1 รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ การศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี A Study of the Service Quality of Financial Work on the Disbursement of Training Expenses of the Faculty of Technical Education, Rajamangala University of Technology Thanyaburi (RMUTT) ปาริฉัตร ราชสีห์ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมงานวิจัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ประจ าปี 2565
2 การศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี A Study of the Service Quality of Financial Work on the Disbursement of Training Expenses of the Faculty of Technical Education, Rajamangala University of Technology Thanyaburi (RMUTT) ปาริฉัตร ราชสีห์ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมงานวิจัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ประจ าปี 2565
3 ชื่องานวิจัย การศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่าย ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ชื่อผู้วิจัย นางสาวปาริฉัตร ราชสีห์ หน่วยงาน งานการเงิน คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ที่ปรึกษางานวิจัย รองศาสตราจารย์ ดร.พิมลพรรณ เพชรสมบัติ ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัย กองทุนส่งเสริมงานวิจัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ปีที่ท าการวิจัย 2565 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับ การเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหาร อาจารย์ และเจ้าหน้าที่สายสนับสนุน คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จำ นวน 108 คน เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถามแบบมาตราวัดประมาณค่า 5 ระดับ แบบสัมภาษณ์ สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะ ครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีพบว่า ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) เจ้าหน้าที่ควรยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา ควรช่วยเหลือในการเบิก-จ่าย ควรมีการทำแผนงาน และแจ้งเวียนขั้นตอนการเบิกจ่าย ด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้(Reliability) ผู้ให้บริการควรมีใจรักการบริการ สามารถถามตอบ คำถามได้มีความรู้และทักษะในการปฏิบัติงาน ควรให้บริการข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ และชัดเจน ไม่เลือก ปฏิบัติ มีความรวดเร็วในการปฏิบัติงาน ด้านการตอบสนองต่อผู้มารับบริการ (Responsiveness) เจ้าหน้าที่ควรเพิ่มการบริการช่วงเวลา เลิกงาน เพราะบางทีอาจารย์และเจ้าหน้าที่บางท่านไม่สะดวกเวลาช่วงกลางวัน มีความเต็มใจที่จะให้บริการ สามารถช่วยเหลือผู้เข้ารับบริการได้อย่างทันท่วงที มีความรวดเร็วและถูกต้องครบถ้วนในการบริการ ก
4 ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ (Assurance) มีกริยามารยาทที่ดีใช้การติดต่อสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพและให้ความมั่นใจว่าผู้รับบริการจะได้รับบริการที่ดีที่สุด ด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy) เจ้าหน้าที่ควรเข้าใจ และรับฟังปัญหา ของการเบิก-จ่าย ให้เพิ่มมากขึ้น ควรช่วยเหลือและเสนอแนะในขั้นตอนการเบิก-จ่าย มีความเข้าใจ ต่อการเข้ารับบริการ มีการให้บริการอย่างเท่าเทียมทุกคนไม่เลือกปฏิบัติ ควรสอบถามและตอบข้อซักถาม ด้วยความเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจปัญหาของผู้รับบริการ ค าส าคัญ: คุณภาพการให้บริการ งานการเงิน การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม ข
5 Research Title A Study of the Service Quality of Financial Work on the Disbursement of Training Expenses of the Faculty of Technical Education, Rajamangala University of Technology Thanyaburi (RMUTT) Researcher Miss Parichat Ratchasee Institute Finance Division, Faculty of Technical Education, RMUTT Research Advisor Associate Professor Pimolpun Phetsombat, Ph.D. Research Budget Research Fund Rajamangala University of Technology Thanyaburi Research Year 2022 ABSTRACT The purposes of this research were: (1) to investigate the service quality of financial work regarding training disbursement at the Faculty of Technical Education, RMUTT; and (2) to study the guidelines to improve the service quality of financial work regarding the training disbursement for the Faculty of Technical Education, RMUTT. The sample group used in this research were 108 people comprised administrators, lecturers, and support staff at the Faculty of Technical Education, RMUTT. The research instruments used to collect data were a 5-point rating scale questionnaire, and the interview form. The statistical methods used toanalyze the data comprised frequency, percentage, mean and standard deviation, along with the content analysis. The research results revealed that: (1) the overall service quality of financial work regarding the training disbursement at the Faculty of Technical Education, RMUTT was at a high level, and (2) the guidelines to improve the service quality of financial work regarding the training disbursement for the Faculty of Technical Education, RMUTT were as follows. Tangibility dimension, service staff should provide services with willingness and have a smiling face while providing the service, provide assistance in disbursement, create a service plan and publicizing the disbursement process to all service users. Reliability dimension, service staff should have a passion for service, able to answer relevant questions, have sufficient knowledge and skills to perform the job, able to afford correct, accurate and clearly information, provide the services equally, and able to deliver the services in a timely and appropriate manner. Responsiveness dimension, service staff should arrange to provide services at times that are convenient for service recipients who have time constraint, such as providing ค
6 services in the evening, be willing to provide services, able to help service users in a timely manner, and deliver services quickly, accurately and completely. Assurance dimension, service staff should have good manners, able to use effective communication, and ensure that service recipients receive the best service. Empathy dimension, service staff should pay more attention in listening and understanding the problems regarding training disbursement, could help and give suggestions for the training disbursement process, should ask and answer the questions with compassion and understanding the problems of service recipients. Keywords: service quality, financial work, training disbursement, disbursement of Training Expenses ง
7 กิตติกรรมประกาศ การวิจัยเรื่อง “การศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่าย ในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี” ได้รับการสนับสนุน งบประมาณจากทุนอุดหนุนการวิจัย ประเภททุนการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย (Routine to Research) จากกองทุนส่งเสริมงานวิจัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ให้ดำเนินโครงการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัย ใคร่ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ผู้วิจัยขอขอบคุณกองทุนส่งเสริมงานวิจัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ที่ให้ทุนสนับสนุน การทำวิจัย “ทุนสนับสนุนการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย ประจำปี พ.ศ.2565” ขอขอบพระคุณคณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม ที่ส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่สายสนับสนุน ได้รับการพัฒนางานวิจัย เพื่อเพิ่มสมรรถนะของผู้ปฏิบัติงานประจำ ให้มีศักยภาพสู่ความก้าวหน้าตามสายงาน ขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.พิมลพรรณ เพชรสมบัติ ที่ปรึกษาโครงการวิจัย ที่ให้คำปรึกษา แนะนำตลอดระยะเวลาในการการดำเนินงานวิจัย ขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สิริพร อั้งโสภา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุกัญญา บุญศรี และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชัยอนันต์ มั่นคง ที่ได้สละเวลา อันมีค่าอย่างยิ่ง ในการตรวจเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย และให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อการทำ วิจัย และขอขอบพระคุณผู้บริหาร คณาจารย์ และเจ้าหน้าที่สายสนับสนุน คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม ที่ให้ความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัย เป็นผลทำให้งานวิจัยสำเร็จลุล่วงเป็นอย่างดี คุณค่าอันพึงมีจากงานวิจัยฉบับนี้ขอมอบแด่บิดา มารดา ซึ่งเป็นที่รักและเคารพยิ่ง ครู้อาจารย์ ทุกท่าน ที่ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาจนทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต และทำให้ผู้วิจัยสามารถนำเอาหลักการ มาประยุกต์ใช้และอ้างอิงในงานวิจัยครั้งนี้ รวมถึงขอขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่มีส่วนช่วยแนะนำการทำงานวิจัย และขอขอบคุณสมาชิกในครอบครัวที่ให้ความรัก ความห่วงใย และเป็นกำลังใจที่มีค่ายิ่งแก่ผู้วิจัย ท้ายที่สุดผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า งานวิจัยฉบับนี้จะเป็นประโยชน์แก่หน่วยงาน อยู่ไม่น้อย ในการพัฒนางานประจำให้มีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มมากขึ้น ปาริฉัตร ราชสีห์ กันยายน 2566 จ
8 สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ค กิตติกรรมประกาศ จ สารบัญ ฉ สารบัญตาราง สารบัญภาพ ซ ฌ บทที่ 1 บทน า......................................................................................................................... 1 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา............................................................. 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย.................................................................................... 2 1.3 ขอบเขตของการวิจัย........................................................................................... 2 1.4 กรอบแนวคิดในการวิจัย..................................................................................... 3 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ................................................................................................ 4 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากงานวิจัย.............................................................. 5 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง................................................................................. 6 2.1 แนวคิด ทฤษฎี เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณภาพการให้บริการ......... 6 2.2 แนวคิด ทฤษฎี เกี่ยวกับขอบข่ายการเบิกจ่ายในการจัดอบรม............................ 12 2.3 บริบทของคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 46 2.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.............................................................................................. 51 3 วิธีด าเนินการวิจัย....................................................................................................... 56 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง…………………………………………………………………....... 56 3.2 เครื่องมือวิจัยที่ใช้ในการวิจัย............................................................................... 56 3.3 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย............................................... 57 3.4การเก็บรวบรวมข้อมูล.......................................................................................... 58 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................. 59 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................... 62 4.1 ข้อมูลสถานภาพทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม................................................ 62 ฉ
9 สารบัญ (ต่อ) หน้า 4.2 ผลการวิเคราะห์การศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการ เบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี............................................................ 4.3 แนวทางในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการ เบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี........................................................ 63 68 5 สรุปการวิจัย อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ............................................................... 74 5.1 สรุปผลการวิจัย .............................................................................................. 74 5.2 การอภิปรายผลการวิจัย...................................................................................... 77 5.3 ข้อเสนอแนะจากการวิจัย.................................................................................... 79 5.4 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป....................................................................... 79 บรรณานุกรม........................................................................................................................ 80 ภาพผนวก............................................................................................................................ 83 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือวิจัย.................................................. 83 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย............................................................................... 90 ภาคผนวก ค ผลการพิจารณาแบบประเมินหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC)................. 94 ประวัติผู้วิจัย......................................................................................................................... ประวัติที่ปรึกษางานวิจัย................................................................................................ ...... 99 100 ช
