The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัย R2R 2565 นางสาวปาริฉัตร ราชสีห์ บทที่ 1-5 เรียบร้อย สวพ ตรวจแล้ว 3-11-66

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Tak Parichat, 2023-11-09 04:07:20

วิจัย R2R 2565 นางสาวปาริฉัตร ราชสีห์ บทที่ 1-5 เรียบร้อย สวพ ตรวจแล้ว 3-11-66

วิจัย R2R 2565 นางสาวปาริฉัตร ราชสีห์ บทที่ 1-5 เรียบร้อย สวพ ตรวจแล้ว 3-11-66

40 ส่วนค่าใช้จ่ายที่เบิกเงินงบประมาณปีถัดไปที่น ามาเบิกได้แต่แค่เฉพาะค่าใช้จ่ายที่ เกิดขึ้นในเดือนกันยายน เท่านั้น ได้แก่ ค่าน้ำมั่นเชื้อเพลิง ตามหนังสือเวียนกระทรวงการคลัง ที่ กค 0502/ว 178 ลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2535 เรื่อง ค่าใช้จ่ายที่ให้ถือว่าเป็นรายจ่ายเมื่อได้รับแจ้ง ให้ชำระหนี้ วิธีการเบิกเงินของส่วนราชการ แบ่งเป็น การขอเบิกเงินที่ต้องทำตามระเบียบพัสดุ ได้แก่ ซื้อทรัพย์สิน จ้างทำของหรือเช่าทรัพย์สิน โดยระเบียบฯ กำหนดให้ส่วนราชการขอเบิกเงินจากคลังโดยเร็วอย่างช้ำ ไม่เกิน 5 วันทำการนับแต่วันที่ ได้ตรวจรับทรัพย์สินหรือตรวจรับงานถูกต้องแล้ว หรือนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากหน่วยงานย่อย ตามระเบียบฯ ข้อ 28 (2) วรรคสอง 1) ถ้ามีการทำ PO คือ ใบสั่งซื้อใบสั่งจ้างและมีวงเงินตั้งแต่ 5,000 บาท ขึ้นไปหรือ ตามที่กระทรวงการคลังกำหนดให้ส่วนราชการจัดทำ หรือลง PO เพื่อทำการจองงบประมาณในระบบ โดยกรมบัญชีกลางจะเป็นผู้จ่ายเงินเข้าบัญชีให้กับเจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิรับเงินของส่วนราชการโดยตรง 2) ไม่มีการทำ PO คือ ใบสั่งซื้อใบสั่งจ้างวงเงินน้อยกว่า 5,000 บาท ซึ่งกรณีนี้ หน่วยงานมีสิทธิที่จะจ่ายเงิน ได้2 แบบ คือ 2.1) จ่ายเงินผ่านบัญชีส่วนงาน แล้วให้จ่ายเงินให้เจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิรับเงิน ต่อไป หรือ 2.2) หากส่วนงาน ต้องการให้จ่ายเงินเข้าบัญชีให้กับเจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิรับเงิน ของส่วนงานโดยตรงก็ได้ หมวด 4 การจ่ายเงินของส่วนราชการ หลักเกณฑ์การจ่ายเงิน 1. ต้องมีกฎหมายระเบียบข้อบังคับคำสั่งกำหนดไว้หรือมติคณะรัฐมนตรีอนุญาตให้จ่ายได้ หรือตามที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลัง และ 2. ให้ผู้มีอำนาจอนุมัติ สั่งอนุมัติการจ่ายเงินพร้อมกับลงลายมือชื่อในหลักฐานการจ่าย หรือหลักฐานการขอรับชำระหนี้ฉบับหรือจะลงลายมือชื่ออนุมัติในหน้างบหลักฐานการจ่ายก็ได้ 3. การจ่ายเงินต้องมีหลักฐานการจ่ายไว้เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบทุกครั้ง 4. การจ่ายเงิน โดยที่ยังไม่ได้มีการจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิรับเงิน ห้ามมิให้ผู้มีหน้าที่ จ่ายเงินเรียกหลักฐานการจ่าย หรือให้ผู้รับเงินลงลายมือชื่อรับเงินในหลักฐาน


41 5. ให้เจ้าหน้าที่ผู้จ่ายเงิน ประทับตราข้อความว่า “จ่ายเงินแล้ว” โดยลงลายมือชื่อรับรอง การจ่ายเงินและระบุชื่อผู้จ่ายเงินด้วยตัวบรรจง พร้อมทั้งวัน เดือน ปี ที่จ่ายกำกับไว้ในหลักฐาน การจ่ายเงินทุกฉบับ เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ 6. ในกรณีที่หลักฐานการจ่ายเป็นภาษาต่างประเทศ ให้มีคำแปลเป็นภาษาไทยตามรายการ และให้ผู้ใช้สิทธิขอเบิกเงินลงลายมือชื่อรับรองคำแปลด้วย 7. เงินประเภทใดซึ่งโดยลักษณะจะต้องจ่ายประจำเดือนในวันทำการสิ้นเดือน ให้ส่วนราชการ ส่งคำขอเบิกเงินภายในวันที่ 15 ของเดือนนั้น หรือตามที่กระทรวงการคลังกำหนด 8. การจ่ายเงิน ถ้าหน่วยงานยังไม่ได้มีการจ่ายเงิน ให้แก่เจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิรับเงิน ห้ามเรียก หลักฐานการจ่าย หรือให้ผู้รับเงินลงลายมือชื่อรับเงินในหลักฐาน 9. ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้าง หรือผู้รับบำนาญ หรือเบี้ยหวัด ไม่สามารถมารับเงิน ได้ด้วยตนเอง จะมอบฉันทะให้ผู้อื่นเป็นผู้รับเงินแทนได้โดยใช้ใบมอบฉันทะตามแบบที่กระทรวงการคลัง กำหนด ซึ่งหน่วยงานจะจ่ายเป็นเงินสด หรือจ่ายเป็นเช็ค ก็ได้แต่ถ้าต้องการให้จ่ายเป็นเช็ค เลือกที่จะสั่งจ่ายในนามผู้มอบฉันทะ หรือผู้รับมอบฉันทะ ก็ได้ หลักฐานการจ่าย หลักฐานที่การจ่ายเงิน หมายความว่า หลักฐานที่แสดงว่าได้มีการจ่ายเงินให้แก่ผู้รับเงินหรือ เจ้าหนี้ ตามข้อผูกพันโดยถูกต้องแล้ว **การจ่ายเงินต้องได้รับใบเสร็จรับเงิน และใบเสร็จรับเงิน ต้องมีรายการ ดังนี้ (๑) ชื่อ สถานที่อยู่ หรือที่ทำการของผู้รับเงิน (๒) วัน เดือน ปี ที่รับเงิน (๓) รายการแสดงการรับเงินระบุว่าเป็นค่าอะไร (๔) จำนวนเงินทั้งตัวเลขและตัวอักษร (๕) ลายมือชื่อของผู้รับเงิน * ถ้าผู้ที่จะรับเงินไม่มีใบเสร็จรับเงิน และจ่ายเงินจากส่วนราชการ หน่วยงานจะออกใบสำคัญรับเงิน ให้ผู้รับเงินลงชื่อรับเงิน กรณีข้าราชการ พนักงานราชการ หรือลูกจ้างของส่วนราชการ จ่ายเงินไปโดยได้รับ ใบเสร็จรับเงิน ซึ่งมีรายการไม่ครบถ้วน ตามรายการข้างต้น หรือซึ่งตามลักษณะไม่อาจเรียก ใบเสร็จรับเงินจากผู้รับเงินได้เช่น ยืมเงินไปจ่ายค่าพาหนะ (Taxi) เดินทางไปราชการ หรือ จ่ายสำรอง ส่วนตัวไปก่อน ก็ให้ทำใบรับรองการจ่ายเงิน หรือปัจจุบันที่เราใช้คือ บก111 ใบรับรองแทน ใบเสร็จรับเงิน


42 กรณีใบเสร็จรับเงินหาย ให้ใช้ส าเนาใบเสร็จรับเงิน ซึ่งผู้รับเงินรับรองเป็นเอกสาร ประกอบการขอเบิกเงินแทนได้แต่ถ้าขอส าเนาใบเสร็จไม่ได้ให้ท าใบรับรองการจ่ายเงิน โดยชี้แจง เหตุผลว่าสูญหายไปอย่างไร หรือไม่อาจขอสำเนาใบเสร็จรับเงินได้และรับรองว่ายังไม่เคยนำ ใบเสร็จรับเงินนั้นมาเบิกจ่าย แม้พบภายหลังจะไม่นำมาเบิกจ่ายอีก แล้วเสนอปลัดกระทรวง เพื่อพิจารณาอนุมัติ ต่อไป การจ่ายเงินจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ให้เป็นไปตามหนังสือเวียน กระทรวงการคลังด่วนที่สุด ที่ กค.0402.2/ว 3 ลงวันที่ 30 มกราคม 2562 เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธี ปฏิบัติในการจ่ายเงิน การรับเงินและการนำเงินส่งคลังของส่วนราชการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (KTB Corporate Online) เพิ่มเติม และหนังสือเวียนกระทรวงการคลังด่วนที่สุด ที่ กค 0402.2/ว 103 ลงวันที่1 กันยายน 2559 เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการจ่ายเงิน การรับเงินและการนำเงินส่งคลัง ของส่วนราชการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (KTB Corporate Online) วิธีปฏิบัติในการจ่ายเงิน 1. การจ่ายเงินให้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ให้แก่ผู้มีสิทธิรับเงินที่เป็น ข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการ ผู้รับบำนาญ ผู้รับเบี้ยหวัด หรือบุคคลภายนอก รวมทั้งการจ่ายเงิน เพื่อชดใช้คืนเงินทดรองราชการ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติที่กระทรวงการคลังกำหนด 2. การจ่ายเงินเป็นเช็คหรือเงินสด ให้กระทำได้เฉพาะในกรณีที่มีเหตุขัดข้องหรือมีความ จำเป็นเร่งด่วน ซึ่งไม่สามารถดำเนินการตามข้อ 1 ได้ 3. ในกรณีที่ต้องจ่ายเงินเป็นเช็ค ให้เขียนเช็คสั่งจ่าย ดังนี้ 3.1 การจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิรับเงิน ในกรณีซื้อทรัพย์สิน จ้างทำของ หรือ เช่าทรัพย์สิน ให้ออกเช็คสั่งจ่ายในนามของเจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิรับเงิน โดยขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” ออก และขีดคร่อมด้วย 3.2 การจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิรับเงิน นอกเหนือจากข้อ 3.1 ให้ออกเช็คสั่ง จ่ายในนามของเจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิรับเงิน โดยขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” และจะขีดคร่อมหรือไม่ก็ได้ 3.3 ในกรณีสั่งจ่ายเงินเพื่อขอรับเงินสดมาจ่าย ให้ออกเช็คสั่งจ่ายในนามเจ้าหน้าที่ การเงินของส่วนราชการ และขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” ออก ห้ามออกเช็คสั่งจ่ายเงินสด 3.4 ห้ามลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คไว้ล่วงหน้า โดยยังมิได้มีการเขียนหรือพิมพ์ชื่อผู้รับเงิน


43 หมวด 5 การเบิกจ่ายเงินยืมของส่วนราชการ (ข้อ 55-68) การจ่ายเงินยืมจะจ่ายได้แต่เฉพาะผู้ยืมตามสัญญาการยืมเงิน และผู้มีอำนาจได้อนุมัติแล้ว โดยจ่ายผ่าน ระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ตามหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติที่กระทรวงการคลังกำหนด อนุมัติให้ยืมเฉพาะเท่าที่จ าเป็น และหากผู้ยืมไม่ได้คืนเงินยืมที่เคยยืมไว้เดิม ก็ไม่สามารถยืม เงินใหม่ได้ อนุมัติให้ยืมเงิน ให้ใช้ดุลพินิจให้ยืมได้เท่าที่จ าเป็นเร่งด่วน และเหมาะสม โดยผู้ยืม ต้องประมาณการค่าใช้จ่ายในการยืมเงิน เพื่อใช้ในราชการ เช่น ค่าพาหนะ ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก ให้เป็นไปตามสิทธิ รวมเป็นค่าใช้จ่ายที่คำนวณได้เพื่อนำไปทำสัญญาการยืมเงิน กรณีที่ต้องจ่ายเงินยืมในการปฏิบัติงานที่คาบเกี่ยวจากปีงบประมาณปัจจุบันไปถึง ปีงบประมาณถัดไป ให้เป็น เงินยืมค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ให้ใช้จ่ายได้ไม่เกิน 90 วันนับแต่วันเริ่มต้น งบประมาณใหม่ เงินยืมปฏิบัติราชการอื่น ๆ ให้ใช้จ่ายได้ไม่เกิน 30 วันนับแต่วันเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ การจ่ายเงินยืมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ในราชอาณาจักร ให้จ่ายได้สำหรับ ระยะเวลาการเดินทางที่ไม่เกิน 90 วัน หากมีความจำเป็นจะต้องจ่ายเกินกว่ากำหนดเวลาดังกล่าว ส่วน ราชการจะต้องขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังก่อน ให้ผู้ยืมส่งหลักฐานการจ่ายและเงินเหลือจ่ายที่ยืมไป (ถ้ามี) ภายในกาหนด ระยะเวลา ดังนี้ ๑) กรณีเดินทางไปประจำต่างสำนักงาน หรือการเดินทางไปราชการประจำในต่างประเทศ หรือ กรณีเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม ให้ส่งแก่ส่วนราชการผู้ให้ยืมโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับเงิน ๒) กรณีเดินทางไปราชการอื่น รวมทั้งการเดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราว ให้ส่งแก่ส่วน ราชการผู้ให้ยืมภายใน 15 วันนับแต่วันกลับมาถึง ๓) การยืมเงินเพื่อปฏิบัติราชการนอกจาก (๑) หรือ (๒) ให้ส่งแก่ส่วนราชการผู้ให้ยืมภายใน 30 วันนับแต่วันได้รับเงิน ในกรณีที่ผู้ยืมได้ส่งใช้คืนเงินยืมแล้ว หน่วยงานตรวจสอบแล้วมีเหตุต้องทักท้วง ต้องแจ้งข้อ ทักท้วงให้ผู้ยืมทราบโดยด่วน แล้วให้ผู้ยืมปฏิบัติตามค าทักท้วงภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับค า ทักท้วง เมื่อผู้ยืมส่งหลักฐานการจ่ายและ/หรือเงินเหลือจ่ายที่ยืม (ถ้ามี) ให้เจ้าหน้าที่ผู้รับคืน บันทึก การรับคืนในสัญญาการยืมเงิน และพิมพ์หลักฐานการรับเงินคืนจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment)


