41
3.2 ข้ันตอนการนำเสนอในรปู แบบโปรแกรมนำเสนอ Power Point
บทเพลงที่ 1 Ain’t Misbehavin เรียบเรียงโดย นายวัชรพล ประมะสร
บทเพลงที่ 2 Dancing On The Ceiling เรียบเรียงโดย นายธนทรัพย์ กาวีอ่นิ
42
บทเพลงที่ 3 can’t Help Falling In Love เรียบเรียงโดย นางสาวอมุ าพร กันทาดง
43
บทเพลงที่ 4 For You For Me Forevermore เรียบเรียงโดย นายณภัทร ทรพั ยส์ ินธ์
44
บทเพลงที่ 5 Lullaby of Birdland เรียบเรียงโดย นายภัทรณศ์ กรณ์ หล้าอินเชือ้
บทเพลงที่ 6 Stranger On The Shoreเรียบเรียงโดย นางสาวสดุ ฤทัย ทองสุข
45
บทเพลงบทเพลงที่ 7 When Irish Eyes Are Shining เรียบเรียงโดย นางสาวพิมพิมล มูล
แก้ว
46
บทที่ 4
การวเิ คราะห์ผลงานการเรียบเรยี งเสียงประสานบทเพลงสมัยนิยมโดยโปรแกรมดนตรี
จากการทีค่ ณะผู้จดั ทำ ได้จดั ทำโครงงานเรื่อง การนำเสนอบทเพลงสมยั นิยมโดยโปรแกรม
ดนตรี คุณครจู ึงได้คัดสรรบทเพลงมาเพื่อใหเ้ ลือกนำมาจัดเรียงเรียง (Arrange) ท้ังหมด 7 บทเพลง
ดังน้ี
1. Ain’t Misbehavin
2. DANCING ON THE CEILING
3. Can’t help falling in love
4. For you for me forevermore
5. Lullaby of Birdland
6. Stranger on the shore
7. When Irish Eyes are Shining
โดยจะนำเสนอรูปแบบการวิเคราะห์ ดงั น้ี
4.1. ผลงานการเรียบเรียงเสียงประสานบทเพลงสมยั นิยม
4.2. การวิเคราะห์ผลงานการเรียบเรียงเสียงประสานบทเพลงสมัยนิยม ใน 2
หัวข้อ
4.2.1. การวิเคราะห์ผลงานการเรียบเรียงเสียงประสานในด้านประวัติเพลง
และประวตั ิผู้ประพนั ธ์
4.2.2 การวิเคราะห์ผลงานการเรียบเรียงเสียงประสานในด้านโครงสร้าง
ทางทฤษฎีดนตรีสากล
47
บทเพลงที่ 1
Ain’t Misbehavin
เรียบเรยี งเสียงประสานโดย นายวัชรพล ประมะสร
ระดับชน้ั ปวช.3/3 สาขาวิชาดนตรีสากล
48
4.1. ผลงานการเรียบเรยี งเสียงประสานบทเพลงสมัยนิยม
https://youtu.be/NrgVLy682Jw
ภาพที่ 4.1 บทเพลงที่ 1 Ain’t Misbehavin
เรียบเรียงเสียงประสานโดย นายวัชรพล ประมะสร
49
4.2. การวเิ คราะห์ผลงานการเรียบเรยี งเสียงประสานบทเพลงสมยั นิยม ใน 2 หัวข้อ
4.2.1. การวิเคราะห์ผลงานการเรียบเรียงเสียงประสานในด้านประวัติเพลงและ
ประวัติผปู้ ระพนั ธ์
Ain't Misbehavin' เป็นเพลงแนวแจ๊สสวิง (Jazz Swing) แต่งเมื่อปี 1929 แต่งโดย Andy
Razaf และเขียนเนื้อร้องโดย Thomas "Fats" Waller และ Harry Brooks สำหรับละครเพลงบรอดเวย์
(Broadway) เรื่อง Connie's Hot Chocolates บทเพลง Ain't Misbehavin' เป็นผลงานการประพันธ์
ของ Andy Razaf เปน็ กวีชาวอเมริกัน ชือ่ เดิมที่เขาเกิดชื่อว่า Andriamanantena Paul Razafinkarefo
เป็นบุตรชายของ Henri Razafinkarefo และหลานชายของ Queen Ranavalona III แห่งอาณาจักร
Imerina ในมาดากัสการ์ การรุกรานของฝรั่งเศษทำให้พ่อของเขาเสียชีวิต และบังคับให้แม่ที่
ตั้งครรภ์ในวัย 15 ปีหลบหนีไปยังสหรัฐอเมริกา และให้กำเกิดเขาเมื่อวันที่เกิดที่ 16 ธันวาคม ค.ส.
1895 ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา เขาได้เติบโตในเมืองฮาเร็ม เมื่ออายุได้ 16 ปี เขาได้
ลาออกจากโรงเรียนและไปทำงานเป็นพนักงานควบคุมลิฟต์ที่อาคารสำนักงานในตรอกทินแพน
หนึ่งปีต่อมาเขาได้ประพันธ์เพลงแรกของเขาและได้เริ่มต้นอาชีพนักประพันธ์ บทกวียุคแรกๆ ของ
Razaf บางบทได้รับการตีพิมพ์ในปี 1917-18 ใน Hubert Harrison-edited Voice หนังสือพิมพ์ฉบับ
แรกของ "New Negro Movement" Razaf ร่วมมือกับนักแต่งเพลง Eubie Blake, Don Redman,
James P. Johnson, Harry Brooks และ Fats Waller โดยในบรรดาความร่วมมือที่มีชื่อเสียงที่สุดของ
Razaf-Waller ไ ด ้ แ ก ่ " Ain't Misbehavin'", "Honeysuckle Rose", "The Joint Is Jumpin'", "Willow
Tree", "Keepin' Out of Mischief Now" และ "What Did I Do to Be So So” เขาได้แต่งงานกับฌอง
แบล็กเวลล์ ฮัตสัน ในปี 2482 และในปี 1972 Razaf ได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานของ Tin
Pan Alley ในหอเกียรตยิ ศนกั ประพนั ธ์ จากนั้น Razaf ได้เสียชีวติ เมื่อวันที่ 3 กมุ ภาพนั ธ์ ค.ส. 1973
ใน North Hollywood, California จากภาวะไตวายในวัย 77 ปี
4.2.2 การวิเคราะห์ผลงานการเรียบเรียงเสียงประสานในด้านโครงสร้างทางทฤษฎี
ดนตรีสากล
กระผมจงึ ได้นำเพลง Ain't Misbehavin' มาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบวงแชมเบอร์มิวสิกจัดอ
ยู่ในประเภทวงดนตรีขนาดเล็ก คือ ที่การนำเครื่องดนตรีตะวันตกมาผสม ซึ่งการผสมวงดนตรี
ประเภทนี้ จะมีผู้บรรเลงตั้งแต่ 2 คน ไปจนถึง 9 คนหรือมากกวา่ นั้น กระผมได้นำกลุ่มผู้บรรเลง 5
คนเรียกว่าควินเต็ต (Quintet) มาใช้ในการเรียบเรียงใหม่ โดยใช้เครื่องเป่าลมทองเหลือง 5 ชิ้น
ได้แก่ Trumpet 2 ชิ้น French Horn 1 ชิ้น Trombone 1 ชิ้น และTuba 1 ชิ้น ซึ่งในแต่ละเครื่องดนตรี
50
จะมีช่วงเสียงเป็นของตนเอง โดย Trumpet เป็นเครื่องดนตรีประเภท High Brass ใช้ในการเดิน
ทำนองหลักและสอดแทรกลายประสาน จะมีช่วงเสียงตั้งแต่ F#3 - D6 ฮอร์น เป็นเครื่องดนตรี
ประเภท Middle Brass ใช้ในการผสานหรือเชื่อเสียงระหว่าง Low Brass กับ High Brass จะมี
ช่วงเสียงตั้งแต่ F#2 – C6 Trombone เป็นเครือ่ งดนตรีประเภท Low Brass ใช้ในการผสานเสียงจะมี
ช่วงเสียงตั้งแต่ E2 – F5 Tuba เป็นเครื่องดนตรีประเภท Low Brass ใช้ในการเดินเสียง Bass เป็น
ฐานให้กับวงจะมีช่วงเสียงตั้งแต่ D1 – F4 โดยเพลงนี้อยู่ในบันไดเสียงไดอาโทนิคประเถทเมเจอร์
เป็นบันไดเสียง Eb เมเจอร์ ใช้เครื่องหมายกำหนดจังหวะ 4/4 เลขตัวบนเป็นเลข 4 แสดงจำนวน
จังหวะใน 1 ห้องมีทั้งหมด 4 จังหวะ เลขตัวล่างเป็นเลข 4 แสดงค่าตัวโน้ตและค่าตัวห ยุด
หมายความวา่ โน้ตตัวดำมีค่าเท่ากบั 1 จงั หวะ
ในเพลงจะมีเคร่ืองหมายต่างๆ โดยแบง่ เป็น 5 เครือ่ งหมาย ดังนี้ 1st & 2nd ending
ลักษณะคล้ายวงเลบ็ เหลีย่ มข้างเดียวครอบเหนอื บรรทัดท้ังหอ้ งมตี ัวเลขบอกลำดับ เม่อื ดนตรีเลน่
มาถึงรอบแรกจะเลน่ 1st ending รอบที่สองจะเลน่ 2nd ending
51
Repeat จะอยู2่ แบบคือ Start repeat และ End Repeat ลกั ษณะเป็น Double Barline มีจุด
สองจดุ โดย Start repeat จะมีจุดอยู่ด้านหลังสว่ น End Repeat จะมีจุดอย่ดู ้านหน้า เม่อื ดนตรีเล่น
มาถึง End Repeat จะย้อนกลับไปเล่นตรงที่ Start Repeat อีกคร้ังหนึง่
Tie ลักษะเปน็ เส้นโค้งใช้ในการเอมเสียงของตัวโน้ตทีเ่ ป็นโน้ตเดียวกันและอยู่ในระดับเสียง
เดียวกนั
Coda ลักษณะเป็นวงกลมและมีรปู บวกตรงกลาง จะอย่ชู ่วงสดุ ท้ายของเพลงบอกใหผ้ เู้ ลน่
รปู ว่าเพลงใกล้จบลงแลว้
Da capo เป็นเครือ่ งหมายย้อนต้น ให้กลับไปเล่นซ้ำตั้งแตต่ ้นอีกครั้งใช้ตวั ย่อวา่ D.C.