10 สารบัญตาราง หน้า ตางรางที่ 2.1 ข้อมูลจากงานบุคลากร คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม ณ วันที่ 4 พฤษภาคม 2566.. 50 ตารางที่ 4.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลสถานภาพทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม.............................. 62 ตารางที่ 4.2 ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของผู้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับความคิดเห็น การศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายใน การฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เป็นรายด้าน.............................................................................................................. 63 ตารางที่ 4.3 ผลการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับ การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility)....... 64 ตารางที่ 4.4 ผลการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับ การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้(Reliability)..................... 64 ตารางที่ 4.5 ผลการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับ การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีด้านการตอบสนองต่อผู้มารับบริการ (Responsiveness)........... 65 ตารางที่ 4.6 ตารางที่ 4.7 ผลการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการบการศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงิน เกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ (Assurance)............................... ผลการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการบการศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงิน เกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี การรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy)............................... 66 67 ซ
11 สารบัญภาพ หน้า ภาพที่ 1.1 กรอบแนวคิดในการวิจัย 3 ฌ
1 บทที่ 1 บทน า 1.1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา การสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้รับบริการเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารจัดการภายในองค์กร หากผู้รับบริการได้รับการบริการที่ดี จนเกิดความพึงพอใจสูงสุด ก็จะทำให้ผู้รับบริการเกิดเจตคติที่ดี ต่อองค์กร เกิดการบอกปากต่อปาก จนทำให้องค์กรได้รับความน่าเชื่อถือ ดังนั้นการบริการจำเป็นต้องใช้ กลยุทธ์ที่มุ่งเน้น และพยายามที่จะทำให้ผู้รับบริการมีความพึงพอใจต่อการบริการที่ได้รับให้มากที่สุด การให้ความสำคัญกับลูกค้า หรือผู้รับบริการ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำธุรกิจทุกประเภทคุณภาพ การบริการจะส่งผลต่อการเกิดทัศนคติ เกิดการเรียนรู้ และเกิดพฤติกรรมการซื้อและการใช้บริการ (อนุวัติ สงสม, 2557) ดังนั้น สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลจึงได้ปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติฉบับเดิม และยกร่างเป็นพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล โดยมีการรวมวิทยาเขตจัดตั้ง เป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล จำนวน 9 แห่ง โดยมีวัตถุประสงค์ให้ 9 มหาวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่สามารถจัดการศึกษา วิชาการ และวิชาชีพชั้นสูง ที่เน้นการปฏิบัติทั้งในระดับปริญญาตรี โท และเอก เพื่อรองรับการศึกษาต่อของผู้สำเร็จการศึกษา จากสถาบันอาชีวศึกษาเป็นหลัก รวมถึงให้โอกาสแก่ผู้เรียนจากวิทยาลัยชุมชน และการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในการศึกษาต่อวิชาชีพระดับปริญญาตรี ซึ่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่งอยู่ภายใต้ การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ จากพระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. 2548 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2548 และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2548 ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าว มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่ วันที่ 19 มกราคม 2548 สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ตามพระราชบัญญัติสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. 2518 เป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี งานการเงินเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีถือเป็นงานสำคัญ ที่ช่วยในการขับเคลื่อนการบริหารงานด้านการคลังในมหาวิทยาลัยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และมีหน้าที่ในการสนับสนุนงานของฝ่ายต่าง ๆ ให้สามารถดำเนินไปได้อย่างสะดวกรวดเร็ว นอกเหนือไปจากหน้าที่ในการจัดการ ควบคุมดูแลการดำเนินงานในด้านการเงินของมหาวิทยาลัย ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาและวิจัย เพื่อปรับปรุงพัฒนา ระบบบริหารจัดการองค์กร และการทำงานเพื่อให้ผู้รับบริการมีความพึงพอใจสูงขึ้นเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามพันธกิจขององค์กร โดยบูรณาการหรือประยุกต์เทคนิคในการปรับปรุง คุณภาพต่าง ๆ และงานการเงินทำหน้าที่ในการเบิกจ่าย การบันทึกบัญชีและการรายงานข้อมูล ทางการเงินและบัญชี ต้องปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการควบคุมการเงินและบัญชี ซึ่งในขณะนี้งานการเงิน กำลังประสบปัญหาในเรื่องความพร้อมในการตอบสนองแก่ผู้รับบริการในงาน
2 ด้านต่าง ๆ ได้แก่ ขาดความรวดเร็วในการดำเนินงาน การค้นหาเอกสาร การสืบค้นข้อมูล การตรวจสอบ เอกสารที่ใช้ในการเบิกจ่ายให้ถูกต้องตามกฎระเบียบต่าง ๆ การจัดทำเอกสารผิดพลาด การเขียนผัง การไหลของกระบวนการ ไม่ครบถ้วน ทำให้สับสนขาดการให้ความรู้ด้านการเบิกจ่ายที่มีการปรับเปลี่ยน อัตราหรือวิธีการให้แก่บุคลากรของมหาวิทยาลัยให้ได้ทราบถึงวิธีการเบิกจ่ายที่เอกสารและรูปแบบ ต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และมีปัญหาในการสรุปผลข้อมูลเพื่อการตัดสินใจของผู้บริหาร (นางธัญญารัตน์ ดอกลั่นทม , 2560) ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาการให้บริการของงานการเงิน คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีเพื่อตรวจสอบว่าการให้บริการที่ดำเนินการโดยงานการเงินใน ปัจจุบันบุคลากรได้รับการบริการที่มีคุณภาพอยู่ในระดับใด 1.2 วัตถุประสงค์ของงานวิจัย 1. เพื่อศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุ ศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 2. เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่าย ในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 1.3 ขอบเขตของงานวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยมุ่งศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายใน การจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดยมีขอบเขต การศึกษา ดังนี้ 1.3.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยมุ่งศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่าย ในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 1.3.2 ขอบเขตด้านประชากรกลุ่มตัวอย่าง ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ผู้บริหาร อาจารย์ เจ้าหน้าที่ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม จำนวนทั้งสิ้น 148 คน กลุมตัวอย่างที่ใชในการวิจัยครั้งนี้จำนวน 108 คน ได้แก่ ผู้บริหาร จำนวน 5 คน อาจารย์จำนวน 55 เจ้าหน้าที่ จำนวน 48 คน 1.3.3 ขอบเขตด้านพื้นที่ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 1.3.4 ตัวแปรที่ศึกษา 1) ตัวแปรต้น ได้แก่ 1. เพศ 1.1 หญิง 1.2 ชาย
3 2. ประเภทบุคลากร 2.1 ผู้บริหาร 2.2 อาจารย์ 2.3 เจ้าหน้าที่ 3. ประสบการณ์ทำงาน 3.1 น้อยกว่า 5 ปี 3.2 5 – 10 ปี 3.3 11 ปี ขึ้นไป 2) ตัวแปรตาม ได้แก่ 1. ความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) 2. ความเชื่อถือไว้วางใจได้(Reliability) 3. การตอบสนองต่อผู้มารับบริการ (Responsiveness) 4. การให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ (Assurance) 5. การรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy กรอบแนวคิด ในการวิจัยครั้งนี้ได้กำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัยเกี่ยวกับการศึกษาคุณภาพการให้บริการ ของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี มี5 ด้านดังนี้ ภาพที่ 1.1 กรอบแนวคิดในการวิจัย คุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายใน การจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี5 ด้าน (อ้างอิง Zeithaml, Parasuraman and Berry, 1990: 28; Lovelock, 1996: 464-466) 1. ความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) 2. ความเชื่อถือไว้วางใจได้ (Reliability) 3. การตอบสนองต่อผู้มารับบริการ (Responsiveness) 4. การให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ (Assurance) 5. การรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงาน การเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะ ครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลธัญบุรี
4 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ 1.5.1 คุณภาพการบริการ หมายถึง การบริการตอบสนองความต้องการหรือเหนือกว่า ความคาดหวังของผู้รับบริการ โดยผู้รับบริการรู้สึกพึงพอใจในการรับบริการนั้น ซึ่งคุณภาพการบริการ เป็นสิ่งที่ทำให้ธุรกิจสร้างความแต่กต่าง และแข่งขันกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน (นางสาวกรสุมา สุวัฒนะชัย,2563) 1.5.2 งานการเงิน หมายถึง การปฏิบัติการเกี่ยวกับการเงินของคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม 1.5.3 การเบิกจ่ายในการจัดอบรม หมายถึง ค่าใช้จ่ายการจัดอบรม ตามระเบียบ กระทรวงการคลัง ว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ 1.5.4 บุคลากร หมายถึง ข้าราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย ลูกจ้างประจำ พนักงานราชการ และลูกจ้างชั่วคราว ที่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานศึกษา สังกัดคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 1.5.4.1 ผู้บริหาร หมายถึง คณบดี หัวหน้าสำนักงานคณบดี รองคณบดี หัวหน้าภาควิชา สังกัดคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 1.5.4.2 อาจารย์ หมายถึง ข้าราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย สายวิชาการ ที่ปฏิบัติหน้าที่สอน ในมหาวิทยาลัย สังกัดคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 1.5.4.3 เจ้าหน้าที่ หมายถึง ข้าราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย ลูกจ้างประจำ พนักงาน ราชการและลูกจ้างชั่วคราว สายสนับสนุน ที่ปฏิบัติหน้าที่ปฏิบัติงานใน แต่ละส่วนงาน ของคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 1.5.5 ความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) หมายถึง ลักษณะทางกายภาพที่ปรากฏ ให้เห็นถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อันได้แก่ สถานที่ บุคลากร อุปกรณ์ เครื่องมือ เอกสารที่ใช้ ในการติดต่อสื่อสารและสัญลักษณ์การติดป้ายสัญลักษณ์บอกขั้นตอน การให้บริการเป็นไปตามระบบ ขั้นตอน รวมทั้งสภาพแวดล้อมที่ทำให้ผู้รับบริการรู้สึกว่าได้รับการดูแลห่วงใย และความตั้งใจ จากผู้ให้บริการ บริการที่ถูกนำเสนอออกมาเป็นรูปธรรมจะทำให้ผู้รับบริการรับรู้ถึงการให้บริการนั้น ๆ ได้ชัดเจนขึ้น เช่น เจ้าหน้าที่ แต่งกายเรียบร้อย ยิ้มแย้มแจ่มใส สุภาพ การให้บริการเป็นไปตามระบบ ขั้นตอน มีกฎระเบียบการใช้บริการอย่างชัดเจน สถานที่ให้บริการมีความสะดวกสบาย และสะอาด เรียบร้อย 1.5.6 ความเชื่อถือไว้วางใจได้(Reliability) หมายถึง ความสามารถในการให้บริการ ให้ตรงกับสัญญาที่ให้ไว้กับผู้รับบริการ บริการที่ให้ทุกครั้งจะต้องมีความถูกต้อง เหมาะสมและได้ผล ออกมาเช่นเดิมในทุกจุดของบริการ ความสม่ำเสมอนี้จะทำให้ผู้รับบริการรู้สึกว่าบริการที่ได้รับนั้น มีความน่าเชื่อถือ สามารถให้ความไว้วางใจได้มีลำดับขั้นตอนในการบริการที่ชัดเจน และสามารถติดต่อ สอบถามได้สะดวก มีความรู้และทักษะในการปฏิบัติงาน ระบบการทำงานน่าเชื่อถือ 1.5.7 การตอบสนองต่อผู้มารับบริการ (Responsiveness) หมายถึง ความพร้อม และความเต็มใจที่จะให้บริการ โดยสามารถตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการได้อย่างทันท่วงที ผู้รับบริการสามารถเข้ารับบริการได้ง่าย และได้รับความสะดวกจากการใช้บริการ รวมทั้งจะต้องกระจาย
5 การให้บริการไปอย่างทั่วถึงและรวดเร็วมี ความกระตือรือร้น ผู้ให้บริการมีจำนวนเพียงพอ ยินดี ให้บริการ เมื่อมีผู้รับบริการมาช่วงเวลาเลิกงาน 1.5.8 การให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ (Assurance) หมายถึง ความสามารถในการสร้าง ความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับผู้รับบริการ ผู้ให้บริการมีความซื่อสัตย์สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ ผู้ให้บริการ จะต้องแสดงถึงทักษะความรู้ ความสามารถในการรับให้บริการและตอบสนองความต้องการ ของผู้รับบริการด้วยความสุภาพ นุ่มนวล มีกริยามารยาทที่ดีใช้การติดต่อสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และให้ความมั่นใจว่าผู้รับบริการจะได้รับบริการที่ดีที่สุด ให้บริการเหมือนกันทุกรายโดยไม่เลือกปฏิบัติ ปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใส ไม่ทุจริต หรือไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ปฏิบัติงานโดยคำนึงถึง ผลประโยชน์ของผู้รับบริการเป็นหลัก การรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้รับบริการ 1.5.7 การรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy) หมายถึง ความสามารถในการดูแล เอาใจใส่ผู้รับบริการตามความต้องการที่แต่กต่างของผู้รับบริการแต่ละคน SERVQUAL ได้รับความนิยม ในการนำมาใช้เพื่อศึกษาในธุรกิจอุตสาหกรรมบริการอย่างกว้างขวาง ซึ่งองค์การต้องการทำความเข้าใจ ต่อการรับรู้ของกลุ่มผู้รับบริการเป้าหมายตามความต้องการในบริการที่เขาต้องการ และเป็นเทคนิคที่ให้ วิธีการวัดคุณภาพในการให้บริการขององค์การ นอกจากนี้ ยังสามารถประยุกต์ใช้ SERVQUAL สำหรับ การทำความเข้าใจกับการรับรู้ของบุคลากรต่อคุณภาพในการให้บริการ โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อให้ การพัฒนาการให้บริการประสบผลสำเร็จ ผู้ให้บริการให้บริการตรงกับความต้องการเฉพาะของแต่ละ บุคคล ผู้รับริการได้รับความเห็นอกเห็นใจทุกครั้งที่ได้เข้ารับบริการ ผู้ให้บริการรู้และเข้าใจความ ต้องการของผู้รับบริการ ผู้ให้บริการรับฟังปัญหาหรือข้อซักถามของผู้รับบริการอย่างใจเย็นและสุภาพ ผู้ให้บริการตระหนักถึงความสำคัญของการให้บริการทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากงานวิจัย ผลของการวิจัยในครั้งนี้มีความสำคัญต่อผู้บริหารสถานศึกษาคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม หัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. ใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่าย ค่าใช้จ่ายใน การฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 2. เป็นแนวทางให้กับหน่วยงานอื่น สามารถนำผลวิจัยไปปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ ให้สอดคล้องกับองค์กร นั้น ๆ เพื่อให้เกิดความพึงพอใจ