44 ตามที่กระทรวงการคลังกำหนด และ/หรือออกใบรับใบสำคัญตามแบบที่กรมบัญชีกลางกำหนด ให้ผู้ยืม ไว้เป็นหลักฐาน หมวด 6 การรับเงินของส่วนราชการ ใบเสร็จรับเงิน 1) ใบเสร็จรับเงิน ให้ใช้ตามแบบที่กระทรวงการคลัง กำหนดและให้มีสำเนาเย็บติดไว้กับเล่ม อย่างน้อยหนึ่งฉบับ หรือตามแบบที่ได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง 2) การจ่ายใบเสร็จรับเงิน ให้หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ไปจัดเก็บเงิน ใหพิจารณาจ่ายในจำนวน ที่เหมาะสมแก่ลักษณะงานที่ปฏิบัติ และให้มีหลักฐานการรับส่งใบเสร็จรับเงินนั้นไว้ด้วย 3) ใบเสร็จรับเงินเล่มใด เมื่อไม่มีความจำเป็นต้องใช้ เช่น ยุบเลิกสำนักงานหรือไม่มี การจัดเก็บเงินต่อไปอีก ให้หัวหน้าหน่วยงานที่รับใบเสร็จนั้นนำส่งคืนส่วนราชการที่จ่ายใบเสร็จรับเงิน นั้นโดยด่วน 4) เมื่อสิ้นปีงบประมาณ ให้หัวหน้าหน่วยงานซึ่งรับใบเสร็จรับเงินไปดำเนินการจัดเก็บเงิน รายงานให้ผู้อำนวยการกองคลัง หรือหัวหน้าส่วนราชการในราชการบริหารส่วนภูมิภาคทราบว่า มีใบเสร็จรับเงินอยู่ในความรับผิดชอบเล่มใด เลขที่ใดถึงเลขที่ใด และได้ใช้ใบเสร็จรับเงินไปแล้วเล่มใด เลขที่ใดถึงเลขที่ใด อย่างช้างไม่เกินวันที่ 31 ตุลาคมของปีงบประมาณถัดไป 5) ใบเสร็จรับเงินเล่มใด สำหรับรับเงินของปีงบประมาณใด ให้ใช้รับเงินภายในปีงบประมาณ นั้น เมื่อขึ้นปีงบประมาณใหม่ ให้ใช้ใบเสร็จรับเงินเล่มใหม่ ใบเสร็จรับเงินฉบับใดยังไม่ใช้ให้คงติดไว้ กับเล่มแต่ให้ปรุ เจาะรู หรือประทับตราเลิกใช้ เพื่อให้เป็นที่สังเกตมิให้นำมารับเงินได้อีกต่อไป 6) หากใบเสร็จรับเงินฉบับใดลงรายการรับเงินผิดพลาด ให้ขีดฆ่าจำนวนเงินและเขียนใหม่ทั้ง จำนวนโดยให้ผู้รับเงินลงลายมือชื่อกำกับการขีดฆ่านั้นไว้ หรือขีดฆ่าเลิกใช้ใบเสร็จรับเงินนั้นทั้งฉบับแล้ว ออกฉบับใหม่ โดยให้นำใบเสร็จรับเงินที่ขีดฆ่าเลิกใช้นั้นติดไว้กับสำเนาใบเสร็จรับเงินในเล่ม การรับเงิน 1) การรับเงินให้รับผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ตามหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติ ที่กระทรวงการคลังกำหนด เว้นแต่กรณีที่มีเหตุขัดข้องหรือมีความจำเป็นเร่งด่วนซึ่งไม่สามารถรับผ่าน ระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ให้รับเป็นเงินสดหรือเช็ค หรือเอกสารแทนตัวเงินอื่นที่กระทรวงการคลังกำหนด 2) ให้ใช้ใบเสร็จรับเงินเล่มเดียวกันรับเงินทุกประเภท เว้นแต่เงินประเภทใดที่มีการรับชำระ เป็นประจำและมีจำนวนมากราย จะแยกใบเสร็จรับเงินเล่มหนึ่งสำหรับการรับชำระเงินประเภทนั้นก็ได้ โดยให้บันทึกข้อมูลการรับเงินในระบบภายในวันที่ได้รับเงิน และเงินประเภทใดที่การออกใบเสร็จรับเงิน ในวันหนึ่งๆ หลายฉบับ จะรวมเงินประเภทนั้นตามสำเนาใบเสร็จรับเงนทุกฉบับมาบันทึกเป็นรายการ เดียวในระบบก็ได้โดยให้แสดงรายละเอียดว่าเป็นเงินรับตามใบเสร็จเลขที่ใดถึงเลขที่ใดและจำนวนเงิน รวมรับทั้งสิ้นเท่าใดไว้ด้านหลังสำเนาใบเสร็จรับเงินฉบับสุดท้าย


45 3) เมื่อสิ้นเวลารับจ่ายเงิน ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่จัดเก็บหรือรับชำระเงิน นำเงินสดหรือเช็ค หรือเอกสารแทนตัวเงินอื่นที่ได้รับพร้อมกับสำเนาใบเสร็จรับเงินและเอกสารอื่นที่จัดเก็บในวันนั้นทั้งหมด ส่งต่อเจ้าหน้าที่การเงินและส่วนราชการนั้น หมวด 7 การเก็บรักษาเงินของส่วนราชการ สถานที่เก็บรักษาเงิน ให้ส่วนราชการเก็บรักษาเงินที่จัดเก็บหรือได้รับเป็นเงินสดหรือเช็คหรือเอกสารแทนตัวเงิน อื่น ไว้ในตู้นิรภัยซึ่งตั้งอยู่ในที่ปลอดภัยของส่วนราชการ โดยตู้นิรภัยให้มีลูกกุญแจอย่างน้อยสองสำรับ แต่ละสำรับไม่น้อยกว่าสองดอกแต่ไม่เกินสามดอก โดยแต่ละดอกต้องมีลักษณะต่างกัน โดยสำรับหนึ่ง มอบให้กรรมการเก็บรักษาเงิน ส่วนสำรับที่เหลือให้นำฝากเก็บรักษาไว้ในลักษณะหีบห่อ ณ สถานที่ ที่ปลอดภัย กรรมการเก็บรักษาเงิน 1) ให้หัวหน้าส่วนราชการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการ ซึ่งดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ หรือประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน หรือเทียบเท่าขึ้นไป อย่างน้อยสองคน เป็นกรรมการเก็บรักษาเงิน 2) ให้กรรมการเก็บรักษาเงินถือลูกกุญแจตู้นิรภัยคนละหนึ่งดอก ในกรณีที่ตู้นิรภัยมีลูก กุญแจสามดอกและมีกรรมการเก็บรักษาสองคน ให้กรรมการเก็บรักษาเงินถือลูกกุญแจคนละดอก ส่วนลูกกุญแจที่เหลือให้อยู่ในดุลพินิจของหัวหน้าส่วนราชการที่จะมอบให้กรรมการเก็บรักษาเงินผู้ใดถือ ลูกกุญแจนั้น 3) ถ้ากรรมการเก็บรักษาเงินผู้ใดไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้หัวหน้างานราชการ พิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตามข้อ 1 ปฏิบัติหน้าที่กรรมการเก็บรักษาเงินแทนให้ครบจำนวน การแต่งตั้ง ผู้ปฏิบัติหน้าที่กรรมการเก็บรักษาเงินแทนจะแต่งตั้งไว้เป็นการประจำก็ได้ การเก็บรักษาเงิน 1) ในกรณีที่วันใดไม่มีรายการรับจ่ายเงิน จะไม่ทำรายงานเงินคงเหลือประจำวันสำหรับ วันนั้นก็ได้แต่ให้หมายเหตุไว้ในรายงานเงินคงเหลือประจำวันที่มีการรับจ่ายเงินของวันถัดไปด้วย เมื่อสิ้นเวลารับจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่การเงินำนเงินที่จะเก็บรักษาและรายงานเงินคงเหลือประจำวันส่ง มอบให้คณะกรรมการเก็บรักษาเงินร่วมกันตรวจสอบตัวเงิน และเอกสารแทนตัวเงิน ก้บรายงานเงิน คงเหลือประจำวัน เมื่อปรากฏว่าถูกต้องแล้ว ให้เจ้าหน้าที่การเงินนำเงินและและเอกสารแทนตัวเงินเก็บ รักษาในตู้นิรภัย และให้กรรมการเก็บรักษาเงินทุกคนลงลายมือชื่อในรายงานเงินคงเหลือประจำวันไว้ เป็นหลักฐาน และเสนอหัวหน้าส่วนราชการเพื่อทราบ (อ้างอิง https://stri.cmu.ac.th › files › finance › expend สรุปสาระสำคัญการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การรับเงิน พ.ศ.2562)


46 2.3 บริบทของคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 2.3.1 บริบทของคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม ปรัชญา (Philosophy) “นวัตกรรมการศึกษาพัฒนาชาติ ครุศาสตร์ อุตสาหกรรมพัฒนาคน” ปณิธาน (Determination) “มุ่งมั่นผลิตและพัฒนาครู้วิชาชีพ บุคลากร ทางการศึกษา นักเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาประเทศ” 2.3.2 ค่านิยมองค์กร (Core Values) T – Trust ยอมรับและเชื่อถือ E – Engagement มีส่วนร่วมในองค์กร C – Creative Competency สมรรถนะเชิงสร้างสรรค์ H – Health and Happiness สุขภาพดีและมีความส E – Ethics ยึดมั่นจรรยาบรรณวิชาชีพ D – Digital Technology ก้าวทันเทคโนโลยีดิจิทัล 2.3.3 วัฒนธรรมองค์กร(Corporate Culture) - รักองค์กร - สื่อสารอย่างสร้างสรรค์ - ก้าวทันเทคโนโลยี - มีจิตสาธารณะ - รักษาจรรยาบรรณ- วัฒนธรรมองค์กรแห่งความสุข (Happiness Culture) อัตลักษณ์ (Identity) “ครู้มืออาชีพ นักเทคโนโลยี สู้งาน เชี่ยวชาญการ ปฏิบัติ” เอกลักษณ์ (Uniqueness) “เชี่ยวชาญการผลิตและพัฒนานักปฏิบัติ ครู วิชาชีพ นักเทคโนโลยี และถ่ายทอดนวัตกรรม” วิสัยทัศน์ (Vision) “องค์กรชั้นนำในการผลิตและพัฒนาครู้วิชาชีพ นักปฏิบัติ บุคลากรทางการศึกษาและนักเทคโนโลยี สมรรถนะสูง สู่การพัฒนาประเทศ” พันธกิจ (Mission) 1. ผลิตและพัฒนากำลังคนให้มีความรู้และสมรรถนะทางวิชาชีพครู้บุคลากร ทางการศึกษา นักเทคโนโลยี 2. วิจัย สร้างสิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรม และเทคโนโลยีทางการศึกษา เพื่อพัฒนา วิชาการ วิชาชีพ สู่การนำไปใช้ประโยชน์แก่ชุมชน และสังคม


47 3. บริการวิชาการ แก่สถานศึกษา สถานประกอบการ ชุมชน เพื่อการพัฒนา อย่างยั่งยืน 4. ทำนุบำรุงศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม 5.บริหารจัดการองค์กรด้วยธรรมาภิบาล เพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน 2.3.4 ประเด็นยุทธศาสตร์ (Strategic Issue) 1. Learning to be TechEd. Innovator : ยกระดับกำลังคนด้านครู้วิชาชีพ บุคลากรทางการ ศึกษา และนักเทคโนโลยี ด้วยนวัตกรรม 2. Research for TechEd. Innovation : การวิจัยเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการศึกษา เทคโนโลยีและอุตสาหกรรม 3. Social and Culture Enhance by TechEd. Innovation : การบริการวิชาการสู่ชุมชน และเพิ่มคุณค่าด้านศิลปวัฒนธรรม ด้วยนวัตกรรมทางการศึกษา 4. TechED. Innovative Management : การบริหารจัดการด้วยนวัตกรรม 2.3.5 เป้าประสงค์ 1. ผลิตและพัฒนากำลังคนด้านครู้วิชาชีพ บุคลากรทางการศึกษา และนักเทคโนโลยี ด้วยนวัตกรรม เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 2. งานวิจัยและนวัตกรรมที่ส่งผลกระทบเชิงบวกและยกระดับขีดความสามารถของชุมชน สังคม และประเทศ 3. เครือข่ายสถานประกอบการ สถานศึกษา และชุมชน มีคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจที่ดีขึ้น 4. บริหารจัดการด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน 2.3.6 กลยุทธ์ 1. จัดตั้งศูนย์พัฒนากำลังสมรรถณะสูง High Competency Manpower Center ส่งเสริมการมีงานทำ 2. พัฒนากระบวนการเรียนการสอนให้ดีขึ้นและในรูปแบบใหม่ๆ รวมทั้งสร้าง ความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน 3. พัฒนาหลักสูตรและยกระดับหลักสูตรสู่มาตรฐานสากล รองรับการผลิต และพัฒนากำลังคนตอบสนองอุตสาหกรรม เป้าหมาย และการจัดการศึกษาระดับนานาชาติ 4. พัฒนาสมรรถนะนักศึกษาให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล 5. ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตและพัฒนาทักษะเพื่ออนาคต (Up -skills/Re -skits/New-skills)


