แผนการสอน/แผนการเรียนรู้สมรรถนะอาชีพ รหัส 20106-1004 วิชา วัสดุและวิธีการก่อสร้างงานโครงสร้าง สาขาวิชา ช่างก่อสร้าง หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรม จัดท าโดย นางสาวกมลชนก ศรีสมพันธุ์ แผนกวิชาช่างก่อสร้าง วิทยาลัยการอาชีพหลังสวน ส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
การตรวจสอบและอนุญาตให้ใช้แผนการสอน รหัสวิชา 20106-1004 วิชา วัสดุและวิธีการก่อสร้างงานโครงสร้าง ชั้นปีที่สอน ปวช. 1 สาขา ช่างก่อสร้าง ภาคเรียนที่ 1 ประจ าปีการศึกษา 2566 ลงชื่อ ครูผู้สอน (นางสาวกมลชนก ศรีสมพันธุ์) ควรอนุญาต ลงชื่อ (นายณรงศักดิ์ วิเศษ) หัวหน้าแผนกวิชาช่างก่อสร้าง / / อนุญาต ลงชื่อ (นายสาธิต เสวกจันทร์) รองผู้อ านวยการฝ่ายวิชาการ / /
แผนการสอน/แผนการเรียนรู้รายวิชา ชื่อวิชา วัสดุและวิธีการก่อสร้างงานโครงสร้าง รหัสวิชา 20106-1004 ระดับชั้น ปวช. 1 สาขาวิชา ช่างก่อสร้าง หน่วยกิต 2 หน่วยกิต จ านวนคาบรวม 2 คาบ/สัปดาห์ ทฤษฎี 2 คาบ/สัปดาห์ ปฏิบัติ 0 คาบ/สัปดาห์ จุดประสงค์รายวิชา เพื่อให้ 1. มีความเข้าใจในหลักการ เทคนิค คุณสมบัติของวัสดุ-อุปกรณ์และวิธีการก่อสร้างอาคาร งานฐาน รากคาน เสา พื้น โครงหลังคาของอาคารพักอาศัย 2. สามารถน าหลักการเทคนิค และวิธีการก่อสร้างอาคาร คุณสมบัติของวัสดุ-อุปกรณ์มาประยุกต์ใช้ ในงานก่อสร้างอาคารพักอาศัย 3. มีเจตคติมีความรับผิดชอบในการประกอบวิชาชีพก่อสร้าง สมรรถนะรายวิชา 1. แสดงความรู้เกี่ยวกับชนิด ขนาด คุณสมบัติวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง จัดเก็บรักษา และวิธีการก่อสร้าง อาคารงานฐานรากคาน เสา พื้น โครงหลังคาของอาคารพักอาศัย 2. สืบค้นข้อมูล สารสนเทศเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้าง เทคนิคการก่อสร้างโครงสร้างอาคารโดยใช้อินเตอร์เน็ท 3. วิเคราะห์เลือกใช้วัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างตามหลักการ เทคนิคและวิธีการก่อสร้าง ค าอธิบายรายวิชา ศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติของวัสดุ-อุปกรณ์การก่อสร้าง งานโครงสร้างไม้โลหะคอนกรีต การน าไปใช้ เทคนิควิธีการก่อสร้างอาคาร งานฐานราก คาน เสา บันได พื้น หลังคาและโครงหลังคาของอาคารพักอาศัย
การวิเคราะห์หน่วยการสอน/การเรียนรู้ รหัสวิชา 20106-1004 รายวิชา วัสดุและวิธีการก่อสร้างงานโครงสร้าง หน่วยกิต 2 ระดับชั้น ปวช.1 สาขา ช่างก่อสร้าง ทฤษฎี 2 คาบ/สัปดาห์ ปฏิบัติ - คาบ/สัปดาห์ จ านวนคาบรวม 2 คาบ/สัปดาห์ หน่วยที่ ชื่อหน่วยการเรียน จ านวนคาบ ทฤษฎี ปฏิบัติ รวม 1 ไม้ 2 - 2 2 ดิน หิน ทราย 2 - 2 3 ปูนขาว ปูนซีเมนต์ 2 - 2 4 อิฐ วัสดุก่อ 2 - 2 5 คอนกรีต 2 - 2 6 เหล็ก 2 - 2 7 โลหะอื่นๆและพลาสติก 2 - 2 8 ส่วนประกอบของอาคาร 4 - 4 9 วัสดุตกแต่ง และงานระบบภายในระบบ 2 - 2 10 วัสดุมุงหลังคา 2 - 2 11 ตะปู น๊อต วัสดุประสาน 2 - 2 12 ท่อ 2 - 2 13 สายไฟและอุปกรณ์ วัสดุฉนวน กันน้ าและกันชื้น 2 - 2 14 กระจก สีน้ ามันรักษาเนื้อไม้ 2 - 2 15 เครื่องสุขภัณฑ์ 2 - 2 16 ชิ้นส่วนส าเร็จรูปของอาคาร 4 - 4 รวม 36 - 36
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ รหัสวิชา 20106-1004 รายวิชา วัสดุและวิธีการก่อสร้างงานโครงสร้าง หน่วยกิต 2 ระดับชั้น ปวช.1 สาขา ช่างก่อสร้าง ทฤษฎี 2 คาบ/สัปดาห์ ปฏิบัติ - คาบ/สัปดาห์ จ านวนคาบรวม 2 คาบ/สัปดาห์ หน่วยที่ สัปดาห์ที่ ชื่อหน่วยการเรียน การวัดและประเมินผล คะแนนเต็ม 1 1 ไม้ แบบทดสอบ 5 2 2 ดิน หิน ทราย แบบทดสอบ 5 3 3 ปูนขาว ปูนซีเมนต์ แบบทดสอบ 5 4 4 อิฐ วัสดุก่อ แบบทดสอบ 5 5 5 คอนกรีต แบบทดสอบ 5 6 6 เหล็ก แบบทดสอบ 5 7 7 โลหะอื่นๆและพลาสติก แบบทดสอบ 5 8 8-9 ส่วนประกอบของอาคาร แบบทดสอบ 5 9 10 วัสดุตกแต่ง และงานระบบ ภายในระบบ แบบทดสอบ 5 10 11 วัสดุมุงหลังคา แบบทดสอบ 5 11 12 ตะปู น๊อต วัสดุประสาน แบบทดสอบ 5 12 13 ท่อ แบบทดสอบ 5 13 14 สายไฟและอุปกรณ์ วัสดุฉนวน กันน้ าและกันชื้น แบบทดสอบ 5 14 15 กระจก สีน้ ามันรักษาเนื้อไม้ แบบทดสอบ 5 15 16 เครื่องสุขภัณฑ์ แบบทดสอบ 5 16 17-18 ชิ้นส่วนส าเร็จรูปของอาคาร แบบทดสอบ 5 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 20 รวม 100
การวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ รหัสวิชา 20106-1004 รายวิชา วัสดุและวิธีการก่อสร้างงานโครงสร้าง หน่วยกิต 2 ระดับชั้น ปวช.1 สาขา ช่างก่อสร้าง ทฤษฎี 2 คาบ/สัปดาห์ ปฏิบัติ - คาบ/สัปดาห์ จ านวนคาบรวม 2 คาบ/สัปดาห์ หน่วยที่ ชื่อหน่วยการเรียน/ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ระดับพฤติกรรมที่พึงประสงค์ พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย จิตพิสัย 1 2 3 4 5 6 1 2 3 4 5 1 2 3 4 5 1 ไม้ / / / / / / / / / / 2 ดิน หิน ทราย / / / / / / / / / / 3 ปูนขาว ปูนซีเมนต์ / / / / / / / / / / 4 อิฐ วัสดุก่อ / / / / / / / / / / 5 คอนกรีต / / / / / / / / / / 6 เหล็ก / / / / / / / / / / 7 โลหะอื่นๆและพลาสติก / / / / / / / / / / 8 ส่วนประกอบของอาคาร / / / / / / / / / / 9 วัสดุตกแต่ง และงานระบบภายในระบบ / / / / / / / / / / 10 วัสดุมุงหลังคา / / / / / / / / / / 11 ตะปู น๊อต วัสดุประสาน / / / / / / / / / / 12 ท่อ / / / / / / / / / / 13 สายไฟและอุปกรณ์ วัสดุฉนวน กันน้ า และกันชื้น / / / / / / / / / / 14 กระจก สีน้ ามันรักษาเนื้อไม้ / / / / / / / / / / 15 เครื่องสุขภัณฑ์ / / / / / / / / / / 16 ชิ้นส่วนส าเร็จรูปของอาคาร / / / / / / / / / / หมายเหตุ พุทธิพิสัย 1 = ความรู้ความจ า 2 = ความเข้าใจ 3 = การน าไปใช้ 4 = การวิเคราะห์ 5 = การสังเคราะห์ 6 =การประเมินค่า ทักษะพิสัย 1 = การรับรู้หรือการยอมรับ 2 =การตอบสนอง 3 =การเกิดค่านิยม 4 =การจัดรวบรวม 5 = การสร้างลักษณะนิสัยตามค่านิยมที่ยึดถือ จิตพิสัย 1 = การเลียนแบบ 2 = กระท าตามแบบ 3 =ความถูกต้องตามแบบ
การวิเคราะห์หน่วยการเรียนและสมรรถนะรายวิชา รหัสวิชา 20106-1004 รายวิชา วัสดุและวิธีการก่อสร้างงานโครงสร้าง หน่วยกิต 2 ระดับชั้น ปวช.1 สาขา ช่างก่อสร้าง ทฤษฎี 2 คาบ/สัปดาห์ ปฏิบัติ - คาบ/สัปดาห์ จ านวนคาบรวม 2 คาบ/สัปดาห์ หน่วยที่ ชื่อหน่วยการเรียน จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม สมรรถนะประจ าหน่วย 1 ไม้ 1. สามารถจ าแนกประเภทของไม้ในงานก่อสร้าง ได้ 2. สามารถบอกคุณสมบัติและประโยชน์ของไม้ ได้ 3. เข้าใจการเก็บรักษาและป้องกันความเสียหาย ของไม้ได้ 1. จ าแนกประเภทของไม้ในงาน ก่อสร้างได้ 2. บอกคุณสมบัติและประโยชน์ ของไม้ได้ 3. เก็บรักษาและป้องกันความ เสียหายของไม้ได้ 2 ดิน หิน ทราย 1.สามารถบอกส่วนประกอบที่เกิดเป็นหินและดิน ได้ 2.สามารถแบ่งประเภทของดินและหินที่ใช้ในงาน ก่อสร้างได้ 3.เข้าใจหลักการรักษาหินได้ 4.สามารถบอกลักษณะของทรายที่ดีได้ 5.สามารถบอกวิธีการเก็บรักษาทรายที่ดีให้ ปราศจากจากสิ่งสกปรกได้ 1.บอกส่วนประกอบที่เกิดเป็น หินและดินได้ 2.เข้าใจวิธีการและสามารถเก็บ รักษาทรายและหินที่ดีให้ ปราศจากจากสิ่งสกปรกได้ 3 ปูนขาว ปูนซีเมนต์ 1. เข้าใจถึงชนิดของปูนขาวที่ใช้ในงานก่อสร้าง ได้ 2. อธิบายขั้นตอนการผลิตปูนซีเมนต์ได้อย่าง ถูกต้อง 3. สามารถอธิบายประเภทของปูนซีเมนต์ได้ อย่างถูกต้อง 4. สามารถบอกคุณสมบัติของปูนซีเมนต์ที่ น าไปใช้ในงานก่อสร้างได้ 1. อธิบายชนิดของปูนขาวที่ใช้ ในงานก่อสร้างได้ 2. อธิบายขั้นตอนการผลิต ปูนซีเมนต์ได้อย่างถูกต้อง 3. อธิบายประเภทของ ปูนซีเมนต์ได้อย่างถูกต้อง 4. บอกคุณสมบัติของปูนซีเมนต์ ที่น าไปใช้ในงานก่อสร้างได้ 4 อิฐ วัสดุก่อ 1. สามารถเลือกใช้อิฐให้เหมาะกับงานแต่ละ ประเภทได้ 2. อธิบายการเลือกใช้วัสดุก่อให้เหมาะสมกับงาน ได้ 3. อธิบายขั้นตอนการผลิตวัสดุก่อได้ 4. สามารถบอกส่วนผสมของปูนก่อ-ปูนฉาบได้ 1. สามารถเลือกใช้อิฐให้เหมาะ กับงานแต่ละประเภทได้ 2. อธิบายการเลือกใช้วัสดุก่อให้ เหมาะสมกับงานได้ 3. อธิบายขั้นตอนการผลิตวัสดุ ก่อได้ 5 คอนกรีต 1. สามารถบอกถึงวัสดุที่ใช้ผสมคอนกรีตได้อย่าง ถูกต้อง 2. อธิบายขั้นตอนการผสมคอนกรีตได้อย่างถูกวิธี 3. เข้าใจหลักการเก็บรักษาคอนกรีต 1. อธิบายวัสดุที่ใช้ผสมคอนกรีต ได้อย่างถูกต้อง 2. อธิบายขั้นตอนการผสม คอนกรีตได้อย่างถูกวิธี