6 บทที่2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีผู้วิจัยได้ทำการศึกษา ค้นคว้า แนวคิด ทฤษฎีและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นแนวทาง ในการศึกษาตามประเด็นดังต่อไปนี้ 2.1 แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณภาพการให้บริการ 2.2 แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับขอบข่ายการเบิกจ่ายในการจัดอบรม 2.3 บริบทของคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 2.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 แนวคิด ทฤษฎี เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณภาพการให้บริการ 2.1.1 ความหมายคุณภาพการให้บริการ องค์กรที่มีภารกิจหลักในการให้บริการมักจะมีการกาหนดเป้าหมายในการปรับปรุง คุณภาพการให้บริการภายในองค์กรความตระหนักถึงความสำคัญของคุณภาพของสินค้าหรือบริการ จึงเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในองค์กรภาคเอกชนที่ขยายมายังหน่วยงานภาครัฐในระยะหลังมานี้ ความตระหนักถึงความสำคัญของคุณภาพนี้ เป็นผลสืบเนื่องประการหนึ่ง มาจากแรงกดดัน จากการแข่งขัน ความก้าวหน้าทางการสื่อสารและโลกาภิวัตน์ รวมไปถึงการแข่งขันและการประเมิน สัมฤทธิ์ผลจากการปฏิบัติงานขององค์กรอย่างแข็งขันเข้มข้น โดยนัยประการหนึ่งเพื่อสร้างความอยู่รอด ให้กับองค์กร และคุณภาพเอง เป็นเครื่องชี้บ่งถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลวขององค์กรได้เป็นอย่างดี กล่าวโดยเน้นถึงองค์กรภาครัฐในปัจจุบัน ได้ปรับกระบวนทัศน์ในการบริหารงาน จากเดิมที่ประชาชน เป็นเเพียงผู้จำต้องรับบริการที่รัฐจัดให้ มาเป็นลูกค้าที่องค์กรภาครัฐพึงให้ความสนใจจัดบริการ สาธารณะตามขอบเขตอำนาจหน้าที่รับผิดชอบอย่างมีคุณภาพ (ชัชวาล ทัตศิวัช, 2554) ซึ่งเนื้อหาสาระ เกี่ยวกับคุณภาพการให้บริการที่ เกี่ยวข้องกับการศึกษาในครั้งนี้ ผู้วิจัยจะขอนำเสนอดังนี้ 1. ความหมายของคุณภาพการให้บริการ Parasuraman, Ziethaml, and Berry (1985;อ้างถึงใน อมรารัตน์ บุญภา, 2557, น. 10)กล่าวว่า คุณภาพการให้บริการเป็นการให้บริการที่มากกว่าหรือตรงกับความคาดหวัง ของผู้รับบริการซึ่งเป็นเรื่องของการประเมินหรือการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความเป็นเลิศ ของการบริการในลักษณะของภาพรวม ในมิติของการรับรู้ ผลการวิจัยวิจัยของนักวิชาการกลุ่มนี้ ช่วยให้ เห็นว่า การประเมินคุณภาพการให้บริการตามการรับรู้ของผู้รับบริการเป็นไปในรูปแบบ
7 ของการเปรียบเทียบทัศนคติที่มีต่อบริการที่คาดหวัง และการบริการตามที่รับรู้ว่ามีความสอดคล้อง กันเเพียงไร ข้อสรุปที่น่าสนใจประการหนึ่งก็คือ การให้บริการที่มีคุณภาพนั้นหมายถึง การให้บริการ ที่สอดคล้องกับความคาดหวังของผู้รับบริการอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้น ความพึงพอใจต่อการบริการ จึงมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการทำให้เป็นไปตามความคาดหวังหรือการไม่เป็นไปตามความคาดหวัง (Confirm ordisconfirm expectation) ของผู้รับบริการนันเอง Schmenner (1995; อ้างถึงใน ชัชวาล ทัตศิวัช, 2554) กล่าวว่า คุณภาพการให้บริการได้มาจากการรับรู้ที่ได้รับจริง ลบด้วยความคาดหวัง ที่คาดว่าจะได้รับจากับริการนั้น หากการรับรู้ในบริการที่ได้รับมีน้อยกว่าความคาดหวัง ก็จะทำ ให้ผู้รับบริการมองคุณภาพการให้บริการนั้นติดลบหรือรับรู้ว่าการบริการนั้นไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร ตรงกันข้ามหากผู้รับบริการรับรู้ว่าบริการที่ได้รับจริงนั้นมากกว่าสิ่งที่เขาคาดหวัง คุณภาพการให้บริการก็ จะเป็นบวก หรือมีคุณภาพในการบริการนั่นเอง Zineldin (1996; อ้างถึงใน อมรารัตน์ บุญภา, 2557, น. 11) กล่าวว่า คุณภาพการให้บริการเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความคาดหวังของผู้รับบริการในด้าน ของคุณภาพภายหลังจากที่เขา ได้ข้อมูลเกี่ยวกับบริการนั้น ๆ และมีความต้องการที่จะใช้บริการนั้น รวมทั้งการที่เขาได้ทำการประเมินและเลือกที่จะใช้บริการ สมวงศ์ พงศ์สถาพร (2550, น. 66) กล่าวว่า คุณภาพการให้บริการ เป็นทัศนคติ ที่ผู้รับบริการสะสมข้อมูลความคาดหวังไว้ว่าจะได้รับจากับริการ ซึ่งหากอยู่ ในระดับที่ยอมรับได้ (Tolerance zone) ผู้รับบริการก็จะมีความพึงพอใจในการให้บริการ ซึ่งจะมีระดับแต่กต่างกันออกไป ตามความคาดหวังของแต่ละบุคคลและความพึงพอใจนี้เอง เป็นผลมาจากการประเมินผลที่ได้รับ จากการบริการนั้น ณ ขณะเวลาหนึ่งชัชวาล ทัตศิวัช (2554) กล่าวว่า คุณภาพการให้บริการ เป็นมโน ทัศน และปฏิบัติการในการประเมินของผู้รับบริการโดยทำการเปรียบเทียบระหว่างการบริการ ที่คาดหวัง ( Expectationservice) กับการบริการที่รับรู้จริง ( Perception service) จากผู้ให้บริการ ซึ่งหากผู้ให้บริการสามารถให้บริการที่สอดคล้องตรงตามความต้องการของผู้รับบริการหรือสร้าง การบริการที่มีระดับสูงกว่าที่ผู้รับบริการได้คาดหวัง จะส่งผลให้การบริการดังกล่าวเกิดคุณภาพการ ให้บริการ ซึ่งจะทำให้ผู้รับบริการเกิดความพึงพอใจจากับริการที่ได้รับเป็นอย่างมาก โดยสรุปคุณภาพ การให้บริการ หมายถึง คุณลักษณะหรือคุณสมบัติโดยรวมของการบริการที่เหมาะสมกับความคาดหวัง หรือสอดคล้องกับความต้องการของผู้รับบริการซึ่งทำให้ผู้รับบริการเกิดความพึงพอใจกับบริการที่ได้รับ เป็นอย่างมากดังนั้น สำหรับการศึกษาครั้งนี้ คุณภาพการให้บริการ หมายถึง คุณลักษณะหรือคุณสมบัติ โดยรวมของการบริการที่เทศบาลนครนครสวรรค์บริการให้กับประชาชนที่มารับบริการ ในลักษณะที่ สร้างความพึงพอใจและความประทับใจให้กับผู้รับบริการ 2. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับคุณภาพการบริการ การศึกษาทางด้านคุณภาพการบริการที่สำคัญ คือ ผลงานการศึกษาของ Gronroos และผลงานการศึกษาของ Parasuraman และคณะ
8 2.1 การศึกษาของ Gronroos เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพที่เน้นทางด้านการบริการ อย่างจริงจัง Gronroos (1982, 1983, 1984, 1990 ; อ้างถึงใน ขวัญ พิพัฒนสุขมงคล, 2551, น. 9-11) เสนอแนวความคิดที่สำคัญเกี่ยวกับคุณภาพการบริการที่เรียกว่า “คุณภาพของการบริการที่ลูกค้ารับรู้” (Perceived service quality –PSQ) และ “คุณภาพที่ลูกค้ารับรู้ทั้งหมด” Total perceived quality) ซึ่ง เป็นแนวคิดที่เกิดจากการวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคและผลกระทบที่เกิดจาก “ความคาดหวัง”ของลูกค้าเกี่ยวกับคุณภาพของสินค้าที่มีต่อ “การประเมินคุณภาพ” ของสินค้าหลังจาก การบริโภคสินค้านั้น Gronroosอธิบายแนวความคิดเรื่อง “คุณภาพที่ลูกค้ารับรู้ทั้งหมด” โดยกล่าวว่า คุณภาพของการบริการที่ลูกค้ารับรู้จะเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ประการ คือ 2.1.1 คุณภาพที่ลูกค้าคาดหวัง ซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ การสื่อสารทางการตลาด (Marketing communication) ภาพลักษณ์ ขององค์กร (Corporate image)การสื่อสารปากต่อปาก(Word-of mouth communication) และความต้องการของลูกค้า (Customerneeds) 2.1.2คุณภาพที่เกิดจากประสบการณ์ในการใช้บริการของลูกค้า (Experiencedquality) ซึ่งได้อิทธิพลจากปัจจัยต่าง ๆ ประกอบด้วย ภาพลักษณ์ขององค์กร (Corporate image)คุณภาพเชิงเทคนิค(Technical quality) และคุณภาพเชิงหน้าที่ (Function quality)โดยทั่วไปลูกค้าจะทำการประเมินคุณภาพของการบริการจากการเปรียบเทียบ คุณภาพที่ คาดหวัง ((Expected Quality) กับคุณภาพที่เกิดจากประสบการณ์ ในการใช้บริการ(Experienced quality) ว่าคุณภาพทั้งสองประเภทนั้นสอดคล้องกนหรือไม่ ซึ่งเมื่อนำมาพิจารณารวมกนเป็นคุณภาพ ที่รับรู้ทั้งหมด ก็จะทำให้ได้ผลสรุปเป็นคุณภาพที่ลูกค้ารับรู้ได้นั่นเอง ถ้าจากการ พิจารณาเปรียบเทียบ ในประเด็นดังกล่าว พบว่า คุณภาพที่เกิดจากประสบการณ์ไม่เป็นไปตามคุณภาพที่คาดหวัง จะทำให้ ลูกค้ามีการรับรู้ว่า คุณภาพของการบริการไม่ดีอย่างที่คาดหวัง 2.2 การศึกษาของ Parasuraman และคณะนักวิชาการอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้ให้ความสนใจ ทำการศึกษาเครื่องมือเพื่อชี้วัดคุณภาพการให้บริการ และได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย ก็คือ Parasuraman, et al. ในผลงานการวิจัยเชิงสำรวจและบทความตีพิมพ์เกี่ยวกับคุณภาพ การให้บริการได้แก ั ่ผลงาน เมื่อปี ค.ศ. 1985, 1988และ 1990 ซึ่งได้ต่อยอดจากความคิด ของ Gronroos (1984) และได้รับการพัฒนาเป็นกรอบแนวคิดพื้นฐาน เรื่องการศึกษาคุณภาพการ ให้บริการ(ขวัญ พิพัฒนสุขมงคล, 2551, น. 9-11)ตัวแบบที่ใช้วัดคุณภาพการให้บริการ ที่ได้รับความ นิยมนำมาใช้อย่างแพร่หลายนั้น ได้แก่ผลงานของ Parasuraman, et al. ซึ่งในปี ค.ศ 1985 Parasuraman, Zeithaml, and Berry(1985) ได้พัฒนาตัวแบบเพื่อใช้สำหรับการประเมินคุณภาพ
9 การให้บริการโดยอาศัยการประเมินจากพื้นฐานการรับรู้ของผู้รับบริการหรือลูกค้า พร้อมกับได้พยายาม หานิยามความหมายของคุณภาพการรับให้บริการและปัจจัยที่กาหนดคุณภาพการให้บริการที่เหมาะสม ผลงานความคิดและการพัฒนาตัวแบบ SERVQUAL มาจากการศึกษาวิจัย เรื่องปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อ การสร้างคุณภาพการให้บริการ ที่ได้แบ่งระยะของการวิจัยออกเป็น 4 ระยะโดย (ไพฑูรย์ คุ้มคง, 2557, น. 18) ระยะที่ 1 ศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพในกลุ่มผู้รับบริการและผู้ให้บริการของบริษัทชั้นนำ หลายแห่ง และนำผลที่ได้มาใช้ในการพัฒนารูปแบบคุณภาพในการให้บริการ ระยะที่ 2 เป็นการวิจัยเชิงประจักษ์โดยมุ่งศึกษาที่ผู้รับบริการโดยเฉพาะใช้รูปแบบ คุณภาพในการให้บริการที่ได้จากระยะที่ 1 มาปรับปรุ งได้เป็นเครื่องมือที่เรียกว่าSERVQUAL และปรับปรุงเกณฑ์ที่ใช้ในการตัดสินคุณภาพในการให้บริการตามการรับรู้และความคาดหวังของ ผู้รับบริการ ระยะที่ 3 ได้ทำการศึกษาวิจัยเชิงประจักษ์เหมือนในระยะที่ 2 แต่มุ่งขยายผลการวิจัย ให้ครอบคลุมองค์การต่าง ๆ มากขึ้น มีการดำเนินงานหลายขั้นตอน เริ่มต้นด้วยการวิจัยในสำนักงาน 89 แห่ง ของ 5 บริษัทชั้นนำในการบริการ แล้วนำงานมาวิจัยทั้ง 3 ระยะ มาศึกษาร่วมกันโดยการทำสัมมนา กลุ่มผู้รับบริการและผู้ให้บริการ การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ในกลุ่มผู้บริหารและท้ายสุดได้ทำการวิจัย สำรวจในทุก ๆ กลุ่ม ต่อมาได้ทำการศึกษาอีกครั้ง ในธุรกิจบริการ6 ประเภท ได้แก่งานบริการซ่อมบำรุง งานบริการบัตรเครดิต งานบริการประกัน งานบริการโทรศัพท์ทางไกลงานบริการธนาคารสาขายอย และงานบริการนายหน้าซื้อขาย ระยะที่ 4 เป็นมุ่งศึกษาความคาดหวังและการรับรู้ของผู้บริการโดยเฉพาะ งานวิจัย ของนักวิชาการทั้งสามท่านนี้ นับได้ว่ามีชื่อเสียงและเป็นพื้นฐานแนวคิดของการศึกษาในเรื่อง การตลาดบริการ (Service marketing)ข้อสรุปทัวไปจากกงานวิจัยข้างต้น ของ Parasuraman, et al. ได้กำหนดมิติ ที่จะใช้วัดคุณภาพในการให้บริการ (Dimension of service quality) ไว้ 10 ด้าน มีมาตรวัดความพึงพอใจของการบริการ รวม 22คำถามด้วยกัน ซึ่งได้รับความนิยม อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมการบริการตัวแปรหลัก 10 ตัวแปร Parasuraman et al. ได้พัฒนา ขึ้นมาเพื่อใช้ชี้วัดคุณภาพการให้บริการ สามารถสรุปได้ดังนี้ (ไพฑูรย์ คุ้มคง, 2557, น. 18-19) 1.ลักษณะของการบริการ หมายถึง สภาพที่ปรากฏให้เห็นหรือจับต้องได้ ในการให้บริการ 2.ความไว้วางใจ หมายถึง ความสามารถในการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือการบริการ ที่เป็นไปตามคำมั่นสัญญาได้อย่างตรงไปตรงมาและถูกต้อง
10 3ความกระตือรือร้น หมายถึง การที่องค์การที่ให้บริการแสดงความเต็มใจ ที่ จะช่วยเหลือ และพร้อมที่ จะให้บริการลูกค้าหรือผู้รับบริการอย่างเต็มที่ ทันที ทันใด 4. สมรรถนะ หมายถึง ความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานบริการที่รับผิดชอบ อย่างมีประสิทธิภาพ 5.ความมีไม่ตรีจิต หมายถึง มีอัธยาศัยนอบน้อม มีไม่ตรีจิตที่เป็นกนเองรู้จัก ให้เกียรติ ผู้อื่น จริงใจ มีน้ำาใจ และมีความเป็นมิตรของผู้ปฏิบัติการให้บริการ 6.ความน่าเชื่อถือ หมายถึง ความสามารถในด้านการสร้างความเชื่อมั่นด้วย ความซื่อตรงและสุจริตของผู้ให้บริการ 7.ความปลอดภัย หมายถึง สภาพที่บริการปราศจากอันตราย ความเสี่ยงภัย หรือปัญหา ต่าง ๆ 8. การเข้าถึงบริการ หมายถึง การติดต่อเข้ารับบริการเป็นไปด้วยความสะดวก ไม่ยุ่งยาก 9.การติดต่อสื่อสาร หมายถึง ความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์และการสื่อ ความหมาย 10.การเข้าใจลูกค้าหรือผู้รับบริการ ในการค้นหาและทำความเข้าใจความต้องการ ของลูกค้าหรือผู้รับบริการ รวมทั้งการให้ความสนใจต่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้าหรือ ผู้รับบริการ ภายหลังต่อมาในปี ค.ศ. 1988-1990 Parasuraman, et al. ได้ปรับปรุงปัจจัย ในการประเมินคุณภาพการให้บริการบางส่วนเพื่อลดความซ้ำซ้อน และรายละเอียดมากเกินไป สร้างเป็นเกณฑ์ในการประเมินเเพียง 5 ประการ เป็นการประเมินคุณภาพของการบริการที่เรียกว่า SERVQUAL ซึ่งประกอบด้วย 5 ข้อ ดังนี้ 1. ความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) หมายถึง ลักษณะทางกายภาพ ที่ปรากฏให้เห็นถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อันได้แก่ สถานที่ บุคลากร อุปกรณ์ เครื่องมือ เอกสารที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารและสัญลักษณ์ การติดป้ายสัญลักษณ์บอกขั้นตอน การให้บริการเป็นไป ตามระบบขั้นตอน รวมทั้งสภาพแวดล้อมที่ทำให้ผู้รับบริการรู้สึกว่าได้รับการดูแลห่วงใย และความตั้งใจ จากผู้ให้บริการ บริการที่ถูกนำเสนอออกมาเป็นรูปธรรมจะทำให้ผู้รับบริการรับรู้ถึงการให้บริการนั้น ๆ ได้ชัดเจนขึ้น เช่น เจ้าหน้าที่ แต่งกายเรียบร้อย ยิ้มแย้มแจ่มใส สุภาพ การให้บริการเป็นไปตามระบบ ขั้นตอน มีกฎระเบียบการใช้บริการอย่างชัดเจน มีความสะดวกสบาย และสะอาดเรียบร้อยของสถานที่ ให้บริการ 2. ความเชื่อถือไว้วางใจได้ (Reliability) หมายถึง ความสามารถ ในการให้บริการให้ตรงกับสัญญาที่ให้ไว้กับผู้รับบริการ บริการที่ให้ทุกครั้งจะต้องมีความถูกต้อง
