โครงงานพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพ (20306-5501)
เรือ่ ง การนำเสนอบทเพลงสมัยนิยมโดยโปรแกรมดนตรี
คณะผู้จดั ทำ
นกั เรียนระดับประกาศนียบตั รวิชาชีพชั้นปีที่ 3
สาขาวชิ าดนตรีสากล
กลุม่ สาระวิชาชีพดนตรีสากล และคตี ศิลป์สากล
รายงานน้ีเป็นส่วนหนง่ึ ของรายวิชาโครงงานพฒั นาสมรรถนะวชิ าชีพ 1
รหัสวิชา 20306-5501 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
วิทยาลัยนาฏศลิ ปเชียงใหม่ สถาบันบัณฑิตพฒั นศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
ก
คำนำ
รายงานเลม่ นีเ้ ป็นสว่ นหน่งึ ของรายวิชาโครงงานฝกึ ประสบการณว์ ิชาชีพ รหสั วิชา 20306-
5501 และวิชาฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพ 1 รหัสวิชา 20306-5001 ระดับประกาศนียบัตร
วิชาชีพชั้นปีที่ 3 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ซึ่งอยู่ในการควบคุมดูแลของคุณครูอรรณพ
ภริ มยป์ ระเมศ วตั ถุประสงคข์ องรายงานเล่มน้ีจัดทำขึน้ เพื่อประมวลความรู้และทกั ษะในการพัฒนา
งานในสาขาวิชาชีพและหรือสร้างสรรค์ผลงานด้านนาฏศิลป์ ดุริยางคศิลป์ตามกระบวนการ
วางแผนดำเนินงานแก้ไขปัญหานำเสนอผลงานประเมินผลและทำรายงาน จนสามารถนำความรู้
ทกั ษะในสาขาวิชาชีพมาแก้ไขปัญหาในการทำโครงงาน ซึ่งในรายงานได้ระบุรายละเอียด ไว้ดงั นี้
ภายในรายงานเล่มนี้แบ่งออกเป็น 5 บท ดังน้ี บทที่ 1 ระบหุ วั ข้อทีจ่ ะศกึ ษา ได้แก่ ที่มาและ
ความสำคญั ของโครงงาน วตั ถุประสงค์ ประโยชนท์ ีค่ าดวา่ จะได้รับ และนิยามศพั ท์ บทที่ 2 แนวคิด
ทฤษฎี และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบไปด้วยกัน 7 หัวข้อ ได้แก่ ช่วงเสียงของเครื่องดนตรี
(Range) สัญลักษณ์ต่าง ๆ ของดนตรีสมัยนิยม (Music Term: Popular) ประเภทวงดนตรี (Type of
Band) ทฤษฎีดนตรีสากล (Music Theory) ประวัติดนตรตี ะวันตก (Music History) วรรณกรรมดนตรี
( Music Literature) โ ป ร แ ก ร ม บ ั น ท ึ ก โ น ้ ต เ พ ล ง Sibelius ( Sibelius Score Writer) บ ท ท ี่ 3
วิธีการดำเนินงาน ประกอบไปด้วยกัน 3 หัวข้อ ได้แก่ ขั้นตอนการดำเนินงาน การนำเสนอผลงาน
ผ่านโปรแกรมนำเสนอผลงาน (Power Point) และการนำเสนอในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
(E-Book) บทที่ 4 การวิเคราะห์ผลงานการเรียบเรียงเสียงประสานบทเพลงสมัยนิยมโดยโปรแกรม
ดนตรี ซึง่ ประกอบไปด้วยบทเพลงทั้งหมด 7 บทเพลง ได้แก่ Ain't Misbehaving, Can't Help Falling
in Love, Dancing on the Ceiling, For You for Me Forevermore, Lullaby of Bridland, Stranger on
the Shore, When Irish Eyes Are Shining, และบทที่ 5 สรุปผลการดำเนินงาน อภิปรายผลและ
ข้อเสนอแนะ
รายงานเล่มนี้จะสำเร็จมิได้หากไม่ได้รับความอนุเคราะห์ที่ดีจากคุณครู ขอขอบพระคุณ
คุณครูอรรณพ ภิรมย์ประเมศ และคุณครูวันวิสาข์ อยู่ทอง ที่ได้ให้คำปรึกษาด้านกระบวนการ
ทำงานทุกขั้นตอนไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีดนตรี ประวัติดนตรี และการใช้โปรแกรมบันทึกโน้ตเพลง
Sibelius (Sibelius Score Writer) วิธีการเรียบเรียงเสียงประสาน หลักการวิเคราะห์บทเพลง วิธีการ
ข
จัดทำรูปเล่มรายงาน หลักการคิดวิเคราะห์ และการนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการจัดทำ
รายงานโครงงานฝึกประสบการณ์วิชาชีพ รวมถึงรายวิชาฝึกประสบการณ์วิชาชีพอีกด้วย
ขอบใจ น้องเซน (นายยอดคน สุหฤทดำรง) ที่ช่วยให้คำปรึกษาเรื่องของเครื่องดนตรี
หรือทฤษฎีต่าง ๆ น้องฟลุ๊คกี้ (นายพีระศิลป์ ธนากรสิทธิ์) ที่ช่วยให้คำปรึกษาเรื่องทฤษฎีดนตรี
และหลักการใช้ภาษาในการเขียนรายงานและการเรียบเรียง ที่มาช่วยให้คำปรึกษาในเรื่องของ
ทฤษฎีดนตรีต่าง ๆ น้องหนึ่ง (นายพีรพล ลุงขอด) ช่วยให้ยืมคอมพิวเตอร์ในการทำงาน
และน้องอาทิตย์ (นายกรวิชญ์ สิงหเ์ พชร) ชว่ ยสง่ ตวั อยา่ งรปู เล่มรายงานมาให้คณะผจู้ ดั ทำได้ศึกษา
ทั้งนี้ หากคณะผจู้ ัดทำได้ทำสิง่ ผดิ พลาดประการใด ขออภยั มา ณ ที่น้ี
คณะผู้จดั ทำ
นกั เรียนประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปีที่ 3
สาขาวิชาดนตรสี ากล
ค
สารบญั หน้า
ก
คำนำ ค
สารบัญ จ
สารบญั ตาราง ฉ
สารบัญภาพ
บทท่ี 1
1. ระบุหวั ข้อทีจ่ ะศึกษา 2
3
- ที่มาและความสำคัญของโครงงาน 4
- วตั ถปุ ระสงค์
- ประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะได้รับ 5
- นิยามศัพท์ 12
2. แนวคิด ทฤษฎีและเอกสารท่เี กีย่ วขอ้ ง 13
- ชว่ งเสียงของเครอ่ื งดนตรี 16
- สญั ลักษณข์ องคอรด์ ดนตรสี มัยนิยม 30
- ประเภทของวงดนตรี 34
- ทฤษฎีดนตรีสากล 34
- ประวัติดนตรี
- วรรณกรรมดนตรี 38
- โปรแกรมบันทึกโน้ตเพลง Sibelius (Sibelius Score Writer) 41
3. วิธีการดำเนินงาน 45
- ขั้นตอนการดำเนินงาน
- การนำเสนอในรูปแบบ Power Point
- การนำเสนอในรูปแบบ E-Book
ง
สารบัญ (ต่อ) หนา้
บทท่ี 47
4. การวเิ คราะห์ผลงานการเรียบเรยี งเสียงประสานบทเพลงสมัยนิยม 53
57
โดยโปรแกรมดนตรี 63
- บทเพลงที่ 1 Ain’t Misbehavin 69
- บทเพลงที่ 2 Can’t help falling in love 78
- บทเพลงที่ 3 Dancing on the Ceiling 83
- บทเพลงที่ 4 For you for me forevermore
- บทเพลงที่ 5 Lullaby of Birdland 89
- บทเพลงที่ 6 Stranger on the shore 95
- บทเพลงที่ 7 When Irish Eyes are Shining 95
5. สรปุ ผลการดำเนินงาน อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ 98
- สรุปผลการดำเนนิ งาน 102
- อภปิ รายผล 104
- ข้อเสนอแนะ
บรรณานุกรม
ภาคผนวก
- ภาคผนวก ก รปู ภาพขนั้ ตอนการทำโครงงาน
- ภาคผนวก ข รายงานรูปเลม่ ในรูปแบบหนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์
- ภาคผนวก ค รายชอ่ื คณะผู้จดั ทำ
สารบญั ตาราง จ
ตารางที่ หน้า
2.1 Lead Sheet Chord Symbols ของ Josh Walsh 12
3.1 ระยะเวลาการดำเนินงาน 40
สารบัญรูปภาพ ฉ
ภาพที่ หน้า
2.1 ฟลูท (Flute) 5
2.2 คลารเิ น็ต (Clarinet) 6
2.3 แซกโซโฟน (Saxophone) 8
2.4 เฟรนชฮ์ อร์น (French Horn) 9
2.5 ทรมั เป็ต (Trumpet) 10
2.6 ทรอมโบน (Trombone) 10
2.7 ทูบา (Tuba) 11
2.8 ช่วงเสียงของบันไดเสียง C เมเจอร์ 17
2.9 บันไดเสียง A ไมเนอรแ์ บบเนเชอรัล 18
2.10 บนั ไดเสียง A ไมเนอร์แบบฮาโมนิก 18
2.11 บันไดเสียง A ไมเนอรแ์ บบเมโลดิก 19
2.12 บนั ไดเสียงโครมาตกิ ขาขนึ้ และขาลง 19
2.13 อนั ตราจังหวะ 4/4 และ 3/4 20
2.14 เครื่องหมายประจำกุญแจเสียงต่างๆ 20
2.15 ทรัยแอดพืน้ ต้น 21
2.16 ทรยั แอดในรปู แบบพลิกกลบั ข้ันที่หนึง่ 21
2.17 ทรัยแอดในรูปแบบพลิกกลับข้ันทีส่ อง 22
2.18 Chord C Major 22
2.19 Chord C minor 22
2.20 Chord C Diminished 23
2.21 Chord C Augmented 23
2.22 Chord C Major7 23
2.23 ลำดบั คอร์ดในบนั ไดเสียงเมเจอร์ 24
2.24 สญั ลกั ษรณ์ที่ใช้บง่ บอกคอร์ดชนดิ ต่างๆ 24
2.25 ตวั อย่าง Passing Tone 25
2.26 ตวั อย่าง Neighboring Tone 25
ช
สารบญั รูปภาพ (ต่อ)
ภาพที่ หน้า
2.27 ตวั อยา่ ง ESCAPE TONE 25
2.28 ตัวอย่าง APPOGGIATURA 26
2.29 ตวั อย่าง ANTICIPATION 26
2.30 ตวั อยา่ ง SUSPENSION 26
2.31 ตัวอย่าง PEDAL 27
2.32 ตวั อย่างเครอ่ื งหมาย และตัวอย่างการปฏิบัติเคร่อื งหมาย Trill 27
2.33 ตัวอยา่ งเครือ่ งหมาย Grace note 28
2.34 ตัวอยา่ งเครื่องหมาย และตัวอยา่ งการปฏิบัติเครอื่ งหมาย Arpeggiation 28
2.35 Authentic Cadence 28
2.36 Plagal Cadence 29
2.37 Deceptive Cadence 29
2.38 Half Cadence 29
2.39 Program Finale 35
2.40 Program Musescore 35
2.41 Program Sibelius 36
1
บทที่ 1
ระบุหัวขอ้ ทจ่ี ะศกึ ษา
ทม่ี าและความสำคญั ของโครงงาน
วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม ในภาคเรียนที่
1 ประจำปีการศึกษา 2564 ได้มีการจัดการเรียนการสอนในรายวิชา โครงงานพัฒนาสมรรถนะ
วิชาชีพ 1 รหัสวิชา 20306-5501 และวิชาฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพ 1 รหัสวิชา 20306-
5001 ให้กับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 3 เพื่อให้เข้าใจหลักการ กระบวนการใน
การจัดทำโครงงาน เพื่อประมวลความรู้และทักษะในการพัฒนางานในสาขาวิชาชีพและหรือ
สร้างสรรค์ผลงานด้านนาฏศิลป์ ดุริยางคศิลป์ตามกระบวนการวางแผนดำเนินงานแก้ไขปัญหา
นำเสนอผลงานประเมินผลและทำรายงาน จนสามารถนำความรู้ ทักษะในสาขาวิชาชีพมาแก้ไข
ปัญหาในการทำโครงงาน ในการปฎิบัติงานจะต้องเข้าใจขั้นตอน กระบวนการทำงานปฏิบัติงาน
อาชีพอย่างเป็นระบบ สามารถปฏิบัติงานอาชีพในสถานประกอบการ สถานประกอบอาชีพอิสระ
แหลง่ วิทยาการหรือสถานฝกึ งานทีส่ ถานศกึ ษาได้กำหนดขึน้ ตลอดจนให้เกิดความชำนาญ มีทักษะ
และประสบการณ์ โดยมีเจตคติที่ดีต่อการปฏิบัติงาน มีความรับผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้ ความคิด
สร้างสรรค์ ขยันอดทน มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ ตลอดจนนำความรู้มา
ประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจำวนั และวิชาชีพในอนาคตได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
โดยคณะผจู้ ัดทำกำลังศกึ ษาอย่ใู นสาขาวิชาดนตรีสากล (เครือ่ งเปา่ ) ซึ่งมีความสนใจในบท
เพลงสมัยนิยม เนื่องจากบทเพลงสมัยนิยมมีลักษณะทำนองเพลงที่ง่าย โครงสร้างของบทเพลงไม่
ซับซ้อน โดยมีจุดประสงค์ต้องการให้ผู้ฟังเข้าถึงได้ง่าย รู้สึกเพลิดเพลินเมื่อได้ฟัง เพลงสมัยนิยม
ผู้ฟังส่วนใหญ่คือกลุ่มวัยรุ่น ดังนั้น เนื้อหาเพลงส่วนใหญ่จึงเกี่ยวข้องกับเรื่องราวความรักของคน
หนุ่มสาวเป็นหลัก ในส่วนของเครื่องดนตรีที่ใช้สำหรับเพลงสมัยนิยมได้แก่ กีตาร์ กีต้าร์เบส กลอง
ชุด และคีย์บอร์ด ซึ่งบางครั้งอาจจะมีการนำเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าเข้ามาร่วมเล่นด้วย
2
เพื่อให้เกิดสีสันของเสียงมากขึ้น คณะผู้จัดทำเห็นว่าการนำบทเพลงสมัยนิยม มาเรียบเรียงใหม่ใน
รูปแบบวงดนตรี Ensemble จะทำให้เกิดความน่าสนใจ และเกิดความแปลกใหม่ ทั้งนี้คณะผู้จัดทำ
จะนำบทเพลงสมัยนิยมมาเรียบเรียงขึน้ ใหม่ โดยใช้ โปรแกรม บนั ทึกโน้ตเพลง Sibelius (Sibelius
Score Writer) ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ได้รับความนิยมในการจัดพิมพ์โน้ตเพลง และการเรียบเรียงเสียง
ประสาน ในปจั จบุ ัน
จากหลักการและเหตุผลดังกล่าว คณะผู้จัดทำมีความสนใจที่จะทำโครงงานการนำบท
เพลงสมัยนิยมโดยโปรแกรมดนตรี โดยคณะผู้จัดทำได้เลือกบทเพลงสมัยนิยม (Pop pula music)
มาใช้ในการเรียบเรียงเสียงประสานขึน้ ใหม่ เนื่องจากเป็นเพลงทีเ่ ข้าถึงได้ทุกเพศทกุ วัย มีโครงสร้าง
ทางดนตรีที่ไม่ซับซ้อน ประกอบกับการนำองความรู้จากสาขาวิชาที่เรียนมาประยุกใช้ไม่ว่าจะเป็น
วิชาทฤษฎีดนตรีสากล วิชาประวตั ิดนตรี วิชาคอมพิวเตอร์ดนตรี เพือ่ นำมาใช้ในการเรียบเรียงเสียง
ประสาน วิเคราะห์บทเพลงดังกลา่ ว
วตั ถุประสงค์
1. เพื่อพัฒนาความเข้าใจเรื่องของ ทฤษฏีดนตรีสากล ซึ่งเกี่ยวข้องกบั สาขาวิชาที่ศึกษาอยู่
คือ สาขาวิชาดนตรีและคตี ศลิ ปส์ ากล
2. เพื่อพัฒนาศักยภาพด้วยการใช้ โปรแกรมบันทึกโน้ตเพลง Sibelius (Sibelius Score
Writer)
3. เพือ่ เรียนรู้และเขา้ ใจหลัการและวิธีการเรียบเรียงเสียงประสาน (Arrange)
4. เพือ่ เรียนรู้กลักการและกระบวนการทำโครงงาน
3
ประโยชนท์ ่คี าดว่าจะได้รบั
1. พฒั นาความเข้าใจเรื่องของ ทฤษฎีดนตรีสากล มากยิง่ ขึน้
2. พฒั นาการใช้ โปรแกรมบันทึกโน้ตเพลง Sibelius (Sibelius Score Writer) ให้ดีมากยิ่งขนึ้
3. ได้รหู้ ลกั การและวิธีการเรียบเรียงเสียงประสาน (Arrange)
4. ได้รแู้ ละเข้าใจหลกั การและกระบวนการทำโครงงาน
นิยามศัพท์
ดนตรีป๊อปหรือเพลงป็อป เป็นประเภทของเพลงยอดนิยมเรียกอีกอย่างว่าเพลงสมัยนิยม
ที่เกิดขึน้ ในรปู แบบที่ทันสมัยในช่วงกลางทศวรรษที่ 1950 ในสหรัฐและประเทศองั กฤษเง่ือนไขเพลง
ยอดนิยมและเพลงป๊อบมักใช้แทนกันได้แม้ว่าในอดีตจะ อธิบายถึงดนตรีทั้งหมดที่เป็นที่นิยมและมี
สไตล์ทีแ่ ตกตา่ งกนั มากมาย ในช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 1960 ดนตรีป๊อปได้เข้ามาร็อกแอนด์โรล
และสไตลท์ ีม่ ุ่งเน้นเยาวชนก็มีอทิ ธิพลร็อคและดนตรีป๊อป ยงั คงมคี วามหมายเหมือนกันจนถึงปลาย
ทศวรรษที่1960หลังจากนั้นดนตรีป๊อปเริ่มมีความเกี่ยว ข้องกับดนตรีที่เป็นเชิงพาณิชย์ไม่จีรังและ
เข้าถึงได้งา่ ยขึ้น
(Pop music, สืบค้นเมือ่ 6 ต.ค. 64, https://en.wikipedia.org/wiki/Pop_music)
4
บทที่ 2
แนวคิด ทฤษฎี และเอกสารทีเ่ กี่ยวขอ้ ง
การจัดทำโครงงาน การนำเสนอบทเพลงสมัยนิยมโดยโปรแกรมดนตรี ในรายวิชา
โครงงานพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพ 1 รหัสวิชา 20306-5501 และวิชาฝึกประสบการณ์สมรรถนะ
วิชาชีพ 1 รหัสวิชา 20306-5001 ของนกั เรียนสาขาวิชาดนตรีสากล กลุ่มสาระวิชาชีพดนตรีสากล
และคีตศลิ ป์สากล ระดับประกาศนยี บตั รวิชาชีพชั้นปีที่ 3 วิทยาลยั นาฎศิลปเชียงใหม่ ภาคเรียนที่ 1
ปีการศึกษา 2564 ทางคณะผู้จัดทำได้ดำเนินการค้นคว้าแนวคิด ทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง
โดยแบ่งออกเป็น 7 หวั ข้อ ดังน้ี
2.1 ช่วงเสียงของเครื่องดนตรี (Range)
2.2 สัญลักษณต์ ่าง ๆ ของดนตรสี มัยนิยม (Music Term: Popular)
2.3 ประเภทวงดนตรี (Type of Band)
2.4 ทฤษฎีดนตรีสากล (Music Theory)
2.5 ประวตั ิดนตรี (Music History)
2.6 วรรณกรรมดนตรี (Music Literature)
2.7 โปรแกรมบันทึกโน้ตเพลง Sibelius (Sibelius Score Writer)
5
2.1 ช่วงเสียงของเครอ่ื งดนตรี (Range)
ช่วงเสียงของเครื่องดนตรี (Range) เป็นระยะห่างระหว่างระดับเสียงต่ำที่สุดไปจนถึงสูง
ที่สุด ที่เครื่องดนตรีชิ้นนั้นจะบรรเลงได้ ซึ่งช่วงเสียงของเครื่องดนตรีจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
ได้แก่ เครอ่ื งเปา่ ลมไม้ (Woodwind) เครื่องเปา่ ลมทองเหลือง (Brass wind)
2.1.1 เครือ่ งเปา่ ลมไม้ (Woodwind)
ฟลูท (Flute) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าลมไม้(Woodwind) ถือเป็นเครื่อง
ดนตรีชิ้นแรกๆที่ถือกำเนิดขึ้นมา โดยฟลูท (Flute) ที่เป่าตามแนวนอนพบครั้งแรกที่ประเทศจีนเมื่อ
900 ปีก่อนคริสต์ศักราช และแพร่กระจายไปยังยุโรปราวปี ค.ศ.1100 และฟลูทในช่วงปี ค.ศ.1700
นั้นจะผลิตขึ้นมาจากไม้และมีคีย์ (Key) เพียงแค่ 1-4 คีย์ จนถึงในศตวรรษที่ 19 ได้เพิ่มจำนวนจาก
4 คีย์เป็น 8 คีย์ จนถึงปี ค.ศ.1832 มีผู้ผลิตชาวเยอรมันชื่อ Theobald Boehm ได้คิดค้นระบบการ
วางนิ้วของฟลูทใหม่ และเปลี่ยนวัสดทุ ีใ่ ช้ผลิตจากไม้เปลี่ยนเป็นโลหะ ทำให้ฟลูทสามารถเรียนรู้ได้
ง่ายยิ่งขึ้นและมีเสียงที่สว่างมากขึ้น โดยในระบบเดียวกันนี้ฟลูทยังได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้กับ โอโบ
(Oboe) คลาริเน็ต (Clarinet) และแซกโซโฟน (Saxophone)
Range
C4 - D7
ภาพท่ี 2.1 ฟลูท (Flute)
ทม่ี า : https://th.yamaha.com/th/products/musical_instruments/winds/flutes/
6
คลาริเน็ต (Clarinet) คลาริเนต เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าลมไม้
(Woodwind) ที่พัฒนามาจากเครื่องดนตรีในสมัยกลางเรียกว่า Chalumeau คลาริเนตเป็นเครื่อง
ดนตรีที่มักทำจากไม้หรือพลาสติก ทำให้เกิดเสียงโดยใช้ลิ้นเดี่ยว (Single Reed) ซึ่งรัดติดกับปาก
เป่าเช่นเดียวกับแซกโซโฟน (Saxophone) ช่วงเสียง (Range) คลาริเนต (Bb) เริ่มตั้งแต่ D (เขียน
วา่ E แต่เล่นแลว้ ออกเสียง D เนือ่ งจากเป็นคลาริเนตบีแฟลต มีเสียงตำ่ กว่าที่เขียนไว้ 1 tone) เร่ือย
ขึ้นไปประมาณ 3 ½ คู่แปด คำว่า Clarinet มาจากภาษาอิตาเลียน คลาริน่า-Clarina แปลว่า แตร
ใส่คำวิเศษตามหลัง คือ - et แปลว่าเล็ก ๆ รวมกันเป็น แตรอันเล็ก คลาริเนตเป็นเครื่องดนตรี
ประเภทเครื่องเป่าลมไม้ ทรงกระบอกตรง ลำโพงบานออก และมีที่เป่าเป็นลิ้นเดี่ยว เล่นโดยใช้นิ้ว
ปิดเปิดรูและกดคีย์ต่าง ๆ เกิดเสียงโดยการเป่าลมผ่านช่องแคบๆ ให้เข้าไปภายในท่อซึ่งทำหน้าที่
เป็นตวั ขยายเสียงใหด้ ังข้ึน ลักษณะของเสียงทีเ่ กิดข้ึนจะแตกต่างกนั ตามขนาดของท่อ ความสั้นยาว
ของท่อ และความแรงของลมที่เป่าเข้าไปภายในท่อ ชนิดของคลาริเนตแบ่งออกเป็น 4 ชนิดได้แก่ อี
แฟลตคลาริเนต (Eb Clarinet) มีขนาดเล็กกว่าบีแฟลตคลาริเนต และมีระดับเสียงสูงกว่าบีแฟลต
คลาริเนตคู่ 5 เพอร์เฟค บีแฟล็ตคลาริเนต (Bb Clarinet) คลาริเนตในระดับเสียงบีแฟลตได้ถูกใช้
เป็นตัวแทนเมื่อมีการกล่าวถึงคลาริเน็ต อัลโตคลาริเนต (Alto Clarinet) ขนาดใหญ่และยาวกว่า
คลาริเนตอื่น ๆ ระดับเสียงต่ำกว่าบีแฟลตคลาริเนตอยู่คู่ 5 เพอร์เฟก ปากลำโพงทำด้วยโลหะโค้ง
งอย้อนขึ้นเหมือนแซกโซโฟน เบสคลาริเนต (Bass Clarinet) ใช้ระบบการวางนิ้วชุดเดียวกับ
คลาริเนตบีแฟลตทุกอย่าง แต่เวลาเล่นจะมีเสียงต่ำกว่าบีแฟลตคลาริเนตอยู่ 1 คู่แปด เหมาะที่จะ
นำไปใช้บรรเลงแนวทำนองในระดับเสียงต่ำ ลักษณะเด่นของเบสคลาริเนตอยู่ที่ข้อต่อ กำพวดจะ
เป็นรปู โค้งงอ ปากลำโพงทำดว้ ยโลหะ งอ ย้อนขึน้ มาคล้ายกับแซกโซโฟน
Range
E3 - C7
ภาพที่ 2.2 คลารเิ น็ต (Clarinet)
ทม่ี า : https://th.yamaha.com/th/products/musical_instruments/winds/clarinets/
7
แซกโซโฟน (Saxophone) แซกโซโฟนเป็นเคร่อื งดนตรีในตระกูลเคร่อื งลมไม้
(Woodwind) ใช้ล้นิ เดย่ี ว (Single Reed) เหมอื นของคลารเิ นต (Clarinet) แม้ว่าตวั เคร่อื งมกั จะทา
ด้วยโลหะแต่สุ้มเสียงก็กระเดียดมาทางเคร่ืองลมไม้ แซกโซโฟนจึงได้รับฉายาว่า "คลาริเนต
ทองเหลอื ง" แซกโซโฟนมลี กั ษณะก้ากง่ึ ระหว่างเครอ่ื งลมทองเหลอื ง (Brass Wind) และเคร่อื งลมไม้
มอี ายุน้อยเม่ือเทียบกับเคร่อื งดนตรีชนิดอ่ืน ๆ ประดิษฐ์เม่อื ค.ศ. 1840 ท่ีนครปารีส ประเทศ
ฝรงั่ เศสในปี ค.ศ. 1840 Antoine Joseph 1814 - 1894 ไดร้ บั การวา่ จา้ งจากหวั หน้าวงโยธวาทติ ให้