หน่วยที่ ชื่อหน่วยการเรียน จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม สมรรถนะประจ าหน่วย 6 เหล็ก 1. สามารถเลือกเหล็กได้เหมาะสมกับงานแต่ละ ประเภทได้อย่างเหมาะสม 2. อธิบายถึงความส าคัญของเหล็กเสริมคอนกรีต ได้ 3. เข้าใจการเก็บรักษาเหล็กได้ 1. เลือกเหล็กได้เหมาะสมกับ งานแต่ละประเภทได้อย่าง เหมาะสม 2. อธิบายถึงความส าคัญของ เหล็กเสริมคอนกรีตได้ 7 โลหะอื่นๆและ พลาสติก 1. อธิบายและคุณสมบัติการใช้งานของโลหะได้ อย่างถูกต้อง 2. อธิบายวิธีการเก็บรักษาโลหะได้ 3. สามารถบอกประเภทของพลาสติกได้ 1. อธิบายและคุณสมบัติการใช้ งานของโลหะได้อย่างถูกต้อง 2. อธิบายวิธีการเก็บรักษาโลหะ ได้ 8 ส่วนประกอบของ อาคาร 1. สามารถอธิบายส่วนประกอบที่ส าคัญของ อาคารได้ 1. อธิบายส่วนประกอบที่ส าคัญ ของอาคารได้ 9 วัสดุตกแต่ง และงาน ระบบภายในระบบ 1 . อ ธิ บ า ย ช นิ ด แ ล ะ ข น า ด ข อ ง วั ส ดุ ปูพื้นได้ 2. อธิบายการเลือกใช้วัสดุปูพื้นได้อย่างถูกต้อง 3. อธิบายคุณสมบัติของวัสดุแผ่นใหญ่ได้อย่าง ถูกต้อง 1. เลือกใช้วัสดุปูพื้นได้อย่าง ถูกต้อง 2. อธิบายคุณสมบัติของวัสดุ แผ่นใหญ่ได้อย่างถูกต้อง 10 วัสดุมุงหลังคา 1. อธิบายชนิด ขนาด คุณสมบัติของวัสดุมุง หลังคาได้ 2. อธิบายการเลือกใช้วัสดุมุงหลังคาได้ 3. สามารถของขนาดของตะปู ชนิดต่างๆได้ 4. สามารถเลือกวัสดุประสานไปใช้ในงานชนิด ต่างๆได้ 1. อธิบายการเลือกใช้วัสดุมุง หลังคาได้ 2. สามารถเลือกวัสดุประสานไป ใช้ในงานชนิดต่างๆได้ 11 ตะปู น๊อต วัสดุ ประสาน 1. สามารถของบอกขนาดของตะปู ชนิดต่างๆได้ 2. สามารถเลือกวัสดุประสานไปใช้ในงานชนิด ต่างๆได้ 1. เลือกวัสดุประสานไปใช้ใน งานชนิดต่างๆได้ 12 ท่อ 1. สามารถบอกชนิดและขนาดของท่อแบบต่างๆ ได้ 2. สามารบอกวิธีการใช้งานของท่อแต่ละชนิดได้ 1. บอกชนิดและขนาดของท่อ แบบต่างๆได้ 2. อธิบายวิธีการใช้งานของท่อ แต่ละชนิดได้ 13 สายไฟและอุปกรณ์ วัสดุฉนวน กันน้ าและ กันชื้น 1. สามารถบอกชนิดของสายไฟฟ้าและอุปกรณ์ที่ ใช้ประกอบได้ 2. อธิบายถึงความส าคัญของวัสดุฉนวนและกัน น้ ากันซึมได้ 3. สามารถเลือกใช้วัสดุฉนวนและกันน้ ากันซึมให้ เหมาสมกับงานแต่ละประเภทได้ 1. อธิบายชนิดของสายไฟฟ้า และอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบได้ 2. อธิบายถึงความส าคัญของ วัสดุฉนวนและกันน้ ากันซึมได้ 3. เลือกใช้วัสดุฉนวนและกันน้ า กันซึมให้เหมาสมกับงานแต่ละ ประเภทได้
หน่วยที่ ชื่อหน่วยการเรียน จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม สมรรถนะประจ าหน่วย 14 กระจก สีน้ ามันรักษา เนื้อไม้ 1. สามารถบอกชนิด ขนาดและคุณสมบัติของ กระจกได้ 2. อธิบายวัสดุที่ใช้ในการผลิตกระจก 3. อธิบายประเภทของสีแต่ละชนิดได้ 4. อธิบายการใช้งานของสีแต่ละประเภทได้ 1. อธิบายวัสดุที่ใช้ในการผลิต กระจก 2. อธิบายประเภทและการใช้สี แต่ละชนิดได้ 15 เครื่องสุขภัณฑ์ 1. สามารถเลือกใช้เครื่องสุขภัณฑ์ให้เหมาะสม กับงานแต่ละประเภทได้ 2. อธิบายการใช้งานของเครื่องสุขภัณฑ์แต่ละ ชนิดได้ 1. สามารถเลือกใช้เครื่อง สุขภัณฑ์ให้เหมาะสมกับงานแต่ ละประเภทได้ 2. อธิบายการใช้งานของเครื่อง สุขภัณฑ์แต่ละชนิดได้ 16 ชิ้นส่วนส าเร็จรูปของ อาคาร 1. อธิบายชนิด ขนาดคุณสมบัติของชิ้นส่วน ส าเร็จรูปของอาคารได้ 2. อธิบายวิธีการน าไปใช้ของชิ้นส่วนของงาน ส าเร็จรูปของอาคารได้ 1. อธิบายชนิด ขนาดคุณสมบัติ ของชิ้นส่วนส าเร็จรูปของอาคาร ได้ 2. อธิบายวิธีการน าไปใช้ของ ชิ้นส่วนของงานส าเร็จรูปของ อาคารได้
การวิเคราะห์หน่วยการเรียนและพฤติกรรมบ่งชี้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รหัสวิชา 20106-1004 รายวิชา วัสดุและวิธีการก่อสร้างงานโครงสร้าง หน่วยกิต 2 ระดับชั้น ปวช.1 สาขา ช่างก่อสร้าง ทฤษฎี 2 คาบ/สัปดาห์ ปฏิบัติ - คาบ/สัปดาห์ จ านวนคาบรวม 2 คาบ/สัปดาห์ ชื่อ หน่วยการเรียน จุดประสงค์ทั่วไป จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม น าไปสู่ สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ไม้ อธิบายและเข้าใจหลักการการ เลือกใช้ไม้ในงานก่อสร้างได้ 1. สามารถจ าแนกประเภทของไม้ในงาน ก่อสร้างได้ 2. สามารถบอกคุณสมบัติและประโยชน์ ของไม้ได้ 3. เข้าใจการเก็บรักษาและป้องกันความ เสียหายของไม้ได้ ดิน หิน ทราย อธิบ ายและเข้ าใจหลักก า รก าร เลือกใช้ดิน หิน และทรายในงาน ก่อสร้างได้ 1.สามารถบอกส่วนประกอบที่เกิดเป็นหิน และดินได้ 2.สามารถแบ่งประเภทของดินและหินที่ใช้ ในงานก่อสร้างได้ 3.เข้าใจหลักการรักษาหินได้ 4.สามารถบอกลักษณะของทรายที่ดีได้ 5.สามารถบอกวิธีการเก็บรักษาทรายที่ดีให้ ปราศจากจากสิ่งสกปรกได้ ปูนขาว ปูนซีเมนต์ อธิบ ายและเข้ าใจหลักก า รก าร เลือกใช้ปูนขาวและปูนซีเมนต์ในงาน ก่อสร้างได้ 1. เข้าใจถึงชนิดของปูนขาวที่ใช้ในงาน ก่อสร้างได้ 2. อธิบายขั้นตอนการผลิตปูนซีเมนต์ได้ อย่างถูกต้อง 3. สามารถอธิบายประเภทของปูนซีเมนต์ ได้อย่างถูกต้อง 4. สามารถบอกคุณสมบัติของปูนซีเมนต์ที่ น าไปใช้ในงานก่อสร้างได้ อิฐ วัสดุก่อ อธิบ ายและเข้ าใจหลักก า รก าร เลือกใช้อิฐและวัสดุก่อในงานก่อสร้าง ได้ 1. สามารถเลือกใช้อิฐให้เหมาะกับงานแต่ ละประเภทได้ 2. อธิบายการเลือกใช้วัสดุก่อให้เหมาะสม กับงานได้ 3. อธิบายขั้นตอนการผลิตวัสดุก่อได้ 4. สามารถบอกส่วนผสมของปูนก่อ-ปูน ฉาบได้
ชื่อ หน่วยการเรียน จุดประสงค์ทั่วไป จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม น าไปสู่ สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม คอนกรีต อธิบายและเข้าใจหลักการการ เลือกใช้วัสดุที่ใช้ผสมคอนกรีตใน งานก่อสร้างได้ 1. สามารถบอกถึงวัสดุที่ใช้ผสมคอนกรีตได้ อย่างถูกต้อง 2. อธิบายขั้นตอนการผสมคอนกรีตได้อย่างถูก วิธี 3. เข้าใจหลักการเก็บรักษาคอนกรีต เหล็ก อธิบายและเข้าใจหลักการการ เลือกใช้เหล็กในงานก่อสร้างได้ 1. สามารถเลือกเหล็กได้เหมาะสมกับงานแต่ละ ประเภทได้อย่างเหมาะสม 2. อธิบายถึงความส าคัญของเหล็กเสริม คอนกรีตได้ 3. เข้าใจการเก็บรักษาเหล็กได้ โลหะอื่นๆและ พลาสติก อธิบายและเข้าใจหลักการการ เลือกใช้โลหะอื่นๆและพลาสติกใน งานก่อสร้างได้ 1. อธิบายและคุณสมบัติการใช้งานของโลหะได้ อย่างถูกต้อง 2. อธิบายวิธีการเก็บรักษาโลหะได้ 3. สามารถบอกประเภทของพลาสติกได้ ส่วนประกอบของ อาคาร อธิบายและเข้าใจส่วนประกอบ ของอาคารได้ 1. สามารถอธิบายส่วนประกอบที่ส าคัญของ อาคารได้ วัสดุตกแต่ง และงาน ระบบภายในระบบ อธิบายและเข้าใจหลักการการ เลือกใช้วัสดุตกแต่ง และงานระบบ ภายในระบบได้ 1 . อ ธิ บ า ย ช นิ ด แ ล ะ ข น า ด ข อง วั ส ดุ ปูพื้นได้ 2. อธิบายการเลือกใช้วัสดุปูพื้นได้อย่างถูกต้อง 3. อธิบายคุณสมบัติของวัสดุแผ่นใหญ่ได้อย่าง ถูกต้อง วัสดุมุงหลังคา อธิบายและเข้าใจหลักการการ เลือกใช้วัสดุมุงหลังคาได้ 1. อธิบายชนิด ขนาด คุณสมบัติของวัสดุมุง หลังคาได้ 2. อธิบายการเลือกใช้วัสดุมุงหลังคาได้ 3. สามารถของขนาดของตะปู ชนิดต่างๆได้ 4. สามารถเลือกวัสดุประสานไปใช้ในงานชนิด ต่างๆได้ ตะปู น๊อต วัสดุ ประสาน เข้าใจและสามารถเลือกใช้ตะปู น๊อต วัสดุประสานในงานก่อสร้าง ได้ 1. สามารถของบอกขนาดของตะปู ชนิดต่างๆได้ 2. สามารถเลือกวัสดุประสานไปใช้ในงานชนิด ต่างๆได้
ชื่อ หน่วยการเรียน จุดประสงค์ทั่วไป จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม น าไปสู่ สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ท่อ เ ข้ าใ จห ลั ก ก า ร แ ล ะ ส าม า ร ถ เลือกใช้ท่อในงานก่อสร้างได้ 1. สามารถบอกชนิดและขนาดของท่อแบบ ต่างๆได้ 2. สามารบอกวิธีการใช้งานของท่อแต่ละชนิดได้ สายไฟและอุปกรณ์ วัสดุฉนวน กันน้ า และกันชื้น เข้าใจและสามารถเลือกใช้สายไฟ และอุปกรณ์ วัสดุฉนวน กันน้ า และกันชื้นได้ 1. สามารถบอกชนิดของสายไฟฟ้าและอุปกรณ์ ที่ใช้ประกอบได้ 2. อธิบายถึงความส าคัญของวัสดุฉนวนและกัน น้ ากันซึมได้ 3. สามารถเลือกใช้วัสดุฉนวนและกันน้ ากันซึม ให้เหมาสมกับงานแต่ละประเภทได้ กระจก สีน้ ามัน รักษาเนื้อไม้ เข้าใจและสามารถเลือกใช้กระจก สีน้ ามันรักษาเนื้อไม้ได้ 1. สามารถบอกชนิด ขนาดและคุณสมบัติของ กระจกได้ 2. อธิบายวัสดุที่ใช้ในการผลิตกระจก 3. อธิบายประเภทของสีแต่ละชนิดได้ 4. อธิบายการใช้งานของสีแต่ละประเภทได้ เครื่องสุขภัณฑ์ อธิบายและเข้าใจหลักการการ เลือกใช้เครื่องสุขภัณฑ์ได้ 1. สามารถเลือกใช้เครื่องสุขภัณฑ์ให้เหมาะสม กับงานแต่ละประเภทได้ 2. อธิบายการใช้งานของเครื่องสุขภัณฑ์แต่ละ ชนิดได้ ชิ้นส่วนส าเร็จรูป ของอาคาร อธิบายและเข้าใจชิ้นส่วนส าเร็จรูป ของอาคารได้ 1. อธิบายชนิด ขนาดคุณสมบัติของชิ้นส่วน ส าเร็จรูปของอาคารได้ 2. อธิบายวิธีการน าไปใช้ของชิ้นส่วนของงาน ส าเร็จรูปของอาคารได้
แผนการสอน/การเรียนรู้ หน่วยที่ 1 ชื่อวิชา วัสดุและวิธีก่อสร้างงานโครงสร้าง สอนครั้งที่ 1 ชื่อหน่วย ไม้ คาบรวม 2 ขื่อเรื่อง ไม้ จ านวน คาบ 2 หัวข้อเรื่อง ไม้ สาระส าคัญ ไม้ (wood) เป็นวัสดุก่อสร้างที่ใช้ในการสร้างที่อยู่อาศัย ที่เป็นส่วนประกอบส าคัญ ได้แก่ วงกบ ประตูหน้าต่าง บานประตูหน้าต่าง แม่บันได ขั้นบันได พื้นในร่ม ใช้ท าเครื่องเรือน และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ สมรรถนะประจ าหน่วย 1. จ าแนกประเภทของไม้ในงานก่อสร้างได้ 2. บอกคุณสมบัติและประโยชน์ของไม้ได้ 3. เก็บรักษาและป้องกันความเสียหายของไม้ได้ จุดประสงค์ทั่วไป นักเรียนอธิบายและเข้าใจหลักการการเลือกใช้ไม้ในงานก่อสร้างได้ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 1. สามารถจ าแนกประเภทของไม้ในงานก่อสร้างได้ 2. สามารถบอกคุณสมบัติและประโยชน์ของไม้ได้ 3. เข้าใจการเก็บรักษาและป้องกันความเสียหายของไม้ได้ เนื้อหาสาระ ไม้ (wood) เป็นวัสดุก่อสร้างที่ใช้ในการสร้างที่อยู่อาศัย ที่เป็นส่วนประกอบส าคัญ ได้แก่ วงกบ ประตูหน้าต่าง บานประตูหน้าต่าง แม่บันได ขั้นบันได พื้นในร่ม ใช้ท าเครื่องเรือน และเฟอร์นิเจอร์ต่าง คุณสมบัติของไม้ ไม้เกิดจากต้นไม้หลายชนิด คุณสมบัติในด้านต่างๆ ที่จะน ามาใช้ประโยชน์ จึงมีความแตกต่างกันไป ไม้แต่ละชนิดย่อมเหมาะสมกับงานแต่ละอย่าง มากน้อยไม่เหมือนกัน ในงานก่อสร้าง เรามักค านึงถึงความ แข็งแรงและความทนทาน ในประดิษฐ์กรรมเครื่องเรือน หรือส่วนประกอบเครื่องจักรกลซึ่งต้องการความ