บทเพลงน้ีจะประกอบไปด้วยคอรด์ (Chord) ทั้งหมด 5 ชนิด ได้แก่ คอร์ดเมเจอร์ (Major)
โครงสรา้ งเหมอื นทรัยแอดพืน้ ต้นจะประกอบไปด้วยโน้ตตัวที่ 1-3-5 เชน่ C Major ประกอบไปด้วย
C-E-G คอรด์ ไมเนอร์ (minor) โครงสร้างเหมอื นทรัยแอดพืน้ ต้นจะประกอบไปด้วยโน้ตตวั ที่ 1-3-5
แตจ่ ะลดตัวที่ 3 ลง 1 ครึ่งเสียง จะทำให้กลายเป็นคอร์ดไมเนอร์ เชน่ C minor ประกอบไปด้วย C-
Eb-G คอร์ดทบเจ็ด (Seventh chord) โครงสร้างเหมอื นทรยั แอดพืน้ ต้นแต่เพิม่ โน้ตตวั ที่ 7 ขนึ้ มาทำ
52
ให้คอรด์ เรียงกนั เป็นคู่ 3 คู่ 5 และคู่ 7 เชน่ C Major7 ประกอบไปด้วย C-E-G-B และจะมีโน้ตนอก
คอร์ด (Non Chord Tone) อยู่ 3 ประเภทได้แก่ Passing Tone เป็นโน้ตนอกคอร์ดทีเ่ กิดขึน้ ในจังหวะ
หนกั หรอื จังหวะเบากไ็ ด้ แต่สว่ นใหญม่ กั จะเกิดขึน้ ในจังหวะเบา Neighboring Tone เป็นโน้ตนอก
คอรด์ ทีเ่ คร่ืองทีอ่ อกมาและกลบั ไปทีเ่ สียงเดิม ESCAPE TONE มีอยู่ 2 แบบได้แก่ แบบที่ 1 กระโดด
ขนึ้ ไปแล้วกลบั ลงมา 1 ตัว กระโดดลงไปแล้วกลบั ขึน้ มา 1 ตัว แบบที่ 2 เลื่อนขึน้ 1 ตัว แล้วกระโดด
ลง เลื่อนลง 1 ตวั แล้วกระโดขึน้
โดยบทเพลงน้ีท่อนจบของเพลง (Cadence) เป็น Authentic Cadence เป็นทอ่ นจบจาก
คอรด์ V ไปหาคอร์ด I ใช้ตวั ย่อเปน็ AC
รูปแบบของเพลงนเี้ ปน็ รปู แบบ Binary Formเปน็ รปู แบบทีป่ ระกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ ๆ จะ
แตกต่างกันท้ังสองส่วน คอื AB หรอื AABB
53
บทเพลงที่ 2
Can’t help falling in love
เรียบเรยี งเสียงประสานโดย นางสาวอุมาพร กนั ทาดง
ระดบั ชนั้ ปวช.3/3 สาขาดนตรีสากล
54
4.1. ผลงานการเรียบเรยี งเสียงประสานบทเพลงสมยั นิยม
https://youtu.be/gq0_tkexn9Y
ถาพท่ี 4.2 เพลง Can’t help falling in love
เรียบเรียงเสียงประสานโดย นางสาวอมุ าพร กนั ทาดง
55
4.2. การวเิ คราะห์ผลงานการเรียบเรยี งเสียงประสานบทเพลงสมยั นิยม ใน 2 หัวขอ้
4.2.1. การวิเคราะห์ผลงานการเรียบเรียงเสียงประสานในด้านประวัติเพลงและ
ประวัติผปู้ ระพนั ธ์
Can’t help falling in love ถูกบันทึกขึ้นมาในวันที่ 23 มีนาคม 1961 เรดิโอรี คอร์เดอส์
ฮอลลีวูด รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งบทเพลงนี้ได้จัดอยู่ในยุคสมัยศตวรรษที่20 “Can’t help falling in
love” ได้แต่งขึ้นโดย Hugo Peretti, Luiigi Creatore และGeorge David Weiss เพื่อใช้ประกอบ
ภาพยนตร์เรื่อง “Blue Hawaii” และวางจัดจำหน่ายในวันที่ 1 ตุลาคม 1961 “Elvis Presley” เกิด
เม่อื วันที่ 8 มกราคม 1935 และเสียชีวติ ในวนั ที่ 16 สิงหาคม 1977 เขาเกิดที่เมอื งทูเพอโล รัฐมิสซิส
ซิปปี้ ต่อมาเมื่ออายุได้ 13 ปี เค้าได้ย้ายไปทีเ่ มืองเมมเฟิส รัฐเทนเนสซี เขาเริ่มอาชีพนักร้องขึ้นที่นี่
เมื่อปี 1954 เมื่อ แซม ฟิลลิปป์ เจ้าของค่ายซันเรคิดส์ เนื่องจากอยากที่จะนำดนตรีของชาวแอฟริ
กันอเมริกันไปสู่ฐานคนฟังให้กว้างขึ้น และเห็นว่าเพรสลีย์มีความมุ่งมั่น มือกีต้าร์ของเขามีว่าชื่อ
สก็อตตี มัวร์ และมือเบสชื่อ บิล แบล็ก หลังจากนั้นเขาก็ออกจากค่ายเก่าและเซ็นสัญญากับค่าย
อาร์ซีเอวิกเตอร์โดยมีผู้จัดการคือโคโลเนล ทอม พาร์กเกอร์ “Elvis Presley” ได้ออกซิงเกิลแรก
ของเค้ากับค่ายอาร์ซีเอวิกเตอร์ ชื่อ “Heartbreak Hotel” ออกขายในเดือนมกราคม ปี ค.ศ.1956
ต่อมาเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำภาพลักษณ์ของดนตรีป็อปแบบใหม่ในแบบฉบับของบท
เพลงร็อคแอนด์โรล และในยุคนั้นเขาก็ได้ถูกเชิญไปออกรายการทีวีต่างๆและได้รับโอกาสได้ไป
แสดงภาพยนต์เรื่อง Love Me Tender รวมถึงมีเพลงที่ติดชาร์จอันดับ1 อยู่หลายเพลงไม่ว่าจะเป็น
เพลง Can’t Help Falling in Love, Always on My Mind, Let it Be Me, The Girl Of My Best Friend
เป็นต้น จนระทั่งเมื่อปี 1958 เขาได้ออกไปเกณฑ์ทหาร แต่หลังจากนั้น 2 ปีต่อมา เขาก็ได้ออก
ผลงานและประสบความสำเร็จอย่างมาก และได้ออกงานแสดงและคอนเสิร์ตจนประสบ
ความสำเรจ็ อย่างมาก แตอ่ ย่างไรก็ตามเขากถ็ ูกคนวิพากษ์วิจารณใ์ นเชิงดูถูกผลงานเหล่านั้นจนเขา
ได้หายไป จนกระทั่งในปี 1968 เขากลับมาแสดงดนตรีสดในรายการโทรทัศน์พิเศษ และหลังจาก
น้ันเขากไ็ ด้มโี อกาสไปทัวร์คอนเสิร์ตตามสถานที่ต่างๆ ในปี 1973 เพลสลีย์แสดงคอนเสิร์ตครั้งแรก
ที่ถ่ายทอดผ่านดาวเทียมทั่วโลก ที่มีชื่อว่า Aloha from Hawii การแสดงในครั้งนั้นได้มีผู้ชมเขาราว
1.5 พันล้านคน และในปี 1977 เขาได้เสียชวี ิตลงในวัยเพียง 42 ปี
แต่อย่างไรก็ตาม“Elvis Presley” ถือเป็นหนึ่งในคนที่ให้กำเนิดแนวเพลงรอ็ กอะบิลลี (เป็นแนวเพลง
ผสมระหว่างคำว่าร็อกและฮิลบิลลีหรือคันทรี เกิดขึ้นในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1950 และได้รับ
56
ความนิยมลดลงในคริสต์ทศวรรษ 1980) และถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม เขาได้รับ
ฉายาในวงการวา่ “ราชาแห่งร็อคแอนด์โรลล์” หรอื เรียกสั้นๆวา่ “เดอะคิง”
4.2.2 การวิเคราะห์ผลงานการเรียบเรียงเสียงประสานในด้านโครงสร้างทางทฤษฎี
ดนตรีสากล
โดยในบทเพลงนี้ผู้จัดทำได้ดัดแปลงบทเพลง ใช้ผู้บรรเลงทั้งหมดจำนวน 5 คน ซึ่งมีชื่อ
เรียกอีกอย่างหนึง่ ว่าวง ควินเต็ด (Wind Quintet) มาเรียบเรียงใหม่ โดยใช้เคร่อื งดนตรที ้ังหมด 5 ชิ้น
ได้แก่ Flute Clarinet Tener Saxophone Baritone Saxophone French horn และในแต่ละเครื่องก็จะ
มีช่วงเสียงที่แตกต่างกันออกไปโดย Flute เป็นเครื่องดนตรีประเภท High Woodwind มีช่วงเสียง
ตั้งแต่ C4-C7 ใช้ในการเดินประสานทำนองของบทเพลง, Clarinet เป็นเครื่องดนตรีประเภท High
Woodwind มีช่วงเสียงตั้งแต่ C4-C6 ใช้ในการเดินทำนองของบทเพลง, Tenor Saxophone เป็น
เครื่องดนตรีประเภท Low woodwind มีช่วงเสียงตั้งแต่ Bb2-F5 ใช้ในการเดินประสานทำนองของ
บทเพลง, Baritone Saxophone เป็นเครื่องดนตรีประเภท Low woodwind มีช่วงเสียงตั้งแต่ Bb2 –
F5 ใช้ในการเดินเสียง Bass เป็นฐานให้กับวง, French horn เป็นเครื่องดนตรีประเภท High Brass มี
ช่วงเสียงตั้งแต่ C1-C5 ใช้ในการเป็น Contour Melody ซึ่งในบทเพลงนี้จะอยู่ในบันไดเสียงไดอาโท
นิค ประเภทเมเจอร์ เป็นบันไดเสียง C Major มีการใช้เครื่องหมายกำหนดจังหวะ (Time signature)
4/4 ทั้งนี้ในบทเพลงก็จะมีเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ อยู่ในบทเพลงนี้ด้วย โดยจะมี
เครื่องหมาย Repeat, Crescendo, Decrescendo, slur, tie, Fermata, Ritardando, Forte, Mezzo
Forte, Piano, Mezzo piano เป็นต้น ส่วนในท่อนจบของบทเพลง(Cadence) น้เี ปน็ รปู แบบของ Plagal