48 6. พัฒนานักศึกษาให้มีความคิดในเชิงผู้ประกอบการสร้างสรรค์นวัตกรรม (Innopreneur , UBI) 7. สร้างระบบนิเวศเพื่อการศึกษาและพัฒนาสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการ เรียนรู้ด้วยระบบห่วงโซ่คุณค่า เช่น ห้องปฏิบัติการสร้างต้นแบบนวัตกรรม Innovation Zone, Fabrication Lab, Maker club 8. ยกระดับศักยภาพบัณฑิตให้มีทักษะสอดคล้องกับพลวัตทางสังคม ของแต่ละวิชาชีพ 9. พัฒนาอาจารย์ของคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมให้เป็นนักวิจัยและพัฒนา นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ชุมชน สังคม และประเทศ 10. ส่งเสริมต่อยอดงานวิจัยสู่การนำไปใช้ประโยชน์ และการสร้างมูลค่าเพิ่ม เชิงพาณิชย์หรือการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน 11. ส่งเสริมต่อยอดทรัพย์สินทางปัญญา งานวิจัยและนวัตกรรมสู่การสร้าง มูลค่าเพิ่มเชิงพาณิชย์ 12. สร้างเครือข่ายความร่วมมือสถานประกอบการเพื่อการต่อยอด และสร้าง มูลเพิ่มหรือช่วยแก้ปัญหาของชุมชน 13. ส่งเสริมและยกระดับงานวิจัยร่วมกับเครือข่ายสถานประกอบการ และเครือข่ายนานาชาติ 14. ส่งเสริมและยกระดับงานวิจัยสู่การตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ ที่มีผลกระทบสูง 15. พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือกับสถานประกอบการ ชุมชน เพื่อต่อยอด และสร้างมูลค่าเพิ่มมูลสู่เชิงพาณิชย์ 16. ส่งเสริมการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาสู่การจดสิทธิบัตรหรือ อนุสิทธิบัตร 17. ส่งเสริมการบูรณาการวิจัยและทีมวิจัยสู่การแสวงหาทุน วิจัย จากหน่วยงานภายนอก 18. ส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตรระยะสั้นเพื่อพัฒนากำลังคน (Upskill, Reskill, New skill) ตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมาย และ EEC 19. ส่งเสริมการนำนวัตกรรมทางการศึกษา/เทคโนโลยี/อุตสาหกรรม ไปบริการวิชาการเพื่อพัฒนากำลังคน (Re-skill, Up-Skill, New-Skill) ในลักษณะแบบให้เปล่า แบบที่ก่อให้เกิดรายได้หรือแบบร่วมทุน 20. ส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตรเพื่อพัฒนาศักยภาพครู้และบุคลากรทางการ ศึกษา 21. ส่งเสริมการยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนด้วยองค์ความรู้ และนวัตกรรมทางการศึกษา / อุตสาหกรรม


49 22. ส่งเสริมการอนุรักษ์ สืบสาน ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้วยนวัตกรรมทางการศึกษา/อุตสาหกรรม และพัฒนาต่อยอดให้เกิดคุณค่า 23. ส่งเสริมความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืน (BCG) 24. ส่งเสริม และสนับสนุนการบริการวิชาการที่ก่อให้เกิดรายได้ 25. ส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือและเตรียมความพร้อม สู่การเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ Startup 26. ส่งเสริมการบริหารจัดการด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และการทำงานเชิง บูรณาการร่วมกัน เพื่อพัฒนาศักยภาพองค์กรอย่างยั่งยืน 27. ส่งเสริมการบริหารงานอย่างโปร่งใสและเป็นธรรมาภิบาล 28. ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรตามสายวิชาชีพ ให้มี ความมั่นคง และมีตำแหน่งที่สูงขึ้น 29.พัฒนาทักษะผู้บริหารให้มีทักษะเชิงบริหารจัดการ เพื่อรองรับ การเปลี่ยนแปลงในมิติ ต่าง ๆ 30. แสวงหารายได้เพื่อสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน 31. ส่งเสริมความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในการจัดส่งข้อมูลเพื่อสนับสนุน การจัดอันดับสถาบันอุดมศึกษาจาก QS Asia Ranking 32.ส่งเสริมการพัฒนาคณะเข้าสู่ Green Faculty รองรับการจัดลำดับ มหาวิทยาลัยสีเขียว คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มี 3 ภาควิชา และ 4 ฝ่าย ดังนี้ 1. ภาควิชาครุศาสตร์อุตสาหกรรม 2. ภาควิชาการศึกษา 3. ภาควิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา 4. ฝ่ายวิชาการ 5. ฝ่ายบริหารงานทั่วไป 6.ฝ่ายพัฒนานักศึกษา 7. ฝ่ายวิจัยพัฒนาและบริการวิชาการ


50 ข้อมูลจากงานบุคลากร คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม เพื่อแสดงข้อมูลแต่ละฝ่าย ณ วันที่ 4 พฤษภาคม 2566 สังกัด ข้าราชการ พนักงาน มหาวิทยาลัย ลูกจ้างประจ า พนักงาน ราชการ ลูกจ้าง ชั่วคราว ภาควิชาครุศาสตร์ อุตสาหกรรม 31 29 1 ภาควิชาการศึกษา 5 8 2 ภาควิชาเทคโนโลยี และสื่อสารการศึกษา 11 13 5 ฝ่ายวิชาการ 10 1 9 ฝ่ายบริหารงานทั่วไป 1 5 10 ฝ่ายพัฒนานักศึกษา 3 1 ฝ่ายวิจัยพัฒนาและ บริการวิชาการ 2 2 รวม 48 69 1 1 29 รวมทั้งหมด 148


51 2.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยในประเทศ มณฑกานต์ ฉิมเกิด (2560) การศึกษาเรื่องแนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ ของฝ่ายวิชาการ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความ พึงพอใจของนิสิตที่มีต่อคุณภาพการให้บริการของฝ่ายวิชาการและแนวทางพัฒนาคุณภาพการให้บริการ ของฝ่ายวิชาการคณะศึกษาศาสตร์ ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ นิสิตหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (หลักสูตร 5 ปี) ปีการศึกษา 2557 คณะศึกษาศาสตร์ เลือกตัวอย่างจำนวน 255 คน ใช้แบบสอบถาม เป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน t-test F-test และ One-Way ANOVA ผลจากการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วน ใหญ่เป็นเพศหญิงและกำลังศึกษาสาขาวิชาการประถมศึกษา ความพึงพอใจต่อคุณภาพการให้บริการ ของฝ่ายวิชาการ โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับปานกลาง โดยเรียงตามลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านความเชื่อถือได้ด้านความไว้วางใจ ด้านความเอาใจใส่ ด้านการตอบสนองทันที และด้านรูปลักษณ์ทางกายภาพ ข้อมูลส่วนบุคคลด้านเพศ สาขาวิชาไม่มีผลต่อความพึงพอใจในคุณภาพ การให้บริการของฝ่ายวิชาการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ชลธิชา ศรีบำรุง (2557) ศึกษาเรื่อง คุณภาพการให้บริการของธนาคารกรุงเทพ สาขา ดอน หัวฬ่อ จังหวัดชลบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของ ลูกค้าบริษัทยูโรเทคนิค (ประเทศไทย) จำกัด ผลการศึกษา พบว่า ผู้รับบริการมีความคิดเห็นต่อคุณภาพ การให้บริการของ ธนาคารกรุงเทพสาขาดอนหัวฬ่อ จังหวัดชลบุรี ในภาพรวม อยู่ในระดับดีเมื่อพิจารณา เป็นรายด้าน พบว่า ด้านความตั้งใจที่จะให้บริการด้วยความรวดเร็ว มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้าน การทำให้ผู้ มาใช้บริการเกิดความเชื่อมั่น ด้านความเอาใจใส่ต่อผู้มาใช้บริการ ด้านความน่าเชื่อถือของ ธนาคาร และด้านลักษณะทางกายภาพ ตามล าดับ พฤติกรรมของผู้รับบริการจากธนาคารกรุงเทพสาขา ดอนหัว ฬ่อจังหวัดชลบุรี พบว่า ผู้รับบริการส่วนใหญ่มาใช้บริการประเภทฝาก-ถอน โดยมีความถี่ใน การมารับ บริการเดือนละ 2-3 ครั้งวันที่มาใช้บริการเป็นส่วนใหญ่คือวันจันทร์-ศุกร์ ช่วงเวลาที่มาใช้ บริการมาก ที่สุดคือระหว่าง 13.01-16.30 น.ผลการเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นของผู้รับบริการต่อ คุณภาพ การให้บริการของธนาคารกรุงเทพ สาขาดอนหัวฬ่อ จังหวัดชลบุรีพบว่า ผู้รับบริการจาก ธนาคาร กรุงเทพ สาขาดอนหัวฬ่อที่มีอาชีพ และความถี่ในการใช้บริการต่างกันมีความคิดเห็นต่อ คุณภาพการ ให้บริการแต่กต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนผู้รับบริการธนาคาร กรุงเทพสาขา ดอนหัวฬ่อที่มีระดับการศึกษา รายได้ต่อเดือน วันที่มาติดต่อขอรับบริการ และช่วงเวลา มาติดต่อรับ บริการต่างกัน มีความคิดเห็นต่อคุณภาพการให้บริการไม่แต่กต่างกัน นิพนธ์ เรืองหิรัญวนิช (2560) ศึกษาเรื่อง คุณภาพการให้บริการของกองกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากรการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1)ระดับคุณภาพการให้บริการของกอง


52 กิจการนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร 2) เปรียบเทียบคุณภาพการให้บริการของกองกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร จำแนกตามคณะและวิทยาเขต กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นนักศึกษาระดับ ปริญญาตรี มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์และวิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี จำนวน 392 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มี2 ตอน ประกอบด้วยตอนที่ 1 แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม และตอนที่ 2เป็นแบบสอบถามมาตรา ส่วนประมาณค่า 5ระดับ เกี่ยวกับคุณภาพการให้บริการของกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร สถิติ ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ ค่าที(t-test)และวิเคราะห์ความแปรปรวน(One-Way analysis of variance)ผลการวิจัย พบว่า 1) นักศึกษาที่ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นต่อคุณภาพการให้บริการของกองกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ย มากที่สุดคือ ด้านหอพักนักศึกษาและด้านอนามัย รองลงมาคือ ด้านบริการและสวัสดิการนักศึกษา ส่วน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือด้านกีฬาและนันทนาการ 2)การเปรียบเทียบคุณภาพการให้บริการของกอง กิจการนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากรจำแนกตามคณะและวิทยาเขตพบว่า นักศึกษาที่ศึกษาในคณะ และวิทยาเขตที่แต่กต่างกันมีความคิดเห็นต่อคุณภาพการให้บริการของกองกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร แต่กต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ศศิธร ทองวิวัฒน์ (2561) ศึกษาเรื่อง คู่มือการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัดโครงการ วิชาการของโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อจัดทำคู่มือการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัดโครงการวิชาการของโรงพยาบาล พระนครศรีอยุธยา 2) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของคู่มือการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัดโครงการวิชาการ ของโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ ผู้จัดโครงการวิชาการ จำนวน 20 คน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากการศึกษาระเบียบกระทรวงการคลัง จัดทำแบบสอบถามความพึง พอใจการใช้คู่มือจากกลุ่มตัวอย่าง และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อย ละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า คู่มือที่จัดทำขึ้นประกอบไปด้วย อัตรา ค่าใช้จ่ายในการจัดโครงการ เอกสารประกอบการเบิกค่าใช้จ่ายในการจัดโครงการ และตัวอย่าง ประกอบการเบิกค่าใช้จ่ายในการจัดโครงการ ผู้ใช้คู่มือการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัดโครงการมีความ พึงพอใจในระดับ “มาก” (x̅=4.32, S.D.=0.35) โดยก่อนการจัดทำคู่มือการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัด โครงการผู้ใช้มีปัญหาการเบิกจ่าย ร้อยละ 39.02 และหลังจากการพัฒนาการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัด โครงการของโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ผู้ใช้มีปัญหาการเบิกจ่ายลดลงเหลือร้อยละ 15.89 พัชรินทร์ จันทร์แจ้ง (2560) การวิจัยเรื่อง การพัฒนาคู่มือการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายใน การจัดโครงการบริการวิชาการของมหาวิทยาลัย ราชภัฏนครปฐม มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาคู่มือ การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัดโครงการบริการวิชาการ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม 2) เพื่อศึกษา ประสิทธิภาพของการเบิกจ่ายหลงใช้คู่มือการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายใน การจดโครงการบริการวิชาการ


