยั -
รวม 60

อตั ราส่วนคะแนน

คะแนนเก็บระหวา่ งภาค : คะแนนปลายภาค = 80 : 20

K : P : A = 40 : 60 : …-..

รวม 100 คะแนน

คะแนนเก็บก่อนสอบกลางภาค = 30 คะแนน

สอบกลางภาค = 20 คะแนน

คะแนนเกบ็ ก่อนสอบปลายภาค = 30 คะแนน

คณุ ลกั ษณะ / จิตพิสยั = - คะแนน

สอบปลายภาค = 20. คะแนน

รวม 100 คะแนน

7. การกำหนดโครงการสอนและกจิ กรรมตลอดภาคเรยี น

สปั ดาห/์ หนว่ ยการเรยี นร/ู้ เนือ้ หา ตัวชี้วัด/ กจิ กรรม / เวลา
แผนการ ผลการเรียนรู้ กระบวนการเรยี นรู้ (ช่วั โมง)
เรยี นรู้ท่ี
19
1-4 หนว่ ยพลังงานความรอ้ น ว 2.1 ม.1/9 ม.1/10 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์

ความร้อน -แบบจำลองอนุภาคของ ว 2.3 ม.1/1 , 1/2 -การสร้างแบบจำลอง
กับการ สสาร ,1/3 ,1/4 ,1/5 -การทดลอง

9

เปลย่ี นแปลง -ความรอ้ นกบั การ ว 2.3 ม.1/5 ,1/6 -การคดิ คำนวณ 14
ของสสาร เปลยี่ นแปลงอณุ หภูมขิ อง 1/7 -การจำแนกประเภท 20

สสาร กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 7
-การสรา้ งแบบจำลอง
-ความร้อนกับการขยายตัว -การทดลอง
หรือหดตัวของสสาร -การคดิ คำนวณ
-การจำแนกประเภท
ความรอ้ นกบั การเปลีย่ น กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
สถานะของสสาร -การสรา้ งแบบจำลอง
-การทดลอง
5-7 หนว่ ยพลังงานความรอ้ น -การหาความสมั พนั ธ์
การถ่ายโอน -การถา่ ยโอนความรอ้ นใน -การจำแนกประเภท
ความรอ้ น ชีวิตประจำวัน -การคิดคำนวณ

-สมดุลความร้อน กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
-การสร้างแบบจำลอง
8-14 หนว่ ย กระบวนการ ว 3.2 ม.1/1 ,1/2, -การทดลอง
ลมฟา้ เปล่ียนแปลงลมฟา้ อากาศ 1/3,1/4 , 1/5 -การหาความสัมพันธ์
อากาศ -บรรยากาศ -การจำแนกประเภท
รอบตัว -อุณหภมู อิ ากาศ ว 3.2 ม.1/3,1/6 , -การคดิ คำนวณ
1/7
-ความกดอากาศและลม
-ความชน้ื
-เมฆและฝน
-การพยากรณอ์ ากาศ

15-16 หน่วย กระบวนการ
มนษุ ย์และ เปลีย่ นแปลงลมฟ้าอากาศ

การ -พายุ
เปลี่ยนแปลง -การเปลย่ี นแปลงภมู ิอากาศ

ลมฟา้ โลก
อากาศ

8. แผนการวดั ผลและภาระงาน

แนวการวัดผล อัตราสว่ น คะแนนระหวา่ งภาค : คะแนนปลายภาค = 80 : 20

อัตราสว่ น คะแนน K : P : A = 40 : 60 : .....-.......

10

แผนการวดั ผล คะแนน วิธีวดั ชนดิ ของเครื่องมอื ตวั ชวี้ ัด/ผลการ เวลาทใี่ ช้
การประเมนิ เรยี นรขู้ อ้ ที่ (นาท/ี ครั้ง)
30 สืบค้นขอ้ มลู
ก่อนกลางภาค อภปิ รายกลุ่ม ชุดกิจกรรม ว 2.1 ม.1/10 50 นาท/ี ครง้ั

พลงั งานความรอ้ น ว 2.3 ม.1/1 ,

1/2 ,1/3 ,1/4

,1/5 , 1/6 1,7

กลางภาค 20 สอบ แบบวัดผลสมั ฤทธิ์ ว 2.1 ม.1/10 60 นาที/ครั้ง

ว 2.2 ม.1/1

ว 2.3 ม.1/1 ,

1/2 ,1/3 ,1/4

,1/5 ,1/5 1/6

1,7

หลังกลางภาค 30 สืบค้นข้อมลู ชดุ กจิ กรรม ว 3.2 ม.1/1 50 นาที/ครง้ั
อภปิ รายกลมุ่
กระบวนการ ,1/2, 1/3 1/4 ,

เปลยี่ นแปลงลมฟ้า 1/5 1/6 , 1/7

อากาศ

คุณลักษณะ / -- -- ตลอด
จิตพสิ ยั 20 สอบ
ปลายภาค ภาคเรียน

แบบวดั ผลสมั ฤทธิ์ ว 3.2 ม.1/1 60 นาที/คร้ัง

,1/2, 1/3 1/4 ,

1/5 1/6 , 1/7

รวม 100 คะแนน

การกำหนดภาระงานนักเรียน

ในการเรียนรายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ 2 ได้กำหนดให้นกั เรยี นทำกจิ กรรม/ ปฏบิ ตั ิงาน(ช้นิ งาน) 5 ช้นิ ดังน้ี

ท่ี ชือ่ งาน ตวั ชี้วัด/ผลการเรยี นรูข้ ้อที่ ประเภทงาน กำหนดส่ง
กลุ่ม เดี่ยว วนั /เดอื น/ปี

1 รายงานกจิ กรรม แบบจำลอง ว 2.1 ม.1/9, ม.1/10 √ ธ.ค 64

อนุภาคของสสารในแต่ละ

สถานะเปน็ อย่างไร

2 รายงานกิจกรรม ปัจจยั ว 2.3 ม.1/1 ม.1/2 √ 11
ใดบา้ งทม่ี ีผลต่อการ ธ.ค 64
เปล่ยี นแปลงอุณหภูมิ √
ของสสาร √ ธ.ค 64
√ ธ.ค 64
3 รายงานกจิ กรรม ความรอ้ น ว 2.3 ม.1/3 ม.1/4 √ ม.ค 65
ส่งผลตอ่ สารแต่ละสถานะ √ ม.ค 65
อยา่ งไร √ ม.ค 65
√ ก.พ 65
4 รายงานกจิ กรรม ความร้อน ว 2.3 ม.1/1 ม.1/2 √ ก.พ 65
ทำให้สสารเปลีย่ นสถานะได้ √ ก.พ 65
อยา่ งไร √ ก.พ 65
√ ก.พ 65
5 รายงานกิจกรรม ความรอ้ น ว 2.3 ม.1/6 ก.พ 65
ถา่ ยโอนผา่ นของแข็งได้
อยา่ งไร

6 รายงานกจิ กรรม การถ่าย ว 2.3 ม.1/6
โอนความร้อนของของเหลว
และแก๊สเปน็ อย่างไร

7 รายงานกจิ กรรม การถา่ ย ว 2.3 ม.1/6 ม.1/7
โอนความร้อน

8 รายงานกจิ กรรม บรรยากาศ ว 3.2 ม.1/1
ของโลกเปน็ อยา่ งไร

9 รายงานกจิ กรรมที่ 6.2 ว 3.2 ม.1/1 ม.1/2
อณุ หภูมิอากาศเปล่ียนแปลง
อยา่ งไร

10 รายงานกจิ กรรม อากาศมี ว 3.2 ม.1/1 ม.1/2
แรงกระทำตอ่ วัตถุอย่างไร

11 รายงานกจิ กรรม เหตุใดลม ว 3.2 ม.1/1 ม.1/2
จึงเคลอ่ื นทเ่ี ร็วต่างกนั

12 รายงานกจิ กรรม ปัจจยั ที่มี ว 3.2 ม.1/1 ม.1/2
ผลตอ่ ความชน้ื สมั พทั ธ์มี
อะไรบา้ ง

13 รายงานกิจกรรม การ ว 3.2 ม.1/4 ม.1/5
พยากรณ์อากาศทำได้
อย่างไร

14 รายงานกจิ กรรม คำ ว 3.2 ม.1/4 ม.1/5 √ 12
ก.พ 65
พยากรณอ์ ากาศมปี ระโยชน์
ม.ี ค 65
อยา่ งไร ม.ี ค 65

15 รายงานกจิ กรรม พายุฝนฟ้า ว 3.2 ม.1/3 √
คะนองและพายุหมุน ว 3.2 ม.1/6 ม.1/7 √
เขตร้อนเกิดขนึ้ ไดอ้ ย่างไร

16 รายงานกิจกรรม ภมู ิอากาศ
เปล่ียนแปลงไดห้ รอื ไม่

หากนักเรียนขาดส่งงาน 4 ช้นิ จะได้รับผลการเรียน “ร” ในรายวิชาน้ี

ลงชอ่ื ........................................ครูผู้สอน ลงชอื่ ...........................................หัวหน้ากลุ่มสาระฯ
( นางสาวอโนชา อุทุมสกลุ รตั น์ ) (นางกณกิ าร์ พัฒรากุล)

ลงช่ือ........................................... ลงช่อื ...........................................
( นางกณกิ าร์ พฒั รากุล ) ( นางรพีพร คำบุญมา )
หวั หน้างานนเิ ทศ
รองผอู้ ำนวยการกลมุ่ บริหารวชิ าการ

ลงชอื่ ........................................................

( นายสรุ ยิ ันต์ เหล่ามะลกึ )
ผ้อู ำนวยการโรงเรยี นสุวรรณารามวทิ ยาคม

1
a

แผนการจัดการเรยี นรู้

รหสั วิชา.... ว 21102...รายวิชา....วิทยาศาสตร.์ .2.......
จำนวน....1.5.... หน่วยกิต ....3..... คาบ/ สปั ดาห์
ภาคเรียนที่ ...2... ปีการศึกษา …2564…..

จดั ทำโดย

.........นางสาวอโนชา...อุทมุ สกลุ รตั น์.........

ตำแหน่ง ....ครู ……วทิ ยฐานะ……ครชู ำนาญการพเิ ศษ...........

กลุ่มสาระการเรียนรู้.....วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี......

โรงเรียนสุวรรณารามวทิ ยาคม แขวงศริ ริ าช เขตบางกอกน้อย กรงุ เทพมหานคร
สำนกั งานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1
สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร

คำนำ

แผนการจัดการเรียนรู้เล่มน้ี จัดทำขึ้นเพ่ือใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนรายวิชา
วทิ ยาศาสตร์ 2 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 รหัสวชิ า ว21102 ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564
ท่ีเน้นนักเรียนเป็นสำคัญ มีการจัดกิจกรรมและการวัดผลประเมินผลที่หลากหลายสอดคล้องกับสาระและ
มาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตาม
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ซึง่ ประกอบด้วยหนว่ ยการเรียนรู้ จำนวน 2 หนว่ ย
คอื หน่วยที่ 1 พลังงานความร้อน หน่วยที่ 2 กระบวนการเปล่ยี นแปลงลมฟ้าอากาศ แผนการจัดการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ เล่มนี้ส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ทั้งเป็นรายบุคคลและรายกลุ่ม เน้น
กระบวนการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสามารถสร้างองค์ความรไู้ ด้ด้วยตนเอง ส่งเสริมให้นักเรียนเชอ่ื มโยง
ความรู้ทงั้ ในและต่างกล่มุ สาระการเรียนร้ใู นเชิงบรู ณาการด้วยวธิ ีการทีห่ ลากหลาย สรา้ งสถานการณ์การเรียนรู้
ท้ังในและนอกห้องเรยี น โดยครูมบี ทบาทหน้าที่ในการเอื้ออำนวยความสะดวกให้แก่นักเรยี น เพอ่ื ให้นักเรียนมี
คุณภาพตามสาระ มาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัด รวมท้ังพัฒนานักเรียนให้มีสมรรถนะสำคัญและ
คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ตามท่หี ลักสูตรกำหนด เพ่อื ให้นกั เรียนสามารถดำรงชีวิตอยู่รว่ มกับผู้อืน่ ในสังคมไทย
และสังคมโลกได้อย่างมีความสุขการปฏิบัติงานมุ่งผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียนได้อย่างเป็นระบบ ส่งผลให้ผู้เรียนมี
คณุ ภาพ และสถานศกึ ษามคี ุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาอยา่ งแท้จรงิ

หวังเป็นอย่างย่ิงว่าแผนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ม. 1 เล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการนำไป
ประยุกต์ใชใ้ นการจดั การเรียนร้ใู หเ้ หมาะสมกับสภาพแวดล้อมของนกั เรยี นตอ่ ไป

......................................................
(นางสาวอโนชา อทุ ุมสกุลรัตน์)

สารบัญ

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 พลังงานความร้อน หนา้
1 - 41
 แผนการเรยี นรทู้ ี่ 1 ความร้อนกับการเปลย่ี นแปลงของสสาร (ตอนท่ี 1)
 แผนการเรยี นรู้ท่ี 2 ความรอ้ นกบั การเปลีย่ นแปลงของสสาร (ตอนที่ 2) 1
8
 แผนการเรียนรทู้ ี่ 3 ความร้อนกับการเปลย่ี นแปลงของสสาร (ตอนท่ี 3) 15
21
 แผนการเรยี นรทู้ ี่ 4 ความร้อนกับการเปลยี่ นแปลงของสสาร (ตอนท่ี 4) 28
34
 แผนการเรียนรทู้ ี่ 5 การถา่ ยโอนความรอ้ นในชวี ติ ประจำวนั (ตอนที่ 1) 41
47 - 97
 แผนการเรยี นรทู้ ่ี 6 การถ่ายโอนความรอ้ นในชวี ติ ประจำวนั (ตอนที่ 2) 47
54
 แผนการเรยี นรทู้ ี่ 7 สมดลุ ความร้อน 61
67
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 กระบวนการเปลย่ี นแปลงลมฟา้ อากาศ 73
79
 แผนการเรียนรู้ที่ 8 ลมฟา้ อากาศรอบตวั (ตอนท่ี 1) 85
91
 แผนการเรยี นรู้ที่ 9 ลมฟา้ อากาศรอบตัว (ตอนท่ี 2) 97
103
 แผนการเรียนรู้ท่ี 10 ลมฟ้าอากาศรอบตวั (ตอนที่ 3)

 แผนการเรียนรทู้ ี่ 11 ลมฟ้าอากาศรอบตวั (ตอนที่ 4)

 แผนการเรียนรทู้ ี่ 12 ลมฟ้าอากาศรอบตวั (ตอนท่ี 5)

 แผนการเรยี นรทู้ ่ี 13 ลมฟา้ อากาศรอบตวั (ตอนที่ 6)

 แผนการเรยี นรู้ท่ี 14 ลมฟ้าอากาศรอบตวั (ตอนที่ 7)

 แผนการเรียนรทู้ ี่ 15 มนุษย์และการเปลยี่ นแปลงลมฟ้าอากาศ (ตอนที่1)

 แผนการเรียนร้ทู ่ี 16 มนษุ ยแ์ ละการเปล่ยี นแปลงลมฟา้ อากาศ (ตอนที่2)

เครอื่ งมอื วดั และประเมนิ ผล

แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 1
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่…1 พลงั งานความร้อน..เรือ่ ง..ความร้อนกับการเปล่ียนแปลงของสสาร (ตอนท่ี 1)...

รายวิชา……......วทิ ยาศาสตร์……..2.......รหัสวิชา…......ว 21102 ..............ชั้นมัธยมศึกษาปีที่....1.....
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปีการศกึ ษา... 2564...ภาคเรยี นท.่ี .2..เวลา...4...ชัว่ โมง……
ผสู้ อน.........................นางสาวอโนชา...อุทุมสกุลรตั น์.........................................................................................

1. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวช้ีวดั /ผลการเรยี นรู้ (รายวิชาพื้นฐานมที ัง้ มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวชว้ี ัด
รายวิชาเพ่ิมเตมิ มเี ฉพาะมาตรฐานการเรียนรู้และผลการเรยี นร)ู้

1.1 มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชวี้ ัด

ว 2.1 ม.1/9 ม.1/10

2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด (หลอมจากตัวชวี้ ัดทีใ่ ช้ในหน่วยการเรียนรู้นี้เขยี นเปน็ แบบความเรียง)

สสารทุกชนดิ ประกอบด้วยอนุภาค ซ่ึงอาจเป็นอะตอม โมเลกุล หรอื ไอออน โดยสสารชนิดเดยี วกนั ท่ี

มีสถานะของแข็งของเหลว แก๊ส จะมีการจัดเรียงอนุภาค แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค การเคลื่อนท่ีของ

อนุภาคแตกตา่ งกนั ซงึ่ มผี ลตอ่ รูปรา่ งและปริมาตรของสสาร เม่อื สสารได้รับหรือสูญเสียความร้อน สสารอาจเกิด

การเปลี่ยนแปลงอุณหภมู ิ ขนาด หรือสถานะของสสาร

3. สาระการเรยี นรู้

3.1 สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง/สาระการเรยี นรเู้ พ่มิ เติม (รายวชิ าเพิ่มเติม)

สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

• สสารทุกชนดิ ประกอบด้วยอนภุ าค โดยสารชนิดเดยี วกันที่มสี ถานะของแขง็ ของเหลว แก๊ส จะมีการ

จัดเรียงอนุภาค แรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค การเคล่ือนที่ของอนุภาคแตกต่างกันซ่ึงมีผลต่อรูปร่างและ

ปริมาตรของสสาร

• อนุภาคของของแข็งเรยี งชิดกัน มีแรงยึดเหนีย่ วระหว่างอนุภาคมากทสี่ ุด อนุภาคส่นั อยู่กบั ที่ ทำให้มี

รูปร่างและปริมาตรคงที่

• อนุภาคของของเหลวอยู่ใกล้กัน มีแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาคน้อยกว่าของแข็งแต่มากกว่าแก๊ส

อนภุ าคเคล่ือนที่ไดแ้ ต่ไม่เป็นอสิ ระเทา่ แกส๊ ทำให้มรี ปู ร่างไมค่ งที่ แต่ปริมาตรคงที่

• อนุภาคของแก๊สอยู่ห่างกันมาก มีแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาคน้อยที่สุด อนุภาคเคล่ือนท่ีได้อย่าง

อิสระทกุ ทศิ ทาง ทำให้มรี ูปร่างและปริมาตรไมค่ งท่ี

3.2 สาระการเรียนรทู้ ้องถิน่ (ถ้าในคำอธบิ ายรายวชิ าพูดถึงหลกั สูตรทอ้ งถน่ิ ใหใ้ สล่ งไปด้วย

...............................................................-...........................................................................................

4. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้

1. รวบรวมขอ้ มูลและสร้างแบบจำลองเพ่ืออธิบายการจัดเรียงอนุภาคแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนภุ าคและ

การเคลอื่ นที่ของอนภุ าคของสสารในสถานะของแข็ง ของเหลว และแกส๊ (K)

2. ทดลองเปรียบเทียบการจัดเรียงอนุภาค แรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค และการเคลื่อนที่ของอนุภาค

ของสสารในสถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส (P)

3. ตั้งใจเรยี นรู้และแสวงหาความรู้ (A)

5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น (เลือกเฉพาะข้อทเ่ี กิดในหนว่ ยการเรยี นรูน้ ้)ี

 1. ความสามารถในการส่ือสาร  2. ความสามารถในการคดิ

 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา  4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต

1

 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

6. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ (เลอื กเฉพาะขอ้ ท่เี กิดในหน่วยการเรยี นรนู้ ี้)

 1. รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์  2. ซอ่ื สัตยส์ จุ ริต
 3. มีวนิ ัย  4. ใฝ่เรียนรู้

 5. อยอู่ ย่างพอเพยี ง  6. ม่งุ ม่นั ในการทำงาน

 7. รกั ความเปน็ ไทย  8. มีจติ สาธารณะ

7. ดา้ นคุณลกั ษณะของผเู้ รียนตามหลักสูตรมาตรฐานสากล

 1. เปน็ เลิศวิชาการ  2. ส่ือสารสองภาษา  3. ล้ำหน้าทางความคิด

 4. ผลติ งานอย่างสรา้ งสรรค์  5. รว่ มกนั รับผิดชอบต่อสงั คมโลก

8. ทกั ษะของคนในศตวรรษท่ี 21 คือการเรียนรู้ 3R X 8C 2L

 R1 –Reading (อ่านออก)  R2-(W) Ringting (เขยี นได)้

 R3- (A) Rithmetics (คดิ เลขเป็น)

 ทักษะดา้ นการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแกไ้ ขปญั หา (Critical Thinking and
Problem Solving)

 ทกั ษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)

 ทักษะดา้ นความเขา้ ใจความตา่ งวัฒนธรรม ตา่ งกระบวนทศั น์ (Cross-cultural Understanding)

 ทักษะดา้ นความร่วมมือ การทำงานเปน็ ทมี และภาวะผ้นู ำ (Collaboration, Teamwork and

Leadership)

 ทกั ษะด้านการส่อื สาร สารสนเทศและรูเ้ ทา่ ทนั สอื่ (Communications, Information, and Media

Literacy)
 ทกั ษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สาร (Computing and ICT Literacy)
 ทักษะอาชพี และทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning)

 ความมเี มตตา (วนิ ยั คณุ ธรรม จริยธรรม (Compassion)

9. บูรณาการตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

1. หลักความพอประมาณ : กำหนดจำนวนสมาชิกในกลุ่มให้เหมาะสมกบั จำนวนสมาชิกในหอ้ งเรียนคือ

ประมาณกลุ่มละ 4 – 6 คน

2. หลักความมีเหตุผล : ให้นักเรียนสร้างสรรค์ผลงานและเกิดทักษะการปฏิบัติ , นักเรียนเกิดความ

ภาคภูมิใจในผลงานของตนและสง่ิ ท่ีเรยี นรู้

3. หลักภูมิคุ้มกัน : ให้นักเรียนเกิดทักษะการทำงานกลุ่ม และกล้าแสดงออก , นักเรียนรู้จักการวาง

แผนการทำงานและมอบหมายงานใหส้ มาชกิ ภายในกลุ่มไดเ้ หมาะสมกบั ความสามารถของแต่ละบุคคล
4. เงือ่ นไขความรู้ : การวางแผนงานท่ีจะทำก่อนแล้วค่อยลงมอื ทำอย่างระมดั ระวงั
5. เง่ือนไขคุณธรรม : อดทนท่ีจะทำงาน และมีความขยันที่จะทำงานให้ออกมาได้ดีที่สุด , มีวินัยในการ

ทำงาน

10. ชนิ้ งาน/ภาระงานรวบยอด

ตัวชวี้ ัด ชน้ิ งาน ภาระงาน

ว 2.1 ม.1/9, ม.1/10 -รายงานกจิ กรรมที่ 1 แบบจำลอง - การอภิปรายเปรียบเทียบการจัดเรียง ของ
อนภุ าคของสสารในแต่ละสถานะ อนุภาค แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค และ

เป็นอย่างไร การเคลื่อน ท่ีของอนุภาคของสารชนิด

2

เดียวกันในสถานะของแข็ง ของเหลวและ
แกส๊ โดยใชแ้ บบจำลอง

11. การวัดประเมินผล

11.1การวดั และประเมินผลชิ้นงาน/ภาระงานรวบยอด

วิธีการ

1.การสังเกตการณ์

2.การใชช้ ดุ กิจกรรมวิทยาศาสตรร์ ่องรอยบง่ ชี้ 3.การวัดประเมนิ การปฏบิ ตั ิ

เครอ่ื งมอื

1. แบบสงั เกตการณ์

2. ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ 3. แบบวดั ประเมินการปฏิบัติ

เกณฑ์

1.การประเมินผลตามสภาพจรงิ (Rubrics)

2.การประเมินพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรม ผ่านตง้ั แต่ 2 รายการ ถอื วา่ ผ่าน ผ่าน 1

รายการถือวา่ ไม่ผา่ น

11.2การวดั และประเมนิ ผลระหวา่ งการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (ประเมินจากแผนการจัดการเรยี นรู้ของ

หนว่ ยการเรียนรนู้ ้ี)

ส่ิงท่ตี อ้ งการวดั วิธีวัดผล เครื่องมอื วัดผล เกณฑ์การประเมิน

1. ความรู้เก่ียวกับ -การสอบถาม ซกั ถาม - แบบประเมนิ - นักเรียนได้คะแนน

- การจัดเรยี งอนุภาค แรงยึด ความคดิ เห็นอธิบายและ การอภิปราย 12 คะแนนข้นึ ไป
เปรียบเทียบการจดั เรียง แสดงความ หรอื ร้อยละ 80
เหน่ียวระหวา่ งอนุภาค และการ ของอนภุ าค แรงยดึ เหน่ยี ว คิดเห็น ถือวา่ ผ่านเกณฑ์
เคล่ือนที่ของอนุภาคของสสาร ระหว่างอนุภาค และการ - แบบประเมนิ - นักเรียนไดค้ ะแนน
ชนิดเดียวกันในสถานะของแข็ง
ของเหลว และแกส๊ เคลอ่ื นทขี่ องอนุภาคของ การตรวจผลงาน ประเมนิ ผลงาน
สารชนิดเดียวกันในสถานะ ผ้เู รยี น 13 คะแนนข้นึ ไป

ของแข็ง ของเหลวและแก๊ส หรือร้อยละ 80

โดยใชแ้ บบจำลองไดอ้ ยา่ ง ถอื วา่ ผา่ นเกณฑ์

ถูกตอ้ ง

-การตรวจผลงานนกั เรยี น

2.ทักษะกระบวนการคิด และ - การอภิปรายแสดง - แบบประเมนิ -นักเรยี นไดค้ ะแนน

ทักษะกระบวนการกลมุ่ ความคดิ เหน็ ระบุทกั ษะ การอภปิ ราย 12 คะแนนขนึ้ ไป

กระบวน แสดงความ หรอื ร้อยละ 80 ถือว่า

การทางวิทยาศาสตรท์ ไ่ี ด้ คิดเห็น ผ่านเกณฑ์

ปฏิบัตจิ ากกิจกรรม - แบบประเมนิ

- สังเกตพฤติกรรมการ พฤติกรรมการ

ทำงานกลุ่ม ทำงานกลุ่ม

3. คณุ ลักษณะที่พึงประสงค์ - สงั เกตค่านยิ มในการ - แบบประเมนิ - นกั เรียนได้คะแนน

3

และสมรรถนะผ้เู รยี น ทำงานรว่ มกับผู้อ่นื และการ คณุ ลักษณะอันพึง ประเมนิ คุณลักษณะ

- มวี นิ ัยในการทำงานกลุม่ ทำงานในระบบกลุ่ม ประสงค์ อันพงึ ประสงค์

- นักเรียนเหน็ ความสำคัญ อภิปราย แสดงความ - แบบประเมนิ 26 คะแนนขน้ึ ไป

ของการทำงานร่วมกับผู้อน่ื และ คดิ เหน็ เกีย่ วกบั ผลการ สมรรถนะผู้เรยี น หรอื รอ้ ยละ 80

การทำงานในระบบกลุ่ม ทดลอง -แบบประเมนิ ถอื วา่ ผ่านเกณฑ์

- ยอมรบั ความคดิ เหน็ ซึ่งกนั ระดบั การเหน็ - นักเรยี นไดค้ ะแนน

และกนั มีความเสยี สละและ คณุ ค่าในตนเอง การประเมนิ สมรรถนะ

อดทน หรอื Self- 29 คะแนนขึน้ ไป

- นกั เรียนมีการเห็นคณุ ค่าใน esteem หรอื ร้อยละ 80

ตนเอง (Self-esteem) ถือว่าผา่ นเกณฑ์

12. กิจกรรมการเรียนรู้
ชวั่ โมงท่ี 1-2
1. ขนั้ ตั้งประเดน็ ปญั หา/สมมติฐาน (Hypothesis Formulation)
1.1 ครูเกรน่ิ นำว่าสสารสามารถเปลีย่ นจากสถานะหนง่ึ เป็นอกี สถานะหนึ่งได้ เมอื่ ไดร้ ับหรือสญู เสีย

ความร้อน และ เชื่อมโยงเข้าสู่บทเรียนโดยใช้คำถามว่าพลังงานความร้อนเก่ียวข้องกับการเปลี่ยนแปลงอ่ืน ๆ
ของสสารอีกหรือไม่ อย่างไร

ใหน้ กั เรียนสงั เกตภาพนำหนว่ ยในชดุ กจิ กรรมเก่ยี วกับการหลอมแกว้ หรอื ภาพ วีดทิ ัศน์ หรอื สื่ออ่ืน ๆ
เพิ่มเติมเก่ียวกับการผลิตผลิตภัณฑ์จากแก้ว พร้อมท้ังอ่านเนื้อหานำหน่วย และร่วมกันอภิปรายโดยอาจใช้
คำถามดงั ต่อไปนี้

• จากเรอื่ งทอ่ี า่ น กลา่ วถึงวัสดชุ นดิ ใด (แกว้ )
• การทำผลิตภัณฑ์จากแก้วให้มีรูปทรงต่าง ๆ เก่ียวข้องกับพลังงานความร้อนหรือไม่ อย่างไร
(นักเรียนตอบได้โดยใช้สำนวนภาษาของตนเองเช่น การทำผลิตภัณฑ์จากแก้วเกี่ยวข้องกับพลังงานความร้อน
โดยใหค้ วามรอ้ นกบั แก้วในเตาหลอม ความร้อนจะทำให้แก้วหลอมเหลวจากน้ันจงึ ข้ึนรูป แลว้ นำแก้วที่ผ่านการ
ขนึ้ รปู ไปอบเพ่อื ปรับลดอุณหภูมิลงอย่างช้า ๆ จนกระทัง่ ถึงอุณหภูมปิ กต)ิ
1.2 ให้นักเรียนสังเกตภาพนำบทในชุดกิจกรรมหรือภาพ วีดิทัศน์ หรือส่ืออ่ืน ๆ เพ่ิมเติมเก่ียวกับ
การผลิตเหรียญกษาปณ์ พร้อมท้ังให้นักเรียนอ่านเน้ือหานำบท และรว่ มกันอภิปรายเก่ียวกับข้ันตอนการผลิต
เหรียญกษาปณว์ ่าเก่ียวข้องกับพลงั งานความร้อนอยา่ งไร โดยอาจใช้คำถามดงั ตอ่ ไปนี้

• ขั้นตอนการผลิตเหรียญกษาปณ์มีการเปลี่ยนสถานะของโลหะอย่างไรบ้าง (โลหะเกิดการ
หลอมเหลว โดยโลหะได้รับความร้อน ทำใหเ้ ปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลวและโลหะเกดิ การแข็งตัว
โดยโลหะท่ีอยใู่ นแมพ่ ิมพส์ ูญเสยี ความรอ้ น ทำใหเ้ ปล่ยี นสถานะจากของเหลวเปน็ ของแขง็ )

1.3 ให้นักเรียนสังเกตภาพ การระเหิดของไอโอดีนอ่านเน้ือหานำเร่ือง และรู้จักคำสำคัญ ทำ
กจิ กรรมทบทวนความรูก้ อ่ นเรียนเพื่อประเมนิ ความร้พู ืน้ ฐานของนักเรียนเกี่ยวกับสสารและสถานะของสสาร

1.4 ครูนำสนทนา ซักถาม เกี่ยวกับ ว่าสสารแต่ละชนิดประกอบด้วยอนุภาคขนาดเล็ก ซ่ึงไม่
สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เคยจินตนาการหรือไม่ว่าอนุภาคเล็ก ๆ เหล่าน้ีประกอบเข้าด้วยกันจนเป็น
สสารในสถานะตา่ ง ๆ ได้อย่างไร และทราบหรือไม่ว่า การจดั เรียงอนุภาคส่งผลต่อรูปรา่ งและปรมิ าตรของสสาร
ในแตล่ ะสถานะอยา่ งไรเพือ่ โยงเข้าสู่กจิ กรรมที่ 1 แบบจำลองอนภุ าคของสสารในแต่ละสถานะเปน็ อยา่ งไร

4

2. ขนั้ สบื คน้ ความรู้ (Searching for Information)

2.1 ครูและนกั เรยี นร่วมกันอภิปรายในประเดน็ ดังต่อไปน้ี

• กจิ กรรมนี้เกย่ี วกับเร่ืองอะไร (แบบจำลองอนภุ าคของสสารในสถานะของแข็ง ของเหลว และแกส๊ )

• กจิ กรรมน้ีมจี ุดประสงค์อยา่ งไร (นักเรยี นตอบตามความคิดของตนเอง)

• วธิ ีดำเนนิ กิจกรรมมีขนั้ ตอนโดยสรปุ อยา่ งไร (คาดคะเนและสร้างแบบจำลองอนภุ าคตามที่คาด

คะเน รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับแบบจำลองอนุภาค วิเคราะห์ข้อมูลท่ีรวบรวมได้และปรบั แก้แบบจำลองอนุภาคที่

สรา้ งไว้ และนำเสนอแบบจำลองอนภุ าคทปี่ รับแกแ้ ล้ว)

• ข้อควรระวังในการรวบรวมข้อมูลมีอะไรบ้าง (นักเรียนควรรวบรวมข้อมูลจากส่ือบนอินเทอร์เน็ต

หรือแหลง่ เรียนรู้อืน่ ๆที่น่าเชื่อถือ)

• นักเรียนต้องรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (นักเรียนต้องรวบรวมข้อมูล ทั้งการจัดเรียงอนุภาค แรงยึด

เหน่ียวระหว่างอนุภาค และการเคลื่อนที่ของอนุภาคของสสารในแต่ละสถานะ เพ่ือนำมาปรับแก้แบบจำลอง

อนภุ าคที่คาดคะเนไวใ้ หถ้ กู ต้อง)

2.2 ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มลงมือทำกิจกรรม โดยครูเดินสังเกตนักเรียนทุกกลุ่ม เพ่ือให้คำแนะนำในการ

สร้างแบบจำลองอนุภาคแก่นักเรียนอย่างใกล้ชิด แบบจำลองอาจเป็นรูปวาด ชิ้นงาน หรือบทบาทสมมติ โดย

เนน้ ใหน้ กั เรยี นทุกคนได้มีโอกาส

ชวั่ โมงท่ี 3-4

3. ขน้ั สรปุ องค์ความรู้ (Knowledge Formation)

3.1 ใหน้ ักเรียนแต่ละกลุม่ นำเสนอผลการทำกิจกรรม

3.2 จากนั้นร่วมกันอภิปรายผลการทำกิจกรรมและเปรียบเทียบผลการทำกิจกรรมของกลุ่มอื่นกับของ

กลมุ่ ตนเอง รวมทัง้ วิเคราะหจ์ ดุ เด่นและจุดดอ้ ยแบบจำลองของแต่ละกล่มุ

4. ข้นั การสื่อสารและนำเสนอ (Effective Communication)

4.1 นักเรียนตอบคำถามท้ายกิจกรรม จากน้ันนำเสนอ และอภิปรายคำตอบร่วมกันเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า

อนุภาคของของแข็งจะส่ันอยู่กับท่ีและเรียงชิดกัน โดยมีแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาคมากกว่าของเหลวและ

แก๊ส อนุภาคของของเหลวอยู่ใกล้กัน โดยมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคน้อยกว่าของแข็งแต่มากกว่าแก๊ส

อนุภาคของของเหลวจึงเคล่ือนที่ได้ แต่ไม่เป็นอสิ ระ โดยจะเคลื่อนท่ีรอบ ๆ อนุภาคใกล้เคยี ง อนุภาคของแก๊ส

อย่หู ่างกันมาก โดยมแี รงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งอนภุ าคน้อยมาก อนุภาคจึงเคลือ่ นทีไ่ ดอ้ ยา่ งอิสระทุกทศิ ทาง

5. ขั้นการบริการสงั คมและสาธารณะ (Public Service)

นกั เรียนรว่ มกนั นำผลงานแบบจำลองอนภุ าคโดยอาจติดผลการทำกจิ กรรมรอบผนังหอ้ งเรียนหรือจัด

แสดงทโี่ ต๊ะและนักเรียนทกุ คนเดินศึกษา (gallery walk) หากผลการทำกิจกรรมของนักเรียนบางกลุ่มไม่

สอดคล้องกับทฤษฎีหรือแนวการสรุป ครูอาจถามคำถามเพิ่มเติมเช่น นักเรียนคิดว่าเหตุใดผลการทำกิจกรรม

ของนักเรียนจึงได้ข้อสรปุ แตกต่างจากกลุ่มอื่น นกั เรียนคดิ วา่ มปี ัจจัยใดส่งผลต่อผลการทำกิจกรรมดังกล่าว เป็น

ต้น โดยสาเหตุท่ีทำให้ผลการทำกิจกรรมแตกต่างจากแนวการสรุปอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น การรวบรวม

ข้อมลู จากแหลง่ ข้อมูลทแี่ ตกต่างกนั เป็นต้น

13. ส่ือการเรยี นรู้/แหลง่ เรียนรู้

13.1ส่อื การเรียนรู้

1) ชดุ กิจกรรมวทิ ยาศาสตร์

2) หนังสือแบบเรยี น 3) สอ่ื เพาเวอร์พอยต์

13.2แหล่งเรยี นรู้

5

1) อินเตอรเ์ นต็ 2) หอ้ งสมุด

14. บนั ทกึ หลังการจัดการเรียนรู้

ผลการสอน รายละเอียด

1. ดา้ นความรู้ : ......................................................................................