ผลติ เคร่อื งดนตรชี นิดใดกไ็ ด้ซง่ึ สามารถเล่นเสยี งให้ดงั เพอ่ื ใชใ้ นวงโยธวาทติ (Military Band) และ
ต้องการให้เคร่ืองดนตรีชนิดใหม่น้ีเป็นเคร่ืองลมไม้ เขาจึงนาเอาเคร่ืองดนตรีประเภทเคร่ือง
ทองเหลืองชนิดหน่ึงซ่ึงล้าสมัยแล้ว เรียกว่า แตรออพิคเลียด ( Ophicleide) มาถอดท่ีเป่ า
(Mouthpiece) อันเดิมออก แล้วเอาท่ีเป่ าของคลาริเนตมาใส่แทน จากนัน้ เขาได้แก้กลไกของ
กระเด่อื งต่าง ๆ และปรบั ปรุงจนสามารถใชง้ านได้ แซกโซโฟนจงึ ได้กาเนิดข้นึ มาเป็นช้นิ แรกของ
โลกในอดตี แซกโซโฟนมฉี ายาว่า คลารเิ นตทองเหลอื ง เพราะสามารถเล่นไดอ้ ย่างคลอ่ งแคล่ว ปราด
เปรยี วเหมอื นคลารเิ นต ปัจจุบนั แซกโซโฟนเป็นเครอ่ื งเป่าทม่ี บี ทบาทมากทงั้ ในวงโยธวาทติ วงแจ๊ส
(Jazz Band) วงคอมโบ (Combo Band) ตลอดจนวงดนตรสี มยั ใหม่ ตระกูลแซกโซโฟน (เรยี งลาดบั
เสยี งต่า-เสยี งสงู ) คอนทร่าเบสแซกฯ (Contrabass Saxophone) , เบสแซกฯ (Bass Saxophone) ,
บารโิ ทนแซกฯ (Baritone Saxophone) , เทนเนอรแ์ ซกฯ (Tenor Saxophone) , C เทนเนอร์แซก
(Tenor Saxophone in C) , อลั โตแ้ ซกฯ (Alto Saxophone) , F อลั โตแ้ ซก (Alto Saxophone in F)
, โซปราโน่แซกฯ (Soprano Saxophone) , C โซปราโน่แซกฯ (Soprano Saxophone in C) และ
โซปรานิโน่แซกฯ (Sopranino Saxophone) เสยี งของแซกโซโฟนคอื การผสมผสานเข้าด้วยกัน
ระหว่าง ซอเชลโล ป่ีคอร์อังแกลส์ (English horn) และป่ีคลาริเนท แซกโซโฟนจะเล่นกระซิบ
กระซาบ อ่อนหวานนุ่มนวล หรอื จะแผดใหแ้ สบโสตประสาทก็ทาได้ จงึ เหมาะสาหรบั ใชเ้ ป็นเคร่อื ง
ดนตรบี รรเลงประกอบการแสดงอย่างมาก
8
Range
Bb3 - F6
ภาพที่ 2.3 แซกโซโฟน (Saxophone)
ท่มี า : https://www.yamaha.com/en/musical_instrument_guide/saxophone/structure/
2.1.2 เครื่องเปา่ ลมทองเหลือง (Brass wind)
เฟรนชฮ์ อรน์ (French Horn) ฮอร์นเป็นเคร่อื งเป่าทองเหลอื ง (Hight Brass) ท่มี ี
ประวตั ศิ าสตรม์ าอย่างยาวนาน ก่อนทเ่ี คร่อื งดนตรชี นิดน้ีจะถูก พฒั นามาเป็นเคร่อื งดนตรที ่มี เี สยี ง
เป็นมาตรฐาน บรบิ ทของฮอรน์ เรมิ่ จากเป็นวฒั นธรรมร่วมทส่ี าคญั ของโลก เพราะฮอรน์ ในยุคแรกก็
คอื เขาสตั วท์ ถ่ี ูกตดั นามาเป่าเป็นสว่ นหน่ึงของพธิ กี รรมทางศาสนา พบไดท้ วั่ โลกไม่ว่า จะเป็นยุโรป
ตะวนั ออกกลาง เอเชีย เป็นต้น ก่อนท่จี ะววิ ฒั นาการจนเป็นเคร่อื งดนตรที ่ขี าดไม่ได้ใน วงดนตรี
ต่างๆเช่นวงออร์เคสตร้า (Orchestra) วงซิมโฟนิคแบนด์ (Symphonic Band) หรอื วงแชมเบอร์
(Chamber) ฮอรน์ ไดร้ บั การพฒั นาเป็นฮอรน์ ชนดิ ตา่ ง ๆ ออกมา เชน่ เนเชอรลั ฮอรน์ (Natural horn)
เวียนนาฮอร์น (Vienna horn) เฟรนช์ฮอร์น (French horn) หรือ เยอรมนั ฮอร์น (German horn)
เป็นตน้ โดยการเล่นในวงซมิ โฟนิคแบนด์ฮอรน์ ทม่ี กั จะนิยมใช้บรรเลงคอื เฟรนช์ฮอรน์ ซ่งึ ในปัจจุบนั
และ ช่วงเสยี งของเฟรนช์ฮอร์น เฟรนชฮอร์นเป็นเคร่อื งเป่าในวงซมิ โฟนิคแบนด์ท่มี คี วามซบั ซ้อน
มากทส่ี ุดในบรรดาเคร่อื งเป่า ทองเหลอื ง มชี ว่ งเสยี งทค่ี ่อนขา้ งกวา้ ง มลี กั ษณะทอ่ ทย่ี าวและคดเคย้ี ว
ไปมา ประกอบกบั การมเี ทคนิคการเล่น ท่คี ่อนขา้ งเป็นเอกลกั ษณ์ หน้าท่ภี ายในวงจงึ มตี งั้ แต่การ
เป็นทานองหลักไปจนถึงแนวทานองเบส (Bass) เฟรนช์ฮอร์นสร้างเสียงโดยการใช้กาพวด
(Mouthpiece) เปล่ยี นเสยี งโดยใช้รมิ ฝีปาก ลูกสูบแบบหมุน (Rotary Valve) และมอื เป็นตวั ช่วย
แมว้ ่าจะมกี ารประดษิ ฐ์ฮอรน์ แบบใชล้ ูกสูบแบบพสิ ตนั (Piston) ออกมา แต่ลูกสบู แบบหมุนกย็ งั เป็น
ทน่ี ิยมกว่าจนถงึ ปัจจบุ นั
9
Range
F#2 - C6
ภาพที่ 2.4 เฟรนชฮ์ อรน์ (French Horn)
ทม่ี า : https://th.yamaha.com/th/products/musical_instruments/winds/frenchhorns/
ทรัมเป็ต (Trumpet) เป็นเครื่องเป่าทองเหลืองที่จัดอยู่ในประเภทเครื่องเป่าทองเหลือง
เสียงสูง (Hight Brass) ใช้กำพรวด (Mouthpiece) สำหรับเป่ามีลักษณะเป็นท่อดลหะยาวบาย ตรง
ปลายมลี กั ษณะคล้ายถ้วย ท่อลมทรัมเป็ตกลวงยาวเท่ากนั ปลายจะบานออกเป็นลำโพง ทรมั เป็ตมี
ลูกสบู (Valve) 3 สบู สำหรบั เปลี่ยนความสั้นยาวของทอ่ ลมเพื่อเปลี่ยนระดับเสียงดนตรีที่เกิดขึ้นแต่
ละนิ้วมีเสียงที่แตกต่างกันไป เป่าโดยเม้มริมฝีปาก แล้วทำให้ริมฝีปากสั่นสะเทือนในกำพวด
(Mouthpiece) เสียงของทรัมเป็ต (Trumpet) จะเป็นเครื่องเป่าเสียงที่มีพลังเสียงพุ่งและเสียงสูง
ทรัมเป็ตมีการพัฒนาการมาหลานรูปแบบ มีรูปทรงต่าง ๆ ที่แตกต่างกันออกไป เครื่องดนตรีที่มี
ความสัมพันธ์กับการพัฒนาการของทรัมเป็ตคือ Serpent และ Kent Bugle ในยุคกลาง (Middle
Age) ทรัมเป็ตจะถูกนำมาใช้ในทางของทหารเท่านั้น เป่าเพื่อส่งสัญญาณต่าง ๆ ในยุคต่อมา
ทรัมเป็ตได้นำมาใช้ในวงออเคสตร้า (Symphony Orchestra) บรรยากาศของการแสดงออกถึงเสียง
ที่อึกทึก เสียงดัง หรือการประโคม แต่สง่างาม ทรัมเป็ตเป็นเครื่องดนตรีที่มีประวัติยาวนานค้นพบ
ครั้งแรกที่ประเทศเปรู (Peru) เป็นทรัมเป็ตที่สร้างขึ้นมาจากโคลนคาดว่าใช้สำหรับทางทหารและ
การล่าสัตว์บุคคลที่ถือว่าเป็นผู้ออกแบบทรัมเปต็ ที่มีการพัฒนาจนถึงปัจจุบัน คือ Johann Wilhelm
Haas (1649-1723) เป็นชาวเยอรมัน (German) ทรัมเป็ตในปัจจุบันที่ถูกนำมาใช้ ส่วนมากจะอยู่ใน
ระดับเสียงบี-แฟลต (Bb Major Scale) เครื่องดนตรีที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับ ทรัมเป็ตมีหลายชนิด
เช่นทรอมโบน (Trombone) เฟรนช์ฮอร์น (French Horn) คอร์เน็ต (Cornet) ทูบา (Tuba) ยูโฟเนียม
(Euphonium) ซูซาโฟน (Sousaphone) และฟลเู กิลฮอร์น (Flugelhorn)
10
Range
F#3 - D6
ภาพที่ 2.5 ทรัมเป็ต (Trumpet)
ทม่ี า : https://th.yamaha.com/th/products/musical_instruments/winds/trumpets/
ทรอมโบน (Trombone) เป็นเครื่องเป่าลมทองเหลืองเสียงต่ำ (Low Brass) ที่มีลักษณะ
แตกต่างจาก เครื่องดนตรีอื่นในกลุ่มเดียวกัน ซึ่งในขณะที่เครื่องดนตรีอื่นใช้ลูกสูบในการเปลี่ยน
เสียง ทรอมโบน จะใช้วิธีการเลื่อนท่อให้มีความสั้นยาวพอที่จะสร้างเสียงที่ต้องการได้ ปรากฏ
หลักฐานครั้งแรกในทวีปยุโรป ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 เป็นหลักฐานภาพวาดและรูปปั้นนูนต่ำของยุค
โบราณ ทรอมโบนได้รบั การพฒั นา และเริ่มใชบ้ รรเลงในวงลักษณะต่างๆ ในช่วงศตวรรษที่ 18 เช่น
วงออร์เคสตรา (Orchestra) วงโยธวาทิต (Military Band) หรือวงดนตรีสำหรับชาวบ้านทั่วไป
(Oom-pah bands)
Range
E2 – F5
ภาพที่ 2.6 ทรอมโบน (Trombone)
ท่มี า : https://th.yamaha.com/th/products/musical_instruments/winds/trombones/
11
ทูบา (Tuba) เป็นเครื่องเป่าทองเหลือง (Low Brass) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม
เครื่องดนตรีชนิดเดียวกนั รากฐานและที่มา มีความคล้ายคลึงกับยโู ฟเนียม แต่จะเห็นได้ว่าบทบาท
ส่วนใหญ่ของทูบา ซึ่งเป็นเครื่องเป่าทองเหลืองเสียงต่ำจะอยู่ที่การดำเนินทานองแนวเบส (Bass
Line) เพื่อสร้างฐานที่มั่นคงแก่บทเพลงที่บรรเลงโดยวงซิมโฟนิค แบนด์ (Symphonic Band) ระบบ
ลูกสูบของทูบาเป็นที่นิยมทั้งสองระบบคือ ระบบลูกสูบกด (Piston Valve) และระบบลูกสูบหมุน
(Rotary Valve) กระจายใช้ตามความนิยมของแต่ละพื้นที่ทั่วโลก แรกเริ่มทูบาถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ
แทนที่โอฟิไคล (Ophicleide) ในศตวรรษที่ 19 สำหรับบรรเลงในวงออเคสตร้า ด้วยเสียงที่ดังกว่า
และสามารถเทียบเสียงได้ดีกว่าโอฟิไคล จึงได้รับความนิยมมากกว่าหลังจากนั้นจึงถูกนำมาลน่ กบั
วงประเภทอื่น ๆ เช่นวงโยธวาทิต (Military Band) วงบราสแบนด์ (Brass Band) หรือ วงแจ๊ส (Jazz
Band) เป็นต้น บทบาทของทูบาในวงซิมโฟนิค แบนด์นั้นถือว่าสำคัญมาก เพราะมีหน้าที่โอบอุ้มวง
ท้ังหมดอยู่ ตลอดเวลา น้อยคร้ังที่จะใช้ทบู าในการดำเนินทำนองหลัก แตท่ ุกคร้ังทีใ่ ชท้ บู าในการเดิน
ทำนองหลัก จะสร้างสสี นั ให้บทเพลงที่แตกต่างออกไป เมื่อเทียบกบั เครื่องดนตรีประเภทเคร่ืองเป่า
ทองเหลอื ง เสียงสงู (High Brass) อืน่ ๆ ทูบาจงึ มสิ ำคัญแตเ่ พียงเป็นฐานใหว้ ง แต่เป็นแกนสำคัญให้
วงซิมโฟนิค แบนด์ บรรเลงเพลงได้อย่างสมบูรณ์ ทูบาเป็นเครื่องที่ถูกกำหนดคีย์ ( Key) ไว้
เช่นเดียวกับเครื่องเป่าทองเหลืองอื่น ๆ มักเลือก ใช้งานตามบทเพลงไป คีย์ต่าง ๆ ของทูบา เช่น
Tuba in Bb, Tuba in C หรอื Tuba in Eb เป็นต้น
Range
D1 - F4
ภาพที่ 2.7 ทบู า (Tuba)
ท่มี า : https://th.yamaha.com/th/products/musical_instruments/winds/tubas/
12
2.2 สญั ลกั ษณ์ของคอรด์ ในดนตรีสมยั นิยม (Music Term: Popular)
สัญลักษณ์ของคอร์ดในดนตรีสมัยนิยม เป็นการบ่งบอกลักษณะของคอร์ดต่าง ๆ ที่ใช้ใน
ดนตรี ดังตารางตวั อยา่ ง
สัญลกั ษณ์ รูปแบบคอร์ด ตัวอยา่ ง
คอร์ดทีม่ ีเลขเจด็ Dominant 7th “C7”
คอร์ดที่มีตวั เอม็ พิมพใ์ หญ่ (M) Major 7th “CM”, “CM7”
คอรด์ ทีม่ ีตวั เอม็ พิมพเ์ ลก็ (m) Major 7th “CM”, “CM7”