สวยงามและแนบเนียนในการเข้าไม้เราอาจ ค านึงถึงลวดลายในไม้ การหดหรือการพองตัว ความยากง่ายใน การไสกบตกแต่งตลอดจนการลงน้ ามัน ในการท าลังใส่ของเราอาจค านึงถึงความหนักเบา และความยากง่ายใน การตีตะปู ในการท าเยื่อกระดาษ เราสนใจถึงปริมาณส่วนประกอบทางเคมีของไม้ และลักษณะของเส้นใย รวมทั้งความยากง่ายในการฟอกสี สาเหตุที่จะท าให้ไม้มีความทนทานแตกต่างกันนั้น วิเคราะห์กันว่า เนื่องมาจากเหตุ ๒ ประการ คือ ความแน่น และสารแทรกในเนื้อไม้ ไม้ที่มีความแน่น สูง หรือมีช่องรูอุดตัน ยอมให้น้ าและอากาศถ่ายเทได้ยาก จะมีความทนทานสูงกว่าไม้ที่เบาหรือมีโครงสร้าง โปร่ง แต่ที่ส าคัญที่สุด คือ ชนิดและปริมาณสารแทรกที่มีในเนื้อไม้ เห็นได้ชัดจากสารแทรกที่มีส่วนกระพี้และ แก่นไม้ดังกล่าวมาแล้วแต่ต้น ประเภทของไม้ ไม้แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท โดยถือเอาค่าความแข็งแรงในการดัดของไม้แห้ง และความทนทานตาม ธรรมชาติของไม้ชนิดนั้น ๆ เป็นเกณฑ์ได้แก่ 1. ไม้เนื้อแข็ง มีความแข็งแรงสูงกว่า 1000 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร มีความทนทานสูงกว่า 6 ปี ได้แก่ ไม้เคี่ยม ไม้แอ๊ก ไม้หลุมพอ ไม้เสลา ไม้สักขี้ควาย ไม้เลียงมัน ไม้รัง ไม้ยมหิน ไม้มะค่าโมง ไม้มะเกลือ เลือด ไม้ประดู่ ไม้เต็ง ไม้ตะบูนด า ไม้ตะคร้อหนาม ไม้ตะคร้อไข่ ไม้แดง ไม้กันเกรา 2. ไม้เนื้อแข็งปานกลาง มีความแข็งแรง 600 ถึง 1000 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร มีความทนทาน 6 ปี ได้แก่ ไม้เหียง ไม้รกฟ้า ไม้ยูง ไม้มะค่าแต้ ไม้พลวง ไม้นนทรี ไม้ตาเสือ ไม้ตะแบก ไม้ตะเคียนหนู ไม้ ตะเคียนทอง ไม้กว้าว 3. ไม้เนื้ออ่อน มีความแข็งแรงต่ ากว่า 600 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร มีความทนทานต่ ากว่า 2 ปี ได้แก่ ไม้อินทนิล ไม้สัก ไม้ยางแดง ไม้พะยอม ไม้พญาไม้ ไม้ท ามัง ไม้ตะบูนขาว ไม้กะบาก ไม้กระเจา ไม้กวาด สาเหตุของการผุผัง ความทนทานของไม้สามารถแบ่งออกตามสภาพแวดล้อมของสถานที่ได้ดังนี้ 1. ไม้ในร่ม จากปลวก 2. ไม้กลางแจ้ง จากแดดและฝน 3. ไม้ในที่ชื้นแฉะ จากตัวอ่อนของแมลงพวกเพรียงน้ าจืด 4. ไม้ในน้ ากร่อยหรือน้ าเค็ม จากเพรียง หอยสองฝา กุ้ง ปู บางชนิด เข้าท าลายเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย เนื่องจากไม้ในปัจจุบันมีคุณภาพต่ าลง มีการหดตัว แตกร้าว หรือบิดงอง่าย ท าให้เกิดความเสียหายใน สิ่งก่อสร้าง ครัวเรือนเครื่องใช้ไม้สอย โดยทั่ว ๆ ไป จึงต้องมีการปรับปรุงคุณภาพไม้เพื่อให้ไม้มีคุณภาพที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นการปรับปรุงทางด้านสี ความแข็งแรง การหดตัว การพองตัวและ ความทนทาน มีหลายวิธี การปรับปรุงคุณภาพของไม้
1. การกองไม้ เป็นการกองไม้ให้โปร่งไม่ชิดติดต่อกัน นอกจากจะท าให้ไม้แห้งเร็วแล้ว ยังป้องกันการ เกิดเชื้อราที่ท าให้ไม้ผุได้เป็นอย่างดีด้วย ส่วนไม้ที่เป็นกระพี้หรือไม้ที่ไม่ทนทาน ในขณะที่แปรรูปสด ๆ แล้วกอง ไม้ชิดติดกันเพียงวันสองวัน ก็จะเกิดราขึ้นเต็ม อาจเสียหายถึงกับท าให้ไม้ใช้การไม่ได้ตลอดไป 2. การอัดไม้ด้วยความร้อน ท าให้ไม้มีปริมาตรเล็กลงและคงรูปได้ภายหลังการอัดและท าให้ไม้แข็งและ ทนทานขึ้น 3. การอบน้ ายา เป็นการทา ซุป แช่ หรืออัดน้ ายาเข้าไปในไม้ด้วยแรงอัดสูง ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ สูงสุด โดยการน าไม้เข้าห้องบปิดฝาจนสนิท ท าการดูดอากาศในไม้และในห้องอบออกจนหมด แล้วจึงปล่อย น้ ายาเข้าไป ขณะเดียวกันก็จะเพิ่มความกดดันของอากาศในท่อให้สูงขึ้นถึงระดับที่ต้องการ ทิ้งไว้ระยะหนึ่งแล้ว จึงลดความดันลง ไม้ที่ท าการอาบน้ ายาแล้วจะมีความทนทานสูงกว่าไม้ธรรมชาติหลายเท่า กิจกรรมการเรียนรู้ 1. ครูบรรยายเนื้อหาจากสื่อการสอนพร้อมตั้งค าถาม-ตอบ ระหว่างเรียน 2. นักศึกษาฟังบรรยายจากสื่อการสอนพร้อมตั้งค าถาม-ตอบ ระหว่างเรียน 3. ครูและนักศึกษาช่วยกันสรุปเนื้อหาในบทเรียน 4. ครูประเมินในแบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล 5. นักศึกษาส่งผลงานให้ครูผู้สอนตรวจ 6. ครูผู้สอนตรวจให้คะแนนผลงานของผู้เรียน หลักฐานการเรียนรู้ 1. หลักฐานความรู้ - สมุดจดบันทึก 2. หลักฐานการปฏิบัติงาน - เอกสารประกอบการปฏิบัติงาน การประเมินผลการเรียนรู้ - คะแนนจากการสมุดจดบันทึก - คะแนนจากการถาม-ตอบระหว่างเรียน - คะแนนจากเอกสารประกอบการปฏิบัติงาน - คะแนนจากการให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงาน เอกสารอ้างอิง 1. หนังสือ “วัสดุก่อสร้าง” โดย พงศ์พัน วรสุนทโรสถ และ วรพงศ์ วรสุนทโรสถ
การบูรณาการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และคุณลักษณะ 3D แก่ผู้เรียน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 1. ผู้เรียนรู้จักใช้และจัดการกับวัสดุอุปกรณ์การเรียนอย่างคุ้มค่า และประหยัด 2. ผู้เรียนมีความเพียรพยายาม กระตือรือร้นและมีเหตุผลในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนร่วมกับ ผู้อื่น คุณลักษณะ 3D ด้านประชาธิปไตย (Democracy) กิจกรรมการเรียนการสอน ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รับฟังและแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ รวมทั้งการ แสดงออก ด้านคุณธรรม จริยธรรม และความเป็นไทย (Decency) 1. ผู้เรียนมีความรับผิดชอบในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จตามแผนที่ก าหนดเวลาไว้ 2. ผู้เรียน ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนต่อครูผู้สอนและเพื่อน ด้านภูมิคุ้มภัยจากยาเสพติด (Drug-Free) ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมต่อกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักการเอาใจใส่ ต่อการเรียน เอาใจใส่ต่องานที่ได้รับมอบหมาย มีน้ าใจ ให้ความร่วมมือ มีเหตุผลจะเป็นภูมิคุ้มกันภัยจากยาเสพ ติดให้กับผู้เรียนได้
แบบประเมินพฤติกรรมผู้เรียน วิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี ล าดับ ชื่อ-สกุล คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน รวมคะแนน (20 คะแนน) สนใจ กระตือรือร้น ใช้ของส่วนตัว/ส่วนรวมอย่างคุ้มค่า พูดความจริง/ไม่ทุจริต แต่งกายถูกต้องตามระเบียบ การมีสัมมาคาราวะ ดูแลรักษาความสะอาดส่วนตัว/ ส่วนรวม ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมฯ ให้ความช่วยเหลือ มีน้ าใจ แสดง/รับฟังความคิดเห็น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18
บันทึกหลังการสอน บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ 1. ข้อสรุปหลังการจัดการเรียนรู้ 2. ปัญหาและอุปสรรคที่พบ 3. แนวทางพัฒนา/แก้ปัญหา (นายณรงศักดิ์ วิเศษ) (นายสาธิต เสวกจันทร์) หัวหน้าแผนกวิชาช่างก่อสร้าง รองผู้อ านวยการฝ่ายวิชาการ
แผนการสอน/การเรียนรู้ หน่วยที่ 2 ชื่อวิชา วัสดุและวิธีก่อสร้างงานโครงสร้าง สอนครั้งที่ 2 ชื่อหน่วย ดิน หิน ทราย คาบรวม 2 ขื่อเรื่อง ดิน หิน ทราย จ านวนคาบ 2 หัวข้อเรื่อง ดิน หิน ทราย สาระส าคัญ 1. ดินที่ใช้ในงานก่อสร้าง 2. หินที่ใช้ในงานก่อสร้าง 3. ทรายที่ใช้ในงานก่อสร้างและประเภทของทราย สมรรถนะประจ าหน่วย 1.บอกส่วนประกอบที่เกิดเป็นหินและดินได้ 2.เข้าใจวิธีการและสามารถเก็บรักษาทรายและหินที่ดีให้ปราศจากจากสิ่งสกปรกได้ จุดประสงค์ทั่วไป นักเรียนอธิบายและเข้าใจหลักการการเลือกใช้ดิน หิน และทรายในงานก่อสร้างได้ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 1.สามารถบอกส่วนประกอบที่เกิดเป็นหินและดินได้ 2.สามารถแบ่งประเภทของดินและหินที่ใช้ในงานก่อสร้างได้ 3.เข้าใจหลักการรักษาหินได้ 4.สามารถบอกลักษณะของทรายที่ดีได้ 5.สามารถบอกวิธีการเก็บรักษาทรายที่ดีให้ปราศจากจากสิ่งสกปรกได้ เนื้อหาสาระ ความหมายของดิน การที่จะให้ค าจ ากัดความของดินให้ถูกต้องนั้นเป็นเรื่องยาก ขึ้นกับวัตถุประสงค์ว่าจะใช้ประโยชน์ใน ด้านใด เช่น ทางธรณีวิทยา การท าเหมืองแร่ ทางวิศวกรรม ฯลฯ ในที่นี้จะกล่าวถึงดินที่เกี่ยวข้องทางด้าน การเกษตรโดยเฉพาะการเพาะปลูกพืชเท่านั้น โดยความหมายนี้จะมุ่งไปในทางการใช้ดินที่เป็นประโยชน์ต่อ การปลูกพืช ดังนั้นความหมายของดิน คือ “เทหวัตถุที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ รวมตัวเป็นชั้น ๆ เป็นผลมาจา