- การจดั เรยี งอนภุ าค แรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ ง ......................................................................................
อนุภาค และการเคล่อื นท่ขี องอนุภาคของสาร ......................................................................................
......................................................................................
ชนดิ เดียวกนั ในสถานะของแข็ง ของเหลว ......................................................................................
และแก๊ส
.....................................................................................

......................................................................................

......................................................................................

......................................................................................

2. ดา้ นกระบวนการ : ......................................................................................

- ทักษะกระบวนการคิด ......................................................................................

- ทักษะกระบวนการกลุ่ม ......................................................................................

......................................................................................

......................................................................................

3. ดา้ นคุณธรรมจรยิ ธรรมและค่านิยม ......................................................................................

อันพงึ ประสงค์ : ......................................................................................

- มวี ินัย ......................................................................................

- ใฝ่เรยี นรู้ ......................................................................................

- อยู่อย่างพอเพียง ......................................................................................

- รกั ความเปน็ ไทย ......................................................................................

......................................................................................

4. ปัญหาการสอน

....................................................................... ......................................................................................

....................................................................... ......................................................................................

....................................................................... ......................................................................................

....................................................................... ......................................................................................

....................................................................... ......................................................................................

....................................................................... ......................................................................................

5. วิธแี กป้ ัญหา

....................................................................... ......................................................................................

....................................................................... ......................................................................................

....................................................................... ......................................................................................

....................................................................... ......................................................................................

6

ลงช่ือ........................................ครูผู้สอน ลงชอ่ื ...........................................หวั หน้ากลุ่มสาระฯ
(.นางสาวอโนชา...อทุ มุ สกุลรัตน.์ .) (นางกณกิ าร์ พัฒรากุล)

ลงชื่อ...........................................

(นางรพีพร คำบญุ มา)
รองผู้อำนวยการกลุ่มบรหิ ารวิชาการ

ลงชอ่ื ........................................................
(นายสรุ ิยนั ต์ เหลา่ มะลกึ )

ผอู้ ำนวยการโรงเรียนสวุ รรณารามวิทยาคม

7

แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 2
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี…1….. พลงั งานความรอ้ น…….เรอ่ื ง…...ความร้อนกบั การเปลย่ี นแปลงของสสาร(ตอนท่ี 2).....
รายวิชา………….....วทิ ยาศาสตร์……...2.........รหัสวชิ า…….....ว 21102 .................ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี…...1.......
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ปกี ารศึกษา... 2564...ภาคเรียนท.ี่ .2...เวลา...4...ชัว่ โมง……….
ผสู้ อน.........................นางสาวอโนชา...อทุ ุมสกลุ รัตน์...........................................................................................

1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้ีวัด/ผลการเรียนรู้ (รายวิชาพื้นฐานมีทั้งมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด
รายวิชาเพมิ่ เตมิ มเี ฉพาะมาตรฐานการเรยี นร้แู ละผลการเรยี นรู้)

1.1 มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวช้ีวดั
ว 2.1 ม.1/9 ม.1/10

ว 2.3 ม.1/1 , 1/2

2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด (หลอมจากตวั ชี้วัดทใ่ี ชใ้ นหน่วยการเรยี นรูน้ ี้เขียนเป็นแบบความเรียง)
สสารทุกชนิดประกอบด้วยอนุภาค ซึ่งอาจเป็นอะตอม โมเลกุล หรือไอออน โดยสสารชนดิ เดียวกนั ท่ี

มีสถานะของแข็งของเหลว แก๊ส จะมีการจัดเรียงอนุภาค แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค การเคลื่อนที่ของ
อนภุ าคแตกตา่ งกัน ซ่ึงมีผลตอ่ รูปรา่ งและปรมิ าตรของสสาร เม่อื สสารไดร้ บั หรือสูญเสยี ความร้อน สสารอาจเกิด
การเปลี่ยนแปลงอุณหภมู ิ ขนาด หรือสถานะของสสาร

ความร้อนอาจทำให้สสารเปล่ียนสถานะ เม่ือสสารได้รับความร้อน อนุภาคจะเคล่ือนท่ีเร็วขึ้นและ
เคลือ่ นทอี่ อกหา่ งกนั มากข้นึ แรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาคจะลดลง จนสสารเปลย่ี นสถานะ ในทางกลับกัน เมื่อ
สสารสญู เสียความรอ้ น อนภุ าคจะเคลอื่ นทีช่ า้ ลงและเข้าใกล้กันมากข้ึน แรงยดึ เหนีย่ วระหวา่ งอนุภาคจะเพม่ิ ขึ้น
จนสสารเปลีย่ นสถานะ ขณะทสี่ สารเปลี่ยนสถานะ ความร้อนท้ังหมดจะถูกใชใ้ นการเปลีย่ นสถานะโดยไม่มีการ
เปลี่ยนแปลงอณุ หภมู ิ
3. สาระการเรยี นรู้

3.1 สาระการเรียนร้แู กนกลาง/สาระการเรียนรู้เพม่ิ เตมิ (รายวิชาเพิม่ เตมิ )
สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
• ความร้อนมีผลต่อการเปลยี่ นสถานะของสสาร เมอ่ื ให้ความร้อนแก่ของแข็ง อนุภาคของของแขง็ จะมี

พลังงานและอุณหภูมิเพิ่มขึ้นจนถึงระดับหน่ึง ซึ่งของแข็งจะใช้ความร้อนในการเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว
เรียกความร้อนท่ีใช้ในการเปลี่ยนสถานะจากของแขง็ เป็นของเหลวว่า ความร้อนแฝงของการหลอมเหลว และ
อุณหภูมขิ ณะเปล่ียนสถานะจะคงที่ เรยี กอณุ หภมู นิ ี้วา่ จดุ หลอมเหลว

• เมอื่ ให้ความร้อนแก่ของเหลว อนุภาคของของเหลวจะมีพลงั งานและอณุ หภูมิเพ่ิมขน้ึ จนถึงระดับหน่ึง
ซึ่งของเหลวจะใช้ความร้อนในการเปล่ียนสถานะเป็นแก๊ส เรียกความร้อนที่ใช้ในการเปลี่ยนสถานะจาก
ของเหลวเป็นแก๊สว่า ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอ และอุณหภูมิขณะเปลี่ยนสถานะ จะคงที่ เรียก
อุณหภมู นิ ี้วา่ จุดเดือด

• เมื่อทำใหอ้ ุณหภมู ิของแกส๊ ลดลงจนถงึ ระดับหนึ่งแก๊สจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เรียกอุณหภูมินี้
วา่ จุดควบแนน่ ซึ่งมอี ณุ หภมู ิเดียวกับจุดเดือดของของเหลวน้นั

• เม่ือทำให้อุณหภูมิของของเหลวลดลงจนถงึ ระดับหนึ่ง ของเหลวจะเปลย่ี นสถานะเป็นของแขง็ เรียก
อณุ หภมู ิน้วี ่า จุดเยอื กแข็ง ซ่งึ มอี ุณหภมู เิ ดยี วกับจดุ หลอมเหลวของของแข็งนน้ั

8

• เม่ือวัตถอุ ยใู่ นอากาศจะมแี รงที่อากาศกระทำตอ่ วัตถุในทกุ ทศิ ทาง แรงทอ่ี ากาศกระทำต่อวัตถุขึ้นอยู่

กับขนาดพ้ืนทข่ี องวัตถุนน้ั แรงท่ีอากาศกระทำตง้ั ฉากกับผวิ วัตถตุ อ่ หนึ่งหน่วยพ้นื ทีเ่ รียกวา่ ความดันอากาศ

• ความดันอากาศมคี วามสัมพันธ์กับความสูงจากพืน้ โลก โดยบรเิ วณที่สูงจากพื้นโลกขนึ้ ไป อากาศเบา

บางลง มวลอากาศนอ้ ยลง ความดันอากาศกจ็ ะลดลง

• เม่ือสสารได้รับหรือสูญเสียความร้อนอาจทำให้สสารเปล่ียนอุณหภูมิ เปล่ียนสถานะ หรือเปล่ียน

รูปร่าง

• ปริมาณความร้อนที่ทำให้สสารเปลี่ยนอุณหภูมิข้ึนกับมวล ความร้อนจำเพาะ และอุณหภูมิ ท่ี

เปลี่ยนไป

• ปรมิ าณความร้อนท่ีทำให้สสารเปล่ียนสถานะขึ้นกับมวลและความร้อนแฝงจำเพาะ โดยขณะท่ีสสาร

เปลย่ี นสถานะ อณุ หภมู จิ ะไมเ่ ปล่ียนแปลง

3.2 สาระการเรยี นรูท้ อ้ งถิ่น (ถา้ ในคำอธิบายรายวชิ าพูดถึงหลักสตู รท้องถ่ินให้ใสล่ งไปดว้ ย

...............................................................-...........................................................................................

4. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้

1. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างมวลความร้อนจำเพาะและอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปของสสารกับปริมาณ

ความร้อนทีใ่ ชใ้ นการเปลีย่ นอุณหภมู ิของสสาร (K)

2. คำนวณปริมาณความร้อนท่ีใช้ในการเปล่ียนอุณหภูมิและปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้จากข้อมูลที่

กำหนดให้ วดั อณุ หภูมขิ องสสารโดยใช้เทอร์มอมเิ ตอร์ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง (P)

3. ต้ังใจเรียนรแู้ ละแสวงหาความรู้ (A)

5. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น (เลอื กเฉพาะข้อท่ีเกิดในหนว่ ยการเรยี นรนู้ ้ี)

 1. ความสามารถในการส่ือสาร  2. ความสามารถในการคดิ

 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา  4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต

 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

6. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (เลอื กเฉพาะขอ้ ท่ีเกิดในหนว่ ยการเรียนรนู้ ี้)

 1. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์  2. ซือ่ สัตย์สจุ ริต

 3. มวี ินัย  4. ใฝ่เรียนรู้

 5. อยอู่ ย่างพอเพียง  6. มงุ่ มนั่ ในการทำงาน

 7. รักความเป็นไทย  8. มีจติ สาธารณะ

7. ด้านคุณลกั ษณะของผู้เรียนตามหลกั สูตรมาตรฐานสากล

 1. เป็นเลศิ วิชาการ  2. ส่ือสารสองภาษา  3. ลำ้ หน้าทางความคิด

 4. ผลิตงานอย่างสร้างสรรค์  5. ร่วมกันรับผิดชอบต่อสงั คมโลก

8. ทกั ษะของคนในศตวรรษท่ี 21 คอื การเรยี นรู้ 3R X 8C 2L

 R1 –Reading (อา่ นออก)  R2-(W) Ringting (เขยี นได้)  R3- (A) Rithmetics (คิดเลขเปน็ )

 ทกั ษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ไขปัญหา (Critical Thinking and Problem

Solving)

 ทกั ษะดา้ นการสร้างสรรค์ และนวตั กรรม (Creativity and Innovation)

 ทักษะด้านความเขา้ ใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural Understanding)

 ทักษะด้านความร่วมมอื การทำงานเปน็ ทีมและภาวะผนู้ ำ (Collaboration,Teamwork and Leadership)

 ทกั ษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศและรู้เท่าทันสอ่ื (Communications, Information,

9

and Media Literacy)

 ทกั ษะดา้ นคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing and ICT Literacy)

 ทักษะอาชีพ และทักษะการเรยี นรู้ (Career and Learning)

 ความมีเมตตา (วนิ ัย คุณธรรม จริยธรรม (Compassion)

9. บูรณาการตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง

1. หลกั ความพอประมาณ : กำหนดจำนวนสมาชิกในกลุ่มใหเ้ หมาะสมกบั จำนวนสมาชิกในหอ้ งเรียนคือ

ประมาณกลุม่ ละ 4 – 6 คน

2. หลักความมีเหตุผล : ให้นักเรียนสร้างสรรค์ผลงานและเกิดทักษะการปฏิบัติ , นักเรียนเกิดความ

ภาคภมู ใิ จในผลงานของตนและส่ิงท่เี รยี นรู้

3. หลักภูมิคุ้มกัน : ให้นักเรียนเกิดทักษะการทำงานกลุ่ม และกล้าแสดงออก , นักเรียนรู้จักการวาง

แผนการทำงานและมอบหมายงานให้สมาชิกภายในกลมุ่ ไดเ้ หมาะสมกับความสามารถของแต่ละบุคคล

4. เงอ่ื นไขความรู้ : การวางแผนงานที่จะทำก่อนแลว้ คอ่ ยลงมอื ทำอย่างระมดั ระวัง

5. เง่อื นไขคุณธรรม : อดทนท่ีจะทำงาน และมีความขยันท่ีจะทำงานให้ออกมาได้ดีที่สุด , มีวินัยในการ

ทำงาน

10. ชิ้นงาน/ภาระงานรวบยอด

ตวั ช้ีวัด ชน้ิ งาน ภาระงาน

ว 2.3 ม.1/1 ม.1/2 -รายงานกจิ กรรม 2 ปจั จัยใดบ้างท่มี ี -คำนวณปริมาณความร้อนท่ใี ช้ในการ

ผลต่อการเปล่ียนแปลงอณุ หภูมิ เปลย่ี นอุณหภมู แิ ละปริมาณต่าง ๆ ท่ี

ของสสาร เกีย่ วขอ้ งได้จากขอ้ มลู ทีก่ ำหนดให้

-คำนวณพลังงานความร้อนโดยใช้

สมการQ = mcΔt

11. การวัดประเมินผล

11.1การวัดและประเมนิ ผลชิ้นงาน/ภาระงานรวบยอด

วิธกี าร

1.การสงั เกตการณ์

2.การใชช้ ดุ กิจกรรมวทิ ยาศาสตรร์ อ่ งรอยบ่งชี้ 3.การวดั ประเมินการปฏิบตั ิ

เครอ่ื งมือ

1. แบบสังเกตการณ์

2. ชดุ กิจกรรมวิทยาศาสตร์ 3. แบบวดั ประเมินการปฏบิ ตั ิ

เกณฑ์

1.การประเมินผลตามสภาพจริง (Rubrics)

2.การประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรม ผ่านต้ังแต่ 2 รายการ ถือว่า ผ่าน ผ่าน 1

รายการถือวา่ ไมผ่ ่าน

11.2การวัดและประเมนิ ผลระหวา่ งการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ (ประเมนิ จากแผนการจัดการเรยี นรู้ของ

หน่วยการเรียนรูน้ ้)ี

10

สิ่งทต่ี ้องการวัด วธิ วี ัดผล เครือ่ งมือวัดผล เกณฑก์ ารประเมนิ
- นกั เรียนได้คะแนน
1. ความร้เู กี่ยวกบั -การสอบถาม ซกั ถาม - แบบประเมนิ การ 12 คะแนนขนึ้ ไป
หรือร้อยละ 80
- การเปลยี่ นอณุ หภูมขิ องสสาร ความคิดเหน็ อธิบาย อภปิ รายแสดงความ ถอื ว่าผา่ นเกณฑ์
การเปล่ียนอุณหภมู ิ คดิ เห็น - นกั เรยี นได้คะแนน
เน่ืองจากไดร้ บั หรือสญู เสยี ของสสารเนอื่ งจาก - แบบประเมินการ ประเมนิ ผลงาน
ความรอ้ น ได้รบั หรอื สญู เสยี ตรวจผลงานผเู้ รยี น 13 คะแนนขึ้นไป
-การคำนวณพลงั งานความรอ้ น หรือร้อยละ 80
โดยใชส้ มการQ = mcΔt ความรอ้ น ถอื ว่าผา่ นเกณฑ์
-ยกตวั อยา่ งเหตกุ ารณ์
-นักเรียนได้คะแนน
ในชวี ติ ประจำวันที่ 12 คะแนนขึน้ ไป
หรือร้อยละ 80 ถอื วา่
ความรอ้ นทำให้สสาร ผ่านเกณฑ์