11 เหมาะสมและได้ผลออกมาเช่นเดิมในทุกจุดของบริการ ความสม่ำเสมอนี้จะทำให้ผู้รับบริการรู้สึก ว่าบริการที่ได้รับนั้นมีความน่าเชื่อถือ สามารถให้ความไว้วางใจได้มีลำดับขั้นตอนในการบริการที่ชัดเจน และสามารถติดต่อสอบถามได้สะดวก มีความรู้และทักษะในการปฏิบัติงาน ระบบการทำงานน่าเชื่อถือ 3. การตอบสนองต่อผู้มารับบริการ (Responsiveness) หมายถึง ความพร้อม และความเต็มใจที่จะให้บริการ โดยสามารถตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการได้อย่าง ทันทวงที ผู้รับบริการสามารถเข้ารับบริการได้ง่าย และได้รับความสะดวกจากการใช้บริการ รวมทั้ง จะต้องกระจายการให้บริการไปอย่างทั่วถึงและรวดเร็วมี ความกระตือรือร้น ผู้ให้บริการมีจำนวน เพียงพอ ยินดีให้บริการ เมื่อมีผู้รับบริการมาช่วงเวลาเลิกงาน สามารถแก้ไขข้อร้องเรียนในการใช้บริการ ได้อย่างรวดเร็ว 4. การให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ (Assurance) หมายถึง ความสามารถ ในการสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับผู้รับบริการ ผู้ให้บริการมีความซื่อสัตย์สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ ผู้ให้บริการจะต้องแสดงถึงทักษะความรู้ ความสามารถในการรับให้บริการและตอบสนอง ความต้องการของผู้รับบริการด้วยความสุภาพ นุ่มนวล มีกริยามารยาทที่ดีใช้การติดต่อสื่อสารที่มี ประสิทธิภาพและให้ความมั่นใจว่าผู้รับบริการจะได้รับบริการที่ดีที่สุด ให้บริการเหมือนกันทุกราย โดยไม่เลือกปฏิบัติปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใส ไม่ทุจริต หรือไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ปฏิบัติงาน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้รับบริการเป็นหลัก การรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจาก ผู้รับบริการ 5. การรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy) หมายถึง ความสามารถ ในการดูแลเอาใจใส่ผู้รับบริการตามความต้องการที่แต่กต่างของผู้รับบริการแต่ละคน SERVQUAL ได้รับความนิยมในการนำมาใช้เพื่อศึกษาในธุรกิจอุตสาหกรรมบริการอย่างกว้างขวาง ซึ่งองค์การ ต้องการทำความเข้าใจต่อการรับรู้ของกลุ่มผู้รับบริการเป้าหมายตามความต้องการในบริการ ที่เขาต้องการ และเป็นเทคนิคที่ให้วิธีการวัดคุณภาพในการให้บริการขององค์การ นอกจากนี้ ยังสามารถ ประยุกต์ใช้ SERVQUAL สำหรับการทำความเข้าใจกับการรับรู้ของบุคลากรต่อคุณภาพในการให้บริการ โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อให้การพัฒนาการให้บริการประสบผลสำเร็จ ผู้ให้บริการให้บริการตรงกับความ ต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคล ผู้รับริการได้รับความเห็นอกเห็นใจทุกครั้งที่ได้เข้ารับบริการ ผู้ให้บริการ รู้และเข้าใจความต้องการของผู้รับบริการ ผู้ให้บริการรับฟังปัญหาหรือข้อซักถามของผู้รับบริการอย่าง ใจเย็นและสุภาพ ผู้ให้บริการตระหนักถึงความสำคัญของการให้บริการทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน (ไพฑูรย์ คุ้มคง, 2557, น. 18-19) สรุปได้ว่า คุณภาพการบริการตามแนวคิดของ ่ Parasuraman, et al. คือ การรับรู้ ของผู้รับบริการซึ่งผู้รับบริการนั้นจะเป็นการประเมินคุณภาพบริการโดยเปรียบเทียบความต้องการ หรือมีความคาดหวังกับการบริการที่ได้รับจริง และการที่องค์กรจะได้รับชื่อเสียงจากคุณภาพบริการ
12 ต้องมีการบริการอยู่ในระดับของการรับรู้ของผู้รับบริการหรือจะมากกว่าความคาดหวังของผู้รับบริการ การรับรู้คุณภาพบริการเป็นผลลัพธ์จากการเปรียบเทียบของความคาดหวังของผู้รับบริการกับบริการ ที่ได้รับจริง ซึ่งมีคุณภาพที่ถูกประเมินไม่ได้เป็นการประเมินเฉพาะผลจากการบริการเท่านั้น แต่เป็นการ ประเมินที่รวมไปถึงกระบวนการของการบริการที่ได้รับ 2.2 แนวคิด ทฤษฎี เกี่ยวกับขอบข่ายการเบิกจ่ายในการจัดอบรม 2.2.1 ความหมายงานการเงิน 1.ความส าคัญและประโยชนของงบประมาณ งบประมาณมีความสำคัญและเป็นประโยชนตอการบริหาร หน่วยงานสามารถนำ เอางบประมาณมาใชเป็นเครื่องมือในการบริหารหน่วยงานให เจริญก้าวหน้า ความสำคัญ และประโยชนของงบประมาณ มีดังนี้ 1) ใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารหน่วยงาน ตามแผนงานและกำลังเงินที่มีอยู่โดย ใหมีการปฏิบัติงานใหสอดคลองกับแผนงานที่วางไว เพื่อปองกันการรั่วไหลและการปฏิบัติงาน ที่ไม่จำเป็นของหน่วยงานลดลง 2) ใหเป็นเครื่องมือในการพัฒนาหน่วยงาน ถาหน่วยงานจัดงบประมาณการใชจ่าย อย่างถูก ตองและมีประสิทธิภาพ จะสามารถพัฒนาใหเกิดความเจริญก้าวหน้าแกหน่วยงานและสังคม โดยหน่วยงานตองพยายามใชจ่ายและจัดสรรงบประมาณให เกิดประสิทธิผลไปสู่โครงการ ท ี่จำเป็นโครงการลงทุนเพื่อกอใหเกิดความก้าวหนาของหน่วยงาน 3) เป็นเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดใหมีประสิทธิภาพ เนื่องจาก ทรัพยากรหรืองบประมาณของหน่วยงานมีจำกัด ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะตองใชงบประมาณ จะเป็นเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากรหรือใชจ่ายเงินใหมีประสิทธิภาพโดยมีการวางแผน ในการใชและจัดสรรเงินงบประมาณไปในแต่ละด้านและมีการวางแผนการปฏิบัติงานในการใชจ่าย ทรัพยากรนั้น ๆ ด้วยเพื่อที่จะก่อให้เกิดประโยชนสูงสุดในเวลาที่เร็วที่สุดและใชทรัพยากรน้อยที่สุด 4) เป็นเครื่องมือกระจายทรัพยากร และเงินงบประมาณที่เป็นธรรม งบประมาณ จะสามารถใชเป็นเครื่องมือในการจัดสรรงบประมาณที่เป็นธรรมไปสู่จุดที่มีความจำเป็น และทั่วถึงที่จะทำให้หน่วยงานนั้นสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5) เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์งานและผลงานของหน่วยงาน เนื่องจากงบประมาณ เป็นที่รวมทั้งหมดของแผนงานและงานที่จะดำเนินการในแต่ละป พรอมทั้งผลที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นหน่วยงานสามารถใชงบประมาณหรือเอกสารงบประมาณที่แสดงถึงงานต่าง ๆ ที่ทำเพื่อเผยแพรและประชาสัมพันธ์ใหประชาชนทราบ (ทิชเชอร์ ติวเตอร์, 2557) สรุปได้ว่า งบประมาณมีความสำคัญและเป็นประโยชนตอการบริหารหน่วยงาน สามารถนำเอางบประมาณมาใชเป็นเครื่องมือในการบริหารหน่วยงานให เจริญก้าวหน้า
13 เช่น เป็นเครื่องมือในการบริหารหน่วยงาน ตามแผนงานและกำลังเงินที่มีอยู่เพื่อกันเงินรั่วไหล และจัดสรรงบประมาณใหเกิดประสิทธิผลไปสู่โครงการที่จำเป็นโครงการลงทุนเพื่อกอใหเกิด ความก้าวหน้าของหน่วยงานลักษณะของงบประมาณที่ดี 2.งบประมาณที่ดีและเป็นประโยชนตอหน่วยงาน ควรจะตองมีลักษณะดังนี้ 1) เป็นศูนย์รวมของเงินงบประมาณทั้งหมด ปกติการใชจ่ายเงินงบประมาณ จะควรจะใช้จ่ายและพิจารณาจากศูนย์หรือแหล่งรวมเดียวกันทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อจะได้มีการพิจารณา เปรียบเทียบการใช้จ่ายแต่ละรายการหรือทุกโครงการวารายการใดมีความสำคัญจำเป็นมากน้อยกวากัน หากรายการใดมีความสำคัญและจำเป็นมาก ก็ควรได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายมาก ทั้งนี้ เพื่อความยุติธรรมในการจัดสรรเงินงบประมาณทุกโครงการ ควรมีสิทธิเทา ๆ กันในการเสนอเขารับการ พิจารณา 3 ในการจัดสรรงบประมาณพร้อมกัน เพื่อจะได้มีการประสานงานและโครงการเขาด้วยกัน ป องกันมิให มีการทำงานหรือโครงการซ้ำซ้อน อันจะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ ดังนั้น จึงไม่ควรแยกการพิจารณางบประมาณไวในหลาย ๆ จุด หรือหลายครั้ง ซึ่งจะก่อใหเกิดการพิจารณาที่ ต่างกันและไม่ยุติธรรมแต่อย่างไรก็ตาม ในบางโอกาสก็ยังมีความจำเป็นที่จะตองแยกตั้งเงินไวต่างหาก เป็นงบพิเศษนอกเหนือจากงบประมาณ เชน งบกลาง งบราชการลับซึ่งถามีจำนวนไม่มากเกินไป ก็มักจะไม่เป็นภัยทั้งยังช่วยใหเกิดความสะดวกบางอย่างด้วยแต่ถาการตั้งงบพิเศษมีมากเกินไปจะเกิด ผลเสียต่อการบริหารงบประมาณ เพราะจะทำใหเกิดการ คือ โอกาสแยกเงินมาใชจ่ายได้ง่ายขึ้น และยังทำใหการบริหารงบประมาณเป็นไปแบบไม่มีแผนและเป้าหมายที่ชัดเจน 2) มีลักษณะของการพัฒนาเป็นหลักงบประมาณที่ดีควรจะดำเนินการจัดสรร โดยยึดหลักการพัฒนาเพื่อให เกิดความก้าวหน้าเป็นหลัก ทั้งนี้เนื่องจากมีงบประมาณจำกัด จึงควรมีการพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามหลักการพัฒนาที่ดีวาด้านไหนควรมาก่อนหลัง ตามสถานการณและความจำเป็น 3) การกำหนดเงินตองสอดคลองกับปัจจัยในการทำงาน การจัดงบประมาณ จะในแผนงานต้องมีความเหมาะสมใหงานนั้น ๆ สามารถจัดทำกิจกรรมได้บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว หรืออีกนัยหนึ่ง คือ การกำหนดเป้าหมายหรือผลที่จะได้รับตองสอดคลองกับงบประมาณและความ เป็นไปได้ 4) มีลักษณะที่สามารถตรวจสอบได้หรือเป็นเครื่องมือที่จะใชตรวจสอบการบริหารงาน ของหน่วยงานได้การจัดงบประมาณในแผนงานต่างควรมีรายละเอียดของกิจกรรมต่าง ๆ อย่างพอเเพียง และเกิดผลเป็นรูปธรรม 5) มีระยะการดำเนินงานที่เหมาะสม ตามปกติงบประมาณที่ดีควรมีระยะเวลา เหมาะสมตามสถานการณไม่สั้นไม่ยาวเกินไป โดยทั่วไปจะใชระยะเวลา ประมาณ 1 ปการเริ่มตนใช งบประมาณจะเริ่มในเดือนใดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละหน่วยงาน เช่น งบประมาณ
14 จะแผ่นดิน เริ่มเดือน ตุลาคม ถึงเดือนกันยายนของปีตอไป งบประมาณเงินรายได้ของสถานศึกษาใช ตามปการศึกษา เป็นตน 6) มีลักษณะช่วยใหเกิดการประหยัด ในการทำงบประมาณ ควรพยายามใหกาใช้ จ่ายเงินตามโครงการต่าง ๆ ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยพยายามไม่ใหมีการใชจ่ายเกินความจำเป็น ฟุ่มเฟือย หรือเป็นการใชจ่ายที่สูญเปลาไม่เกิดประโยชนคุ้มค่า 7) มีลักษณะชัดเจนงบประมาณที่ดีควรมีความชัดเจน เขาใจง่ายเนนถึงความสำคัญแต่ ละโครงการได้ดีไม่คลุมเครือง่ายตอการพิจารณาวิเคราะห์และเป็นประโยชนตอผู้นำไปปฏิบัติด้วย 8) มีความถูกตองและเชื่อถือได้ งบประมาณที่ดีจะตองเป็นงบประมาณ จะที่มีความถูกตองทั้งในรายละเอียดทั้งในด้านตัวเลขและรายละเอียดของโครงการต่าง ๆ หากงบประมาณมีขอบกพรองในด้านความถูกตอง ซึ่งอาจจะเกิดจากความผิดพลาด หรือความไม่รอบคอบก็ตามอาจเกิดผลเสียหายขึ้นได้และตอไปงบประมาณอาจไม่รับความเชื่อถือ 9) จะตองเปิดเผยได้งบประมาณที่ดีจะตองมีลักษณะที่สามารถจะเปิดเผย แกสาธารณะ หรือผู้เกี่ยวของทราบได้ไม่ถือเป็นความลับ เพราะการเปิดเผยเป็นการแสดง ถึงความบริสุทธิ์และโปรงใสในการบริหารหน่วยงาน 10) มีความยึดหยุ่นงบประมาณที่ดีควรจะยืดหยุนได้ตามความจำเป็น หากจัดวาง งบประมาณไวอย่างเคร่งครัดจนขยับไม่ได้อาจจะกอให เกิดความไม่คลองตัวในการทำงาน เพราะลักษณะของการทำงบประมาณ เป็นการวางแผนการทำงานในอนาคต ซึ่งอาจมีปจจุบัน อื่นมากระทบทำใหการบริหารงบประมาณผิดพลาด และอย่างไรก็ตาม ถามีความยืดหยุนมาก ก็อาจเกิดปญหาการใชงบประมาณที่ไม่มีประสิทธิภาพ 11) มีความเชื่อถือได้ในแงความบริสุทธิ์งบประมาณที่ดีตองสามารถตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันการทุจริต ซึ่งจะช่วยใหเกิดความเชื่อถือได้ประหยัดและตรงตามวัตถุประสงค์ (ทิชเชอร์ ติวเตอร์, 2557) สรุปได้ว่า งบประมาณที่ดีและเป็นประโยชนตอหน่วยงาน ควรจะตองเป็นศูนย์รวมของ เงินงบประมาณทั้งหมดเพื่อจะดำเนินการจัดสรรโดยยึดหลักการพัฒนาเพื่อให เกิด ความก้าวหน้าเป็นหลัก นำไปใช้อย่างประหยัดให้เกิดประโยชน์ต่อหน่วยงานมากที่สุด และความยึดหยุ่น งบประมาณที่ดีควรจะยืดหยุนได้ตามความจำเป็น 3. การปฏิบัติงานการเงิน การปฏิบัติงานการเงิน ประกอบด้วย 5 งาน ได้แก่ 3.1 การรับเงิน (ระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลัง พ.ศ.2551 น.15-16 เล่มที่ 125 ตอนพิเศษ 50 ง หน้า 15-16) การรับเงิน ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่
15 1) ส่วนที่ 1 ใบเสร็จรับเงิน ข้อ 1 ใบเสร็จรับเงิน ให้ใช้ตามแบบที่กระทรวงการคลังกำหนด และให้มีสำเนาเย็บ ติดไว้กับเล่มอย่างน้อย 1 ฉบับ หรือตามแบบที่ได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง ข้อ 2 ใบเสร็จรับเงิน ให้พิมพ์หมายเลขที่กำกับเล่มและหมายเลขกำกับ ใบเสร็จรับเงินเรียงกันไปทุกฉบับ ข้อ 3 ให้ส่วนราชการจัดทำทะเบียนคุมใบเสร็จรับเงินไว้เพื่อให้ทราบและตรวจสอบ ได้ว่าได้จัดพิมพ์ขึ้นจำนวนเท่าใด ได้จ่ายใบเสร็จรับเงินเล่มใด หมายเลขใด ถึงหมายเลขใด ให้หน่วยงาน ใดหรือเจ้าหน้าที่ผู้ใดไปดำเนินการจัดเก็บเงิน เมื่อ วัน เดือน ปีใด ข้อ 4 การจ่ายใบเสร็จรับเงินให้หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ไปจัดเก็บเงิน ให้พิจารณา จ่ายให้ในจำนวนที่เหมาะสมแก่ลักษณะงานที่ปฏิบัติและให้มีหลักฐานการรับส่งใบเสร็จรับเงินนั้นไว้ด้วย ข้อ 5 ใบเสร็จรับเงินเล่มใด เมื่อไม่มีความจำเป็นต้องใช้ เช่น ยุบเลิกสำนักงาน หรือไม่มีการจัดเก็บเงินต่อไปอีก ให้หัวหน้าหน่วยงานที่รับใบเสร็จรับเงินนั้นไปนำส่งคืนส่วนราชการ ที่จ่ายใบเสร็จนั้นให้ไปโดยด่วน ข้อ 6 เมื่อสิ้นปีงบประมาณ ให้หัวหน้าหน่วยงานซึ่งรับใบเสร็จรับเงิน ไปดำเนินการจัดเก็บเงิน รายงานให้หัวหน้ากองคลังหรือหัวหน้าส่วนราชการส่วนภูมิภาคทราบว่า มีใบเสร็จรับเงินอยู่ในความรับผิดชอบเล่มใดเลขที่ใดถึงเลขที่ใดและได้ใช้ใบเสร็จรับเงินไปแล้วแต่เล่มใด เลขที่ใดถึงเลขที่ใด อย่างช้าไม่เกินวันที่ 31 ตุลาคม ของปีงบประมาณถัดไป ข้อ 7 โดยปกติใบเสร็จรับเงินเล่มใดใช้สำหรับรับเงินของปีงบประมาณใด้ ให้ใช้รับเงินภายในปีงบประมาณนั้นเท่านั้น เมื่อขึ้นปีงบประมาณใหม่ก็ให้ใช้ใบเสร็จรับเงินเล่มใหม่ ใบเสร็จรับเงินฉบับใดยังไม่ใช้ ให้คงติดไว้กับเล่มแต่ให้ปรุ เจาะรู้หรือประจำตราเลิกใช้ เพื่อให้เป็นที่สังเกต มิให้นำมาใช้รับเงินได้อีกต่อไป ข้อ 8 ใบเสร็จรับเงิน ห้ามขูด ลบ แก้ไข เพิ่มเติม จำนวนเงินหรือชื่อผู้ชำระเงิน หากใบเสร็จรับเงินฉบับใดลงรายการรับเงินผิดพลาด ก็ให้ขีดฆ่าจำนวนเงิน และเขียนใหม่ทั้งจำนวนแล้ว ให้ผู้รับเงินลงลายมือชื่อกำกับการขีดฆ่านั้นไว้ด้วย หรือขีดฆ่าเลิกใช้ใบเสร็จรับเงินนั้นทั้งฉบับ โดยออกฉบับใหม่ใบเสร็จรับเงินที่ขีดฆ่าเลิกใช้นั้น ให้ติดไว้กับสำเนาใบเสร็จรับเงินในเล่ม ข้อ 9 ให้ส่วนราชการเก็บรักษาสำเนาใบเสร็จรับเงินซึ่งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ยังมิได้ตรวจสอบไว้ในที่ปลอดภัย อย่าให้สูญหายและเมื่อได้ตรวจสอบแล้วก็ให้เก็บไว้อย่างเอกสาร ธรรมดาได้