53 ของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจยครั้งนี้คืออาจารย์ผู้โครงการบริการ วิชาการ และเจ้าหน้าท่ีผู้เบิกเงินโครงการบริการวิชาการ จำนวน 16 คน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจาก การศึกษาระเบียบกระทรวงการคลงัจัดทำแบบสอบสัมภาษณ์และแบบสอบถามความพึงพอใจการใช้ คู่มือจากกลุ่มตัวอย่าง และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. ได้พัฒนาคู่มือการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัดโครงการ บริการวิชาการ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ นครปฐม ประกอบไปด้วย อัตราค่าใช้จ่ายในการจดโครงการ บริการวิชาการ เอกสารประกอบการเบิกค่าใช้จ่ายในการ จัดโครงการบริการวิชาการ และตัวอย่าง ประกอบการเบิกค่าใช้จ่ายในการจดโครงการบริการวิชาการ 2. ประสิทธิภาพของการเบิกจ่ายก่อน การพัฒนาคู่มือ การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัดโครงการบริการวิชาการ ผู้ใช้มีปัญหาการเบิกจ่าย ร้อย ละ 35.37 และหลังจากการพัฒนาการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัดโครงการบริการวิชาการ ผู้ใช้มีปัญหา การเบิกจ่ายลดลงเหลือร้อยละ 17.32 และผู้ใช้คู่มือการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัด โครงการบริการ วิชาการ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม มีความพึงพอใจในระดับ “มาก” ( x̅= 4.29, SD = 0.38) สุวรรณมาลี พิมพ์ครซ้าย (2557) ศึกษาเรื่อง การพัฒนาการเบิกจ่ายวัสดุทางการ แพทย์ เพื่อเสริมสร้างความพึงพอใจของผู้รับบริการ กรณีศึกษา : งานคลังวัสดุทางการแพทย์ โรงพยาบาลสกลนครการวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพและแนวทางแก้ไขปัญหา เกี่ยวกับการเบิก/จ่ายวัสดุทางการแพทย์ งานคลังวัสดุทางการแพทย์ โรงพยาบาลสกลนคร 2) สร้าง ยุทธศาสตร์การพัฒนาการเบิก/จ่ายวัสดุทางการแพทย์ เพื่อเสริมสร้าง ความพึงพอใจของผู้รับบริการ 3) ศึกษาผลการใช้ยุทธศาสตร์ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 74 คน จําแนก เป็น 2 กลุ่ม 1) เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานคลังวัสดุทางการแพทย์ จำนวน 10 คน และ 2) เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเบิกของ โรงพยาบาลสกลนคร และเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเบิกของเครือข่ายโรงพยาบาลสกลนคร จำนวน 64 คน ดำเนินการวิจัย มี4 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาสภาพปัญหา 2) สร้างและว ิพากษ์ยุทธศาสตร์ 3) ทดลองใช้ ยุทธศาสตร์ และ 4) ถ่ายทอดและเผยแพร่ ยุทธศาสตร์ เครื่องมือที่ใช้ในการว ิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม แบบประเมินยุทธศาสตร์ และแบบทดสอบความรู้ ความเข้าใจ การวิเคราะห์ข ้อมูลใช้ การวิเคราะห์เนื้อหา ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1. สภาพปัญหา ได้แก่ 1) เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในระบบ การเบิกจ่ายวัสดุทางการแพทย์ 2) รูปแบบหรือ ระบบการเบิกจ่ายวัสดุทางการแพทย์ขาดความต่อเนื่อง และ 3) ระบบการจัดเก็บวัสดุทางการแพทย์ขาดคุณภาพและ ประสิทธิภาพ 2. ยุทธศาสตร์การพัฒนา ประกอบด้วย การพัฒนาการเบิกจ่ายวัสดุทางการแพทย์ ใช้ชื่อว่า ยุทธศาสตร์การ เพิ่มประสิทธิภาพงานบริการการเบิกจ่ายวัสดุทางการแพทย์ เพื่อความพึงพอใจ ของผู้รับบริการ ในโรงพยาบาลสกลนคร ซึ่งมี เป้าหมายเพื่อ 1) เจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมีความรู้ ความเข้าใจในระบบการเบิกจ่ายวัสดุทางการแพทย์ และมีพฤติกรรม บริการที่เหมาะสม และ 2) คลังวัสดุทางการแพทย์ โรงพยาบาลสกลนคร มีระบบการจัดเก็บวัสดุทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ


54 3. แนวทางแก้ไขปัญหา ได้้แก่ 1) อบรมเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน การเบิก/จ่ายวัสดุทางการแพทย์ โรงพยาบาลสกลนคร ให้มีความรู้ความเข้าใจในระบบการเบิกจ่ายวัสดุ ทางการแพทย์ และ 2) พัฒนาระบบการจัดเก็บวัสดุ ทางการแพทย์ให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพ 4. ยุทธศาสตร์การพัฒนาการเบิกจ่ายวัสดุทางการแพทย์ งานคลังวัสดุทางการแพทย์ โรงพยาบาลสกลนคร ใช้ชื่อว่า ยุทธศาสตร์การเพิ่มประสิทธิภาพงานบริการการเบิกจ่ายวัสดุทาง การแพทย์ เพื่อความพึงพอใจของผู้รับบริการ ในโรงพยาบาล สกลนคร ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อ 1) เจ้าหน้าที่ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมีความรู้ความเข้าใจในระบบการเบิกจ่ายวัสดุทางการแพทย์ และมี พฤติกรรมบริการ ที่เหมาะสม และ 2) คลังวัสดุทางการแพทย์ โรงพยาบาลสกลนคร มีระบบการจัดเก็บวัสดุทางการแพทย์ ที่มี คุณภาพ ซึ่งยุทธศาสตร์ที่สร้าง มี 2 โครงการ ได้้แก่ 1) โครงการอบรมบุคลากร เพื่อเสริมสร้าง ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ ระบบการเบิกจ่ายวัสดุทางการแพทย์ และพฤติกรรมบริการ และ 2) โครงการพัฒนาระบบการจัดเก็บวัสดุทางการแพทย์ให้มี คุณภาพ 5. ความพึงพอใจต่อการเข้ารับอบรมโครงการอบรมบุคลากร เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการ เบิกจ่ายวัสดุทางการแพทย์ และพฤติกรรมบริการ ของเจ้าหน้าที่งานคลัง วัสดุทางการแพทย์ โรงพยาบาลสกลนคร พบว่า ทั้ง โดยรวมและรายข้อความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ทัศนาภรณ์ จิรารักษ์ (2556) ศึกษาเรื่อง การพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการงาน การเงินและบัญชี เพื่อเสริมสร้างความพึงพอใจของผู้รับบริการในสำนักงานพัฒนาชุมชน จังหวัด สกลนคร มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาของการให้บริการงานการเงินและบัญชี เพื่อเสริมสร้างความพึงพอใจของผู้รับบริการในสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดสกลนครจัดลําดับ ความสำคัญ 2) แนวทางการพัฒนาการให้บริการงานการเงินและบัญชีเพื่อเสริมสร้างความพึงพอใจของ ผู้รับบริการในสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดสกลนคร การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา ประสิทธิภาพการให้บริการงานการเงินและบัญชี เพื่อเสริมสร้างความพึงพอใจ ของผู้รับบริการ ในสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดสกลนครโดยศึกษาสภาพปัจจุบัน และปัญหาของการให้บริการ, แนวทางการ พัฒนาการให้บริการ, การตรวจสอบประสิทธิภาพการให้บริการ และระดับความพึงพอใจ ของผู้รับบริการหลังการพัฒนาการ ให้บริการ ทำการศึกษากับบุคลากรในสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด สกลนคร และสำนักงานพัฒนาชุมชนอําเภอ ในจังหวัด สกลนคร 18 อําเภอ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ตอบแบบสัมภาษณ์ ผลการพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการของงานการเงิน และบัญชี จำนวน 20 คน และกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถาม ความพึงพอใจของผู้รับบริการ จำนวน 60 คน เครื่องมือ ที่ใช้ในการ วิจัย คือ แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้รับบริการ เป็นแบบสอบถาม แบบมาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความ เชื่อมั่นของแบบสอบถาม คือ .9495 และแบบสัมภาษณ์ผลการพัฒนา ประสิทธิภาพการให้บริการของงานการเงินและบัญชี ผลการวิจัยพบว่า 1. จากการศึกษาสภาพปัจจุบัน และปัญหาของการให้บริการงานการเงินและบัญชี เพื่อเสริมสร้างความพึงพอใจ ของผู้รับบริการในสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดสกลนคร จัดลําดับ ความสำคัญ 4 ด้าน ได้้แก่ 1) เอกสารการเบิกจ่ายเงินไม่ ถูกต้อง ครบถ้วน 2) เบิกจ่ายเงินล่าช้า ไม่ เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด 3) ขอข ้อมูลทางการเงิน และหลักฐานการเบิกจ่ายเงินใช้ เวลานาน


55 การประชาสัมพันธ์ข้อมูลน้อย ทราบข้อมูลช้า 4) บุคลากรให้ข้อเสนอแนะ และตอบคำถามในเรื่อง กฎหมาย ระเบียบ ต่าง ๆ และแนวทางการปฏิบัติงานไม่ชัดเจน 2. แนวทางการพัฒนาการให้บริการงานการเงินและบัญชี เพื่อเสริมสร้างความพึงพอใจ ของผู้รับบริการใน สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดสกลนคร คือ 1) ทบทวนวิธีการดำเนินงานในปัจจุบัน 2) เพิ่มเติมช่องทางการสื่อสาร/ ประชาสัมพันธ์งานการเงินและบัญชี ผ่านเว็บไซต์ของสำนักงานพัฒนา ชุมชนจังหวัดสกลนคร และระบบสำนักงานอัตโนมัติ (Office Automation) หรือระบบ OA และ 3) การพัฒนาบุคลากร 3. ประสิทธิภาพการให้บริการงานการเงินและบัญชี จากความคิดเห็นของผู้รับบริการ หลังการพัฒนา ประสิทธิภาพ พบว่า ดีขึ้นใน 4 ด้าน คือ ด้านระยะเวลา, ด้านกระบวนการ, ด้านข้อมูล ข่าวสาร และด้านบุคลากร 4. ความพึงพอใจของผู้รับบริการหลังการพัฒนาด้านบริการงานการเงินและบัญชี ผู้รับบริการในสำนักงาน พัฒนาชุมชนจังหวัดสกลนครโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน คือ ด้านเอกสาร เบิก จ่ายเงิน ด้านขั้นตอนการดำเนินงาน, ด้านข้อมูลทาง การเงิน และด้านบุคลากร


56 บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงิน เกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช มงคลธัญบุรี 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่าย ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรีมีวิธีการดำเนินการวิจัย ดังนี้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรได้แก่ บุคลากรคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม จำนวน 148 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ ผู้บริหารของคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม (ประกอบด้วย คณบดี รองคณบดี หัวหน้า สำนักงานคณบดี และหัวหน้าภาควิชา) จำนวน 9 คน อาจารย์ผู้สอนจำนวน 88 คน และเจ้าหน้าที่สาย สนับสนุน 51 คน (ข้อมูลจากงานบุคลากร คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช มงคลธัญบุรี ณ วันที่ 4 พฤษภาคม 2566) กลุ่มตัวอย่างได้แก่ บุคลากรคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ ผู้บริหาร อาจารย์ เจ้าหน้าที่ ของคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม รวมจำนวน 108 คน จากการกำหนด ขนาดกลุ่มตัวอย่างจากตารางสำเร็จของ เครจซี่ และ มอร์แกน (Krejcie & Morgan, 1970 อ้างถึง พิมลพรรณ เพชรสมบัติ, 2561, น.32) ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้การสุ่มอย่างง่าย (Simple random Sampling) เครื่องมือวิจัยที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้1. แบบสอบถามที่พัฒนาปรับปรุงมาจากของ สุวัช มูลเมืองแสน สอบถามความคิดเห็นของผู้บริหาร อาจารย์ และเจ้าหน้าที่สายสนับสนุน ต่อการศึกษา คุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์ อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ที่ผู้วิจัยได้มาจากแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัย ที่เกี่ยวข้อง โดยแบ่งเป็น 2 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบ สำรวจรายการ (Check - List) ได้แก่ เพศ ประเภทบุคลากร และประสบการณ์ในการทำงาน ตอนที่ 2 แบบสอบถามความคิดเห็นของบุคลากร ต่อการศึกษาคุณภาพการให้บริการ ของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ตามกระบวนการศึกษาคุณภาพการให้บริการ 5 ด้าน มีลักษณะเป็นมาตรา


57 ประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อยและน้อยที่สุด โดยกำหนด น้ำหนักให้ระดับการปฏิบัติงานดังนี้ คะแนน ระดับการปฏิบัติงาน 5 หมายถึง คุณภาพการให้บริการของงานการเงิน อยู่ในระดับ มากที่สุด เกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม 4 หมายถึง คุณภาพการให้บริการของงานการเงิน อยู่ในระดับ มาก เกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม 3 หมายถึง คุณภาพการให้บริการของงานการเงิน อยู่ในระดับ ปานกลาง เกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม 2 หมายถึง คุณภาพการให้บริการของงานการเงิน อยู่ในระดับ น้อย เกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม 1 หมายถึง คุณภาพการให้บริการของงานการเงิน อยู่ในระดับ น้อยที่สุด เกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การสร้างเครื่องมือเพื่อการวิจัย ผู้วิจัยได้ดำเนินการโดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1. ศึกษาทฤษฎี หลักการ และเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาคุณภาพ การให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีในด้านต่าง ๆ 2. กำหนดกรอบเครื่องมือในการศึกษาจากข้อมูลที่ศึกษาจากเอกสารตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กับการศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่าย ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 3. สร้างแบบสอบถามที่ใช้ในการวิจัยโดยยึดวัตถุประสงค์หลักมี 3 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับ การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี ตอนที่ 3 แบบสอบถามแบบสอบถามความคิดเห็นของบุคลากร ต่อคุณภาพ การให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ตามกระบวนการศึกษาคุณภาพการให้บริการ 5 ด้าน 4. นำแบบสอบถามที่สร้างเสร็จแล้วตรวจสอบความถูกต้องและแก้ไขปรับปรุง 5. นำแบบสอบถามที่แก้ไขปรับปรุงแล้วให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ตรวจสอบ เพื่อพิจารณา สอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับนิยามศัพท์เฉพาะ (IOC : Index of Item-objective