เปล่ยี นอุณหภมู ิขนาด - นักเรียนได้คะแนน
ประเมินคณุ ลักษณะ
หรือสถานะ อันพึงประสงค์
26 คะแนนขึน้ ไป
-การตรวจผลงาน หรือร้อยละ 80
ถือว่าผ่านเกณฑ์
นักเรยี น - นกั เรยี นไดค้ ะแนน
การประเมนิ สมรรถนะ
2.ทักษะกระบวนการคิด และ - การอภิปรายแสดง - แบบประเมนิ การ 29 คะแนนขนึ้ ไป
หรือรอ้ ยละ 80
ทักษะกระบวนการกลุ่ม ความคดิ เห็นระบุ อภิปรายแสดงความ ถอื ว่าผา่ นเกณฑ์

ทกั ษะกระบวน คดิ เห็น

การทางวทิ ยาศาสตรท์ ี่ - แบบประเมิน

ได้ปฏบิ ตั ิจากกจิ กรรม พฤตกิ รรมการ

- สงั เกตพฤติกรรมการ ทำงานกลุ่ม

ทำงานกลุ่ม

3. คณุ ลกั ษณะที่พึงประสงค์ - สังเกตค่านยิ มในการ - แบบประเมิน

และสมรรถนะผูเ้ รียน ทำงานร่วมกับผอู้ น่ื คุณลกั ษณะอันพงึ

- มวี ินยั ในการทำงานกล่มุ และการทำงานใน ประสงค์

- นกั เรยี นเหน็ ความสำคญั ระบบกลุ่ม - แบบประเมนิ

ของการทำงานร่วมกับผอู้ น่ื และ อภิปราย แสดงความ สมรรถนะผู้เรยี น

การทำงานในระบบกลุ่ม คิดเห็นเกยี่ วกับผลการ -แบบประเมินระดับ

- ยอมรบั ความคดิ เหน็ ซ่ึงกัน ทดลอง การเหน็ คณุ ค่าใน

และกนั มีความเสียสละและ ตนเอง หรือ Self-

อดทน esteem

- นกั เรียนมีการเหน็ คณุ ค่าใน

ตนเอง (Self-esteem)

12. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ชว่ั โมงท่ี 5-7
1. ข้นั ตั้งประเดน็ ปัญหา/สมมติฐาน (Hypothesis Formulation)

11

1.1 ครูให้นักเรียนสังเกตภาพ การใช้เทอร์มอคัปเปิลวัดอุณหภูมิของอาหาร (อธิบายการใช้เทอร์
มอมเิ ตอร์แบบท่ีเรยี กวา่ เทอร์มอคปั เปลิ วดั อุณหภมู ขิ องสสาร ในทน่ี ค้ี ืออาหารบนเตาย่าง)

1.2 ทำกิจกรรมทบทวนความรู้ก่อนเรียนเพ่ือประเมินความรู้พ้ืนฐานของนักเรียนเก่ียวกับการใช้
เทอร์มอมิเตอร์ หากพบว่านักเรียนยังมีความรู้พื้นฐานไม่ถูกต้อง ครูทบทวนหรือแก้ไขความเข้าใจผิดของ
นักเรียน เพอื่ ให้นักเรียนมี ความรู้พน้ื ฐานทถ่ี ูกต้องและเพยี งพอท่จี ะเรียนเร่ืองความร้อนกบั การเปล่ียนอุณหภูมิ
ของสสารต่อไป

1.3 ครูนำสนทนา ร่วมกันเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าการส่ันและการเคล่ือนท่ีของอนุภาคทำให้เกิด
พลังงานความร้อนในสสาร ซ่ึงเราไม่สามารถวัดไดโ้ ดยตรง แตเ่ ราสามารถวัดระดับพลังงานความร้อนของสสาร
ได้ด้วยการวดั อุณหภูมิโดยใชเ้ ทอรม์ อมิเตอร์

2. ขัน้ สืบคน้ ความรู้ (Searching for Information)
2.1 ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายในประเด็นดังต่อไปนี้ เพ่ือนำสู่กิจกรรมท่ี 2 ปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อ
การเปลย่ี นแปลงอุณหภมู ิของสสาร ดงั ต่อไปน้ี

• กิจกรรมนเ้ี ก่ยี วกับเรอ่ื งอะไร (ปจั จัยท่มี ผี ลตอ่ การเปลยี่ นแปลงอณุ หภมู ิของนำ้ และสารอน่ื ๆ)
• กจิ กรรมนม้ี จี ุดประสงคอ์ ยา่ งไร (นักเรียนตอบตามความคิดของตนเอง)
• การทำกิจกรรม ตอนที่ 1 ตอ้ งใช้วสั ดุและอุปกรณ์ใดบา้ ง (นกั เรียนตอบตามรายการวัสดุอปุ กรณ์ ครู
แนะนำวัสดุ อุปกรณ์ วิธีการใช้ และข้อควรระวังในการใช้เทียนไขและเทอรม์ อมิเตอร์ การควบคุมตัวแปรเพ่ือ
ใหผ้ ลการทดลองนา่ เชื่อถือ เช่น เทยี นไขที่ใช้เปน็ แหล่งพลังงานความร้อนต้องเป็นเทยี นไขชนดิ เดียวกัน มีขนาด
และความสูงเท่ากนั )
• นกั เรียนต้องสงั เกตหรอื รวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง และมีวิธบี ันทึกผลอยา่ งไร (นักเรียนตอ้ งสังเกตและ
บนั ทึกอณุ หภมู ขิ องนำ้ ในบีกเกอร์ ทุก ๆ 30 วนิ าที เปน็ เวลา 3 นาท)ี
• นักเรียนจะทราบได้อย่างไรว่าน้ำท่ีใส่ในบีกเกอร์มีมวล 60 กรัม (เน่ืองจากน้ำปริมาตร 1 ลูกบาศก์
เซนตเิ มตร มีมวล 1 กรมั ดังน้ันตอ้ งใสน่ ้ำให้มปี รมิ าตร 60 ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร)
2.2 ร่วมกันระบปุ ัญหา สมมตฐิ าน และตัวแปรที่เกี่ยวข้องของการทดลอง
2.3 ร่วมกันอภปิ รายและตอบคำถามท้ายกิจกรรมเพ่ือใหไ้ ด้ข้อสรปุ ว่า ปริมาณความร้อนท่นี ้ำได้รับส่งผล
ต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำ โดยน้ำในบีกเกอร์ที่ได้รับความร้อนจากเทียนไข 2 เล่ม มีอุณหภูมิสูงข้ึน
มากกวา่ ในบีกเกอรท์ ไี่ ดร้ บั ความรอ้ นจากเทยี นไข 1 เลม่
2.4 ใหน้ ักเรียนอ่านวิธีการดำเนินกจิ กรรมตอนท่ี 2 และร่วมกนั อภปิ รายในประเดน็ ดงั ตอ่ ไปน้ี
• การทำกจิ กรรม ตอนท่ี 2 ตอ้ งใช้วสั ดุและอปุ กรณ์ใดบา้ ง (นกั เรียนตอบตามรายการวัสดอุ ุปกรณ์ ครู
ควรแนะนำวิธีและข้อควรระวังในการใช้ชุดตะเกียงแอลกอฮอล์และเทอร์มอมิเตอร์ การควบคุมตัวแปรเพื่อ
ให้ผลการทดลองนา่ เช่ือถือ เชน่ ควรใช้ชุดตะเกียงแอลกอฮอล์ชดุ เดยี วกันเป็นแหลง่ ความร้อนให้กบั น้ำท้ัง 2 บีก
เกอร์)
• นกั เรยี นตอ้ งสงั เกตหรอื รวบรวมขอ้ มลู อะไรบ้าง และมีวธิ บี นั ทึกผลอยา่ งไร (นักเรียนต้องสังเกตและ
บนั ทกึ อณุ หภมู ขิ องนำ้ ในบกี เกอร์ ทกุ ๆ 1 นาที เปน็ เวลา 5 นาท)ี
2.5 รว่ มกันระบปุ ัญหา สมมตฐิ าน และตัวแปรที่เกย่ี วขอ้ งของการทดลองน้ี
2.6 ร่วมกันอภิปรายและตอบคำถามท้ายกิจกรรมเพื่อให้ได้ข้อสรุปได้ว่า มวลของน้ำมีผลต่อการ
เปล่ียนแปลงอุณหภูมิของน้ำ โดยน้ำมวล 75 กรมั มีอุณหภูมิสูงขึ้นมากกว่าน้ำมวล 150 กรัม เมื่อได้รับความ
ร้อนปรมิ าณเทา่ กนั

12

2.7 ครูนำอภิปรายว่า จากการทดลองตอนที่ 1 และ 2 นักเรียนทราบแล้วว่า ปริมาณความร้อนที่น้ำได้รับ
และมวลของน้ำมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุณภูมิของน้ำ นักเรียนคิดว่าชนิดของสสารมีผลต่อการเปล่ียนแปลง

อุณหภูมิของสสารหรือไม่ อย่างไร (มี สสารแต่ละชนิดมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแตกต่างกัน เมื่อได้รับความ
รอ้ นเทา่ กัน) เพ่ือนำไปสกู่ ารออกแบบการทดลองให้นกั เรยี นอา่ นวธิ กี ารดำเนินกิจกรรมตอนที่ 3

2.8 ร่วมกันระบปุ ญั หา สมมตฐิ าน และตวั แปรท่ีเกยี่ วขอ้ งของการทดลองนี้
2.9 ร่วมกันอภิปรายและตอบคำถามท้ายกิจกรรมเพ่ือให้ได้ข้อสรุปได้ว่า ชนิดของสสารมีผลต่อการ
เปล่ียนแปลงอุณหภมู ิ โดยเม่อื เวลาผา่ นไป กลเี ซอรอลหรือน้ำมนั พืชมีอณุ หภมู ิเพมิ่ ขึ้นมากกวา่ น้ำ

ชั่วโมงที่ 8

3. ข้นั สรปุ องคค์ วามรู้ (Knowledge Formation)

3.1 นกั เรยี นตอบคำถามระหว่างเรยี น เพอ่ื ประเมนิ ความเขา้ ใจเก่ียวกับปัจจยั ที่มีผลต่อการเปลีย่ นแปลง

อณุ หภมู ขิ องสสาร

3.2 ครูแนะนำการคำนวณปริมาณความร้อนท่ีทำให้อุณหภูมิของสสารเปล่ียนแปลงและปริมาณอื่น ๆ ท่ี

เกยี่ วข้อง ครูอาจให้นกั เรยี นสืบคน้ จากแหลง่ เรียนรอู้ ่นื ๆ เพ่มิ เติมได้อกี ด้วย จากน้นั ครูและนักเรยี นรว่ มกัน

อภปิ รายเพื่อตอบคำถามชวนคิด

4. ข้ันการสือ่ สารและนำเสนอ (Effective Communication)

4.1 นักเรียนนำเสนอกราฟแสดงความสมั พันธ์ระหว่างอุณหภมู ิกับเวลา ของการทดลองท้ัง 3 ตอน

5. ขนั้ การบริการสงั คมและสาธารณะ (Public Service)

นักเรียนร่วมกนั เฉลย กจิ กรรม รว่ ม กนั คดิ 2

13. สื่อการเรยี นรู้/แหลง่ เรยี นรู้

13.1สื่อการเรยี นรู้

1) ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ 2) หนงั สอื แบบเรยี น 3) สือ่ เพาเวอร์พอยต์

13.2แหลง่ เรียนรู้

1) อนิ เตอรเ์ นต็ 2) ห้องสมดุ

14. บนั ทึกหลงั การจดั การเรียนรู้

ผลการสอน รายละเอยี ด

1. ดา้ นความรู้ : ......................................................................................

- อธบิ ายการเปล่ียนอุณหภูมิของสสาร ......................................................................................
เนอ่ื งจากได้รับหรอื สูญเสยี ความรอ้ น ......................................................................................
-การคำนวณพลงั งานความร้อนโดยใช้สมการ
......................................................................................
Q = mcΔt ....................................................................................
......................................................................................

......................................................................................

.....................................................................................

2. ด้านกระบวนการ :

- ทักษะกระบวนการคดิ

- ทักษะกระบวนการกลมุ่

3. ดา้ นคณุ ธรรมจรยิ ธรรมและค่านยิ ม ......................................................................................

13

อันพงึ ประสงค์ : ......................................................................................

- มวี นิ ัย ......................................................................................

- ใฝเ่ รียนรู้ ......................................................................................

- อยู่อย่างพอเพียง ......................................................................................
- รักความเป็นไทย
......................................................................................

......................................................................................

......................................................................................

......................................................................................

4. ปญั หาการสอน

....................................................................... ......................................................................................

....................................................................... ......................................................................................

....................................................................... ......................................................................................

....................................................................... ......................................................................................

5. วธิ ีแกป้ ัญหา

....................................................................... ......................................................................................

....................................................................... ......................................................................................

....................................................................... ......................................................................................

....................................................................... ......................................................................................

ลงชอ่ื ........................................ครูผสู้ อน ลงช่ือ...........................................หัวหนา้ กลุ่มสาระฯ
(.นางสาวอโนชา...อุทมุ สกุลรตั น.์ .) (นางกณกิ าร์ พัฒรากลุ )

ลงชือ่ ...........................................

(นางรพพี ร คำบุญมา)
รองผูอ้ ำนวยการกลมุ่ บริหารวิชาการ

ลงช่ือ ........................................................
(นายสรุ ิยันต์ เหลา่ มะลึก)

ผอู้ ำนวยการโรงเรยี นสวุ รรณารามวทิ ยาคม

14

แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 3
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่…1 พลังงานความร้อน..เรอ่ื ง........ความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงของสสาร. (ตอนที่ 3)...........

รายวชิ า……......วิทยาศาสตร์……..2.......รหัสวิชา…......ว 21102 ..............ชั้นมัธยมศึกษาปีที่....1.....
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ปีการศึกษา... 2564... ภาคเรียนที่..2...เวลา...4...ช่ัวโมง……
ผู้สอน.........................นางสาวอโนชา...อทุ ุมสกลุ รตั น์.........................................................................................

1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้ีวัด/ผลการเรียนรู้ (รายวิชาพื้นฐานมีท้ังมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด
รายวิชาเพิ่มเติมมีเฉพาะมาตรฐานการเรียนร้แู ละผลการเรียนรู้)

1.1 มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ชีว้ ดั

ว 2.3 ม.1/1 , 1/2 ,1/3 ,1/4

2. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด (หลอมจากตวั ช้ีวัดทใี่ ช้ในหน่วยการเรียนรู้นี้เขยี นเปน็ แบบความเรียง)

ความร้อนทำให้สสารเปลี่ยนอุณหภูมิ เม่ือสสารได้รับความร้อนอาจทำให้สสารมีอุณหภูมิเพิ่มข้ึน

ในทางตรงกนั ข้ามเมื่อสสารสูญเสียความรอ้ นอาจทำให้สสารมีอุณหภูมิลดลง

โดยท่ัวไปเมอ่ื สสารไดร้ ับความรอ้ น สสารจะขยายตัว เนื่องจากความร้อนทำให้อนภุ าคเคล่ือนที่เร็วขึ้น

และระยะห่างระหวา่ งอนุภาคมากข้ึน ในทางกลับกัน เมื่อสสารสญู เสยี ความร้อน สสารจะหดตวั เนื่องจากความ

ร้อนทำให้อนุภาคเคลอ่ื นทชี่ ้าลงและระยะหา่ งระหวา่ งอนุภาคลดลง

3. สาระการเรยี นรู้

3.1 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง/สาระการเรยี นรเู้ พิม่ เติม (รายวิชาเพม่ิ เตมิ )

สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง

• ความร้อนทำให้สสารขยายตัวหรือหดตัวได้ เน่ืองจากเมื่อสสารได้รับความร้อนจะทำให้อนุภาค

เคลื่อนท่ีเร็วข้ึน ทำให้เกิดการขยายตัวแต่เม่ือสสารคายความร้อนจะทำให้อนุภาคเคล่ือนที่ช้าลง ทำให้เกิดการ

หดตวั

• ความรู้เร่ืองการหดและขยายตัวของสสารเนื่องจากความร้อนนำไปใช้ประโยชน์ได้ด้านต่าง ๆ เช่น

การสร้างถนน การสรา้ งรางรถไฟ การทำเทอรม์ อมิเตอร์

3.2 สาระการเรียนรู้ทอ้ งถิน่ (ถ้าในคำอธิบายรายวิชาพูดถึงหลกั สูตรท้องถนิ่ ใหใ้ สล่ งไปด้วย

...............................................................-...........................................................................................