Cadence (PC) คือการจบจาก IV ไปยังคอร์ด I และในบทเพลงนี้ จะมีรูปแบบการเล่นเป็น A A B A
หรอื ที่มชี ื่อเรยี กวา่ Song form ซึง่ เปน็ รูปแบบของการประพันธท์ ี่นิยมใช้ในยุคสมยั ปัจจุบันเป็นอย่าง
มาก
เพราะฉะนั้นบทเพลงนี้จะมีรูปแบบการประพันธ์เป็นลักษณะวง ควินเต็ด (Wind Quintet)
โดยจะใช้เครื่องดนตรีด้วยกันทั้งหมด 5 ชิ้น ได้แก่ Flute Clarinet Tener Saxophone Baritone
Saxophone French horn ในบทเพลงนี้จะอยู่ในบันไดเสียงไดอาโทนิค ประเภทเมเจอร์ เป็นบันได
เสียง C Major ใช้เครื่องหมายกำหนดจังหวะ (Time signature) 4/4 และมีเครอ่ื งหมาหรือสัญลักษณ์
ตา่ งๆ เช่น Repeat, Crescendo, Decrescendo, slur, tie, Fermata, Ritardando, Forte, Mezzo Forte,
Piano, Mezzo piano เป็นต้น ซึ่งในท่อนจบของบทเพลง(Cadence) นี้เป็นรูปแบบของ Plagal
Cadence (PC) และมีรูปแบบการประพันธ์เป็นรปู แบบของ Song Form
57
บทเพลงที่ 3
DANCING ON THE CEILING
เรียงเรียงเสียงประสานโดย นายธนทรัพย์ กาวีอ่นิ
ระดับชนั้ ปวช.3/3 สาขาดนตรีสากล
58
4.1. ผลงานการเรียบเรยี งเสียงประสานบทเพลงสมยั นิยม
https://youtu.be/SREqiRNho-8
ภาพที่ 4.3 เพลง DANCING ON THE CEILING
เรียงเรียงเสียงประสานโดย นายธนทรพั ย์ กาวีอน่ิ
59
4.2. การวเิ คราะห์ผลงานการเรียบเรยี งเสียงประสานบทเพลงสมัยนิยม ใน 2 หัวข้อ
4.2.1. การวิเคราะห์ผลงานการเรียบเรียงเสียงประสานในด้านประวัติเพลงและ
ประวัติผปู้ ระพันธ์
Dancing On The Ceiling ประพนั ธด์ นตรีข้นึ โดย Richard Rodgers เนือ้ เพลงโดย Lorenz
Hart เพลง Dancing On The Ceiling เปน็ สว่ นหนง่ึ ของละครเพลงเรื่อง Evergreen ฉ่ายวนั แรกวันที่
3 ธันวาคม 1930 ที่โรงละคร Adelphi Theatre, London. อำนวยสร้างโดย Charles B. Cochran และ
กำกบั การแสดงโดย Frank Collins ตอ่ มาในปี 1934 ได้ดัดแปลงเน้ือเร่อื งและการแสดง Evergreen
มาเปน็ ภาพยนต์ โดยผลิตที่ Gaumont British กำกับการแสดงโดย Michael Balcon และถูกฉา่ ยคร้ัง
แรกทีโ่ รงภาพยนต์ Lime Grove Studios Richard Rodgers เกิดเม่อื วนั ที่ 28 มถิ ุนายน 1902
เสียชีวติ เมื่อ 30 ธนั วาคม 1979 เปน็ บุตรของ Dr. William Rodgers และ Mamie ครอบครวั ของ
Richard Rodgers อาศัยอยู่ใน แมนฮตั ตัน ดว้ ยความบงั เอิญของ Richard Rodgers เขาได้อาศยั อยู่
ใกล้กับค่หู ปู ระพันธเ์ พลงในอนาคตชื่อวา่ Lorenz Milton Hart ครอบครวั ของ Richard Rodgers ชื่น
ชอบชอบละครบรอดเวย์และโอเปร่าทำให้ Richard Rodgers มีความชอบด้านดนตรี จึงได้เริม่ ฝกึ
เลน่ เปียโนตอนอายุ 6 ขวบ ช่วงอายุ 15 ปี Richard Rodgers ได้ศึกษาที่โรงเรียน DeWitt Clinton
High School และได้โชว์ความสามารถทางดา้ นดนตรที ำให้เพื่อนๆ ได้แนะนำเขาให้รู้จกั กบั Lorenz
Milton Hart หลงั จากนั้น 1 ปี Richard Rodgers และ Lorenz Milton Hart ได้รว่ มกนั ประพนั ธ์เพลงที่
ชื่อว่า "Manhattan" เปน็ เพลงทีโ่ ด่งดงั ในปี 1925 หลังจากน้ันท้ังค่ไู ด้ร่วมกนั ประเพลงอกี มากมาย
เช่น Blue Moon, My Funny Valentine, Isn't It Romantic เป็นต้น ตอ่ มาทั้งคู้กไ็ ด้เป็นนกั ประพันธ์
ชาวอเมริกันเปน็ ที่รู้จกั ในผลงานด้านละครเพลง มีผลงานละครเพลงบรอดเวย์ 43 เร่อื งและ
ประพันธ์เพลงมากกวา่ 900 เพลง และทั้งคเู่ ป็นผู้ประพันธ์ชาวอเมริกันที่มีความสำคญั ที่สดุ ใน
ศตวรรษที่ 20 และมีอธิ ิพลอยางมากตอ่ ดนตรีรว่ มสมัย
4.2.2 การวิเคราะห์ผลงานการเรียบเรียงเสียงประสานในด้านโครงสร้างทางทฤษฎี
ดนตรีสากล
กระผมจงึ ได้นำเพลง Dancing On The Ceiling มาเรียบเรียงใหม่ในรปู แบบประเภทวงแชม
เบอร์มวิ สิกเปน็ ประเภทวงกลุ่มเล็กทีก่ ารนำเครื่องดนตรีตะวันตกมาผสม ซึ่งการผสมวงดนตรี
ประเภทนี้จะมีผู้บรรเลงตั้งแต่ 2 คน ไปจนถึง 9 คนหรอื มากกว่านน้ั กระผมได้นำกลุม่ บรรเลง 5
คนเรียกวา่ ควินเต็ด ( Quintet) มาใช้ในการเรียบเรียงใหม่ โดยใช้เครือ่ งเป่าลมทองเหลอื ง 5 เครือ่ ง
ได้แก่ Trumpet 2 เครือ่ ง French Horn 1 เครื่อง Trombone 1 เครือ่ ง Tuba 1เคร่อื ง ซึง่ ในแต่ละ
60
เครื่องดนตรีจะมีชว่ งเสียงเป็นของแต่ละเครือ่ ง โดยแบ่งออกเป็น 4 เครือ่ ง ดงั นี้ Trumpet, French
Horn, Trombone, Tuba Trumpet เปน็ เครื่องดนตรีประเภท High Brass ใช้ในการเดินทำนองหลัก
และสอดแทรกลายประสาน จะมีชว่ งเสียงตั้งแต่ F#3 – D6 French Horn เปน็ เครื่องดนตรีประเภท
High Brass ใช้ในการเดินทำนองเค้าเตอร์เมโลดี้และชว่ ยเชอ่ื มเสียงระหว่าง Low Brass และ High
Brass อีกด้วย จะมีชว่ งเสียงตั้งแต่ F#2 – C6 Trombone เป็นเครื่องดนตรีประเภท Low Brass ใช้ใน
การเดินจังหวะหรอื ทำนองเบสของเพลงและยังเป็นเมโลดี้ในบางทอ่ น จะมีช่วงเสียงตงั้ แต่ E2 – F5
Tuba เปน็ เครื่องดนตรปี ระเภท Low Brass ใช้ในการเดินจงั หวะหรอื ทำนองเบสเป็นฐานหลักของวง
จะมีชว่ งเสียงตั้งแต่ D1 – F4 โดยเพลงนีอ้ ยใู่ นบันไดเสียงไดอาโทนิคประเภทเมเจอร์ เปน็ บันไดเสียง
F Major ใช้เครื่องหมายอัตตราจังหวะ 4/4 หรอื เขียนได้อีกแบบคือ C อัตตราจงั หวะธรรมดา
(Semple Time) เลขด้านบนแสดงจังหวะใน 1 หอ้ ง เชน่ เลขด้านบนเป็นเลข 4 ฉะนน้ั 1 หอ้ งกต็ ้องมี
4จังหวะ เป็นต้น เลขด้านลา่ งแสดงค่าตวั โน้ตและค่าตวั หยุดทีจ่ ะหมายความว่าโน้ตนั้นและตวั หยุด
นั้นมีค่า 1 จังหวะ เช่น เลขด้านล่างเปน็ เลข 4 ฉะนน้ั โน้ตตัวดำและตวั หยดุ ตัวดำจะมีค่าเทา่ กบั 1
จังหวะ และถ้าเลขด้านล่างเปน็ เลข 6 โน้ตตัวเขบ็ตหนึ่งชั้นและตัวหยดุ เขบต็ หน่งึ ช้ันจะเท่ากับ 1
จงั หวะ เปน็ ต้น
ในบทเพลงจะมีเครอ่ื งหมายต่างๆ โดยแบ่งเป็น 5 เครือ่ งหมาย ดังน้ี 1st& 2nd ending มี
ลกั ษณะเป็นคล้ายวงเล็บเหลี่ยมข้างเดียวครอบเหนือบรรทัดท้ังหอ้ งมีตวั เลขบอกลำดบั เมอ่ื ผู้
บรรเลงเลน่ ในรอบแรกจะเล่น 1st ending รอบทีส่ องจะเล่น 2nd ending
61
Repeat จะมีอยู่ 2 แบบคือ Start Repeat และ End Repeat ลกั ษณะคล้าย Doubie Barline
แต่จะมีจดุ สองจดุ โดย Start Repeat จะมีจุดสองจุดอยู่ด้านหลังส่วน End Repeat จะมีจุดสองจุดอยู่
ด้านหน้า เม่อื ผูบรรเลงเล่นถึง End Repeat ผบู้ รรเลงจะย้อนกลับไปบรรเลงที่ Start Repeat อีกคร้ัง
หนง่ึ
Tie ลกั ษณะเป็นเส้นโค้งใช้ในการเอมเสียงของตวั โน้ตที่อยู่ในระดับเสียงเดียวกนั
Coda ลกั ษณะเป็นวงกลมและมีรปู บวกอยู่ตรงกลาง เป็นส่วนเพิ่มเตมิ ในบทเพลงซึ่งเพิม่ เข้า
ไปในสว่ นท้ายของบทเพลงและเพื่อใหผ้ บู้ รรเลงรวู้ า่ ใกล้จบแล้ว
Dc capo เป็นเครื่องหมายย้อนไปที่จดุ เริ่มต้นของบทเพลง ใช้ตัวย่อว่า D.C.