16 2) ส่วนที่ 2 การรับเงิน ข้อ 1 การรับเงินให้รับเป็นเงินสด การรับเงินเป็นเช็ค หรือดร๊าฟท์ หรือตราสาร อย่างอื่นให้ปฏิบัติตามที่กระทรวงการคลังกำหนด ข้อ 2 การรับชำระเงิน ให้ส่วนราชการซึ่งมีหน้าที่จัดเก็บหรือรับชำระเงินนั้น ออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้ชำระเงินทุกครั้ง เว้นแต่การรับเงินค่าธรรมเนียมที่มีเอกสารของทางราชการ ระบุจำนวนเงินที่รับชำระอันมีลักษณะเช่นเดียวกับใบเสร็จรับเงิน โดยเอกสารดังกล่าวจะต้องมีการ ควบคุมจำนวนที่รับจ่ายทำนองเดียวกันกับใบเสร็จรับเงิน และการรับตามคำขอเบิกเงินจากคลัง ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องให้เจ้าหน้าที่ไปจัดเก็บหรือรับชำระเงินนอกที่ตั้ง สำนักงานปกติให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับวรรคหนึ่ง ข้อ 3 ให้ใช้ใบเสร็จรับเงินเล่มเดียวกันรับเงินทุกประเภท เว้นแต่เงินประเภทใด ที่มีการรับชำระเป็นประจำและมีจำนวนมากรายจะแยกใบเสร็จรับเงินเล่มหนึ่งสำหรับการรับชำระเงิน ประเภทนั้นก็ได้ ข้อ 4 ให้ส่วนราชการบันทึกข้อมูลการรับเงินในระบบภายในวันที่ได้รับเงินเงิน ประเภทที่มีการออกใบเสร็จรับเงินวันหนึ่ง ๆ หลายฉบับจะรวมเงินประเภทนั้นตามสำเนาใบเสร็จรับเงิน ทุกฉบับ มาบันทึกในบัญชีรายการเดียวในระบบก็ได้ โดยให้แสดงรายละเอียดว่าเป็นเงินรับตามใบเสร็จ เลขที่ใดและจำนวนเงินรวมรับทั้งสิ้นเท่าใด ไว้ด้านหลังสำเนาใบเสร็จรับเงินฉบับสุดท้าย ในกรณี ที่มีการรับเงินภายหลังกำหนดเวลาปิดบัญชีสำหรับวันนั้นแล้ว ก็ให้บันทึกข้อมูลการรับเงินนั้นวันทำการ ถัดไป ข้อ 5 เมื่อสิ้นเวลารับเงินให้เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่จัดเก็บหรือชำระเงินนำเงิน ที่ได้รับพร้อมกับสำเนาใบเสร็จรับเงินและเอกสารอื่นที่จัดเก็บในวันนั้นทั้งหมด ส่งต่อเจ้าหน้าที่การเงิน ของส่วนราชการนั้น ข้อ 6 ให้หัวหน้าส่วนราชการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นลายลักษณ์อักษร จากหัวหน้าส่วนราชการตรวจสอบจำนวนเงินที่เจ้าหน้าที่จัดเก็บและนำส่งหลักฐานและรายการที่บันทึก ไว้ในระบบว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ เมื่อได้ตรวจสอความถูกต้องตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้ผู้ตรวจแสดง ยอดรวมเงินรับตามใบเสร็จรับเงินทุกฉบับที่ได้รับในวันนั้นไว้ในสำเนาใบเสร็จรับเงินฉบับสุดท้าย และลายมือชื่อกำกับไว้ด้วย 3.2 การเบิกจ่ายเงิน 3.2.1 การเบิกเงิน 1) สถานที่เบิกเงินและผู้เบิกเงิน
17 ข้อ 1หน่วยงานผู้เบิกในสวนกลางใหสงข้อมูลคำขอเบิกเงินในระบบ ไปยังกรมบัญชีกลาง สำหรับหน่วยงานผู้เบิกสังกัดสวนกลางที่มีสำนักงานอยู่ในภูมิภาคและหน่วยงาน ผู้เบิก ในภูมิภาคใหสงข้อมูลคำขอเบิกเงินในระบบไปยังสำนักงานคลังจังหวัด ข้อ 2 ใหหัวหน้าหน่วยงานผู้เบิกหรือผู้ที่หัวหน้าหน่วยงานผู้เบิก มอบหมาย(หัวหน้าหน่วยงานผู้เบิกหรือผู้ที่หัวหน้าหน่วยงานผู้เบิกมอบหมายเป็นผู้มีสิทธิถือบัตรกำหนด สิทธิการใช (GFMIS smart card) รหัสผู้ใชงาน(user name) และรหัสผ่าน(password) เพื่อใชงานใน ระบบของหน่วยงานผู้เบิกที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งโปรแกรมสำหรับใชในการปฏิบัติงานในระบบ และเชื่อมต่อโดยตรงกับเครือข่ายของระบบ หรือเป็นผู้มีสิทธิถือรหัสผู้ใชงานและรหัสผ่านของหน่วยงาน ผู้เบิกที่ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าว ซึ่งปฏิบัติงานโดยใชชองทางอื่นที่กระทรวงการคลังกำหนด) เป็นผู้เบิกเงินจากคลัง และอนุมัติการจ่ายเงินให เจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิรับเงินโดยการจ่ายตรง 2) หลักเกณฑการเบิกเงิน ข้อ 1 การขอเบิกเงินทุกกรณีให ระบุวัตถุประสงคที่จะนำเงินนั้นไป จ่ายและห้ามมิใหขอเบิกเงินจนกวาจะถึงกำหนด หรือใกลจะถึงกำหนดจ่ายเงิน เงินที่ขอเบิกจากคลังเพื่อ การใด ให นำไปจ่ายได้เฉพาะเพื่อการนั้นเทานั้น จะนำไปจ่ายเพื่อการอื่นไม่ได้ในกรณีที่มีความจำ เป็น กระทรวงการคลังอาจปรับแผนการเบิกจ่ายเงินของหน่วยงานผู้เบิก ได้ตามความเหมาะสม และสอดคลองกับฐานะการคลังของประเทศ โดยแจงให หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทราบลวงหน้า ข้อ 2 หน่วยงานผู้เบิกจะจ่ายเงินหรือก่อหนี้ผู้กพันได้แต่เฉพาะ ที่กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีอนุญาตใหจ่ายได้หรือตามที่ได้รับอนุญาต จากกระทรวงการคลัง การได้รับเงินจากคลังไม่ปลดเปลื้องความรับผิดชอบของหน่วยงานผู้เบิกในการ ที่จะต้องดูแล ใหมีการจ่ายเงินหรือ กอหนี้ผู้กพันใหเป็นไปตามวรรคหนี่ง ข้อ 3 ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในป งบประมาณใด ให เบิกเงิน จากงบประมาณราย จ่ายของปนั้น ไปจ่าย ในกรณีมีเหตุจำเป็นไม่สามารถเบิกจากเงินงบประมาณ รายจ่ายของปนั้นได้ทัน ใหเบิกจากเงินงบประมาณรายจ่ายของปงบประมาณถัดไปได้แต่คาใช้ จ่ายนั้นจะต องไม่เป็นการกอหนี้ผู้กพันเกินงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับอนุมัติและใหปฏิบัติตามวิธีการที่ กระทรวงการคลังกำหนด ข้อ 4 ค่าใช้จ่ายเงินงบกลาง รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ เงินช่วยเหลือ ข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ เงินสำรอง เงินสมทบ และเงินชดเชย ของข้าราชการ เงินสมทบของลูกจ้างประจำ ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้างและ พนักงานของรัฐ หรือรายการอื่นที่กระทรวงการคลังกำหนด ถ้าค้างเบิกให นำมาเบิกจากเงินงบกลาง รายการนั้น ๆ ของปงบประมาณต่อ ๆ ไปได้
18 ข้อ 5 ค่าใช้จ่ายตามประเภทที่กระทรวงการคลังกำหนดซึ่งมีลักษณะ เป็นคาใช้ จ่ายประจำหรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ใหถือวาค่าใช้จ่ายนั้นเกิดขึ้นเมื่อสวนราชการได้รับแจ้งให ชำระหนี้และใหนำมาเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปที่ได้รับแจ้งใหชำระหนี้ ข้อ 6 การเบิกเงินเพื่อจ่ายชำระหนี้ผู้กพันเป็นเงินตราต่างประเทศให ปฏิบัติ เชนเดียวกับ กรณีชำระหนี้ผู้กพันเป็นเงินบาท โดยใหสวนราชการติดตอขอซื้อเงินตรา ต่างประเทศจาก ธนาคารพาณิชยโดยตรง ข้อ 7 การขอเบิกเงินทุกกรณี สวนราชการมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ จะต้องหักภาษีใด ๆ ไว ณ ที่จ่าย ใหบันทึกภาษีเป็นรายได้แผ่นดินไวในคำขอเบิกเงินนั้นด้วยเว้นแต่ได้มี การหักภาษีไวแล้ว ข้อ 8 สวนราชการเจ้าของงบประมาณจะมอบหมายใหสวนราชการ อื่นเป็นผู้เบิกเงินแทนก็ได้โดยใหถือปฏิบัติตามที่กรมบัญชีกลางกำหนด 3) การเบิกเงิน ข้อ 1.การเบิกเงินจากคลัง ใหหน่วยงานผู้เบิกปฏิบัติดังนี้ 1.เปิดบัญชีเงินฝากไว กับธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจ สำหรับ เงินงบประมาณหนึ่งบัญชี และเงินนอกงบประมาณหนึ่งบัญชี 2.นำข้อมูลของหน่วยงานผู้เบิกตาม 1 หรือของเจ้าหนี้หรือ ผู้มีสิทธิรับเงินสรางเป็นข้อมูลหลักผู้ขายในระบบ 3.ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของคำขอเบิกเงินก่อน สงคำขอเบิกเงินไปยังกรมบัญชีกลางหรือสำนักงานคลังจังหวัด แล้วแต่กรณี 4.ตรวจสอบการจ่ายเงินของกรมบัญชีกลางให กับหน่วยงาน ผู้เบิกหรือจ่ายเงินตรงแกเจ้าหนี้ หรือผู้มีสิทธิรับเงินตามคำขอเบิกเงินจากรายงานในระบบ ข้อ 2 การขอเบิกเงินของสวนราชการสำหรับการซื้อทรัพย์สิน จ้างทำ ของหรือเชาทรัพย์สินตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีวาด้วยการพัสดุใหปฏิบัติ ดังนี้ 1.ในกรณีที่มีใบสั่งซื้อ ใบสั่งจ้าง สัญญาหรือข้อตกลงซึ่งมี วงเงินตั้งแต่ห้าพันบาทขึ้นไป หรือตามที่กระทรวงการคลังกำหนดใหสวนราชการจัดทำหรือลงใบสั่ง ซื้อหรือใบสั่งจ้างเพื่อทำการ จองงบประมาณในระบบ โดยกรมบัญชีกลางจ่ายเงินเข้าบัญชีใหกับ เจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิรับเงินของ สวนราชการโดยตรง 2.นอกจากกรณีตาม 1 สวนราชการไม่ต้องจัดทำหรือลง ใบสั่งซื้อ หรือใบสั่งจ้าง ในระบบ โดยกรมบัญชีกลางจะจ่ายเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของสวนราชการ เพื่อใหสวนราชการ จ่ายเงินให เจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิรับเงินตอไปหรือหาก สวนราชการต้องการใหจ่ายเงิน เข้าบัญชีให กับ เจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิรับเงินของสวนราชการโดยตรงก็ได้
19 การซื้อทรัพย์สินจ้างทำของหรือเชาทรัพย์สิน ใหสวน ราชการดำเนินการขอเบิกเงินจากคลัง โดยเร็ว อย่างช้าไม่เกินห้าวันทำการนับจากวันที่ได้ตรวจรับ ทรัพย์สินหรือตรวจรับงานถูกต้องแล้ว หรือนับจากวันที่ได้รับแจ้งจากหน่วยงานย่อย ข้อ 3 การขอเบิกเงินของสวนราชการสำหรับคาไฟฟา คาประปา คาโทรศัพท์ค่าบริการ ไปรษณีย์โทรเลข ค่าบริการสื่อสารและโทรคมนาคมใหกรมบัญชีกลางจ่ายเงินเข้า บัญชีเงินฝาก ธนาคารให กับเจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิรับเงินโดยตรง ข้อ 4 การขอเบิกเงินของสวนราชการสำหรับเงินสวัสดิการ คาตอบ แทนหรือกรณีอื่นใด ที่กระทรวงการคลังกำหนด ให กรมบัญชีกลางจ่ายเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคาร ของสวนราชการเพื่อให สวนราชการจ่ายเงินให ผู้มีสิทธิรับเงินตอไป ข้อ 5 เงินประเภทใดซึ่งโดยลักษณะจะต้องจ่ายประจำเดือนในวัน ทำการสิ้นเดือนให สวนราชการสงคำขอเบิกเงินภายในวันที่สิบห้าของเดือนนั้นหรือตาม ที่กระทรวงการคลังกำหนด (ระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่ง คลัง พ.ศ.2551 น.15-16 เล่มที่ 125 ตอนพิเศษ 50 ง หน้า 5 - 8) 3.2.2 การจ่ายเงิน 1. หลักเกณฑการจ่ายเงิน ข้อ 1 การจ่ายเงินให กระทำเฉพาะที่มีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งกำหนดไว หรือมติคณะรัฐมนตรีอนุญาตใหจ่ายได้หรือตามที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลัง และผู้มีอำนาจได้อนุมัติใหจ่ายได้ ข้อ 2 การอนุมัติการจ่ายเงินใหเป็นอำนาจของบุคคล ดังตอไปนี้ 1.สวนราชการในราชการบริหารสวนกลาง ใหเป็นอำนาจ ของหัวหน้าสวนราชการระดับกรม หรือผู้ที่หัวหน้าสวนราชการระดับกรมมอบหมาย ซึ่งดำรง ตำแหน งตั้งแต่ระดับ 7 หรือเทียบเทาขึ้นไป หรือผู้ที่มียศตั้งแต่พันโท นาว่าโท นาว่า อากาศโท หรือพันตำรวจโท ขึ้นไป สวนราชการในราชการบริหารสวนกลางที่มีสำนักงานอยู่ในสวนภูมิภาคหรือแยกต่างหากจาก กระทรวง ทบวง กรม หัวหน้าสวนราชการระดับกรมจะมอบหมายให หัวหน้าสำนักงานเป็นผู้อนุมัติ สำหรับหน่วยงานนั้น ก็ได้ 2.สวนราชการในราชการบริหารสวนภูมิภาค ใหเป็นอำนาจ ของหัวหน้าสวนราชการ ในภูมิภาค
20 ข้อ 3 ใหผู้มีอำนาจอนุมัติ สั่งอนุมัติการจ่ายเงินพร้อมกับลงลายมือชื่อ ในหลักฐานการจ่าย หรือหลักฐานการขอรับชำระหนี้ทุกฉบับหรือจะลงลายมือชื่ออนุมัติในหน้างบ หลักฐานการจ่าย ก็ได้ ข้อ 4 การจ่ายเงินต้องมีหลักฐานการจ่ายไว เพื่อประโยชนในการ ตรวจสอบ ข้อ 5 การจ่าย โดยที่ยังมิได้มีการจ่ายเงินให แกเจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิ รับเงินห้ามมิใหผู้มีหน้าที่จ่ายเงินเรียกหลักฐานการจ่ายหรือให ผู้รับเงินลงลายมือชื่อรับเงินในหลักฐาน ข้อ 6 ข้าราชการ ลูกจ้าง หรือผู้รับบำนาญหรือเบี้ยหวัดที่ไม่สามารถ มารับเงินได้ด้วยตนเอง จะมอบฉันทะให้ผู้อื่นเป็นผู้รับเงินแทนก็ได้โดยใชใบมอบฉันทะตามแบบ ที่กระทรวงการคลัง กำหนดการจ่ายเงินให แกบุคคลนอกจากที่กำหนดในวรรคหนึ่ง หากบุคคลนั้น ไม่สามารถมารับเงิน ได้ด้วยตนเองจะทำหนังสือมอบอำนาจใหบุคคลอื่นมารับเงินแทนก็ได้การจ่ายเงิน ในกรณีที่มีการโอนสิทธิเรียกร้องใหเป็นไปตามที่กระทรวงการคลังกำหนด ข้อ 7 ให้เจ้าหน้าที่ผู้จ่ายเงินประทับตราข้อความวา “จ่ายเงินแล้ว” โดยลงลายมือชื่อ รับรองการจ่ายและระบุชื่อผู้จ่ายเงินด้วยตัวบรรจง พร้อมทั้งวัน เดือน ป ที่จ่ายกำกับไว ในหลักฐานการ จ่ายเงินทุกฉบับเพื่อประโยชนในการตรวจสอบ ในกรณีที่หลักฐานการจ่ายเป็น ภาษาต่างประเทศ ให มีคำแปลเป็นภาษาไทย ไว ด้วย และให ผู้ใชสิทธิขอเบิกเงินลงลายมือชื่อรับรอง คำแปลด้วย การจ่ายเงินทุกรายการต้องมีการบันทึกการจ่ายเงินไวในระบบ และต้องตรวจสอบ การจ่ายเงินกับหลักฐานการจ่ายทุกสิ้นวัน 2. หลักฐานการจ่าย ข้อ 1 หลักฐานการจ่าย นอกจากใบสำคัญคู่จ่าย ให้เป็นไปตาม ที่กระทรวงการคลังกำหนดหรือตามที่ได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังแล้ว ข้อ 2 ใบสำคัญคู่จ่าย ที่เป็นใบเสร็จรับเงินซึ่งผู้รับเงินออกให้ อย่างน้อยจะต้องมีรายการดังต่อไปนี้ 1. ชื่อ สถานที่อยู่ หรือที่ทำการของผู้รับเงิน 2. วัน เดือน ปี ที่รับเงิน 3. รายการแสดงการรับเงินระบุว่าเป็นค่าอะไร 4. จำนวนเงินทั้งตัวเลขและตัวอักษร 5. ลายมือชื่อของผู้รับเงิน
21 ข้อ 3 ให้ผู้จ่ายเงินประทับตราจ่ายเงินแล้ว ลงลายมือชื่อรับรอง การจ่าย ลงวันเดือนปี พร้อมทั้งมีชื่อผู้จ่ายเงินด้วยตัวบรรจงกำกับไว้ในหลักฐานการจ่ายเงินทุกฉบับ เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ ในกรณีที่ใบสำคัญคู่จ่ายเป็นภาษาต่างประเทศ ให้มีคำแปลเป็น ภาษาไทยตามสาระสำคัญในข้อ 1 (หลักฐานการจ่าย)ไว้ด้วย และให้ผู้ใช้สิทธิขอเบิกเงินลงลายมือชื่อ รับรองคำแปลด้วย ข้อ 4 การจ่ายเงิน ถ้าข้าราชการ ลูกจ้าง หรือผู้รับบำนาญหรือเบี้ย หวัดไม่สามารถมารับเงินด้วยตนเองได้จะมอบฉันทะให้ผู้อื่นเป็นผู้รับเงินแทนเมื่อได้รับอนุญาตจากผู้เบิก เงินของส่วนราชการนั้นแล้วก็ให้กระทำได้แบบใบมอบฉันทะรับเงินให้เป็นไปตามแบบ ที่กระทรวงการคลังกำหนด การจ่ายเงินให้บุคคลอื่นนอกจากที่กล่าวในวรรคแรก ในกรณีที่บุคคล นั้นไม่สามารถมารับเงินด้วยตนเองได้จะทำหนังสือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมารับเงินแทนก็ได้ การจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้ ในกรณีที่มีการโอนสิทธิเรียกร้องให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังกำหนด ข้อ 5 การจ่ายเงินในต่างประเทศซึ่งตามกฎหมายหรือประเพณีนิยม ของประเทศนั้น ๆ ไม่ต้องออกใบเสร็จรับเงินหรือออกใบรับเงินไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ในข้อ 1 (หลักฐานการจ่าย)ให้ผู้จ่ายเงินทำใบรับรองการจ่ายโดยระบุว่าเป็นการจ่ายเงินค่าอะไรเมื่อ วัน เดือน ปีใด จำนวนเท่าใด และให้ลงลายมือชื่อรับรองการจ่ายไว้เช่นเดียวกับที่กำหนด ในข้อ 2 (ใบสำคัญคู่จ่าย) ในกรณีที่มีหลักฐานการรับเงินเป็นอย่างอื่นก็ให้แนบหลักฐานนั้นไปพร้อม กับใบรับรองเพื่อตรวจสอบด้วย ข้อ 6 การจ่ายเงินรายใด ซึ่งตามลักษณะไม่อาจเรียกใบเสร็จรับเงิน จากผู้ชำระเงินได้ให้ผู้จ่ายเงินทำใบรับรองการจ่ายเงินได้โดยให้บันทึกชี้แจงเหตุที่ไม่อาจเรียก ใบเสร็จรับเงินไว้เพื่อประกอบการพิจารณาด้วยการจ่ายเงินค่าไปรษณีย์ากรไม่ว่าจะเป็นจำนวนเท่าใด ผู้จ่ายเงิน จะทำใบรับรองการจ่ายเงินโดยแสดงจำนวน และเลขที่ของหนังสือไปรษณียภัณฑ์ ที่ส่ง และจำนวนเงินค่าไปรษณีย์ากรที่จ่าย โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลตามวรรคแรกก็ได้ ข้อ 7 การจ่ายเงินต่อไปนี้ ให้ผู้จ่ายทำใบรับรองการจ่ายเงิน โดยไม่ต้องทำบันทึกชี้แจงเหตุผลตามข้อ 6 (1) การจ่ายเงินรายหนึ่ง ๆ เป็นจำนวนไม่ถึงสิบบาท (2) การจ่ายเงินเป็นค่ารถ หรือเรือนั่งรับจ้าง
22 (3) การจ่ายเงินเป็นค่าโดยสารรถไฟ รถยนต์ประจำทาง หรือเรือยนต์ประจำทาง ข้อ 8 ในกรณีที่ใบสำคัญคู่จ่ายเงินสูญหาย ให้ปฏิบัติดังนี้ (1) ถ้าใบสำคัญคู่จ่ายเป็นใบเสร็จรับเงินสูญหายให้ใช้สำเนา ใบเสร็จรับเงินซึ่งผู้รับเงินรับรองแทนได้ (2) ถ้าใบสำคัญคู่จ่ายที่เป็นใบสำคัญรับเงินสูญหายหรือไม่ อาจขอสำเนาใบเสร็จรับเงินตาม (1) ได้ให้ผู้จ่ายเงินทำใบรับรองการจ่ายเงิน โดยชี้แจงเหตุผล พฤติการณ์ ที่ใบสำคัญคู่จ่ายสูญหายและไม่อาจขอสำเนาใบเสร็จรับเงินนั้นได้พร้อมทั้งคำรับรองว่ายังไม่เคยนำ ใบสำคัญคู่จ่ายมาเบิกจ่ายและถ้าหากค้นพบภายหลังก็จะไม่นำมาเบิกจ่ายอีก เสนอต่อผู้บังคับบัญชา ตั้งแต่ชั้นอธิบดีหรือตำแหน่งเทียบเท่าขึ้นไป สำหรับส่วนกลาง หรือผู้ว่าราชการจังหวัดสำหรับส่วน ราชการในภูมิภาค แล้วแต่กรณี เพื่อพิจารณาอนุมัติเมื่อได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาดังกล่าวแล้ว ก็ให้ ใช้ใบรับรองนั้นเป็นใบสำคัญคู่จ่ายได้ ข้อ 9 หลักฐานการจ่ายต้องพิมพ์หรือเขียนด้วยหมึก การแก้ไข หลักฐานการจ่ายให้ใช้วิธีขีดฆ่าแล้วพิมพ์หรือเขียนใหม่ แล้วให้ผู้รับเงินลงลายมือชื่อกำกับไว้ทุกแห่ง ข้อ 10 ให้ส่วนราชการเก็บรักษาหลักฐานการจ่ายซึ่งสำนักงานตรวจ เงินแผ่นดินยังไม่ได้ตรวจสอบไว้ในที่ปลอดภัย อย่าให้สูญหายหรือเสียหายได้และเมื่อได้ตรวจสอบแล้ว ก็ให้เก็บอย่างเอกสารธรรมดา 3. การจ่ายเงิน ข้อ 1 การจ่ายเงิน จะจ่ายได้เฉพาะตามที่มีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือ มติคณะรัฐมนตรีอนุญาตให้จ่ายได้หรือตามที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลัง และผู้มีอำนาจได้อนุมัติให้จ่ายได้ ข้อ 2 ให้บุคคลต่อไปนี้ เป็นผู้มีอำนาจอนุมัติการจ่ายเงิน (1) ส่วนราชการส่วนกลาง ให้เป็นอำนาจของหัวหน้าส่วน ราชการระดับกรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าระดับ 6 หรือเทียบเท่า หรือผู้ที่มี ยศตั้งแต่พันโท นาว่าโท นาว่าอากาศโท หรือพันตำรวจโท ขึ้นไป (2) หน่วยงานสังกัดส่วนกลางแต่มีสำนักงานอยู่ในภูมิภาค หรือแยกต่างหากจากกระทรวง ทบวง กรม หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมจะมอบหมายให้หัวหน้า หน่วยงานนั้นเป็นผู้อนุมัติการจ่ายเงินของหน่วยงานนั้นก็ได้