คอรท์ ี่เปน็ รปู ลบ (-) Minor 7th “C-“, “C-7”
คอรด์ ทีเ่ ปน็ รปู สามเหลี่ยม (△) Major 7th “C△”
คอร์ดที่เปน็ รปู กลมมุมขวาบน (o) Diminished 7th “C°”
คอรด์ ที่เปน็ รูปวงกลมที่มีเส้นทแยงระหวา่ งกลาง (ø) Half-Diminished “Cø”
คอรด์ ทีเ่ ปน็ รูปบวก (+) Augmented Chord “C+”
คอร์ดที่มีคำวา่ ดิม (dim) Diminished Chord “C dim”
คอร์ดทีม่ ีคำว่าซัส (sus) Suspended Chord “C sus”, “C sus4”
Half-Diminished
คอรด์ ทบเจ็ดไมเนอรล์ ดตัวที่ 5 ลงครึง่ เสียง (m7♭5) “Cm7♭5”
คอรด์ ที่ใสเ่ ลขเสรมิ Dominanwith extensions
“C7♭9”, “C7♯11”, “C7♭9♭13”
ตารางท่ี 2.1 Lead Sheet Chord Symbols ของ Josh Walsh
ทม่ี า: https://jazz-library.com/articles/chord-symbols
13
2.3 ประเภทของวงดนตรี (Type of Band)
2.3.1 วงแชมเบอรม์ ิวสิก (Chamber Music)
วงดนตรีประเภทแชมเบอร์มิวสิกจัดเป็นการผสมวงดนตรีของตะวันตกอีกประเภท
หนึ่ง ซึ่งมีความเป็นมายาวนาน นับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 14 หรือยุคกลาง (Middle Age) เป็นต้นมา
ได้มีการผสมวงดนตรีซึ่งพบในบทเพลงโมเต็ท (Motet) และแมดริกัล (Madrigal) ซึ่งเป็นบทเพลงขับ
ร้อง นับตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 14 จนถึงต้นศตวรรษที่ 16 เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายและ
เครื่องลมได้เข้ามาบรรเลงร่วมกับการขับร้อง ในสมัยแรกๆ วงดนตรีประเภทนี้เหมาะสำหรับการ
บรรเลงในบ้าน คฤหาสนข์ องขุนนาง หรอื หอ้ งทีจ่ ผุ ู้ฟังได้จำนวนน้อย ซึง่ ผู้จดั งานมีแขกพอประมาณ
ต่อมาวงแชมเบอร์มิวสิกเล่นในห้องโถงที่มีขนาดใหญ่ และในที่สุดต้องเล่นในคอนเสิร์ตฮอลล์
(Concert Hall) หรือสังคีตสถาน อย่างเช่นศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น การฟังดนตรี
ประเภทแชมเบอร์มิวสิกต้องมีความรู้ความเข้าใจเช่นเดียวกับการฟังดนตรีคลาสสิกทั่ว ๆ ไป
เนื่องจากดนตรีประเภทนี้ใช้ผู้เล่นเพียงไม่กีค่ น ฉะนั้นเสียงที่ออกมาจะยิ่งใหญ่มโหฬารหรือความมี
พลัง อย่างวงออร์เคสตราก็ทำไม่ได้ ลักษณะเด่นของวงดนตรีประเภทนี้ก็คือเสียงดนตรีที่แท้จริง
สำหรบั ด้านคุณภาพของการเล่นน้ันผู้เล่นต้องใช้ความสามารถอย่างเตม็ ทีผ่ ู้ใดเล่นผิดพลาดจะได้ยิน
อย่างเด่นชัด ความถูกต้องความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของดนตรีประเภทนี้
การฟงั เพือ่ ให้ได้รสชาติที่สมบูรณ์ของแชมเบอร์มิวสิกน้ันไม่ได้อย่แู ตเ่ พียงความต้ังอกตั้งใจฟังอย่าง
ไตรต่ รอง แตย่ ังตอ้ งอาศัยบรรยากาศที่เอื้อตอ่ การฟังอกี ด้วย ซึ่งการผสมวงดนตรมี ีต้ังแต่กลุ่มละ 2
คน ไปจนถึง 9 คนหรอื มากกว่านน้ั ในแตล่ ะกลุ่มมีชื่อเรยี กเฉพาะแตกต่างกนั ตามจำนวนผบู้ รรเลง
กลมุ่ ละ 2 คน เรียกวา่ ดเู อต (Duet) หรอื ดูโอ (Duo) มีผู้แสดงจำนวน 2 คน เชน่ ผู้
เลน่ ไวโอลิน 1 คน ผู้เลน่ เปียโน 1 คน
กลุ่มละ 3 คน เรียกว่า ทรีโอ ( trio ) มีผู้แสดงจำนวน 3 คน เช่น ผู้เล่นไวโอลิน 1
คน ฟลู้ต 1 คน ฮารพ์ 1 คน
กลุม่ ละ 4 คน เรียกว่า ควอเต็ต ( quartet ) มีผู้แสดงจำนวน 4 คน เช่น เคร่ืองสาย
4 ชนิ้ คือผู้เลน่ ไวโอลิน 2 คน วิโอลา 1 คน และ เชลโล 1 คน
กลุ่มละ 5 คน เรียกว่า ควินเต็ต ( quintet ) มีผู้แสดงจำนวน 5 คน เช่น วงเครื่อง
เป่าทองเหลอื ง 5 ชิน้ คือ ผเู้ ลน่ ทรัมเป็ต 2 คน ฮอรน์ 1 คน ทรอมโบน 1 คน ทบู า 1 คน
กลุ่มละ 6 คน เรียกว่า เซ็กเต็ต ( sextet ) มีผู้แสดงจำนวน 6 คน เช่น ผู้เล่น
ทรัมเป็ต 2 คน เฟรนช์ฮอรน์ 1 คน ทบู า 1 คน ยูโฟนเนียม 1 คน ทรอมโบน 1 คน
14
กลมุ่ ละ 7 คน เรียกวา่ เซ็ปเต็ต ( septet ) มีผู้แสดงจำนวน 7 คน เช่น ผเู้ ลน่ ไวโอลิน
2 คน เฟรนชฮ์ อรน์ 1 คน คลาริเน็ต 1 คน บาสซูน 1 คน เชลโล 1 คน และ ดับเบิลเบส 1 คน
กลุ่มละ 8 คน เรียกวา่ ออ๊ กเต็ต ( octet ) มีผู้แสดงจำนวน 8 คน เช่น ผเู้ ลน่ ไวโอลิน
4 คน วิโอลา 2 คน เชลโล 2 คน
กลุ่มละ 9 คน เรียกว่า โนเน็ต ( nonet ) มีผู้แสดงจำนวน 9 คน ประกอบด้วย ผู้
เล่นไวโอลิน วิโอลา ฟลทุ โอโบ คลาริเน็ต บาสซนู ฮอรน์ เชลโล ดบั เบิลเบส รวมเปน็ 9 คน
2.3.2 วงออร์เคสตรา (Orchestra)
วงออร์เคสตรา หรือ วงดุริยางค์สากล เป็นวงดนตรีขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องดนตรี
และผู้บรรเลงจำนวนมาก บทเพลงที่ใช้บรรเลงมีหลายประเภท เช่น ซิมโฟนี คอนแชร์โต โอเวอร์
เจอร์ เพลงบรรยายเรื่องราวต่างๆ บรรเลงประกอบการแสดงละครโอเปร่า บรรเลงประกอบการ
แสดงระบำปลายเท้า วงออร์เคสตรา หรือ วงดุริยางค์สากล ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภท
เครือ่ งสาย รวมกับเครือ่ งลมไม้ เครื่องลมทองเหลือง และเครื่องตีกระทบ ซึ่งมีประวัติความเป็นมา
ที่ยาวนานตั้งแต่สมัยยุคบาโรค (ศตวรรษที่ 16) ในการศึกษาวงออร์เคสตราจำเป็นต้องเข้าใจถึง
องค์ประกอบดังนี้ วงออร์เคสตรา เป็นภาษาเยอรมัน หมายถึง สถานที่เต้นรำ เป็นส่วนหน้าเวที
ของโรงละครสมัยกรีกโบราณในยุคกลาง ความหมายได้เปลี่ยนเป็นเวทีที่ใช้แสดงเท่านั้น และใน
กลางศตวรรษที่ 18 วงออร์เคสตรา หมายถึง การแสดงของวงดนตรี ซึ่งใช้มาจนปจั จบุ ัน อีกนัยหนึ่ง
กย็ ังหมายถึง พืน้ ที่ระดบั ตำ่ ที่เปน็ ทีน่ ง่ั อยหู่ น้าเวที ละคร และการแสดงคอนเสิรต์
2.3.3 วงป๊อปปลู ามิวสิค (Popular Music)
ใช้บรรเลงตามงานรื่นเริงทั่วไปประกอบด้วย เครื่องดนตรีกลุ่มแซกโซโฟน, กลุ่ม
เครื่องทองเหลืองและกลุ่มประกอบจังหวะวงป๊อปปูลามิวสิค ส่วนใหญ่มี 3 ขนาด 1.วงขนาดเล็ก
(วง 4x4) มีเครื่องดนตรี 12 ชิ้น ดังนี้ กลุ่มแซ็ก ประกอบด้วย อัลโตแซ็ก 1 คัน เทเนอร์แซ็ก 2
คันบาริโทน แซ็ก 1 คัน กลุม่ ทองเหลอื ง ประกอบด้วย ทรมั เปต็ 3 คัน ทรอมโบน 1 คัน กลุ่มจงั หวะ
ประกอบด้วย เปียโน 1 หลงั กีตารค์ อร์ด 1 ตวั เบส 1 ตัว กลองชดุ 1 ชดุ ( วง 4 x 4 หมายถึง ชุด
แซก 4 ชุด ทองเหลือง 4 ชุดตามลำดับ ส่วนเครื่องประกอบจังหวะ 4 ละไว้ในฐานที่เข้าใจ) 2.วง
ขนาดกลาง (5x5) มีเครื่องดนตรี 14 ชิ้น คือ เพิ่มอัลโตแซ็ก และ ทรอมโบน 3.วงขนาดใหญ่ (Big
Band )(5 x 7) มี 16 ชิน้ เพิม่ ทรมั เปต็ และทรอมโบนอย่างละตัว
15
2.3.4 วงคอมโบ (Combo)
วงคอมโบ คำว่า Combo เป็นคำสั้นของคำว่า Combination ซึ่งแปลว่า การรวมกัน
เป็นวงดนตรีขนาดเล็ก ใช้สำหรับแสดงในสถานที่ในพื้นที่แคบๆ ผสมวงตามความเหมาะสม มี
จำนวนเครื่องดนตรีไม่แน่นอน แล้วแต่ความสะดวก แต่หลักๆ มักประกอบด้วย ทรัมเป็ต แซก
โซโฟน เปียโน ดับเบิลเบส หรือกีตาร์ เบสไฟฟ้า กลองชุด และเครื่องกระทบทำจังหวะอื่นๆ เช่น
กลอง ฉิ่ง หรือแทมบูรีน กลองบองโก กลองทอมบา เป็นต้น และอาจเติมทรอมโบน กีต้าร์ไฟฟ้า
เล่นคอร์ด หรือจะใช้คีย์บอร์ดไฟฟ้าแทนเปียโนก็ได้ วงคอมโบนิยมใช้บรรเลงเพลงแจ๊ส บลู ป็อปปู
ลา่ ร์ ท้ังเพลงบรรเลง และเพลงขับร้องเพื่อการฟงั และเพือ่ ประกอบการเต้นรำ ดังน้ันวงนี้จึงเป็นวง
ที่มีขนาดไม่ใหญ่นักเหมาะสำหรับเล่นตามงานรื่นเริงทั่วๆ ไป นอกจากนั้นยังเหมาะสำหรับเพลง
ประเภทไลทม์ ิวสคิ อีกด้วย
2.3.5 วงชาโดว์แบนด์ (Shadow Band)
เป็นวงดนตรีขนาดเล็กๆ เคลื่อนย้ายสะดวก ประกอบด้วยเครื่องดนตรี กีต้าร์ลีด
กีต้าร์คอร์ด กีต้าร์เบส กลองชุด แบ่งวิวัฒนาการออกเป็น 2 สมัย ได้แก่ วงชาโดว์แนวบูล คันทรี
โฟล์ค วงชาโดว์แนวร็อคเป็นต้นฉบับให้กับร็อครุ่นหลังถึงปัจจุบัน บรรพบุรุษร็อคนี้เรียกว่า
คลาสสิคร็อค มาถึงกำเนิดสตริงสัญชาติไทย (พ.ศ. 2503-2515) วงชาโดว์ ในระยะหลังได้นำ
ออร์แกนและพวกเครื่องเป่า เช่น แซ็กโซโฟน ทรัมเป็ตทรอมโบนเข้ามาผสม และบางทีอาจมี
ไวโอลินผสมด้วย เพลงของพวกนี้ส่วนใหญ่จะมีจังหวะเร่าร้อน ซึ่งได้รับความนิยมมากในหมู่วัยรนุ่
โดยเฉพาะเพลงประเภท อันเดอร์กราว
2.3.6 วงแจ๊ส (Jazz Band)
วงดนตรีแจ๊สหรือตระกูลแจ๊ส เป็นวงดนตรีขนาดเล็ก เกิดจากพวกทาสชาวนิโกร
เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมือง นิวออร์ลีน รัฐโอไฮโอ แถบฝั่งแม่น้ำมิสซิสซิปปีประเทศสหรัฐอเมริกา
หลังจากที่พวกเขาเหล่านั้ได้ถูกใช้งานเยี่ยงทาส ชาวผิวดำต้องทำงานหนักและถูกกดขี่ข่มเหงจาก
ชาวผิวขาวอย่างหนัก เมื่อมีเวลาว่างจากการทำงานก็มารวมกลุ่มกันร้องรำทำเพลง เพื่อให้หาย
เหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน เป็นการผ่อนคลายอารมณ์ ใช้เครื่องดนตรีง่ายๆ ประเภทเครื่องเป่า
เป็นหลัก
16
2.3.7 วงโยธวาทติ (Military Band)
วงโยธวาทิต เป็นวงดนตรีสำหรับทหาร มีจุดประสงค์ในการใช้งาน คือ การร้อง
เพลงซอยเท้าเข้าสู่สนามรบของทหาร บทบรรเลงส่วนใหญ่จะเป็นเพลงมาร์ช (March) หรือใช้
ประกอบการสวนสนามของทหาร เพื่อปลุกใจในยามสงคราม หรือประกอบพิธีต่างๆ ของทหาร
โดยเฉพาะ มผี บู้ รรเลงจำนวนมาก มีเครอ่ื งดนตรจี ำพวกแตรทรัมเปต็ (Trumpet) เปน็ เครื่องนำ และ
สามารถบรรเลงได้ในหลายรูปแบบ มีทั้งการเดินแถว แปรแถว การนั่งบรรเลง ในบางครั้งก็จะนำ
เครื่องดนตรีแปลกๆ มาบรรเลงร่วม เพื่อให้บทเพลงมีความแปลกใหม่ และเพื่อความเหมาะสมกับ