62
บทเพลงน้ีทอ่ นจบของบทเพลง (Cadence) เปน็ Authentic Cadence เปน็ ท่อนจบจากคอรด์
V ไปหาคอรด์ I ใช้ตวั ย่อ AC
รปู แบบของบทเพลงน้ีเปน็ รปู แบบ Binary Form Binary Form เปน็ รปู แบบที่ประกอบด้วย
2 ส่วนใหญ่ๆ จะมีลกั ษณะคือ AB หรอื ABA’
63
บทเพลงที่ 4
For you for me forevermore
เรียบเรยี งเสียงประสานโดย นายณภทั ร ทรัพยส์ ินธล์
ระดับชนั้ ปวช.3/3 สาขาดนตรีสากล
64
4.1. ผลงานการเรียบเรยี งเสียงประสานบทเพลงสมยั นิยม
https://youtu.be/q6e2BMWir6g
ภาพที่ 4.4 เพลง For you for me forevermore
เรียบเรียงเสียงประสานโดย นายณภัทร ทรพั ย์สินธ์
65
4.2. การวเิ คราะห์ผลงานการเรียบเรยี งเสียงประสานบทเพลงสมัยนิยม ใน 2 หวั ข้อ
4.2.1. การวิเคราะห์ผลงานการเรียบเรียงเสียงประสานในด้านประวัติเพลงและ
ประวตั ิผปู้ ระพนั ธ์
For you for me forevermore เปน็ เพลงที่แตง่ โดยจอร์จเกิรช์ วินกับเนือ้ เพลงโดยไอราเกิรช์
วินเขียนขนึ้ เมือ่ ราวปี 1936-7 โดย Ira Gershwin ค้นพบอีกคร้ังเมอ่ื เขากำลังเตรยี มเพลงสำหรับ
The Shocking Miss Pilgrim (1946) ซึ่งDick HaymesและBetty Grable เป็นผู้แนะนำ
จอรจ์ เกิร์ชวิน (องั กฤษ: George Gershwin; 26 กนั ยายน ค.ศ. 1898 - 11 กรกฎาคม ค.ศ.
1937) นักเปียโนและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน มีผลงานในแนวดนตรีคลาสสิก และเพลงป็อบ โดย
เป็นผู้ประพนั ธ์บทเพลงประกอบละครบรอดเวย์ทีม่ ีชอ่ื เสียง ทั้งในนามสว่ นตัว และผลงานร่วมกับไอ
รา เกิร์ชวิน พี่ชาย ที่เป็นผู้ประพันธ์คำร้อง ผลงานที่มีชื่อเสียง เช่น ออร์เคสตราสำหรับเปียโน
Rhapsody in Blue (1924), An American in Paris (1928) อุปรากร Porgy and Bess (1935) ซึ่งมี
เพลงที่ไพเราะและได้รับชื่อเสียงอย่างมากคือ Summertimes และเพลงประกอบภาพยนตร์ Shall
We Dance (1937)
4.2.2 การวิเคราะห์ผลงานการเรียบเรียงเสียงประสานในด้านโครงสร้างทางทฤษฎี
ดนตรีสากล
จึงได้นำเพลง For You For Me Forevermore มาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบประเภทวงแชม
เบอร์มิวสิกเป็นประเภทวงกลุ่มเล็กที่การนำเครื่องดนตรีตะวันตกมาผสม ซึ่งการผสมวงดนตรี
ประเภทนี้จะมีผู้บรรเลงตั้งแต่ 2 คน ไปจนถึง 9 คนหรือมากกว่านั้น กระผมได้นำกลุ่มบรรเลง 5
คนเรียกว่า ควินเต็ด ( Quintet) มาใช้ในการเรียบเรียงใหม่ โดยใช้เครื่องเป่าลมทองเหลือง 5 ชิ้น
ได้แก่ Flite Clarinet Tenor Saxophone French Horn Baritone Saxophone
ซึ่งในแต่ละเครื่องดนตรีจะมีช่วงเสียงเปน็ ของแต่ละเครื่อง โดยแบ่งออกเปน็ 4 เครื่อง ดังนี้
Flute, Clarinet, Tenor Saxophone, French Horn, Baritone Saxophone
Fluet เป็นเครื่องดนตรีประเภท High Woodwind ใช้ในการเดินทำนองหลักและสอดแทรก
ลายประสาน จะมีช่วงเสียงตั้งแต่ C4 - D7
Clarinet เป็นเครื่องดนตรีประเภท High Woodwind ใช้ในการเดินทำนองเค้าเตอร์เมโลดี้ จะ
มีชว่ งเสียงตั้งแต่ E3 – C7
Tenor Saxophone เป็นเครื่องดนตรีประเภท Hing Woodwind ใช้ในการเดินจังหวะหรือ
ทำนองเบสของเพลงและยังเปน็ เมโลดีใ้ นบางท่อน จะมีชว่ งเสียงต้ังแต่ Ab2 – E5
66
French Horn เป็นเครื่องดนตรีประเภท High Brass ใช้ในการเดินทำนองจังหวะหรือทำนอง
เบสเป็นฐานหลกั ของวง จะมีชว่ งเสียงต้ังแต่ F#2 – C6
Baritone Saxophone เป็นเครื่องดนตรีประเภท Low Woodwind ใช้ในการเดินจังหวะหรือ
ทำนองเบสเปน็ ฐานหลักของวง จะมีชว่ งเสียงต้ังแต่ C2 – A4
โดยเพลงนี้อยู่ในบันไดเสียงไดอาโทนิคประเภทเมเจอร์ เป็นบันไดเสียง F Major ใช้
เครื่องหมายอัตตราจังหวะ 4/4 หรือเขียนได้อีกแบบคือ C อัตตราจังหวะธรรมดา (Semple Time)
เลขด้านบนแสดงจังหวะใน 1 หอ้ ง เชน่ เลขด้านบนเปน็ เลข 4 ฉะน้ัน 1 หอ้ งก็ต้องมี 4จังหวะ เป็นต้น
เลขด้านล่างแสดงคา่ ตัวโน้ตและค่าตวั หยุดที่จะหมายความวา่ โน้ตนั้นและตัวหยดุ นั้นมีค่า 1 จังหวะ
เช่น เลขด้านล่างเป็นเลข 4 ฉะนั้น โน้ตตัวดำและตัวหยุดตัวดำจะมีค่าเท่ากับ 1 จังหวะ และถ้าเลข
ด้านล่างเปน็ เลข 6 โน้ตตัวเขบต็ หน่งึ ชั้นและตัวหยุดเขบต็ หน่งึ ชั้นจะเท่ากบั 1 จังหวะ เป็นต้น
ในบทเพลงจะมีเคร่อื งหมายต่างๆ โดยแบ่งเปน็ 4 เครื่องหมาย ดังน้ี Flat, Natural, 1st&
2nd ending, Repeat,
Flat เป็นเครือ่ งหมายเปลีย่ นแปลงเสียงทีท่ ำให้โนต๊ นนั้ มีระดบั เสียงลดลงครึ่งเสียง
Natural เปน็ เครือ่ งหมายที่คืนค่าตวั โน้ตทีต่ ดิ Sharp หรือติด Flat กลับมาในเสียงเดิม
67
1st&2ndending มีลักษณะเป็นคล้ายวงเล็บเหลี่ยมข้างเดียวครอบเหนือบรรทัด
ทั้งห้องมีตัวเลขบอกลำดับ เมื่อผู้บรรเลงเล่นในรอบแรกจะเล่น 1st ending รอบที่สองจะเล่น 2nd
ending
Barline แต่จะมีจุดสองจุดโดย Start Repeat จะมีจุดสองจุดอยู่ด้านหลังส่วน End Repeat
จะมีจุดสองจุดอยู่ด้านหน้า เมื่อผูบรรเลงเล่นถึง End Repeat ผู้บรรเลงจะย้อนกลับไปบรรเลงที่
Start Repeat อีกคร้ังหนึง่
Tie ลกั ษณะเปน็ เส้นโค้งใช้ในการเอมเสียงของตวั โน้ตที่อยใู่ นระดับเสียงเดียวกัน
68
บทเพลงน้ีท่อนจบของบทเพลง (Cadence) เป็น Authentic Cadence เปน็ ทอ่ นจบจากคอรด์
V ไปหาคอรด์ I ใช้ตวั ย่อ AC
รปู แบบของบทเพลงน้ีเป็นรูปแบบ Binary Form
Binary Form เปน็ รปู แบบที่ประกอบด้วย 2 สว่ นใหญๆ่ จะมีลักษณะคือ AB
69
บทเพลงที่ 5
Lullaby of Birdland
เรียบเรยี งเสียงประสานโดย นายภัศรก์ รณ์ หล้าอินเชื้อ
ระดับชน้ั ปวช.3/3 สาขาดนตรีสากล
70
4.1. ผลงานการเรียบเรยี งเสียงประสานบทเพลงสมัยนิยม
https://youtu.be/RPaDSGkQkQc
ภาพที่ 4.5 เพลง Lullaby of Birdland
เรียบเรียงเสียงประสานโดย นายภัศร์กรณ์ หล้าอินเช้ือ
71
4.2. การวเิ คราะหผ์ ลงานการเรียบเรยี งเสียงประสานบทเพลงสมยั นิยม ใน 2 หัวข้อ