58 congruence) ผลการวิเคราะห์พบว่า ค่าดัชนีความสอดคล้อง มีค่าอยู่ระหว่าง 0.80– 1.00 แสดงว่า ข้อคำถามในแบบประเมินสอดคล้องกับตัวแปร 6. นำแบบสอบถามที่ผ่านการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญมาปรับปรุงแก้ไข ตามข้อเสนอแนะ 7. นำแบบทดสอบไปทดลองใช้ (Try -out) กับอาจารย์ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .846 8. นำแบบสอบถามที่ทดลองใช้ มาวิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม ทั้งฉบับโดยวิธีการหาสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha coefficient) ตามวิธีของครอนบาค (Cronbach) สูตร α = −1 (1 − ∑ 2 2 ) โดยที่ α คือ สัมประสิทธิ์แอลฟา K คือ จำนวนข้อคำถาม ∑ 2 คือ ผลรวมของความแปรปรวนของคะแนนแต่ละข้อ 2 คือ ความแปรปรวนของคะแนนรวม โดยโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟา ( Cronbach’s alpha coefficient; α) ซึ่งการประเมินความเที่ยงสัมประสิทธิ์แอลฟาได้มีการพิจารณาจากเกณฑ์การประเมินความเที่ยง สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ดังนี้ ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (α) การแปลความหมายระดับความเที่ยง มากกว่า .9 ดีมาก มากกว่า .8 ดี มากกว่า .7 พอใช้ มากกว่า .6 ค่อนข้างพอใช้ มากกว่า .5 ต่ำ น้อยกว่า หรือ เท่ากับ .5 ไม่สามารถรับได้ ในการหาความเชือมั่นโดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (Cronbach’s alpha coefficient) ที่ค่าระดับความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ .846 ซึ่งถือได้ว่าอยู่ในระดับดีหมายถึง แบบสอบถามมีความน่าเชื่อถือและสามารถนำไปศึกษากับกลุ่มตัวอย่างจริงได้ 9. จัดพิมพ์แบบสอบถามฉบับสมบูรณ์ เพื่อนำไปเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั้นตอน ดังนี้


59 1. ผู้วิจัยขอหนังสืออนุญาตเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิจัย เสนอต่อคณบดี คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการเก็บ รวบรวมข้อมูลวิจัยจากกลุ่มประชากร 2. ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มประชากร โดยผู้วิจัยส่งแบบสอบถามให้กับ อาจารย์ เพื่อตอบแบบสอบถามตามที่กำหนดให้ 3. ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมแบบสอบถามคืนมาครบทุกฉบับ คิดเป็น 100% และนำไปวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติ การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยนี้ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ ผู้วิจัยนำแบบสอบถามที่รวบรวมได้มาบันทึกและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยใช้โปรแกรม คอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ใช้สถิติต่าง ๆ ตามขั้นตอน ดังนี้ 1 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับเพศ อายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่งทางวิชาการ ประสบการณ์การทำงานที่คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม และสังกัดภาควิชา โดยการหาค่าความถี่ (Frequency) และค่าร้อยละ (Percentage) แล้วนำเสนอรูปตารางประกอบ ความเรียง 2 วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับ การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี โดยการหาค่าเฉลี่ย (x̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) แล้วหาค่าเฉลี่ยรวมแต่ละด้านตาม หลักเกณฑ์การประเมินค่าความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถาม (พิมลพรรณ เพชรสมบัติ, 2560 น.44 - 45) เป็นเกณฑ์การพิจารณา ดังนี้ 4.51 - 5.00 หมายถึง การศึกษาคุณภาพการให้บริการอยู่ในระดับมากที่สุด 3.51 - 4.50 หมายถึง การศึกษาคุณภาพการให้บริการอยู่ในระดับมาก 2.51 - 3.50 หมายถึง การศึกษาคุณภาพการให้บริการอยู่ในระดับปานกลาง 1.51 - 2.50 หมายถึง การศึกษาคุณภาพการให้บริการอยู่ในระดับน้อย 1.00 - 1.50 หมายถึง การทำโครงการวิจัย อยู่ในระดับน้อยที่สุด 3 แบบสอบถามข้อมูลทำโครงการวิจัยของคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดยมีลักษณะข้อคำถามเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามแนวคิด ของลิเคอร์ท (Likert’s five rating scale) ดังนี้ (พิมลพรรณ เพชรสมบัติ, 2560 น.44 - 45) 5 หมายถึง หมายถึง คุณภาพการให้บริการอยู่ในระดับมากที่สุด 4 หมายถึง หมายถึง คุณภาพการให้บริการอยู่ในระดับมาก 3 หมายถึง หมายถึง คุณภาพการให้บริการอยู่ในระดับปานกลาง


60 2 หมายถึง หมายถึง คุณภาพการให้บริการอยู่ในระดับน้อย 1 หมายถึง หมายถึง คุณภาพการให้บริการอยู่ในระดับน้อยที่สุด ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับ การเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช มงคลธัญบุรี มีวิธีการดำเนินการวิจัย ดังนี้ ผู้วิจัยมีวิธีการดำเนินการ ดังนี้ 1) ผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัด อบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ คือ ผู้บริหาร ประธานหลักสูตร เจ้าหน้าที่ธุรการ จำนวน 5 ท่าน ซึ่งได้มาจากการเลือกเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) โดยมีเกณฑ์การคัดเลือก ดังนี้ (1.1) ผู้บริหาร ได้แก่ คณบดี รองคณบดีฝ่ายบริหารและวางแผน (1.2) ประธานหลักสูตรปริญญาตรี (1.3) เจ้าหน้าที่ธุรการที่ได้รับบริการ ของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัด อบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 2) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์เพื่อการวิจัย เรื่อง แนวทางการพัฒนาคุณภาพการ ให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีเป็นแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structure interview) แบบสอบถามมี ลักษณะเป็นประเภทปลายเปิด (Open-ended question) แบ่งออกเป็น 2 ตอน ประกอบด้วย ตอนที่ 1 สถานภาพผู้ตอบแบบสัมภาษณ์ ตอนที่ 2 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่าย ในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 3) การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ แบบสัมภาษณ์ มีขั้นตอนและวิธีการสร้าง ดังนี้ (3.1) นำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ในการหาความต้องการจำเป็น ในการพัฒนา คุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ในด้านที่มีความต้องการจำเป็นสูงที่สุด 2 อันดับ มาสร้างเป็นแบบสัมภาษณ์ (3.2) ร่างแบบสัมภาษณ์เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย เพื่อพิจารณาตรวจแก้ไข เนื้อหาและข้อเสนอแนะ และสำนวนภาษาที่ใช้ ตลอดจนความถูกต้องเหมาะสมตามจุดมุ่งหมายของการวิจัย 4) การเก็บรวบรวมข้อมูล


61 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (4.1) ผู้วิจัยใช้วิธีการเลือกผู้ให้สัมภาษณ์แบบเจาะจง (Purposive sampling) คือ ผู้บริหาร ประธานหลักสูตร เจ้าหน้าที่ธุรการ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จำนวน 5 ท่าน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) โดยมีเกณฑ์การคัดเลือก ดังนี้คือ ผู้บริหาร ประธานหลักสูตร เจ้าหน้าที่ธุรการ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีที่เคยดำเนินการเบิกจ่ายโครงการฝึกอบรมกับงานการเงิน (4.2) ผู้วิจัยสัมภาษณ์โดยใช้แบบสัมภาษณ์เพื่อการวิจัย เรื่อง แนวทางการพัฒนา คุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (4.3) ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) การตอบคำถามจากการสัมภาษณ์ แล้วดำเนินการสรุปประเด็นเพื่อให้ได้แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับ การเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 5) การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) ของแบบสัมภาษณ์เพื่อการวิจัย เรื่อง แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากแบบ สัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา (Content Analysis) สังเคราะห์ข้อมูลเป็นความเรียง


62 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาเรื่อง การศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่าย ในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาประชากร จำนวน 108 คน โดยใช้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยนำเสนอผล การวิเคราะห์ข้อมูลดังต่อไปนี้ 4.1 ข้อมูลสถานภาพทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 4.2 ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่าย ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 4.3 การวิเคราะห์ข้อมูล สัญลักษณ์ทางสถิติในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ใช้สัญลักษณ์ทางสถิติในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ N แทน จำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม ̅แทน ค่าเฉลี่ย S.D. แทน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 4.1 ข้อมูลสถานภาพทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ข้อมูลการวิเคราะห์คุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายใน การฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาประชากรจำนวน 108 คน ซึ่งจำแนกเพศ ผู้ตอบแบบสอบถามปรากฏดังตารางที่ 1 ตารางที่ 4.1 ตารางแสดงจำนวนและร้อยละของข้อมูลทั่วไปผู้ตอบแบบสอบถาม สถานภาพทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม จ านวน (คน) ร้อยละ 1. เพศ ชาย 51 47.2 หญิง 57 52.8 รวม 108 100.00 2. ประเภทบุคลากร ผู้บริหาร 5 4.6 อาจารย์ 55 50.9


63 เจ้าหน้าที่สายสนับสนุน 48 44.4 รวม 108 100.00 3. ประสบการณ์การท างาน น้อยกว่า 5 ปี 13 12.0 5-10 ปี 37 34.3 11 ขึ้นไป 58 53.7 รวม 108 100.00 จากตารางที่ 1 สรุปได้ว่า ผู้ตอบแบบสอบถามคุณภาพการให้บริการส่วนใหญ่ของงานการเงิน เป็นเพศหญิง จำนวน 57 คน คิดเป็นร้อยละ 52.8 ประเภทบุคลาการส่วนใหญ่เป็น อาจารย์ จำนวน 55 คน คิดเป็นร้อยละ 50.6 และประสบการณ์การทำงาน 11 ปีขึ้นปี จำนวน 58 คน ร้อยละ 53.7 4.2 ผลการวิเคราะห์คุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่าย ในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ผลการวิเคราะห์คุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายใน การฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) 2) ด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้(Reliability) 3) การตอบสนองต่อผู้มารับบริการ (Responsiveness) 4) การให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ (Assurance) 5) ด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy) ดังนี้ ตารางที่ 4.2 แสดงค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความพึงพอใจผลการวิเคราะห์ คุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์ อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดยภาพรวม ดังนี้ ผลการวิเคราะห์คุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับ การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดยภาพรวม (̅) S.D. ระดับ ล าดับ 1 ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) 4.18 .567 มาก 1 2 ด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้(Reliability) 4.11 .442 มาก 3 3 การตอบสนองต่อผู้มารับบริการ (Responsiveness) 3.99 .600 มาก 4 4 การให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ (Assurance) 4.03 .592 มาก 2 5 ด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy) 3.98 .719 มาก 5 รวม 4.06 .449 มาก


64 จากตารางที่ 4.2 แสดงให้เห็นค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความพึงพอใจผล การวิเคราะห์คุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก (̅ = 4.06, S.D. =.449) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีคะแนนในระดับมากที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) (̅ = 4.18, S.D. = .567) รองลงมาคือ ด้านความ เชื่อถือไว้วางใจได้(Reliability) (̅ = 4.11, S.D. = .442) และ ด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy) มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (̅ = 3.98, S.D. = .719) ตามลำดับ 4.2.1 แสดงค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความพึงพอใจในการให้บริการ ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) ตารางที่ 4.2.1 แสดงค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความพึงพอใจในการให้บริการ ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) ดังนี้ ความพึงพอใจ (̅) S.D. ระดับ ล าดับ 1 มีการติดป้ายสัญลักษณ์บอกขั้นตอนในการเบิกจ่ายไว้ชัดเจน 4.31 .828 มาก 1 2 เจ้าหน้าที่ แต่งกายเรียบร้อย ยิ้มแย้มแจ่มใส สุภาพ 4.09 .803 มาก 4 3 การให้บริการเป็นไปตามระบบขั้นตอน 4.18 .771 มาก 3 4 มีกฎระเบียบการใช้บริการอย่างชัดเจน 4.07 .993 มาก 5 5 สถานที่การบริการมีความสะดวกสบาย และสะอาดเรียบร้อย 4.27 .860 มาก 2 รวม 4.18 .567 มาก จากตารางที่ 4.2.1 แสดงให้เห็นว่าค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความพึงพอใจ ในการให้บริการ ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (̅ = 4.18, S.D. =.567) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีคะแนนในระดับมากที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ มีการติดป้ายสัญลักษณ์บอกขั้นตอนในการเบิกจ่ายไว้ชัดเจน (̅ = 4.31, S.D. = .828) รองลงมา คือสถานที่การบริการมีความสะดวกสบาย และสะอาดเรียบร้อย (̅ = 4.27, S.D. = .860) และ มีกฎระเบียบการใช้บริการอย่างชัดเจน มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (̅ = 4.07, S.D. = .993) ตามลำดับ 4.2.2 แสดงค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความพึงพอใจในการให้บริการ ด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้(Reliability) ตารางที่ 4.2.2 แสดงค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความพึงพอใจในการให้บริการ ด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้(Reliability) ดังนี้