การสลายตัวผุพังของหินและแร่ ผสมคลุกเคล้ากับอินทรียวัตถุซึ่งห่อหุ้มผิวโลกเป็นชั้นบาง ๆ และเมื่อมีน้ าและ อากาศในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยค้ าจุนในการยังชีพและการเจริญเติบโตของพืช” 2. ส่วนประกอบของดิน ส่วนประกอบของดินที่ส าคัญ 4 ส่วน คือ 1. อนินทรีย์วัตถุ (Inorganic matter) ได้มาจากการสลายของหินและแร่ เป็นส่วนประกอบหลักของ ดินที่ให้ธาตุอาหารแก่พืช เป็นส่วนประกอบส าคัญที่ก าหนด ชนิดเนื้อดิน คุณสมบัติทางเคมี และกายภาพของ ดิน ตัวอย่างแร่ดินเหนียวจะมีบทบาทที่ส าคัญในการควบคุมปฏิกิริยาทางคมีต่าง ๆ ของดิน เช่น การดูดซับ และการปล่อยธาตุอาหารต่าง ๆ ของดิน 2. อินทรียวัตถุ (Organic matter) ได้มาจากการเน่าเปลื่อยผุพังหรือการสลายตัวของซากพืชซากสัตว์ ที่ตายทับถมกันบนดิน เป็นส่วนประกอบที่ส าคัญแม้จะมีในสัดส่วนที่ไม่มาก มีบทบาทที่ส าคัญในการควบคุม คุณสมบัติทางเคมีและทางกายภาพของดิน ตัวอย่างเช่น การควบคุมลักษณะโครงสร้างการอุ้มน้ า การระบาย น้ า การถ่ายเทอากาศ การดูดซับ และการปลดปลดปล่อย หรือการแลกเปลี่ยนธาตุอาหารในดิน นอกจากนี้ยัง เป็นแหล่งอาหารและแหล่งสะสมของจุรินทรีย์ของดินและสัตว์ในดินอีกด้วย 3. น้ า (Water) น้ าในดินจะอยู่ในช่องว่างระหว่างเม็ดดิน (aggregate) หรืออนุภาคของดิน น้ าในดินมี ความส าคัญคือ เป็นปัจจัยในการด ารงชีพของพืชและจุรินทีรย์ เป็นตัวท าลายธาตุอาหารพืชในดิน ให้อยู่ในรูป สารละลายและรูปที่เป็นประโยชน์กับพืช 4. อากาศ (Air) อากาศในดินจะอยู่ระหว่างช่องว่างเม็ดดิน และอนุภาคของดิน อากาศในดิน ประกอบด้วยก๊าซไนโตรเจน ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และแก๊สเฉื่อย โดยอยู่ร่วมกับน้ าในดิน ถ้าช่องว่าง ในดินมีน้ าอยู่มากอากาศจะมีน้อย แต่ถ้าช่องว่างในดินมีน้ าอยู่น้อยจะมีกาศอยู่มาก อากาศในดินเป็นปัจจัยที่ ส าคัญคือ เป็นแหล่งให้ก๊าชออกซิเจนในการเจริญเติบโตของพืช และจุรินทรีย์จะให้ก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เมื่อ รวมตัวกับน้ าจะได้กรดคาร์บอนิค และมีส่วนช่วยในการละลายธาตุอาหารพืชบางชนิด ให้อยู่ในรูปที่พืชน าไปใช้ ประโยชน์ได้ ส่วนประกอบของดินทั้ง 4 ส่วนจะต้องมีอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมส าหรับการเจริญเติบโตของพืช คือ มี ส่วนประกอบของอนินทรีย์วัตถุ อินทรียวัตถุ น้ า และอากาศในสัดส่วนโดยประมาณคือ 45% 5% 25% และ 25% ตามล าดับ ประเภทของดิน แบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ 1.กรวด ง่ายต่อการสังเกตเห็นด้วยตา เพราะมีเม็ดค่อนข้างหยาบ ขนาดของเม็ดดินตั้งแต่ 0.6-2 มิลลิเมตร ไม่มีความเชื่อมแน่นเพราะไม่มีมวลละเอียดปน 2.ทราย ขนาดของเม็ดดินตั้งแต่ 0.06-2มิลลิเมตร ถ้าเป็นทรายหยาบสังเกตได้ง่ายๆ รู้สึกสากเมื่อ สัมผัสด้วยมือ ไม่มีความเชื่อมแน่นเมื่ออยู่ในสภาพแห้ง ถ้าเป็นทรายละเอียดต้องใช้อุปกรณ์ในการจ าแนก 3.ดินร่วน ขนาดของเม็ดดินตั้งแต่ 0.002-0.06 มิลลิเมตร เป็นดินเม็ดละเอียดมีความเชื่อมแน่น เมื่อสัมผัสไม่รู้สึกสากเหมือนทราย มีความอ่อนตัวไม่มากนัก เมื่ออยู่ในสภาพเปียกสามารถปั้นเป็นก้อนกลมได้
4.ดินเหนียว เป็นดินที่มีความละเอียด ขนาดเล็กกว่า 0.02 มิลลิเมตร มีอยู่ 2 ประเภท คือ ชนิดที่มี ความอ่อนตัวปานกลาง และชนิดที่มีความอ่อนตัวสูง ดินที่ใช้ในงานก่อสร้าง ในงานก่อสร้างค่อนข้างที่จะหลีกเลี่ยงการเกี่ยวข้องกับดิน ซึ่งอาจใช้ในดินสองลักษณะด้วยกัน คือ การใช้ดินเป็นฐานรองรับของฐานรองรับโครงสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ และการใช้ดินในการก่อสร้างโครงสร้าง ต่างๆ 1. การใช้ดินเป็นงานฐานราก รองรับการถ่ายน้ าหนักทั้งหมดของโครงสร้างลงสู่ชั้นดินหรือหินที่รองรับ ดังนั้นคุสมบัติทางด้านก่อสร้างของดินที่เกี่ยวของคือ ความแข็งแรง ความสามารถในการรับน้ าหนักแบกทาน การทรุดตัว และการพองตัวเป็นต้น 2. การใช้ดินในการก่อสร้างโครงสร้าง ดินที่เราน ามาใช้ในงานก่อสร้างนั้นมีด้วยกันหลายชนิด เช่น กรวด ทราย ดินลูกรัง เป็นต้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะของโครงสร้างนั้นๆ ในการน าดินมาเป็นวัสดุก่อสร้างนั้น ส่วนใหญ่จะผ่านกระบวนการปรับปรุงคุณสมบัติให้เหมาะกับลักษณะการใช้งานซึ่งจะเรียกว่าการปรับปรุงดิน ให้มีเสถียรภาพมั่นคง โดยปรับด้วยทางกลและทางเคมี หิน หินทุกชนิดประกอบด้วยแร่ 2 ชนิดขึ้นไปหรือมากกว่านั้นรวมทั้งมีสารประกอบอีก หินบางชนิดมีมวล หินแก้วธรรมชาติ และมีชนิดอื่นอีกเช่น ถ่านหิน ซึ่งเกิดจากส่วนผุผังของต้นไม่ แต่ไม่สามารถเรียกว่าเป็นแร่ ธาตุ เพราะเกิดจากอินทรีย์ของโลก แร่ธาตุต่างๆ มักเกิดจากสารประกอบทางเคมี เช่นธาตุโซเดียมกับคลอรีนจะได้เกลือที่เราบริโภคเรียกว่า โซเดียมคลอไรด์ แร่ธาตุส่วนใหญ่ที่จะประกอบเป็นหินมี 3 ประเภทด้วยกัน กิจกรรมการเรียนรู้ 1. ครูบรรยายเนื้อหาจากสื่อการสอนพร้อมตั้งค าถาม-ตอบ ระหว่างเรียน 2. นักศึกษาฟังบรรยายจากสื่อการสอนพร้อมตั้งค าถาม-ตอบ ระหว่างเรียน 3. ครูและนักศึกษาช่วยกันสรุปเนื้อหาในบทเรียน 4. ครูประเมินในแบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล 5. นักศึกษาส่งผลงานให้ครูผู้สอนตรวจ 6. ครูผู้สอนตรวจให้คะแนนผลงานของผู้เรียน หลักฐานการเรียนรู้ 1. หลักฐานความรู้ - สมุดจดบันทึก 2. หลักฐานการปฏิบัติงาน - เอกสารประกอบการปฏิบัติงาน
การประเมินผลการเรียนรู้ - คะแนนจากการสมุดจดบันทึก - คะแนนจากการถาม-ตอบระหว่างเรียน - คะแนนจากเอกสารประกอบการปฏิบัติงาน - คะแนนจากการให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงาน เอกสารอ้างอิง 1. หนังสือ “วัสดุก่อสร้าง” โดย พงศ์พัน วรสุนทโรสถ และ วรพงศ์ วรสุนทโรสถ
การบูรณาการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และคุณลักษณะ 3D แก่ผู้เรียน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 3. ผู้เรียนรู้จักใช้และจัดการกับวัสดุอุปกรณ์การเรียนอย่างคุ้มค่า และประหยัด 4. ผู้เรียนมีความเพียรพยายาม กระตือรือร้นและมีเหตุผลในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนร่วมกับ ผู้อื่น คุณลักษณะ 3D ด้านประชาธิปไตย (Democracy) กิจกรรมการเรียนการสอน ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รับฟังและแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ รวมทั้งการ แสดงออก ด้านคุณธรรม จริยธรรม และความเป็นไทย (Decency) 3. ผู้เรียนมีความรับผิดชอบในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จตามแผนที่ก าหนดเวลาไว้ 4. ผู้เรียน ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนต่อครูผู้สอนและเพื่อน ด้านภูมิคุ้มภัยจากยาเสพติด (Drug-Free) ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมต่อกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักการเอาใจใส่ ต่อการเรียน เอาใจใส่ต่องานที่ได้รับมอบหมาย มีน้ าใจ ให้ความร่วมมือ มีเหตุผลจะเป็นภูมิคุ้มกันภัยจากยาเสพ ติดให้กับผู้เรียนได้
แบบประเมินพฤติกรรมผู้เรียน วิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี ล าดับ ชื่อ-สกุล คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน รวมคะแนน (20 คะแนน) สนใจ กระตือรือร้น ใช้ของส่วนตัว/ส่วนรวมอย่างคุ้มค่า พูดความจริง/ไม่ทุจริต แต่งกายถูกต้องตามระเบียบ การมีสัมมาคาราวะ ดูแลรักษาความสะอาดส่วนตัว/ ส่วนรวม ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมฯ ให้ความช่วยเหลือ มีน้ าใจ แสดง/รับฟังความคิดเห็น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18
บันทึกหลังการสอน บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ 1. ข้อสรุปหลังการจัดการเรียนรู้ 2. ปัญหาและอุปสรรคที่พบ 3. แนวทางพัฒนา/แก้ปัญหา (นายณรงศักดิ์ วิเศษ) (นายสาธิต เสวกจันทร์) หัวหน้าแผนกวิชาช่างก่อสร้าง รองผู้อ านวยการฝ่ายวิชาการ
แผนการสอน/การเรียนรู้ หน่วยที่ 3 ชื่อวิชา วัสดุและวิธีก่อสร้างงานโครงสร้าง สอนครั้งที่ 3 ชื่อหน่วย ปูนขาว ปูนซีเมนต์ คาบรวม 2 ขื่อเรื่อง ปูนขาว ปูนซีเมนต์ จ านวนคาบ 2 หัวข้อเรื่อง ปูนขาว ปูนซีเมนต์ สาระส าคัญ 4. ปูนที่ใช้ในงานก่อสร้าง 5. ประเภทของปูนซีเมนต์ สมรรถนะประจ าหน่วย 1. อธิบายชนิดของปูนขาวที่ใช้ในงานก่อสร้างได้ 2. อธิบายขั้นตอนการผลิตปูนซีเมนต์ได้อย่างถูกต้อง 3. อธิบายประเภทของปูนซีเมนต์ได้อย่างถูกต้อง 4. บอกคุณสมบัติของปูนซีเมนต์ที่น าไปใช้ในงานก่อสร้างได้ จุดประสงค์ทั่วไป นักเรียนอธิบายและเข้าใจหลักการการเลือกใช้ปูนขาวและปูนซีเมนต์ในงานก่อสร้างได้ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 1. เข้าใจถึงชนิดของปูนขาวที่ใช้ในงานก่อสร้างได้ 2. อธิบายขั้นตอนการผลิตปูนซีเมนต์ได้อย่างถูกต้อง 3. สามารถอธิบายประเภทของปูนซีเมนต์ได้อย่างถูกต้อง 4. สามารถบอกคุณสมบัติของปูนซีเมนต์ที่น าไปใช้ในงานก่อสร้างได้ เนื้อหาสาระ ปูนขาว เป็นวัสดุที่ได้จากการเผาหินปูน (แคลเซียมคาร์บอเนต) โดยใช้ความร้อนสูง จะได้เป็นปูนสุก (แคลเซียมออกไซด์, CaO, lime) เมื่อเย็นตัวลงแล้วพรมน้ าให้ชุ่ม ปูนสุกจะท าปฏิกิริยากับน้ าได้เป็นแคลเซียม ไฮดรอกไซด์ ส่วนที่เป็นผงแห้งได้เป็น ปูนขาว และส่วนที่เป็นสารแขวนลอยคือ น้ าปูนไลม์ (Milk of lime) ประโยชน์ของปูนขาว • ด้านการก่อสร้าง
