85
ุ
่
็
ุ
์
ยังมีแปลงอนรักษ์พันธไม้สนสามใบ ที เหมาะสมในการจัดสร้างเปนแหลง เมล็ดพันธ์ใน
ุ
อนาคตคือ
แหลงอนุรกษพันธุถิ นกําเนิดเดิม (In – situ Gene Conservation)
์
์
่
ั
อุทยานแหงชาติดอยอินทนนท์ อําเภอจอมทอง จังหวัดเชยงใหม่
ี
่
ุ
ิ
สถานปรบปรงแหล่งผลตเมลดพันธไม้ปาหนองกระทง อําเภออมกอย จังหวัด
่
ั
ิ
ี
์
๋
็
ุ
ุ
เชยงใหม่
ี
แหลงอนุรกษพันธุนอกถิ นกําเนิดเดิม (Ex – situ Gene Conservation)
์
ั
่
์
สถานทดลองปลูกพรรณไม้ห้วยบง อําเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม ่
ี
3. การเก็บเมล็ดไม (Seed Collection)
้
การเก็บเมลดไม้สนสามใบ ในทางปฏบัติผ้ทําการเกบเมล็ดไม้ จะเข้าใจว่าคือ
ิ
็
็
ู
่
ี
การเก็บผลสน ของสนสามใบทแก่จัด เพอนํามาสกัดหรอแยกเอาสวนที เปนเมล็ดไม้ออก และนํา
ื
็
ื
ี
ไปใช้ต่อไป การเกบเมล็ดไม้จําเปนต้องทราบข้อจํากัดของเมล็ดไม้ เกยวกับการโปรยเมล็ดของ
็
็
ี
่
ิ
ไม้แต่ละชนดเมื อแก ซงก็จะเกยวพันกับวิธที ใช้ในการเก็บเมล็ดเช่น เมล็ดที แกจัดจะปลิว หรอดด
ึ
ี
ี
ื
่
ิ
ออกไกล โดยเฉพาะชนดที มีเมล็ดขนาดเล็ก การเก็บก็ต้องเก็บก่อนที จะปลิวไป การเก็บเมล็ดบน
ุ
ื
ี
ี
่
ี
็
ต้นเปนวิธทดีที สด ดังเชนการเก็บ cone สนสามใบบนต้น การเก็บเมล็ดไม้มีหลายวิธให้เลอกเก็บ
เมล็ดไม้ ดังน (Baadsgaard and Stubsgaard, 1989)
ี
ิ
็
3.1 การเก็บเมลดไม้จากพื นดน
ิ
็
การเก็บเมล็ดไม้ที แกแล้วล่วงหล่น อยู่ตามพื นดน รอบต้นยัง สามารถแบ่งออกเปน
่
3.1.1 การลวงหล่นเองตามธรรมชาติ เชนไม้สัก ไม้ซ้อ ไม้ยาง เปนต้น
่
็
่
ี
ี
การเก็บเมล็ด วิธน ช่วยให้ประหยัดในการใช้จ่าย แต่ก็มีข้อจํากัดหลายอย่าง เช่น เมล็ดที เก็บรวบ
็
ี
รวมได้ มักจะเปนเมล็ดที อ่อนเมล็ดลบ หรอเมล็ดที ถกแมลงเจาะทําลายพบว่าม เมลดที ดที ใช้ได้
็
ู
ี
ื
ี
็
เพียงร้อยละ 50 เท่านั น ที เกบ ได้จากวิธน ี (Doran, 1983 cited in Baasgaard and Stubsgaard,
ี
ี
1989) นอกจากน ยังมีข้อจํากัด เรองระยะเวลาที ถกต้องแม่นยํากับเวลาที เมล็ดแกจะล่วง ทั งน เพอ
ู
ื
่
ื
ี
ู
ี
ี
หลีกเลี ยงความเสยหายอันจะเกิดจากการสญเสย ความสามารถในการงอก การถูกไฟไหม้ แมลง
86
ิ
ิ
็
ื
ู
ั
ื
หรอเช อราทําลายเมล็ดบนพื นดน เมล็ดหลายชนดเปน อาหารของหน และสตว์อน ๆ สําหรับ แม่
ื
ไม้ที เมล็ดลวงหล่นไม่สามารถระบุได้เลย
่
ี
ี
3.1.2 การลวงหล่นที เกดจากแรงคนเขย่า วธการน ใช้กับเมล็ดที มีระยะ
ิ
่
ิ
่
ี
เวลา นานกว่าจะ ลวงหลน แม้จะแกแล้วก็ใช้คนเขย่าไม้ตีให้ล่วง ตะขอเกยวใช้ได้ดกับไม้ที ต้น
ี
่
่
็
ื
่
เตี ย หรอเปนพุ่มไมสงนัก
ู
ื
็
่
ี
3.1.3 การใช้เครองจักรเขย่า เนองจากเปนวิธการที เสยคาใช้จ่ายแพง
ื
ี
ุ
จึงนยม ใช้เฉพาะใน สวนผลิตเมลดพันธไม้ (Seed Orchard) เท่านั น
์
็
ิ
3.2 การเก็บเมล็ดจากการโค่นต้นไม้
ู
ี
ิ
การเก็บเมลดโดยวธน จะใช้ควบค่ไปกับการตัดฟันไม้เพื อการค้าตัวอย่าง
ี
็
ิ
็
ใน นวซแลนด์ การเก็บเมลดไม้ P.radiata จะทําการคัดเลอกต้น แม่ไม้ที จะเก็บเมล็ด 8 – 13
ี
ื
์
่
ต้น ตอเฮกแตร ก่อนการทําไม้เมื อมการโค่นล้มต้นไม้ จง เข้าเก็บเมล็ด (Turnbull, 1975 cited in
ี
ึ
่
ี
Baasgaard and Stubsgaard, 1985) Barner, 1981 กลาววา การเก็บเมลดไม้โดยวิธน ี จะเสยคาใช้
็
่
่
ี
ี
จ่ายถูกกว่าเล็กน้อย เมอเปรยบเทียบกับการมทีมงานเก็บ เมลดไม้ที ชํานาญ โดยเฉพาะในแคนนา
็
ื
ี
ดาและกลุ่มประเทศสแกนดิเนยเวียร (Baadsgaard and Stubsgaard, 1985)
ี
์
ิ
3.3 การเก็บเมล็ดบนดนจากก งก้านที ตัดลงมา
ิ
ิ
ี
การใช้วิธการน จะทําให้ผลผลตในปต่อ ๆ ไป ลดน้อยลง แต่ก็อาจจะจํา
ี
ี
ึ
ิ
เปน เชนการเก็บเมล็ด ยูคาลิปตัส ที ใช้ปนยิงก งให้หักลงมา ซงอปกรณ์ทใช้ใน การตัดก ง ก็มตั งแต่
ี
่
ุ
็
ิ
ี
ื
็
เลื อยธรรมดา เลอยตัดกิ ง เลอยเปนโซ ดังแสดงในภาพท 16
ื
่
ื
ี
ี
3.4 การปนต้นไม้เก็บเมล็ด
ี
เปนการปนขึ นต้นไม้ เพื อเก็บเมล็ดขณะอยู่บนต้นไม้ มีหลายวิธ ตั งแต
็
่
ี
ุ
ึ
ื
่
่
ี
การปนต้นไม้ด้วยเท้าเปลา ซงต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัว และไม่มีอปกรณ์ชวยเรองความ
ปลอดภัยเลย ปกตจะปนขึ นต้นไม้โดยวิธน ลําต้นต้องไม่ใหญโตมากพอที มือจะโอบได้ ถ้าต้นใหญ
ี
ี
่
่
ิ
ี
ุ
ั
่
่
ี
ื
มากอาจจะต้องใช้วิธอนชวย ปจจุบันในประเทศไทยบคคลที สามารถขึ นต้นไม้ด้วยเท้า เปลามีไม่
ื
ู
มากเหมอนสมัยก่อน และยังใช้กับการเก็บเมล็ดไม้ที ลําต้นไม่สงมากนัก แต่ไม่ใช้ในการเก็บผล
87
์
้
ื
ื
ภาพที 16 อุปกรณและเครองมอที ใชในการเก็บเมล็ดไม ้
ที มา Baadsgaard and Stubsgaard, 1994
88
ี
ี
ึ
ี
่
ี
็
ี
ิ
สนสามใบแล้ว การปนขึ นต้นไม้โดยการตอกทอย เปนวธการปนต้นไม้แบบเกาอกวิธหนง
่
่
ู
็
สามารถพบเหนได้ในการ เก็บหานํ าผึ งปา ที ผึ งทํารังบนต้นไม้ใหญ ๆ และสงมาก ๆ ในปา เช่นต้น
่
ื
ยาง ทอยก็เปนไม้เน อแข็ง หรอไม้ไผ่ที หลาวปลายแหลมยาว ประมาณ 20 เซนติเมตร ใช้ตอกเข้า
็
ื
ี
ี
็
ในต้นไม้ เปนระยะพอที เท้าพอจะก้าวขึ นเหยียบได้เหมือนบันได การใช้วิธ ขึ นต้นไม้แบบน จะทํา
็
ให้ต้นไม้มีบาดแผล เปนสาเหตุให้โรคแมลงเข้าทําลายได้ ไม่ใช้ในการเก็บ ผลสนสามใบ
ี
ิ
ี
ี
ุ
ิ
็
ั
วิธการปนขึ นต้นไม้สําหรับเกบผลสนสามใบ ทปฏบัติกันอยู่ในปจจบันนยม กระทํากัน
ี
อยู่ 2 วิธ คือ
ี
3.4.1 การปนต้นไม้โดยใช้บันได เปนบันไดขึ นต้นไม้แบบ Danish
็
Steel ladder ทําด้วยเหล็กกลวงบางมีนํ าหนักเบา 1 ชุด มี 7 ท่อน 3 ท่อน แรกยาวท่อนละ
3.15 เมตร อก 4 ท่อน มที เหลือยาวท่อนละ 2.25 เมตร รวมความยาวทั งหมด 18.5 เมตร แต่ละ
ี
ี
่
่
ุ
่
ั
ื
ท่อนจะมีข้อต่อ เมอสวมกันแนนจะไมหลดง่าย มีเหล็กโค้งงอสําหรบเหยียบขึ น และมีรองเล็ก ๆ
ิ
่
สําหรับสอดใสเข็มขัดรัดกับต้นไม้ บันไดท่อนลางสดเมื อพาดกับต้นไม้ในแนวด ง จะยึดกับดน
ุ
่
ิ
ไม่โยกคลอน (อําไพ พรลีแสงสวรรณ์ , 2541) ดังแสดงใน ภาพที 17
ุ
็
การใช้บันไดเก็บเมลด ใช้กันอยู่ตามสถานทดลองต่าง ๆ ของโครงการปรับปรงไม้สน
ุ
ี
ู
ใช้เก็บเมล็ดสนสามใบ ทมีความสงไม่มากนัก ในแปลงปลกต่าง ๆ โดยเฉพาะการใช้การเก็บ
ู
ี
ุ
ี
์
ี
็
ิ
ิ
็
ู
เมล็ดไม้โดยวธน เหมาะสําหรับสวนผลตเมลดพันธไม้ แปลงปลกที ใช้ เปนแหล่งเก็บเมล็ดไม้
่
ี
ื
ี
เพราะแปลงเหลาน มการคมนาคมสะดวกพ นที ค่อนข้างราบ และไม่ทําความเสยหายกับลําต้นแม่
ี
่
ื
ึ
ไม้ หรอกลุ่มไม้ที จะเก็บแตไม่เหมาะสมกับการเกบผลสนสามใบใน ปาธรรมชาติ ซงนยมใช้
ิ
็
่
สะเปอร ์
ิ
ี
3.4.2 การปนต้นไม้โดยใช้สะเปอร (spurs) เปนวธที ใช้ใน การเก็บ ผล
์
็
ี
สนสามใบ ในแหลงเก็บเมล็ดพันธ์สนสามใบในปาธรรมชาติ ของโครงการปรบปรงพันธ์ ไม้สน
่
่
ุ
ุ
ุ
ั
็
ี
ุ
ิ
ิ
ี
ี
อยู่เปนวิธการปนต้นไม้ เพื อเก็บผลสนสองใบ และสามใบ ทมีประสทธภาพมากที สด ในประเทศ
ไทย (Granhof, 1975 cited in Willan, 1984) ดังแสดงในภาพที 18 และ 19
89
้
์
้
ภาพที 17 บันไดขึ นตนไมเพอเก็บเมล็ดไม แบบของเดนมารค
ื
้
ที มา Baadsgaard and Stubsgaard, 1989
90
้
ี
์
ภาพที 18 สะเปอร (spurs) ที ใชในการปนตนไมเพอเก็บเมล็ดไม ้
้
ื
้
.
ที มา Baadsgaard and Stubsgaard, 1994
91
ื
ี
้
ภาพที 19 รายละเอียดของสะเปอรปนตนไม เพอเก็บเมล็ดไม ้
้
์
ที มา Baadsgaard and Stubsgaard, 1994
92
ุ
ี
ี
อุปกรณ์ครบชด ในการปนต้นไม้ด้วยสะเปอร์ ประกอบไปด้วยส งต่อไปน (ภาพที 20)
ิ
3.4.2.1 สะเปอร์ (spurs) 1 ค่ ู
3.4.2.2 รองเท้าหนังแบบทหาร
ิ
3.4.2.3 เข็มขัดนรภัย (safety belt)
ิ
3.4.2.4 คลป 3 – 4 ตัว (carabiners)
3.4.2.5 เชือกไนลอน หนา 10 –12 มิลลิเมตร
็
- เชือกที ทําเปนวงกลมเล็ก ๆ เส้นรอบวงประมาณ
40 – 50 เซนติเมตร ใช้เปนสวนยึดกับเชือกเส้น ใหญ่ติดกับเข็มขัด
่
็
่
- เชือกยาว 2 และ 3 เมตร 2 เส้นทําหวงที ปลาย
ื
ู
ื
เชือกทั งสองด้าน ความยาวประมาณเชอกยาว 1 เส้น 2 เท่า ของความสงของต้นไม้ หรอ
่
ประมาณ 50 เมตร ทําหวงที ปลายเชือก
3.4.2.6 หมวก (safety helmet)
3.4.2.7 ถุงมือหนัง (heavy leather glaves)
3.4.2.8 ถุงผ้า 2 ใบ (canvas bags) สําหรับใส cone สนสาม
่
ใบที เก็บได้
ึ
ู
3.4.2.9 ตะขอ (hook) ซงทําจากเหล็กแบนตีให้เปนรปตะขอ
็
่
มีความคมทั งด้านล่าง ด้านบนตอดามเหล็กด้วยแปป บาง 4 – 5 หน ยาว 3 เมตร ด้านลางของ
ุ
๊
่
ตะขอใช้กระตุก ด้านบนใช้ดัน และ บิดให้ก งหักหรอให้ cone สนสามใบหลดรวง
่
ื
ิ
ุ
ุ
ั
สะเปอร์ที ใช้มนํ าหนักน้อยกว่า 1 กิโลกรมต่อ 1 ค่ อุปกรณ์ครบชด น รวมกันมนํ าหนัก 3
ู
ี
ี
ี
็
ิ
ิ
ิ
กโลกรัม สามารถเก็บผลสนสามใบได้ ประมาณ 6 ต้น/คน/วัน คดเปน ปรมาณผลสนสามใบ
ื
ุ
ี
เฉลี ย 25 – 30 กิโลกรัม หรอประมาณ 4 – 5 กิโลกรัมต่อต้น (อําไพ พรลแสงสวรรณ์, 2541)
็
การปนต้นไม้ ใช้ปลายด้านลางแหลมเปนเดือยของสะเปอรกระแทกเสยบติด ต้นไม้
ี
่
์
ี
โดยมีเชอกคล้องรอบต้น ช่วยประคองตัวปนขึ นไป เมอถึงยอดของสนสามใบ ใช้มือปลด ผลสน
ี
ิ
ื
ื
ี
่
ึ
ู
ที อยู่ใกล้มือ ใสถงผ้า (canvas bags) ซงมีหเกยวกับเข็มขัดของคนปนต้นไม้ ถ้าผลสน ไมอยู่ไกล
่
ุ
ี
ี
ิ
ี
ื
เกนกว่าทมือจะหยิบถึง ใช้ตะขอ (hook) ดันหรอกระตุกผลสนให้หลด ในกรณที ผลสนอยู่ไกล
ุ
ี
เกนกว่าทจะหยิบถง โดยระวังไม่ให้ก งหัก เพื อไม่ให้ผลผลิตในปต่อไปลดลง เพราะปลายก งมัก
ิ
ิ
ิ
ึ
ี
ึ
จะมผลสนที ยังไม่แกติดอยู่ ซงจะแก่เก็บได้ในปต่อไป ผลสนที ลวงตกลงมา คนงานที อยู่ด้านล่าง
่
ี
ี
่
93
์
ี
ี
์
ื
้
ภาพที 20 สะเปอรปนตนไม และอุปกรณปนตนไม เพอการเก็บเมล็ดไม ้
้
้
้
ที มา Baadsgaard and Stubsgaard, 1989
94
ื
ื
ี
่
ก็จะเก็บจากพ นดนใส กระสอบข้าวสารรวบรวมไว้ โดยเขยน ชอ แหลงเก็บเมล็ดสนสามใบ วัน
่
ิ
่
ื
่
ี
็
็
ที เดอน ปทเกบ ติดไว้ทุกกระสอบ แตละแหลงจะไม่เก็บปะปนกัน หลังจากนั นกจะขนสงไปยัง
ี
่
ี
สถานต่าง ๆ เพื อตาก และสกัดเอาเมล็ดออกต่อไป
้
4. การคัดแยกเมล็ดไม และทําความสะอาด (Seed Processing)
่
่
กระสอบปานที บรรจุ ผลสนสามใบ จะถูกนํามาวางผึงไว้ในที รม โดยไม่มีการ
เทผลสนออกจากกระสอบ การวางก็จะไม่ให้กระสอบบรรจุสนซ้อนทับกัน เพราะจะเกิดความ
่
ี
ื
ร้อนผสมความช น อาจทําลายความมีชวิตของเมล็ดได้ การผึงรมใช้ระยะเวลาประมาณ 7 –10
ื
วัน เพื อให้ความช นในผลค่อย ๆ ระเหยออกอย่างสมําเสมอ เพราะถ้านําผลสนสามใบ ที เก็บได้
ู
ใหม่ ๆ ออกตากแดดทันที ผิวด้านนอกของกลบจะสญเสยความช นอย่างรวดเรว แต่ผิวภายในยัง
ี
ี
็
ื
ื
ี
ึ
มีความช นสงอยู่ จะมีแรง ดงกลบไว้ไม่ให้อ้าออก (ประดิษฐ์ หอมจีน, 2540)
ู
ื
่
เมื อครบกําหนดระยะเวลาในการบ่มแล้ว ก็นําผลสนเทออกจากกระสอบปาน คัดเลอก
ุ
ใบ ก ง เปลอกไม้ หรอวัสดอื นใดที ปะปนมาออกทิ ง ให้เหลอเฉพาะผลสนสามใบ ที พรอมจะนํา
้
ิ
ื
ื
ื
ไปสกัดเอาเมล็ดออก
ื
การตาก หรออบผลสน โดยอาศัยแสงแดด เนองจากหลังจากฤดูการเก็บเมล็ด สนสามใบ