4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้

1. สรา้ งแบบจำลองท่ีอธบิ ายการขยายตัวหรอื หดตัวของสสารเนอื่ งจากได้รับหรอื สูญเสียความร้อน (K)

2. อธบิ ายตัวอย่างเหตกุ ารณ์การขยายตวั หรอื หดตัวของสสารเน่ืองจากความรอ้ นพร้อมท้ังเสนอแนะ

แนวทางการปอ้ งกันหรือแกไ้ ขปัญหาท่ีเกดิ จากการขยายตัวหรือหดตัวของสสาร (P)

3. ตั้งใจเรียนรแู้ ละแสวงหาความรู้ (A)

5. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน (เลือกเฉพาะขอ้ ท่ีเกิดในหนว่ ยการเรียนร้นู ี)้

 1. ความสามารถในการสื่อสาร  2. ความสามารถในการคิด

 3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา  4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต

 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

6. คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (เลือกเฉพาะขอ้ ทเี่ กิดในหน่วยการเรียนรนู้ ้ี)

 1. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์  2. ซ่ือสตั ย์สจุ รติ

 3. มวี ินยั  4. ใฝเ่ รียนรู้

15

 5. อยอู่ ย่างพอเพียง  6. มุ่งม่นั ในการทำงาน

 7. รักความเปน็ ไทย  8. มจี ติ สาธารณะ

7. ด้านคณุ ลกั ษณะของผเู้ รียนตามหลกั สูตรมาตรฐานสากล

 1. เปน็ เลิศวชิ าการ  2. ส่อื สารสองภาษา  3. ล้ำหน้าทางความคิด

 4. ผลติ งานอย่างสร้างสรรค์  5. รว่ มกันรับผิดชอบต่อสังคมโลก

8. ทักษะของคนในศตวรรษที่ 21 คอื การเรยี นรู้ 3R X 8C 2L

 R1 –Reading (อ่านออก)  R2-(W) Ringting (เขียนได้)  R3- (A) Rithmetics (คิดเลขเป็น)

 ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ไขปัญหา (Critical Thinking and

Problem

Solving)

 ทกั ษะดา้ นการสรา้ งสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)

 ทักษะด้านความเขา้ ใจความตา่ งวัฒนธรรม ต่างกระบวนทศั น์ (Cross-cultural Understanding)

 ทักษะด้านความรว่ มมือ การทำงานเป็นทีมและภาวะผนู้ ำ (Collaboration, Teamwork and

Leadership)

 ทักษะด้านการสือ่ สาร สารสนเทศและรู้เทา่ ทันสื่อ (Communications, Information, and Media

Literacy)

 ทักษะด้านคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สาร (Computing and ICT Literacy)

 ทักษะอาชพี และทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning)

 ความมีเมตตา (วินัย คณุ ธรรม จริยธรรม (Compassion)

9. บรู ณาการตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง

1. หลกั ความพอประมาณ : กำหนดจำนวนสมาชิกในกลุ่มใหเ้ หมาะสมกับจำนวนสมาชิกในห้องเรียนคือ

ประมาณกลมุ่ ละ 4 – 6 คน

2. หลักความมีเหตุผล : ให้นักเรียนสร้างสรรค์ผลงานและเกิดทักษะการปฏิบัติ , นักเรียนเกิดความ

ภาคภมู ิใจในผลงานของตนและสิง่ ทเ่ี รยี นรู้

3. หลักภูมิคุ้มกัน : ให้นักเรียนเกิดทักษะการทำงานกลุ่ม และกล้าแสดงออก , นักเรียนรู้จักการวาง

แผนการทำงานและมอบหมายงานให้สมาชิกภายในกล่มุ ได้เหมาะสมกับความสามารถของแตล่ ะบุคคล

4. เง่ือนไขความรู้ : การวางแผนงานท่ีจะทำก่อนแล้วคอ่ ยลงมือทำอย่างระมัดระวงั

5. เงอ่ื นไขคุณธรรม : อดทนที่จะทำงาน และมีความขยันที่จะทำงานให้ออกมาได้ดีท่ีสุด , มีวินัยในการ

ทำงาน

10. ช้นิ งาน/ภาระงานรวบยอด

ตัวชวี้ ัด ชิ้นงาน ภาระงาน

ว 2.3 ม.1/3 ม.1/4 - รายงานกิจกรรมที่ 3 ความร้อนส่งผล -ยกตัวอย่างเหตกุ ารณก์ ารขยายตวั หรือ

ต่อสารแตล่ ะสถานะอยา่ งไร หดตัวของสสารเนื่องจากความร้อน
พรอ้ มทง้ั เสนอแนะแนวทางการป้องกัน

หรอื แกไ้ ขปญั หาท่ีเกิดจากการขยายตวั

หรือหดตัวของสสาร

-สรา้ งแบบจำลองท่ีอธบิ ายการขยายตวั

16

หรอื หดตัวของสสารเน่ืองจากได้รบั หรือ
สูญเสยี ความรอ้ น

11. การวัดประเมนิ ผล

11.1การวดั และประเมนิ ผลชิ้นงาน/ภาระงานรวบยอด

วธิ กี าร

1.การสังเกตการณ์

2.การใช้ชุดกิจกรรมวทิ ยาศาสตรร์ ่องรอยบง่ ชี้ 3.การวดั ประเมนิ การปฏิบัติ

เคร่อื งมือ

1. แบบสังเกตการณ์

2. ชุดกิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ 3. แบบวดั ประเมินการปฏบิ ัติ

เกณฑ์

1.การประเมนิ ผลตามสภาพจริง (Rubrics)

2.การประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรม ผ่านตงั้ แต่ 2 รายการ ถือว่า ผา่ น ผ่าน 1

รายการถือวา่ ไม่ผ่าน

11.2การวดั และประเมินผลระหวา่ งการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ (ประเมินจากแผนการจัดการเรียนรู้ของ

หน่วยการเรยี นรนู้ ้ี)

สงิ่ ที่ต้องการวดั วธิ วี ดั ผล เครื่องมือวัดผล เกณฑ์การประเมนิ
- นักเรยี นไดค้ ะแนน
1. ความร้เู ก่ยี วกับ -การสอบถาม ซักถาม - แบบประเมนิ การ 12 คะแนนขนึ้ ไป
หรือร้อยละ 80
- การขยายตัวหรอื หดตัวของ ความคดิ เหน็ อธบิ าย อภิปรายแสดงความ ถือวา่ ผ่านเกณฑ์
สสารเนือ่ งจากไดร้ บั หรอื สูญเสยี เหตกุ ารณ์การขยาย คิดเห็น - นักเรยี นไดค้ ะแนน
ตัวหรอื หดตวั ของ - แบบประเมินการ ประเมนิ ผลงาน
ความรอ้ น สสารเนือ่ งจากความ ตรวจผลงานผู้เรยี น 13 คะแนนขึน้ ไป
หรอื ร้อยละ 80
รอ้ นพรอ้ มทั้งเสนอ ถอื ว่าผ่านเกณฑ์

แนะแนวทางการ -นกั เรียนไดค้ ะแนน
12 คะแนนขนึ้ ไป
ปอ้ งกนั หรอื แกไ้ ข หรอื ร้อยละ 80 ถือวา่
ผ่านเกณฑ์
ปญั หาท่เี กดิ จากการ

ขยายตวั หรือหดตวั

ของสสารไดอ้ ยา่ ง

ถูกตอ้ ง

-การตรวจผลงาน

นกั เรียน

2.ทักษะกระบวนการคิด และ - การอภปิ รายแสดง - แบบประเมนิ การ

ทกั ษะกระบวนการกลมุ่ ความคิดเหน็ ระบุ อภปิ รายแสดงความ

ทักษะกระบวน คิดเหน็

การทางวิทยาศาสตร์ที่ - แบบประเมิน

17

ไดป้ ฏบิ ัตจิ ากกจิ กรรม พฤตกิ รรมการ

- สังเกตพฤติกรรมการ ทำงานกล่มุ

ทำงานกลมุ่

3. คุณลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์ - สังเกตค่านยิ มในการ - แบบประเมนิ - นักเรียนได้คะแนน

และสมรรถนะผเู้ รียน ทำงานร่วมกบั ผู้อื่น คุณลกั ษณะอันพึง ประเมินคุณลักษณะ
อนั พึงประสงค์
- มีวนิ ยั ในการทำงานกลุ่ม และการทำงานใน ประสงค์ 26 คะแนนขน้ึ ไป

- นักเรียนเห็นความสำคญั ระบบกลุ่ม - แบบประเมนิ หรอื ร้อยละ 80
ถือว่าผา่ นเกณฑ์
ของการทำงานร่วมกับผอู้ น่ื และ อภปิ ราย แสดงความ สมรรถนะผู้เรียน
- นกั เรยี นได้คะแนน
การทำงานในระบบกลุ่ม คดิ เหน็ เก่ยี วกับผลการ -แบบประเมินระดับ การประเมนิ สมรรถนะ
29 คะแนนข้นึ ไป
- ยอมรับความคดิ เหน็ ซึ่งกนั ทดลอง การเหน็ คุณค่าใน
หรอื ร้อยละ 80
และกนั มีความเสียสละและ ตนเอง หรือ Self- ถอื วา่ ผ่านเกณฑ์

อดทน esteem

- นกั เรียนมีการเหน็ คุณค่าใน

ตนเอง (Self-esteem)

12. กิจกรรมการเรยี นรู้
ชัว่ โมงท่ี 9
1. ขั้นตง้ั ประเด็นปญั หา/สมมติฐาน (Hypothesis Formulation)

1.1 ครูให้นักเรียนดูภาพ การยกตัวของถนน (ซึ่งสามารถอธิบายได้ โดยหลักการทางวิทยาศาสตร์
เกยี่ วกบั การขยายตัวของสสารเมอ่ื ไดร้ ับความร้อน โดยถนนทสี่ ร้างข้ึนได้ออกแบบชอ่ งวา่ งท่รี องรับการขยายตัว

นอ้ ยเกินไป นอกจากนี้ ชาวบ้านยังมีความเชื่ออ่ืน ๆ ในเชงิ ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตเิ ชน่ เป็นการกระทำของ
พญานาคหรอื สง่ิ ศักดิส์ ทิ ธ์ิ

1.2 ครูใหน้ ักเรียนทำกิจกรรมทบทวนความรู้ก่อนเรยี น เพ่ือประเมินความรู้พ้ืนฐานของนักเรียนเกี่ยวกับ

การเปลี่ยนแปลงของสสารเมื่อไดร้ ับหรอื สูญเสยี ความรอ้ น หากพบว่านักเรียนยังมีความรพู้ ื้นฐานไมถ่ ูกต้อง ครู
ควรทบทวนหรือแก้ไขความเข้าใจผิดของนักเรียน เพ่ือให้นักเรียนมีความรู้พ้ืนฐานท่ีถูกต้องและเพียงพอที่จะ

เรียนเร่อื งความร้อนกบั การขยายตัวหรือหดตวั ของสสารต่อไป
1.3 ครูนำเข้าสู่กิจกรรมท่ี 3 ความร้อนส่งผลต่อสสารแต่ละสถานะอย่างไร โดยร่วมกันอภิปรายใน

ประเด็นดังต่อไปนี้

• กิจกรรมน้ีเก่ียวกับเรื่องอะไร (ผลของความร้อนต่อการเปลี่ยนแปลงขนาดของอากาศ น้ำ และ
เหล็ก)

• หลังการทำกิจกรรมแล้ว นักเรียนจะรู้อะไร (อธบิ ายผลของความรอ้ นตอ่ การเปลี่ยนแปลงขนาดของ
อากาศ น้ำ และ เหล็ก)

ช่ัวโมงที่ 10-12
2. ขัน้ สบื คน้ ความรู้ (Searching for Information)
2.1 ครูควรมอบหมายให้แต่ละกลมุ่ ศึกษาผลของความรอ้ นตอ่ การเปลย่ี นแปลงขนาดของสสารท่แี ตกต่าง

กัน ดงั น้ี
• กลมุ่ ที่ 1 และ 2 ทำกจิ กรรมตอนที่ 1 ศึกษาผลของความร้อนต่อการเปล่ยี นแปลงขนาดของอากาศ

18

• กล่มุ ที่ 3 และ 4 ทำกิจกรรมตอนที่ 2 ศกึ ษาผลของความรอ้ นตอ่ การเปล่ียนแปลงขนาดของนำ้
• กลมุ่ ที่ 5 และ 6 ทำกจิ กรรมตอนที่ 3 ศกึ ษาผลของความรอ้ นตอ่ การเปล่ยี นแปลงขนาดของเหลก็
2.2 ให้นักเรียนอ่านวัสดุ อุปกรณ์ วิธีดำเนินกิจกรรม จากนั้นครูอภิปรายวิธีการทำกิจกรรม พร้อมอาจ
แสดงหรือแนะนำอุปกรณใ์ ห้นักเรยี นทราบ จากนั้นครใู ช้คำถามถามนักเรียนเพ่ือตรวจสอบความเข้าใจจากการ
อ่านดังน้ี
• การทำกิจกรรมต้องใช้วัสดุและอุปกรณ์อะไรบ้าง (นักเรียนตอบตามรายการวัสดุและอุปกรณ์ ครูควร
แนะนำวิธแี ละขอ้ ควรระวังในการใช้ชดุ ตะเกยี งแอลกอฮอล)์
• นักเรียนต้องสงั เกตหรือรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง และมวี ิธีบันทึกผลอย่างไร (ตอนท่ี 1 ให้นักเรียนสังเกต
การเปลี่ยนแปลงของลกู โป่ง พร้อมทงั้ บันทึกผลซึ่งอาจอยใู่ นรูปแบบการเขยี นบรรยายวาดภาพหรอื บันทึกคลิป
วิดีทัศน์ส้นั ๆ ตอนที่ 2 ให้นักเรียนสังเกตและวัดระดับของน้ำสีในหลอดนำแก๊ส พร้อมท้ังบันทึกผลเป็นตัวเลข
และอาจให้นักเรียน เขียนบรรยาย วาดภาพหรือบันทึกคลิปวิดีทัศน์ส้ัน ๆ ตอนที่ 3 ให้นักเรียนสังเกตการ
เคลอื่ นท่ขี องลูกกลมเหล็กผ่านวงแหวนเหล็ก พร้อมทั้งบันทึกผลซง่ึ อาจอยู่ในรปู แบบการเขียนบรรยาย วาดภาพ
หรอื บนั ทึกคลิปวิดที ศั น์ส้ัน ๆ)
3. ข้นั สรปุ องคค์ วามรู้ (Knowledge Formation)
3.1 นักเรยี นในแต่ละกลุ่มรว่ มกนั อภิปรายและตอบคำถามทา้ ยกจิ กรรม จากน้ันนำเสนอและเปรียบเทยี บ
ผลการทำกิจกรรมกับกลุ่มอ่ืน ๆ หากมีข้อมูลใดคลาดเคลือ่ นครนู ำอภิปรายแกไ้ ขใหถ้ กู ตอ้ ง
3.2 นักเรียนอภิปรายเพ่ือให้ได้ข้อสรุปวา่ เม่ืออากาศ นำ้ และลูกกลมเหล็กได้รับความร้อนจะมีปรมิ าตร
เพ่ิมข้ึนและขยายตัว ในทางตรงกันข้ามเมื่ออากาศ น้ำ และลูกกลมเหล็กสูญเสียความร้อนจะมีปริมาตรลดลง
และหดตัว ซึง่ การเปล่ียนแปลงท่เี กิดขึน้ เป็นการเปล่ียนแปลงในระดบั อนุภาคของสสาร
3.3 นักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรุปส่ิงที่เรียนรู้จากการทำกิจกรรมและการอ่านเร่ืองโครงสร้างอะตอม
โดยใช้คำถาม เช่น อะตอมประกอบด้วยอนุภาคอะไรบ้าง อะตอมของแต่ละธาตเุ หมอื นหรอื แตกต่างกันอย่างไร
นิวเคลียสประกอบด้วยอนุภาคอะไรบา้ ง ครูอาจวาดแบบจำลองอะตอมของธาตตุ า่ ง ๆ เพ่อื ให้นักเรียนระบุชนิด
และจำนวนของอนุภาคในแบบจำลอง
3.4 นักเรียนตอบคำถามระหว่างเรียน เพ่ือประเมินความเข้าใจเกี่ยวกับการขยายตัวหรือหดตัวของสสาร
เมือ่ ได้รับหรอื สูญเสยี ความรอ้ น
4. ขนั้ การสือ่ สารและนำเสนอ (Effective Communication)
4.1 ครูและนกั เรยี นร่วมกันอภิปรายโดยอาจใช้คำถามดังน้ี
• มเี หตุการณใ์ ดบ้างที่เกดิ จากการขยายตวั หรือหดตวั ของสสารอันเนื่องมาจากความรอ้ น
• เราสามารถใชป้ ระโยชนจ์ ากการขยายตัวหรือหดตัวของสสารอันเนอ่ื งมาจากความรอ้ นไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง
• การขยายตัวหรือหดตัวของสสารอันเนื่องมาจากความร้อนมีโทษหรือสร้างความเสียหายต่อชีวิตและ
ทรพั ย์สินได้อย่างไร และจะมีทางป้องกันหรือแก้ปญั หาเหล่านี้ไดอ้ ยา่ งไร
5. ขนั้ การบริการสงั คมและสาธารณะ (Public Service)
5.1 จากสถานการณ์ถนนยกตัวข้ึนเนื่องจากความร้อน ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มทำแผ่นพับเพ่ืออธิบาย
สาเหตุของการยกตัวของถนน พร้อมท้ังเสนอแนะแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาท่ีเกิดข้ึนเพื่อส่ือสารให้
คนในชุมชนเข้าใจเหตุการณ์ดังกล่าว โดยนักเรียนต้องใช้ภาษาท่ีเข้าใจงา่ ยและใช้แบบจำลองอนุภาคของสสาร
ประกอบการอธบิ าย
13. สื่อการเรยี นรู้/แหล่งเรียนรู้
13.1สอื่ การเรียนรู้

19

1) ชุดกจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์ 2) หนงั สือแบบเรียน 3) สอ่ื เพาเวอร์พอยต์

13.2 แหล่งเรียนรู้

1) อินเตอรเ์ นต็ 2) ห้องสมดุ

14. บันทึกหลงั การจดั การเรยี นรู้

ผลการสอน รายละเอียด

1. ด้านความรู้ : ......................................................................................

- อธบิ ายการขยายตัวหรอื หดตวั ของ ......................................................................................
สสารเน่อื งจากไดร้ ับหรือสญู เสยี ......................................................................................

ความร้อน

2. ดา้ นกระบวนการ : ......................................................................................

- ทกั ษะกระบวนการคิด ......................................................................................

- ทักษะกระบวนการกล่มุ ......................................................................................

......................................................................................

......................................................................................

3. ด้านคณุ ธรรมจรยิ ธรรมและค่านิยม ......................................................................................