- ใช้เป็นส่วนผสมของปูนฉาบ - ใช้ในการปรับปรุงคุณภาพของดินกระจายตัว (Dispersive Soil) - ใช้เป็นสารตัวเติมในยางแอสฟัลต์ส าหรับราดถนน • ด้านการเกษตร - ใช้ปรับสภาพของดินและน้ าที่เป็นกรด - ใช้แก้น้ ากระด้าง • ด้านอุตสาหกรรม - ใช้ดึงสารเจือปนในการผลิตเหล็กคุณภาพสูง - ใช้เป็นสารเติมในอุตสาหกรรมยาง เซรามิกส์ กระดาษ ฯลฯ - ใช้ผลิตโซดาไฟ สารฟอกขาว ฯลฯ ประเภทของปูนซีเมนต์ ปูนซีเมนต์ที่ผลิตในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะผลิตตามมาตรฐานของ อเมริกา(ASTM C. 150) และของ อังกฤษ (British Standard; B.S.) ซึ่งตามมาตรฐาน มอก. 15 ของไทยได้แบ่งปูนซีเมนต์ออกเป็น 5 ประเภท คือ 1. ประเภท 1 (Normal Portland Cement) เป็นปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ธรรมดา เหมาะกับงาน ก่อสร้างคอนกรีตทั่วๆ ไปที่ไม่ต้องการคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเติม เช่น คาน เสา พื้น ถนน ค.ส.ล. เป็นต้น แต่ไม่ เหมาะกับงานที่ต้องสัมผัสกับเกลือซัลเฟตผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ประเภทนี้ที่มีจ าหน่ายได้แก่ ตราช้าง เพชร(เม็ด เดียว) พญานาคเขียว TPI(แดง) ภูเขา และดาวเทียม 2. ประเภท 2 (Modified Portland Cement) เป็นปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ดัดแปลงเพื่อให้สามารถ ต้านทานเกลือซัลเฟตได้ปานกลาง และจะเกิดความร้อนปานกลางในช่วงหล่อ เหมาะกับงานโครงสร้างขนาด ใหญ่ เช่น ตอม่อ สะพาน ท่าเทียบเรือ เขื่อน เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ประเภทนี้ที่เคยมีจ าหน่ายได้แก่ ตรา พญานาคเจ็ดเศียร (ปัจจุบันเลิกผลิตแล้ว) 3. ประเภท 3 (High-early Strength Portland Cement) เป็นปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ที่สามารถให้ ก าลังได้รวดเร็วในเวลาอันสั้น หลังจากเทแล้วสามารถใช้งานได้ภายใน 3-7 วัน เหมาะกับงานที่เร่งด่วน เช่น คอนกรีตอัดแรง เสาเข็ม พื้นถนนที่จราจรคับคั่ง เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ประเภทนี้ที่มีจ าหน่ายได้แก่ ตรา เอราวัณ สามเพชร TPI(ด า) และพญานาคแดง 4. ประเภท 4 (Low-heat Portland Cement) เป็นปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ชนิดพิเศษที่มีอัตราความ ร้อนต่ าก าลังของคอนกรีตจะเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ซึ่งส่งผลดีท าให้การขยายตัวน้อยช่วยลดการแตกร้าว เหมาะกับ งานสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ ปูนซีเมนต์ ประเภทนี้ในประเทศไทยยังไม่มีการผลิตจ าหน่าย 5. ประเภท 5 (Sulfate-resistant Portland Cement) เป็นปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ที่ทนต่อเกลือ ซัลเฟตได้สูงเหมาะกับงานก่อสร้างบริเวณดินเค็ม หรือใกล้กับทะเล ผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ประเภทนี้ที่มีจ าหน่าย ได้แก่ ตราปลาฉลาม TPI(ฟ้า) และตราช้าง ฟ้า(ปัจจุบันเลิกผลิตแล้ว)
นอกจากปูนซีเมนต์ทั้ง 5 ประเภทแล้ว ยังมีปูนซีเมนต์ที่ผลิตขึ้นมาโดยดัดแปลงเพื่อให้เหมาะกับงาน และราคา ถูกลง ที่มีจ าหน่ายในท้องตลาดทั่วไปได้แก่ - ปูนซีเมนต์ผสม(Mixed Cement)เป็นการน าปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภท 1 ผสมกับ ทรายหรือหินบดละเอียด ประมาณ 25-30% ซึ่งท าให้ง่ายต่อการใช้งาน ลดการแตกร้าว เหมาะกับงานก่ออิฐ ฉาบปูน ผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ประเภทนี้ที่มีจ าหน่ายได้แก่ ตราเสือ งูเห่า นกอินทรีย์ TPI(เขียว) - ปูนซีเมนต์ขาว(White Portland Cement)เป็นปูนซีเมนต์ที่มีส่วนผสมหลัก คือ หินปูนและ วัตถุดิบอื่นๆที่มีปริมาณของแร่เหล็กน้อยกว่า 1% ลักษณะของผงสีปูนที่ได้จะเป็นสีขาว สามารถผสมกับสีฝุ่น เพื่อท าให้เป็นปูนซีเมนต์สีต่างๆ ตามต้องการ จึงนิยมใช้ในงานตกแต่งต่าง ๆ เพื่อความสวยงาม ปูนซีเมนต์ ประเภทนี้ที่ผลิตในประเทศไทย ได้แก่ ตราช้างเผือก ตราเสือเผือกและ ตรามังกร กิจกรรมการเรียนรู้ 1. ครูบรรยายเนื้อหาจากสื่อการสอนพร้อมตั้งค าถาม-ตอบ ระหว่างเรียน 2. นักศึกษาฟังบรรยายจากสื่อการสอนพร้อมตั้งค าถาม-ตอบ ระหว่างเรียน 3. ครูและนักศึกษาช่วยกันสรุปเนื้อหาในบทเรียน 4. ครูประเมินในแบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล 5. นักศึกษาส่งผลงานให้ครูผู้สอนตรวจ 6. ครูผู้สอนตรวจให้คะแนนผลงานของผู้เรียน หลักฐานการเรียนรู้ 1. หลักฐานความรู้ - สมุดจดบันทึก 2. หลักฐานการปฏิบัติงาน - เอกสารประกอบการปฏิบัติงาน การประเมินผลการเรียนรู้ - คะแนนจากการสมุดจดบันทึก - คะแนนจากการถาม-ตอบระหว่างเรียน - คะแนนจากเอกสารประกอบการปฏิบัติงาน - คะแนนจากการให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงาน เอกสารอ้างอิง 1. หนังสือ “วัสดุก่อสร้าง” โดย พงศ์พัน วรสุนทโรสถ และ วรพงศ์ วรสุนทโรสถ
การบูรณาการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และคุณลักษณะ 3D แก่ผู้เรียน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 5. ผู้เรียนรู้จักใช้และจัดการกับวัสดุอุปกรณ์การเรียนอย่างคุ้มค่า และประหยัด 6. ผู้เรียนมีความเพียรพยายาม กระตือรือร้นและมีเหตุผลในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนร่วมกับ ผู้อื่น คุณลักษณะ 3D ด้านประชาธิปไตย (Democracy) กิจกรรมการเรียนการสอน ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รับฟังและแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ รวมทั้งการ แสดงออก ด้านคุณธรรม จริยธรรม และความเป็นไทย (Decency) 5. ผู้เรียนมีความรับผิดชอบในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จตามแผนที่ก าหนดเวลาไว้ 6. ผู้เรียน ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนต่อครูผู้สอนและเพื่อน ด้านภูมิคุ้มภัยจากยาเสพติด (Drug-Free) ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมต่อกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักการเอาใจใส่ ต่อการเรียน เอาใจใส่ต่องานที่ได้รับมอบหมาย มีน้ าใจ ให้ความร่วมมือ มีเหตุผลจะเป็นภูมิคุ้มกันภัยจากยาเสพ ติดให้กับผู้เรียนได้
แบบประเมินพฤติกรรมผู้เรียน วิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี ล าดับ ชื่อ-สกุล คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน รวมคะแนน (20 คะแนน) สนใจ กระตือรือร้น ใช้ของส่วนตัว/ส่วนรวมอย่างคุ้มค่า พูดความจริง/ไม่ทุจริต แต่งกายถูกต้องตามระเบียบ การมีสัมมาคาราวะ ดูแลรักษาความสะอาดส่วนตัว/ ส่วนรวม ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมฯ ให้ความช่วยเหลือ มีน้ าใจ แสดง/รับฟังความคิดเห็น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18
บันทึกหลังการสอน บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ 1. ข้อสรุปหลังการจัดการเรียนรู้ 2. ปัญหาและอุปสรรคที่พบ 3. แนวทางพัฒนา/แก้ปัญหา (นายณรงศักดิ์ วิเศษ) (นายสาธิต เสวกจันทร์) หัวหน้าแผนกวิชาช่างก่อสร้าง รองผู้อ านวยการฝ่ายวิชาการ
แผนการสอน/การเรียนรู้ หน่วยที่ 4 ชื่อวิชา วัสดุและวิธีก่อสร้างงานโครงสร้าง สอนครั้งที่ 4 ชื่อหน่วย อิฐ วัสดุก่อ คาบรวม 2 ขื่อเรื่อง อิฐ วัสดุก่อ จ านวนคาบ 2 หัวข้อเรื่อง อิฐ วัสดุก่อ สาระส าคัญ 6. ประเภทของอิฐ 7. การเลือกใช้อิฐ และวัสดุก่อ สมรรถนะประจ าหน่วย 1. สามารถเลือกใช้อิฐให้เหมาะกับงานแต่ละประเภทได้ 2. อธิบายการเลือกใช้วัสดุก่อให้เหมาะสมกับงานได้ 3. อธิบายขั้นตอนการผลิตวัสดุก่อได้ จุดประสงค์ทั่วไป นักเรียนอธิบายและเข้าใจหลักการการเลือกใช้อิฐและวัสดุก่อในงานก่อสร้างได้ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 1. สามารถเลือกใช้อิฐให้เหมาะกับงานแต่ละประเภทได้ 2. อธิบายการเลือกใช้วัสดุก่อให้เหมาะสมกับงานได้ 3. อธิบายขั้นตอนการผลิตวัสดุก่อได้ 4. สามารถบอกส่วนผสมของปูนก่อ-ปูนฉาบได้ เนื้อหาสาระ อิฐ เป็นวัสดุก่อสร้างพื้นบานส าหรับการก่อสร้างอาคารทั่วไป อิฐแบบธรรมดาผลิตจากส่วนผสมของ ดินเหนียว ทราย แกลบ และน้ า ส าหรับอิฐพิเศษอื่นๆ จะผสมสารหรือวัสดุพิเศษเพิ่มเพื่อการใช้งานเฉพาะด้าน การผลิตอิฐโดยทั่วไป จะผสมดินเหนียว แกลบ ทราย และน้ า นวดให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว กดใส่ลงในแบบพิมพ์ แล้วน าเข้าเตาเผา ส าหรับอิฐพิเศษอื่นๆ จะผสมสารหรือวัสดุเพิ่ม เช่น หินเกร็ด ส าหรับอิฐประดับ เป็นต้น นอกจากนี้อิฐพิเศษบางประเภทอาจใช้กรรมวิธีการอัดเข้าแม่พิมพ์ด้วยแรงกดสูงเพื่อความสามารถในด้านการ ป้องกันความร้อนและทนความร้อนสูง
อิฐ(Brick) เป็นวัสดุที่น ามาใช้ในงานก่อสร้างเป็นเวลาช้านานมาแล้ว เมื่อสมัยโบราณประมาณ2000 ปี มาแล้ว อียิปต์เป็นชาติแรกที่ใช้อิฐก่อผนัง ต่อมาพวกบาบิโลเนียพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ อิฐในสมัยโบราณจะท า มาจากดินเหนียว โดยการขึ้นรูปเป็นก้อนอิฐด้วยมือ ซึ่งพบว่าอิฐที่ได้จะมีขนาดไม่เท่ากัน ลักษณะที่ใช้งาน แตกต่างจากคอนกรีตในเรื่องความแข็งคือ อิฐที่ใช้ไม่จ าเป็นต้องมีความแข็งแรงมาก เพราะใช้งานก่อก าแพง หรืองานเพื่อความสวยงาม ในปัจจุบันมีอิฐที่พัฒนาจนจนมวลอิฐเบาทนไฟได้ดี กันความร้อนได้ การผลิตอิฐ ใช้ได้ทั้งแรงคนและเครื่องจักร โยเครื่องจักรจะผลิตอิฐได้ขนาดค่อนข้างมาตรฐาน เรียบร้อย ผลิตได้เป็นจ านวน มาก ชนิดของอิฐ อิฐมอญ เป็นอิฐที่นิยมใช้กันมาก มีราคาถูก เหมาะส าหรับก่อก าแพง หรือก่อผนังที่ต้องการฉาบปูน ทับผิวอีกครั้ง ลักษณะเป็นอิฐที่มีผิวขรุขระไม่เรียบร้อยนัก บางชนิดที่ผิวท าเป็นรอยเส้นไว้บนแผ่นอิฐเพื่อเป็นที่ ยึดเกาะของปูนก่อ บางชนิดท าเป็นรูไว้ในแผ่นอิฐตลอดความยาวเพื่อให้มีน้ าหนักเบา อิฐทนไฟ (Fire Blocks) ท าจากดินเหนียวทนไฟ มีคุณภาพต้านทานความร้อนได้ดีใช้ก่อเตาไฟ หรือ ก่อผนังที่ต้องการให้ต้านทานคามร้อนสูงๆ อิฐมวลเบา เป็นผลิตภัณฑ์คอนกรีตที่มีมวลเบากว่าคอนกรีตทั่วไปที่มีขนาดเดียวกัน ผลิตจากวัตถุดิบ ตามธรรมชาติ ใช้ส าหรับก่อเป็นผนังเพื่อแบ่งหรือกั้นระหว่างห้องของบ้าน หรือส าหรับวัตถุประสงค์บาง ประการเป็นพิเศษ เช่น กันไฟ, กันเสียง, กันความร้อนเป็นต้น อิฐบล็อก (Concrete Brick) หรือคอนกรีตบล็อก เป็นวัสดุก่อที่ท าจากปูนซีเมนต์ผสมกับทราย หินเล็กๆ และน้ าผสมเข้ากัน น าไปใส่เครื่องอัดในแบบเหล็กให้แน่น แล้วน าออกมาจากแบบไปเรียงบ่มไว้ในที่ ร่ม 7-14 วัน จนแข็งแรงพอจึงน าไปใช้ในงานก่อสร้างได้ คอนกรีตบล็อกมีทั้งแบบรับน้ าหนักและไม่รับน้ าหนัก อิฐโปร่ง หรือ อิฐกลวง เป็นวัสดุที่มีส่วนผสมเดียวกันกับอิฐสามัญ แต่ภายในจะเจาะรู หรือท าช่อง ภายในให้กลวง เพื่อให้มีน้ าหนักเบา กิจกรรมการเรียนรู้ 1. ครูบรรยายเนื้อหาจากสื่อการสอนพร้อมตั้งค าถาม-ตอบ ระหว่างเรียน 2. นักศึกษาฟังบรรยายจากสื่อการสอนพร้อมตั้งค าถาม-ตอบ ระหว่างเรียน 3. ครูและนักศึกษาช่วยกันสรุปเนื้อหาในบทเรียน 4. ครูประเมินในแบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล 5. นักศึกษาส่งผลงานให้ครูผู้สอนตรวจ 6. ครูผู้สอนตรวจให้คะแนนผลงานของผู้เรียน หลักฐานการเรียนรู้ 1. หลักฐานความรู้ - สมุดจดบันทึก