23 (3) ส่วนราชการในภูมิภาค ให้หัวหน้าส่วนราชการผู้เบิก เป็นผู้อนุมัติ ข้อ 3 การอนุมัติจ่ายเงินตามข้อ 32 ผู้อนุมัติจะลงลายมือชื่ออนุมัติ ในหลักฐานการจ่าย หรือใบสำคัญคู่จ่าย หรือหลักฐานการขอรับชำระหนี้ทุกฉบับหรือจะลงลายมือชื่อ อนุมัติในงบหน้าหลักฐานการจ่ายหรือใบสำคัญคู่จ่ายก็ได้ ข้อ 4 การจ่ายเงิน จะต้องมีหลักฐานการจ่ายไว้เพื่อประโยชน์ ในการตรวจสอบ ข้อ 5 การจ่ายเงินให้แก่ผู้รับเงินทุกรายการ จะต้องมีการบันทึก รายการจ่ายเงินนั้นไว้ในบัญชีเงินสด หรือบัญชีเงินฝากธนาคาร แล้วแต่กรณี ในวันที่จ่ายเงินนั้น ข้อ 6 ห้ามมิให้ผู้มีหน้าที่จ่ายเงินเรียกใบสำคัญคู่จ่าย หรือให้ผู้รับเงิน ลงลายมือชื่อรับเงินในหลักฐานการจ่ายเงิน โดยที่ยังมิได้มีการจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้ หรือผู้มีสิทธิรับเงิน ข้อ 7 เมื่อสิ้นเวลารับจ่ายเงิน ให้ผู้เบิกเงินของส่วนราชการ หรือผู้ได้รับมอบหมายเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้เบิกเงินของส่วนราชการ ตรวจสอบรายการจ่ายเงิน ที่บันทึกไว้ในบัญชีเงินสดหรือบัญชีเงินฝากของธนาคาร กับหลักฐานการจ่ายวันนั้นการตรวจสอบ ตามวรรคแรก หากปรากฏว่าถูกต้องแล้วให้ผู้ตรวจสอบลงลายมือชื่อกำกับยอดเงินคงเหลือในบัญชีนั้น ส่วนที่ 3 วิธีปฏิบัติในการจ่ายเงิน ข้อ 1 ในการจ่ายเงินให้จ่ายเป็นเช็ค ยกเว้นในกรณีจากเงินทดรองราชการ ซึ่งเก็บรักษาไว้เป็นเงินสด การจ่ายเงินให้แก่ข้าราชการหรือลูกจ้างของส่วนราชการหรือผู้รับบำนาญ หรือเบี้ยหวัดหรือการจ่ายเงินที่มีวงเงินต่ำกว่า 2,000 บาท จะจ่ายเป็นเงินสดก็ได้ ข้อ 38 ทวิ การเขียนเช็คสั่งจ่ายเงินให้ปฏิบัติดังนี้ (1) การจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้ ในกรณีซื้อ หรือเช่าทรัพย์สิน หรือจ้าง ทำของ ให้ออกเช็คสั่งจ่ายในนามของเจ้าหนี้ ขีดฆ่าคำว่า "หรือตามคำสั่ง" หรือ "หรือผู้ถือ" ออกและ ขีดคร่อมด้วย (2) การจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้ นอกจากกรณีตาม (1) ให้ออกเช็คสั่ง จ่ายในนามเจ้าหนี้ ขีดฆ่าคำว่า "หรือตามคำสั่ง" หรือ "หรือผู้ถือ" และจะขีดคร่อมหรือไม่ก็ได้ (3) ในกรณีสั่งจ่ายเงินเพื่อขอรับเงินสดมาจ่าย ให้ออกเช็คสั่งจ่าย ในนามเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการ และขีดฆ่าคำว่า "หรือตามคำสั่ง" หรือ "หรือผู้ถือ" ออก ห้ามออกเช็ค สั่งจ่ายเงินสด
24 ข้อ 39 การเขียนหรือพิมพ์จำนวนเงินในเช็คที่เป็นตัวอักษร ให้เขียนหรือพิมพ์ให้ชิดคำว่า "บาท" หรือขีดเส้นหน้าจำนวนเงิน อย่าให้มีช่องวางที่จะเขียนหรือพิมพ์ จำนวนเงินเพิ่มเติมได้และให้ขีดเส้นตรงหลังชื่อสกุล ชื่อบริษัท หรือห้างหุ้นส่วน จนชิดคำว่า "หรือผู้ถือ" หรือ "หรือตามสั่ง" แล้วแต่กรณี โดยมิให้มีการเขียนหรือพิมพ์ชื่อบุคคลอื่นเพิ่มเติมได้อีก (ระเบียบการ เบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. 2551 น.15-16 เล่มที่ 125 ตอนพิเศษ 50 ง หน้า 9 - 12) 3.2.3 การเก็บรักษาเงิน ส่วนที่ 1 ตู้นิรภัยเก็บเงิน ข้อ 1 ส่วนราชการใดมีการเก็บรักษาเงิน ให้หัวหน้าส่วนราชการนั้น จัดให้มีตู้นิรภัยสำหรับเก็บรักษาเงินของทางราชการ ข้อ 2 ตู้นิรภัยของส่วนราชการ ให้ตั้งไว้ในที่ปลอดภัยในสำนักงาน ของส่วนราชการนั้น ข้อ 3 ตู้นิรภัยให้มีลูกกุญแจอย่างน้อย 2 ดอก แต่ละดอกมีลักษณะ ต่างกันโดยให้กรรมการเก็บรักษาเงินถือลูกกุญแจคนละดอก ข้อ 4 ลูกกุญแจตู้นิรภัยตู้หนึ่ง ๆ โดยปกติให้มีอย่างน้อย ๒ สำรับ ให้หัวหน้าส่วนราชการมอบให้กรรมการเก็บรักษาเงิน เก็บรักษา 1 สำรับ นอกนั้นให้นำฝากเก็บรักษาใน ลักษณะหีบห่อไว้ดังนี้ (1)สำหรับส่วนกลาง ณ กองคลังกลาง กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง (2) สำหรับส่วนภูมิภาค ณ ห้องเก็บเงินคลังในของสำนักงาน คลังจังหวัด ข้อ 5 ส่วนราชการในภูมิภาคแห่งใดโดยปกติไม่มีการเก็บรักษาเงิน หากมีความจำเป็นจะต้องเก็บรักษาเงินเป็นครั้งคราว หรือกรณีที่ส่วนราชการมีการเก็บรักษาเงินเป็น จำนวนมาก ซึ่งเห็นว่าการเก็บรักษาเงินไว้ในตู้นิรภัยของส่วนราชการนั้นจะไม่ปลอดภัย จะนำเงินฝาก เก็บรักษาไว้ ณ สำนักงานคลังจังหวัด ในลักษณะหีบห่อตามวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนดก็ได้ ส่วนที่ 2 กรรมการเก็บรักษาเงิน ข้อ 1 ให้หัวหน้าส่วนราชการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการซึ่งดำรง ตำแหน่งระดับ 2 หรือเทียบเท่าขึ้นไป ในส่วนราชการนั้นอย่างน้อย 3 คน เป็นกรรมการ เก็บรักษา
25 เงินของส่วนราชการ นั้นทั้งนี้ เว้นแต่ส่วนราชการใดโดยปกติมีเงินเก็บรักษาในวันหนึ่ง ๆ ไม่เกินหนึ่งหมื่น บาทจะตั้งกรรมการรักษาเงินเเพียง 2 คนก็ได้ การแต่งตั้งกรรมการเก็บรักษาเงินดังกล่าวในวรรคก่อน หากส่วน ราชการใดมีข้าราชการตำแหน่งตำแหน่งระดับ 2 หรือเทียบเท่าที่จะแต่งตั้งเป็นกรรมการไม่ครบจำนวน จะแต่งตั้งจากข้าราชการตำแหน่งระดับ 1 หรือข้าราชการซึ่งดำรงตำแหน่งระดับ 2 จากส่วนราชการอื่น ร่วมเป็นกรรมการให้ครบจำนวนก็ได้ ข้อ 2 ให้กรรมการเก็บรักษาเงิน เป็นผู้ถือลูกกุญแจตู้นิรภัย ในกรณี ที่ตู้นิรภัยมีที่ใส่กุญแจ 3 ดอก และมีกรรมการ 3 คน หรือมีที่ใส่กุญแจ 2 ดอก และมีกรรมการ 2 คนก็ให้ กรรมการถือกุญแจคนละดอก แต่ถ้าตู้นิรภัยมีที่ใส่ลูกกุญแจ 2 ดอก แต่มีกรรมการ 3 คนก็ให้กรรมการ ที่อาวุโสถือกุญแจ คนละ 1 ดอก และให้กรรมการอีก 1 ตนมีหน้าที่ประจำตราตู้นิรภัยแต่เพียงอย่างเดียว ในกรณีที่มีกรรมการเเพียง 2 คน แต่ตู้นิรภัยมีลูกกุญแจ 3 ดอก ก็ให้กรรมการถือกุญแจคนละ 1 ดอก ส่วนกุญแจที่เหลือให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าส่วนราชการที่จะมอบให้กรรมการผู้ใดถือลูกกุญแจนั้น ในกรณีที่มีห้องมั่นคงหรือกรงเหล็ก การถือลูกกุญแจห้องมั่นคง หรือกรงเหล็กให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับการถือลูกกุญแจตู้นิรภัยโดยอนุโลม ข้อ 3 ถ้ากรรมการเก็บรักษาเงินผู้ใดไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ กรรมการได้ให้หัวหน้าส่วนราชการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตามนัยข้อ 53 ให้เป็นกรรมการ แทนชั่วคราวให้ครบจำนวนการแต่งตั้งผู้ที่จะเป็นกรรมการแทน จะแต่งตั้งไว้เป็นการประจำเพื่อปฏิบัติ หน้าที่แทนชั่วคราวก็ได้ ข้อ 4 การส่งมอบและรับมอบลูกกุญแจระหว่างกรรมการกับ ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่กรรมการแทนชั่วคราว ตามข้อ 55 ให้กรรมการผู้ส่งมอบและกรรมการ ผู้รับมอบตรวจนับตัวเงินและหลักฐานแทนตัวเงินซึ่งเก็บรักษาไว้ในตู้นิรภัยให้ถูกต้องตามรายงานเงิน คงเหลือประจำวันแล้วบันทึกการส่งมอบและรับมอบพร้อมกับลงลายมือชื่อกรรมการทุกคนไว้ในรายงาน เงินคงเหลือประจำวันนั้นด้วยห้ามมิให้กรรมการมอบลูกกุญแจให้ผู้อื่นทำหน้าที่กรรมการแทน เว้นแต่เป็นการมอบให้กรรมการซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการแทนชั่วคราว ตามข้อ 55 ข้อ 5 กรรมการจะต้องเก็บรักษาลูกกุญแจไว้ในที่ปลอดภัยอย่าให้ สูญหายหรือให้ผู้ใดลักลอบนำไปพิมพ์แบบลูกกุญแจได้ หากปรากฏว่าลูกกุญแจหายหรือมีกรณีสงสัย ว่าจะมีผู้ปลอมแปลงลูกกุญแจให้รีบรายงานให้หัวหน้าส่วนราชการเพื่อสั่งการโดยด่วน
26 ส่วนที่ 3 การเก็บรักษาเงิน ข้อ 1 ให้กองคลังหรือส่วนราชการส่วนภูมิภาค แล้วแต่กรณีจัดทำรายงานเงิน คงเหลือประจำวันตามแบบท้ายระเบียบนี้เป็นประจำวันทุกวัน หากวันใดไม่มีการรับจ่ายเงิน จะไม่ทำรายงานเงินคงเหลือประจำวันสำหรับ วันนั้นก็ได้แต่ให้หมายเหตุในรายงานเงินคงเหลือประจำวันที่มีการรับจ่ายเงินถัดไปให้ทราบด้วย ข้อ 2 เมื่อสิ้นเวลารับจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่การเงินนำเงินที่จะเก็บรักษา และรายงานเงินคงเหลือประจำวัน ส่งมอบต่อคณะกรรมการเก็บรักษาเงินให้คณะกรรมการเก็บรักษาเงิน ร่วมกันตรวจสอบตัวเงิน และหลักฐานแทนตัวเงินกับรายงานเงินคงเหลือประจำวัน เมื่อปรากฏ ว่าถูกต้องแล้วให้นำเงินเข้าเก็บรักษาในตู้นิรภัยและให้กรรมการทุกคนลงลายมือในรายงานเงินคงเหลือ ประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ข้อ 3 รายงานเงินคงเหลือประจำวัน เมื่อกรรมการเก็บรักษาเงินได้ลงลายมือ ชื่อแล้ว ให้หัวหน้ากองคลังหรือเจ้าหน้าที่การเงินเสนอหัวหน้าส่วนราชการเพื่อทราบ ข้อ 4 ในกรณีที่ปรากฏว่าเงินที่ได้รับมอบให้เก็บรักษาไม่ตรงกับจำนวน ซึ่งแสดงไว้ในรายงานเงินคงเหลือประจำวัน ให้คณะกรรมการเก็บรักษาเงินและเจ้าหน้าที่การเงินผู้นำส่ง ร่วมกันบันทึกจำนวนที่ตรวจนับได้นั้น ไว้ในรายงานเงินคงเหลือประจำวันและลงลายมือชื่อกรรมการทุก คน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่การเงินผู้นำส่ง แล้วนำเงินเข้าเก็บรักษาในตู้นิรภัย โดยปฏิบัติตามข้อ 59 แล้วให้กรรมการเก็บรักษาเงินรายงานให้หัวหน้าส่วนราชการทราบทันที่ เพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป ข้อ 5 เมื่อนำเงินเข้าเก็บในตู้นิรภัยเรียบร้อยแล้ว ให้กรรมการใส่ลูกกุญแจ ตู้นิรภัยให้เรียบร้อยแล้วลงลายมือชื่อบนกระดาษปิดทับหรือประจำตราครั่งหรือดินเหนียวของกรรมการ แต่ละคนไว้บนเชือกผู้กมัดตู้นิรภัย ในลักษณะที่ตราประจำครั่งดินเหนียวหรือแผ่นกระดาษปิดทับจะต้อง ถูกทำลายเมื่อมีการเปิดตู้นิรภัยในกรณีที่ตู้นิรภัยตั้งอยู่ในห้องมั่นคงหรือกรงเหล็ก การลงลายมือชื่อบน กระดาษปิดทับหรือประจำตราครั่งของกรรมการจะกระทำที่ประตูห้องมั่นคงหรือกรงเหล็กแต่เเพียงแห่ง เดียวก็ได้ ข้อ 6 ในวันทำการถัดไป หากจะต้องนำเงินออกจ่ายให้คณะกรรมการเก็บ รักษาเงินมอบเงินที่เก็บรักษาทั้งหมด ให้หัวหน้ากองคลังหรือเจ้าหน้าที่การเงินแล้วแต่กรณีรับไปจ่าย โดยให้ลงลายมือชื่อรับเงินไว้ในรายงานเงินคงเหลือประจำวันก่อนวันทำการที่รับเงินไปจ่ายนั้น ข้อ 7 การเปิดประตูห้องมั่นคงหรือประตูกรงเหล็กหรือตู้นิรภัยให้กรรมการ ตรวจกุญแจลายมือชื่อบนแผ่นกระดาษปิดทับหรือตราประจำครั้ง ของกรรมการ เมื่อปรากฏว่าอยู่ ในสภาพเรียบร้อยจึงให้เปิดได้
27 หากปรากฏว่าแผ่นกระดาษปิดทับ หรือตราประจำครั่งหรือดินเหนียวของ กรรมการอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อย หรือมีพฤติการณ์อื่นใดที่สงสัยว่าจะมีการทุจริตให้รายงานให้หัวหน้า ส่วนราชการนั้นทราบเพื่อพิจารณาสั่งการตามที่เห็นสมควรต่อไป (ระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลัง พ.ศ.2551 น.15-16 เล่มที่ 125 ตอนพิเศษ 50 ง หน้า 17 - 19) 3.2.4 การยืมเงินและการนำส่งเงิน 1. การจ่ายเงินยืม ข้อ 1 การจ่ายเงินยืมจะจ่ายได้แต่เฉพาะที่ผู้ยืมได้ทำสัญญาการยืมเงินตาม แบบที่กระทรวงการคลังกำหนดและผู้มีอำนาจได้อนุมัติให้จ่ายเงินยืมตามสัญญาการยืมเงินนั้นแล้ว เท่านั้น ข้อ 2 สัญญาการยืมเงิน ให้ผู้ยืมยื่นต่อผู้มีอำนาจอนุมัติตามที่กำหนดไว้ ในระเบียบ การเบิกจ่ายจากคลังผ่านหัวหน้ากองคลัง 2 ฉบับ โดยแสดงประมาณการค่าใช้จ่าย และกำหนดเวลาใช้คืน และให้หัวหน้ากองคลังพิจารณาเสนอความเห็นต่อผู้มีอำนาจดังกล่าวอนุมัติ ข้อ 3 การอนุมัติให้ยืมเงินใช้ราชการ ให้ผู้มีอำนาจพิจารณาอนุมัติให้ยืมเฉพาะ เท่าที่จำเป็นเพื่อใช้ในราชการ และห้ามมิให้อนุมัติให้ยืมเงินรายใหม่ในเมื่อผู้ยืมมิได้ชำระเงินยืมรายเก่า ให้เสร็จสิ้นไปก่อน เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลัง ข้อ 4 การจ่ายเงินนอกงบประมาณให้ยืม ให้กระทำได้เฉพาะเพื่อใช้จ่าย ในการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของเงินนอกงบประมาณประเภทนั้น ๆ หรือ กรณีอื่นซึ่งจำเป็น เร่งด่วนแก่ราชการ และได้รับอนุมัติจากหัวหน้าส่วนราชการเจ้าของงบประมาณ ข้อ 5 เมื่อผู้ยืมได้รับเงินตามสัญญาการยืมเงินแล้ว ให้ลงลายมือชื่อรับเงินใน สัญญาการยืมเงินทั้ง 2 ฉบับ มอบให้ส่วนราชการเก็บรักษาไว้เป็นหลักฐาน 1 ฉบับ ให้ผู้ยืมเก็บไว้ 1 ฉบับ ข้อ 6 เมื่อผู้ยืมส่งใช้เงินยืม ให้เจ้าหน้าที่ผู้รับคืนเงินยืมบันทึกการรับคืนใน สัญญาการยืมเงิน พร้อมทั้งออกใบเสร็จรับเงินและหรือใบรับใบสำคัญ ตามแบบที่กรมบัญชีกลาง กำหนดให้ผู้ยืมไว้เป็นหลักฐาน ข้อ 7 ให้ส่วนราชการเก็บรักษาใบยืมซึ่งยังมิได้ชำระคืนเงินยืมให้เสร็จสิ้นไว้ใน ที่ปลอดภัยอย่าให้สูญหายได้และเมื่อผู้ยืมได้ชำระคืนเงินยืมเสร็จสิ้นแล้ว ก็ให้เก็บเช่นเดียวกับหลักฐาน การจ่าย ข้อ 8 ในกรณีที่ผู้ยืมมิได้ชำระคืนเงินยืมภายในกำหนด ให้หัวหน้ากองคลัง เรียกชดใช้เงินยืมตามเงื่อนไขในใบยืมให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว อย่างช้าไม่เกิน 30 วัน นับแต่วันครบกำหนด
28 ในกรณีที่ไม่อาจปฏิบัติได้ตามวรรคแรกก็ให้รายงานให้หัวหน้าส่วนราชการ หรือผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วแต่กรณี ทราบเพื่อพิจารณาสั่งการบังคับให้เป็นไปตามสัญญาการยืมเงิน ต่อไป 2. ข้อกำหนดในการนำเงินส่งคลัง 2.1 กำหนดเวลานำเงินส่ง ข้อ 1 เงินทั้งปวงที่อยู่ในความรับผิดชอบของส่วนราชการ ทั้งที่เป็นเงินสด และหรือเช็คให้นำส่งหรือนำฝากคลังภายในกำหนดดังนี้ (1) เช็คให้นำส่งหรือนำฝากในวันที่ได้รับเช็ค หรืออย่างช้าภายใน วันทำการถัดไป (2) เงินรายได้แผ่นดินให้นำส่งอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง แต่ถ้าส่วน ราชการใดมีเงินรายได้แผ่นดินเก็บรักษาในวันใดเกินหนึ่งหมื่นบาทก็ให้นำเงินส่งโดยด่วนแต่อย่างช้า ต้องไม่เกิน 3 วันทำการถัดไป (3) เงินเบิกเกินส่งคืน หรือเงินเหลือจ่ายปีเก่าส่งคืน ให้นำส่งภายใน ระยะเวลาที่กำหนดในระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง (4) เงินนอกงบประมาณ ให้นำฝากคลังอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง แต่สำหรับเงินที่เบิกจากคลังเพื่อรอการจ่าย ให้นำฝากคลังภายใน 15 วัน นับจากวันรับเงินจากคลัง 2.2 การนำเงินส่ง ข้อ 1 การนำเงินส่งหรือฝากคลัง ให้ปฏิบัติดังนี้ (1) ส่วนราชการส่วนกลาง ให้นำส่งเข้าบัญชีเงินคงคลัง บัญชี ณ ธนาคารแห่งประเทศไทย ตามวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด (2) ส่วนราชการส่วนภูมิภาค ให้นำส่งสำนักงานคลังจังหวัดตาม วิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด ข้อ 2 ให้หัวหน้ากองคลังหรือหัวหน้าส่วนราชการส่วนภูมิภาค ดูแล ให้มีการนำใบนำส่งซึ่งผู้รับเงินได้ลงลายมือชื่อรับเงินหรือมีหลักฐานการรับเงินแล้วลงบัญชีภายในวันที่นำ เงินส่งนั้น ข้อ 3 การนำเงินส่งกรณีที่เงินนำส่งซึ่งเป็นเงินสดมีจำนวนมาก หรือสถานที่ที่จะนำเงินส่งอยู่ห่างไกล หรือกรณีอื่นใดซึ่งเห็นว่าจะไม่ปลอดภัยแก่เงินที่นำส่ง ให้หัวหน้า