บทเพลงที่ใช้บรรเลง
2.3.8 แตรวง (Brass Band)
แตรวง เป็นเครื่องดนตรีที่อยู่ในวงดนตรีที่ผสมด้วยเครื่องดนตรี (กลุ่มเครื่อง
ทองเหลือง,กลุ่มเครื่องกระทบ) ชนิดต่างๆ เพียงสองตระกูลเท่านั้น วงดนตรีในลักษณะนี้เหมาะ
สำหรับใช้บรรเลงนำในการเดินแถวในทุกสภาพท้องถิ่น เพราะแตรเป็นเครื่องดนตรีที่สร้างขึ้นด้วย
โลหะ และไม่มีส่วนประกอบที่กระจุกกระจิกเหมือนเครื่องดนตรีอื่นๆ ทนต่อการโยกย้ายหรือหอบ
ห้ิวไปได้โดยสะดวก ผรู้ ิเรม่ิ นำเครื่องเป่าลมทองเหลอื งมารวมเป็นวงคือ กลุม่ ชาวเหมืองในเมืองเฮย์
ด็อค แอปเปิลตัน ประเทศอังกฤษ ใน ค.ศ.1894 โดยใช้บรรเลงในพิธีแต่งงานนำความคักคึกมาสู่
ครอบครัวและชุมชน ต่อมาแตรวงพัฒนาไปบรรเลงประกอบการเดินแถวทหาร การสวนสนาม พิธี
แห่ รวมถึงงานกีฬา ประกอบด้วย 2 กล่มุ คอื กลมุ่ เครื่องทองเหลอื ง (Brass Instruments)
2.4 ทฤษฎีดนตรีสากล (Music Theory)
ทฤษฎีดนตรีสากล เป็นเรื่องของการทำความเข้าใจโครงสร้าง และความเป็นไปได้
ของดนตรี โดยตั้งอย่บู นพืน้ ฐานของหลายองค์ประกอบ เหมอื นกันการเรียนภาษาต่างๆ ที่มีการฝึก
ทั้ง ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน (โสตทักษะ-ปฏิบัติเครื่องดนตรี-การอ่านโน้ต-การบันทึกโน้ต) โดยที่มี
ส่วนของหลักการใช้และไวยากรณ์ต่างๆ เพื่อเข้าใจโครงสร้างของดนตรี ผ่านทาง ทฤษฎีดนตรี
คณะผู้จัดทำได้นำหลักการทฤษฎีดนตรีสากลมาใช้ในการเรียบเรียงเพลง (Arrange) ทั้งหมด
9 เรื่อง ได้แก่ บันไดเสียง (Scale) เครื่องหมายกำหนดจังหวะ (Time Signature) ทรัยแอด (Triad)
คอร์ด (Chord) โน้ตนอกคอร์ด (Non Chord Tone) โน้ตประดับ (Ornament) ท่อนจบ (Cadence)
17
และรูปแบบ (Forms) โดยอ้างอิงจาก ณัชชา พันธุ์เจริญ, ทฤษฎีดนตรี, ครั้งที่ 16, กรุงเพทฯ,
สำนักพิมพ์เกศกะรตั , 2563
2.4.1 บันไดเสียง (Scale)
บนั ไดเสียง (Scale) มาจากภาษาอติ าลีว่า Scala แปลวา่ ข้ันบนั ได ดงั นนั้ บนั ไดเสียง
จงึ ประกอบไปด้วยโน้ต 5-12 ตัวทีเ่ รยี งกันตามลำดับจากเสียงต่ำไปสูงหรอื จากสูงไปต่ำ บนั ไดเสียง
ที่เป็นที่นิยมใช้ในดนตรีตะวันตกมี 2 ประเภท 1.บันไดเสียงไดอาโทนิค (Diatonic Scale) 2.บันได
เสียงโครมาติก (Chromatic Scale) ซึ่งมีความแตกต่างกัน ดงั น้ี
บันไดเสียงไดอาโทนิก (Diatonic Scale) เป็นบันไดเสียงที่ประกอบ
ไปด้วยโน้ต 7 ตัวเรียงกันตามลำดบั ไมซ่ ้ำตัวอักษร C D E F G A B โดยจะมีโครงสร้างที่ประกอบไป
ด้วยระยะห่าง 5 Whole Step และ 2 Half Step ในบนั ไดเสียงไดอาโทนิคจะประกอบไปด้วยกนั อยู่ 2
ชนิด ได้แก่ บันไดเสียงเมเจอร์ (Major Scale) และบันไดเสียงไมเนอร์ (minor Scale) ทั้งสองมี
ความสำคญั อย่างมากในดนตรตี ะวันตกต้ังแตก่ ่อนคริสตส์ ตวรรษที่ 17 มาจนถึงปจั จุบนั
บันไดเสียงเมเจอร์ (Major Scale) ประกอบไปด้วยดน้ต 7 ตัวมี
5 Whole Step และ 2 Half Step มีรูปแบบช่วงห่างของเสียง T-T-S-T-T-T-S เช่น C-D-E-F-G-
A-B-C เปน็ ตวั อยา่ งของ บนั ไดเสียง C เมเจอร์
ภาพท่ี 2.8 ชว่ งเสียงของบันไดเสียง C เมเจอร์
ทม่ี า : https://chordsmelody.com
18
บันไดเสียงไมเนอร์ (minor Scale) จากบันไดเสียงเมเจอร์ให้ลดลงมา 1
เสียงเต็มและ 1 ครึ่งเสียง ( 3 ครึ่งเสียง) จึงจะได้บันไดเสียงไมเนอร์ นอกจากนี้ บันไดเสียงไมเนอร์
ยังมีอีก 3 ชนิด บันไดเสียงไมเนอร์แบบเนเชอรัล (Natural minor scale) บันไดเสียงไมเนอร์
แบบฮาโมนิก (Harmonic minor scale) และบันไดเสียงไมเนอร์แบบเมโลดิก (Melodic minor scale)
บันไดเสียงไมเนอร์แบบเนเชอรัล (Natural minor scale) จะมีโครงสร้างตัวโน้ตเหมือนกับบันไดเสียง
เมเจอรแ์ ต่เริม่ จากตัวที่หกของบันไดเสียงเมเจอร์ มีรปู แบบช่วงหา่ งของเสียง T-S-T-T-S-T-T เช่น
A-B-C-D-E-F-G-A เป็นตวั อยา่ งของ บนั ไดเสียง A ไมเนอรแ์ บบเนเชอรัล
ภาพที่ 2.9 บนั ไดเสียง A ไมเนอร์แบบเนเชอรัล
ท่มี า : https://musictheorysite.wordpress.com
บันไดเสียงไมเนอร์แบบฮาโมนิก (Harmonic minor scale) โครงสร้างคล้าย
กับบันไดเสียงไมเนอร์แบบเนเชอรัลแต่ปรับโน้ตตัวที่ 7 สูงขึ้นครึ่งเสียง เช่น บันไดเสียง A ไมเนอร์
แบบฮาโมนิก
ภาพที่ 2.10 บันไดเสียง A ไมเนอร์แบบฮาโมนิก
ท่มี า : https://musictheorysite.wordpress.com
บันไดเสียงไมเนอร์แบบเมโลดิก (minor scale) โครงสร้างคล้ายกับบันไดเสียง
ไมเนอรแ์ บบเนเชอรัลแตป่ รับโน้ตตวั ที่ 6 และตัวที่ 7 สูงข้ึนครง่ึ เสียงตอนขาขึ้น และปรับโน้ตตัวที่ 6
และตัวที่ 7 ตำ่ ลงครึ่งเสียงตอนขาลง เช่น บันไดเสียง A ไมเนอร์แบบเมโลดิก
19
ภาพที่ 2.11 บันไดเสียง A ไมเนอร์แบบเมโลดิก
ทม่ี า : https://musictheorysite.wordpress.com
บันไดเสียงโครมาติก (Chromatic scale) หมายถึงครึ่งเสียง บันไดเสียงโคร
มาติกประกอบด้วยโน้ต 12 ตัว เรียงตามลำดับทีละครึ่งเสียง การเรียกชื่อตัวโน้ตในบันไดเสียงโคร
มาติกใช้ตัวอักษรซ้ำกัน บันไดเสียงโครมาติกขาขึ้นจะใช้เครื่องหมายแปลงเสียง (Accidental) เป็น
ชารป์ และขาลงใชเ้ ครือ่ งหมายเป็นแฟลต ดังภาพ
ภาพที่ 2.12 บันไดเสียงโครมาติกขาขนึ้ และขาลง
2.4.2 เครื่องหมายกำหนดจงั หวะ (Time Signature)
เครื่องหมายกำหนดจังหวะ (Time Signature) ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ เลขตัวบน
และเลขตัวล่าง วางซ้อนกนั อยู่ในบรรทดั ห้าเส้นหลงั กุญแจประจำหลัก โดยไม่มเี ส้นขีดค่ันตรงกลาง
(ภาพที่ 2.16) เครื่องหมายกำหนดจังหวะในคำบรรยายที่เป็นตัวหนังสือ จะใช้ / คั้นระหว่างตัวเลข
เพือ่ ความสะดวกในการพิมพ์ เชน่ 4/4 อา่ นวา่ อตั ราจงั หวะสี่สี่ จะไม่อา่ นเครื่องหมายขีดค่ัน
20
ภาพที่ 2.13 อันตราจังหวะ 4/4 และ 3/4
ทม่ี า : https://www.lokehoon.com
เลขตัวบน แสดงจำนวนจังหวะใน 1 ห้อง (Bar) โดยลักษระของดนตรีจะแบ่งเป็น ห้อง ๆ
ในแต่ละเพลงจะมีความยาวกี่ห้องก็ได้ ถ้าเลขตัวบนเป็น 2 หมายความว่าในแต่ละห้องจะมี 2
จังหวะ ถ้าเลขตวั บนเปน็ 3 หมายความวา่ ในแตล่ ะหอ้ งจะมี 3 จงั หวะ
เลขตัวล่าง แสดงค่าตัวโน้ตและค่าตัวหยุดโดยเชื่อมโยงกับชื่อภาษาอังกฤษของตัวโน้ตใน
ระบบอเมริกันซึ่งเป็นตัวกำหนดว่ โน้ตชนิดใดมีค่าเท่ากับ 1 จังหวะ เช่น ถ้าเลขตัวล่างเป็น 4
หมายความว่า โน้ตตัวดำหรือ Quartet note (Quartet แปลว่า สี่) มีค่าเท่ากับ 1 จังหวะ ถ้าเลขตัว
ล่างเป็น 8 หมายความว่า โน้ตตัวเขบ็ตหนึ่งชั้นหรือ Eighth note (Eighth แปลว่า แปด) มีค่าเท่ากับ
1 จังหวะ
2.4.3 เครื่องหมายประจำกุญแจเสียง (Key Signature)
เครื่องหมายประจำกุญแจเสียง (Key Signature) เป็นเครื่องหมายชาร์ปหรือแฟลต
ต้ังอยู่ระหว่างกญุ แจประจำหลักและเคร่ืองหมายกำหนดจังหวะ และทำให้โน้ตในบรรทัดนั้นถูกปรับ
ตามเครือ่ งหมายชาร์ปหรอื แฟลตที่ปรากฏอยตู่ ้นบรรทัด และเครื่องหมายกำหนดจังหวะยังบ่งบอก
วา่ เครอ่ื งหมายประจำกญุ แจเสียงน้ันคอื บันไดเสียงอะไร ดงั ภาพ
ภาพที่ 2.14 เครื่องหมายประจำกญุ แจเสียงต่างๆ
ทม่ี า : https://www.musicgateway.com
21
2.4.4 ทรัยแอด (Triad)
ทรัยแอด (Triad) เป็นกลุ่มโน้ต 3 เสียงเรียงเป็นแนวตั้งมีระยะห่างเป็นคู่ 3 เรียกโน้ตตัว
ล่างสุดว่า โน้ตพื้นต้น (Root) โน้ตตัวกลางว่า โน้ตตัวที่ 3 เนือกจากห่างกันเป็นคู่ 3 จากโน้ตตัวที่ 1
และเรียกตัวบนสุดว่า โน้ตตัวที่ 5 เนือกจากห่างกันเป็นคู่ 5 ทรัยแอดที่โน้ตเรียงเป็นคู่ 3 และคู๋ 5
เรียกว่า ทรัยแอดในรูปแบบพื้นต้น (Root position) นอกจากนี้ยังมีทรัยแอดในรูปแบบพลิกกลับอีก
2 ขนั้ ได้แก่ การพลิกกลับข้ันที่หนึง่ (First inversion) และการพลิกกลับขั้นที่สอง (Second inversion)
ภาพที่ 2.15 ทรัยแอดพื้นต้น
การพลิกกลับขัน้ ท่ีหนึ่ง (First inversion) เป็นการเปลีย่ นตำแหน่งโน้ตพื้นต้นให้สูงขึ้นไป
1 ช่วงคแู่ ปด (1 Octave) ทรัยแอดในรูปแบบการพลิกกลบั ขั้นทีห่ นึ่งประกอบด้วยโน้ตคู่ 3 และคู่6
ภาพที่ 2.16 ทรัยแอดในรูปแบบพลิกกลับขั้นที่หนึง่
การพลิกกลับขั้นที่สอง (Second inversion) เป็นการพลิกกลับ 2 ครั้งของทรัยแอดพื้น
ต้น คือโน้ตตัวที่ 1 และโน้ตตัวที่ 3 จะถูกเปลี่ยนตำแหน่งให้สูงขึ้นไป 1 ช่วงคู่แปด ทำให้โน้ตตัวที่ 5
กลายเป็นโน้ตตัวล่างสุด ทรัยแอดในรูปแบบการพลิกกลับขั้นที่สองประกอบด้วยโน้ตคู่ 4
และโน้ตคู่ 6
22
ภาพที่ 2.17 ทรยั แอดในรูปแบบพลิกกลบั ข้ันที่สอง
2.4.5 คอรด์
คอร์ด (Chord) เป็นกลุ่มเสียงตั้งแต่ 3 เสียงขึ้นไปประกอบกับเป็นเสียงประสาน
คอร์ดมีทั้งหมด 4 ชนิด ได้แก่ คอร์ดเมเจอร์ คอร์ดไมเนอร์ คอร์ดดิมมินิชท์ และคอร์ดออกเมนเทด
คอรด์ ยงั สามารถขยายต่อเป็นตอร์ดที่ซับซ้อนขึน้ นอกจากนียงั มีคอรด์ ที่แบบหนึ่งคือ คอร์ดทบเจ็ด
(Seventh chord) และจะมีการบอกลำดับของคอร์ดด้วยเลขโรมนั
คอร์ดเมเจอร์ โครงสร้างเหมือนทรัยแอดพื้นต้นจะประกอบไปด้วยโน้ตตัวที่ 1-3-5 เช่น
C Major ประกอบไปด้วย C-E-G ดงั ภาพ
ภาพที่ 2.18 Chord C Major
คอร์ดไมเนอร์ โครงสรา้ งเหมือนทรัยแอดพื้นต้นจะประกอบไปด้วยโน้ตตัวที่ 1-3-5 แต่จะ