65 ความพึงพอใจ (̅) S.D. ระดับ ล าดับ 1 ระบบการเบิกจ่ายเงินในการจัดโครงการฝึกอบรมมีความน่าเชื่อถือ 4.30 .615 มาก 1 2 มีระบบบริหารจัดการที่ดี สามารถให้บริการได้ตรงกับความต้องการ กับผู้รับบริการ 4.19 .791 มาก 2 3 มีลำดับขั้นตอนในการบริการที่ชัดเจน และสามารถติดต่อสอบถาม ได้สะดวก 4.16 .787 มาก 3 4 เจ้าหน้าที่มีความรู้ และทักษะในการปฏิบัติงานการเบิกจ่ายค่าใช้จ่าย ในการฝึกอบรม 3.76 .926 มาก 5 5 เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลถูกต้อง และน่าเชื่อถือ 4.15 .734 มาก 4 รวม 4.11 .442 มาก จากตารางที่ 4.2.2 แสดงให้เห็นว่าค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความพึงพอใจใน การให้บริการ ด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้(Reliability) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (̅ = 4.11, S.D. =.442) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีคะแนนในระดับมากที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ระบบการเบิก จ่ายเงินในการจัดโครงการฝึกอบรมมีความน่าเชื่อถือ (̅ = 4.30, S.D. = .615) รองลงมาคือ มีระบบบริหารจัดการที่ดี สามารถให้บริการได้ตรงกับความต้องการกับผู้รับบริการ (̅ = 4.19, S.D. = .791) และค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดคือ เจ้าหน้าที่มีความรู้ และทักษะในการปฏิบัติงานการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายใน การฝึกอบรม มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (̅ = 3.76, S.D. = .926) ตามลำดับ 4.2.3 แสดงค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความพึงพอใจในการให้บริการ การตอบสนองต่อผู้มารับบริการ (Responsiveness) ตารางที่ 4.2.3 แสดงค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความพึงพอใจในการให้บริการ การตอบสนองต่อผู้มารับบริการ (Responsiveness) ดังนี้ ความพึงพอใจ (̅) S.D. ระดับ ล าดับ 1 เจ้าหน้าที่ให้บริการมีจำนวนเเพียงพอ 4.32 .708 มาก 1 2 เจ้าหน้าที่ให้บริการแก้ไขปัญหาได้ทันทีที่มาติดต่อรับบริการ 4.12 .934 มาก 2 3 เจ้าหน้าที่มีความกระตือรือร้นและมีความรวดเร็วในการให้ความ ช่วยเหลือผู้มารับบริการ 4.02 .773 มาก 3 4 เจ้าหน้าที่ยินดีให้บริการ เมื่อมีผู้รับบริการมาช่วงเวลาเลิกงานพอดี 3.88 .872 มาก 4 5 สามารถแก้ไขข้อร้องเรียนในการใช้บริการได้อย่างรวดเร็ว 3.63 .991 มาก 5 รวม 3.99 .600 มาก


66 จากตารางที่ 4.2.3 แสดงให้เห็นว่าค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความพึงพอใจ ในการให้บริการ การตอบสนองต่อผู้มารับบริการ (Responsiveness) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (̅ = 3.99, S.D. =.600) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีคะแนนในระดับมากที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ เจ้าหน้าที่ให้บริการมีจำนวนเเพียงพอ อยู่ในระดับมาก (̅ = 4.32, S.D. = .708) รองลงมา คือ เจ้าหน้าที่ให้บริการแก้ไขปัญหาได้ทันทีที่มาติดต่อรับบริการ (̅ = 4.12, S.D. = .934) และ สามารถ แก้ไขข้อร้องเรียนในการใช้บริการได้อย่างรวดเร็ว มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (̅ = 3.99, S.D. = .600) ตามลำดับ 4.2.4 แสดงค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความพึงพอใจในการให้บริการ การให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ (Assurance) ตารางที่ 4.2.4 แสดงค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความพึงพอใจในการให้บริการ การให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ (Assurance) ดังนี้ ความพึงพอใจ (̅) S.D. ระดับ ล าดับ 1 ความซื่อสัตย์สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ เช่น ไม่ขอสิ่งตอบแทน ไม่ รับสินบน ไม่หาผลประโยชน์ในทางมิชอบ 3.78 1.062 มาก 5 2 การให้บริการเหมือนกันทุกรายโดยไม่เลือกปฏิบัติ 4.00 .907 มาก 4 3 ปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใส ไม่ทุจริต หรือไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วน ตน 4.27 .718 มาก 1 4 ปฏิบัติงานโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้รับบริการเป็นหลัก 4.12 .904 มาก 2 5 การรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้รับบริการ 4.03 .716 มาก 3 รวม 4.03 .592 มาก จากตารางที่ 4.2.4 แสดงให้เห็นว่าค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความพึงพอใจใน การให้บริการ การให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ (Assurance) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (̅ = 4.03, S.D. =.592) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีคะแนนในระดับมากที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใส ไม่ทุจริต หรือไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน อยู่ในระดับมาก (̅ = 4.27, S.D. = .718) รองลงมาคือ ปฏิบัติงานโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้รับบริการเป็นหลัก (̅ = 4.12, S.D. = .904) และ ความซื่อสัตย์สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ เช่น ไม่ขอสิ่งตอบแทน ไม่รับสินบน ไม่หาผลประโยชน์ในทางมิชอบ มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (̅ = 3.78, S.D. = 1.062) ตามลำดับ


67 4.2.5 แสดงค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความพึงพอใจในการให้บริการ ด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy) ตารางที่ 4.2.5 แสดงค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความพึงพอใจในการให้บริการ ด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy) ดังนี้ ความพึงพอใจ (̅) S.D. ระดับ ล าดับ 1 เจ้าหน้าที่งานการเงินให้บริการตรงกับความต้องการเฉพาะของแต่ ละบุคคล 3.99 1.00 มาก 3 2 ท่านรู้สึกได้รับความเห็นอกเห็นใจทุกครั้งที่ได้เข้ารับบริการ 4.04 .885 มาก 2 3 เจ้าหน้าที่รู้และเข้าใจความต้องการของผู้รับบริการ 3.83 1.00 มาก 5 4 เจ้าหน้าที่รับฟังปัญหาหรือข้อซักถามของผู้รับบริการอย่างใจเย็น และสุภาพ 3.94 .920 มาก 4 5 เจ้าหน้าที่ตระหนักถึงความสำคัญของการให้บริการทุกคนอย่างเท่า เทียมกัน 4.12 .862 มาก 1 รวม 3.98 .719 มาก จากตารางที่ 4.2.5 แสดงให้เห็นว่าค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความพึงพอใจ ในการให้บริการ ด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (̅ = 3.98, S.D. =.719) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีคะแนนในระดับมากที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ เจ้าหน้าที่ตระหนักถึงความสำคัญของการให้บริการทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน อยู่ในระดับมาก (̅ = 4.12, S.D. = .862) รองลงมาคือ ท่านรู้สึกได้รับความเห็นอกเห็นใจทุกครั้งที่ได้เข้ารับบริการ (̅ = 4.04, S.D. = .885) เจ้าหน้าที่รู้และเข้าใจความต้องการของผู้รับบริการ มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (̅ = 3.83, S.D. = 1.00) ตามลำดับ


68 4.3 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่าย ในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ทั้ง 5 ด้าน 1. แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัด อบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านความเป็นรูปธรรมของ บริการ (Tangibility) ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 1 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) เจ้าหน้าที่ควรยิ่มแย้มแจ่งใสตลอดเวลา ควรช่วยเหลือในการเบิก-จ่าย ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 2 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) ควรมีการทำแผนงาน และแจ้งเวียนขั้นตอน ระยะเวลาการทำงานของแต่ละขั้นตอนอย่าง ชัดเจน เพื่อให้ผู้เข้ารับการบริการเข้าใจระบบการทำงานมากยิ่งขึ้น ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 3 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) ควรมีการติดป้ายสัญลักษณ์บอกขั้นตอนในการเบิกจ่าย ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 4 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) ผู้ให้บริการควรยิ้มแย้มแจ่มใส มีตัวอย่างกฏระเบียบการให้บริการ มีการติดป้ายสัญลักษณ์ ที่ชัดเจน ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 5 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) มีขั้นตอนอย่างชัดเจน สถานที่ให้บริการสะอาดเรียบร้อย สรุป แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) เจ้าหน้าที่ควรยิ่มแย้มแจ่งใสตลอดเวลา ควรช่วยเหลือในการเบิก-จ่าย ควรมีการทำ แผนงาน และแจ้งเวียนขั้นตอน ระยะเวลาการทำงานของแต่ละขั้นตอนอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้เข้ารับการ


69 บริการเข้าใจระบบการทำงานมากยิ่งขึ้น มีตัวอย่างกฏระเบียบการให้บริการ มีการติดป้ายสัญลักษณ์ที่ ชัดเจน 2. แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านความเชื่อถือไว้วางใจ ได้(Reliability) ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 1 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้ (Reliability) เจ้าหน้าที่ควรพัฒนาทักษะด้านการปฏิบัติงาน เช่น ระเบียบการเบิก-จ่าย ให้ถูกต้องและ แม่นยำมากขึ้น ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 2 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้ (Reliability) ผู้ให้บริการควรมีใจรักการบริการ สามารถถามตอบคำถามได้มีความรู้และทักษะในการ ปฏิบัติงาน ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 3 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้ (Reliability) ควรให้บริการข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ และชัดเจน ไม่เลือกปฏิบัติ ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 4 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้ (Reliability) มีความรวดเร็วในการปฏิบัติงาน และสามารถตอบคำถามได้ ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 5 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้ (Reliability) มีลำดับขั้นตอนในการบริการที่ชัดเจน และสามารถติดต่อสอบถามได้สะดวก สรุป แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้ (Reliability) ผู้ให้บริการควรมีใจรักการบริการ สามารถถามตอบคำถามได้มีความรู้และทักษะ ในการปฏิบัติงาน ควรให้บริการข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ และชัดเจน ไม่เลือกปฏิบัติมีความรวดเร็วใน การปฏิบัติงาน มีลำดับขั้นตอนในการบริการที่ชัดเจน และสามารถติดต่อสอบถามได้สะดวก


70 3. แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการตอบสนองต่อผู้ มารับบริการ (Responsiveness) ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 1 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการตอบสนองต่อผู้มารับ บริการ (Responsiveness) เจ้าหน้าที่ควรเพิ่มการบริการช่วงเวลาเลิกงาน เพราะบางทีอาจารย์ และเจ้าหน้าที่บางท่านไม่สะดวกเวลาช่วงกลางวัน ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 2 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการตอบสนองต่อผู้มารับ บริการ (Responsiveness) มีความเต็มใจที่จะให้บริการ สามารถช่วยเหลือผู้เข้ารับบริการ ได้อย่างทันท่วงที มีความรวดเร็วและถูกต้องครบถ้วนในการบริการ ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 3 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการตอบสนองต่อผู้มารับ บริการ (Responsiveness) ควรให้บริการด้วยความเต็มใจ และอำนวยความสะดวกต่อผู้รับบริการ ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 4 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการตอบสนองต่อผู้มารับ บริการ (Responsiveness) ควรจะต้องกระจายการให้บริการไปอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 5 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการตอบสนองต่อผู้มารับ บริการ (Responsiveness) มีลำดับขั้นตอนในการบริการที่ชัดเจน และสามารถติดต่อสอบถามได้ สะดวก สรุป แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการตอบสนองต่อผู้มารับ บริการ (Responsiveness) เจ้าหน้าที่ควรเพิ่มการบริการช่วงเวลาเลิกงาน เพราะบางทีอาจารย์และ เจ้าหน้าที่บางท่านไม่สะดวกเวลาช่วงกลางวัน มีความเต็มใจที่จะให้บริการ สามารถช่วยเหลือผู้เข้ารับ บริการได้อย่างทันท่วงที มีความรวดเร็วและถูกต้องครบถ้วนในการบริการ ควรให้บริการด้วยความเต็ม ใจ และอำนวยความสะดวกต่อผู้รับบริการ ต้องกระจายการให้บริการไปอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว


71 4. แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัด อบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อ ผู้รับบริการ (Assurance) ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 1 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อ ผู้รับบริการ (Assurance) เจ้าหน้าที่ควรมีขั้นตอนการปฏิบัติงานอย่างชัดเจน โปร่งใส่ เช่น มีการเขียน ขั้นตอนการทำงาน Flow Chart ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 2 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อ ผู้รับบริการ (Assurance) ผู้ให้บริการจะต้องมีทักษะในการสื่อสารอย่างดี มีความเข้าใจระบบการทำงาน และรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้รับบริการ ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 3 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อ ผู้รับบริการ (Assurance) ควรมีความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบ มีความโปร่งใส สุจริต ไม่เห็นแก่ ประโยชน์ส่วนตน ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 4 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อ ผู้รับบริการ (Assurance) มีความสามารถในการให้บริการ โดยไม่เลือกปฏิบัติ ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 5 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อ ผู้รับบริการ (Assurance) มีกริยามารยาทที่ดีใช้การติดต่อสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและให้ความมั่นใจว่า ผู้รับบริการจะได้รับบริการที่ดีที่สุด สรุป แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อ ผู้รับบริการ (Assurance) เจ้าหน้าที่ควรมีขั้นตอนการปฏิบัติงานอย่างชัดเจน โปร่งใส่ เช่น มีการเขียน ขั้นตอนการทำงาน Flow Chart ให้บริการจะต้องมีทักษะในการสื่อสารอย่างดี มีความเข้าใจระบบการ ทำงาน และรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้รับบริการ ควรมีความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ที่ได้ รับผิดชอบ มีความโปร่งใส สุจริต ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน มีความสามารถในการให้บริการ โดยไม่