29 ส่วนราชการแต่งตั้งข้าราชการซึ่งดำรงตำแหน่งระดับ 2 หรือเทียบเท่าขึ้นไป และข้าราชการอื่นอย่าง น้อย 1 คน เป็นกรรมการรับผิดชอบร่วมกันควบคุมเงินไปส่ง และจัดให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมรักษา ความปลอดภัยด้วยก็ได้ การไปรับเงินจากธนาคาร สำนักงานคลังจังหวัดหรือสถานที่อื่นหรือ การนำเงินไปจ่ายนอกที่ตั้งสำนักงานปกติให้ปฏิบัติตามนัยดังกล่าว (ระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลัง พ.ศ.2551 น.15-16 เล่มที่ 125 ตอนพิเศษ 50 ง หน้า 12 - 15) 3.4 การควบคุมและตรวจสอบ ข้อ 1 ใหหน่วยงานผู้เบิกนำเอกสารการรับจ่ายเงินมาเป็นหลักฐานบันทึกบัญชี ตามหลักการและนโยบายบัญชีที่กระทรวงการคลังกำหนด ข้อ 2 ทุกสิ้นวันทำการให เจ้าหน้าที่การเงินของสวนราชการตรวจสอบจำนวน เงินสด และเช็คคงเหลือกับรายงานเงินคงเหลือประจำวันที่กรมบัญชีกลางกำหนด เมื่อสิ้นปงบประมาณ ใหสวนราชการจัดทำรายงานการเงินเสนอหัวหน้าสวนราชการ พร้อม ทั้งสงใหสำนักงานการตรวจเงิน แผ่นดินเพื่อตรวจสอบรับรอง ตามวิธีการที่กรมบัญชีกลางกำหนด ข้อ 3 ใหหน่วยงานผู้เบิกมีหน้าที่ใหคำชี้แจงและอำนวยความสะดวกแก เจ้าหน้าที่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินในการตรวจสอบรายงานการเงินและหลักฐานการจ่ายกรณี ที่ได้รับการ ทักท้วงจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ถ้าหน่วยงานผู้เบิกไม่เห็นด้วยกับข้อทักท้วงให ชี้แจงเหตุผลและรายงานให กระทรวง ทบวง กรม หรือรัฐวิสาหกิจเจ้าของงบประมาณ แล้วแต่กรณี ทราบภายใน สิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งข้อทักทวงจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หากเจ้าของ งบประมาณ ดังกล่าวเห็นวาคำชี้แจงนั้น มีเหตุผลสมควร ให พิจารณาดำเนินการขอให กระทรวงการคลัง วินิจฉัย ภายในสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากหน่วยงานผู้เบิกภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอ จากเจ้าของงบประมาณ เมื่อกระทรวงการคลัง ไดวินิจฉัยคำชี้แจงเป็นประการใดแลว ใหแจ้งให กระทรวง ทบวง กรม หรือรัฐวิสาหกิจเจ้าของ งบประมาณ และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินทราบใน กรณีที่เจ้าของงบประมาณดังกล่าวจะต้อง ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของกระทรวงการคลัง ใหปฏิบัติใหเสร็จ สิ้นพร้อมทั้งแจ้งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินทราบภายในสิบวันนับแต่วันที่ได้รับทราบผลการวินิจฉัย ข้อ 4 การตรวจสอบภายในของสวนราชการใหเป็นไปตามที่กระทรวงการคลัง กำหนด ข้อ 5 เมื่อปรากฏวาสวนราชการแหงใดปฏิบัติเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินสงคลังไม่ถูกต้องตามระเบียบ ให หัวหน้าสวนราชการระดับกรมหรือ ผู้วาราชการ จังหวัด แล้วแต่กรณี พิจารณาสั่งการใหปฏิบัติให ถูกต้องโดยดวน
30 ข้อ 6 หากปรากฏวาเงินในความรับผิดชอบของสวนราชการแหงใดขาดบัญชี หรือสูญหายเสียหายเพราะการทุจริต หรือมีพฤติการณที่สอไปในทางไม่สุจริตหรือเพราะเหตุหนึ่งเหตุใด ซึ่งมิใชกรณีปกติ ใหหัวหน้าสวนราชการระดับกรมหรือผู้วาราชการจังหวัดแล้ว แต่กรณีรีบรายงาน พฤติการณใหกระทรวงเจ้าสังกัดทราบโดยดวน และดำเนินการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดตามหลักเกณฑ ที่กำหนดไวในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีวาด้วยหลักเกณฑการปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิด ของเจ้าหน้าที่ ในกรณีที่เห็นวาเป็นความผิดอาญาแผ่นดินใหฟองร้องดำเนินคดีแกผู้กระทำความผิดด้วย (ระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลัง พ.ศ.2551 น.15-16 เล่มที่ 125 ตอนพิเศษ 50 ง หน้า 22 - 23) 4.ระเบียบ ค าสั่ง เกี่ยวกับงานการเงิน 4.1. ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของ ส่วนราชการในต่างประเทศ พ.ศ. 2549 โดยที่เป็นการสมควรกำหนดหลักเกณฑ์ในการเบิกจ่ายเกี่ยวกับ ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการในต่างประเทศ เพื่อให้เป็นไปด้วยความสะดวก คล่องตัว และมีความยืดหยุ่น สามารถใช้บริหารจัดการได้อย่างเหมาะสมอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 21 (2) แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 กระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบของ คณะรัฐมนตรีจึงวางระเบียบไว้ดังต่อไปนี้ คำอธิบายการกำหนดระเบียบฉบับนี้เป็นการอาศัยอำนาจตามมาตรา 21(2) แห่งพระราชบัญญัติวิธีการ งบประมาณ พ.ศ. 2502 ซึ่งบัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจหน้าที่ในการกำหนด ระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงิน และ การนำเงินส่งคลังด้วย ความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับ ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการในต่างประเทศ พ.ศ. 2549คำอธิบายกระทรวงการคลังได้ กำหนดระเบียบว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการเป็น 2 ฉบับ คือ 1.ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ของส่วนราชการ พ.ศ. 2549 ใช้สำหรับส่วนราชการในประเทศ 2.ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ของส่วนราชการในต่างประเทศ พ.ศ. 2549 ใช้สำหรับส่วนราชการที่มีสำนักงานในต่างประเทศ ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็น ต้นไป
31 คำอธิบายเนื่องจากระเบียบฉบับนี้เป็นการกำหนดในเรื่องการใช้ดุลยพินิจ เป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งส่วนราชการจะต้องกำหนดระเบียบภายใน และกระทรวงการคลังจะต้องกำหนดหลักเกณฑ์ และอัตราค่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ ดังนั้น เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีเวลาเตรียมการในเรื่องดังกล่าว และรับทราบหนังสือสั่งการเป็นการล่วงหน้า จึงได้กำหนดวันใช้บังคับเมื่อพ้น 30 วันนับแต่วันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ซึ่งสอดคล้องกับระเบียบ กระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงิน ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ พ.ศ. 2549(แก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับที่ 3 พ.ศ. 2555) โดยที่เป็นการเห็นสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบ กระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมการจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้นอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 21 (2) แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 กระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีจึงกำหนดระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า “ ระเบียบ กระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงานและการประชุมระหว่างประเทศ ” ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ข้อ 3 ให้ยกเลิก (1)ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการประชุมระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 (2)ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมของส่วนราชการ พ.ศ. 2545 บรรดาหลักเกณฑ์ หรือแนวปฏิบัติใดที่ กำหนดไว้แล้วในระเบียบนี้ ให้ใช้ระเบียบนี้แทนมี ข้อ 4 ในระเบียบนี้ “ส่วนราชการ ” หมายความว่า สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม ส่วน ราชการที่ เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเป็นหรือเทียบเท่ากระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่าง อื่น ซึ่ง ไม่ มีฐานะเป็นกรมแต่มีหัวหน้าส่วนราชการ ซึ่งมี ฐานะเป็นอธิบดี “ บุคลากรของรัฐ ” หมายความว่า ข้าราชการทุกประเภท รวมทั้งพนักงาน ลูกจ้าง ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ “ เจ้าหน้าที่ ” หมายความว่า บุคลากรของรัฐที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานตาม ระเบียบนี้และให้หมายความรวมถึงบุคคลอื่นที่ได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติงานและเจ้าหน้าที่รักษาความ ปลอดภัยด้วย “ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานลักษณะพิเศษ ” หมายความว่า บุคคลซึ่งมิได้เป็นบุคลากรของ รัฐและได้รับแต่งตั้งจากหัวหน้าส่วนราชการผู้จัดการประชุมระหว่างประเทศให้ปฏิบัติงานในการประชุม ระหว่างประเทศ อาทิเช่น พนักงานพิมพ์ดีด พนักงานบันทึกข้อมูล พนักงานแปล ล่ามและผู้จดบันทึก สรุปประเด็นในการประชุมระหว่างประเทศ เป็นต้น
32 “ การฝึกอบรม ” หมายความว่า การอบรม การประชุมทางวิชาการหรือเชิงปฏิบัติการ การสัมมนาทางวิชาการหรือเชิงปฏิบัติการ การบรรยายพิเศษ การฝึกศึกษา การดูงาน การฝึกงาน หรือ ที่เรียกชื่ออย่างอื่นทั้งในประเทศและต่างประเท ศ โดยมีโครงการหรือหลักสูตรและช่วงเวลาจัดที่แน่นอน ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบุคคลหรือเพิ่มประสิทธิภาพในกำรปฏิบัติงาน โดยไม่มีการรับปริญญาหรือ ประกาศนียบัตรวิชาชีพกระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีจึงกำหนดระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้ “ การฝึกอบรมประเภท ก ” หมายความว่า การฝึกอบรมที่ผู้เข้ารับการฝึก อบรมเกิน กึ่งหนึ่งเป็นบุคลากรของรัฐซึ่งเป็นข้าราชการ ตำแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ ข้าราชการ ตำแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญและระดับทรงคุณวุฒิ ข้าราชการตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับสูง ข้าราชการตำแหน่งประเภทบริหารระดับต้นและระดับสูง หรือตำแหน่งที่เทียบ เท่า แก้ไขโดย ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมการจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2552 “ การฝึกอบรมประเภท ข ” หมายความว่า การฝึกอบรมที่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมเกิน กึ่งหนึ่งเป็นบุคลากรของรัฐ ซึ่งเป็นข้าราชการตำแหน่งประ เภททั่วไป ระดับ ปฏิบัติงาน ระดับชำนาญ งานและระดับอาวุโส ข้าราชการตำแหน่งประเภทวิชาการปฏิบัติการ ระดับชำนาญการและระดับ ชำนาญการพิเศษ ข้าราชการตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับต้น หรือตำแหน่งที่เทียบเท่า แก้ไขโดย ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมการจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2552 “ การฝึกอบรมบุคคลภายนอก ” หมายความว่า การฝึกอบรมที่ผู้เข้ารับการฝึกอบรม เกินกึ่งหนึ่งมิใช่บุคลากรของรัฐ “ ผู้เข้ารับการฝึกอบรม ” หมายความรวมถึง บุคลากรของรัฐหรือบุคคลซึ่งมิใช่ บุคลากรของรัฐที่เข้ารับการฝึกอบรมตามโครงการหรือหลักสูตรการฝึกอบรม “ การประชุมระหว่างประเทศ ” หมายความว่า การประชุมหรือสัมมนาระหว่าง ประเทศที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ รัฐบาลต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศจัด หรือ จัดร่วมกันในประเทศไทยโดยมีผู้แทนจากสองประเทศขึ้นไปเข้าร่วมประชุมหรือสัมมนา “ การดูงาน ” หมายความว่า การเพิ่มพูนความรู้หรือประสบการณ์ด้วยการ สังเกตการณ์ ซึ่งกำหนดไว้ในโครงการหรือหลักสูตรการฝึกอบรม หรือกำหนดไว้ในแผนการจัดประชุม ระหว่างประเทศ ให้มีการดูงานก่อน ระหว่าง หรือหลังการฝึกอบรมหรือประชุมระหว่างประเทศและ หมายความรวมถึงโครงการหรือหลักสูตร การฝึกอบรมเฉพาะการดูงานภายในประเทศที่หน่วยงาน ของรัฐจัดขึ้น
33 “ ผู้แทน ” หมายความว่า ผู้แทนประเทศไทยและที่ปรึกษาของผู้แทนดังกล่าวซึ่ง ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี หรือได้รับอนุมั ติจากรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ประธานรัฐสภา หัวหน้า ส่วนราชการเจ้าของงบประมาณหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการของ ข้าราชการแต่ละประเภท แล้วแต่กรณี “ ผู้เข้าร่วมประชุม ” หมายความว่า ผู้แทน และผู้แทนของต่างประเทศที่เข้าร่วมการ ประชุมระหว่างประเทศ ข้อ 5 ให้ปลัดกระทรวงการคลังรักษาการตามระเบียบนี้ (ข) การฝึกอบรมข้าราชการประเภท ข ให้จัดยานพาหนะตามสิทธิของข้าราชการ ตำแหน่งประเภททั่วไประดับชำนาญงาน (ค) การฝึกอบรมบุคคลภายนอกให้จัดยานพาหนะตามสิทธิของข้าราชการตำแหน่ง ประเภททั่วไประดับปฏิบัติงาน ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายค่าพาหนะได้เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น เหมาะสม และประหยัด (3) กรณีวิทยากร มีถิ่นที่อยู่ในท้องที่เดียวกับสถานที่จัดการฝึกอบรม ส่วนราชการที่จัดการ ฝึกอบรมจะเบิกจ่ายเงินค่าพาหนะรับจ้างไป – กลับ ให้แก่วิทยากรแทนการจัดรถรับส่งวิทยากร ได้โดยให้ใช้แบบใบสำคัญรับเงินสำหรับวิทยากรเอกสารหมายเลข 1 ท้ายระเบียบนี้ เป็นหลักฐานการ จ่าย แก้ไขโดยระเบียบกระทรวงการคลังว่า ด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการประชุม ระหว่างประเทศ (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2555 ข้อ 18 การจัดการฝึกอบรมที่ส่วนราชการที่จัดการฝึกอบรม ไม่จัดอาหาร ที่พัก หรือยานพาหนะ ทั้งหมดหรือจัดให้บางส่วน ให้ส่วนราชการที่จัดการฝึกอบรมเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมด หรือส่วนที่ขาดให้แก่บุคคลตามข้อ 10แต่ถ้าบุคคลตามข้อ 10 (4) หรือ (5) เป็นบุคลากรของรัฐ ให้เบิกจ่ายจากต้นสังกัด ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ ในพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่าย ในการเดินทางไปราชการ ยกเว้น (1) ค่าเช่าที่พัก ให้เบิกจ่ายตามหลักเกณฑ์และอัตราตามข้อ 16 (2) ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ให้คำนวณเวลา เพื่อเบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยงเดินทางโดยให้นับตั้งแต่ เวลาที่เดินทางออกจากสถานที่อยู่ หรือสถานที่ปฏิบัติราชการตามปกติ จนกลับถึงสถานที่อยู่ หรือสถานที่ ปฏิบัติราชการตามปกติ แล้วแต่กรณี โดยให้นับยี่สิบสี่ชั่วโมงเป็นหนึ่งวัน ถ้าไม่ถึงยี่สิบสี่ ชั่วโมงหรือเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงและส่วนที่ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง หรือเกินยี่สิบ สี่ชั่วโมงนั้นเกินกว่าสิบสองชั่วโมง ให้ถือเป็นหนึ่งวัน แล้วนำจำนวนวันทั้งหมดมาคูณกับอัตราเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ในกรณี ที่ผู้จัดการฝึกอบรม จัดอาหารบางมื้อในระหว่างการฝึกอบรม ให้หักเบี้ยเลี้ยงเดินทางที่คำนวณได้ใน อัตรามื้อละ 1 ใน 3 ของอัตราเบี้ยเลี้ยงเดินทางต่อวัน แก้ไขโดยระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการ ฝึกอบรม การจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2555