ื
ี
อยู่ในชวงที มีแสงแดดจัดไม่มฝนตก การใช้แสงแดดชวยอบผลสนที เก็บได้ ให้กลบของผลอ้า
่
ี
่
ี
็
ี
ออกใช้ได้ผลด ได้มีการสรางกะบะตากเมลดขึ น เปนกะบะไม้ขนาดสเหลยม 150 x 150 x 15
้
ี
็
ิ
็
เซนติเมตร ที ด้านพื นกะบะขึงด้วยด้วยลวดตาข่าย ขนาด 0.5 x 0.5 น ว เปนทรองรับผลสน
ี
สามารถให้ความร้อน ความช นถายเทได้สะดวก มีขาตั งสงจากพื นดน 50 เซนติเมตร ด้านใต้ของ
ิ
่
ื
ู
ลวดตาข่ายมีผ้าพลาสตกปูรอง สําหรับรับเมลดสนสามใบที หลดรวงลงมากะบะตากสน สามารถ
่
ุ
็
ิ
บรรจผลสนสามใบได้ ประมาณ 40 กโลกรัม ด้านบนคลมด้วยพลาสตกใส เพื อปองกันเมล็ดสน
ิ
ุ
ุ
้
ิ
สามใบกระเด็นออก เมอกลบของผลอ้าออกเมื อถกความร้อน และยังเปนการชวยอบ ความรอน
่
ู
ี
ื
้
็
ุ
ให้คงอยู่ในกะบะได้นาน โดยการคมพลาสติกสามารถเพิ ม ความร้อนได้ถง 4 C (อําไพ
o
ึ
ุ
พรลีแสงสวรรณ์, 2541)
ู
ี
ได้มีการวัดอุณหภมิภายใน กะบะตากเมล็ดสนสามใบ ทตากไว้กลางแดด โดยมี
พลาสติกใสคลุมอยู่ ดังแสดงในตารางที 16
95
้
ตารางที 16 อุณหภูมิภายใน กะบะตากเมล็ดสนสามใบ ที ผึ งไวกลางแดด
o
ู
อุณหภมิ ( C )
เวลา (น.) 16 เม.ย. 30 17 เม.ย. 30 18 เม.ย. 30
09.00 - 47 42
10.00 - 48 52
11.00 - 54 59
12.00 50 59 61
13.00 50 60 64
14.00 47 63 51
15.00 44 52 50
16.00 38 49 44
ุ
ี
ที มา : อําไพ พรลแสงสวรรณ์, 2541
ั
่
ในขณะที ตาก ผลสนอยู่ควรใช้มือคน ผลสนไปมาวันละ 2 คร ง จะชวยให้ ผลสนได้รับ
ความร้อนทั วถง เมล็ดตกจากกลีบที อ้าได้ปรมาณมากกว่า ไม่มีการคน
ิ
ึ
ิ
็
ุ
อําไพ พรลแสงสวรรณ์, 2541 ได้ทําการศึกษาปรมาณเมลดที ได้จาก ผลสนสามใบ
ี
่
ขนาดตาง ๆ ดังแสดงในตารางที 17 และพบอกว่าผลสนสามใบที มีขนาดใหญ จะมีเมล็ด 71
่
ี
็
เมล็ด เปนเมล็ดดี 40 เมล็ด ในขณะที ผลสนสามใบขนาดเล็ก มีเมล็ด 39 เมล็ด เปนเมลดดี 20
็
็
เมล็ด เมล็ดดีต่างกันเท่าตัว
ี
็
การทําความสะอาดเมล็ด เปนการแยกปกของเมลด และส งสกปรกอน ๆ เช่น กลบหรอ
ื
ี
็
ื
ิ
ี
่
ื
ี
ิ
่
ช นสวนของผลสนสามใบออก ให้เหลอแตเมล็ดอย่างเดยว โดยการนําเมล็ดที มปก ติดทั งหมด
ี
ื
่
ุ
่
มาแบ่งใสถุงผ้าขนาดพอเหมาะปดปากถงผ้าให้แนนด้วยเชอก แล้วนวดด้วยมือสองข้าง โดยการ
ิ
กดและถูถงผ้าไปข้างหน้าทําให้เมล็ดขัดสกันเอง จนปกหลดออกจากเมล็ด (ประดิษฐ์ หอมจน,
ุ
ี
ี
ุ
ี
ิ
ี
2540) เมื อแยกปกออกจากเมล็ดได้แล้ว นําทั งเศษปก เมล็ด และส งปลอม ปนมาเทใสตะแกรงไม้
่
ี
่
ุ
ิ
่
่
ไผ่ (กระโด้ง) ทําการรอนโดยใช้แรงคน ส งปลอมปนขนาดเลกจะหลด รวงออกมาทางด้านลาง
็
่
่
ื
ี
่
ิ
เหลอส งปมปนที ม ขนาดใหญ หรอเท่าเมลด และเมล็ดยังคงเหลออยู่ จงย้ายสวนที เหลอไปเทใส
ื
ื
ื
ึ
็
ื
ี
่
ตะแกรงไม้ไผ่ ใช้แรงคนฝัดสวนทไม่ใช่เมล็ดทิ งไปทํา หลายครั งจนเหลอแต่เมล็ด ใช้คนงานเก็บ
96
้
ึ
ตารางที 17 การศกษาปรมาณเมล็ดที ไดจากผลสนสามใบที มีขนาดตางกัน
ิ
่
แปลง ต้นที ขนาด ความ ความ นํ าหนัก นํ าหนัก จํานวนเมล็ดที คัดแยกได้ (เมล็ด)
ที โคน กว้างโคน ยาวโคน โคน เมล็ด การจําแนกเมล็ด*
(ซม.) (ซม.) (กรม) (กรัม) 1 2 3 4 5
ั
1 1 ใหญ ่ 3.58 6.60 38.18 0.32 34.8 3.0 14.4 8.6 - 8.8
เล็ก 2.76 4.64 17.18 0.04 14.6 2.2 5.0 3.2 - 4.2
2 ใหญ ่ 4.12 6.96 40.08 2.32 90.4 3.0 0.4 11.2 - 75.8
เล็ก 2.92 4.32 13.22 0.50 37.4 2.2 10.6 8.6 0.6 15.4
2 1 ใหญ ่ 3.80 7.28 45.96 0.10 24.6 1.2 9.2 7.6 0.4 6.2
เล็ก 2.54 4.04 13.44 1.26 86.0 1.0 2.2 34.2 0.2 48.4
2 ใหญ ่ 3.90 7.16 40.10 2.26 92.0 0.4 1.0 15.4 5.6 69.6
เล็ก 2.94 4.14 13.66 0.64 46.4 4.6 2.8 9.6 - 29.4
3 1 ใหญ ่ 3.74 7.14 44.70 2.04 77.6 0.4 0.6 20.2 1.6 54.8
เล็ก 2.84 4.90 17.08 0.26 28.4 0.4 2.6 11.4 0.4 13.6
2 ใหญ ่ 4.20 7.66 47.60 2.86 101.8 3.2 0.2 14.4 0.4 83.6
เล็ก 2.92 4.68 13.30 0.50 33.0 2.0 2.8 8.2 3.0 17
4 1 ใหญ ่ 3.58 7.04 36.6 1.86 69.8 1.4 0.6 6.0 5.8 56
เล็ก 2.84 5.18 17.26 0.42 27.0 0.2 0.8 5.4 0.4 20.2
2 ใหญ ่ 3.60 5.78 33.46 1.08 79.4 6.0 2.2 30.6 0.6 40
เล็ก 2.37 3.84 13.46 0.30 43.6 10.4 1.2 15.8 0.2 16
ใหญ ่ 3.82 6.08 40.84 1.61 71.3 2.3 3.6 14.3 1.8 49.4
เฉลย
ี
เล็ก 2.77 4.47 14.83 0.49 39.6 2.9 3.5 12.1 0.6 20.5
หมายเหตุ การจําแนกเมล็ด*
1 rudimentary : เมล็ดขนาดเล็ก ไม่พัฒนา
2 aborted seed : เมล็ดลีบ
3 round empty : เมล็ดลีบและกลวง
่
่
4 round shrivelled : เมล็ดใหญ่แตฝอ
5 round full : เมล็ดด ี
ที มา : อําไพ พรลแสงสวรรณ์, 2541
ุ
ี
97
ี
ุ
ุ
ู
ิ
ี
ิ
เศษและส งปลอมปนครั งสดท้ายออก วิธน สามารถ ทําให้ได้เมล็ดที บรสทธ ิ ได้อยู่ในเกณฑ์ที สง
มาก
้
5. การเก็บรักษาเมล็ดไม (Seed Storage)
็
ี
็
็
การเก็บรักษาเมล็ด เปนการเกบรกษาเมล็ดไม้ หลังจากททําความสะอาดเมลด
ั
ื
ิ
แยกส ง ปลอมปนออก เหลอแตเมล็ดดล้วน ๆ โดยเก็บไว้รอเวลาในการใช้ประโยชน์ต่อไป การ
่
ี
ื
ี
่
ู
เก็บรักษาเมล็ด ต้องไมทําให้เมล็ดเสยหายเนองจาก การทําลายของโรคแมลง หน และไม่ทําให้
์
ู
ี
ี
ความมชวิตของเมล็ดสญ เสยไป เปอรเซนต์ การงอกของเมลดลดลงภาชนะที ใช้ใน การเก็บเมล็ด
็
ี
็
ิ
่
่
่
ก็มีหลายรปแบบ ตั งแตใสถงผ้า แขวนให้อากาศถายเท ใสถุงพลาสติกปดปากเก็บไว้ ใสไว้ในปบ
่
ู
ิ
่
ุ
ใสไว้ในขวดแก้วเก็บไว้เปนต้น
่
็
ึ
ึ
การเก็บรกษาเมล็ดไม้ ต้องคํานงถงปัจจัยต่าง ๆ ที เกยวข้องที จะสามารถ คงสภาพความม
ั
ี
ี
ี
ี
ชีวิตของเมล็ด และเมล็ดไม่เสยหายได้ มีดังน คือ
ี
5.1 ลักษณะทางสรระของเมล็ดเอง
เมล็ดมีเปลอกห้มหนา และแข็งก็จะมีความมีอายุยาวนานเมล็ด บาง
ุ
ื
ชนดตามธรรมชาติไม่สามารถเก็บได้นาน เพราะความมชีวตจะสั นหลังจาก เมล็ดแก่จัด เชนเมล็ด
ิ
ี
่
ิ
็
ี
ั
ี
ไม้ตระกูลยาง เปนต้น การเก็บรักษาก็ต้องนําปจจัยน ไป พิจารณาหาวิธการเก็บรักษาเมล็ด ท ี
เหมาะสมด้วย
5.2 สภาวะแวดล้อมที เกยวข้องกับการมีชีวิตของเมล็ดเอง
ี
ิ
โดยการเก็บรักษา ต้องไม่ทําให้เมล็ดเกดการเผาผลาญพลังงาน ใน
ื
เมล็ดอันเนองมาจากขบวนการหายใจของเมล็ด และขบวนการ metabolism ภายในเมล็ดโดยต้อง
คํานงถงปัจจัยตาง ๆ ดัง ต่อไปน คือ
ึ
ึ
ี
่
็
5.2.1 แมลง สัตว์จําพวกหน เมล็ดไม้เปนอาหารโดย ตรงของสัตว์
ู
็
ึ
ึ
อยู่แล้ว การเกบรักษาต้องคํานงถงด้วย เชน เมล็ดสนสามใบ หลังจากสกัด เปนเมล็ดแล้วพบว่า
็
่
ี
่
่
ู
การวางไว้ในที รมธรรมดา ตามสถานเก็บเมลด ในปา เมล็ดถกทําลายเสยหายมาก และปจจัยน มัก
็
ี
ี
ั
จะถูกมองข้ามเสมอ
98
ื
5.2.2 ความช นของเมล็ด มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการทําลาย ของ
ั
โรครา และอัตราการงอกของเมล็ด การเก็บรกษาเมล็ด ไว้ที ความชื นรอยละ 4 – 8 เหมาะสม
้
ื
็
ี
ั
ั
สําหรบเมล็ดที มอายุเก็บรกษา ได้นานโดยทั วไป สําหรับเมล็ดสนควรเกบรักษาไว้ให้มีความช น
ุ
ี
ร้อยละ 8 จะดที สด (Rudolf, 1961 อ้างใน อําไพ พรลแสงสวรรณ์, 2541) และเมล็ดไม้สนสาม
ุ
ี
ึ
ใบ ก็ใช้หลักการน ซง สามารถกระทําได้ไม่ยากนัก โดยนําเมล็ดไปตาก แดดจัด ๆ สัก 2-3 วัน ก ็
ี
ใช้ได้
ุ
ุ
5.2.3 อณหภูมิ การเก็บรักษาเมล็ดไว้ที อณหภูมิตําจะช่วย รักษาอายุ
็
ี
ความมีชวิตของเมล็ดไม้ไว้ได้นานขึ น สําหรับการเกบรักษาเมลดสนสามใบ ไว้ในห้องเย็น ที
็
ี
อณหภูมิ 4 องศาเซลเซยส คงที สามารถเก็บรักษา ความมีอายุของเมล็ดได้นาน 8 ป (อําไพ พร
ุ
ี
ลีแสงสวรรณ์ และคณะ, 2539) ดังแสดงใน ตารางที 18
ุ
ั
ั
ิ
ิ
การเก็บรกษาที เมล็ดสนสามใบทปฏบัติกันอยู่ในปจจุบัน หลังจากปฏบัติตาม ขั นตอน
ี
่
ต่าง ๆ จนทําให้เมล็ดมีความช นประมาณร้อยละ 8 ก็นําเมล็ดสนสามใบใสในถง พลาสติก 2 ชั น
ื
ุ
ุ
้
ี
ปดปากถุงให้สนท ขนาดบรรจุถงละ 1 กโลกรม ภายในถงก็ใสแผ่นปายแสดง รายละเอยดต่าง ๆ
ั
่
ิ
ุ
ิ
ิ
ี
คือ ชนดเมล็ด สนสามใบ หมายเลขแหล่งที เก็บ แหล่งเกบเมล็ด วัน เดอน ปที เก็บ เส้นรง เส้นแวง
ิ
ื
็
้
ุ
ระดับความสง นํ าหนักเมล็ดและผลการทดสอบเมลด ภายนอกถุงกใช้ปากกากันนํ าเขียนราย
็
ู
็
็
ี
ี
ื
ละเอยดของแหลง วัน เดอน ป ที เก็บ นํ าหนักเมล็ดลงไป หลังจากนั นก็นํา เกบในห้องเย็น ควบ
่
ิ
คมอุณหภมไว้ที 4 องศาเซลเซยส โดยห้องเย็นที ใช้เก็บมีจํานวน 2 ห้อง ขนาด 2.37 x 4 x 3
ุ
ู
ี
ั
ุ
ี
เมตร (28 ลูกบาศก์เมตร) (อําไพ พรลแสงสวรรณ์, 2541) จากนั นก็มีข้นตอนในการลงทะเบียน
ิ
่
ึ
ิ
เมล็ดไม้ โดยกําหนด รหัส หมายเลขของชนดเมล็ด เชน เร มต้นด้วย 0…… หมายถง สนสาม
ใบ แหลงเก็บ วัน เดือน ป ผู้เก็บ ข้อมูล ความสง ของพื นที เก็บ ชนดปา ข้อมล การทดสอบเมล็ด
ู
ู
่
ิ
่
ี
ปรมาณที เก็บได้ เปนต้น
็
ิ
99
้
่
่
้
ตารางที 18 อัตราการงอกของเมล็ดไมสนสามใบที เก็บจากแหลงตาง ๆ เก็บรักษาไวใน
สภาวะ ตาง ๆ เมื อเวลาตาง ๆ กัน
่
่
o
o
o
แหล่งเก็บเมล็ด ปท ี ห้องเย็น 4 C ต้เย็น 4 - 6 C อณหภูมิ 25 C
ี
ู
ุ
% GM Energetic index % GM Energetic index % GM Energetic index
หนองกระทิง 0 94.75 10.58
1 91.25 9.20 91.75 9.00 90.75 7.73
2 90.25 8.00 87.50 7.88 77.75 5.38
3 89.25 7.80 86.50 7.64 38.00 3.40
4 87.50 7.30 82.75 6.50 12.50 0.86
5 85.00 7.14 75.00 5.40 0.00
6 82.50 7.00 8.25 0.54 0.00
7 81.00 6.25 0.00 0.00
8 79.50 5.83 0.00 0.00
อินทนนท์ 0 97.25 10.75
1 94.00 10.00 94.50 8.44 90.25 8.09
2 92.25 8.80 94.00 8.30 85.00 7.40
3 92.25 8.42 89.75 8.40 68.00 5.73
4 90.75 7.90 87.25 7.90 23.25 1.57
5 87.00 7.80 82.75 6.67 0.00
6 86.75 7.67 27.00 2.08 0.00
7 86.50 7.10 0.00 0.00
8 86.50 7.50 0.00 0.00
สะเมิง 0 95.75 11.42
1 94.50 9.56 93.50 10.00 93.00 8.40
2 93.00 9.37 91.50 9.75 77.25 5.50
3 90.25 8.16 89.00 9.25 40.00 2.92
4 88.25 7.90 85.25 8.75 19.25 1.31
5 84.00 7.50 71.50 5.64 0.00
6 82.75 7.20 10.75 0.82 0.00
7 82.25 7.50 0.00 0.00
8 80.00 6.67 0.00 0.00
วัดจันทร ์ 0 95.50 10.00
1 93.00 9.00 92.00 8.09 89.50 7.09
2 93.00 9.11 88.50 8.47 68.00 4.92
3 91.25 8.89 88.50 8.50 39.25 2.64
4 90.00 8.33 84.75 8.33 11.25 0.78
5 87.25 8.67 71.75 5.67 0.00
6 86.00 7.22 25.50 1.92 0.00
7 86.00 7.50 0.00 0.00
8 85.00 6.50 0.00 0.00
ที มา : อําไพ พรลแสงสวรรณ์ และคณะ, 2539
ี
ุ
100
6. การทดสอบเมล็ดไม (Seed Testing)
้
็
็
ี
การทดสอบเมล็ดสนสามใบ เปนวิธการที ปฏิบัติกันอยู่เปนประจํา ในการจัด
การเมล็ดไม้สนสามใบ ของโครงการปรับปรงพันธ์ไม้สน เพราะเปนขบวนการปฏบัติททําให้
ี
็
ิ
ุ
ุ
่
ุ
่
ึ
ทราบถงคณภาพของเมล็ดไม้ ที จะนําไปใช้ประโยชน์ในอนาคตต่อ ๆ ไป สวนใหญก็จะให้ความ
ี
สําคัญกับการทดสอบ ความมชวิตของเมล็ดสนสามใบ ตั งแต่ก่อนทําการเก็บรักษา และหลังจาก
ี
ี
็
ี
การเก็บรักษา โดยมการทดสอบเปนประจําทุกป พอจะกล่าวโดยสังเขปได้ดังน
ี
ุ
ิ
6.1 การทดสอบหาความบรสทธ ิของเมล็ดสนสามใบ
การทดสอบกอนทจะบรรจถุงพลาสติก เพื อเก็บใน ห้องเย็น ต่อไป ทั งน
่
ุ
ี
ี
ี
ู
ุ
ิ
ิ
้
่
ิ
เพื อให้แนใจได้ว่าเมล็ดทจะทําการเก็บรักษามีความบรสทธสงสด มากกว่ารอยละ 90 เพราะส ง
ุ
แปลกปลอมปนอาจเปนสาเหตุ ทําให้เกิดโรคราได้ง่ายตามการทดสอบ ดังแสดง ในตารางที 19
็
้
ิ
้
ตารางที 19 ความบรสุทธิของเมล็ดสนสามใบ ที ไดจากการคัดแยกเมล็ดดวยแรงคน
ิ
ิ
ชนดไม้ แหล่ง % ความบรสทธของเมล็ด
ิ
ุ
ี
สนสามใบ หนองกระทิง, เชยงใหม่ 99.85
ิ
ดอยอนทนนท์, เชียงใหม 99.90
่
ิ
สะเมง, เชียงใหม ่ 99.95
์
วัดจันทร, เชียงใหม ่ 99.90
ห้วยตอง, เชยงใหม ่ 99.95
ี
ี
ขุนคอง, เชยงใหม่ 99.90
่
ปาย, แมฮ่องสอน 99.90
ห้วยบง Clonal Seed Orchard, เชยงใหม่ 99.85
ี
ี
ุ
ที มา : อําไพ พรลแสงสวรรณ์ และคณะ, 2541
101
ี
็
6.2 การทดสอบความมีชวิตของเมลด
ี
ื
เปนการทดสอบว่าเมลดยังมีชวิต พอที จะงอกได้หรอไม่ การทดสอบ
็
็
ี
จะไม่เหมือนลักษณะทดสอบการงอกของเมล็ด การทดสอบความมชีวิตของเมล็ดสนสามใบ จาก
ี
่
็
ื
แหลงทได้รับการคัดเลอก เปนแหล่งเก็บเมล็ดของโครงการแล้ว โดยการผ่าเมล็ด ซงเปนวิธที งาย
่
็
ึ
ี
ี
ี
ี
่
ื
ี
ี
็
ี
ุ
ที สด โดยเมล็ดดจะเปนสขาวหรอสครม ผลปรากฏว่าเมล็ดสนสามใบ ทเก็บได้จากทุกแหลง ม
ู
์
ิ
ี
ุ
เปอรเซนต์ความมีชวตอยู่ใน เกณฑ์ที สงมาก คือร้อยละ 97 – 99.25 (อําไพพรลแสงสวรรณ์ และ
ี
คณะ, 2541) นอกจากน ก็มี การทดสอบความมีชีวิต โดยการ ลอยเมล็ดในนํ าหรอสารละลาย การ
ี
ื
ึ
X-ray เมล็ดการใช้ Tetrazolium test ซงไม่ค่อย ได้ใช้ทดสอบในเมล็ดสนสามใบ
6.3 การทดสอบการงอกของเมล็ด
็
ิ
็
ื
เปนการทดสอบว่าเมลดจะงอกจรงได้ใน ปรมาณมากหรอน้อย เพื อ
ิ
็
่
ุ
ประเมินคณภาพของเมล็ด และการคํานวณจํานวนเมลดที ใช้เพาะกล้าไม้ เพื อการปลูกปาต่อไป
ิ
ิ
ิ
่
การทดสอบการงอกของเมล็ดสนสามใบ ทปฏบัตการอยู่ใช้กลองพลาสติกใส มีฝาปด
ี
ขนาด 7 x 7 x 1.5 น ว ใช้กระดาษชําระปูรองก้นกลองหนา 4 – 5 ชั น ใช้เมล็ดสนสามใบ วางเรยง
ิ
ี
่
บนกระดาษชําระไม่ให้เมลดซ้อนทับกัน ใช้เมลดจํานวน 2 ซํ า ๆ ละ 100 เมล็ด หยอดนํ า
็
็
ุ่
ิ
ประมาณ 40 – 50 มิลลิลิตร ให้กระดาษชําระอมนํ าให้ชม ปดฝานําไปวางในห้องที ได้รับแสง เมื อ
็
์
เมล็ดงอกก็ตรวจนับหา เปอรเซนต์การงอก จากการทดสอบเมล็ดจากทุกแหลงของสนสามใบ
่
่
่
ุ
ี
โดย อําไพ พรลแสงสวรรณ์ และคณะ, (2541) พบวา เมล็ดสนสามใบที เก็บได้จากทุกแหลง มี
ี
่
อัตราการงอกร้อยละ 92.25 – 97.25 ยกเว้นจาก Clonal Seed Orchard จากห้วยบง เทานั นทมี
อัตราการงอก ร้อยละ 70.25
102
้
์
การขยายพันธุและการเพาะชาไมสนสามใบ
ํ
ิ
ุ
การขยายพันธพืช คือการเพ มจํานวนต้นพืช พืชสวนมากมีการขยายพันธ์ตามธรรมชาติ
ุ
์
่
ึ
ี
่
ี
ด้วยเมล็ด ซงจะทําให้ได้ต้นที มีลักษณะตาง ๆ กันที เราเรยกวามการแปรปรวน (variation) และ
่
่
ุ
ี
ี
ิ
ต้นไม้เหลา น มีพันธกรรมที สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม และมีชวตรอดเพื อที จะ
่
ู
ุ
ู
ผลิตลกหลานรนตอไป แต่ต้นไม้ที เรานํามาปลกและบํารงรักษา เราไม่ต้องการได้ความแปร
ุ่
ื
่
ู
ปรวน เพราะลักษณะเดนของต้นไม้จะหายไปเมื อใช้เมล็ดปลก เนองจากเมล็ดไม้มาจากการผสม
ุ
์
ของเซลล์สบพันธจากต้นพ่อและแม ซงต่างกมียีนสที ไมเหมือนกัน เมอผสมกันแล้วยีนส์จะ
็
่
่
์
ึ
ื
ื
ู
ุ
ื
็
่
กระจายตัวและจับคใหม่ ต้นที ได้จึงไม่เหมอนเดิม ในการปรับปรงพันธ์ไม้ปาเปนการพัฒนาและ
่
ุ
็
ปรับปรงให้ได้ต้นไม้ที มีคุณลักษณะที ด ตรงตามวัตถประสงค์ทต้องการ เปนต้นว่าลําต้นตรง
ี
ุ
ุ
ี
ิ
ุ
เปลาเจรญเติบโตได้ด ต้านทานโรคแมลงให้เน อไม้คณภาพด ฯลฯ ดังนั น จําเปนต้องมีการ
ื
็
ี
ี
ี
ึ
ุ
ื
สํารวจคัดเลอกแม่ไม้ และจากแม่ไม้ทผ่านการคัดเลือกจงมาทําการขยายพันธ์ต่อไป
้
้
ื
์
การขยายพันธุไมสนสามใบ กระทําได 2 วิธี คอ
1. การขยายพันธ์แบบไม่อาศัยเพศ (Vegetative Propagation)
ุ
2. การขยายพันธ์โดยใช้เมล็ดเพาะ (Seed Propagation)
ุ
1. การขยายพันธุแบบไมอาศยเพศในสนสามใบ
ั
่
์
่
เปนวธการเพิ มจํานวนต้นพชจากสวนต่าง ๆ ของลําต้น ที กระทําได้สาเรจก็
ํ
็
็
ี
ื
ิ
ิ
ึ
่
ี
่
เพราะสวนต่าง ๆ ของลําต้นมความสามารถ สร้างสวนต่าง ๆ ที ขาดข นทดแทน เชน การปักชําก ง
่
ิ
ั
ั
ิ
สามารถเกดราก การปกชํารากสามารถเกดต้นใหม่ การปกชําใบสามารถเกิดได้ทั งต้น และราก
ี
ิ
ี
ใหม่ นอกจากน ีเรายังสามารถเปลี ยนยอดเสยบก ง ตอนก ง ติดตา ตลอดจนการเล ยงเซลของพืช
ิ
ในหลอดแก้วที มีอาหารในสภาพปลอดเชื อ ได้ต้นใหม่ทมีลักษณะเหมือนต้นแม่ทุกประการ การ
ี
ี
ขยายพันธ์โดยวิธการน ในไม้สนสามใบ ได้ดําเนนการมาเปนเวลานานแล้ว ประสพความสําเรจ
็
ุ
ิ
ี
็
ี
่
ิ
อย่างดี เชน การจัดสร้างสวนผลตเมล็ดพันธ์จากแม่ไม้พันธ์ด (Clonal Seed Orchard) ของสนสาม
ุ
ุ
ใบ โดยใช้วธการเปลยนยอด (grafting) ปจจุบันสวนผลิตเมล็ดพันธมีอายุประมาณ 20 กว่าป ี
ิ
ี
ี
์
ั
ุ
ิ
ื
ี
่
แล้ว สวนวิธการแบบอน ๆ ได้ดําเนนการบ้างแล้ว แต่อยู่ในขั นการทดลองและติดตามผลอยู่
103
ิ
ุ
มีแนวโน้มที สามารถพัฒนา เพื อการขยายพันธ์ในปรมาณที มาก ๆ ได้ และเพื อการปรับปรงพันธ์ ุ
ุ
ี
ึ
่
ิ
ุ
ไม้สนสามใบได้อย่างดต่อไป การขยายพันธ์แบบน ีใช้การแบงเซลแบบไมโตรซส ซงรับ
่
่
ู
โครโมโซม และไซโตปลาสมทั งชุดมาจากต้นแม ทําให้ได้ลักษณะทั งหมดถายทอดมายังต้นลก
(clone) จึงดํารงลักษณะดีเด่นของแม่ไว้ทุกประการ
ั
่
การขยายพันธุแบบไมอาศยเพศ
์
ข้อดี ข้อเสย
ี
1. ได้ต้นลกที ตรงตามสายพันธ์ต้นแม่ 1. ทําได้ไม่ง่ายเหมอนการเพาะเมล็ด เพราะต้องมี
ู
ื
ุ
การฝกหัดทําก่อนบ้าง จงจะประสพความ
ึ
ึ
สําเรจ
็
่
2. การผลิตดอกออกผล และให้เมล็ดเรวกว่า 2. ก งหรอต้นที มีขนาดใหญ่ ขนย้ายไมสะดวก
็
ิ
ื
ื
และ เปลืองเน อที ในการเก็บรักษา
็
่
ู
3. ได้ต้นที ไม่สงเกินไป เหมาะแกการเก็บ เมล็ด 3. ถ้าต้นแม่เปนโรค ต้นใหม่ทได้มักติดโรคมาด้วย
ี
และการทดลองทางพันธกรรม
ุ
ื
ิ
็
ิ
4. ได้ต้นที มีขนาดสมําเสมอ เชน การปกชํากิ งที 4. ถ้าเปนก งตอน หรอก งปักชําจะไมได้รากแก้ว
่
ั
่
มีขนาดพอ ๆ กัน
5. การปกชํา การตอนก ง มักต้องทําในสภาพ ที มี
ั
ิ
็
ื
็
์
ึ
อากาศช น จงจะได้ผลสําเรจ เปน เปอรเซ็นต์
สง
ู
การขยายพันธ์แบบไม่อาศัยเพศ โดยใช้สวนต่าง ๆ ของลําต้นสนสามใบ ที ปฏิบัติอยู่ใน
่
ุ
วิธต่าง ๆ ดังน
ี
ี
1.1 การเปลยนยอด (Grafting)
ี
1.2 การปกชําก ง (Cutting)
ั
ิ
1.3 การตอนก ง (Marcotting)
ิ
ุ
์
1.4 การขยายพันธโดยใช้ช นสวนเลก ๆ ของพืชในสภาพปลอดเชื อ (Methods
็
่
ิ
of micropropagation)
104
1.1 การเปลยนยอด (Grafting) ไม้สนสามใบ
ี
ิ
็
่
เปนการใช้ศิลปะของการต่อช นสวน ของพืชเข้าด้วยกันเมื อแผลเชื อม
็
ี
็
ิ
ิ
ี
่
ี
ติดกัน สนทด แล้วจะเจรญเติบโตเปนต้นเดยวกันช นสวนที อยู่ ข้างบนทําหน้าที เปนลําต้นเรยกว่า
ิ
ี
ิ
scion ช นสวนลางทําหน้าที เปนรากเรยกต้นตอ (rootstock) วิธน เปนวิธที นยมใช้กันมากที สด
่
ิ
่
ี
็
ี
ี
ุ
็
ี
ํ
็
ู
็
ิ
ื
ิ
ื
ั
เพราะให้เปอรเซนต์ความสาเรจอยู่ในอัตราที สงมากเมอ เปรยบเทียบกับการตอนก งหรอตัดก งปก
์
ื
ี
ิ
ชํา คออยู่ระหว่างร้อยละ 75 – 85 ทั งน ขึ นอยู่กับ ความชํานาญของผู้ปฏบัติการ
การปฏบัติการเปลยนยอดไม้สนสามใบ กระทํากันทั งในสนามและในเรอนเพาะชํา
ี
ื
ิ
ี
ิ
สําหรับการเปลี ยนยอดในสนามเร มจากการ เอาต้นตอไปทําการปลกในพื นที ทได้เตรยมไว้แล้ว
ู
ี
เมื อต้นตอเจรญเติบโตได้ที ก็จะทําการเปลี ยนยอด วิธน ไม่ค่อยนยมทํากัน เพราะกระทําได้ลาช้า
ิ
่
ิ
ี
ี
ิ
ึ
เสยเวลา มีอัตราการรอดตายน้อยกวาการเปลยนยอดสนสามใบในเรอนเพาะชํา ซงเปนวิธที นยม
ี
ี
ี
็
่
ื
่
แพรหลายมากกว่า
ิ
1.1.1 ขบวนการเกดรอยต่อในการเปลยนยอดสนสามใบ การเกดรอย
ี
ิ
ต่อจากการเปลยนยอด จนเน อเยื อของพืชเชื อมติดกัน มีขบวนการดังน ี
ื
ี
ิ
1.1.1.1 เมื อทาบก งยอด และต้นตอเข้าด้วยกันต้องทาบ ใน
ื
ู
ุ
ุ
ลักษณะของแคมเบียมอยู่ใกล้กันที สด โดยที สภาพของอณหภมิ และความช นสัมพัทธ์ต้อง
เหมาะสม เพื อทําให้เซลในบรเวณนั นเติบโต ได้ด ี
ิ
1.1.1.2 เกิดการผลิตแคลลัส ที เซลรอบนอกของแคมเบียมทั ง
ิ
ี
ิ
ึ
ของต้นตอและก งยอด คือเซลชนดพาเรนไคมา ซงต่อมาเซลเหล่าน จะประสานกัน
ึ
1.1.1.3 กลมเซลของแคลลัส ซงอยู่ในแนวของแคมเบียม
ุ่
ิ
็
จากทั งต้นตอและ ก งยอด จะเปลี ยนแปลงเปน แคมเบียมใหม่
1.1.1.4 แคมเบียมใหม จะสร้างท่อนํ าท่ออาหารโดยสร้าง
่
ิ
่
xylem ทางด้าน ในและ phloem ทางด้านนอก ทําให้เกดทอนํ าท่ออาหาร ที เชื อมติดต่อกัน
ิ
ระหวางต้นตอและก งยอด ทําให้ได้รอยตอสมบูรณ์
่
่
็
ี
1.1.2 ปจจัยททําให้การเปลี ยนยอดประสพความสําเรจ การเปลี ยน
ั
ยอดสนสามใบ ที กระทํากันเรอนเพาะชํา มีปัจจัยที ทําให้การเปลี ยนยอดประสพความสําเรจ ดังน
ื
็
ี
1.1.2.1 ขนาดต้นต่อและก งยอด จากประสบการณ์ที ผ่านมา
ิ
้
ี
ี
ี
่
ในอดต ระบุวาต้น ตอที ดควรมีอายุ อยู่ระหว่าง 1.5 – 2.0 ป คือขนาดเสนผ่าศูนย์ กลางลําต้น
ี
ิ
่
ิ
ประมาณ 1 เซนติเมตร ซงไม่เล็ก และไม่ใหญเกนไป คือให้ พอดี ๆ กับก งยอดที จะนํามาเปลยน
ึ
105
็
่
สวนใหญแล้วจะต้องให้มีขนาด เท่า ๆ กันด้วย เมื อเรว ๆ น ผู้เขียนได้ทําการทดลองเปลี ยนยอด
ี
่
ี
็
ี
กล้าไม้สนขนาดเลกอายุตํากว่า 1 ป โดยพยายามคัดเลือกยอด โดยขนาดพอดกับขนาดต้นตอ
ี
็
ี
่
ปรากฏว่าผลเปนทนาพอใจมาก จากการศึกษาสังเกตครั งน พบว่าต้นตอและกิ งที นํามาเสยบยิ งมี
ี
็
ื
เน อเยื ออ่อนมากเท่าไรยิ งด คือมีโอกาสประสบผลสาเรจมากกว่าต้นและก งแก ๆ ดังแสดง ใน
ิ
ํ
ี
่
ภาพที 21 และ ที 22
ื
1.1.2.2 ก งยอดที นํามาต่อ หรอเปลยนให้กับต้นตอ โดยปกติ
ิ
ี
ุ
ุ
แล้วจะต้องให้มีขนาดเท่า ๆ กับต้นตอ จากประสบการณ์ของศูนย์บํารงพันธ์ไม้สน (Granhof)
็
ื
่
กลาวว่า ก งล่าง ๆ หรอตอนกลางของแมไม้ จะมีโอกาสประสบผลสําเรจมากกว่า เนองจากมี
ื
ิ
่
่
ี
ความแกเต็มทสามารถทนทานต่อการเปลี ยนแปลงสภาพแวดล้อมได้ด คือมีสภาพ Juvenile มาก
ี
ั
ิ
่
ี
ิ
์
่
็
กว่าก งบน ๆ ขึนไป ในขณะทสถาบันปาไม้ออกฟอรด แหงสหราชอาณาจักรแย้งว่า ก งตอน
บน ๆ ใกล้ยอดจรง ๆ จะมีความแข็งแรงดีกว่า จงนาจะมีโอกาสประสบความสําเรจ ในการตอก ง
ิ
่
ิ
็
ึ
่
ื
หรอเปลี ยนยอดได้มากกว่า (สมยศ กิจค้า, 2533)
ื
ิ
ุ
ึ
ิ
จากการศึกษาทดลองดังกลาวข้างต้น จงพอสรปได้ว่า ก งหรอยอดไม้สนสามใบ บรเวณ
่
ิ
ื
ใดของลําต้นก็ได้ ที ยังอยู่ในสภาพเน อเยื อยังอ่อนตัวอยู่ จะมีโอกาสในการต่อก งหรอ เปลี ยนยอด
ื
็
ี
็
ู
ิ
ประสพความสําเรจได้สงกว่า ดังนั นยอดที จะนํามาทํา scion การเปลยนยอดควรเปนก งยอดที
ื
ี
่
่
่
ุ่
เน อเยื อยังอ่อนอยู่คือ อยู่ในสภาพที ยังไมมีกลมใบแตกเต็มที นาจะได้ผลดกวากิ งที แตกใบเต็มที
แล้ว
ื
ิ
ื
ี
1.1.2.3 ระยะเวลาในการเปลยนยอด เนองจากการคัดเลอกก งยอด
ิ
(scion) ที ยังมีเน อเยื ออ่อนอยู่มาใช้ในการปฏบัติงาน ดังนั นระยะเวลาที เหมาะสมตอการเปลี ยน
่
ื
ยอดหรอต่อกิ งไม้สนสามใบ จงอยู่ในชวงที เรยกวายอดพุ่ง (Shooting period) เล็กน้อย สําหรับ
ึ
ี
่
่
ื
ไม้สนอาจม Shooting period สองระยะคือ ก่อนฤดูฝน และในฤดหนาว จากประสบการณ์เหน
ี
็
ู
่
ว่ากอนเร มฤดฝนเล็กน้อย คือในชวงเดอน เมษายน - พฤษภาคม จะเปนระยะเวลาที ดที สดในการ
ี
่
็
ื
ิ
ุ
ู
ต่อก ง เปลี ยนยอดไม้สนสามใบ
ิ
ุ
็
ี
การเปลยนยอดสนสามใบ ของศูนย์บํารงพันธ์ไม้สนและไม้โตเรว ซึงมีขั นตอนการ
ุ
ิ
ิ
ุ
ดําเนนงานในการจัดสร้างสวนผลตเมล็ดพันธ์ (Clone Seed Orchard ) ของไม้สนสามใบ ทั งหมด
ตั งแต่เร มแรก ดังน
ี
ิ
106
้
้
้
ภาพที 21 กลาสนสามใบที ไดรับการเปลี ยนยอดแลว และอยูในขันตอน
่
ื
คลุมความชน
้
่
ภาพที 22 กลาสนสามใบที ไดรับการเปลี ยนยอด และยอดใหมไดเชอมติดกับตนตอเดม
ื
้
ิ
้
้
เปนเนอเดียวกัน
ื
็
107
ื
1) คัดเลอกต้นตอ (stock) และกิ งยอด (scion) ให้ได้ขนาดเท่า ๆ กัน
็
่
2) ตัดยอดต้นตอทิ ง ให้สงจากระดับดนในชวง ที เปนเน อเยื อยังอ่อน อยู่ไม่แก
ื
ู
ิ
่
ิ
เกินไป แล้วผ่ากลางรอยตัดให้รอยผ่าลกเท่า ๆ กับความ ยาว ของรอยตัดก งยอด
ึ
็
3) นําก งยอดมาตัดเฉลยงทั งสองด้านให้เปนรปปากเปด ยาวเท่า ๆ กับรอยผ่า
ู
ี
็
ิ
ิ
ี
ุ
บนต้น ตอ นําไปเสยบลงบนรอยผ่าที ตัดไว้ ให้รอยผ่ากับ รอยตัดทาบกันให้สนท มากที สด เรยก
ี
ี
ี
วิธน ว่า Top cleft method
่
ิ
4) ใช้แถบพลาสติก หรอเทปสาหรบต่อก งพันรอบ ๆ รอยตอนั น ให้สนทให้
ํ
ั
ิ
ื
ื
มากที สด ป้องกันมิให้นํ า หรอโรคราต่าง ๆ เข้าไปได้
ุ
ี
่
5) ใช้นํ าผสมยาฆ่าแมลง และยาขจัดโรคราฉดพนตรงรอยต่อดังกล่าว
ุ
6) ใช้ถงพลาสติกขนาดใหญสวมยอด และบรเวณรอยต่อไว้ปองกัน รักษา
่
้
ิ
ความช น ภายในถุงไว้ มิให้คายนํ ามากเกินไป
ื
ุ
7) ใช้ถุงผ้าขนาดใหญ่สวมทับถงพลาสติกไว้อกชั นหนง ป้องกันมิให้ แดดเผา
ี
ึ
กล้าไม้ และรอยตอได้
่
ื
8) เก็บรกษา ตลอดจนการดแลกล้าไม้ที เปลยนยอดแล้ว ไว้ในเรอนเพาะชํา
ู
ั
ี
ุ
ประมาณ 1 เดอน จงถอดถงผ้าออก จนกระทั ง 2 เดือน จงถอดถงพลาสติกออก และปลอยให้
ึ
่
ุ
ื
ึ
ี
ู
ิ
กล้าไม้ที เปลยนยอดแล้ว เจรญเติบโตตามปกติต่อไป จนกว่าจะย้ายปลกภาคสนามใน ช่วง ฤดูฝน
ี
ี
ิ
ุ
ปัจจบันได้มีการพัฒนาวิธการเปลยนยอดไม้สนสามใบใหม่ ยึดหลักการเดม แต่ไม่ใช้ถุง
ุ
ี
ื
ผ้าสวมทับถงพลาสติก และใช้ต้นตอมีอายุน้อยลงเหลอ 1 ป เน้นความ รวดเรว ประหยัด และ
็
ู
์
็
ิ
ปฏิบัติงานได้จรง เปอรเซ็นต์ความสําเรจจาก การเปลี ยนยอดสงข น
ึ
1.2 การปกชําก ง (Cutting) สนสามใบ
ิ
ั
็
ิ
เปนการนําก งสนที ตัดจากต้นแม่ ซงจะมีขนาดความยาว และความโตที
ึ
ั
ุ
ี
เหมาะสม เอามาจุ่มในสารเคมีทช่วยกระตุ้นในการเกิดรากนําไปปกชํา ในวัสดปกชํา ที เหมาะสม
ั
ิ
ิ
ุ
โดยมการ ควบคมปัจจัยส งแวดล้อมให้พอเหมาะจนกระทั งก งสนสามใบนั นงอกราก และเจรญ
ิ
ี
เติบโต เปนต้นใหม
็
่
ิ
ั
1.2.1 ขบวนการเกดรากในก งปกชํา การปกชําก งสนสามใบมี ขบวน
ั
ิ
ิ
ิ
การเกิดรากในก งชํามี 3 ขั น ตอนคือ
108
็
่
ี
1.2.1.1 การเปลยนแปลงของกลุ่มเซลที แกแล้วมาเปนเซลเยื อ
ิ
เจรญ และเกิดกลุ่มเซลที ให้กําเนดราก (root initials)
ิ
็
ี
1.2.1.2 จาก root initials มีการเปลยนแปลงเปน root
ิ
็
ิ
primordia ซงเปนกลุ่มเซลที เจรญต่อจาก root initials และยังคงมีการแบ่งเซลเกดขึ นเรอย ๆ
ึ
ื
1.2.1.3 มีการเจรญเติบโต และแทงออกจากเน อเยื อบรเวณ
ิ
ื
ิ
่
็
ิ
่
โคนก ง ออกมาเปนรากใหม มีท่อนํ าท่ออาหารติดกับทอนํ าท่อ อาหาร ในกิ งชําด้วย
ี
ั
ิ
็
ํ
1.2.2 ปัจจัยททําให้การปักชําก งประสพความสาเรจ การปกชํากิ งสน
์
็
็
ู
่
สามใบ ให้ประสบความสําเรจได้เปอรเซนต์ออกรากที สงพอ จะกลาวได้ว่าขึ นอยู่กับ 2 ปัจจัย
ใหญ่ คือ
ี
ิ
ั
1.2.2.1 ปจจัยทเกยวกับ สภาพของก งสนสามใบเอง
ี
(Physiological condition) เปนที ทราบกันดว่า อ๊อกซนมีบทบาทสําคัญที สด ในการออกรากของ
็
ี
ิ
ุ
ก งชํา การเจรญเติบโตของต้นพืช การห้ามการเจรญของตาข้าง การรวงหล่นของใบไม้ และ
ิ
ิ
ิ
่
ี
ตลอดจนกระตุ้นการทํางานของแคมเบียมสารพวกน ีทพบว่าพืช สามารถสร้างขึ นได้เองคือ
ิ
ื
็
Indole – 3 acetic acid (IAA) จะอยู่เปนจํานวนมากน้อย ต่างกันในแต่ละพืช บรเวณเน อเยื อท ี
ิ
ื
กําลังเจรญเติบโต และมีความสามารถเคลอนย้ายลงมาช่วย ให้ก งปักชําออกรากได้ด้วย สําหรับ
ิ
่
ั
ี
ไม้สนสามใบ ได้มการทดลองตัดยอดและใบกอนการปกชํา ปรากฏว่าความสามารถในการออก
รากตํามาก เมื อเทียบกับก งสนสามใบ ที มียอดและใบยังคงอยู่
ิ
ปจจัยที เกยวกับสภาพของก ง ที ควรปฏบัติในการเลอกก งปกชํามีดังน ี
ิ
ั
ื
ั
ิ
ิ
ี
ิ
1.2.2.1.1 เลือกก งที มีตายอดที เปนตุ่มใหญ่ พร้อมท ี
็
ี
จะแตกยอด ผลิใบ อ่อน ในขณะเดยวกันใบสนต้องมีสเขียวเข้มยาวตึงตัวเต็มที และขณะปักชําจํา
ี
ื
็
เปนต้องเหลอใบติดก งให้มากที สด
ิ
ุ
์
1.2.2.1.2 ก งที สมบูรณ์ที มการสะสมคารโบไฮเดรท
ิ
ี
่
ิ
มาก มีสวนชวยใน การออกรากได้ดกว่า ควรเลอกก งที มสเขียวก งนํ าตาล (semiharden) แทนที จะ
ี
่
ี
ิ
ื
ี
็
ื
ึ
เลอกก งที มี สนํ าตาล ซงเปนก งแก เพราะเน อเยื อ ไมค่อยตอบสนองต่อการเกดราก และก งท ยัง
ิ
ื
ี
่
ิ
่
ิ
ิ
ี
่
ื
็
่
่
ี
ิ
ออนอยู่มีสเขียวการสะสมอาหารยังน้อย เน อเยื อกยังออน เกนไป ง่ายต่อการเกดโรคเนาที โคนกิ ง
ิ
ั
ที เปนแผลจากการตัดปกชํา
็
109
ี
ี
ุ
1.2.2.1.3 อายุของต้นแม่ทใช้ขยายพันธ์โดยวิธการ
ุ
์
ปักชํา นับว่ามีความสําคัญมาก พบว่าไม้สนสามใบที อายุมาก กิ งพันธที นํามาปักชําก็ออกรากยาก
ขึ นตามอายุที มากขึ น ดังนั นอายุของ ไม้สนสามใบที เหมาะสมแกการขยายพันธ์ โดยวิธการปักชํา
ี
ุ
่
ี
็
จะมีช่วงอายุอยู่ประมาณ 1 – 7 ป ทําให้มีเปอร์เซนต์ การออกราก ประมาณร้อยละ 50
ุ
1.2.2.1.4 ไม้สนสามใบบางสายพันธ์ (clone) ก็ออก
รากง่ายยากผิดกัน ซงจะทราบได้ก็จากการทดลองที ทราบผลแล้วเท่านั น
ึ
ิ
่
1.2.2.1.5 ตําแหนงของกิ งที อยู่ในบรเวณตาง ๆ ของ
่
็
ิ
ิ
ั
ิ
ื
เรอนยอดก็ให้ผล ต่อการออกรากของกิ งปกชํา เปนที นยมกันว่าก งที อยู่ บรเวณด้านล่างและ
กลาง ๆ เรอนยอดของต้นสนสามใบจะให้ เปอร์เซ็นต์ การออกรากที ดีกว่าบรเวณอน ๆ
ื
ิ
ื
1.2.2.1.6 การดํารงไว้ซงความเขียวสดอยู่เสมอตลอด
ึ
่
ิ
ิ
ั
ิ
ระยะเวลาที ตัดก งมาจากต้นแม่ จนถงสถานที ปกชํา การปฏบัติการระหว่างการขนสงก งของ
ึ
ี
ิ
ื
สนสามใบ ต้องพิถพิถันในเรองการควบคุมปรมาณการคายนํ าของกิ งสนสามใบอยู่มาก ทั งน เพื อ
ี
ิ
ี
ป้องกันขบวนการสญเสยนํ าในก ง (Dehydration of cutting)
ู
1.2.2.2 ปจจัยทเกยวกับส งแวดล้อมที เหมาะสม ที ชวยให้ก งชํา
ั
ี
ี
่
ิ
ิ
ู
่
็
ออกราก (Environmental condition) นับว่ามีความสําคัญมากเชนกัน ไม้สนสามใบเปนไม้ตระกล
ึ
ั
ิ
ิ
สนที ปกตมีความยากมาก ในการทําให้ก งปกชําออกรากต้องมีการศกษา และทดลองอย่าง
ิ
ิ
็
่
พิถีพิถันเปนพเศษพบบอย ๆ ที ผู้ปฏบัติการเองเปนผู้กระทํา ให้ก งสนสามใบที ใช้ปกชําตายหรอ
ื
็
ั
ิ
ั
ื
ั
ติดเช อโรค เนองจากขาดความระมัดระวัง เช่น วางทิ งกิ งปกชํากับพื นดนกอนการปกชํา ใช้มอ
่
ื
ื
ิ
ื
ึ
่
ิ
ี
่
็
่
สัมผัสแผลที ด้านลางกิ ง ซงเปนสวนเน อเยื อทจะกอให้เกดเซลแคลลัส และรากในโอกาส ต่อไป
ี
ปจจัยที เกยวข้องกับส งแวดล้อมมี ดังน ี
ั
ิ
ั
ู
1.2.2.2.1 ฤดกาลกับการปกชํา ฤดูกาลปักชําเปน
็
ี
ื
ี
ั
ปจจัยทสําคัญที จะทําให้การออกรากได้ดหรอไม่ ไม้บางชนดรวมทั ง ไม้สนสามใบด้วย ถ้าการ
ิ
็
ปักชําผิดฤดกาลจะได้เปอร เซนต์ความสาเรจตํามาก หรออาจจะทํา ไมสําเรจเลยก็ได้ จึงควรจะม ี
่
ํ
ู
ื
็
์
็
การศึกษาเฉพาะไม้วา การปกชําในฤดใดจะได้ผลดที สด และจะสัมพันธ์กับสภาพทางสรระของ
ุ
ี
ั
ู
่
ี
พืช ด้วยประเทศไทยเปนประเทศที อยู่ในเขตร้อนชื น การเจรญเติบโต และการแผกระจายของ
่
ิ
็
ิ
เช อราที จะทําให้เกด โรคเนาแกกิ งปกชําก็ดตามไปด้วย โดยเฉพาะในฤดฝนก ง ปกชําของไม้สน
่
ู
ี
่
ื
ั
ั
ิ
ิ
็
ิ
ี
ิ
ิ
ิ
ิ
ู
สามใบ ตายอดจะเร มแตกยอดเปนก งและใบ ใบที เร มผลจะเร มคายนํ า ทําให้ ก งชําสญเสยนํ า
110
ู
่
ี
่
ื
ทั ง ๆ ทยังไม่มรากดดนํ ามาชดเชย ตอจากนั นเช อราก็จะ เข้ารวมทําลายด้วยก งชําจะตายไป ฤด ู
ี
ิ
ี
ื
กาลทเหมาะ สําหรับการปกชําไม้สนสามใบ คือ ฤดหนาวจะให้การ ออกราก ดีกว่าฤดูอน ๆ
ู
ั
ิ
1.2.2.2.2 การใช้สารควบคุม การเจรญเติบโตและ
ิ
ั
ื
ี
ิ
่
สารอน ๆ กับก งปกชํา การพบว่าอ๊อกซนสามารถชวยให้เกดการออกรากได้ด ทั งในการตัด
ิ
ี
ิ
็
ชําก ง และการตัดชําใบ เมื อป 1934 – 1935นั น นับว่าเปนก้าวที สําคัญ ในประวัติ การขยายพันธ ุ ์
พืช แต่ก็ไม่ใชว่าอ๊อกซนสามารถทําให้ ไม้ทุกชนดออกรากได้ เพราะยังมีไม้อกหลายชนด ทออก
ิ
ี
ี
ิ
่
ิ
รากยาก อ๊อกซนไม่สามารถชวยได้ ซงเข้าใจว่าเพราะพันธพืชนั นขาดสารที จําเปนในการออกราก
็
ิ
่
ึ
ุ
์
่
ิ
ิ
ี
ที มในธรรมชาต เชน rooting cofactor ในสมัยก่อน ชาวยุโรปผ่าโคนก งไม้ที จะชําแล้ว เอาเมล็ด
่
ิ
่
ุ
่
ึ
ื
ข้าวใสไว้เพอชวยให้ออกราก ปัจจบันเราทราบว่าเมล็ดข้าวที กําลังงอกจะให้อ๊อกซนซงชวยให้กิ ง
ชําออกรากได้ (นันทิยา สมานนท์, 2525)
่
ี
่
ิ
การใช้สารเรงรากมากว่า 1 ชนด ผสมกันบางครั งให้ผลดกวา การใช้สารอย่างเดยว เชน
่
ี
ึ
การใช้ IBA (Indole butyric acid) และ NAA (Naphthalene acetic acid) ซงเปนสารสังเคราะหที
็
์
ึ
็
มีคณสมบัตเหมือน IAA อย่างละครงผสมกันจะ ให้เปอรเซนต์การออกรากสงกว่า และให้
ิ
์
ุ
ู
จํานวนรากมากกว่าการใช้ IBA หรอ NAA เพียงอย่างใดอย่างหนง หรอการเติมสารพวก
ึ
ื
ื
็
phenoxy ปรมาณเลกน้อยใน IBA และ NAA จะช่วยให้ไม้บางชนดออกรากได้ดมากและได้
ี
ิ
ิ
ี
ี
ระบบรากที ดกว่าเมื อใช้สารพวก phenoxy อย่างเดยว
สารเรงรากที เปนทนยมใช้กันมากที สดคือ IBA และ NAA ซงรวมไปถงการใช้กับไม้
ุ
ึ
่
ิ
ี
็
ึ
่
ิ
สนสามใบด้วยแต่ IBA ได้รับความนยมมากกว่า การที จะทราบวาควรใช้สารใด มีความเข้มข้น
ี
ึ
ั
เท่าใด จงจะเหมาะสมในสภาพแวดล้อมหนง ๆ นั น จําเปนต้องมีการทดลองเสยกอน ในการปก
่
็
ึ
ิ
่
่
ชําไม้สนสามใบนยมใช้ สารเรงรากที มีการซ อขายกันตามท้อง ตลาด เชน Seradix No.2 ปาย
้
ื
ู
บรเวณรอยแผล และสงข นมาประมาณเซนติเมตร จะช่วยในการออกรากได้ดี
ิ
ึ
1.2.2.2.3 การใช้ยากันรา การใช้ยากันราจะช่วย
ปองกัน และชวยให้ กิ งชํารอดมากข นและทําให้ระบบรากดีขึ น ในการปฏบัติกับไม้สนสามใบ
ึ
้
่
ิ
ุ่
ื
นยมใช้ยากันราคือ captan และ benomyl โดยเอาผสมกับผงสารเรงราก ใช้โคนก งจม หรอคลก
ุ
ิ
่
ิ
สารเรงรากก่อน แล้วจึงคลุกกับยากันราอีกครั ง
่
่
1.2.2.2.4 การกรดโคนก ง ชวยให้ไม้สนสามใบออก
ี
ิ
ิ
ิ
รากได้ดีขึ น สวนของโคนก งที ได้รับการกรดจะเกดแคลลัส เกิดขึ นเปนจํานวนมากและมีรากเกด
็
่
ิ
ี
111
ั
ุ
ิ
ู
่
ู
่
ิ
ี
ขึ นบรเวณของแผล การกรดโคนก งจะชวยเพิ มการดดนํ า จากวัสดปกชําและสามารถ ดดสารเรง
ิ
็
รากได้เปน ปรมาณมากกว่า
ื
1.2.2.2.5 ความช น การชํากิ งไม้สนสามใบต้องมีใบ
ติดด้วย ใบมีสวนสําคัญในการทําให้เกิดราก ในขณะเดียวกันใบก็ทําให้เกดการคายนํ าทําให้กิ ง
ิ
่
ู
สญเสยความช น จนอาจถงขนาดกิ งและใบแห้งตายได้ กอนที จะมีรากมาดูดนํ าชดเชย ในกรณ ี
ี
ึ
่
ื
ี
ุ
ี
ี
อย่างน ีต้องหาวิธทจะทําให้กิ ง และใบเสยนํ าน้อยที สด และสดอยู่เสมอจนกระทั งออกราก
ี
หลักการ คือต้องทําให้ความดันไอนํ าในบรรยากาศรอบ ๆ พืช มีค่าใกล้เคยงกัน ความดันไอนํ า
ในชองว่างระหว่างเซลของพืช แต่เดิมการปกชําสนสามใบ กระทําในเรอนเพาะชํา ใช้ถง
่
ุ
ั
ื
ู
พลาสตกคลมความช นปรากฏวา ปรมาณความช นภายในถงพลาสติกอยู่ในเกณฑ์สงมาก แต่ก ็
่
ุ
ิ
ิ
ื
ื
ุ
ื
ุ
ทําให้อณหภมิสงด้วยเช่นกัน เช อราก็เจรญได้ดเชนกัน ดัง แสดงในภาพที 23 และที 24
ี
่
ิ
ู
ู
็
ิ
ั
การปกชําโดยใช้ Mist spray คือการให้นํ าเปนละอองฝอยจับตามใบ และก งของกิ งชํา
ิ
ู
ุ
ื
ุ
เมื อนํ าระเหยจากใบพืช อณหภมิของเน อเยื อใบพืชและอณหภูมิของอากาศ รอบ ๆ ก งชําจะลด
ี
ุ
ี
ลงทําให้ลดการคายนํ า ช่วยให้ก งชําสังเคราะห์แสงได้มากกว่าปจจบัน ก็ใช้วิธน ในการทําการปก
ั
ั
ิ
ิ
ชํา ก งสนสามใบ
1.2.2.2.6 อุณหภมิ การออกรากของกิ งชําต้องการ
ู
ี
ุ
ี
ุ
อณหภูมิกลางวัน ตั งแต่ 21 – 27 องศาเซลเซยส และอณหภูมิกลางคืน 15 องศาเซลเซยส ถ้า
ึ
ู
ี
ั
ิ
ิ
่
อากาศร้อนเกินไป จะทําให้ตาเจรญขึ นกอนที จะมีราก ทําให้ก งสญเสยนํ า การปกชําจงควรทํา
ู
่
ุ
ิ
ให้เกดรากกอนที ยอดจะแตกผลขึ น หากอณหภมิของวัสดปักชําสงกว่าอุณหภมิของบรรยากาศ
ู
ู
ิ
ุ
ี
รอบ ๆ ก ง ปักชํายิ งดมาก
ิ
1.2.2.2.7 แสงสวาง แสงเปนพลังงานทจําเปนใน
ี
็
็
่
ั
ิ
ุ
การสร้างอาหารของพืช และในขบวนการเกดรากจากการปกชําต้องการ อาหารมาใช้ในจดที จะ
ึ
เกดราก และการเจรญเติบโตของราก ซงก็ได้จากความเข้มข้นของแสง และระยะเวลาทได้รบ
ิ
ั
ี
ิ
ั
ั
ิ
แสงปกติการปกชํา สนสามใบจะใช้การพรางแสงเพื อไม่ให้ก งปกชําได้รับแสงมากไป ควรได้
รับแสงประมาณร้อยละ 30 – 50
1.2.2.2.8 วัสดุปกชํา วัสดปักชําที ดต้องโปรง ม ี
ุ
่
ั
ี
ี
ี
อากาศถายเทได้ด อ้มนํ าได้มากระบายนํ าได้ด ในขณะเดยวกันต้องปลอดจากเช อรา และ
่
ุ
ี
ื
ั
ี
แบคทีเรย ด้วยวัสดุปกชําทใช้กันแพรหลาย ในการปักชําสนสามใบคือ ทรายหยาบ ผสมขี เถ้า
่
ี
แกลบ
112
ํ
้
ั
ภาพที 23 การปกชาสนสามใบ โดยใชถุงพลาสติกขนาด 20 x 30 นิ ว
้
็
ั
ื
คลุมความชน ใชทรายหยาบเปนวัสดุปกชํา
113
้
ี
ภาพที 24 กลาสนสามใบอายุ 1 ป ที ปักชําออกรากโดยวิธ ี
ื
ใชถุงพลาสติกคลุมความชน
้
114
ื
ิ
1.3 การตอนก ง (Marcotting หรอ Air layering) สนสามใบ
ิ
็
เปนวธการทําให้ก งพืชออกราก ในขณะที ก งนั นยังตดอยู่กับต้นแม่หลัง
ี
ิ
ิ
ิ
่
ึ
ั
จากออก รากแล้วจงตัดออกได้ต้นใหม การที กิ งตอนยังมีท่อนํ าติดต่ออยู่กับต้นแม่ ทําให้ได้รบนํ า
่
ิ
็
และแรธาตุอาหารอยู่ตลอดเวลา การขยายพันธ์โดยการตอนก งจะประสพผลสําเรจมากกว่าการ
ุ
ิ
ปักชําก งในสนสามใบ
การขยายพันธุโดยวิธีการตอนกิ ง
์
ข้อดี ข้อเสย
ี
ิ
่
1. สายพันธ์ของต้นไม้บางต้น ถ้า ขยายพันธ์ ุ 1. ก งตอนให้ต้นใหมที มีขนาดใหญ่กว่าก งปัก
ุ
ิ
ู
ิ
็
ด้วยการ ปกชํา ทําให้ การออกรากเปนไป ชํา จรง แต่ต้นใหญก็ ย้ายปลก ยากกว่า
ั
่
ด้วยความยาก ลําบากแต่ออกรากได้ดี โดยใช้ เปลืองเน อที ในการ ขนสง เหยวง่ายเมื อ
่
ี
ื
ื
ิ
ี
วิธการตอนก ง พบ เสมอใน สนสามใบ ตัดจากต้นแม่ และอาจจะฟนตัวยาก
ุ
ิ
ิ
ั
2. การตอนก งทําได้ง่าย ถ้าต้องการ ปรมาณ ก ง 2. การตอนกิ งสนสามใบ ในปจจบันกระ ทํา
ิ
จํานวน ไม่มากนัก ขั นตอนในการปฏบัติ ก ็ ได้ยาก เพราะต้องปนข น ไปทํา การตอน
ึ
ี
ิ
ู
ิ
ื
ไม่ ยาก เหมือนอย่างการปักชําก ง ให้ผล บน เรอนยอด ทสง และกิ งที จะใช้ตอนได้
ี
สําเรจได้งาย และมากกว่า การปก ชํา โดย มัก อยู่ปลายก ง กระทํา ได้ยากลําบาก ต้อง
็
ิ
ั
่
ี
เฉพาะไม้สนสามใบ ที มอายุมากเกนกว่า 15 ใช้ผู้ชํานาญการจรง ๆ ล่าช้าเสยเวลามาก
ี
ิ
ิ
ั
ี
ปขึ นไป การนํากิ งไป ทดลอง ปกชํา พบว่ายัง
ให้ผลสําเรจที ไมดเท่าที ควร แต่เมื อใช้วิธการ
ี
็
ี
่
ิ
็
ตอนก งปรากฏว่าประสบความ สําเรจดี มาก
ถึงร้อยละ 50 ปรมาณ ของรากก็ออกเปน
็
ิ
จํานวนมาก
ู
3. การปลกด้วยก งตอน จะได้ขนาด ของ ต้นไม้ 3. ถ้าต้องการจํานวนมาก ต้องลงทุนสง
ู
ิ
็
ี
ื
ใหม่ ที ใหญ่กว่า โต เรวกว่า การปลูกด้วย ก ง เพราะ ต้องใช้ แรงงานคน และฝมอ เมื อทํา
ิ
็
ปักชํา เปน จํานวนมาก
115
ิ
ขั นตอนการดําเนนการตอนก งสนสามใบมดังน ี
ี
ิ
ิ
ู
ิ
ิ
ื
1.3.1 เลือกกิ งทเจรญแล้ว 1 ฤด หรอ 1 ป คือก งเร มแก่ ก งที มีอายุมาก
ี
ี
ิ
กว่าป พอใช้ได้ แต่ออกรากยากกว่า และกิ งมักมีขนาดใหญ ่
ี
ิ
ิ
1.3.2 ใช้มีดตอนก ง ควั นเปลอกที บรเวณหางจากปลายก ง 8 –12 น ว
่
ิ
ิ
ื
ื
แล้วปอกเปลอกออกยาว ½ - 1 น ว ขุดเมือก แคมเบียม ออกเบา ๆ เพื อตัดทออาหาร และปองกัน
ิ
้
่
การสมานแผล
1.3.3 ทาสารเรงการเกดรากที รอยแผล บรเวณด้านบนไปทางปลาย
่
ิ
ิ
ยอดโดยรอบ เพื อชวยกระต้นให้ก งสนสร้างแคลลัสและรากต่อไป สนสามใบตอบสนองต่อการ
ิ
่
ุ
่
็
ิ
ใช้สารเรงการเกดรากเปนอย่างด ี
ุ
ื
่
ิ
่
. . ห้มรอบแผลด้วยดนปาสนที ช นพอเหมาะ มิฉะนั นแผลจะเนา
ี
ิ
ก งแห้งตาย เอากาบมะพร้าวชบนํ าห้มอกชั นหนง เพื อเก็บความช นไว้ให้มากที สด
ึ
ุ
ุ
ุ
ื
1.3.5 ต่อจากนั น ใช้แผ่นพลาสติก ขนาด 8 –10 น ว สเหลี ยมจัตุรัส
ี
ิ
่
ห้มโดยรอบแล้วมัดหัวมัดท้าย ด้วยเชือกฟางให้แนน
ุ
ิ
1.3.6 ปลอยทิ งไว้ 1 – 2 เดือน ก งตอนสนสามใบก็จะออกราก
่
ิ
1.3.7 ทําการตัดก งตอนที ออกราก เมื อสังเกตเหนรากที เกดขึ นมาส ี
ิ
็
ื
นํ าตาลใช้ ระยะเวลา 2 – 4 เดือน ย้ายชําในเรอนเพาะชําต่อไป ดังแสดงในภาพที 25
ิ
ื
การตอนก งควรกระทําในต้นฤดฝน ซงจะทําให้มีความช นอยู่ในกระเปาะตอน จะเกด
ู
ึ
ิ
รากได้ดีกว่า
์
ื
ุ
1.4 การขยายพันธโดยใช้ช นสวนที เล็ก ๆ ของพืชในสภาพปลอดเช อ
ิ
่
(Methods of micro – propagation) สนสามใบ
็
่
ิ
เปนวธการสรางสายพันธ (clone) จากช นสวนที เล็ก ๆ ของพืช เชน
ิ
ุ
์
้
ี
่
่
ิ
ิ
embryo เมล็ด ก ง ปลายยอด ปลายราก แคลลัสเซลเดี ยว และละอองเกสรตัวผู้ ช นสวนเล็ก ๆ ของ
ี
ื
พืชนํามาเลี ยงเรยกว่า explant การเล ยงต้อง ทําในสภาพปลอดเช อทุกขั นตอน และมีชอ เรยกอก
ี
ี
ื
ี
ู
ื
ึ
ิ
ี
ื
อย่างหนงว่า In vitro culture เทคนคการเล ยงเน อเยื อและอวัยวะของพชได้ถกนํามาใช้กันอย่าง
ื
ี
ิ
์
กว้างขวางในงานทดลอง และวจัยด้านสรรวิทยาโรคพชและพันธศาสตร และได้นํามาใช้ในการ
ุ
ขยายพันธ์พืชด้วย
ุ
116
ภาพที 25 กิ งตอนสนสามใบ ที ออกรากและรากแก ่
้
ํ
พอเหมาะแกการยายชาในถุงดิน
่
117
ุ
่
1.4.1 ประโยชน์ของการขยายพันธ์โดยใช้ชิ นสวนที เล็ก ๆ ของพืช
่
ิ
ุ
ประโยชน์ของการขยายพันธ์โดยใช้ช นสวนที เล็ก ๆ ของพืชในสภาพปลอดเช อ มีดังน ี
ื
ี
็
1.4.1.1 เพื อเพิ มจํานวนต้นไม้อย่างรวดเรวในกรณที ได้พันธ ุ ์
ิ
่
ึ
ุ
ุ
ใหม โดยเฉพาะจําพวกลูกผสม ซงการผลตเมล็ดพันธ์ทําได้ยากกว่า พันธ์ธรรมดา
ิ
1.4.1.2 ในกรณทมีการขยายพันธ์ โดยวธธรรมดาทั วไป
ุ
ี
ี
ี
ี
กระทําได้ยาก และล่าช้าจึงหัน มาใช้วิธน ี
1.4.1.3 ทําให้ได้ต้นไม้ใหม่ที ปลอดโรค
ึ
1.4.1.4 ใช้ทํา Tissue culture bank ซงสามารถเก็บรักษาไว้ได้
นาน โดยใช้เน อที น้อย และใช้เก็บ Germ plasm ของ breeding และ Propagating stock
ื
ื
ั
ึ
1.4.1.5 embryo ซงฟกตัวอยู่ในเมล็ด และงอกช้ามากหรอ
่
แท้ง (abort) ถ้ายังอยู่ในเมล็ดจนกระทั ง แกเราสามารถเอามาเพาะ และทําให้งอก โดยใช้ Embryo
culture
้
1.4.1.6 สามารถสราง polyploid plant จากการเพาะเลี ยง
ี
เน อเยื อ เช่น เมื อพบเซลที มโครโมโซมมากกว่า 2 ชุด ในต้นไม้หรอขณะทําการเพาะเล ยงเน อเยื อ
ื
ื
ี
ื
ก็สามารถแยกเซลน ออกมาเล ยง เพื อให้ได้ต้นใหม ที มี Polyploidy
่
ี
ี
ี
1.4.1.7 การผลิตต้นไม้ทมีโครโมโซม n และ 2n จากละออง
ิ
ุ
เกสรตัวผู้เปน ที นยมใช้กันใน การผสมพันธ์พืช
็
่
ิ
ิ
ี
โดยทประเทศไทยอยู่ในเขตรอน ดังนั นตามบรเวณพื นผวข้างนอกของช นสวนต่าง ๆ
้
ิ
่
ิ
่
ุ
่
ุ
ี
ู
ี
ิ
ของต้นไม้จะมีเชื อจลลนทรย์ รา ยีสต์ฯ แต่ปกตบางสวนของไม้ทถกหอห้มเชน ตามักจะปลอด
ี
ื
ิ
ิ
ี
่
ิ
โรค การที เราตัดเอาช นสวนของต้นไม้ที มีเช อจลนทรย์ตดมา และนําไปเพาะเล ยง ในอาหาร
ุ
ี
ื
่
ื
สังเคราะห์ที มสภาพปลอดเช อแล้ว จะทําให้เสยไปหมดต้องมีการฆ่าเช อชิ นสวน ที จะนํามาเพาะ
ี
ี
เลี ยงเสยกอน
่
ื
่
. . องค์ประกอบ ในการขยายพันธ์โดยใช้ช นสวนเล็ก ๆ ของพช
ิ
ุ
่
ิ
ื
ุ
่
สวนประกอบที สําคัญในการทําให้การขยายพันธ์ โดยใช้ช นสวนที เล็ก ๆ ในสภาพปลอดเช อ
ประสพความสําเรจ มีดังน ี
็
ี
ื
ื
. . . ห้องและเครองมือในการเล ยงเน อเยื อ
ื
ื
ึ
ี
. . . . ห้องเตรยมอาหารและเครองมอ ซงภายใน
ื
ิ
ห้องก็มเครอง มอ และส งจําเปนเชน เครองชั ง pH meter หม้อนง เตาไฟฟา สารเคมีต่าง ๆ
ื
ี
็
้
ึ
่
ื
118
ื
เครองแก้ว อุปกรณ์อื น ๆ พวกสําลี โต๊ะ ฯลฯ
ึ
ื
็
ื
. . . . ห้องย้ายเน อเยื อ ซงภายในห้องกมีเครอง
็
ื
ั
ื
ี
มือ และอปกรณ์ทจําเปน เชน ตู้ย้ายเน อเยื อ มีดผาตัด เครองปรบอากาศ พัดลมดดอากาศ
ุ
่
่
ู
หลอดแสงอุนตราไวโอเลต
ี
ื
ื
1.4.2.1.3 ห้องเล ยงเน อเยื อ ซงภายในห้องก็มีเครอง
ึ
มือ และอปกรณ์ที จําเปน เชน เครองปรับอากาศ ไฟฟาให้แสงสว่าง ชั นวางขวด เครองควบคม
ุ
็
้
ื
ุ
่
ื
ื
ื
ุ
อุณหภูมิ เครองควบคมความช น
ี
ิ
ื
. . . ชนดของเน อเยื อที นํามาเล ยง สําหรับไม้สนสามใบ
ื
ื
ี
ื
ในประเทศไทย การเพาะเล ยงเน อเยื อยังอยู่ในขั นตอนของการทดลอง ในชั นน จะเลอกเน อเยื อมา
ี
่
ุ
ึ
ี
ิ
็
ึ
เล ยงเพื อขยายสายพันธ์ โดยการใช้สวนปลายยอดของสนสามใบ ซงมเซลเมอรสเต็มอยู่ซงเปนที
ี
ี
ื
ื
ุ่
ิ
นยมใช้กันโดยทั วไป นอกจากน การเลอกใช้เน อเยื อที ยังอยู่ในระยะ หนม - สาว (Juvenile stage)
ื
ิ
่
หรอระยะยังออน (Young tissue) ซงยังมีเซลเมอรสเต็มอยู่ มีแนวโน้มสําเรจได้ดกว่า การเลือก
ี
็
ึ
่
ื
ื
เน ีอเยื อที อยู่ในระยะแก (Mature stage) หรอเน อเยื อที เปลยนไป ทําหน้าที เฉพาะเจาะจงแล้ว
ี
(Differentiated tissue) โดยปกติมักจะตัดยอดสนสามใบล้างให้สะอาด แล้วตัดกาบใบที ห้มยอด
ุ
่
ึ
ออก แชในนํ ายาคลอรอกซ รอยละ 10 เปนเวลา 10 – 15 นาที แล้วล้างด้วยนํ ากลั นที นงฆาเช อ
์
่
ื
็
้
๊
ั
ุ
่
ื
ึ
แล้ว 2 –3 คร งค่อย ๆ ลอกกาบใบที หอห้มตายอดออกทีละชั น จนกระทั งถงเน อเยื อของตายอด จึง
ื
่
ใช้มีดผ่าตัดที คม และสะอาดปราศจากเช อโรค ตัดเอาสวนของตายอดออกมาขนาด 0.5 มิลลิเมตร
ี
ไปเล ยง ในอาหารเลี ยงเน อเยื อต่อไป
ื
ู
ี
ื
1.4.2.3 อาหารเล ยงเน อเยื อ อาหารที ใช้มีหลายสตรด้วยกัน
ู
ู
สตรอาหารต่าง ๆ ก็มักจะเรยกชอตามผู้ทคิดค้น เช่น สตรอาหาร MS สตรอาหาร White สตร
ี
ู
ื
ู
ี
ี
็
ี
อาหาร Knudson สตรอาหารต่าง ๆ เหล่าน ีก็ประกอบด้วย สารพวกอนนทรย์ ธาตุทจําเปนได้แก ่
ู
ิ
ี
ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปตัสเซยม ฯลฯ สารอินทรย์ ได้แก่ สารที มองค์ประกอบของคารบอน
์
ี
ี
ิ
ิ
่
ไฮโดรเจน และอ๊อกซเจน เชน นํ าตาล วิตามิน สารเรงการเจรญเติบโต กรดอะมิโน และสาร
่
ั
ู
ื
ี
อินทรย์อื น ๆ ปจจุบันสตรอาหารสําหรับเพาะเลี ยงเน อเยื อสนสามใบ อยู่ในขั นการพัฒนาเพื อให้
ุ
ี
ู
ได้ผลดที สด และมีแนวโน้มในอนาคตอันใกล้น ที จะสามารถนําวิธการเหลาน ไปพัฒนาการปลก
่
ี
ี
ี
ุ
ุ
่
สร้างสวนปา และปรับปรงพันธ์ไม้สนสามใบต่อไป
119
์
2. การขยายพันธุโดยใชเมล็ดเพาะ
้
เมล็ดเกดจากการผสมเกสรตัวผ้และเกสรตัวเมีย เมล็ดปกติ ประกอบด้วยต้น
ิ
ู
ออน (embryo) อาหารสะสม ( Food storage) และเปลอกเมล็ด (Seed coat) การขยายพันธ
ื
์
ุ
่
ิ
ี
โดย วิธน ในสนสามใบเปนที นยมมาก และใช้ปฏิบัติโดยทั วไป ในการผลตกล้าไม้สน เพื อวัตถุ
ิ
็
ี
้
ิ
ุ
ประสงค์ต่าง ๆ เช่นการปลูกสรางสวนปาการสร้างอนรักษ์พันธ์ การสร้างสวนผลตเมล็ดพันธ์ไม้
ุ
่
ุ
ื
ื
็
ี
่
่
เมล็ดที เก็บจากต้นแม่ไม้ หรอแหลงแมไม้ทได้ทําการคัดเลอกแล้ว ปกติจะทําการเกบผลสน
็
(cone) โดยวธการปนเก็บบนต้นไม้ ในชวงเดอน ธันวาคม และมกราคม เปนชวงที ผลสนแก่จัด
่
ิ
ี
ี
่
ื
ี
ี
ี
เมื อเลยชวงเวลาน ไปผลของสนสามใบ ก็จะอ้าออกดดให้เมลดสนซงมีปกเดยวปลิวไป ตามสาย
ี
็
ึ
่
็
ี
ลม ไม่สามารถจะเก็บเมล็ดได้ เมล็ดที เก็บได้พร้อมทจะทําการเพาะชําเปนกล้าไม้ได้เลย เพราะ
็
ิ
ไม่มีระยะชะงักงัน (dormancy) แต่ประการใด และไม่จําเปนต้องมีการปฏิบัตต่อเมลด เปนกรณ ี
็
็
่
พิเศษกอนการเพาะ (pretreatment) แต่ใด ๆ เลยนอกจากน ีเมล็ด ไม้สนสามใบสามารถที เก็บ
รักษาไว้ในห้องเย็นที ควบคมอุณหภมิ ไว้ประมาณ 4 องศาเซลเซียส เก็บไว้ได้นาน 8 –9 ป โดย
ุ
ี
ู
อัตราการงอก มิได้ตํ าลงกว่าปกติ
้
การขยายพันธุโดยใชเมล็ดเพาะ
์
ี
ข้อด ี ข้อเสย
1. ทําได้ง่าย รวดเรว และได้จํานวนต้นมาก 1. กลายพันธ์และมักจะกลายไปในทางเลว
ุ
็
กว่าต้นแม่
็
ี
2. เก็บได้นาน ขนย้ายสะดวก 2. บางปนั นสนสามใบให้เมล็ดน้อยเปน
อุปสรรคต่อการผลิตกล้าไม้ให้ได้ตาม
ิ
ปรมาณ ต้องการ
3. มีรากแก้ว สามารถหยั งดนได้ลึก หาอาหาร 3. ต้นที เพาะจากเมล็ดให้ผลช้า
ิ
และนํ าได้ด ี
4. ทําได้ทุกฤดกาล 4. ได้ต้นที มีขนาดไม่สมํ าเสมอ
ู
ุ
5. การเก็บรักษาเมล็ดพันธ์ (Seed storage)
ู
ในจํานวนมากต้องใช้ต้นทุนสง
่
ู
6. ได้ต้นสงใหญ่ ไมสะดวกแก่การ ดแลรักษา
ู
็
และเก็บเมลด
120
ิ
็
เมื อเมล็ดแยกจากต้นแม่ metabolism ในเมล็ดตํามาก และไม่มีการเติบโต เกดขึ นในเมลด
ุ
ึ
ื
็
ึ
่
้
เลย เมื อเมลดงอก metabolism ในเมล็ดจะเพิ มข นทําให้ต้นออนเติบโตข น เปลอกหมเมล็ดแตก
และต้นกล้างอกออกมาได้ การที เมล็ดจะงอกได้ต้องมีส งต่อไปน ี
ิ
ี
1) เมล็ดมีชีวิต (viability) คือ ต้นอ่อน (embryo) มีชวิตอยู่และพร้อมที จะงอก
ิ
2) สภาพภายในเมล็ดเหมาะสม ส งที จะห้ามการงอกทั งทางเคมี และกายภาพ
หมดไปแล้ว
ู
ุ
3) สภาพแวดล้อมภายนอกต้องเหมาะสม เชน มีความช นพอเหมาะ มีอณหภมิ
่
ื
และมีออกซิเจน พอเหมาะ
็
็
ิ
ขบวนการงอกของเมลด (Germination process) เร มขึ นในเวลานับเปนนาที หรอหลาย
ื
ี
ิ
ื
ชั วโมง คือ เมล็ดทแห้งอยู่จะเร มดดนํ า ทําให้ความช นในเมล็ดเพิ มข นอย่างรวดเรวและคงที สาร
ู
ึ
็
ู
่
ื
colloid ในเมล็ดที แห้งอยู่จะดดนํ าทําให้เปลอกออนตัว และทําให้ protoplasm ในเซลได้รับนํ า
ึ
ู
ื
เมล็ดจะบวมข น และเปลอกเมลดแตก การดดนํ าขบวนการทางกายภาพ ขั นตอนน ีเรยกว่า
ี
็
่
ี
ู
ี
็
ี
Activation เมล็ดเสยก็ดดนํ าและบวมได้เชนกัน ต่อจากนั นเปนขั นท 2 เรยกว่า Translocation มี
ู
ิ
การดดนํ าและการหายใจเกดขึ นอย่างสมําเสมอ การสังเคราะห์โปรตีน ทําให้ได้เอนไซม์ใหม่เกด
ิ
ิ
ิ
ุ
็
ิ
สารประกอบที เปนโครงสร้างของเซล สารประกอบที ควบคมการเจรญเติบโต และกรดนวเคลรก
ุ
็
ฯลฯ เอนไซม์จะย่อยอาหารสํารองที เก็บไว้เปนไขมัน โปรตีน และคารโบไฮเดรต ขั นตอนสด
์
็
ิ
ุ
็
ี
ท้ายเรยกว่า Cell elongation เปนการแบ่งเซลที จดเจรญของต้นอ่อน เร มจากเราเหนการงอกออก
ิ
มาของราก ตามด้วยการยืดตัวของต้นกล้า นํ าหนักสดและนํ าหนักแห้งของต้นกล้าจะเพิ มขึ น แต่
นํ าหนักของอาหารสะสมจะน้อยลง มีการหายใจเพิ มขึ นอย่างคงที และทําให้เติบโตเพิ มขึ น
้
ํ
การเพาะชากลาสนสามใบ
ั
ุ
ี
ิ
ปจจบันการผลตและการเพาะชํากล้าไม้สนสามใบทนยมใช้กันอยู่ โดยเฉพาะเพื อการ
ิ
ู
ื
ปลกสร้างสวนปา จะใช้วิธเพาะเมล็ดจากเมล็ดคณภาพดที ผ่านการคัดเลอกมาแล้ว เพราะเมล็ดไม้
ุ
ี
่
ี
่
สนสามใบมีขนาดไม่ใหญนักและไม่เล็กจนเกนไป ง่ายตอการหว่านเมล็ด อัตราการงอกอยู่ใน
ิ
่
เกณฑ์ดี ขั นตอนการปฏบัติก็มิได้ซับซ้อนแต่อย่างใด
ิ
121
ขั นตอนของการเพาะชากลาสนสามใบ
ํ
้
ี
องค์ประกอบของขั นตอนของการเพาะชํากล้าสนสามใบมดังน ี
ิ
1. เร มจากการเพาะเมล็ดสนสามใบในกะบะเพาะชํา
ื
ี
ื
อาจเปนกะบะไม้ หรอกะบะซเมนต์ธรรมดาก็ได้ ใสทรายที ผานการฆ่าเช อ
็
่
่
ต่าง ๆ แล้ว ลงในกะบะ เกลยให้เรยบให้สงจากก้นกะบะประมาณ 2 น วก็เพียงพอแล้ว เพราะจะ
ี
ี
ิ
ู
่
ี
ใช้เพาะชําระยะสั น ๆ ไมให้รากหยั งลงลึกก็ย้ายปลูกแล้ว หลังจากเกลยทรายให้เรยบแล้วก็
ี
ึ
่
ี
หว่านเมล็ดสนสามใบ ลงไปอย่าให้แนนมากนัก แล้วใช้ทรายละเอียดกลบเมล็ดอกชั นหนงบาง ๆ
คลมกะบะ ด้วยลวดตาข่าย ป้องกันหนหรอสัตว์แทะเมลด และเพื อป้องกันมด ปลวก หรอจ งหรด
ิ
ู
ื
ื
ุ
ี
็
เข้าไปกัดกินเมล็ดหรอกล้าไม้อ่อน ๆ ควรทําการปองกันโดยหว่านยาฆ่าแมลง หรอรดนํ าทผสม
้
ี
ื
ื
็
็
ยาฆ่าแมลง และยาป้องกันราในกะบะเพาะเมล็ดด้วยเปนระยะ ๆ จนกระทั งเมลดงอกเปนกล้าไม้
็
ี
่
โตได้ขนาดพอดแล้ว จึงทําการย้ายกล้า ลงใสถุงเพาะชําต่อไป
2. การย้ายกล้าไม้หลังการงอก
กล้าไม้สนสามใบที งอกแล้ว 10 - 14 วัน หลังการเพาะยาวประมาณ 1.5 - 2.0
ุ
เซนติเมตร ควรจะได้รับการย้ายออกจากกะบะ เพาะชําไปปลูกในถงพลาสตกเจาะรขนาด 4 x 6
ิ
ู
น ว ทบรรจุดนไว้จากปา สนสามใบ จะเปนปาธรรมชาติหรอสวนปลูกกได้ทั งน เพื อต้องการ ให้
็
่
ิ
่
ื
ี
ี
็
ิ
ี
ดนดังกล่าว มเช อไมคอรไรซา ที ชวยการเจรญเติบโตของกล้าสนสามใบตอไป การรบร้อนย้าย
ิ
ี
ิ
่
์
่
ื
่
ื
ิ
็
กล้าสน ในระยะที ยังเลกเกน ไปคือ ยาวน้อยกว่า 1.5 เซนติเมตร จะให้กล้าไม้รอดตายน้อย หรอ
ี
่
ถ้าย้ายช้าไปจนกล้ายาวมาก กจะย้ายกล้าได้ยาก เพราะโอกาสทรากจะขาดได้งาย ทําให้รอดตาย
็
่
่
ี
น้อยเช่นกัน กอนทําการย้ายกล้าสนสามใบควรรดนํ ากะบะเพาะให้เปยกโชกเสยกอน เพื อให้
ี
ุ
ี
็
สามารถถอนกล้าสนสามใบได้ง่ายข น ในขณะเดยวกันกรดนํ าถงพลาสติก ทบรรจดนเตรยมไว้
ึ
ุ
ิ
ี
ี
ิ
ึ
ู
แล้ว ให้ดนในถุงดดซับนํ าไว้ อย่างเต็มที ด้วย ดงกล้าสนสามใบ จากวัสด เพาะชําในกะบะค่อย ๆ
ุ
ึ
่
ุ
็
ดงขึ นมามิให้ปลายรากขาด การใช้ทรายเปนวัสดเพาะชําทําให้ การถอนกล้าทําได้งาย และรอด
้
็
่
ู
ี
ตายสง นํากล้าทถอนได้ใสในภาชนะเล็ก ๆ ที ใสนํ าไว้เลกน้อย ปองกันมิให้กล้าสนสามใบแห้ง
่
็
ี
เรวเกินไป แล้วรบนําไปปลกในถงพลาสติกทันที ให้โผล่จากระดับดนในถง 0.5 - 1.0 เซนติเมตร
ุ
ิ
ุ
ู
็
เปนอย่างน้อย
122
ึ
ุ
หลังจากการย้ายกล้าไม้ลงถงพลาสติกแล้ว ทําการรดนํ าอีกครั งหนง โดยผสมยากําจัด
แมลง และโรคราลงในนํ าด้วย เพื อปองกันมิให้มด หรอแมลงตาง ๆ เข้ากัดกนกล้าไม้ทย้าย
ื
่
้
ิ
ี
ั
ื
ื
ี
ึ
ุ
ู
ื
ใหม่ ๆ หากมีปญหาเรองหน เรองสัตว์แทะเมล็ดอน ๆ ให้คลมกล้าไม้ด้วยลวดตาข่ายอกครั งหนง
จนกว่ากล้าไม้สนจะแข็งแรงรอดพ้นจากการแทะของสัตว์ ดังกล่าว
การย้ายกล้าไม้ปลูกในถุงพลาสติก ควรทําในชวงที แดดไม่จัด คือใน ตอนเช้า หรอตอน
ื
่
เย็น ไมควรย้ายกล้าไม้ในขณะทแดดร้อนเต็มที ตอนกลางวัน และควรเลอก ย้ายกล้าไม้ในวันที มืด
่
ื
ี
ฟามืดฝนได้ยิ งด หากเปนเชนน จะย้ายกล้าไม้ตอนช่วงกลางวันด้วยก็ได้ ในสภาพปกตควรย้าย
็
ิ
ี
้
่
ี
ึ
ี
็
็
กล้าไม้ก่อนเวลา 11.00 น. หลังจากน แล้วก็ควรเปน 16.30 น. เปนต้นไปอกคร งหนง หากเปนการ
ั
ี
็
ย้ายปลูกในตอนเย็น อาจถอนกล้าไม้สนออกแช่นํ าใน ภาชนะค้างคืนไว้กอนก็ได้ รงข นอีกวันจึง
ุ่
ึ
่
์
ย้ายปลูกในถงพลาสติกเลย จากประสบการณของ ผู้เขียนพบว่า การแช่กล้าไม้สนในนํ า ค้างคืน
ุ
ไว้ 1 คืน ไม่มีผลกระทบต่ออัตราการรอดตายเลย
3. ดินที ใช้บรรจุถงเพาะชํา
ุ
่
ู
ุ
ั
ิ
็
ดนเปนวัสดเพาะชําที ดผิวเผิน แล้วไมมีปญหามากนัก สําหรับการเพาะชํากล้า
็
ี
ิ
ิ
ิ
สนสามใบ ดนทใช้เปนเรองทจะต้องพจารณาพอสมควร เพราะปกติแล้วกล้าสนสามใบจะเจรญ
ื
ี
ุ
่
์
็
็
ี
เติบโตแข็งแรงได้ด ต้องมีเชื อไมคอรไรซา ผสมอยู่ใน ดนด้วยเปนเชื อจลนทรย์จําพวกเหดราท ี
ี
ิ
ิ
่
ู
่
ิ
เกาะอาศัยรากไม้สนอยู่ และชวยในการดดซับนํ า และแรธาตุต่าง ๆ จากดนให้แกไม้สนด้วย เปน
่
็
การพงพาซึงกันและกันแบบ Symbiosis ดังแสดงในภาพที 26 โดยปกติแล้วจะนําดนจากสวน
ึ
ิ
็
ปาสน หรอจากปาสนธรรมชาต มาใช้เปนดนเพาะชํา เพราะเข้าใจวาดนดังกล่าวน จะมีเช อไมคอร ์
ื
่
่
ิ
ิ
ี
ิ
ื
่
ิ
่
ี
่
ิ
ไรซาปะปนมาเพียงพอแล้ว แต่ในบางกรณพบว่า การนําดนจากปาธรรมชาตที มีไม้สนขึ นอยู่
ิ
ื
็
กระจัดกระจายนั น มเช อไมคอรไรซา ไม่เพียงพอต่อการเจรญเติบโตของกล้าไม้สนเลย จําเปน
ี
์
่
่
่
ี
่
ั
ุ
ต้องผสมเชื อไมคอร์ไรซาลงในดิน เพาะชําด้วย ปจจบันน สวนวนวัฒนวิจัย สํานักวิชาการปาไม้
ิ
ี
่
กรมปาไม้ สามารถแยก และเพาะเล ยงเช อไมคอรไรซาได้เพียงพอต่อการจําหนายในเชิงธรกจได้
่
์
่
ุ
ื
็
แล้ว อย่างไรกด ในกรณ ที ไมสามารถหาดินจากปาสนธรรมชาติ ในสวนสนเดมมาใช้ได้ เชน
ิ
ี
่
่
ี
่
่
การปลกสร้างสวนสน ในพื นที ใหม่ซงไม่ใชแหลงไม้สนข นอยู่มากอน และไม่สามารถจะขนดน
ึ
่
่
ึ
ิ
ู
็
จากแหลง ไม้สนเดม ไปใช้ได้ ทั งไมอาจหาเชื อไมคอร์ไรซาไปผสมดินเพาะชําได้ ก็อาจเกบเหด
่
ิ
่
็
่
ื
่
ที ขึ นอยู่ในปาสน ธรรมชาติ หรอสวนปาไม้สนเปนเหดที ออกในฤดฝน ลักษณะที ออกใหม ๆ จะ
่
ู
่
็
็
123
่
้
้
่
ภาพที 26 เชอไมคอรไรซา ที อยูรวมกับรากกลาไมสนสามใบ
์
่
ื
124
ี
ื
็
ี
ื
็
็
่
เปนก้อนกลม ๆ สเหลือง แล้วคอย ๆ โตขึ นเรอย ๆ มีเส้นใยรอบ ๆ ก้อนเหดน เมอโตเต็มที จะเปน
สนํ าตาลเข้ม ขนาดเส้นผาศูนย์กลาง 15 - 20 เซนติเมตร แล้วจะแตกออกมีฝุนสนํ าตาลหรอดํา