72 เลือกปฏิบัติ มีกริยามารยาทที่ดีใช้การติดต่อสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและให้ความมั่นใจว่าผู้รับบริการจะ ได้รับบริการที่ดีที่สุด 5. แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัด อบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการรู้จักและเข้าใจ ผู้รับบริการ (Empathy) ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 1 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy) เจ้าหน้าที่ควรเข้าใจ และรับฟังปัญหา ของการเบิก-จ่าย ให้เพิ่มมากขึ้น ควรช่วยเหลือและ เสนอแนะในขั้นตอนการเบิก-จ่าย ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 2 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy) มีความเข้าใจต่อการเข้ารับบริการ มีการให้บริการอย่างเท่าเทียมทุกคน ไม่เลือกปฏิบัติ ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 3 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy) ควรสอบถามและตอบข้อซักถามด้วยความเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจปัญหาของผู้รับบริการ ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 4 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy) ให้บริการด้วยความสุภาพ ผู้ให้สัมภาษณ์คนที่ 5 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy) ผู้รับริการได้รับความเห็นอกเห็นใจทุกครั้งที่ได้เข้ารับบริการ สรุป แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy) เจ้าหน้าที่ควรเข้าใจ และรับฟังปัญหา ของการเบิก-จ่าย ให้เพิ่มมากขึ้น ควรช่วยเหลือและ เสนอแนะในขั้นตอนการเบิก-จ่าย มีความเข้าใจต่อการเข้ารับบริการ มีการให้บริการอย่างเท่าเทียมทุก คนไม่เลือกปฏิบัติ ควรสอบถามและตอบข้อซักถามด้วยความเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจปัญหาของ


73 ผู้รับบริการ ควรสอบถามและตอบข้อซักถามด้วยความเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจปัญหาของผู้รับบริการ ให้บริการด้วยความสุภาพ ผู้รับริการได้รับความเห็นอกเห็นใจทุกครั้งที่ได้เข้ารับบริการ ให้บริการด้วย ความสุภาพ ผู้รับริการได้รับความเห็นอกเห็นใจทุกครั้งที่ได้เข้ารับบริการ


74 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัย เรื่อง การศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่าย ในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์ อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณภาพการ ให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ผู้บริหาร อาจารย์ เจ้าหน้าที่ คณะครุ ศาสตร์อุตสาหกรรม จำนวนทั้งสิ้น 108 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามคิดเห็นของ ผู้บริหาร อาจารย์ และเจ้าหน้าที่สายสนับสนุน ต่อการศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงิน เกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช มงคลธัญบุรี ที่ผู้วิจัยได้มาจากแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยแบ่งเป็น 2 ตอน สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล การหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ ความแปรปรวนทางเดียว 5.1 สรุปผลการวิจัย ผลการวิจัย เรื่อง การศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่าย ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี สรุปผลการวิจัยดังนี้ 5.1.1 ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับผู้ตอบแบบสอบถามคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับ การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรีทั้งหมด 108 คน เป็นเพศหญิง จำนวน 57 คน คิดเป็นร้อยละ 52.8 รองลงมา คือ เพศชาย จำนวน 51 คน คิดเป็นร้อยละ 47.2 ประเภทบุคลาการเป็น อาจารย์ จำนวน 55 คน คิดเป็นร้อยละ 50.6 รองลงมาเป็น เจ้าหน้าที่สายสนับสนุน จำนวน 48 คน คิดเป็นร้อยละ 44.4 และผู้บริหาร จำนวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 4.6 ซึ่งมีประสบการณ์การทำงาน 11 ปีขึ้นปี จำนวน 58 คน ร้อยละ 53.7 รองลงมา 5-10 ปี จำนวน 37 คน ร้อยละ 34.3 และน้อยกว่า 5 ปี จำนวน 13 คน ร้อยละ 12.0 5.1.2 โดยภาพรวม ความพึงพอใจคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่าย ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี อยู่ในระดับมาก (̅ = 4.06, S.D. =.449) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีคะแนนในระดับมาก ที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) (̅ = 4.18, S.D. = .567) รองลงมาคือ ด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้(Reliability) (̅ = 4.11, S.D. = .442) และ ด้านการรู้จัก และเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy) มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (̅ = 3.98, S.D. = .719) ตามลำดับ


75 5.1.2.1 ความพึงพอใจในการให้บริการ ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (̅ = 4.18, S.D. =.567) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีคะแนนในระดับมากที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ มีการติดป้ายสัญลักษณ์บอกขั้นตอนในการเบิกจ่ายไว้ ชัดเจน (̅ = 4.31, S.D. = .828) รองลงมาคือสถานที่การบริการมีความสะดวกสบาย และสะอาด เรียบร้อย (̅ = 4.27, S.D. = .860) และ มีกฎระเบียบการใช้บริการอย่างชัดเจน มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (̅ = 4.07, S.D. = .993) ตามลำดับ 5.1.2.2 ความพึงพอใจในการให้บริการ ด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้(Reliability) โดย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (̅ = 4.11, S.D. =.442) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีคะแนนใน ระดับมากที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ระบบการเบิกจ่ายเงินในการจัดโครงการฝึกอบรมมีความน่าเชื่อถือ (̅ = 4.30, S.D. = .615) รองลงมาคือ มีระบบบริหารจัดการที่ดี สามารถให้บริการได้ตรงกับความต้องการกับ ผู้รับบริการ (̅ = 4.19, S.D. = .791) และค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดคือ เจ้าหน้าที่มีความรู้ และทักษะในการ ปฏิบัติงานการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (̅ = 3.76, S.D. = .926) ตามลำดับ 5.1.2.3 ความพึงพอใจในการให้บริการ การตอบสนองต่อผู้มารับบริการ (Responsiveness) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (̅ = 3.99, S.D. =.600) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีคะแนนในระดับมากที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ เจ้าหน้าที่ให้บริการมีจำนวนเเพียงพอ อยู่ในระดับมาก (̅ = 4.32, S.D. = .708) รองลงมาคือ เจ้าหน้าที่ให้บริการแก้ไขปัญหาได้ทันทีที่มา ติดต่อรับบริการ (̅ = 4.12, S.D. = .934) และ สามารถแก้ไขข้อร้องเรียนในการใช้บริการได้อย่าง รวดเร็ว มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (̅ = 3.99, S.D. = .600) ตามลำดับ 5.1.2.4 ความพึงพอใจในการให้บริการ การให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ (Assurance) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (̅ = 4.03, S.D. =.592) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีคะแนนในระดับมากที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใส ไม่ทุจริต หรือไม่เห็นแก่ ประโยชน์ส่วนตน อยู่ในระดับมาก (̅ = 4.27, S.D. = .718) รองลงมาคือ ปฏิบัติงานโดยคำนึงถึง ผลประโยชน์ของผู้รับบริการเป็นหลัก (̅ = 4.12, S.D. = .904) และ ความซื่อสัตย์สุจริตในการปฏิบัติ หน้าที่ เช่น ไม่ขอสิ่งตอบแทน ไม่รับสินบน ไม่หาผลประโยชน์ในทางมิชอบ มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (̅ = 3.78, S.D. = 1.062) ตามลำดับ 5.1.2.5 ความพึงพอใจในการให้บริการ ด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (̅ = 3.98, S.D. =.719) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีคะแนน ในระดับมากที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ เจ้าหน้าที่ตระหนักถึงความสำคัญของการให้บริการทุกคนอย่างเท่า เทียมกัน อยู่ในระดับมาก (̅ = 4.12, S.D. = .862) รองลงมาคือ ท่านรู้สึกได้รับความเห็นอกเห็นใจทุก ครั้งที่ได้เข้ารับบริการ (̅ = 4.04, S.D. = .885) เจ้าหน้าที่รู้และเข้าใจความต้องการของผู้รับบริการ มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (̅ = 3.83, S.D. = 1.00) ตามลำดับ


76 5.1.3 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่าย ในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ทั้ง 5 ด้าน 5.1.3.1 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่าย ในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านความเป็น รูปธรรมของบริการ (Tangibility) เจ้าหน้าที่ควรยิ่มแย้มแจ่งใสตลอดเวลา ควรช่วยเหลือในการเบิก-จ่าย ควรมีการทำแผนงาน และแจ้งเวียนขั้นตอน ระยะเวลาการทำงานของแต่ละขั้นตอนอย่างชัดเจน เพื่อให้ ผู้เข้ารับการบริการเข้าใจระบบการทำงานมากยิ่งขึ้น มีตัวอย่างกฏระเบียบการให้บริการ มีการติดป้าย สัญลักษณ์ที่ชัดเจน 5.1.3.2 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่าย ในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านความเชื่อถือ ไว้วางใจได้(Reliability) ผู้ให้บริการควรมีใจรักการบริการ สามารถถามตอบคำถามได้มีความรู้และ ทักษะในการปฏิบัติงาน ควรให้บริการข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ และชัดเจน ไม่เลือกปฏิบัติ มีความรวดเร็ว ในการปฏิบัติงาน มีลำดับขั้นตอนในการบริการที่ชัดเจน และสามารถติดต่อสอบถามได้สะดวก 5.1.3.3 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่าย ในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการตอบสนองต่อผู้มารับบริการ (Responsiveness) เจ้าหน้าที่ควรเพิ่มการบริการช่วงเวลาเลิกงาน เพราะบางทีอาจารย์และเจ้าหน้าที่บางท่านไม่สะดวกเวลาช่วงกลางวัน มีความเต็มใจที่จะให้บริการ สามารถช่วยเหลือผู้เข้ารับบริการได้อย่างทันท่วงที มีความรวดเร็วและถูกต้องครบถ้วนในการบริการ ควรให้บริการด้วยความเต็มใจ และอำนวยความสะดวกต่อผู้รับบริการ ต้องกระจายการให้บริการไป อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว 5.1.3.4 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่าย ในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการให้ความ เชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ (Assurance) มีกริยามารยาทที่ดีใช้การติดต่อสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและให้ความ มั่นใจว่าผู้รับบริการจะได้รับบริการที่ดีที่สุด 5.1.3.5 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่าย ในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการรู้จักและ เข้าใจผู้รับบริการ (Empathy) เจ้าหน้าที่ควรเข้าใจ และรับฟังปัญหา ของการเบิก-จ่าย ให้เพิ่มมากขึ้น ควรช่วยเหลือและเสนอแนะในขั้นตอนการเบิก-จ่าย มีความเข้าใจต่อการเข้ารับบริการ มีการให้บริการ อย่างเท่าเทียมทุกคนไม่เลือกปฏิบัติ ควรสอบถามและตอบข้อซักถามด้วยความเห็นอกเห็นใจ และ เข้าใจปัญหาของผู้รับบริการ ควรสอบถามและตอบข้อซักถามด้วยความเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจปัญหา ของผู้รับบริการ ให้บริการด้วยความสุภาพ ผู้รับริการได้รับความเห็นอกเห็นใจทุกครั้งที่ได้เข้ารับบริการ ให้บริการด้วยความสุภาพ ผู้รับริการได้รับความเห็นอกเห็นใจทุกครั้งที่ได้เข้ารับบริการ