2. หลักฐานการปฏิบัติงาน - เอกสารประกอบการปฏิบัติงาน การประเมินผลการเรียนรู้ - คะแนนจากการสมุดจดบันทึก - คะแนนจากการถาม-ตอบระหว่างเรียน - คะแนนจากเอกสารประกอบการปฏิบัติงาน - คะแนนจากการให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงาน เอกสารอ้างอิง 2. หนังสือ “วัสดุก่อสร้าง” โดย พงศ์พัน วรสุนทโรสถ และ วรพงศ์ วรสุนทโรสถ
การบูรณาการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และคุณลักษณะ 3D แก่ผู้เรียน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 7. ผู้เรียนรู้จักใช้และจัดการกับวัสดุอุปกรณ์การเรียนอย่างคุ้มค่า และประหยัด 8. ผู้เรียนมีความเพียรพยายาม กระตือรือร้นและมีเหตุผลในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนร่วมกับ ผู้อื่น คุณลักษณะ 3D ด้านประชาธิปไตย (Democracy) กิจกรรมการเรียนการสอน ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รับฟังและแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ รวมทั้งการ แสดงออก ด้านคุณธรรม จริยธรรม และความเป็นไทย (Decency) 7. ผู้เรียนมีความรับผิดชอบในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จตามแผนที่ก าหนดเวลาไว้ 8. ผู้เรียน ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนต่อครูผู้สอนและเพื่อน ด้านภูมิคุ้มภัยจากยาเสพติด (Drug-Free) ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมต่อกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักการเอาใจใส่ ต่อการเรียน เอาใจใส่ต่องานที่ได้รับมอบหมาย มีน้ าใจ ให้ความร่วมมือ มีเหตุผลจะเป็นภูมิคุ้มกันภัยจากยาเสพ ติดให้กับผู้เรียนได้
แบบประเมินพฤติกรรมผู้เรียน วิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี ล าดับ ชื่อ-สกุล คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน รวมคะแนน (20 คะแนน) สนใจ กระตือรือร้น ใช้ของส่วนตัว/ส่วนรวมอย่างคุ้มค่า พูดความจริง/ไม่ทุจริต แต่งกายถูกต้องตามระเบียบ การมีสัมมาคาราวะ ดูแลรักษาความสะอาดส่วนตัว/ ส่วนรวม ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมฯ ให้ความช่วยเหลือ มีน้ าใจ แสดง/รับฟังความคิดเห็น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18
บันทึกหลังการสอน บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ 1. ข้อสรุปหลังการจัดการเรียนรู้ 2. ปัญหาและอุปสรรคที่พบ 3. แนวทางพัฒนา/แก้ปัญหา (นายณรงศักดิ์ วิเศษ) (นายสาธิต เสวกจันทร์) หัวหน้าแผนกวิชาช่างก่อสร้าง รองผู้อ านวยการฝ่ายวิชาการ
แผนการสอน/การเรียนรู้ หน่วยที่ 5 ชื่อวิชา วัสดุและวิธีก่อสร้างงานโครงสร้าง สอนครั้งที่ 5 ชื่อหน่วย คอนกรีต คาบรวม 2 ขื่อเรื่อง คอนกรีต จ านวนคาบ 2 หัวข้อเรื่อง คอนกรีต สาระส าคัญ 8. ความหมายของคอนกรีต 9. อัตราส่วนผสมของคอนกรีต สมรรถนะประจ าหน่วย 1. อธิบายวัสดุที่ใช้ผสมคอนกรีตได้อย่างถูกต้อง 2. อธิบายขั้นตอนการผสมคอนกรีตได้อย่างถูกวิธี จุดประสงค์ทั่วไป นักเรียนอธิบายและเข้าใจหลักการการเลือกใช้วัสดุที่ใช้ผสมคอนกรีตในงานก่อสร้างได้ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 1. สามารถบอกถึงวัสดุที่ใช้ผสมคอนกรีตได้อย่างถูกต้อง 2. อธิบายขั้นตอนการผสมคอนกรีตได้อย่างถูกวิธี 3. เข้าใจหลักการเก็บรักษาคอนกรีต เนื้อหาสาระ คอนกรีต เป็นวัสดุผสมที่นิยมในงานก่อสร้างประกอบด้วย 3 ส่วนหลักคือ ปูนซีเมนต์ วัสดุผสม เช่น หิน ทราย กรวด และน้ า โดยอาจจะมีสารเคมีเพิ่มเติมเข้าไปในคุณสมบัติอื่นๆ เมื่อผสมเสร็จคอนกรีตจะแข็ง ตัวอย่างช้าๆ ซึ่งน้ าและซีเมนต์จะท าปฏิกิริยาเคมีทางเคมีกันในลักษณะที่เรียกว่า ปฏิกิริยาไฮเดรชัน โดย ซีเมนต์จะเริ่มจับตัวกับวัสดุอื่นและแข็งตัว ซึ่งสถานะนี้จะนิยมเรียกกันว่า คอนกรีต ความแข็งแรงของคอนกรีต จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆหลังจากที่ผสม และยังแข็งแรงเพิ่มขึ้นหลังจากแข็งตัว โดยประมาณหลังจากแข็งตัวแล้ว 28 วัน ความแข็งแรงเริ่มคงที่ คอนกรีตที่ใช้ในงานก่อสร้างมีหลายชนิด ซึ่งรวมถึง อาคาร ถนน เขื่อน สะพาน และงานก่อสร้างซึ่ง เห็นกันได้ทั่วไป
คุณสมบัติหลักของคอนกรีตคือการรับแรงอัดแรงสูง ในขณะที่รับแรงดึงได้ต่ า โดยเมื่อต้องการให้ คอนกรีตสามารถรับแรงดึง จะมีการเสริมวัสดุอื่นเพิ่มเข้าไปในคอนกรีต โดยจะเรียกว่า คอนกรีตเสริมแรง หรือคอนกรีตเสริมเหล็ก วัสดุเหล่านี้จะช่วยรับแรงดึงภายในคอนกรีต ซึ่งโครงสร้างอาคาร ส่วนใหญ่นิยมใช้คอนกรีตเสริมแรงแทนที่เหล็กเปลือย คอนกรีตจะมีสัดส่วน ปูนซีเมนต์ต่อทรายต่อหิน ดังนี้ • สัดส่วน 1:1.5:3 จะเป็นโครงสร้างและงานเสา • สัดส่วน 1:2:4 จะเป็นงานพื้น คาน • สัดส่วน 1:2.5:4 จะเป็นงานถนน ฐานราก การบ่มคอนกรีต หลังจากคอนกรีตถูกเทลงแบบแล้ว 24 ชั่วโมง ควรเริ่มต้นท าการบ่มคอนกรีตอย่างต่อเนื่องจนได้อายุ ตามตารางที่จ านวนวันในการบ่มคอนกรีต งาน คอนกรีตที่ใช้ ปูนซีเมนต์ตรา เสือ ปูนซีเมนต์ตรา ช้าง ปูนซีเมนต์ตรา เอราวัณ งานธรรมดา เสา คาน และ ก าแพง 7 วัน 7 วัน 4 วัน พื้นบ้าน พื้นถนนในบ้าน ฯลฯ 8 วัน 8 วัน 4 วัน ถนนชั้นหนึ่งลานจอดหรือทาง วิ่งของเครื่องบิน - 14 วัน 7 วัน เข็มส าหรับจะน าไปตอกเป็น ฐานราก 21 วัน 14 วัน 7 วัน งานพิเศษ แผ่นพื้นบาง ๆ 14 วัน 14 วัน 7 วัน รูปหล่อที่เล็กบาง ซึ่งใช้ ปูนซีเมนต์ผสมมาก - 21 วัน 7 วัน การบ่มคอนกรีตควรเลือกวิธีที่เหมาะสมส าหรับงานนั้น ๆ ซึ่งมีอยู่หลายวิธีได้แก่ 1. ใช้น้ าฉีดหรือพรมน้ า 2. ใช้กระสอบคลุมแล้วรดน้ าให้ชุ่มอยู่เสมอ 3. ใช้สารประกอบทางเคมีส าหรับพ่นเป็นเยื่อบาง ๆ คลุม 4. ใช้กระดาษกันซึมปิดคลุม 5. ใช้ดินเหนียวกั้นเป็นขอบขังน้ าไว้ 6. ใช้แผ่นผ้าพลาสติกคลุมให้มิดชิด 7. ใช้ทราย ขี้เลื่อย หรือดินคลุมแล้วรดน้ าให้ชุ่ม
การบ่มคอนกรีต คือ การรักษาระดับปริมาณความชื้นและอุณหภูมิของคอนกรีต โดยเฉพาะในช่วง อายุเริ่มต้นของคอนกรีตให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสม เพื่อลดการแตกร้าวของคอนกรีต และท าให้คอนกรีตมีก าลัง และความคงทนสูงปัญหาที่พบบ่อยในการก่อสร้างหรือหล่อแผ่นพื้นคอนกรีตในสภาพอากาศร้อนหรือมีลมพัด แรง อาทิเช่น พื้นอาคาร , พื้นถนน , พื้นสนามบิน , หรือแม้แต่แผ่นพื้นคอนกรีตส าเร็จรูป คือ การแตกร้าวของ คอนกรีตในขณะที่ก าลังแข็งตัว อันเกิดจากการขาดการบ่มคอนกรีต หรือการบ่มล่าช้าเกินไป หรือการบ่มอย่าง ผิดวิธี วิธีการบ่มคอนกรีต แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ตามสภาพอุณหภูมิที่ใช้บ่ม ได้แก่ การบ่มอุณหภูมิปกติ และ การบ่มที่อุณหภูมิสูง วิธีการบ่มที่อุณหภูมิปกติด สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 วิธีหลัก ๆ ได้แก่ การบ่มโดย การเพิ่มน้ า และการบ่มโดยการป้องกันการสูญเสียความชื้น การบ่มโดยการเพิ่มน้ า เป็นการเพิ่มน้ าให้ผิวหน้าคอนกรีตในระยะเริ่มแข็งตัวโดยตรงอย่างต่อเนื่อง โดยควรค านึงถึงความสามารถในการจัดหาน้ า , แรงงาน , และวัสดุที่ใช้บ่ม ซึ่งน้ าที่ใช้บ่มจะต้องไม่มีสสารที่เป็น อันตรายต่อคอนกรีต , ไม่ท าให้ผิวคอนกรีตเปลี่ยนสี , และควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ าบ่มที่มีอุณหภูมิต่ ากว่า คอนกรีตเกิน 10 องศาเซลเซียส เพราะจะท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่ามากโดยฉับพลันและท าให้ คอนกรีตแตกร้าวได้ การฉีดหรือพรมน้ า : เหมาะกับโครงสร้างทั้งที่อยู่ในแนวราบและแนวดิ่ง เช่น แผ่นพื้น ผนัง ,ก าแพง การขัง : เหมาะกับโครงสร้างที่อยู่ในแนวราบ เช่น พื้นอาคาร , ทางน้ าไหล , พื้นสะพาน , พื้นถนน , พื้นสนามบิน การใช้วัสดุเปียกชื้นคลุม : เหมาะกับโครงสร้างทั้งที่อยู่ในแนวราบและแนวดิ่ง เช่น พื้นอาคาร , พื้นถนน, ผนัง, ก าแพง การบ่มโดยการป้องกันการสูญเสียความชื้น เป็นการใช้วัสดุปิดทับหรือเป็นฟิล์มเคลือบผิวคอนกรีต อาทิ เช่น กระดาษกันน้ าซึม , ผ้าพลาสติก , น้ ายาบ่มคอนกรีต และการบ่มโดยใช้แบบหล่อท าหน้าที่เป็นแผ่น คลุมเพื่อลดการสูญเสียน้ าที่ระเหยออกจากคอนกรีต การใช้กระดาษกันน้ าซึมคลุม : ควรเป็นไปตามข้อก าหนดของ ASTM C 171 นิยมใช้กับพื้นราบ การใช้ผ้าพลาสติกคลุม : ควรเป็นไปตามข้อก าหนดของ ASTM C 171 ใช้ได้กับทุกโครงสร้าง โดย เฉพาะที่ไม่เน้นลักษณะผิวที่ปรากฏ เช่น รางน้ า , พื้นหลังคา , พื้นถนน , ขอบทาง การใช้น้ ายาบ่มคอนกรีต : ควรเป็นไปตามข้อก าหนดของ ASTM C 309 ใช้ได้กับโครงสร้างพิเศษ การบ่มโดยใช้แบบหล่อ : ใช้ได้กับโครงสร้าง เช่น ฐานราก , เสา , คาน , ผนัง , ก าแพง เป็นต้น น้ ายาบ่มคอนกรีต : ไม่ควรใช้น้ ายาบ่มกับผิวคอนกรีตที่จะมีการก่อสร้างต่อ , ทาสี หรือปูกระเบื้อง หรือพ่นลงบนเหล็กเสริมหรือรอยต่อ เพราะจะท าให้การยึดเหนี่ยวเสียไป ควรฉีดพ่นน้ ายาบ่มคลุมผิวคอนกรีต ภ า ย ห ลั ง จ า ก ก า ร แ ต่ ง ผิ ว ห น้ า ค อ น ก รี ต เ ส ร็ จ แ ล้ ว แ ล ะ ผิ ว ห น้ า ค อ น ก รี ต เ ริ่ ม แ ห้ ง ข้อควรระวัง : ในช่วงอายุเริ่มต้นของคอนกรีตหรือมในขณะที่คอนกรีตก าลังเข็งตัว ควร หลีกเลี่ยงการท าให้คอนกรีตได้รับการสั่นสะเทือน , การกระแทก , การรับน้ าหนักมากเกินไป , และการ เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของคอนกรีตโดยฉับพลัน
การผสมคอนกรีต 1. ต้องผสมคอนกรีตด้วยเครื่องมือกลที่อยู่ในสภาพดี การผสมด้วยมือจะกระท าได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาต จากผู้ควบคุมงานก่อนเท่านั้น ผู้รับจ้างต้องจัดเตรียมวิธีการป้อนวัสดุส าหรับผสมให้เหมาะสม และปริมาณ ถูกต้อง 2. โม่ผสม ต้องผสมคอนกรีตเกินปริมาตร หรือใช้ความเร็วเกินกว่าที่ก าหนดไว้ให้คอนกรีตที่ผสมนาน เกินไป แล้วใช้น้ าเติมเพื่อให้ได้ความข้นเหลวที่ต้องการ จะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้คอนกรีตที่ผสมแต่ละโม่ต้องใช้ให้ หมดก่อนจึงจะผสมใหม่ได้ เครื่องผสมต้องปราศจากคอนกรีตที่แข็งตัวอยู่แล้วในโม่โดยเด็ดขาด 3. เวลาการผสม ให้ผสมคอนกรีตด้วยเครื่องผสม ซึ่งไม่หมุนเร็วกว่า 30 รอบต่อนาที นับตั้งแต่เริ่มใส่น้ า ลงไปในโม่ ซึ่งบรรจุทราย หิน หรือกรวด และปูนซีเมนต์ไว้แล้ว ต้องใส่น้ าตามที่ต้องการให้หมด ภายในเวลา 1/4 เท่าของเวลาของการผสมที่ก าหนดให้ เวลาที่ใช้ผสมต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าที่ก าหนดไว้ข้างล่างนี้ และไม่ น้อยกว่า 2 เท่า ของเวลาที่ก าหนดให้ การล าเลียงคอนกรีต การล าเลียงคอนกรีตจากเครื่องผสมไปยังที่ใช้งาน ต้องกระท าในลักษณะที่ไม่ท าให้ส่วนผสมของ คอนกรีตแยกตัว หรือท าให้เนื้อคอนกรีตยุบตัวมาก ท าให้เนื้อคอนกรีตไม่สม่ าเสมอ การเทคอนกรีต 1. การเตรียมแบบหล่อก่อนเทคอนกรีต ต้องเตรียมแบบหล่อคอนกรีตให้มั่นคงแข็งแรง สามารถรับ น้ าหนักคอนกรีตเหลวและน้ าหนักบรรทุกอื่นๆได้ โดยที่แบบไม่ทรุด บิด หรือโก่งงอ ต้องท าความสะอาดแบบ หล่อให้สะอาด ไม่ให้มีสิ่งสกปรกใด ๆ ตกค้างอยู่ในแบบหล่อ ต้องท าการอุดรูรั่วและยาแนวรอยต่อต่างๆ ให้ เรียบร้อย โดยไม่ให้น้ าปูนรั่วไหลออกจากแบบหล่อได้ ต้องจัดวางเหล็กเสริมและวัสดุอื่นๆที่ต้องฝังในคอนกรีตให้ เรียบร้อยถูกต้องตามแบบก่อสร้าง และรายการละเอียดทุกประการ และจะท าการเทคอนกรีตในแบบหล่อได้ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ควบคุมงานก่อนทุกครั้ง 2. การวางแผนงาน,วิธีการ และการเตรียมงาน ผู้รับจ้างต้องวางแผนงานและวิธีการเทคอนกรีตทั้งหมด ก่อนล่วงหน้า และวางแผนงานและวิธีการเทคอนกรีตในแต่ละครั้ง แผนงานและวิธีการทั้งหมดนี้ต้องได้รับความ เห็นชอบจากผู้ควบคุมงานก่อนจะด าเนินงาน ผู้รับจ้างต้องเตรียมก าลังคน เครื่องมืออุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ที่ใช้ ประกอบในการเทคอนกรีตให้เพียงพอเหมาะสม และครบถ้วน ก่อนจะเทคอนกรีต ผู้ควบคุมงานอาจสั่งระงับ การเทคอนกรีตได้ เมื่อพิจารณาเห็นว่าการเตรียมงานไม่ดีเพียงพอ
3. การเทคอนกรีตลงในแบบหล่อ ต้องเทคอนกรีตให้ใกล้จุดหมายที่จะเทมากที่สุดที่จะท าได้ ห้ามเท คอนกรีตโดยปล่อยให้ตกลงจากที่สูงเกิน 1.50 เมตร การเทคอนกรีตให้เทเป็นชั้นๆ ชั้นหนึ่งหนาไม่เกิน 0.30 เมตร และแต่ละชั้นต้องใช้เครื่องเขย่าจี้คอนกรีตให้แน่น หรืออาจใช้ผสมกับการกระทุ้งด้วยเหล็ก แต่ห้ามใช้ วิธีใช้เครื่องเขย่าจี้ที่แบบหล่อ หรือเคาะที่แบบหล่อ การจี้คอนกรีตต้องนานพอที่จะท าให้คอนกรีตแน่นแต่ไม่นาน เกินไปจนเกิดการแยกตัวของส่วนผสม ระยะห่างของการจี้แต่ละครั้งต้องคงที่สม่ าเสมอ ในการเทคอนกรีตแต่ละ ครั้งจะต้องมีผู้ควบคุมงานดูแลควบคุมอยู่ตลอดเวลา หากผู้รับจ้างท าการเทคอนกรีตโดยไม่มีผู้ควบคุมงานดูแล รับผิดชอบแล้ว ผู้รับจ้างต้องท าการทุบรื้อคอนกรีตนั้นๆ ทันที ค่าใช้จ่ายต่างๆ เหล่านี้ ผู้รับจ้างรับผิดชอบทั้งสิ้น กิจกรรมการเรียนรู้ 1. ครูบรรยายเนื้อหาจากสื่อการสอนพร้อมตั้งค าถาม-ตอบ ระหว่างเรียน 2. นักศึกษาฟังบรรยายจากสื่อการสอนพร้อมตั้งค าถาม-ตอบ ระหว่างเรียน 3. ครูและนักศึกษาช่วยกันสรุปเนื้อหาในบทเรียน 4. ครูประเมินในแบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล 5. นักศึกษาส่งผลงานให้ครูผู้สอนตรวจ 6. ครูผู้สอนตรวจให้คะแนนผลงานของผู้เรียน หลักฐานการเรียนรู้ 1. หลักฐานความรู้ - สมุดจดบันทึก 2. หลักฐานการปฏิบัติงาน - เอกสารประกอบการปฏิบัติงาน การประเมินผลการเรียนรู้ - คะแนนจากการสมุดจดบันทึก - คะแนนจากการถาม-ตอบระหว่างเรียน - คะแนนจากเอกสารประกอบการปฏิบัติงาน - คะแนนจากการให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงาน เอกสารอ้างอิง 3. หนังสือ “วัสดุก่อสร้าง” โดย พงศ์พัน วรสุนทโรสถ และ วรพงศ์ วรสุนทโรสถ
การบูรณาการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และคุณลักษณะ 3D แก่ผู้เรียน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 9. ผู้เรียนรู้จักใช้และจัดการกับวัสดุอุปกรณ์การเรียนอย่างคุ้มค่า และประหยัด 10. ผู้เรียนมีความเพียรพยายาม กระตือรือร้นและมีเหตุผลในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนร่วมกับ ผู้อื่น คุณลักษณะ 3D ด้านประชาธิปไตย (Democracy) กิจกรรมการเรียนการสอน ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รับฟังและแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ รวมทั้งการ แสดงออก ด้านคุณธรรม จริยธรรม และความเป็นไทย (Decency) 9. ผู้เรียนมีความรับผิดชอบในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จตามแผนที่ก าหนดเวลาไว้ 10. ผู้เรียน ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนต่อครูผู้สอนและเพื่อน ด้านภูมิคุ้มภัยจากยาเสพติด (Drug-Free) ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมต่อกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักการเอาใจใส่ ต่อการเรียน เอาใจใส่ต่องานที่ได้รับมอบหมาย มีน้ าใจ ให้ความร่วมมือ มีเหตุผลจะเป็นภูมิคุ้มกันภัยจากยาเสพ ติดให้กับผู้เรียนได้
แบบประเมินพฤติกรรมผู้เรียน วิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี ล าดับ ชื่อ-สกุล คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน รวมคะแนน (20 คะแนน) สนใจ กระตือรือร้น ใช้ของส่วนตัว/ส่วนรวมอย่างคุ้มค่า พูดความจริง/ไม่ทุจริต แต่งกายถูกต้องตามระเบียบ การมีสัมมาคาราวะ ดูแลรักษาความสะอาดส่วนตัว/ ส่วนรวม ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมฯ ให้ความช่วยเหลือ มีน้ าใจ แสดง/รับฟังความคิดเห็น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18
บันทึกหลังการสอน บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ 1. ข้อสรุปหลังการจัดการเรียนรู้ 2. ปัญหาและอุปสรรคที่พบ 3. แนวทางพัฒนา/แก้ปัญหา (นายณรงศักดิ์ วิเศษ) (นายสาธิต เสวกจันทร์) หัวหน้าแผนกวิชาช่างก่อสร้าง รองผู้อ านวยการฝ่ายวิชาการ
แผนการสอน/การเรียนรู้ หน่วยที่ 6 ชื่อวิชา วัสดุและวิธีก่อสร้างงานโครงสร้าง สอนครั้งที่ 6 ชื่อหน่วย เหล็ก คาบรวม 2 ขื่อเรื่อง เหล็ก จ านวน คาบ 2 หัวข้อเรื่อง เหล็ก สาระส าคัญ 10. ประเภทของเหล็ก 11. เหล็กในงานก่อสร้าง สมรรถนะประจ าหน่วย 1. เลือกเหล็กได้เหมาะสมกับงานแต่ละประเภทได้อย่างเหมาะสม 2. อธิบายถึงความส าคัญของเหล็กเสริมคอนกรีตได้ จุดประสงค์ทั่วไป นักเรียนอธิบายและเข้าใจหลักการการเลือกใช้เหล็กในงานก่อสร้างได้ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 1. สามารถเลือกเหล็กได้เหมาะสมกับงานแต่ละประเภทได้อย่างเหมาะสม 2. อธิบายถึงความส าคัญของเหล็กเสริมคอนกรีตได้ 3. เข้าใจการเก็บรักษาเหล็กได้ เนื้อหาสาระ ชนิดของเหล็ก เหล็กที่ใช้ในการก่อสร้างจะมี 2 ชนิด คือ 1.เหล็กเส้นกลมผิวเรียบ หรือเหล็ก RB เหล็กเส้นกลมผิวเรียบจัดเป็นเหล็กในประเภทเหล็กผสม ประเภทเหล็กกล้าละมุน(Mild Steel) มีส่วนผสมหลักคือ แร่เหล็กและคาร์บอน อาจมีธาตุอื ่นผสมลงไปเพื่อเพิ ่มคุณสมบัติบาง