4.2.1. การวิเคราะห์ผลงานการเรียบเรียงเสียงประสานในด้านประวัติเพลงและ
ประวัติผปู้ ระพนั ธ์
บทเพลง Lullaby of Birdland เปน็ บทเพลงที่ประพนั ธโ์ ดย George Shearing (1919-
2011) บทเพลงนี้เริ่มเล่นที่ The Cirque Club ในปี 1949 ซึ่งตรงกับยุคสมัยทางดนตรียุคศตวรรคที่
20 (The Twenty Century 1900-Present) หลังจากย้ายไปนิวยอร์กจากอังกฤษในปี 1947 สโมสร
ตั้งอยู่ที่ Broadway และ 44th Street ในนิวยอร์กซิตี้ สโมสรได้เปลี่ยนชื่อใน 2492 ถึง "Birdland"
เพื่อเป็นเกียรตแิ ก่ Charlie "Bird" Parker Morris Levy เจ้าของตดั สินใจในปี 1952 ให้สถานวี ิทยุ WJZ
ออกอากาศรายการจากสโมสรและขอให้ Shearing บันทึกเพลงประกอบสำหรับการออกอากาศ
เหล่านั้น George Shearing ไม่ชอบเพลงที่ Levy เลือกและเสนอให้แต่งเพลงแทน ข้อตกลงระหว่าง
พวกเขารวมถึงข้อกำหนดที่ Levy ได้รับสิทธิ์ในการเผยแพร่ในขณะที่ Shearing ยังคงสิทธิ์ในการ
แต่งเพลง หลังจากทำงานกับเพลงใหม่มาหลายสัปดาห์ Shearing กระโดดลุกขึ้นยืนกลางดึก เดิน
ไปที่เปียโนและเขียนเพลง "Lullaby of Birdland" ในเวลาประมาณสิบนาที Shearing's Quintet
บันทึกเพลงและนำไปใช้เป็นเพลงประกอบของ Quintet ในภายหลัง ได้ถูกเพิม่ เนือ้ เพลงโดย George
David Weiss (1921-2010) ซึ่งในปี 1984 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Songwriters Hall of Fame บท
พลงนี้เป็นที่โด่งดังในสมัยก่อนจนมีกลุ่มนักร้องชาวปารีส The Blue Star ได้บันทึกเสียงอีกเวอร์ช่นั
ชือ่ วา่ “Lullaby of Birdland Twist”
4.2.2 การวิเคราะห์ผลงานการเรียบเรียงเสียงประสานในด้านโครงสร้างทางทฤษฎี
ดนตรีสากล
ผู้จัดทำได้นำบทเพลงนี้มาเรียบเรียงใหม่ (Arrange) จาการนำโน้ตที่เป็นทำนอง
หลัก (Melody) และคอร์ด (Chord) นำออกมาสร้างสรรค์ออกมาในรูปแบบวงแชมเบอร์ (Chamber)
เปน็ การประสมวงดนตรีซึ่งมีผู้บรรเลง 2 คนข้ีนไปถึง 9 คนหรอื มากกกว่าน้ัน โดยบทเพลง “Lullaby
of Birdland” นี้จะเรียบเรียงให้กับกลุ่มผู้บรรเลง 5 คน (Quintet) ซึ่งจะใช้เครื่องเป่าทองเหลืองโดย
แต่ละเครื่องจะมีลักษณะการเล่นที่แตกต่างกันเช่น Trumpet จะนิยมเป่าเป็นแนวทำนองหลัก
(Melody) หรือในบางครั้งก็จะเป่าเป็นแนวประสานเสียงส่วน Trombone นั้นจะเป็นเครื่องที่มีโทน
เสียงค่อนข้างต่ำจงึ มกั เป่าเป็นแนวประสานเสียงเบสหรอื ทวนทำนอง (Counter Melody) ในสว่ นของ
Tuba นั้นจะเป็นเครื่องที่มีขนาดใหญ่จึงทำให้มีโทนเสียงต่ำที่นิยมเป่าเป็นแนวเสียงเบส และแนว
เสียง Drum set จะเพิ่มความสมบูรณแ์ บบให้กับบทเพลงมากยิ่งขนึ้
72
ซึ่งในแต่ละเครอ่ื งก็จะมีโทนเสียง (Range) ทีแ่ ตกต่างกนั ออกไปจะแบ่งออกเปน็ ดังน้ี
1.Trumpet เป็นเครื่องดนตรีประเภท High Brass นิยมเล่นเป็นทำนองหลัก (Melody) จะมี
ช่วงเสียงต้ังแต่ F#3 – D6
2.Trombone เป็นเครือ่ งดนตรีประเภท Low Brass ใช้ในการประสานเสียงโดยจะมีช่วงเสียง
ตั้งแต่ E2 – F5
3.Tuba เป็นเครื่องดนตรีประเภท Low Brass ใช้ในการเดินเสียงเบส (Bass) โดยจะมี
ชว่ งเสียงต้ังแต่ D1 – F4
73
ความเร็วจังหวะของบทเพลงนี้คือ Pestro ความเร็วของอัตราจังหวะนั้นจะวัดเป็นจะงหวะ
ต่อนาที หรือเรียกว่า BPM (Best Per Minute) 190 BPM จะเท่ากับ 190 ครั้งต่อนาทีแต่ในความเร็ว
ของอตั ราจังหวะสามารถแบง่ ออกได้เปน็ หลายอตั ราจังหวะซึ่งมีชื่อเรยี กทีแ่ ตกต่างกันดังน้ี
ชื่อของอตั ราจงั หวะ ความหมาย จังหวะ (BPM)
Larghissimo จงั หวะช้าทีส่ ดุ น้อยกวา่ 24 BPM
Grave จงั หวะช้ามาก 25 – 45 BPM
Largo จงั หวะช้ามากแตช่ า้ กว่า Lento 40 – 60 BPM
Lento จังหวะช้ามากแต่สง่างาม 45 – 60 BPM
Larghetto จงั หวะช้าแตเ่ ร็วกว่า Lento 60 – 66 BPM
Adagio แปลวา่ “at ease” จังหวะช้า 66 – 76 BPM
Adagietto จังหวะขอ่ นค้างช้า 70 – 80 BPM
Andante จงั หวะก้าวเดิน 76 – 108 BPM
Andantino เร็วกว่า Andante เลก็ น้อย 80 – 108 BPM
Andante Moderato เรว็ กว่า Andantino เล็กน้อย 92 – 112 BPM
Moderato จังหวะปานกลาง 101 – 110 BPM
Allegretto จังหวะเร็วปลานกลางแต่ช้ากว่า 112 – 120 BPM
Allegro
Allegro Moderato จังหวะช้ากว่า Allegro เลก็ น้อย 116 – 120 BPM
Allegro จงั หวะเร็วปลานกลาง 120 – 139 BPM
Vivace จังหวะเร็วสดใส 168 – 176 BPM
Vivacissimo จงั หวะเร็วมากกแต่สดใส 172 – 176 BPM
Allegrissimo จงั หวะเรว็ มากแตช่ ้ากว่า Presto 172 – 176 BPM
Presto จงั หวะเร็วมาก 168 – 200 BPM
Prestissimo จังหวะเร็วทีส่ ุด มากกวา่ 200 BPM
และในบทเพลงมีวิธีการเล่นแบบ Swing เป้นหระเภทการเล่นของดนตรีแจ๊ส (Jazz Music) ที่ใช้วง
เครื่องเป่าในปี ศ.ส. 1930 – 1940 Swing จะมีวิธีการเล่นที่เป็นเอกลักษณ์อยู่โดยการเล่นจะเน้นที่
โน้ตตัวที่ 2 และตัวที่ 4 จะเป็นจังหวะที่แกว่งไปมาบทเพลงนี้จะใช้บันไดเสียง F minor เป็นไดอาโท
74
นิค (Diatonic Scale) ซึ่งเป็นชนิดไมเนอร์ไดอาโทนิค (Diatonic Scale) นั้นจะเป็นบันไดเสียงที่
ประกอบไปด้วยโน้ต 7 ตัวเรียงกันตามลำดับไม่ซ้ำตัวอักษร C D E F G A B โดยจะมีโครงสร้างที่
ประกอบไปด้วยระยะห่าง 5 Tone และ 2 Semitones ในบันไดเสียงไดอาโทนิคจะประกอบไปด้วยกนั
อยู่ 2 ชนิด ได้แก่ บนั ไดเสียงเมเจอร์ (Major Scale) และบนั ไดเสียงไมเนอร์ (minor Scale)
ลักษณะของบันไดเสียงเมเจอร์ (Major Scale) ประกอบไปด้วยโน้ต 7 ตัวมี 5 Tone และ 2
Semitones มีรูปแบบช่วงห่างของเสียง T-T-S-T-T-T-S (T คือตัวย่อของ Tone ส่วน S คือตัวย่อ
ของ Semitones) ตัวอย่างเชน่ C-D-E-F-G-A-B-C เป็นตวั อย่างของ บนั ไดเสียง C เมเจอร์
บันไดเสียงไมเนอร์ (minor Scale) จากบันไดเสียงเมเจอร์ให้ลดลงมา 1 เสียงเต็มและ 1