ลดตัวที่ 3 ลง 1 ครึ่งเสียง จะทำให้กลายเป็นคอร์ดไมเนอร์ เช่น C minor ประกอบไปด้วยC-Eb-G
ดังภาพ
ภาพที่ 2.19 Chord C minor
23
คอร์ดดิมมินิชท์ โครงสร้างเหมือนทรัยแอดพื้นต้นจะประกอบไปด้วยโน้ตตัวที่ 1-3-5 แต่
จะลดตัวที่ 3 และตัวที่ 5 ลง 1 ครึ่งเสียง จะทำให้กลายเป็นคอร์ดดิมมินิชท์ เช่น C Diminished
ประกอบไปด้วย C-Eb-Gb ดงั ภาพ
ภาพที่ 2.20 Chord C Diminished
คอร์ดออกเมนเทด (Augmented Chord) โครงสร้างเหมือนทรัยแอดพื้นต้นจะประกอบ
ไปด้วยโน้ตตัวที่ 1-3-5 แต่คอร์ดออกเมนเทดจะไม่ลดเสียงลงแต่จะเพิ่มเสียงขึ้น 1 ครึ่งเสียงแทน
เชน่ C Augmented ประกอบไปด้วย C-E-G# ดงั ภาพ
ภาพที่ 2.21 Chord C Augmented
คอร์ดทบเจ็ด (Seventh chord) โครงสร้างเหมือนทรัยแอดพื้นต้นแต่เพิ่มโน้ตตัวที่ 7
ขนึ้ มาทำให้คอรด์ เรียงกันเปน็ คู่ 3 คู่ 5 และคู่ 7 เช่น C Major7 ประกอบไปด้วย C-E-G-B ดังภาพ
ภาพที่ 2.22 Chord C Major7
24
เลขโรมัน เปน็ เลขทีบ่ อกลำดบั ของคอรด์ ในบันไดเสียงต่างๆ เลขตวั พิมพใ์ หญ่จะเป็นคอร์ด
เมเจอร์ เลขตัวพิมพ์เล็กเป็นคอร์ดไมเนอร์ นอกจากนี้ยังมีสัญลักษณ์ของคอร์ดออกเมนเทดและ
คอรด์ ดิมมนิ ชท์ คอร์ดออกเมนเทดจะใช้สัญลกั ษณ์เปน็ รูปบวก (+) คอร์ดดิมมินชท์จะใช้สัญลักษณ์
เปน็ รปู วงกลม (o) ตำแหน่งอยู่มมุ ขวาบน
ถาพท่ี 2.23 ลำดับคอรด์ ในบันไดเสียงเมเจอร์
ภาพที่ 2.24 สัญลักษรณ์ที่ใช้บ่งบอกคอรด์ ชนดิ ตา่ งๆ
2.4.6 โน้ตนอกคอรด์ (Non Chord Tone)
โน้ตนอกคอร์ด (Non Chord Tone) เป็นโน้ตในเพลงที่ไม่เข้ากับคอร์ดอย่างกลมกลืน โน้ต
เหล่าน้มี อี ยู่ในเพลง เพือ่ ให้แต่ละเสียงเคลื่อนไหวได้ไพเราะมากขึ้น โน้ตนอกคอร์ดมีอยู่หลากหลาย
ประเภทแต่ทีน่ ยิ มใช้มอี ยู่ 7 ประเภทคือ
Passing Tone เป็นโน้ตนอกคอร์ดทีเ่ กิดขึ้นในจังหวะหนกั หรือจงั หวะเบาก็ได้ แต่ส่วนใหญ่
มกั จะเกิดขึน้ ในจงั หวะเบา
25
ภาพท่ี 2.25 ตัวอยา่ ง Passing Tone
ทม่ี า : https://kaitlinbove.com/nonharmonic-tones
Neighboring Tone เปน็ โน้ตนอกคอรด์ ทีเ่ ครื่องทีอ่ อกมาและกลับไปทีเ่ สียงเดิม
ถาพท่ี 2.26 ตัวอยา่ ง Neighboring Tone
ท่มี า : https://kaitlinbove.com/nonharmonic-tones
ESCAPE TONE มีอยู่ 2 แบบได้แก่ แบบที่ 1 กระโดดขึ้นไปแล้วกลับลงมา 1 ตัว กระโดดลง
ไปแล้วกลับขึน้ มา 1 ตัว แบบที่ 2 เลื่อนขึน้ 1 ตวั แล้วกระโดดลง เลือ่ นลง 1 ตัว แล้วกระโดขนึ้
ถาพท่ี 2.27 ตัวอย่าง ESCAPE TONE
ท่มี า : https://kaitlinbove.com/nonharmonic-tones
26
APPOGGIATURA เกิดข้ึนในจังหวะหนกั แล้วเลือ่ นขนึ้ หรอื เลือ่ นลงไป 1 ตัว ส่วนใหญ่มักจะ
เลื่อนลง
ถาพท่ี 2.28 ตัวอย่าง APPOGGIATURA
ท่มี า : https://kaitlinbove.com/nonharmonic-tones
ANTICIPATION เป็นโน้ตในคอรด์ ที่เกิดขึน้ กอ่ นคอรด์ 1 จงั หวะ
ภาพที่ 2.29 ตัวอย่าง ANTICIPATION
ทม่ี า : https://kaitlinbove.com/nonharmonic-tones
SUSPENSION เปน็ ใน้ตในคอร์ดทีเ่ กินมา 1 จังหวะและต้องมีเครอ่ื งหมายโยงเสียง (Tie)
ภาพที่ 2.30 ตัวอย่าง SUSPENSION
ทม่ี า : https://kaitlinbove.com/nonharmonic-tones
27
PEDAL เปน็ การย้ำตวั เบสซ้ำเดิม
ภาพที่ 2.31 ตวั อย่าง PEDAL
ทม่ี า : https://kaitlinbove.com/nonharmonic-tones
2.4.7 โนต้ ประดบั (Ornament)
โน้ตประดับ (Ornament) เป็นโน้ตเสริมที่ใส่เข้ามาเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและความ
หลากหลายให้กับบทเพลง โน้ตประดับมีมากมายหลายชนิดแต่ที่ยังใช้ในปัจจุบันมีอยู่ 3 ชนิด คือ
Trill, Grace note, Arpeggiation
Trill
Trill เป็นการรัวสลับกันระหว่าง 2 โน้ต ปกติส่วนใหญ่จะห่างกัน 1 เสียงเต็มหรือ 1
ครึง่ เสียง
ภาพที่ 2.32 ตวั อย่างเครือ่ งหมาย และตวั อย่างการปฏิบัติเครื่องหมาย Trill
ทม่ี า : https://en.wikipedia.org
Grace note
Grace note เป็นโน้ตเสริมที่ไมไ่ ด้อย่ใู นจังหวะหลักของโน้ตทีเ่ ชอ่ื มกันในบทเพลง
28
ภาพที่ 2.33 ตวั อย่างเครือ่ งหมาย Grace note
ทม่ี า : https://en.wiktionary.org
Arpeggiation
Arpeggiation เป็นการเลน่ โน้ตในคอรด์ ทีละตัวอย่างรวดเร็วจนรวมกนั ได้เป็นคอรด์
ภาพที่ 2.34 ตัวอย่างเครือ่ งหมาย และตัวอย่างการปฏิบตั ิเครอ่ื งหมาย Arpeggiation
ทม่ี า : https://www.8notes.com
2.4.8 ท่อนจบเพลง (Cadence)
ท่อนจบบทเพลง (Cadence) เป็น 2 คอร์ดที่อยู่ส่วนท้ายของวลีเพลงมีทั้งท่อนจบที่
สมบูรณ์และไม่สมบูรณ์ เนื่องจากท่อนจบที่แตกต่างกันมีอยู่หลายประเภทแต่ที่นิยมใช้บ่อยมี
ด้วยกันอยู่ 4 ประเภท Authentic Cadence Plagal Cadence Deceptive Cadence Half Cadence และ
ยงั มีวธิ ีเรียกอีกหน่งึ แบบคือการเรียกท่อนจบเพลงของทวีปยโุ รป (UK)
Authentic Cadence เป็นทอ่ นจบจากคอรด์ V ไปหาคอร์ด I ใช้ตัวย่อเปน็ AC
ภาพที่ 2.35 Authentic Cadence
29
Plagal Cadence เป็นท่อนจบจากคอรด์ IV ไปหาคอรด์ I ใช้ตวั ย่อเป็น PC
ภาพที่ 2.36 Plagal Cadence
Deceptive Cadence เปน็ ทอ่ นจบจากคอรด์ V ไปหาคอรด์ IV ใช้ตวั ยอ่ เปน็ DC
ภาพที่ 2.37 Deceptive Cadence
Half Cadence เป็นทอ่ นจบจากคอรด์ อะไรก็ได้ไปหาคอรด์ V ใช้ตวั ยอ่ เปน็ HC
ภาพที่ 2.38 Half Cadence
การเรยี กทอ่ นจบเพลงของฝง่ั ยโุ รป (UK) เรียกทอ่ นจบของแต่ละชนิดว่า Perfect
Imperfect Interrupted Plagal
Perfect ใช้เรยี กแทน Authentic Cadence
30
Imperfect ใช้เรยี กแทน Half Cadence
Interrupted ใช้เรยี กแทน Deceptive Cadence
Plagal ใช้เรยี กแทน Plagal Cadence
2.4.9 รปู แบบ (Forms)
รูปแบบ (Forms) เป็นโครงสรา้ งของการประพันธเ์ พลงและรูปแบบมีอยหู่ ลากหลาย
รปู แบบแต่ที่นยิ มใชอ่ ยบู่ ่อยมีด้วยกนั 3 รูปแบบ Binary Ternary rondo
Binary Form เป็นรูปแบบที่ประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ ๆ จะแตกต่างกันทั้งสอง
สว่ น คือ AB หรอื AABB
Ternary Form เปน็ รูปแบบทีป่ ระกอบด้วย 3 ส่วนใหญ่ ๆ โดยมีส่วนกลางเป็นสว่ น
ทีแ่ ตกตา่ งจากสว่ นต้นและส่วนท้าย คือ ABA หรอื ABA’
Rondo Form เป็นรูปแบบที่มีหลายส่วนแต่จะเน้นแนวทำนองหลักทำนองแรกจะ
วนกลบั มาอยู่ระหว่างแต่ละส่วนที่แตกตา่ งกัน ทีน่ ยิ มใช้มอี ยู่ 3 ลักษณะ คอื Simple Second Third
Simple Rondo คือการเปลี่ยนไปมาของแนวทำนองแรกกับแนวทำนองที่ 2 คือ
ABABA
Second Rondo คือการเปลี่ยนไปมาของแนวทำนองแรกกับอีก 2 แนวทำนองคือ
ABACA
Third Rondo จะประกอบไปด้วย 3 ทำนอง โดยมีหลักการจัดเรียงกันของแนว
ทำนองต่างๆ ดังน้ี ABACABA
2.5 ประวัติดนตรี (Music History)
ดนตรีตะวันตกหรือดนตรีคลาสสิคมีรากฐานจากดนตรีกรีกโบราณซึ่งพัฒนารูปแบบ
เรือ่ ยมาเริม่ มีบันทึกไว้ในลักษณะของเพลงวดั หรอื เพลงโบสถ์ซึ่งเป็นเพลงร้องเกี่ยวกับพิธีกรรมทาง
ศาสนาคริสต์ส่วนหลักฐานของเพลงคฤหัสถ์ ไม่มีการบันทึกไว้ในยุคแรกๆ การบันทึกเรื่องราวเริ่ม
แบ่งเป็นยุคทางดนตรีได้ ได้แก่ ยุคกลาง (Middle Ages) ยุครีเนซองส์ (Renaissance) ยุคบาโรก
(Baroque) ยุคคลาสสิก (Classical) ยคุ โรแมนตกิ (Romantic) ดนตรียุคศตวรรษที่ 20 (20th Century)
31
โดยอ้างอิงจาก ณรุทธ์สุทรจิตต์, สังคีตนิยม, ครั้งที่ 13, กรุงเพทฯ, สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย, 2561
ยุคกลาง (Middle Ages) ซึ่งเพลงโบสถ์มีอิทธิพลเหนือเพลงคฤหัสถ์รูปแบบดนตรีในยุค
นั้นเปน็ แบบร้องทำนองเดียวในระยะแรกตอ่ มาในระยะเวลาของปลายยคุ กลางตอนปลายคือในราว
ศตวรรษที่ 12 -14มีการพัฒนารูปแบบเป็นการร้องสอดประสานทำนองเกิดขึ้นในลักษณะออร์แกน
น่ัมคอื การรอ้ งแบบสอดประสานเสียงใชร้ ะยะข้ึนคู่4 เปน็ หลกั โดยแบ่งออกเปน็ 5 ยคุ ยอ่ ยๆดงั น้ี
ยุครีเนซองส์ (Renaissance) (ค.ศ. 1400-1600) ดนตรียังคงเป็นลักษณะของการสอด
ประสานทำนองโดยมีหลกั การล้อกนั ของแนวทำนองทีเ่ หมือนกันและเริม่ มีการประสานเสียงแบบใส่
เสียงประสานเกิดขึ้นบ้างมีรูปแบบการประพันธ์เพลงมากขึ้นเช่ นมีเพลงประเภทคอรัสเกิดขึ้น
เนื่องจากความขัดแย้งทางศาสนาดนตรีในยุคนี้ยังเน้นการขับร้อง เป็นหลักเช่นเดียวกับยุคกลาง
และมีผู้ประพนั ธเ์ พลงในยคุ นีไ้ ด้แก่ดันสเตเบิล ดูฟาย โอเคเกม และมอนเทแวร์ดี
ยคุ บาโรก (Baroque) (ค.ศ.1600-1750) ในยคุ นีม้ ีการปรับปรงุ พัฒนาลักษณะเด่นชัดเป็น
ยุคของการสอดประสานทำนองที่มีหลักการแน่นอนการใช้ลักษณะของบาสโซคอนทินูโอ มีการ
สร้างสรรค์ในขณะบรรเลงที่เรียกว่าอิม่ โพรไวเซช่ันรปู แบบของบทประพนั ธ์มีหลายประเภทเช่นฟิวก์
โอเปรา คานตาตา โอราโทริโอ โซนาตา คอนแชรโ์ ต กลอสโซ โดยมีโซโล คอนแชรโ์ ตส่วนหนึ่งด้วย
และมีผู้ประพนั ธ์เพลงในยุคนีท้ ีเ่ ด่นๆได้แก่ บาค ฮลั เดล และวิวลั ดี
ยุคคลาสสิก (Classical) (ค.ศ.1750-1820) เป็นยุคที่สำคัญมากของดนตรีตะวันตก
เนื่องจากรูปแบบการประพันธ์เพลงการจัดวงในลักษณะต่างๆเป็นมาตรฐานขึ้นมาในยุคนี้ไม่ว่าจะ
เป็นเพลงซิมโฟนี โซนาตา คอนแชร์โต หรือการจัดวงออเคสตรา วงดนตรีเชมเบอร์นอกจากนี้โอ