77 5.2 อภิปรายผลการวิจัย จากการศึกษาวิจัยเรื่อง การศึกษาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับ การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรีพบว่า การประเมินคุณภาพความพึงพอใจของผู้บริหาร อาจารย์ เจ้าหน้าที่ คณะครุศาสตร์ อุตสาหกรรม จำนวนทั้งสิ้น 108 คน อยู่ในเกณฑ์พึงพอใจระดับมาก สามารถอภิปรายผลได้ดังนี้ 5.2.1 ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) จากการวิจัยพบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะหน่วยงานมีการติดป้ายสัญลักษณ์บอกขั้นตอน ในการเบิกจ่ายไว้ชัดเจน สถานที่การบริการมีความสะดวกสบาย และสะอาดเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ แต่งกายเรียบร้อย ยิ้มแย้มแจ่มใส สุภาพ การให้บริการเป็นไป ตามระบบขั้นตอน รวมทั้งสภาพแวดล้อม ที่ทำให้ผู้รับบริการรู้สึกว่าได้รับการดูแลห่วงใย และความตั้งใจจากผู้ให้บริการ บริการที่ถูกนำเสนอ ออกมาเป็นรูปธรรมจะทำให้ผู้รับบริการรับรู้ถึงการให้บริการนั้น ๆ สอดคล้องกับงานวิจัย รุ่งทิพย์ นิลพัท (2561) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง คุณภาพการให้บริการและความพึงพอใจที่มีความสัมพันธ์กับการกลับมา ใช้บริการซ้ำของผู้รับบริการ โรงพยาบาล เปาโลรังสิต มีผลการวิจัยด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) อยู่ในระดับมาก และสอดคล้องกับงานวิจัยของ นางมนัสชญาน์ โรมินทร์ (2561) วิจัยเรื่อง คุณภาพการบริการตามความคาดหวังและการรับรู้ของผู้มารับบริการที่แผนกส่งเสริมสุขภาพโรงพยาบาล กระบี่นครินทร์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีผลการวิจัยด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) อยู่ในระดับมาก และสอดคล้องกับงานวิจัยของ นราธิป แนวคำดีและ กฤษณ์ ทัพจุฬา และดวงใจ อังโก๊ะ (2562) วิจัยเรื่อง ความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อการให้บริการของบริษัทพรอมิส (ประเทศไทย) จำกัด สาขาบางแคพลาซ่า กรุงเทพมหานคร มีผลการวิจัยด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ (Tangibility) อยู่ในระดับมาก 5.2.2 ความพึงพอใจในการให้บริการ ด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้(Reliability) จากการวิจัยพบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะ ผู้ให้บริการมีใจรักการบริการ สามารถถามตอบคำถามได้มีความรู้และทักษะในการปฏิบัติงาน ให้บริการข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ และชัดเจน ไม่เลือกปฏิบัติ มีความรวดเร็วในการปฏิบัติงาน มีลำดับขั้นตอนในการบริการที่ชัดเจน และสามารถติดต่อสอบถามได้สะดวก สอดคล้องกับงานวิจัย รุ่งทิพย์ นิลพัท (2561) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง คุณภาพการให้บริการและความพึงพอใจที่มีความสัมพันธ์กับการกลับมาใช้บริการซ้ำของผู้รับบริการ โรงพยาบาล เปาโลรังสิต มีผลการวิจัยด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้(Reliability) อยู่ในระดับมาก และ สอดคล้องกับงานวิจัยของ นางมนัสชญาน์ โรมินทร์ (2561) วิจัยเรื่อง คุณภาพการบริการตามความ คาดหวังและการรับรู้ของผู้มารับบริการที่แผนกส่งเสริมสุขภาพโรงพยาบาลกระบี่นครินทร์ อินเตอร์ เนชั่นแนล มีผลการวิจัยด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้(Reliability) อยู่ในระดับมาก นราธิป แนวคำดี และ กฤษณ์ ทัพจุฬา และดวงใจ อังโก๊ะ (2562) วิจัยเรื่อง ความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อ การให้บริการของบริษัทพรอมิส (ประเทศไทย) จำกัด สาขาบางแคพลาซ่า กรุงเทพมหานคร มีผลการวิจัยด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้(Reliability) อยู่ในระดับมาก


78 5.2.3 ความพึงพอใจในการให้บริการ ด้านการตอบสนองต่อผู้มารับบริการ (Responsiveness) จากการวิจัยพบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะ เจ้าหน้าที่ ให้บริการมีจำนวนเเพียงพอ เจ้าหน้าที่ให้บริการแก้ไขปัญหาได้ทันทีที่มาติดต่อรับบริการ สามารถแก้ไข ข้อร้องเรียนในการใช้บริการได้อย่างรวดเร็ว สอดคล้องกับงานวิจัย รุ่งทิพย์ นิลพัท (2561) ได้ศึกษาวิจัย เรื่อง คุณภาพการให้บริการและความพึงพอใจที่มีความสัมพันธ์กับการกลับมาใช้บริการซ้ำ ของผู้รับบริการ โรงพยาบาล เปาโลรังสิต มีผลการวิจัยด้านการตอบสนองต่อผู้มารับบริการ (Responsiveness) อยู่ในระดับมาก และสอดคล้องกับงานวิจัยของ นางมนัสชญาน์ โรมินทร์ (2561) วิจัยเรื่อง คุณภาพการบริการตามความคาดหวังและการรับรู้ของผู้มารับบริการที่แผนกส่งเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลกระบี่นครินทร์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีผลการวิจัยด้านการตอบสนองต่อผู้มารับบริการ (Responsiveness) อยู่ในระดับมาก นราธิป แนวคำดี และ กฤษณ์ ทัพจุฬา และดวงใจ อังโก๊ะ (2562) วิจัยเรื่อง ความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อการให้บริการของบริษัทพรอมิส (ประเทศไทย) จำกัด สาขาบาง แคพลาซ่า กรุงเทพมหานคร มีผลการวิจัยด้านการตอบสนองต่อผู้มารับบริการ (Responsiveness) อยู่ในระดับมาก 5.2.4 ความพึงพอใจในการให้บริการ ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ (Assurance) จากการวิจัยพบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ด้วยความโปร่งใส ไม่ทุจริต หรือไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานโดยคำนึงถึง ผลประโยชน์ของผู้รับบริการเป็นหลัก มีความซื่อสัตย์สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ เช่น ไม่ขอสิ่งตอบแทน ไม่รับสินบน ไม่หาผลประโยชน์ในทางมิชอบ สอดคล้องกับงานวิจัย รุ่งทิพย์ นิลพัท (2561) ได้ศึกษาวิจัย เรื่อง คุณภาพการให้บริการและความพึงพอใจที่มีความสัมพันธ์กับการกลับมาใช้บริการซ้ำของ ผู้รับบริการ โรงพยาบาล เปาโลรังสิต มีผลการวิจัยด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ (Assurance) อยู่ในระดับมาก และสอดคล้องกับงานวิจัยของ นางมนัสชญาน์ โรมินทร์ (2561) วิจัยเรื่อง คุณภาพ การบริการตามความคาดหวังและการรับรู้ของผู้มารับบริการที่แผนกส่งเสริมสุขภาพโรงพยาบาลกระบี่ นครินทร์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีผลการวิจัยด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ (Assurance) อยู่ใน ระดับมาก นราธิป แนวคำดี และ กฤษณ์ ทัพจุฬา และดวงใจ อังโก๊ะ (2562) วิจัยเรื่อง ความพึงพอใจ ของลูกค้าที่มีต่อการให้บริการของบริษัทพรอมิส (ประเทศไทย) จำกัด สาขาบางแคพลาซ่า กรุงเทพมหานคร มีผลการวิจัยด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ (Assurance) อยู่ในระดับมาก 5.2.5 ความพึงพอใจในการให้บริการ ด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy) จากการวิจัยพบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ตระหนักถึงความสำคัญ ของการให้บริการทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ผู้รับบริการรู้สึกได้รับความเห็นอกเห็นใจทุกครั้งที่ได้เข้ารับ บริการ เจ้าหน้าที่รู้และเข้าใจความต้องการของผู้รับบริการ สอดคล้องกับงานวิจัย รุ่งทิพย์ นิลพัท (2561) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง คุณภาพการให้บริการและความพึงพอใจที่มีความสัมพันธ์กับการกลับมาใช้ บริการซ้ำของผู้รับบริการ โรงพยาบาล เปาโลรังสิต มีผลการวิจัยด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy)อยู่ในระดับมาก และสอดคล้องกับงานวิจัยของ นางมนัสชญาน์ โรมินทร์ (2561) วิจัยเรื่อง คุณภาพการบริการตามความคาดหวังและการรับรู้ของผู้มารับบริการที่แผนกส่งเสริมสุขภาพโรงพยาบาล


79 กระบี่นครินทร์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีผลการวิจัยด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy) อยู่ใน ระดับมาก นราธิป แนวคำดี และ กฤษณ์ ทัพจุฬา และดวงใจ อังโก๊ะ (2562) วิจัยเรื่อง ความพึงพอใจ ของลูกค้าที่มีต่อการให้บริการของบริษัทพรอมิส (ประเทศไทย) จำกัด สาขาบางแคพลาซ่า กรุงเทพมหานคร มีผลการวิจัยด้านการรู้จักและเข้าใจผู้รับบริการ (Empathy) อยู่ในระดับมาก 5.3 ข้อเสนอแนะจากการวิจัย จากผลการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะเพื่อเป็นประโยชน์ในการนำไปใช้เป็นแนวทาง ในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัดอบรม คณะครุศาสตร์ อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ดังต่อไปนี้ 5.3.1 คณะ ฯ ควรพัฒนาคุณภาพการให้บริการของงานการเงินเกี่ยวกับการเบิกจ่ายในการจัด อบรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ด้านการรู้จักและเข้าใจ เช่น ผู้รับบริการของเจ้าหน้าที่งานการเงิน เจ้าหน้าที่ควรเข้าใจ และรับฟังปัญหา ของการเบิก-จ่าย ให้เพิ่มมากขึ้น ควรช่วยเหลือและเสนอแนะในขั้นตอนการเบิก-จ่าย 5.3.2 เจ้าหน้าที่งานการเงิน ควรสร้างความเชื่อถือไว้วางใจในการเบิกจ่ายให้เกิดความถูกต้อง คอยรับฟังความคิดเห็นจากหลาย ๆ ด้าน เพื่อให้ผู้รับบริการเกิดความเชื่อมั่นว่าทางงานการเงิน มีการใส่ใจและรับฟังเป็นอย่างดี 5.4 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 1.ควรมีการวิจัยคุณภาพการให้บริการของงานการเงินในการเบิกจ่ายด้านอื่น ๆ เช่น ค่าสอน การเดินทางราชการ การยืม-คืนเงินทดรองจ่าย 2.ควรมีการวิจัยความพึงพอใจของผู้รับบริการงานอื่น ๆ เช่น งานบุคลากร งานแผนงานและ งบประมาณ งานพัสดุ 3.การประเมินประสิทธิภาพของช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่งานการเงิน กับบุคลาการ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี


80 บรรณานุกรม ชลธิชา ศรีบำรุง (2557). คุณภาพการให้บริการของธนาคารกรุงเทพ สาขาดอน หัวฬ่อ จังหวัดชลบุรี. ชัชวาล ทัตศิวัช (2554). คุณภาพการให้บริการ (สื่ออิเล็กทรอนิกส์).วารสารวิชาการ. การจัดการ ภาครัฐ และเอกชนของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ทิชเชอร์ ติวเตอร์และคณะ (2557). เตรียมสอบผู้บริหารสถานศึกษา การบริหารงบประมาณ การเงิน ในสถานศึกษา.จันทบุรี : ซีเอ็ดเซนเตอร์. ธัญญารัตน์ ดอกลั่นทม (2560).การบริหารจัดการงานการเงินของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณ ภูมิ.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ นราธิป แนวคำดี และ กฤษณ์ ทัพจุฬา และดวงใจ อังโก๊ะ (2562).ความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อการ ให้บริการของบริษัทพรอมิส (ประเทศไทย) จ ากัด สาขาบางแคพลาซ่า.มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ธนบุรี. นางมนัสชญาน์ โรมินทร์ (2561).คุณภาพการบริการตามความคาดหวังและการรับรู้ของผู้มารับ บริการที่แผนกส่งเสริมสุขภาพโรงพยาบาลกระบี่นครินทร์ อินเตอร์เนชั่นแนล.มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช. นางสาวกรสุมา สุวัฒนะชัย (2563).คุณภาพการบริการและการรับรู้คุณค่าที่ส่งผลต่อความพึงพอใจ ในการใช้บริการโรงพยาบาลสัตว์เล็ก ของคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. นิพนธ์ เรืองหิรัญวนิช (2560). คุณภาพการให้บริการของกองกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร. สาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะ มหาวิทยาลัยศิลปากร. ไพฑูรย์ คุ้มคง (2557) .การศึกษาความคิดเห็นของประชาชนต่อคุณภาพการให้บริการของเทศบาล. ตำบลนายายอาม อำเภอนายายอาม จังหวัดจันทบุรี มณฑกานต์ ฉิมเกิด (2557).แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของฝ่ายวิชาการ คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. KASEM BUNDIT JOURNAL, 18(1), 36–51. ระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกเงินจากคลัง การรับเงิน การจ่ายเงินการเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. 2551. ระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกเงินจากคลัง การรับเงิน การจ่ายเงินการเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. ๒๕๖๒.


81 รุ่งทิพย์ นิลพัท (2561).คุณภาพการให้บริการและความพึงพอใจที่มีความสัมพันธ์กับการกลับมาใช้ บริการซ้ าของผู้รับบริการ โรงพยาบาลเปาโลรังสิต.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี. ศศิธร ทองวิวัฒน์(2561). ผลการพัฒนาคู่มือการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัดโครงการวิชาการ โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา.วารสารสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย.ปีที่ 8 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2561. สมวงศ์ พงศ์สถาพร(2550). เคล็ดไม่ลับการตลาดบริการ. กรุงเทพฯ: อนุวัต สงสม (2557).แบบจ าลองสมการโครงสร้างการจัดการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเเพียง.วารสารการจัดการ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์,3(2),51-56. อมรารัตน์ บุญภา (2557). ได้ศึกษาความพึงพอใจของประชาชนต่อคุณภาพการให้บริการ ของเทศบาล. ตำบลพวา อำเภอแก่งหางแมว จังหวัดจันทบุรี. https://stri.cmu.ac.th › files › finance › expend. สรุปสาระส าคัญการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การรับเงิน พ.ศ.2562. Zeithaml, Parasuraman and Berry (1990) : 28; Lovelock, 1996: 464-466)


82 ภาคผนวก


83 ภาคผนวก ก - รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือวิจัย - หนังสือเชิญผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือวิจัย


84 รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือวิจัย 1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สิริพร อั้งโสภา รองคณบดีฝ่ายบริหารและวางแผน คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 2. ผศ.ดร.สุกัญญา บุญศรี หัวหน้าภาควิชาการศึกษา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 3. ผศ.ดร.ชัยอนันต์ มั่นคง อาจารย์ประจำสาขาการบริหารการศึกษา ภาคการศึกษา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี


85


86


87


88 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย


89 การค่าความเชื่อมั่น นำแบบทดสอบไปทดลองใช้ (Try-out) กับบุคลากรที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน ได้ค่าความ เชื่อมั่นเท่ากับ .846


Click to View FlipBook Version