ครึ่งเสียง ( 3 ครึ่งเสียง) จงึ จะได้บันไดเสียงไมเนอร์ นอกจากนบี้ ันไดเสียงไมเนอร์ยังแบ่งออกได้อีก
3 ชนิดได้แก่ บันไดเสียงไมเนอร์แบบเนเชอรัล (Natural minor scale) บันไดเสียงไมเนอร์แบบฮาโม
นิก (Harmonic minor scale) และบันไดเสียงไมเนอร์แบบเมโลดิก (Melodic minor scale) บันไดเสียง
ไมเนอร์แบบเนเชอรัล (Natural minor scale) จะมีโครงสร้างตัวโน้ตเหมือนกับบันไดเสียงเมเจอร์แต่
เริ่มจากตัวที่หกของบันไดเสียงเมเจอร์ มีรูปแบบช่วงห่างของเสียง T-S-T-T-S-T-T เช่น A-B-C-
D-E-F-G-A เป็นตัวอยา่ งของ บันไดเสียง A ไมเนอร์แบบเนเชอรลั (Natural minor scale)
บันไดเสียงไมเนอร์แบบฮาโมนิก (Harmonic minor scale) โครงสร้างคล้ายกับบันไดเสียงไมเนอร์
แบบเนเชอรัล (Natural minor scale) แต่ปรับโน้ตตัวที่ 7 สูงขึ้นครึ่งเสียง เช่น บันไดเสียง A ไมเนอร์
แบบฮาโมนิก (Harmonic minor Scale)
75
บันไดเสียงไมเนอร์แบบเมโลดิก (Melodic minor scale) โครงสร้างคล้ายกับบันได
เสียงไมเนอร์แบบเนเชอรลั (Natural minor scale)แต่ปรับโน้ตตัวที่ 6 และตวั ที่ 7 สูงข้ึนครึ่งเสียงตอน
ขาขึ้น และปรับโน้ตตัวที่ 6 และตัวที่ 7 ต่ำลงครึ่งเสียงตอนขาลง เช่น บันไดเสียง A ไมเนอร์แบบ
เมโลดิก (Melodic minor scale)
เครื่องหมายกำหนดจังหวะที่ใช้ในบทเพลงคือ 4/4 เป็นอัตราจังหวะธรรมดา (Semple
Time) เลขตัวบนเป็นเลข 4 แสดงจำนวนจังหวะใน 1 ห้องมีทั้งหมด 4 จังหวะ เลขตัวล่างเป็นเลข 4
แสดงค่าตัวโน้ตและค่าตัวหยุดหมายความว่า โน้ตตัวดำมีค่าเท่ากับ 1 จังหวะใน 1 ห้องจะต้องมี
จังหวะไม่เกิน 4 จังหวะและในบทเพลงนี้จะประกอบไปด้วยคอร์ด (Chord) เป็นกลุ่มเสียงตั้งแต่ 3
เสียงขึน้ ไปประกอบกับเป็นเสียงประสาน คอร์ดมีทั้งหมด 4 ชนิด ได้แก่ คอร์ดเมเจอร์ คอรด์ ไมเนอร์
คอร์ดดิมมินิชท์ และคอร์ดออกเมนเทด คอร์ดยังสามารถขยายต่อเป็นตอร์ดที่ซับซ้อนขึ้น นอก
จากนียังมีคอร์ดที่แบบหนึ่งคือ คอร์ดทบเจ็ด (Seventh Chord) ในบทเพลงจะใช้คอร์ด (Chord)
เมเจอร์ (Major) ไมเนอร์ (minor) และคอร์ดทบเจด็ (Seven Chord)
คอร์ดเมเจอร์ (Major Chord) โครงสร้างเหมือนทรัยแอดพื้นต้นจะประกอบไปด้วยโน้ตตัวที่
1-3-5 เช่น C Major ประกอบไปด้วย C-E-G
คอร์ดไมเนอร์ (minor Chord) โครงสร้างเหมือนทรัยแอดพื้นต้นจะประกอบไปด้วยโน้ตตวั ที่
1-3-5 แต่จะลดตัวที่ 3 ลง 1 ครึ่งเสียง จะทำให้กลายเป็นคอร์ดไมเนอร์ เช่น C minor ประกอบไป
ด้วย C-Eb-G
คอร์ดทบเจ็ด (Seventh chord) โครงสร้างเหมือนทรัยแอด (Triad) พื้นต้นแต่เพิ่มโน้ตตัวที่ 7 ขึ้นมา
ทำให้คอรด์ เรียงกนั เปน็ คู่ 3 คู่ 5 และคู่ 7 เช่น C Major7 ประกอบไปด้วย C-E-G-B
ในคอร์ด (Chord) จะมีโน้ตนอกคอร์ด (Non Chord Tone) เป็นโน้ตในเพลงที่ไม่เข้ากับคอร์ดอย่าง
กลมกลืน โน้ตเหล่านีม้ ีอยู่ในเพลง เพื่อให้แตล่ ะเสียงเคลื่อนไหวได้ไพเราะมากขึ้นซี่งในบทเพลงนี้จะ
ประกอบไปด้วย
Passing Tone เป็นโน้ตนอกคอร์ดที่เกิดขึ้นในจังหวะหนักหรือจังหวะเบาก็ได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะ
เกิดข้ึนในจังหวะเบา
76
ANTICIPATION เป็นโน้ตในคอร์ดที่เกิดขึน้ ก่อนคอร์ด 1 จงั หวะ
SUSPENSION เป็นโน้ตในคอร์ดทีเ่ กินมา 1 จังหวะและต้องมีเคร่อื งหมายโยงเสียง (Tie)
ในบทเพลงท่อนจบของบทเพลง (Cadence) เป็น Half Cadence คือท่อนจบจากคอร์ดใดก็
ได้ไปหาคอรด์ V ใช้ตวั ยอ่ เปน็ HC
) เป็นโครงสร้างของการประพันธ์เพลงและรูปแบบมีอยู่หลากหลายรปู แบบแตท่ ี่นิยมใช่อยู่
บอ่ ยมีด้วยกัน 3 รูปแบบ Binary Ternary rondo แต่ในบทเพลงจใช้รูปแบบ Rondo Form เป็นรูปแบบ
ที่มีหลายส่วนแต่จะเน้นแนวทำนองหลักทำนองแรกจะวนกลับมาอยู่ระหว่างแต่ละส่วนที่แตกต่าง
กัน ที่นิยมใช้มีอยู่ 3 ลักษณะ คือ Simple Second Third และในบทเพลงคือ Second Rondo คือการ
เปลีย่ นไปมาของแนวทำนองแรกกบั อีก 2 แนวทำนองคอื ABACA
77
78
บทเพลงที่ 6
Stranger on the shore
เรียบเรยี งเสียงประสานโดย นางสาวสุทฤทัย ทองสุข
ระดับชน้ั ปวช.3/1 สาขาดนตรี
79
4.1. ผลงานการเรียบเรยี งเสียงประสานบทเพลงสมัยนิยม
https://youtu.be/8-rgcKHXUAo
ภาพที่ 4.7 เพลง Stranger on the shore
เรียบเรียงเสียงประสานโดย นางสาวสุทฤทัย ทองสุข
80
4.2. การวเิ คราะหผ์ ลงานการเรียบเรยี งเสียงประสานบทเพลงสมัยนิยม ใน 2 หวั ข้อ
4.2.1. การวิเคราะห์ผลงานการเรียบเรียงเสียงประสานในด้านประวัติเพลงและ
ประวตั ิผู้ประพนั ธ์
เพลง Stranger on the shore นับเป็นเพลงบรรเลง clarinet อมตะเพลงหนี่ง และต่อมาถูก
ใสเ่ นือ้ ร้อง ทีพ่ รรณาถึงการจากไปของคนรักอย่างไม่มีวันหวนกลับคืน Ship หมายถึงเรือลำใหญ่ที่
เดินทางทะเลไปนานๆ ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะกลบั มาเมื่อไร หลายครั้งหมายถึงการอพยพย้ายถิ่นที่
จะไม่หวนคืนกลบั มา Stranger on the shore จงึ หมายถึงการจากไปของคนรกั ถูกทอดทงิ้ ให้อยู่โดด
เดี่ยวอย่างแท้จริง เป็นคนแปลกหน้าทั้งของตัวเอง และคนทั่วไป เป็นเพลงที่มีทว่ งทำนองเศร้ามาก
ทีเดียว
4.2.2 การวิเคราะห์ผลงานการเรียบเรียงเสียงประสานในด้านโครงสร้างทางทฤษฎี
ดนตรีสากล
จะใช้เป็นเครื่องเป่าลมไม้ ประกอบด้วยแนวเสียง 4 แนวเสียง ได้แก่ Flute Clarinet in Bb
Tenor saxophone Bariton saxophone. ในแต่ละเครื่องจะมีช่วงเสียงที่แตกต่างกันไป แบ่งออกเป็น
ดงั น้ี Flute เปน็ เครื่องดนตรีประเภท High Woodwind ใช้ในการเดินประสานทำนอง ชว่ งเสียงต้ังแต่
C4 – C7 Clarinet เป็นเครื่องดนตรีประเภท High Woodwind ใช้ในการเดินทำนองหลัก ช่วงเสียง
ตั้งแต่ E3 - C6 Tenor Saxophone เป็นเครื่องดนตรีประเภท Low Woodwind ใช้ในการเดินเสียง
ประสาน ช่วงเสียงตั้งแต่ Bb2 – F5 Baritone Saxophone เป็นเครื่องดนตรีประเภท Low woodwind