เปรา ได้รับการพฒั นาจนถึงเป็นที่นิยมของคนท่ัวไป ดนตรีคฤหสั ถ์มีบทบาทมากกว่าดนตรีวัด การ
ประสานเสียงในยุคนี้หันมานิยมการใส่เสียงประสานมากกว่าการสอดประสานทำนอง ผู้ประพันธ์
เพลงในยุคนีท้ ี่มชี ือ่ เสียงได้แก่ ไฮเดิน โมสารท์ เบโธเฟน กลคุ และสการล์ าตตี
ยุคโรแมนติก (Romantic) (ค.ศ.1820-1900) เปน็ ยคุ ของการนำหลักการของยุคคลาสสิก
มาใช้ผนวกกับการใส่อารมณ์และความรู้สึกไปในบทเพลง ทำให้เกิดเป็นดนตรียุคใหม่มีความ
ไพเราะ สง่างามและอ่อนหวาน แต่รูปแบบการประพันธ์ยังคงเป็นแนวคลาสสิคแต่มีการใช้การ
ประสานเสียงใหม่ๆการเพิ่มขนาดของวง orchestra จึงทำให้ดนตรีในยุคนี้ยิ่งใหญ่รูปแบบการ
ประพันธ์ที่นิยมในยุคนี้ คือดนตรีบรรยายเรื่องราว มีผู้นำในยุคนี้คือเบโธเฟนเป็นดนตรีที่เน้น
ชาตินิยม ผู้ประพันธ์เพลงที่เด่นในยุคนี้ได้แก่ ชูเบิร์ต ชูมานน์ บราห์มส์ สเตราส์ รอสซินี แวร์ดี โซ
32
แปง ไชคอฟสกี บิเซต์ และ ดวอชาค ตอนปลายของยุคนี้มีดนตรีลักษณะของอิมเพรสชั่นนิสติก
เกิดขึ้นหลักการใช้บันไดเสียงเต็มโดยการนำของ เดอบูสซี่ เป็นดนตรีทีน่ ำไปสู่การเปลีย่ นแปลง อีก
ยุคหนง่ึ คอื ยคุ ศตวรรษที่ 20
ดนตรียุคศตวรรษที่20 (20th Century) (ค.ศ.1900- ปัจจุบัน) มีทั้งดนตรีตามแนวยุคโร
แมนติก และดนตรีแนวใหม่ซึ่งพัฒนามาจาก อิมเพลสชั่นสติก เป็นดนตรีที่ใช้บันไดเสียง12 เสียง มี
การเน้นรูปแบบของจังหวะมากขึ้นใช้การประสานเสียงที่ระคายหูโดยถือหลักวิชาประสานเสียง ไม่
จำเป็นต้องเป็นแบบฟังแล้วสบายหูนอกจากนี้ยังนำเสียงจากอิเล็กทรอนิกส์มาใช้เป็นเสียงดนตรี
ด้วย กล่าวได้ว่ายุคศตวรรษที่ 20 เป็นยคุ แหง่ การเปลี่ยนแปลงการทดลองเพือ่ แสวงหารูปแบบใหม่
ของดนตรี ผู้ประพันธ์ที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ได้แก่ บาร์คอต โชนเบิร์ก สตาวินสกี ฮินเดมิธ เบิร์ก คอป
แลนด์ และกลาส
ดนตรีสมัยนิยม ใน 5 ทศวรรษเดิมประกอบด้วยสิ่งที่เป็นเพลงยอดนิยมในขณะที่
เพลงป๊อปได้เติบโตขึ้นในรปู แบบทีเ่ คยพฒั นาของตัวเอง บางคนเชอ่ื ว่าแนวเพลงป๊อบจะต้ืน ๆ โดยมี
เพลงง่ายๆไม่ว่าจะเป็นการจัดปาร์ตี้ดื่มการผสมผสานเสียงทุกอย่างเข้าด้วยกันซึ่งเชื่อมต่อกันด้วย
เนื้อเพลงและโครงสร้างของป๊อปแบบดั้งเดิม และเสียงที่ผสมผสานได้ 1960s ผ่านจุดเริ่มต้นป๊อป
ได้รบั การโดดเด่นด้วยฐานแฟน ๆ ที่เปน็ วยั รุ่นสว่ นใหญ่และใน 60s เมื่อนำวิทยุแบบพกพามาใช้งาน
ได้ง่ายยิ่งขึ้นสำหรับวัยรุ่นที่จะรับฟังเพลงของพวกเขาได้ทุกที่ ป๊อปกำลังเดินทางและหยิบจับ
อิทธิพลมาจากชายหาดแคลิฟอรเ์ นียวงดนตรีเช่น Beach Boys ได้รับความกลมกลืนจากเพลงป๊อป
แบบด้ังเดิมและเลเยอร์พวกเขาด้วยจังหวะ "คลื่นเซิรฟ์ " ที่พวกเขากลายเป็นทีร่ ู้จกั แต่แรงผลักดันที่
แท้จริงของป๊อปใน '60s มาจากทั่วมหาสมุทรแอตแลนติกกับ Beatlemania และการบุกรุกของ
อังกฤษในแผนภูมิอเมริกัน การบุกรุกของอังกฤษนำเพลงร็อคและป๊อปและวงดนตรีไปยัง
สหรัฐอเมริกาซึ่งกลายเป็นที่นิยมอย่างมาก เดอะบีทเทิลส์เป็นหนึ่งในบรรดาการกระทำเหล่านี้และ
จังหวะของพวกเขาจากจังหวะร็อคและป๊อบอัพก็เข้าฉายในชาร์ตเพลงป๊อปของอเมริกาได้ทันที วง
ดนตรีอ่นื ๆ 1970s กลมุ่ ยอ่ ยของป๊อปเริ่มขึ้นที่ส่วนท้ายของ '60s แต่ตายลงใน' 70s ในสถานที่ของ
พวกเขามา subgenre ของป๊อปอำนาจผสมของพังค์ร็อคและป๊อปที่กำหนดโดยวงดนตรีเช่น
Romantics และ Cheap Trick ในขณะเดียวกันป๊อปประเทศก็โผล่ออกมาซึ่งเกิดจากความพยายาม
ของศิลปินในประเทศที่จะเข้าถึงผู้ชมหลัก ๆ ทันใดนั้นตะขอและท่วงทำนองของป๊อปก็พันกันไป
เรื่อย ๆ ด้วยเสียงแหลมและเสียงเพลงของประเทศ แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ '70 ทำจากเพลงป๊อปก็
คือรูปแบบของเสียงป๊อปร็อค: นี่คือจุดเริ่มต้นของยุคของ Jackson 5, Elton John และ Queen เอล
33
ตันจอห์นพร้อมกับเสียงเพลงหลากหลายตั้งแต่เพลงป๊อบป๊อปจนถึงเพลงร็อคเวทีกลายเป็นหนึ่งใน
ดาวป๊อปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น "Bennie and the Jets" และ "Do not Go Breaking My Heart" ถือ
เป็นดนตรีคลาสสิก 1980s การบันทึกแบบดิจิตอลกลายเป็นเรื่องใหญ่ใน '80s และความเป็นไปได้
ที่จะนำเสนอให้เพลงป๊อปเติบโตได้มากยิ่งขึ้น ทันใดนั้นเครื่องสังเคราะห์และเสียงอิเล็กทรอนิกส์ก็
อาจจะถกู นำมาใส่ในเพลงปอ๊ ปและการเต้นป๊อปชนิดนีก้ ็มีการพัฒนาไปเรื่อย ๆ เชน่ ในรูปแบบต่างๆ
เช่นเทคโน และศลิ ปินทีโ่ ผล่ขึน้ มาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้รับการปฏิวตั ิวงการเพลงป๊อบ - ไมเคิล
แจ็คสัน ที่ทำให้ตื่นเต้นเร้าใจ ยังคงเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาลศิลปินหญิงที่ประสบ
ความสำเร็จมากที่สุดแห่งทศวรรษนับเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในทศวรรษด้วย
เพลง "Like A Virgin" '80s กำลังสร้างวัฒนธรรมป๊อปเพลงเหมือนทศวรรษอื่น ๆ ที่ไม่มีก่อนที่จะ
เปน็ วฒั นธรรมทีจ่ ะดำเนนิ การผ่านในทศวรรษที่จะมา 1990s ในขณะที่ '90s เห็นป๊อปอยา่ งต่อเน่ือง
มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในอดีตสิ่งที่แนะนำให้รู้จักกับประเภทคือกลุ่มสาว ๆ ทศวรรษที่ผ่านมาได้
เห็นกลุ่มสาวชาวอังกฤษ The Spice Girls ออกสู่ตลาดอเมริกาและกลายเป็นกลุ่มชาวอังกฤษที่
ประสบความสำเร็จทางการค้ามากที่สุดในอเมริกาเหนือนับตั้งแต่เดอะบีทเทิลส์ พวกเขายังเป็น
กลุ่มหญิงป๊อปที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดและเป็นหนึ่งในกลุ่มป๊อปที่ประสบความสำเร็จมาก
ทีส่ ดุ ด้วย "Spice Up Your Life" ในอีก 10 ปีขา้ งหน้าจะมีกลมุ่ ป๊อปและนักร้องป๊อปขึ้นไปทั่วทั้งชาร์ต
รวมถึง Backstreet Boys ด้วย "Quit Playing Games (With My Heart)" และ Britney Spears กับ
"Baby One More Time" - หนึ่งใน Best- ขายซิงเกิ้ลของเวลาทั้งหมด 2000s 2000s ป๊อบเป็น
ประเภทที่ไม่มีที่สิ้นสุดของถนนสำหรับศิลปินที่จะเดินทางลงแต่ละคนมีไหวพริบของตัวเองและบิด
กับประเพณีคลาสสิกของเพลงป๊อป วัยรุ่นป๊อปมีอยู่ในเพลงของ Britney Spears และ Christina
Aguilera; pop rock และ pop pop กำลังกลับมาในเสียงเพลง "All the Small Things" ของ Blink 182
เปิดประตูสำหรับนักดนตรีที่จะมาเป็นหัวใจสำคัญในแนวป๊อปพังค์เช่น Simple Plan และ Fall Out
Boy ในช่วงปลายทศวรรษแรกของ 2000s ป๊อปได้รับอิทธิพลจาก hip hop และ r & b เสียงผ่าน
เพลงของ Rihanna เพลงปอ๊ ปได้กลายมาเป็นเพลงเมอร์และบทพูดซ้ำ ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกนบั วา่ เปน็ การ
แสดงถึงแนวโน้มดนตรีและแนวโน้มทางดนตรีที่มีการพัฒนามาตลอดหลายปีที่ผ่านมารวบรวม
เสียงทีไ่ ม่ควรมีการทำงานรว่ มกัน แตท่ ำและทำอย่างนั้น ทีไ่ ด้รบั ความรกั อย่างมาก วันนี้เพลงป๊อป
มีความหลากหลายและหลากหลายเนื่องจากมีอิทธิพลต่อวิวัฒนาการ ป๊อปเป็นประเภทที่ซับซ้อน
และมหศั จรรยข์ องดนตรีทีค่ วามเปน็ ไปได้ไม่มที ี่ส้ินสดุ
34
2.6 วรรณกรรมดนตรี (Music Literature)
วรรณกรรมดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการเรียนรู้ดนตรีอย่างครอบคลุม สาขาวิชา
ดนตรีต่างๆ วรรณกรรมดนตรี ทฤษฎีดนตรี การศึกษาเกี่ยวกบั การแสดง และการสอนเสริมซึ่งกัน
และกัน: เช่น การเรียนทฤษฎีดนตรีช่วยเพิ่มความสามารถในการแสดง การเรียนวรรณคดีดนตรี
ชว่ ยในหลาย ๆ ด้าน: การฝึกปฏิบัติและการตคี วามในด้านอ่ืน ๆ ความเข้าใจดนตรีจากมุมมองของ
รูปแบบ และแม้กระทั่งการเข้าใจเนื้อหาทางอารมณ์ของเพลง ความรู้ด้านวรรณกรรมดนตรีเป็น
พื้นฐานในการทำความเข้าใจดนตรีอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจภูมิทศั นท์ างการเมือง
และสังคมของยคุ น้ันด้วยเพื่อทีจ่ ะรู้วา่ ปัจจยั เหล่านั้นมีอทิ ธิพลต่อนักประพนั ธ์เพลงในการเขียนเพลง
อย่างไร มุมมองทางประวัติศาสตร์ช่วยให้เราเข้าใจว่าเหตุใดสิ่งต่างๆ จึงเป็นเช่นนั้น และนี่เป็น
เหตผุ ลสำคญั สำหรับการศกึ ษา
2.7 โปรแกรมบันทกึ โน้ตเพลง Sibelius (Sibelius Score Writer)
การบันทึกโน้ตดนตรีในอดีตผู้ประพันธ์เพลงนิยมใช้กระดาษและดินสอในการบันทึกโน้ต
ดนตรี แต่ในปัจจุบันนิยมใช้โปรแกรมบันทึกโน้ตเพราะให้ความสะดวก รวดเร็ว กระทันรัด และยัง
สามารถฟังเสียงขณะบันทึกโน้ตได้ ดังนั้นการใช้โปรแกรมบันทึกโน้ตในปัจจุบันถือเป็นที่นิยมของ
ผู้ประพันธ์หรือบุคคลที่สนใจในด้านการบันทึกโน้ต ซึ่งในปัจจุบันนิยมใช้โปรแกรมบันทึกโน้ต 3
โปรแกรม ดงั น้ี Finale, Musescore, Sibelius
Finale เป็นโปรแกรมบันทึกโน้ตดนตรีที่มีมาตั้งแต่ปี 1988 เป็นโปรแกรมที่ผู้ประพันธ์หรือ
นกั ดนตรีนยิ มใช้ จดุ เด่นของโปรแกรม คือ จดบันทึกได้รวดเรว็ มีฟังชั้นเสียงที่ผู้ประพนั ธ์สารามาฟัง
ได้ในขณะบันทึกโน้ตดนตรี และยงั ตอบโจทย์กับยุคสมยั ปัจจุบัน ทำให้ผู้ประพันธ์หรือนักดนตรีส่วน
ใหญ่นิยมใช้โปรแกรม Finale
35
ภาพที่ 2.39 Program Finale
ทม่ี า : https://www.scoringnotes.com/reviews/finale-26-review/