ประการ โดยทั่วไปแล้วเหล็กเส้นกลมผิวเรียบจะมีปริมาณคาร์บอนไม่เกิน 0.3% หากใส่คาร์บอน ลงไปมากจะท าให้เหล็กมีความเปราะสูง เหล็กเส้นผิวเรียบ มีคุณภาพตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไทย มอก. 20-2527 ชั้นคุณภาพ SR 24 กล่าวคือ - แรงดึงสูงสุด (ULTIMATE TENSILE STRESS) ต้องไม่น้อยกว่า 3900 กก./ซม.2 - แรงดึงที่จุดยึด (YIELD TENSILE STRESS) ต้องไม่น้อยกว่า 2400 กก./ซม.2 - ความยึด (ELONGATION) ต้องไม่น้อยกว่า 21 % 2.เหล็กข้ออ้อยหรือเหล็กDB เหล็กข้ออ้อย เป็นเหล็กที ่มีแรงยึดเกาะที ่ผิวสูง เหมาะส าหรับงานคอนกรีตเสริมเหล็กที่ ต้องการความแข็งแรงสูง งานก่อสร้างที่ต้องรับแรงอัดมากๆสะพานและตึกที่มีความสูงมาก ผลิต ตามมาตรฐาน มอก.24-2548 ชั้นคุณภาพ SD 30,SD 40 และ SD 50 เหล็กเส้นข้ออ้อย มีคุณภาพตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไทย มอก. 24-2527 ชั้นคุณภาพ SD 30 กล่าวคือ - แรงดึงสูงสุด (ULTIMATE TENSILE STRESS) ต้องไม่น้อยกว่า 4900 กก./ซม.2 - แรงดึงดูดที่จุดยึด (YIELD TENSILE STRESS) ต้องไม่น้อยกว่า 3000 กก./ซม.2 - ความยึด (ELONGATION) ต้องไม่น้อยกว่า 17 % ลวดผูกเหล็ก ใช้ลวดเหล็กเหนียว ดัดบิดได้ ขนาดมาตรฐาน เบอร์ 18 เหล็กเสริมคอนกรีตที่ใช้ต้องเป็นเหล็กใหม่ปราศจากสนิม ไม่เปื้อนโคลน,น้ ามัน หรือสารอื่นๆ ที่จะท าให้แรงยึด เหนี่ยวระหว่างคอนกรีตและเหล็กลดน้อยลง ห้ามใช้เหล็ก ไม่เต็มขนาด หรือเหล็กที่มีรอยคอด ท าให้พื้นที่ หน้าตัดของเหล็กน้อยกว่าที่ก าหนดให้ เหล็กหล่อ (Cast Iron) เหล็กหล่อเป็นเหล็กที่ผลิตจากเหล็กดิบสีเทา (Gray Pig Iron)ที่ได้จากเตาสูง (Blast Furnace) มา หลอมหรือถลุงใหม่ในเตาคิวโปลา เตาแอร์เฟอร์เนซ หรือเตาไฟฟ้า ถ้าพิจารณาดูจาก Iron-carbon Equilibrium Diagram แล้วจะเห็นว่าเหล็กหล่อมีปริมาณธาตุคาร์บอนผสมอยู่ประมาณ 2% - 6.67% ส่วน เหล็กกล้ามีปริมาณธาตุคาร์บอนผสมอยู่ประมาณ 0.008% - 2%เท่านั้น แต่ทางปฏิบัติแล้วเหล็กหล่อจะมี ปริมาณธาตุคาร์บอนผสมอยู่ประมาณ 2.5% – 4% ถ้ามีมากกว่านั้นจะขาดคุณสมบัติความความเหนียว (Ductility) จะเปราะและแตกหักง่ายเมื่อถูกแรงกระแทกปกติ 1.1 เหล็กหล่อ Ni-Hard คุณสมบัติโดยทั่วไป 1. ความต้านทานแรงดึง 2. ความต้านทานแรงกระแทก 1.2 เหล็กหล่อโครเมียมสูง
เป็นเหล็กหล่อที่มีเปอร์เซ็นของโครเมียม 10–30% มี% คาร์บอน 2.0-3.0% ธาตุที่ผสมอยู่คือซิลิกอน , แมงกานีส, โมลิบดินัม เนื่องจากโครเมียมจะรวมตัวกับคาร์บอนในเหล็กหล่อเกิดเป็นโครเมียมจะรวมตัวกับ คาร์บอนในเหล็กหล่อเกิดเป็นโครเมียมคาร์ไบด์ ซึ่งมีคุณสมบัติทนต่อการเสียดสีได้สูง มีอายุการใช้งานยาวนาน มีโครงสร้างเป็นแบบเฟอร์ไรท์ ประเภทของเหล็กกล้า เหล็กกล้าเป็นเหล็กที่ถูกน าไปใช้ในงานต่างๆมากมาย ทั้งนี้เนื่องจากเหล็กกล้านั้น มีคุณสมบัติในการ รับแรงต่างๆได้ดี เช่น แรงกระแทก (Impact Strength) แรงดึง (Tensile Strength) แรงอัด (Compressive Strength) และ แรงเฉือน (Shear Strength) ซึ่งธาตุผสมส่วนใหญ่จะเป็นทั้งโลหะและอโลหะ เช่น โมลิบดินั่ม ทังสเตน วาเนเดียม เป็นต้น โดยเหล็กกล้าสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้ เหล็กกล้าคาร์บอน (Carbon steels) หมายถึง เหล็กกล้าที่มีส่วนผสมของธาตุคาร์บอนเป็นธาตุหลัก ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อคุณสมบัติทางกลของเหล็ก และยังมีธาตุอื่นผสมอยู่อีก ซึ่งแบ่งเหล็กกล้าคาร์บอนออก เป็น 3 ประเภท ดังนี้ - เหล็กกล้าคาร์บอนต่ า (Low Carbon Steel) เป็นเหล็กที่มีปริมาณคาร์บอนไม่เกิน 0.25% นอกจากคาร์บอนแล้ว ยังมีธาตุอื่นผสม- อยู่ด้วย เช่น แมงกานีส ซิลิคอน ฟอสฟอรัส และก ามะถัน แต่ มีปริมาณน้อยเนื่องจาก หลงเหลือมาจากกระบวนการผลิต เหล็กประเภทนี้ถูกน าไปใช้ในอุตสาหกรรม และใน ชีวิตประจ าวันไม่ต่ ากว่า 90% เนื่องจากขึ้นรูปง่าย เชื่อมง่าย และราคาไม่แพง โดยเฉพาะเหล็กแผ่นมีการ น ามาใช้งานอย่างกว้างขวาง เช่น ตัวถังรถยนต์ชิ้นส่วนยานยนต์ต่างๆ กระป๋องบรรจุอาหาร สังกะสีมุงหลังคา เครื่องใช้ในครัวเรือน และในส านักงาน - เหล็กกล้าคาร์บอนสูง (High Carbon Steel) เป็นเหล็กที่มีปริมาณคาร์บอน 0.5 - 1.5% มีความแข็งความแข็งแรงและความเค้น- แรงดึงสูง เมื่อชุบแข็งแล้ว จะเปราะ เหมาะส าหรับงานที่ทนต่อการสึกหรอ ใช้ในการท า เครื่องมือ สปริงแหนบ ลูกปืน เป็นต้น - เหล็กกล้าประสม (Alloys Steel) หมายถึง เหล็กที่มีธาตุอื่นนอกจากคาร์บอน ผสมอยู่ในเหล็ก ธาตุบางชนิดที่ผสมอยู่ อาจมีปริมาณมากกว่า คาร์บอน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์โดยน้ าหนักในเหล็กก็ได้ธาตุที่ผสม ลงไปได้แก่ โมลิบดินั่ม แมงกานีส ซิลิคอน โครเมียม อลูมิเนียม นิกเกิล และวาเนเดียม เป็นต้นจุดประสงค์ที่ต้องเพิ่มธาตุต่างๆเข้าไปในเนื้อเหล็ก ก็เพื่อ การท าให้คุณสมบัติของเหล็ก เปลี่ยนไปนั่นเองที่ส าคัญก็คือ 1. เพิ่มความแข็ง 2. เพิ่มความแข็งแรงที่อุณหภูมิปกติและอุณหภูมิสูง 3. เพิ่มคุณสมบัติทางฟิสิกส์ 4. เพิ่มความต้านทานการสึกหรอ 5. เพิ่มความต้านทานการกัดกร่อน 6. เพิ่มคุณสมบัติทางแม่เหล็ก 7. เพิ่มความเหนียวแน่นทนต่อแรงกระแทก
เหล็กกล้าประสม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. เหล็กกล้าประสมต่ า (Low Alloy Steels) เป็นเหล็กกล้าที่มีธาตุประสมรวมกันน้อยกว่า 8% ธาตุ ที่ผสมอยู่คือ โครเมียม นิกเกิล โมลิบดินั่ม และแมงกานีส ปริมาณของธาตุที่ใช้ผสมแต่ละตัวจะไม่มากประมาณ 1 – 2% ผลจากการผสมท าให้เหล็กสามารถชุบแข็งได้ มีความแข็งแรงสูง เหมาะส าหรับใช้ในการท าชิ้นส่วน เครื่องจักรกล เช่น เฟือง เพลาข้อเหวี่ยง จนบางครั้งมีชื่อว่าเหล็กกล้า เครื่องจักรกล (Machine Steels เหล็กกล้ากลุ่มนี้จะต้องใช้งานในสภาพชุบแข็งและอบก่อนเสมอจึงจะมีค่าความแข็งแรงสูง 2. เหล็กกล้าประสมสูง (High alloy steels) เหล็กกล้าประเภทนี้จะถูกปรับปรุงคุณสมบัติ ส าหรับ การใช้งานเฉพาะอย่าง ซึ่งก็จะมี ธาตุประสมรวมกันมากกว่า 8% เช่น เหล็กกล้าทนความร้อน เหล็กกล้าทน การเสียดสี และเหล็กกล้าทนการกัดกร่อน กรรมวิธีทางความร้อนของเหล็กกล้า Heat Treatment of steel การปรับปรุงคุณสมบัติของเหล็กกล้าโดยการใช้กรรมวิธีทางความร้อน ได้แก่ การอบอ่อน (Annealing) การอบปกติ (Normalizing) การชุบแข็ง (Hardening) การอบคืนตัว (Mar tempering) และการชุบผิวแข็ง (Surface Hardening) ในที่นี้เราขอกล่าวถึงการ Normalizing การท า Normalizing เป็นกรรมวิธีที่ใช้ท ากับงานสร้างชิ้นส่วนเครื่องจักรกลโดยทั่วไปไม่ว่าจะ เป็นงานที่ผ่านการขึ้นรูป ร้อน เช่น การรีด (Hot Rolling) หรือการตีขึ้นรูป (Hot Forging) เหล็กจะถูกเผาที่อุณหภูมิค่อนข้างสูง จะได้ เหล็กที่มีเกรนโต มีลักษณะเป็น Dendrite และ ไม่สม่ าเสมอ มีข้อเสียที่จะต้องปรับปรุงก่อนน าไปใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่ผ่านการ ขึ้นรูปเย็น เช่น การรีด (Cold Rolling) หรือการตีขึ้นรูป ท าให้โครงสร้าง ภายในของเหล็กจะเกิด การบิดเบี้ยวไปตามทิศทางของแรงกระท า ท าให้เกิดความเครียดภายในสูญเสียความ เหนียว และมีความแข็งเพิ่มขึ้นในลักษณะที่ไม่สม่ าเสมอ สิ่งที่เกิดขึ้นในลักษณะที่ไม่ดีเหล่านี้สามารถ ท าให้หมด ไปและปรับปรุงให้ดีขึ้นโดนเฉพาะขนาดของเกรนของเนื้อเหล็กท าให้มีขนาดเล็ก ละเอียด และสม่ าเสมอได้ด้วย วิธีการท า Normalizing ซึ่งจะเน้นในเรื่องของการปรับปรุงโครงสร้างมากที่สุด (Grain refinement ข้อดี 1. สามารถใช้แทนกระบวนการ Normalizing ได้โดยทั่วไปจะได้เหล็กที่มีคุณสมบัติเหมือนกับการท า Normalizing 2. ปรับปรุงคุณสมบัติในด้านความแกร่ง (Toughness) 3. ท าให้เหล็กมีคุณสมบัติสม่ าเสมอตลอดแผ่น ข้อเสีย 1. เสียเวลาในการรอให้เหล็กเย็นตัวระหว่างการรีด ท าให้เสีย Productivity 2. หากควบคุณอุณหภูมิไม่ดีอาจท าให้เหล็กไม่ได้คุณสมบัติตามที่ต้องการ ลวดผูกเหล็ก(Black Iron Wire) ผลิตโดยผ่านกรรมวิธีการอบด้วยไฟฟ้า(Electrical Pit Furnace) ที่อุณหภูมิเฉลี่ย 800 องศา ใช้ เวลาอย่างน้อย 12 ชั่วโมง เพื่อได้ลวดผูกเหล็กที่มีความนิ่มเป็นพิเศษสะดวกต่อการใช้งาน ลวดผูกเหล็ก ใช้ลวด เหล็กเหนียว ดัดบิดได้ ขนาดมาตรฐาน เบอร์ 18 เหล็กเสริมคอนกรีตที่ใช้ต้องเป็นเหล็กใหม่ปราศจากสนิม ไม่
เปื้อนโคลน, น้ ามัน หรือสารอื่น ๆ ที่จะท าให้แรงยึดเหนี่ยวระหว่างคอนกรีตและเหล็กลดน้อยลง ห้ามใช้เหล็ก ไม่เต็มขนาด หรือเหล็กที่มีรอยคอด ท าให้พื้นที่หน้าตัดของเหล็กน้อยกว่าที่ก าหนดให้ ขั้นตอนการผลิต / Production Process 1. วัตถุดิบ(Wire Rod) 2. ปอกผิว(Descaling Pickling) 3. รีดลวด(Drawing) 4. อบไฟฟ้า 800-1200 องศา (Annealing) ข้อเปรียบเทียบระหว่างเหล็กหล่อกับเหล็กกล้า เหล็กหล่อ (Cast Iron) เหล็กกล้า (Steel) 1.มีปริมาณคาร์บอน 2% - 6.67% 1.มีปริมาณคาร์บอน 0.008% - 2% 2.มีจุดหลอมเหลวประมาณ 1150 – 1250 °C 2.มีจุดหลอมเหลวประมาณ 1539 °C 3.อัตราการขยายตัวต่ า 3.อัตราการขยายตัวสูง 4.รับแรงอัดดี รับแรงดึงได้น้อย 4.รับแรงอัดดี รับแรงดึงได้มาก 5.มีความแข็งแรงปานกลาง 5.มีความแข็งแรงปานกลาง - สูง 6.ราคาถูกประหยัดเชื้อเพลิงในการถลุง 6.ราคาแพงใช้เชื้อเพลิงในการถลุงมาก การหล่อโลหะ และโลหะผสม น าโลหะที่ต้องการ ไปหลอมในเตาหลอม จากนั้น น าไปเทลงแบบ หรือ เครื่องหล่อแบบต่อเนื่อง (continuous casting) เพื่อให้ได้ รูปร่าง และขนาดตามที่ต้องการ อาจเป็นชิ้นส่วนส าเร็จรูป หรือเป็นชิ้นส่วน ที่เป็นวัตถุดิบ เพื่อน าไปผลิตแบบต่อเนื่อง ต่อไปนี้เป็น ภาพตัวอย่างของกระบวนการผลิตเหล็กหล่อ แบบต่อเนื่อง การกัดกร่อนของโลหะ ปัจจุบันเรามีการใช้เหล็กเป็นวัสดุพื้นฐานส าหรับงานต่างๆ มากมาย ซึ่งข้อพิจารณาในการเลือก ใช้ ผลิตภัณฑ์เหล็ก นอกจากจะดูที่ความแข็งแรง ความเหนียว (Toughness) ความสามารถใน การขึ้นรูปและ ความสามารถในการเชื่อมประกอบแล้ว เรายังต้อง พิจารณาถึงความต้านทาน การกัดกร่อนด้วย เพื่อให้ใช้งาน เหล็กได้อย่าง คุ้มค่า ลดความจ าเป็นในการซ่อมบ ารุง และมั่นใจ ในความปลอดภัย เช่น อุตสาหกรรม อาหาร การขนส่ง เชื้อเพลิงโดยท่อเหล็ก เป็นต้น