อนั พึงประสงค์ : ......................................................................................

- มีวินัย ......................................................................................

- ใฝเ่ รียนรู้ ......................................................................................

- อยู่อย่างพอเพียง ......................................................................................
- รักความเป็นไทย
......................................................................................

4. ปญั หาการสอน

....................................................................... ......................................................................................

....................................................................... ......................................................................................

5. วธิ แี กป้ ัญหา

....................................................................... ......................................................................................

....................................................................... ......................................................................................

ลงชื่อ........................................ครูผูส้ อน ลงชอ่ื ...........................................หวั หน้ากลุ่มสาระฯ
(.นางสาวอโนชา...อทุ ุมสกลุ รัตน์..) (นางกณกิ าร์ พัฒรากลุ )

ลงชอื่ ...........................................
(นางรพพี ร คำบุญมา)

รองผูอ้ ำนวยการกลุ่มบริหารวิชาการ

ลงช่อื ........................................................

(นายสรุ ยิ นั ต์ เหล่ามะลึก)
ผอู้ ำนวยการโรงเรียนสุวรรณารามวทิ ยาคม

20

แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 4
หน่วยการเรียนรูท้ ่ี…1 พลังงานความร้อน..เร่อื ง........ความรอ้ นกับการเปลย่ี นแปลงของสสาร. (ตอนที่ 4)...........
รายวิชา……......วทิ ยาศาสตร์……..2.......รหัสวิชา…......ว 21102 ..............ชั้นมัธยมศึกษาปีที่....1.....
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ปกี ารศึกษา... 2564... ภาคเรียนท.ี่ .2...เวลา...7...ชั่วโมง……
ผสู้ อน.........................นางสาวอโนชา...อทุ มุ สกุลรัตน์.........................................................................................

1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชวี้ ดั /ผลการเรียนรู้ (รายวชิ าพนื้ ฐานมที ัง้ มาตรฐานการเรยี นรู้และตวั ชวี้ ดั
รายวิชาเพ่มิ เติมมเี ฉพาะมาตรฐานการเรยี นรแู้ ละผลการเรียนร)ู้

1.1 มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ช้ีวดั
ว 2.3 ม.1/1 , 1/2 ,1/3 ,1/4

2. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด (หลอมจากตัวชีว้ ัดท่ีใช้ในหนว่ ยการเรียนรูน้ เี้ ขียนเปน็ แบบความเรียง)
ความร้อนอาจทำให้สสารเปล่ียนสถานะ เม่ือสสารได้รับความร้อน อนุภาคจะเคลื่อนท่ีเร็วข้ึนและ

เคลอื่ นที่ออกห่างกันมากขน้ึ แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนภุ าคจะลดลง จนสสารเปล่ียนสถานะ ในทางกลบั กัน เม่ือ
สสารสูญเสียความร้อน อนุภาคจะเคล่ือนท่ชี า้ ลงและเข้าใกล้กนั มากขน้ึ แรงยึดเหน่ียวระหวา่ งอนุภาคจะเพิม่ ขึ้น
จนสสารเปลี่ยนสถานะขณะที่สสารเปลย่ี นสถานะ ความร้อนทั้งหมดจะถูกใช้ในการเปล่ียนสถานะโดยไม่มกี าร
เปลย่ี นแปลงอุณหภมู ิ
3. สาระการเรยี นรู้

3.1 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง/สาระการเรยี นรูเ้ พม่ิ เติม (รายวิชาเพิ่มเติม)
สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
• เมื่อสสารไดร้ บั หรอื สูญเสียความร้อนอาจทำให้สสารเปลย่ี นอุณหภมู เิ ปล่ียนสถานะ หรอื เปลี่ยนรปู รา่ ง
• ปริมาณความร้อนที่ทำให้สสารเปล่ียนอุณหภูมิขึ้นกับมวล ความร้อนจำเพาะ และอุณหภูมิท่ี

เปลย่ี นไป
• ปริมาณความร้อนท่ีทำใหส้ สารเปล่ยี นสถานะขึ้นกับมวลและความรอ้ นแฝงจำเพาะ โดยขณะที่สสาร

เปลยี่ นสถานะ อณุ หภมู จิ ะไม่เปลยี่ นแปลง
3.2 สาระการเรยี นรู้ทอ้ งถ่ิน (ถา้ ในคำอธิบายรายวิชาพูดถงึ หลกั สตู รทอ้ งถ่ินให้ใส่ลงไปด้วย

...............................................................-...........................................................................................

4. จุดประสงค์การเรียนรู้
นักเรยี นสามารถ
1. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความร้อนกับการเปลี่ยนสถานะของสสารโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์

และแบบจำลองได้อย่างถูกตอ้ ง (K)
2. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างมวลและความร้อนแฝงจำเพาะของสารกับปริมาณความร้อนที่ใช้ใน

การปลยี่ นสถานะของสสาร (K)
3. คำนวณปริมาณความร้อนท่ีใช้ในการเปล่ียนสถานะและปริมาณต่าง ๆที่เก่ียวข้องได้จากข้อมูลที่

กำหนดใหว้ ัดอณุ หภูมิของสสารโดยใช้เทอร์มอมเิ ตอร์ไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง (P)
4. ยกตัวอย่างเหตกุ ารณ์ในชีวติ ประจำวันที่ความรอ้ นทำให้สสารเปลี่ยนอณุ หภูมขิ นาด หรือสถานะ (K)
5. อธิบายความร้อนจำเพาะของน้ำท่ีมีตอ่ สงิ่ มีชีวิตและสง่ิ แวดลอ้ ม (K)
6. ตัง้ ใจเรียนรู้และแสวงหาความรู้ (A)

5. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น (เลือกเฉพาะข้อทเี่ กิดในหนว่ ยการเรียนรู้น้ี)

21

 1. ความสามารถในการสื่อสาร  2. ความสามารถในการคดิ

 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา  4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต

 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

6. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (เลือกเฉพาะข้อท่เี กิดในหนว่ ยการเรยี นรนู้ ้ี)

 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์  2. ซอ่ื สตั ยส์ ุจริต

 3. มวี ินัย  4. ใฝเ่ รียนรู้

 5. อยอู่ ย่างพอเพยี ง  6. มุ่งม่ันในการทำงาน

 7. รักความเปน็ ไทย  8. มจี ิตสาธารณะ

7. ด้านคุณลักษณะของผูเ้ รยี นตามหลักสูตรมาตรฐานสากล

 1. เป็นเลิศวิชาการ  2. สอื่ สารสองภาษา  3. ล้ำหนา้ ทางความคิด

 4. ผลิตงานอย่างสร้างสรรค์  5. ร่วมกันรับผิดชอบต่อสงั คมโลก

8. ทักษะของคนในศตวรรษที่ 21 คอื การเรยี นรู้ 3R X 8C 2L

 R1 –Reading (อา่ นออก)  R2-(W) Ringting (เขยี นได)้  R3- (A) Rithmetics (คดิ เลขเปน็ )

 ทกั ษะด้านการคดิ อย่างมวี ิจารณญาณและทักษะในการแก้ไขปญั หา (Critical Thinking and

Problem Solving)

 ทกั ษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)

 ทกั ษะด้านความเขา้ ใจความต่างวัฒนธรรม ตา่ งกระบวนทัศน์ (Cross-cultural Understanding)

 ทกั ษะด้านความรว่ มมอื การทำงานเป็นทมี และภาวะผนู้ ำ (Collaboration, Teamwork and

Leadership)

 ทักษะดา้ นการสอ่ื สาร สารสนเทศและรเู้ ทา่ ทันส่ือ (Communications, Information, and Media

Literacy)

 ทักษะดา้ นคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สาร (Computing and ICT Literacy)

 ทกั ษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning)

 ความมีเมตตา (วินยั คุณธรรม จริยธรรม (Compassion)

9. บรู ณาการตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง

1. หลักความพอประมาณ : กำหนดจำนวนสมาชิกในกลุ่มใหเ้ หมาะสมกับจำนวนสมาชิกในหอ้ งเรียนคือ

ประมาณกลุ่มละ 4 – 6 คน

2. หลักความมีเหตุผล : ให้นักเรียนสร้างสรรค์ผลงานและเกิดทักษะการปฏิบัติ , นักเรียนเกิดความ

ภาคภมู ใิ จในผลงานของตนและสง่ิ ท่ีเรยี นรู้

3. หลักภูมิคุ้มกัน : ให้นักเรียนเกิดทักษะการทำงานกลุ่ม และกล้าแสดงออก , นักเรียนรู้จักการวาง

แผนการทำงานและมอบหมายงานใหส้ มาชิกภายในกลุ่มได้เหมาะสมกับความสามารถของแตล่ ะบุคคล

4. เง่ือนไขความรู้ : การวางแผนงานที่จะทำกอ่ นแล้วคอ่ ยลงมือทำอยา่ งระมดั ระวัง

5. เงอื่ นไขคณุ ธรรม : อดทนที่จะทำงาน และมีความขยันที่จะทำงานให้ออกมาได้ดีท่ีสุด , มีวินัยในการ

ทำงาน

22

10. ช้นิ งาน/ภาระงานรวบยอด

ตัวช้ีวัด ชิ้นงาน ภาระงาน

ว 2.3 ม.1/1 ม.1/2 - รายงานกิจกรรมที่ 4 ความร้อนทำให้ -วิเคราะห์สถานการณ์ แปลความหมาย

สสารเปลย่ี นสถานะได้อยา่ งไร ข้อมูลและคำนวณปริมาณความร้อนที่

- คำนวณปริมาณความร้อนที่ใช้ในการ ทำให้สสารเปลย่ี นสถานะ

เปล่ียนสถานะและปริมาณต่าง ๆท่ี

เก่ียวข้องได้จากข้อมูลที่กำหนดให้โดย

ใช้สมการ Q = mL

11. การวัดประเมนิ ผล

11.1 การวัดและประเมินผลชิ้นงาน/ภาระงานรวบยอด

วิธกี าร

1.การสังเกตการณ์

2.การใชช้ ดุ กิจกรรมวิทยาศาสตรร์ อ่ งรอยบง่ ชี้ 3.การวัดประเมนิ การปฏบิ ัติ

เครอ่ื งมอื

1. แบบสังเกตการณ์

2. ชดุ กิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ 3. แบบวัดประเมินการปฏิบัติ

เกณฑ์

1.การประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ (Rubrics)

2.การประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรม ผ่านต้ังแต่ 2 รายการ ถือว่า ผ่าน ผ่าน 1

รายการถอื วา่ ไมผ่ า่ น

11.2การวัดและประเมนิ ผลระหวา่ งการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ (ประเมินจากแผนการจดั การเรียนรขู้ อง

หนว่ ยการเรยี นรนู้ ้)ี

สิ่งที่ตอ้ งการวัด วธิ ีวดั ผล เครื่องมือวดั ผล เกณฑ์การประเมนิ

1. ความรู้เกี่ยวกบั -การคำนวณปริมาณ - แบบประเมินการ - นักเรียนได้คะแนน
12 คะแนนข้นึ ไป
- ความสมั พนั ธร์ ะหว่างความ ความร้อนท่ีทำให้ อภิปรายแสดงความ หรอื ร้อยละ 80
ร้อนกบั การเปล่ียนสถานะของ ถือว่าผ่านเกณฑ์
สสาร สสารเปล่ียนอุณหภูมิ คิดเหน็ - นกั เรียนไดค้ ะแนน
ประเมินผลงาน
และเปลยี่ นสถานะ - แบบประเมนิ การ 13 คะแนนขึ้นไป
หรอื ร้อยละ 80
โดยใชส้ มการ ตรวจผลงานผู้เรียน ถือวา่ ผา่ นเกณฑ์

Q = mcΔt และ -นั ก เรียน ได้ ค ะ แ น น
12 ค ะ แ น น ขึ้ น ไ ป
Q = mL

-ก า ร ต ร ว จ ผ ล ง า น

นักเรยี น

2.ทักษะกระบวนการคิด และ - การอภิปรายแสดง - แบบประเมนิ การ

ทกั ษะกระบวนการกลุม่ ค ว าม คิ ด เห็ น ร ะ บุ อภิปรายแสดงความ

23

ทักษะกระบวน คดิ เห็น หรือร้อยละ 80 ถือว่า

การทางวทิ ยาศาสตรท์ ี่ - แ บ บ ป ร ะ เมิ น ผา่ นเกณฑ์

ได้ปฏบิ ตั จิ ากกิจกรรม พฤติกรรมการ

- สังเกตพฤติกรรมการ ทำงานกลุ่ม

ทำงานกลมุ่

3. คณุ ลักษณะทีพ่ ึงประสงค์ - สังเกตค่านยิ มในการ - แบบประเมิน - นักเรียนได้คะแนน

และสมรรถนะผู้เรยี น ทำงานรว่ มกบั ผู้อื่น คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประเมินคณุ ลกั ษณะ

- มีวนิ ยั ในการทำงานกลมุ่ และการทำงานใน ประสงค์ อนั พงึ ประสงค์

- นกั เรียนเหน็ ความสำคัญ ระบบกลมุ่ - แบบประเมนิ 26 คะแนนขน้ึ ไป

ของการทำงานร่วมกับผอู้ ื่นและ อภิปราย แสดงความ สมรรถนะผ้เู รียน หรอื ร้อยละ 80

การทำงานในระบบกลุ่ม คดิ เห็นเกย่ี วกบั ผลการ -แบบประเมนิ ระดบั ถอื วา่ ผ่านเกณฑ์

- ยอมรับความคิดเห็นซึ่งกัน ทดลอง การเหน็ คณุ ค่าใน - นกั เรียนไดค้ ะแนน

และกันมีความเสยี สละและ ตนเอง หรือ Self- การประเมนิ สมรรถนะ

อดทน esteem 29 คะแนนขึน้ ไป

- นักเรียนมีการเห็นคุณค่าใน หรือรอ้ ยละ 80

ตนเอง (Self-esteem) ถือวา่ ผา่ นเกณฑ์

12. กิจกรรมการเรยี นรู้
ชั่วโมงท่ี 13-14
1. ขัน้ ตั้งประเด็นปัญหา/สมมตฐิ าน (Hypothesis Formulation)
1.1 ครูให้นักเรยี นดภู าพ ธารนำ้ แข็งโคลัมเบีย ในรัฐอะแลสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา อ่านเนอื้ หา

จากน้ันร่วมกนั อภิปรายโดยอาจใช้คำถาม ดังนี้
• จากภาพ พบการเปล่ียนแปลงของสสารชนิดใดสสารชนดิ ดงั กล่าวเกิดการเปลย่ี นแปลงอย่างไร

(จากภาพ พบการเปล่ียนแปลงของน้ำแข็งโดยน้ำแข็งเปลีย่ นสถานะเปน็ น้ำ หรอื นำ้ แข็งหลอมเหลวเป็นนำ้ )
• ปรากฏการณ์ดงั กล่าวนีเ้ ก่ียวข้องกับความรอ้ นและการเปลย่ี นสถานะอย่างไร (ธารน้ำแข็งโคลัมเบีย ในรัฐ

อะแลสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา จากภาพพบว่าน้ำแข็งหลอมเหลวเป็นน้ำซึ่งจะเช่ือมโยงเพื่อเรียนรู้ต่อไปว่า
ความร้อนเกีย่ วข้องกบั การเปลย่ี นสถานะของสสารอยา่ งไร รวมถงึ เปน็ ภาพที่ช่วยสรา้ งความตระหนกั เรื่องภาวะ
โลกรอ้ น)

1.2 ครูใหน้ ักเรียนทำกจิ กรรมทบทวนความรกู้ อ่ นเรียน เพื่อประเมินความรู้พ้ืนฐานของนักเรียนเกี่ยวกับ
การเปล่ียนแปลงของสสารเมื่อได้รับหรอื สูญเสยี ความร้อน หากพบวา่ นักเรียนยังมีความรพู้ ้ืนฐานไม่ถูกต้อง ครู
ควรทบทวนหรือแก้ไขความเข้าใจผิดของนักเรียน เพ่ือให้นักเรียนมีความรู้พื้นฐานท่ีถูกต้องและเพียงพอท่ีจะ
เรียนเร่ืองการเปลี่ยนสถานะของสสารในระดับอนุภาคตอ่ ไป

1.3 ครูนำเข้าสู่กิจกรรมที่ 4 ความร้อนทำให้สสารเปล่ียนสถานะได้อย่างไร โดยอาจใช้คำถามว่าความ
รอ้ นมีผลต่อการเปล่ียนสถานะของสสารอย่างไร ขณะท่ีสสารเปล่ียนสถานะ สสารมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
หรอื ไม่ อยา่ งไร
2. ข้ันสืบค้นความรู้ (Searching for Information)

2.1 ครูใหน้ ักเรียนอา่ นวธิ กี ารดำเนินกิจกรรมในชดุ กจิ กรรม และร่วมกันอภปิ รายในประเด็นดงั ตอ่ ไปนี้
• กจิ กรรมน้เี กย่ี วกบั เร่อื งอะไร (การเปลี่ยนสถานะของนำ้ เนอ่ื งจากความร้อน)

24

• กิจกรรมน้มี จี ดุ ประสงค์อย่างไร (นกั เรียนตอบตามความคดิ ของตนเอง)

• วิธีดำเนินกิจกรรมมีข้ันตอนโดยสรุปอย่างไร (ใส่น้ำแข็งก้อนเล็กปริมาณ 2 ใน 3 ของบีกเกอร์ ให้ความ

ร้อน แล้วใช้แท่งแกว้ คนตลอดเวลา สังเกตและบันทกึ ส่งิ ที่พบในบีกเกอรแ์ ละอุณหภูมิของนำ้ แข็งในบีกเกอร์ ทุก

ๆ 1 นาที จนสิ่งที่อยู่ในบีกเกอร์เดือด และได้รับความร้อนต่อไปอีก 3 นาที เขียนกราฟแสดงความสัมพันธ์