Musescore เป็นโปรแกรมบันทึกโน้ตดนตรีที่มีมาตั้งแต่ปี 2008 เป็นโปรแกรมบันทึกโน้ต
ดนตรีสำหรับผู้คนที่ศึกษาการบันทึกโน้ตดนตรี ซึ่งโปรแกร Musescore มีระบบการทำงานสะดวก
กว่าโปรแกรมบันทึกโน้ตทัว่ ๆไป เหมาะสำหรบั ผู้ทีศ่ กึ ษาหรือฝึกการบันทึกโน้ตดนตรีในสมัยปัจจุบัน
โดยจดุ เดน่ ของโปรแกรม Musescore คือ สารมาใช้งานได้ฟรี และระบบการทำงานไม่ซับซ้อน
ภาพที่ 2.40 Program Musescore
ทม่ี า : https://promusicianhub.com/musescore-review/
Sibelius เป็นโปรแกรมบันทึกโน้ตเพลง ที่มีมาตั้งแต่ปี 1993 เป็นโปรแกรมจดบันทึกโน้ต
ดนตรีที่ผู้ประพันธ์หรือนักดนตรีนิยมใช้มากที่สุด เป็นโปรแกรมที่มีระบบการทำงานที่หลากหลาย
ทำให้ ครู อาจารย์ นิยมใช้สอนแก่ นักเรียน นักศึกษา ที่ศึกษาทางด้านดนตรี เนื่องจากโปรแกรม
Sibelius สามารถเชื่อตอ่ กบั เปียโนไฟฟ้า หรอื คียบ์ อรด์ เข้ากับคอมพิวเตอร์ได้ ทำให้สะดวกต่อการ
ทำงาน จึงประหยัดเวลาในการเรียบเรียงเสียงประสาน หรือจะใช้บันทึกแบบฝึกหัดให้สำหรับ
นักเรียน ซึ่งโปรแกรม Sibelius นี้สามารถกำหนดชนิดเครื่องดนตรีและจำนวนได้ ทำให้สะดวกใน
การเขียนเพลง โดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษาที่ฝึกการจดบันทึก โปรแกรม Sibelius นี้สามารถ
ทดแทนวง Orchestra หรอื วงอ่นื ๆได้่
36
ภาพที่ 2.41 Program Sibelius
ท่มี า : https://informationtechnologymanus.blogspot.com
37
บทท่ี 3
วิธีการดำเนินงาน
โครงงานเรื่อง การนำเสนอบทเพลงสมัยนิยมโดยโปรแกรมดนตรี กลุ่มสาระวิชาชีดนตรี
สากล และคีตศิลป์สากล สาขาดนตรีสากลในรายวิชาโครงงานพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพ ของ
นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ปีการศึกษา 2564 ทาง
คณะผู้จัดทำนำเสนอวิธีการดำเนนิ การศึกษาโดยแบง่ ออกเปน็ 5 ขั้นตอน ดังน้ี
ข้นั ตอนท่ี 1 เสนอหวั ข้อการนำเสนอบทเพลงสมัยนิยมโดยโปรแกรมดนตรี
ข้นั ตอนท่ี 2 รวบรวมแนวคิด ทฤษฎีและเอกสารทีเ่ กีย่ วข้อง
ขั้นตอนท่ี 3 ออกแบบวิธีการนำเสนอบทเพลงสมัยนิยม
ขน้ั ตอนท่ี 4 วางแผนและดำเนนิ งาน
ขั้นตอนท่ี 5 การจดั พิมพ์โน้ตเพลง
การนำเสนอขั้นตอนในการดำเนนิ งาน สามารถแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
1. ข้ันตอนในการดำเนินการศึกษา
2. ข้ันตอนการนำเสนอในรูปแบบโปรแกรมนำเสนอ Power Point
38
3.1 ข้ันตอนในการดำเนินการศึกษา
ขน้ั ตอนท่ี 1 เสนอหัวขอ้ โครงงานนำเสนอบทเพลงสมยั นิยมโดยโปรแกรมดนตรี
วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ได้มีการจัดการเรียนการสอนในรายวิชา โครงงานฝึก
ประสบการณ์วิชาชีพขึ้นมา เนื่องด้วยทางคณะผู้จัดทำได้มีความสนใจในบทเพลงสมัยนิยมหรือ
เพลงสมัยนิยมเพราะเป็นบทเพลงที่เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัยและจึงนำเสนอคุณครูผู้สอนจัดสอน
โครงงาน เรื่อง การนำเสนอบทเพลงสมัยนิยมโดยโปรแกรมดนตรี และมีความสนใจในการใช้
โปรแกรมบันทึกโน้ตเพลง Sibelius (Sibelius Score Writer) ในการนำเสนอบทเพลงสมัยนิยมเพื่อ
ความสะดวกในการจัดพิมพ์โน้ตเพลงและการบรรเลงบทเพลงโดยทางคณะผู้จัดทำ ได้เลือกใช้
โปรแกรมบันทึกโน้ตเพลง Sibelius (Sibelius Score Writer) “Sibelius” เนื่องจากคณะผู้จัดทำเคย
ศึกษาวิธีการจัดพิมพ์โน้ตโดยใช้โปรแกรม “Sibelius” ทางคณะผู้จัดทำได้ศึกษาวิธีการจดั พิมพ์โน้ต
โดยคุณครอู รรณพ ภริ มยป์ ระเมศ ซึง่ คณะผู้จัดทำมีวตั ถุประสงคใ์ นการทำเพลงคือ 1.พัฒนาความ
เข้าใจเรื่องของทฤษฎีดนตรีสากล 2.พัฒนาศักยภาพในการใช้ โปรแกรมบันทึกโน้ตเพลง Sibelius
(Sibelius Score Writer) “Sibelius” 3.เรียนรู้และเข้าใจหลักการและวิธีการจัดพิมพ์โน้ตเพลง 4.
เรียนรู้หลักการและกระบวนการทำโครงงาน โดยทางคณะผู้จัดทำได้คำนึงถึงประโยชน์ของการ
จัดทำโครงงานไว้ดังนี้ 1.พัฒนาทักษะ ความรู้ และความเข้าใจในทฤษฎีดนตรีมากขึ้น 2.พัฒนา
ทักษะการใช้ โปรแกรมบันทึกโน้ตเพลง Sibelius (Sibelius Score Writer) 3.เรียนรู้วิธีการเรียบเรียง
บทเพลง 4.ได้ศกึ ษาและเรียนรู้เกีย่ วกบั กระบวนการทำงาน
ขนั้ ตอนท่ี 2 รวบรวมแนวคดิ ทฤษฎีและเอกสารทเ่ี กี่ยวขอ้ ง
หลังจากทำการระบุความต้องการ คณะผู้จัดทำทำการศึกษาข้อมูลที่
เกีย่ วข้องกบั การนำเสนอบทเพลงสมัยนิยมโดยโปรแกรมดนตรี โดยคณะผจู้ ัดทำได้รวบรวมแนวคิด
ทฤษฎีและเอกสารที่เกีย่ วข้องแบง่ ออกเป็น 7 หัวข้อ ดงั น้ี ช่วงเสียงของเครื่องดนตรี (Range) ว่าแต่
ละเครื่องมีเสียงที่สูงต่ำอย่างไรและสามรถนำมาประกอบในบทเพลง สัญลักษณ์ต่าง ๆ ของดนตรี
สมัยนยม (Music Term: Popular) จะเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงคอร์ดต่าง ๆ ที่ใช้ในบทเพลง
ประเภทวงดนตรที ี่ใชป้ ระเภทวงดนตรี (Chamber) ขนาดเลก็ โดยจะมีผู้บรรเลงเครือ่ งดนตรี 2 คนขึ้น
ไปจนถึง 9 หรือมากกว่านั้น ทฤษฎีดนตรีสากลที่จะใช้ในบทเพลงจะประกอบด้วย บันไดเสียง
(Scale) เครื่องหมายกำหนดจังหวะ (Time signature) จะใช้เพื่อบ่งบอกถึงจังหวะที่ใช้ในแต่ละบท
39
เพลง เครื่องหมายประจำกุญแจเสียง (Key Signature) ใช้ในบทเพลงแต่ละบทเพลงเพื่อบ่งบอกถึง
บันไดเสียงว่าแต่ละเพลงใช้บันไดเสียงใด ทรัยแอด (Triad) เป็นกลุ่มโน้ต 3 เสียงเรียงเป็นแนวตั้งมี
ระยะห่างเป็นคู่ 3 คอร์ด (Chord) ใช้เพื่อบอกเกี่ยวกับบทเพลงนั้น ๆ ว่าจะใช้คอร์ดใดในบทเพลง
โน้ตนอกคอร์ด (Non Chord tone) เพื่อให้แต่ละเสียงเครื่องไหวได้ไพเราะมากยิ่งขี้น โน้ตประดับ
(Ornament) เป็นโน้ตเสริมที่ใส่เข้ามาเพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับบทเพลง ท่อนจบ (Cadence)
เป็น 2 คอร์ดที่อยู่ส่วนท้ายในบทเพลง มีทั้งท่อนจบที่สมบูรณ์และไม่สมบูรณ์ ประวัติดนตรีดนตรี
ตะวันตกหรือดนตรีคลาสสิคมีรากฐานจากดนตรีกรีกโบราณซึ่งพัฒนารูปแบบเรื่อยมาเริ่มมีบนั ทึก
ไว้ในลักษณะของเพลงวัดหรือเพลงโบสถ์ซึ่งเป็นเพลงร้องเกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนาคริสต์ส่วน
หลักฐานของเพลงคฤหัสถ์ ไม่มีการบันทึกไว้ในยุคแรกๆ การบันทึกเรื่องราวเริ่มแบ่งเป็นยุคทาง
ดนตรีได้ ได้แก่ ยุคกลาง (Middle Ages) ยุครีเนซองส์ (Renaissance) ยุคบาโรก (Baroque) ยุค
คลาสสิก (Classical) ยุคโรแมนติก (Romantic) ดนตรียุคศตวรรษที่ 20 (20th Century)วรรณกรรม
ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของ แนวทางการเรียนรู้ดนตรีอย่างครอบคลุม สาขาวิชาดนตรีต่าง ๆ
วรรณกรรมดนตรี (Music Literature) ทฤษฎีดนตรี (Music Theory) และศึกษาเกี่ยวกับการเรียบ
เรียง (Arrange) การบันทึกโน้ตดนตรีในอดีตผู้ประพนั ธเ์ พลงนยิ มใช้กระดาษและดินสอในการบันทึก
โน้ตดนตรี แตใ่ นปจั จบุ นั นิยมใช้โปรแกรมบันทึกโน้ตเพราะใหค้ วามสะดวก รวดเรว็ กระทันรัด และ
ยังสามารถฟังเสียงขณะบันทึกโน้ตได้ ดังนนั้ การใชโ้ ปรแกรมบันทึกโน้ตในปัจจุบันถือเป็นที่นิยมของ
ผู้ประพันธ์หรือบุคคลที่สนใจในด้านการบันทึกโน้ต ซึ่งในปัจจุบันนิยมใช้โปรแกรมบันทึกโน้ต 3
โปรแกรม ดังน้ี Finale, Musescore, Sibelius ซึ่งโปรแกรมทีค่ ณะผจู้ ดั ทำใชใ้ นการเรียบเรียงบทเพลง
(Arrange) มีชื่อว่า ซิบีเลียส (Sibelius) เพราะเป็นโปรแกรมที่คณะผู้จัดทำเคยใช้และคุณครูผู้สอน
แนะนำ
ขั้นตอนท่ี 3 ออกแบบวิธีการนำเสนอบทเพลงสมยั นิยม
ทางคณะผู้จัดทำได้ออกแบบวิธีการนำเสนอบทเพลงสมัยนิยมโดยมีวิธีการ
ดำเนินการแบ่งออกเป็นทั้งหมด 7 ขั้นตอนดังนี้ 1.เสนอหัวข้อการนำเสนอบทเพลงสมัยนิยมโดย
โปรแกรมดนตรี 2.รวบรวมแนวคิด ทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง 3.ออกแบบวิธีการนำเสนอบท
เพลงสมัยนิยม 4.วางแผนและดำเนินงาน 5.การจัดพิมพ์โน้ตเพลง 6.การนำเสนอในรูปแบบ
โปรแกรมนำเสนอ Power Point 7.การนำเสนอในรปู แบบหนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ E-Book
40
ขัน้ ตอนท่ี 4 วางแผนและดำเนินงาน
หลังจากที่ได้ทำการออกแบบวิธีการนำเสนอบทเพลงสมัยนิยม คณะผู้จัดทำได้ทำ
การวางแผนและ ดำเนนิ การตามขั้นตอนโดยออกแบบวิธีการตามตาราง ดงั น้ี
ขนั้ ตอนท่ี 5 การจดั พิมพโ์ นต้ เพลง
ขั้นตอนนี้เป็นจัดพิมพ์โน้ตเพลงโดยโประแกรมบันทึกโน้ตเพลง Sibelius (Sibelius
Score Writer) ซึ่งคณะผู้จัดทำจะได้รับมอบหมายบทเพลงจำนวน 7 บทเพลงโดยบทเพลงที่ได้รับจะ
เป็นเพลงที่มีลักษณะง่าย ๆ มีคอร์ดที่ไม่ยากจนเกินไป จากนั้นคณะผู้จัดทำได้นำบทเพลงมาแต่ง
โดยการนำเครื่องดนตรี มาใส่ตามที่แต่ละคนเลือกไว้ ในบทเพลงโดยจะเป็นวงดนตรีประเภท
(Chamber) และจะนำทฤษฎีมาใช้ให้สอดคล้องกบั บทเพลงโดยจะมี การใช้คอร์ด (Chord) โน้ตนอก
คอร์ด (Non Chord Tone) การเพิ่ม หรือลดคีย์โน้ต (Transpose) ตามแต่ละบทเพลงและความ
เหมาะสมจากนั้นนำบทเพลงที่เรียบเรียงใหม่ (Arrange) นำส่งคุณครูผู้สอนเพื่อที่จะปรับปรุงแก้ไข
จุดที่บกพรอ่ งตามที่คุณครูแนะนำ เพือ่ ให้ผลงานมคี วามสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึน้