The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by oatgamemr1559, 2021-11-09 22:24:51

การนำเสนอบทเพลงโดยโปรแกรมดนตรี (ฉบับสมบูรณ์)

รวมเล่มดนตรี

91

บทเพลงน้ีดว้ ย โดยจะมเี ครือ่ งหมาย Repeat Crescendo Decrescendo slur tie Fermata Ritardando
Forte Mezzo Forte Piano Mezzo piano อยใู่ นเพลงเป็นต้น

รูปแบบของการจบเพลง (Cadence) มีลักษณะเป็น Plagal Cadence (PC) คือการจบจาก
คอรด์ IV ไปยงั คอร์ด I

รูปแบบของเพลง (Form) มีลักษณะรปู แบบของ Song form ซึ่งเป็นรูปแบบของการประพันธ์
ที่นยิ มใช้ในบทเพลงสมยั ปจั จุบนั เป็นอยา่ งมาก และเพลงน้มี รี ูปแบบคือ A A B A

สรุปบทเพลง Dancing On The Ceiling : Richard Rodgers
เป็นบทเพลงที่นิยมในปี 1930 ประพันธ์ขึ้นโดย Richard Rodgers เนื้อเพลง

ประพันธ์โดย Lorenz Hart เป็นส่วนหนึ่งในละครเพลงเรื่อง Simple Simon ถูกร้องโดย Jessie
Matthews Simple Simon เปน็ Broadway ดนตรี พร้อมหนงั สอื โดย Guy Bolton และ Ed Wynn เนื้อ
เพลงโดย Lorenz Hart ดนตรีโดย Richard Rodgers อำนวยการสร้างโดย Florenz Ziegfeld, Jr. และ
นำแสดงโดย Ed Wynn เริ่มเล่นต้ังแต่วนั ที่ 18 กมุ ภาพันธ์ 1930 ถึง 14 มิถนุ ายน 1930 ที่ “Ziegfeld
Theatre “ จากน้ันเปิดอกี ครั้งในวันที่ 9 มีนาคม 1931 ที่ “Majestic Theatre: ออกแบบมาเพื่อแสดง
ให้เหน็ ถึงการการลงโทษของ Ed Wynn และ เพลง Ten Cents a Dance ได้รบั การแนะนำโดย Ruth
Etting ในการแสดงนี้ "Love Me or Leave Me " โดย Gus Kahn และ Walter Donaldson และหลังจาก
นั้น "Dancing on the Ceiling" เขียนในปี 1930 โดย Richard Rodgers ร่วมกับ Lorenz Hart สำหรับ
เนือ้ เพลง เพลงน้ีแตง่ ข้ึนครง้ั แรกสำหรับละครเพลงเรื่อง Ever Green ในปี1930 และต้ังแต่การแสดง
ครั้งแรกนี้เพลงดังกล่าวได้กลายเป็นมาตรฐานแจ๊สจากหนังสือเพลงของ Rodgers and Hart เพลง
Dancing On The Ceiling เป็นบทเพลงประเภท Jazz โดยมี Richard Rodgers และ Lorenz Hart เป็น
ผู้ประพันธ์ กระผมได้ใช้วง Bass Band ได้แก่ Trumpet 2 คน French Horn 1 คน Trombone 1 คน
Tuba 1คน ซึ่งในแต่ละเครื่องดนตรีมีช่วงเสียงที่ต่างกนั Ttumpet F#3 – D6 French Horn F#2 – C6
Trombone E2 – F5 Tuba D1 – F4 เพลงนี้อยู่ในบันไดเสียงไดอาโทนิคประเภทเมเจอร์ เป็นบันได
เสียง F Major ใช้เครื่องหมายอัตตราจังหวะ 4/4 หรือเขียนได้อีกแบบคือ C อัตตราจังหวะธรรมดา
(Semple Time)

92

สรปุ บทเพลง for you for me forevermore : George Gershwin
for you for me forevermore ประพันธ์ขึ้นโดย George Gershwin เป็นนัก

เปียโนและนกั แตง่ เพลงชาวอเมริกัน มีผลงานในแนวดนตรีคลาสสิคและเพลงปอ็ ปจงึ ได้นำเพลง For
you for me forevermore มาเรียบเรียงใหมใ่ นรปู แบบประเภทวงแชมเบอรม์ ิวสิกเปน็ ประเภทวงกลุ่ม
เล็กที่เป็นการนำเครื่องดนตรีตะวันตกมาผสมผสานกนั ซึง่ ดารผสมวงดนตรปี ระเภทนี้จะมีผู้บรรเลง
ต้ังแต2่ คนไปจนถึง9คนหรอื มากกวา่ นน้ั กระผมได้นำกลมุ่ บรรเลง5คนเรียกวา่ Quintet มาใช้ในการ
เรียบเรียงใหม่ โดยใช้เครื่องเป่าลมทองเหลือง5ชื้น ได้แก่ Flite clarinet tenor Saxophone French
horn และ Baritone Saxophoneซึ่งในแต่ละเครื่องดนตรีจะมีช่วงเสียงเป็นของแต่ละเครื่อง โดยแบ่ง
ออกเป็น4เครื่อง ดังนี้ Fluet จะมีช่วงเสียงตั้งแต่ C4 - D7 Clarinet จะมีช่วงเสียงตั้งแต่ E3 – C7
Tenor Saxophone จะมีช่วงเสียงตั้งแต่ Ab2 – E5 French Horn จะมีช่วงเสียงตั้งแต่ F#2 – C6
Baritone Saxophone จะมีช่วงเสียงตั้งแต่ C2 – A4 บทเพลงนี้ท่อนจบของบทเพลง (Cadence) เป็น
Authentic Cadence รูปแบบของบทเพลงน้เี ป็นรปู แบบ Binary Form

สรุปบทเพลง Lullaby of Birdland : George Shearing
บทเพลง Lullaby of Birdland เป็นทบเพลงท ประพันธ์โดย George Shearing และ

เขียนคำรอ้ งโดย George David Weiss บทเพลงน้ีเป็นที่โดง่ ดงั ในสมัยก่อนจนมีกลมุ่ นักร้องชาวปารีส
The Blue Star ได้บนั ทึกเสียงอีกเวอรช์ ่ันชือ่ วา่ “Lullaby of Birdland Twist” จงึ นำบทเพลงนี้มาเรียบ
เรียงใหม่ (Arrange) ในรูปแบบวงแชมเบอร์มิวสิก (Chamber music) เป็นการประสมวงดนตรีซึ่งมีผู้
บรรเลง 2 คนขี้นไปถึง 9 คนหรือมากกกว่านั้น โดยบทเพลง “Lullaby of Birdland” นี้จะเรียบเรียง
ให้กับกลุ่มผู้บรรเลง 4 คน (Quartet)ซึ่งจะใช้เครื่องเป่าทองเหลืองโดยจะประกอบด้วย แนวเสียง
Trumpet 1 , Trumpet 2 , Trombone และ Tuba และในแต่ละเครื่องนั้นจะจะมีช่วงเสียงที่แตกต่าง
กนั ออกไปเช่น Trumpet จะมีช่วงเสียงระหว่าง F#3 – D6 Trombone จะมีช่วงเสียงระหว่าง E2 – F5
และ Tuba จะมีช่วงเสียงระหว่าง D1 – F4 ในแต่และเครื่องนั้นจะมีวิธีการเล่นหรือคาแรกเตอร์ที่
แตกต่างกันออกไปตัวอย่างเช่น Trumpet จะนิยมเล่นในทำนองหลัก (Melody) Trombone จะเล่นใน
ส่วนของการประสานเสียงและ Tuba จะเล่นในส่วนของการเดินเสียงเบสเป็นหลักบทเพลงนี้จะใช้
บันไดเสียงไดอาโทนิคประเภทไมเนอร์ เป็นบันไดเสียง F minor ใช้เครื่องหมายกำหนดจังหวะ 4/4
อัตราจังหวะธรรมดา (Semple Time) และซึ่งในบทเพลงจะมีเครื่องหมายต่างๆ แบ่งออกเป็น 7
เครื่องหมายดังนี้ Tie Accent Tenuto Staccato Da capo Repeat 1st & 2nd Fine และในบทเพลงจะ

93

ประกอบไปด้วยคอร์ด (Chord) เมเจอร์ (Major) ไมเนอร์ (minor) และเซเว่นคอร์ด (Seven Chord)
ในส่วนของคอร์ดนั้นจะมีการเดินคอร์ดที่แตกต่างกันออกไป และจะมีโน้ตนอกคอร์ด (Non chord
tone) เพื่อเพิ่มความไพเราะให้กับบทเพลง จะประกอบไปด้วย Passing Tone Anticipation และ
suspension บทเพลงนี้จะมีท่อนจบ (Cadence) ซึ่งจะเป็น เป็น Half Cadence คือท่อนจบจากคอร์ด
อะไรก็ได้ไปหาคอร์ด V ใช้ตัวย่อเป็น HC ในส่วนโครงสร้างของบทเพลง (Form) จะเป็นรูปแบบ
Rondo Form เป็นรูปแบบที่มีหลายส่วนแต่จะเน้นแนวทำนองหลักทำนองแรกจะวนกลับมาอยู่
ระหวา่ งแต่ละสว่ นทีแ่ ตกตา่ งกันกัน ทีน่ ิยมใชม้ ีอยู่ 3 ลกั ษณแตใ่ นบทเพลงจะใช้รูปแบบของ Second
Rondo Form คือการเปลีย่ นไปมาของแนวทำนองแรกกบั อีก 2 แนวทำนองคอื ABACA

สรปุ เพลง Stranger on the shore : Mr. Acker

เพลง Stranger on the shore นับเป็นเพลงบรรเลง clarinet อมตะเพลงห
นี่ง และต่อมาถูกใส่เนื้อร้อง เพลงนี้ได้ที่พดู ถึงการจากไปของคนรักอย่างไม่มีวันหวนกลับคืน Ship
หมายถึงเรือลำใหญ่ที่เดินทางทะเลไปนานๆ ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะกลับมาเมื่อไร หลายครั้ง
หมายถึงการอพยพย้ายถิ่นที่จะไม่หวนคืนกลับมา Stranger on the shore จึงหมายถึงการจากไป
ของคนรกั ถูกทอดทิง้ ให้อยโู่ ดดเดี่ยวอยา่ งแท้จริง เปน็ คนแปลกหนา้ ทั้งของตัวเอง และคนทวั่ ไปเป็น
เพลงทีม่ ที ่วงทำนองเศร้ามากทีเดียว

เพลง Stronger on the shore เป็นบทเพลงประเภทJazz โดยมี Mr.Acker
Bilk and the Leon Young String เป็นผู้จัดทำ จะใช้เป็นวงเครื่องลมไม้โดยมีช่วงเสียงตั้งแต่ C4-C7
โดยFult ช่วงเสียง E3-C6 และClarinet in Bb ช่วงเสียง Bb2-F5 และ เดินเสียงBass เป็นฐานให้กับ
วงมชี ว่ งเสียงต้ังแต่ Bb2-F5 โดยเพลงนีจ้ ะอยใู่ นบันไดเสียงอาโทนิคประเภทเมเจอร์ เป็นบันไดเสียง
F Major ใช้เครื่องหมายกำหนดจังหวะ (Time signature) 4/4 โดยเลข4 กำหนดจังหวะ1ห้อง จะมี4
จังหวะ และเลข4 ด้านล่างมีไว้แสดง ลักษณะของโน๊ตกำหนดว่าโน๊ตตัวดำมีค่าเท่ากับ1 จังหวะ ใน
เพลงจะมีเคร่อื งหมายตา่ งๆ แบ่งเป็น3 เครือ่ งหมาย คือ 1st&2nd ending Repeat Tie

94

สรปุ บทเพลง WHEN IRISH EYES ARE SHINING : Ernest Ball
เป็นเพลงเพื่อยกย่องที่ประเทศไอร์แลนด์ ประพันธ์ โดย Ernest Ball คือ

นักร้องและนกั แต่งเพลงชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงมากที่สุดจากการแต่งเพลงและเพลงนี้เขียนคำร้อง
โดย Chauncey Olcott และ George Graff Jr เพลง WHEN IRISH EYES ARE SHINING ซึ่งเป็นเพลง
สรรเสริญไอร์แลนด์ที่โรแมนติกและเป็นที่นิยมทั้งในอังกฤษและสหรัฐอเมริกาในช่วงสง ครามโลก
ครั้งที่หนึ่ง เพลงนี้ยังคงเป็นมาตรฐานที่คุ้นเคยมาหลายชั่วอายุคนทศวรรษต่อมาถูกใช้เป็นโอเปร่า
เพลงหนึง่ ในรายการวิทยุ Duffy's Tavern เพลงน้ีได้รับการบนั ทึกในซิงเกิ้ลและอัลบ้ัมมากกว่า 200
รายการ จึงได้นำบทเพลงนี้มาเรียบเรียงใหม่ (Arrange) ในรูปแบบวงแชมเบอร์มิวสิก (Chember
music) เป็นการประสมวงดนตรีซึ่งมีผู้บรรเลง 2 คนขี้นไปถึง 9 คนหรือมากกกว่านั้น โดยบทเพลง
WHEN IRISH EYES ARE SHINING นี้จะเรียบเรียงให้กับกลุ่มผู้บรรเลง 4 คน (Quartet) โดยใช้
clarinet alto saxophone tenor saxophone และ baritone saxophone ในแตแ่ ละเครือ่ งจะมีช่วงเสียง
(Range) ทีแ่ ตกต่างกนั โดยแบ่งออกเปน็ ดงั นี้ clarinet เปน็ เครื่องดนตรีประเภท Woodwind ใช้ในการ
เดินทำนองหลักจะมีช่วงเสียงตั้งแต่ E3 – C7 alto saxophone เป็นเครื่องดนตรีประเภท Woodwind
ใช้ในการประสานเสียงจะมีช่วงเสียงตั้งแต่ Bb3 – F6 tenor saxophone เป็นเครื่องดนตรีประเภท
Woodwind ใช้ในการประสานเสียงจะมีช่วงเสียงตั้งแต่ Bb3 – F6 baritone saxophone เป็นเครื่อง
ดนตรีประเภท Woodwind ใช้ในการเดินเสียงเบสเป็นฐานให้กับวงจะมีช่วงเสียง ตั้งแต่ Bb3 – F6
บทเพลงนี้จะใช้บันไดเสียงไดอาโทนิคประเภทเมเจอร์ เป็นบันไดเสียง c major ใช้เครื่องหมาย
กำหนดจังหวะ 3/4 อัตราจังหวะธรรมดา (Semple Time) บทเพลงนี้จะประกอบไปด้วยคอร์ด
(Chord) เป็นกลุ่มเสียงตั้งแต่ 3 เสียงขึ้นไปประกอบกับเป็นเสียงประสาน คอร์ดมีทั้งหมด 4 ชนิด
ได้แก่ คอร์ดเมเจอร์ คอร์ดไมเนอร์ คอร์ดดิมมินิชท์ และคอร์ดออกเมนเทด คอร์ดยังสามารถขยาย
ต่อเป็นตอร์ดที่ซับซ้อนขึ้น นอกจากนียังมีคอร์ดที่แบบหนึ่งคือ คอร์ดทบเจ็ด (Seventh Chord) ใน
บทเพลงจะใช้คอร์ด (Chord) เมเจอร์ (Major) ไมเนอร์ (minor) และคอร์ดทบเจ็ด (Seven Chord)
และเพลงนี้มีรูปแบบ (Forms) เป็นรูปแบบเพลง (Song Forms)ซึ่งจะเป็นโครงสร้างของบทเพลง
ท่ัวๆไปและในเพลงนีม้ ีรปู แบบเปน็ A A B C

95

อภิปรายผล
สรุปผลการเรียบเรียงเสียงประสานบทเพลงสมัยนิยบม โดยใช้ โปรแกรมบันทึกโน้ตเพลง

Sibelius (Sibelius Score Writer) ซึ่งสอดคล้องกับโน้ตเพลงของผู้ประพันธ์ 7 คน ดังนี้ Lorenz Hart,
Nat Kin, George Shearing, Ernest Ball, George Gershwin, Mr. Acker, Elvis Presley โดยนำเอา
โน้ตเพลงมาเป็นตัวอย่างในการเรียบเรียงเสียงประสานให้มีความไพเราะมากยิ่งขึ้น ซึ่งผลงานที่ได้
เป็นไปตามวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาความเข้าใจเรื่องของ ทฤษฏีดนตรีสากล ซึ่งเกี่ยวข้องกับ
สาขาวิชาที่ศึกษาอยู่คือ สาขาวิชาดนตรีและคีตศิลป์สากล เพื่อพัฒนาศักยภาพด้วยการใช้
Program Music Notation “Sibelius” เพื่อเรียนรู้และเข้าใจหลัการและวิธีการจัดเรียงโน้ตเพลง
(Arrange) เพือ่ เรียนรู้กลกั การและกระบวนการทำโครงงาน

ข้อเสนอแนะ
1. ควรมีการนำบทเพลงที่เรียบเรียงขึ้นใหม่ทั้ง 7 บทเพลงมาจัดแสดงดนตรีบนเวที

การแสดง
2. ในการเรียบเรียงเสียงประสานผู้เรียบเรียงจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องช่วงเสียง

(Range) ของเครื่องดนตรี และเทคนิคในการปฏิบัติเครือ่ งดนตรี
3. ในอนาคตควรมีการนำบทเพลงสมยั นิยมมาสร้างสรรคใ์ นลักษณะวงที่มีขนาดใหญ่ขนึ้

96

บรรณานกุ รม

หนงั สือ
ณชั ชา พนั ธุ์เจริญ, ทฤษฎีดนตรี, ครง้ั ที่ 16, กรุงเพทฯ, สำนักพิมพ์เกศกะรตั , 2563
ณรุทธ์สุทรจิตต์, สังคีตนิยม, ครั้งที่ 13, กรุงเพทฯ, สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์

มหาวิทยาลัย, 2561
เว็ปไซต์

Josh Walsh, Every Chord Symbol Found on Lead Sheets, สบื ค้น 29 กันยายน 2564,
จาก: https://jazz- library.com/articles/chord-symbols

Orchestralibrary, Ranges of Orchestral Instruments, สืบค้น 18 กันยายน 2564,
จาก: http://www.orchestralibrary.com/reftables/rang.html

Sites, My Music in Site, สบื ค้น 1 ตุลาตม 2564,
จาก: https://sites.google.com/site/mymusicinsite/prapheth-wng-dntri-sakl

Sinatra, Dancing on the Ceiling, สืบค้น 19 กันยายน 2564,
จาก: https://sinatra.fandom.com/wiki/Dancing_on_the_Ceiling

Top ten reviews, Muse Score music notation software, สือคน้ 30 กันยายน 2564,
จาก: https://www.toptenreviews.com/music-notation-software-musescore-review

Top ten reviews, Sibelius music notation software, สืบค้น 30 กนั ยายน 2564,
จาก: https://www.toptenreviews.com/music-notation-software-sibelius-review

University of Wisconsin - Stevens Point, Music Literature, สืบค้น 27 กนั ยายน 2564
จาก: https://www.uwsp.edu/music/Pages/Programs/musiclit.aspx

Wikipedia, Finale, สืบค้น 30 กันยายน 2564,
จาก: https://en.wikipedia.org/wiki/Finale_(scorewriter

Wikipedia, Dancing on the Ceiling, สืบค้น 19 กันยายน 2564,
จาก: https://en.wikipedia.org/wiki/Richard_Rodgers

97

ภาคผนวก ก
รปู ภาพขน้ั ตอนการทำโครงงาน

98

ขั้นตอนการทำโครงงาน
เร่อื ง การนำเสนอบทเพลงสมยั นิยมโดยโปรแกรมดนตรี

ข้ันตอนท่ี 1 เลือกหวั ขอ้ ทไ่ี ด้รับมอบหมาย

ข้ันตอนแรกคระผจู้ ดั ทำจะได้รบั หัวบทเพลงมาจำนวน 9 บทเพลง และให้แตล่ ะคนเลือก
เพลงเพื่อที่จะนำไป Arrange และคณะผู้จดั ทำจะนำบทเพลงไปจัดทำเพลงตามความรทู้ ีไ่ ด้รับมา
และเหมาะสมกับบทเพลงของแตล่ ะบุคคล

99

ข้นั ตอนท่ี 2 การวางแผนและดำเนินการ
คณะผู้จดั ทำได้ประชุมปรึกษาเกีย่ วกับโครงงานทีจ่ ะทำ และได้แบง่ หน้าที่ใหแตล่ ะคนเพื่อ

จะได้งานทีส่ มบรู ณ์ นอกจากนี้ยังมกี ารจดั ประชุมท้ัง on side และ online มาตลอด 1 ภาคเรียน

ขน้ั ตอนท่ี 3 ศึกษาทฤษฎีทเ่ี กี่ยวกบั การจดั ทำเพลง
คณะผู้จัดทำได้เรียนรู้วิธีการทำและทฤษฎีต่างๆ ทีเ่ กีย่ วกับการทำโน้ตกบั คณุ ครู อรรณพ

ภริ มยป์ ระเมศซึ่งได้สอนเกี่ยวกบั Scale , Chord , Ornament , Nonchord tone , Cadence และ
Four-Part เป็นต้น เพื่อทีจ่ ะนำมาเป็นประโยชน์กับการทำโครงงานชิน้ นี้

100

ขน้ั ตอนท่ี 4 การจดั ทำโน้ตเพลง
คณะผู้จัดทำได้ Arrange เพลงดว้ ย Program Music Notation “Sibelius”

101

ภาคผนวก ข
รายงานรูปเล่ม ในรูปแบบหนังสืออิเลก็ ทรอนิกส์

102

รายงานรูปเล่ม ในรปู แบบหนงั สืออเิ ลก็ ทรอนิกส์

https://anyflip.com/fxugr/lqed/

103

ภาคผนวก ค
รายชื่อคณะผู้จดั ทำ

104

รายชื่อคณะผ้จู ัดทำ

ระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 3 สาขาวิชาดนตรีสากล กลุ่มสาระวิชาดนตรีสากล
และคีตศลิ ปส์ ากล

1. นางสาวพิมพิมล มลู แก้ว
2. นางสาวสทุ ฤทัย ทองสขุ
3. นายวชั รพล ประมะสร
4. นายภัทรศ์ กรณ์ หล้าอินเชือ้
5. นางสาวอมุ าพร กันทาดง
6. นายณภทั ร ทรัพยส์ ินธ์
7. นายธนทรพั ย์ กาวีอ่นิ




Click to View FlipBook Version