ระหว่างอุณหภูมกิ ับเวลาตั้งแต่เริ่มต้นจนสิน้ สดุ การทำกจิ กรรม)

• ขอ้ ควรระวงั ในการทำกจิ กรรมมีอะไรบ้าง (นักเรียนควรระวงั การใช้ชุดตะเกียงแอลกอฮอล์และเทอร์มอ

มเิ ตอร)์

• นักเรียนต้องสังเกตหรือรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (นักเรียนควรสังเกตและบันทึกสิ่งท่ีพบในบีกเกอร์และ

อณุ หภมู ิของนำ้ แข็งในบกี เกอร์ ทุก ๆ 1 นาที จนส่ิงทอ่ี ยูใ่ นบกี เกอรเ์ ดือด และไดร้ บั ความรอ้ นตอ่ ไปอกี 3 นาท)ี

2.2 ให้นักเรียนอ่านวัสดุ อุปกรณ์ วิธีดำเนินกิจกรรม จากน้ันครูอภิปรายวิธีการทำกิจกรรม พร้อมอาจ

แสดงหรอื แนะนำอุปกรณใ์ ห้นักเรยี นทราบ จากน้ันครใู ช้คำถามถามนกั เรียนเพื่อตรวจสอบความเขา้ ใจ

ชว่ั โมงที่ 15-19

3. ขน้ั สรปุ องค์ความรู้ (Knowledge Formation)

3.1 ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนำข้อมูลท่ีได้ไปเขียนกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิกับเวลา

ต้ังแต่เร่ิมวัดอุณหภูมิของน้ำแข็งจนส้ินสุดการทำกิจกรรมโดยใช้กระดาษกราฟ หรือครูอาจให้นักเรียนเขียน

กราฟโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเรจ็ รูปนำเสนอผลการทำกิจกรรม และกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง

อุณหภูมิกับเวลา จากนั้นรว่ มกันอภิปรายผลการทำกิจกรรมและเปรียบเทียบผลการทำกจิ กรรมของกลุ่มอ่ืนกับ

ของกลุม่ ตนเอง

3.2 นักเรียนอภิปรายเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า เมื่อให้ความร้อนแก่น้ำจนน้ำเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็น

ของเหลว และของเหลวเปน็ แกส๊ อณุ หภูมิของน้ำขณะเปลย่ี นสถานะจะคงที่

3.3 นักเรยี นสามารถอธบิ ายปัจจัยท่ีมีผลต่อการเปลยี่ นแปลงสถานะของสสาร ไดแ้ ก่ ปริมาณความรอ้ นท่ี

สสารไดร้ ับหรือสญู เสยี มวล และความรอ้ นแฝงจำเพาะของสาร

3.4 นักเรียนอ่านเนื้อหาในหนังสือเรียน เพือ่ ใหน้ ักเรียนเรยี นรู้เพ่ิมเติมเกี่ยวกบั การคำนวณปรมิ าณความ

ร้อนท่ีสสารได้รับหรือสูญเสียเมื่อสสารมีการเปล่ียนสถานะและปริมาณอื่น ๆ ที่เก่ียวข้อง จากน้ันครูและ

นักเรียนร่วมกนั อภปิ รายเพ่อื ตอบคำถามชวนคิด

4. ขนั้ การสื่อสารและนำเสนอ (Effective Communication)

4.1 นักเรยี นร่วมกนั เขียนผังมโนทัศนใ์ นบทเรยี นเรื่องความร้อนกับการเปล่ียนแปลงของสสาร

4.2 ครแู ละนักเรียนอภปิ รายสรปุ องคค์ วามรู้ที่ได้จากบทเรียนรว่ มกนั

5. ข้นั การบรกิ ารสงั คมและสาธารณะ (Public Service)

5.1 เชื่อมโยงความร้เู รือ่ งความรอ้ นจำเพาะของสารไปสผู่ ลของค่าความรอ้ นจำเพาะของน้ำทม่ี ีผลต่อ

สิ่งมีชีวติ และสงิ่ แวดล้อมแลกเปลีย่ นความร้กู นั ในชั้นเรยี น

13. สื่อการเรยี นรู้/แหล่งเรียนรู้

13.1สือ่ การเรียนรู้

1) ชดุ กจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์ 2) หนังสอื แบบเรยี น 3) สอ่ื เพาเวอรพ์ อยต์

13.2แหลง่ เรยี นรู้

1) อนิ เตอร์เน็ต 2) หอ้ งสมดุ

25

14. บนั ทกึ หลงั การจดั การเรยี นรู้ รายละเอยี ด
ผลการสอน
......................................................................................
1. ด้านความรู้ : ......................................................................................
- ความสมั พันธ์ระหว่างความร้อนกบั การ ......................................................................................
เปล่ียนสถานะของสสาร ......................................................................................
- การคำนวณปริมาณความร้อนท่ที ำให้ ......................................................................................
สสารเปลี่ยนอณุ หภมู ิและเปล่ียนสถานะ ......................................................................................
โดยใช้สมการ ......................................................................................
......................................................................................
Q = mcΔt และ ......................................................................................
Q = mL ......................................................................................
......................................................................................
2. ด้านกระบวนการ : ......................................................................................
- ทักษะกระบวนการคดิ ................................................................................
- ทักษะกระบวนการกลุ่ม ......................................................................................
......................................................................................
3. ดา้ นคณุ ธรรมจริยธรรมและคา่ นิยม ......................................................................................
อันพงึ ประสงค์ :
- มีวินัย ......................................................................................
- ใฝเ่ รียนรู้ ......................................................................................
- อยู่อย่างพอเพียง ......................................................................................
- รักความเป็นไทย ......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................

......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................

......................................................................................
......................................................................................

......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................

......................................................................................

26

......................................................................................

4. ปัญหาการสอน
....................................................................... ......................................................................................
....................................................................... ......................................................................................

......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................

5. วิธแี ก้ปัญหา
....................................................................... ......................................................................................
....................................................................... ......................................................................................

......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................

ลงช่อื ........................................ครูผู้สอน ลงชอ่ื ...........................................หัวหนา้ กล่มุ สาระฯ
(.นางสาวอโนชา...อุทมุ สกลุ รตั น.์ .) (นางกณกิ าร์ พัฒรากุล)

ลงช่อื ...........................................

(นางรพพี ร คำบุญมา)
รองผู้อำนวยการกลุม่ บริหารวชิ าการ

ลงชื่อ ........................................................
(นายสุริยันต์ เหลา่ มะลกึ )

ผอู้ ำนวยการโรงเรียนสวุ รรณารามวิทยาคม

27

แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 5
หน่วยการเรียนรทู้ ี่…1 พลังงานความร้อน..เรื่อง...การถา่ ยโอนความรอ้ นในชวี ิตประจำวัน (ตอนท่ี 1).................

รายวิชา……......วิทยาศาสตร์……..2.......รหัสวิชา…......ว 21102 ..............ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี....1........................
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปีการศกึ ษา... 2564... ภาคเรียนท.่ี .2...เวลา...4...ช่วั โมง………
ผสู้ อน.........................นางสาวอโนชา...อุทุมสกุลรัตน์.........................................................................................

1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ (รายวิชาพ้ืนฐานมีท้ังมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด
รายวิชาเพ่ิมเติมมีเฉพาะมาตรฐานการเรยี นรูแ้ ละผลการเรยี นรู้)

1.1 มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชวี้ ัด
ว 2.3 ม.1/6 ,1/7

2. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด (หลอมจากตัวชวี้ ัดท่ใี ช้ในหน่วยการเรียนรู้นี้เขยี นเปน็ แบบความเรียง)
การถ่ายโอนความรอ้ นมี 3 วิธี คือ การนำความร้อน การพาความรอ้ นและการแผ่รังสคี วามร้อน การ

นำความร้อนเปน็ การถา่ ยโอนความรอ้ นทอ่ี าศยั ตวั กลาง โดยทีอ่ นภุ าคของตวั กลางไม่เคลื่อนที่ แตส่ ่นั ต่อเนือ่ งกัน

ไป การพาความร้อนเป็นการถ่ายโอนความร้อนซ่ึงอาศัยตัวกลางที่เป็นของเหลวหรือแก๊ส โดยท่ีอนุภาคของ
ตัวกลางเคล่ือนท่ีไปพร้อมกับพาความร้อนไปด้วย การแผ่รังสีความร้อนเป็นการถ่ายโอนความร้อนที่ไม่ต้อง

อาศัยตัวกลาง แตค่ วามรอ้ นสง่ ผา่ นโดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟา้
3. สาระการเรยี นรู้

3.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง/สาระการเรียนรู้เพ่ิมเติม (รายวชิ าเพมิ่ เติม)

สาระการเรียนร้แู กนกลาง
• การถ่ายโอนความร้อนมี 3 แบบ คือ การนำความร้อน การพาความร้อน และการแผ่รังสีความร้อน

การนำความร้อนเป็นการถา่ ยโอนความร้อนท่อี าศัยตัวกลาง โดยทต่ี ัวกลางไม่เคลือ่ นท่ี การพาความร้อนเป็นการ
ถ่ายโอนความร้อนท่ีอาศัยตัวกลาง โดยท่ีตัวกลางเคล่ือนที่ไปด้วย ส่วนการแผ่รังสีความร้อนเป็นการถ่ายโอน
ความร้อนทไ่ี ม่ตอ้ งอาศัยตวั กลาง

• ความรู้เกีย่ วกับการถ่ายโอนความรอ้ นสามารถนำไปใช้ประโยชนใ์ นชีวติ ประจำวันได้ เช่นการเลือกใช้
วสั ดเุ พ่อื นำมาทำภาชนะบรรจอุ าหาร เพอื่ เก็บความรอ้ น หรือการออกแบบระบบระบายความรอ้ นในอาคาร

3.2 สาระการเรียนร้ทู ้องถิน่ (ถ้าในคำอธบิ ายรายวชิ าพดู ถงึ หลกั สูตรท้องถิน่ ใหใ้ สล่ งไปด้วย

...............................................................-...........................................................................................

4. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. บอกความแตกตา่ งของการถ่ายโอนความร้อนวิธตี า่ งๆได้ (K)

2. สร้างแบบจำลองเพอื่ อธิบายการถา่ ยโอนความร้อนวธิ ตี า่ ง ๆได้ (P)

3. ต้งั ใจเรียนรู้และแสวงหาความรู้ (A)

5. สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น (เลอื กเฉพาะขอ้ ท่ีเกิดในหน่วยการเรยี นรนู้ ้ี)

 1. ความสามารถในการสื่อสาร  2. ความสามารถในการคดิ

 3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา  4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต

 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

6. คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (เลอื กเฉพาะข้อทเี่ กิดในหน่วยการเรียนรนู้ )้ี

 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์  2. ซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

 3. มีวินัย  4. ใฝเ่ รียนรู้

28

 5. อยอู่ ย่างพอเพยี ง  6. มุ่งมั่นในการทำงาน

 7. รักความเป็นไทย  8. มีจติ สาธารณะ

7. ด้านคุณลักษณะของผูเ้ รยี นตามหลักสูตรมาตรฐานสากล

 1. เปน็ เลิศวชิ าการ  2. ส่ือสารสองภาษา  3. ลำ้ หน้าทางความคิด

 4. ผลิตงานอย่างสรา้ งสรรค์  5. รว่ มกนั รับผดิ ชอบต่อสงั คมโลก

8. ทักษะของคนในศตวรรษท่ี 21 คอื การเรียนรู้ 3R X 8C 2L

 R1 –Reading (อ่านออก)  R2-(W) Ringting (เขียนได)้  R3- (A) Rithmetics (คิดเลขเป็น)

 ทักษะด้านการคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณและทักษะในการแกไ้ ขปญั หา (Critical Thinking and

Problem Solving)

 ทกั ษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)

 ทกั ษะดา้ นความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural Understanding)

 ทักษะดา้ นความรว่ มมอื การทำงานเป็นทีมและภาวะผนู้ ำ (Collaboration, Teamwork and

Leadership)

 ทกั ษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศและรู้เท่าทันสือ่ (Communications, Information, and Media

Literacy)

 ทักษะดา้ นคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สาร (Computing and ICT Literacy)

 ทกั ษะอาชพี และทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning)

 ความมเี มตตา (วินัย คุณธรรม จรยิ ธรรม (Compassion)

9. บรู ณาการตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

1. หลกั ความพอประมาณ : กำหนดจำนวนสมาชิกในกลุ่มใหเ้ หมาะสมกับจำนวนสมาชิกในห้องเรยี นคือ

ประมาณกลุ่มละ 4 – 6 คน

2. หลักความมีเหตุผล : ให้นักเรียนสร้างสรรค์ผลงานและเกิดทักษะการปฏิบัติ , นักเรียนเกิดความ

ภาคภมู ใิ จในผลงานของตนและสง่ิ ท่ีเรียนรู้

3. หลักภูมิคุ้มกัน : ให้นักเรียนเกิดทักษะการทำงานกลุ่ม และกล้าแสดงออก , นักเรียนรู้จักการวาง

แผนการทำงานและมอบหมายงานใหส้ มาชกิ ภายในกลุ่มไดเ้ หมาะสมกับความสามารถของแต่ละบุคคล

4. เงือ่ นไขความรู้ : การวางแผนงานทจ่ี ะทำก่อนแล้วคอ่ ยลงมือทำอย่างระมัดระวัง

5. เงอ่ื นไขคุณธรรม : อดทนที่จะทำงาน และมีความขยันที่จะทำงานให้ออกมาได้ดีท่ีสุด , มีวินัยในการ

ทำงาน

10. ชิ้นงาน/ภาระงานรวบยอด

ตัวช้วี ัด ชนิ้ งาน ภาระงาน
-สรา้ งแบบจำลองเพ่อื อธบิ ายการถ่าย
ว 2.3 ม.1/6 ม.1/7 - รายงานกิจกรรมที่ 1 ความร้อนถ่าย โอนผา่ นของแข็ง
-ออกแบบ เลือกใช้ และสรา้ งอปุ กรณ์
โอนผา่ นของแขง็ ได้อยา่ งไร เพอื่ แกป้ ัญหาในชีวิตประจำวันโดยใช้
ความรู้เกยี่ วข้องกับการถา่ ยโอนความ
ร้อน

29

11. การวัดประเมนิ ผล

11.1การวัดและประเมนิ ผลชิ้นงาน/ภาระงานรวบยอด

วิธกี าร

1.การสังเกตการณ์

2.การใช้ชุดกจิ กรรมวทิ ยาศาสตรร์ ่องรอยบ่งช้ี 3.การวดั ประเมนิ การปฏิบตั ิ

เครอื่ งมอื

1. แบบสงั เกตการณ์

2. ชุดกจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์ 3. แบบวดั ประเมนิ การปฏบิ ัติ

เกณฑ์

1.การประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ (Rubrics)

2.การประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรม ผ่านตั้งแต่ 2 รายการ ถือว่า ผ่าน ผ่าน 1

รายการถือว่า ไม่ผา่ น

11.2การวดั และประเมนิ ผลระหวา่ งการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (ประเมนิ จากแผนการจัดการเรยี นรขู้ อง

หน่วยการเรยี นรนู้ )ี้

ส่งิ ที่ต้องการวดั วธิ ีวดั ผล เครือ่ งมือวดั ผล เกณฑ์การประเมิน

1. ความรเู้ ก่ียวกับ -การสอบถาม ซักถาม - แบบประเมนิ การ - นกั เรียนได้คะแนน

- การถ่ายโอนความร้อนโดยวิธี ความคิดเห็นอธิบาย อภิปรายแสดงความ 12 คะแนนขึน้ ไป

นำความร้อน การถ่ายโอนความรอ้ น คิดเหน็ หรือร้อยละ 80
โดยวธิ ีนำความร้อน - แบบประเมินการ ถือว่าผา่ นเกณฑ์
-ก า ร ต ร ว จ ผ ล ง า น ตรวจผลงานผเู้ รียน - นกั เรียนไดค้ ะแนน
นักเรยี น ประเมินผลงาน

13 คะแนนขน้ึ ไป

หรอื รอ้ ยละ 80

ถอื วา่ ผา่ นเกณฑ์

2.ทักษะกระบวนการคิด และ - การอภปิ รายแสดง - แบบประเมินการ -นั ก เรียน ได้ ค ะ แ น น

ทกั ษะกระบวนการกลุ่ม ค ว าม คิ ด เห็ น ร ะ บุ อภิปรายแสดงความ 12 ค ะ แ น น ข้ึ น ไ ป

ทักษะกระบวน คดิ เห็น หรอื ร้อยละ 80 ถือว่า

การทางวทิ ยาศาสตร์ที่ - แ บ บ ป ร ะ เมิ น ผา่ นเกณฑ์

ได้ปฏิบตั ิจากกิจกรรม พฤติกรรมการ

- สังเกตพฤตกิ รรมการ ทำงานกลุ่ม

ทำงานกลุม่

3. คุณลักษณะทพ่ี งึ ประสงค์ - สงั เกตค่านยิ มในการ - แบบประเมิน - นักเรียนได้คะแนน

และสมรรถนะผ้เู รียน ทำงานร่วมกับผอู้ น่ื คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประเมนิ คุณลักษณะ

- มวี ินยั ในการทำงานกลมุ่ และการทำงานใน ประสงค์ อันพงึ ประสงค์

- นกั เรียนเห็นความสำคญั ระบบกลุ่ม - แบบประเมนิ 26 คะแนนขน้ึ ไป

ของการทำงานร่วมกับผู้อ่นื และ อภิปราย แสดงความ สมรรถนะผู้เรยี น หรอื รอ้ ยละ 80

การทำงานในระบบกลุ่ม คดิ เหน็ เกี่ยวกับผลการ -แบบประเมนิ ระดับ ถือวา่ ผ่านเกณฑ์

30

- ยอมรบั ความคิดเหน็ ซ่งึ กัน ทดลอง การเห็นคณุ ค่าใน - นักเรยี นได้คะแนน
และกนั มคี วามเสียสละและ ตนเอง หรือ Self- การประเมนิ สมรรถนะ
อดทน esteem 29 คะแนนขนึ้ ไป