ใช้ในการเดินเสียง Bass เป็นฐานใหก้ บั วง มีช่วงเสียงต้ังแต่ Bb2 – F5
โดยในเพลงนี้จะอยู่ในบันไดเสียงไดอาโทนิคประเภทเมเจอร์ เป็นบันไดเสียง F Major ใช้
เครื่องหมายกำหนดจังหวะ (Time signature) 4/4 โดยเลข 4 ด้านบนใช้กำหนดว่าใน 1ห้อง จะมี 4
จงั หวะ และเลข 4 ด้านลา่ ง จะมีไว้แสดงลกั ษณะของโน้ต กำหนดวา่ โน้ตตวั ดำ (Quarter Note) มีค่า
เทา่ กบั 1 จงั หวะ
81
ซึ่งในเพลงจะมีเครื่องหมายต่างๆ โดยแบ่งเป็น 3 เครื่องหมาย ดังนี้ 1st & 2nd ending
Repeat Tie
1st & 2nd ending ลักษณะคล้ายวงเล็บเหลีย่ มข้างเดียวครอบเหนือบรรทดั ท้ังหอ้ งมี
ตัวเลขบอกลำดบั เมอ่ื ดนตรีเลน่ มาถึงรอบแรกจะเล่น 1st ending รอบที่สองจะเลน่ 2nd ending
Repeat จะอย่2ู แบบคือ Start repeat และ End Repeat ลักษณะเป็น Double
Barline มีจดุ สองจุดโดย Start repeat จะมีจุดอยดู่ ้านหลังสว่ น End Repeat จะมีจดุ อยดู่ ้านหน้า
เมือ่ ดนตรีเล่นมาถึง End Repeat จะย้อนกลบั ไปเลน่ ตรงที่ Start Repeat อีกครั้งหนึ่ง
Tie ลักษะเปน็ เส้นโค้งใช้ในการเอมเสียงของตวั โน้ตทีเ่ ป็นโน้ตเดียวกันและอยู่ใน
ระดบั เสียงเดียวกนั
บทเพลงน้ีท่อนจบของบทเพลง (Cadence) เป็น Half Cadence คือท่อนจบจากคอร์ดอะไร
ก็ได้ไปหาคอร์ด V ใช้ตวั ย่อเป็น HC
82
รูปแบบของเพลงนเี้ ปน็ รปู แบบ Binary Form
Binary Form เป็นรูปแบบที่ประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ ๆ จะแตกต่างกันทั้งสอง
สว่ น คือ AB หรอื AABB
83
บทเพลงที่ 7
When Irish Eyes are Shining
เรียบเรยี งโดย นางสาวพิมพมิ ล มลู แกว้
ระดบั ชน้ั ปวช.3/1 สาขาดนตรีสากล
84
4.1. ผลงานการเรียบเรยี งเสียงประสานบทเพลงสมัยนิยม
https://youtu.be/qHJstfQswT0
ถาพท่ี 4.7 เพลง When Irish Eyes are Shining
เรียบเรียงโดย นางสาวพิมพิมล มูลแก้ว
85
4.2. การวเิ คราะหผ์ ลงานการเรียบเรยี งเสียงประสานบทเพลงสมัยนิยม ใน 2 หัวข้อ
4.2.1. การวิเคราะห์ผลงานการเรียบเรียงเสียงประสานในด้านประวัติเพลงและ
ประวตั ิผ้ปู ระพนั ธ์
บทเพลง WHEN IRISH EYES ARE SHINING เป็นเพลงเพื่อยกย่องประเทศไอร์แลนด์ ประพันธ์
โดย Ernest Ball คือ นักร้องและนักแต่งเพลงชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงมากที่สุดจากการแต่งเพลง
และเพลงนี้เขียนคำร้องโดย Chauncey Olcott เกิดวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2401 เกิดที่ บัฟฟาโล
นิวยอร์ก และเสียชีวิต 18 มีนาคม 2475 (อายุ 73 ปี) เป็นนักแสดงละครเวที นักแต่งเพลง และ
นักร้องชาวอเมริกันเชื้อสายไอริช George Graff Jr เกิดวันที่ 5 สิงหาคม 2429 นิวยอร์ก อเมริกา
เสียชีวิตเมื่อ 24 มกราคม 2516 (อายุ 86 ปี) เพนซิลเวเนีย อเมริกา เป็นนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน
เพลง WHEN IRISH EYES ARE SHINING ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในปีพ.ศ.2455 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่
เพลงสรรเสริญไอร์แลนด์ที่โรแมนติกมีจำนวนมากและเป็นที่นิยมทั้งในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา
ในช่วงสงครามโลกคร้ังทีห่ นึ่ง เพลงน้ียงั คงเป็นมาตรฐานที่คุ้นเคยมาหลายชั่วอายุคนทศวรรษต่อมา
ถูกใช้เป็นโอเปร่า เพลงหนึ่งในรายการวิทยุ Duffy's Tavern เพลงนี้ได้รับการบันทึกในซิงเกิ้ลและ
อลั บ้ัมมากกวา่ 200 รายการโดยนักร้องชือ่ ดงั มากมาย
ดิฉันจึงได้นำบทเพลงนี้มาเรียบเรียงใหม่ (Arrange) ในรูปแบบวงแชมเบอร์มิวสิก
(Chember music) เปน็ การประสมวงดนตรีซึง่ มีผู้บรรเลง 2 คนข้ีนไปถึง 9 คนหรอื มากกก
ว่านั้น โดยบทเพลง WHEN IRISH EYES ARE SHINING นี้จะเรียบเรียงให้กับกลุ่มผู้บรรเลง
4 ค น ( Quartet) โ ด ย จ ะ Clarinet Alto saxophone Tenor saxophone แ ล ะ Baritone
saxophone ในแต่และเครื่องจะมีชว่ งเสียง (Range) ทีแ่ ตกตา่ งกนั โดยแบง่ ออกเป็นดังน้ี
Clarinet เป็นเครื่องดนตรีประเภท Woodwind เล่นเป็นทำนองหลัก (Melody) โดย
จะมีชว่ งเสียงตั้งแต่ E3 – C7
86
Alto saxophone เป็นเครื่องดนตรีประเภท Woodwind ใช้ในการประสานเสียงโดย
จะมีชว่ งเสียงตั้งแต่ Bb3 – F6
Tenor saxophone เป็นเครื่องดนตรีประเภท Woodwind ใช้ในการประสานเสียง
โดยจะมีช่วงเสียงตั้งแต่ Bb3 – F6
Baritone saxophone เป็นเครื่องดนตรีประเภท Woodwind ใช้ในการเดินเสียงเบส
(Bass) โดยจะมีช่วงเสียง ตั้งแต่ Bb3 – F6
87
บทเพลงนี้จะใช้บันไดเสียงไดอาโทนิคประเภทเมเจอร์ เป็นบันไดเสียง c major ใช้
เครื่องหมายกำหนดจังหวะ 3/4 อัตราจังหวะธรรมดา (Semple Time) เลขตัวบนเป็นเลข
3 แสดงจำนวนจังหวะใน 1 หอ้ งมที ้ังหมด 3 จงั หวะ เลขตัวลา่ งเป็นเลข 4 แสดงค่าตัวโน้ต
และคา่ ตัวหยดุ หมายความว่า โน้ตตวั ดำมีค่าเท่ากบั 1 จังหวะใน 1 หอ้ งจะต้องมีจังหวะไม่
เกิน 3 จังหวะ
และบทเพลงนี้จะประกอบไปด้วยคอร์ด (Chord) เป็นกลุ่มเสียงตั้งแต่ 3 เสียงขึ้นไป
ประกอบกบั เปน็ เสียงประสาน คอรด์ มีท้ังหมด 4 ชนิด ได้แก่ คอรด์ เมเจอร์ คอร์ดไมเนอร์
คอร์ดดิมมนิ ิชท์ และคอร์ดออกเมนเทด คอร์ดยังสามารถขยายต่อเป็นตอร์ดที่ซับซ้อนขึ้น
นอกจากนียงั มคี อรด์ ที่แบบหน่งึ คอื คอร์ดทบเจด็ (Seventh Chord) ในบทเพลงจะใช้คอร์ด
(Chord) เมเจอร์ (Major) ไมเนอร์ (minor) และคอร์ดทบเจ็ด (Seven Chord)
คอรด์ เมเจอร์ (Major) โครงสรา้ งเหมอื นทรยั แอดพืน้ ต้นจะประกอบไปด้วยโน้ตตัว
ที่ 1-3-5 เชน่ C Major ประกอบไปด้วย C-E-G
คอร์ดไมเนอร์ (minor) โครงสร้างเหมือนทรัยแอดพื้นต้นจะประกอบไปด้วยโน้ต
ตัวที่ 1-3-5 แต่จะลดตัวที่ 3 ลง 1 ครึ่งเสียง จะทำให้กลายเป็นคอร์ดไมเนอร์ เช่น C
minor ประกอบไปด้วย C-Eb-G
88