่
ื
ี
ี
่
ี
์
็
์
ึ
่
ิ
็
ื
็
่
กระจายออกมา ฝุนน ีเปนสปอรของไมคอรไรซาชนดหนง เหดที เกบได้ เรยกชอพื นเมืองใน
่
ี
ิ
ื
ภาคเหนอว่า " เห็ดขลําหมา " นํามาผึงในรมให้แห้งแล้วบดให้ละเอยดผสมในดนเพาะชําไม้สน
ื
่
่
ได้ดีพอ ๆ กับใช้ดินจากปาสนธรรมชาติ หรอดินจากสวนปาไม้สนนั นเอง
ุ
ี
ื
ิ
่
ิ
ดนที เหมาะต่อการเพาะชํากล้าสนสามใบมากที สด คือดนจากปาสนหรอ สวนสน ที มส ี
่
นํ าตาลหรอสดํา หาได้ตามปาสนทั วไป เปนดนรวนปนทราย คาความเปนกรด ดางระหว่าง
่
่
็
ิ
็
ี
ื
่
5 - 5.8
่
4. การให้รม
ึ
ื
การย้ายกล้าไม้สนสามใบ ปกติจะกระทํากันภายในเรอนเพาะชํา ซงได้รับ
่
แสงแดดประมาณร้อยละ 30 - 50 การให้รมกล้าไม้หลังการย้ายใหม่ ๆ จะทําให้มีอัตราการรอด
ึ
ื
้
ตายสง โดยเฉพาะเดอนแรก ควรจะได้รับแสงประมาณรอยละ 30 หลังจากนั นจงให้แสงเต็มท ี
ู
เพื อให้ลําต้นกล้าไม้แข็งแรง การที ให้แสงแดดประมาณร้อยละ 50 ในระยะกล้าไม้ ชวยให้กล้า
่
ี
ึ
ู
ื
ี
่
สนยืดตัวได้ดขนาดพอเหมาะ เมื อถงอายุที จะย้ายปลกในพื นที การให้รมโดยวิธสร้างเรอน
ู
เพาะชําสงประมาณ 2 เมตร ปจจุบันนยมใช้ตาข่ายพลาสติกพรางแสง ซึงสามารถพรางแสงแดด
ั
ิ
้
ได้ร้อยละ 70 และรอยละ 50 แล้วแต่จะเลือกใช้ขนาดที ต้องการ แสงแดดเท่าใด
5. การให้นํ ากล้าไม้
ุ
ู
ื
กล้าไม้ที อยู่ในถงพลาสติกในเรอนเพาะชําจะต้อง ดแลรักษาอยู่ตลอดเวลา จน
็
ี
กว่ากล้าไม้จะโตได้ขนาดทสามารถนําลงปลูกในพื นทปลกได้ การให้นํ ากล้าไม้นับว่าเปนขั น
ู
ี
ู
ิ
ึ
ตอนหนงที สําคัญที จะทําให้กล้าไม้เจรญเติบโตสมบูรณ์ในระยะกอนปลก
่
็
ุ
ิ
ี
ิ
ื
ุ
ปกติการวางเรยงถงพลาสตกที บรรจกล้าไม้ มักวางเรยงเปนแถวไว้บนพื นดนในเรอน
ี
ุ
เพาะชํา การวางเรยงถงมักจะวางให้ถุงพลาสติก ที เพาะชํากล้าไม้สนสามใบไว้แล้วชิดกัน วางใน
ี
แนวกว้าง 10 ถง วางเรยงต่อกันไปตามแนวยาว 50 แถว ก็จะได้กล้าไม้กองละ 500 กล้า ดังแสดง
ุ
ี
ื
ในภาพที 27 ปฏิบัติต่อกันไปเรอย ๆ จนหมดกล้าไม้ การให้นํ ากล้าไม้ก็ใช้วิธแบบธรรมดาคอ
ื
ี
ื
ิ
ุ
ิ
ใช้บัวรดนํ า ใช้สายยางปลายฝอยฉด หรอใช้ระบบสปรงเกิ ล ตอนเช้าและเย็นจนดนในถง
ี
ู
ู
พลาสติกชุ่มในฤดร้อนและหนาว สําหรับฤดฝนอาจจะได้รับนํ าตามธรรมชาติอยู่แล้ว จะให้นํ า
125
้
ื
้
ํ
้
ภาพที 27 กลาไมสนสามใบที เพาะชาดวยเมล็ดในเรอนเพาะชากลาไม ้
ํ
้
126
่
ิ
ั
ุ
็
ี
อกในกรณที เหนวาฝนหยุดตกหลายวัน หรอดนในถงเพาะชําแห้งขาดนํ า ปญหาที มักพบเสมอ
ี
ื
ุ
่
ิ
ิ
โดยการให้นํ าแบบข้อที กลาวมาแล้วคือ แรงของนํ าที ให้กับกล้าไม้ ทําให้ดนในถงพลาสตก
็
ุ
กระเด็นออกมานอกถงได้ตลอดเวลาทก ๆ ครั งที ให้นํ า และเกิดปากถงพับจนอาจจะเปนผล
ุ
ุ
ิ
ี
กระทบถึงการเจรญของกล้าไม้ได้ วธแก้ไขคือ ใช้ทรายหยาบโรยทับหน้าดินในถงพลาสตกให้
ุ
ิ
ิ
หนา 0.5 - 1.0 เซนติเมตร ทุกถง ก็สามารถลดปัญหาดังกล่าวได้
ุ
6. การให้ปุย
๋
ู
โดยทั วไปแล้ว กล้าไม้ที เหมาะสม มีขนาดพอที จะนําปลกในภาคสนามได้ ควร
มีขนาดไม่ตํากวา 15 เซนติเมตรขึ นไป และใช้ระยะเวลาในการดแลรักษา ในเรอนเพาะชํา
ื
ู
่
ื
๋
ี
ี
็
ประมาณ 7 - 8 เดอน ดังนั นจําเปนจะต้องมการ ให้ปุยแก่กล้าสนสามใบด้วย ทั งน เพื อให้กล้าไม้
ี
ิ
ี
ิ
้
ิ
ิ
เจรญเตบโต ได้ขนาดทต้องการและใช้ระยะเวลาในการเจรญเตบโต ตามทได้ตั งเปาหมายไว้
๋
ิ
ี
ิ
ุ
ี
๋
ชนดของปุยทนยมใช้กันมีปุยยูเรย และปุยไนโตฟอสก้า (NPK. mg 12:12:17:2) สําหรับปยยูเรย
๋
ี
๋
ู
่
่
มีผลต่อการเรงอัตราการเจรญเตบโต ด้านความสงของกล้าสนสามใบมาก แต่ก็มีอันตรายมากเชน
ิ
ิ
กัน ในกรณผู้ใช้ขาดประสบการณ์ในการใช้ปุยยูเรย จะทําให้กล้าสนสามใบไหม้จนถงแกความ
ึ
ี
่
๋
ี
ิ
ุ
๋
ึ
่
ตายได้ จึงใครจะแนะนําให้ใช้ปยไนโตฟอสก้า ซงกล้าสนสามใบมีการตอบสนองต่อการเจรญ
ื
ื
็
เติบโต ทั งระบบเรอนยอดและระบบเรอนรากเปนอย่างดี และมีธาตุอาหารรองที จําเปนต่อพืช
็
ื
๋
ด้วย อันตรายน้อยกวาการใช้ปุยยูเรย อย่างไรก็ตามการทเลอกใช้ปุยชนดไหนนั น ควรจะทราบ
่
๋
ิ
ี
ี
ุ
ข้อมูลด้านคณสมบัตเสยก่อน โดยการเก็บตัวอย่างดนไปวิเคราะห์คณสมบัติทางเคมี ซงจะบอก
ิ
ี
ุ
ึ
ิ
๋
ิ
ได้ว่าดินนั น ๆ ขาดธาตุอะไรบ้าง เพราะจะทําให้สามารถเลอกใช้ปุยได้ถูกต้อง และมีประสทธ ิ
ื
ิ
ภาพที แท้จรง
ุ
จากการทดลองของศูนย์บํารงพันธ์ไม้สนและไม้โตเรว อําเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
็
ุ
ึ
๋
่
ุ
พบว่า ผลตอบสนองต่อการใช้ปยต่อกล้าไม้ในระยะเพาะชํา จะสงผลยาวต่อไปจนถงหลังจากย้าย
็
กล้าไม้ไปปลูกในภาคสนามแล้ว กล้าไม้ยังคงเจรญเติบโตได้ดกวากล้าไม้ ที ไมใสปุยเลยเปน
๋
่
่
่
ิ
ี
อย่างมาก ปรมาณการใสปุยให้กล้าไม้ต่อจํานวนต้น คือ 0.70 กรัมต่อต้น
๋
ิ
่
127
ู
7. การดแลรักษากล้าสนสามใบ
ื
ึ
็
ื
กล้าสนสามใบกเหมอนกับกล้าไม้อน ๆ ซงหลังจากเพาะชําแล้ว จะต้องคอยดูแล
็
ู
ิ
รักษาให้มีการเจรญเติบโต และแข็งแรงอยู่เสมอ เพื อให้ได้กล้าไม้ที ดพอที จะนําไปปลกเปนสวน
ี
ิ
๋
ปาได้อย่างมีประสทธภาพต่อไป นอกจากขั น ตอนการให้นํ าให้ปุยแล้วยังมีกจกรรมอน ๆ ที ควร
ิ
่
ิ
ื
ิ
ได้รับการปฏบัติต่อกล้าสนเพิ มเติมด้วย ดังน ี
7.1 การกําจัดวัชชพืช
ิ
ุ
ในถงเพาะชํากล้าสนสามใบ โดยเฉพาะอย่างยิ งหากดนที นํามาใช้ใน
ู
ี
การเพาะชํามีเมล็ดวัชชพืชอยู่มาก และโดยปกติจะไม่มี การคั วดินหรอใช้สารเคมกําจัดศัตรพืชมา
ื
กอนเลย วัชชพืชจะงอกข นมาแข่งขันกับกล้าไม้สนได้ด ดังนั นจงต้องคอยดแลรักษากําจัด
ึ
ี
ึ
่
ู
่
ี
ุ
วัชชพชในถงเพาะชํากล้าไม้สนอยู่เสมอ ๆ เชน ประมาณเดอนละครั งเปนอย่างตํา โดยวธใช้มือ
ิ
ื
ื
็
ดายวัชชพช ถอนต้น และถอนรากวัชชพชออกให้หมด กอนที จะเจรญเตบโตแข่งขันกับกล้าไม้
ิ
ิ
ื
่
ื
สนได้ต่อไป
7.2 การคัดขนาดกล้าไม้สนสามใบ
เพื อที จะสามารถนํากล้า ไม้สนที แข็งแรงกว่าย้ายไปปลูกในภาคสนาม
ึ
่
ได้กอนตามลําดับความแข็งแรง และขนาดของกล้า ดังนั นจงควรทําการคัดขนาดกล้าไม้สนสาม
ี
ใบประมาณเดอนละครั งเดยว และขณะเดยวกับการดายวัชชพืช โดยจัดเรยงกล้าไม้สนสามใบ
ี
ื
ี
ุ
ู
ุ
็
จากขนาดสงสดไปหาตําสดตามลําดับ ขนาดการคัดขนาดกล้าไม้สนน ี นอกจากจะเปนการ
ี
ุ
ู
ิ
ี
สะดวก ในการคัดเลือกกล้าที ได้ขนาดไปปลกกอนแล้ว ในกรณที วางเรยงถงบนพื นดนตามปกติ
่
ยังเปนการป้องกัน มิให้กล้าไม้สน หยั งรากลงในดินได้ด้วย
็
อายุและขนาดของกลาไมสนสามใบที เหมาะสมในการ ยายปลูก
้
้
้
ื
่
ื
็
ู
การเพาะเมล็ดสนสามใบเพอผลตเปนกล้าไม้ในการปลกสร้างสวนปา หรอเพื อการ
ิ
ุ
ื
ื
ิ
ื
ู
ปลกอนรักษ์พ นที ต้นนํ าลําธาร ในบรเวณพ นที ภาคเหนอของประเทศไทย นยมเพาะเมล็ดสนกัน
ิ
128
ื
ื
ื
ตอนต้นฤดูหนาว อยู่ระหว่างต้นเดอนพฤศจิกายน - ต้นเดอนธันวาคม เนองจากในระยะเวลา
ิ
ู
่
ดังกลาวอัตราการงอกของเมล็ดอยู่ในเกณฑ์ที สงมาก การเจรญเติบโตหลังจากเมล็ดงอกแล้วอยู่
ในเกณฑ์ด ปญหาโรคแมลงกมีน้อย ได้มีความพยายามเพาะเมล็ดสนสามใบกัน ในตอนต้นฤด ู
็
ี
ั
ื
ิ
่
่
็
ร้อนและในฤดูฝนเพอผลตกล้าสนสามใบค้างป ปรากฎว่าไมประสบผลสําเรจเปนที นาพอใจ
็
ี
ู
ู
ู
ึ
้
เพราะในฤดรอนซงอุณหภมิสง มีผลโดยตรงต่อการงอกของเมล็ดสนสามใบ ทําให้อัตราการ
็
ุ
็
ิ
งอกของเมล็ดอยู่ในเกณฑ์ตํา และเมล็ดงอกช้าผิดปกติ โดยปกติเมลดจะงอกเปนปรมาณมากที สด
ุ
หลังจากเพาะได้ 7 - 10 วัน อัตราการงอกอยู่ระหว่างร้อยละ 75 - 80 ขึ นอยู่กับคณภาพของเมล็ด
ู
่
ื
ึ
สําหรับการเพาะเมล็ดในฤดูฝนซงความช นในอากาศสง อัตราการงอกอยู่ในเกณฑ์ที นาพอใจ
ู
ิ
่
แต่ปรากฎวากล้าไม้ถกเช อราเข้าทําลายอย่างหนัก เร มจากเมล็ดงอกก็จะเกดโรคเนาคอดนเปน
ื
่
ิ
ิ
็
ิ
ิ
ิ
็
็
ิ
บรเวณกว้าง และในระยะที กล้ายังเลกอยู่เจรญเติบโต ในถุงพลาสติกที บรรจุดนแล้วกยังเกด
ี
่
็
ี
โรคราได้อกเชน โรคใบสนํ าตาลและแห้ง (Brown needle disease) โรครากเนา เปนสาเหตของ
ุ
่
ความตายของกล้าสนสามใบทั งนั น
ู
การเพาะเมล็ดสนสามใบควรเพาะในตอนต้นฤดหนาว กล้าไม้ที เพาะตั งแต่ระยะเวลาน ี
จนถงฤดปลกในภาคสนามใช้ระยะเวลาของการเจรญเติบโตประมาณ 7 - 8 เดอน ขนาดของกล้า
ู
ิ
ู
ื
ึ
่
ู
จะเจรญอยู่ในเกณฑ์สมบรณ์ ถ้ามีการดแลรักษาดีเปนต้นวา การรดนํ าให้แก กล้าสน การกําจัด
ู
ิ
็
่
วัชชพืช การเลอนรากและการตัดรากที แทงออกจากก้นถงลงไปในดน การคัดขนาดกล้าและ
ื
ิ
ุ
ี
จัดเรยงลําดับความสงของกล้าสน ซงจะกระทําพร้อมกันไปกับการเลื อนรากและการตัดราก พบ
ู
ึ
ิ
ึ
ื
ว่าในเรอนเพาะชํากล้าไม้โดยทั วไป การเจรญเติบโตของกล้าสนในบล็อคหนง ๆ จะมีการเจรญ
ิ
็
เติบโตที ไม่สมําเสมอกัน บางต้นโตเรว บางต้นกล้าสนกโตช้า อันเนองมาจากลักษณะทาง
ื
็
ิ
ั
ุ
่
ิ
พันธกรรมบ้าง ปจจัยส งแวดล้อมภายนอกบ้าง ดังนั นเมื อกล้าสนเจรญเติบโตไปได้ชวงระยะเวลา
ี
ึ
ู
ื
หนง ควรจัดเรยงลําดับความสงของกล้า เพอให้กล้าสนในแต่ละบล็อคได้รับแสงอย่างสมําเสมอ
ู
่
ู
ี
และตอเนอง ถ้าไมทําการจัดเรยงขนาดความสงใหม กล้าขนาดเล็กก็จะถกบังแสงโดยตลอด และ
่
ื
่
ิ
ิ
ไมสามารถที เจรญเตบโต แข่งขันกับต้นที สงกว่าได้ ทําให้ไมได้ขนาดกล้าสนที ต้องการ เมื อถง
ึ
่
่
ู
เวลาที จะต้องย้ายปลูก วิธการคือจัดแถวให้กล้าขนาดเล็ก หันหน้ารับแสงในทิศตะวันออกให้มาก
ี
๋
ี
่
ที สด หรอจัดการให้กล้าสนที มขนาดไลเลยกันอยู่ ในบล็อคเดยวกันก็ได้ การให้ปุยกล้าไม้สนก็
ุ
ื
ี
ี
เชนกัน ในต้นที เจรญเติบโตช้า ควรเรงการเจรญเติบโตด้วยปยเคมีและสารเรงการเจรญเติบโต
ิ
ุ
่
่
๋
ิ
ิ
่
ี
ิ
ทั งน เพื อให้ทันกับต้นที เจรญดีแล้ว
129
็
ู
ปกติกล้าไม้สนสามใบที มีอายุ 7 - 8 เดือน ซึงเปนระยะเวลาที เหมาะสม เพื อการย้ายปลก
็
ในภาคสนามเพราะเปนฤดูฝนพอดี กล้าไม้สนสามใบจะมีขนาดความสงประมาณ 20 - 30
ู
ึ
่
ู
เซนติเมตร โดยวัดระยะความสงจากโคนต้นถงปลายยอด สะดวกในการขนสงไปปลก และอัตรา
ู
ี
ื
การรอดตายในพ นที ปลูกสร้างอยู่ในอัตราสง นอกจากน เรายังสังเกตได้จากใบของสนสามใบใน
ู
ี
็
ิ
ี
ระยะกล้าไม้ ปกติเมื อกล้าไม้พ้นระยะของใบเล ยงมาแล้ว จะเกดยอดเปนกระจุกสเขียว ใบมี
่
ลักษณะแบนยาวแหลมคล้ายเข็ม แต่ออนและเปราะบาง จากนั นยอดก็จะยืดยาวขึ น ลําต้นก็โต
ิ
ขึ นตามระยะเวลาของการเจรญเติบโต แต่ใบยังคงลักษณะดังกลาวอยู่เรอย ซงเราถือวาเปนระยะ
่
ึ
่
็
ื
็
ี
อ่อนวัยของกล้าสนอยู่ จนกระทั งในลักษณะดังกล่าวเปลยนสภาพ ไปเปนลักษณะใบประจําพันธ์ ุ
ิ
ของสนสามใบ คือ มีสามใบ (Needle fascicle) โดยเร มงอกที ยอดกอนหลังจากนั น ใบที งอกออก
่
ี
ี
ิ
ื
็
็
มาจากยอดก็จะเปนชนดสามใบเรอย ๆ ระยะน เองทเปนระยะเหมาะสม ในการนํากล้าสนสามใบ
ิ
ย้ายปลูกในพื นที ได้ อัตรารอดตายจะอยู่ในเกณฑ์สง เพราะกล้าสนพรอมที เจรญเติบโต และ
ู
้
สามารถปรับตัวให้เข้ากับส งแวดล้อม ที แตกต่างไปจากในสภาพเรอนเพาะชํา และการโดนจํากัด
ื
ิ
ิ
ราก ให้เจรญได้เฉพาะในถุงพลาสติกเท่านั น
็
ื
ึ
ี
ิ
ิ
่
การปฏบัติตอกล้าไม้ วธการหนงจําเปนต้องกระทํา เพอให้ได้กล้าสนที เหมาะสมในการ
ี
ิ
ี
ย้ายปลูกคือ การทําให้กล้าแกรง เพื อให้กล้าไม้เคยชนกับสภาพ ทจะต้องดํารงชพในพ นที ปลก
ู
ื
่
ิ
์
ู
และจะทําให้กล้าสนมีเปอรเซนต์รอดตายสง โดยใช้ระยะเวลาในการปฏบัติ ให้กล้าสนแกรง
็
่
่
ิ
ประมาณ 1 เดือน กอนทําการย้ายปลูก ก็ดําเนนการดังน ี
สัปดาห์แรก ลดการให้นํ า ซงปกติเคยรดนํ าวันละ 2 คร ง เช้าและเย็น ก็งดการให้นํ าเพียง
ั
ึ
ิ
็
็
็
ช่วงเช้าเพียงครั งเดยวเปนเวลา 1 อาทิตย์ ต่อมาลดการให้นํ าเปนวันเว้นวัน เปนเวลา 2 อาทตย์
ี
ื
ุ
สัปดาห์สดท้าย ในเรอนเพาะชําแบบหลังคาเปดหรอนําเอาหลังคาออกได้ ก็ทําการเปด
ิ
ิ
ื
ื
็
่
ให้กล้าสนได้รับแสงเต็มที ตลอดวันเปนเวลา 1 อาทิตย์ สวนกล้าสนที อยู่ในเรอนเพาะชําแบบ
็
ถาวร ซงไมสามารถเคลอนย้ายวัสดุบังแสงแดดด้านบนออกได้ กให้ย้ายกล้าสนออกมาอยู่ที
ึ
่
ื
แสงแดดจัดเฉพาะกลางแจ้ง ในกรณน ต้องรดนํ าตามปกติกอน 2 - 3 วัน หลังจากนั นก็ให้นํ าเปน
่
ี
ี
็
่
ั
ี
ี
ู
่
วันเว้นวัน โดยสงเกตวากล้าสนสามใบมสเขียวเข้มขึ น แสดงว่าต้นกล้าแกรงพอที จะย้ายปลกตอ
่
ไปในภาคสนามได้
่
ิ
ส งที ไมควรมองข้ามในเวลาย้ายปลกคือ ระยะเวลาทฝนตกในฤดฝน ต้องทราบถึงชวง
่
ี
ู
ู
ึ
ิ
ื
ของปรมาณนํ าฝนที สามารถทําให้กล้าไม้เจรญเติบโต หรอช่วงเวลาที ฝนท งช่วง ซงสามารถทํา
ิ
ิ
130
ู
ิ
ให้กล้าสนสามใบที ปลกตายได้ เราจะทราบได้จากปรมาณนํ าฝนในพื นที ได้ จากการรายงาน
ปรมาณนํ าฝนของกรมอตุนยมวทยาย้อนหลัง 10 ป โดยปกตินยมปลูก กล้าสนกันตอนต้นฤดฝน
ิ
ี
ิ
ู
ิ
ุ
ิ
131
่
การปลูกสรางสวนปาสนสามใบ
้
็
่
ึ
ื
ิ
ุ
ื
่
สนสามใบ ซงเปนไม้พ นเมองของประเทศ การกระจายพันธ์ตามธรรมชาต สวนใหญจะ
ื
ขึ นอยู่ตามพ นที บรเวณต้นนํ าของประเทศ ที ระดับความสงประมาณ 1,000 - 1,500 เมตร สภาพ
ู
ิ
่
ี
ของดนที สนสามใบขึ นอยู่เปนดนระบายนํ าด สภาพภมิอากาศที เหมาะสมแกการเจรญเติบโต
ิ
ิ
็
ิ
ู
ี
ิ
ี
ิ
ี
โดยอณหภูมิเฉลยต่อปไม่เกน 30 องศาเซลเซยส และไม่ตํากว่า 16 องศาเซลเซยส ปรมาณ
ุ
ี
ั
่
ื
ความช นสัมพัทธ์รอยละ 60 สภาพแวดล้อมเหลาน เอง เปนปจจัยสําคัญในการที จะชวยในการตัด
ี
่
็
้
สนใจต่อการคัดเลอกพ นที และเตรยมพื นที สําหรบปลูกสนสามใบแบบไหน ต้องมีวัตถประสงค์
ื
ั
ิ
ื
ุ
ี
ที ชัดเจน
้
รูปแบบการปลูกสรางสวนปา
่
ู
ู
็
การปลกสร้างสวนปาสนสามใบสามารถ แบ่งออกได้เปน 2 รปแบบ คือ
่
่
ู
ุ
ิ
1. การปลกสร้างสวนปาแบบเชงอนรักษ์
่
ู
2. การปลกสร้างสวนปาแบบเชงเศรษฐกิจ
ิ
1. การปลูกสรางสวนปาแบบแชิงอนุรักษ
้
์
่
่
ู
ุ
ู
่
การปลกสร้างสวนปาแบบเชิงอนรักษ์ สามารถแบ่งการปลกสร้าง สวนปา
ี
ออกได้ตามวัตถประสงค์ ดังน
ุ
่
1.1 การปลกสร้างสวนปาเชิงอนรักษ์สภาพแวดล้อม
ุ
ู
ุ
ู
่
ื
1.2 การปลกสร้างสวนปาเชิงปรับปรงสภาพปาเสอมโทรม
่
่
1.3 การปลกสร้างสวนปาเชิงอนรักษ์ปาต้นนํ าลําธาร
ุ
ู
่
่
1.1 การปลกสร้างสวนปาเชงอนรักษ์สภาพแวดล้อม
ิ
ุ
ู
ู
เปนการปลกปาเพอต้องการฟนฟูสภาพ ของปาธรรมชาติดั งเดิมที สญ
่
ื
็
่
ู
ื
่
หายไป เนองจากการบกรกทําลายทําไรเลอนลอย ทําพื นที เกษตรกรรมการเผาปา ตลอดจนการ
ื
ุ
่
ื
ุ
ี
ู
่
ู
เข้าทําลายเพื อสร้างสถานทอยู่อาศัย และพักผ่อนในรปแบบต่าง ๆ การจะปลกปา แบบน จะเน้น
ี
ิ
ไป ที สภาพพื นที และพชพรรณ ที ขึ นอยู่ดั งเดมความหลากหลายของพรรณไม้ที จะปลูกให้เกด
ื
ิ
132
ุ
ิ
่
ิ
ี
สภาพนเวศนวิทยา ใกล้เคียงของเดิมให้มากทสด เพื อส งแวดล้อมต่าง ๆ ที สญเสยไป เชน สภาพ
ู
ี
ิ
ภูมิอากาศ ปรมาณฝนตก อัตราการไหลของนํ าฝน อัตราการพังทลายของดิน อัตราการดดซับนํ า
ู
ึ
ี
ิ
่
ิ
่
ของดนระดับนํ าใต้ดน รวมไปถงพืชพรรณและสัตว์ปา ฯลฯ การจะปลูกปาแบบน ได้ต้องทราบ
ื
่
ิ
่
่
สภาพปาดั งเดมกอน พ นที สงตํา สภาพดนเชนปาเบญจพรรณผลัดใบที มไม้สก ประด มะค่าโมง
ิ
ู
ี
ู่
่
ั
ุ
ิ
ไผ่ชนดต่าง ๆ พื นที ก็จะไม่สงมากนัก ดนมความอดมสมบูรณ์ด การจะปลกปาเชงอนรักษ์ก็ควร
่
ุ
ี
ิ
ิ
ู
ู
ี
ู
่
ปลกไม้ดั งเดมเชน ไม้สัก ประดู่ มะค่าโมง เปนต้น
็
ิ
่
ุ
ื
ู
1.2 การปลกเชิงปรับปรงสภาพปาเสอมโทรม
ู
่
็
่
ื
เปนการปลกปา เพื อต้องการฟนฟูสภาพปาถูกทําลายไปแล้ว ให้กลับคืน
่
็
ุ
ิ
็
ี
็
มา เปนสภาพปาใหมโดยเรวที สด โดยจะเน้นไปที ไม้โตเรวที สามารถเจรญเติบโตได้ด ในสภาพ
่
ุ
ิ
ั
่
่
ิ
ู
ิ
พื นที ที ต้องการปลกปาเชงปรบปรง สภาพปาเสอมโทรม เชน ไม้ยูคาลปตัส ไม้กระถนเทพา ไม้
ื
่
ึ
เหยง ไม้โกงกาง ฯลฯ การปลกไม้โตเรวชนดไหน กต้องมีการศึกษาถงสภาพ พื นที ที จะปลกก่อน
็
ู
ี
็
ิ
ู
เชน สภาพพื นที เปนปาชายเลนที โดนบุกรกทําลายเสอมโทรมต้อง การปรบปรงสภาพปาเสอม
ุ
่
็
ั
่
่
ื
ุ
ื
ื
็
โทรม ให้กลับคืนมาเปนปาไม้โดยเรวก็ควรเลอกปลก ไม้โกงกาง เปนต้น หรอแม้แต่ไม้ยูคาลิป
ู
่
็
ื
็
่
ื
ู
ู
ู
ิ
ื
ตัส คามาลดเลนซสเอง การนําไปปลกในพ นที ปาเสอมโทรม ที มระดับความสงจากระดับนํ าทะเล
ี
ิ
็
เกนกว่า 1,000 เมตร การเจรญเติบโตของ ยูคาลปตัส คามาลฯ ก็จะไม่รวดเรวดีเหมือนกับพื นที
ิ
ิ
็
ราบตํ า เปนต้น
ู
่
ิ
ุ
่
1.3 การปลกสร้างสวนปาเชงอนรักษ์ปาต้นนํ าลําธาร
็
ู
ิ
่
ิ
เปนการปลกปาตามบรเวณพื นที เขาสงอันเปนแหลง กําเนดต้นนํ า ลํา
็
่
ู
้
ุ
ี
ุ
่
ธารของประเทศ ทั งน เพื อคงสภาพปามากที สด เพอการอนรักษ์นํ าและปองกันการพังทะลายของ
ื
ุ
ี
็
ิ
ดินตามบรเวณเขาสง ประเทศจะอดมสมบูรณ์ทําการเกษตร และอตสาหกรรม ได้ผลดกล้วนต้อง
ู
ุ
พึงพาอาศัยนํ า จากพื นที ต้นนํ าลําธารตามภาคต่าง ๆ ของประเทศ แหลงกําเนดต้นนํ าลําธาร ทาง
ิ
่
ี
ื
็
่
ุ
ู
ุ
ภาคเหนอนับว่าเปนพื นทต้นนํ าลําธารทใหญที สดในประเทศ สภาพพ นที ต้นนํ าลําธารถกบุกรก
ื
ี
ทําลาย เพอทําไรเลอนลอยเปนจํานวนมาก การปลูกสร้างสวนปาเชงอนรักษ์ปาต้นนํ าลําธารด้วย
ื
่
่
ุ
็
ิ
่
ื
สนสามใบนับว่าถกต้องตามหลักวิชาการปาไม้มากที สด ถ้าเปรยบเทียบกับการปลกเชิงอนรักษ์
ุ
ุ
ี
ู
่
ู
ุ
ิ
ื
่
ิ
ส งแวดล้อม และการปลกปาเชงปรับปรงสภาพปาเสอมโทรม เพราะไม้สนสามใบจะขึ นอยู่
่
ู
133
่
็
ื
ตามพ นที ปาต้นนํ าลําธารของประเทศ โดยธรรมชาติอยู่แล้วประกอบกับเปนไม้ไม่ผลัดใบ ทําให้
ู
ิ
ิ
ื
ู
่
ื
บรเวณที ปลกสนสามใบเขียวชุ่มช นดีโดยเฉพาะฤดแล้งบรเวณปาสนสามใบจะมีความช นอยู่มาก
็
่
เมื อเทียบกับไม้ผลัดใบในฤดูแล้ง เปนที อยู่อาศัยของนกและสัตว์ปาอน ๆ อีกด้วย
ื
ู
พอจะกล่าวได้ว่าสนสามใบ ควรจะปลกสร้างสวนปาแบบเชิงอนรักษ์ได้ แบบปลกสร้าง
ู
่
ุ
่
ิ
ึ
ุ
่
สวนปาเชงอนรักษ์ปาต้นนํ าลําธาร ซงก็มีขบวนการดังน ี
ุ
ู
1.3.1 การคัดเลือกพ นที ปลกสนสามใบเชิงอนรักษ์ต้นนํ าลําธาร
ื
1.3.1.1 การสํารวจพื นที และการจัดทําแผนทเบื องต้น ในการ
ี
่
ื
สํารวจ พื นที เบื องต้นทําได้โดยการสํารวจแบบคราว ๆ ด้วยสายตาและข้อมูลอน ๆ ประกอบใน
ี
ื
พื น ที ทจะปลกสนสามใบ เพื อต้องการทราบว่าอาณาเขตพ นที อยู่ในสภาพต่าง ๆ ที ใดบ้าง จะ
ู
ิ
ู
่
ื
ปลกเน อที เท่าไร แล้วลากแนวขอบเขตลงในแผนที ภูมประเทศหรอแผนที ระวาง มาตราสวน 1 :
ื
ู
่
50,000 ให้ได้จํานวนพื นที ใกล้เคียงกับพ นที ที จะปลกเชิงอนรักษ์ต้นนํ า โดยกําหนดไว้กอนเลย
ุ
ื
ว่าพื นที ที จะปลกไม้สนสามใบจะต้องอยู่ในระหว่างความสงระหว่าง 1,000 - 1,500 เมตร จาก
ู
ู
ระดับนํ าทะเล
ี
1.3.1.2 การสํารวจในพื นที จรง เมื อได้จัดทําแผนท เบื องต้น
ิ
็
เสรจแล้ว ก็ดําเนนการสํารวจพื นที ต้นนํ าลําธารจรง เพื อสํารวจหาข้อมูลพื นฐานต่าง ๆ ประกอบ
ิ
ิ
การจัดทําแผนที รายละเอยดและกําหนดแผนการดําเนนงานต่อไป ส งที จะต้องสํารวจมดังน ี
ิ
ิ
ี
ี
ู
1.3.1.2.1 ลักษณะภมิประเทศ เพื อต้องการทราบว่า
ู
ี
็
่
ี
ความลาดชัน ของพื นทถ้าเปนเขาสง จะเปนความลาดชันกองศา ยากงายในการปฏบัติงานอย่าง
็
ิ
ั
ึ
ึ
ใด ทิศทางด้านลาดชันซงจะสัมพันธกับการรบแสงของสนสามใบ ซงต้องการแดดจัดและ พื นที
์
่
ู
ิ
่
โลงเตียน แหลงนํ าและความสงจากระดับนํ าทะเล เหมาะสมกับการเจรญเติบโตของ สนสามใบ
หรอไม่
ื
ิ
1.3.1.2.2 สภาพภูมิอากาศ ส งที ควรทราบคอ
ื
ื
ิ
ู
่
ึ
่
ปรมาณนํ าฝนที ตกเฉลยในแตละเดือน ซงจะชวยตัดสนใจว่าควรจะปลกสนสามใบในเดอนไหน
ิ
ี
ื
ู
ิ
ู
ที ฝนตกมาก และติดต่อกันจนกล้าพ้นระยะอันตราย หลังจากเร มปลกในพื นที อุณหภมิความช น
่
ี
โดยสามารถหาข้อมูลเหลาน ได้จากกรมอตุนยมวทยาหรอหนวยงานที อยู่ใกล้เคียงกับพื นที ได้
ื
ิ
ุ
ิ
่
จัดทําไว้
134
1.3.1.2.3 สภาพพื นที และพืชพรรณที ขึ นอยู่
ี
่
ี
็
ี
ื
ื
ื
สภาพพื นที ในที น เปนพื นท เช่น ไรเลอนลอย ทุ่งหญ้า หรอพื นที ต้นนํ าลําธารทเสอมโทรมแล้ว
่
็
ื
่
่
่
ิ
เหลือต้นไม้ใหญจํานวนไม่มาก ควรจะทราบถึงสภาพปาดั งเดิมเชน เปนปาดบเขา ปาสนเขา หรอ
่
่
ปาเต็งรังผสมสนเขา เพื อใช้เปนข้อมลกําหนดแผนการดําเนนการ
็
ู
ิ
ิ
ี
1.3.1.2.4 ลักษณะดนและหนในพื นท ในการ
ิ
ี
ู
ึ
สํารวจพื นท เมื อต้องการทราบถงดินและหน ในบรเวณพื นที ที จะทําการปลกสนสามใบนั น โดย
ิ
ิ
ิ
ี
ที สนสามใบ ชอบขึ นในพื นที มีดนระบายนํ าดี ปกติตามพื นทต้นนํ าลําธาร มักมีสภาพพื นที
่
ื
ั
เปนภเขาหรอดอยต่อเนองกันไป ปญหาการระบายของนํ าไมค่อยมีปัญหา เพราะลักษณะความ
ู
็
ื
ลาด เอียงของพื นที
ได้มีการดําเนนการสารวจและจําแนกดนปาไม้ โดยใช้ภาพถายทางอากาศ และแผนที ภมิ
ู
ิ
ํ
่
ิ
่
ิ
ประเทศ ตลอดจนทําการขุดเจาะดนทําข้อมูลหน้าตัดดน และจัดทําแผนที ดนขนาดมาตราสวน
ิ
่
ิ
1 : 20,000 แล้ว
ั
ี
1.3.1.2.5 แรงงานทรองรับ ปจจุบันไม่ว่าจะมี
่
ู
็
ึ
การปลกปาประเภทไหนก็ต้อง อาศัยแรงงานเปนหลักในการปฏิบัติงานต้องทราบถง แหล่งงาน
ี
่
ี
ี
ู
ุ
ที จะหาได้ใกล้เคียง พื นทปลกปามากทสด อาชพของแรงงานในท้องท ตลอดจนอัตราค่าจ้าง
ี
ี
่
่
ู
์
แรงงานอน ๆ เชน โรงงาน รสอรทต่าง ๆ ข้อมลเหลาน ีจะถูกนํามาใช้ประโยชน์ ใน
ื
การวางแผนการปฏบัติงาน
ิ
ี
็
1.3.1.3 การจัดทําแผนที รายละเอยด เปนขั นตอนต่อมาโดยที
่
่
ิ
ี
จะต้องดําเนนการสํารวจรังวัด เพื อให้ได้ขอบเขตพื นทแนนอน ปกติจะใช้มาตราสวน
1 : 5,000 หรอ 1 : 10,000 โดยมีการกําหนดรายละเอยดในแผนที ได้แก่ บรเวณที จะตัดถนน ปา
ิ
ื
่
ี
ี
ิ
ไม้ การแบ่งแปลงย่อย การกําหนดแนวป้องกันไฟ ชนดไม้ที ปลูกในที น คือสนสามใบ
ื
ี
่
ิ
ุ
1.3.2 การเตรยมพ นที สําหรับปลูกสนสามใบเชงอนรักษ์ปา
ต้นนํ าลําธาร
่
1.3.2.1 การสร้างถนนปาไม้ และแนวป้องกันไฟ ประโยชน์
่
ของการสร้างถนนปาไม้ มีดังน ี
็
1.3.2.1.1 ใช้เปนเส้นทางคมนาคม เพื ออํานวยความ
ิ
่
ี
่
สะดวก ในการขนสงกล้าไม้เข้าไปในพื นทที จะปลูกสนสามใบ ในการขนสงคนงานเข้าไปปฏบัติ
งานในพื นที ในการปฏบัติงานจําเปนต้องมีเครองจักร อุปกรณ์และเครองมือต่าง ๆ ที ใช้ในการ
ิ
ื
ื
็