- นักเรียนมีการเห็นคุณค่าใน หรอื ร้อยละ 80
ตนเอง (Self-esteem) ถอื วา่ ผ่านเกณฑ์

12. กิจกรรมการเรยี นรู้

ชวั่ โมงที่ 1
1. ขนั้ ต้ังประเด็นปญั หา/สมมติฐาน (Hypothesis Formulation)

1.1 กระตุ้นความสนใจโดยให้นักเรียนดูภาพในหนังสือเรียนวีดิทัศน์ หรือสื่ออ่ืน ๆ ที่เก่ียวกับการทำ
ประมงในทะเลนำ้ ลึก พรอ้ มทัง้ ใหน้ กั เรียนอ่านเนอื้ หานำบทจากนั้นครแู ละนักเรียนอภปิ รายถึงวิธกี ารท่ชี าว
ประมงเก็บรักษาสตั ว์ทะเลท่จี ับไดใ้ ห้ยงั คงความสดไมเ่ นา่ เสยี จากแบคทีเรยี ท่ีเจรญิ เติบโตในอณุ หภูมิ

สงู ได้อย่างไร การป้องกันการเน่าเสียของสัตวท์ ะเลเก่ียวข้องกับการถ่ายโอนความร้อนอย่างไร(ภาพนำบท คือ
ภาพแสดงเรือประมงท่ีออกจับสัตว์ทะเลน้ำลกึ ห่างไกลจากชายฝ่ัง เป็นระยะเวลานานหลายเดือนหรือบางครั้ง

อาจจะนานมากกว่าคร่ึงปสี ัตว์ทะเลท่ีจับข้ึนมาได้ต้องเก็บไว้ในห้องเย็นเพ่ือลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่
ทำให้สัตวท์ ะเลเนา่ เสยี ระหวา่ งการขนสง่ ไปจนถงึ ผู้บรโิ ภคได้

1.2 กระตุ้นความสนใจเก่ียวกับเรื่องการถ่ายโอนความร้อนวิธีต่าง ๆ โดยอาจใช้ภาพในหนังสือเรียน วีดิ

ทัศน์ หรอื สอ่ื อ่นื ๆ ท่ีแสดงถึงการประกอบอาหารดว้ ยความร้อนวิธีต่าง ๆ นกั เรยี นอา่ นเนือ้ หานำเรอ่ื ง จากนน้ั
ครอู าจใช้คำถามเพ่อื อภิปรายดังน้ี

- ในภาพแสดงวธิ กี ารทำอาหารอะไรบา้ ง (การยา่ ง การทอด)
- การประกอบอาหารแต่ละวิธี มีการถ่ายโอนความร้อนหรือไม่ อยา่ งไร
1.3 ให้นกั เรียนทำกิจกรรมทบทวนความร้กู ่อนเรียนเพ่อื ประเมินความรพู้ น้ื ฐานของนักเรียน เกีย่ วกบั

ความหมายของการถ่ายโอนความร้อนและการจัดเรียงอนุภาค การเคล่ือนท่ีของอนุภาคของสสารในแต่ละ
สถานะ หากพบวา่ นักเรียนยังมีความร้พู ้นื ฐานไม่ถกู ตอ้ ง ครูควรทบทวนหรือแกไ้ ขความเข้าใจ

ผิดของนักเรยี นเพือ่ ให้มีความรูพ้ ื้นฐานเพยี งพอในการเรยี นต่อไป
ช่วั โมงที่ 2-3

2. ขน้ั สบื ค้นความรู้ (Searching for Information)

2.1กระตุน้ ความสนใจโดยใช้ภาพแสดงแทง่ เหล็กที่มลี ูกช้ินเสียบไวห้ ลายลูก ปลายด้านหน่ึงของแท่งเหล็ก
ได้รบั ความร้อนครกู ระตุ้นให้นกั เรียนคิดว่ามกี ารถ่ายโอนความรอ้ นอย่างไร ลูกชิ้นท่ีตำแหน่งใดจะสกุ ก่อน เพื่อ

เชือ่ มโยงเขา้ สกู่ จิ กรรมที่ 1 ความร้อนถา่ ยโอนผ่านของแข็งไดอ้ ย่างไร
2.2 ให้นักเรียนอ่านวิธีดำเนินกิจกรรม จากนั้นครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายจุดประสงค์ของกิจกรรม

และวิธี ดำเนนิ กจิ กรรมในชุดกิจกรรม โดยอาจใชค้ ำถามดงั น้ี

• กจิ กรรมน้ีเกย่ี วกับเรือ่ งอะไร (เร่ืองการถ่ายโอนความรอ้ นของแผ่นอะลมู ิเนียม)
• การทำกิจกรรมมขี ั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (เตรียมอุปกรณ์ตามภาพในหนงั สือเรียน แล้วทำกิจกรรมเพื่อ

สงั เกตการเปลี่ยนแปลงของช้ินเทยี นไขซึ่งวางบนแผ่นอะลมู เิ นียมทไี่ ดร้ ับความรอ้ น จากนนั้ สร้างแบบจำลองการ
ถ่ายโอนความร้อนของของแข็ง และสืบค้นข้อมูลแบบจำลองการถ่ายโอนความร้อนของของแข็งจากแหล่งที่
เช่อื ถอื ได้ เพอ่ื นำมาปรบั ปรุงแบบจำลองของตนเอง และนำเสนอ)

31

2.3 เปิดโอกาสให้นักเรียนซักถามเกี่ยวกับขั้นตอนการทำกิจกรรมที่นักเรียนยังไม่เข้าใจ จากนั้นครูและ

นกั เรียนร่วมอภิปรายเพ่ือแก้ไขส่งิ ที่นักเรียนยงั ไม่เข้าใจ เน้นย้ำเก่ียวกับวธิ ีการบันทึกผล ข้อควรระวังในการทำ

กจิ กรรม โดยอาจใชค้ ำถามดังนี้

• ข้อควรระวังในการทำกิจกรรมน้ีมีอะไรบ้าง (นักเรียนตอบตามความเข้าใจ แต่ครูควรกำชับให้นักเรียน

ระวงั การใชม้ อื สัมผสั กับแผน่ อะลมู เิ นยี มทไ่ี ดร้ บั ความร้อน)

• นักเรียนต้องสังเกตหรอื รวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง และมีวิธีบันทกึ ผลอย่างไร (สงั เกตการเปลี่ยนแปลงของ

ช้ินเทยี นไขเม่ือให้ความร้อนแก่แผน่ อะลูมเิ นียม บันทึกส่ิงที่เกิดขน้ึ และบันทึกผลการสังเกตอย่างละเอียด หรือ

อาจใชก้ ล้องบันทกึ ภาพน่ิงหรอื ภาพเคลอื่ นไหว)

2.4 ให้นักเรยี นร่วมกนั ทำกิจกรรมตามวธิ ีการในหนังสือเรยี น สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

2.5 ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มอภิปรายร่วมกันเพื่อวาดแบบจำลองการถ่ายโอนความร้อนผ่านของแข็ง โดย

แสดงถึงการจดั เรยี ง

อนุภาคของของแขง็ เมอ่ื ไดร้ ับความร้อน จากนั้นนำเสนอแบบจำลองทีส่ รา้ งขึน้ ตามความคิดของตนเอง

ช่ัวโมงท่ี 4

3. ข้นั สรปุ องค์ความรู้ (Knowledge Formation)

3.1 ให้นักเรียนร่วมกันสืบค้นข้อมูลการถ่ายโอนความร้อนผ่านของแข็งจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

เช่น หนังสือ หรือเว็บไซต์โดยให้นักเรยี นระบุแหล่งท่ีมาของข้อมูล นักเรียนนำข้อมูลท่ีรวบรวมได้มาปรรับแก้

แบบจำ ลองของตนเอง พรอ้ มท้ังอธบิ ายแนวทางในการปรับแกแ้ บบจำลองอีกคร้ัง

3.2 ให้นกั เรยี นใช้ขอ้ มลู ทีไ่ ดจ้ ากการอภิปรายรว่ มกัน มาใชต้ อบคำถามท้ายกจิ กรรม

4. ข้นั การสอ่ื สารและนำเสนอ (Effective Communication)

4.1 ร่วมกันอภิปรายถึงสถานการณ์ที่ครไู ด้เคยถามนกั เรียนก่อนนำเข้าสู่กจิ กรรมว่าการนำลูกช้ินหลาย

ลูกเสยี บกับแทง่ เหล็กแลว้ นำ ปลายดา้ นหน่งึ ของแท่งเหล็กไปใหค้ วามร้อน จะเกิดการถ่ายโอนความร้อนอยา่ งไร

และลูกช้ินที่ตำแหนง่ ใดจะสกุ ก่อน เพราะเหตใุ ด (นักเรียนควรตอบได้วา่ เกิดจากการนำความรอ้ นจากปลายแท่ง

เหล็กท่ีไดร้ ับความร้อนต่อเน่ืองไปยงั บรเิ วณอน่ื ท่ีมอี ุณหภูมิต่ำกว่าซึ่งอยู่ขา้ งเคียง มผี ลทำให้ลกู ชน้ิ ทีเ่ สียบไวใ้ กล้

กบั ปลายแทง่ เหลก็ ดา้ นที่ได้รับความร้อนสุกกอ่ นลูกทอ่ี ยู่ถัดไป)

4.2 ครแู ละนักเรยี นอภิปรายสรปุ องคค์ วามรูท้ ี่ได้จากบทเรียนร่วมกนั

5. ขัน้ การบรกิ ารสงั คมและสาธารณะ (Public Service)

5.1 ร่วมกันอภิปรายโดยใช้การถามตอบเพื่อให้ได้ข้อสรุปวา่ การนำความร้อนเป็นการถ่ายโอนความ

ร้อนโดยการส่ันของอนุภาค เมื่ออนุภาคซึ่งเป็นตัวกลางได้รับความร้อน อนุภาคนั้นจะส่ันมากข้ึน มีอุณหภูมิ

เพิ่มขึน้ และไปชนกับอนภุ าคท่ีอยู่ขา้ งเคยี ง ทำให้อนุภาคทอ่ี ยู่ข้างเคียงสั่นมากขึ้น และมีอุณหภูมเิ พิ่มขึ้นตามไป

ด้วย ความรอ้ นจะถ่ายโอนจากบริเวณที่อยู่ใกลแ้ หล่งพลังงานความรอ้ นไปยังบริเวณที่ห่างออกไป การนำความ

ร้อนเกิดขึ้นกับสสารได้ทุกสถานะ สสารแต่ละชนิดจะนำความร้อนได้แตกต่างกัน ดังนั้นเราสามารถนำความรู้

เกี่ยวกบั การนำความร้อนไปใชใ้ นการเลือกวสั ดใุ หเ้ หมาะสมกบั การใช้งาน

5.2 ให้นักเรียนเขียนสรุปส่ิงท่ีได้เรียนรู้ตามความเข้าใจของตนเองลงในสมุดบันทึก และอาจให้

นักเรียนยกตัวอย่างการนำความรู้เก่ียวกับเรื่องการนำความร้อนไปใช้ในกิจกรรมอ่ืน ๆ นอกเหนือจากใน

หนังสือเรียน

13. สอื่ การเรียนรู้/แหลง่ เรียนรู้

13.1สอื่ การเรียนรู้

1) ชดุ กจิ กรรมวิทยาศาสตร์ 2) หนังสือแบบเรยี น 3) สือ่ เพาเวอร์พอยต์

32

13.2แหลง่ เรียนรู้ 2) หอ้ งสมุด
1) อินเตอรเ์ นต็
รายละเอยี ด
14. บนั ทกึ หลงั การจัดการเรยี นรู้ ......................................................................................
......................................................................................
ผลการสอน ......................................................................................
......................................................................................
1. ดา้ นความรู้ :
- การถ่ายโอนความร้อนโดยวิธีนำความร้อน

2. ด้านกระบวนการ : ......................................................................................
- ทักษะกระบวนการคดิ ......................................................................................
- ทักษะกระบวนการกลมุ่ ......................................................................................

3. ดา้ นคณุ ธรรมจรยิ ธรรมและค่านิยม ......................................................................................
อนั พึงประสงค์ : ......................................................................................
- มีวนิ ยั ......................................................................................
- ใฝเ่ รียนรู้ ......................................................................................
- อยู่อย่างพอเพียง ...............................................................................
- รกั ความเปน็ ไทย ......................................................................................

4. ปญั หาการสอน
....................................................................... ......................................................................................
....................................................................... ......................................................................................

5. วธิ แี กป้ ญั หา
....................................................................... ......................................................................................
....................................................................... ......................................................................................

ลงชอ่ื ........................................ครูผู้สอน ลงช่อื ...........................................หวั หน้ากลุ่มสาระฯ
(.นางสาวอโนชา...อทุ มุ สกุลรตั น์..) (นางกณกิ าร์ พฒั รากลุ )

ลงช่ือ...........................................
(นางรพีพร คำบญุ มา)

รองผู้อำนวยการกลมุ่ บรหิ ารวชิ าการ

ลงช่อื ........................................................
(นายสุรยิ นั ต์ เหลา่ มะลกึ )

ผูอ้ ำนวยการโรงเรียนสวุ รรณารามวิทยาคม

33

แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 6
หน่วยการเรียนรู้ที่…1 พลงั งานความรอ้ น..เร่อื ง...การถา่ ยโอนความรอ้ นในชีวติ ประจำวนั (ตอนที่ 2)...................

รายวิชา……......วทิ ยาศาสตร์……..2.......รหัสวิชา…......ว 21102 ..............ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี....1........................
กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปกี ารศึกษา... 2564... ภาคเรียนที่..2...เวลา...3..ชวั่ โมง……..…
ผูส้ อน.........................นางสาวอโนชา...อุทมุ สกลุ รัตน์............................................................................................

1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ (รายวิชาพื้นฐานมีท้ังมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด
รายวิชาเพ่มิ เติมมีเฉพาะมาตรฐานการเรยี นรูแ้ ละผลการเรียนร้)ู

1.1 มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชวี้ ดั
ว 2.3 ม.1/6 ,1/7

2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด (หลอมจากตวั ชว้ี ัดท่ใี ชใ้ นหน่วยการเรยี นรู้น้ีเขียนเป็นแบบความเรียง)
การถ่ายโอนความร้อนมี 3 วิธี คือ การนำความร้อน การพาความรอ้ นและการแผร่ ังสีความร้อน การ

นำความรอ้ นเปน็ การถ่ายโอนความรอ้ นทีอ่ าศัยตัวกลาง โดยที่อนภุ าคของตวั กลางไม่เคล่อื นท่ี แต่สั่นต่อเนือ่ งกัน

ไป การพาความร้อนเป็นการถ่ายโอนความร้อนซึ่งอาศัยตัวกลางท่ีเป็นของเหลวหรือแก๊ส โดยที่อนุภาคของ
ตัวกลางเคลื่อนที่ไปพร้อมกับพาความร้อนไปด้วย การแผ่รังสีความร้อนเป็นการถ่ายโอนความร้อนท่ีไม่ต้อง

อาศัยตัวกลาง แตค่ วามร้อนส่งผ่านโดยคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้า
3. สาระการเรียนรู้

3.1 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง/สาระการเรียนร้เู พม่ิ เตมิ (รายวชิ าเพมิ่ เติม)

สาระการเรยี นร้แู กนกลาง
• การถ่ายโอนความร้อนมี 3 แบบ คือ การนำความร้อน การพาความร้อน และการแผ่รังสีความร้อน

การนำความร้อนเป็นการถา่ ยโอนความร้อนท่อี าศยั ตวั กลาง โดยท่ีตวั กลางไมเ่ คลือ่ นท่ี การพาความรอ้ นเป็นการ
ถ่ายโอนความร้อนท่ีอาศัยตัวกลาง โดยที่ตัวกลางเคลื่อนที่ไปด้วย ส่วนการแผ่รังสีความร้อนเป็นการถ่ายโอน
ความร้อนทไ่ี มต่ ้องอาศยั ตัวกลาง

• ความรู้เกยี่ วกับการถ่ายโอนความรอ้ นสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวติ ประจำวันได้ เช่นการเลือกใช้
วัสดเุ พ่อื นำมาทำภาชนะบรรจุอาหาร เพ่ือเกบ็ ความร้อน หรอื การออกแบบระบบระบายความร้อนในอาคาร

3.2 สาระการเรยี นรู้ทอ้ งถ่นิ (ถา้ ในคำอธิบายรายวชิ าพูดถงึ หลกั สูตรทอ้ งถนิ่ ให้ใสล่ งไปดว้ ย

...............................................................-...........................................................................................

4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. อธบิ ายความหมายของการถ่ายโอนความร้อนของของเหลวและแกส๊ (K)

2. รวบรวมขอ้ มลู และสร้างแบบจำลองเพ่อื อธบิ ายการถา่ ยโอนความร้อนของของเหลวและแก๊ส(P)

3. ตัง้ ใจเรียนรแู้ ละแสวงหาความรู้ (A)

5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน (เลือกเฉพาะขอ้ ท่เี กิดในหน่วยการเรยี นรูน้ )ี้

 1. ความสามารถในการสื่อสาร  2. ความสามารถในการคิด

 3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา  4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ

 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

6. คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (เลอื กเฉพาะข้อทเี่ กิดในหน่วยการเรยี นรนู้ ้)ี

 1. รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์  2. ซ่ือสตั ย์สุจรติ

 3. มวี ินัย  4. ใฝ่เรียนรู้

34


Click to View FlipBook Version