34 ข้อ 19 การจัดการฝึกอบรมบุคคลภายนอก ถ้าส่วนราชการที่ จัดการฝึกอบรมไม่จัดอาหาร ที่พัก หรือยานพาหนะ ทั้งหมดหรือจัดให้บางส่วน ให้ส่วนราชการที่จัดการฝึกอบรมเบิกจ่ายค่าใช้จ่าย ให้แก่ผู้เข้า รับการฝึกอบรม ที่เป็นบุคลากรของรัฐตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ 18 และให้ส่วน ราชการที่จัดการฝึกอบรมเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดหรือส่วนที่ขาดให้แก่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่มิได้เป็น คลากรของรัฐตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ (1) ค่าอาหาร (ก) การฝึกอบรมที่จัดอาหารให้ 2 มื้อ ให้เบิกจ่ายค่าอาหารในลักษณะเหมาจ่ายได้ ไม่เกินคนละ80 บาท ต่อวัน (ข) การฝึกอบรมที่จัดอาหารให้ 1 มื้อ ให้เบิกจ่ายค่าอาหารในลักษณะเหมาจ่ายได้ ไม่เกินคนละ 160 บาท ต่อวัน (ค) การฝึกอบรมที่ไม่จัดอาหารให้ทั้ง 3 มื้อ ให้เบิกจ่ายค่าอาหารในลักษณะเหมาจ่าย ได้ไม่เกินคนละ 240 บาท ต่อวัน (2) ค่าเช่าที่พัก ให้เบิกจ่ายในลักษณะเหมาจ่ายไม่เกินคนละ 500 บาท ต่อวัน (3) ค่าพาหนะเดินทาง ให้เบิกจ่ายได้ตามสิทธิของข้าราชการตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงานกาเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายตามข้อนี้ ให้ใช้แบบใบสำคัญรับเงินค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม บุคคลภายนอกเอกสารหมายเลข 2 ท้ายระเบียบนี้ เป็นหลักฐานการจ่าย แก้ไขโดยระเบียบ กระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2555 ข้อ 20 การเบิกค่าเครื่องแต่งตัวในการเดินทางไปฝึกอบรมในต่างประเทศ ให้เบิกจ่ายได้เฉพาะ ผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่เป็นบุคลากรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ ตามบัญชีหมายเลข 4 ท้ายระเบียบนี้ แก้ไข โดยระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการประชุมระหว่าง ประเทศ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2555 ข้อ 21 โครงการหรือหลักสูตรการฝึกอบรมที่ส่วนราชการที่จัดการฝึกอบรมได้รับความ ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายทั้งหมดจากหน่วยงานภายในประเทศ ต่างประเทศ หรือระหว่างประเทศ ให้งดเบิกจ่ายค่าใช้จ่าย ส่วนกรณีที่ส่วนราชการที่จัดการฝึกอบรมได้รับความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายบางส่วน ให้เบิกจ่ายค่าใช้จ่ายสมทบ ในส่วนที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์และอัตราที่กำหนดไว้ ในระเบียบนี้ แก้ไขโดยระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2555
35 ข้อ 22 กรณีส่วนราชการที่ จัดการฝึกอบรมประสงค์จะจ้างจัด ฝึกอบรมในโครงการ หรือหลักสูตร การฝึกอบรมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ให้ดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์ และอัตรา ค่าใช้จ่ายตามระเบียบนี้ และถ้าใช้เครื่องบินโดยสารเป็นยานพาหนะในการเดินทางไปฝึกอบรมใน ต่างประเทศให้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีและหนังสือกระทรวงการคลังที่กำหนดในเรื่องดังกล่าวด้วย การจ่ายเงินค่าใช้จ่ายตามวรรคหนึ่ง ให้ใช้ใบเสร็จรับเงินของผู้รับจ้างเป็นหลักฐานการจ่ายแต่ถ้าเป็น การจ่าย เงินโดยกรมบัญชีกลางเพื่อเข้าบัญชีให้กับผู้รับจ้าง หรือผู้มีสิทธิรับเงินโดยตรงให้ใช้รายงาน ในระบบตามที่กระทรวงการคลังกำหนดเป็นหลักฐานการจ่าย แก้ไขโดยระเบียบกระทรวงการคลังว่า ด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2555 ข้อ 23 ให้มีการประเมินผลการฝึกอบรม และรายงานต่อหัวหน้าส่วนราชการที่จัดการ ฝึกอบรมภายใน 60 วันนับแต่วันสิ้นสุดการฝึกอบรม แก้ไขโดยระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วย ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2555 ค่าใช้จ่ายของผู้เข้ารับการฝึกอบรม ข้อ 24 ในการส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรม ให้ส่วนราชการต้นสังกัดพิจารณาอนุมัติเฉพาะ ผู้ที่ ปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหรือเป็นประโยชน์ต่อส่วนราชการนั้นตามจำนวนที่เห็นสมควร โดยคำนึงถึง ความจำเป็นและเหมาะสมในการปฏิบัติงาน แก้ไขโดยระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่าย ในการฝึกอบรม การจัดงานและการประชุมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2555 ข้อ 25 ค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าลงทะเบียน ค่าธรรมเนียม หรือค่าใช้จ่ายทำนองเดียวกันที่เรียกชื่อ อย่างอื่น ให้ผู้ เข้ารับการฝึกอบรมเบิกเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินอัตราที่ส่วนราชการหรือหน่วยงาน ที่จัดการฝึกอบรมเรียกเก็บแก้ไขโดยระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัด งาน และกำรประชุมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2555 บัญชีหมายเลข 4 ค่าเครื่องแต่งตัวในการเดนทางไปฝึกอบรมในต่างประเทศ รายชื่อประเทศที่ไม่สามารถเบิกคาเครื่องแต่งตัวในการเดินทางไปฝึกอบรมในต่างประเทศ (1)สหภาพพม่า (2)เนการาบรูไนดารุสซาลาม (3)สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (5)ราชอาณาจักรกัมพูชา (6)สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (7)มาเลเซีย
36 (8)สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (9)สาธารณรัฐสิงคโปร์ (9)สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา (10)สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (11)สาธารณรัฐหมู่เกาะฟูจิ (12)ปาปัวนิวกินี (13)รัฐเอกราชซามัว (14)สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต 2. ค่าเครื่องแต่งตัวให้เบิกในลักษณะเหมาจ่ายไม่เกินอัตรา ดังนี้ 2.1 คนละ ๗,๕๐๐ บาท ได้แก่ (1) ข้าราชการตำแหน่งประเภททั่วไประดับปฏิบัติงาน (2) ข้าราชการตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ 2.2 คนละ ๙,๐๐๐ บาท ได้แก่ (1) ข้าราชการตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับชำนาญงาน ระดับอาวุโส ระดับทักษะ พิเศษ (2) ข้าราชการตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการ ระดับชำนาญการพิเศษ ระดับเชี่ยวชาญ ระดับทรงคุณวุฒิ (3) ข้าราชการตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับต้นระดับสูง (4) ข้าราชการตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับต้นระดับสูง 3. ผู้ที่เคยได้รับค่าเครื่องแต่งตัวในการเดินทางไปฝึกอบรมในต่างประเทศมาแล้ว หรือเคยได้รับค่าเครื่อง แต่งตัวจากสวนราชการ่ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐตามกฎหมายหรือระเบียบอื่นใดไม่ว่าจะ เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ เงินนอกงบประมาณ หรือเคยได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานใด ๆ ทั้ง ในประเทศและต่างประเทศ ถ้าต้องเดินทางไปฝึกอบรมในต่างประเทศ ให้มีสิทธิเบิกค่าเครื่องแต่งตัวได้ อีกเมื่อการเดินทางครั้งใหม่มีระยะห่างจากการเดินทางไปต่างประเทศครั้งสุดท้ายที่ได้รับค่าเครื่องแต่งตัว เกิน๒ปีนับแต่วันที่เดินทางออกจากประเทศไทย หรือมีระยะเวลาเกินกว่า ๒ปีนับแต่วันที่เดินทางกลับถึง ประเทศไทยสำหรับผู้ที่รับราชการประจำในต่างประเทศ สรุปสาระส าคัญการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงิน และการน าเงินส่งคลัง พ.ศ.2562 ระเบียบกระทรงการคลังว่าด้วยการเบิกเงินจากคลัง การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการน าเงินส่งคลัง พ.ศ.2562 สาระสำคัญ ดังนี้ วัตถุประสงค์
37 1) ให้มีความสอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ 2) ให้มีความสอดคล้องกับพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และแผนยุทธศาสตร์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ( National e-Payment Master Plan) 3) ให้รองรับการปฏิบัติงานด้านการเงินการคลังตามระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐ ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Government Fiscal Management Information System : GFMIS) เป็น New GFMIS Thai ค านิยามที่เกี่ยวข้อง ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกเงินจากคลัง การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง พ.ศ.2562 ได้ให้คำนิยามไว้ ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะคำนิยามที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1) หน่วยงานของรัฐ หมายความว่า 1.1. ส่วนราชการ 1.2 รัฐวิสาหกิจ 1.3 หน่วยงานของรัฐสภา 1.4 ศาลยุติธรรม 1.5 ศาลปกครอง 1.6 ศาลรัฐธรรมนูญ 1.7 องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ 1.8 องค์กรอัยการ 1.9 องค์การมหาชน 1.10 ทุนหมุนเวียนที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล 1.11 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1.12 หน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กฎหมายกำหนด 2) หน่วยงานผู้เบิก หมายความว่า หน่วยงานของรัฐที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายและเบิก เงินจากกรมบัญชีกลางหรือสำนักงานคลังจังหวัด แล้วแต่กรณี 3) หน่วยงานย่อย หมายความว่า หน่วยงานในสังกัดของส่วนราชการในราชการบริหาร ส่วนกลาง หรือในราชการบริหารส่วนภูมิภาค หรือที่ตั้งอยู่ในอำเภอ ซึ่งมิได้เบิกเงินจากกรมบัญชีกลาง หรือสำนักงานคลังจังหวัด แต่เบิกเงินผ่านส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานผู้เบิก
38 4) เจ้าหน้าที่การเงิน หมายความว่า หัวหน้าฝ่ายการเงิน หรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นซึ่งปฏิบัติงาน ในลักษณะเช่นเดียวกันกับหัวหน้าฝ่ายการเงิน และให้หมายความรวมถึงเจ้าหน้าที่รับจ่ายเงินของส่วน ราชการด้วย 5) งบรายจ่าย หมายความว่า งบรายจ่ายตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ 6) หลักฐานการจ่าย หมายความว่า หลักฐานที่แสดงว่าได้มีการจ่ายเงินให้แก่ผู้รับหรือเจ้าหนี้ ตามข้อผูกพันโดยถูกต้องแล้ว 7) เงินยืม หมายความว่า เงินที่ส่วนราชการจ่ายให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งยืมเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ในการเดินทางไปราชการ หรือการปฏิบัติราชการอื่น ทั้งนี้ ไม่ว่าจะจ่ายจากงบประมาณรายจ่าย หรือเงินนอกงบประมาณ สรุปสาระส าคัญของระเบียบที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงาน มีดังนี้ หมวด 1 ความทั่วไป กรณี หน่วยงาน มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติหรือไม่สามารถปฏิบัติ ตามข้อกำหนดในระเบียบนี้ ให้หัวหน้าหน่วยงาน ขอหารือไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อให้กระทรวงการคลังวินิจฉัย หรือขอทำความ ตกลงกับกระทรวงการคลัง หรือให้กระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติในการเบิกเงินจากคลัง การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง แล้วแต่กรณี เพื่อเป็นแนวทาง ให้หน่วยงานถือปฏิบัติ หมวด 2 การใช้งานในระบบ หมวดนี้จะเน้นการดำเนินงานของหน่วยงานผู้เบิก เป็นผู้ใช้ระบบโดยให้กำหนดถึงหน้าที่ ความรับผิดชอบ แนวทางการควบคุม การเข้าใช้งาน สิทธิต่าง ๆ ตามที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้ หมวด 3 การเบิกเงิน หลักเกณฑ์ วิธีการเบิกจ่ายเงิน การขอเบิกเงินทุกกรณีให้ระบุวัตถุประสงค์ที่จะน าเงินนั้นไปจ่าย เงินที่ขอเบิกจากคลังเพื่อการใด ให้นำไปจ่ายได้เฉพาะเพื่อการนั้นเท่านั้น จะนำไปจ่าย เพื่อการอื่นไม่ได้ เช่น กรณีเบิกเงินยืมไปราชการ ผู้ยืมต้องนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ หน่วยงานผู้เบิกจะจ่ายเงินหรือก่อหนี้ผูกพันได้แต่เฉพาะที่กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ค าสั่ง ก าหนดไว้หรือมติคณะรัฐมนตรีอนุญาตให้จ่ายได้ หรือตามที่ได้รับอนุญาตจาก กระทรวงการคลัง ดังนั้น หากหน่วยงานจะจ่ายเงิน หรือก่อหนี้ผูกพัน จะต้องคำนึงว่าได้จ่ายเงิน หรือก่อหนี้ผูกพันที่เกิดขึ้น ตามระเบียบใด เช่น การเบิกค่าทางด่วนพิเศษ ในการเดินทางไปราชการ
39 เป็นการเบิกจ่ายตามระเบียบค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ซึ่งการเบิกค่าทางด่วนพิเศษ แบ่งเป็น 2 กรณี คือกรณีไปราชการ ต้องขออนุมัติเดินทางไปราชการแล้วมีค่าทางด่วนพิเศษ กับกรณีเดินทางไปประชุม ไปติดต่องาน ไปส่งหนังสือ ไปกรมบัญชีกลาง ซึ่งต้องอธิบายความจำเป็นว่าทำไมต้องใช้เส้นทางด่วน การเบิกค่าทางด่วน ให้แยกเบิกจากรายงานการเดินทางไปราชการ (8708) สำหรับรถที่เบิกได้ ต้องเป็นรถส่วนกลาง หรือรถส่วนตัวที่นำมาเป็นรถประจำตำแหน่ง (เลือกรับเงินค่าตอบแทน) หรือการเบิกค่าอาหารว่างในการประชุมระหว่างประเทศ เป็นการเบิกจ่ายตามระเบียบเฉพาะ เรื่องการจัดประชุมระหว่างประเทศ เป็นต้น หลักเกณฑ์การเบิกเงินของส่วนราชการ การขอเบิกเงินทุกกรณีห้ามมิให้ขอเบิกเงินจนกว่าจะถึงก าหนด หรือใกล้จะถึงก าหนด จ่ายเงิน เช่น หากบุคลากรในสังกัด ส่งเรื่องขอเงินยืมไปราชการ โดยยื่นเรื่องล่วงหน้าก่อนเดินทางไป ราชการ เป็นเวลา 2 อาทิตย์ โดยหน่วยงานจะพิจารณาตามเรื่องที่ส่งมาว่าจะเบิกได้เลยหรือไม่ กรณียืมเงินไปราชการ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการยืมครั้งนี้ ได้รวมค่าบัตรโดยสารเครื่องบินไว้ด้วย ต่อมาผู้ยืมได้จ่ายเงินสำรองค่าบัตรโดยสารเครื่องบินไปก่อน (บัตรเครดิต) ก่อนได้รับเงินยืม สอบถาม ว่าการส่งใช้หลักฐานการจ่ายครั้งนี้ จะพิจารณาหลักฐานการส่งใช้เงินยืมดังกล่าวอย่างไร ขอชี้แจง ว่า วันที่จ่ายเงินยืม หน่วยงานจะไม่เห็นหลักฐานการจ่ายค่าบัตรโดยสารเครื่องบิน แต่ถ้ามีกรณีนำเงิน ส่วนตัวไปสำรองจ่ายก่อน ก็ไม่สามารถยืมเงินค่าบัตรโดยสารเครื่องบินได้ต้องนำหลักฐานค่าบัตร โดยสารเครื่องบินดังกล่าว ส่งเบิกเงินสด ทั้งนี้การตรวจสอบหลักฐานส่งใช้เงินยืม ในทางปฏิบัติเจ้าหน้าที่อาจจะไม่ได้ตรวจสอบวันที่ ในใบเสร็จรับเงินค่าบัตรโดยสารเครื่องบิน แต่โดยหลักการของการยืมเงิน จะให้ยืมเฉพาะเท่าที่จำเป็น กรณีที่สำรองจ่ายเงินค่าบัตรไปก่อนที่จะรับเงินยืม นั่นหมายถึงการยืมเงินค่าบัตรโดยสารเครื่องบิน ดังกล่าว จึงไม่เข้าหลักการของการยืมเงิน (ไม่เป็นไปตามระเบียบกำหนด ข้อ 59) ดังนั้น ผู้ยืมเงิน หรือผู้เดินทางไปราชการ ควรส่งเบิกค่าบัตรโดยสารเครื่องบิน เป็นเงินสด ไม่ควรนำหลักฐานดังกล่าว ไปส่งหักล้างเงินยืม ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณใด ให้เบิกเงินจากงบประมาณรายจ่ายของปีนั้นไป จ่าย ในกรณีมีเหตุจำเป็นไม่สามารถเบิกจากเงินงบประมาณรายจ่ายของปีนั้นได้ทัน ให้เบิกจากเงิน งบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณถัดไปได้โดยเป็นการก่อหนี้ผูกพันตามงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับ อนุมัติ และให้ปฏิบัติตามวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด ค่าใช้จ่ายที่ถือเป็นรายจ่าย เมื่อได้รับแจ้งให้ช าระหนี้ หมายถึง ให้นำมาเบิกจ่าย จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับแจ้งให้ชำระหนี้ เช่น ค่าเช่าบ้าน เดือนตุลาคม รับหลักฐาน การจ่ายในเดือนตุลาคม (เป็นค่าเช่าบ้านเดือน สิงหาคม หรือ กันยายน) เป็นต้น