คอรด์ ทบเจด็ (Seventh chord) โครงสรา้ งเหมอื นทรัยแอดพืน้ ต้นแต่เพิ่มโน้ตตัวที่
7 ขึ้นมาทำให้คอร์ดเรียงกันเป็นคู่ 3 คู่ 5 และคู่ 7 เช่น C Major7 ประกอบไปด้วย C-E-
G-B
รปู แบบ (Forms)
รูปแบบเพลง (Song Forms) เมื่อนำรูปแบบเทอร์นารีฟอร์มมาและเติมส่วนหลัก
แรกลงอีก 1 ครั้งจะได้รูปแบบ AABA หรือ AA’ BB’(A คือส่วนที่เติมลงไป)ที่เรียกว่า
รูปแบบเพลงเพราะบทเพลงทัว่ ๆไปมักจะมีโครงสร้างแบบนี้ รูปแบบเพลงบางครั้งอาจจะ
จัดเป็น Rounded Binary Struture รูปแบบของเพลงนี้เป็นรูปแบบของ Song form และใน
เพลงน้มี ีรูปแบบเป็น
AABC
89
บทที่ 5
สรุปผลการดำเนนิ งาน อภิปรายผล ข้อเสนอแนะ
สรปุ ผลการดำเนินงาน
ผลจากการทำโครงงานเรื่อง การนำเสนอบทเพลงสมัยนิยมโดยโปรแกรมดนตรี
คณะผู้จัดทำได้เข้าใจเรื่องของ ทฤษฏีดนตรีสากล และพัฒนาศักยภาพด้วยการใช้โปรแกรมบันทึก
โน้ตเพลง Sibelius (Sibelius Score Writer) รวมทั้งเข้าใจหลัการ วิธีการเรียบเรียงเสียงประสาน
(Arrange) ตลอดจนรู้หลักการ กระบวนการทำโครงงาน ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และ
ประโยชน์ที่ได้รับ ซึ่งภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019
(COVID-19) คณะผู้จัดทำจึงเผยแพร่ผลงานผ่านสื่อโซเชียลมีเดียในช่องทอง Youtube เพื่อให้
บุคคลภายนอกได้เหน็ ผลงานการเรียบเรียงเสียงประสานบทเพลงสมัยนิยมได้เป็นอยา่ งดี
โครงงานพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพเรื่อง การนำเสนอบทเพลงสมัยนิยมโดยโปรแกรมดนตรี
เป็นการสร้างสรรค์บทเพลงสมัยนิยม โดยการเรียบเรียงเสียงประสานขึ้นใหม่ให้เป็นวงดนตรี
ประเภท Ensemble ขนาดเล็ก ที่ใช้ผู้บรรเลง 4-5 คน ซึ่งบทเพลงที่ใช้ผู้บรรเลง 4 คน (Quatet)
มีจำนวน 2 เพลง ได้แก่ Stranger on the shore. WHEN IRISH EYES ARE SHINING บทเพลงที่ใช้ผู้
บรรเลง 5 คน (Quintet) มีจำนวน 5 เพลง ได้แก่ Ain't Misbehavin', Can’t help falling in love,
Dancing On TheCeiling, for you for me forevermore, Lullaby of Birdland, ทั้งนี้ บทเพลงจำนวน
7 บทเพลง จะถูกนำมาเรียบเรียงเสียงประสานให้เกิดความน่าสนใจ และสีสันที่แปลกใหม่
คณะผู้จัดทำจะขอสรุปผลงานการเรียบเรียงเสียงประสานบทเพลงสมัยนิยม โดยใช้ โปรแกรม
บันทึกโน้ตเพลง Sibelius (Sibelius Score writer) ท้ังหมด 7 บทเพลง
สรุปบทเพลง Ain't Misbehavin' : Andy Razaf
Ain't Misbehavin' เป็นเพลงที่เขียนขึ้นมาเพื่อเป็นเพลงเปิดตัวของละคร
เพลงเรอ่ื ง Connie’s Hot Chocolates แต่งโดย Andy Razaf จงึ นำมาเรียบเรียงใหมใ่ นรูปแบบประเภท
วงแชมเบอร์มิวสิก ซึ่งการผสมวงดนตรีตั้งแต่กลุ่มผู้บรรเลง 2 คน ไปจนถึง 9 คนหรือมากกว่านั้น
โดยได้นำกลุ่มผู้บรรเลง 5 คนเรียกว่า ควินเต็ต (Quintet) มาใช้ในการเรียบเรียงใหม่ โดยใช้เครื่อง
เป่าลมทองเหลือง 5 ชิ้นได้แก่ ทรัมเป็ต 2 คน ฮอร์น 1 คน ทรอมโบน 1 คน ทูบา 1 คน ซึ่งในแต่ละ
90
เครื่องดนตรีจะมีลักษณะและช่วงเสียงเป็นของตัวเอง โดยทรัมเป็ตเป็นเครื่องดนตรีประเภท High
Brass ใช้ในการเดินทำนองหลกั จะมีช่วงเสียงตั้งแต่ F#3 – D6 ฮอร์นเป็นเครื่องดนตรีประเภท High
Brass ใช้ในการผสานหรือเชื่อเสียงระหว่าง Low Brass กับ High Brass จะมีช่วงเสียงตั้งแต่ F#2 –
C6 ทรอมโบน เป็นเครื่องดนตรีประเภท Low Brass ใช้ในการผสานเสียงจะมีช่วงเสียงตั้งแต่ E2 –
F5 ทูบา เป็นเครื่องดนตรีประเภท Low Brass ใช้ในการเดินเสียง Bass เป็นฐานให้กับวงจะมี
ช่วงเสียงตั้งแต่ D1 – F4 โดยบทเพลงนี้อยู่ในบันไดเสียงไดอาโทนิคประเถทเมเจอร์ เป็นบันไดเสียง
Eb เมเจอร์ ใช้เครื่องหมายกำหนดจังหวะ 4/4 ซึ่งในเพลงจะมีเครื่องหมายต่างๆ โดยแบ่งเป็น 5
เครื่องหมาย ดังนี้ 1st & 2nd ending Repeat Tie Coda Da capo ซึ่งบทเพลงนี้จะประกอบไปด้วย
คอร์ด (Chord) ทั้งหมด 5 ชนิด ได้แก่ คอร์ดเมเจอร์ คอร์ดไมเนอร์ คอร์ดดิมมินิชท์ คอร์ดออกเมน
เทด และคอร์ดทบเจด็ (Seventh Chord) และจะมีโน้ตนอกคอรด์ (Non Chord Tone) อยู่ 3 ประเภท
ได้แก่ Passing Tone Neighboring Tone Escape Tone โดยท่อนจบของบทเพลง (Cadence) เป็น
Authentic Cadence และรปู แบบของบทเพลงนีอ้ ยใู่ นรูปแบบ Binary Form
สรุปบทเพลง Can’t help falling in love : Elvis Presley
Can’t help falling in love เป็นเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อประกอบภาพยนตร์เรื่อง
Honeymoon in Vegas แต่งโดย Elvis Presley เขาเป็นนักร้องนกั แสดงชาวอเมริกนั และ Elvis Presley
นั้นมีฉายาในวงการวา่ “ราชาแห่งรอ็ กแอนด์โรลล์” หรอื เรียกส้ันๆวา่ “เดอะคิง”
ซึ่งผู้จัดทำก็ได้นำบทเพลงของเขามาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบของวงแชมเบอร์ ซึ่งเป็นการ
ผสมผสานกันของวงดนตรีสากลประเภทหนึ่ง ซึ่งการบรรเลงในรูปแบบนี้จะมีลักษณะตั้งแต่ 2 ชิ้น
ขึ้นไป ซึ่งในบทเพลงนี้ผู้จัดทำได้ดัดแปลงบทเพลงโดยใช้ผู้บรรเลงทั้งหมด 5 คน ซึ่งมีชื่อเรียกอีก
อย่างว่าวง ควินเต็ด (Quintet) มาเรียบเรียงใหม่ โดยใช้ Flute Clarinet Tener Saxophone Baritone
Saxophone French horn
ซึ่งเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นก็จะมีช่วงเสียงที่แตกต่างกัน โดยแต่ละเครื่องจะมีช่วงเสียง ดังนี้
Flute ช่วงเสียงจะอยู่ตั้งแต่ C4-C7, Clarinet ช่วงเสียตั้งแต่ E3-C6, Tenor Saxophone ช่วงเสียง
ตั้งแต่ Bb2 – F5, Baritone Saxophone ชว่ งเสียงต้ังแต่ Bb2 – F5, French horn ช่วงเสียงตั้งแต่ C1-
C5
โดยในเพลงนี้จะอยู่ในบันไดเสียงไดอาโทนิคประเภทเมเจอร์ เป็นบันไดเสียง C Major ใช้
เครื่องหมายกำหนดจังหวะเป็น 4/4 และซึ่งในเพลงนี้ จะมีเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ต่างๆอยู่ใน